เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 75.3-78.3

ตอนที่ 75 - 3 ผู้ชายที่เข้าครัว

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าหิวมากจริงๆ ความพะว้าพะวังที่มีต่อเหยียลี่ว์ฉียังไร้หนทางต่อต้านความยั่วยวนของอาหารไหนี้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนนี้เกิดในตระกูลใหญ่โต จะเป็นยอดฝีมือในการปรุงอาหารด้วย 


 


 


ผู้ชายที่ทำกับข้าวเป็นดูมีเสน่ห์แฮะ 


 


 


น่าเสียดายว่านางยังต้องไปช่วยคน 


 


 


“ได้สิขอบคุณเก็บไว้ประเดี๋ยวข้ากลับมากินลาก่อนจุ๊บๆ” นางยกเท้าจะหายตัว 


 


 


นิ้วมือนิ้วหนึ่งจิ้มลงตรงหัวไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา นางพลันหนีไปไม่ได้อีกแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมา คร้านจะชำเลืองมองรอยยิ้มน่าขยะแขยงของคนคนนั้น หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกระเพาะหมูชิ้นหนึ่งเข้าปากเสียเลย หรี่ตาขึ้นอย่างดื่มด่ำ ร้องว่า “อื้ม…ไม่เลวเลย! อยากจะมาสมัครเป็นพ่อครัวหลวงหรือไม่” 


 


 


“ข้าเพียงอยากเป็นพ่อครัวของเจ้าคนเดียว” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มออกมาด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง จิ่งเหิงปัวขานรับ พยักหน้าลงนิดหน่อยพลางลงตะเกียบดุจเหาะเหิน อย่างไรเสียก็หนีไม่รอดไปชั่วขณะ กินให้อิ่มก่อนก็ดี กินให้อิ่มแล้วจะได้มีเรี่ยวแรงไปช่วยคน 


 


 


“กินให้มากหน่อย” เหยียลี่ว์ฉีใช้สองมือเท้าคาง สายตาจ้องมองจดจ่อ ท่าทางเฉกเช่นพ่อบ้านผู้มีคุณธรรมน้ำใจ เอ่ยว่า “กินให้มากหน่อยถึงจะมีเรี่ยวแรงไปช่วยคนนะ” 


 


 


ตะเกียบของจิ่งเหิงปัวหยุดชะงัก 


 


 


“เจ้ารู้ว่าข้าจะทำเรื่องใดหรือ?” 


 


 


“วันนี้เจ้ากับซย่าจื่อหรุ่ยออกมาซื้อบ้าน สุดท้ายไม่ได้ซื้อบ้าน ทว่าแล่นมาถึงจวนข้าแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าคงจะไม่มาจวนข้าด้วยตนเองก่อนเป็นแน่ คงจะวิ่งมาผิดที่แล้ว จวนที่กำแพงติดกันกับจวนข้ามีจวนเสนาบดีกองขุนนางกับจวนองค์ประกันเผ่าเฉินเถี่ย องค์ประกันมีนิสัยรอบคอบระมัดระวัง ไม่ได้คบค้าสมาคมกับเจ้า เจ้าคงจะไม่มีปัญหาใดกับเขา ทว่าในจวนเสนากองขุนนางนั้นเละเทะวุ่นวาย ตาเฒ่าบ้ากามป่วยกระเสาะกระแสะ ฮูหยินตระหนี่ถี่เหนียว น้องสาวภรรยาแพรวพราวทรงเสน่ห์ เอาแต่ก่อเรื่องก่อราว ส่วนบ้านหลังที่เจ้าต้องการซื้อนั้น คล้ายจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวที่ฮูหยินเสนากองขุนนางมีไว้ในครอบครอง ฉะนั้นข้าเดาว่ายามพวกเจ้ากำลังเจรจาค้าขายเกิดความผิดพลาด มีคนข้างกายเจ้าถูกจับตัวเข้าจวนเสนาบดีกองขุนนาง เจ้าจะไปช่วยคนทว่าวิ่งมาผิดที่ ใช่หรือไม่?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ใช้ตะเกียบจิ้มหน้าผากเขาแผ่วเบา แล้วกล่าวว่า “บางครั้งข้าก็ไม่รู้เลยว่าศีรษะของพวกเจ้าเหล่านี้เติบโตมาอย่างไร” 


 


 


“ในเมื่อรู้ว่าสมองข้าเฉลียวฉลาดนัก แล้วยังกังวลเรื่องใดอีก?” เขาจิ้มหน้าผากนางอย่างสนิทสนมครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “รีบกินสิ กินเสร็จแล้วข้าจะพาเจ้าไปช่วยคน” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว…เอ่ยวาจาสนิทสนมขนาดนี้ทำไมกัน? นางมีความสนิทสนมกับเขาเหรอ? 


 


 


ตะเกียบของนางค้ำอยู่บนหน้าผาก ปัดนิ้วมือของเขาออกไปอย่างไม่เกรงใจ แล้วกล่าวว่า “อย่ามาแตะต้องมั่วซั่ว ยามนี้พี่เป็นคนมีแฟนหนุ่มแล้ว” 


 


 


“แฟน…หนุ่ม?” เหยียลี่ว์ฉีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ คล้ายคาดเดาได้บ้าง ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “บุรุษ? กงอิ้นหรือ?” 


 


 


รอยยิ้มเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย เสียดสีหลายส่วน 


 


 


“อะไร” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวบิดเบี้ยวกว่าเขาเสียอีก กล่าวว่า “ไม่ได้หรือ? ได้หรือไม่ได้ไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า” 


 


 


“ได้ เหตุใดจะไม่ได้” เหยียลี่ว์ฉีพลันยิ้มแย้ม ประชิดข้างหูนางด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วเอ่ยว่า “ทว่า เรื่องได้หรือไม่นี้น่ะ ไม่ใช่กิจธุระของข้าจริงๆ ทว่าเป็นกิจธุระของเจ้าแน่แท้ เจ้าเอ่ยมาขนาดนี้ ข้าก็รู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว” 


 


 


“เหยียลี่ว์ฉี!” จิ่งเหิงปัวเคาะตะเกียบครั้งหนึ่ง หน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวว่า “เจ้าก้าวหน้าสักหน่อยได้หรือไม่? เห็นเขาขัดหูขัดตาก็โจมตีโจมตีจุดยุทธศาสตร์เขา ต่ำทรามที่สุดแล้ว!” 


 


 


“ใช่ ใช่ ข้าต่ำทราม” เหยียลี่ว์ฉียังคงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทว่ารอยยิ้มค่อยๆ เย็นชา เอ่ยว่า “พวกเจ้าเหล่าสตรีเอ๋ย ดื้อรั้นไม่ยอมฟังความเห็นผู้อื่น เหตุใดข้าต้องเป็นคนชั่วให้เสียแรงเปล่า? สักวันหนึ่งเจ้าจะรู้เอง ถึงยามนั้นอย่ามาร้องไห้กับข้าแล้วกัน” 


 


 


“ต่อให้พี่ถูกทิ้งจนต้องขอทานอยู่ที่ถนนใหญ่จิ่วกง พี่จะไม่เสียน้ำตาสักหยดเบื้องหน้าเจ้าเป็นแน่” จิ่งเหิงปัวเคี้ยวกระเพาะหมูอย่างรุนแรง จินตนาการว่านี่คือส่วนสำคัญบนร่างกายของเหยียลี่ว์ฉี 


 


 


“ข้าเฝ้ารอคอยการมาถึงของวันนั้นเหลือเกิน เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าเฝ้ารอคอยความจริงทุกสิ่งที่ถูกความเป็นจริงพิสูจน์” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มจนเปี่ยมด้วยเจตนาร้าย เอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้าด้วย ได้สามีที่รุ่งโรจน์หมื่นจั้งทั่วทั้งโลกหล้า” 


 


 


“เจ้าคงไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เหมาะจะเป็นสามีกระมัง?” จิ่งเหิงปัวกลับไม่โกรธเคืองแล้ว ควานหาสิ่งที่ตนเองชื่นชอบในไหอย่างเอื่อยเฉื่อย กล่าวต่อไปว่า “เขาไม่เหมาะสม แล้วเจ้าเหมาะสมหรือ? เหยียลี่ว์ฉี เจ้านึกถึงตัวเจ้าเองสิ ชั่วชีวิตนี้เจ้าเคยเอ่ยวาจาจริงใจกี่ประโยคกัน เคยมีรอยยิ้มจริงใจสักกี่ครั้ง เคยมีความจริงใจต่อผู้ใดบ้าง เจ้าอาจจะเห็นว่ากงอิ้นประหลาดไปทุกสิ่ง ไม่คู่ควรจะเป็นสามีผู้ใดทั้งนั้น ทว่าข้าบอกเจ้าได้ว่า…” ตะเกียบนางชี้ไปยังเหยียลี่ว์ฉี ดั่งถือมีดเล่มหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “เขาอาจจะไม่เอ่ยวาจากับข้า หรือวาจาที่เอ่ยอาจจะไม่ไพเราะ ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมาจนถึงยามนี้ต่างเป็นความจริง เขายิ้มแย้มน้อยครั้งนัก เวลาส่วนใหญ่ล้วนทำหน้าเย็นชาใส่ข้าดูน่ารังเกียจยิ่ง ทว่ายามที่เขายิ้มให้ข้าเป็นครั้งแรก เขาก็ยิ้มแย้มด้วยเพราะข้าผ่านพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จมาได้ คนที่เขาไม่ชื่นชอบมีมากมายนัก เอ่ยได้ว่าทั่วทั้งโลกหล้าต่างเป็นศัตรู ถึงขนาดยามนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่าเขาชื่นชอบข้าเพียงใดกันแน่ ทว่าข้ารู้สึกว่าแม้มีความชื่นชอบเพียงเสี้ยวเดียว นั่นย่อมเป็นความชื่นชอบที่แท้จริง” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองนาง ไม่ยิ้มแย้มออกมาแล้ว แสงรุ่งโรจน์ในดวงเนตรดั่งเพลิงพลิ้วไหวไม่แน่นิ่ง ดูลุกโชนมัวสลัว 


 


 


“เช่นเดียวกับอาหารนี้ คล้ายพระกระโดดกำแพงนั่นของพวกเราอยู่บ้าง” จิ่งเหิงปัวชูปลิงทะเลชิ้นหนึ่งขึ้น กล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาหารหม้อนี้ของเจ้าถึงได้หอมขนาดนี้? ด้วยเพราะวัตถุดิบที่แม้จะไม่โดดเด่น แต่แท้จริงแล้วเป็นวัตถุดิบที่จริงแท้ยิ่งนัก อย่างเช่นปลิงทะเลนี้ของเจ้า คงเป็นปลิงหนาม[1]ชั้นหนึ่งกระมัง? ฉะนั้นถึงมีผลลัพธ์เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นปลิงหวงอวี้[2] ดูท่าทางคงไม่เท่าไร ถึงขนาดยังต้องประดับตกแต่งเล็กน้อย ทว่ารสชาติจะด้อยลงไปมาก วัตถุดิบทุกอย่างภายในนี้ต่างเป็นของจริง เป็นของชั้นสูง เป็นวัตถุดิบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหรือสารเจือปนซ้ำยังถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ฉะนั้นถึงมีรสชาติเลิศล้ำของน้ำแกงข้นหม้อหนึ่งนี้” นางตักเอ็นกระดูกมากินอีกชิ้นหนึ่ง อมตะเกียบพลางส่งยิ้มให้เขากล่าวว่า “ความรู้สึกก็เป็นเช่นนี้” 


 


 


ปลายตะเกียบของเหยียลี่ว์ฉีคีบหอยเป๋าฮื้ออยู่ชิ้นหนึ่ง ยังไม่ตกถึงท้องตั้งแต่แรก ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่หอยเป๋าฮื้อนั้น ทว่าแววตาคล้ายทะลุผ่านหอยเป๋าฮื้อมองไปยังภายภาคหน้า เอ่ยว่า “แท้จริงแล้วเจ้าก็เฉลียวฉลาดยิ่งนักมาโดยตลอด มีความรู้สึกเฉียบไวต่อสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์ เพียงแต่ไม่แสดงออกมาโดยง่ายเท่านั้น วันนี้ได้ฟังเจ้าเอ่ยวาจาขนาดนี้ นับว่าเป็นความโชคดีของข้า ทว่ามนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ข้ารู้ว่าด้วยจุดยืนของข้า เอ่ยเรื่องใดต่างมีผลลัพธ์ตรงกันข้าม ช่างเถิด ขออวยพรให้น้ำแกงหม้อหนึ่งนี้ของเจ้า รสชาติเข้มข้นหอมหวนชั่วกาล ทานร้อยครั้งไม่แหนงหน่ายเถิด” 


 


 


เขายิ้มแย้มเพียงครั้ง หอยเป๋าฮื้อไถลสู่กลางริมฝีปาก รสชาติที่เดิมทีควรจะสดอร่อย แต่มิรู้ว่าเหตุใด เมื่อลิ้มรสแล้วดั่งคล้ายไร้รสชาติ 


 


 


ยากนักที่จะได้ฟังสตรีที่มีอารมณ์หลากหลายนางนี้เอ่ยวาจามากมายขนาดนี้ เอ่ยวาจาที่อยู่ในใจ สุดท้ายแล้วยามได้ยินวาจาเหล่านี้ นับว่ามีบุญวาสนาหรือได้รับความทุกข์ทรมาน? 


 


 


ของจริงหรือ? สิ่งใดเป็นของจริง สิ่งใดเป็นของปลอม แดนฤทัยดุจมีสายลมพัดผ่าน ผู้ใดรู้จะว่าการสูบฉีดครู่ก่อนนี้มิใช่ของจริง? 


 


 


โต้เถียงไม่ได้และโต้เถียงไม่ออก ได้แต่เพียงยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้มองเขาเช่นกัน นางวางตะเกียบลง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในเมื่อยากนักที่พวกเราจะได้ทานอาหารในห้องครัวอย่างสงบเงียบขนาดนี้ เช่นนั้นเจ้าให้ข้าจากไปอย่างสงบเงียบด้วยเถิด ข้ามีเรื่องสำคัญจริงๆ และไม่คาดหวังให้เจ้าช่วยเหลือ ขอแค่อย่าสร้างปัญหาเพิ่มก็พอแล้ว” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีไม่ตอบ เขาเก็บไหขึ้น จูงมือของนางไว้ เอ่ยว่า “ตามข้ามา” 


 


 


จิ่งเหิงปัวจนปัญญา ได้แต่เดินตามเขาผ่านสะพานโค้งหลายแห่ง ระเบียงทางเดินรอบหลายสาย จนกระทั่งมาถึงหน้าหอหลังเล็กหลังหนึ่ง 


 


 


ที่ซึ่งห่างไกลออกไป มีเงาคนหลายสายพลันพุ่งผ่านท้องฟ้า เงาร่างเบาบางยิ่งนัก ดั่งเมฆดำกลุ่มหนึ่งกำลังขยับเขยื้อนอย่างรวดเร็ว ไร้ผู้คนพบเห็น 


 


 


เงาคนไม่ได้เข้าใกล้จวนราชครูฝ่ายซ้าย เพียงยืนอยู่บนสันกำแพงปลอดคนแห่งหนึ่งของจวนเสนาบดีกองขุนนาง มองดูจวนราชครูฝ่ายซ้ายทางนั้นอยู่ห่างไกล 


 


 


ยามเริ่มแรกเงาคนนั่งอยู่บนสันกำแพงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สักพักค่อยๆ มีคนเอนก็เอนไปล้มก็ล้มไป คนแคะจมูกก็แคะจมูกไป คนแคะเท้าก็แคะเท้าไป คนหาวก็หาวไป นอกเสียจากเจ้าผู้หนึ่ง แววตาแพรวพราวหมอบอยู่บนสันกำแพง จ้องมองจวนราชครูฝ่ายซ้ายไม่ผ่อนคลาย 


 


 


เสียงวาจาเกียจคร้านแว่วมา 


 


 


“ข้าว่านะเสี่ยวชีชี เหตุใดเจ้าต้องตามติดราชินีทั้งวันด้วย ซ้ำยังลากพวกเราตามมาด้วย คิดว่าพวกเราน่ะไม่มีกิจธุระหรือ” 


 


 


“พวกเจ้ามีแต่กิจธุระไร้สาระ ผู้ใดใช้ให้พวกเจ้าตามมาด้วย? ถอยไปเลย ขวางสายตาของข้าแล้วรู้หรือไม่ อีกทั้ง เรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ด้วย!” 


 


 


“อิดอี้อ่าย” เจ้าผู้หนึ่งแทะขาหมูอยู่ เอ่ยด้วยเสียงไม่ชัดเจนว่า “เจ้าคิดจะแอบมองถึงยามใดกัน” 


 


 


“ข้านี้ไม่เรียกว่าแอบมอง เรียกว่าตามติดประชิดใกล้ปกป้องภรรยาของข้า” อีชีเปลี่ยนทิศทางจ้องมอง เอ่ยว่า “เฮ้อ ภรรยาข้าเจอปัญหาเหตุใดถึงไม่เรียกหาข้า ดันไปหาแมงป่องดำตัวนั้นเสียได้? หากถูกเขาลักพาตัวไปจะทำอย่างไร อีกทั้งบุรุษสตรีอยู่ด้วยกันสองต่อสองได้เช่นไรกัน เหอะ นางยังยิ้มให้เขาอีกด้วย เหตุใดนางต้องยิ้มให้เขา เหตุใดกัน!” 


 


 


“ด้วยเพราะเขาหล่อกว่าเจ้า” 


 


 


“ในฐานะที่เป็นคนที่งดงามที่สุดในกลุ่มแปดคน ข้ารู้สึกว่าวาจาประโยคนี้ของพวกเจ้ากำลังปฏิเสธพวกเจ้าเองทั้งนั้น” 


 


 


“หวังว่าอาจารย์จะไม่ได้ยินวาจาประโยคนี้ของเจ้า มิฉะนั้นปีนี้เจ้าคงต้องนอนกับหมีควายตัวนั้นที่หลังเขาตลอดฤดูหนาวแล้ว” 


 


 


“อ่ะคิกๆ คิกๆ อาจารย์ได้ยินหรือไม่เขาก็ต้องไปนอนกับหมีควายอยู่ดีนั่นล่ะ ผู้ใดให้เขาวาดสิวบนคันฉ่องของอาจารย์ ทำให้อาจารย์นึกว่าสิวขึ้น อ่ะคิกๆๆ อาจารย์ร้องไห้ไปสามชั่วยามแน่ะ ไม่ให้เขาเผชิญหน้ากับหมีควายสามปีข้าไม่ขอใช้แซ่ซือ…อ่ะคิกๆๆ นึกว่าตะลอนอยู่ในตี้เกอไม่กลับบ้านจะหนีพ้นแล้วหรือ…” 


 


 


“อ่ะคิกๆๆ ข้าหนีออกมาแล้ว เหตุใดพวกเจ้าหกคนต้องตามมาด้วยเล่า? หา? คนที่วาดสิวมีเพียงข้าคนเดียวหรือ? คนที่ตั้งใจย้อมผมอาจารย์เป็นสีขาว หลอกเขาเอ่ยว่าเขาชราแล้วคือข้าหรือ? คนที่ทำคันฉ่องเปลี่ยนรูปหน้าให้เขาส่องคือข้าหรือ? คนที่ใส่เซิงฮวาซั่นในอาหารเขาอยากให้เขาเกิดผื่นคันคือข้าหรือ…” 


 


 


“นี่ พวกเจ้าว่ายามนี้เขาจะร้องไห้อยู่ในถ้ำหรือไม่” 


 


 


“ร้องไห้กับผีสิ อย่างมากคงรู้สึกว่าเงียบเหงาอยู่บ้าง เฮ้อ หมีควายเสือโคร่งหลังเขาเหล่านั้นคงต้องโชคร้ายอีกแล้ว ต้องฟังเฒ่าหลงตัวเองเอ่ยเจื้อยแจ้วเรื่องความงามของเขาอีกแล้ว…” 


 


 


“เฮ้อ น่าผิดหวังยิ่งนัก…” 


 


 


เจ็ดคนที่ผิดหวังนอนผึ่งท้องตากแดดอย่างมีความสุข 


 


 


 


 


 


[1] ปลิงหนาม ปลิงทะเลชนิดหนึ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Stichopus japonicus ลำตัวกลมสีน้ำตาลดำ มีหนามรอบลำตัว 


 


 


[2] ปลิงหวงอวี้ ชื่อเรียกปลิง Cucumaria japonica ที่มีคุณภาพดีที่สุด ลำตัวสีดำ เมื่อแห้งแล้วมีสีเหลือง แหล่งกำเนิดอยู่ในทะเลใต้  

 

 


ตอนที่ 75 – 4 ผู้ชายที่เข้าครัว

 

ตลอดทางจิ่งเหิงปัวพบเจอสาวใช้หน้าตางดงามอย่างต่อเนื่อง พอทุกคนเห็นนางก็ต่างผุดเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา แต่ไม่มีใครกล้าถามและไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ต่างถอยห่างไปข้างหนึ่งแล้วแสดงความเคารพ ตอนที่จิ่งเหิงปัวเดินผ่านอยากจะฟังสักหน่อยว่าพวกนางจะแอบกระซิบกระซาบกันหรือเปล่า แต่กลับไม่มีเสียงเลย นางชำเลืองตามองเหยียลี่ว์ฉีแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าเจ้าคนนี้มีสีหน้าท่าทางเจ้าชู้ แต่ควบคุมภายในจวนอย่างเข้มงวดยิ่ง สาวใช้หน้าตางดงามหลายกลุ่มหลายก้อนเหล่านี้ เกรงว่าคงจะให้คนอื่นมองเห็นแล้วเข้าใจผิดเท่านั้น


 


 


หน้าหอหลังเล็กมีทะเลสาบขนาดกลางแห่งหนึ่ง พืชพรรณหินผาคล้ายไม่ได้ผ่านการตั้งใจตัดแต่งให้เรียบร้อย แลดูมีความงามตามธรรมชาติ


 


 


หอหลังเล็กได้ชื่อเรียบง่ายว่า ‘เติงเกา’


 


 


เหยียลี่ว์ฉีพานางขึ้นไปข้างบน เอ่ยว่า “พาเจ้ามามองดูทิวทัศน์ทั่วตี้เกอเสียก่อน ให้รู้จักจวนของเหล่าขุนนางใหญ่สักหน่อย คราวหลังจะได้ไม่เดินหลงทางอีก แน่นอนว่า…” เขายิ้มแย้ม เอ่ยสืบต่อว่า “วันนี้หลงทางได้ดียิ่งนัก”


 


 


“ข้ารู้สึกว่าไม่ดี” นางถลึงตาใส่เขา กล่าวว่า “เจ้าอืดอาดยืดยาด พาให้เรื่องของข้าชักช้าไปด้วย!”


 


 


“อย่ารีบร้อน” เขาเหยียดริมฝีปากบาง เอ่ยขึ้นว่า “ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปจวนเสนาบดีกองขุนนาง”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าขึ้นหอมาทำอะไรกัน? จะกระโดดจากบนหอไปยังจวนเสนาบดีกองขุนนางหรือ” นางถลึงตาใส่เจ้าคนไว้ใจไม่ได้คนนี้ เดิมทีนึกว่าคำพูดท่อนหนึ่งนี้จะโจมตีเขาหรือเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยตนเองไปได้ กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าคนนี้บางครั้งก็ยังเซ้าซี้เสียยิ่งกว่ากงอิ้น


 


 


สองคนไปถึงจุดสูงของหอ เผชิญหน้ากับตรอกซีเกอที่อยู่ข้างล่างพอดี คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงได้พบว่าเหยียลี่ว์ฉีเอ่ยไว้ไม่ผิด หอแห่งนี้ของเขามีทัศนวิสัยยอดเยี่ยม เมื่อมองจากข้างบนลงไปข้างล่างก็เห็นตี้เกอได้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นบริเวณโดยรอบมีบ้านเรือนตั้งเรียงรายเบียดเสียดกัน ทอดยาวเหยียดได้อย่างชัดเจนยิ่ง สัตว์นั่งยอง[1]บนชายคาเก่าแก่สีเขียวเทา กระเบื้องเคลือบสีแดงสดเปล่งประกายแสงอาทิตย์ผืนใหญ่ผืนโต ดั่งทะเลสาบสีแดงก่ำผืนหนึ่ง


 


 


สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางพบว่าตำแหน่งด้านนี้ ทะเลสาบที่ใกล้กันแคบอย่างยิ่ง ผิวทะเลสาบครึ่งใหญ่ประชิดข้างจวน ด้วยเพราะเป็นทะเลสาบ ไร้หนทางขวางกั้นด้วยกำแพงล้อมรอบ ทว่ามีต้นซาน[2]ซึ่งเป็นพืชน้ำแถวใหญ่แถวหนึ่งขึ้นอยู่หนาแน่นขัดขวางทั้งเรือทั้งคน


 


 


หรือกล่าวได้ว่าเดิมทีที่นี่ก็เป็นทะเลสาบแห่งหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเหตุใดถึงถูกจวนเสนาบดีกองขุนนางกับจวนราชครูฝ่ายซ้ายครอบครองพื้นที่ไปครึ่งหนึ่ง น้ำคุณภาพดีเช่นนี้ในต้าฮวงมีไม่มาก ทั้งสองตระกูลต่างเสียดายไม่อยากละทิ้งจึงเลือกสร้างจวนล้อมรอบน้ำ ครอบคลุมน่านน้ำในจวนของตนเอง สุดท้ายปลูกต้นซานน้ำแถวหนึ่งขวางไว้


 


 


ต้นซานน้ำสีเหลืองทองสะท้อนอยู่ในน้ำ เงาทะเลสาบอุดมสมบูรณ์ซ้ำยังมีลำดับชั้นด้วยเหตุนี้ ชั้นหนึ่งสีทองชั้นหนึ่งสีเขียว ประดับด้วยใบไม้สีทองเล็กๆ น้อยๆ งดงามจนสว่างพร่างพราย


 


 


แม้แต่จิ่งเหิงปัวยังถูกดึงดูด เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสองตระกูลนี้ถึงร่วมใช้ทะเลสาบแห่งเดียวกัน


 


 


“เมื่อครู่เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว” เสียงของเหยียลี่ว์ฉีพลันดังขึ้นข้างหูนาง ใกล้ยิ่งนัก ลมหายใจแผ่วเบาเป่ารดใบหูของนางจนคันยุบยิบ เอ่ยว่า “ข้าคิดจะกระโดดลงไป…เจ้าอย่าลืมไปตามหาข้าข้างล่างนะ ภรรยาน้อยของข้า…”


 


 


“หา?” จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้รู้สึกตัว


 


 


เสียง ฟิ้ว! ดังขึ้น เหยียลี่ว์ฉีกระโจนครั้งหนึ่ง ท่วงท่าวาดเป็นรัศมีโค้งราบรื่นกลางอากาศ จิ่งเหิงปัวมองตามรัศมีโค้งสายนั้นอย่างปากอ้าตาค้าง สายตามองดูเขาข้ามผ่านผิวทะเลสาบเล็กแคบผืนนั้นของตนเอง ข้ามผ่านต้นซานน้ำสูงตระหง่านแถวนั้น ร่วงสู่ทะเลสาบจวนเสนากองขุนนางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดังตู้ม!


 


 


แทบจะโดยพลัน เสียงจากข้างล่างฝั่งตรงข้ามตะโกนแว่วออกมา


 


 


“ท่านราชครูฝ่ายซ้ายฝึกวรยุทธ์ไม่ระวังกระโดดข้ามมาอีกแล้ว!” ฟังแล้วคล้ายเป็นเสียงสตรี ฟังดูตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง ฟังดูแล้ว คล้ายว่าที่เหยียลี่ว์ฉีกระโดดน้ำข้ามเขตแดนแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก


 


 


จิ่งเหิงปัวเช็ดใบหน้าอย่างงงงวยครั้งหนึ่ง


 


 


“แบบนี้ก็ได้เหรอ?”


 


 



 


 


ภายในห้องเงียบสงบ เงาคนชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างเงียบเชียบ ภายในตำหนักใหญ่ทั้งหลังมีไอควันสีขาวจางลอยวนเวียน ทว่าไม่ได้ผ่อนคลายเป็นระเบียบเฉกเช่นยามปกติ แลดูทั้งจมทั้งลอยไม่แน่นอน เจือด้วยความกระสับกระส่ายเล็กน้อย


 


 


ในความเงียบสงัดผืนหนึ่ง เรือนร่างของคนชุดขาวโน้มไปข้างหน้าในทันใด เสียงพรวดเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา บนพื้นศิลาขาวกระเซ็นด้วยรอยแดงฉานเล็กน้อย เศร้าสลดงดงามดุจดอกเหมยโรยรา


 


 


เขาโค้งเรือนร่างเล็กน้อยคล้ายกำลังมองโลหิตที่ตนเองกระอักออกมา คล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องในใจ ซ้ำยังคล้ายถูกความจริงบางเรื่องทำให้ตื่นตะลึง


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่เขาเปล่งเสียงทอดถอนใจแผ่วเบาออกมาเสียงหนึ่ง


 


 


“สุดท้ายแล้วยังคง…สยบไว้ไม่ได้สินะ…”


 


 


นิ้วมือค้ำเลียบไปตามเตียง เขาค่อยๆ นั่งตัวตรง หลังมือรวมทั้งเล็บมือต่างเป็นสีขาวราวหิมะไร้สีโลหิต เพียงพลันปรากฏรอยแดงจางหลายรอยใต้พื้นเล็บมือขาวประหนึ่งเปลือกน้ำแข็ง


 


 


ไอควันข้างบนตำหนักใหญ่ลอยวนเวียนยิ่งรวดเร็วขึ้น


 


 


เขาก้มหน้าเล็กน้อย ลักษณะท่าทางอ่อนแออย่างหาได้ยาก


 


 


ด้ายทองข้างกายพลันกระตุกเล็กน้อย เขายกมือกดเพียงครั้ง ประตูตำหนักใหญ่ข้างหน้าค่อยๆ ปรากฏช่องว่างช่องหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าของผู้รายงาน


 


 


นี่คือการดำเนินการปรับปรุงหลังเกิดเรื่องคราวก่อน เพื่อสะดวกต่อการควบคุมสถานการณ์ข้างนอก


 


 


“ราชครู ขุนนางหญิงกองพิธีการซย่าจื่อหรุ่ยถูกจับตัวไปจวนเสนาบดีกองขุนนางขอรับ”


 


 


เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย โบกมืออย่างอ่อนเพลีย เอ่ยว่า “ถือจดหมายของข้าไปรับตัวนาง”


 


 


“ขอรับ”


 


 


มือที่โบกอยู่กลางอากาศของเขาพลันหยุดชะงัก เอ่ยว่า “ขุนนางหญิงซย่าอยู่กับราชินีหรือ”


 


 


“ขอรับ”


 


 


เขาลุกขึ้นโดยพลัน


 


 


“เตรียมรถม้าไปจวนเสนาบดีกองขุนนาง!”


 


 



 


 


จิ่งเหิงปัวยืนงงงวยอยู่บนหอไประลอกหนึ่ง พอหันกลับมาพบว่าข้างหลังมีห้องรับรอง ภายในห้องมีเสื้อผ้าหลากหลายแบบ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าของเหยียลี่ว์ฉี ยังมีเสื้อผ้าผู้หญิงบางส่วน ส่วนมากเป็นเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม


 


 


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มีหญิงวัยกลางคนมีอายุนางหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังนางแล้ว ใช้สายตาสอบสวนพินิจนางครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “แม่นาง ราชครูสั่งให้บ่าวมาปรนนิบัติแม่นาง ประเดี๋ยวเชิญแม่นางตามบ่าวไปจวนเสนาบดีกองขุนนาง ไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดขอให้แม่นางทำตาม โปรดให้ความร่วมมือด้วย”


 


 


จิ่งเหิงปัวพยักหน้า ไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหยียลี่ว์ฉีจัดหาคนคนหนึ่งมาช่วยดูแลตนเองตั้งแต่เมื่อไร นักการเมืองที่มีสถานภาพแบบนี้ หากไม่มีลูกน้องที่ทั้งลึกลับทั้งเชี่ยวชาญทุกเรื่องสักหลายคน นับเป็นความผิดต่อตระกูลของพวกเขาโดยแท้


 


 


“เชิญแม่นางเปลี่ยนอาภรณ์”


 


 


จิ่งเหิงปัวเลือกชุดจากกองเสื้อผ้าใหม่ที่ยกมาให้มาเปลี่ยนตามใจชอบชุดหนึ่ง หญิงวัยกลางคนเกล้าทรงผมของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วให้นางอย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก จิ่งเหิงปัวเพิ่งพบในภายหลังว่า…หา? พี่ต้องแสดงเป็นเมียน้อยของเหยียลี่ว์ฉีไปรับคนที่ข้างจวนจริงหรือ?


 


 


แม้ว่าจะไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่เมื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ยังรู้สึกว่าวิธีนี้เป็นวิธีการที่ดีวิธีหนึ่ง เข้าจวนเสนากองขุนนางไปรับคนได้อย่างสง่าผ่าเผย เมื่อหาจื่อหรุ่ยจนเจอแล้วพานางไปอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง หลีกเลี่ยงการปะทะกันกับเสนากองขุนนาง นางก็ไม่กลัวต้องปะทะกับเสนากองขุนนาง แต่ก็ไม่อยากปะทะกับลูกน้องคนสำคัญของกงอิ้นในเวลานี้อีก เช่นนั้นจะสร้างภาระให้เขามากยิ่งขึ้น


 


 


เสื้อผ้าสั้นไปหน่อย อีกทั้งบริเวณหน้าอกก็คับอยู่บ้าง นางเปรียบเทียบสัดส่วนนี้ คิดขึ้นมาทันทีว่าเสื้อผ้าตัวนี้คงไม่ใช่ตัดตามสัดส่วนของเฟยหลัวหรอกกระมัง?


 


 


จิ๊จ๊ะ อกเล็กขนาดนี้เชียว


 


 


นางหัวเราะอย่างเปี่ยมด้วยเจตนาร้าย


 


 


หญิงวัยกลางคนหยิบอาภรณ์ของเหยียลี่ว์ฉีมาชุดหนึ่ง วางไว้บนถาดรองแล้วส่งให้นาง


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่รับ กลับถามว่า “เหตุใดต้องให้ข้าถือ?”


 


 


“สถานะยามนี้ของท่านคืออนุภรรยาคนใหม่ของราชครู ในเวลาเช่นนี้ควรเป็นยามที่ท่านแสดงน้ำใจไมตรี ท่านถือไว้ด้วยตนเองถึงยิ่งสอดคล้องกับสติปัญญาและสถานภาพของท่าน”


 


 


“ข้ารู้สึกว่าอนุภรรยาต่ำต้อยไปหน่อย” ราชินีแซ่จิ่งหยุมหยิมจุกจิกกับสถานภาพ


 


 


“ราชครูยังไม่ได้สมรส เรื่องนี้ต่างรับรู้ทั่วทั้งตี้เกอ แน่นอนว่าหากท่านยินยอมเปิดเผยตนว่าเป็นภรรยาหลวงของราชครูย่อมได้เช่นกัน บ่าวคิดว่าราชครูต้องเต็มใจอย่างยิ่งเป็นแน่ ดูท่าทางขั้นตอนต่อไปบ่าวคงต้องตระเตรียมสามหนังสือหกพิธีการ[3]ให้ราชครูแล้ว”


 


 


จิ่งเหิงปัวได้แต่รับถาดรองมาอย่างว่าง่าย แอบโกรธเคืองว่าลูกน้องของเหยียลี่ว์ฉีไม่ใช่คนดีทั้งนั้นจริงๆ


 


 


นางตั้งใจเดินอย่างเชื่องช้าก้าวหนึ่ง พลิกเสื้อผ้าของเหยียลี่ว์ฉีไปมา ใช้มือลูบฝุ่นจนทั่วเมื่อเดินผ่านกำแพงแห่งหนึ่งแล้วใช้ชุดชั้นในอ่อนนุ่มของเขาเช็ดมือ ซ้ำยังพลิกกางเกงขาสั้นมาอยู่ข้างบนสุด วางไว้อย่างเปิดเผย


 


 


หญิงวัยกลางคนมองเห็นแล้วไม่ได้ใส่ใจ อย่างไรเสียขอเพียงนางเจตนาดี เจ้านายคงไม่ว่ากระไร


 


 


มีสาวใช้อีกสองคนตามมาจากตรงข้างหอ สาวใช้สองคนนี้หน้าตาธรรมดา นิ่งเงียบยิ่งนัก แตกต่างจากสาวใช้งดงามรูปร่างผอมบางอิ่มเอิบเหล่านั้น ดูท่าทางน่าจะเป็นพวกองรักษ์ลับ


 


 



 


 


เงาคนหลายสายบนกำแพงรั้วที่ห่างออกไปลุกขึ้นมานั่ง


 


 


“ไปเล่นสนุกที่จวนข้างๆ กัน!”


 


 



 


 


 


 


[1] สัตว์นั่งยอง (蹲兽) เป็นตุ๊กตาตกแต่งบนหลังคาพระราชวังสมัยโบราณ ทุกมุมปลายหลังคาบนครอบสันจะประดับไปด้วยตุ๊กตาสัตว์เหล่านี้ ตุ๊กตาสัตว์เหล่านี้มีความสัมพันธ์กับระดับของพระราชวังนั้น


 


 


[2] ต้นซาน ต้นไม้ในตระกูลต้นสน ผลิใบเขียวชอุ่มตลอดปี ลำต้นสูงตรง ออกกิ่งก้านเป็นทรงกรวย


 


 


[3] สามหนังสือหกพิธีการ พิธีมงคลสมรสแบบจีนโบราณ สามหนังสือที่กล่าวถึงนั้น ได้แก่ หนังสือหมั้นหมาย หนังสือแสดงสินสอดและหนังสือรับตัวเจ้าสาว ส่วนหกพิธีการเป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่เริ่มตั้งแต่การหมั้นกระทั่งถึงพิธีแต่งงาน ได้แก่ สู่ขอ ขอวันเดือนปีเกิด เสี่ยงทาย มอบสินสอด ขอฤกษ์และรับเจ้าสาว

 

 

 


ตอนที่ 76 - 1 ทะลวงถ้ำแมงมุม โจมตีปีศ...

 

หญิงวัยกลางคนเคาะประตูน้อยซึ่งกั้นขวางระหว่างสองจวน หลังจากนั้นไม่นานทางนั้นก็แว่วเสียงไขกุญแจเข้ามา ได้ยินเสียงคล้ายมีคนยืนอยู่ข้างทะเลสาบไม่น้อยอย่างเลือนราง โห่ร้องยิ้มพราว เสียงมารยาสาไถย


 


 


หญิงวัยกลางคนเอ่ยจุดประสงค์จนชัดเจน พอหญิงรับใช้ที่เปิดประตูอีกฝั่งได้ยินก็พลันยิ้มแย้มออกมา


 


 


“เหล่าคุณหนูของจวนข้าต่างเอ่ยว่าอากาศเย็นแล้ว เหตุใดราชครูยังฝึกวรยุทธ์กลางน้ำอีก กำลังสั่งให้คนไปหาอาภรณ์ของนายท่านมาให้เขาสวมใส่ ผู้ใดจะรู้ว่าฮูหยินหรูจะส่งมาให้แล้ว” เอ่ยพลางพินิจ ‘ฮูหยินหรู’ ด้วยดวงตากลอกกลิ้งไปมา


 


 


‘ฮูหยินหรู’ ไม่ได้มีจิตสำนึกในการระวังวาจาและการกระทำเฉกเช่นอนุภรรยาด้วยซ้ำ นางกำลังเขย่งเท้าจ้องมองไปทางทะเลสาบนั่นอยู่แน่ะ


 


 


ไอ้เวรเอ้ย เหยียลี่ว์ฉีวาสนาดีแท้


 


 


หนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ด ข้างทะเลสาบแห่งนี้มีสตรียืนอยู่ตั้งเจ็ดนาง!


 


 


การแต่งตัวของสตรีผู้เป็นนายเจ็ดนางรวมกับสาวใช้ของพวกนาง พาให้ทั่วทั้งริมทะเลสาบเปี่ยมด้วยเสียงหัวเราะราววิหค อาภรณ์สีสันสดใสล้อมรอบทะเลสาบอย่างพร้อมเพรียง


 


 


ในทะเลสาบ บุรุษที่เสนอตัวเข้าจวนคนนั้นยังไม่ได้ขึ้นฝั่ง เขากำลังว่ายน้ำไปมาอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางแววตาดุจพยัคฆ์ดั่งหมาป่าของสตรีกลุ่มหนึ่ง


 


 


เหล่าคุณหนูยืนหัวเราะคิกคักอยู่ริมฝั่ง บางนางยิ้มพราว แล้วร้องว่า “ราชครูเหยียลี่ว์แรงดียิ่งนัก!” บางนางก็ตะโกนลั่นว่า “ท่านราชครูว่ายน้ำเก่งยิ่งนัก!” อีกทั้งบางนางไม่เอ่ยวาจา ดวงตาวูบไหวแล้ววูบไหวเล่า เวียนวนบนร่างกายเปียกโชกที่โผล่พ้นผิวน้ำของเหยียลี่ว์ฉีอย่างต่อเนื่อง


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะจนท้องแทบแตก…ฉากนี้งดงามเกินไปนางก็ไม่กล้ามอง


 


 


นางรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ นะ


 


 


นึกไม่ถึงเลยว่าเหยียลี่ว์ฉีจะยอมพลีชีพขนาดนี้น่ะ


 


 


ที่นี่เป็นจวนเสนาบดีกองขุนนางที่ไหนกัน ที่นี่เป็นถ้ำแมงมุมชัดๆ เลย


 


 


พระถังซัมจั๋งแซ่เหยียลี่ว์เดินมาตกหลุมพราง เรือนร่างเปียกโชกยั่วยวน เมื่อเทียบกันแล้ว จิ่งเหิงปัวที่แสดงเป็นอนุภรรยา ไม่นับว่าเสียเปรียบแน่แท้


 


 


หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงแผ่วเบาโดยไม่เจือด้วยอารมณ์ใดข้างหูนางว่า “หลายนางนี้เป็นน้องสาวของฮูหยินเสนากองขุนนาง แม้ว่าฮูหยินเสนากองขุนนางจะมีชื่อเสียงเลวร้ายในตี้เกอ ทว่านับว่าทุ่มเทต่อน้องสาวทั้งหลายนางนี้อย่างเต็มกำลัง บิดามารดาของนางเสียไปตั้งนานแล้ว น้องสาวหลายนางนี้แทบจะพามาเลี้ยงในจวนตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ จึงนับว่าเป็นคุณหนูในจวนแห่งนี้”


 


 


“เหตุใดถึงยังไม่ได้ออกเรือนกันเลยเล่า” จิ่งเหิงปัวมองลักษณะท่าทางของสตรีกลุ่มนั้นแล้ว ความประพฤติแบบนี้ในยุคปัจจุบันไม่นับว่าแปลกอะไร แต่ในต้าฮวง…ขายออกด้วยหรือ?


 


 


“มีบางนางออกเรือนแล้วทว่าถูกยกเลิกการสมรส ทั้งยังมีบางนางที่สามีเสียแล้ว” หญิงวัยกลางคนเอ่ยตอบ


 


 


จิ่งเหิงปัวจิ๊จ๊ะเสียงหนึ่ง ยิ่งรู้สึกว่าเหยียลี่ว์ฉีมีวาสนาไม่น้อยที่ได้เป็นเพื่อนบ้านกับปีศาจแมงมุมฝูงนี้ ถึงว่ากระโดดน้ำพลาดบ่อยเหลือเกิน


 


 


เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา เหล่าสตรีก็ต่างเบนสายตามาหา สีหน้าเจือด้วยเจตนาร้ายเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงสูงขึ้นว่า “ท่านราชครู ไม่ได้ข่าวว่าท่านตบแต่งอนุภรรยาเลย เหตุใดถึงพลันมีน้องหญิงเพิ่มมาอีกนางแล้วเล่า?”


 


 


ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกลอกกลิ้งอย่างบิดเบี้ยว…น้องสาวแกน่ะสิ! เมียน้อยของเหยียลี่ว์ฉีนับว่าเป็นน้องสาวอะไรของเจ้า หรือว่าเจ้าอยากเป็นเมียน้อยของเหยียลี่ว์ฉีเหมือนกัน?


 


 


การสั่งสอนอบรมของจวนเสนาบดีกองขุนนางแห่งนี้ช่างงดงามน่าอัศจรรย์เสียจริง


 


 


“อนุภรรยานางเดียว ยังควรค่าให้ป่าวประกาศทั่วโลกหล้าหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะเสียงลั่น ไม่มองจิ่งเหิงปัวสักคราเดียว โบกไม้โบกมือแล้วเอ่ยว่า “ไปรอปรนนิบัติข้าสวมอาภรณ์ในห้อง” พลางเอ่ยกับสตรีชุดแดงที่เอ่ยวาจานั้นว่า “คุณหนูสาม พอจะมีห้องว่างเหมาะแก่การใช้ให้ข้ายืมเปลี่ยนอาภรณ์ได้หรือไม่”


 


 


“มีๆๆ” คุณหนูสามนั้นแทบอยากจะให้จิ่งเหิงปัวเร่งรีบออกห่างริมทะเลสาบ นางฉวยมือชี้ไปทางหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ทางนั้นคือเรือนรับรองหลีหวา ใกล้ที่แห่งนี้ด้วย เช่นนั้นไปทางนั้นเถิด”


 


 


จิ่งเหิงปัวขานรับเสียงหนึ่ง ตนเองมีหญิงรับใช้เดินมานำทาง เหยียลี่ว์ฉีโผล่ออกมาจากน้ำดังตู้ม มองดูเงาด้านหลังของนาง จิ่งเหิงปัวพลันหันหลังกลับมา มุมปากกระหวัดเป็นรอยยิ้มครั้งหนึ่ง นิ้วมือจิ้มลงไปข้างล่าง หันกายจากไปอย่างงดงามอ่อนช้อย


 


 


เหยียลี่ว์ฉีฝืนหัวเราะเพียงครั้ง รู้ว่าสัญลักษณ์นี้หมายถึงสตรีนางนี้ต้องการให้เขาว่ายน้ำขายรูปโฉมถ่วงเวลาต่อไป จึงได้แต่ว่ายน้ำอีกรอบหนึ่ง


 


 


ผู้ชุมนุมข้างทะเลสาบยิ่งมีมากขึ้น เสียงหัวเราะของสตรีเจ้าชู้กลุ่มนั้นกระเพื่อมจากข้างทะเลสาบไปไกลโพ้น


 


 


“ราชครูเร็วหน่อยสิ…”


 


 


“ราชครูท่านหนาวหรือไม่”


 


 



 


 


“ราชครูเร็วหน่อยสิ ราชครูท่านหนาวหรือไม่” จิ่งเหิงปัวเลียนแบบด้วยเสียงพิลึกพิลั่น ก่อนจะรีบก้าวเท้าเข้าเรือนหลีหวา


 


 


พอนางเข้ามาแล้วก็คิดจะไล่หญิงรับใช้ที่นำทางออกไป ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะหันหลัง ข้างหลังก็มีสายลมหอมกรุ่นพัดกำจายเข้ามา เสียงหัวเราะทอดยาว พอมองทะลุผ่านช่องหน้าต่าง โอ้ เหล่าปีศาจแมงมุมตั้งหลายตนเดินตามมาด้วย


 


 


ประหลาด ไม่อยู่ริมทะเลสาบเชยชมพ่อรูปงามตกน้ำ แล่นมาจ้องมองนางทำไมกัน?


 


 


“น้องหญิงท่านนี้ เมื่อครู่พวกเราอยู่ริมทะเลสาบจึงไม่อาจแสดงความเคารพ คิดแล้วเสียมารยาทยิ่งนัก คราวนี้จึงมาดูแลน้องหญิงสักหน่อย ต้องการสิ่งใดก็ขอให้เอ่ยวาจามาได้เลย” ผู้เอ่ยปากยังคงเป็นสตรีชุดแดงนางนั้นที่ผู้อื่นเรียกว่าคุณหนูสาม


 


 


จิ่งเหิงปัวมองสตรีนางนี้แวบหนึ่ง รูปโฉมค่อนข้างงดงามหลายส่วน แต่แต่งหน้าหนาเกินไปหน่อย เป็นถึงคุณหนูสูงศักดิ์แท้ๆ แต่กลับอยากฝืนเป็นเหมือนพวกสตรีตกอับข้างถนนแบบนั้น


 


 


“ไม่เป็นไร” นางแสร้งยิ้มเช่นกัน กล่าวว่า “คุณหนูสามมีน้ำใจไมตรีเหลือเกิน ทางข้านี้จะจัดการอาภรณ์ให้ใต้เท้า คงต้องปรนนิบัติเขาบ้างแล้ว”


 


 


นางหวังจะไล่แขก แต่สตรีหลายนางนั้นไม่ยอมไป คุณหนูสามเดินเข้ามาอย่างงดงามอ่อนช้อย หางตาชำเลืองมองเสื้อผ้าถาดนั้นครั้งหนึ่ง แววตาจ้องเขม็งอยู่บนกางเกงชั้นในที่วางอยู่ข้างบนสุด หางตาเหลือบมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง สายตาเจือด้วยความไม่พอใจ


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มดุจมวลผกา…เจ้าจ้องข้าทำอะไรของเจ้า? เจ้าเป็นคุณหนูสมัยโบราณที่ยังไม่ได้ออกเรือนนางหนึ่ง มองกางเกงชั้นในของบุรุษครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ก็มีเกียรติศักดิ์ศรีมากหรือ?


 


 


คุณหนูสามนั้นพิงโต๊ะอยู่ ยื่นมือออกมาในทันทีคล้ายหวังจัดระเบียบเสื้อผ้าของเหยียลี่ว์ฉีให้ เมื่อมือยื่นมาถึงครึ่งหนึ่งก็พบกับสายตาที่คล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มของจิ่งเหิงปัว เช่นนั้นจึงเร่งรีบหดมือกลับไป


 


 


“แต่ก่อนคล้ายไม่เคยพบน้องหญิงมาก่อน น้องหญิงเพิ่งสมรสเข้าจวนเหยียลี่ว์หรือ”


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง อืม เริ่มล้วงความลับแล้วหรือ?


 


 


“ใช่แล้ว” สายตาสุกสกาวของนางเวียนวน เอ่ยว่า “เพิ่งสมรสได้ไม่นาน”


 


 


“น้องหญิงมีวาสนาดีโดยแท้” สตรีชุดเหลืองอีกนางขานรับว่า “ได้ยินว่าเดิมทีราชครูเหยียลี่ว์ควรตบแต่งภรรยาตั้งนานแล้ว ทว่าเพื่อตระกูลจึงสาบานว่า หากตระกูลไม่เจริญรุ่งเรืองจะไม่สมรส ในช่วงที่ตระกูลเสื่อมสลายที่สุด เขารับตำแหน่งราชครูฝ่ายซ้ายได้สำเร็จ คุ้มครองรักษาทรัพย์สินร้อยปีของตระกูลเหยียลี่ว์ไว้ได้ นับเป็นบุรุษอัศจรรย์โดยแท้ คิดไม่ถึงว่าบัดนี้บุรุษอัศจรรย์จะมีความคิดสมรสภรรยา ยามนี้ข้างกายเขามีฮูหยินหรูเคียงข้าง แขนเสื้อแดงหอมรัญจวน ดนตรีหวนร่วมบรรเลง เอ่ยขึ้นมาแล้วนับเป็นวาจางดงามท่อนหนึ่งเชียว”


 


 


“นั่นสิ ในเมื่อข้างกายใต้เท้าเหยียลี่ว์มีฮูหยินหรูแล้ว อีกไม่นานคงจะได้สมรสภรรยาอย่างเป็นทางการ ไม่รู้ว่าฮูหยินหรูเคยได้ยินใต้เท้าเปรยถึงเรื่องนี้หรือไม่”


 


 


จิ่งเหิงปัวใช้สองมือเท้าคางไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ย่อมเคยได้ยินมาบ้าง”


 


 


“โอ้?” แววตาของสตรีหลายนางนั้นสว่างวูบ โน้มกายเข้าใกล้โดยสำนึก เอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าใต้เท้าเหยียลี่ว์ถูกตาต้องใจคุณหนูตระกูลใดหรือ”


 


 


“มิได้เอ่ยเช่นนั้น” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า มองสายตาที่ผิดหวังของสตรีหลายนาง พลันยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เขาเอ่ยว่าเขาชื่นชอบสตรีอ่อนโยนเปี่ยมคุณธรรม ครองคู่สุขสันต์ ยังเคยเอ่ยถึงสตรีจวนตระกูลจ้าวที่อยู่ใกล้กัน…”


 


 


นางลากเสียงยืดยาว สตรีหลายนางโน้มกายเข้าหากัน เอ่ยว่า “เอ่ยว่าอะไร” แววตาและเสียงเร่งเร้า


 


 


“เอ่ยว่า…” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง ดีดนิ้ว กล่าวว่า “เอ่ยว่าเหล่าคุณหนูตระกูลจ้าวตรงตามความต้องการของเขายิ่งนัก”


 


 


“จริงหรือ?” คุณหนูสามคนนั้นดีใจจนออกนอกหน้า


 


 


หลายนางที่เหลือ บนใบหน้ามีแสงโชติช่วงสว่างเจิดจ้า แววตาแพรวพราว


 


 


“ข้าอยากให้ใต้เท้ารีบเร่งสมรสภรรยาโดยเร็วยิ่งนักเช่นกัน” จิ่งเหิงปัวลดเสียงลงให้ดูลึกลับ กล่าวว่า “เอ่ยตามความจริง ข้าก็สมรสเข้ามาได้ครึ่งเดือนแล้ว จนถึงยามนี้ยังไม่ได้…ยังไม่ได้…” ก้มหน้าทำท่าทางขวยอายเหลือเกิน กล่าวต่อไปว่า “ยังไม่ได้เข้าหอกับใต้เท้า…”


 


 


“หา? เป็นไปได้อย่างไรกัน” บนใบหน้าของสตรีหลายนางเปล่งประกายด้วยแสงแวววาวแห่งการนินทา


 


 


“ไม่รู้สิ” จิ่งเหิงปัวยักไหล่ กล่าวว่า “อาจจะต้องรอให้ฮูหยินเข้าจวนถึง…หรือเขาอาจจะผิดปกติ…ว้าย…” นางอุดปากไว้อย่างตื่นตระหนก


 


 


สตรีหลายนางมีสีหน้าเปลี่ยนไป


 


 


“ทว่าคงมิใช่หรอกกระมัง” พริบตาเดียวจิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีอีกครั้งแล้ว กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่านะ ใต้เท้าจวนข้าคงอยากจะมอบครั้งแรกให้ฮูหยินในอนาคตกระมัง แท้จริงแล้ว ที่เขาคนนี้ยังไม่ได้สมรสเสียทีมิใช่เพราะไม่ได้สนใจสตรี เขาเคยเอ่ยกับข้าว่าเหล่าคุณหนูในตี้เกอไม่น่าสนใจเกินไปน่ะ คุณหนูสูงศักดิ์ทุกคนที่อยากสมรสกับเขาเหล่านั้น แต่ละนางต่างเคร่งครัดกฎระเบียบ ระวังวาจาและการกระทำ ดูแล้วประหนึ่งท่อนไม้ไม่น่าสนใจ เขาชื่นชอบสตรีเช่นข้านี้…” ยิ้มแย้มลุกขึ้นมา บิดกายเป็นตัวเอสพลางยืดอกขึ้น ส่งสายตาชำเลืองมองหลังกระชากวิญญาณครั้งหนึ่งให้คุณหนูที่จ้องเขม็งอยู่หลายนางนั้น เน้นเสียงหลายคำออกมาแผ่วเบาว่า “เร่าร้อนดุจเพลิง ทรงเสน่ห์ล้นเหลือ”


 


 


สตรีหลายนางจ้องมองทรวดทรงงดงามวิจิตรซ้ำยังเร่าร้อนของนาง จ้องมองนัยน์ตาวูบไหวในคราวเดียวยามชำเลืองมาของนาง จ้องมองท่าทางงดงามแช่มช้าอรชรโดยกำเนิดของนาง ต่างสูดหายใจเฮือกหนึ่งโดยพร้อมเพรียง กลางหว่างคิ้วผลิบานด้วยแสงรุ่งโรจน์แห่งความเข้าใจ


 


 


“เฮ้อ ข้าต้องหาโอกาสปรนนิบัติใต้เท้าของพวกเราให้เต็มที่ มิเช่นนั้นรอให้ฮูหยินใหม่เข้าจวนคงไม่สนุกแล้ว…” จิ่งเหิงปัวเท้าแก้มพูดเองเออเอง กล่าวจบแล้วเงยหน้าขึ้น


 


 


แหม ข้างหน้าไม่มีคนแล้ว


 


 


ไปกันเร็วจริง


 


 


จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง


 


 


คิกๆ เหยียลี่ว์ฉี รอคอยเหล่าคุณหนูผู้ ‘เร่าร้อนดุจเพลิง ทรงเสน่ห์ล้นเหลือ’ หลายนางปรนนิบัติเจ้าให้เต็มที่เถิด!


 


 


ส่วนพี่จะไปช่วยคนแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 76 - 2 ทะลวงถ้ำแมงมุม โจมตีปีศ...

 


 


 


พอเดินออกนอกห้อง หญิงรับใช้ที่พานางเข้าเรือนก็ยืนอยู่ตรงระเบียง จิ่งเหิงปัวพลันร้อง “เอ๊ะ” เสียงหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงได้ยินเสียงร้องไห้รำไร?”


 


 


“ที่ใดกัน” หญิงรับใช้มีสีหน้าเปลี่ยนไป มองไปยังทิศทางหนึ่งปราดหนึ่งโดยสำนึก เอ่ยว่า “ฮูหยินท่านคงจะหูฝาดเสียแล้ว”


 


 


“โอ้ คงกระนั้น” จิ่งเหิงปัวใช้วาจาสองสามคำไล่นางไป กล่าวกับลูกน้องของเหยียลี่ว์ฉีหลายคนนั้นว่า “เฝ้าที่นี่ให้ดี อย่าให้ผู้อื่นเข้ามา”


 


 


นางเดินกลับไปในห้อง เรือนร่างกะพริบวูบหายไป


 


 



 


 


“อ๊าก!” ในห้องงดงามห้องหนึ่ง ผู้อ่อนวัยป่วยไข้ผิวขาวซีดหน้าผากเขียวคล้ำล้มกายลงบนหมอน เงยหน้าขึ้นฟ้า สองตากลอกขึ้นหอบหายใจถี่กระชั้น ร้องว่า “ตก…ตก…ตกใจแทบแย่!”


 


 


“นายน้อย! นายน้อย!” สาวใช้และหญิงรับใช้ฝูงใหญ่ฝูงหนึ่งพุ่งเข้าไป ผู้ที่เทน้ำก็เทน้ำไป ผู้ที่นวดหน้าอกก็นวดหน้าอกไป ผู้ที่ตบหลังก็ตบหลังไป ร้องว่า “ไม่เป็นไรแล้ว! ไม่เป็นไรแล้ว! ท่านค่อยๆ หายใจ! ท่านค่อยๆ หายใจ!”


 


 


พลั่ก! หญิงรับใช้นางหนึ่งยกเท้าเตะสตรีชุดม่วงที่ยิ้มเยาะอยู่หน้าเตียงล้มลงบนพื้น ร้องว่า “นังสารเลว! กล้าตั้งใจข่มขวัญนายน้อย!”


 


 


สาวใช้กลุ่มหนึ่งต่างมีสีหน้าโกรธแค้น…เมื่อครู่ฮูหยินให้คนส่งสตรีนางนี้มาให้นายน้อยดูว่าถูกใจหรือไม่ หากชื่นชอบจะได้รับไว้ ด้วยเพราะสตรีนางนี้ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้เฉกเช่นคนเหล่านั้นที่หามาในครั้งก่อนหน้า หลังจากฟื้นคืนสติไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียวท่าทางเชื่อฟังยิ่งนัก ทุกคนต่างนึกว่าสตรีนี้เกรงกลัวอำนาจบารมีของจวนเสนาบดีกองขุนนาง ซ้ำยังพอใจความหรูหรามั่งคั่งในจวน ยินยอมพร้อมใจน้อมรับโชคชะตา จึงไม่ได้ระแวดระวังให้มากนัก ยอมให้นางเดินไปหน้าเตียงนายน้อย


 


 


ผู้ใดจะรู้ว่าความอ่อนโยนขวยอายก่อนหน้าของสตรีนางนี้พลันสูญสลายในพริบตาที่มองเห็นนายน้อย หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว นางก็พลันกัดลิ้นพ่นโลหิตใส่นายน้อย!


 


 


โลหิตปลายลิ้นสาดกระเซ็นเฉกเช่นดอกเหมยเละเทะ ทั่วทั้งใบหน้าของคุณชายเสนากองขุนนางที่อ่อนแอด้วยป่วยไข้มีกลิ่นคาวโลหิตบดบังดวงตาสองข้าง คุณชายร่ำรวยป่วยด้วยโรคหัวใจที่ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมอย่างดีผู้นั้นเปล่งเสียงร้องโหยหวยออกมา ดวงตากลอกขาวเพียงครั้ง ตกใจจนสลบไสลไปทั้งอย่างนั้นแล้ว


 


 


ซย่าจื่อหรุ่ยล้มอยู่บนพื้น ไร้ซึ่งสีหน้าหวาดกลัว ยิ้มเยาะไม่หยุดหย่อน


 


 


แม้ว่านางอยู่ในสภาพโกรธแค้นจนตรอก ทว่ายังคงยืดลำตัวตรง ขาสองข้างชิดกัน นางถูกอบรมสั่งสอนจากพระราชวังมาหลายปี แม้ยามตกอับยังคงไม่เปลี่ยนแปลงท่าทาง


 


 


การรักษาความบริสุทธิ์ด้วยวิธีต่างๆ เป็นวิชาบังคับของขุนนางหญิงในพระราชวังเช่นกัน ฉะนั้นแม้ปลายลิ้นพ่นโลหิตนั่นดูท่าทางน่ากลัว ทว่าบาดแผลบนลิ้นไม่นับว่าหนักหนาสาหัส เพียงแต่เอ่ยวาจาไม่ค่อยสะดวกชั่วคราว นางจึงยิ้มเยาะ เชิดขากรรไกรล่างขึ้น ท่าทางไม่ยอมให้ศักดิ์ศรีของขุนนางหญิงของราชินีตกต่ำเพราะตนเองในที่นี้


 


 


ท่าทางสูงศักดิ์ที่หาได้ยากปานนี้ของนางกลับทำให้เหล่าหญิงรับใช้และสาวใช้ที่ยังอยากเข้ามาเตะต่อยเหล่านั้นเกิดความหวาดกลัวในจิตใจ คนรับใช้ของตระกูลใหญ่โตย่อมตามีแววอยู่บ้าง ส่วนใหญ่รู้สึกว่าสตรีนางนี้ไม่เหมือนผู้มีชาติตระกูลสามัญจึงไม่อยากเสนอหน้า มีผู้ที่เอ่ยอย่างเคียดแค้นว่า “เรื่องนี้จะต้องรายงานฮูหยิน จัดการลงโทษนังสารเลวนางนี้ให้เต็มที่!”


 


 


มีผู้ที่รีบเร่งวิ่งไปรายงานโดยพลัน พอฮูหยินจ้าวที่อยู่ในลานด้านหลังได้ยินดังนั้นก็เขวี้ยงสะดึงปักดอกไม้ที่อยู่ในมือดัง พลั่ก เสียงหนึ่ง


 


 


“อาจหาญนักนะ! ไม่ยอมก็ไม่ยอมสิ กล้าข่มขวัญบุตรชายข้าได้อย่างไร!” ฮูหยินเสนากองขุนนางที่มีใบหน้าผอมแห้ง มีลักษณะของผู้ปากจัดเลือนราง หว่างคิ้วขมวดสูง หนาวเหน็บดั่งมีไอสังหาร


 


 


“สตรีต่ำทรามเช่นนี้ไม่คู่ควรจะเป็นอนุภรรยาในจวนเสนาบดีกองขุนนางของข้า! ลากออกไป ส่งไปในห้องนายท่าน เอ่ยว่าซื้อสาวใช้มาแต่นางไม่เชื่อฟัง รบกวนให้นายท่านสั่งสอนสักหน่อย ประเดี๋ยวค่อยขายนางออกไป!”


 


 


“เจ้าค่ะ!”


 


 



 


 


เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบเข้าไปในลานบ้านแห่งหนึ่งอีกครั้ง ลานบ้านแห่งนี้ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว บริเวณโดยรอบไร้ผู้คน น่าจะเป็นสถานที่ซึ่งใช้กระทำเรื่องเลวร้ายโดยเฉพาะ


 


 


พอนางยืนได้อย่างมั่นคงก็แอบร้องว่าแย่แน่ นางไม่ได้ควบคุมน้ำหนักให้ดี หายตัวแล้วเข้ามาในลานบ้านเลย บังเอิญว่าขณะนี้ ในลานบ้านนี้กำลังมีคนเดินออกมา


 


 


จิ่งเหิงปัวรีบหันหลังในทันที ยืนหันหน้าเข้าหากำแพงตรงที่ใกล้กับหลังประตู แล้วก้มหน้าลง


 


 


ผู้ที่เอ่ยวาจากำลังมีความโกรธแค้นพวยพุ่ง และไม่ได้สังเกตว่าทางข้างหน้ามีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เดินไปพลางสั่งการไปพลาง


 


 


“สตรีต่ำทรามนางนั้นกล้าข่มขวัญบุตรชายข้า นับว่าอาจหาญไม่น้อย ส่งให้นายท่านย่อมต้องระวังไว้ มัดนางให้แน่นหน่อย!”


 


 


“ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ ต้องทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่นิ้วมือนิ้วเดียว” ยายแก่นางหนึ่งก้มหน้าเดินตาม สีหน้าประจบสอพลอ


 


 


สองคนก้าวไปข้างหน้าไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากประตู ฮูหยินนางนั้นก็พลันหยุดฝีก้าว ขมวดคิ้วหันหน้ามองดูจิ่งเหิงปัวที่ถลกแขนเสื้อยืนหันหลังให้นาง เอ่ยว่า “เจ้าเป็นสาวใช้ของลานบ้านใด พบข้าแล้วยังกล้าหันหลังให้อีก หันมา! เงยหน้าขึ้นมา!”


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น หันกลับมามองดูฮูหยินเสนากองขุนนาง กะพริบตาครั้งหนึ่ง


 


 


“โอหัง! พบข้าแล้วยังกล้าไม่โค้งกายคำนับ!” ฮูหยินเสนากองขุนนางเดือดดาลนัก


 


 


“โอ้” จิ่งเหิงปัวรีบเร่งโค้งกายคำนับ ฮูหยินเสนากองขุนนางเชิดหน้าขึ้น


 


 


พลั่ก! กระถางดอกไม้ที่มีดินอยู่เต็มพลันเหินทะยานขึ้น สะบัดกลางอากาศดุจดั่งมีคนกวัดแกว่ง กระแทกบนท้องของฮูหยินเสนากองขุนนางอย่างรุนแรง!


 


 


“อึ่ก…” ฮูหยินเสนากองขุนนางเจ็บจนร้องไม่ออกด้วยซ้ำ นางกุมท้องไว้ ทั่วทั้งร่างเอวงอดุจกุ้งแห้ง


 


 


“อืม การคำนับครั้งนี้ทำได้เข้าท่านัก” จิ่งเหิงปัวพยักหน้า หันหน้าครั้งหนึ่ง ร้องว่า “อย่าหนี!”


 


 


หญิงรับใช้ที่ความรู้สึกว่องไวมากนางนั้นวิ่งออกไปได้สามก้าวแล้ว โก่งคอขึ้นกำลังจะร้องขอความช่วยเหลือ


 


 


พลั่ก! กระถางดอกไม้ที่กระแทกฮูหยินเสนากองขุนนางลอยกลับหัวขึ้นมา กระแทกใส่ศีรษะของหญิงรับใช้นั้นปานฟ้าแลบ


 


 


กระถางดอกไม้ปะทะเข้ากับศีรษะ เสียงกร๊อบแผ่วเบาที่เปล่งออกมาฟังแล้วน่าหวาดกลัว หญิงรับใช้ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องโหยหวน ก็พลันล้มลงดังตุบแล้ว


 


 


“เจ้า…เจ้าคือผู้ใด…” ฮูหยินเสนากองขุนนางเจ็บปวดอยู่ระลอกหนึ่ง ฝืนใจหวังค้ำยันกายขึ้นมา


 


 


จิ่งเหิงปัวถีบเข้าตรงท้องนางในเท้าเดียว ตำแหน่งเดียวกับที่กระถางดอกไม้กระแทกใส่เมื่อครู่ ถีบจนเรือนร่างผอมแห้งของฮูหยินเสนากองขุนนางกลิ้งไปครั้งหนึ่ง จนกระแทกกับกำแพงข้างหลังดังพลั่ก


 


 


จิ่งเหิงปัวฉวยมือใส่กลอนประตู หันกาย ถลกแขนเสื้อ ทุบตี!


 


 


“เจ้ามันสมควรตาย! มอบสตรีนางใดก็ไม่รู้ให้นายท่านเรื่อยเปื่อย! ไม่รู้หรือว่าคุณหนูสามชื่นชอบนายท่าน! เจ้ามันสตรีขี้อิจฉา ไม่เอ่ยว่าช่วยเหลือให้สมหวัง ซ้ำยังชอบหาเรื่องทำลาย วันนี้ข้าจะถีบเจ้าให้ตายระบายความโกรธแทนคุณหนูสามของข้า!” จิ่งเหิงปัวถีบนางไปหลายครั้งหลายคราว ทุกครั้งต่างถีบตรงบริเวณที่กระถางดอกไม้นั้นกระแทกใส่


 


 


“เจ้าคือ…สาวใช้ของเย่ว์เหยียน…” ฮูหยินเสนากองขุนนางลืมตาไม่ขึ้น กุมท้องไว้เกลือกกลิ้งทั่วพื้น กระซิบกระซาบเสียงแผ่วเบาอย่างเหลือเชื่อ


 


 


“คุณหนูสามรักนายท่านอยู่นะ เจ้าไม่รู้หรือ? หรือว่าเจ้ารู้ทว่าแสร้งทำเป็นไม่รู้? เจ้าไม่ยอมให้คุณหนูสามสมหวังด้วยเพราะนางเป็นน้องสาวของเจ้ามิใช่หรือ? น่าสงสารคุณหนูสามร้องไห้อยู่ในห้องทุกวัน ยังต้องหันหน้ามาฝืนยิ้มแย้มให้เจ้า ซ้ำยังต้องเห็นเจ้าช่วยหาสตรีให้นายท่านครั้งแล้วครั้งเล่า! เจ้าหาสตรีมามากมายขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่อาจช่วยให้คุณหนูสามสมหวัง? พี่สาวน้องสาวร่วมสามีเดียวกันมีสิ่งใดไม่ดีหรือ หา? มีสิ่งใดไม่ดีหรือ? วันนี้ข้าพลีชีวิตนี้ จะทำให้เจ้าเข้าใจแจ่มแจ้งว่าคุณหนูสามไม่ใช่ผู้ที่รังแกได้โดยง่ายขนาดนั้น! เก็บใบหน้าพี่น้องจอมปลอมของเจ้าไป!” ขณะนี้จิ่งเหิงปัวเรียบเรียงฉากน้ำเน่าที่ ‘น้องสาวรักพี่เขยเกลียดพี่สาวไม่ยอมช่วยให้สมหวัง’ ฝ่าเท้าถีบรุนแรงเต็มกำลัง ตามเตะฮูหยินเสนากองขุนนางจากกำแพงฝั่งนี้ไปยังกำแพงฝั่งนั้น ตะโกนอย่างเปี่ยมด้วยพลังว่า “วันนี้ข้าพลีชีวิตนี้ระบายความอัดอั้นตันใจแทนคุณหนูสาม อีกทั้งสตรีนางนั้น! สตรีนางนั้นอาจหาญให้ท่านายท่าน! นายท่านเอ่ยไว้แล้วแท้ๆ ว่าประเดี๋ยวจะตบแต่งคุณหนูสามเป็นอนุภรรยา! ถึงคราวให้สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าเหล่านี้ไปปรนนิบัตินายท่านได้อย่างไรกัน! เอ่ยมา! นางอยู่ที่ใด?”


 


 


“ข้าง…ข้าง…ข้างหลัง…” ภรรยาเสนากองขุนนางเพียงขอให้นางรามือ เร่งรีบชี้ทาง หลบอยู่มุมกำแพงสั่นเทาไปพลางขู่เข็ญไปพลาง เอ่ยว่า “เจ้า…เจ้ากล้าเตะข้า…ประเดี๋ยวนายท่านของข้าจะมาแล้ว…”


 


 


“มาก็ดี จะได้เจอของดีด้วยกัน” จิ่งเหิงปัวยิ้มอย่างดุร้าย


 


 


วันนี้นางโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว!


 


 


ตระกูลจอมทำลายล้างตระกูลนี้ ส่งให้บุตรชายแล้วยังส่งให้ตาเฒ่าอีก!


 


 


ฮูหยินเสนากองขุนนางกลอกตาขาวสลบไสลไปแล้ว จิ่งเหิงปัวลากทั้งสองคนเข้าห้องด้านข้างมั่วซั่ว วิ่งเข้าห้องหลัก


 


 



 


 


บนสันกำแพงนิ่งงันเป็นรูปปั้นดินรูปสลักไม้กองหนึ่ง


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่


 


 


“อีชี รีบหยิกข้าสักครั้ง บอกข้าหน่อยว่าข้ายังมีชีวิตอยู่…โอ๊ยเจ้าหยิกแรงขนาดนี้เพื่ออะไรกัน!”


 


 


“เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างดียิ่ง สีโลหิตสวยสดงดงาม ผิวบางเนื้อสดนุ่ม พอหยิกเพียงครั้งย่อมหลั่งโลหิต วางใจ เจ้าอายุยืนกว่าไอ้อาจารย์แก่หนังเหนียวมากนัก”


 


 


“ทว่าข้ารู้สึกว่ายิ่งติดตามองค์ราชินีนานเข้า ข้ายิ่งอายุขัยสั้นลง…เมื่อครู่นางนั้นคือองค์ราชินีหรือ? คือองค์ราชินีนางนั้นในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จหรือ”


 


 


“ใช่สิ ภรรยาข้าน่าเกรงขามนัก! สง่างามนัก หลอกลวงเก่งนัก! ทุบตีเก่งนัก!”

 

 

 


ตอนที่ 76 - 3 ทะลวงถ้ำแมงมุม โจมตีปีศ...

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นจื่อหรุ่ยที่ถูกมัดกางแขนกางขาไว้บนเตียง ในปากมีม้วนผ้าอุดไว้ในคราเดียว นางกำลังพยายามขยับเขยื้อนดิ้นรนร่างกายลงไปข้างล่าง แน่นอนว่าไม่ใช่อยากดิ้นรนเอาชีวิตรอด เชือกผ้ามัดแน่นอย่างยิ่ง นางดึงลากสุดชีวิต เชือกผ้าที่มัดไว้ตรงขอบเตียงยิ่งลากยิ่งรัดแน่น รัดคอของนางจนเกิดเป็นรอยม่วงสายหนึ่งแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวตกใจจนอกสั่นขวัญแขวนในคราเดียว…คราวนี้จื่อหรุ่ยกำลังคิดจะฆ่าตัวตาย! 


 


 


นางสาวเท้าพรวดพราดพุ่งเข้าไป ประคองร่างกายของจื่อหรุ่ยส่งไปบนเตียง ก่อนจะหันหลังหากรรไกรมาตัดเชือกผ้าออกดังฉึบฉับ มองเห็นร่องรอยเขียวม่วงบนคอจื่อหรุ่ย ทั้งรู้สึกเจ็บปวดใจทั้งรู้สึกโกรธแค้น 


 


 


ต้องตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เพียงได้ถึงเลือกจะปลิดชีพตนเองด้วยวิธีนี้ได้? 


 


 


ถึงยามนี้จื่อหรุ่ยมีน้ำตาในที่สุด ทว่าไม่ยอมหลั่งน้ำตาออกมาอย่างดื้อรั้น มองดูนางด้วยแววตาที่มีคลื่นน้ำวิบวับ จิ่งเหิงปัวหยิบม้วนผ้าที่อุดปากนางออกมา นางร้อง “อึ่ก” เสียงหนึ่งแล้วรีบเร่งอุดปากไว้ คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงมองเห็นรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนบนม้วนผ้ากับเลือดข้างริมฝีปากของจื่อหรุ่ย  


 


 


คราวนี้จิ่งเหิงปัวไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใจแล้ว ทว่านางรู้สึกโมโหจนถึงขีดสุด  


 


 


แบบนี้เรียกว่ามองคนอื่นเป็นมนุษย์หรือ? 


 


 


เดิมทีนางไม่อยากก่อเรื่อง ไม่อยากรบกวนคนอื่นแล้วสร้างปัญหาให้กงอิ้น แต่หากไม่ลงโทษคนแบบนี้ แล้วนางจะมีหน้าเป็นราชินีได้อย่างไร? 


 


 


นางอยากจะ…อยากจะ…อยากจะจัดการลงโทษสถานหนักให้ตระกูลนี้ตอนนี้เสียเหลือเกิน! 


 


 


ทว่าหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ สามครั้ง นางก็ยังคงตัดสินใจที่จะส่งจื่อหรุ่ยกลับไปก่อน หากอยู่ที่นี่เพื่อระบายอารมณ์แล้วลากจื่อหรุ่ยเข้าไปพัวพันอีกครั้ง เช่นนั้นยิ่งโง่เง่าเข้าไปใหญ่  


 


 


มือลากจื่อหรุ่ยไว้กำลังก้าวออกไป ที่นอกประตูก็พลันมีเสียงคนตบประตูดัง พลั่ก!  


 


 


ตาเฒ่าบ้ากามคนนั้นคงจะมาถึงแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก่อนตอนที่นางอยู่ในยุคปัจจุบันนั้น ไม่อาจพาคนหายตัวไปได้ หลังจากมาถึงต้าฮวงแล้วความสามารถพิเศษเกิดความเปลี่ยนแปลง พาคนหายตัวไปด้วยได้ แต่การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ไม่ได้ไกลนัก คราวนี้ถ้าหายตัวออกไปแล้วเจอกับเฒ่าบ้ากามพอดี เช่นนั้นคงเกิดปัญหาอย่างแน่นอน ฟังจากเสียงตบประตูนั่นแล้ว ดูท่าข้างนอกคงมีคนไม่น้อย 


 


 


“เจ้าไปซ่อนตัวในห้องด้านข้าง” จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังห้องด้านข้างที่กักขังฮูหยินเสนากองขุนนางและคนรับใช้ไว้ 


 


 


“ฝ่าบาท…” จื่อหรุ่ยเอ่ยวาจาด้วยเสียงคลุมเครือไม่ชัดเจน จูงมือของนางไว้ สีหน้ากระวนกระวาย  


 


 


“ข้าไม่ได้เอ่ยว่าข้าจะยอมสิ้นชีพไม่คำนึงถึงชีวิตเพื่อเจ้า” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ที่นั่นมีตัวประกันสองคน เจ้าไปหาวิธี ปกป้องเจ้าเองก็ดี ใช้เรื่องนี้มาปกป้องข้าก็ดี ดูว่าเจ้าจะทำอย่างไร ร่างกายสตรีเช่นพวกเรามีกำลังไม่สู้บุรุษ คงได้แต่ลงแรงกับแผนการนี้แล้ว เข้าใจหรือไม่?” 


 


 


จื่อหรุ่ยคล้ายไม่เคยได้ยินทัศนะเช่นนี้ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ปล่อยมือนางเดินไปห้องด้านข้างแล้ว จิ่งเหิงปัวปรบมือ แบบนี้ถึงจะถูกต้อง ร้องห่มร้องไห้เจ้าผลักดันข้าให้แสดงว่าตนเองยอมสละชีวิตเพื่ออีกฝ่ายสุดกำลังหรือ แบบนั้นต้องผลักดันไปจนถึงเมื่อไรกัน? นึกว่าอยู่ในละครดราม่าโรแมนติคน้ำเน่าเหรอไง? ต่างคนต่างอยู่ในอันตราย ต่างมีความรับผิดชอบของตนเอง ไม่ว่าใครก็ไม่ควรกลายเป็นภาระของคนอื่น ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะแอบเกียจคร้าน  


 


 


… 


 


 


บนหลังคามีคนหมอบระเกะระกะอยู่หลายคน  


 


 


คนหนึ่งทุบตีอีกคนหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “นี่ เหตุใดไม่ลงไปช่วยเหลือ?” 


 


 


“ไม่ต้องแล้ว ข้าอยากมองดูภรรยาข้าองอาจห้าวหาญ” 


 


 


“ข้ารู้สึกว่าขั้นต่อไปนางจะยั่วยวนจ้าวซื่อจื๋อนะ เจ้าอย่าได้เสียภรรยาและรี้พล[1]เชียว” 


 


 


“ไม่หรอกน่า ภรรยาข้าจะต้องสมรสกับข้าอย่างสมบูรณ์พร้อมไร้ตำหนิเป็นแน่” 


 


 


“องค์ราชินีย่อมออกเรือนอย่างสมบูรณ์พร้อมไร้ตำหนิเป็นแน่ ทว่าปัญหาแรกคือฝ่ายตรงข้ามได้ตัวคนไปแล้ว” 


 


 


… 


 


 


หลังจากจื่อหรุ่ยซ่อนตัวดีแล้ว จิ่งเหิงปัวก็จัดระเบียบห้องเล็กน้อย จัดแต่งจอนผม แล้วเดินไปยังข้างประตู ก่อนจะเปิดประตูออกมา 


 


 


พอบานประตูเปิดออก เสนากองขุนนางจ้าวซื่อจื๋อที่ยืนอยู่ปากประตูก็หรี่ตาลงโดยพลัน  


 


 


แสงสว่างสดใสพาให้ตื่นตะลึง  


 


 


ดวงตาคู่นั้นของเขาพลันเจิดจ้า อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าสตรีที่ฮูหยินส่งมาให้เขาลิ้มรสวันนี้จะมีรูปโฉมงดงามทรงเสน่ห์เช่นนี้ 


 


 


เขาจ้องมองริมฝีปากแดงฉ่ำของนางนั้น รู้สึกเพียงโชติช่วงดุจเพลิงดั่งจะเสียดแทงดวงเนตร เบนสายตามองดอกบานเที่ยงแดงเข้มที่เดิมทีงดงามเลิศล้ำอยู่บนสันกำแพง พลันรู้สึกว่าเศร้าสลดเทาหม่นหมอง  


 


 


จิ่งเหิงปัวกำลังพินิจบุรุษฝั่งตรงข้ามเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเจ้าบ้านจอมทำลายล้างคนนี้ เจ้าตัวนับว่าหน้าตาดูมีราศี รูปร่างสูงใหญ่ โครงหน้างดงามหล่อเหลา จอนผมสองข้างเจือสีขาวทว่ายิ่งแลดูผันผ่านกาลเวลา มีท่าทางของขุนนางเลื่องชื่อมากความรู้สุขุมงามสง่าหลายส่วน มิน่าเล่าถึงได้กลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋น รูปโฉมแบบนี้มีความยั่วยวนอย่างยิ่ง เพียงแต่หากมองโดยละเอียดแล้วจะพบว่านัยน์ตาของคนคนนี้สกปรกเล็กน้อย สายตาระยิบระยับยามที่มองผู้อื่น โดยเฉพาะมองสตรี สายตาดั่งขนนกที่ล่องลอยแผ่วเบากลุ่มหนึ่ง ล่องลอยไปมา ไร้ที่ซึ่งหยุดนิ่ง  


 


 


ยามนี้สายตานั้นมีความดีใจระคนแปลกใจและมีความสงสัย จ้าวซื่อจื๋อถามอย่างหยั่งเชิงว่า “แม่นางดูแล้วไม่คุ้นหน้าคุ้นตา…” 


 


 


“นายท่าน” จิ่งเหิงปัวยืนพิงขอบประตู ชม้ายชายตาให้เขาแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินให้ข้ามาปรนนิบัติท่าน…” 


 


 


นางกล่าวคำว่าบ่าวหรืออนุภรรยาไม่ถนัด โชคดีที่ยามนี้จ้าวซื่อจื๋อกำลังส่งความรักผ่านนัยน์ตา แววตาโลดแล่นขึ้นบนลงล่างอยู่บนทรวดทรงงามเลิศล้ำที่นางบิดเรือนร่างจนเทือกเขาโค้งเว้าจนสิ้น สังเกตถึงสิ่งอื่นเสียที่ใด ต่อให้นางเรียกตนเองว่านายท่าน เขาก็ไม่ได้ยิน 


 


 


“ดีๆๆ…” จ้าวซื่อจื๋อยิ้มแย้ม ยื่นมือส่งให้นางคล้ายหวังให้นางประคอง แต่จิ่งเหิงปัวหันกายไปอย่างกะทันหัน ก้าวเดินนำหน้าเชื่องช้า จ้าวซื่อจื๋อขมวดคิ้วครั้งหนึ่ง เพิ่งอยากจะเอ่ยวาจาสักหน่อย แววตาพลันทอดลงบนเอวที่ขยับเขยื้อนเชื่องช้าของนาง ลื่นไถลไปตามทรวดทรงองเอวโดยอัตโนมัติหลายครั้ง หลงลืมความไม่พอใจไปโดยพลัน  


 


 


“ดีๆๆ ตามเจ้าไป” เขาหัวเราะเหอะๆ พลางก้าวเข้าประตูมา องครักษ์หลายนายข้างหลังต่างกรูตามเข้ามาด้วย  


 


 


จิ่งเหิงปัวพลันหันหลัง นิ้วมือชี้ไปยังองครักษ์หลายนายนั้น ยิ้มพราวพลางเอ่ยว่า “นายท่าน ช่วงเวลาดีงามเช่นนี้ ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ ท่านจะให้ไอ้โง่หลายคนอยู่ที่นี่เพื่อแอบฟังยามเข้าหอจริงหรือ” 


 


 


“อึก…” จ้าวซื่อจื๋อนึกไม่ถึงว่าจิ่งเหิงปัวจะเอ่ยวาจาไม่รู้กาลเทศะขนาดนี้ เขาชะงักไปชั่วครู่ พลันรู้สึกว่าสดใหม่มีพลัง โบกไม้โบกมือ เอ่ยว่า “พวกเจ้ารออยู่นอกลานบ้าน รอคอยฟังคำสั่ง” 


 


 


เหล่าองครักษ์ถอยออกไป จ้าวซื่อจื๋อปิดประตูด้วยตนเอง หันกายแล้วก้าวเท้าตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“โฉมงาม เจ้าเอ่ยวาจาถึงใจนักเชียว นายท่านเช่นข้าก็ชื่นชอบสตรีเช่นเจ้าเป็นที่สุดแล้ว…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีหันหลัง กวักมือ กล่าวว่า “มาสิ…” 


 


 


บนหลังคาอีชีกุมหน้าอกหลับตา เอ่ยว่า “โอ้…กระดูกข้าร้าวไปหมดแล้ว…” 


 


 


“โอ้…อิดอี้อ่าย…” ศิษย์น้องหกคนดัดเสียงน่าเอ็นดู เอ่ยว่า “มาสิ…ข้าเองคิดถึงท่านนัก…” 


 


 


… 


 


 


ประตูปิดลง ห้องพลันมืดมิด  


 


 


จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่บนเตียง ท่าทางอ่อนช้อยงดงาม “นายท่าน…” 


 


 


จ้าวซื่อจื๋อพุ่งขึ้นมาอย่างยินดีปรีดา  


 


 


พริบตาต่อมา เขาก็เบิกตาโพลง มองเห็นหมอนกระเบื้องบนเตียงพลันลอยขึ้น พุ่งมาทางใบหน้าเขา  


 


 


เพล้ง! ดวงดาวสีทองสาดกระเซ็นเป็นผืนใหญ่ผืนโตอย่างสว่างไสว ทั่วทั้งโลกาต่างเป็นสีขาวสีดำผืนหนึ่ง  


 


 


จ้าวซื่อจื๋อโซเซ ถอยไปยังข้างประตู ก่อนจะคว้าวงกบประตูไว้ เงยหน้าจ้องมองจิ่งเหิงปัวอย่างตกตะลึง  


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ไม่ได้ทุบเขาจนสลบไสล นางกระโดดขึ้นมาในทันที เหลียวซ้ายแลขวาหาสิ่งที่ฉวยมือได้ตระเตรียมมาเขวี้ยงอีกครั้ง หางตาพลันเหลือบเห็นมือของจ้าวซื่อจื๋อคล้ายยื่นขึ้นไปคว้าของอะไรสักอย่าง ในใจตื่นตระหนกกำลังขัดขวาง จ้าวซื่อจื๋อดึงเชือกที่แอบซ่อนไว้ข้างประตูเส้นหนึ่งในทันใดแล้ว 


 


 


กริ๊งๆๆ กริ๊งๆๆ แทบจะโดยพลัน ในลานบ้านมีเสียงกระดิ่งถี่กระชั้นระลอกหนึ่งดังขึ้นมา จากนั้นก็ดังขึ้นที่นอกประตูด้วย ดังขึ้นบนต้นไม้ที่ไกลออกไปด้วย แม้แต่ข้างหน้าลานบ้านยังดังขึ้นด้วย เสียงกระดิ่งแว่วออกไปเสียงแล้วเสียงเล่า ชั่วประเดี๋ยวเดียวแว่วไปทั่วทั้งจวน 


 


 


“ไอ้เวรเอ้ย” จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่าเจ้าคนนี้ยังมีของแบบนี้อีก รีบวิ่งไปหาจ้าวซื่อจื๋อ ยามนี้เสียงพลั่กเสียงหนึ่งดังก้อง องครักษ์นอกประตูพังประตูเข้ามาแล้ว ที่ซึ่งห่างออกไปมีเสียงฝีเท้าสับสนปนเปกัน คล้ายมีคนนับไม่ถ้วนรีบเร่งวิ่งมา มีคนตะโกนจากไกลโพ้นว่า “บนหลังคามีคน! ยิงพวกมันลงมา!” จากนั้นมีเสียงน้าวสายธนูอย่างรวดเร็วแว่วมาด้วย  


 


 


จ้าวซื่อจื๋อเป็นคนโหดเ**้ยมเช่นกัน เมื่อถูกทุบจนกลายเป็นแบบนั้นแต่กลับไม่สลบไสล การโต้ตอบรวดเร็วยิ่ง กัดฟันหันหลังรีบวิ่งหนี ร้องตะโกนไปพลางว่า “โยนคบเพลิง! ไม่ต้องจับเป็น! เผาให้สิ้นชีพไปเลย!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวตามไปถึงนอกประตู โบกมือครั้งหนึ่ง เสียงครืนเสียงหนึ่งดังก้อง ราวไม้ราวหนึ่งในลานบ้านล้มลงเบื้องหน้าจ้าวซื่อจื๋อพอดี ควันธุลีอบอวล เศษไม้ปลิวว่อน จ้าวซื่อจื๋อร้องอ๊ากดังลั่นเสียงหนึ่ง กุมเท้ากระโดดขึ้นมา…มันกระแทกนิ้วเท้าเขาแล้ว 


 


 


พอราวไม้ที่ไว้ใช้ตากเสื้อผ้าล้มลง ได้ขัดขวางองครักษ์ของจ้าวซื่อจื๋อที่วิ่งเข้ามารับเขาในลานบ้านเอาไว้ จิ่งเหิงปัวตวาดก้องเสียงหนึ่งว่า “มานี่!” ใช้มือเดียวคว้าไว้! 


 


 


ทุกคนอุทาน “อ๊ะ” ออกมาอย่างตกตะลึง เบิกตาโพลงมองเห็นจ้าวซื่อจื๋อที่ล้มลงบนพื้นถูกจิ่งเหิงปัวใช้พลังเคลื่อนย้ายคว้าไปในมือเดียว! 


 


 


นี่มันวรยุทธ์ใดกัน? 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบดีใจเป็นล้นพ้น คิดไม่ถึงว่าตนเองคว้าครั้งเดียวจะมีผลลัพธ์แบบนี้ได้ แต่ก่อนไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากมายขนาดนี้ 


 


 


ข้างหน้าพลันมีแพรขาวสายหนึ่งเหินมา มัดเอวของจ้าวซื่อจื๋อไว้ดังสวบ จิ่งเหิงปัวพลันรู้สึกถึงแรงลากมหึมาหอบหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา การคว้าขึ้นกลางอากาศของนางเดิมทีเป็นการใช้พลังมากกว่าปกติอยู่แล้ว จะทนรับแรงลากกลับมหึมาแบบนี้ไหวเสียที่ไหน กลั้นหายใจครั้งหนึ่งปล่อยมือออก เรือนร่างของจ้าวซื่อจื๋อเหินขึ้น ถูกฝ่ายตรงข้ามลากกลับไปโดยพลัน  


 


 


ยามนี้ควันธุลียังไม่สูญสลาย จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้มองให้ชัดเจนว่าคนที่ลากจ้าวซื่อจื๋อกลับไปคือใคร นางตะโกนก้องทันที “จื่อหรุ่ย!” 


 


 


หน้าต่างห้องด้านข้างเปิดออกดังปัง พอเหล่าองครักษ์หันไป อุทานอย่างตกตะลึงอีกครั้งว่า “ฮูหยิน!” 

 

 

 


ตอนที่ 76 - 4 ทะลวงถ้ำแมงมุม โจมตีปีศ...

 

เบื้องหน้าหน้าต่างมีฮูหยินจ้าวและหญิงรับใช้ของนางถูกมัดไว้ซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่ง สองคนถูกมัดให้นั่งอยู่บนม้านั่ง บริเวณคอค้ำด้วยแท่งไม้แหลมสองฝั่ง แท่งไม้จ่อหลอดเลือดใหญ่ของสองคนอยู่พอดี จื่อหรุ่ยยืนอยู่ตรงกลางของพวกนาง ถือแท่งไม้นั้นไว้ เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “พวกเจ้าสองคนผู้ใดขยับเขยื้อนก่อน แท่งไม้จะทิ่มลำคอผู้นั้น คนข้างนอกเหล่านี้ผู้ใดขยับเขยื้อนมั่วซั่ว แท่งไม้จะทิ่มฮูหยินก่อน!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวร้องเสียงดังว่า “ดีมาก กดไลค์!” 


 


 


หากนางหายตัวไปเองคนเดียวคงจะหนีรอดไปได้นานแล้ว แต่หากพาจื่อหรุ่ยไปด้วยคงหนีไปได้ไม่ไกล นางไม่มีความมั่นใจ เช่นนั้นก็ไม่สู้จับตัวประกันไว้บุกออกไปก่อน  


 


 


จ้าวซื่อจื๋อร่วงลงนอกประตู แสดงความเคารพให้ผู้ที่ลงมือช่วยเขาก่อนอย่างรีบร้อน เอ่ยว่า “ขอบคุณเถี่ยซื่อจื่อ” 


 


 


คนผู้นั้นยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “เจ้ากับข้าเป็นสหายข้างจวน ในเมื่อเจ้ามีภัย ข้าย่อมต้องช่วยเหลือ” 


 


 


จ้าวซื่อจื๋อเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไม่รู้ว่ามือสังหารจากที่ใด กล้าบุกเข้ามาก่อความวุ่นวายในจวนข้า ต้องให้นางมาได้กลับไม่ได้!” 


 


 


พอเขายืนได้อย่างมั่นคง หันกายตวาดใส่เหล่าองครักษ์ว่า “ยิงธนูเพลิง! บีบพวกนางออกมา!” 


 


 


“ใต้เท้า!” เหล่าองครักษ์ตื่นตะลึง ร้องว่า “ฮูหยินยังอยู่ข้างใน!” 


 


 


“ไม่ต้องห่วงมากมายขนาดนั้น!” จ้าวซื่อจื๋อหยุดฝีเท้า น้ำตาไหลออกมาโดยพลัน เอ่ยว่า “พวกเจ้ายิงธนูเพลิงไปสองฝั่งให้เต็มที่ พวกนางอยากจะรอดชีวิต จำต้องพาฮูหยินออกมาก่อน ฮูหยินย่อมไม่เป็นไรแน่!” 


 


 


ทุกคนเหลือบตาชำเลืองมองจ้าวซื่อจื๋อปราดหนึ่ง เจ้าผู้ชรามีท่าทางพิฆาตญาติเพื่อคุณธรรม ทว่าผู้ใดเล่าไม่รู้ว่าเขาคิดถึงทรัพย์สินสินเดิมที่ฮูหยินกำไว้ในมือแน่น? คราวนี้หากไม่ระวังยิงพลาดจนสิ้นชีพ คงเลื่อนตำแหน่งภรรยาม้วย ร่ำรวยแต่งภรรยาใหม่พอดีเชียว 


 


 


เถี่ยซื่อจื่อผู้นั้นถอยออกไปไกลโพ้นตั้งนานแล้ว เอามือไพล่หลังมองทิวทัศน์ ท่าทางไม่คิดจะเข้าไปพัวพันเรื่องในครอบครัวผู้อื่นด้วยซ้ำ  


 


 


ขณะที่จิ่งเหิงปัวกำลังคิดจะไปรวมกับจื่อหรุ่ย ก็พลันได้ยินเสียง ฟิ้ว! ดังขึ้นเสียงหนึ่ง พอเงยหน้าก็มองเห็นธนูเพลิงดอกหนึ่งพุ่งมาดุจมังกรแดง พุ่งตรงไปยังฮูหยินจ้าวที่อยู่เบื้องหน้านาง  


 


 


“เวรเอ้ย นี่คือนายหญิงจวนเจ้านะ!” จิ่งเหิงปัวตกตะลึงอ้าปากค้าง ตะโกนด่าทอเสียงหนึ่ง โบกมือเพียงครั้ง ธนูเพลิงเอนเอียงเหินไปทางหนึ่ง ร่วงลงตรงหญ้าแห้งพุ่มหนึ่งพอดีแล้วลุกไหม้โดยพลัน  


 


 


ธนูเพลิงกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งลอยผ่านเหนือศีรษะของจิ่งเหิงปัว พุ่งไปทางหลังคาดั่งอีกาเพลิงกลุ่มหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น ไอ้ตัวดี บนหลังคามีไอ้เฮฮาเจ็ดคนกระโดดโลดเต้นอยู่แน่ะ! 


 


 


“ไอ้หยาสนุกนัก!” พวกเฮฮาบางคนกำลังมือยันพื้นเท้าชี้ฟ้า คนหนึ่งตีลังกาคาบธนูเพลิงดอกหนึ่ง บางคนกำลังเต้นรำ แขนเสื้อโบกสะบัดพัดพลิ้ว บางคนกำลังฝึกวิชาดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ ดีดนิ้วครั้งหนึ่งหายไปนิ้วหนึ่ง ยังมีบางคนเพียงพุ่งไปพุ่งมาตามธนูเพลิง เอาแต่นำศีรษะตนเองประชิดใกล้เปลวไฟ ทุกครั้งที่ดัง ฟู่! ผมก็ไหม้ไปกลุ่มหนึ่ง ทุกครั้งต่างไม่บาดเจ็บถึงหนังศีรษะ พุ่งมั่วซั่วไปทั่วเผาเส้นผมจนไหม้เป็นร่องหลายร่องบนศีรษะไปพลาง เอ่ยอย่างร่าเริงไปพลางว่า “ดูทรงผมทรงใหม่ของข้าสิ! งามหรือไม่ งามหรือไม่?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกุมศีรษะไว้ โอ้ พวกเฮฮาพวกเจ้าตั้งใจทำงานหน่อยได้หรือไม่? 


 


 


น่าเสียดายที่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเจ็ดสังหารต่างถือว่าการเที่ยวเล่นเป็นจิตวิญญาณสูงสุดของชีวิต เล่นธนูเพลิงไปมา ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ตะโกนขึ้นเสียงหนึ่งว่า “มาแข่งกันว่าผู้ใดจัดการธนูได้เยอะสุด! ผู้แพ้ถอดกางเกงเปลือยก้นนะ!” พลันเงาคนหกสายกอดธนูกองใหญ่กองหนึ่งกะพริบวูบหายไป คงจะไปแข่งธนูแล้ว มีเพียงอีชีคนเดียวหมอบอยู่บนกระเบื้องมุงหลังคาอย่างซื่อสัตย์จงรักภักดี ตะโกนลงมาข้างล่างว่า “ภรรยา ขึ้นมาเย็นสบาย…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาวอย่างเหนื่อยหน่าย  


 


 


องครักษ์จวนตระกูลจ้าวทางนั้นเห็นคนบนหลังคามีวรยุทธ์สูงเกินไป ก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นจิ่งเหิงปัวอีกครั้งหนึ่ง ธนูเพลิงยิงเข้ามาติดต่อกัน ลานบ้านลุกไหม้อย่างรวดเร็วยิ่ง อีชีเห็นจิ่งเหิงปัวไม่ขึ้นไป ได้แต่กระโดดลงมา ก็ไม่รู้ว่าหาพัดหนึ่งเล่มมาจากที่ใด ขยับพัดให้จิ่งเหิงปัวอย่างต่อเนื่อง ช่วยพัดไอควันไปจากนาง พลางยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ภรรยา ภรรยา ข้าดีหรือไม่ เจ้าลักพาตัวมาข้าโบกพัด เจ้าฆ่าคนมาข้าปล่อยข่าว พวกเราเป็นคู่บุพเพสันนิวาสใช่หรือไม่” 


 


 


จิ่งเหิงปัวไอโขลกอย่างต่อเนื่อง “ไอ้ติ๊งต๊อง! เจ้าจะดูทิศทางให้แม่นยำ ไม่พัดควันมาทางข้านี้ได้หรือไม่!” 


 


 


… 


 


 


เปลวเพลิงลอยล่อง ฮูหยินจ้าวกรีดร้องอย่างตื่นตกใจ จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ กล่าวเสียงดังว่า “ไม่ต้องเรียกแล้ว สามีเจ้าจะเผาเจ้าให้สิ้นชีพแน่ะ! อยากรอดชีวิตหรือ? รีบเอาทรัพย์สินของเจ้าออกมา!” 


 


 


เสียงนางมีแรงทะลุผ่านอย่างยิ่ง คนที่อยู่นอกลานบ้านได้ยินกันทั้งนั้น เรื่องในใจของจ้าวซื่อจื๋อถูกเปิดเผยโดยตรง ใบหน้าชราแดงก่ำ เดิมทีเพียงหวังฉวยโอกาสข่มขวัญภรรยา ข่มขวัญมือสังหารสาวโฉมงาม บังคับให้พวกนางออกมา ยามนี้มีความคิดสังหารขึ้นมาบ้างแล้ว  


 


 


“นี่” จิ่งเหิงปัวเข้าใกล้ฮูหยินจ้าว ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “สามีเจ้าคล้ายไม่ค่อยห่วงใยเจ้าเท่าไรเลย? เจ้าว่าหากข้าผลักเจ้าออกไปด้วย เขาจะยิงเจ้าจนสิ้นชีพในธนูเดียวก่อนแล้วค่อยยิงข้าจนสิ้นชีพเสียเลยหรือไม่เล่า ทว่าข้าคล้ายจะไม่อยากสังหารเจ้า ข้าเพียงอยากยืมเจ้ามาเป็นโล่กำบัง เจ้าโน้มน้าวสามีเจ้าสักหน่อยสิ อย่าได้ตัดเยื่อใยขนาดนี้ดีหรือไม่” 


 


 


เพลิงกลุ่มหนึ่งลุกไหม้บนน้ำมันที่กลิ้งเกลือก เดิมทีฮูหยินจ้าวถูกควันไฟรมจนไอโขลกต่อเนื่อง เมื่อได้ฟังน้ำเสียงยั่วยุนี้ แล้วมองเห็นท่าทางเย็นชาของสามีผ่านควันไฟ ในใจก็บันดาลโทสะ ร้องเสียงแหลมว่า “จ้าวซื่อจื๋อ! เจ้ามันไอ้แก่โง่เง่าอกตัญญู! ยามนั้นเจ้าระหกระเหินอยู่ข้างถนน ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร? ข้าร่วมลำบากเคียงข้างเจ้ามากี่ปีเจ้าเคยนับหรือไม่ ยามนี้เจ้าเจริญรุ่งเรืองแล้ว ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากคงควรจะหย่าทิ้งแล้วกระมัง นี่เจ้าจะพาผู้ใดมาสมรสด้วยเล่า แม่หม้ายน้อยที่หัวตลาดตะวันตกหรือน้องหญิงสามที่ไม่ยอมออกเรือนคนนั้นของข้า?” 


 


 


เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น คุณหนูสามชุดแดงคนนั้นกำลังวิ่งมาจากไกลโพ้น ได้ยินวาจาประโยคหนึ่งนี้ ย่ำเท้าร้องตะโกนเสียงหนึ่ง วิ่งหนีไปแล้ว  


 


 


ใบหน้าของจ้าวซื่อจื๋อแดงก่ำยิ่งนัก มองดูรอบด้านอย่างขวยเขิน เอ่ยด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “ฮูหยิน! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! ยังไม่รีบหุบปากอีก!” 


 


 


“เจ้ายังไม่ห่วงความเป็นความตายของข้าเลยเหตุใดข้าต้องห่วงศักดิ์ศรีของเจ้า? จ้าวซื่อจื๋อ หากวันนี้เจ้าไม่คำนึงถึงข้า ข้าจะเปิดโปงไอ้แก่โง่เง่าเช่นเจ้าคนนี้ให้สิ้น เจ้ากับนัง…” 


 


 


ฟิ้ว! 


 


 


เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา  


 


 


เสียงแผ่วเบานั้นกลบกลืนในเสียงเปลวเพลิงลุกไหม้เปรี๊ยะๆ นอกจากจิ่งเหิงปัวแล้วไม่มีใครได้ยิน  


 


 


เรือนร่างของฮูหยินจ้าวสั่นสะท้าน  


 


 


จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้านเช่นกัน นางกำลังเงี่ยหูขึ้น ตระเตรียมตั้งใจฟังเรื่องซุบซิบนินทาของเสนากองขุนนางจ้าว พลันรู้สึกว่าร่างกายของฮูหยินจ้าวในมืออ่อนยวบ 


 


 


นางตกตะลึง พอก้มหน้ามองเห็นฮูหยินจ้าวอ่อนยวบล้มลงไป ช่วงหน้าอกเปล่งประกายเล็กน้อย พอมองโดยละเอียด คือหนามสามเหลี่ยมปลายแหลมสองฝั่งแท่งหนึ่ง  


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้าอย่างงงงัน ทว่าเบื้องหน้าควันหนาลอยล่อง เงาคนมัวสลัว ใครจะรู้ว่าอาวุธลับนี้ใครเป็นคนส่งมา? 


 


 


“อีชี!” นางร้องเรียกแผ่วเบา 


 


 


อีชีทิ้งพัดเฉียดเข้ามาแล้ว ขมวดหัวคิ้วอย่างหาได้ยาก มองบาดแผลช่วงหน้าอกของฮูหยินจ้าว เขาลงมือดุจสายลม สกัดจุดเส้นโลหิตใหญ่ของฮูหยินจ้าวต่อเนื่องหวังจะห้ามเลือด ทว่าสายไปแล้ว โลหิตที่ไหลออกมาจากหน้าอกของฮูหยินจ้าวได้เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ทว่าไหลออกมาไม่กี่หยดก็แข็งตัวแล้ว สองคนมองดูเส้นม่วงคล้ำสายนั้น ขยับจากลำคอขึ้นไปข้างบนประหนึ่งอสรพิษ ชั่วพริบตาเส้นม่วงคล้ำปกคลุมหว่างคิ้วฮูหยินจ้าว ฮูหยินจ้าวชักเกร็งระลอกหนึ่ง คออ่อนพับ  


 


 


นางสิ้นใจแล้ว  


 


 


จิ่งเหิงปัวโซเซครั้งหนึ่ง พลันรู้สึกว่าคนตายหนักเหลือเกินประคองไม่ไหว อีชียืนมือประคองนางไว้ รับศพของฮูหยินจ้าวไป 


 


 


ซย่าจื่อหรุ่ยที่อยู่ข้างหนึ่งมีสีหน้าขาวซีด มองดูจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น รู้สึกเพียงว้าวุ่นใจยิ่งนัก  


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสิ้นใจในอ้อมแขนของนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่มีโทษไม่ถึงตาย ข้าไม่สังหารปั๋วเหริน ปั๋วเหรินกลับสิ้นชีพเพราะข้า[1]  


 


 


กลิ่นอายเหม็นคาวเจือจางโชยมา นางอยากอาเจียนขึ้นมา อีชีพลันยื่นมือออกมาตบหลังของนาง ท่าทางของมือกลับอ่อนโยน  


 


 


จิ่งเหิงปัวซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่เวลานี้เขาไม่ทำตัวตลกขบขัน ถามเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้า…มองเห็นหรือไม่?” 


 


 


“ไม่เห็น” อีชีมีสีหน้าหดหู่เล็กน้อย แสดงท่าทางเสียหน้าอย่างยิ่งต่อการที่ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่เช่นตนเองนี้ ปล่อยให้คนลอบทำร้ายสังหารคนเบื้องหน้ายังไม่รู้เรื่อง 


 


 


จิ่งเหิงปัวพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ อีชีมองไม่เห็นเป็นเรื่องปกติ เมื่อครู่เขาอยู่ห่างจากนางพอสมควร โบกพัดไปพลางช่วยนางสยบสถานการณ์ไปพลาง ทว่าในลานบ้านมีควันหนาลอยล่อง จากมุมนั้น เขาเองคงไม่อาจมองเห็นมือสังหารได้โดยง่าย  


 


 


“แย่นัก” อีชีเอ่ยว่า “อาวุธลับปลายแหลมสองฝั่ง ทะลุผ่านหัวใจทั้งหน้าทั้งหลัง เอ่ยได้อีกอย่าง เอ่ยได้ว่าพุ่งมาจากข้างหน้า หรือเอ่ยได้ว่าแทงเข้ามาจากข้างหลัง” 


 


 


จิ่งเหิงปัวฝืนยิ้ม  


 


 


นางพลันมีความรู้สึกแปลกประหลาด รู้สึกว่าทุกอย่างในวันนี้ คล้ายจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  


 


 


คล้ายกำลังรอคอยครู่หนึ่งนี้  


 


 


ใครกันที่คำนวณทุกฝีก้าว คำนวณการตอบโต้ของทุกคนลงไปด้วย? 


 


 


รู้แต่แรกว่าเมื่อครู่นี้พออีชีลงมา จะฝากจื่อหรุ่ยให้เขาไปก่อน ตนเองหายตัวจากไป ด้วยเพราะตนเองคิดจะพยายามจัดการปัญหาโดยไม่เหลือร่องรอย ซ้ำยังกังวลว่าอีชีไว้ใจไม่ได้ ผลลัพธ์คือเรื่องราวที่ตามมากลับยิ่งแย่ลง  


 


 


“คนสิ้นชีพแล้ว เจรจาไปก็ไร้ประโยชน์ ออกไปเถิด” อีชีใช้มือหนึ่งประคองนางขึ้น อีกมือหนึ่งจูงซย่าจื่อหรุ่ยไป  


 


 


ยามนี้หมอกควันกระจัดกระจายไปบ้างแล้ว คนที่อยู่ปากประตูลานบ้าน มองเห็นสถานการณ์ภายในจนชัดเจนในที่สุด  


 


 


“เซิ่งเหยียน!” จ้าวซื่อจื๋อมองเห็นฮูหยินจ้าวที่ล้มลงในปราดเดียว ตกใจจนหน้าถอดสี เอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? เซิ่งเหยียน!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูใบหน้าหวาดผวาไม่คาดคิดของเขาแล้วรู้สึกว่าขยะแขยง…ไม่ใช่เขาเองที่ฉวยโอกาสเมื่อไอควันหนาแน่น ให้คนลอบสังหารภรรยา แย่งชิงทรัพย์สินของภรรยาแล้วสมรสภรรยาใหม่หรือ! 


 


 


“เจ้าฆ่าเซิ่งเหยียน!”จ้าวซื่อจื๋อเงยหน้าขึ้นมา ไอสังหารบนใบหน้ากะพริบผันผ่าน เอ่ยว่า “หากข้าปล่อยเจ้าไป ข้าจะยืนหยัดบนต้าฮวงนี้ได้อย่างไร!” 


 


 


“ข้ายังต้องให้นางช่วยข้าหลบหนี เหตุใดข้าจะต้องสังหารนาง?” จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะ  


 


 


“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!” จ้าวซื่อจื๋อสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยว่า “ระดมกำลังองครักษ์ทั้งจวน จากนั้นนำจดหมายนามข้าไปสำนักตี้เกอ เอ่ยว่าฮูหยินถูกลอบสังหาร ขอระดมกำลังพลของสำนักทำลายล้างมือสังหาร! แล้วตามหาผู้บัญชาการคั่งหลงในนคร ขอระดมกำลังคั่งหลงที่อยู่ในนครปิดล้อมจวนข้ารวมทั้งเส้นทางสำคัญบริเวณโดยรอบ!” 


 


 


องครักษ์รับคำสั่งแล้วรีบร้อนจากไป จิ่งเหิงปัวยักไหล่ กล่าวว่า “เล่นใหญ่ไปแล้ว” 


 


 


อีชีเท้าคางอยู่ นัยน์ตากลอกกลิ้งไปมา คล้ายรู้สึกว่าสนุกสนานยิ่งนัก  


 


 


“ไปเถิด” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ เดิมทีนางอยากแสดงเป็นมือสังหารรับมือจ้าวซื่อจื๋อสักหน่อย พาเปลวไฟไปทางคนอื่นนั้น จะได้ไม่หลงเหลือภัยพิบัติตามมา อย่างไรเสียถ้านางหายตัวต่อหน้าจ้าวซื่อจื๋อ จ้าวซื่อจื๋อสืบข่าวเล็กน้อย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะนึกถึงราชินี  


 


 


ราชินีบุกเข้าจวนเสนากองขุนนาง สังหารฮูหยินเสนากองขุนนางหรือ? 


 


 


พอข่าวนี้แพร่ออกไป ตี้เกอคงจะเดือดพล่านแล้ว 


 


 


น่าเสียดายว่ายามนี้คงห่วงไม่ไหวแล้ว  


 


 


“สังหารนาง!” จ้าวซื่อจื๋อชี้มือ เหล่าองครักษ์ตะบึงเข้าไป  


 


 


“ไป!” จิ่งเหิงปัวกำลังจะหายตัว พลันเงาคนกะพริบวูบ พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าองครักษ์ ร้องว่า “ช้าก่อน!” 


 


 


 


 


 


[1] ข้าไม่สังหารปั๋วเหริน ปั๋วเหรินกลับสิ้นชีพเพราะข้า หมายถึง แม้ตนเองโกรธแค้น แต่ไม่มีความคิดสังหาร ทว่าการกระทำของตนเองส่งผลให้ผู้อื่นสิ้นชีพ   

 

 


ตอนที่ 77 - 1 การลงมือของเขา

 

ในที่สุดเหยียลี่ว์ฉีก็มาถึง 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบด่าเขาในใจคราหนึ่ง ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นผมเผ้าร่างกายของเจ้าคนนี้เละเทะไปหมด เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้สวมใส่ให้เรียบร้อย เปลือยหน้าอกครึ่งผืน ทั้งบนใบหน้ายังมีรอยชาดทาปากลายพร้อยอยู่รำไร เสียงด่าทอในใจก็พลันยิ่งรุนแรงขึ้น…ผู้ชายเฮงซวยบ้ากามจนขึ้นสมอง! 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเมื่อเห็นสีหน้าของนางแล้วก็รู้ว่าตนเองคงจะกำลังถูกด่าทออยู่เป็นแน่ เช่นนั้นก็อดจะฝืนหัวเราะออกมาไม่ได้…เพื่อถ่วงเวลาให้นาง เขาก็แช่อยู่ในทะเลสาบเย็นยะเยือกเนิ่นนาน ผู้คุ้นเคยเช่นนางกลับไม่ทักไม่ทายยังหนีไปอีก กว่าจะหลุดพ้นจากการพัวพันพิลึกพิลั่นของสตรีกลุ่มนั้นแล้วรีบเร่งตามมาได้ ยังต้องมาเห็นนางกลอกตาขาวครั้งใหญ่ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีนึกถึงยามที่ตนเองสลัดสตรีเหล่านั้นออกแล้วรีบเร่งตามมา ได้ยินอย่างเลือนรางว่ามีผู้ใดกำลังด่าทออยู่ตรงนั้นว่า “มิน่าเล่าอนุภรรยาเขาเอ่ยว่าเขาไม่ไหว ที่แท้เขาก็เป็นไอ้ไร้สมรรถภาพนี่เอง!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวสตรีอันธพาลนางนี้เอ่ยถึงเขาว่าอะไรอีกแล้ว! 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีพลันรู้สึกว่าแท้จริงแล้วการที่ตนเองพบเจอราชินีถือเป็นการเผชิญความยากลำบากในชีวิตของจริง… 


 


 


“ท่านราชครูฝ่ายซ้าย?” จ้าวซื่อจื๋อไม่รู้เรื่องที่เหยียลี่ว์ฉีกระโดดน้ำข้ามเขตแดน สีหน้าฉายความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นจึงโค้งคำนับแสดงความเคารพ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือยว่า “ใต้เท้ามาได้ทันเวลาพอดี ภรรยาของผู้น้อยถูกมือสังหารลอบทำร้ายจนสิ้นใจ ยามนี้กำลังโอบล้อมกันอยู่ ท่านราชครูฝ่ายซ้ายโปรดธำรงความยุติธรรม ช่วยผู้น้อยจับกุมมือสังหารด้วย!” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเลิกคิ้วขึ้น จ้าวซื่อจื๋อนับเป็นขุนนางของพรรคพวกกงอิ้น ย่อมไม่เอ่ยวาจาแสดงท่าทางเกรงใจต่อเขา เขากลับไม่โกรธเคืองเช่นกัน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าจ้าวเข้าใจผิดแล้วกระมัง นางข้างในนางนั้นคืออนุภรรยาของเปิ่นจั้วกับหญิงรับใช้ของนางโดยแท้ จะพลันกลายเป็นมือสังหารได้อย่างไรเล่า” 


 


 


“อนุภรรยาของท่านหรือ?” จ้าวซื่อจื๋อมีสีหน้าเปลี่ยนไป จ้องมองเหยียลี่ว์ฉีแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นผู้น้อยคงต้องถามราชครูแล้ว อนุภรรยาของท่านพลันโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร ซ้ำยังลงมือกับฮูหยินของข้าที่ไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับนางได้อย่างไร หรือจะเอ่ยว่า…” มุมปากเขากระหวัดเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยคราหนึ่ง เอ่ยสืบต่อไปว่า “อนุภรรยาของท่าน ผู้ที่นางจะลงมือสังหารแท้จริงแล้วคือข้า มิใช่ฮูหยินข้าที่ไร้โทษไร้ความผิด?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวได้ฟังก็รู้สึกว่าแย่แล้ว เพิ่มระดับสู่สงครามราชสำนักแล้ว ตอนนี้นางคือมือสังหารหญิงที่ถูกเหยียลี่ว์ฉีบงการให้มาลอบสังหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักที่เป็นศัตรูการเมืองแล้ว 


 


 


“วันนี้เปิ่นจั้วฝึกวรยุทธ์ กระโจนสู่ทะเลสาบของจวนท่านโดยไม่ตั้งใจอีกครา” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มโดยไร้ซึ่งโทสะ ก่อนเอ่ยว่า “คนข้างกายของข้าย่อมต้องเข้ามาส่งอาภรณ์รับใช้ ทว่าเรื่องราวหลังจากนี้ เปิ่นจั้วไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน อย่างเช่นการที่หญิงรับใช้ข้างกายฮูหยินหรูของเปิ่นจั้วมาถึงลานด้านในนี้ได้อย่างไร อีกทั้งมีบาดแผลข้างปากและบนร่างกายได้อย่างไร ไม่รู้ว่าใต้เท้าจ้าวเองจะอธิบายให้เปิ่นจั้วฟังก่อนได้หรือไม่?” 


 


 


จ้าวซื่อจื๋อกลั้นหายใจอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ผู้น้อยไม่ทราบ! นางอาจจะวิ่งชนมั่วซั่ว ได้รับบาดเจ็บด้วยตนเองก็มิอาจรู้ได้!” 


 


 


“น้องสาวแกสิ!” จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงดังว่า “เจ้ามันตาเฒ่าบ้ากาม ฉุดสาวใช้ข้าไป คราวแรกให้สมรสสะเดาะเคราะห์กับบุตรชายเจ้า นางยอมสิ้นใจไม่ยอมเชื่อฟัง คราวหลังถูกลากมาให้เจ้ากระทำอีก สาวใช้ข้ามีนิสัยแข็งกร้าว พลีชีพต่อต้านจนบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง ข้าตามมาช่วยเหลือได้ทันเวลา ไอ้บ้าเอ้ย! ยังหวังลวนลามข้าอีก โชคดีที่ข้ามียาวิเศษติดกาย เมื่อครู่โปรยเซ่าหย่างซั่นไปเล็กน้อย ผ่านไปครึ่งวัน ส่วนสำคัญบางส่วนของเจ้าจะเน่าเปื่อยหนองไหลเกิดหูดหงอนไก่…อา หากเจ้าไม่เชื่อยามนี้ก็ลองลูบคลำดูสิ รู้สึกเจ็บขึ้นมานิดหน่อยแล้วใช่หรือไม่?” 


 


 


“เอ่ยวาจาเหลวไหล!” จ้าวซื่อจื๋อตวาด ทว่าสีหน้าพลันเปลี่ยนไป นิ้วมือลูบลงข้างล่างโดยจิตใต้สำนึก… 


 


 


อีชีพลันดีดนิ้วเพียงครั้ง มือของจ้าวซื่อจื๋อก็หยุดลงตรงตำแหน่งเป้ากางเกงอย่างแม่นยำ… 


 


 


“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะก๊าก…รู้เลยว่าเฒ่าบ้ากามเช่นจ้าวซื่อจื๋อนี้ กระทำเรื่องเลวร้ายมามากมายต้องมีปัญหาแน่! 


 


 


เสียงฝีเท้าสับสนปนเปกัน ฝูงชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งรีบตามมา คนกลุ่มนี้คือกำลังพลของสำนักตี้เกอกับทหารป้องกันนครของคั่งหลงนั่นเอง ตามระเบียบปฏิบัติแล้ว สถานที่สำคัญที่มีขุนนางสำคัญชุมนุมกันเช่นตรอกซีเกอนี้ ย่อมมีพลทหารค่ายหนึ่งตั้งมั่นปกป้องบริเวณนี้ในระยะยาว ฉะนั้นจึงมาถึงอย่างรวดเร็วยิ่ง 


 


 


คนเหล่านี้พอมาถึงก็ได้มองเห็นฉากนี้ สีหน้าแปลกประหลาดโดยพลัน 


 


 


“ผู้ใดลอบทำร้ายข้า!” มือของจ้าวซื่อจื๋อถูกตรึงไว้ที่ตำแหน่งน่าอายนั้นต่อหน้าต่อตาผู้คน ใบหน้าขึ้นสีแดงม่วง เอ่ยว่า “รีบช่วยข้าคลายการสกัดจุด! อีกทั้งจับมือสังหารนางนี้ไว้ จับนางไว้!” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง ยกมือสะบัดเพียงครั้ง เงาคนชุดดำกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพลันพุ่งมา ขวางหน้าประตูลานบ้านไว้ 


 


 


“คนของข้าเจ้ายังกล้าแตะต้องหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีสะบัดแขนเสื้อหันกายเข้าสู่กลางลานบ้าน ยกแขนเพียงครั้งผลักอีชีออกอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ยื่นมือประคองไหล่ของจิ่งเหิงปัวไว้ จ้องมองดวงตาของนางอย่างอ่อนโยนแช่มช้อย เอ่ยว่า “เสี่ยวปัวร์ วันนี้ทำให้เจ้าตกใจเสียแล้ว มาสิ กลับจวนกับสามี” 


 


 


จิ่งเหิงปัวสั่นเทิ้ม 


 


 


เสี่ยวปัวร์… 


 


 


นี่มันคำเรียกบ้าบออะไรกัน? 


 


 


ยังมีคำว่า ‘สามี’ นั่นอีก? 


 


 


ฟังแล้วเหตุใดมันถึงเปี่ยมด้วยความอ่อนหวานละมุนละไมขนาดนั้นวะ? 


 


 


นางกลอกตา ครุ่นคิดชั่วครู่ ช่างเถอะ ยามวิกฤตต้องปรับตัวตามสถานการณ์ แค่ถูกเอาเปรียบด้วยวาจาหน่อยเดียวเองไม่ใช่หรือ? ยากนักที่เหยียลี่ว์ฉีจะหวังดีขนาดนี้ ถึงขนาดยินยอมแบกรับเรื่องยุ่งยากไว้เพื่อนางแล้ว นางให้เขาเอาเปรียบด้วยวาจานิดหน่อย นับว่าเป็นการตอบแทนย่อมได้ 


 


 


สำหรับเรื่องที่ให้เหยียลี่ว์ฉีหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวนี้ นางไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียว ในมุมมองของนาง เหยียลี่ว์ฉีมีความยุ่งยาก นี่ก็เท่ากับลดความยุ่งยากให้กงอิ้น ดีจะตายไป  


 


 


“นี่ๆ” มีคนไม่พอใจแล้ว กรงเล็บของอีชียื่นเข้ามาแกะมือของเหยียลี่ว์ฉีออกอย่างไม่เกรงใจ โอบไหล่อีกฝั่งหนึ่งของจิ่งเหิงปัวไว้ แล้วเอ่ยว่า “นางเป็นภรรยาข้าโดยแท้ เจ้าวิ่งมาแย่งอะไรของเจ้า?” 


 


 


“พี่น้องเจ็ดสังหาร” เหยียลี่ว์ฉีคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม เอ่ยว่า “เรื่องโลกมนุษย์นี้ ไม่ใช่สิ่งที่แผนต้มตุ๋นของพวกเจ้าจะเข้ามาวุ่นวายด้วยได้ ไม่สู้เฉลียวฉลาดสักหน่อย ยามที่ควรหยุดมือจงหยุดมือ เป็นอย่างไร?” 


 


 


“ภรรยา” อีชีไม่สนใจเขา จูงจิ่งเหิงปัวไว้ เอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด อย่าเอ่ยวาจากับแมงป่องให้มาก มีพิษ” 


 


 


“นี่มันยามใดแล้วเจ้าก่อกวนอะไรของเจ้ากัน!” เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าเย็นชา  


 


 


ทางนั้นจ้าวซื่อจื๋อร้องตะโกนเสียงดังต่อผู้บัญชาการกองย่อยของคั่งหลงที่รีบตามมาว่า “ผู้บัญชาการเหยา สตรีนางนี้สวมรอยเป็นอนุภรรยาของราชครูสังหารฮูหยินของข้า รีบเร่งจับกุมนางไว้!” 


 


 


ถัดจากทางนั้นพวกเฮฮาหกคนกลับมาแล้ว มองเห็นว่ามีคนกล้าคุมเชิงกับศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาจึงพุ่งเข้ามาโดยพลัน ร้องว่า “ผู้ใดกล้าแย่งคนกับพวกเรา!” 


 


 


ถัดจากทางนั้นนายอำเภอของสำนักตี้เกอร้องเรียกเสียงสูงว่า “ท่านราชครูฝ่ายซ้ายโปรดอธิบายด้วย…” 


 


 


ถัดจากทางนั้นเหล่าน้องสาวตระกูลจ้าวที่ได้ยินข่าวแล้วรีบเร่งตามมาเริ่มตะโกนก้องร้องไห้โฮว่า “พี่หญิงสิ้นชีพแล้ว! จับมือสังหารด้วย!” 


 


 


ความวุ่นวายเละเทะเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งเบียดเสียดกันมาถึงในสมองของจิ่งเหิงปัว ซ้ำทางซ้ายทางขวายังมีคนจูงนางไว้ไม่ยอมปล่อย 


 


 


อีชีลากแขนของนางไว้ เอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด เจ้าอย่าได้ยอมรับว่าเป็นอนุภรรยาของเขาเชียว” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ทางขวากดไหล่ของนางไว้ เอ่ยว่า “เจ็ดสังหารมีเจตนาไม่ชัดเจน เจ้าเข้าใกล้พวกเขาให้น้อยหน่อย ไปกับข้า!” 


 


 


ทางนั้นจ้าวซื่อจื๋อตะโกนลั่น “วันนี้หากอธิบายให้ข้าฟังไม่ได้ พวกเจ้าก็อย่าหวังจะออกไปได้แม้เพียงผู้เดียว! ข้าจะต้องสับนังเลวทรามคนนี้เป็นหมื่นชิ้น…” 


 


 


ทางนั้นจิ่งเหิงปัวตะโกนลั่นว่า “ปล่อยข้านะให้ข้าไป…ระวัง!” 


 


 


พอนางเงยหน้า มองเห็นทันทีว่ากลางฝูงชนฝั่งตรงข้ามพลันมีสายฟ้าเยือกเย็นผืนหนึ่งพุ่งออกมา! 


 


 


พวกเฮฮามีความระแวดระวังมากล้น กะพริบกายปกป้องเบื้องหน้านางผสานกลายเป็นกำแพงมนุษย์โดยพลัน เจ้าคนหนึ่งในนั้นตื่นเต้นดีใจมากเกินไป ตะโกนลั่นว่า “คุ้มกันเสด็จ! คุ้มกันเสด็จ!” 


 


 


… 


 


 


ในสมองของจิ่งเหิงปัวมีเสียงดัง หวึ่ง เสียงหนึ่ง  


 


 


รอบด้านพลันเงียบสงัด  


 


 


เสียงของเจ้าคนที่ตะโกนลั่นผู้นั้นดังกังวานยิ่งนัก การออกเสียงแจ่มชัด ทุกผู้คนได้ฟังอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน 


 


 


เหล่าองครักษ์ปากอ้าตาค้าง  


 


 


ขุนนางสำนักตี้เกอเบิกตาโพลง  


 


 


ผู้บัญชาการกองย่อยของคั่งหลงมีสีหน้าเปลี่ยนไป  


 


 


เหล่าน้องสาวภรรยาที่ร้องไห้อยู่พากันงงงัน  


 


 


นายน้อยที่ถูกคนประคองโซซัดโซเซมาหลังจากได้ยินข่าวมารดาสิ้นชีพ ดวงตากลอกเพียงครั้ง สลบไสลไปอีกแล้ว  


 


 


ทุกผู้คนงงงวยไปพริบตาหนึ่ง หันหน้ามองจ้าวซื่อจื๋อโดยพร้อมเพรียง  


 


 


สีหน้าของจ้าวซื่อจื๋อยากจะอธิบาย จากขาวเป็นเขียวจากเขียวเป็นแดง สุดท้ายกลายเป็นสีม่วงเฉกเช่นตับหมู โทสะเดือดดาลกำจายจากกลางหน้าผากเขา แม้แต่หางตายังกำลังกระตุกเล็กน้อย  


 


 


เขาหันหน้ามองดูผู้บัญชาการคั่งหลงท่านนั้น ท่ามกลางทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาคือผู้ที่น่าจะรู้จักราชินีมากที่สุด 


 


 


ผู้บัญชาการท่านนั้นเพียงดูแลความสงบเรียบร้อยของตรอกซีเกอแห่งนี้แห่งเดียว ไม่เคยได้เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จร้อยลี้ และไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตรอกหลิวหลีคราวก่อน ทว่าในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนั้น เขาเคยเข้ายามรักษาการณ์อยู่ห่างไกล จดจำจิ่งเหิงปัวได้แจ่มชัด ก่อนหน้านี้มองได้ไม่ชัดเจนด้วยเพราะมีลานบ้านกับควันไฟขวางกั้น อีกทั้งไม่อาจนึกไปถึงราชินีได้ ยามนี้พอมองโดยละเอียด ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าอัปลักษณ์อย่างยิ่ง  


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ  


 


 


สำเร็จก็เฮฮา พ่ายแพ้ก็เฮฮาโดยแท้  


 


 


ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?  

 

 


ตอนที่ 77 - 2 การลงมือของเขา

 

พอฐานะของตนเองถูกเปิดเผย ความขัดแย้งตรงหน้าคงจะแก้ไขไปได้ชั่วคราว แต่ผลกระทบที่ตามมาย่ำแย่มากกว่าความขัดแย้งตรงหน้ามากนัก 


 


 


“ที่แท้ก็เป็นองค์ราชินีนี่เอง” ท่ามกลางความเงียบสงัดผืนหนึ่ง จ้าวซื่อจื๋อก็เอ่ยปากในที่สุด โค้งกายถวายคำนับ เสียงแปลกประหลาดเอ่ยว่า “ได้ยินพระนามของฝ่าบาทมาเนิ่นนาน วันนี้ได้ประสบพบพระพักตร์ในที่สุด นับเป็นบุญวาสนาของกระหม่อมโดยแท้ ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงกล้าหาญชาญชัย ทรงกระทำการเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ บัดนี้ดูท่าทางมิใช่ความเท็จ คราวก่อนทรงสังหารบุตรชายผู้บัญชาการคั่งหลงที่ย่านตลาด บัดนี้ทรงสังหารภรรยาของกระหม่อมถึงในจวนอีก ทรงมีพระเมตตาโดยแท้ ทรงมีไอสังหารมากล้นนัก! เพียงไม่รู้ว่าภรรยาของกระหม่อม ผู้เป็นเพียงสตรีวัยกลางคนในจวนขุนนาง ไม่เคยพบเห็นฝ่าบาทและไม่เคยล่วงเกินฝ่าบาท จะยั่วยุให้ฝ่าบาทไม่ทรงพระเกษมสำราญ นำมาซึ่งเภทภัยแห่งการประหัตประหารได้อย่างไร” 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นในแววตาของผู้บัญชาการทหารคั่งหลงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีเจตนาร้ายกะพริบวูบเลือนราง แอบด่าว่าจ้าวซื่อจื๋อเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ วาจาประโยคเดียวลากทหารคั่งหลงเข้าฝ่ายตนเอง กระตุ้นความแค้นครั้งก่อน  


 


 


“เจิ้นไม่ได้สังหารฮูหยินเจ้า” นางกล่าวอย่างไม่หวาดหวั่นว่า “แม้ว่านางฉุดขุนนางหญิงไป วางแผนเหยียดหยามนาง หากเอ่ยถึงความผิดแล้วไม่เบาเลย ทว่าหากจะสังหารย่อมต้องให้กองอาญาสังหาร ไม่คู่ควรให้เจิ้นแปดเปื้อนด้วยมือของตนเอง” 


 


 


“เหอะๆ” จ้าวซื่อจื๋อยิ้มเยาะ เอ่ยว่า “สังหารคนซ้ำยังใส่ร้ายป้ายความผิดให้อีก ภรรยาผู้ต่ำต้อยโชคร้ายเพียงใด สิ้นชีพแล้วยังต้องประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้!” 


 


 


เสียงของเขาโศกเศร้าเสียใจ ผู้คนรอบด้านต่างมีสีหน้าสงสาร ปีศาจแมงมุมน้องสาวภรรยากองนั้นร้องห่มร้องไห้เละเทะวุ่นวายขึ้นมา  


 


 


จิ่งเหิงปัวถลกแขนเสื้อขึ้น มองไปทางฝูงชนแล้วเอ่ยว่า “ฆาตกรตัวจริงต้องยังอยู่เป็นแน่ ให้เจิ้นหามันออกมามอบให้พวกเจ้า” 


 


 


“ฆาตกรตัวจริงคือฝ่าบาทนั่นแล ยังต้องเสียแรงตามหาอีกครั้งด้วยเหตุใด? ข้างพระวรกายของพระองค์น่าจะมีพลกล้าตายที่ยินยอมสิ้นชีพเพื่อพระองค์เช่นกัน พระองค์ทรงชี้ไปเรื่อยเปื่อยสักคนย่อมมีผู้ยอมรับผิดแทนพระองค์ แม้ว่ากระหม่อมจะโง่เขลา ทว่าหลักการขั้นนี้ยังคงเข้าใจได้ถ่องแท้” มุมปากของจ้าวซื่อจื๋อผุดเผยรอยยิ้มถากถางออกมาผืนหนึ่ง พลันเบี่ยงกายเพียงครั้ง ถอยให้เห็นเส้นทาง เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรพระองค์ทรงเป็นราชินีที่กำลังจะขึ้นครองราชย์ กระหม่อมนับว่าเป็นขุนนางของพระองค์แล้ว กระหม่อมไม่อาจขวางทางเสด็จต่อหน้าต่อตาราษฎรเหล่านี้ พระองค์เชิญเสด็จ” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าเปลี่ยนไป จิ่งเหิงปัวหรี่ตาลง พวกเฮฮาร้องยินดีอย่างลำพองใจ เอ่ยว่า “รู้อยู่แล้วว่าเด็กน้อยเจ้ากลัวล่ะสิ” 


 


 


“ทว่า!” จ้าวซื่อจื๋อคล้ายไม่ได้ยินเสียงร้องยินดีของเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ็ดสังหาร เปล่งเสียงเคร่งขรึมเฉียบขาดสืบต่อว่า “ต่อให้ฝ่าบาททรงเป็นเจ้านายแห่งต้าฮวงเรา แต่จะทรงสังหารผู้บริสุทธิ์เรื่อยไปไม่ได้! แม้ภรรยาของกระหม่อมคือชีวิตไร้ค่าชีวิตหนึ่ง แต่จะสิ้นชีพโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ในจวนเช่นนี้ไม่ได้! กระหม่อมจะต้องแสวงหาความเป็นธรรมให้ภรรยาแม้ต้องพลีสิ้นชีวิตนี้! ฝ่าบาท พระองค์โปรดทรงรอคอยขุนนางฝ่ายบุ๋นแห่งต้าฮวงเราร่วมกันกล่าวโทษพระองค์เถิด!” สะบัดแขนเสื้อ หันกายเชิดหน้า หยาดน้ำตาเปี่ยมล้น  


 


 


ยามนี้บุรุษวัยกลางคนที่มั่วโลกีย์มากล้นยืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย เคร่งขรึมสงบนิ่ง แสงรุ่งโรจน์ไร้สิ้นสุด ทุกคนต่างทอดถอนใจ ทั้งสงสารทั้งเคารพเลื่อมใส สายตาที่มองจิ่งเหิงปัวยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้น เหล่าปีศาจแมงมุมพุ่งขึ้นไปกอดชายผ้าของเขาไว้ ร้องห่มร้องไห้อย่างซาบซึ้ง เอ่ยว่า “พี่เขย! ขอบคุณที่ท่านไม่เกรงกลัวอำนาจแข็งแกร่ง ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมแทนพี่หญิง!” 


 


 


อีชีเอ่ยว่า “ขยะแขยง!” 


 


 


ศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ็ดสังหารเอ่ยว่า “แสดงเก่งนัก!” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า“พวกเจ้าหุบปาก!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “พวกเจ้าล้วนหุบปากให้หมด!” 


 


 


ขณะนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าขยะแขยงเช่นกัน เสมือนกินแมลงเข้าไปครึ่งกิโล จ้าวซื่อจื๋อคนนี้เป็นนักการเมืองโดยแท้ กลอกกลิ้งแคล่วคล่อง คราวนี้เห็นได้ชัดเจนว่าจะใช้การตายของฮูหยินเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย ให้ได้รับทั้งความสงสารทั้งความเคารพเลื่อมใสจากผู้อื่นโดยง่ายดาย วันนี้เขาดูคล้ายปล่อยตนเองไป แท้จริงแล้วอีกประเดี๋ยวจะโจมตีรุนแรงยิ่งกว่านี้ ข่าวที่แพร่ออกไปคงเป็น ‘ราชินีบุกเข้าจวนขุนนาง สังหารฮูหยินขั้นสองด้วยเพราะทะเลาะวิวาท ใต้เท้าจ้าวเคารพอำนาจของขุนนาง ให้ราชินีเสด็จออกจากจวนก่อน แล้วทำตามหลักทำนองคลองธรรม ยื่นหนังสือทัดทาน ใช้เรี่ยวแรงต่อต้านอำนาจแข็งแกร่ง อุปนิสัยเคร่งขรึม…’ 


 


 


ได้รับความเคารพจากผู้อื่น ได้รับความไว้วางใจจากขุนนางฝ่ายบุ๋น ได้ฉกฉวกเกียรติยศทางการเมือง ได้ฉวยโอกาสเคลื่อนไหวต่อต้านราชครู โจมตีได้ร่นถอยได้ จากนั้นกลับบ้านอย่างสดใส รับมอบทรัพย์สินของฮูหยิน แล้วค่อยตบแต่งภรรยาอ่อนวัยรูปโฉมงดงาม  


 


 


แผนการช่างดีเยี่ยม  


 


 


ฉะนั้นเขาจะไม่ยอมให้นางหาฆาตกรตัวจริง ฉะนั้นเขาจึงประกาศกร้าวว่านางคือมือสังหาร  


 


 


วันนี้ออกไปได้โดยง่าย ภายหลังต้องเกิดคลื่นลูกใหญ่แน่นอน  


 


 


นางไปไม่ได้ จำเป็นต้องหามือสังหารให้เจอ แต่เจ้าบ้านไม่ยอมร่วมมือแล้วจะหาได้อย่างไร? 


 


 


“ฝ่าบาท เชิญเสด็จเถิด!” จ้าวซื่อจื๋อยืดกายตรงขอให้นางจากไป หันกายครั้งหนึ่งจดจ้องศพฮูหยิน หยาดน้ำตาในเบ้าตาวูบไหว พาให้คนเปี่ยมด้วยความรู้สึกหดหู่  


 


 


นักการเมืองที่ดีมักแสดงเก่งเสมอ  


 


 


ยามนี้เหยียลี่ว์ฉีไม่เอ่ยวาจา เขามองออกแน่นอนว่าผลลัพธ์ของวิธีจัดการเช่นนี้คืออะไร ทว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องดียิ่งนักหรือ? 


 


 


กงอิ้นจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยเพราะเรื่องนี้ พรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นใต้บัญชาเขาจะเกิดความแตกแยกแบ่งฝักฝ่าย  


 


 


ส่วนราชินี…อาจจะเป็นราชินีไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลย จวนราชครูฝ่ายซ้ายเลี้ยงไหว  


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มตาหยีมือสองข้างกอดอก ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งให้ลมโชยเย็นสบาย  


 


 


เขาก็เป็นนักการเมืองเช่นกัน นักการเมืองให้ความสำคัญกับสถานการณ์ส่วนรวมเสมอ ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ฝ่ายตนเองเสมอ ขอเพียงจิ่งเหิงปัวมีชีวิตรอดปลอดภัย เขาก็ยินดีมองดูภาวะชะงักงันยามนี้  


 


 


ปริมาณสมองที่มีจำกัดของศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ็ดสังหารนึกไปไม่ถึงความร้ายแรงภายในเหตุการณ์นี้ ร้องยินดีไชโยโห่หิ้วระลอกหนึ่ง เอ่ยว่า “ไปเถิดๆ” 


 


 


ทว่ากลับถูกอีชีตบอย่างรุนแรงเรียงกันไปตามลำดับ ร้องว่า “พวกโง่!” 


 


 


“เจ้าให้เจิ้นไปแล้วเจิ้นจะไปหรือ?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เจิ้นไม่ไป เจิ้นจะเป็นแขกของที่นี่ ในเมื่อเจ้าเอ่ยเต็มปากเต็มคำว่าจะปฏิบัติตามพิธีรีตองแห่งขุนนาง ไม่เอ่ยถึงบุญคุณความแค้นไม่กลั่นแกล้งเจิ้นก่อน เช่นนั้นเตรียมรับเสด็จเถิด!” 


 


 


“ฝ่าบาท!” จ้าวซื่อจื๋อคิดไม่ถึงว่าท่ามกลางความกดดันเช่นนี้นางกลับไม่ยอมจากไป ภายใต้ความตกตะลึงเขาเดือดดาลนัก เอ่ยว่า “พระองค์ทรงข่มขู่กระหม่อม!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่สนใจเขา…ถึงอย่างไรเจ้าต้องพลีชีพจัดการพี่เต็มกำลังอยู่แล้ว พี่ข่มขู่เจ้าล่วงหน้าแล้วมีอะไรไม่ถูกต้อง? 


 


 


“เหล่าพ่อรูปงามเจ็ดสังหาร!” นางตะโกนเสียงหนึ่งว่า “มือสังหารอยู่ในฝูงชนฝั่งตรงข้าม พวกเจ้าล้อมไว้ได้หรือไม่?” 


 


 


“เรื่องเล็กเรื่องน้อย!” 


 


 


“ได้เลยประเดี๋ยวนี้!” 


 


 


“เรื่องง่ายดายขนาดนี้ ให้เจ้าสามไปทำคนเดียวก็พอแล้ว ผู้สูงศักดิ์เช่นข้าช่วยเสริมกำลังได้” 


 


 


“ข้าเสนอให้เดิมพัน คนหนึ่งดูแลทิศทางหนึ่ง ผู้ใดปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว ต้องถอดกางเกงวิ่งรอบตี้เกอรอบหนึ่ง!” 


 


 


… 


 


 


“ล้อมคนของข้าในจวนข้า? เจ้านึกว่าตนเองเป็นราชินีผู้สถาปนาแคว้นหรือ” จ้าวซื่อจื๋อโกรธจนหัวเราะลั่น เอ่ยว่า “เจ้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ไร้คุณธรรม ข้าไม่จำเป็นต้องเคารพยำเกรงเจ้า! องครักษ์…” 


 


 


“ราชครูมาเยือน…” 


 


 


เสียงคำสั่งเสียงหนึ่งยาวนานชัดเจน สะท้านจนทุกผู้คนต่างสิ้นเสียงอีกครั้ง  


 


 


ณ ต้าฮวง ยามเหยียลี่ว์ฉีมาถึงเรียกว่าราชครูฝ่ายซ้ายมาเยือน ทว่ายามกงอิ้นมาถึงเรียกเพียงราชครู เพื่อแสดงการยกย่องตำแหน่งราชครูลำดับหนึ่งของเขา  


 


 


เขามาถึงในเวลานี้ สีหน้าของทุกคนดูแปลกประหลาดเล็กน้อยโดยพลัน  


 


 


ฝูงชนแยกทาง เกี้ยวสีม่วงสว่างดูหรูหราคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาเชื่องช้า แลดูคล้ายไม่รวดเร็วทว่าเข้าใกล้เบื้องหน้าในพริบตา  


 


 


ทุกผู้คนถอยออกเป็นสองฝั่ง โค้งกายถวายคำนับ แม้ว่าเสียงต้อนรับต่างเจือด้วยอารมณ์ ทว่าไร้คนกล้าเฉยเมย  


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูเกี้ยวที่มีม่านปกคลุมมิดชิดคันนั้น ในใจคิดว่าเจ้าคนนี้ยิ่งวางมาดใหญ่โตขึ้นทุกวัน เข้ามาในจวนคนอื่นแล้วยังนั่งเกี้ยวอีก ซ้ำยังสยายม่านหนาหนัก นึกว่าตนเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์วัยแรกรุ่นหรืออย่างไร? 


 


 


ภายในความนิ่งเงียบ เหล่าปีศาจแมงมุมที่ร้องไห้หาพี่สาวฝูงนั้นต่างเร่งรีบหันหน้ามา แสดงความเคารพไปพลาง แอบใช้หางตาชำเลืองมองอย่างตื่นเต้นดีใจไปพลาง  


 


 


แตกต่างจากราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉีที่สง่างามรักอิสระชอบแล่นไปทุกหนแห่ง ราชครูฝ่ายขวากงอิ้นแห่งต้าฮวงเก็บเนื้อเก็บตัว สูงส่งน่าเกรงขาม ไม่เคยเยือนจวนขุนนางชั้นผู้ใหญ่ คุณหนูสูงศักดิ์ในตี้เกอกว่าครึ่งได้ยินเพียงนามไม่เคยเห็นตัวจริง 


 


 


จิ่งเหิงปัวเบะปาก…ประจบสอพลอ! 


 


 


เกี้ยวหยุดลง เหมิงหู่ก้าวขึ้นไปเลิกม่านออก ภายในเกี้ยวหรูหรา บุรุษชุดขาวราวหิมะนั่งตระหง่านดุจขุนเขา ทุกคนมองเห็นเพียงนิ้วมือที่วางไว้บนหัวเข่าแต่ละนิ้วดุจหยก มองเห็นไข่มุกที่กลัดแน่นตรงคอเสื้อมันวาวมัวสลัว แสงทองเปล่งประกายเพียงน้อยสาดส่องเส้นริมฝีปากอ่อนช้อยผืนหนึ่ง 


 


 


เหล่าปีศาจแมงมุมเบิกตาโพลงจนแทบหลุดออกจากเบ้า มองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน ได้แต่น้ำลายไหลให้บุคลิกสูงศักดิ์นั้น 


 


 


กงอิ้นไม่ได้ออกจากเกี้ยว  


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับรู้สึกได้ถึงแววตาของเขาที่กวาดผ่านร่างกายตนเองอย่างมีพลังยิ่ง ด้วยเพราะมีพลังเหลือเกิน ฉะนั้นนางถึงพบว่าจนถึงขณะนี้ ตนเองยังถูกเหยียลี่ว์ฉีกับอีชีจูงช่วงบ่าจับช่วงไหล่ทั้งข้างซ้ายข้างขวาอยู่ 


 


 


มองดูแล้ว รู้สึกเลยว่า…คลุมเครือเล็กน้อย  


 


 


แววตานั้นหนาวเหน็บเพียงนี้ แม้แต่คนที่ไม่ใส่ใจอะไรเลยแบบจิ่งเหิงปัว ยังรู้สึกว่าอากาศคล้ายเกร็งแน่น…มีไอสังหาร! 


 


 


แววตาเย็นเยียบของกงอิ้นเฉียดผ่านบนมือที่จับจิ่งเหิงปัวไว้ของสองคนนั้น  


 


 


รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉีไม่เปลี่ยนแปลง อีชีไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย จิ่งเหิงปัวมอบรองเท้าส้นสูงให้พวกเขาคนละครั้ง ทั้งสองต่างร้องโหยหวนสองเสียง แก้ไขปัญหาไปทั้งคู่  


 


 


นางขยับเขยื้อนช่วงไหล่ ยิ้มแย้มขอโทษกงอิ้นที่อยู่ภายในเกี้ยว  


 


 


นางรู้สึกเสียใจไม่ใช่เพราะขลุกอยู่กับเหยียลี่ว์ฉีและอีชี ทว่าเพราะนางพยายามจะไม่นำพาความยุ่งยากมาให้เขา แต่คล้ายว่ายังคงเกิดปัญหาขึ้น  


 


 


กงอิ้นกลับแสดงความพอใจต่อการปรนนิบัติด้วยรองเท้าส้นสูงสองข้างนั้นของนาง สีหน้าอบอุ่นเล็กน้อย รัศมีโค้งมุมปากนุ่มนวลขึ้นมาบ้าง มองนางเพียงปราดเดียว แล้วเอ่ยกับจ้าวซื่อจื๋อว่า “หมู่นี้ผู้ชราจ้าวลาป่วยอยู่ในจวน ไม่ได้พบเจอกันเสียนาน วันนี้ดูแล้วสีหน้าไม่เลว” 


 


 


จ้าวซื่อจื๋อชะงักงัน ทุกผู้คนต่างชะงักงัน  


 


 


ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่ากงอิ้นมาถึงในยามนี้ อารัมภบทกลับเป็นวาจาประโยคหนึ่งเช่นนี้  


 


 


จ้าวซื่อจื๋อชะงักงันเพียงชั่วครู่แล้วปีติยินดี  


 


 


เขาเข้าใจวาจาซ่อนแฝงความนัยของกงอิ้น 


 


 


เดิมทีเขาไม่ได้ป่วยไข้ ด้วยเพราะไม่ได้ตำแหน่งรองเสนาบดี จึงอารมณ์เสียจนลาป่วยอยู่จวน เป็นการต่อต้านแบบนุ่มนวลต่อกงอิ้น ทว่าในใจรู้แน่ชัดว่ากงอิ้นมีท่าทีแข็งกร้าว จะไม่ยอมถอยด้วยเพราะเขาแสร้งป่วย พักอยู่จวนมาเนิ่นนานแล้ว ไม่แน่ว่าแม้แต่ตำแหน่งเสนากองขุนนางอาจจะรักษาไว้ไม่ได้ อีกสักวันสองวันกำลังตระเตรียมจะรายงานตัวกลับไปปฏิบัติหน้าที่อยู่พอดี  


 


 


ยามนี้ได้ฟังวาจานี้แล้ว กงอิ้นมีความนัยเชื้อเชิญเขากลับราชสำนักซ่อนแฝงไว้ โดยปกติแล้วยามสองคนแข่งขันกำลังกัน ผู้ใดเอ่ยปากก่อนหมายถึงผู้นั้นอ่อนข้อยอมถอย หากกงอิ้นเอ่ยปากเชิญเขากลับราชสำนักก่อน แสดงว่าท่าทางผ่อนคลาย เขาย่อมร้องขอตำแหน่งรองเสนาบดีได้ 


 


 


จ้าวซื่อจื๋อดีใจเป็นล้นพ้นไปชั่วขณะ แทบจะหลงลืมแม้แต่การสิ้นชีพของฮูหยิน  


 


 


“ขอบคุณราชครูที่ห่วงใย” เขาเร่งรีบโค้งคำนับ เอ่ยว่า “ข้าน้อยพักผ่อนมานาน กำลังวังชาฟื้นคืนแล้ว กำลังคิดจะรายงานตัวกลับราชสำนัก รับใช้ราชสำนักมากขึ้นอีกขั้น” 


 


 


‘มากขึ้นอีกขั้น’ เป็นวาจาหยั่งเชิงประโยคหนึ่ง เขาเหลือบตาชำเลืองมองกงอิ้น  


 


 


กงอิ้นยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม พยักหน้าเอ่ยว่า “ดียิ่งนัก ใต้เท้าจ้าวกำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ความรู้ความสามารถเลิศล้ำ จะปล่อยตนว่างเปล่าอยู่นอกวังยาวนานได้อย่างไร ควรแบกรับภาระยิ่งใหญ่เพื่อแคว้นเพื่อราษฎร์ให้มากจึงจะถูกต้อง” 


 


 


จ้าวซื่อจื๋อได้รับความนัย ดีใจจนแม้แต่เสียงยังสั่นเครือ เอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณราชครูที่รักใคร่ให้ความสำคัญ! ข้าน้อยย่อมต้องทุ่มเทเต็มกำลัง อุทิศตนรับใช้แคว้น!” 


 


 


สองคนสนทนากันเรียบง่ายไม่กี่ประโยค คนส่วนใหญ่สับสนงุนงง  


 


 


มุมปากของเหยียลี่ว์ฉีมีรอยยิ้มผืนหนึ่ง…เด็ดเดี่ยวเหลือเกิน ลงทุนเหลือเกิน! เพื่อนางแล้ว กงอิ้นยอมกระทำ… 


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ครุ่นคิดว่าพวกเขากำลังทักทายกันหรือ? แต่เหตุใดลางสังหรณ์ของนางบอกว่าสองคนนี้กำลังบรรลุข้อตกลงสำคัญยิ่งใหญ่ข้อหนึ่งภายในวาจาสั้นๆ ไม่กี่ประโยคเล่า? 


 


 


แต่ไหนแต่ไรมากงอิ้นไม่เคยเอ่ยวาจาเหลวไหล โบกมือหยุดยั้งน้ำใจไมตรีประจบประแจงไม่หยุดหย่อนของจ้าวซื่อจื๋อ เอ่ยว่า “เปิ่นจั้วมากราบบังคมทูลเชิญราชินีเสด็จกลับวัง” 


 


 


จ้าวซื่อจื๋อสีหน้าเปลี่ยนไป ยืดเอวขึ้น มองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง แล้วมองซากศพภรรยาปราดหนึ่ง  


 


 


เพียงปราดเดียว แล้วตัดสินใจเด็ดขาด  


 


 


เขาอาศัยเรื่องนี้มาอาละวาดใหญ่โต เพียงเพื่อฉกฉวยความเคารพและความสงสารจากแวดวงปัญญาชนและพรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋น เพิ่มลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักอีกลูกหนึ่งเพื่อจุดมุ่งหมายทางการเมืองของตนเอง บัดนี้บรรลุจุดมุ่งหมายแล้ว จะต้องก่อความวุ่นวายอีกด้วยเหตุใด? 


 


 


หากยั่วยุกงอิ้นให้โกรธเคือง ตำแหน่งรองเสนาบดีที่ได้มาอยู่ในมือคงต้องลอยหายไปอีกครั้ง  


 


 


“ขอรับ” เขาก้มศีรษะถอยออกไปก้าวหนึ่งโดยพลัน เอ่ยว่า “กระหม่อมน้อมส่งเสด็จฝ่าบาทและราชครูกลับวัง” 


 


 


ทุกคนรอบด้านต่างชะงักงัน จากนั้นผุดเผยสีหน้าเหยียดหยามโดยพร้อมเพรียง  


 


 


เดิมทีนึกว่าคงจะต้องมีวาจาเสียดายหรือต่อต้านสักประโยค นึกไม่ถึงว่าจะตอบรับได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ความรักภรรยาลึกซึ้งเปี่ยมล้นด้วยอารมณ์ฮึกเหิมเมื่อครู่ แท้จริงแล้วเป็นเพียงการแสดงเดี่ยวที่ใส่อารมณ์พลุ่งพล่านเข้าไปด้วยฉากหนึ่ง  


 


 


มุมปากของจิ่งเหิงปัวแสยะออกอีกครั้ง…กระดูกของปัญญาชนแข็งจริงหรือ? พออ่อนขึ้นมาหน่อยก็อ่อนกว่าใครทั้งนั้น   

 

 


ตอนที่ 77 - 3 การลงมือของเขา

 

หลังเกี้ยวหรูหราสีม่วงคือรถเกี้ยวสีเหลืองสดใสคันหนึ่ง กงอิ้นนำเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวมาด้วย เขายังคงสงบเยือกเย็น ไม่เอ่ยวาจามากมายแม้เพียงประโยคเดียว จัดการเรื่องราวอย่างสุขุม คล้ายแน่นอนว่าพอเขามาถึง จิ่งเหิงปัวจะจากไปอย่างสบายใจได้แล้ว  


 


 


ความจริงก็เป็นแบบนี้ จิ่งเหิงปัวแสดงความเลื่อมใสอย่างแข็งกร้าวต่อบรรยากาศการควบคุมสถานการณ์ของผู้ชายคนนี้ 


 


 


พอเรื่องราวแก้ไขแบบนี้แล้ว นางก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย มือสังหารไม่ใช่นางชัดๆ ถ้าปล่อยไปตอนนี้ ภายหลังก่อเรื่องขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร? 


 


 


กงอิ้นจะนึกไม่ถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร? 


 


 


นางขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่ยังคงตัดสินใจที่จะเคารพความเห็นของกงอิ้นก่อน อย่าสร้างปัญหาใหม่แทรกเข้ามา แล้วก่อเกิดการปะทะกันของเขากับขุนนางสำคัญใต้บัญชาอีกครั้ง  


 


 


นางประคองซย่าจื่อหรุ่ยขึ้น เมื่อก้มหน้ามองเห็นรอยแผลที่มุมปากของนาง เพลิงโทสะในใจก็พลันลุกโชนขึ้นอีกครั้ง  


 


 


มีสิทธิ์อะไรกัน? 


 


 


นางออกจากวังมาซื้อบ้านอยู่ดีๆ ไม่ได้ไปหาเรื่องใคร ไม่ได้ยั่วโมโหใคร สุดท้ายขุนนางหญิงข้างกายถูกจับตัวไป ถูกเหยียดหยาม ถูกส่งให้ลูกชายถูกส่งให้ตาเฒ่า ถูกล้อมโจมตี ถูกใส่ร้าย สุดท้ายยังต้องให้กงอิ้นออกหน้ามาประนีประนอม เสียเปรียบไอ้เฒ่าบ้ากามนั่น? 


 


 


แบบนี้นับว่าเป็นหลักทำนองคลองธรรมอะไรกัน 


 


 


นางหยุดฝีเท้าอย่างมั่นคง กัดฟันกรอด  


 


 


“ฝ่าบาท” เสียงเฉื่อยเนือยเยือกเย็นของกงอิ้นดังแว่วเข้ามา ไม่เจือด้วยความรู้สึก ทว่าฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความเร่งเร้า  


 


 


เพลิงโทสะที่พุ่งขึ้นในศีรษะของจิ่งเหิงปัวถูกเสียงเย็นยะเยือกเสียงนี้ดับมอดไปครึ่งหนึ่งโดยพลัน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่คือความลำบากใจ  


 


 


นางไม่อยากถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่อยากทำให้กงอิ้นรู้สึกลำบากใจเช่นกัน  


 


 


นางรู้ว่าเขายอมทนลำบาก ยอมถอยอย่างไม่เสียดาย เพื่อให้การเมืองในราชสำนักมั่นคง เพื่อให้ราชินีเช่นนางนี้ได้ใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข 


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาการเมืองต่างไม่ใช่การใช้แรงออกหมัดโจมตีให้โลหิตกระเซ็นทั่วทิศ ทว่าคือการบุกประชิดและการหยั่งเชิง คือการประนีประนอมและการคุกคาม คือการยอมอ่อนข้อและการวางกลอุบาย ไม่ใช้ความถูกผิดในการอนุมาน ไม่ใช้การได้เปรียบเสียเปรียบภายนอกในการคิดคำนวณ  


 


 


เรื่องบางเรื่อง เจ้าอาจจะรู้แน่ชัดว่าเรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น ทว่าเจ้าทำได้เพียงยอมรับว่าเรื่องเป็นแบบนั้น กลืนฟันที่ร่วงออกมาไปพร้อมโลหิตเสียก่อน พอมีโอกาสค่อยโจมตีศัตรูกลับคืน  


 


 


นี่คือหลักการที่กงอิ้นเคยสอนนาง ตอนได้ฟังนางเพียงแค่หัวเราะเหอะๆ หนึ่งครั้ง พอประชิดใกล้เบื้องหน้าอย่างแท้จริง ถึงกลับได้พบว่ายากเย็นเช่นนี้ ยากเย็นเช่นนี้นี่เอง  


 


 


ทั่วร่างของนางสั่นเทาเล็กน้อย หันหน้าครั้งหนึ่งมองดูเกี้ยวของกงอิ้น เขายังคงไม่ได้ออกมาจากเกี้ยว ม่านสยายแน่นหนัก นิ้วมือที่วางอยู่บนเข่าไร้ซึ่งสีโลหิต  


 


 


ในใจของนางสั่นสะท้าน พลันนึกถึงท่าทางอ่อนโยนแผ่วเบายามที่มือของเขาช่วยตนเองสระผม  


 


 


เขาก็เคยเปลี่ยนแปลงเพื่อตนเอง  


 


 


แล้วเหตุใดนางถึงไม่ควรยอมถอยเพื่อเขา? 


 


 


ช่างเถอะ… 


 


 


นางสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาออก ใช้แรงประคองซย่าจื่อหรุ่ยขึ้นมา อีชีจะเข้ามาประคองกลับถูกนางผลักออกไปอย่างรำคาญ  


 


 


ฝูงชนถอยห่างเป็นเส้นทางสายหนึ่งในทันที โค้งกายคำนับเล็กน้อย ทั้งๆ ที่จิ่งเหิงปัวเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นนี้ แต่กลับรู้สึกว่าโกรธแค้นและอัปยศอดสู 


 


 


นางรู้สึกถึงสายตาที่แฝงความนัยไม่กระจ่างของทุกคน ในสายตานั้นคล้ายมีอักษรเขียนไว้ว่า ‘มือสังหาร’! 


 


 


จ้าวซื่อจื๋อถอยออกไปที่ริมฝั่งถนน คล้ายรู้สึกว่าไม่พอใจเช่นกัน เสียงที่ไม่สูงไม่ต่ำซ้ำยังเจือด้วยเสียงหัวเราะแว่วสู่ข้างหูทุกผู้คน 


 


 


“เอ่ยขึ้นมาแล้วฝ่าบาทก็ทรงชอบล้อเล่นยิ่งนัก ประเดี๋ยวตรัสว่าทรงเป็นอนุภรรยาของราชครูเหยียลี่ว์ ประเดี๋ยวตรัสว่าทรงเป็นภรรยาของผู้อื่น สุดท้ายแล้วทำให้พวกเราตกอกตกใจกันเสียยกใหญ่ นึกไม่ถึงว่าราชินีผู้สง่างามของต้าฮวงเราจะทรงยอมลดพระเกียรติยศเช่นนี้ ฮ่าๆ” 


 


 


ภายในเกี้ยวนิ้วมือของกงอิ้นขยับเพียงครั้ง  


 


 


จิ่งเหิงปัวหันขวับมาทันที  


 


 


ฮ่าๆ น้องแกสิฮ่าๆ! 


 


 


“ฝ่าบาท!” 


 


 


เสียงเรียกเย็นยะเยือกและหนักแน่นของกงอิ้นคล้ายดังขึ้นอยู่ข้างหู ในขณะเดียวกันนั้นเองเรือนร่างของจิ่งเหิงปัวก็พุ่งขึ้นไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ พุ่งเข้าสู่ม่านเกี้ยวที่เลิกออกแล้ว  


 


 


นางล้มนั่งลงบนที่นั่งดังพลั่ก กลิ้งครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นมา ถลึงตาใส่เกี้ยวของกงอิ้นที่อยู่ข้างหน้าอย่างโกรธแค้น  


 


 


ตอนนี้นางอยากจะต่อยจ้าวซื่อจื๋อสักรอบก่อน แล้วค่อยต่อยเขาอีกสักรอบ! 


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จ!” เสียงของราชองครักษ์รวดเร็วซ้ำยังแหลมคม คล้ายจะทะลุผ่านแก้วหูของมนุษย์ ม่านสยายลง ตัดขาดแววตาสืบเสาะจากภายนอกกับแววตาโกรธแค้นของนาง  


 


 


หน้าอกของจิ่งเหิงปัวหอบหายใจจนขึ้นลง ยกมือคว้าม่านไว้ ม่านแพรไหมหนาหนักถูกนิ้วมือเปี่ยมเรี่ยวแรงของนางขยี้จนกลายเป็นรอยจีบยับย่นผืนหนึ่ง  


 


 


ไม่ได้! 


 


 


ขืนไปแบบนี้ต้องมีเรื่องร้ายตามมาแน่นอน! 


 


 


กงอิ้นไม่รู้ว่ายังมีศัตรูที่แอบซ่อนอยู่! 


 


 


ไม่ได้ นางจะ… 


 


 


สวบ 


 


 


เรือนร่างของนางเพิ่งขยับเขยื้อน ที่ข้างหลังก็มีแผ่นเหล็กสองท่อนเด้งออกมากะทันหัน โอบล้อมเรือนร่างกำลังจะกระโจนขึ้นของนางทั้งสองฝั่งปานฟ้าแลบ กลัดเข้าด้วยกันบริเวณเอวนางดังเพียะเสียงหนึ่ง รัดท้องนางไว้ลากไปข้างหลัง  


 


 


นางถูกแผ่นเหล็กสองท่อนนั้นลากกลับไปล้มลงบนที่นั่งดังเพียะเสียงหนึ่ง พอแผ่นเหล็กหดกลับไปแล้วติดค้างแน่นิ่ง นางขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่นิดเดียว  


 


 


จิ่งเหิงปัวตื่นตกใจ…ภายในเกี้ยวมีกับดัก! 


 


 


นางกำลังอยากร้องตะโกนเตือนสติกงอิ้น แต่หลังคาเกี้ยวก็มีเสียงดัง แผละ เสียงหนึ่ง ผ้าเช็ดมือชุ่มชื้นผืนหนึ่งร่วงลงมา ไม่เอนเอียงไม่บิดเบี้ยว ปิดปากของนางไว้  


 


 


ผ้าเช็ดมือนั้นหนักเหลือเกิน นางพยายามพ่นก็พ่นไม่ออก คราวนี้ทั้งขยับไม่ได้ทั้งร้องไม่ได้ ในใจของจิ่งเหิงปัวรู้สึกร้อนรนอย่างยิ่ง กลัวว่าของเหลวบนผ้าเช็ดมือผืนนี้คือสารพิษ พยายามถุยออกไปหลายครั้งกลับพบว่าไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว ซ้ำยังไม่มีความรู้สึกย่ำแย่อะไร ของเหลวบนผ้าเช็ดมือถึงขนาดเย็นสบายเจือกลิ่นหอม คล้ายกลิ่นหอมที่กงอิ้นมักจะใช้อยู่บ้างเล็กน้อย 


 


 


ความรู้สึกนี้ทำให้นางจิตใจสงบขึ้นฉับพลัน นางกลอกตาไปมา ในใจรู้สึกสงสัย…หรือว่าเป็นกงอิ้นจริง? เขาจะทำอะไร? 


 


 


… 


 


 


“ยกเกี้ยว” กงอิ้นคล้ายไม่รู้ความเคลื่อนไหวในเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวด้วยซ้ำ และคล้ายไม่คิดจะหยุดพัก สั่งอย่างเฉื่อยเนือยเสียงหนึ่ง เกี้ยวจึงยกขึ้น  


 


 


จ้าวซื่อจื๋อรีบเร่งก้าวขึ้นไปน้อมส่ง ในใจเขาทั้งฮึกเหิมทั้งว้าวุ่นใจกับสัญญาของกงอิ้น ตั้งใจหวังให้กงอิ้นหยุดพักอีกสักหน่อย เอ่ยวาจากันอีกสักหน่อย ทำให้จิตใจเขาสงบลงสักหน่อย จึงเข้าใกล้ข้างม่านเกี้ยวของกงอิ้นในฉับพลัน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ข้าน้อยอยากจะไปรายงานตัวกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในวันรุ่งขึ้น ไม่รู้ว่าราชครูคิดว่าเหมาะสมหรือไม่” 


 


 


กงอิ้นยกมือขึ้น เกี้ยวหยุดลง เขาสนทนากับจ้าวซื่อจื๋อ เหมิงหู่กับอวี่ชุนจัดการให้องครักษ์คั่งหลงและทหารของสำนักตี้เกอถอยออกนอกจวนก่อน จัดวางกำลังป้องกันตลอดเส้นทางตามระเบียบปฏิบัติ  


 


 


ยามที่ทหารกับองครักษ์เหล่านี้ถอยออกไป จำต้องเดินผ่านรถเกี้ยวของกงอิ้น  


 


 


กองทัพทหารคั่งหลงเงียบงันน่าเกรงขาม เดินผ่านไปปานธารหลาก  


 


 


กงอิ้นกำลังสนทนากับจ้าวซื่อจื๋อผ่านม่านเกี้ยว  


 


 


ทหารจากสำนักตี้เกอเดินผ่านข้างเกี้ยวภายใต้การนำพาของขุนนางสำนัก 


 


 


เกี้ยวของกงอิ้นไม่ได้ขยับเขยื้อน เขากำลังสนทนากับจ้าวซื่อจื๋อ  


 


 


ถัดมาคือองครักษ์ของจวนตระกูลจ้าว นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งติดตามอยู่ท้ายสุด คนกลุ่มนั้นคือเฉินเถี่ยซื่อจื่อที่อยู่ข้างจวนรวมทั้งองครักษ์ด้วย  


 


 


ทั้งสองตระกูลเป็นสหายข้างจวน เฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือกันเป็นเรื่องปกติ ยามนี้พวกเขาปรากฏกายที่นี่ พวกเหมิงหู่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ยังคงเชิญพวกเขาเดินถอยออกไปก่อนตามเดิม หลบหลีกเส้นทางของฝ่าบาทกับราชครู  


 


 


คลื่นมนุษย์ผ่านไปทีละกลุ่มทีละก้อน 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเดินอมยิ้มผ่านไป พวกเหมิงหู่ขวางอยู่หน้าเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวคล้ายตั้งใจแลมิได้ตั้งใจ ทว่าเหยียลี่ว์ฉีไม่ได้เข้าใกล้เช่นกัน เพียงยิ้มแย้ม รอยยิ้มมีความประหลาดหลายส่วน  


 


 


กงอิ้นกับจ้าวซื่อจื๋อกำลังสนทนากัน  


 


 


พวกอีชีเจ็ดคนทะเลาะวิวาทกันเข้ามา ทั้งเจ็ดคนถกเถียงกันหวังจะนั่งเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวสักหน่อย เพื่อแย่งชิงว่าผู้ใดจะได้นั่งก่อนจึงวิวาทกันขึ้นมา วิวาทกันไปวิวาทกันมาจนออกนอกจวนไปแล้ว  


 


 


กงอิ้นเอ่ยวาจากับจ้าวซื่อจื๋อโดยตลอด รอยยิ้มของจ้าวซื่อจื๋อยิ่งเบิกบานมากขึ้น ช่วงเอวยิ่งโค้งมากขึ้น ร่างกายประชิดใกล้มากยิ่งขึ้น 


 


 


ทุกผู้คนต่างเดินผ่านข้างเกี้ยวของกงอิ้น กงอิ้นกับจ้าวซื่อจื๋อค่อยๆ ไร้วาจาให้สนทนาเช่นกัน ม่านเกี้ยวใกล้จะสยายลงมาแล้ว 


 


 


กงอิ้นพลันเอ่ยว่า “ใต้เท้าจ้าว ฮูหยินที่เคารพสิ้นชีพผิดธรรมชาติ ยามนี้ยังมีเลศนัย ให้เปิ่นจั้วมองดูบาดแผลได้หรือไม่” 


 


 


ยามนี้ไม่ว่าเขาจะเอ่ยวาจาใด จ้าวซื่อจื๋อย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยทั้งนั้น รีบเร่งเอ่ยว่า “ขอรับ เกรงเพียงว่าจะแปดเปื้อนสายตาของราชครู” ว่าพลางสั่งให้คนยกศพของฮูหยินขึ้นไป  


 


 


เหมิงหู่ใช้ตะขอทองคำเกี่ยวม่านเกี้ยวขึ้น กงอิ้นมองดูซากศพบนพื้นปราดเดียว หนามสามเหลี่ยมแหลมสองฝั่งหนามนั้นแทงทะลุหน้าอกฮูหยินจ้าว เปล่งประกายแสงสีครามม่วง  


 


 


กงอิ้นเฉียดสายตาผ่านปราดเดียว พลันกระซิบว่า “ขึ้น!” 


 


 


ฉึ่ก! เสียงหนึ่ง หนามแหลมสีครามม่วงหนามนั้นแทงทะลุออกจากร่างกายของฮูหยินจ้าวโดยพลัน พุ่งสู่ท้องฟ้าดังฟิ้วเสียงหนึ่ง  


 


 


“แตก!” 


 


 


ระหว่างที่ริมฝีปากกงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง ทว่าดุจแจกันเงินแตกกระจาย! 


 


 


เพียะ! เสียงหนึ่ง หนามสามเหลี่ยมที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศระเบิดแหลกละเอียด! เศษเสี้ยวสีครามม่วงผืนหนึ่งผนึกแน่นทั่วท้องนภา! ดุจท้องฟ้าพลันเกิดฝนพรำสีครามม่วง 


 


 


“ไป!” 


 


 


ยามเสียงที่สามเปล่งออกมา สายลมรุนแรงพลันก่อตัว เศษเสี้ยวสีครามม่วงผืนใหญ่ผืนหนึ่งซึ่งถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดออกมานั้น พุ่งเหินทั่วสารทิศโดยพลัน! 


 


 


ท้องฟ้าสีครามม่วงผืนนั้นได้แผ่คลุมเหยียลี่ว์ฉี องครักษ์จวนตระกูลจ้าว เฉินเถี่ยซื่อจื่อรวมทั้งเหล่าองครักษ์ด้วย! 


 


 


หนามสามเหลี่ยมอาบพิษยางน่อง หลังจากถูกบดละเอียดกลายเป็นผง ขอบเขตการสังหารได้เพิ่มมากขึ้น จินตนาการได้เลยว่าหากสัมผัสเพียงเสี้ยวเดียว ไม่สิ้นชีพคงบาดเจ็บสาหัส! 


 


 


สายลมรุนแรงสะบัดม่านเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวขึ้น นางที่ติดอยู่บนที่นั่งมองเห็นทันทีว่าฝนพรำสีครามม่วงข้างหน้าสาดย้อมโปรยปรายทางฝูงชนผืนนั้น 


 


 


มองเห็นพวกเหมิงหู่จ้องมองฝูงชนเขม็งด้วยแววตาแพรวพราว  


 


 


มองเห็นคนส่วนใหญ่ยังตะลึงงันอยู่ตรงนั้นยังไม่ทันได้รู้สึกตัวขึ้นมา  


 


 


มองเห็นกลางฝูงชนมีคนยื่นมือเข้าอ้อมแขน… 


 


 


“มา!” กระซิบเสียงหนึ่ง เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นออกจากเกี้ยวในที่สุด! 


 


 


ร่างกายเขาเพิ่งเฉียดออกมา แล้วถีบจ้าวซื่อจื๋อที่ยังงงงันอยู่หน้าเกี้ยวเขาล้มลงในเท้าเดียว! 


 


 


จ้าวซื่อจื๋อเพิ่งล้มลงดังพลั่ก แสงขาวสายหนึ่งพลันกะพริบออกมาจากใต้คานขวางรถเกี้ยวของกงอิ้นดัง ฟิ้ว! เสียงหนึ่ง ส่งเสียงคำรามเฉียดผ่านหน้าอกของจ้าวซื่อจื๋อ 


 


 


เหมิงหู่พลันไล่ตามแสงขาวไป   

 

 


ตอนที่ 77 - 4 การลงมือของเขา

 

ส่วนกงอิ้นได้เฉียดผ่านใจกลางฝูงชน ยื่นมือเพียงครั้งคว้าคนผู้หนึ่งออกมา มือหนึ่งสกัดจุดเลือดลมของคนผู้นั้นปานฟ้าแลบ มืออีกข้างหนึ่งสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้ง ฝนพรำสีครามม่วงผืนนั้นพลันกลายเป็นช่อเดียว เหินว่อนสามจั้ง หายเข้าไปในพงหญ้าที่ซึ่งไม่ไกล ชั่วครู่นั้นหญ้าเขียวพลันเ**่ยวเฉา


 


 


จากนั้นเขาก็พุ่งเหินขึ้น หายเข้าไปในเกี้ยวอีกครั้ง เหวี่ยงคนผู้นั้นมาหน้าเกี้ยวดังพลั่ก


 


 


ในขณะเดียวกันนั้นเอง เหมิงหู่ก็กะพริบกายกลับมา ในมือคว้าของสิ่งหนึ่งเอาไว้


 


 


การกระทำหลายครั้งรวดเร็วราบรื่น เพียงชั่วครู่นั้น กงอิ้นชูหนามสามเหลี่ยม ทำลายหนามสามเหลี่ยม ใช้หมอกพิษคุกคามชีวิตของทุกผู้คน แล้วพลันจับคนผู้หนึ่งออกมาจากท่ามกลางฝูงชน


 


 


ผู้อื่นเพียงแต่กะพริบตาไม่กี่ครั้ง เรื่องราวของเขาก็กระทำเสร็จสิ้นแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง แววตาฉายความงงงวย กงอิ้นลงมือทั้งรวดเร็วทั้งโหดเ**้ยมเหลือเกิน ความเร็วในการคิดของสมองมนุษย์ตามไม่ทันด้วยซ้ำ


 


 


เสียงพลั่กดังขึ้นเสียงหนึ่ง กงอิ้นกลับเกี้ยว สายลมรุนแรงหยุดนิ่ง ม่านสยายลงอีกครั้ง บดบังสายตาของนางไว้


 


 


จิ่งเหิงปัวร้อนใจจนแทบจะตะโกนก้อง


 


 


ชั่วพริบตานั้น คนอื่นยังคงตาพร่า นางมองเห็นใบหน้าของกงอิ้นอย่างแปลกประหลาด


 


 


คล้ายขาวซีดเล็กน้อย


 


 


เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ตกลงจะให้นางมองเห็นให้ชัดเจนหรือไม่!


 


 



 


 


เงียบสงัดทั่วลานกว้าง


 


 


ทุกผู้คนมองดูเกี้ยวของกงอิ้นอย่างตื่นตะลึง…สงบเงียบเช่นเคย แม้แต่ตะขอทองคำที่เกี่ยวขึ้นก่อนหน้านี้ก็ได้วางลงแล้ว


 


 


ภายในเกี้ยวไม่มีสรรพเสียง เหมิงหู่มองดูม่านเกี้ยวอย่างกังวลเล็กน้อย ทว่าไม่ได้คิดจะเลิกม่านขึ้น


 


 


ความเงียบสงัดที่ทำให้คนหายใจลำบากเช่นนี้ดำรงต่อไปอีกชั่วครู่ ทุกคนถึงได้ยินเสียงของกงอิ้นอีกครั้ง


 


 


สงบเงียบ เย็นยะเยือก ทุกสิ่งเฉกเช่นปกติ


 


 


“จับกุมมือสังหารได้แล้ว” เขาเอ่ยว่า “ไม่เกี่ยวกับราชินี”


 


 


ทุกผู้คนอ้าปากกว้างอีกครั้ง…การกระทำกับการโต้ตอบของบางคน มักทำให้เจ้ารู้สึกว่าสติปัญญาของตนเองไม่เพียงพอ


 


 


กงอิ้นไม่เอ่ยวาจาแล้ว เหมิงหู่หิ้วคนที่อยู่บนพื้นผู้นั้นขึ้น นั่นคือคนที่แต่งกายเป็นทหารของสำนักตี้เกอ สีหน้าหวาดผวายังไม่เลือนหายไป


 


 


จ้าวซื่อจื๋อกุมท้ายทอยไว้ ลุกขึ้นมาจากบนพื้นอย่างมึนงงเวียนศีรษะ จับจ้องมองดูทหารนายนั้น


 


 


“คนผู้นี้คือมือสังหาร” เหมิงหู่เอ่ยว่า “เมื่อครู่ราชครูทำลายอาวุธ สร้างฝนพิษแผ่คลุมทางบุคคลน่าสงสัยทุกคน ทุกผู้คนต่างกำลังตื่นตะลึง ผู้ที่รู้สึกตนรวดเร็วมากที่สุดคิดหลบหนี มีเพียงคนผู้นี้ เขายื่นมือเข้าอ้อมแขนเพราะคิดจะใช้ยาถอนพิษ ด้วยเพราะเขารู้ว่ายามนั้นเขาอยู่ท่ามกลางฝูงชน ไม่ทันได้หลบหนีพ้นด้วยซ้ำ เขารู้ด้วยว่าพิษนี้ร้ายแรงยิ่งนัก สัมผัสเพียงเสี้ยวเดียวย่อมสิ้นชีพ ฉะนั้นยามหัวเลี้ยวหัวต่อความเป็นความตาย เขาจะคิดปกป้องตนเองอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง จึงคิดจะใช้ยาถอนพิษ”


 


 


เขายื่นมือสืบค้นในอ้อมแขนของคนผู้นั้น ค้นเจอขวดน้อยสีม่วงขวดหนึ่ง เทของเหลวภายในขวดลงบนบาดแผลของฮูหยินจ้าวเล็กน้อย มองดูโลหิตพิษที่ดำที่ยังคงไหลรินนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง


 


 


นั่นคือยาถอนพิษ


 


 


จ้าวซื่อจื๋อเงียบกริบเอ่ยไม่ออก


 


 


มีเพียงบนร่างกายของมือสังหารถึงจะมียาถอนพิษได้


 


 


“คนผู้นี้ แม้พวกเราไม่รู้ว่าเขาคือผู้ใด ทว่าชัดเจนยิ่งนัก เขาไม่อยู่ในลานบ้าน ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามราชินีโดยตลอด อาวุธลับที่ทำให้ฮูหยินจ้าวสิ้นชีพถูกยิงเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม”


 


 


จ้าวซื่อจื๋อมีสีหน้าเขียวคล้ำ


 


 


“ยังมีสิ่งนี้” เหมิงหู่ตบคานเกี้ยวของกงอิ้น คว้าเครื่องยิงโลหะขนาดเล็กเครื่องหนึ่งออกมาจากใต้คานแล้วเขย่าสิ่งของที่อยู่ในมือ


 


 


ในมือของเขาพลันปรากฏหนามสามเหลี่ยมอันหนึ่งเช่นกัน กุมไว้ในฝ่ามือ ดูท่าทางเหมือนอาวุธที่สังหารฮูหยินจ้าวสิ้นชีพนั้นทุกกระเบียดนิ้ว


 


 


“นี่คืออาวุธลับที่ยิงออกมาจากใต้คานเกี้ยวของราชครูเมื่อครู่ จุดมุ่งหมายเพื่อสังหารใต้เท้าจ้าวอีกคน” เหมิงหู่หัวเราะเยาะจ้าวซื่อจื๋อเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ราชครูจงใจสนทนากับท่านในเกี้ยว ซ้ำยังจัดการให้ทุกผู้คนเดินผ่านหน้าเกี้ยวเขา จุดมุ่งหมายก็เพื่อมอบโอกาสให้มือสังหารลงมือ มือสังหารไม่ได้หักใจละทิ้งโอกาสนี้เช่นกัน เขาฉวยโอกาสเดินผ่านหน้าเกี้ยวยามมีคนมาก แอบนำกับดักนี้ปักไว้ใต้คานเกี้ยว หากราชครูสยายม่านเกี้ยวยกเกี้ยวขึ้น กับดักนี้จะถูกทำให้ทำงานแล้วยิงเข้าหน้าอกของใต้เท้าจ้าว เช่นนั้น เรื่องราวคงใหญ่โตแล้ว คงจะกลายเป็นราชินีทรงสังหารฮูหยินของใต้เท้าจ้าว ส่วนราชครูจะสังหารใต้เท้าจ้าวอีกคนเพื่อช่วยพระนางปิดบังความผิด พอถึงยามนั้นทั่วแว่นแคว้นโกรธแค้น เหล่าขุนนางเจ็บปวดผิดหวัง ราชครูกับราชินีคงจะลำบากเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นพอราชครูออกจากเกี้ยว จึงผลักใต้เท้าจ้าวออกไปก่อน ใต้เท้าจ้าว ท่านควรขอบคุณราชครูให้มากถึงจะถูก”


 


 


“เรื่องนี้…” จ้าวซื่อจื๋อกุมศีรษะ ดวงตามึนงงจนขดเป็นวงกลม เขาคล้ายล้มลงแรงทีเดียว ความคิดตามไม่ทันโดยสิ้นเชิง ทว่าได้แต่เอ่ยวาจาขอบคุณอย่างมึนงงไปก่อนว่า “ขอบคุณราชครูที่ช่วยชีวิต…”


 


 


“ราชครู!” ทว่ามีผู้อดจะคัดค้านไม่ได้ว่า “คนของสำนักตี้เกอเรารีบเร่งตามมาถึงหลังจากฮูหยินจ้าวถูกสังหาร! เป็นไปไม่ได้ที่คนของพวกเราจะสังหารฮูหยินจ้าว!”


 


 


เหมิงหู่หันหน้ากลับมามองดูม่านเกี้ยว เสียงของกงอิ้นแว่วมาจากภายในเกี้ยวว่า “สายตาบิดเบือน จะใช้ตรวจสอบผู้อื่นได้อย่างไร มองให้ชัดเจนว่านั่นคือคนของพวกเจ้าหรือไม่!”


 


 


ขุนนางของสำนักตี้เกอก้าวเข้าไปมองดูละเอียด เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เขาไม่ใช่คนของพวกเรา! เขาเพียงสวมเครื่องแบบของพวกเรา!”


 


 


“พากลับไปสอบสวนให้ละเอียด” กงอิ้นสั่ง


 


 


พวกเหมิงหู่รับคำสั่ง กำลังจะหิ้วมือสังหารนั้นขึ้นมัดอีกครั้งหนึ่ง พลันมีคนผู้หนึ่งตะโกนว่า “ระวังท่าทางของเขา!”


 


 


เหมิงหู่ตื่นตกใจ ก้มหน้ามองดู มือสังหารนั้นกำลังอาศัยจังหวะที่ถูกหิ้วขึ้น ใช้ส่วนศีรษะเข้าใกล้ไหล่ คิดจะไปเลียรูปสัตว์นูนชิ้นหนึ่งตรงชุดเกราะข้างไหล่ เหมิงหู่รีบเร่งตบศีรษะของเขาออกไป ดึงเกราะไหล่ชิ้นนั้นของเขาลงมา พบเจอยาเม็ดน้อยเม็ดหนึ่งภายในนั้นดังคาดการณ์


 


 


“ขอบคุณเฉินเถี่ยซื่อจื่อ” เหมิงหู่เอ่ยขอบคุณต่อคนผู้นั้นอย่างซาบซึ้งใจ เอ่ยสืบต่อว่า “หากไม่ได้เจ้าเตือนสติ มือสังหารคงจะใช้ยาพิษปลิดชีพตนเองแล้ว”


 


 


“สมุหราชองครักษ์เหมิงเกรงใจแล้ว นี่คือสิ่งที่ข้าควรกระทำ ข้าเห็นว่าคนผู้นี้โหดเ**้ยมทารุณ สายตาไม่แน่วแน่ คล้ายมีความคิดปลิดชีพตนเอง ฉะนั้นจึงจ้องอยู่โดยตลอด หากให้เขาปลิดชีพตนเองสิ้นชีพไร้ซึ่งหลักฐาน วันนี้ทุกคนคงยุ่งวุ่นวายเสียแรงเปล่ากันแล้ว” คนผู้นั้นเอ่ยตอบดังก้องฉะฉาน เสียงชัดเจน ท่าทางไม่อ่อนน้อมไม่ต่อต้าน น้ำเสียงสม่ำเสมอ พาให้คนฟังแล้วรู้สึกว่าเหมาะสมซ้ำยังเชื่อถือได้


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเสียงนี้ฟังดูคุ้นเคย คนนี้คงจะเป็นเฉินเถี่ยซื่อจื่อคนนั้น คนนั้นที่ก่อนหน้านี้ลงมือลากจ้าวซื่อจื๋อกลับไป นางไม่โทษที่เขาลงมือช่วยเหลือ อย่างไรเสียหากจับตัวจ้าวซื่อจื๋อไปได้จริง แล้วถูกเปิดเผยฐานะ ราชินีเช่นนางนี้ยิ่งยากจะลงจากเวที


 


 


คนนี้เป็นใครกัน?


 


 


ท่าทางที่กงอิ้นมีต่อซื่อจื่อผู้นี้คล้ายว่าไม่เลว ไม่นึกว่าจะเอ่ยขึ้นว่า “ซื่อจื่อไม่ได้ไปในวังระยะหนึ่งแล้ว หากมีเวลาว่างน่าจะเข้าวังให้มาก”


 


 


แม้ว่าน้ำเสียงเฉื่อยเนือย แต่ไม่ว่าอย่างไรนับเป็นการออกปากเชื้อเชิญก่อน จิ่งเหิงปัวส่งเสียงจิ๊จ๊ะคิดว่าอัศจรรย์


 


 


“ได้รับความกรุณารักใคร่จากราชครู ผู้ต่ำต้อยจะกล้าไม่น้อมรับคำเชิญหรือ?” คนผู้นั้นเอ่ยวาจาขอบคุณ ทั้งสนิทสนมทั้งมีระยะห่าง


 


 


กงอิ้นไม่เอ่ยอะไรอีก เหมิงหู่ร้องว่ายกเกี้ยวเสียงหนึ่ง คราวนี้เกี้ยวออกจากที่เดิมในที่สุด


 


 


ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา ในเมื่อเอ่ยว่ามือสังหารไม่ใช่ราชินี การปะทะกันทุกสิ่งก่อนหน้านี้ย่อมสูญสลาย


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมิได้เอ่ยวาจาโดยตลอด และไม่ได้ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีก รอยยิ้มข้างริมฝีปากผืนหนึ่งยิ่งลึกลับขึ้น คล้ายไม่โกรธเคืองที่เมื่อครู่ตนเองถูกสงสัยด้วยซ้ำ ท่าทางคล้ายกำลังชมเรื่องสนุกสนาน


 


 


เมื่อมองรถเกี้ยวของสองคนจากไป เขาก็พลันรีบร้อนขออำลา เดินรวดเร็วยิ่งนักประหนึ่งข้างหลังมีภูตผีไล่ตาม


 


 


เท้าที่ก้าวไปก่อนของเขาเพิ่งกลับสู่ในจวนตนเอง


 


 


จ้าวซื่อจื๋อที่มึนงงสะลึมสะลือเอามือกุมท้ายทอยไว้โดยตลอด ทว่าทั้งระงับความตื่นเต้นดีใจจนทั่วหน้าแดงก่ำไม่ไหว พลันกระซิบกระซาบเสียงหนึ่ง “ปวดหัวยิ่งนัก…” แล้วพลันล้มหงายท้องหัวทิ่มดังตึง


 


 


ในจวนตระกูลจ้าวเงียบสงัดชั่วครู่


 


 


จากนั้นก็มีเสียงอุทานอย่างตกตะลึงของผู้คนดังก้อง


 


 


“นายท่านสลบไปแล้ว!”


 


 


เหยียลี่ว์ฉีที่ปิดประตูข้างจวนแล้วหยุดฝีเท้าลง หันข้าง รอยยิ้มผืนนั้นตรงมุมปากยิ่งชัดเจนขึ้นแล้ว


 


 



 


 


พอเกี้ยวออกจากจวนตระกูลจ้าว ทหารคั่งหลงกับนายทหารพลทหารของสำนักตี้เกอต่างกลับสู่ตำแหน่งเดิม แผ่นเหล็กที่รัดอยู่บนท้องของจิ่งเหิงปัวส่งเสียงดังเพียะๆ สองเสียงแล้วหดกลับไป


 


 


จิ่งเหิงปัวโยนผ้าอุดปากทิ้ง ลุกขึ้นนั่ง กระทืบพื้นเกี้ยวในทันที


 


 


เกี้ยวหยุดลง จิ่งเหิงปัวมุดออกมาจากข้างในเกี้ยวอย่างร้อนอกร้อนใจ ไม่รอให้ราชองครักษ์ก้าวเข้ามาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ กะพริบวูบดังสวบพลันหายไปแล้ว


 


 


จากนั้นหัวไหล่คนแบกเกี้ยวของกงอิ้นก็จมดิ่งเล็กน้อย


 


 


ภายในเกี้ยว เสียงของกงอิ้นแว่วมา คล้ายมีความไม่ชัดเจนเพียงเล็กน้อย เอ่ยว่า “เคลื่อนต่อไป” 

 

 


ตอนที่ 78 - 1 มอบจุมพิต

 

จิ่งเหิงปัวซบอยู่บนผืนอกของกงอิ้น


 


 


เกี้ยวเล็กคับแคบ ยามที่นางชนเข้ามากงอิ้นไร้ที่ให้หลบหลีก ได้แต่ใช้หน้าอกรองรับพลังเร่าร้อนของนาง


 


 


ทว่าเขายื่นแขนขวางไว้ตรงหน้าท้องได้ทันเวลา หลีกเลี่ยงการสัมผัสที่เก้อเขินเกินเลยบางอย่าง


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับไม่ได้มาฉวยโอกาสลวนลาม นางจับใบหน้าของกงอิ้นไว้แล้วมองซ้ายมองขวา กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เอ๊ะ สีหน้าของเจ้าปกติดีนะ ซ้ำยังแดงเลือดฝาดนิดหน่อยด้วย”


 


 


“นั่งให้ดี” เขาเอ่ย


 


 


จิ่งเหิงปัวนั่งให้ดี…นั่งบนหัวเข่าเขา


 


 


“ขอบคุณที่เจ้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์” นางกล่าวอย่างยิ้มแย้มปรีดาว่า “วันนี้เจ้าโคตรหล่อเลย”


 


 


“มิได้องอาจห้าวหาญเท่าองค์ราชินี” เขาไม่ลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ ฉวยมือหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่าน เอ่ยสืบต่อไปว่า “คนเดียวพันใบหน้า บทบาทพลิกผันมากหลาย จากอนุภรรยาสู่จอมยุทธ์หญิงสู่ราชินี แต่ละบทบาทต่างฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ท่วงท่าสมบูรณ์เพียบพร้อม”


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ดมกลิ่นรอบด้าน แล้วกล่าวว่า “เอ๊ะ กลิ่นหึง กลิ่นหึง”


 


 


มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา สะบัดแผ่วเบาเพียงครั้ง ก่อนจะปลดมวยผมของนางให้สยายออก


 


 


“รู้หรือไม่ว่าเช่นนี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก?” เขาเอ่ย


 


 


คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงนึกออกว่าทรงผมของตนเองยังเป็นมวยผมของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เกล้ามวยมั่วซั่วเพื่อปลอมตัวเป็นอนุภรรยาของเหยียลี่ว์ฉี


 


 


เจ้าคนโลกทัศน์สูงส่งกว่าท้องนภา อารมณ์หึงหวงกว้างไกลกว่าสมุทรคนนี้ คาดการณ์ว่าพอเจอหน้าก็อยากทำท่าทางแบบนี้ อดทนจนถึงตอนนี้ได้นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์


 


 


“ไม่สวยหรือ?” นางคลอเคลียอยู่บนขาของเขา โอบคอของเขาไว้แล้วเอ่ยว่า “ไม่สวยจริงๆ หรือ? เช่นนั้นต่อไปข้าจะไม่เกล้ามวยผมเช่นนี้อีกแล้วตลอดกาล หืม?”


 


 


“ย่อมเป็นเช่นนั้น…” เขาโพล่งปากเอ่ยตอบ แล้วพลันหยุดชะงัก


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มอย่างเจ้าเล่ห์ขึ้นมา


 


 


“ไม่เกล้าไปตลอดกาลจริงๆ นะ? ผู้ใดมาขอก็ไม่เกล้า เจ้าเอ่ยเองนะ” นางจิ้มจมูกของเขา


 


 


กงอิ้นคว้ามือของนางเอาไว้ มองนางแน่วแน่ครู่ใหญ่ ผมยาวพลิ้วสยายกับนัยน์ตาประหนึ่งแมวของนางต่างกำลังทอประกายระยิบระยับท่ามกลางลำแสงมืดสลัว ท่วงท่าหันข้างหวานชื่นน่ารักใคร่ แตกต่างจากความงดงามสวยสง่ายามปกติ ยามนี้เบื้องหน้าคือสตรีน้อยที่ทั้งคล่องแคล่วบอบบางทั้งไร้หนทางควบคุม


 


 


ดวงใจและบริเวณลำคอต่างคล้ายกำลังกำจายรสหวาน หวานจนถึงจุดสิ้นสุดคือความรู้สึกที่ยากที่จะควบคุม


 


 


มวยข้างเกล้าหลวมเอน คิ้ววาดเส้นโค้งเรียวบาง” สักวันหนึ่งนางคงหวีผมยาว เกล้ามวยโหนอาชา[1] ประทินโฉมดวงหน้า แต้มผกากลางหน้าผาก สวมอาภรณ์สดใสข้ามบันไดหยก ยกขบวนสินเดิมทอดยาวสิบลี้?


 


 


ส่วนผู้ยกแขนเสื้อถือแพรสีสัน อมยิ้มร่วมพิธีวิวาห์ฝั่งหนึ่งนั้น จะเป็น…เขาได้หรือไม่?


 


 


ดั่งมีกระแสคลื่นถาโถมซัดสาดทำนบน้ำแข็งหิมะ เขาคล้ายได้ยินเสียงน้ำค้างหิมะแตกละเอียด ท่วงท่าร่วงโรยดุจเกราะร้าว


 


 


มือเขาสั่นสะท้าน


 


 


“มือของเจ้าพลันอุ่นขึ้นมาแล้วแฮะ” นางแนบแก้มลงบนมือของเขา รู้สึกถึงระดับความร้อนที่แปลกประหลาด เขาเยือกเย็นมาโดยตลอด เย็นสบายดุจหิมะแรก ระดับความร้อนเช่นนี้ทำให้คนประหลาดใจยิ่งนัก


 


 


นางกลัวเขาจะเป็นไข้ เช่นนั้นจึงใช้หลังมือลองวัดดู แต่อุณหภูมิบนหน้าผากเป็นปกติ


 


 


นางวางใจลงแล้ว ก่อนจะคลายคิ้วยิ้มแย้ม แล้วกล่าวว่า “จริงๆ แล้วเจ้าอบอุ่นก็เป็นด้วย ดียิ่งนัก ตอนนั้นจู่ๆ เจ้าที่กลายเป็นน้ำแข็ง ก็ทำให้ข้าตกใจแทบแย่”


 


 


วันนั้นในวังกษัตริย์เทียนหนาน เรื่องรอยจุมพิตซึ่งไปไม่ถึงริมฝีปากทำให้ทั่วร่างเขากลายเป็นน้ำแข็งนั้น นางยังจดจำได้อย่างลึกซึ้ง ในใจคิดสงสัยเสมอว่าปัญญาหิมะของเขาเข้าใกล้สตรีไม่ได้เหมือนที่นิยายกำลังภายในกล่าวไว้แบบนั้นหรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นทำไมพอหวั่นไหวก็กลายเป็นน้ำแข็งเสียล่ะ ด้วยเหตุนี้จึงใกล้ชิดเขาเป็นครั้งคราว แอบสังเกตโดยละเอียดเสมอ แต่ไม่ได้พบปรากฏการณ์กลายเป็นน้ำแข็งแบบนั้นอีก ขณะนี้กลับอบอุ่นขึ้นมาแล้ว


 


 


แบบนี้หมายความว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นอะไร ไม่มีอะไรขัดขวางทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?


 


 


ผมยาวของนางร่วงหล่นลงมาสยายบนหลังมือเขาเป็นกลุ่มก้อน บดบังรอยด่างสีแดงที่พลันโผล่ออกมาบนเล็บมือไว้


 


 


ปลายนิ้วของเขาเกี่ยวพันผมของนางดั่งเกี่ยวพันความรู้สึกที่ยากจะเอ่ยในยามนี้ พลันถามนางว่า “เจ้าชื่นชอบให้ข้าอบอุ่นขึ้นสักหน่อยหรือ?”


 


 


“แบบใดก็ชื่นชอบทั้งนั้น” นางกอดเอวของเขาไว้ กล่าวว่า “ขอเพียงเป็นเจ้าก็พอ”


 


 


เขาร้อง “อืม” ออกมาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “แท้จริงแล้ว สิ่งที่เจ้าชื่นชอบมีมากมายนัก”


 


 


นางหัวเราะดัง “คิก” รู้สึกว่าความหึงหวงนี้ช่างหวานเหลือเกิน


 


 


สองคนต่างไม่เอ่ยวาจา เกี้ยวสั่นไหวอยู่เล็กน้อย ร่างกายจึงสัมผัสกันแผ่วเบาบ่อยครั้ง เรียนรู้ความอ่อนนุ่มยืดหยุ่นของกันและกันผ่านอาภรณ์ทีละเล็กทีละน้อย ยั่วเย้าความรู้สึกทั้งหวานชื่นทั้งเปรี้ยวฝาดระลอกหนึ่ง นางซุกหน้าตรงช่วงหน้าอกฟังเสียงหัวใจเต้นของเขา ทว่าเขากำลังดมกลิ่นหอมสดชื่นบนเส้นผมของนางโดยละเอียด นางรู้สึกว่าเสียงหัวใจเต้นของเขาฟังดูสุขุมที่สุด ดีงามที่สุดบนโลกใบนี้ เขารู้สึกว่าเส้นผมที่เขาสระให้นางด้วยมือตนเองอ่อนนุ่มที่สุด กลิ่นหอมสะกดผู้คนที่สุดเช่นกัน


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ ความโกรธแค้นสับสนตึงเครียดไม่พอใจก่อนหน้านี้สูญสลายหายไปในอ้อมแขนของบุรุษผู้นี้ทันที เขาไม่ปลอบโยน ไม่เอาใจ ไม่ใกล้ชิด ถึงขนาดปากร้ายเช่นเคย ทว่าพอนางได้ยินเสียงที่ขานว่าราชครูมาเยือนเสียงนั้นก็ตื่นเต้นดีใจ พอมองเห็นเงาคนภายในเกี้ยวของเขา ลมหายใจก็มั่นคงสงบนิ่ง พอได้ยินเสียงของเขาก็ผ่อนคลายไปโดยสิ้นเชิง มองเห็นฟ้าดินสว่างไสว สรรพสิ่งต่างมีแสงสว่าง


 


 


คนบางคนทำให้เจ้ารู้สึกว่าฝากฝังทุกสิ่งทั้งมวลไว้ด้วยได้ ฟ้าดินภูเขาแม่น้ำรวมทั้งตนเอง ต่างอยู่ในอ้อมกอดของเขา


 


 


นางยังไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือความรักหรือความรู้สึกพึ่งพาได้ภายใต้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่นางรู้ว่าตนเองอยากให้ครู่หนึ่งนี้ มากขึ้น มากมายยิ่งขึ้น อยากให้ช่วงเวลาเช่นนี้ ยาวขึ้น ยาวนานยิ่งขึ้น


 


 


ในความเลือนรางมัวสลัว นางรู้สึกถึงเสียงหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อยของเขา เช่นนั้นก็อดจะหัวเราะไม่ได้…สตรีอยู่ในอ้อมกอด เจ้ามือใหม่คนนี้คงตื่นเต้นขึ้นมาอีกแล้ว


 


 


พอเคยชินก็ไม่เป็นไรแล้ว


 


 


เพราะกลัวเขาเก้อเขินจนผลักนางออก นางจึงถือไข่มุกของเขาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “วันนี้ขอบคุณนะ…ข้าไม่อยากก่อความยุ่งยากให้เจ้าเลย”


 


 


เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยตอบไปว่า “ต่อไปอยู่กับผู้ไม่เกี่ยวข้องให้น้อยหน่อย”


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ กล่าวว่า “ผู้ใดกัน”


 


 


“เจ้ารู้อยู่แล้ว”


 


 


“ข้าไม่รู้” จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวว่า “ข้าเพียงรู้ว่าข้าส่งจูบครั้งเดียวเจ้ายังเช็ดมือข้า ผู้ไม่เกี่ยวข้องอาจจะรวมถึงราษฎรทั่วทั้งตี้เกอ เจ้าแน่ใจว่าจะเขียนรายนามยืดยาวให้ข้าหรือ? ข้าเกรงว่าคงจะสูงเท่าเตียง…”


 


 


วาจาจุกจิกเจื้อยแจ้วของนางถูกนิ้วมือของเขาอุดไว้ จิ่งเหิงปัวเสียใจอย่างยิ่งว่าทำไมไม่ใช่ริมฝีปาก


 


 


ในนิยายตอนนี้พระเอกที่พาลโมโหโกรธาเหมือนว่าควรจะใช้ริมฝีปากมาอุดปากนางมารน้อยของพวกเขาสิ…


 


 


นางถอนหายใจออกมา กุมนิ้วมือของเขาเอาไว้แน่น เขาคล้ายจะไม่เป็นธรรมชาติอีกครั้งแล้ว พยายามจะชักมือกลับ แน่นอนว่านางไม่ปล่อย กล่าวคุกคามเขาว่า “หากเจ้าขยับมั่วซั่วอีกข้าจะโถมเข้าใส่นะ!”


 


 


เขาไม่ขยับเขยื้อนดังคาดการณ์ นิ้วมือตั้งตรงแข็งทื่อเล็กน้อยอยู่ในฝ่ามือของนาง จิ่งเหิงปัวอยากหัวเราะลั่น…บทบาทผิดหมดแล้วที่รัก!


 


 


ประธานแซ่จิ่งจ้องมองปีศาจน้ำแข็งที่เอาใจยากของนางด้วยท่าทางยิ้มตาหยี นึกถึงผู้คนที่ก่อนหน้านี้มองเห็นความองอาจห้าวหาญตอนเขาออกจากเกี้ยวมาจับกุมมือสังหาร ถ้าได้มองเห็นครู่นี้ จะกลับตาลปัตรแค่ไหนกันนะ…


 


 


“สิ่งที่ใช้หยุดวาจาไม่ควรเป็นนิ้วมือ ทำลายบรรยากาศยิ่งนัก…” นางยิ้มตาหยีเชิดกายขึ้น


 


 


“แล้วใช้สิ่งใด…” เขาคล้ายใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย


 


 


“ใช้…” นางพลันส่งเรือนร่างไปข้างหน้า ริมฝีปากแนบลงบนริมฝีปากเขา กระซิบว่า “ริมฝีปากเรา…”


 


 


เรือนร่างเขาแข็งทื่อ


 


 


หยกอ่อนอบอุ่นหอมกรุ่นฉับพลันปานนั้นถูกส่งขึ้นมาโดยนาง


 


 


ทั้งที่เป็นเพียงความร้อนผ่าวอ่อนนุ่ม ทั้งที่สิ่งที่สะกดผู้คนเป็นเพียงกลิ่นหอมหวานชื่นของนาง ทว่าบนริมฝีปากบนดวงใจคล้ายถูกมีดคมประชิดใกล้ ความร้อนผะผ่าวสายหนึ่งโลดแล่นลงจากคอหอย ดั่งเชื้อไฟเสี้ยวหนึ่งพุ่งเข้าสู่เหมืองน้ำมันที่เดิมทีเดือดพล่านไม่หยุดหย่อน ระเบิดออกดังครืนแทบจะโดยพลัน


 


 


เพลิงลุกไหม้ดวงใจที่ยิ่งรุนแรงยิ่งเร่าร้อนลุกโชนบ้าคลั่งในครู่นั้น ทลายสิบสองหลอดลม มุ่งสู่กลางหน้าผาก!


 


 


สีแดงฉานสีหนึ่งกำลังจะออกมาในครู่นั้น!


 


 


แขนสองข้างของเขาสั่นเทิ้ม คว้าไหล่ของนางไว้ในทันใด เรือนร่างพลิกขึ้นมาโถมทับนางไว้ข้างล่าง!


 


 


เพียงมอบจุมพิตล้อเล่นครั้งหนึ่งของจิ่งเหิงปัวกลับทำให้ภูเขาน้ำแข็งนี้ก่อเกิดปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ นางเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง…ไม่ได้! เรื่องนี้นางยังไม่ได้เตรียมพร้อม!


 


 


แทบจะไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ นางยกแขนขึ้นมาใช้แรงผลักเขาไปข้างหนึ่งทันที


 


 


เพราะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขา นางจึงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดด้วยความร้อนรนกังวลใจ ใครจะรู้ว่าพอมือผลักออกไปกลับไม่ได้พบพานการต่อต้านแม้แต่น้อย เรือนร่างของเขาถูกผลักจนเอนเอียง ชนเข้ากับผนังเกี้ยว ทั่วทั้งเกี้ยวสั่นไหวในทันใด


 


 


ยามชนเข้าไปเขาหันข้าง ใบหน้าชนเข้ากับเบาะแพรสีม่วงเข้มบนพนักพิงที่อยู่ข้างหลัง หยุดชะงักไปเล็กน้อย


 


 


เกี้ยวหยุดลงเช่นกัน เสียงเจือด้วยความกังวลเล็กน้อยของเหมิงหู่ดังขึ้นว่า “นายท่าน…”


 


 


“ไม่เป็นไร” จิ่งเหิงปัวที่บนใบหน้าร้อนผ่าวท่วมท้นพลันชิงตอบตัดหน้าอย่างสับสนอลหม่าน แล้วกระซิบถามกงอิ้นว่า “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”


 


 


กงอิ้นโค้งมุมปากเบาบางให้นาง


 


 


เหมิงหู่คล้ายไม่ได้จากไป แสงอาทิตย์สะท้อนเงาโค้งคำนับเล็กน้อยของเขาลงบนม่าน กระวนกระวายและเป็นห่วงหลายส่วน


 


 


กงอิ้นค้ำยันผนังเกี้ยวค่อยๆ นั่งตัวตรง เอนกายพิงพนักพิงหลัง เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เคลื่อนต่อไป”


 


 


ได้ยินเสียงเขาสงบเงียบ เหมิงหู่ถึงถอยลงไป จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เก้อเขินเล็กน้อย พูดเองเออเองว่า “เขาระมัดระวังเกินไปแล้ว”


 


 


กงอิ้นไม่เอ่ยวาจา ค่อยๆ จัดระเบียบแขนเสื้อ บนใบหน้าของจิ่งเหิงปัวร้อนผ่าว เหลียวซ้ายแลขวาไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไร


 


 


 


 


 


 


[1] มวยผมทรงโหนอาชา หรือมวยผมตกหลังม้า ลักษณะเกล้าเป็นมวยเฉียงแบบหลวมไว้ข้างศีรษะ เป็นทรงผมของสตรีที่สมรสแล้ว 

 

 


ตอนที่ 78 - 2 มอบจุมพิต

 

สองคนต่างไม่เอ่ยวาจาทำให้บรรยากาศแลดูแปลกประหลาด เมื่อยิ่งแปลกประหลาดจิ่งเหิงปัวก็ยิ่งไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อยิ่งไม่เป็นธรรมชาติก็ยิ่งขุ่นเคือง…เป็นเขาที่ทำเรื่องไม่ดีชัดๆ เหตุใดแลดูตนเองหวาดผวารู้สึกผิดต่อเขาด้วย? เรื่องแค่นี้เองมิใช่หรือ หรือว่าบรรยากาศยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งสมเหตุสมผลจริงหรือ? นี่อาศัยอะไรกันล่ะ 


 


 


โชคดีที่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ กงอิ้นก็เอ่ยปากแผ่วเบาในที่สุด 


 


 


“เรื่องเมื่อครู่นี้…ข้าบุ่มบ่ามไปแล้ว” 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แล้ว ไม่พูดก็เก้อเขิน ยิ่งพูดก็ยิ่งเก้อเขิน นี่นางจะตอบอย่างไรดี? 


 


 


ไม่เป็นไร ข้าบุ่มบ่ามก่อน? 


 


 


โอ้โน 


 


 


ไม่เป็นไร ที่จริงแล้วเจ้าบุ่มบ่ามไม่ผิดหรอก เพียงแต่เวลากับสถานที่ที่บุ่มบ่ามไม่ถูกต้อง? 


 


 


โอ้โน 


 


 


… 


 


 


“แค่กๆ” หลังจากนัยน์ตากลอกกลิ้งไปมารอบหนึ่ง ในที่สุดนางก็หาหัวข้อสนทนาที่เหมาะสมที่สุดจนเจอ 


 


 


คุยเรื่องงาน! 


 


 


“จริงสิ ข้ามีข้อสงสัยเรื่องหนึ่ง” 


 


 


“อืม?” เขาคล้ายเกียจคร้านอยู่บ้าง เอ่ยวาจาเจือด้วยเสียงนาสิกเล็กน้อย ทว่าฟังดูทุ้มต่ำไกลโพ้นในความว่างเปล่ามืดครื้มนี้ เสียงวนเวียนต่อเนื่อง ฟังแล้วนางรู้สึกคันยุบยิบในใจ ดั่งถูกหน่ออ่อนยามวสันต์ที่งอกขึ้นก่อนกำหนดยั่วเย้าภายในใจ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแขนสองข้างกำยำ ร่างกายหนักหน่วงและกลิ่นอายบุรุษที่หอมกรุ่นประชิดใกล้ไร้ขอบเขตทว่าลึกลับของเขาเมื่อครู่… 


 


 


จิ่งเหิงปัวยกมือบังใบหน้าที่แดงซ่านอย่างกะทันหันไว้…หยุดเลยๆ! ขืนคิดแบบนี้ต่อไป นางคงต้องบุ่มบ่ามอีกครั้งแล้ว! 


 


 


“เรื่องนั้น…เรื่องนี้…” นางหลงลืมหัวข้อสนทนาที่คิดไว้แล้วในทันที 


 


 


กงอิ้นไม่เร่งเร้านางเช่นกัน ภายในนัยน์ตางดงามสดใสเป็นพิเศษของเขาคล้ายมีรอยยิ้มเฉื่อยเนือย เวียนวนดุจกระเบื้องเคลือบท่ามกลางแสงสลัว มองจนนางเหม่อลอยไปต่างๆ นานา ถ้าหางตาไม่ได้เหลือบมองม่านเกี้ยว นางอาจจะหลงลืมไปอีกครั้ง 


 


 


“จริงสิ ก่อนหน้านี้เจ้าเอ่ยว่ายามที่มือสังหารเดินผ่านเกี้ยวของเจ้า ได้วางกับดักอาวุธลับใต้คานเกี้ยว…” สุดท้ายแล้วจิ่งเหิงปัวถามถึงข้อสงสัยที่ค้างอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจออกมาว่า “ทว่ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้นัก” 


 


 


“อ้อ?” เขาไร้ซึ่งสีหน้าประหลาดใจ ตรงกันข้ามกลับมีสีหน้าสนับสนุน พอนางได้รับการปลุกเร้าใจ ก็กล่าวต่อทันทีว่า “ด้วยเพราะภายหลังยามที่เจ้าจับมือสังหารออกมา เขาอยู่ท่ามกลางเหล่านายทหารของสำนักตี้เกอและพลทหารคั่งหลง หากดูจากตำแหน่งแล้ว ต่อให้เขาเดินผ่านหน้าเกี้ยวของเจ้าก็ไร้หนทางเข้าใกล้เกี้ยวของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นนายทหารและพลทหารเข้าแถวผ่านไป มีคนอยู่ทั้งข้างหน้าข้างหลัง หากวางกับดักจริงจะไม่มีผู้ใดมองเห็นหรือ? ต่อให้เขาเข้าใกล้แล้ว ลงมือรวดเร็วแล้ว ไม่มีคนมองเห็นแล้ว ทว่าเหมิงหู่กับอวี่ชุนอยู่ไม่ไกลจากเกี้ยวของเจ้า จะสะเพร่าจนเป็นเช่นนี้ได้หรือ? ต่อให้พวกเขาต่างสะเพร่าแล้ว กับดักที่ยิงอาวุธลับได้แบบนั้นอันหนึ่งติดตั้งได้ง่ายดายขนาดนั้นเสียที่ใดกัน แล้วทิศทางเล่า? ติดตั้งเล่า? ปรับแต่งเล่า? เช่นนั้นหากบังเอิญติดตั้งได้ ยิงเพียงครั้งก็ยิงโดนแล้วหรือ? หากมือสังหารมีความสามารถนี้ คงไม่ต้องซ่อนอยู่ในฝูงชนฉวยโอกาสยามหมอกหนายิงอาวุธลับป้ายความผิดแล้ว!” 


 


 


“ดีมาก” เขาชื่นชมอย่างเฉื่อยเนือย เอ่ยสืบต่อว่า “เจ้าติดตามข้ามานาน ในที่สุดก็เฉลียวฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว” 


 


 


“ท่านอย่าหลงตัวเองขนาดนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ?” นางแขวะเขา 


 


 


“เรื่องนี้ข้าเรียนรู้จากเจ้า ขอบใจ” เขาตอบอย่างรวดเร็วยิ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวคร้านจะโต้เถียงกับเขา ถ้าจะโต้เถียงขึ้นมาจริงนางคงจะพ่ายแพ้เป็นส่วนใหญ่ 


 


 


“เป็นอย่างไรๆ” นางกอดแขนของเขาไว้ แล้วกล่าวว่า “ข้าทายถูกหรือไม่ เรื่องที่เอ่ยว่ามือสังหารวางกับดักคือแผนการที่เจ้าวางเอาไว้ใช่หรือไม่” 


 


 


“ใช่” 


 


 


“อะฮ่า ทว่าเจ้าจัดการตั้งแต่เมื่อไรกัน กระทำทันเวลาได้อย่างไร” 


 


 


“ระหว่างทางมาข้าได้ส่งคนเข้าไปสืบเสาะข่าวคราวก่อนแล้ว หลังจากได้รู้สถานการณ์แล้วจึงกระทำการจัดการ” 


 


 


“จับมือสังหารออกมาก็พอแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดยังต้องเล่นลูกไม้ขนาดนี้ด้วย?” คำถามนี้คือคำถามที่นางคิดไม่ออกเป็นที่สุด 


 


 


“เจ้าคิดดู” เขากลับไม่เอ่ยตอบโดยตรง โยนคำถามไปให้นาง 


 


 


นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็เอ่ยอย่างไม่แน่ใจขึ้นว่า “จ้าวซื่อจื๋อ?” 


 


 


เขาพยักหน้าลง เอ่ยอย่างเรียบง่ายว่า “ด้วยเพราะข้าอยากให้เขาหกล้มสักหน่อย” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหมดคำกล่าว “…” 


 


 


นี่นับว่าเป็นเหตุผลอะไรเนี่ย? 


 


 


ขณะที่กำลังอยากหัวเราะเยาะความไร้เดียงสาของเขา ก็พลันได้ยินเสียงเหมิงหู่เคาะไม้กระดานเกี้ยวข้างนอก เกี้ยวหยุดลง เหมิงหู่เอ่ยเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างนอกว่า “เรียนนายท่าน จ้าวซื่อจื๋อเป็นลมล้มป่วย ทางตระกูลส่งสมุดพับลาป่วยแทนเขาขอรับ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาจ้องมองกงอิ้นในทันที มุมปากของกงอิ้นค่อยๆ กระหวัดขึ้นเพียงครั้ง 


 


 


“น่าจะเป็นเพราะถูกมือสังหารลอบทำร้ายครั้งนั้นทำให้ตกใจ เชิญหมอหลวงเดินทางไปรักษาให้เต็มที่” กงอิ้นหยุดไปชั่วครู่ น้ำเสียงที่ราบเรียบมีความเยาะหยันสายหนึ่งเพิ่มเข้ามาด้วย เอ่ยว่า “ให้เขาพักผ่อนร่างกายให้เต็มที่ ตำแหน่งรองเสนาบดียังรอให้เขาหายเป็นปกติมารับตำแหน่งอยู่นะ” 


 


 


“ขอรับ” ภายในเสียงของเหมิงหู่คล้ายมีเสียงหัวเราะ จากนั้นก็ถอยลงไป 


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากหัวเราะเช่นกัน 


 


 


ชั่วชีวิตนี้จ้าวซื่อจื๋อคงยากจะหายเป็นปกติแล้ว 


 


 


รองเสนาบดีก็ดี ต่อต้านแบบนุ่มนวลกับกงอิ้นก็ดี ใช้ผลกระทบที่มีต่อวงการอักษรของตนเองรวบรวมแวดวงปัญญาชนและกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นให้คัดค้านก็ดี ชั่วชีวิตนี้ เขาคงทำไม่ได้สักอย่างแล้ว 


 


 


การลงมือของกงอิ้นรอบคอบและน่าครั่นคร้ามเช่นนี้เสมอ คือเขี้ยวยาวขาวราวหิมะที่สัตว์ขนาดมหึมาสมัยดึกดำบรรพ์ซุกซ่อนไว้ กลืนกินความหวังทั้งมวลภายในพริบตา 


 


 


นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองบุรุษฝั่งตรงข้าม ทว่าเขาไม่ได้ตั้งใจแย่งความดีความชอบและไม่ได้ตั้งใจเอาอกเอาใจ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกอ่านตามอารมณ์ ขนตาหนาดกแผ่ลงมา เงียบสงัดดุจรูปสลัก 


 


 


ราวกับรู้สึกถึงการจ้องมองของนาง เขาไม่ได้เงยหน้า เพียงเอ่ยว่า “การแก้ไขเรื่องหลายเรื่อง ไม่จำเป็นต้องตาต่อตาฟันต่อฟันหรือใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน พาตนเองเข้าสู่อันตราย ผู้เฉลียวฉลาดไม่กระทำ” 


 


 


นางไม่ได้กล่าวตอบ เขาเงยหน้าอย่างงงงัน กำลังอยากอบรมแมวป่าตัวนี้ให้ตั้งใจฟังการสั่งสอน นางพลันยิ้มแย้มเบิกบานพลางโถมเข้ามา โอบคอของเขาไว้ ประทับรอยจูบครั้งหนึ่งบนแก้มของเขาอย่างรวดเร็ว 


 


 


ในใจเขายังไม่ทันได้หวั่นไหวครั้งใหญ่ นางถอยออกไปอย่างรวดเร็วแล้ว จ้องมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 


 


 


“ขอบคุณนะ” นางแนบใบหน้าลงบนไหล่ของเขา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่ขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าไว้ แต่ขอบคุณที่เจ้าตั้งใจกระทำ ยามนี้ข้าไม่โกรธแค้นไม่พอใจแม้แต่น้อยแล้ว ดีใจอย่างยิ่ง อบอุ่นอย่างยิ่ง ชื่นชอบอย่างยิ่ง” 


 


 


เรือนร่างเขาตั้งตรง ทว่าไม่ได้ลากนางออกโดยพลัน ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ยกมือขึ้นแผ่วเบา ลูบเรือนผมยาวเรียบลื่นปานธารหลากของนาง 


 


 


นางอยากเงยหน้ามองเขา แต่ถูกเขาใช้ขากรรไกรล่างค้ำยันไว้บนศีรษะเพื่อหยุดยั้ง 


 


 


ลมหายใจของกันและกันผสมผสาน โอบกอดกันอบอุ่น 


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ นางได้ยินเขาเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “เหิงปัว ข้าเพียงหวังให้เจ้าชื่นชอบนิรันดร์กาล เข้าใจให้มากยิ่งขึ้น” 


 


 


… 


 


 


รถหยุดลงที่หน้าประตูวัง ลักษณะท่าทางของกงอิ้นฟื้นคืนเป็นปกติแล้ว เขาให้จิ่งเหิงปัวลงจากรถก่อนแล้วเรียกทหารอวี้จ้าวที่รับผิดชอบคุ้มกันพระราชวังมากำชับหลายประโยค 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูทหารที่อยู่บนจัตุรัสเพิ่มมากขึ้นอีก ในใจรู้ว่ากงอิ้นอาจจะเพิ่มกำลังป้องกันพระราชวังอีกแล้ว 


 


 


นางหันข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ พลันมองเห็นข้างหลังของกงอิ้นคล้ายมีร่องรอยสีแดงผืนหนึ่ง เสื้อผ้าของเขาขาวราวหิมะ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยแปดเปื้อนละอองธุลี ร่องรอยผืนหนึ่งนี้จึงสะดุดตาพิเศษ 


 


 


“เอ๊ะ บนหลังเจ้าเปื้อนสิ่งใดกัน วัตถุสีแดง? พนักพิงภายในรถไม่สะอาดหรือ” นางชะโงกไปมองอย่างประหลาดใจในทันที 


 


 


กงอิ้นหันหลังโดยพลัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวเกือบจะถูกไหล่เขาชนเข้าให้ จึงเงยหน้าอย่างไม่เข้าใจ กงอิ้นยกมือเรียกอวี่ชุนมาแล้ว เอ่ยว่า “ข้านึกได้ว่ายังมีธุระ เจ้าคุ้มกันราชินีกลับตำหนักไปก่อน เหมิงหู่ เจ้าไปกับข้า” 


 


 


อวี่ชุนเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว ข้อศอกของเหมิงหู่มีผ้าคลุมสีดำผืนหนึ่งพาดไว้ เขาคลุมให้กงอิ้น ผ้าคลุมเนื้อผ้าสีดำร่วงหล่นหนักหน่วง จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้าออกมาจากข้างหลังอวี่ชุน รู้สึกได้ทันทีว่าเขาที่คลุมผ้าสีดำ ขณะนี้แลดูซูบผอมขึ้นมาหลายส่วน 


 


 


นางมองดูเงาด้านหลังของกงอิ้นที่รีบร้อนสูญสลายไปในเกี้ยวหรูหรา พลันเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่กำลังค่อยๆ มืดสลัว ขอบฟ้ากำลังมีหมู่เมฆพรั่งพรูลอยล่องเข้ามา  

 

 


ตอนที่ 78 - 3 มอบจุมพิต

 

หลังจากเหตุการณ์ซื้อบ้าน จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้ออกจากวังไประยะหนึ่ง หมู่นี้ทั่วทั้งแว่นแคว้นไม่ค่อยสงบสุขเท่าไร จ้าวซื่อจื๋อเป็นลมแล้ว ตำแหน่งรองเสนาบดีที่เอ่ยกันไว้ย่อมไม่มีหวัง การรวบรวมปัญญาชนกับกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นประณามราชินีที่เอ่ยกันไว้ย่อมไร้หนทางบรรลุเป็นจริงเช่นกัน เพียงแต่เรื่องราวในวันนั้นยังคงเล่าลือกันไป จึงค่อยๆ มีข่าวลือไม่ค่อยดีบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ราชินีบุกเข้าจวนขุนนางชั้นผู้ใหญ่อะไรนั่น เรื่องที่ราชินีจับตัวฮูหยินจ้าวไปทำให้ฮูหยินจ้าวถูกสังหาร หรือจะเป็นเรื่องที่ใต้เท้าจ้าวหกล้มเป็นลมเพื่อช่วยฮูหยิน ต่างเป็นข่าวลือที่ไม่ดีต่อจิ่งเหิงปัวทั้งนั้น ยิ่งมีสุนทรพจน์ปลุกเร้าความฮึกเหิมของจ้าวซื่อจื๋อในวันนั้นเผยแพร่ออกมา แอบชี้แนะว่าราชินีใช้อำนาจบาตรใหญ่ไร้คุณธรรม เล่ากันว่าข่าวลือเหล่านี้ แรกเริ่มที่สุดเวียนวนออกมาจากสำนักตี้เกอ ทว่าได้รับการพิสูจน์ที่ทหารคั่งหลง 


 


 


วาจาที่เอ่ยว่าในหมู่สัตว์เดรัจฉานย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นย่อมมีความสงสารต่อการประสบเคราะห์กรรมของจ้าวซื่อจื๋อที่เป็นลมเช่นกัน จ้าวซื่อจื๋อเชี่ยวชาญในการแสดงลักษณะภายนอกให้ประจักษ์ มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับขุนนางร่วมราชสำนัก หลังจากเขาเป็นลมไปก็มีคนไม่น้อยที่เดินทางไปเยี่ยมเยียน มองเห็นจวนตระกูลจ้าวจมอยู่ในเมฆหมอกแห่งความโศกเศร้าด้วยตาของตนเอง จ้าวซื่อจื๋อที่สูญเสียภรรยาซ้ำยังป่วยหนักชราลงไปเป็นสิบปีเพียงคืนเดียว น้องสาวภรรยาห้าคนร้องห่มร้องไห้ทั้งวัน จวนบริสุทธิ์สูงส่งใหญ่โตเช่นนี้จวนหนึ่งปรากฏสภาพการณ์เสื่อมโทรมในเวลาเพียงไม่กี่วัน พาให้คนตกตะลึง 


 


 


ผู้คนมากมายมองเห็นอนาคตของตนเองจากสภาพปัจจุบันของจ้าวซื่อจื๋อ ต่างรู้สึกคล้ายว่าจนถึงบัดนี้ เรื่องราวและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับองค์ราชินีต่างไม่มีจุดจบที่ดีสักเรื่องสักราย เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือน ซังต้งพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือนาง เฉิงกูมั่วสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียว จ้าวซื่อจื๋อสูญเสียภรรยา แม้แต่ตนเองยังแทบจะเอาชีวิตไม่รอด โดยเฉพาะตระกูลซัง ตระกูลใหญ่โตนับร้อยปีที่มีรากฐานมั่นคงยังพ่ายแพ้ลงอย่างไม่มีผู้ใดอธิบายสาเหตุได้ ในราชสำนักได้มีข่าวลือว่าราชินีทรงมี ‘ดาวร้ายเล็งชีวิตง แพร่ออกมา ถัดจากทหารคั่งหลง พรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นของต้าฮวงล้วนแสดงอารมณ์ต่อต้านการดำรงอยู่ขององค์ราชินีเช่นกัน 


 


 


ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าขุนนางชราที่ปกป้องประเพณีดั้งเดิมเหล่านั้น นอกจากพวกมหาปราชญ์ฉังฟังไม่กี่คนที่ยืนหยัดปกป้องราชินี คิดว่าต้าฮวงไม่อาจขาดราชินีแล้ว คนส่วนใหญ่ที่เหลือต่างรู้สึกว่าราชินีออกนอกลู่นอกทาง คุณสมบัติแตกต่างจากราชินีแต่ละสมัยในอดีตยิ่งนัก มองดูวาจาและการกระทำของนาง กำเริบเสิบสานลำพองใจ คงจะไม่ใช่บุคคลผู้อยู่ในโอวาทเป็นแน่ อีกทั้งวิธีการสลับซับซ้อน กระทำการแปลกประหลาด เพียงเกรงว่าจิตใจไม่อาจคาดคะเน เป็นภัยพิบัติการล้มล้างต่ออำนาจของกษัตริย์แห่งต้าฮวง 


 


 


ตรงกันข้ามกับราชสำนักที่เกิดความรู้สึกไม่พอใจไม่สงบสุขจนแทบจะกลายเป็นพันธมิตร คือวาจาสนับสนุนและชื่นชมที่มีต่อจิ่งเหิงปัวเป็นที่สุดในหมู่ราษฎรยามนี้ ความเป็นความตายของคนสำคัญไร้ความเกี่ยวข้องกับราษฎร ราษฎรเพียงชื่นชอบผู้ที่ใส่ใจความเป็นความตายของพวกเขาเหล่านั้น การประสบเคราะห์กรรมของจ้าวซื่อจื๋อกับฮูหยินของเขาทำให้ราษฎรปรบมือแสดงความพึงพอใจเช่นกัน…จวนตระกูลจ้าวขูดรีดดอกเบี้ยจากราษฎร แย่งชิงที่พักอาศัย รวมทั้งใช้กลอุบายหลอกลวงบังคับขู่เข็ญสตรีตระกูลยากจน พาให้ราษฎรโกรธแค้นเดือดดาลมาเนิ่นนานแล้ว 


 


 


แน่นอนว่าชื่อเสียงในหมู่ราษฎรยิ่งดีเท่าไร เหล่าขุนนางใหญ่ยิ่งไม่ชอบใจเท่านั้น ในระดับใดระดับหนึ่ง ชนชั้นผู้ดีกับชนชั้นราษฎรสามัญชนในสังคมศักดินา ผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายต่างเป็นปฏิปักษ์ต่อกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมาด้วยซ้ำ 


 


 


การปะทะกันและความขัดแย้งที่วางอยู่เบื้องหน้าอย่างเด่นชัดปานนั้น เช่น ความขัดแย้งของชนชั้นผู้ดีกับราษฎร ความขัดแย้งของราชินีที่ไม่ยินยอมเป็นหุ่นเชิดกับเหล่าขุนนางที่หวังให้ราชินีเคารพกฎเกณฑ์ต่อไป ความขัดแย้งของฝ่ายทหารระดับสูงกับราชินี ความขัดแย้งของพรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นกับราชินี…ต่างค่อยๆ รวมกันกลายเป็นความกดดันแหลมคนผืนหนึ่ง ปักเข้าสู่ศูนย์กลางที่สุดของนครตี้เกอ 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้เผชิญหน้ากับความกดดันเช่นนี้โดยตรง เรื่องราวมากมายถูกกงอิ้นแบกรับเอาไว้ ทว่าจิ่งเหิงปัวก็รู้สึกได้ถึงแววตาที่ยิ่งไม่เป็นมิตรมากขึ้นของทุกคนยามฟังการเมือง มองเห็นได้ถึงสมุดพับที่ยิ่งกองสูงมากขึ้นบนโต๊ะทำงานของกงอิ้น สมุดพับที่ใช้ครั่งปิดผนึกเหล่านี้ แต่ไหนแต่ไรมากงอิ้นไม่เคยให้นางอ่าน แต่นางสามารถเดาเนื้อหาภายในนั้นได้…คงไม่พ้นไปจากการโจมตีราชินีหรือข้อเสนอแนะให้ปลดนางออกจากตำแหน่งแน่ 


 


 


เรื่องราวพัฒนาไปในทิศทางที่ยากจะควบคุม มือสังหารที่ครั้งก่อนจับได้ที่จวนตระกูลจ้าวผู้นั้นสิ้นชีพระหว่างการสอบสวนเฉียบพลัน ยามเหมิงหู่ส่งคนเข้าไปได้ดูแลระมัดระวังครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ายังคงเกิดความผิดพลาด ต่อมาจึงมีข่าวลือออกมาอีกครั้ง เอ่ยว่าแท้จริงแล้วมือสังหารยังคงเป็นคนที่ราชินีส่งไป นี่คือการสังหารคนเพื่อปิดปาก 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ถึงความกดดันของกงอิ้นอย่างชัดเจนยิ่งนัก แม้เขาจะไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว ทว่ายิ่งนอนหลับช้าลง ออกจากตำหนักมากยิ่งขึ้น เรียกเหล่าขุนนางเข้าพบมากยิ่งขึ้นเช่นกัน บางครั้งแสงตะเกียงของจิ้งถิงไม่มอดดับตลอดทั้งคืน บางครั้งกลางดึกยังได้ยินเสียงโกรธแค้นของขุนนาง ทุกครั้งหลังจากเสียงโกรธแค้นโต้เถียงผ่านพ้นไป ที่ประชุมขุนนางครั้งใหญ่วันต่อมาจะมีขุนนางน้อยลงไปหนึ่งถึงสองคน ส่วนบรรยากาศในที่ประชุมขุนนางวันนั้นจะยิ่งหนักแน่นหนาวเหน็บมากขึ้น 


 


 


เรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดยังมีเรื่องการปรับปรุงการป้องกันพระราชวัง ทหารคั่งหลงถูกโยกย้ายออกจากการป้องกันพระราชวัง ทหารอวี้จ้าวรับอำนาจทั้งหมดไว้ จากนั้นไม่นานเท่าใด ขุนพลขั้นกลางเกือบหนึ่งกลุ่มของทหารคั่งหลงถูกตรวจพบว่าฉ้อฉลเงินเบี้ยเลี้ยงและเสบียงของทหาร ต้องโทษเนรเทศสู่บึงโคลนชายแดน กงอิ้นเลื่อนตำแหน่งใหม่ให้ลููกน้องที่มีฐานะเดิมเป็นสามัญชนกลุ่มหนึ่ง ซ้ำยังเริ่มเกณฑ์ทหารใหม่ในหมู่ราษฎรตี้เกอ 


 


 


การโยกย้ายคั่งหลงเปรียบเสมือนกงอิ้นกำลังตัดแขนตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าสิ่งที่การจัดตั้งขุนพลฝ่ายทหารใหม่นำมาคือบรรยากาศตึงเครียดอีกระลอกหนึ่ง ไม่มีคนคาดเดาได้ว่ากงอิ้นคิดจะกระทำสิ่งใด เหตุใดต้องพลันโยกย้ายทหารคั่งหลงอย่างไม่มีสาเหตุและไม่มีเหตุผล ก่อให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดในตี้เกอ ด้วยเพราะในมุมมองของทุกผู้คน หากราชินีไม่มีคุณสมบัติเหมาะสม เปลี่ยนนางก็พอแล้ว ไม่คู่ควรให้โยกย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ยกใหญ่ด้วยซ้ำ สำหรับราชครูที่ประทับมั่นคงอยู่บนบัลลังก์บัวสูงสุดเสมอเช่นกงอิ้นนี้แล้ว ขอเพียงเขานั่งอยู่บนที่นั่งประจำตำแหน่ง พยักหน้าแผ่วเบาก็พอแล้ว 


 


 


เทพเจ้าผู้ประทับสูงส่งบนบัลลังก์ดอกบัว ยามนี้กลับคล้ายค่อยๆ ยกมีดขึ้น คราวต่อไปมีดจะสะบั้นลงบนศีรษะผู้ใด? 


 


 


แว่นแคว้นต้าฮวง แข่งขันกำลังกันโดยไร้สรรพเสียง ทว่า ณ สถานที่ซึ่งพละกำลังช่วงชิงอำนาจหลั่งไหลรวมกัน มีท้องนภาสงบเงียบผืนหนึ่ง 


 


 


ความว่างเปล่าผืนนั้นแผ่คลุมบนศีรษะของจิ่งเหิงปัว 


 


 


นางถูกคุ้มกันอย่างดียิ่งขึ้น การป้องกันรัดกุมมากยิ่งขึ้น แม้แต่สำนักเจาหมิงที่ติดกัน หลังจากถูกฟ้าผ่ายังไม่สร้างใหม่อีกรอบ เพื่อป้องกันการก่อเกิดเหตุการณ์เหยียลี่ว์ฉีลอบสังหารอีกครั้ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาด ไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากให้กงอิ้นอีก จึงใช้ชีวิตผ่านวันเวลาไปอย่างเรียบร้อย ร้านวาดภาพเหมือนยังคงซื้อมาได้แล้ว นางจัดการให้ชุ่ยเจี่ยพาคนไปตกแต่งปรับปรุง ยามนี้จวนตระกูลจ้าวยุ่งวุ่นวายจนตัวเองยังเอาตัวไม่รอดจึงไม่มีคนมาหาเรื่องอีก 


 


 


วันหนึ่งนี้ชุ่ยเจี่ยกลับมาเอ่ยว่าร้านวาดภาพเหมือนใกล้จะสำเร็จลุล่วงแล้ว ลำดับต่อไปควรจะเปิดร้านได้แล้ว เรื่องที่ทำให้นางกลัดกลุ้มอยู่บ้างคือตำแหน่งของร้านวาดภาพเหมือนนั้นลับตาคนเกินไป ขณะนี้จวนตระกูลจ้าวที่อยู่ติดกันยังเกิดเรื่องพาให้คนหลีกเลี่ยง กลัวว่าจะทำการค้าขายไม่ได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปรบมือครั้งหนึ่งแล้ววิ่งเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ่านไปสักพักก็ถือรูปถ่ายปึกหนึ่งออกมาเลือกในมือ พึมพำว่า “ใบไหนดีล่ะ? ใบนี้! เฮ้อไม่ไหวชัดเจนเกินไป! ใบนี้! เฮ้อไม่ไหวเขากำลังยิ้มอยู่นะ รอยยิ้มของเขาจะให้คนอื่นมองเห็นได้อย่างไร ใบนี้! เฮ้อมองออกว่าเป็นป้ายข้างหลังของจิ้งถิง ไม่ไหวไม่ไหว…เฮ้อใช่แล้ว ใบนี้!” 


 


 


นางหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมา ยื่นไปยังเบื้องหน้าชุ่ยเจี่ย เอ่ยว่า “ผู้แทนวาจาสายไอดอลโดยกำเนิดเลยนะแบบนี้!” 


 


 


รูปถ่ายเผยให้เห็นผลลัพธ์การถ่ายภาพมุมสูงเล็กน้อย บริเวณใกล้มีเงาดอกไม้พุ่มหนา ศาลาอาคาร บริเวณลึกเข้าไปในร่มไม้กลุ่มหนึ่งคือกระเบื้องดำกำแพงขาวหน้าต่างสีแดงม่วง เบื้องหน้าหน้าต่างมีเงาคนชุดขาวยืนอยู่เงียบเชียบ มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ทว่ามองออกว่าเรือนร่างสูงโปร่งดุจไม้หยก เส้นผมดำขลับดั่งมะเกลือ ไข่มุกสีทองอ่อนตรงคอเสื้อเปล่งแสงรุ่งโรจน์มัวสลัว สะท้อนริมฝีปากแดงฉ่ำอ่อนนุ่มผืนหนึ่ง 


 


 


สีสันสดใสกลมกลืน บุคคลในภาพดุจน้ำค้างดั่งหิมะ ทั้งที่เป็นเพียงเค้าร่างไกลโพ้นร่างหนึ่ง ทว่าทุกผู้คนต่างอดจะจ้องมองเงาคนนั้นไม่ได้ พอจินตนาการให้ลึกซึ้ง บุคลิกลักษณะปานนี้เป็นเทพเซียนในหมู่มนุษย์ได้? 


 


 


“ภาพใบนี้ลอกเลียนลักษณะท่าทางสูงส่งของราชครูออกมาเจ็ดแปดส่วนโดยแท้” แม้แต่ชุ่ยเจี่ยยังอดจะชื่นชมไม่ได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวพยักหน้าไม่หยุด นางรู้สึกเช่นกันว่าท่วงท่าสง่างามของกงอิ้นไม่ใช่สิ่งที่ภาษาหรือภาพวาดจะแสดงออกมาได้โดยตรง ต่อให้เป็นเทคนิคการถ่ายภาพระดับสูงสุดที่มาจากยุคปัจจุบันข้ามผ่านกาลเวลาพันปีนี้ เพียงฝืนแสดงออกมาได้บางส่วนเท่านั้น 


 


 


ดาราดังหนุ่มน้อยหน้าตาดีในยุคปัจจุบันเหล่านั้น เป้าหมายที่เมื่อก่อนจิ่งเหิงปัวเคยเลียจอเคลิบเคลิ้ม ขณะนี้หากยืนอยู่เบื้องหน้านาง นางคงต้องยื่นนิ้วมือนิ้วหนึ่ง ร้องว่า “Low!” 


 


 


“เช่นนั้นใบนี้ล่ะ?” จิ่งเหิงปัวตบโต๊ะ กล่าวว่า “มองใบหน้าของเขาไม่ออกด้วยซ้ำ ทว่าอารมณ์ท่วมท้น ผลลัพธ์โฆษณาที่ดีที่สุด” 


 


 


“ทว่าใบหนึ่งนี้ เล็กขนาดนี้ แปะไว้ที่ใดถึงจะเหมาะสม? หากไม่เดินเข้าไปใกล้คงมองไม่เห็น…” 


 


 


“ไปหาจิตรกรที่ดีที่สุดของตี้เกอ” จิ่งเหิงปัววางรูปถ่ายไว้ในกล่องอย่างระมัดระวัง กำชับชุ่ยเจี่ยว่า “ให้พวกเขาอิงตามรูปถ่ายใบนี้วาดภาพออกมาชุดหนึ่ง วาดตามลำดับขั้นตอนทีละเล็กทีละน้อย ภาพแรกมีเพียงเงาดอกไม้พุ่มหนา ภาพที่สองเริ่มปรากฏศาลาอาคาร ภาพที่สามมีหน้าต่างน้อยของจิ้งถิงโผล่ออกมาในเงาดอกไม้ ภาพที่สี่มีเงาคนผู้หนึ่งปรากฏในหน้าต่างน้อย ทุกภาพต่างจำเป็นต้องตั้งใจวาด พยายามคืนสู่สภาพเดิมในภาพ ทุกภาพเขียนตรงที่สะดุดตาข้างล่างว่า ‘สง่างามยืนยาว ชั่วครู่คราวล่มแคว้น’” 


 


 


“สง่างามยืนยาว ชั่วครู่คราวล่มแคว้น…” ชุ่ยเจี่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “มองไม่ออกเลยว่าเจ้ายังคิดประโยคเช่นนี้ออกมาได้” 


 


 


“แอบลอกมาสิ” จิ่งเหิงปัวโบกมือ กล่าวว่า “เค้กน้อยชอบแต่งกลอน มักจะแต่งสายลมดอกไม้หิมะพระจันทร์ไว้มากมาย เขียนเต็มสมุดน้อยเล่มหนึ่งแล้วยังล็อกเอาไว้ไม่ให้พวกเราดู คิกๆ พี่น่ะเป็นผู้ใดกัน เคยอ่านไปตั้งนานแล้ว เศร้าโศก เศร้าโศกอย่างยิ่ง ทว่าประโยคนี้ฝืนใจนำมาใช้สักหน่อยได้…ใช่แล้ว ร้านวาดภาพเหมือนของข้า เช่นนั้นใช้นามว่า ‘ครู่นั้น’ เถิด” 


 


 


“ครู่นั้น?” ชุ่ยเจี่ยขมวดคิ้ว รู้สึกเลยว่านามนี้ไม่นับว่ามงคลโดยแท้ 


 


 


“ใช่แล้ว ครู่นั้น ฝากภาพไว้ชั่วครู่นั้นทว่าจดจำชั่วกาล” จิ่งเหิงปัวเหม่อลอยขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “มนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ คงอยู่ชั่วนิรันดร์อะไรเสียที่ไหนกัน บางครั้งเพียงมีความงดงามขนาดนั้นครู่หนึ่งก็ดีมากแล้วล่ะ” 


 


 


นิ้วมือของนางลูบคลำรูปถ่ายอย่างแผ่วเบา สายตาว่างเปล่าเล็กน้อย 


 


 


ครู่นั้น คำที่สุภาพเรียบร้อยเกินไปสำหรับนางคำนี้พุ่งสู่สมองของนางในช่วงเวลาครู่นั้นเช่นกัน ทันใดนั้นนางรู้สึกว่า ในขณะนี้ คำคำนี้เหมาะสมเป็นที่สุดแล้ว 


 


 


ทะลุมิติคือครู่หนึ่งนั้น ลาจากคือครู่หนึ่งนั้น ความสูญเสียและการได้รับทั้งมวลต่างเป็นครู่หนึ่งนั้น… 


 


 


คล้ายดั่งยามนี้ก้นบึ้งของหัวใจพลันกระตุกเจ็บปวดอย่างอธิบายสาเหตุไม่ได้ เป็นครู่นั้นเช่นกัน… 


 


 


จะดีขึ้น ทุกสิ่งต่างเป็นเพียงครู่หนึ่งนั้น… 


 


 


“ต้าปัว…” ชุ่ยเจี่ยเห็นนางพลันใจลอย ตบไหล่ของนางอย่างเข้าใจ เอ่ยว่า “อย่าคิดมากไปเลย พวกเราไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องราวภายในราชสำนักให้มาก ราชครูจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย” 


 


 


“นั่นสินะ” จิ่งเหิงปัวคืนสติทันที โบกมืออย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย กล่าวว่า “มิเช่นนั้นจะมีแฟนหนุ่มไว้เพื่ออะไร? แฟนหนุ่มไม่ได้มีหน้าที่บุกโจมตีตกอยู่กลางวงล้อมขวางหอกให้พี่หรอกหรือ” 


 


 


“ภาพเหมือนเหล่านี้วาดเสร็จแล้วทำอย่างไร” ชุ่ยเจี่ยพากลับสู่หัวข้อสนทนา 


 


 


“ถือภาพเหมือนเดินไปข้างหน้า แปะภาพหนึ่งตรงปากทางทุกแห่งที่ทะลุไปยังร้านวาดภาพเหมือนของพวกเรานั้น แล้วทำหัวลูกศรชี้ทาง” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ภาพทุกภาพต่างมีส่วนเว้นว่างไว้ จะทำให้คนติดตามต่อไปด้วยความสงสัยโดยตลอด สุดท้ายก็จะเดินมาถึงปากประตูของพวกเรา ส่วนรูปถ่ายล้ำค่าใบนี้ เจ้าใช้กรอบผลึกแก้วบานหนึ่งประดับไว้บนประตูใหญ่ของพวกเรา” 


 


 


“โชคดีที่เจ้าคิดออกมาได้” ชุ่ยเจี่ยรับรูปถ่ายมา จิ่งเหิงปัวกำชับติดต่อกันว่า “ห้ามใช้มือลูบนะ! ระวังหน่อย! หลังจากโฆษณาสักสองสามวันแล้วอย่าลืมนำกลับมาคืนข้า!” 


 


 


“เพียงแต่เชิญจิตรกรที่ดีที่สุดวาดภาพเยอะหลายภาพขนาดนั้น ต้องใช้เงินมากมายนัก” ชุ่ยเจี่ยรู้สึกเสียดายเงินอยู่บ้าง 


 


 


“เสียเงินอะไร! เจ้าไปบอกพวกเขา ในมือเจ้ามีภาพน้อยลึกลับคมชัดเสมือนจริงที่เป็นหนึ่งไม่มีสองเป็นตำนานในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จครั้งก่อน ให้พวกเขาชื่นชมเรียนรู้ลอกภาพวาดได้ เงื่อนไขข้อแรกคือวาดภาพโฆษณาไม่คิดเงินให้พวกเราหนึ่งเดือน!” จิ่งเหิงปัวตบไหล่ชุ่ยเจี่ย กล่าวว่า “เชื่อข้า พวกเขาจะวิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก” 


 


 


ชุ่ยเจี่ยส่ายหน้าไปพลางเดินไปพลาง นางรู้สึกว่าจิ่งเหิงปัวไม่ควรเป็นราชินี นางควรจะไปเป็นแม่ค้าหน้าเลือด 


 


 


นางเดินออกไปไกลโพ้น จิ่งเหิงปัวยังตามออกไปเกาะวงกบประตูตะโกนว่า “จำไว้นะ ไม่ให้ให้เงิน! ไม่ให้อาหารที่พัก! ไม่จัดหาพู่กันวาดภาพสีวาดภาพและกระดาษ! พวกเรายากจน หากเป็นไปได้ ให้พวกเขาจ่ายค่าอาณาบริเวณกับค่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์!” 


 


 


ห่างไปไกลโพ้น ชุ่ยเจี่ยโซเซครั้งหนึ่ง… 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม