วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 754-760

ตอนที่ 754 ถังหนิงหวนคืนสู่วงการอย่าง...

 

ผู้หญิงสองคนทำงานระดับอินเตอร์แต่ทั้งคู่อยู่ต่างสายงานกัน


 


 


เมื่อผันตัวมาเป็นนักแสดง ถังหนิงยังคงเป็นศิลปินหน้าใหม่ รางวัลที่เธอมีในมือคือรางวัลนักแสดงหน้าใหม่จากรางวัลเฟยเทียนเท่านั้น ในขณะที่ไป๋อวี๋ก้าวไปสร้างชื่อให้ตัวเองอยู่ในวงการฮอลลีวูดแล้ว


 


 


หลังจากเปรียบเทียบหญิงสาวทั้งสองคนมาพักใหญ่ บรรดาแฟนคลับของไป๋อวี๋ก็ออกมาอ้างว่าถังหนิงทำตัวเป็นปลิงเกาะความโด่งดังของไป๋อวี๋!


 


 


แต่เห็นได้ชัดว่าไป๋อวี๋เป็นคนที่มองถังหนิงในฐานะคู่แข่งมาตั้งแต่แรกและพยายามสร้างข้อเปรียบเทียบต่างๆ ขึ้นมา


 


 


[ในที่สุดฉันก็เข้าใจความหมายของคำว่าแพะรับบาปแล้ว ถังหนิงของฉันอยู่บ้านดูแลลูกมาตลอด ไม่เหมือนดาราบางคนที่เที่ยวขึ้นข่าวหน้าหนึ่งไม่เว้นแต่ละวัน วันหนึ่งพูดถึงเรื่องอีคิว อีกวันหนึ่งพูดถึงเรื่องรูปร่าง แค่ถังหนิงของฉันกลับคืนวงการก็กลายเป็นพวกกลั่นแกล้งคนอื่นไปได้ยังไงกัน]


 


 


[ถังหนิงของฉันเป็นแค่ศิลปินหน้าใหม่นะ เธอรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าไม่สามารถเอาตัวเองไปเทียบกับนักแสดงรางวัลระดับโลกคนนั้นได้ เพราะฉะนั้นได้โปรดปล่อยเธอไปเถอะ]


 


 


[ฉันต้องเมาอยู่แน่ๆ จนถึงตอนนี้ถังหนิงของฉันได้พูดอะไรหรือยัง พวกแฟนคลับไป๋นี่มีสติกันบ้างไหม]


 


 


[คนทั้งโลกควรมอบรางวัลออสการ์ให้ไป๋อวี๋นะ]


 


 


[พวกแฟนคลับของดาราระดับโลกคนนั้นทำตัวเหมือนพวกนักเลงไม่มีผิด]


 


 


[เอาเวลาไปใส่ใจ ‘ชายาหนิง’ ของพวกคุณไปเถอะ อย่ามายุ่งกับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ของพวกเราเลย]


 


 


ในโลกออนไลน์ การโต้เถียงของเหล่าแฟนคลับปะทุขึ้นอย่างดุเดือด โดยเฉพาะหลังจากที่ถังหนิงจะยอมให้สัมภาษณ์หลังงานแถลงข่าว บรรดาแฟนคลับของไป๋อวี๋โจมตีถังหนิงทันทีโดยอ้างว่าถังหนิงทำตัวเป็นปลิงเกาะกระแสไอดอลของพวกเขา และศิลปินผู้มีรางวัลมากมายของพวกเขาไม่ได้ใส่ใจที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับถังหนิง


 


 


แม้พวกเขาจะได้เห็นความงดงามของถังหนิงที่ปรากฏภายในงาน แต่พวกเขาก็ยังไม่ยินยอมที่จะยอมรับความจริงนั้น ดังคำที่กล่าวว่า ไม่มีใครปลุกคนที่กำลังแกล้งหลับได้


 


 



 


 


งานดำเนินไปเป็นเวลาราวสองชั่วโมงขณะที่ถังหนิงดูทรงเสน่ห์อย่างมากในฐานะพรีเซนเตอร์ หลังจากสื่อโฆษณาได้ถูกเผยแพร่ออกไป ยอดจองล่วงหน้าของรองพื้นรุ่นใหม่ของเครื่องสำอางแบรนด์หรูพุ่งทะลุยอดขายสินค้ารุ่นก่อนทั้งหมด ทำให้แบรนด์กลับมาเป็นที่ต้องการของตลาดอีกครั้ง


 


 


เสน่ห์ของถังหนิงไม่เคยทำให้ผิดหวัง นี่ทำให้ผู้จัดทำโฆษณามีความสุขมากและช่วยยืนยันความเป็นที่นิยมในตัวถังหนิงเช่นเดียวกับความเป็นมืออาชีพของเธอในฐานะนางแบบ


 


 


เมื่องานสิ้นสุดลง ถังหนิงถึงกับได้รับชุดเครื่องเพชรจากแบรนด์เครื่องสำอางนี้ด้วย


 


 


หลังจากนั้น เธอรู้ดีว่าเธอจะต้องให้สัมภาษณ์ ดังนั้นเธอจึงไม่รีบที่จะกลับ กลับกัน เธอเลือกที่จะรอจนแขกคนอื่นๆ กลับไปหมดก่อนที่เธอจะออกมาให้สัมภาษณ์ต่อหน้าสื่อ


 


 


ทีมผู้จัดทำโฆษณาตระหนักดีถึงสถานการณ์ของถังหนิง พวกเขาจึงปล่อยให้เธอยืมสถานที่จัดงานในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักและการสนับสนุนที่พวกเขามีต่อเธอ


 


 


บรรดานักข่าวรู้สึกประหลาดใจอย่างมีความสุขเมื่อรู้ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องสัมภาษณ์ในสถานที่โล่งแจ้งภายนอก เนื่องจากปักกิ่งในขณะนั้นกำลังอยู่ช่วยฤดูมรสุมและภายนอกของงานก็เปียกแฉะไปหมด


 


 


บรรดานักข่าวรีบเคลื่อนตัวเข้าไปภายในสถานที่จัดงานอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าถังหนิงยืนรออยู่บนเวทีอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาจึงรีบเข้าไปจับจองหาที่นั่งทันที


 


 


ขณะที่พวกเขามองไปยังถังหนิงซึ่งปกติแล้วแทบไม่อาจเอื้อม บรรดานักข่าวกลับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันน่าเกรงขามที่ไม่อาจอธิบายได้อย่างที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่นอกจากความรู้สึกน่าเกรงขามแล้ว พวกเขายังรู้สึกสงสัยใคร่รู้มากกว่า ในสายตาทุกคน ถังหนิงเป็นศิลปินที่อยู่บนขอบเหวของการตกยุค แต่เธอกลับสามารถสร้าคงความน่าประหลาดใจได้อย่างไม่สิ้นสุดและทำให้ทุกคนหน้าแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า…


 


 


จนราวกับว่าเธอจะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้


 


 


“โอเคค่ะ เรามีเวลาไม่มากนักเพราะฉันยังมีตัวแสบที่บ้านที่ต้องกลับไปให้นม ฉันหวังว่าทุกคนจะถามคำถามแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ และฉันขอไม่ตอบคำถามอะไรที่ดูสุ่มเสี่ยง ถ้ามีคำถามไหนที่ฉันรู้สึกแบบนั้นฉันจะข้ามไปทันที” ถังหนิงกล่าวพลางชำเลืองตามองนาฬิกาฝังเพชรของเธอ “เริ่มได้เลยค่ะ…”


 


 


การยกมือและรอจนกว่าจะถึงคิวของตัวเองถือเป็นกฎข้อหนึ่งของวงการ ดังนั้นบรรดานักข่าวจึงรีบยกมือของพวกเขาขึ้นก่อนที่ถังหนิงจะเป็นคนเลือกว่าจะตอบคำถามของใคร


 


 


“ฉันอยากถามว่าคุณถอนตัวจาก ‘ชายาหนิง’ เพราะบทจริงๆ ไม่ใข่เพราะถูกแย่งบทนางเอกไปใช่ไหมคะ”


 


 


“ผมอยากถามถึงความเห็นของคุณที่มีต่อประเด็นข่าวมากมายที่ไป๋อวี๋สร้างขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมาหน่อยครับ”


 


 


“ไป๋อวี๋ได้ออกมา ‘พูดแทน’ คุณหลายครั้ง คุณมีอะไรอยากพูดถึงเรื่องนี้ไหมคะ”


 


 


“ฉันอยากทราบเพศของลูกคุณค่ะ!”


 


 


“ผู้ชายค่ะ” ถังหนิงตอบทันทีหลังได้ยินหนึ่งในบรรดานักข่าวตั้งคำถามเกี่ยวกับลูกๆ ของเธอ


 


 


แต่… นั่นหมายว่าความถังหนิงขอข้ามคำถามสามข้อแรกอย่างนั้นหรือ


 


 


แต่บรรดานักข่าวมาที่นี่โดยมีคำถามในหัวแล้วทั้งนั้น หากถังหนิงไม่คิดจะตอบคำถามของพวกเขา งั้นพวกเขาก็ไม่เหลือวัตถุประสงค์อะไรในสัมภาษณ์


 


 


“ถังหนิงคะ ที่จริงแล้วฉันเป็นแฟนคลับของคุณค่ะ คำถามที่ฉันอยากถามเป็นคำถามที่ละเอียดอ่อนหน่อย แต่ฉันหวังว่าคุณจะตอบคำถามนี้เพราะจากใจของฉัน คุณไม่เคยเป็นรองใคร” คราวนี้นักข่าวหญิงคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและพูดอย่างจริงใจกับถังหนิง


 


 


แฟนคลับทุกคนของถังหนิงต่างต้องการเห็นเธอฉีกหน้าไป๋อวี๋และทำให้แฟนคลับของอีกฝ่ายหุบปากเสียที


 


 


ถังหนิงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี…


 


 


ดังนั้นสุดท้ายถังหนิงจึงยกไมค์ขึ้นและกล่าว “ก่อนอื่นฉันถอนตัวจาก ‘ชายาหนิง’ เพราะบทถูกปรับแก้ ไม่อย่างนั้นฉันคงรอที่จะร่วมงานกับไป๋อวี๋อย่างใจจดใจจ่อ ฉันเป็นคนเลือกบทเพราะตัวบทเองและไม่เคยเลือกบทเพราะคนที่ฉันจะต้องแสดงด้วย ตราบใดที่บทดี ฉันก็ยินดีที่จะรับไม่ว่าจะเป็นบทนางเอกหรือตัวประกอบ ตัวตนของฉันในฐานะนักแสดงมีไว้เพื่อการแสดงเท่านั้น


 


 


“อย่างที่สอง ไม่ว่าไป๋อวี๋จะเป็นนักแสดงธรรมดาหรือนักแสดงรางวัลระดับโลก เธอก็มีสิทธิ์ที่จะชอบหรือไม่ชอบใครก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งฉันเคารพเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเรื่องการถูกข่ม ฉันไม่ได้เก็บมาใส่ใจเพราะฉันรู้ตัวฉันดีว่าฉันไม่ใด้เป็นอย่างที่ข่าวลือพูดกัน ดังนั้นจึงไม่มีประเด็นอะไรที่จะรู้สึกไม่มั่นคงเพราะข่าวที่ไม่มีมูลความจริง ที่สำคัญกว่านั้นคือการเปรียบเทียบทำให้คนสามารถเห็นความแตกต่างระหว่างผู้คนได้อย่างชัดเจน แฟนๆ อาจจะเห็นความคล้ายคลึงสามอย่างระหว่างเราแต่นั่นต้องหมายความว่าเรายังมีส่วนอื่นๆ อีกนับพันส่วนที่ไม่อาจเลียนแบบได้


 


 


“ส่วนเรื่องต่างๆ ที่ไป๋อวี๋พูด มันเป็นสิทธิ์ของเธอค่ะ ฉันไม่อาจตัดสินความจริงใจหรือเสแสร้งของคนอื่นได้ สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือการทำตัวเองให้ดีที่สุด


 


 


“สุดท้าย เรื่องที่ว่าใครมีอีคิวสูงกว่ากัน ฉันคิดว่ามันไม่มีสาระอะไรที่จะมาถกเถียงกันเรื่องนี้เพราะมุมมองของเราแตกต่างกัน ดังนั้นวิธีการของเราจึงแตกต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากจะระบุว่านับตั้งแต่วินาทีที่ฉันประกาศกลับคืนวงการ ฉันพูดเสมอว่าฉันไม่ใช่คนที่ใจดีนัก ฉันจะไม่มีวันยกโทษให้ใครก็ตามที่กลั่นแกล้งฉันจากเงามืด และฉันจะเคารพคนที่เคารพในตัวฉัน


 


 


“ท้ายที่สุด สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือมอบความจริงใจและเวลาให้กับคนที่ฉันใส่ใจ ไม่ว่าคุณจะมองว่าฉันหยิ่งยโสหรือเย็นชา ฉันก็ขอไม่เสียเวลากับคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับฉัน ดังนั้นนับจากนี้ไป ไม่ว่าใครจะต้องการสร้างข้อเปรียบเทียบหรือสร้างข่าว ฉันจะยิ้มและไม่ใส่ใจกับคนพวกนั้น เพราะฉันรู้ว่าฉันอยากจะเดินไปในเส้นทางไหนและต้องการจะเป็นคนแบบไหน…


 


 


“ฉันขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจในตัวฉันค่ะ ฉันแค่อยากจะบอกทุกคนว่าถังหนิงได้หวนคืนสู่วงการอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว!”


 


 


ทันทีที่ถังหนิงพูดจบ บรรดานักข่าวต่างแสดงปฏิกิริยาที่หลากหลาย


 


 


เพราะเป็นเรื่องยากที่จะหาคนที่ตรงไปตรงมาอย่างถังหนิงในวงการนี้


 


 


เธออาจไม่ใจดีกับใครบางคน แต่เธอจะไม่ใช้อุบายไร้สาระกับคนพวกนั้นเช่นกัน เพราะเธอไม่ต้องการเสียเวลากับคนพวกนั้น!


 


 


เธอตระหนักดีถึงตัวตนและคุณค่าของตัวเอง เธอไม่เคยหลงตัวเอง แต่เธอก็ไม่เคยลดตัวลงมาเพื่อคนอื่นเช่นกันเพราะเธอจะไม่มีวันหยุดพัฒนาเพราะคนอื่น


 


 


นี่แหละถังหนิง… 

 

 


ตอนที่ 755 พระชายาของเราน่าทึ่งที่สุด

 

[ถังหนิงกำลังจะบอกว่าเธอไม่เคยเก็บเอาไป๋อวี๋มาใส่ใจเลยงั้นสินะ]


 


 


[ความหมายในคำพูดของถังหนิงมันชัดเจนอยู่แล้ว เธอไม่อยากถูกเปรียบเทียบกับใครเพราะเธอมีเส้นทางของตัวเองให้เดินไงล่ะ!]


 


 


[คำพูดต่างๆ ของไป๋อวี๋ฟังดูแปลกๆ ไปเลย…]


 


 


[ในวงการนี้มีศิลปินอยู่ในกี่คนหรอกที่รู้จักคิดเพื่อตัวเอง ดังนั้นถังหนิงถือเป็นคนแบบที่หาได้ยากนะ ส่วนไป๋อวี๋รู้แค่วิธีเลียนแบบเส้นทางของคนอื่น ถ้าเอาสองคนนี้มาเปรียบเทียบกันจะเห็นความแตกต่างได้ทันทีเลย]


 


 


คนที่พูดว่าถังหนิงทำตัวเป็นปลิงเกาะกระแสไป๋อวี๋ต้องถึงกับหน้าแดงด้วยความอับอาย เพราะในความเป็นจริงนั้น ถังหนิงไม่เคยแม้แต่จะสนใจไป๋อวี๋ ไป๋อวี๋ต่างหากที่ประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป


 


 


เช่นเดียวกันคนที่พูดว่าถังหนิงกำลังออกมาโชว์อีคิว ถังหนิงทำเพียงแค่พูดในสิ่งที่เธอคิด เธอไม่เคยมีความคิดที่จะเปรียบเทียบอะไรกับไป๋อวี๋เลย การที่ไป๋อวี๋ออกมาพูดแทนถังหนิงระหว่างการสัมภาษณ์ต่างๆ เป็นเรื่องที่เธอทึกทักเอาเองทั้งสิ้น


 


 


พูดง่ายๆ ว่า ใจความสำคัญที่ถังหนิงสื่อคือไม่ว่าไป๋อวี๋จะพูดหรือทำอะไร ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวของกับเธอ เธอเพียงแค่ต้องการโฟกัสไปที่การแสดงของเธออย่างสงบสุขเท่านั้น


 


 


ขณะที่ไป๋อวี๋คิดว่าตัวเองได้สร้างความลำบากให้ถังหนิงไว้มากมาย ถังหนิงกลับไม่สะทกสะท้านและหลบหลีกปัญหาทุกอย่างที่ถูกโยนใส่ได้อย่างมีชั้นเชิง


 


 


[ฮะๆๆ ไป๋อวี๋ต้องขายหน้ามากแน่ๆ สร้างเรื่องเขียนบททุกอย่างขึ้นมาเอง แล้วโดนถังหนิงสะบัดบ๊อบใส่ในตอนสุดท้าย]


 


 


[ฉันอยากให้ถังหนิงร้อยคะแนนเต็มสำหรับการโต้ตอบในครั้งนี้เลย ในฐานะศิลปิน ไม่จำเป็นต้องทำตัวสมบูรณ์แบบต่อหน้าทุกคนหรอก ไม่งั้นคนดูก็พุ่งเป้าไปที่ข้อบกพร่องของคนคนนั้น คอยดูเถอะ ทันทีที่ไป๋อวี๋เกิดมีข่าวฉาวอะไรขึ้นมาละก็ มันจะต้องแย่ยิ่งกว่าแย่แน่ ไม่เหมือนถังหนิงที่พูดตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวเองไม่ใช่คนใจดีแล้วทุกคนก็เข้าใจจุดนี้ดี ต่อให้ถังหนิงมีข่าวฉาวในอนาคต ทุกคนก็จะเข้าใจการตัดสินใจของเธอถ้ามีใครสักคนเกิดล้ำเส้นขึ้นมา]


 


 


[ไป๋อวี๋ กลับไปเล่นที่บ้านไป ถังหนิงไม่อยากเล่นกับเธอหรอก]


 


 


ทุกย่างก้าวของถังหนิงล้วนแต่ใช้งานได้จริง ไม่ว่าใครจะพยายามเข้ามายุ่งย่ามชีวิตเธอแค่ไหน เธอก็ยังคงอยู่ในเส้นทางของตัวเองเสมอ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับการเปรียบเทียบของคนอื่น


 


 


หลังการให้สัมภาษณ์ บรรดานักข่าวก็ทยอยเดินออกจากบริเวณงาน ทุกคนเดินออกมาด้วยท่าทีพึงพอใจ แม้แต่ตอนที่กำลังเดินออกมานั้น ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “ไอหยา ถังหนิงนี่เกลียดไม่ลงจริงๆ นะ ไม่ว่าเราจะแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์กับเธอแค่ไหน สุดท้ายเราก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจของเธออยู่ดี”


 


 


“จนถึงตอนนี้ ถังหนิงถือเป็นคนที่อวดตัวน้อยที่สุดเท่าที่ฉันรู้จักมาเลยนะ ดูเวลาที่ไป๋อวี๋เอาไปสนใจคนอื่นสิ จะมีเวลาที่ไหนเหลือไปฝึกฝนการแสดงกัน คำพูดของไป๋อวี๋อาจจะฟังดูดีนะ แต่ที่จริงแล้วร้ายน่าดู…”


 


 


“ใครสนล่ะ ถังหนิงพูดแล้วว่าเธอไม่ใส่ใจเรื่องไป๋อวี๋ แล้วเราจะไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไมกัน ตราบใดที่ยังมีข่าวให้เขียน นั่นต่างหากที่สำคัญ!”


 


 


“ถูกเผง! ถึงไป๋อวี๋จะให้สัมภาษณ์ด้วยดีมาตลอด แต่ก็ไม่มีสักคนที่เธอจะไม่พูดวกวนอยู่กับคำตอบของตัวเอง ในขณะที่ต่อให้ถังหนิงไม่ค่อยให้สัมภาษณ์เพราะไม่ชอบเป็นจุดเด่น แต่ทุกคำที่เธอพูดกับสื่อล้วนแต่เป็นคำพูดที่พวกเราอยากได้ยินทั้งนั้น ฉันรู้สึกว่ายังไงก็ต้องอยู่ข้างถังหนิงนั่นแหละ”


 


 


“ฉันอยากสัมภาษณ์คนแบบถังหนิงอีกเยอะๆ เลย แบบนั้นเราจะใช้ชีวิตในฐานะนักข่าวบันเทิงต่อไปได้!”


 


 


ไม่ว่ายังไง การเบี่ยงเบนประเด็นอย่างมีชั้นเชิงของถังหนิงได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์


 


 


นี่ทำให้บรรดาแฟนๆ ของถังหนิงรู้สึกภาคภูมิใจ


 


 


ไม่ว่าแฟนคลับของไป๋อวี๋จะพูดอะไรเกี่ยวกับถังหนิงก็ไม่สำคัญ เพราะแฟนคลับของถังหนิงจะไม่เล่นด้วยอยู่แล้ว ถึงอย่างไรทั้งตำแหน่งพรีเซนเตอร์แบรนด์ยักษ์ใหญ่ ทั้งบทละครชั้นเยี่ยม ทั้งเอเจนซี่ที่ทรงอำนาจที่สุดและชายผู้เป็นเจ้าของล้วนแล้วแต่เป็นของถังหนิงทั้งสิ้น


 


 


บรรดาแฟนคลับของไป๋อวี๋ต่างโกรธแค้น แต่การโจมตีของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับการต่อยลงบนผ้านวมนุ่มๆ ที่ทั้งไร้เรี่ยวแรงและอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้กำลังจะอกแตกตายแต่พวกเขาไม่อาจพูดยั่วยุอะไรแฟนคลับของถังหนิงได้


 


 


เช่นเดียวกับคนที่ก่อนหน้านี้ต่อต้านการที่ถังหนิงจะแสดงในเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ทันทีที่พวกเขาเห็นการกลับคืนวงการอย่างเต็มภาคภูมิของถังหนิงพร้อมด้วยรูปร่างที่ดียิ่งกว่าแต่ก่อน ประกอบกับความมั่นคงทางจิตใจ พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมศิโรราบให้กับเธอ


 


 


[ถ้าเรามองไปรอบๆ วงการบันเทิงของปักกิ่งทุกวันนี้ นอกจากถังหนิงก็ไม่มีใครเหมาะจะเป็นซิงหลานอีกแล้ว เธอจริงจังกับการแสดงจริงๆ!]


 


 


[หน้าแตกไปอีก! คุณถังหนิง คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจวิถีทั้งหมดของโลกหรอก พวกเราจะเป็นแรงสนับสนุนให้คุณเอง คุณแค่ทุ่มเทให้กับการแสดงเป็นพระชายาของคุณก็พอแล้ว]


 


 


[ถังหนิงต้องไม่เป็นไรแน่ ฉลองให้กับพระชายา!]


 


 


[ใครอีกคนกำลังจะถูกบีบเป็นชิ้นๆ พระชายาของเราน่าทึ่งที่สุด!]


 


 


ผู้คนมากมายคาดหวังให้ถังหนิงออกมาอธิบายเกี่ยวกับไป๋อวี๋ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นถังหนิงคงเป็นคนที่น่าผิดหวังน่าดู…


 


 


กลับกัน…


 


 


…เธอกลับไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อยในขณะจ้องมองทุกคนโดยไม่สะทกสะท้าน


 


 


อ๋อ ผู้หญิงคนนั้นอยากจะแข่งกับฉันงั้นเหรอ อยากทำอะไรก็ตามสบายเลย…


 


 


ผู้หญิงคนนั้นออกมาพูดแทนฉันงั้นเหรอ ฉันไม่เคยบอกให้ทำแบบนั้นสักหน่อย…


 


 


ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะข่มฉันผ่านหัวข้อข่าวงั้นเหรอ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย…


 


 


เมื่อประชาชนสรุปเรื่องนี้ก็ดูเหมือนทว่าสิ่งเดียวที่ถังหนิงไม่ได้ทำคือกลอกตาแล้วคิดในใจว่า ฉันไม่อยากเล่นด้วยหรอกนะ!


 


 


ในช่วงเวลาแบบนี้ ความนิ่งเงียบได้ผลดีกว่าคำพูด…


 


 



 


 


ไป๋อวี๋ดูบันทึกการสัมภาษณ์ของถังหนิงอยู่ที่บ้าน ก่อนจะโยนคอนพิวเตอร์ทิ้งแล้วเดินกลับไปกลับมาพลางกุมหัวไปด้วย


 


 


ถังหนิงดูถูกเธอ!


 


 


ถังหนิงไม่เคยคิดอะไรกับเธอเลยตั้งแต่แรก!


 


 


ที่จริงถังหนิงไม่เคยมองเธอเป็นคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ!


 


 


ไป๋อวี๋เกือบจะต่อยใส่ผนัง เธอไม่เคยรู้สึกอับอายแต่ทำอะไรไม่ได้แบบนี้มาก่อนในชีวิต


 


 


แล้วแบบนี้เธอจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอพวกนักข่าว


 


 


“พี่…”


 


 


“ออกไป” ไป๋อวี๋ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดใส่ไป๋หลินหลินผู้เพิ่งจะเดินก้าวเข้ามาหาเธอในห้อง แต่ไป๋หลินหลินไม่อาจรับมือกับการถูกปฏิบัติแบบนี้ได้ จึงหันหลังวิ่งน้ำตาเอ่อออกไปจากห้องทำงานของไป๋อวี๋ ขณะที่ไป๋หลินหลินกำลังก้าวพ้นจากประตูหน้าบ้าน เธอก็ไปชนเข้ากับอ้อมแขนของสามีไป๋อวี๋


 


 


“หลินหลิน มีอะไรหรือเปล่า”


 


 


“พี่เขย… พี่ต้องอยู่ข้างฉันนะ” ไป๋หลินหลินกล่าวกับสามีของไป๋อวี๋พร้อมน้ำตาไหลพราก


 


 


“ไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนเถอะ แล้วค่อยเล่าทุกอย่างให้พี่ฟัง”


 


 


สามีไป๋อวี๋เป็นชายอเมริกันแท้ เขาทั้งสูง ร่างกายกำยำ หน้าตาหล่อเหลาและช่วงหนึ่งเคยปรากฏตัวบนรันเวย์อยู่บ่อยครั้ง หลังจากนั้นเขาก็ผันตัวมาเป็นผู้กำกับและนักแสดงในฮอลลีวูด โดยเคยผ่านการแสดงมาแล้วหลายบทบาท ทำให้เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง เมื่อเขาเจอไป๋อวี๋เป็นครั้งแรก มันก็เป็นรักแรกพบของเขา ทำให้ทั้งคู่แต่งงานกันหลังจากคบหากันได้เพียงครึ่งปีก


 


 


ภายในจิตใต้สำนึกของไป๋หลินหลิน นับตั้งแต่วัยเด็กเธอไม่เคยได้รับการปลอบโยนจากผู้ชายมาก่อน ดังนั้นทันทีที่สามีของไป๋อวี๋แสดงความห่วงใยต่อเธอ หญิงสาวก็กอดเขาด้วยความรักใคร่และไม่ยอมปล่อยอีกฝ่าย


 


 


“พี่เขย พี่สาวรังแกฉัน!”


 


 


“ไม่เป็นไรนะ ไหนเล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


 


คนหนึ่งที่ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคนต่างเพศกับอีกคนที่เป็นชายชาวอเมริกันใจกว้าง ดังนั้นน้องเมียกับพี่เขยจึงไม่ทันได้สังเกตว่าในขณะนั้นการกระทำของพวกตนดูใกล้ชิดกันมากแค่ไหน


 


 


ไป๋หลินหลินอธิบายเรื่องที่ไป๋อวี๋ตวาดใส่เธอให้พี่เขยฟัง และชายคนนั้นก็รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปลอบโยนทันที “พี่สาวเธอกำลังอารมณ์ไม่ดี จากนี้ไปถ้าเธอมีปัญหาอะไร มาบอกพี่นะ พี่จะอยู่ข้างเธอเอง”


 


 


“โอเคค่ะ พี่เขยใจดีที่สุดเลย”


 


 


พูดจบไป๋หลินหลินก็กอดรัดชายคนนั้นแน่นยิ่งกว่าเดิม


 


 


ชายคนนั้นต้องมนตร์สะกดในกลิ่นตัวอันหอมหวนของหญิงสาววัยรุ่นและในขณะนั้นเขาจึงได้ตระหนักว่าร่างกายเขามีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา กระนั้นเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหลังจากแต่งงานกับไป๋อวี๋มานาน เธอไม่เคยทำให้เขาพึงพอใจได้เลย…


 


 


ดังนั้นขณะที่ไป๋อวี๋กำลังจดจ่ออยู่กับการเอาชนะถังหนิงอยู่นั้น เธอหารู้ไม่ว่าตนกำลังจะบ้านแตกสาแหรกขาด… 

 

 


ตอนที่ 756 ในที่สุดก็มีสิ่งที่ประธานโ...

 

ไม่นานหลังจากนั้น ไห่รุ่ยก็ประกาศว่า ‘หวงเฟยยอดสตรี’ กำลังจะทำการออดิชั่นบทนักแสดงนำชาย โม่ถิงนั่นเป็นประธานบริษัทของไห่รุ่ย ดังนั้นคำตัดสินของเขาจึงเด็ดขาดและถือเป็นที่สุด นอกจากหลินเซิงและเป่ยเฉินตงแล้ว ยังมีนักแสดงชายอีกสองคนที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยมในปักกิ่งนั่นคือหลงซิงและลู่อี่หลิง


 


 


ชายทั้งสองมักจะได้รับการเสนอชื่อว่าเป็นนักแสดงยอดเยี่ยม ดังนั้นหน้าที่ของโม่ถิงคือการเลือกคนที่เหมาะสมกับบทนี้มากที่สุดระหว่างสองคนนี้


 


 


แน่นอนว่าโม่ถิงดูจะเอนเอียงมาทางหลงซิงมากกว่า โม่ถิงมักจะให้ความสำคัญกับความสามารถของคนคนนั้นมากกว่าหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอก แต่ถ้าถังหนิงเกิดสามารถปลุกสามารถในการแสดงของลู่อี่หลิงได้ในระหว่างการแสดงด้วยกันล่ะ


 


 


โชคร้ายที่เมื่อถึงวันออดิชั่น ทั้งหลงซิงและลู่อี่หลิงกลับไม่ปรากฏตัวทั้งคู่


 


 


คนหนึ่งปฏิเสธเนื่องจากตารางงานเต็มแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพักงานนานหกเดือนเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ


 


 


ตัวเลือกสองอันดับแรกหาข้ออ้างที่จะไม่ร่วมงานกับไห่รุ่ยได้สำเร็จ!


 


 


แม้แต่ตอนที่ผู้จัดการของทั้งคู่เดินทางมาที่บริษัทเพื่อให้คำอธิบาย พวกเขาก็ยังดูหมดหนทาง “หลงซิงเปลี่ยนตารางงานมาไม่ได้จริงๆ ครับ พวกเราต้องขอโทษจริงๆ นะครับผู้ช่วยลู่เช่อ หลงซิงอยากจะเล่นละครเรื่องนี้ แต่ในฐานะศิลปิน เขาไม่สามารถกลับคำแล้วปฏิเสธงานที่ตกลงไว้กับที่อื่นแล้วได้ เพราะฉะนั้น…”


 


 


“ผู้ช่วยลู่คะ นี่คือผลตรวจร่างกายของลู่อี่หลิงค่ะ กระเพาะอาหารและตับของเขากำลังแย่เนื่องจากการทำงานหนักเกินไป ทำให้เอเจนซี่ของเราต้องให้เขาพักงานนานหกเดือน เพราะถึงยังไงสุขภาพก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกเราต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำเช่นนี้นะคะ”


 


 


แม้ลู่เช่อจะไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมชายทั้งสองถึงปฏิเสธไห่รุ่ย แต่เขาก็ไม่คิดจะเปิดโปงคำโกหกที่อยู่เบื้องหลังข้อแก้ตัวเหล่านั้น เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้เรื่องราวที่แท้จริงอยู่ดี


 


 


“ท่านประธานครับ เรื่องทั้งหมดก็ประมาณนี้ครับ บรรดาผู้จัดการของทั้งสองคนมากล่าวคำขอโทษคนแล้วคนเล่า จากที่ดู พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะเป็นปรปักษ์กับไห่รุ่ยแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น” ลู่เช่อวางข้อมูลบางส่วนลงบนโต๊ะทำงานของโม่ถิงและกล่าวต่อ “ผมตรวจสอบข้อมูลพวกนี้แล้วและยืนยันว่าสิ่งที่ผู้จัดการพวกนั้นพูดเป็นความจริงครับ ถึงพวกเราจะรู้ดีว่าเอกสารพวกนี้สามารถปลอมขึ้นมาได้ก็ตาม”


 


 


“รวบรวมรายชื่อนักแสดงชายมาให้ฉันใหม่ แล้วลดเงื่อนไขลงด้วย” โม่ถิงออกคำสั่งโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง


 


 


“ตอนนี้เราอยู่ในจุดที่นักแสดงเลือดใหม่ๆ ที่มีประสบการณ์มีไม่มากพอมาแทนที่นักแสดงหน้าเก่าที่อยู่มานานหลายปี อาจจะต้องเอาเป่ยเฉินตงกับหลินเซิงกลับมาพิจารณาอีกครั้ง แต่ทั้งสองคนเคยร่วมงานกับคุณผู้หญิงมาแล้วและเป่ยเฉินตงเองก็ใส่ชุดแนวย้อนยุคไม่ขึ้นนัก ถ้าเราเอาจุดนี้มาพิจารณาก็ดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีนักแสดงคนไหนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับบทนี้ได้เลยนะครับ”


 


 


“ในวงการใหญ่ขนาดนี้เรายังไม่สามารถหานักแสดงชายที่มีคุณภาพได้สักคนเลยเหรอ…”


 


 


“พวกนักแสดงที่ไม่ได้ดังมากแต่ภายนอกดูโดดเด่นก็มีอยู่ครับ แต่พอเป็นนักแสดงที่ดูแล้วไม่มีวี่แววจะดังได้ ผมก็ไม่อยากเสี่ยง” ลู่เช่อยื่นข้อมูลของศิลปินคนอื่นๆ ให้โม่ถิง “ถ้าประธานมีเวลาค่อยดูก็ได้ครับ”


 


 


ใช้เวลาไม่นานถังหนิงก็ได้ยินข่าวเรื่องที่ผู้สมัครบทพระเอกสองคนไม่มาร่วมการออดิชั่น แต่คนพวกนั้นคิดว่าไห่รุ่ยเป็นใครอย่างนั้นหรือ มีใครกล้าปฏิเสธไห่รุ่ยอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่ามีคนเจตนาไม่ดีจงใจยื่นข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจกว่าให้ทั้งสองคนนั้น


 


 


ยังจะมีเหตุผลอะไรอีกที่จะขัดขวางการออดิชั่นบทนักแสดงนำชายของละครเรื่องนี้ ส่งผลให้ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ยังไม่อาจหานักแสดงชายในวงการที่คู่ควรกับมาตรฐานระดับสูงของละครเรื่องนี้ได้เป็นการชั่วคราว


 


 


ทุกคนต่างรู้ดีว่าการคัดเลือกนักแสดงที่ดีให้เหมาะสมกับบทที่ดีนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญ มันเป็นหนี่งในปัจจัยที่ตัดสินความสำเร็จของละครสักเรื่องหนึ่ง…


 


 


หลังถังหนิงกล่อมลูกชายทั้งสองเข้านอนเรียบร้อยแล้ว เธอก็หยิบบทละคร ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ขึ้นมาดู อันที่จริงการที่สิ่งต่างๆ ดำเนินมาถึงจุดนี้นับเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ…


 


 



 


 


ทุกอย่างเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ตอนที่ไป๋อวี๋ได้ยินมาว่าหลงซิงและลู่อี่หลิงมีความเป็นไปได้ที่จะได้ร่วมงานกับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’


 


 


ในเมื่อโม่ถิงและถังหนิงหมายตาชายสองคนนี้ เธอจะต้องหาวิธีเอาตัวพวกเขามา


 


 


ดังนั้นเธอจึงไปพบกับหลงซิงและลู่อี่หลิงทีละคนและใช้คำพูดของเธอในการหลอกล่อพวกเขา


 


 


“ละครเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เป็นละครที่เน้นบทนางเอกนะ สุดท้ายถังหนิงก็จะกลายเป็นคนเดียวที่ได้เฉิดฉาย ในขณะที่คุณจะเสียเวลาเปล่า มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรให้คุณมีโอกาสชนะรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมมเลยสักนิด คุณก็รู้นี่ว่าถังหนิงเป็นสมบัติล้ำค่าของโม่ถิง ถ้าคุณร่วมงานกับละครเรื่องนี้ คุณคิดเหรอว่าคุณจะมีสิทธิ์อะไรเหลือในกองถ่ายบ้าง


 


 


“กลับกัน ถ้าคุณเซ็นสัญญากับเอเจนซี่ฉัน ทุกอย่างจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะถังยังไงเราก็มีพื้นเพอยู่ที่ฮอลลีวูด ถ้าคุณร่วมงานกับเรา เราจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคุณกับตลาดระดับโลก คุณคิดว่าไห่รุ่ยสามารถทำอะไรแบบนั้นให้คุณได้หรือเปล่า”


 


 


แม้สิ่งที่ไป๋อวี๋ทำจะเป็นการกระทำที่สกปรกอย่างที่สุด ทั้งหลงซิงและลู่อี่หลิงต่างต้องยอมรับว่าการวิเคราะห์ของไป๋อวี๋นั่นไม่มีอะไรผิด


 


 


ใช่ พวกเขาอาจจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจากการร่วมงานกับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แต่… พวกเขาก็เป็นคนที่ได้รับความนิยมอยู่แล้วนี่ สิ่งที่พวกเขาต้องการในตอนนี้คือการได้รับการยอมรับและการทำงานในต่างประเทศเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะดึงพวกเขาไปอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ หลังจากการร่วมงานกับต่างประเทศและกลับมายังจีนพวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก เมื่อถึงเวลาคงยากที่จะจินตนาการว่าอาชีพนักแสดงของพวกเขาจะก้าวหน้าไปถึงขั้นไหน


 


 


ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะปฏิเสธการร่วมออดิชั่นของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’


 


 


ทำให้ไห่รุ่ยไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับบทนักแสดงนำชายอีกต่อไป


 


 


โม่ถิงกับถังหนิงต่างเป็นพวกรักความสมบูรณ์แบบ ต่อให้พวกเขาไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากการเลือกนักแสดงเกรดรองลงมา พวกเขาก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบมากกว่าจะเลือกคนก็ได้มาแบบสุ่มๆ เพื่อรับบทนี้


 


 



 


 


โม่ถิงเดินทางกลับมาถึงบ้านตอนหนึ่งทุ่ม ก็พบว่าถังหนิงกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว เขารีบเดินเข้าไปหาเธอและโอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังทันที


 


 


“ทำไมคุณดูเหนื่อยจังคะ คุณกลัวว่าฉันจะไม่มีใครมาแสดงบทพระเอกด้วยงั้นเหรอ”


 


 


“ไห่รุ่ยยังไม่ถึงจุดที่ไม่สามารถหาพระเอกได้หรอกครับ” โม่ถิงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก


 


 


“งั้นทำไมคุณถึงดูไม่มีความสุขแบบนี้ล่ะ”


 


 


“ผมอยากหาสิ่งที่ดีที่สุดให้คุณ”


 


 


ฉับพลันถังหนิงวางหม้อในมือลงแล้วหันกลับมาสบตาโม่ถิง “ถ้าคุณต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับฉันจริงๆ ฉันคิดว่าฉันมีคนที่เหมาะสมที่สุดในใจอยู่แล้ว ฉันแค่ไม่แน่ใจว่าคุณจะเห็นด้วยหรือเปล่า”


 


 


โม่ถิงมองลึกเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของถังหนิงและพอจะเดาคร่าวๆ ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิดอยู่ได้ “ผมแสดงไม่ได้หรอกนะ”


 


 


“อย่ามาโกหก คุณปู่บอกฉันมาตั้งนานแล้วว่าคุณแสดงได้…” ถังหนิงรีบโต้แย้ง “ฉันคุยกับคุณปู่แล้ว ถ้าคุณต้องการจะแสดงละครเรื่องนี้ คุณปู่จะกลับมาบริหารไห่รุ่ยให้ชั่วคราว คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการบริหารงานของไห่รุ่ย”


 


 


“ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องทำอะไรแบบนี้ หัวใจผมมันกำลังต่อต้าน” โม่ถิงตอบอย่างซื่อตรง


 


 


ท้ายที่สุด ถังหนิงก็พยักหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณไม่อยากเล่นก็ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ เราจะหาคนอื่นแทน ฉันแค่คิดว่ามันน่าเสียดาย ฉันแน่ใจว่าคุณจะต้องสร้างความประหลาดใจให้ทุกคนในชุดย้อนยุคแน่ๆ น่าเสียดายที่คุณไม่ชอบ”


 


 


โม่ถิงไม่พูดอะไรพลางกุมมือของถังหนิงแน่นขึ้น


 


 


“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ นะคะ เป็นความผิดของฉันเองที่บังคับให้คุณทำอะไรที่คุณไม่อยากทำ”


 


 


“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นครับ เอาอย่างนี้ไหม ผมสัญญาว่าถ้าเราหาพระเอกไม่ได้จริงๆ ผมจะเป็นตัวสำรองให้”


 


 


“คุณจะเอาตัวเองมาเป็นตัวสำรองได้ยังไง…” ถังหนิงปฏิเสธ


 


 


“แต่ผมแสดงไม่ได้จริงๆ …”


 


 


ถังหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ ฉันคิดว่าในที่สุดก็มีสิ่งที่ท่านประธานโม่ทำไม่ได้แล้ว…”


 


 


แต่ลึกๆ แล้ว… เธอไม่เชื่อเขาเลยสักนิด! 

 

 


ตอนที่ 757 ไปพบผู้จัดการของเขา

 

ลู่เช่อรวบรวมรายชื่อนักแสดงชายที่เข้าตากลุ่มใหม่และวางลงบนโต๊ะทำงานของโม่ถิง เขายังวางรายละเอียดของคนคนหนึ่งที่เขามองเป็นการส่วนตัวว่ามีความเหมาะสมมากที่สุดไว้บนสุดของกองเอกสารอีกด้วย


 


 


“ระหว่างการคัดเลือกนักแสดง ผมเจอคนหนึ่งที่ออกจะดูถือตัวสักหน่อย แต่การแสดงอยู่ในระดับที่ดี เขามีชื่อว่าหวงฝู่ซั่ว ดูเหมือนแนวทายาทตระกูลที่มีฐานะและตรงตามคุณสมบัตินักแสดงชายที่เรากำลังมองหาอยู่ ถึงจะดูบุ่มบ่ามไปบ้างแต่ก็ไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดใหญ่โตอะไร บางทีเราอาจจะสามารถฝึกฝนเขาได้บ้าง ที่สำคัญที่สุดคือเขาเองก็ค่อนข้างสนใจบทนี้ครับ…”


 


 


โม่ถิงเปิดดูข้อมูลของหวงฝู่ซั่วและเอ่ยถามลู่เช่อ “เคยติดต่อไปหรือยัง”


 


 


“เคยแล้วครับ ผู้จัดการของเขาบอกว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ระหว่างพักเบรก แต่เขาพร้อมที่จะกลับมาเริ่มงานได้ทุกเมื่อ” ลู่เช่อพยักหน้า


 


 


“ขอฉันดูผลงานเก่าๆ ก่อน ระหว่างนั้นช่วยหาข้อมูลของคนคนนี้มาเพิ่มด้วย ยิ่งหาข้อมูลมาได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี” โม่ถิงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางโยนเอกสารข้อมูลไปด้านข้าง


 


 


“ผมเตรียมข้อมูลมาไว้ให้แล้วครับ ข้อมูลของเขาอยู่ทางด้านซ้าย ท่านประธานสามารถหยิบมาดูได้เมื่อมีเวลา ที่สำคัญที่สุดคือนักแสดงคนนี้เชิญตัวค่อนข้างยาก ถ้าท่านประธานลงมือเอง ผมมั่นใจว่าจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอนครับ”


 


 


ในบางแง่มุม ลู่เช่อค่อนข้างชอบนิสัยบ้าระห่ำของหวงฝู่ซั่ว


 


 


ศิลปินชายคนนี้พึ่งพาแต่พรสวรรค์ของตัวเองในการหาเงินเลี้ยงปากท้องและไม่มีความทะเยอทะยานอะไรมากนัก แต่เมื่อถึงเวลาทำงาน เขาจะทุ่มเทให้กับงานอย่างถึงที่สุด ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือเขาค่อนข้างเป็นคนเจ้าชู้ มักพยายามใช้คำพูดที่ฟังดูไม่ค่อยดีนักเพื่อดึงดูดความสนใจจากนักแสดงหญิงคนอื่นๆ


 


 


ลู่เช่อเคยเห็นบทสัมภาษณ์ของหวงฝู่ซั่วมาบ้าง ซึ่งออกมาดีและไม่ทำให้ภาพลักษณ์การเป็นนักแสดงของเขาเสียหาย


 


 


แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาเคยมีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับไป๋อวี๋…


 


 


“เขาน่าสนใจจริงๆ …”


 


 


“หวงฝู่ซั่วไม่มีที่ติครับ ทุกอย่างที่เขาทำขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาในตอนนั้น เขาไม่ชอบให้ใครมาพูดเยินยอและเลือกรู้สึกตื่นเต้นจากการท้าทายใหม่ๆ มากกว่า” ลู่เช่ออธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


 


“ไปพบผู้จัดการของเขาแล้วหารือเรื่องความร่วมมือของเรา ที่สำคัญ จัดการออดิชั่นให้หวงฝู่ซั่วด้วย”


 


 


โม่ถิงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับศิลปินคนนี้มาก่อน เขามักจะเข้าไปเกี่ยวพันกับข่าวฉาวซุบซิบอยู่บ่อยครั้ง แต่เรื่องพวกนั้นไม่เคยทำให้เขากลัวเลย เขาเพียงแต่สนใจเรื่องของตัวเองในวงการบันเทิงเท่านั้น แต่เขามีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นนั่นคือความมุ่งมั่นในการแสดงของเขา ความเป็นมืออาชีพที่เขามีนั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่านักแสดงชื่อดังคนอื่นๆ เลย


 


 


แน่นอนว่าหากไห่รุ่ยต้องการจะใช้งานนักแสดงชายแบบนี้นั่นถือเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่


 


 


ก้าวผิดเพียงครั้งเดียว การถ่ายทำทั้งหมดก็จะพังพินาศไปด้วย


 


 


แต่ใครกำลังจัดการเรื่องนี้กันล่ะ


 


 


เขาคือโม่ถิง


 


 


ตราบใดที่เขายังอยู่ในวงการนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่สามารถควบคุมได้


 


 



 


 


“พวกเธอได้ยินเรื่องที่ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ยังหาคนมาแสดงเป็นพระเอกไม่ได้หรือเปล่า”


 


 


ทีมงานของ ‘ชายาหนิง’ ซุบซิบกันระหว่างที่มีเวลาว่าง แต่น้ำเสียงของพวกเธอแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังสะใจกับโชคร้ายของคนอื่น เพราะถึงอย่างไรละครทั้งสองเรื่องก็เป็นคู่แข่งกันและถังหนิงปฏิเสธพวกเขาต่อหน้าทุกคน ดังนั้นด้วยนิสัยที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินว่ากองถ่ายของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ยังไม่มีความคืบหน้าไปไหน


 


 


“หลังจากกล่าวหาคนอื่นก็สมควรได้รับผลกรรมแล้วละ นี่แหละเขาถึงเรียกกันว่ากรรมตามสนอง”


 


 


“ถังหนิงทำตัวจองหองนักนี่ มาดูสิว่าคราวนี้จะเอาตัวรอดอีท่าไหน ฉันได้ยินมาว่านักแสดงชายที่ถูกหมายตาไว้ปฏิเสธบทนี้ทั้งคู่ สะใจจริงๆ!”


 


 


“ทีมงานกระจอกแบบนั้นมาเป็นคู่แข่งพวกเราได้ยังไงกัน”


 


 


ขณะที่ไป๋อวี๋เพิ่งถ่ายทำเสร็จ เธอก็บังเอิญได้ยินสิ่งที่ทีมงานกำลังซุบซิบนินทากันและอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะนั่นคือวัตถุประสงค์หลักของเธอ


 


 


จากนั้นไป๋อวี๋และผู้ช่วยก็เดินทางออกจากสตูดิโอและกลับไปยังโรงแรมที่จัดไว้ให้ทีมงานได้พักผ่อน แต่เมื่อเธอคิดถึงเหตุการณ์ที่เธอตวาดใส่หน้าน้องสาวของตัวเอง ไป๋อวี๋ตัดสินใจที่จะโทรหาอีกฝ่ายเพื่อขอโทษ


 


 


แต่กลับมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อคนที่รับสายโทรศัพท์ของน้องสาวเธอกลับเป็นผู้ชายคนหนึ่ง


 


 


“นายเป็นใคร”


 


 


ทันทีที่ปลายสายได้ยินเสียงเธอก็รู้ว่านั่นคือเสียงไป๋อวี๋ เขารีบกดวางสายทันที ไป๋อวี๋คิดว่าชายคนนั้นคือคนที่ไป๋หลินหลินเจอระหว่างทำตัวเหลวไหล เธอจึงโทรหาน้องสาวอีกครั้ง “ใช้ไม่ได้จริงๆ!”


 


 


“พี่อวี้ อย่าโกรธไปเลย หลินหลินยังเด็กนะ”


 


 


“เด็กงั้นเหรอ…” ไป๋อวี๋กลับเข้าไปในโรงแรมด้วยสีหน้าผิดหวังโดยไม่ระแคะระคายชายเจ้าของเสียงในโทรศัพท์ของไป๋หลินหลินเลย


 


 


หลังอาบน้ำเสร็จ ไป๋อวี๋ก็โทรหาสามีเธอ ทั้งคู่กล่าวราตีสวัสดิ์ซึ่งกันและกันเฉกเช่นทุกครั้งก่อนที่ไป๋อวี๋จะหลับไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น แต่เธอไม่รู้เลยว่าชายที่เธอเชื่อมั่นอย่างหมดหัวใจนั้นตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง มีน้องสาวที่กำลังเมามายของเธออยู่ในอ้อมแขน


 


 


“พี่เขย พี่หล่อจังเลย… พี่เขย”


 


 


ไป๋หลินหลินกำลังเมาไม่ได้สติ แต่เธอยังรู้ตัวว่าเธอกำลังอยู่กับใคร


 


 


ชายคนนั้นดึงไป๋หลินหลินมาอิงไหล่ของเขา หลังจากหยิบกุญแจห้องออกมา เขาพยุงไป๋หลินหลินเข้าไปในห้องก่อนจะวางเธอลงบนเตียง…


 


 


“หลินหลิน… เธอชอบพี่ไหม”


 


 


ไป๋หลินหลินโอบเรียวแขนทั้งสองข้างของเธอรอบลำคอของชายตรงหน้าและหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่น “ชอบสิ ฉันชอบพี่ แต่ฉันไม่ชอบเวลาพี่เอาใจพี่สาวฉัน…”


 


 


“ถ้างั้นตั้งแต่นี้ไปพี่จะเอาใจเธอบ้างดีไหม”


 


 


ชายคนนั้นถามอย่างยั่วเย้า


 


 


“โอเค…” ไป๋หลินหลินพยักหน้า แต่หลังจากได้รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของชายคนนั้น เธอก็นอนตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงและไม่อาจขยับเขยื้อนตัวไปไหนได้เสียแล้ว


 


 


ขณะที่ทั้งคู่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ชายคนนั้นพลันหยุดชะงักและถามอย่างใจเย็น “ทำไมถึงไม่มาเป็นผู้หญิงของพี่ล่ะ จากนี้ไปพี่จะเอาใจเธอแค่คนเดียว แต่ถ้าเธอไม่ต้องการแบบนั้น เราจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้แล้วพี่จะส่งเธอกลับบ้านทันที”


 


 


จิตใจของไป๋หลินหลินว่างเปล่า… หัวใจเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดที่พี่เขยคนที่เธอรักใคร่เพิ่งจะพูดออกมา เธอจะยังมองผู้ชายคนนี้เป็นสามีของพี่สาวเธอได้อีกอย่างนั้นหรือ ดังนั้นเธอจึงโถมตัวเข้าหาอ้อมแขนของอีกฝ่าย ส่งผลให้ทั้งคู่ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งบางๆ ของความถูกต้อง สุดท้ายทั้งสองก็ใช้เวลาในคืนนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งโดยไม่สนใจถึงการมีตัวตนอยู่ของไป๋อวี๋


 


 



 


 


เช้าวันต่อมา ถังหนิงรู้เรื่องผ่านลู่เช่อว่าโม่ถิงได้จัดให้หวงฝู่ซั่วมาร่วมการออดิชั่น แม้เธอจะรู้สึกเสียดายนิดหน่อยแต่เธอก็เคารพการตัดสินใจของโม่ถิงและเลือกที่จะไปดูทักษะการแสดงของหวงฝู่ซั่ว


 


 


โม่ถิงมองถังหนิงที่เอาแต่นั่งเงียบตลอดช่วงเวลามื้อเช้าและรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคาดหวังอะไรอยู่ แต่เขาจำเป็นต้องกำจัดอุปสรรคทั้งหมดออกไปให้พ้นทางเสียก่อน


 


 


“คุณไม่ค่อยกินอะไรเลยนะเช้านี้ แล้วจะไม่มีสารอาหารพอได้ยังไง”


 


 


ถังหนิงส่ายหน้าและปฏิเสธที่จะกินต่อ “อากาศร้อนเกินไปค่ะ ฉันเลยไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่”


 


 


“คุณกำลังสงสัยว่าทำไมผมถึงตัดสินใจเลือกหวงฝู่ซั่วแทนที่จะเป็นตัวผมเองสินะ”


 


 


“เปล่าค่ะ” ถังหนิงปฏิเสธ


 


 


“เดี๋ยวคุณก็จะได้รู้เหตุผลเอง” โม่ถิงไม่อธิบายสิ่งต่างๆ ให้กระจ่าง แต่เขามีแผนบางอย่างอยู่ในใจ


 


 


“ฉันจะไปให้นมลูกๆ ก่อนนะ” ถังหนิงพยักหน้า เธอเชื่อโม่ถิงเต็มร้อย แม้โม่ถิงจะไม่พูดอะไร ถังหนิงก็พอจะเดาคร่าวๆ ได้ เพราะโม่ถิงไม่เคยทำอะไรมีเลศนัย นี่แหละสามีของเธอ สามีที่ไม่เคยมีความลับต่อเธอเลย


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น โม่ถิงยังเป็นนักตัดสินใจที่เก่งกาจอีกด้วย


 


 


โม่ถิงลูบหัวถังหนิงอย่างอ่อนโยนก่อนจะลุกขึ้นเพื่อมองดูเล็กๆ จากนั้นเขาเดินทางออกไปทำงาน วันนี้หวงฝู่ซั่วจะมาที่ไห่รุ่ย…


 


 


เขามีความตั้งใจที่จะเซ็นสัญญากับหวงฝู่ซั่วจริง แต่… เขาไม่ได้ต้องการให้หวงฝู่ซั่วมาเป็นพระเอก…


 


 


เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบเดียวกับหลงซิงและลู่อี้หลิงอีก เขาจำเป็นต้องสร้างภาพลวงตาขึ้นมา 

 

 


ตอนที่ 758 การแก้แค้นของประธานโม่

 

“ประธานโม่กำลังขอให้ผมเล่นบทพระรองอย่างนั้นหรือครับ” หวงฝู่ซั่วเอ่ยถามว่าน้ำเสียงไม่เชื่อหูพลางชี้มาที่ตัวเองขณะกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมของไห่รุ่ย “ผมเนี่ยนะ? พระรอง?”


 


 


“ผมได้เห็นผลงานที่ผ่านมาของคุณแล้ว ผมตัดสินใจมอบบทนี้ให้คุณหลังจากวิเคราะห์ทักษะทางการแสดงของคุณแล้ว” โม่ถิงกล่าวด้วยบุคลิกที่สมกับได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งวงการบันเทิงขณะเจรจาต่อรองกับหวงฝู่ซั่ว “คุณอาจจะเคยแสดงบทพระเอกมาก่อน แต่คุณคิดว่าตัวเองมีความสามารถถึงจุดนั้นแล้วจริงๆ อย่างงั้นเหรอ”


 


 


“ประธานโม่ ทุกคนในวงการนี้ต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าผม คุณชายน้อยหวงฝู่คนนี้ จะแสดงก็ต่อเมื่อมีอารมณ์เท่านั้น ผมไม่ค่อยชินกับลักษณะการพูดแบบนี้ของคุณสักเท่าไหร่” หวงฝู่ซั่วเป็นชายที่มีความหล่อเหลา เขาเป็นคนแบบที่สามารถดึงดูดคนที่พบเจอได้ด้วยการสบตาเพียงครั้งเดียว แต่ด้วยการเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกอย่างเร็วๆ เขาก็สามารถให้ความรู้สึกราวกับเป็นคนละคนได้แล้ว นี่คือเครื่องพิสูจน์ว่าเขาสามารถปรับเปลี่ยนได้มากแค่ไหน แต่ถึงกระนั้น ทัศนคติของเขาก็… “ผมไม่อยากเล่นบทขยะแบบนี้”


 


 


“คุณเข้าวงการตอนอายุสิบเจ็ด ตอนนั้นคุณยังเป็นเด็กหนุ่มนิสัยดี แต่เพราะตกอยู่ภายใต้ข่าวฉาวมากมาย อาชีพของคุณถึงได้ชะงักไปหลายต่อหลายครั้ง ในตอนนั้นมีผู้หญิงคนนั้นที่คอยให้กำลังใจคุณมากมาย แต่ท้ายที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็ทอดทิ้งคุณไป นับตั้งแต่นั้นคุณก็เลยสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองกลายเป็นคนเล่นตัวแบบนี้…


 


 


“คุณไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงทิ้งคุณไป”


 


 


หวงฝู่ซั่วได้ยินเช่นนั้น ก็ละทิ้งท่าทีไม่แยแสอะไรของเขาไปในทันทีแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “ผมรู้แล้วว่าไห่รุ่ยเป็นพวกชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นสินะ”


 


 


“สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นไปมีความสัมพันธ์กับนักร้องคนหนึ่ง แต่นักร้องคนนั้นมีชื่อเสียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและถูกลืมไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเธอจึงทำแท้ง บินไปต่างประเทศและเลือกที่จะแต่งงานกับนักแสดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในฮอลลีวูด”


 


 


“ไร้มารยาทสิ้นดี!” หวงฝู่ซั่วต่อว่า


 


 


“ผมดูการออดิชั่นของคุณแล้ว มันออกมาดีมาก เอาละ คุณจะเซ็นสัญญากับเราหรือเปล่า” โม่ถิงเปลี่ยนเรื่องด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ผมรู้ว่าคุณอยากจะถามคำถามพวกนี้กับผู้หญิงคนนั้นและดึงความสนใจจากเธอ นั่นคือเหตุผลที่คุณแสดงอย่างจริงจังมาก แต่น่าเสียดายที่สถานะของผู้หญิงคนนั้นสูงเกินว่าที่คุณจะเอื้อมถึง ไห่รุ่ยกำลังให้โอกาสนั้นกับคุณนะ ถ้าเราประกาศว่าคุณเป็นสมาชิกคนใหม่ในทีมนักแสดงของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ผมรับประกันได้ว่าไป๋อวี๋จะต้องมองคุณในมุมใหม่อย่างแน่นอน”


 


 


“คุณคิดว่าผมต้องการแบบนั้นหรือไง” หวงฝู่ซั่วพูดเย้ย


 


 


“คุณอาจจะไม่ต้องการ แต่คุณสามารถเปลี่ยนไปต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้วทำให้เธอรู้สึกสำนึกได้”


 


 


“เราจะทำอย่างที่คุณพูดได้จริงหรือไง”


 


 


“ผมมั่นใจว่าคุณรู้ดีเรื่องที่ไป๋อวี๋พยายามหาเรื่องภรรยาของผมอย่างเปิดเผย” โม่ถิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “คุณคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าอดีตคนรักที่ครั้งหนึ่งเธอเคยทอดทิ้ง สุดท้ายกลับมาแสดงร่วมกับศัตรูของตัวเอง”


 


 


มันต้องเป็นเรื่องน่าสะใจมากแน่


 


 


หวงฝู่ซั่วกำลังเริ่มคล้อยตาม


 


 


แม้เขาจะเติบโตขึ้นมากแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหากนานๆ ทีเขาจะทำตัวเป็นเด็กเสียบ้าง


 


 


“แล้วผมจะยังพูดอะไรได้อีก ตกลง ผมจะเซ็นสัญญากับคุณ… ผมหวังจะได้ร่วมงานที่น่าสนุกนะประธานโม่” หวงฝู่ซั่วกลับสู่สภาวะสบายๆ อันเป็นปกติของเขาอีกครั้ง ในอดีตถังหนิงเคยเจอคนมากมาย แต่วิธีที่จะอธิบายคนอย่างหวงฝู่ซั่วได้ดีที่สุดคงเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างมีความลับที่ไม่อาจพูดออกมาได้ และความลับเหล่านั้นเป็นดังเสี้ยนหนามที่ทิ่มแทงลึกอยู่ภายในใจของคนเหล่านั้น


 


 


คนคนนั้นอาจคิดว่าเสี้ยนหนามเหล่านั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยและไม่มีความสำคัญพอจะสร้างความเสียหายร้ายแรงอะไรได้ แต่ทันทีที่มีใครมาคนมาสะกิด ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็เกินกว่าจะทานทนได้


 


 


สำหรับบางคนสุดท้ายต้องได้รับการเยียวยาจากคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นถังหนิง


 


 


แต่คนส่วนใหญ่ยังคงต้องแบกความเจ็บปวดนี้ต่อไป…


 


 



 


 


“ฉันได้ยินมาว่าคุณเซ็นสัญญากับหวงฝู่ซั่วแล้วใช่ไหม” ถังหนิงถามระหว่างการทานมื้อค่ำ “คุณยืนยันเรื่องนี้แล้วงั้นเหรอคะ”


 


 


“อือฮึ” โม่ถิงพยักหน้า


 


 


ถังหนิงก้มหน้าลง นี่อาจเป็นครั้งแรกที่โม่ถิงทำการตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาเธอ


 


 


“แต่ฉันไม่คิดว่าหวงฝู่ซั่วจะแสดงบทพระเอกได้ ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องข่าวฉาวของเขาหรอกนะคะ แต่ฉันกังวลเรื่องการแสดงของเขามากกว่า…” แม้ถังหนิงจะพยายามควบคุมตัวเอง แต่ก็ไม่อาจเก็บความคิดในใจเอาไว้ได้ “คุณไม่คิดว่าคุณตัดสินใจเรื่องนี้เร็วไปหน่อยงั้นเหรอคะ”


 


 


ทันทีที่โม่ถิงได้ยินเช่นนั้น เขาหยุดกินและดึงถังหนิงมาหาเขาก่อนจะวางเธอลงบนตัก “คุณคิดว่าคุณเป็นคนเดียวที่รู้ และคิดว่าผมไม่ได้นึกถึงเรื่องพวกนี้งั้นเหรอ เพราะผมรู้ไงว่าเขายังไม่ถึงขั้นนั้น ผมถึงเลือกที่จะให้เซ็นสัญญากับเขาในบทพระรองไงละ เด็กโง่”


 


 


“บทพระรอง?” ในที่สุดถังหนิงก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบหลังจากอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง


 


 


“ผมเลือกเขาเพราะเขาเป็นรักแรกของไป๋อวี๋และถูกไป๋อวี๋ทิ้ง ในเมื่อไป๋อวี๋หยิ่งผยองนัก มาดูกันว่าเธอจะหน้าด้านพอมาดึงตัวหวงฝู่ซั่วไหม” โม่ถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจ้องจะแก้แค้นอย่างถึงที่สุด นี่แหละโม่ถิง โม่ถิงที่ชั่วร้าย ตราบใดที่ยังมีคนพยายามจะรังแกถังหนิง เขาจะหาทางโต้ตอบคนพวกนั้น แม้ว่าครั้งนี้ลู่เช่อจะสมควรเป็นคนที่ได้รับเครดิตก็ตามที


 


 


ถังหนิงเข้าใจเจตนาของโม่ถิงได้ในทันทีและหยิกไปที่ต้นขาของเขา “ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับคุณเลยจริงๆ แล้วแบบนี้จะเอายังไงกับบทพระเอกล่ะคะ”


 


 


“สำหรับบทที่สำคัญแบบนั้น ให้เป็นความลับเอาไว้เปิดเผยตอนท้ายสุดครับ”


 


 


“ก็ได้ คุณกำลังทำให้ฉันอยากรู้แทบบ้าสินะ” พูดจบถังหนิงก็อยากจะลุกขึ้นยืนแต่โม่ถิงกอดรอบเอวของเธอไว้แน่นและพูดอ้อนด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ “อย่าไปนะ…”


 


 


“หืม?” ถังหนิงรู้สึกงุนงง


 


 


“ผมว่าผมไม่เคยทำกับคุณบนโต๊ะอาหารมาก่อนใช่ไหม” โม่ถิงพูดขึ้นพลางเงยหน้าอันหล่อเหลาของเขาขึ้นมา


 


 


คราวนี้ถังหนิงอึ้งอย่างแท้จริง…


 


 


“ฉันชดเชยที่ติดคุณไว้หมดแล้วนะ”


 


 


“ไม่ คราวนี้เป็นตาผมที่ต้องชดเชยให้คุณ…” โม่ถิงกล่าวก่อนจะยกตัวถังหนิงขึ้นนั่งบนโต๊ะอาหารโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก ในเวลานี้สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงการได้หลอมรวมจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับถังหนิง เขานึกสงสัยว่าผู้หญิงที่น่าพิศวงแบบนี้มีอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร ผู้หญิงที่ทำให้เขารักเธอมากขึ้นทุกวัน ผู้หญิงที่เขาอยากจะครอบครองมากขึ้นและมากขึ้นไปอีก…


 


 



 


 


วันต่อมา ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างเป็นทางการและหวงฝู่ซั่วได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นถึงการรวมงานในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ไห่รุ่ยไม่ได้ระบุว่าเขาจะรับบทอะไร


 


 


ดังนั้นผู้คนจึงอดไม่ได้ที่จะคาดการณ์ว่าเขาจะเล่นบทพระเอกของเรื่อง


 


 


บรรดาแฟนคลับของนิยายเรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะเห็นด้วยหรือต่อต้านดี พวกเขาไม่สามารถต่อต้านได้อย่างเต็มปากเพราะหวงฝู่ซั่วหล่อมาก เขาดูดีในชุดแนวย้อนยุคและที่สำคัญที่สุดคือการแสดงของเขาไร้ที่ติ แต่พวกเขาไม่อาจยอมรับได้เพราะหวงฝู่ซั่วมีข่าวฉาวมากเกินไป กระนั้นก็ตาม แม้เขาจะมีความสัมพันธ์มามากมาย แต่เขาก็ไม่ใช่คนสำส่อนไม่เลือกหน้า


 


 


ทันทีที่ข่าวนี้ถูกเผยแพร่ คนที่ช็อกมากที่สุดแน่นอนว่าไม่ใช่บรรดาแฟนคลับ เพราะเป้าหมายของโม่ถิงไม่ใช่การโจมตีเหล่าแฟนๆ แต่เป็นการโจมตีไป๋อวี๋


 


 


และเป็นไปตามคาด เพราะไป๋อวี๋ถึงกับหน้าซีดทันทีที่ได้อ่านข่าวเรื่องนี้


 


 


หากเธอไม่ได้เห็นชื่อของหวงฝู่ซั่วตัวตาของเธอเอง เธออาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าครั้งหนึ่งเธอเคยมีประวัติกับผู้ชายคนนี้


 


 


ไห่รุ่ยได้หวงฝู่ซั่วมาแสดงบทพระเอกจริงๆ อย่างนั้นหรือ


 


 


หวงฝู่ซั่วเนี่ยนะ


 


 


เขามีดีขนาดนั้นเชียวหรือ


 


 


ไป๋อวี๋นึกสงสัยว่าไห่รุ่ยรู้เรื่องอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่ แล้วทำไมเขาถึงเลือกหวงฝู่ซั่วแทนที่จะเป็นคนอื่น


 


 


เธอไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเคยมีความสัมพันธ์กับหวงฝู่ซั่ว เธอมั่นใจว่าหากหวงฝู่ซั่วยังคงไม่เป็นที่รู้จักมากนัก สิ่งต่างๆ จะควบคุมได้ง่าย แต่หากเขาเกิดโด่งดังขึ้นมาและเปิดเผยว่าครั้งหนึ่งเธอเคยทอดทิ้งเขาไปเพราะความก้าวหน้าทางอาชีพแล้วละก็… เมื่อนั้น… 

 

 


ตอนที่ 759 ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยเขา...

 

โม่ถิงคิดผิด… เขาประเมินความหน้าด้านของไป๋อวี๋ต่ำเกินไป


 


 


ไป๋อวี๋หน้าด้านหน้าทนพอที่จะเข้าหาหวงฝู่ซั่ว เพราะเธอไม่คิดว่าการเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาไม่ได้สร้างผลดีอะไรให้เขาอยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งคู่ เธอจึงตัดสินใจโยนหัวก้อยและจบด้วยการสั่งให้ผู้จัดการของเธอหาที่ตั้งบ้านพักของหวงฝู่ซั่ว


 


 


หลังจากนั้น เธอเดินทางไปถึงที่บ้านของหวงฝู่ซั่วแบบพร้อมรบในระหว่างช่วงพักเที่ยงของเธอ แต่เธอต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าหวงฝู่ซั่วอาศัยอยู่เพียงลำพังในคฤหาสน์หรูหราขนาดใหญ่กว่าสามร้อยตารางเมตร


 


 


ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ทั้งสองยังคบกัน หวงฝู่ซั่วเป็นเพียงคนไม่มีชื่อเสียง ใครจะไปคิดว่าบัดนี้เขากลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว


 


 


หวงฝู่ซั่วไม่คาดคิดว่าไป๋อวี๋จะมาปรากฏตัวที่บ้านเขา ดังนั้นทันทีที่เขาเปิดประตูมาเห็นไป๋อวี๋ สีหน้าเขาจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


 


 


เมื่อไป๋อวี๋เห็นเช่นนั้น เธอถอดแว่นกันแดดออกและส่งยิ้มให้หวงฝู่ซั่ว “คุณไม่คิดจะเชิญฉันเข้าไปด้านในหน่อยเหรอ”


 


 


หวงฝู่ซั่วขยับตัวออกด้านข้างและเชื้อเชิญให้เธอเข้ามาด้านใน ขณะที่เขาเดินตามเธอเข้าไปด้านใน เขาเอ่ยขึ้น “บ้านผมไม่มีอะไรให้ดื่มนอกจากน้ำเปล่าหรอกนะ”


 


 


“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้มาเพื่อดื่มอะไรอยู่แล้ว” ไป๋อวี๋กรีดกรายเอนตัวลงบนโซฟา


 


 


หวงฝู่ซั่วยิ้มเยาะ วิธีของโม่ถิงได้ผลจริงๆ


 


 


ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้วิธีไร้ประโยชน์มากมาย แต่ไม่มีโชคพอที่จะดึงดูดความสนใจของไป๋อวี๋ได้ ใครจะคิดว่าหลังจากตอบรับร่วมงานกับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แล้วผู้หญิงคนนี้จะเป็นฝ่ายมาเคาะประตูบ้านของเขาด้วยตัวเอง


 


 


“คุณมาหาผมถึงที่นี่ทำไม คุณคงไม่ได้มาเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบหรอกใช่ไหม” หวงฝู่ซั่วนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกับไป๋อวี๋และพาดแขนไปด้านหลังจากสบายใจ


 


 


“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากไม่ได้เจอคุณนานหลายปี คุณจะซื้อบ้านแบบนี้ได้…”


 


 


“คุณกำลังหมายถึงคฤหาสน์นี่นะเหรอ” หวงฝู่ซั่วยักไหล่ก่อนจะเผยคำตอบ “ผมอยู่ที่นี่มาตลอดยี่สิบปีนั่นแหละ อ้อ ใช่ ผมไม่เคยมีโอกาสได้แนะนำคุณให้ครอบครัวผมรู้จักก่อนที่คุณจะทิ้งผมไปนี่นา ผมพนันว่าถ้าตอนนั้นคุณรู้ว่าพ่อผมเป็นใคร คุณคงไม่ทิ้งผมไปแบบไม่ลังเลแบบนั้นแน่”


 


 


“คุณหมายความว่ายังไง”


 


 


“รองประธานบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคภาคพื้นเอเชียที่มีชื่อว่าหวงฝู่สยง เป็นพ่อของผมเอง” หวงฝู่ซั่วแนะนำพ่อของเขาอย่างเป็นทางการให้ไป๋อวี๋ได้รู้ “พอคุณทิ้งผมไป ผมก็ได้รู้ว่าการเป็นทายาทธุรกิจก็ไม่ได้แย่”


 


 


หลังได้ยินเช่นนั้น ไป๋อวี๋ก็ดูไม่มีความสุขนัก


 


 


“พ่อของผมอยากพบคุณมานาน เขาหัวเราะเยาะผมอยู่หลายปีเพราะเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนั้นผมถึงมีรสนิยมแย่ๆ แบบนั้น แต่ต้องขอบคุณคุณที่ทำให้เขาได้ลูกชายกลับไปอยู่ข้างๆ โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง”


 


 


ไป๋อวี๋รู้สึกเสียดายเล็กๆ แต่เธอรู้ดีว่าหวงฝู่ซั่วกำลังเหยียดหยามเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่คิดอะไรมากพลางเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา “มาคุยเรื่องธุรกิจกันเถอะ ฉันได้ยินมาว่าคุณตอบรับข้อเสนอบทพระเอกของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ”


 


 


หวงฝู่ซั่วไม่ตอบ เขาเพียงแค่โก่งคิ้วขึ้นพลางฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรอีก


 


 


“คุณยังคิดถึงฉันอยู่ใช่ไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นคุณจะไปร่วมมือกับฝ่ายศัตรูของฉันทำไมทั้งที่เห็นชัดอยู่แล้วว่าถังหนิงกับฉันกำลังต่อกรกันอยู่”


 


 


หวงฝู่ซั่วได้ยินเช่นนั้น ก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณไป่ คุณไม่หลงตัวเองเกินไปหน่อยงั้นเหรอ คุณพูดถูกเรื่องที่ผมร่วมงานกับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ส่วนหนึ่งก็เพราะคุณ แต่… นั่นเป็นเพราะผมต้องการให้คุณจำได้ว่าคุณเมื่อก่อนคุณเคยทำอะไรไว้บ้างและคุณเป็นคนแบบไหน เมื่อไหร่คุณถึงจะถอดหน้ากากลวงโลกนี้ออกกันนะ”


 


 


“คุณ…”


 


 


“ผมมั่นใจว่าคุณรู้ว่าทำไมผมถึงตอบรับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ถ้าพิจารณาจากความสามารถในการแสดงของถังหนิงบวกกับอำนาจของไห่รุ่ย รวมถึงเรื่องที่บทละครเรื่องนี้เป็นที่ยอมรับมากแค่ไหนแล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องปฏิเสธด้วยล่ะ” หวงฝู่ซั่วถามไป๋อวี๋


 


 


“ฉันไม่สนหรอกนะว่าทำไมคุณถึงเลือกจะร่วมงานกับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ฉันแค่อยากบอกคุณว่าถ้าคุณออกมาเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ในอดีตของเรา มันจะไม่เป็นประโยชน์อะไรกันคุณเลย” ความแข็งแกร่งในน้ำเสียงของไป๋อวี๋เริ่มอ่อนลงอย่างช้าๆ อันที่จริง คำพูดสุดท้ายของเธอฟังดูเหมือนโกรธเพราะความอับอายด้วยซ้ำ เพราะหลายสิ่งไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคาดคิด


 


 


เธอมาที่นี่เพื่อโอ้อวด…


 


 


เพื่อแสดงถึงพลังอำนาจ…


 


 


เพื่อแสดงความเมตตาต่อความน่าเวทนาของอีกฝ่าย…


 


 


แต่โชคร้ายที่ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เธอต้องการ!


 


 


กลับกัน เธอกลับพบความจริงเรื่องพื้นเพที่บ้านของหวงฝู่ซั่วและรู้สึกเสียดายอย่างท่วมท้น มันทำให้เธอรู้สึกพ่ายแพ้จนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี


 


 


“ในที่สุดก็เผยเจตนาที่แท้จริงที่มาที่นี่ออกมาแล้วสินะ” หวงฝู่ซั่วหัวเราะอย่างฉับพลัน “คุณต้องฝันอยู่แน่ ในฐานะทายาทธุรกิจเครื่องประจำที่ทรงอำนาจ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะอยากไปมีความเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงสองหน้าอย่างคุณ มันมีแต่จะลดคุณค่าของผมตัวซ้ำ ไป๋อวี๋ ถ้าเป็นเรื่องครอบครัวแล้วละก็ คุณไม่มีทางแข่งกับใครก็ตามที่คุณเรียกว่าศัตรูได้หรอก ผมไม่แน่ใจว่าคุณไปเอาความมั่นใจมาจากไหนที่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับถังหนิง


 


 


“เพราะคุณเป็นนักแสดงรางวัลระดับโลกงั้นเหรอ


 


 


“คุณรอดูแล้วกันว่าถังหนิงจะบดขยี้คุณยังไง…


 


 


“อีกอย่าง ผมคงไม่เปิดเผยเรื่องชั่วๆ ที่คุณเคยทำหรอก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ฉีกหน้ากากจอมปลอมของคุณนะ ผมขอให้คุณโชคดีก็แล้วกัน” พูดจบหวงฝู่ซั่วก็ลุกขึ้นจากโซฟาและกอดอก “ประตูอยู่ทางขวา เชิญออกไปได้แล้ว”


 


 


ไป๋อวี๋รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เธอไม่ได้อะไรจากการมาหาหวงฝู่ซั่วในครั้งนี้เลย เธอคว้ากระเป๋าถือของเธออย่างฉุนเฉียวก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาและพูดกับอีกฝ่าย “ด้วยการแสดงของคุณ ต่อให้แสดงคู่กับถังหนิงไปตลอดชีวิตก็ไม่มีทางเอาชนะฉันได้หรอก”


 


 


หวงฝู่ซั่วไม่โต้ตอบ เพียงแต่ยักไหล่ทั้งสองข้าง


 


 


ไม่เห็นเป็นไร เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่ได้เป็นพระเอกอยู่แล้ว


 


 


สุดท้ายไป๋อวี๋ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินออกจากบ้านของหวงฝู่ซั่ว


 


 


เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเดือดดาลอยู่ภายใน แต่เธอไม่อาจหาวิธีการได้มาจัดการหวงฝู่ซั่วได้


 


 


หรือเธอควรหาใครสักคนมาใส่ร้ายเขาดี


 


 


โชคร้ายที่หวงฝู่ซั่วสร้างชื่อเสียให้ตัวเองไว้มากพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สะทกสะท้ายอะไรกับแผนการชั่วร้ายของไป๋อวี๋


 


 


นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คนคนหนึ่งไม่สามารถรักษาภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบไว้ได้ตลอดเวลา เพราะคนที่มีจุดด่างพร้อยนั้นได้รับการให้อภัยได้ง่ายกว่า ในขณะที่เมื่อคนสมบูรณ์แบบเกิดทำข้อผิดพลาด คนพวกนั้นมีแต่จะดึงดูดคำตำหนิมากมายนับไม่ถ้วนและเหลือทิ้งไว้เพียงความตราตรึงที่ไม่น่าอภิรมย์ที่ไม่อาจลบล้างได้อีก


 


 


หลังจากปะทะในครั้งนี้ หวงฝู่ซั่วรู้สึกพึงพอใจมาก เพราะในที่สุดเขาก็ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของไป๋อวี๋


 


 


แน่นอนว่าสิ่งที่น่าสะใจที่สุดคือการได้เห็นไป๋อวี๋โกรธและผิดหวัง เช่นเดียวกับสีหน้าเสียดายของเธอเมื่อรู้พื้นเพครอบครัวของเขา


 


 



 


 


ไป๋อวี๋รู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด เพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง เธอจำเป็นต้องรีบกลับบ้านไปพบสามีของเธอ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอตัดสินใจเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องในอดีต


 


 


แต่… สามีของเธอไม่อยู่ที่บ้านและเขาไม่รับสายโทรศัพท์ ไป๋อวี๋นั่งลงบนโซฟาและเฝ้ารออยู่นาน หลังเวลาผ่านไปราวสองชั่วโมง ในที่สุดเธอก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก ตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคักของสามีของเธอกับไป๋หลินหลิน


 


 


“ที่รัก ทำไมคุณอยู่บ้านล่ะ”


 


 


ทันทีที่ไป๋หลินหลินเห็นไป๋อวี๋นั่งอยู่ที่โซฟา เธอก็เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังและกล่าวทักทายอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังทันที


 


 


“ทำไมเธอสองคนถึงอยู่ด้วยกัน”


 


 


“เราบังเอิญไปเจอกันข้างนอก” ไป๋หลินหลินตอบอย่างสบายใจก่อนจะกลับไปยังห้องของตัวเอง


 


 


ไป๋อวี๋ไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ แต่เธอไม่กล้าพอที่จะบอกสามีของเธอเรื่องที่เธอไปหาหวงฝู่ซั่วที่บ้าน ดังนั้นเธอจึงนั่งเล่นอยู่ที่นั่นอีกพักหนึ่งก่อนจะกลับไปยังกองถ่าย


 


 


แต่เธอไม่รู้เลยว่าทันทีที่เธอกลับออกไป คนสองคนที่เหลือจะส่งสายตาให้กันและจบด้วยการนอนบนเตียงเดียวกันอย่างรวดเร็ว 

 

 


ตอนที่ 760 ไม่ใช่ธุระของนักแสดงหน้าไห...

 

ข่าวลือยังคงแพร่สะพัดว่าหวงฝู่ซั่วเป็นพระเอกของเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แน่นอนว่าเขายิ่งกว่ายินดีเสียอีกที่จะแสร้งรับบทนี้ เพราะถึงยังไงกองถ่ายทำก็ไม่มีความคิดที่จะเปิดเผยพระเอกตัวจริงและปิดปากเงียบสนิท


 


 


เนื่องจากไห่รุ่ยมีสตูดิโอถ่ายทำอยู่หลายแห่ง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับ ดังนั้นในระหว่างที่ไห่รุ่ยไม่ได้ทำการโปรโมทหรืองานอีเว้นท์อื่น หวงฝู่ซั่วจึงทำหน้าที่โปรโมตให้กับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ไปโดยปริยาย


 


 


หวงฝู่ซั่วยังคงรายล้อมไปด้วยสาวๆ มากมายแม้เขาจะเซ็นสัญญากับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แล้วก็ตาม เขามักจะแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวอย่างชัดเจนเสมอ ดังนั้นเมื่อรวมกับเรื่องที่เขาเพิ่งจะสร้างความขุ่นเคืองให้ไป๋อวี๋แล้ว เขาจึงอยู่ในอารมณ์ดีแบบสุดๆ ส่งผลให้เมื่อไหร่ก็ตามที่นักข่าวพยายามจะสัมภาษณ์เขา เขาจึงแทบไม่พูดถึง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เลย นี่เป็นวิธีที่เขาใช้แสดงความรับผิดชอบในฐานะนักแสดงและเป็นการแสดงความซาบซึ้งใจที่เขามีต่อโม่ถิงที่ให้โอกาสเขาได้สร้างความอับอายแก่ไป๋อวี๋


 


 


อันที่จริง หลังจากที่ไห่รุ่ยประกาศว่าหวงฝู่ซั่วจะร่วมงานกับละครเรื่องนี้ ก็ผ่านมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เห็นวี่แววของนักแสดงบทพระเอกเลย


 


 


เพราะการถ่ายทำในช่วงวันแรกๆ เน้นไปที่ฉากของบรรดาตัวประกอบ…


 


 


แม้แต่ถังหนิงเองก็ยังไม่เคยปรากฏตัวอย่างเป็นทางการในกองถ่ายเลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะลูกทั้งสองของเธอซึ่งอยู่ที่บ้าน เธอจึงไม่ออกมาปรากฏตัวโดยไม่จำเป็น


 


 


แต่หวงฝู่ซั่วไม่ได้ใส่ใจ เขากลับค่อนข้างชอบตัวละครของเขาและสนุกกับการเข้าฉาก เสื้อคลุมลายมังกรสีเงินที่ถูกปักอย่างประณีตและมงกุฎหยกบนศีรษะทำให้เขาดูทรงอำนาจและดูเผด็จการจนน่าประทับใจ


 


 


เมื่อเทียบกับบทพระเอกแล้ว ตัวละครของเขานั้นเรียบง่ายกว่ามาก ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับปัญหาและเรื่องยุ่งยากซับซ้อนมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องแอบตกหลุมรักนางเอกและปกป้องบัลลังก์ของตัวเองในเวลาเดียวกัน หากมีคนแบบนี้อยู่จริงในโลกใบนี้ คนคนนั้นคงเหนื่อยน่าดู


 


 



 


 


ที่จริงแล้ว สองวันก่อนหน้าที่ถังหนิงจะมุ่งหน้าไปยังกองถ่าย เธอพยายามลองเชิงโม่ถิง แต่โม่ถิงไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลอะไรเลย เขาเดินทางไปทำงานเหมือนทุกครั้งและดูแลเด็กๆ หลังจากกลับมาถึงบ้าน เขารู้จักวิธีควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดีจริงๆ …


 


 


“เพราะนี่เป็นทีมถ่ายทำของเราเอง เราเลยสามารถยืดหยุ่นได้ คุณจะกลับมาที่บ้านตอนกลางคืนแล้วให้แม่ของพวกเราดูแลเด็กๆ ระหว่างตอนกลางวันได้” โม่ถิงอธิบาย “ถ้าคุณเหนื่อยมากและอยากจะพักที่โรงแรมก็โทรบอกผม ผมจะจัดการให้”


 


 


“คุณแน่ใจนะคะว่าไม่มีอะไรจะบอกฉันจริงๆ” ถังหนิงถามเป็นครั้งสุดท้าย


 


 


“ผมดูเหมือนมีงั้นเหรอครับ” โม่ถิงก้มหัวลงและช่วยถังหนิงจัดกระเป๋าต่อ “การถ่ายทำคราวนี้จะถูกปิดเป็นความลับทั้งหมดและกองถ่ายจะถูกเก็บทุกครั้ง นักแสดงและทีมงานจะต้องเซ็นสัญญาเก็บความลับทั้งหมด คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น”


 


 


“มีคุณอยู่ด้วยแล้วฉันยังต้องกังวลเรื่องอะไรอื่นอีกงั้นเหรอคะ” ถังหนิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย


 


 


“อย่าคิดมากเลย รีบไปดูลูกๆ เถอะครับ คุณจะได้เข้านอน…”


 


 


ถังหนิงพยักหน้า เธอกลับมายังห้องนอนหลังอาบน้ำเสร็จ เพราะเธอต้องตื่นตั้งแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น เธอจึงไม่อยากเสียเวลาอีกไม่เช่นนั้นเธอจะเหนื่อยล้าเกินไป แต่กระนั้น… หลังจากที่เธอหลับไปแล้ว โม่ถิงเดินทางออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังสตูดิโอถ่ายทำที่ไห่รุ่ยจัดเตรียมไว้


 


 


“ท่านประธาน ทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมแล้วครับ” ลู่เช่อและทีมงานคนอื่นๆ พร้อมอยู่แล้ว โดยเฉพาะช่างแต่งหน้าและช่างภาพ


 


 


“แต่งหน้าได้” โม่ถิงนั่งลงที่โต๊ะแต่งหน้า


 


 


“ท่านประธานโม่ดูดีมากๆ เลยค่ะ…” นี่เป็นครั้งแรกที่ช่างแต่งหน้าได้มีโอกาสเห็นโม่ถิงในระยะประชิดเช่นนี้ หลังจากมองดูใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแล้ว ไม่เพียงแค่เธอจะรู้สึกเขินอายเท่านั้น เธอยังไม่อาจควบคุมตัวเองไม่ได้พูดชื่นชมอีกฝ่ายได้


 


 


“ตั้งใจทำงาน” โม่ถิงสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


 


ช่างแต่งหน้าคนนั้นพยักหน้าพลางบรรจงวางมงกุฎหยกขาวลงบนศีรษะของโม่ถิง ควบคู่กับชุดเกราะเงินบนร่างกาย ด้วยการมองเพียงครั้ยงเดียวประกอบกับรูปลักษณ์ราวกษัตริย์ก็เพียงพอที่จะทำให้ใครต่อใครถึงกับตาพร่ามัวได้แล้ว อันที่จริงแม้แต่ช่างภาพก็ยังลืมว่าตัวเองกำลังถือกล้องอยู่ในมือจนเผลอทำหล่นลงบนเท้าของตัวเอง


 


 


“แน่นอนครับ ทันทีที่ท่านประธานเคลื่อนไหว ก็ไม่ใช่ธุระที่นักแสดงหน้าไหนจะมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว” ลู่เช่อพยักหน้าเห็นด้วยอย่างมาก


 


 


โม่ถิงอยู่ในชุดเกราะเต็มตัวเพราะตัวละครของเขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังสนามรบเพื่อนางเอก และเหล่าผู้หญิงมักจะตกหลุมรักชายหนุ่มเมื่อพวกเขาดูเป็นฮีโร่แบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อชายคนนั้นดูราวกับราชาเฉกเช่นโม่ถิง หากเขามีตัวตนอยู่จริงในยุคโบราณ ใบหน้าของคนจะต้องเปลี่ยนแปลงโลกได้โดยสิ้นเชิงเป็นแน่


 


 


“เขาหล่อมาก! เขาหล่อสุดๆ เลย!”


 


 


“ทั้งรูปหน้า ริมฝีปาก จมูก คิ้ว… มันเจิดจรัสไปหมด”


 


 


ค่ำคืนนี้พวกเขาเพียงแค่ถ่ายทำรูปสำหรับโปรโมตเท่านั้น แต่ช่างภาพไม่อาจหยุดถ่ายได้ เมื่อได้พบสิ่งที่งดงาม คนเรามักจะไม่อาจควบคุมตัวเองไม่ได้อยากเห็นสิ่งนั้นต่อไปเรื่อยๆ ได้


 


 


หลังจากนั้น โม่ถิงก็เปลี่ยนไปอยู่ในชุดจักรพรรดิ…


 


 


ทีมงานบางส่วนหลบอยู่ที่มุมห้องด้วยความตื่นเต้น “พระเจ้าช่วย โลกนี้มีผู้ชายที่เกิดมาทั้งดูเย็นชาและเซ็กซี่อย่างท่านประธานโม่ได้ยังไงกันนะ ทันทีที่เขาสวมชุดจักรพรรดิ ฉันรู้สึกอยากจะเป็นหนึ่งในบรรดาสนมของเขาทันทีเลย”


 


 


“ให้ตายสิ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราไม่สามารถถ่ายรูปเขาแล้วแชร์ให้คนทั้งโลกเห็นได้ น่าเสียดายที่สุด!”


 


 


“รอจนกว่ารูปเซตโปรโมตจะได้รับการเผยแพร่ก่อนเถอะ ผู้ชายทุกคนในปักกิ่งจะต้องรู้สึกเป็นรองแน่ๆ”


 


 


“แหงละ! พระเจ้า ฉันตื่นเต้นเป็นบ้าแล้ว ฉันอยากรู้จังว่าถ้าถังหนิงเห็นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”


 


 


แน่นอนว่าถังหนิงยังไม่ได้เห็นรูปพวกนี้…


 


 


ในขณะนั้น เธอกำลังหลับใหลอยู่ที่บ้าน


 


 


เช้าวันต่อมา โม่ถิงตื่นขึ้นราวกับเขาลืมเรื่องการถ่ายภาพที่สตูดิโอเมื่อคืนไปจนหมดสิ้น หลังจากเตรียมตัวไปทำงาน เขาก็พาถังหนิงมาส่งที่กองถ่าย


 


 


“ถ้าคุณคิดถึงผม ก็โทรหาผมนะ” โม่ถิงย้ำเตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยตามปกติ จากนั้นก็ตรวจดูทุกอย่างในกองถ่ายก่อนจะเดินทางออกไป


 


 


ก่อนช่วงเช้าของวันนั้น ผู้กำกับเฉินเฟิ่งได้รับภาพถ่ายสำหรับการโปรโมต ในเวลานั้นเขาถึงกับอึ้งเกินบรรยาย แต่เขารู้ดีว่าเขาต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับโดยที่โม่ถิงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เขารู้ดีว่าทุกอย่างจะได้รับการเปิดเผยในที่สุดอยู่แล้ว


 


 


“ผู้กำกับเฉินครับ พระเอกของเราอยู่ไหนเหรอ เมื่อไหร่เขาถึงจะมาที่กองถ่าย” หนึ่งในบรรดานักแสดงตัวประกอบถามขึ้น “แม้แต่ถังหนิงยังมาถึงแล้วเลย พระเอกคนนี้จะหยิ่งไปถึงไหนกันนะ”


 


 


“คนแสดงเป็นพระเอกจะไม่มาที่กองถ่ายในตอนนี้เพราะตารางงานแน่นมาก เราจะถ่ายฉากประกอบอื่นๆ และไม่เสียเวลาอีกแล้ว” ผู้กำกับเฉินอธิบายเพื่อลดความกังวลของทุกคน


 


 


“ก็ดีครับ โชคดีที่ถังหนิงอยู่ที่นี่ ว่าแต่พวกเราไม่เคยเห็นเธอในชุดย้อนยุคมาก่อนเลย! ‘ชายาหนิง’ กำลังจะถ่ายทำเสร็จแล้ว บรรดาแฟนคลับต่างพากันชมว่าไม่เป็นสองรองใคร ผมเป็นคนเดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่รู้สึกว่า ‘ใครบางคน’ อาศัยอยู่อเมริกามานานเกินไปจนดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”


 


 


“เดี๋ยวนายก็ได้เห็นเองนั่นแหละ” เฉินเฟิ่งยิ้ม


 


 


อันที่จริง รูปลักษณ์ของถังหนิงเข้ากับชุดแนวย้อนยุคได้เป็นอย่างดี เธอทั้งสูง สง่าและดูสงบนิ่ง จนบรรดาทีมงานต่างเชื่อมั่นในตัวเธอ เธอเพียงแต่สวมชุดเท่านั้น ไป๋อวี๋ก็ดูเป็นรองไปในทันที


 


 


เวลาบ่ายของวันที่ถังหนิงเดินทางมาถึงกองถ่าย บรรดาทีมช่างแต่งหน้าได้เปลี่ยนรูปโฉมของเธอไปหลายครั้ง


 


 


ส่งผลให้ถังหนิงใช้เวลาทั้งบ่ายอยู่ในห้องพักนักแสดง


 


 


รูปลักษณ์ของถังหนิงนั้นแบ่งออกเป็นสามรูปแบบ รูปแบบแรกคือระหว่างที่เธอเป็นนางสนมของจักรพรรดิองค์ก่อน รูปแบบที่สองคือตอนที่เธอเป็นไทเฮาผู้ทรงอำนาจ และรูปแบบสุดท้ายเมื่อเธอได้กลายเป็นหวงเฟยหรือพระชายาแห่งองค์จักรพรรดิ


 


 


เนื่องจากความยั่วยุจาก ‘ชายาหนิง’ ทำให้ช่างแต่งหน้าและช่างแต่งตัวทุ่มเทเวลาและแรงกายไปกับการสร้างรูปโฉมให้กับถังหนิง


 


 


แน่นอนว่าไม่ว่าจะในฐานะนางแบบหรือนักแสดง ถังหนิงก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง…


 


 


อันดับแรก เธอลองอยู่ในลุกนางสนมที่ดูเรียบง่าบแต่สง่างาม


 


 


ทันทีที่ช่างช่วยถังหนิงสวมชุดสีเรียบง่ายจนเสร็จ ทุกคนที่อยู่ภายในห้องพักนักแสดงต่างตกตะลึง เพราะถังหนิงดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม