ชายาเคียงหทัย 75.1-76.3

ตอนที่ 75-1 หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์

 

          ในป่าลึกนอกวัดจิ้งหลิง ม่อซิวเหยานั่งหลับตาพิงเก้าอี้รถเข็นอยู่เพียงลำพัง แสงอาทิตย์อ่อนในยามเย็นสาดส่องผ่านใบไม้ลงมากระทบบนตัวเขา ทำให้ไอเย็นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเจือความอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย 


 


 


           “ซิวเหยา” เมื่อเยี่ยหลีเดินเข้ามาใกล้ ก็เห็นร่างอันผ่ายผอมและสีหน้าอันเหนื่อยล้าของชายหนุ่มที่นั่งพิงเก้าอี้รถเข็นอยู่ ใจนางกระตุกขึ้นทันที รู้สึกผิดและเป็นห่วงเป็นใยเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  


 


 


ม่อซิวเหยาลืมตาขึ้นเงยหน้ามองนาง เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนระบายยิ้มอ่อนๆ “มิน่าใครๆ ถึงได้ตามหาอาหลีกันไม่พบ อาหลีในตอนนี้หากไม่สังเกตดีๆ ข้าเองก็คงดูไม่ออกเช่นกัน”  


 


 


เยี่ยหลีเดินไปหยุดตรงหน้าเขา ยิ้มให้ม่อซิวเหยาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ขอโทษด้วย ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว” 


 


 


           “อาหลียังไม่คิดที่จะกลับไปหรือ” ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีด้วยสายตาอ่อนโยนพร้อมเอ่ยถามเสียงเบา 


 


 


           เยี่ยหลีมองหน้าเขาแล้วส่ายหน้า “ข้าคิดจะไปที่หนานเจียง[i]เสียหน่อย” 


 


 


           ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “หากอาหลีเป็นห่วงพี่สวี ข้าจะให้เฟิ่งซานไปช่วยเขาที่หนานเจียง”  


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “เหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่อยู่ในเมืองหลวง ในเมืองหลวงยามนี้มีเพียงเฟิ่งจือเหยากับหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่คอยช่วยงานท่าน จะให้ส่งเฟิ่งจือเหยาไปอีกคนได้อย่างไร อีกอย่าง เวลานี้ก็ไม่ใช่ช่วงที่ดีที่ข้าจะกลับไป มิใช่หรือ” หากกลับไปตอนนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีการสืบความว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง ก็เหมือนกับที่ม่อจิ่งหลีเคยบอกไว้ เพื่อเห็นแก่เหน้าของตำหนักติ้งอ๋อง จึงมิอาจปล่อยให้คนที่จับตัวพระชายาติ้งอ๋องลอยนวลไปได้ และหากตำหนังติ้งอ๋องตั้งตัวเป็นศัตรูกับม่อจิ่งหลีแล้ว คนที่เป็นตาอยู่และจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไปก็คือม่อจิ่งฉี ถ้าเช่นนั้นสู้เป็นอย่างตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ พระชายาติ้งอ๋องหายตัวไปจากวังหลวง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ทุกคนต่างเข้าข้างติ้งอ๋อง แล้วปล่อยให้ม่อจิ่งหลีกับม่อจิ่งฉีต่อสู้กันอย่างลับๆ ไปก็แล้วกัน  


 


 


ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะรู้แล้วว่านางหลุดรอดไปได้ แต่เขาก็น้ำท่วมปาก ต้องกล้ำกลืนความจริงเอาไว้ ถึงอย่างไรเขาคงมิอาจยอมรับว่าตนเป็นคนลักพาตัวนางไปแล้วยังปล่อยให้นางหลุดมือไปได้อีกกระมัง 


 


 


           “หากอาหลีเบื่อที่จะอยู่ในเมืองหลวง ไปอยู่ที่อวิ๋นโจวก็ยังได้ รอให้เรื่องจบก่อนแล้วข้าจะไปรับเจ้ากลับเมืองหลวง ดีหรือไม่” ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีมาข้างหน้าตน ก่อนเงยหน้าขึ้นถาม 


 


 


           เยี่ยหลีกัดริมฝีปาก มองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าแน่วแน่ นางรู้ว่าชายผู้นี้ต้องการปกป้องนาง แต่ถึงนางจะรู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งใจ แต่เนื้อแท้ของนางมิใช่หญิงสาวผู้อ่อนแอที่เอาแต่ยืนมองคนอื่นออกไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่หลังผู้ชายได้ อีกทั้ง ที่นางทำเช่นนี้มิใช่เพื่อม่อซิวเหยาเท่านั้น แต่ญาติพี่น้องของนางก็เข้าไปมีส่วนพัวพันกับศึกในครั้งนี้ อย่างพี่ชายของนาง และเดาได้เลยว่าในอนาคตอาจโยงไปถึงผู้ใหญ่ที่รักใคร่เอ็นดูนางอย่างท่านลุงและท่านตาที่อายุมากแล้วด้วย 


 


 


           “ข้าจะพาองครักษ์ลับไปด้วย จะไม่พาตนเองไปอยู่ในจุดเสี่ยงแน่นอน” เยี่ยหลีเอ่ยปฏิเสธข้อเสนอของม่อซิวเหยาเบาๆ 


 


 


           ในดวงตาอบอุ่นของม่อซิวเหยาปรากฎแววผิดหวังขึ้นอย่างชัดเจน เยี่ยหลีรีบเมินหน้าหนี ตั้งแต่ใกล้ชิดกันมาครึ่งปี นางค่อยๆ เคยชินกับท่าทางและน้ำเสียงที่อบอุ่นและราบเรียบของม่อซิวเหยา น้อยครั้งนักที่ม่อซิวเหยาจะขอร้องอะไรนาง แต่จู่ๆ เยี่ยกลับพบว่าถึงแม้ม่อซิวเหยาจะขอร้องนางน้อยครั้งเพียงใด แต่ก็น้อยครั้งนักอีกเช่นกันที่นางจะทำสำเร็จ จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะมองจากมุมใด ก็ดูเหมือนนางจะไม่ผ่านเกณฑ์ภรรยาที่ดีเลยเสียเลย  


 


 


“อาหลี ขอโทษด้วย ทั้งหมดเป็นเพราะข้า…” 


 


 


           “ไม่ใช่!” เยี่ยหลีเอ่ยขัดขึ้น “ข้ารู้ว่า หากข้ายินดีข้าสามารถหลบอยู่ในที่ที่ปลอดภัยไปได้ตลอด ท่านจะจัดการให้ข้าทุกอย่าง แต่ว่า…ซิวเหยา ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ข้าไม่อยากยืนหลบอยู่หลังท่าน หากข้าตัดสินใจที่จะจับมือใช้ชีวิตกับผู้ใดไปชั่วชีวิตแล้ว ข้าหวังว่าข้าจะสามารถยืนข้างๆ เขา ไม่ใช่หลบอยู่ใต้ปีกเขา ท่าน…เข้าใจหรือไม่” 


 


 


           ปลายนิ้วของม่อซิวเหยากระตุกน้อยๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พักใหญ่เขาถึงได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เช่นนั้น…ระวังตัวด้วย อาหลี” พูดจบ เขาก็หยิบแถบคาดเอวผ้าไหมสีแดงที่ผูกหยกชิ้นหนึ่งไว้ลงบนมือเยี่ยหลี พร้อมระบายยิ้มอ่อนๆ “เก็บไว้ให้ดีๆ อย่างทำหายเสีย” 


 


 


เยี่ยหลีหยิบหยกขึ้นจับเล่นในมือ หยกมันแพะชั้นดีที่นำมาแกะสลักเป็นรูปมังกรหยาจื้อ* ถึงแม้จะแกะสลักจากหยกขาวที่ดูอบอุ่น แต่ก็ยังคงทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความดุร้ายและป่าเถื่อนรวมถึงรังศีสังหารของมังกรหยาจื้อ เยี่ยหลีจับเล่นในมือพร้อมมองม่อซิวเหยาแล้วถามว่า “สิ่งนี้คือ” 


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ “เครื่องประดับหยกของที่ตกทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ข้าคิดจะให้อาหลีนานแล้ว อย่าทำหายเสียเล่า สิ่งนี้มีความสำคัญเช่นเดียวกับกระบี่หลั่นอวิ๋น เป็นสมบัติของตระกูล” 


 


 


           เยี่ยหลีเก็บเครื่องประดับหยกชิ้นนั้นไว้ โดยมิได้พูดอันใด 


 


 


           เมื่อมองแผ่นหลังของเยี่ยหลีค่อยๆ เดินหายไปในป่า รอยยิ้มและสีหน้าอบอุ่นของม่อซิวเหยาก็ค่อยๆ หายไป เขาก้มลงมองขาทั้งสองข้างที่ใช้การไม่ได้ ในดวงตาอันราบเรียบๆ มีไอดุร้ายและไม่ยินยอมปะทุขึ้น 


 


 


           ปัง! เขาสะบัดมือก่อนเกิดเสียงดังขึ้นที่ลำต้นของต้นไม้ใหญ่แล้วโค่นลงทันที ม่อซิวเหยากระแอมไออยู่หลายที ก่อนทิ้งตัวลงเอนพิงเก้าอี้รถเข็นด้วยสีหน้าอ่อนแรง “ข้ามันช่าง…ไร้ประโยชน์จริงๆ…” 


 


 


           “ด้วยสุขภาพของท่านอ๋องในยามนี้ อย่าได้โกรธเกรี้ยวง่ายนักเลยจะดีกว่า” เสิ่นหยางเดินออกมาจากในป่า ขมวดคิ้วมองต้นไม้ที่โค่นล้มอยู่ที่พื้น เขาเดินมาข้างหน้าก้มมองจุดแดงบนผ้าเช็ดหน้าที่ขาวสะอาดในมือม่อซิวเหยา เป็นอย่างที่ตนคาดไว้ อาจิ่นที่เดินตามหลังเสิ่นหยางมา มองม่อซิวเหยาด้วยความเป็นห่วง 


 


 


           “พระชายาช่างเป็นหญิงที่พิเศษยิ่งนัก ท่านอ๋องควรยินดีที่ได้แต่งงานกับพระชายาเช่นนี้ถึงจะถูก” เสิ่นหยางมองไปตามทางที่เยี่ยหลีเดินหายไปอย่างใช้ความคิด แล้วจึงเอ่ยพูดขึ้น 


 


 


           ม่อซิวเหยาพูดเสียงเย็นขึ้นว่า “ท่านจะบอกว่า ข้าควรดีใจที่ให้พระชายาของตนเองออกไปเสี่ยงภัยด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ” 


 


 


           เสิ่นหยางมองมือเขาที่บีบแน่นอยู่บนหัวเข่า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงของผู้อาวุโสที่น้อยนักจะได้ยินว่า “ถึงแม้นี่อาจทำลายศักดิ์ศรีของท่านอ๋องไปบ้าง แต่ข้าคิดว่าอันที่จริงพระชายามิจำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากท่านจนเกินไปนัก ท่าทางของพระชายาในตอนนี้ดูเป็นตัวตนที่แท้จริงเสียยิ่งกว่าท่าทางสง่างามเมื่อยามที่อยู่ในตำหนักเสียอีก มิใช่หรือ หรือว่า ติ้งอ๋องจะเป็นเหมือนชายหนุ่มหัวโบราณทั่วไปที่ชื่นชอบหญิงสาวที่ต้องพึ่งพิงท่านทุกเรื่องประหนึ่งดอกทู่ซือหรือ” 


 


 


           “พอแล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร กลับตำหนัก!” 


 


 


           อาจิ่นเดินเข้ามาเข็นม่อซิวเหยาออกจากป่า เสิ่นหยางที่อยู่ด้านหลังส่ายหัวน้อยๆ ก่อนเดินตามออกไป 


 


 


 


 


 


           ตำหนักหลีอ๋อง 


 


 


           ม่อจิ่งหลีนั่งอยู่ในห้องหนังสือ มองคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสายตามุ่งร้าย “เจ้าจะบอกว่า จนถึงตอนนี้เจ้ายังหาร่องรอยของเยี่ยหลีไม่เจออีกงั้นหรือ” 


 


 


           ชายหนุ่มวัยกลางคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นรับรู้ได้ถึงความโกรธของม่อจิ่งหลีอย่างชัดเจน นึกร้องโอดครวญอยู่ในใจ “ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยได้ส่งคนออกไปค้นหาพระชายาติ้งอ๋องโดยละเอียดจากจุดที่พระชายาหายตัวไปโดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยลี้แล้ว แต่ค้นหาร่องรอยของพระชายาติ้งอ๋องไม่พบเลยพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเยาะหยัน “เยี่ยหลีมิได้กลับไปที่ตำหนักติ้งอ๋องและมิได้กลับไปที่บ้านตระกูลเยี่ยหรือตระกูลสวี หรือว่านางสามารถลอยขึ้นฟ้าหรือหายลงดินไปได้อย่างนั้นหรือ”  


 


 


ชายหนุ่มวัยกลางคนรีบตอบว่า “ท่านอ๋อง ถึงแม้พวกเราจะวางอุบายไว้บนตัวม้า แต่ดูเหมือนพระชายาติ้งอ๋องจะรู้ถึงจุดนี้ นางให้ม้าวิ่งแยกไปทางตะวันออกและตะวันตก ทำให้คนที่ติดตามไปของพวกเราต้องกระจายกันออกตาม ดังนั้น…ยามนี้จึง…” 


 


 


           “ดังนั้นยามนี้เจ้าเลยจะบอกข้าว่า ปัญญาของพวกเจ้ายังสู้ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้เลยสินะ” ม่อจิ่งหลียิ้มเย็นพร้อมเอ่ยประชด 


 


 


           ชายหนุ่มวัยกลางคนก้มหน้าลงด้วยความอับอาย แต่ในใจอดนึกเยาะหยันไมได้ว่า พระชายาติ้งอ๋องเป็นหญิงสาวธรรมดาที่ใดกัน ท่านอ๋องเองก็เคยถูกนางเล่นงานมาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ดังนั้นที่พวกเขาทำนางหลุดมือไปก็ควรเป็นเรื่องเข้าใจได้มิใช่หรือ 


 


 


           “ไสหัวไปซะ! คอยจับตาดูตำหนักติ้งอ๋องไว้ให้ดี ข้าไม่เชื่อว่าเยี่ยหลีจะไม่กลับไป!”  


 


 


เมื่อไล่ลูกน้องออกไปแล้ว ม่อจิ่งหลีนั่งจมอยู่กับความคิดของตนเอง เยี่ยหลีหนีไปได้แล้วแต่มิได้กลับตำหนัก เป็นเรื่องที่เกินการคาดเดาของม่อจิ่งหลีไปมากจริงๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตนควรเบาใจดีหรือควรโกรธดี ทางเลือกสองทางนี้ ประหนึ่งให้เขาเลือกว่าจะเผชิญหน้ากับตำหนักติ้งอ๋องหรือจะเผชิญหน้ากับเสด็จพี่ฮ่องเต้ของเขาอย่างไรอย่างนั้น หากเยี่ยหลีกลับตำหนักติ้งอ๋องอย่างปลอดภัย ไม่ว่าเขาหรือม่อซิวเหยาต่างก็ไม่มีทางถอย ถึงเวลานั้นคนที่ได้ประโยชน์อย่างไรก็คือเสด็จพี่ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรนั่น แต่ยามนี้…ม่อซิวเหยาวุ่นอยู่แต่กับการตามหาเยี่ยหลี แล้วยังคอยหาเรื่องร้อนใจให้ม่อจิ่งฉีแทนเขา ซึ่งดูว่าเขาควรใช้โอกาสนี้ในการ… เพียงแต่หากเขากับม่อจิ่งฉีเกิดพ่ายแพ้ทั้งคู่ขึ้นมา… 


 


 


           “ท่านอ๋อง เป็นอันใดไปเพคะ อารมณ์ไม่ดีหรือ” หญิงสาวที่ดูอ่อนหวานและนุ่มนวลเดินออกมาจากห้องด้านใน มองม่อจิ่งหลีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม 


 


 


           “เยี่ยหลียังไม่กลับตำหนัก ยาสะกดรอยที่เจ้าวางไว้ใช้ไม่ได้ผลเอาเสียเลย ตอนนี้เยี่ยหลีหายตัวไปแล้ว” ม่อจิ่งหลีมองหญิงสาววัยกระเตาะที่งดงามและน่ารักใคร่ตรงหน้า ก่อนเอ่ยเสียงขรึมขึ้น  


 


 


เสี่ยวอวิ๋นที่ยามนี้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายมอซออย่างสาวใช้ออกแล้ว ทำให้นางดูสวยงามขึ้นกว่าเดิม แววตานางมีประกายแปลกไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “พระชายาติ้งอ๋องผู้นี้มีความสามารถอยู่พอตัวทีเดียว ยาจุยหุนเซียงที่ข้าใช้นั้น แม้แต่นักวางยาพิษฝีมือดียังไม่อาจรู้ได้เลย” นางเอนใบหน้าไปคลอเคลียกับผมเปียที่อยู่ด้านหน้า เสี่ยวอวิ๋นกะพริบตามองม่อจิ่งหลี “ต้องให้ข้าออกตามหาพระชายาติ้งอ๋องหรือไม่ ข้าต้องหาตัวนางพบได้แน่ๆ” 


 


 


           ม่อจิ่งหลีปรายตามองนาง “หาตัวนางหรือ หากหาตัวนางพบแล้วเจ้าจะยังกลับมาได้หรือ”  ความสามารถของเยี่ยหลีมีความตื้นลึกหนาบางเพียงไรนั้น ม่อจิ่งหลีที่ประมือกับนางมาหลายครายังสืบรู้ได้ไม่หมดเลย อีกทั้งองครักษ์ลับสี่คนข้างกายนางนั่นก็มีฝีมือไม่ธรรมดา หากแค่เสี่ยวอวิ๋นเพียงคนเดียวคงถูกพวกมันฆ่าตายจนแม้แต่ศพก็คงไม่ได้กลับมา  


 


 


“เจ้าอยู่ในตำหนักเงียบๆ อย่าได้ออกไปไหนมาไหนเป็นพอ หากเจ้าทำแผนข้าเสีย ข้าจะไม่สนว่าจะตอบคำถามพี่สาวเจ้าได้ดีหรือไม่หรอกนะ”  


 


 


เสี่ยวอวิ๋นกัดริบฝีปาก จ้องม่อจิ่งหลีด้วยสายตาต่อว่า น่าเสียดายที่ม่อจิ่งหลีมิใช่คนที่ทะนุถนอมหยกงามในมือ จึงเพียงส่งเสียงเหอะอย่างเย็นชาก่อนหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นอ่าน เมินเฉยต่อเสี่ยวอวิ๋นโดยปริยาย 


 


 


แววตาเฉลียวฉลาดของเสี่ยวอวิ๋นเปลี่ยนไปทันที นางเดินไปข้างกายม่อจิ่งหลีก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “พี่จิ่งหลี ข้าช่วยท่านวางยาพิษม่อซิวเหยาและฮ่องเต้ให้ตายไปเลยดีหรือไม่” 


 


 


           “หากเจ้าอยากตายนักก็เชิญไปลองดูได้เลย” ม่อจิ่งหลีเอ่ย นางคิดว่าหลายปีมานี้ไม่มีคนคิดหาทางวางยาม่อซิวเหยาหรือ แต่ม่อซิวเหยาที่ร่างกายพิกลพิการซ้ำยังเจ็บออดๆ แอดๆ นั่นกลับยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนพวกนักฆ่าเหล่านั้นกลับหายไปไม่ได้กลับมา แม้แต่ศพก็ยังมิรู้ว่าไปอยู่ที่ใดเลย 


 


 


 


 


 


 


 


 


*หนานเจียง ในที่นี้ หมายถึงดินแดน ที่ติดกับชายแดนใต้ของต้าฉู่ 


 


 


* หยาจื้อ ตามตำนานคือลูกชายมังกรตัวที่เจ็ด มีลักษณะนิสัยดุร้าย โกรธง่าย มีรังสีแห่งการสังหาร ในสมัยโบราณ นิยมนำมาทำเป็นด้ามอาวุธ หรือลวดลายอาวุธ เพื่อให้ผู้ใช้อาวุธมีความฮึกเหิม เป็นการเพิ่มพลังใจ และสร้างความกล้าหาญให้กับผู้ใช้อาวุธ  

 

 


ตอนที่ 75-2 หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์

 

เมืองกว่างหลิง เขตหนานเจียง


 


 


           บรรยากาศพื้นที่ทางตอนเหนือที่ยังมีไอเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดอยู่นั้น ผิดกับสภาพแวดล้อมของหนานเจียงในต้นเดือนสามนี้ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่งอย่างสิ้นเชิง


 


 


เมืองกว่างหลิงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทางใต้ ทั้งยังเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ก่อน ถึงแม้ราชวงศ์ก่อนจะล่มสลายไปนานแล้ว แต่เมืองกว่างหลิงที่เป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของทางใต้นั้น กลับไม่มีความสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตุที่ว่าช่วงปีแรกในรัชสมัยปฐมฮ่องเต้ก็เคยตั้งเมืองหลวงอยู่ที่นี่ ถึงแม้ต่อมาจะได้อพยพย้ายเมืองหลวงไปทางตอนเหนือ แต่เมืองกว่างหลิงก็ยังคงอยู่ในฐานะของเมืองหลวงรอง เมื่อเทียบกับเมืองหลวงของต้าฉู่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการเมืองและการทหารแล้ว เมืองกว่างหลิงจะค่อนไปทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจเสียมากกว่า ในสี่พ่อค้าที่มั่งคั่งที่สุดของต้าฉู่ มีถึงสามคนที่มีถิ่นพำนักอยู่ในเมืองกว่างหลิง ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมืองกว่างหลิงนั้นร่ำรวยและมั่งคั่งกว่าเมืองหลวงที่อยู่ทางตอนเหนืออยู่มากพอตัวทีเดียว


 


 


           ในยามค่ำคืน เยี่ยหลีเดินทอดน่องสบายๆ ไปตามถนนที่พลุกพล่านและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอิสตรี สองฟากถนนที่จ้อกแจ้กจอแจนั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา กลิ่นผงแป้ง และเสียงดนตรีเครื่องสายที่ลอยดังมาเข้าหู


 


 


องครักษ์ลับสามที่ติดตามเยี่ยหลีอยู่นั้นต้องคอยกันหญิงสาวที่เข้ามาดึงแขนพระชายาของตนด้วยอย่างเป็นกันเองด้วยท่าทางเคอะๆ เขินๆ ในใจนึกร้องโอดครวญ หากเขารู้แต่แรกว่าพระชายาจะมาเดินในที่แบบนี้ เขาคงไม่แย่งกับพี่ใหญ่ขอเปลี่ยนหน้าที่กันหรอก ฮือๆ…หากท่านอ๋องรู้ว่าเขาตามพระชายามาเดินอยู่ในย่านหอนางโลม เขาจะต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่


 


 


           เยี่ยหลีเดินไปก็คอยหันมองท่าทางขัดเขินขององครักษ์ลับสามไปด้วย จนเมื่อองครักษ์ลับสามใกล้จะรับมือไม่ไหวแล้ว นางจึงได้หยุดฝีเท้าลงก่อนหันไปพูดกับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ถึงแล้ว”


 


 


           องครักษ์ลับสามถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองริมถนนนั้น ภายใต้บรรยากาศยามค่ำคืน ริมทะเลสาบอันเงียบสงบ มีตึกหอที่สวยสง่าหน้าตานำสมัยอยู่หลังหนึ่ง ป้ายเหนือประตูรูปมังกรบินหงส์ดำเนินนั้นมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์’


 


 


           ตัวเขาเป็นองครักษ์ลับแห่งตำหนักติ้งอ๋องที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ย่อมรู้ดีว่าหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์นั้นเป็นสถานที่เช่นไร หอนางโลมอันดับหนึ่งในใต้หล้า ได้ยินว่าที่นี่มีสุราชั้นเลิศที่หอมหวานที่สุด อาหารรสเลิศที่สุด และหญิงสาวที่งดงามและมากความสามารถที่สุด ที่นี่จึงเป็นสถานที่ในฝันของชายหนุ่มทุกคนที่อยากจะมัวเมาอยู่ในความฝันไม่ยอมตื่น “คุณชาย”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มพร้อมเลิกคิ้วให้เขา “ทำไมหรือ หอนางโลมอันดับหนึ่งในใต้หล้ายังไม่เข้าตาเจ้าอีกหรือ”


 


 


           องครักษ์ลับสามยิ้มขื่นๆ “คุณชาย พวกเราจะเข้าไปจริงๆ หรือขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “หรือเจ้าคิดว่าข้าพาเจ้ามาเดินเล่นอย่างนั้นหรือ ไปกันเถิด” เยี่ยหลีคลี่พัดพับในมืองออก ก่อนเดินอมยิ้มเข้าไปในหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์


 


 


           ที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ได้ชื่อว่าเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านั้น ย่อมมีสิ่งพิเศษที่ไม่เหมือนกับที่อื่น เมื่อเดินเข้าไปยังโถงใหญ่ คนที่ออกมาต้อนรับมิใช่แม่เล้าที่แต่งหน้าแต่งตัวด้วยสีสันจัดจ้านอย่างแม่เล้าทั่วไป แต่เป็นหญิงสาววัยใสหน้าตางดงามสะอาดสะอ้านแต่งหน้าบางๆ สองคน เมื่อเห็นเยี่ยหลีที่มาในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนปักลายเมฆด้วยด้ายสีเงิน สายคาดเอวด้านหนึ่งมีหยกชั้นดีห้อยอยู่ ในมือถือพัดด้วยท่วงท่าสบายๆ ดูท่าทางมิใช่คนธรรมดาจึงรีบเดินออกมาต้อนรับ “คารวะคุณชาย คุณชายท่านนี้ดูไม่คุ้นหน้าเลย เพิ่งเคยมาที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์เป็นครั้งแรกหรือเปล่าเจ้าคะ”


 


 


           เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมพยักหน้า “ไม่เลว ข้าเพิ่งเคยมาที่หนานเจียงเป็นครั้งแรก ได้ยินชื่อเสียงของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์มานานแล้ว จึงอยากลองมาดูสักหน่อย”


 


 


           หญิงสาวหัวเราะ “คุณชายให้เกียรติมาที่หอเล็กๆ ของเราถือเป็นเกียรติยิ่งแล้ว ขอเชิญคุณชายไปที่ห้องส่วนตัวทางด้านนู้นเพื่อดูการร่ายรำเสียก่อน แล้วลองดูว่ามีสิ่งใดถูกใจท่านหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “แต่ข้าได้ยินมาว่าหอของเจ้านี้มิได้มีดีเพียงการร่ายรำเท่านั้น แม่นางลองแนะนำอย่างอื่นที่น่าสนุกให้บ้างได้หรือไม่”


 


 


           หญิงสาวผู้นี้หากได้รับหน้าที่ให้มาต้อนรับแขกที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ได้ ย่อมเป็นคนที่มองคนออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพียงนางเหลือบมองเยี่ยหลี ก็ดูออกว่าถึงแม้การแต่งเนื้อแต่งตัวจะไม่ธรรมดา แต่อายุย่อมไม่มีทางเกินสิบสามปีไปได้ เด็กหนุ่มที่อายุยังน้อยเพียงสิบสามปีบางคนอาจชื่นชอบในสตรีเพศ แต่คงยังไม่รู้จักโลกอย่างแท้จริง เมื่อเห็นคุณชายน้อยท่านนี้ดูมีความเย่อหยิ่งอย่างชนชั้นสูง นางจึงคิดว่าเขาคงเป็นคุณชายน้อยตระกูลใดที่ออกมาหาความสนุกเป็นแน่


 


 


หญิงสาวยกยิ้มขึ้น “คุณชายน้อยไม่ถูกใจแม่นางในหอหมิงเย่ว์ของเรา จะทำให้พวกนางเสียใจได้นะเจ้าคะ แม่นางในหอหมิงเย่ว์ของเราไม่เพียงเชี่ยวชาญด้านการร่ายรำเท่านั้น ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยชื่นชอบอันใดเป็นพิเศษหรือเปล่าเจ้าคะ”


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เดิมทีข้านึกอยากลองเล่นพนันดูสักตาสองตา แต่โรงพนันในเมืองกว่างหลิงนี่อึกทึกครึกโครมเกินไปหน่อย คนร้อยพ่อพันแม่มาอยู่รวมกันทำข้าหมดอารมณ์”


 


 


           หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “เช่นนั้น เชิญคุณชายตามข้ามาเจ้าค่ะ”


 


 


           องครักษ์สามที่เดินตามเยี่ยหลีมาเหมือนขอนไม้ ขยับปากเหมือนอยากจะพูดอันใดสักอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยหลีก็ทำให้เขาได้แต่หุบปากลงไป หอนางโลมก็เข้ามาแล้ว โรงพนันจะมีอันใดน่ากลัวอีกหรือ


 


 


           โรงพนันของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ย่อมไม่เหมือนกับโรงพนันที่อื่นทั่วไป เพราะไม่ว่าจะเป็นเด็กที่คอยบริการยกน้ำชาหรือคนที่นั่งเป็นเจ้ามือ ต่างก็เป็นสตรีทั้งสิ้น


 


 


เมื่อเข้าไปในห้องโถงใหญ่ สิ่งแรกที่สะดุดตาคือหญิงสาวใบหน้าสวยจัดในชุดสีม่วงที่กำลังถือถ้วยลูกเต๋าอยู่ในมือ มีนักพนันจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่รอบๆ เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ การแทงสูงต่ำนั้นเป็นการพนันธรรมดาๆ แต่ก็เป็นการเล่นพนันที่ดั้งเดิมที่สุดอย่างหนึ่ง ยิ่งบวกกับหญิงสาวเจ้ามือที่สวยจัดด้วยแล้ว ย่อมดึงดูดผู้คนให้เข้ามาวางเงินพนันได้อย่างไม่ขาดสาย


 


 


           แน่นอนว่าหญิงสาวที่เดินนำมาย่อมเห็นสายตาของเยี่ยหลี จึงรีบยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “แม่นางท่านนี้เป็นหนึ่งในสิบสองดาวเด่นของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ ชื่อแม่นางหรูเหมยเจ้าค่ะ นางถนัดที่สุดก็คือการเขย่าลูกเต๋า ฝีมือของนางนั้นแม้แต่เถ้าแก่ของเรายังต้องเอ่ยปากชมไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ” พูดจบนางยังได้เอ่ยอธิบายบรรยากาศต่างๆ ภายในโรงพนันให้เยี่ยหลีฟังอย่างเอาใจใส่ เช่นว่า ในสิบสองดาวเด่นของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ มีแม่นางสามคนที่นั่งเป็นเจ้ามืออยู่ในโรงพนัน อีกทั้งแม่นางทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นหญิงคณิกา และแขกพนันที่ชนะพวกนางได้เท่านั้นจึงจะได้หลับนอนกับพวกนาง แต่จนถึงยามนี้ยังมิมีผู้ใดเคยทำสำเร็จมาก่อน


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไปจนถึงกับต้องหุบยิ้ม หานหมิงเย่ว์ช่างหาเงินเก่งเสียจริง ผู้ชายทั่วไปที่มาเที่ยวหอนางโลมก็เพื่อจะได้ชื่นชมสตรีเพศที่งดงาม แขกที่สามารถเข้ามาในหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ได้นั้นโดยมากมักเป็นเศรษฐีผู้มีอันจะกิน ซึ่งย่อมเคยพบเห็นสตรีที่งดงามมาแล้วนับไม่ถ้วน การที่เขาสร้างโรงพนันเช่นนี้ขึ้น ย่อมเป็นที่น่าดึงดูดกว่าโรงพนันทั่วๆ ไป บุรุษล้วนมีความต้องการในการเอาชนะ บรรดาชายหนุ่มที่มากด้วยทรัพย์สินเงินทองและอยู่ว่างๆ ไม่มีอันใดทำ ย่อมไม่เสียดายเงินจำนวนมากที่เสียไปเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวเหล่านั้นอย่างแน่นอน


 


 


           “อาสาม เจ้าว่าแม่นางหรูเหมยเป็นอย่างไรบ้าง” เยี่ยหลีเอาพัดในมือชี้ไปทางหญิงสาวในชุดสีม่วงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ก่อนหันไปเอ่ยถามยิ้มๆ


 


 


           องครักษ์ลับสามพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้สีหน้าตนเองบิดเบี้ยว เขาทำหน้านิ่งตอบว่า “เรียนคุณชาย แน่นอนว่าเป็นหญิงงามขอรับ”


 


 


           “อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น” เยี่ยหลีใช้ปลายพัดยันคางไว้ยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เรามาลองเล่นสักสองตาก็แล้วกัน ไม่แน่ว่าอาจจะได้…”


 


 


           “คุณชาย ท่าน…ที่บ้านท่านจะไม่พอใจเอานะขอรับ” องครักษ์ลับสามกัดฟันเอ่ยเตือน


 


 


           “ข้ารู้ ข้าจึงจะ…ยกโอกาสในการใกล้ชิดให้กับเจ้าอย่างไรเล่า” เยี่ยหลียิ้มเต็มหน้ามององครักษ์ลับสามที่ตอนนี้หน้าดำประหนึ่งหมึก ก่อนออกเดินไปยังโต๊ะพนันนั้นอย่างอารมณ์ดี


 


 


           แม่นางหรูเหมยเขย่าถ้วยลูกเต๋าในมือพร้อมมองบรรดาแขกพนันที่รายล้อมอยู่ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ชายพวกนี้นัยน์ตาเต็มไปด้วยความละโมบและหื่นกระหาย ทำให้นางรู้สึกดูแคลนในใจ และยิ่งทำให้นางสามารถยิ้มได้อย่างเย้ายวนมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก


 


 


เยี่ยหลีที่จู่ๆ ก็แทรกตนเองเข้ามาอยู่แถวหน้าทำให้นางอดที่จะรู้สึกตกใจเล็กน้อยไม่ได้ คุณชายอายุไม่ถึงสิบสามสิบสี่ปีดี แต่เครื่องประดับและเครื่องแต่งกายบนตัวที่ล้วนเป็นของชั้นเลิศทำให้รู้ว่าเขามิใช่คนธรรมดา แต่นัยน์ตาใสอย่างเด็กอายุน้อยคู่นั้นกลับทำให้นางรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่เหมือนกับผู้อื่น จึงหันไปแย้มยิ้มให้เขา “คุณชายน้อย ต้องการลงเงินแทงด้วยหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีเอียงคอหันมองซ้ายขวา ไม่เสียชื่อที่เป็นโรงพนันของหอนางโลมอันดับหนึ่ง บนโต๊ะพนันมีเงินเดิมพันวางอยู่อย่างน้อยถึงห้าสิบตำลึง พวกเศรษฐีเหล่านี้ควักเงินเดิมพันแต่ละทีก็มากพอที่จะให้คนทั่วไปใช้ชีวิตอยู่ได้ครึ่งปีแล้ว แขกพนันที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าคนที่เบียดเขาเข้ามานั้นเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง จึงมองเขาด้วยสายตาดูแคลนโดยไม่รู้ตัว และยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ส่งเสียงเยาะหยันออกมา


 


 


เยี่ยหลีมิได้สนใจ เพียงยิ้มจนตาหยีพร้อมหยิบวงเงินจำนวนห้าสิบตำลึงออกมาโยนลงบนโต๊ะ “ข้าแทงสูง!”


 


 


           หรูเหมยอมยิ้มพร้อมกวาดตามองแขกพนันโดยรอบ ในโรงพนันไม่ว่าพ่อค้าผู้ร่ำรวยหรือชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำต่างก็เหมือนกันทั้งสิ้น ทุกคนตะโกนร้องขึ้นตามๆ กันว่า “สูง! สูง!”


 


 


           “ต่ำ! ต่ำ! ต่ำ!…”


 


 


           ริมฝีปากรูปกระจับของหรูเหมยยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนยกมือหงายเปิดถ้วยลูกเต๋าที่อยู่บนโต๊ะออก “สองสี่สี่ ต่ำ”


 


 


           ผู้คนบ้างยินดีบ้างเสียดาย เยี่ยหลีมิได้สนใจเงินห้าสิบตำลึงที่เสียพนันไปนั่น รอคอยตาต่อไปด้วยความอดทน ครั้งนี้นางยังคงแทงสูง ห้าสิบตำลึง เมื่อหงายออกอีกครั้ง ก็ยังคงต่ำ ตาที่สาม เยี่ยหลีเพิ่มเงินพนันเป็นสองร้อยตำลึง และยังคงแทงสูง การเขย่าลูกเต๋านั้นใช้เวลาไม่มาก เพียงชั่วเวลาแค่หนึ่งเค่อ เยี่ยหลีก็แทงแพ้จนเสียเงินพนันไปเกือบสองพันตำลึง นักพนันที่อยู่รอบข้างต่างมองคุณชายน้อยที่วางเงินพนันอย่างมือเติบด้วยความตกใจ ต่างคาดเดากันไปว่าเขาเป็นคุณชายจากตระกูลใด


 


 


           “คุณชาย ยังแทงต่อหรือไม่เจ้าคะ” หรูเหมยยิ้มมองเยี่ยหลี แล้วเอ่ยถามขึ้น


 


 


           เยี่ยหลียื่นมือไปทางด้านหลัง องครักษ์ลับสามที่ยืนอยู่หลังเยี่ยหลีก็ยื่นตั๋วเงินปึกหนึ่งมาส่งให้อย่างว่าง่าย ตั๋วเงินจำนวนไม่น้อย รวมๆ แล้วประมาณสองหมื่นตำลึงเห็นจะได้


 


 


องครักษ์ลับสามมองเยี่ยหลีที่โยนตั๋วเงินลงบนโต๊ะโดยไม่เสียดาย ตีบทคุณชายตระกูลเศรษฐีที่ใจใหญ่ได้อย่างสมบทบาท จนในใจเขากระตุกไม่หยุด ตำหนักติ้งอ๋องร่ำรวยนั้นจริงอยู่ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีเงินมากถึงเพียงนั้น เมื่อตอนออกจากเมืองหลวง นายพวกเขานำเงินติดตัวมาทั้งหมดเป็นตั๋วเงินสองหมื่นตำลึงกับตั๋วเงินเศษๆ อีกเล็กน้อยเท่านั้น เงินสองหมื่นตำลึงถือว่ามากพอที่จะให้พวกเขาห้าคนไปๆ กลับๆ หนานเจียงได้หลายรอบอย่างสบายๆ แต่เมื่อนำมาใช้ในโรงพนันแล้ว เงินสองหมื่นสองพันตำลึงกลับไม่มากมายเอาเสียเลย หากนายของเขาใช้เงินเช่นนี้ คงแพ้จนหมดตัวได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเป็นแน่


 


 


           เยี่ยหลีเพิ่มเงินพนันเข้าไปอีก เป็นห้าร้อยตำลึง


 


 


           “คุณชายน้อยแทงสูงหรือแทงต่ำเจ้าคะ” หรูเหมยเอ่ยถาม


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “ข้าไม่ชอบเลขต่ำ แทงสูง”


 


 


           ดังนั้นแขกพนันคนอื่นๆ จึงเปลี่ยนไปแทงคนละด้านกับนาง ใครที่มีตาดูก็รู้ว่าดวงของคุณชายน้อยผู้นี้กุดนัก แพ้ไปอีกเกือบหนึ่งหมื่นตำลึงเห็นจะได้ ในที่สุดเยี่ยหลีก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ รอจนหรูเหมยปิดถ้วยลูกเต๋าลงอีกครั้งจึงได้ส่ายหน้าพร้อมอมยิ้ม “รอบนี้ ข้าไม่แทง” หรูเหมยเปิดถ้วยออกท่ามกลางเสียงตะโกนอันอื้ออึงของทุกคน “หกสามลูก กินเรียบ!” นักพนันทุกคนต่างร้องโอดครวญด้วยความเสียดาย


 


 


           เริ่มตาใหม่ เยี่ยหลีเพิ่มเงินพนันเป็นหนึ่งพันตำลึง แต่ครั้งนี้นางไม่ดวงกุดเหมือนตาที่ผ่านๆ มา เยี่ยหลีดวงดีประหนึ่งมีเทพมาโปรด “ต่ำ!”


 


 


           เปิดถ้วยลูกเต๋าออก หนึ่งสองสี่ ต่ำ!


 


 


           “สูง”


 


 


           ห้าห้าหก สูง!


 


 


           “สูง!” 

 

 


ตอนที่ 75-3 หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์

 

ไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี บนโต๊ะตรงหน้าเยี่ยหลีก็เต็มไปด้วยตั๋วเงินปึกใหญ่และเหรียญเงินอีกกองโต องครักษ์ลับสามไม่รู้ไปยกเก้าอี้จากที่ใดมาให้เยี่ยหลีนั่ง เยี่ยหลีนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นที่สุด มองหรูเหมยที่สีหน้าค่อยๆ ซีดขาวลงเรื่อยๆ ก่อนวางตั๋วเงินลงแทงด้วยรอยยิ้มอันใสซื่อ “สามหมื่นตำลึง ต่ำ!”


 


 


           นิ้วเรียวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ หงายถ้วยลูกเต๋าขึ้น ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ถ้วยลูกเต๋าที่ค่อยๆ เปิดออก “หนึ่งหนึ่งสอง ต่ำ!”


 


 


           องครักษ์ลับสามที่ยืนอยู่หลังเยี่ยหลีมองตั๋วเงินที่เพิ่มขึ้นบนโต๊ะด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อครู่ยังเป็นกังวลว่าหากพระชายาแพ้จนหมดตัวแล้วพวกเขาคงได้ร่อนเร่กลับเมืองหลวง แต่มายามนี้กลับเป็นห่วงว่าการที่พระชายาชนะพนันเยอะเกินไปจะทำให้พวกเขาออกจากหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ไม่ได้


 


 


           นางเอามือสองข้างเท้าคางไว้ด้วยสีหน้าคงเดิม พร้อมมองอากัปกิริยาของหรูเหมยด้วยท่าทีสบายๆ “หมดหน้าตัก สูง!”


 


 


           ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างสูดหายใจเข้าโดยแรง เหรียญเงินและตั๋วเงินตรงหน้าเยี่ยหลี รวมๆ แล้วกว่าแสนตำลึง หากแทงถูก แน่นอนว่าย่อมชนะได้เงินจำนวนมากไป แต่หากแทงผิดเงินแสนกว่าตำลึงนี้ก็ประหนึ่งนำไปละลายแม่น้ำ ถึงแม้คนที่มาที่นี่ต่างเป็นเศรษฐีมีเงิน แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่มีผีพนันเข้าสิงจนยอมแทงเงินแสนกว่าตำลึงเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรเงินของพวกเขาก็หามาด้วยความยากลำบาก ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า


 


 


บนหน้าผากเรียบเนียนประหนึ่งหยกขาวของหรูเหมยเริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา ดวงตาคู่งามที่มองจ้องเยี่ยหลีอยู่นั้นเต็มไปด้วยความตกใจและค้นหา นางค่อยๆ ยื่นมือออกไปเปิดถ้วยลูกเต๋านั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน ก่อนทั้งหมดจะร้องออกมาด้วยความตกใจ “สามสามลูก!”


 


 


           หรูเหมยมือสั่น หน้าขาวซีดราวกระดาษ


 


 


           “คุณชายเก่งเหลือเกิน” หรูเหมยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซีดขาว


 


 


           เยี่ยหลีอมยิ้ม มิได้พูดอันใด สมัยที่นางต้องออกไปทำภารกิจเป็นสายลับ นางติดตามเซียนพนันเพื่อเรียนรู้เทคนิคการเล่นพนันอยู่เป็นหลายเดือน เซียนพนันยังเอ่ยชมว่านางมีพรสวรรค์ อีกทั้งด้วยประสาทตาและประสาทหูของนาง ทำให้หรูเหมยมิอาจโกงนางได้ และแน่นอนว่า เยี่ยหลีคิดว่าสถานที่อย่างหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์นี้ เจ้ามือไม่มีทางเล่นโกงเพียงเพื่อเงินแสนกว่าตำลึงเป็นแน่ เพราะหากทำเช่นนั้นคงทำให้ชื่อเสียงของหอชิงเฟิงหมิงเหย่ว์ต้องเสื่อมเสีย แต่หากนางยังชนะต่อไปเรื่อยๆ ก็คงไม่แน่ เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่หานหมิงเย่ว์รักเงินเป็นชีวิตจิตใจนั้นก็ดูจะโด่งดังพอๆ กับหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์เลยทีเดียว


 


 


           “คุณชายท่านนี้ เถ้าแก่ของเราขอเชิญคุณชายไปพบขอรับ” ในขณะที่เยี่ยหลีกำลังลังเลว่าจะเล่นต่อไปดีหรือไม่นั้น ก็มีชายหนุ่มท่าทางเหมือนผู้คุมเดินเข้ามาหา พร้อมยิ้มและประสานมือคารวะเยี่ยหลี


 


 


           สายตาเยี่ยหลีเปลี่ยนไปทันที นางยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายหมิงเย่ว์เชิญข้าเช่นนี้ คงเป็นบุญวาสนาที่ข้าได้ทำมาถึงสามชาติ เพียงแต่…หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์คงไม่ฆ่าคนเพื่อเอาเงินหรอกกระมัง”


 


 


           มุมปากชายหนุ่มกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนฝืนยิ้มขึ้น “คุณชายล้อข้าเล่นแล้ว”


 


 


           เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น พร้อมหยิบเงินยัดใส่มือองครักษ์ลับสาม ก่อนยืดตัวขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “เชิญนำทางได้”


 


 


           ชายหนุ่มเดินนำพวกเยี่ยหลีทั้งสองคนไปยังเรือนด้านหลังโรงพนัน ม่านลูกไม้ของศาลาที่อยู่ติดริมทะเลสาบพัดปลิวขึ้นตามแรงลม คลอไปกับเสียงดนตรีในสายลมที่ไพเราะเสนาะหู


 


 


           “เถ้าแก่ขอรับ”


 


 


           “ออกไปก่อน คุณชายท่านนี้เชิญเข้ามาพบกันสักครู่” เสียงฉินหยุดลง พร้อมกับเสียงต่ำๆ ของชายหนุ่มที่ลอยดังออกมา เมื่อเยี่ยหลีได้ยินเช่นนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น มองชายหนุ่มที่ถอยออกไปอย่างนอบน้อม เยี่ยหลีหัวเราะเสียงใส “เถ้าแก่หอหมิงเย่ว์เชิญให้พบ ช่างเป็นบุญวาสนาของข้าน้อยที่สั่งสมไว้ถึงสามชาติ” พูดจบนางก็หันไปส่งสายตาให้องครักษ์สามรออยู่ด้านนอก ก่อนเดินเลิกผ้าม่านชั้นแล้วชั้นเล่าเข้าไปด้านใน


 


 


           ในศาลากลางน้ำ ชายหนุ่มรูปงามในชุดผ้าไหมสีแดงเข้มกำลังนั่งเอนหลังอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างโต๊ะวางฉิน ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยเสน่ห์อันแพรวพราว เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาจึงเลิกคิ้วขึ้น “คิดไม่ถึงว่าคนที่สามารถเอาชนะหรูเหมยได้จะเป็นคุณชายน้อยท่านนี้ ช่างเป็นหนุ่มน้อยเก่งกาจที่หาได้ยากจริงๆ ขอบังอาจถามชื่อแซ่ของท่านได้หรือไม่”


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ได้สิ ข้ามิได้มีฝีมืออันใดมากนัก ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง ข้าแซ่ฉู่ นามจวินเหวย”


 


 


           “ฉู่จวินเหวยหรือ ช่างเป็นชื่อที่ดีนัก เพียงแต่…ข้าน้อยไม่เคยได้ยินว่ามีตระกูลฉู่ตระกูลใดในต้าฉู่ที่มีคุณชายที่ใจใหญ่เช่นนี้ หากจะว่าเป็นคนแซ่ฉู่จากแคว้นซีหลิน…ดูจากลักษณะของคุณชายแล้วก็ดูไม่เหมือนคนแคว้นซีหลิงเอาเสียเลย” หานหมิงเย่ว์มองจ้องเยี่ยหลี ระหว่างที่พูดก็มองสำรวจนางไปด้วย


 


 


เยี่ยหลีมิได้สนใจ นางหาที่นั่งให้ตนเองนั่งลง ก่อนยิ้มแล้วเอ่ยกับเขาว่า “ตระกูลข้าเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ มิกล้าเอ่ยให้คุณชายหมิงเย่ว์ระคายหู”


 


 


           หานหมิงเย่ว์ส่งเสียงเหอะเบาๆ “ตระกูลเล็กๆ อย่างนั้นหรือ ดูท่าทางคุณชายไม่ใช่เลย”


 


 


           เยี่ยหลีโบกพัดในมือ ก่อนยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “เรื่องนี้ประหลาดเมื่อใดกัน ข้าน้อยก็เห็นว่าคุณชายเองก็ดูไม่เหมือนคุณชายหมิงเย่ว์ที่คนเขาพูดกันเช่นกัน”


 


 


           “หือ” หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ แววตามีประกายดุดัน “ไม่ทราบว่าคุณชายหมิงเย่ว์ที่คุณชายเคยได้ยินนั้นเป็นอย่างไรหรือ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “ได้ยินว่าคุณชายหมิงเย่ว์นั้นมากด้วยเสน่ห์ หล่อเหลาผิดธรรมดา เป็นคุณชายรูปงามที่หาได้ยากในใต้หล้านี้”


 


 


หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ “หรือว่า ข้าทำให้คุณชายฉู่ผิดหวังอย่างนั้นหรือ”


 


 


เยี่ยหลีก้มหน้าลงยิ้ม “เท่าที่ข้าน้อยรู้ คุณชายหมิงเย่ว์ไม่มีทางนั่งเช่นนี้ต่อหน้าคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน” เยี่ยหลีมองชายหนุ่มรูปงามที่นั่งทับส้นเท้าอยู่ข้างโต๊ะวางฉินด้วยท่าทางเลื่อยเฉื่อย แล้วได้แต่นึกถอนใจเบาๆ หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว คู่พี่น้องหานหมิงเย่ว์กับหานหมิงซีนั้นมีส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่ถึงแปดส่วน หากคิดจะตบตาผู้อื่นก็ไม่แน่ว่าอาจพอหลอกได้ เพียงแต่ชายตรงหน้านี้ดูไม่มีท่าทีที่คิดจะปิดบัง อาจเป็นเพราะเขาไม่คิดว่าคุณชายแปลกหน้าที่อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีจะเคยพบหานหมิงเย่ว์ตัวเป็นๆ มาก่อน แต่น่าเสียดายที่นางไม่เพียงเคยพบหานหมิงเย่ว์เท่านั้น แต่ตัวหานหมิงซีเองนางก็เคยพบมาแล้ว


 


 


           “ดูท่าคุณชายฉู่จะมั่นใจมากว่าข้ามิใช่หานหมิงเย่ว์ใช่หรือไม่” หานหมิงซีลุกขึ้นยืนตัวตรง สายตาเย็นเยียบจ้องมองเยี่ยหลีไม่ขยับไปไหน


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “คุณชายจะโกรธไปไย คุณชายใช้ชื่อคุณชายหมิงเย่ว์หลอกให้ข้าน้อยเข้ามาที่นี่ คนที่ควรโกรธมิใช่ข้าน้อยหรือ”


 


 


           หานหมิงซีหัวเราะเยาะเสียงเย็น “คุณชายฉู่จะแสดงท่าทางเช่นนี้ไปไย ท่านลงเงินพนันจำนวนมากในหอหมิงเย่ว์ ก็เพื่อดึงดูดความสนใจของเถ้าแก่หอแห่งนี้มิใช่หรือ ท่านมีจุดประสงค์เช่นไร สามารถบอกให้ข้าฟังได้ ไม่แน่ว่าหากข้าอารมณ์ดีอาจยอมรับปากท่านก็เป็นได้”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “คุณชายตัดสินใจแทนหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ได้หรือ หรือจะพูดอีกอย่างว่า…คุณชายตัดสินใจแทนเทียนอี้เก๋อได้หรือ”


 


 


           เมื่อได้ยินชื่อเทียนอี้เก๋อหลุดออกมา หานหมิงซีก็ตวัดสายตาคมดุประหนึ่งคมมีดมาทางเยี่ยหลีทันที ใบหน้าหล่อเหลาที่ดุคมมีแววเยือกเย็นขึ้นหลายส่วน “ท่านคือผู้ใดกันแน่” ในใต้หล้านี้มีคนที่รู้จักเทียนอี้เก๋ออยู่ไม่น้อย และคนที่รู้จักหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ยิ่งมีมากกว่า แต่คนที่รู้ว่าเจ้าของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์กับเทียนอี้เก๋อเป็นคนเดียวกันนั้นมีไม่มากนัก


 


 


เยี่ยหลีก้มหน้าลง “ก่อนที่คุณชายจะถามข้าน้อยนั้น ก็ควรบอกเสียก่อนว่าท่านตัดสินใจได้หรือไม่ หากข้าน้อยเสียน้ำลายพูดไปครึ่งค่อนวันแล้วท่านเกิดตัดสินใจไม่ได้ขึ้นมา จะไม่เป็นการเสียเวลาทั้งสองฝ่ายหรือ”


 


 


           หานหมิงซีจ้องเยี่ยหลีด้วยความโกรธ ก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ “ตอนนี้หานหมิงเย่ว์มิได้อยู่ที่หนานเจียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์หรือเทียนอี้เก๋อ ข้าตัดสินใจได้ทั้งสิ้น เจ้าเข้าใจหรือยัง”


 


 


           เยี่ยหลีหัวเราะพร้อมปรบมือ “เช่นนั้นยิ่งดี ข้ายังไม่ได้ถามชื่อของคุณชายเลย”


 


 


           “หานหมิงซี” หานหมิงซีกัดฟันตอบ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกว่าสมญานามของเขาคืออันใด เพราะถึงอย่างไรชื่อคุณชายเฟิงเย่ว์นั้น ก็ล้วนมีชื่อเสียงไม่ดีทั้งในหมู่บุรุษและสตรี


 


 


           เยี่ยหลียกมือขึ้นนวดหน้าผาก ก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “ที่แท้ก็คือ…น้องชายของคุณชายหมิงเย่ว์หรือ มิน่าท่านถึงได้หน้าตาคล้ายกับคุณชายหมิงเย่ว์เช่นนี้”


 


 


           “ท่านเคยพบพี่ใหญ่ข้าหรือ” หานหมิงซีขมวดคิ้วจ้องมองนาง


 


 


           เยี่ยหลียิ้มด้วยสีหน้าคงเดิม “เรื่องนี้…ข้าเคยมีโอกาสได้พบตอนที่คุณชายหมิงเย่ว์อายุยังน้อย ข้าน้อยความจำดี จำภาพความสง่างามของคุณชายหมิงเย่ว์ได้ดีมาโดยตลอด”


 


 


หานหมิงซีเบ้ปาก เมื่อตอนเด็กพี่ชายของเขานั้นงามสง่าและโดดเด่นก็จริง แต่นั่นเป็นสมัยที่อยู่ในเมืองหลวงของต้าฉู่ ดังนั้นคนหนานเจียงที่รู้เรื่องนี้จึงมีไม่มากนัก เพียงแต่…ในตอนนั้นเจ้าเด็กน้อยตรงหน้านี้อายุได้ห้าขวบอย่างนั้นหรือ เยี่ยหลีมิได้สนใจว่าหานหมิงซีจะคิดสิ่งใดอยู่ “ข้าน้อยเดินทางมาไกล คุณชายจะไม่ให้ข้าดื่มชาสักถ้วยเชียวหรือ นี่ไม่ใช่มารยาทการรับแขกเอาเสียเลยนะ”


 


 


           หานหมิงซีจ้องนางอยู่เป็นนาน ก่อนค่อยๆ ยกยิ้มอย่างเ**้ยมโหดขึ้น “อยากดื่มชานั้นย่อมได้ มีเรื่องอยากขอร้องก็ย่อมได้เช่นกัน แต่ไว้รอให้ชนะข้าได้ก่อนเถิด!” 

 

 


ตอนที่ 76-1 ตกลงร่วมมือ

 

         “อยากดื่มชานั้นย่อมได้ มีเรื่องอยากขอร้องก็ย่อมได้เช่นกัน แต่ไว้รอให้ชนะข้าได้ก่อนเถิด!”


 


 


           เยี่ยหลีมองคุณชายเฟิ่งเย่ว์ที่กำลังจ้องมองตนด้วยสายตาเดือดดาลแล้วได้แต่นึกขันในใจ นางรู้ดีว่าตอนนี้หานหมิงเย่ว์ไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง นางยังรู้อีกด้วยว่าหานหมิงเย่ว์ไปอยู่ที่ใด ถึงแม้หานหมิงเย่ว์กับหานหมิงซีเป็นพี่น้องกัน แต่หานหมิงซีนั้นดูจะเจรจาได้ง่ายกว่าหานหมิงเย่ว์อยู่มาก ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งมวล ทำให้เยี่ยหลีไม่อยากพบหน้าหานหมิงเยว์ “คุณชายหานอยากพนันเรื่องอันใดหรือ”


 


 


           หานหมิงซียิ้มพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้าหรอกนะ เมื่อครู่เจ้าเก่งกาจนักมิใช่หรือ เราพนันเขย่าลูกเต๋ากันก็แล้วกัน แทงสูงต่ำ”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น แต่มิได้ปฏิเสธ “ได้สิ”


 


 


           หานหมิงซียิ้มด้วยความพอใจ “ดี น่าสนุก หากเจ้าชนะข้าได้ เจ้าจะขอร้องให้ข้าช่วยเรื่องอันใดก็ได้”


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ข้าน้อยไม่ชื่นชอบการร้องขอที่เกินกว่าเหตุสักเท่าใด หากข้ามีเรื่องจะขอให้ช่วยก็จะไม่ทำให้คุณชายหานต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไร…หากต้องการที่จะร่วมทำการค้ากันยาวๆ ต่างฝ่ายต่างก็ควรได้ประโยชน์ ท่านว่าจริงหรือไม่”


 


 


           “น่าสนใจ” หานหมิงซีหัวเราะ “หากเจ้าแพ้เล่า จะทำเช่นไร”


 


 


           เยี่ยหลีตอบว่า “หากข้าแพ้ก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดเรื่องในวันนี้มาก่อน ข้าจะขอวางเดิมพันด้วยเงินสองแสนหนึ่งหมื่นตำลึงที่ชนะมาจากหอของท่าน”


 


 


           “ตาเดียวรู้แพ้รู้ชนะ?” หานหมิงซีถาม


 


 


           “เชิญ” เยี่ยหลียกมือขึ้นพร้อมเอ่ยตอบ


 


 


           หานหมิงซีเพียงสะบัดแขนเสื้อ ฉินโบราณที่ตั้งอยู่บนโต๊ะก็ลอยไปตกลงชั้นอีกด้านหนึ่งทันที หานหมิงซีหยิบชุดลูกเต๋าออกมาวางลงบนโต๊ะ พร้อมพูดด้วยท่าทางถือดีว่า “เจ้าจะลองทดสอบลูกเต๋าดูก่อนก็ได้นะ”


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า ก่อนผลักชุดลูกเต๋ากลับไป “ข้าน้อยเชื่อในเกียรติของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์และเกียรติของคุณชายหาน คุณชายหานเชิญก่อน”


 


 


           หานหมิงซีเบ้ปาก “แข่งสูงหรือแข่งต่ำ”


 


 


           เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อย “สูง”


 


 


           หานหมิงซีส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนหยิบถ้วยลูกเต๋าขึ้นรวบลูกเต๋าเข้าไปไว้ด้านใน แล้วเขย่าด้วยท่าทีไม่รีบร้อน เยี่ยหลีชื่นชมการเขย่าลูกเต๋าด้วยท่วงท่าสบายๆ ของหานหมิงซี ต้องยอมรับว่าท่าทางของเขาดูสบายตายิ่งนัก ถ้วยลูกเต๋าขยับไปมาเป็นรูปต่างๆ ประหนึ่งร่ายมนต์ แล้วในที่สุดเขาก็คว้ำถ้วยลงบนโต๊ะโดยแรง ก่อนยื่นหน้ามาเลิกคิ้วใส่เยี่ยหลี หานหมิงซีเปิดถ้วยลูกเต๋าออกโดยไม่มอง ส่วนเยี่ยหลีก็มองลูกเต๋าบนโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเฉย ลูกเต๋าที่เดิมมีอยู่สามลูก กลับกลายเป็นหกลูก ลูกเต๋าทั้งสามลูกถูกผ่าครึ่งตามแนวเฉียง กลายเป็นรูปพีรามิดเรียงตัวเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะ


 


 


“คุณชายหานมีกำลังภายในยอดเยี่ยมนัก สามสิบสามแต้ม”


 


 


           หานหมิงซีดูจะอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ดูท่าคงจะใช้อันนี้ไม่ได้แล้ว คุณชายฉู่ใช้ชุดใหม่ก็ได้ เชื่อว่าคุณชายฉู่คงจะไม่ลอกเลียนแบบผู้อื่นกระมัง”


 


 


           เยี่ยหลีสีหน้าราบเรียบ รับลูกเต๋าที่ทำจากงาช้างชุดใหม่มาจากหานหมิงซีด้วยท่าทีสบายๆ ท่าทางการเขย่าลูกเต๋าของเยี่ยหลีมิได้แพรวพราวเหมือนอย่างหานหมิงซี เยี่ยหลีเพียงจับถ้วยเต๋าเขย่าไปมาตามปกติ แม้แต่ความเร็วในการเขย่าก็ไม่ถือว่าเร็วนัก


 


 


บรรยากาศภายในศาลาริมน้ำเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงลูกเต๋ากระทบกับถ้วยเท่านั้น แต่สีหน้าหานหมิงซีที่นั่งอมยิ้มสบายๆ อยู่นั้นกลับค่อยๆ ดูเป็นกังวลขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ท่านั่งที่เดิมเอนพิงเก้าอี้สบายๆ อยู่ ก็กลับลุกขึ้นนั่งตัวตรง สายตาจ้องเขม็งไปที่สีหน้าเรียบเฉยของเยี่ยหลี


 


 


เขาฟังไม่ออกเลยว่าแต้มบนหน้าลูกเต๋าจะออกมาเป็นเท่าไร แต่เขาไม่กังวลเรื่องแพ้ชนะสักเท่าไร เพราะสามสิบสามแต้มเป็นแต้มที่สูงที่สุดที่สามารถเขย่าออกมาได้แล้ว นอกเสียจากเด็กหนุ่มตรงหน้าจะเลียนแบบวิธีการของเขา มิเช่นนั้นแล้ว เขาไม่มีทางเอาชนะตนได้อย่างแน่นอน


 


 


           ปึง เยี่ยหลีคว่ำถ้วยลูกเต๋าลงบนโต๊ะ ก่อนอมยิ้มแล้วพูดกับหานหมิงซีว่า “คุณชายหานอยากลองทายดูหรือไม่ว่าแต้มจะเป็นเท่าไร”


 


 


           หานหมิงซีปรายตามองนางด้วยสายตาดูแคลน “ไม่ว่ากี่แต้มเจ้าก็เอาชนะข้ามิได้หรอก เปิดออกเถิด ให้ข้าเห็นทีว่าคุณชายฉู่นั้นเก่งกาจเพียงใด”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “คุณชายหานพูดถูก”


 


 


           ถ้วยลูกเต๋าค่อยๆ เปิดออก ลูกเต๋าทั้งสามลูกวางอยู่บนโต๊ะโดยไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่…ลูกเต๋าทั้งสามลูกตั้งอยู่บนโต๊ะด้วยมุมเพียงมุมเดียว หน้าเต๋าด้านข้างเอียงชิดอยู่ด้วยกัน โดยลูกเต๋าทุกลูกมีหน้าเต๋าสองด้านที่หันขึ้น และทั้งสองด้านนั้นต่างก็เป็นหน้าห้าและหกพอดี นั่นหมายความว่า เยี่ยหลีเขย่าได้สามสิบสามแต้มเช่นเดียวกัน


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “สามสิบสามแต้ม ถือว่าเสมอกัน คุณชายหานท่านว่าอย่างไร”


 


 


           หานหมิงซีจ้องนางนิ่งอยู่พักใหญ่ แล้วจึงเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “เจ้าชนะแล้ว มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถิด” เขาเพียงโบกมือ แล้วถ้วยเขย่าพร้อมลูกเต๋าทั้งสามลูกก็ถูกส่งไปวางยังชั้นเก็บของทันที


 


 


หานหมิงซีพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ยกน้ำชาเข้ามา”


 


 


           ในศาลาริมน้ำ เยี่ยหลีดื่มด่ำกับรสชาเซียงหมิงชั้นดีด้วยท่าทางพอใจ ไม่เสียแรงที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์เป็นสถานที่ที่น่าอภิรมย์ที่สุดในใต้หล้า แม้แต่ชาก็สามารถเทียบได้กับของบรรณาการที่อยู่ในวัง


 


 


หานหมิงซีจ้องมองเยี่ยหลีด้วยสายตานิ่งลึก “คุณชายฉู่ ตอนนี้ท่านบอกได้แล้วกระมัง ว่าท่านต้องการพบเจ้าของเทียนอี้เก๋อด้วยเรื่องอันใด”


 


 


           เยี่ยหลีวางถ้วยชาลง แล้วยกยิ้มน้อยๆ “อันที่จริงก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ข้าน้อยอยากเดินทางไปหนานเจียงในเร็วๆ นี้ จึงอยากทราบข่าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อเทียนอี้เก๋อได้ชื่อว่าเป็นหน่วยข่าวที่ดีที่สุดของต้าฉู่ ข้าน้อยจึงจำต้องทำหน้าหนามาขอร้อง”


 


 


           เมื่อคนที่ไม่แพ้ตนเองมาเอ่ยยกยอเช่นนี้ สีหน้าหานหมิงซีจึงดูดีขึ้นเล็กน้อย เขาส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนตอบว่า “คุณชายฉู่สามารถรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์กับเทียนอี้เก๋อได้นั้น ก็แสดงว่าข่าวของคุณชายฉู่มีประสิทธิภาพไม่น้อย จะต้องการความช่วยเหลือจากเทียนอี้เก๋อไปไย”


 


 


เยี่ยหลีเพียงหัวเราะ “ที่ข้ารู้เรื่องนี้…เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น คุณชายหานอย่าได้ถือโทษที่ข้าถือวิสาสะเลย แน่นอนว่าเทียนอี้เก๋อนั้นทำการค้าด้วยการขายข่าว ข้าน้อยเองย่อมจ่ายข้าตอบแทนให้ในจำนวนที่เทียนอี้เก๋อพอใจอย่างแน่นอน”


 


 


           ตาหงส์ของหานหมิงเย่ว์หรี่ลง ก่อนเอนตัวลงพิงพนักมองเยี่ยหลีด้วยสายตาประเมิน “หือ ทำให้เทียนอี้เก๋อพอใจ…ดูท่าคุณชายฉู่จะมั่นใจในตนเองมากทีเดียว”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ข้าน้อยเชื่อว่า ในเมื่อเทียนอี้เก๋อทำการค้าอย่างเปิดเผย คงไม่ตั้งราคาที่สูงเทียมฟ้าหรอกกระมัง”


 


 


           “เหอะ! คุณชายฉู่คงไม่ได้คิดที่จะนำเงินที่ชนะพนันจากหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์มาจ่ายให้เทียนเก๋อหรอกกระมัง”


 


 


           “จะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าน้อยมีร้านค้าสองร้านอยู่ในเมืองกว่างหลิงพอดี ถึงแม้จะเพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่เชื่อว่าน่าจะเข้าตาคุณชายหานอยู่บ้าง” เยี่ยหลีจิบชาด้วยท่าทีเรียบเฉยต่อไป ก่อนหันมองหานหมิงซีพร้อมยิ้มน้อยๆ


 


 


หานหมิงซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาที่มีแววร้ายกาจ พร้อมโปรยเสน่ห์ออกมาออกมาโดยมิได้ตั้งใจ ถึงเสน่ห์ของเขาจะทำอันใดเยี่ยหลีไม่ได้ แต่นางก็ยังนึกชื่นชมในใจ เขาที่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับหานหมิงเย่ว์อยู่มาก แต่ลักษณะท่าทางกลับแตกต่างกันลิบลับ


 


 


            “ที่คุณชายฉู่พูดถึงคงมิใช่ร้านเครื่องหอมซวินหย่าเก๋อบนถนนเซวียนอู่ที่เพิ่งเปิดเมื่อครึ่งปีก่อนหรอกกระมัง” หานหมิงซีลองถามอย่างไม่ปิดบัง


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ซวินหย่าเก๋อสามารถทำเงินได้เท่าไร คุณชายหานน่าจะรู้อยู่บ้าง ขอเพียงคุณชายหานสามารถให้ข้อมูลที่ข้าพอใจได้ ข้าจะแบ่งกำไรจากซวินหย่าเก๋อครึ่งหนึ่งให้กับคุณชายหานทุกปี”


 


 


           “ทุกปีหรือ” หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนี้ข้าสามารถเข้าใจว่านี่เป็นข้อตกลงระยะยาวได้ใช่หรือไม่ จริงอยู่ที่ซวินหย่าเก๋อทำเงินได้จำนวนมาก แต่ดูเหมือนจะยังไม่ถึงขั้นที่จะมาเป็นคู่ค้าระยะยาวของเทียนอี้เก๋อได้กระมัง” เรื่องร้านซวินหย่าเก๋อแน่นอนเขาย่อมรู้ดี อันที่จริงเครื่องหอมที่เขาใช้กับตัวในขณะนี้ก็มาจากซวินหย่าเก๋อ อีกทั้งตั้งแต่ได้ใช้เครื่องหอมจากร้านซวินหย่าเก๋อแล้ว เครื่องหอมร้านอื่นๆ ก็ไม่เคยเข้าตาเขาอีกเลย


 


 


ร้านซวินหย่าเก๋อมาเปิดกิจการที่เมืองกว่างหลิงมาได้ยังไม่ถึงครึ่งปีดี แต่กลับได้รับความนิยมมากกว่าร้านขายเครื่องหอมเครื่องแป้งเก่าแก่ของเมืองกว่างหลิง แต่ด้วยเพราะราคาที่สูงกว่าร้านค้าทั่วไปอยู่ถึงสามเท่า จึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่คนธรรมดาทั่วไป แต่หานหมิงซีกล้ารับประกันว่า คุณหนูและฮูหยินชนชั้นสูงของตระกูลใหญ่ในเมืองกว่างหลิงอย่างน้อยเจ็ดส่วนที่ใช้เครื่องหอมของร้านซวินหย่าเก๋อ แต่หากซวินหย่าเก๋อยอมที่จะตั้งราคาให้ต่ำลง เชื่อได้ว่าร้านซวินหย่าเก๋อจะสามารถผูกขาดการค้าขายเครื่องหอมได้ในเวลาอันสั้น


 


 


           เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมส่ายหน้า “คุณชายหานรู้หรือไม่ว่า ในโลกนี้เราสามารถทำเงินได้จากผู้ใดมากที่สุด”


 


 


           หานหมิงซีขมวดคิ้ว “แน่นอนว่าเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย” รายได้ที่น่าตกใจของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ในแต่ละปีนั้น ล้วนมาจากเงินของพ่อค้าเศรษฐีผู้มีอันจะกินทั้งนั้น


 


 


เยี่ยหลียิ้มพร้อมยื่นมือที่กับพัดออกมาโบกไปมา “มิได้ แต่เป็นสตรี”


 


 


           “สตรีหรือ” หานหมิงซีย่นจมูก สตรีไม่มีแหล่งรายได้เป็นของตนเอง ต่างต้องพึ่งพาบุรุษทั้งสิ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกนางไม่มีทางมีเงินใช้สุรุ่ยสุร่ายได้อย่างบุรุษอย่างแน่นอน และอีกอย่างคือ มีสตรีจำนวนน้อยนักที่จะใจใหญ่ใช้เงินก้อนโตได้อย่างบุรุษ


 


 


เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ โบกพัดในมือเล่น พร้อมยิ้มและกล่าวว่า “ในโลกนี้…มีสตรีอยู่มากกว่าบุรุษ เพียงแต่…มิใช่ว่าบุรุษทุกคนจะชื่นชอบในการกิน ดื่ม เล่นพนันและอิสตรี แต่ผิดกับสตรีที่ทุกคนต่างชื่นชอบความสวยงามและความอ่อนเยาว์” ถึงแม้ทหารหญิงในชาติที่แล้วของตนจะเก่งกาจไม่แพ้ผู้ชาย แต่เมื่อได้กลับมาเดินบนถนนแล้ว สิ่งแรกที่เลือกเข้าคือร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับ


 


 


           หานหมิงซีใจกระตุกขึ้นมาทันที ตัวเขามิได้มีพรสวรรค์และความหลักแหลมทางการค้าอย่างน่าตกใจดังเช่นพี่ชายของเขา ทั้งยังมิได้สนใจเรื่องเงินทองมากมายนัก แต่นั่นมิได้หมายความว่าเขาเป็นคนหัวทึบ เมื่อได้ฟังเช่นนี้เขาย่อมรู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ เขาส่งสายตาให้เยี่ยหลีพูดต่อไป ก่อนตนจะยื่นมือไปเติมน้ำชาให้ตนเองและเยี่ยหลี ดูเขาจะสนใจหัวข้อสนทนานี้ไม่น้อย


 


 


           เยี่ยหลีเองก็มิได้สนใจ “สูตรการปรุงเครื่องหอมของร้านซวินหย่าเก๋อแน่นอนย่อมต้องเก็บเป็นความลับ ซึ่งมิใช่สูตรที่ร้านขายเครื่องแป้งทั่วไปสามารถทำได้ ว่ากันตามจริงแล้ว เครื่องแป้งและเครื่องหอมที่มีอยู่ในต้าฉู่ในยามนี้นั้นไม่ค่อยเป็นที่พอใจของข้าสักเท่าไร เชื่อว่าคุณชายหานเองก็คงไม่พอใจด้วยเช่นกันใช่หรือไม่”


 


 


หานหมิงซีขมวดคิ้ว เดิมทีเขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ แต่ตั้งแต่มีร้านซวินหย่าเก๋อขึ้นมา เขาถึงได้เพิ่งรู้สึกว่าเครื่องหอมที่เขาใช้ก่อนหน้านี้มีเพียงกลิ่นเดียวและมิใช่กลิ่นที่หอมสักเท่าใดนัก ถึงแม้เขาจะมีคนที่สามารถปรุงเครื่องหอมชั้นดีให้เขาได้ แต่เวลารวมถึงแรงงานคนที่เสียไปนั้นเกินกว่าราคาของตัวมันไปมากทีเดียว บางคราที่เขานำของร้านซวินหย่าเก๋อไปให้หญิงสาวที่ตนสนิทสนม สาวงามเหล่านั้นก็ดูจะชื่นชอบแป้งหอมของร้านซวินหย่าเก๋ออย่างเห็นได้ชัด หานหมิงซีไม่อยากยอมรับว่า ตัวเขานั้นอาจเคยช่วยซวินหย่าเก๋อหาลูกค้าทางอ้อมมาแล้วไม่น้อย


 


 


เยี่ยหลีมองท่าทีก้มหน้าใช้ความคิดของหานหมิงซีด้วยสีหน้าพอใจ ก่อนพูดต่อว่า “ถึงแม้ตอนนี้ร้านซวินหย่าเก๋อจะมีอยู่ที่เมืองกว่างหลิงเพียงร้านเดียว แต่ด้วยสายตาอันแหลมคมของคุณชายหาน ย่อมรู้ว่าข้ามิใช่ไม่มีโอกาสไปเปิดร้านเช่นนี้ในเมืองขนาดใหญ่และขนาดกลางของต้าฉู่ หรือบางที…อาจรวมถึงแคว้นซีหลิง เป่ยหรงหรือหนานเจียงด้วยก็เป็นได้ หรือบางทีอาจเป็นที่ที่ไกลกว่านั้น เพราะถึงอย่างไรหากเป็นที่ที่มีสตรีอยู่ ย่อมไม่กลัวว่าจะขายไม่ได้ ท่านว่าจริงหรือไม่” 

 

 


ตอนที่ 76-2 ตกลงร่วมมือ

 

หานหมิงซีรู้สึกว่าตนเองถูกหนุ่มน้อยอายุยังไม่เต็มสิบห้าปีดีตรงหน้านี้ทำให้นึกกลัวเสียแล้ว เขาเชื่อว่าหากพี่ใหญ่ของเขาที่รักเงินเป็นชีวิตจิตใจมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ คงมีหัวข้อสนทนาให้ได้คุยกับนางอีกมาก หากเปิดร้านซวินหย่าเก๋อไว้เมืองละร้าน…ฟังดูยิ่งใหญ่น่าดูทีเดียว หานหมิงซีเริ่มนึกจินตนาการว่า หากตนเปิดหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ไว้เมืองละแห่ง เช่นนั้นแล้ว…


 


 


           “หึหึ ข้าว่าคุณชายหานอย่าได้คิดเช่นนั้นเลย มิเช่นนั้นแล้ว…เกรงว่าคุณชายหมิงเย่ว์คงจะโกรธน่าดู” เมื่อเห็นหานหมิงซีนั่งเท้าคาง มองออกไปนอกศาลาริมน้ำด้วยตาเป็นประกายแล้ว เยี่ยหลีก็เดาได้ทันทีว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่จึงรีบเอ่ยปากทักท้วงขึ้น ที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์สามารถกลายเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้นั้น ด้วยเพราะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร หากจะเปิดให้ดาษดื่นแล้วก็คงไม่สวยงามเช่นนั้น นางไม่เชื่อว่าหานหมิงเย่ว์จะไม่เปิดหอนางโลมไว้ที่อื่นอีก เพียงแต่คงไม่ได้มีชื่อเสียงเช่นนี้เท่านั้น อีกอย่าง ธุรกิจหอนางโลมนั้น ว่ากันตามจริงแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ฝีมือมากนักก็อาจทำให้โดดเด่นขึ้นมาได้ แต่คงยากหากต้องการที่จะผูกขาดทั้งหมด


 


 


           “เครื่องแป้งและเครื่องหอมเป็นของใช้ แต่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์…อะแฮ่ม เป็นสถานเพื่อความบันเทิง ทั้งสองสิ่งนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ เพียงแต่…ด้วยเพราะจุดนี้ทำให้ข้าน้อยรู้สึกว่าเราสามารถร่วมมือกันได้”


 


 


           หานหมิงซีก็เพียงแค่คิดเล่นๆ เท่านั้น หากจะให้เขาเปิดหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ไปทั่วต้าฉู่จริง เกรงว่าตัวเขาคงทนไม่ไหวจนต้องหนีไปเสียก่อน เมื่อเขาได้ยินเยี่ยหลีพูดเช่นนี้จึงไม่ได้เอ่ยขัดอันใด เพียงเลิกคิ้วขึ้นเป็นสัญญาณว่าตั้งใจรอฟังอยู่เท่านั้น


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “เช่นว่า…เครื่องหอมและเครื่องแป้งที่แม่นางในหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ใช้นั้น สามารถซื้อได้จากร้านซวินหย่าเก๋อ คุณชายหานเห็นว่าอย่างไรบ้าง เพื่อแสดงความจริงใจในการทำงานร่วมกันระหว่างเราเป็นครั้งแรก ข้าน้อยสามารถให้เครื่องหอมที่ปรุงขึ้นพิเศษกับคุณชายหานก่อนได้ อีกทั้งยังสามารถให้ท่านได้โดยไม่คิดเงินและไม่จำกัดระยะเวลาอีกด้วย ท่านว่าอย่างไร”


 


 


           หานหมิงซีนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “คุณชายฉู่มีความจริงใจเช่นนี้ หากข้าไม่เห็นดีด้วย จะไม่ถือเป็นการผลักการค้าออกนอกประตูหรือ ดีจริง คุณชายฉู่ต้องการข้อมูลเรื่องใดเชิญว่ามาได้เลย ข้าทำให้คุณชายรู้สึกคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มได้เป็นแน่”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีจริง เช่นนั้นคุณชายหานไปเตรียมตัวก่อนดีหรือไม่ ข้าน้อยเองก็ต้องเตรียมตัวเช่นกัน ไว้อีกสามสี่วันข้างหน้าพวกเราค่อยนัดพบกันเพื่อทำหนังสือสัญญา”


 


 


           “คำไหนคำนั้น”


 


 


           เมื่อออกจากหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์และกลับไปยังเรือนหลังเล็กที่ไม่สะดุดตาที่พวกเขาทั้งห้าใช้เป็นที่พักชั่วคราวเวลาอยู่ในเมืองกว่างหลิงแล้ว องครักษ์ลับสามถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนหยิบตั๋วเงินปึกใหญ่ออกมาวางต่อหน้าพี่น้องสามสี่คนของตน ที่จ้องสีหน้าเฉยชาของเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด


 


 


องครักษ์ลับสองที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องเงินทองถึงกับเลิกคิ้วด้วยความตกใจ “ตั๋วเงินจากที่ใดตั้งมากมายเพียงนี้” พวกเขานำเงินติดตัวมาจากเมืองหลวงทั้งหมดเพียงสองหมื่นตำลึงเท่านั้น นี่พระชายาพาน้องสามออกไปเดินเล่นรอบเดียวก็มีเพิ่มมาเป็นสิบเท่าเลยอย่างนั้นหรือ


 


 


           องครักษ์ลับสามหันไปมองเยี่ยหลีที่นั่งจิบชาพร้อมโบกพัดในมือ ก่อนเอ่ยด้วยความตะลึงงันว่า “เล่นชนะมาจากโรงพนัน” พูดจบยังหันมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้ายังตกใจไม่หายว่า “คุณชาย วันนี้ข้าน้อยไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพวกเราสามารถเดินออกมาจากที่นั่นได้อย่างปลอดภัย”


 


 


เยี่ยหลีปรายตามองเขา ก่อนหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องกังวลไป หากหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์จะมาหาเรื่องพวกเราด้วยเงินเพียงสองแสนตำลึงนี้ คงจะดูไม่ดีสักเท่าไร”


 


 


           เงินเพียงสองแสนตำลึงอย่างนั้นหรือ ต่อให้วันวันหนึ่งหอชิงเฟิ่งหมิงเย่ว์จะมีรายได้จำนวนมหาศาล แต่เงินสองแสนตำลึงนี่ก็คงมิใช่เงินจำนวนน้อยๆ อยู่ดี


 


 


           หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์หรือ! องครักษ์ลับหนึ่งสองและสามถึงกับมุมปากกระตุก ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย พวกเขาเป็นองครักษ์ลับของพระชายา ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางบอกท่านอ๋องแน่ว่าพระชายาพาองครักษ์ลับสามไปเที่ยวหอนางโลมมา


 


 


           เยี่ยหลีไม่ได้รีบร้อนไปหาหานหมิงซี นางต้องการปิดบังร่องรอยการเดินทางของตนทั้งหมดและต้องการข้อมูลของหนานเจียง อันที่จริงเดิมทีเยี่ยหลีมิได้คิดจะไปหาเทียนอี้เก๋อ ถึงแม้หานหมิงซีและหานหมิงเย่ว์จะดูเป็นคนที่คบหาได้ง่าย แต่จากที่เยี่ยหลีเคยพบหน้าเพียงหนึ่งครั้ง นางรู้ดีว่าหานหมิงเย่ว์ที่ดูเป็นคุณชายผู้แสนสุภาพนั้น รับมือยากกว่าน้องชายที่มีลูกเล่นแพรวพราวอยู่เป็นสิบเท่า หากไม่เพราะนางบังเอิญรู้ว่าช่วงนี้หานหมิงเย่ว์มิได้อยู่ในต้าฉู่ เยี่ยหลีไม่มีทางไปพบหานหมิงซีเป็นอันขาด


 


 


           เพียงแต่ถึงแม้หานหมิงซีจะดูเชื่อถือไม่ได้สักเท่าไร แต่สายข่าวของเทียนอี้เก๋อนั้นยังถือว่าค่อนข้างรวดเร็ว เยี่ยหลีเพิ่งออกสำรวจรอบๆ เมืองกว่างหลิงได้ไม่เท่าไร หานหมิงซีก็มาหานางก่อนเสียแล้ว


 


 


           เยี่ยหลีมองหานหมิงซีในชุดสีแดงเข้ม ที่ไม่ลืมที่จะโปรยเสน่ห์ออกมาตลอดเวลา เขานั่งสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ในห้องโถงดอกไม้พร้อมหยอกเอินสาวใช้ที่ยกน้ำชาเข้ามาให้ เยี่ยหลีโบกมือให้แม่นางน้อยที่หน้าหูแดงด้วยความเขินอายถอยออกไป ก่อนอมยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้พบกันหลายวัน คุณชายหานยังสง่างามเช่นเดิม”


 


 


หานหมิงซีหัวเราะ “ที่ไหนกัน ว่าแต่คุณชายฉู่เห็นว่าทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิของกว่างหลิงพอดูได้หรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีเองมิได้คิดว่าหานหมิงซีจะไม่ส่งคนไปคอยจับตาดูตน จึงไม่นึกโกรธ เพียงยิ้มเรื่อยๆ แล้วตอบว่า “เมืองหลวงโบราณถึงสามราชวงศ์ ทัศนียภาพงดงามประหนึ่งภาพวาด เพียงพอดูได้เมื่อไรกัน”


 


 


           หานหมิงซียิ้ม “จะว่าไปวันก่อนคุณชายฉู่ลืมบางอย่างไป วันนี้ข้ามาที่นี่พอดีจึงได้นำมาให้คุณชาย และถือโอกาสแสดงความจริงใจของข้าในการร่วมงานกันในครั้งนี้”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วด้วยความสงสัย มองหานหมิงซีที่ยิ้มอย่างมีเลศนัย หานหมิงซียกมือขึ้นปรบมือเบาๆ ไม่นานก็มีหญิงสาวสวยจัดในชุดสีม่วงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู “ข้าน้อยหรูเหมยคารวะคุณชาย คารวะคุณชายฉู่”


 


 


หญิงสาวผู้นี้ก็คือแม่นางหรูเหมยที่เป็นเจ้ามืออยู่ในโรงพนันเมื่อหลายวันก่อน จู่ๆ เยี่ยหลีก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี “คุณชายหาน นี่คือ”


 


 


           หานหมิงซีคลี่พัดในมือออก ซ่อนใบหน้าอันหล่อเหลาครึ่งหนึ่งไว้หลังพัดพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “กฎของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ ใครที่เอาชนะเจ้ามือได้ จะได้เจ้ามือคนนั้นไปครอง คุณชายฉู่มีฝีมือพนันที่เก่งกาจนัก หรูเหมยนึกเลื่อมใสในความสามารถของท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหรูเหมยจะไม่มีชื่ออยู่ในหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์อีก และจะไม่ใช่คนของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์อีกต่อไป นางเป็นของคุณชายแล้ว หากคุณชายฉู่ถูกใจ จะรับไว้เป็นอนุก็ย่อมได้ แต่หากไม่ถูกใจ จะให้เป็นสาวใช้ไว้คอยยกน้ำชา เทน้ำ ซักเสื้อผ้า ทำกับข้าวก็ได้เช่นกัน”


 


 


           เมื่อเห็นหานหมิงซีหัวเราะจนน่าสงสัยพร้อมกะพริบตาปริบๆ ส่งให้นางแล้ว เยี่ยหลีก็ถึงกับปวดหัว “คุณชายหานเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าน้อยเพียงแค่โชคดีเท่านั้น อีกอย่าง…ข้าน้อยมิได้เล่นพนันแบบตัวต่อตัวกับแม่นางหรูเหมย จะถือว่าชนะแม่นางหรูเหมยก็คงไม่ได้ ดังนั้น ท่านพาแม่นางหรูเหมยกลับไปเถิด”


 


 


           หานหมิงซีหุบพัดลง ก่อนเคาะพัดลงบนฝ่ามือ “ความหมายของคุณชายฉู่คือท่านไม่พอใจในตัวหรูเหมยหรือ”


 


 


           เมื่อได้ยินหานหมิงซีพูดเช่นนี้ ใบหน้าอันงดงามของแม่นางหรูเหมยก็ซีดขาวลงทันที มองเยี่ยหลีด้วยสายตาตัดพ้อ แล้วก้มหน้าลงเช็ดน้ำตา


 


 


เยี่ยหลีจ้องหานหมิงซีอย่างไม่นึกสนุกด้วย “คุณชายหาน ในเมื่อทุกคนมีความจริงใจต่อกัน เหตุใดจึงต้องล้อข้าน้อยเล่นเช่นนี้ บ้านข้าอบรมมาอย่างเคร่งครัด ความหวังดีของคุณชายหาน ข้าคงได้แต่ขอบคุณ”


 


 


           หานหมิงซีถอนหายใจยาว มองเยี่ยหลีด้วยสายตาต่อว่า “ใจแข็งประหนึ่งเหล็กจริงๆ เอาเถิด หรูเหมยเอ๋ย ดูท่าคุณชายฉู่คงไม่พอใจในตัวเจ้าจริงๆ ออกไปเถิด”


 


 


หรูเหมยส่งเสียงเหอะเบาๆ กระทืบเท้าพร้อมถลึงตาใส่เยี่ยหลีทีหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินออกไป เยี่ยหลีได้แต่ยิ้มขื่นๆ ในใจ หากนางพาหญิงสาวจากหอนางโลมกลับไป อย่าว่าแต่ปฏิกิริยาของท่านตาและท่านลุงเลย เกรงว่าแม้แต่ม่อซิวเหยาก็คงเดือดดาลขึ้นมาเช่นกัน


 


 


ม่อซิวเหยา…คิดถึงเมื่อตอนจากใครบางคนมานั้น ถึงแม้เขาจะพยายามปกปิด แต่ก็มิอาจปิดบังแววตาที่เศร้าสร้อยนั้นได้ เยี่ยหลีจึงได้แต่นึกถอนหายใจเบาๆ 

 

 


ตอนที่ 76-3 ตกลงร่วมมือ

 

“คุณชายฉู่กำลังคิดถึงผู้ใดหรือเปล่า” หานหมิงซีเท้าคางมองเยี่ยหลีด้วยความสงสัย หากเขามองไม่ผิด เมื่อครู่เขาเห็นแววตาคิดถึงหรือไม่ก็เป็นห่วงเป็นใยในดวงตาของหนุ่มน้อยที่ลอบจัดและลึกลับผู้นี้


 


 


           “คุณชายหานมาเพื่อคุยเรื่องส่วนตัวเช่นนี้กับข้าน้อยหรือ” เยี่ยหลีปรายตามองเขาก่อนเอ่ยถามเรียบๆ


 


 


           หานหมิงซีขมวดคิ้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้ไม่มีเรื่องอันใด คุยสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


           “พอดีเลย เช่นนั้นคุณชายหานลองพูดเรื่อง…ตำนานเฟิงหลิวของท่านดีหรือไม่ ช่วงนี้ข้าน้อยมีความสนใจเรื่องวรรณกรรมเป็นอย่างมาก ข้าเขียนหนังสือสักเล่มให้ชื่อว่า…เรื่องเล่าคุณชายเฟิงเย่ว์ดีหรือไม่” เยี่ยหลีเหลือบตามองเขายิ้มๆ


 


 


           “เจ้านี่ช่างน่าเบื่อเสียจริง” หานหมิงซีบ่นพึมพำขึ้น ในเมื่อเจ้าฉู่จวินเหวยผู้นี้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์กับเทียนอี้เก๋อได้ เช่นนั้นการที่รู้ว่าน้องชายของคุณชายหมิงเย่ว์ ซึ่งก็คือตัวเขา หานหมิงซี คือคุณชายเฟิงเย่ว์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ก็มิใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใด แต่การที่รู้ถึงชื่อเสียงของเขาแล้วไม่มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์เหมือนคนทั่วไปนั้น ทำให้หานหมิงซีรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูจะน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว “พวกเราถือเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว จะเรียกกันคุณชาย คุณชาย ก็ฟังดูน่าเบื่อเกินไป เรามาเรียกกันด้วยชื่อดีกว่าหรือไม่ ข้าเรียกเจ้าว่าจวินเหวย ส่วนเจ้าเรียกข้าว่าหมิงซีก็พอ”


 


 


           เยี่ยหลีกะพริบตาเบาๆ ทีหนึ่ง จวินเหวย หมิงซีหรือ เหตุใดนางถึงรู้สึกแปลกๆ กับการเรียกเช่นนี้นะ


 


 


           “พี่หาน” เยี่ยหลีจ้องเขาเป็นการเตือนว่าเขาควรพูดเข้าเรื่องได้แล้ว


 


 


           “เอาเถิด จวินเหวยอายหรือ” หานหมิงซีกะพริบดวงตาหวานและมีเสน่ห์ของตน แล้วถือโอกาสก่อนที่เยี่ยหลีจะเอาเรื่อง ปรับสีหน้าของตนให้เป็นการเป็นงาน “สิ่งที่เจ้าต้องการข้าสืบหาให้เจ้าได้เกือบหมดแล้ว แต่เจ้าก็รู้ดีว่าพวกเราอยู่ที่ต้าฉู่ แต่สิ่งที่เจ้าต้องการสืบหาทั้งข่าวสารและผู้คนนั้นอยู่ที่หนานเจียง ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อมูลเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือไว้รอเจ้าเข้าไปยังหนานเจียงก่อน แล้วข้าจะให้คนทยอยส่งไปให้ถึงมือเจ้า เพียงแต่…ข้านึกแปลกใจจริงๆ จวินเหวยเจ้าอายุยังน้อย เหตุใดจึงนึกอยากไปหนานเจียงได้ แต่ต่อให้ไปเพื่อท่องเที่ยว…ก็ดูไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลของราชวงศ์หนานจ้าวและธิดาเทพแห่งหนานเจียงหรอกกระมัง”


 


 


           เยี่ยหลีพูดด้วยสีหน้าเช่นเดิมว่า “ความจริงก็คือ ข้าน้อยไปที่หนานเจียงเพื่อหายาตัวหนึ่ง และยาตัวนี้ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หนานจ้าวและหนานเจียงอยู่”


 


 


           หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงประหนึ่งล้อเล่นว่า “จวินเหวย เจ้าควักเงินจ่ายให้อย่างใจใหญ่ พี่เองก็จะไม่ใจแคบกับเจ้า เจ้าต้องการยาตัวใดบอกข้ามาก็ได้ ข้าจะให้คนนำกลับมาให้เจ้า เหตุใดถึงต้องเดินทางตั้งไกลด้วยตนเองด้วยเล่า อย่างไรเจ้าคงมิได้อยากได้ ‘ดอกโยวหลัวหมิง’ ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของหนานเจียงหรอกกระมัง”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ถูกแล้ว”


 


 


           รอยยิ้มบนใบหน้าของหานหมิงซีหุบลงทันที เขาได้แต่ถอนใจแล้วพูดว่า “เจ้านี่ช่าง…ดอกโยวหลัวหมิงเป็นสมบัติอันล้ำค่าของหนานเจียง มีธิดาเทพของหนานเจียงเป็นผู้ดูแล อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปเลย ต่อให้เป็นท่านอ๋องของหนานจ้าวที่อยากได้ ก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ จวินเหวย เจ้าแน่ใจว่าจะไปจริงๆ หรือ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความแน่วแน่ “หากมิเช่นนั้นแล้ว ข้ามีความจำเป็นอันใดที่จะต้องควักค่าตอบแทนจำนวนมากเช่นนั้นเพื่อซื้อข้อมูลจากเทียนอี้เก๋อหรือ ข้าจะต้องเดินทางไปหนานเจียงให้ได้ ดังนั้นจึงต้องรบกวนให้พี่หานช่วยเตรียมข้อมูลทั้งหมดให้ละเอียดสักหน่อย อย่าให้ตัวข้าไปแล้วมิได้กลับมา จะทำให้ท่านมีคู่ค้าน้อยไปอีกหนึ่งคน”


 


 


           “เท่าที่ข้ารู้ ถึงแม้จะว่ากันว่าดอกโยวหลัวหมิงมีฤทธิ์ทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ แต่เคยมีใครใช้ชุบชีวิตคนหรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่ที่รู้คือคนที่คิดอยากได้มันต้องสละชีวิตกันไปแล้วไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จวินเหวยอยากได้มันไปช่วยชีวิตใครอย่างนั้นหรือ” หานหมิงซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล “เขาป่วยหรือโดนพิษอันใดไป บางทีข้าอาจช่วยเจ้าสืบหาวิธีการรักษาทางอื่นได้”


 


 


           เมื่อเห็นหานหมิงซีดูเป็นกังวลกับนางเช่นนี้ เยี่ยหลีจึงอดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ รีบเอ่ยตอบว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าก็เพียงทำเต็มความสามารถของข้าเท่านั้น หากไม่สำเร็จจริงๆ ข้าก็จะไม่พาตนเองเข้าไปเสี่ยงชีวิตหรอก”


 


 


หานหมิงซีพยักหน้า พร้อมเอ่ยเตือนว่า “เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ ก็ดีแล้ว ที่หนานเจียงนั้นไม่เหมือนกับทางจงหยวนของเรา ที่นั่นมีความโหดเ**้ยมอยู่มาก แม้แต่คนของเทียนอี้เก๋อเราก็มีหลายคราที่ติดอยู่ในหนานเจียงจนออกมาไม่ได้”


 


 


           “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่หานมาก” เยี่ยหลีพยักหน้ารับคำ แล้วหันไปหยิบขวดแก้วเล็กๆ ที่ประณีตงดงามออกมาจากกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ ภายในบรรจุของเหลวที่เขียวอ่อนอยู่กว่าครึ่งขวด “นี่คือสิ่งที่ก่อนหน้านี้ข้ารับปากจะทำให้พี่หาน หวังว่าพี่หานจะพอใจ”


 


 


           หานหมิงซีรับมาด้วยความใคร่รู้ เพียงเปิดฝาขวดออก กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกไม้ก็ลอยขึ้นมาอบอวลไปทั่วห้องโถงใหญ่ทันที หานหมิงซีพูดด้วยความยินดีว่า “นี่คือ…กลิ่นดอกหลัน…”


 


 


           “ถึงแม้กลิ่นนี้ดูจะไม่ถูกกับจริตความชอบของพี่หานสักเท่าไร แต่ตอนนี้คงต้องขอให้ท่านรับไว้ก่อน” อันที่จริงๆ เยี่ยหลีไม่ค่อยเข้าใจผู้ชายที่ชอบทำให้ตนเองมีกลิ่นหอมฟุ้งสักเท่าไรว่าทำไปเพื่ออันใด แต่นางเลือกที่จะเคารพในความชอบของคู่ค้าที่เพิ่งทำความรู้จักกันใหม่ผู้นี้


 


 


           หานหมิงซีมิได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาถือขวดแก้วเล็กๆ ในมือไว้ไม่ยอมปล่อย “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร นี่ดีมากแล้วจริงๆ ขอบคุณจวินเหวยมาก ก่อนหน้านี้ที่จวินเหวยเคยพูดไว้เรื่องเครื่องแป้งและเครื่องหอมของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์และร้านซวินหย่าเก๋อนั้น ก็เป็นอันตกลงตามนี้เลยก็แล้วกัน ต่อไปเครื่องหอมและเครื่องแป้งของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ทั้งหมด จะสั่งจากร้านซวินหย่าเก๋อ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นก็ขอบคุณพี่หานมาก”


 


 


           “ไม่ต้องขอบคุณๆ อย่างไรพวกเราก็ถือว่าอำนวยประโยชน์ซึ่งกันและกันนี่ จวินเหวย ครั้งหน้าเจ้าให้กลิ่นที่แรงกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ สิ่งนี้ดูจะดีกว่าเครื่องหอมอยู่มาก หากวางขายที่ซวินหย่าเก๋อจะต้องทำเงินได้มากอย่างแน่นอน”


 


 


           เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “สิ่งนี้ทำไม่ง่ายเท่าไรนัก แม้แต่ของที่อยู่ในมือพี่หาน ในซวินหย่าเก๋อก็มีเพียงห้าขวดเท่านั้น อีกเรื่องหนึ่ง…พี่หาน อันที่จริงข้ามีคำถามที่อยากถามมาตลอด”


 


 


           “เชิญถามได้เลย ข้าเป็นพี่ หากข้าตอบได้ ข้าก็จะตอบให้เจ้ารู้อย่างไม่ปิดบัง” เมื่อได้ของดีมาครอบครอง หานหมิงซีจึงอารมณ์ดีมากอย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็น จึงโบกมือขึ้นพร้อมพูดอย่างไม่ใส่ใจ


 


 


           เยี่ยหลีมองเขา ก่อนพูดว่า “ด้วย…งาน…เช่นนั้นของท่าน การที่ท่านทำตัวให้หอมฟุ้งเช่นนี้ท่านจะทำงานสะดวกหรือ” หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปยังไม่เท่าไร แต่หากเขาไปเด็ดดอกไม้ในบ้านคนที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา หรือคนที่มีวิทยายุทธ์แล้ว กลิ่นหอมเช่นนี้ หากไม่จมูกเสียจริงๆ อย่างไรก็ต้องได้กลิ่นมิใช่หรือ


 


 


           หานหมิงซีอึ้งไป ครู่ใหญ่ถึงได้เข้าใจว่างานที่เยี่ยหลีพูดถึงนั้นหมายถึงสิ่งใดจึงหันไปถลึงตาใส่นางอย่างไม่นึกสนุกด้วย “เจ้ายังเป็นแค่เด็กอมมือ จะมาเข้าใจความซับซ้อนของชายหนุ่มได้อย่างไร พวกสาวสวยทั้งหลายชื่นชอบกลิ่นหอมของข้ากันทั้งนั้น”


 


 


           เยี่ยหลีพูดต่อไม่ถูก คิดว่านางไม่เคยเจอผู้ชายมาก่อนหรือไร น้องห้าตระกูลสวี แล้วยังม่อซิวเหยา เฟิ่งจือเหยา รวมถึงม่อจิ่งหลีด้วยนั้น แต่ละคนอย่างมากก็เพียงประพรมกลิ่นหอมอ่อนๆ ลงบนเสื้อผ้าเท่านั้น อย่างกลิ่นหลงเหยียน กลิ่นเซ่อ หรือกลิ่นถานพวกนั้น อย่างม่อซิวเหยาคงเพราะอยู่แต่ในห้องหนังสือเป็นเวลานานๆ ทำให้บนตัวมีกลิ่นหมึกอ่อนๆ อยู่ แต่นางมิเคยเห็นผู้ชายคนใดที่ใช้กลิ่นหอมที่เย้ายวนเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงไม่ทำตัวเองให้เหมือนที่จุดกำยานไปเลยเล่า


 


 


           หลังจากที่นางรับปากว่าหลังจากกลับจากหนานเจียงแล้ว จะลองดูว่าสามารถทำเครื่องหอมที่ดีกว่านี้ให้เขาได้หรือไม่ และส่งหานหมิงซีที่มีสีหน้าไม่อยากไปกลับไปแล้ว เยี่ยหลีถึงได้นั่งลงดูของที่หานหมิงซีนำมาให้


 


 


           “คุณชาย พวกเราจะออกเดินทางไปหนานเจียงกันเมื่อไรหรือขอรับ” องครักษ์ลับสามและสี่วางของที่เยี่ยหลีสั่งให้ซื้อกลับมาไว้ให้เยี่ยหลีดู พร้อมหันมองเยี่ยหลีที่นั่งอ่านม้วนกระดาษอยู่


 


 


เยี่ยหลีไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เพียงมองจ้องม้วนกระดาษในมือพร้อมเอ่ยว่า “เรื่องในกว่างหลิงจัดการไปได้พอสมควรแล้ว มะรืนนี้จะออกเดินทางแต่เช้า พวกนี้พวกเจ้าก็ลองอ่านดูเสียหน่อย” นางพูดพร้อมกับดึงกระดาษสามสี่แผ่นออกมา องครักษ์ลับหนึ่งและสองรับมาพร้อมหาที่นั่งนั่งลงตั้งใจอ่าน


 


 


           “อีกเรื่อง มะรืนนี้ที่ข้าไป พวกเจ้าตามข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”


 


 


           ทั้งสี่คนวางงานในมือลงโดยพร้อมเพรียงกัน มองสีหน้าเรียบเฉยของเยี่ยหลีด้วยคามตกใจ “พระชายา…คุณชาย นี่…” องครักษ์ลับหนึ่งขมวดคิ้ว หนานเจียงไม่เหมือนกับจงหยวน พวกเขาไม่คุ้นเคยกับทั้งสถานที่และผู้คน การที่พระชายาพาผู้ติดตามไปด้วยเพียงคนเดียวนั้นอันตรายเกินไป


 


 


เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้พวกเขา “พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าหากพวกเราไปกันห้าคนจะเป็นที่สะดุดตาเกินไป คนทางหนานเจียงไม่เป็นมิตรกับคนต่างถิ่น กลุ่มพวกเรานี้ เพียงแค่เหยียบเข้าไปทางหนานเจียงก็คงถูกจับตามองแล้ว”


 


 


           “แต่คุณชายขอรับ ท่านพาคนติดตามไปคนเดียวนั้นอันตรายเกินไป หากเกิดอันใดขึ้น…” องครักษ์ลับสามเอ่ย


 


 


           “พวกเจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือไม่เชื่อใจตนเองหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วพร้อมเอ่ยถาม


 


 


           ทั้งสี่หันมองหน้ากัน คิดหาเหตุผลมาตอบโต้ไม่ถูก เยี่ยหลีหัวเราะ “เอาล่ะ ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน องครักษ์ลับสามไปกับข้า องครักษ์ลับสี่ เจ้าอยู่ที่นี่ คอยลอบจับตาดูหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ไว้ หากหานหมิงเย่ว์กลับมาหรือมีความเคลื่อนไหวใดๆ ให้รีบส่งจดหมายไปบอกข้าทันที ระวังด้วยอย่าให้พวกมันรู้ตัวได้ องครักษ์ลับหนึ่ง เจ้าไปที่ด่านซุ่ยเสวี่ย หาทางสร้างความวุ่นวายให้กับค่ายทหารที่นั่น หากข้าไม่ส่งจดหมายไปบอก เรื่องอื่นเจ้าก็ไม่ต้องสนใจ ไม่ว่าพบคนของเราหรือคนของตำหนักอ๋องคนใดก็ตาม ก็ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แล้วลอบสังเกตการณ์สถาณการณ์ในหลิงโจวด้วย องครักษ์ลับสอง เจ้าออกเดินทางคืนนี้ นำของกับจดหมายไปให้พี่ใหญ่ข้าที่หนานเจียง เมื่อหาตัวเขาพบแล้วก็คอยติดตามอยู่ข้างกายเขาเสียเลย”


 


 


           เมื่อทั้งสี่เห็นว่าเยี่ยหลีกะเกณฑ์ทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วจึงได้แต่พยักหน้ารับคำสั่ง เยี่ยหลีอมยิ้มมองพวกเขา “หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ห้ามติดต่อกับคนในเมืองหลวง ข้าว่า…พวกเจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าอันใดที่เรียกว่าคราวจำเป็นจริงๆ”


 


 


           ทั้งสี่ได้แต่ตอบรับ องครักษ์ลับสามดึงผมตัวเองด้วยสีหน้าห่อเ**่ยว คนที่เหลือทั้งสามคนได้แต่ส่งสายตาเห็นใจมาให้ เขาต้องถูกท่านอ๋องจับแยกร่างเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน


 


 


           เยี่ยหลีไม่มีเวลาจะมานั่งสนใจความรู้สึกของลูกน้องตน นางจ้องข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพแห่งหนานเจียงอย่างครุ่นคิด ธิดาเทพแห่งหนานเจียงมิได้เป็นเพียงชื่อลอยๆ แต่ไม่มีอำนาจอย่างที่นางคิดไว้ในคราแรก กลับกันธิดาเทพแห่งหนานเจียงมีอิทธิพลต่อการเมืองของหนานจ้าวอยู่พอสมควรทีเดียว ในบางเรื่องนางดูจะมีอำนาจเหนือราชวงศ์ของหนานจ้าวเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ธิดาเทพมิอาจแต่งงานและมีทายาทได้ อีกทั้งหากมีธิดาเทพคนใหม่เกิดขึ้น ธิดาเทพคนเก่าจะต้องเข้าไปอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองดอกโยวหลัวหมิง ไม่สามารถออกนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือพบหน้าคนด้านนอกได้อีกเลยตลอดชีวิต ดังนั้นจึงทำให้พวกนางไม่เป็นภัยที่ร้ายแรงต่ออำนาจการปกครองสักเท่าไรนัก ธิดาเทพคนปัจจุบันมีชื่อว่า ซูม่านหลิน ปีนี้อายุยี่สิบสามปี แต่กฎของหนานเจียงมีอยู่ว่า ธิดาเทพจะต้องสละตำแหน่งเมื่ออายุครบยี่สิบแปดปี


 


 


           เยี่ยหลินขมวดคิ้ว ในใจได้แต่คาดเดาว่าที่ธิดาเทพแห่งหนานเจียงต้องการก่อกบฎจะด้วยเพราะเหตุนี้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรการที่หญิงสาวอายุยี่สิบแปดปีที่เคยได้รับความเคารพนับถืออย่างหาที่สุดไม่ได้จะต้องถูกจับไปขังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันใดไม่รู้อะไรนั่น ทั้งยังไม่อนุญาตให้พบเจอคนภายนอก ไม่ว่ากับใครก็น่าจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายพอดูทีเดียว


 


 


           “คุณชาย พวกเราจะไปเอาดอกโยวหลัวหมิงจริงๆ หรือขอรับ” องครักษ์ลับสามเห็นเยี่ยหลีจ้องกระดาษข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพในมือ แล้วจึงอดถามขึ้นด้วยความอยากรู้ไม่ได้


 


 


           เยี่ยหลีตอบอย่างใจลอยว่า “หากสามารถเอามาได้ แน่นอนว่าย่อมดี แต่เรื่องที่ต้องจัดการในหนานเจียงนั้นต้องมาก่อน” จากนั้นค่อยสอบถามว่าดอกโยวหลัวหมิงมีประโยชน์ต่อร่างกายของม่อซิวเหยาหรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม