ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 75.4-76.5
ตอนที่ 75-4 พกยาพิษติดตัว
ถ้าทำตามความประสงค์ของบิดา อย่างน้อยระหว่างรอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หรือยังไม่มีความแน่นอนในตำแหน่งเจ้ากรม ต้องจัดให้คนในวังเห็นว่า ไป๋ฮูหยินอยู่ดีมีสุขในบ้านสกุลอวิ๋น
อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้วสวย ก่อนพูดให้กระชับและได้ใจความ “ท่านพ่อสามารถต่อเติมห้องหลังเล็กๆ ขึ้นที่สวนหลังบ้าน อัญเชิญพระพุทธรูปและธูปเทียนไปวาง แล้วบอกกับคนภายนอกว่า ฮูหยินเพิ่งแท้งลูก หัวใจสลาย เศร้าโศกมิคลาย จึงขอมาอยู่ในห้องพระ เพื่อสงบจิตสงบใจสักระยะ”
ชะงักเล็กน้อย แล้วใช้ดวงตาสวยๆ แฝงความรู้สึกดูแคลนไม่มากก็น้อย มองอวิ๋นเสวียนฉั่ง
“ข้อแรก ท่านแม่ยังคงเป็นฮูหยินสกุลอวิ๋น ท่านพ่อจะได้บอกกับผู้สูงศักดิ์ได้อย่างเต็มปาก ข้อสอง สามารถลดทอนอำนาจของท่านแม่ลง”
“ดี!” ถงฮูหยินร้องออกมาทันที ด้วยสามารถทำให้หญิงชั่วเข้าไปอยู่ในวังเย็นได้ในที่สุด ชื่อคง แต่อำนาจสลาย!
อวิ๋นเสวียนฉั่งยอมรับความคิดของลูกสาว เพียงแต่รู้สึกว่าสายตาที่พุ่งมองมาที่ตนอย่างรวดเร็วดุจสายรุ้งนั้น เยือกเย็นดุจหิมะ ถึงอยากหลบก็หลบไม่พ้น นั่นเป็นสายตาดูหมิ่นเหยียดหยามที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
ทว่าผิดคาด เขาไม่โกรธ
ดูหมิ่นเหยียดหยาม…ลูกสาวคนหนึ่งริอ่านใช้สายตาเช่นนี้มองผู้มีอำนาจมากสุดในบ้าน ถ้าไม่ใช่ลูกสาวที่ไม่มีมันสมองและไม่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาก่อน ก็ต้องเป็น…
ลูกสาวคนนี้ จับจุดอ่อนของผู้ใหญ่อย่างตนได้หมดเปลือก
แน่นอน สิ่งที่ลูกสาวเสนอมา เขาไม่สามารถโต้เถียง
ลูกสาวคนนี้ ยังไม่บรรลุนิติภาวะแท้ๆ แม้เคยดูแลเรื่องหลังบ้านอยู่ระยะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ตอนนี้ไม่รู้ไปเอาความคิดมาจากไหน
ถ้าพูดถึงรูปโฉม นางยังคงเป็นดอกไม้แรกแย้ม แต่ถ้ามองดูให้ดีๆ ดวงตาที่ใสกระจ่างดุจน้ำค้างในฤดูใบไม้ผลินั้น กลับคล้ายผู้ใหญ่ที่เคยผ่านประสบการณ์มายาวนาน
หลายปีมานี้ เขาได้แต่สนใจว่าหน้าที่การงานของตนจะราบรื่นหรือไม่ จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจลูกๆ เสียเท่าไหร่ กระทั่งลูกชายเพียงคนเดียว ก็ยังมอบให้ไป๋ฮูหยิน อาจารย์และเด็กรับใช้เป็นผู้จัดการดูแล นับประสาอะไรกับลูกสาว ก่อนหน้านี้ แม้รู้สึกว่าอุปนิสัยของลูกสาวเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร
ตอนนี้ไม่รู้ทำไม อวิ๋นเสวียนฉั่งกลับเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ในสายตาขึ้นมา
อายุน้อยขนาดนี้ แต่พลังอำนาจที่ซ่อนอยู่ภายใน ราวกับจวนรองเจ้ากรมเล็กๆ นี้จะเอานางไม่อยู่…
พลังเช่นนี้ ไม่เหมือนตนเอง ไม่เหมือนสวี่ฮูหยินภรรยาคนก่อน แต่กลับเหมือนคนผู้นั้น…
พอเถอะ อวิ๋นเสวียนฉั่งเก็บอารมณ์ความคิด พยักหน้า แล้วขยับลูกกระเดือก
“ในเมื่อท่านแม่บอกว่าดี ก็ทำตามความคิดของชิ่นเอ๋อร์แล้วกัน เรื่องต่อเติมห้องพระ ข้าจะบอกให้ไคไหลไปเรียกช่างมาออกแบบ แล้วรีบจัดการโดยเร็ว”
…….
ห้องเล็กข้างห้องบูชาบรรพชน
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้รับการชำระล้างร่างกายจนสะอาดสะอ้านนั่งหลังตรง จับมือมอมอคนหนึ่งไว้ ยังคงเหลือเชื่อ ดวงตาในเบ้าตาทอประกาย แล้วกะพริบปริบๆ ตื่นเต้นจนพูดจาสะเปะสะปะ
“ท่านพี่ให้อภัยข้าแล้วใช่ไหม ไม่มีเรื่องแล้วใช่ไหม ไม่หย่ากับข้าแล้ว ใช่หรือไม่ แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้ย้ายกลับเรือนหลัก”
จากนั้นก็หันไปสั่งอาเถาอย่างกระตือรือร้น “เร็วเข้า ไปเอากระจกมาหน่อย ข้าจะแต่งหน้า! เดี๋ยวเจอท่านพี่แบบนี้ จะทำอย่างไรดี”
อาเถากับมอมอหันมาสบตากัน ต่างคนต่างพูดไม่ออกจริงๆ ด้วยจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เห็นนายท่านบอกว่าจะให้ฮูหยินย้ายกลับไป และไม่ได้บอกว่าจะพบฮูหยิน
ขณะทั้งสองกำลังพยักพเยิดให้อีกฝ่ายเป็นคนพูด ประตูก็เปิดออก แสงส่องเข้ามา ทำให้ห้องน้อยที่มืดและแคบสว่างกว่าเดิม
ร่างเพรียวบางร่างหนึ่งสาวเท้าเข้ามา แล้วตรงไปหาไป๋เสวี่ยฮุ่ย สำรวจมองนางจากหัวจรดเท้าสักพัก ก็ย่อตัวลง สวมกอดนางไว้
หลายปีแล้วที่ไม่ได้พบหน้า ครั้งก่อนที่พบเจอกัน เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาหนิงซีฮ่องเต้ ฮองเฮาทรงพระเมตตา ผ่อนปรนให้ผู้มีตำแหน่งสูงในวังหลัง ได้พบปะกับญาติที่ประตูหวาชิง
ตอนนั้น พี่สาวกับพี่เขยเพิ่งรักกัน พอความสัมพันธ์ถูกเปิดเผย พี่เขยเกรงว่าจะไม่ธรรมกับพี่สาว จึงรีบรับนางเข้าเป็นอนุจวนรองเจ้ากรม ตั้งแต่นั้นมา เมียหลวงก็ถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว กลับกลายเป็นพี่สาวที่เป็นคนโปรดอันดับหนึ่งของพี่เขยแทน นางจึงมีความสุขมาก ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี สวยสดงดงามยิ่ง วันนั้นตอนได้เจอกันที่ประตูวัง ด้านหลังของพี่สาวยังมีบ่าวรับใช้ติดสอยห้อยตามมามากมาย เพื่อทำหน้าที่หามเกี้ยวขนาดใหญ่ ดูแล้วเหมือนอนุเสียที่ไหนกัน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า ตอนนั้นพี่สาวมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์พูนสุข!
ตอนนั้นสองพี่น้องต่างก็มีเรื่องสุขใจมาเล่าสู่กันฟังมากมาย สบายอกสบายใจไร้กังวล ที่หน้าประตูหวาชิง ทั้งสองจึงตั้งเป้าหมายในชีวิต คนหนึ่งบอกว่าจะสู้เพื่อให้ได้เลื่อนขึ้นแทนที่ตำแหน่งฮูหยินให้ได้ อีกคนบอกว่าจะสู้เพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงยิ่งๆ ขึ้นไป จนได้เป็นคนสนิทที่มีตำแหน่งสูงสุดในวังหลัง จากนั้นอีกหลายปี ทั้งสองก็ทำตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้
เดิมทีคิดว่า เมื่อวันเวลาดีๆ มาถึง ก็จะมีความมั่นคงในชีวิตเฉกเช่นอาคารที่มั่นคง โดยไม่คาดคิดมาก่อนว่าอาคารจะเอียงกระเท่เร่!
วันนี้พอได้เห็นกับตา ไป๋ซิ่วฮุ่ยจึงตกใจไม่หาย แก้มชมพูของพี่สาวหายไป เป็นเช่นดังหญิงสูงวัยที่เข้าสู่สภาวะโรยรา! แต่พี่สาวอายุเพียงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดเท่านั้น!
ไป๋ซิ่วฮุ่ยไม่รอให้บ่าวในจวนก้าวออกจากห้อง ก็เปล่งน้ำเสียงอันเศร้าสร้อยออกมา “ท่านพี่!”
หน้าประตู มีเสียงเข้มๆ ของหญิงสูงอายุดัง “ออกมาเร็ว!”
อาเถากับมอมอรู้เรื่องนี้ เพราะนายท่านเพิ่งบอกว่าเดี๋ยวจะมีแขกมา ทั้งสองจึงหันไปมองแวบหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเห็นว่าผู้มาเป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นๆ ด้านหลังดูสง่างาม มวยผมแบบสาวชาววัง สวมชุดกระโปรงรัดเอวสีน้ำทะเล ไม่เหมือนเสื้อผ้าแบบสาวชาวบ้านทั่วไป จึงพอจะเดาได้บ้าง แต่ก็ไม่กล้าถามมาก รีบก้าวออกจากห้องไป
หลี่มอมอแอบออกจากวังมาจวนรองเจ้ากรมเป็นเพื่อนหัวหน้าไป๋ ตอนนี้พอไล่บ่าวออกไปเรียบร้อย ก็พูดเสียงเบา “หัวหน้าไป๋ รีบหน่อยนะ อย่างมากครึ่งชั่วยามก็ต้องกลับวังแล้ว!”
ครั้งนี้ตนฉวยโอกาสช่วงออกมาซื้อของนอกวัง แล้วให้หัวหน้าไป๋แต่งตัวแบบสาวใช้ในวังตามออกมาด้วย ซึ่งผิดกฎระเบียบ ถ้าใครรู้เข้า ต้องถูกลงโทษ จึงต้องรีบกลับไปให้เร็วเป็นดีที่สุด
พอประตูปิด ห้องก็มืดลง
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้สติ พอเห็นว่าเป็นน้องสาว ก็กอดนางไว้พลางร้องไห้อย่างเจ็บปวดออกมา
ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ในลมฝนอันเศร้าโศก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินเพียงเสียงนิ่งเย็นดังเข้ามาในหู
“ท่านพี่ เรื่องยังไม่ถึงที่สุด ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ น้องอยากบอกท่านว่า ปล่อยวางสถานะก่อน แล้วรอโอกาสพลิกสถานการณ์”
…
ในห้องรับแขก
หลังหารือเสร็จ ถงฮูหยินที่สูญเสียพลังไปไม่น้อย อีกทั้งยังเคืองลูกชายอยู่นิดหน่อย ก็รู้สึกอ่อนเพลียมาก อวิ๋นหว่านชิ่นจึงพาท่านย่าไปส่งที่เรือนตะวันตก
แต่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ตัดสินใจเลี้ยว เพื่อไปยังห้องบูชาบรรพชน
พอเดินได้ครึ่งทาง ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไป เมี่ยวเอ๋อร์ก็รีบวิ่งเข้ามาหา แล้วป้องปากรายงาน
“คุณหนูใหญ่ หัวหน้าไป๋ที่อยู่ในวังมาแล้ว!”
ทว่าอวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันได้พูดอะไร ด้านหน้าก็มีคนเดินเข้ามา เป็นไป๋ซิ่วฮุ่ยที่เพิ่งเสร็จจากการเยี่ยมพี่สาวและกำลังเดินกลับวังทางเดิม
ทั้งสองกำลังจะเผชิญหน้ากัน
อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสายตาให้เมี่ยวเอ๋อร์หลบไปด้านหลัง ส่วนตนก็ยืนอยู่ที่เดิม
ชุดกระโปรงรัดเอวสีน้ำทะเล เป็นชุดที่สาวใช้ในวังใส่ออกนอกวังมาทำธุระ แม้นางไม่เคยเข้าวัง และไม่เคยมีเพื่อนเป็นสาวชาววัง แต่ชาติก่อนตอนอยู่ที่วัดเซียงกั๋ว ตนเคยเห็นผู้ติดตามด้านหลังโอรสสวรรค์แต่งกายแบบนี้ เหมือนกันทั้งแบบเสื้อและลายผ้า
รูปร่างหน้าตาและท่าทางไป๋ซิ่วฮุ่ย มีส่วนคล้ายไป๋เสวี่ยฮุ่ยอยู่เจ็ดแปดส่วน งดงาม ผอมเพรียว สูงโปร่ง เย็นชา เพียงอ่อนเยาว์กว่าบ้าง ความคิดความรู้สึกในแววตาลึกล้ำยิ่ง จนดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ มีบุคลิกที่สามารถกดดันคนจนหายใจไม่ออก
มิน่าเล่า เป็นเพราะการใช้ชีวิตในวังหลัง ยากลำบากกว่าอยู่ในบ้านมาก โดยเฉพาะ สาวใช้ที่สามารถปีน
ขึ้นมาได้สูงขนาดนี้ ง่ายเสียที่ไหน
แล้วไป๋ซิ่วฮุ่ยกับหลี่มอมอก็เดินมาถึง
แม้ไป๋ซิ่วฮุ่ยมิได้พินิจพิจารณาดู ก็พอจะรู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือใคร
เมื่อหลานของตนออกเรือน ไม่อยู่บ้านแล้ว ลักษณะการแต่งตัวเช่นนี้ เด็กสาวอายุเท่านี้ ทั้งจวนรองเจ้ากรม นอกจากลูกสาวคนโตที่ฮูหยินผู้ล่วงลับทิ้งไว้แล้ว ยังจะเป็นใครไปได้อีก
แต่พอเดินเข้าใกล้ ไป๋ซิ่วฮุ่ยกลับเอะใจอย่างอดไม่ได้
แม้นางเคยเห็นคนสวยมามากจนชิน แต่บุคลิกของเด็กสาวตรงหน้า ยังคงทำให้นางอดไม่ได้ที่จะชะลอฝีเท้า แล้วพิจารณาดูใหม่
ตอนที่ 75-5 พกยาพิษติดตัว
พระราชฐานชั้นในหรือวังหลังนั้น มีสาวงามนับไม่ถ้วน ยังไม่ต้องพูดถึงพระสนมนางกำนัล เอาแค่นางในสาวใช้ที่หน้าตาสะสวย ก็มีอยู่ไม่น้อย และเพราะเห็นคนสวยสะพรั่ง สวยสะดุดตามามาก ไป๋ซิ่วฮุ่ยจึงไม่สนใจสาวงาม นางเห็นมามากจริงๆ จนรู้สึกว่าพวกนางสวยพร่างพราวเกินไป และแปดถึงเก้าในสิบส่วนก็ร่วงโรยก่อนวัยอันควร
ความสวยของผู้หญิง ทางที่ดีที่สุดควรเป็นเหมือนน้ำหวานของดอกไม้ที่หอมหวานและเข้มข้น ไหลออกมาทีละนิด เลือกที่จะปล่อยความหอมที่ทำให้คนเอะใจก่อน จากนั้นค่อยปล่อยน้ำหอมออกมา ค่อยๆ แสดงให้เห็นบุคลิกและความสามารถ ค่อยๆ มัดใจคน ดังนั้นดอกไม้แรกแย้มที่ยังบานไม่หมด เฉกเช่นเด็กสาวที่ค่อยๆ เผยให้เห็นบุคลิกตรงหน้า กลับทำให้นางสนใจมากกว่า
เด็กสาวรูปร่างไม่สูง ยังคงมีลักษณะของเด็กอยู่ หน้าอกเล็ก เพิ่งจะนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด หน้าตาก็ใสๆ เหมือนดอกโบตั๋นตูมที่ยังไม่บาน น้ำใสในดวงตาดุจน้ำทะเล คิ้วดกดุจภูเขา ทั้งหมดอยู่บนใบหน้ารูปไข่ที่ขาวเนียนดุจหยก ริมฝีปากแดงเล็กน้อย ดุจผลอ่อนเชอร์รี่ จมูกเป็นสันดุจหน่อไม้อ่อน แต่งตัวอยู่กับบ้านแบบสบายๆ สวมเสื้อเอวลอยคอตั้งสีแดงเข้มลายผีเสื้อและดอกไม้สีขาว กับกระโปรงทอลายสีเงิน มวยผมปกติ ไม่มีเครื่องประดับเงินหรือทอง เพียงปักดอกชบาดอกเล็กๆ ไว้ด้านหน้า ยืนตรงสง่า น่ารักดุจเม็ดบัว
ความงามและความเรียบง่ายที่ผสมผสานอยู่ในตัวเด็กสาว ทำให้ไป๋ซิ่วฮุ่ยที่งามเปล่งปลั่งและมีจริตแบบผู้ใหญ่มองไม่วางตา
แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องหยุดฝีเท้า นอกจากบุคลิกของเด็กสาวแล้ว ยังมีแววตาขณะมองตนที่ไม่หยิ่งและไม่นอบน้อมจนเกินไป คล้ายรู้สถานะตน แต่ไม่กลัว ไม่ลนลาน และไม่หยิ่งยโส…สายตาสงบนิ่ง แฝงความนัยอันลึกล้ำ รวมทั้งแววตาเช่นนี้ ตนคล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เป็นไปไม่ได้…ไป๋ซิ่วฮุ่ยรวบรวมสติ
ตนเพิ่งพบหน้านางเป็นครั้งแรก จะเคยเห็นคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นได้อย่างไร
อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ท่านพี่ร้องไห้ฟูมฟายว่าอวิ๋นหว่านชิ่นมีส่วนทำให้กลายสภาพเป็นเช่นนี้ ตนจึงอดไม่ได้ที่จะหยุดพินิจพิเคราะห์
ไปซิ่วฮุ่ยรู้สึกเสมอมาว่า ในใต้หล้านอกจากฮ่องเต้กับฮองเฮาแล้ว ตนไม่เคยตื่นเต้นเวลาพบใครมาก่อน แต่ไม่รู้ทำไม ตอนนี้กลับถูกดวงตาคู่นี้จ้องมองจนใจลอย จึงเอ่ยปากขึ้น
“เจ้าคือคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นสินะ”
แล้วน้ำเสียงที่ค่อนข้างหยิ่งของหลี่มอมอก็ดังมา “ท่านนี้คือหัวหน้าไป๋”
อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวไปข้างหน้าเบาๆ พลางใช้มือม้วนเส้นผมที่ปล่อยยาวลงมาด้านข้างเล่น ท่าทางแบบเด็กบ้านๆ ก่อนยิ้มแล้วตอบรับตามมารยาท “อ้อ หัวหน้าไป๋”
พอไป๋ซิ่วฮุ่ยเห็นนางไม่แม้แต่จะแสดงความเคารพ ก็พลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่สาวถึงได้บอกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นนางมารน้อย ตอนนั้นนางยังดูแคลนว่า กะอีแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จะเป็นนางมารได้อย่างไรกัน ที่พี่สาวต้องตกต่ำ เป็นเพราะมักง่าย ไม่ระวังตัวเอง ตอนนี้พอมาเห็น ค่อยรู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น
“คุณหนูอวิ๋น ท่านนี้คือหัวหน้าไป๋แห่งวังหลัง” หลี่มอมอเห็นสีหน้าไป๋ซิ่วฮุ่ยไม่สู้ดี ก็มองอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยดวงตาอันลึกล้ำ บอกใบ้ให้นางแสดงความเคารพ “เป็นคนสนิทข้างกายฮองเฮา”
อวิ่นหว่านชิ่นกะพริบตา ทำท่ามึนงง ใบหน้าคล้ายมีคำว่า “แล้วไงต่อ”
หลี่มอมอพูดไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงแค่นเสียงไม่พอใจ แล้วว่า
“และเป็นน้องสาวของฮูหยิน ถือว่าเป็นท่านอาของเจ้า!”
อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยยิ้มน้อยๆ ก่อนเล่นตลกต่อ ด้วยการบิดนิ้วมือไปมา พลางว่า
“ไป๋ฮูหยินทำผิดกฎบ้านและกฎหมาย กำลังถูกท่านย่ากับท่านพ่อขังไว้ในห้องบูชาบรรพชน เหมือนจะเขียนหนังสือหย่าแล้วด้วย ข้าต้องทำตามกฎบ้าน จึงไม่กล้าคิดว่านางเป็นแม่ มิฉะนั้นอาจถูกหาว่าร่วมมือกับนางทำผิดกฎบ้าน เมื่อข้าไม่มีท่านแม่แล้ว จะมีท่านอางอกออกมาได้อย่างไรกัน”
“เจ้า…” หลี่มอมอชี้หน้าอวิ๋นหว่านชิ่น
ท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ บวกกับคำพูดที่ไม่มีทางตำหนิ ไป๋ซิ่วฮุ่ยจึงไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี เด็กนี่ อาจมิได้ทำท่าทางเช่นนี้กับพี่สาว ส่วนพี่เขยกับท่านย่า ก็อาจเป็นอีกแบบ ตอนนี้ตนนับว่าเชื่อพี่สาวแล้ว เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกจริงๆ!
ไป๋ซิ่วฮุ่ยหัวเราะเย็นชา แล้วว่า “แม่นางน้อย อย่านึกว่าอยู่ในบ้านตีลังกาได้ทีสองที ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นปลาหลีฮื้อ กระโดดข้ามประตูมังกรได้แล้ว”
พูดเสียลึกซึ้งขนาดนี้ คิดว่าจะข่มคนที่ไม่เคยเข้าวังได้หรือ อวิ๋นหว่านชิ่นพลันก้าวเข้าหาไป๋ซิ่วฮุ่ยสองก้าว เอียงศีรษะเล็กน้อย เห็นแก้มชมพูที่ยังคงความน่ารักแบบเด็กๆ ก่อนส่งเสียงหัวเราะดุจระฆังเงินออกมา
“ข้ารู้แต่เพียงว่า ต่อให้ปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกรไปได้ ก็อาจถูกปลาใหญ่กินได้ทุกเมื่อ ในวังคลื่นลมแรง หัวหน้าไป๋ควรดูแลตัวเองให้ดี ดอกไม้ใช่ว่าจะหอมได้ตลอด คนใช่ว่าจะสบายได้ตลอด ช่วงสงบสุขก็ควรสวดมนต์ให้มาก หวังว่าท่านจะปกป้องไป๋ฮูหยินได้ตลอดไป!”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น แล้วหรี่ตาลง เด็กสาวกำลังสาปแช่งว่าตนอาจอยู่ในวังได้ไม่นาน จึงมองกลับด้วยสายตาดุจคมมีด “เด็กน้อย เจ้าก็ควรจะดีใจนะว่า ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่ในวัง”
แล้วจึงสะบัดแขนเสื้อ กำลังจะเดินจาก แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับดึงแขนเสื้อนางไว้
“เอ๋ หัวหน้าไป๋จะไปแล้วหรือ เป็นเพราะออกนอกวังเป็นการส่วนตัวใช่ไหม ถึงต้องรีบกลับไป มิเช่นนั้นถ้าถูกพบเห็นจะถูกลงโทษ? เช่นนั้นระหว่างทางก็ต้องระวังหน่อย อย่าให้ใครพบเห็นจนไปบอกเจ้านายได้ล่ะ!”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยรู้สึกเคือง จึงออกแรงสลัดแขนเสื้อที่ถูกดึงออก แค่นเสียงเย็นชา แล้วเดินนำหน้าหลี่มอมอ ก้าวออกจากซุ้มประตูไป
ชูซย่าที่ยืนอยู่หลังซุ้มประตูมองตามหัวหน้าไป๋ไปสักพัก แล้วรีบก้าวเข้ามา หัวเราะแล้วว่า
“คุณหนูเจ้าคะ ถึงคนในวังร้ายกาจอย่างไร ก็ข่มคุณหนูไม่ได้” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดเล็กน้อย แล้วพูดต่อ
อย่างกังวลใจ “แต่ นางจะเกลียดคุณหนูฝังใจ แล้วแก้แค้นนี่สิ ครั้งก่อนก็คุณหนูรอง ครั้งนี้ยังเป็นฮูหยินอีก บ่าวเห็นพอดีว่า นางน่ะเดินกร่าง แบบเจ้าแม่ในวังที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเชียว”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มน้อยๆ “ต่อให้เกลียดฝังใจ ก็เกลียดตั้งแต่เกิดเรื่องกับพี่สาวนางแล้ว จะมาเกลียดที่ข้าค่อนขอดนางหรือ เจ้าวางใจ สาวใช้คนโปรดที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ ไม่มีทางเป็นคนโปรดได้ตลอดไปหรอก นี่เป็นกฏที่ใครๆ ก็ไม่สามารถหลีกหนีพ้น ผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาผู้อื่น พึ่งพาไม่ได้เป็นที่สุด เพราะพอที่พึ่งล้ม คนผู้นี้ก็ต้องล้มตาม ชูซย่า นางเบ่งได้ไม่นานหรอก”
พูดถึงตรงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยิ้มค้าง ถอนหายใจเบาๆ ออกมา ถ้าเป็นไปตามชาติที่แล้ว รัชสมัยของหนิงซีฮ่องเต้กำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่ปี…และเจี่ยงฮองเฮาก็ดูเหมือนจะสวรรคตขณะที่หนิงซีฮ่องเต้ยังอยู่ในบัลลังก์
แม้นางไม่รู้รายละเอียด แต่กลับรู้ว่า ถ้าไม่มีเจ้านายแล้ว ไป๋ซิ่วฮุ่ยยังจะไต่ไปถึงไหนได้!
เมื่อชูซย่าเห็นคุณหนูดูมั่นใจมาก ไม่กลัวหัวหน้าไป๋นั่นแม้แต่น้อย จึงไม่คิดมากอีก แต่ความคิดบางอย่างพลันวาบขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวเห็นท่านดึงแขนเสื้อหัวหน้าไป๋ไว้ เหมือนใส่อะไรเข้าไป คืออะไรหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกะพริบตาปริบๆ “เมื่อเช้าตอนทำสมุนไพรในห้อง มีสมุนไพรบางอย่างติดกระเป๋าข้ามา ถือว่าเป็นของขวัญแรกพบก็แล้วกัน ให้หัวหน้าไป๋พกของติดตัวเข้าวังนิดหน่อย”
ชูซย่าอึ้ง “คือ…คือสมุนไพรอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร ดอกลำโพงไม่กี่ดอกเอง” อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ
ดอกไม้ชนิดนี้พบเห็นน้อยมากในเมืองหลวง บ้านสวนโย่วเสียนเดิมทีก็ไม่ได้ปลูก แต่พอดีหลายวันก่อน ญาติคนหนึ่งที่บ้านสวนมีบ่าวรับใช้ที่เพิ่งกลับจากบ้านเกิดทางตะวันตกเฉียงใต้ แล้วเอาเมล็ดพันธุ์ดอกไม้หลายชนิดมาฝาก หูต้าชวนจึงลองเอามาปลูกในกระถางเล็กๆ ไม่กี่ชนิด พอนางรู้ ก็บอกให้คนนำติดมาให้นิดหน่อย
ชูซย่าอ้าปากค้าง นางติดตามคุณหนูมานาน จนเข้าใจความรู้ลึกๆ เกี่ยวกับดอกไม้ไม่น้อย นับประสาอะไรกับดอกลำโพงอันเลื่องชื่อที่ชาวบ้านร้านตลาดยังรู้จัก
ดอกลำโพงนั้น ถ้าเอาแกน เกสร และก้านดอกออก เอาแต่กลีบดอกบดเป็นผง เติมน้ำให้เจือจาง ผสมเพียงเล็กน้อยลงในสมุนไพรเกี่ยวกับความงาม สามารถเพิ่มความขาวให้กับผิวได้โดยไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งคุณหนูมักใช้เป็นหนึ่งในส่วนผสมของสูตรเครื่องสำอาง
แต่ถ้าใช้ทั้งดอก ก็คือยาพิษดีๆ นี่เอง และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ดอกไม้ชนิดนี้เลื่องชื่อระบือไกล
โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่คือเศรษฐีเจ้าสำราญในต้าเซวียน ที่มักฝากคนจากตะวันตกเฉียงใต้ซื้อผงชนิดหนึ่ง เอามาสูบกับกล้องยาสูบ แล้วจะออกฤทธิ์แรงกว่าผงห้าศิลา ซึ่งถ้าเสพติดก็ยากที่จะเลิก ต้องเสพไปตลอดชีวิต
ผงเสพติดชนิดนี้ ส่วนใหญ่กลั่นมาจากดอกลำโพง
และวังหลังก็เป็นสถานที่ต้องห้าม จะอนุญาตให้ดอกไม้พิษเช่นนี้ปรากฏได้อย่างไร
ถ้าหัวหน้าไป๋พกของมีพิษเข้าวัง ก็ได้แต่ขอให้นางโชคดี สามารถพบและทำลายมันได้ก่อน เพราะถ้าไม่
ทันระวัง ถูกคนนอกพบเข้า…ต่อให้เป็นบ่าวคนสนิทข้างกายฮองเฮา ก็ต้องถูกลงโทษแน่
อีกทั้งนางยังออกนอกวังเป็นการส่วนตัว ย่อมไม่กล้าอธิบายอะไร คงได้แต่ฝืนทน กลืนความจริงลงท้อง พูดไม่ได้ว่าถูกคนให้ร้าย
ชูซย่าสูดลมหายใจเข้าปอด
ตอนที่ 76-1 เลือกอนุ
วันรุ่งขึ้น อวิ๋นเสวียนฉั่งก็เชิญช่างก่อสร้างมาที่จวน
หลังห้องบูชาบรรพชนมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีเรือนว่างอยู่เรือนหนึ่งพอดี หนึ่งห้องโถงหนึ่งห้องนอน พ่วงด้วยห้องเล็กๆ กับห้องครัวเตี้ยๆ ที่มีคราบเขม่าควันติดผนัง จึงไม่จำเป็นต้องต่อเติมอะไรอีก คงโครงสร้างเดิมแล้วตกแต่งเพิ่ม เปลี่ยนประตูหน้าต่าง ทาสี ทำความสะอาด แล้วนำพระพุทธรูปกับรูปปั้นเทพเจ้ามาวาง ปูที่นอนหมอนมุ้ง คนก็ย้ายเข้าอยู่ได้ทันที
ตอนถงฮูหยินส่งคนไปบอกไป๋เสวี่ยฮุ่ย ว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งจัดการให้นางอยู่อย่างไรนั้น นางก็หน้าซีดตัวสั่นทันที ด้วยนึกมาตลอดว่า พอหัวหน้าไป๋เข้ามาจัดการ ตนก็จะพ้นโทษ ไหนเลยจะคิดว่ายังต้องถูกลงโทษต่อ ด้วยการกักบริเวณไว้ในจวนอีกรูปแบบหนึ่ง โดยคงสถานะฮูหยินไว้แค่ชื่อ
ซึ่งตนยังจะทำอะไรได้อีก อย่างไรก็ยังดีกว่าถูกไล่ออกจากบ้านสกุลอวิ๋น อย่างน้อยก็ยังรักษาตำแหน่งฮูหยินรองเจ้ากรมไว้ได้ วันนั้นน้องสาวก็บอกแล้วว่า ‘ให้ปล่อยวางสถานะ แล้วรอโอกาสพลิกสถานการณ์’ คำพูดนี้เสมือนคำพูดปลุกใจ เสมือนเสียงกลองศึกในหัวของไป๋เสวี่ยฮุ่ย น้องสาวรับใช้ผู้สูงศักดิ์ในวังมานาน ย่อมระวังตัวมากในการก้าวเดินแต่ละก้าว รู้จักเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจมากกว่าตนเอง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงเชื่อนางหมดใจ พอคิดได้เช่นนี้ หนทางที่มืดแปดด้าน ก็คล้ายเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ตรงหน้า มีความหวังอยู่บ้าง จึงเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนสีหน้าจากใบหน้าเล็กๆ ที่ซีดขาว เป็นสดใสและอ่อนโยนสุดๆ พร้อมเสียงละมุนละไม คล้ายเปลวเทียนในสายลม
“รบกวนช่วยบอกท่านแม่ด้วยว่า สะใภ้รับทราบแล้ว”
พอมอมอผู้มาแจ้งข่าวเห็นปฏิกิริยาของไป๋ฮูหยิน ก็ตกใจ ฮูหยินเปลี่ยนนิสัยแล้ว ไม่ร้องไห้โวยวาย ไม่บ่นไม่ว่า ยิ่งไม่แตกตื่นขวัญเสีย จึงประสานมือ
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นช่วงบ่าย ข้าจะให้อาเถาย้ายเข้าไปพร้อมฮูหยิน โดยมีอาหารการกินและข้าวของเครื่องใช้ได้ จัดเตรียมไว้ให้แล้ว” ชะงักเล็กน้อย ตาชราเจ้าเล่ห์กลอกไปมา ก่อนพูดเป็นนัย “ภายในเรือนจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อย ไม่ขาดไม่เกิน แต่ถ้ามีปัญหาอะไร ฮูหยินก็บอกอาเถาตรงๆ อาเถาจะจัดการให้ ผู้อาวุโสย้ำว่า ฮูหยินต้องกินเจสวดมนต์ ไม่ให้ใครเข้าเยี่ยมคารวะ ปกติถ้าไม่มีเรื่องอะไร ก็ไม่ควรออกจากเรือน รวมทั้งวันงานประเพณีด้วย”
นี่คือการกักขังให้ตายทั้งเป็น
แม้คำพูดแต่ละคำของมอมอที่อยู่ตรงหน้าเรียกตนว่าฮูหยิน แต่เห็นชัดว่าน้ำเสียงและท่าทางได้ถือว่าตนเป็นคนนอกคนหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ในจวนสกุลอวิ๋นไปแล้ว
หัวใจไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหมือนถูกกรีดจนเลือดไหลซิบๆ แต่ใบหน้ากลับยิ่งอ่อนโยนและอ่อนน้อม หลุบตาลงพลางว่า “ได้สิ มอมอ”
บ่ายวันนั้น ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ได้ย้ายเข้าไปในเรือนหลังห้องบูชาบรรพชน เริ่มใช้ชีวิตสวดมนต์ไหว้พระและอยู่
อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ชูซย่าเคยมาเยี่ยมๆ มองๆ เรือนหลังนี้ แม้ผ่านการตกแต่งแล้ว แต่ก็ยังมีหญ้าขึ้นรกอยู่รอบๆ ผนังเสียหายบางส่วน เนื่องจากอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่เย็นและชื้น ปกติไม่มีใครเข้ามา แม้ก่อนมา อาเถาได้ทำความสะอาดแล้ว แต่งูเงี้ยวเขี้ยวขอ หนู มดและแมลงต่างๆ ก็ยังชุมอยู่ อย่าว่าแต่ผู้ที่เคยอยู่หรูหรามาก่อนอย่างฮูหยินเลย สาวชาวบ้านธรรมดามาเห็นก็ยังขนลุกขนพอง
ชูซย่ากลับมารายงานอวิ๋นหว่านชิ่นว่า ช่วงหัววัน อาเถาทำงานอยู่ในจวน ตกกลางคืนถึงจะแวะเข้าไป ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงอยู่ตัวคนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่ที่รกร้างแบบนั้น ต่อให้อยากเนรมิตให้มีชีวิตชีวา ก็มิได้ใช้เวลาแค่วันสองวัน
มอมอกลับไปรายงานสถานการณ์กับผู้อาวุโสที่เรือนตะวันตก โดยเล่าปฏิกิริยาของไป๋เสวี่ยฮุ่ยให้ฟังอย่างละเอียด ถงฮูหยินฟังแล้วก็เพียงหัวเราะเย็นชา
“นับว่ายังมีความอับอายอยู่บ้าง ครั้งนี้ถึงไม่ร้องไห้วิงวอนอีก แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่า แบบนี้ปรานีนางเกินไป อย่างน้อยนางก็ยังมีกิน มีใช้ มีที่ซุกหัวนอน ถ้ามิใช่เห็นแก่…เฮอะ…รอลูกข้าได้ตำแหน่งให้แน่นอนก่อน…” ประโยคสุดท้ายนางก็ไม่พูดแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนี้ อยู่ในเรือนตะวันตกเช่นกัน
หลายวันมานี้ นางกับถงฮูหยินสนิทกันมากขึ้น โดยเริ่มแรกนางเห็นแก่ตัวอยู่บ้างที่จงใจล่อหลอกให้ท่านย่ามา เพราะต้องการฉีกหน้ากากไป๋เสวี่ยฮุ่ย ด้วยเห็นว่าถ้าในบ้านมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน โดยเฉพาะผู้อาวุโสที่ไม่ประนีประนอม อาจทำลายดุลอำนาจหลังบ้านของไป๋ฮูหยินลงได้
ตอนท่านย่าเพิ่งมาถึงบ้านสกุลอวิ๋นนั้น นางรู้สึกค่อนข้างเหินห่างกับท่านย่า แต่หลายวันมานี้ นางกลับรู้สึกว่าท่านย่ามีแง่มุมที่น่าทึ่งอยู่มาก มีจุดยืนของตัวเองและมีจิตใจเที่ยงธรรมแบบที่คนในเมืองไม่ค่อยมีกัน นางจึงมักมาที่เรือนตะวันตก มาพะเน้าพะนอท่านย่า
ซึ่งสำหรับอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว การพะเน้าพะนอเช่นนี้ มิใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด เมื่อชอบใจใคร นางก็อยากทำอะไรให้จากใจจริง บางครั้งก็ดึงเสื้อท่านย่า ล้อท่านย่าเล่น ทำตัวน่ารักกระจุกกระจิก อะไรก็ล้วนทำได้หมด วันนี้ยังนำยาแช่เท้ามาให้โดยเฉพาะ บอกว่าตั้งแต่ท่านย่าเริ่มปวดข้อเข่า นางก็ลงมือทำแล้ว และวันนี้สบโอกาส ได้นำมาให้ท่านย่าใช้รักษาเข่าที่ปวดพอดี
เดิมทีถงฮูหยินไม่เชื่อ เพราะดูไปแล้วสมุนไพรหลากสี น่าจะแค่ดูสวยสะดุดตามากกว่า แต่ก็รู้สึกชื่นใจในความกตัญญูของหลานอย่างบอกไม่ถูก จึงรับไว้
ตอนมอมอมาแจ้งข่าวเรื่องไป๋เสวี่ยฮุ่ย อวิ๋นหว่านชิ่นก็อยู่ในห้องด้วย กำลังนั่งอยู่ข้างเตียง เล่นกับอาชิง ป้อนส้มที่แกะแล้วให้อาซิงกินทีละกลีบ พอได้ยิน ก็ยิ้มตาหยี โน้มตัวไปยัดส้มหนึ่งกลีบใส่ปากท่านย่า
“ท่านย่าลองชิมดู หวานใช่ไหม”
ถงฮูหยินรู้ว่าหลานสาวพยายามเบี่ยงเบนประเด็นสนทนา เพื่อไม่ให้ตนต้องเสียอารมณ์อีก จึงกัดส้มไป
สองที ความเปรี้ยวหวานที่กลมกล่อมของน้ำส้มซึมซาบเข้าสู่ลิ้น ไหลลงไปในลำคอ ทำให้ชื่นฉ่ำใจ พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มหน้าบาน ก็สะกิดเรื่องที่อยู่ในใจให้อดคิดไม่ได้ จึงยิ้มพลางว่า
“ยังคงเป็นชิ่นเอ๋อร์ที่รู้ใจคนแก่เป็นที่สุด คุณชายรองมู่หรงนั่นดูคนไม่เป็นจริงๆ ข้าชักอยากรู้แล้วว่า ต่อไปใครกันหนอ จะได้เป็นผู้โชคดีที่ได้แต่งกับชิ่นเอ๋อร์ของข้า”
เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากหน้าแดง แต่เมื่อผู้อาวุโสของบ้านถามถึงเรื่องเนื้อคู่ สาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนถ้าไม่หน้าแดง ก็จะดูแปลกประหลาดไป จึงก้มหน้าลง หัวเราะ
ถงฮูหยินก็หัวเราะ “อายหรือ เอาล่ะๆ ย่าไม่พูดแล้ว ไม่ได้การ ย่ายิ่งมองดูเจ้า ก็ยิ่งเห็นอาการหน้าแดงเพราะใจเต้นแรงของเจ้า รอให้พ่อเจ้าจัดการเรื่องยุ่งๆ นี่ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ย่าจะทำการเลือกคู่หมั้นให้เจ้า!”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเงยหน้าขึ้น “ท่านย่า หลานไม่รีบ ข้อแรก ที่บ้านเพิ่งเกิดเรื่องมากมาย ท่านพ่อก็กำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ต้องยุ่งมากๆ ข้อสอง หลานอายุยังน้อย ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องรีบคว้าใครมาแต่งงานด้วย”
ถงฮูหยินสั่นศีรษะ “อะไรไม่รีบ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผู้หญิงเราก็ช่วงนี้ล่ะ สดใสอย่างนี้ถ้าไม่รีบหมั้น จะรอให้เหลืองก่อนค่อยหมั้นหรือ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ต้องโกรธย่ากับพ่อเจ้าแน่! พูดก็พูดเถอะ ตอนนี้ก็ได้แต่ให้เจ้าดูไปก่อน ถ้าเจอคนดีๆ ค่อยดำเนินการตามขั้นตอน ไม่ได้บอกให้เจ้ารีบแต่งสักหน่อย! แต่จะว่าไป อายุเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว เฟยเอ๋อร์ที่ไม่เก่งนั่น อายุน้อยกว่าเจ้า ยังออกเรือนไปแล้ว ข้าถึงบอกว่าเจ้าอายุไม่น้อยไง!”
อวิ๋นหว่านเฟยนั่นทำตัวเอง เพราะกลัวว่าจะแต่งกับคนที่ไม่สูงส่งพอ จึงพยายามปีนป่าย สุดท้ายหมดหนทาง จนต้องยัดเยียดให้เขาไป แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่รีบร้อนสักนิด ยังคงความคิดเดิม ไม่ว่อกแว่ก ยอมไม่มี ดีกว่ามีแล้วไม่ได้คุณภาพ ถ้าได้ไม่ดี ยอมไม่เอา ถ้างานแต่งงานในอนาคตของตนเป็นเช่นดังชาติที่แล้ว เช่นนั้น ที่ตนเกิดใหม่ในครั้งนี้ จะมีความหมายอะไร
เมื่อถงฮูหยินเห็นหลานสาวไม่พูดไม่จา จากประสบการณ์ ทำให้นึกเอะใจ จึงถามด้วยความสงสัย
“ชิ่นเอ๋อร์จ๊ะ หรือเจ้ามีใครอยู่ในใจแล้ว”
เด็กสาวในวัยนี้ ตกหลุมรักง่าย แม้คุณหนูในเมืองต้องอยู่ในกฎเกณฑ์มากมาย ไม่เหมือนเด็กสาวในชนบทของไท่โจว ที่อยู่นอกบ้านทั้งวัน แต่ก็น่าจะมีโอกาสได้เจอหนุ่มๆ บ้าง ยิ่งหลานสาวเป็นคนเก่ง การพูดและการกระทำไม่เหมือนเด็กๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้านางจะดึงดูดใจผู้ชาย
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบสั่นศีรษะ “ท่านย่าพูดอะไรก็ไม่รู้ หลานจะไปรู้จักกับใครในใจอะไรนั่นได้อย่างไรกัน”
ถงฮูหยินเห็นสีหน้านางจริงจัง ไม่เหมือนกำลังพูดปด จึงถอนหายใจพลางพยักหน้า
“ก็ใช่ ใช่ว่าใครต่อใครจะเป็นเหมือนเฟยเอ๋อร์ของเรา ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ยั่วยวนผู้ชายก่อนแต่ง กระทั่งเรื่องแบบนั้นยังทำไปได้ เฮ้อ…”
พอได้ยินคำว่า ‘เรื่องแบบนั้น’ ในใจอวิ๋นหว่านชิ่นก็คล้ายถูกสะกิด หัวสมองวาบ ปรากฏภาพตนเองตอนอยู่บนรถม้ายามค่ำคืนในหมู่บ้านสกุลเกา…จึงใจลอยไปบ้าง แต่นี่จะกล่าวโทษตนไม่ได้ ต้องโทษคนผู้นั้น ที่เมาแล้วขาดสติ
ตอนที่ 76-2 เลือกอนุ
และในตอนนี้เอง บ่าวก็ยกน้ำร้อนมาหนึ่งถังไม้ อวิ๋นหว่านชิ่นถูกขัดจังหวะพอดี จึงรีบลุกขึ้น นำยาแช่เท้าที่ทำใส่ถุงไว้ เทลงไปในน้ำร้อน แล้วใช้มือคน ไอร้อนลอยออกมาจากถังไม้ สมุนไพรลอยและจมลงไปในน้ำ แล้วค่อยๆ กระจายตัวออก จนไอสีขาวส่งกลิ่นหอมหวานที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่งออกมา
รองเท้าของถงฮูหยินถูกถอดออกเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจับเบาๆ เข้าที่เท้าซึ่งกรำงานหนักมาหลายปีแล้ววางลงในถังไม้สักที่สูงราวหนึ่งศอก
สักพัก ไอร้อนจากใต้ฝ่าเท้าของถงฮูหยินก็ค่อยๆ ระเหยขึ้น ถงฮูหยินเพียงรู้สึกว่าเส้นเอ็นช่วงขาคลายตัวตามปกติ ไม่แข็งแบบเมื่อครู่อีก อาการปวดแปลบก็ลดน้อยลง นึกถึงช่วงแรกๆ ที่เริ่มมีอาการปวดเข่า นางไม่สนใจ จนกลายเป็นปวดเรื้อรังนานหลายปี สมุนไพรในหมู่บ้านมีมากมายและหลากหลายกว่าในเมือง นางใช้มาหมดแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ตอนนี้หลานสาวก็นำสมุนไพรมาให้ลองอีก จะใช้ได้ผลหรือ
แต่ตอนนี้พอเส้นเอ็นคลายตัว ถงฮูหยินก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ชิ่นเอ๋อร์ สมุนไพรเหล่านี้มีอะไรบ้าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นจากไอสีขาว เห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้ารูปไข่ ยิ้มพลางว่า
“จริงๆ แล้วจะเรียกสมุนไพร ก็ไม่เชิง”
“หา? แล้วมันคืออะไร” ถงฮูหยินเอียงตัวใช้เท้ากวนน้ำร้อนไปมา แล้วก้มลงดูดีๆ เห็นเพียงส่วนประกอบบางอย่างคล้ายดอกไม้ แต่อย่างอื่นนางก็ไม่แน่ใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “เป็นยาตำรับหนึ่งใน ตำรายาฝูโซ่ว ประกอบด้วยใบต้นเทียนบ้าน เมล็ดสนแผง เกลือของกรดกำมะถัน และมะละกอ ต้มรวมกันจนได้สารสกัดเข้มข้น แล้วนำมาเทลงในน้ำร้อน แบบที่ท่านย่าใช้แช่เท้าอยู่นี้ วิธีแม้ทำได้ง่าย วัตถุดิบก็หาได้ทั่วไป แต่ได้ผลชะงัดนัก ท่านย่าต้องลองดู”
ถงฮูหยินไม่รู้หรอกว่าตำรายาฝูโซ่วคืออะไร แต่พอได้ยินคำว่า เทียนบ้าน มะละกออะไรนี่ ก็รู้สึกแปลกใจ ชื่อเหล่านี้ไม่เหมือนชื่อสมุนไพรรักษาโรคเลย แล้วยังปนเปกันเปะปะ เดี๋ยวก็ดอกไม้ เดี๋ยวก็ผลไม้…จึงหลุดหัวเราะออกมา
“ดอกไม้ก็รักษาโรคไขข้อได้หรือ เจ้าอย่ามาหลอกคนบ้านนอกอย่างย่าเชียว เอาเถอะๆ ยาแช่เท้านี่ใช้แล้วก็รู้สึกสบายขึ้นจริงๆ ถึงหลอก ย่าก็ยอมให้หลอก!”
ดอกเทียนบ้านมีสรรพคุณเช่นนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้อวิ๋นหว่านชิ่นมักใช้เป็นส่วนผสมของยาทาเล็บ ต่อมาค่อยพบว่าสารสกัดจากดอกเทียนบ้าน นอกจากนำมาทาให้เล็บมีสีสันได้แล้ว จากหลักฐานและข้อมูลมากมายยังพบว่า ต้นเทียนบ้านมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซิ่วกู่เฉ่า ซึ่งความหมายตามชื่อก็คือ สมุนไพรรักษาอาการปวดจากไขข้อกระดูกเสื่อม ดังนั้นต้นเทียนบ้านจึงมิใช่พืชที่มีไว้ใช้เสริมความงามเพียงอย่างเดียว
ทว่าอวิ๋นหว่านชิ่นก็มิได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ด้วยเห็นว่าหญิงชราไม่น่าจะอยากฟัง จึงได้แต่ยิ้มแล้วว่า
“เมื่อใช้แล้วสบายขึ้น ท่านย่าก็ต้องใช้ทุกวัน เช้าครั้ง เย็นครั้ง ต่อให้ไม่ได้ผล การแช่เท้าก็มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษอะไร”
ถงฮูหยินยิ้มพลางรับยาแช่เท้าไว้ แล้วหันไปบอกให้สาวนำไปเก็บไว้ให้ดี
พอแช่เท้าเรียบร้อย ถงฮูหยินเพิ่งใส่รองเท้าเสร็จ หวงน้าสี่ก็เลิกม่านขึ้น แล้วเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่ด้วย จึงยิ้มทักทาย แล้วนั่งลงข้างหญิงชรา ก่อนพูดเสียงเบา
“ท่านแม่ ข้าติดต่อป้าหลิวที่สมาคมม้าผอมได้แล้ว นางบอกว่าเราสามารถไปหานางที่สมาคม ได้ทุกเมื่อ”
สมาคมม้าผอม? ที่ที่ขายอนุกับนางบำเรอหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นหูผึ่ง ชำเลืองมองท่านย่า
พอถงฮูหยินเห็นว่าหลานสาวได้ยิน ก็ไม่คิดปิดบังอีก เล่าเจตนารมณ์ของตนให้ฟังตรงๆ
“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าดูสิ หลังบ้านพ่อเจ้าเดิมทีก็ไม่ค่อยมีใครอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นกับไป๋ฮูหยิน ก็ยิ่งโบ๋เบ๋เข้าไปใหญ่ ย่าก็เลยอยากไปดูที่สมาคมม้าผอมหน่อย เผื่อเลือกอนุติดไม้ติดมือมาได้สักคนสองคน ให้ปรนนิบัติพ่อเจ้า เจ้าว่าเป็นอย่างไร มีความคิดเห็นอะไรไหม”
การที่ท่านย่าถามตนก่อน ถือว่าให้เกียรติตนมาก แต่นี่เป็นเพราะท่านย่าไม่เคยอยู่กับครอบครัวที่มีอนุมาก่อน ซึ่งไม่มีบ้านไหนหรอก ที่เจ้าบ้านคิดแต่งอนุ แล้วมาถามลูกว่าเห็นด้วยไหม พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ตนไม่เห็นด้วยแล้วจะทำอะไรได้ ท่านย่าถามเพราะเกรงใจตนเท่านั้น
ถ้าต้องการให้อวิ๋นหว่านชิ่นพูดจากใจจริง นางก็อยากพูดหยาบๆ ออกมาว่า ท่านย่า ลูกชายคนรองของท่านเป็นคนกินเมีย ผู้หญิงคนไหนอยู่กับเขาแล้วมีจุดจบที่ดีบ้าง หลานเห็นว่าต้องตัดอาวุธสืบพันธุ์ทิ้ง จะได้ไม่ไปทำร้ายผู้อื่นอีก ดีไหม
ทว่าจิตใจของถงฮูหยิน อวิ๋นหว่านชิ่นก็พอจะเข้าใจ เมื่อลูกชายคนรองมีทายาทสืบสกุลอย่างอวิ๋นจิ่นจ้ง
เพียงแค่คนเดียว พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยย้ายออกไป หลังบ้านก็ไม่มีหญิงใดเป็นหัวหลักหัวตออีก แต่ท่านพ่อเป็นผู้ชายคนหนึ่ง และกำลังอยู่ในวัยกลางคน ถึงวันนี้ไม่แต่งอนุ วันหน้าก็ต้องแต่ง เพียงแต่เปลี่ยนคนจัดการหลังบ้านเท่านั้น
เมื่อคิดดูแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงตอบเสียงเรียบ “หลานไหนเลยจะมีความเห็นอะไร ท่านย่าจัดการน่ะดีแล้ว คนที่ท่านย่าเลือก ต้องอ่อนโยนนอบน้อม ทำประโยชน์ให้ครอบครัวได้อยู่” นางไม่ต้องการอะไรอื่นอีก หวังเพียงคนใหม่ไม่เหมือนคนก่อนก็ดีถมเถ
ถงฮูหยินพยักหน้า ก่อนหันไปบอกสะใภ้ใหญ่ “ดี เมื่อทางนั้นเตรียมการเรียบร้อย เราก็ไปกันตอนนี้เลย” แล้วจึงเหลือบมองอวิ๋นหว่านชิ่น พลางคิด นางเป็นคุณหนูในเมือง รู้จักวางตัว มองคนออก แยกแยะคนเป็น ถ้าพาไปเลือกด้วยกัน ย่อมไม่ด้อยไปกว่าหวงน้าสี่กับตนแน่ แต่คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน ไปในสถานที่อโคจรซื้อขายอนุแบบนั้น ดูเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไหร่
สะใภ้กับแม่สามีสองคนจึงตัดสินใจพาสาวใช้ไปยังสมาคมม้าผอม
…
ระหว่างทางกลับเรือนฝูหยิง ชูซย่าก็ทอดถอนใจออกมา
“ไม่ง่ายเลยกว่าที่บ้านเราจะสงบสุข แต่จู่ๆ ก็จะมีคนใหม่เข้ามาอีก ถ้าไป๋ฮูหยินได้ยินเข้าต้องบ้าตายแน่
…ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจะเลือกคนแบบไหนมาให้นายท่านเนอะ ยังไงก็ต้องเป็นคนดีหน่อย…แต่ว่าคุณหนูเจ้าคะ ได้ยินมาว่าสาวๆ ในสมาคมม้าผอมนั่น ถูกฝึกให้เป็นอนุในบ้านเจ้าใหญ่นายโตแต่เด็ก แต่ละคนมีรูปโฉมใสบริสุทธิ์ดุจต้นกล้า แต่เนื้อในดุจสุนัขจิ้งจอก เก่งเรื่องทำให้ผู้ชายหลงใหลเป็นที่สุด…”
อวิ๋นหว่านชิ่นชะงักฝีเท้า เมื่อครู่ตนก็มีแต่เรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจ แต่ถามมากไม่ได้ พอชูซย่าพูดขึ้น จึงพูดบ้าง “จริงสิ สมาคมม้าผอมที่ท่านย่ากับป้าสะใภ้ไปชื่อว่าอะไร”
“เพิ่งได้ยินสาวใช้ข้างกายฮูหยินป้าสะใภ้พูดถึง เหมือนจะมีชื่อเสียงโด่งดังทางตะวันออกของเมือง ชื่อหอหย่าจื้อ ตระกูลใหญ่ๆ ส่วนมากไปเลือกอนุกับนางบำเรอกันที่นั่น โดยทำตามขั้นตอนทางกฎหมายทุกอย่าง ดูใหญ่โตอยู่เหมือนกัน” ชูซย่าตอบ
หอหย่าจื้อ? อวิ๋นหว่านชิ่นพึมพำในใจ เข้าใจแล้ว
นางเคยคิดว่าถ้าไป๋เสวี่ยฮุ่ยอยู่ในห้องพระแล้ว งานหลังบ้านสกุลอวิ๋นก็ไม่มีผู้ใหญ่ที่พอจะรับช่วงต่อ…คิดไม่ถึงว่า คนที่ควรมา ก็ต้องมาอยู่ดี
หนังตาจึงกระตุกขณะนึกในใจ “เลือกคนแบบไหนมา ก็เป็นแค่อนุ ไม่มีทางพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินหรอก”
ชาติก่อน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหรา เป็นคนโปรดเสมอมา จึงบงการเรื่องหลังบ้านเพียงคนเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วจากนิสัยเสีย มากรักหลายใจของผู้ชายอย่างบิดา การมีเมียหลวงหนึ่ง เมียน้อยหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก แต่ที่ทำได้เพราะประการแรก ราชสำนักจำกัดจำนวนอนุที่ขุนนางพึงมี เพราะถ้ามีอนุกันเต็มบ้านเต็มเมือง ผู้บังคับบัญชาจะไม่พอใจเอา ประการที่สอง ต้องบอกว่าตอนนั้นไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นที่หลงใหลมาก เพราะนางมัดใจชายได้อยู่หมัด
อีกอย่าง ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่แต่งเข้าจวนโหว อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ไม่ได้แต่งอนุเพิ่ม
แต่หลังจากนางแต่งเข้าจวนโหว และไป๋เสวี่ยฮุ่ยมักพาลูกสาวเข้าจวนโหวมาเยี่ยมนางนั้น มีระยะหนึ่งไป๋เสวี่ยฮุ่ยมาจวนโหวขณะตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง อวิ๋นหว่านชิ่นก็สังเกตเห็นว่า นางมีสีหน้าเศร้าสร้อย จึงถามจากสาวใช้ที่มาด้วยกัน ถึงได้รู้ว่าช่วงที่นางตั้งครรภ์ บิดายั้งใจไม่อยู่ ไปซื้ออนุที่สมาคมม้าผอมมาคนหนึ่ง แรกเริ่มบอกว่าซื้อมาเป็นสาวใช้ ต่อมาก็ลอบให้นางเป็นเมียเก็บโดยไม่ให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้ อีกทั้งยังหลงใหลได้ปลื้มจนไม่สนใจไป๋เสวี่ยฮุ่ยไป
สมาคมขายหญิงที่ว่า ก็คือหอหย่าจื้อ
ตอนที่ 76-3 เลือกอนุ
จากนิสัยแบบนั้นของบิดา ที่ลอบมีอะไรกับหญิงอื่นช่วงที่เมียตนตั้งท้องนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยไม่ใช่ครั้งแรก และการมีอนุเพิ่มก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่พักหลังๆ ที่สองแม่ลูกสกุลไป๋มาจวนโหวนั้น นางก็ได้ข่าวมาอีกว่า อนุรองที่แต่งเข้ามาใหม่นั้นเป็นที่ชื่นชอบของบิดามาก จนแทบจะหมกตัวอยู่กับนางทุกคืน
เนื่องจากอนุรองนางนั้น แม้อายุยังน้อย แต่กลับรู้กาลเทศะยิ่ง ใจดี อ่อนโยน ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร อ่อนน้อมถ่อมตนกับไป๋ฮูหยินและอนุฟางราวกับเป็นสาวใช้ก็มิปาน พอเห็นท่านพี่มาหาแต่นาง ยังเตือนสติให้ไปหาฮูหยินกับอนุฟางบ้าง จึงทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งยิ่งเอ็นดูนาง ซึ่งบ่าวหลังเรือนต่างก็พูดกันว่า อนุรองมีบางส่วนคล้ายไป๋ฮูหยินตอนสาวๆ กระทั่งฝีไม้ลายมือจัดจ้านกว่าด้วยซ้ำ
เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ค่อยรู้จักอนุรองมากนักหรอก เพราะนางแต่งเข้าบ้านหลังจากที่ตนแต่งออกจากบ้านไปแล้ว รู้แต่ว่าหลังบ้านของบิดามีผู้หญิงเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เติบโตจากสมาคมม้าผอม จึงมีสถานะต่ำต้อย แม้อวิ๋นหว่านชิ่นยังอยู่ที่บ้าน ก็คงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับนางมาก อย่าว่าแต่ออกจากบ้านไปแล้วเลย จนกระทั่งช่วงที่อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยว่าตนมิได้เป็นหมันโดยกำเนิด จึงให้ชูซย่าไปสืบดู ถึงได้รู้ว่าแม่เลี้ยงเริ่มวางยาตนตั้งแต่ก่อนออกเรือน ต่อมาชูซย่าก็เล่าให้ฟังว่า แรกๆ ยังไม่มีเบาะแส ต่อมาค่อยมีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาจากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม บอกให้นางไปถามจากมอมอกับแม่ครัวที่ดูแลเรื่องอาหารการกินของอวิ๋นหว่านชิ่นดู นางจึงไปสืบตามเบาะแสดังกล่าว ถึงได้รู้ว่าของบำรุงที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยให้กินก่อนออกเรือนนั่นล่ะที่มีปัญหา
ส่วนผู้ไม่ประสงค์ออกนามที่ส่งจดหมายมาเมื่อชาติก่อนนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นมิได้ไปสืบหา เพราะลำพังการหาโอกาสแก้แค้นจากเวลาที่เหลืออยู่ก็แทบจะไม่ทันแล้ว…แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดู ต้องเป็นคนในบ้านสกุลอวิ๋นแน่ อนุฟางเกรงกลัวไป๋ฮูหยิน ตอนรู้ว่าไป๋ฮูหยินว่าวางยาตน ก็ไม่กล้าบอกใคร ด้วยกลัวว่าตนเองจะมีภัย
แล้วยังจะเป็นใครได้อีก
คิดไปคิดมา ผู้ที่เป็นไปได้มากสุด ก็คืออนุรอง ซึ่งใครๆ บอกว่าเป็นคนใจดี อ่อนโยน ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น โดยถ้าเป็นเช่นนี้ อนุรองก็ไม่ใช่คนหัวอ่อนใจดีแล้ว แต่เป็นแบบไป๋เสวี่ยฮุ่ยตอนสาวๆ จริงๆ ที่มีใจมุ่งมั่นว่าต้องได้เลื่อนตำแหน่ง โดยใช้ตนเป็นเครื่องมือสกัดเมียหลวง
เพียงแต่อนุรองคิดไม่ถึงว่า วิธีแก้แค้นของคุณหนูใหญ่มิใช่แค่ไปร้องห่มร้องไห้ฟ้องบิดาที่บ้าน แต่เป็นการเก็บรวบรวมหลักฐานแล้วเข้าร้องเรียนกับฮ่องเต้โดยตรง ทำให้คนทั้งบ้านตนและบ้านสามีฉิบหายวายวอดไปพร้อมๆ กับตน!
พอนึกถึงตรงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เก็บความรู้สึกนึกคิดคืนกลับ แม้ตนไม่เคยพบเจออนุรอง แต่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา ก็พอจะรู้ว่า วิธีการที่อนุรองใช้พลิกชีวิต ต้องไม่ด้อยไปกว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยแน่ เผลอๆ อาจมารยาสาไถยยิ่งกว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยตอนสาวๆ ด้วยซ้ำ อนุรองที่เขาพูดๆ กันนั้น เหมือนดอกไม้ป่า ภายนอกดูสวยงามไม่มีพิษไม่มีภัย ทำให้คนไม่ทันระวังตัว
ถ้าชาตินี้ อนุรองต้องแต่งเข้าบ้านมาจริงๆ ก็คงเป็นไปตามที่ชูซย่ากังวลใจ ไป๋ฮูหยินเพิ่งสงบลงได้ไม่ทันไร คนใหม่ก็จะมาก่อเรื่องอีก เช่นนี้จะมีวันสงบหรือไม่
แต่ในฐานะลูกสาว ถ้าบิดากับท่านย่ามีความคิดที่จะรับคนใหม่เข้ามา นางก็ไม่สามารถขัดขวางซึ่งๆ หน้าอยู่แล้ว
……
ก่อนพลบค่ำ ทางเรือนตะวันตกแจ้งมาว่า ถงฮูหยินกับหวงน้าสี่กลับจากสมาคมม้าผอมแล้ว และอยากพบคุณหนูใหญ่
พอไปถึงเรือนตะวันตก อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งเลิกผ้าม่านขึ้น ถงฮูหยินที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงก็กวักมือเรียกพลางยิ้ม “ชิ่นเอ๋อร์มาแล้ว มาๆๆ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปโค้งกาย “ท่านย่า”
หลังจากนั่งลง ถงฮูหยินก็ยิ้มแล้วว่า “วันนี้ย่ากับป้าสะใภ้เจ้าไปสมาคมม้าผอมมา เลือกสาวๆ มาจำนวนหนึ่ง ดูๆ ไปก็สวยน่ารักไปหมด เลยไม่รู้จะเลือกคนไหนดี จึงซื้อกับป้าหลิวมาสามคน ตัดสินใจพาเข้ามาทำความคุ้นเคยในเรือนหลัก โดยให้เป็นสาวใช้ก่อน จากนั้นค่อยเลือกออกมาคนหนึ่ง ถ้าไม่ดีพอ ก็เอาไว้เป็นสาวใช้แทน เจ้ามาพอดีเลย เจ้าตาดี มาช่วยย่าดู แล้วให้ความคิดเห็นหน่อย”
ว่าแล้วก็หันไปบอกให้สาวใช้พาคนเข้ามา
สักครู่ สาวใช้ก็เดินนำสามสาวเข้ามา
หญิงสาวในสมาคมม้าผอมส่วนใหญ่มีอายุไม่มากนัก อย่างที่เรียกกันว่าอนุน้อย ซึ่งปกติแล้วจะมีไว้รองรับแขกที่ชอบเด็กสาวเอ๊าะๆ ซึ่งมากกว่าครึ่งอายุเพียงสิบสามสิบสี่ สิบปีก็มีอยู่ไม่น้อย ถึงเจ็ดแปดปีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทั้งหมดต้องสะอาดบริสุทธิ์ งดงาม มีไหวพริบดี หลังจากเข้าสมาคมฯ ต้องเริ่มเรียนดนตรี ดีดสีตีเป่า บทเพลงบทกลอน ค้นคว้าว่าทำอย่างไรจึงจะมัดใจชายโดยเฉพาะ สรุปคือ ต้องการอบรมอนุให้ได้มาตรฐาน หรือต้องการให้เป็นแหล่งรวมนางบำเรอชั้นหนึ่ง
และส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าใหญ่นายโตที่ซื้อพวกนางไป โดยทำแบบถงฮูหยิน ให้ลองเป็นสาวใช้ข้างกายดูก่อน ค่อยเป็นค่อยไป แล้วพอนายถูกใจ ก็จะมีห้องส่วนตัวให้ แล้วค่อยเลื่อนขั้นเป็นอนุ
แม้บอกว่าอนุมีสถานะต่ำกว่าลูกสาวเจ้าบ้าน แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังหวั่นว่าถงฮูหยินจะเลือกเอาเด็กสาวอายุเจ็ดแปดปีกลับมา แต่ผิดคาด สามสาวตรงหน้าดูไปแล้ว มีอายุมากกว่าที่นางคิด บางคนคล้ายอายุมากกว่านางสองสามปีด้วยซ้ำ
ที่ถงฮูหยินซื้อคนอยากเป็นอนุมา ก็เพราะอยากให้ลูกชายได้ชุ่มชื่นใจ และเมื่อลูกชายอยู่ในวัยใกล้สี่สิบ ถ้าเลือกหญิงสาวที่อายุน้อยเกินไป ก็เกรงว่าจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง จึงไม่คิดซื้อเด็กสาวแรกแย้มที่ยังโตไม่เต็มที่มา เลือกมาก็แต่หญิงสาวร่างสูงและดูเป็นผู้ใหญ่ จึงไม่ง่าย กว่าจะได้มาสามคน
ถงฮูหยินยิ้มแล้วว่า “พวกเจ้าทั้งสาม ยังไม่ทักทายคุณหนูใหญ่อีก”
พอทั้งสามได้ยินว่าเด็กสาวตรงหน้าคือคุณหนูจวนรองเจ้ากรม ก็พร้อมใจกันตั้งสติ ไม่กล้ารอช้า
คนที่ตัวสูงสุด สวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน มวยผมประดับลูกปัดดอกไม้ ใส่ต่างหูตุ้งติ้ง หน้าตาออกแนว
น่ารัก ดวงตาสุกสกาวสดใสขณะกลอกตาไปมา ดูแล้วรู้กาลเทศะสุด อีกทั้งประจบประแจงเก่ง พอได้ยินหญิงชราพูด ก็ก้าวไปข้างหน้าบังอีกสองคนไว้ ย่อตัวลงเป็นคนแรก สองมือที่รักษาดูแลได้อย่างเนียนขาวประสานไว้ที่เอว ทำตามมารยาทที่ป้าหลิวสอนไว้ ทำความเคารพ ก่อนแย่งพูด
“ข้าน้อยเถาฮวา คารวะคุณหนูใหญ่”
ถงฮูหยินพูดแทรก “เถาฮวาอายุมากสุด”
อีกคนสวมเสื้อคลุมตัวเล็กลายดอกไม้ดอกเล็กๆ ปฏิกิริยาช้ากว่าหน่อย ประหม่าเล็กน้อย พอได้ยินเถาฮวาพูดจบ ก็พูดต่อเสียงสั่นและตะกุกตะกักอยู่บ้าง
“ข้า ข้าน้อยฮุ่ยหลาน คารวะคุณหนูใหญ่”
ฮุ่ยหลานผิวคล้ำกว่าหน่อย แต่รูปร่างอวบอิ่ม และนี่ก็คือสาเหตุที่ถงฮูหยินเลือกนาง ถ้าลูกชายถูกใจนาง ก็เจริญพันธุ์ได้ง่ายหน่อย
แต่ถงฮูหยินกลับพูดเสียงต่ำ น้ำเสียงเสียดายอยู่บ้าง “ฮุ่ยหลานมีส่วนคล้ายสาวบ้านนอกอย่างเราๆ เพียงแต่พูดไม่ค่อยคล่อง มือเท้าก็ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับอีกสองคน ป้าหลิวว่า เป็นเพราะนางเข้าสมาคมฯ ช้าสุด จึงดูแลรักษาผิวพรรณไม่ทัน”
รอจนเถาฮวากับฮุ่ยหลานแนะนำตัวเสร็จ คนสุดท้ายค่อยก้าวออกมาเบาๆ
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน ผูกผ้าคาดเอวเป็นทรงหูกระต่ายเล็กๆ ผมดำคลับไร้ซึ่งเครื่องประดับ เพียงหนีบที่หนีบผมรูปดอกไม้เล็กๆ ไว้ แต่งหน้าเรียบๆ ดูไม่มีเสน่ห์ แต่ถ้าคนตาถึงจะรู้ว่า นางเป็นคนละเอียดอ่อนสุด และตอนนี้นางก็ก้มหน้าลง พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนตามธรรมชาติ
“ข้าน้อยเหลียนเหนียง ยินดีที่ได้พบ ขอให้คุณหนูใหญ่สุขภาพแข็งแรงและโชคดี”
เหลียนเหนียง? อวิ๋นหว่านชิ่นเอะใจ ชื่อของอนุรองคนนั้น รู้สึกจะมีคำว่าเหลียนเหมือนกัน
หอหย่าจื้อ เหลียนเหนียง
เป็นอนุรองเมื่อชาติที่แล้วหรือ
แม้นางไม่เคยคุยกับอนุรองเมื่อชาติที่แล้ว แต่เหลียนเหนียงที่อยู่ตรงหน้า มีพฤติกรรมคล้ายกับที่เคยได้ยินมามาก รู้จักอ่านใจคน ไม่รีบร้อนแย่งชิง รู้ว่าถ้าเทียบกับการเป็นคนแรกแล้ว คนสุดท้าย น่าจะทำให้ผู้คนประทับใจได้มากกว่า
พอเอ่ยปากพูด ก็พูดไม่เหมือนคนอื่น ยิ่งทำให้โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
เป็นคนสุขุมที่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์
อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางอย่างล้ำลึก พลางพูดเสียงเรียบ “ทำไมต้องก้มหน้าก้มตาต่ำขนาดนั้น หน้าของเจ้านายไม่ได้อยู่ที่พื้นสักหน่อย ทางสมาคมฯ สอนเจ้ามาว่า มารยาทขณะพบหน้าเจ้านาย ต้องก้มหน้าพูดอย่างเอียงอาย เช่นนั้นหรือ”
ตอนที่ 76-4 เลือกอนุ
เหลียนเหนียงไม่คิดว่าจะถูกคุณหนูใหญ่สอนเรื่องมารยาทเช่นนี้ จึงเงยหน้าขึ้นพร้อมท่าทางน่าเอ็นดู ใบหน้าเล็กๆ เท่าฝ่ามือขาวเนียนไร้ที่ติ ดวงตาใสกระจ่างดุจกระจก คลับคล้ายมีเมฆหมอกบังตา กัดริมฝีปากเบาๆ แล้วว่า
“คุณหนูใหญ่ เหลียนเหนียงตื่นเต้นไปหน่อย ขออภัยด้วย”
หน้าตาแม้ไม่นับว่าสวยมาก แต่ท่าทางที่อ่อนแอน่าสงสารเช่นนี้ เหมือนกับชื่อนางคำว่าเหลียนที่แปลว่าน่าสงสารไม่มีผิด และท่าทางเช่นนี้ก็เป็นแบบที่ผู้ชายชอบเสียด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองถงฮูหยิน เมื่อได้รับอนุญาต จึงมองทั้งสามพลางว่า
“สิ่งที่สมาคมม้าผอม สอนเป็นเพียงทฤษฎี แต่ที่บ้านนายนี่ล่ะ ของจริง ใช่ว่าขายความน่ารักไร้เดียงสาแล้วนายจะเอ็นดูเสมอไป ไม่ควรโง่แล้วอวดฉลาด วันนี้เมื่อมาเป็นวันแรก ข้าก็ถือโอกาสเตือนพวกเจ้าหน่อยว่า นายของบ้านนี้เป็นขุนนางในราชสำนักที่ใจซื่อมือสะอาด รักความยุติธรรม ทั้งคำพูดและการกระทำล้วนถูกคนนอกจับตามอง จะเดินพลาดก้าวผิดไม่ได้ เพราะไม่ใช่มหาเศรษฐีมั่งคั่งร้อยพ่อพันแม่เหล่านั้น เมื่อเข้ามาในจวน ไม่ว่าต่อไปพวกเจ้าจะได้เป็นบ่าว หรือเป็นอนุ ก็ต้องเป็นคนดีมีคุณธรรม ร้อยเล่ห์เพทุบายสารพัดสารพันที่เรียนรู้มาจากภายนอก อย่าเอามาใช้ในบ้านสกุลอวิ๋นเป็นขาด มิเช่นนั้นต่อไป แม้ผู้อาวุโสเมตตาและใจกว้างกับพวกเจ้า แต่ข้าไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไว้แน่!”
ก่อนที่ทั้งสามจะถูกซื้อตัวมา เคยได้ยินป้าหลิวว่า ฮูหยินใหญ่ของบ้านสกุลอวิ๋นล่วงลับไปนานแล้ว ฮูหยินคนต่อมาหลังจากป่วยหนัก ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องพระ ไม่สนใจการบ้านการเรือน และผู้ที่จัดการเรื่องหลังบ้านในตอนนี้ ก็มีเพียงผู้อาวุโสที่เพิ่งมาจากชนบทกับอนุที่ค่อนข้างสูงวัย
ไหนเลยจะคิดว่าเบื้องหลังยังมีคุณหนูใหญ่ของบ้านสกุลอวิ๋นคอยกำกับอยู่อีกคน มิหนำซ้ำยังร้ายกาจถึงเพียงนี้! พอมาถึงก็ให้ทิ้งสิ่งที่เรียนมา ตั้งกฎใหม่ แล้วไม่ให้ใครโต้แย้งด้วย
พอเถาฮวาเห็นว่าเหลียนเหนียงมาถึงบ้านนายก็ถูกบีบให้ยอมจำนนเช่นนี้ ตนก็ย่อมมีโอกาสมากขึ้น จึงได้ใจ ยกมุมปากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเหล่ตามองเหลียนเหนียงพร้อมสีหน้าเย้ยหยันเล็กน้อย
ส่วนฮุ่ยหลาน ยังคงเป็นเช่นเดียวกับตอนแรก ดูประหม่า มึนงง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เหมือนเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับตนเอง
ถงฮูหยินจึงบอกให้ทั้งสามถอยไปยืนด้านข้างก่อน จากนั้นก็หันไปหารือเสียงเบา
“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าว่า สาวๆ ทั้งสามเป็นอย่างไรบ้าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางมอบอำนาจตัดสินใจให้ท่านย่า “หลานมิบังอาจวู่วามพูด อยากฟังท่านย่าพูดก่อน” ฟังความเห็นจากท่านย่าก่อน แล้วค่อยว่ากัน
แม้บอกให้หลานพูด แต่ถ้าหลานพูดก่อน ถงฮูหยินต้องไม่สบอารมณ์ ตอนนี้พอเห็นหลานรู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ยิ่งพอใจ จับถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ไว้ในมือ พลางค่อยๆ พูด
“เดิมทีข้าคิดว่าเถาฮวาอายุมากสุด รู้กาลเทศะมากสุด เหมาะที่จะแต่งเข้าเป็นอนุ แต่พอดูให้ถ้วนถี่อีกที ก็รู้สึกว่า ยิ่งอายุมาก ความรู้สึกนึกคิดก็มากตาม ซับซ้อนไป เมื่อครู่ข้าเห็นนางลุกลี้ลุกลนก้าวออกมาประจบประแจง ไม่เหมือนหญิงสาวที่อ่อนโยนเจียมเนื้อเจียมตัว…พฤติกรรมที่คนเป็นอนุไม่พึงมีก็คือ ขวัญกล้าเทียมฟ้าและเหลี่ยมจัด มิฉะนั้นแล้วบ้านจะไม่สงบสุข เรื่องของไป๋ฮูหหยินเพิ่งผ่านพ้น ข้ายังติดอยู่ในใจ ถ้าเอาคนใจแคบคิดไม่ซื่อมาอีก ก็แย่กันหมดพอดี! ส่วนเหลียนเหนียง ข้าเห็นว่านางไม่แก่งแย่ง ยอมเป็นคนสุดท้าย อ่อนโยนนอบน้อม พูดเสียงอยู่ในลำคอตลอด ไม่กล้าพูดเสียงดัง จึงถูกใจข้าเป็นที่สุด เจ้าล่ะเห็นว่าอย่างไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “หลานกลับคิดต่างจากท่านย่า เมื่อท่านย่าดูนิสัยของเถาฮวาออกได้ในทันที ก็แสดงว่านางไม่ใช่คนซับซ้อน ก่อกวนอะไรไม่ได้มาก เพียงภายนอกดูร้ายกาจเท่านั้น คนแบบนี้จริงๆ แล้ว รับมือและกำราบได้อยู่หมัดสุด ส่วนคนที่ดูไม่ออกในคราวเดียว ทำให้ท่านย่าหลงใหลได้ปลื้มว่าดีสุดนั้น กลับเป็นคนที่ทำให้เราต้องไตร่ตรองมากสุด”
คำพูดนี้มีเหตุผล เพราะที่ถงฮูหยินตัดสินใจเลือกอนุให้ลูกชายนั้น นอกจากอยากให้มีทายาทแล้ว ก็อยากได้อนุที่มีจิตใจดีและมีพฤติกรรมเหมาะสม ที่จะไม่ทำให้หลังบ้านยุ่งวุ่นวายอีก แต่จุดนี้ ตนกับหลานกลับคิดเห็นไม่ตรงกัน คิดๆ ดู จึงว่า
“เช่นนั้นเจ้าลองดูสิว่า จะแบ่งงานอะไรให้ทั้งสามคนทำดี ข้าคิดว่าจะให้พวกนางไปรับใช้ที่เรือนหลักก่อน เจ้าลองเสนอมาดูหน่อยว่า จะให้พวกนางทำอะไร”
ครั้งนี้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดจะยอมให้อีก จึงเรียกทั้งสามมา
เถาฮวา ฮุ่ยหลาน และเหลียนเหนียง ถูกเรียกให้มาพบเป็นครั้งที่สอง จึงค่อนข้างกระวนกระวายใจ ทั้งสามรู้ว่าต้องถูกส่งให้แยกกันไปทำงานที่เรือนหลัก แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าจะให้ทำอะไร เช่นปรนนิบัตินายท่านข้างกาย ย่อมแตกต่างกับทำงานเบ็ดเตล็ดนอกเรือนมากโขอยู่
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองเถาฮวาก่อน แล้วค่อยๆ กวาดตามองอีกสองคน
“เถาฮวาเป็นพี่ใหญ่สุด รู้งานมากสุด เรือนหลักมีเรื่องจุกจิกมากมาย ต้องการคนละเอียดอ่อนหน่อย เจ้าคอยดูแลจัดการก็แล้วกัน…”
พอได้ยิน เถาฮวาก็แสดงท่าทางยินดีปรีดาออกมา ถ้าได้อยู่ในเรือนหลัก ก็เท่ากับได้พบหน้านายท่านทั้งเช้าและเย็น ได้ใกล้ชิดนายท่าน จึงพลันก้าวไปข้างหน้าโดยที่อวิ๋นหว่านชิ่นยังพูดไม่จบ คุกเข่าโขกศีรษะสองที
“ขอบคุณคุณหนูใหญ่! ขอบคุณคุณหนูใหญ่!”
เป็นคนเก็บงำอะไรไม่ได้จริงๆ หลานสาวพูดไม่ผิด ถงฮูหยินรู้สึก
เหลียนเหนียงขยับแก้มชมพู หนังตาจึงหลุบตาม แต่สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรกับความโชคดีของเถาฮวา เพียงก้มใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวเนียนสวยลงไปอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของนางแล้วเก็บไว้ในใจ ก่อนพูดเสียงเรียบ
“ส่วนอีกสองคน อย่างไรเป็นคนของเรือนหลัก จะอยู่นอกเรือน หรือในเรือน ก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นพวกเจ้าแบ่งงานกันเองก็แล้วกัน ลองปรึกษากันดู”
การให้แบ่งงานกันเอง จะได้ดูนิสัยของทั้งสองไปในตัว
นอกเรือน อยู่ห่างจากนายท่านหน่อย ตามความคิดของคนทั่วไป ในเรือนย่อมดีกว่า แม้ทั้งนอกและในไม่มีงานสบาย แต่ถ้าได้ใกล้ชิด ก็ยิ่งมีโอกาสมากกว่า เหลียนเหนียงตัดสินใจได้ในทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเห็นกับตาว่า เหลียนเหนียงที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้ถูกกระทำ หรือรอให้คนอื่นทำก่อน ครั้งนี้กลับหันมองฮุ่ยหลาน เข้าไปจับมือนาง แล้วเขย่าเบาๆ พลางพูดเสียงเบา
“ฮุ่ยหลาน ทำงานอยู่นอกเรือน ไม่รู้ว่าต้องเฝ้าประตูตลอดเวลาหรือเปล่า นอกเรือนแดดแรง ข้ามักปวดหัวอยู่ด้วยสิ…”
ดูไปแล้ว ตอนอยู่สมาคมม้าผอม ฮุ่ยหลานน่าจะยอมให้เหลียนเหนียงเสมอ อีกอย่าง คุณหนูใหญ่ก็บอกแล้วว่านอกในไม่ต่างอะไรกัน พูดอะไรมานางก็เชื่อหมด นิสัยไม่คิดมาก จึงพยักหน้า
“เช่นนั้นข้าอยู่นอกเรือน เจ้าอยู่ในเรือนก็แล้วกัน ไม่ต่างอะไรกันมากนี่”
และแล้ว การปรึกษาหารือ ก็สามารถบอกได้ว่าใครเป็นคนทะเยอทะยาน
พื้นที่หลังบ้าน ผู้ที่มีความทะเยอทะยาน ย่อมอยู่ไม่ได้
ชาติก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นกับเหลียนเหนียงไม่เพียงไม่เคยขัดแย้งกัน สุดท้ายเหลียนเหนียงยังลอบส่งจดหมายให้นางเปิดโปงไป๋เสวี่ยฮุ่ยอีก แต่นางรู้ว่า อนุรองทำเพื่อตัวเองเท่านั้น โดยความตั้งใจแต่แรกคือ ใช้ตนเป็นเครื่องมือ ลากไป๋เสวี่ยฮุ่ยลงจากหลังม้า แต่ชาตินี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกอวิ๋นหว่านชิ่นกำราบให้ไปอยู่ในห้องพระได้ก่อน และแม้ตอนนี้เหลียนเหนียงยังมิได้คุกคามอะไรตน แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็รับประกันไม่ได้ว่า ถ้าเหลียนเหนียงได้เป็นอนุ ความทะเยอทะยานจะทำให้นางเปลี่ยน หันมาทำร้ายน้องชายและคนอื่นๆ หรือไม่
เมื่อคาดเดาอะไรไม่ได้กับคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก และชาติก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นก็เคยลิ้มลองมาแล้ว ชาตินี้ แม้คนผู้นี้ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน ด้วยการกำราบนางไว้
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “ปรึกษากันเสร็จแล้วใช่ไหม”
เหลียนเหนียงกัดริมฝีปาก ก้มหน้า แล้วบอกการตัดสินใจของพวกตนให้ฟัง
ริมฝีปากของอวิ๋นหว่านชิ่นปรากฏรอยยิ้มบางๆ แต่ลึกล้ำ
“ดี เช่นนั้นก็ทำตามที่พวกเจ้าตกลงกันไว้ ฮุ่ยหลานรับใช้อยู่นอกเรือน เหลียนเหนียงอยู่ในเรือน ข้าจะบอกหน้าที่รับผิดชอบให้ฟังคร่าวๆ นอกเรือนดูแลเรื่องการรับส่ง อาจต้องเข้าๆ ออกๆ ส่งข่าว รายงานข่าว ส่วนในเรือน โดยทั่วไปก็ไม่มีอะไร ไปที่ครัวตรงชานเรือน ดูเตา เฝ้าของบนเตา คอยจับตาดู ไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด เพราะบ่าวในเรือนต้องไปตักน้ำ หรือยกน้ำชาให้นายเป็นครั้งคราว ข้าพูดเช่นนี้ พอจะเห็นภาพไหม รายละเอียดกับกฎระเบียบต่างๆ ไว้มอมอข้างกายท่านย่าจะเป็นคนบอกพวกเจ้าเอง”
ตอนที่ 76-5 เลือกอนุ
หลังรับฟัง ฮุ่ยหลานนั้นไม่มีอะไร ย่อตัวรับคำ “เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
ทว่าเหลียนเหนียงกลับหน้าเปลี่ยนสี เช่นนี้เป็นอันว่า อยู่นอกเรือนสบายกว่าในเรือนเยอะ อย่างน้อยก็ได้เข้าๆ ออกๆ ตอนเข้ามารายงานยังสามารถพูดคุยกับนายท่าน สร้างความประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่อยู่ในเรือน ที่แท้ก็ต้องคลุกอยู่แต่ในครัวตลอดทั้งวัน ออกมาไม่ได้! ไหนเลยจะมีโอกาสพบหน้านายท่านเล่า หรือต่อให้บังเอิญได้พบ ไอร้อนและควันดำจากเตาไฟ ถ่านและฟืนกองโตที่ต้องขน ไหนเลยจะอยู่ในสภาพที่พบผู้คนได้
นานวันเข้า ผิวก็จะถูกควันดำและเปลวเพลิงทำลายจนเสียโฉม!
เหลียนเหนียงได้แต่เจ็บใจ ด้วยตนเป็นคนขอจากฮุ่ยหลานเอง จึงเปลี่ยนกลับไม่ได้แล้ว ดวงตากลมโตทั้งสองข้างพลันถูกเมฆหมอกปกคลุมอีกครั้ง ขนตายาวกะพริบ นางก้มหน้าลง ริมฝีปากล่างที่บางดุจกลีบดอกไม้ถูกกัดจนใกล้แตกเต็มที พยายามกดเสียงไม่ให้สั่น เสียงจึงบางเบา จนน้ำตาแทบจะหยดลงมาด้วย
“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้วคุณหนูใหญ่”
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทางที่ถูกกดดันจนหมองเศร้าของนาง ก็พูดเสริมขึ้นอย่างใจเย็นและเฉยเมย แต่กลับมีน้ำหนักยิ่ง
“เมื่อไปทำงานที่เรือนหลัก สิ่งสุดท้ายที่ต้องเตือนก็คือ ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนให้ดี ต้องตระหนักเสมอว่าอยู่ตำแหน่งไหน ทำอะไร ส่วนวันข้างหน้าโชคชะตาจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของวันข้างหน้า แต่ถ้าตอนนี้ไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ แล้วคิดแก่งแย่งชิงดีกันล่ะก็ จวนรองเจ้ากรมไม่เอาไว้แน่ จะรีบจัดการตามกฎบ้าน แล้วขายทอดตลาดทันที!”
นี่ก็หมายความว่า กระทั่งวางแผนหาโอกาสให้ได้ใกล้ชิดนายท่านก็ยากยิ่ง
เหลียนเหนียงใจสั่น ขณะย่อตัวลงขานรับพร้อมกับฮุ่ยหลานและเถาฮวา
…..
ฟ้าเพิ่งเริ่มค่ำ ระหว่างทางเดินกลับเรือนหยิงฝู
พอเข้าสู่กลางฤดูใบไม้ร่วง ฝนตกทีหนึ่งอากาศก็เย็นลงทีหนึ่ง แล้ววันต่อๆ มาก็เย็นลงเรื่อยๆ
ค่ำนี้พอเดินอยู่นอกเรือน ก็รู้สึกเย็นจับใจ ชูซย่าจึงคลุมเสื้อคลุมตัวสั้นสีแดงให้อวิ๋นหว่านชิ่น ขณะเดินอยู่บนทางน้อย ก่อนพูดหยั่งเชิงดู
“สาวๆ ที่อยากเป็นอนุทั้งสาม อย่างไรก็ต้องถูกนายท่านเลือกมาเป็นอนุเพียงคนเดียว คนที่คุณหนูมองน่าจะเป็นฮุ่ยหลานนะเจ้าคะ เพราะเถาฮวากับเหลียนเหนียง ดูท่าทางแล้ว คิดแย่งตำแหน่งกันสุดๆ ซึ่งทั้งสองก็ดูมีภาษีมากสุด คนหนึ่งได้ไปอยู่ในที่ที่ดีสุด อีกคนหนึ่งได้ไปอยู่ในที่ที่แย่สุด ย่อมต้องทำให้คนหนึ่งไม่พอใจ ซึ่งถ้าเหลียนเหนียงมีใจทะเยอทะยานจริง ก็ต้องไม่ยอมให้เถาฮวาอยู่เหนือแน่ ทั้งสองต้องสู้กันทั้งที่แจ้งและที่ลับ จนบาดเจ็บและพ่ายแพ้กันทั้งคู่ แบบนี้คุณหนูก็ไม่ต้องลงมือเองแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองชูซย่า “เจ้านี่เชี่ยวชาญยุทธวิธีสู้รบจริงๆ ส่งไปแนวหน้าซะเลยดีไหม”
ชูซย่าแลบลิ้น ไม่พูดมากอีก
ตนมองฮุ่ยหลาน? มองเมิงอะไรกัน? ก็แค่กดให้ผู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะมาทำอันตรายตน ลงไปอยู่ในจุดต่ำสุด
ทว่าเมื่อเทียบกับอีกสองคนแล้ว ฮุ่ยหลานดูซื่อและเชื่อฟังมากกว่า ถ้าที่บ้านเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องมีอนุจริงๆ ก็ต้องเลือกคนที่รู้ใจตน เช่นเดียวกับมารดาที่ยกอนุฟางให้บิดา ก็มิใช่เพราะนางมีวิธีมัดใจชาย จับผู้ชายจนอยู่หมัดหรอกหรือ หากหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นฝ่ามือพระยูไล บิดาเลือกคนที่ไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ คนที่มีแต่แผนร้ายอยู่เต็มท้อง ก็มิเท่ากับรนหาความทุกข์ใส่ตัวหรอกหรือ
แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็กระชับเสื้อคลุมให้แน่นเดินตรงกลับเรือนพร้อมชูซย่า
วันรุ่งขึ้น เถาฮวาถูกส่งไปเรือนหลัก ปรนนิบัติข้างกายนายท่าน เหลียนเหนียงถูกส่งเข้าห้องครัว ที่ชานเรือนด้านใน ฮุ่ยหลานอยู่นอกเรือนคอยรับส่งข่าวเข้าออก หน้าที่ล้วนถูกจัดสรรเรียบร้อย
พอมาถึง ทั้งสามก็ถูกกระตุ้นเตือนให้จดจำกฎระเบียบต่างๆ ไว้ ทุกคนจึงทำตามสิ่งที่คุณหนูใหญ่กำชับ ไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจ ต่างคนต่างทำตามขอบข่ายความรับผิดชอบของตน ที่บ้านจึงเงียบสงบอยู่พักใหญ่
อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งถูกเสนอชื่อในที่ประชุมตำหนักอี้เจิ้ง แม้ยังไม่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งให้เป็นท่านเจ้ากรม แต่ก็ได้ยินข่าวลือมาว่า มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน จึงยินดีปรีดายิ่ง พยายามวิ่งเต้นอุดรอยรั่วทั้งวัน สำหรับเรื่องที่ถงฮูหยินซื้อสาวๆ มาใหม่สามคนนั้น เขาก็รู้ดีว่ามารดาซื้อมาเป็นอนุให้ จึงเรียกสามสาวมาดูตัว แล้วถามไปสองสามประโยค
ด้านอนุฟาง พอรู้ว่าผู้อาวุโสซื้อสามสาวมาจากสมาคมม้าผอม และทั้งสามก็อยู่ในขั้นเตรียมที่จะเป็นอนุโดยเอาไว้ให้นายท่านเรียกใช้ในเรือนหลักก่อน นางก็นั่งไม่ติด ด้วยเกรงว่าจะถูกนางจิ้งจอกที่มาใหม่แย่งความสุขในอนาคตไปจนหมด วันต่อมาจึงมาลากท่านพี่ไปที่เรือนชุนจี้
หลายวันมานี้ ขณะอยู่นอกบ้านอวิ๋นเสวียนฉั่งเอาแต่วิ่งเต้นให้ได้เลื่อนตำแหน่ง พอกลับถึงบ้านก็ถูกฟางเย่ว์หรงพัวพันไม่ยอมปล่อย หลังจากดูตัวเถาฮวา เหลียนเหนียงและฮุ่ยหลานไปครั้งหนึ่ง ก็ไม่มีเวลาว่างไปสนใจพวกนางอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งช่วยท่านย่าเลือกอนุให้บิดาเสร็จเรียบร้อย ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นับว่าสามารถกลับมาใส่ใจเรื่องร้านที่ถนนจิ้นเป่าได้อย่างสบายใจเสียที
แสงแดดยามบ่ายของฤดูใบไม้ร่วงทอประกาย ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะ แต่อากาศเย็นสบายกำลังดี
หงเยียนมาที่จวนอีก เรียกเมี่ยวเอ๋อร์ให้มาพบที่ประตูข้าง เพื่อถามถึงชื่อร้าน เพราะต้องรีบออกใบเสร็จให้ลูกค้าอย่างเป็นทางการ ไม่ควรลากยาวต่อ
ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะให้เมี่ยวเอ๋อร์กลับออกไปตอบหงเยียน นอกประตูเรือนก็มีเสียงฝีเท้าดังมา ฟังดูแล้วรีบร้อนมาก วิ่งตรงมาที่เรือนฝูหยิง
เมี่ยวเอ๋อร์มองว่าน่าจะเป็นเรื่องด่วน จึงเลิกม่านขึ้นแล้วก้าวออกไป
และแล้ว บ่าวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่ก็วิ่งหอบแฮ่กๆ เข้ามาในเรือน แต่ก็หยุดเท้าสะเอว งอตัวลงสูดหายใจ พอเห็นเมี่ยวเอ๋อร์ออกมา ค่อยหายใจสะดวกขึ้น แต่ใบหน้ายังคงแดงก่ำ
“บอก บอกคุณหนูว่า มีคนมาหาที่จวน! เร็วเข้า! มีคนกลุ่มหนึ่งปิดล้อมอยู่หน้าประตูจวน!”
นี่กลับเป็นเรื่องแปลก มีคนมาหาคุณหนู แล้วทำไมต้องปิดล้อม…?
ปกติคนที่มาหาคุณหนูมีแต่ผู้หญิง อย่างคุณหนูรองสกุลเฉิน ก็เข้าทางประตูข้าง เอ่ยคำทักทายบ่าว แล้วเดินตรงมาที่เรือนฝูหยิงเลย ส่วนคนที่เข้าทางประตูใหญ่นั้น กลับมีน้อยมาก
เมี่ยวเอ๋อร์จึงมองนิ่ง “เง็กเซียนฮ่องเต้เสด็จมาหรือไง ถึงได้ตกอกตกใจขนาดนี้ ตกลงเป็นใครกันแน่”
ทีแรกเมี่ยวเอ๋อร์นึกว่า บ่าวชราผู้นี้หน้าแดงเพราะรีบวิ่งมาบอก ไม่คาดคิดว่า พอได้ยินคำถามตน บ่าวชรากลับหน้าแดงหนักเข้าไปอีก พูดละล่ำละลักอยู่ครึ่งค่อนวันก็ฟังไม่รู้เรื่อง คล้ายเป็นเรื่องที่คลุมเครือ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น