ยอดสตรีฉางอิ๋ง 75-81

 ตอนที่ 75 เขามาแล้ว

โดย

Xiaobei

                นอกจากคนที่มาบอกข่าวที่เรือนเสียซวงจะเปลี่ยนจากซวงหลี่มาเป็นซวงจูแล้ว และครานี้ขาดซ่งไจ้เถียนไปผู้หนึ่ง มิเช่นนั้นการเข้าคารวะหนนี้ก็จักเหมือนกับคราวก่อนไม่มีผิด


                เรือนด้านหลังยังคงเงียบงันเช่นเดิม ที่นั่งของเว่ยฮ่วน แม่เฒ่าซ่ง และยังมีเซียงหนิงปั๋วหรือเสิ่นโจ้วก็ไม่ได้เปลี่ยนไป


                เว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีสำรวมเช่นคราวก่อน เพียงแต่ฝีเท้าที่ก้าวเข้าไปภายในกลับมีบางสิ่งไม่เหมือนคราวก่อน… นางเดินช้าลงกว่าเดิม แต่ละก้าวล้วนมั่นคงนัก มั่นคงเสียจนเกือบจะถึงขั้นจงใจ นี่ไม่เพียงแค่เพราะร่างกายยังไม่ฟื้นคืนดังเดิม แต่ยังเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกตื่นเต้นที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อต้องมาพบกับคนบ้านเสิ่นในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งยังมีความตื้นตันและคาดหวังแฝงอยู่ภายในด้วย


                 แน่นอนว่า ความรู้สึกที่มีมากที่สุดคือ กังวลใจ


                เมื่อคารวะผู้ที่ควรคารวะภายในห้องแล้ว ครานี้ไม่มีซ่งไจ้เถียนให้ต้องแนะนำ แม่เฒ่าซ่งจึงเรียกนางมายืนข้างๆ รอจนนางยืนเข้าที่แล้ว ก็ได้ให้เซียงหนิงปั๋วเสิ่นโจ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจว่า “เด็กคนนี้ผมลงกว่าคราก่อนมาก… น่าสงสารเสียจริงๆ!”


                แม้จะรู้ว่าส่วนใหญ่เป็นเพียงคำกล่าวตามมารยาท แต่เว่ยฉางอิ๋งฟังแล้วก็พลันคัดจมูกขึ้นมา ดวงตาก็เคืองจนยากจะทนไหว


                นางพยายามสะกดเอาไว้เต็มแรง แล้วก้มหน้ายืน ไม่ส่งเสียงใด


                เว่ยฮ่วนตอบคำด้วยน้ำเสียงที่หนักเช่นกัน “คนภายนอกเบาปัญญา ทั้งยังมีคนจงใจพัดให้ไฟยิ่งโหม ให้ร้ายผู้บริสุทธิ์!”


                “ท่านจิ่งเฉิงโฮ่วทำการครานี้ แม้โดยนามแล้วจะทำเพราะคำนึงถึงท่านเว่ย แต่กลับไม่เหมาะควรเลยจริงๆ…” แม้เสิ่นโจ้วจะพูดจาเช่นเดิม ยังคงมีเสียงกังวานคล้ายระฆัง เขากล่าวเงียบๆ ว่า “เป็นถึงเสนาบดีฝ่ายปกครองแท้ๆ แต่กลับเบาปัญญาเช่นนี้ ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก!”


                “อาจเพราะเขามีไหวพริบมากเกินไปก็เป็นได้” เว่ยฮ่วนกล่าวอย่างเป็นนัยแล้วยิ้มจางๆ


                เสิ่นโจ้วนิ่งเงียบ แล้วว่า “ท่านเว่ยกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง เพียงแต่ไหวพริบแม้จะสามารถแก้ไขเรื่องเฉพาะหน้าได้ แต่ก็เกิดจากความเร่งร้อนเกินไป…”


                บทสนทนาของพวกเขานี้ แม่เฒ่าซ่งมิได้เอ่ยแทรก เพียงแต่ยกถ้วยน้ำชาตรงหน้าขึ้นมาแล้วค่อยๆ ดื่มเท่านั้น เมื่อวางลง น้ำชาในแก้วก็เหลือเพียงครึ่งถ้วยแล้ว เมื่อเห็นดังนั้น สาวใช้ซวงหลี่จึงได้แอบดึงเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังก้มหน้านิ่งเงียบอยู่ให้มองไปที่ถ้วยน้ำชานั้น


                เว่ยฉางอิ๋งจึงเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน ยามนี้แม้จิตใจนางยังไม่สงบ แต่ก็ยังสามารถรินน้ำชาเติมให้ท่านย่าได้ นางจึงดึงแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย แล้วยกกาน้ำชาขึ้น เอาปากกาน้ำชาจ่อที่ถ้วยชา… ในกามีน้ำชาอยู่เต็ม จึงใช้ปลายนิ้วมือกดไปที่ฝากาเบาๆ และมีน้ำชาไหลออกมา


                ทว่า…


                ถ้วยชาใบไม่ใหญ่ยังไม่ทันถูกเติมจนเต็ม โดยไม่มีวี่แววใด จู่ๆ มือของเว่ยฉางอิ๋งข้างที่อยู่ชิดกับแม่เฒ่าซ่งและซวงหลี่ก็ถูกผลักอย่างแรงหนหนึ่ง!


                แรงที่ผลักมาคราวนี้ทั้งมาอย่างฉับพลันและรุนแรง เว่ยฉางอิ๋งไม่ทันได้ตั้งตัวแต่อย่างใด นางทำกาน้ำชาหลุดมือออกไปยังไม่พอ ในชาในกาพลันสาดโดนแขนเสื้อทั้งสองข้างของนางจนเปียกไปหมด กระทั่งแม่เฒ่าซ่งยังพลอยโดนน้ำกระเซ็นมาถูกกระโปรงหลัวฉวินจีบกว้างจนเปียก!


                เหตุการณ์ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นที่ทำให้เว่ยฮ่วนและเสิ่นโจ้วหยุดการสนทนาลงพลัน และหันกลับมามองด้วยความประหลาดใจ!


                แม่เฒ่าซ่งมีท่าทีสงสารหลานสาวเป็นอย่างมาก ไม่ทันได้ขอขมาเสิ่นโจ้ว ก็รีบลุกขึ้นยืน แล้วเข้าไปประคองแขนหลานสาว ถามว่า “เป็นเช่นไร เป็นเช่นไร? โดนน้ำร้อนลวกหรือไม่?”


                คงเพราะนางร้อนใจเกินไป ด้วยอยากตรวจดูบาดแผลของหลานหลานสาวที่ใต้แขนเสื้อซึ่งเปียกไปหมด ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหลงลืมไปว่าในห้องโถงยังมีเสิ่นโจ้วและพวกบ่าวของเขาอยู่ด้วย ไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งตอบความ มือของนางก็ปรี่เข้าไปเปิดแขนเสื้อของเว่ยฉางอิ๋งขึ้น… ใต้แขนเสื้อที่มีไอร้อนผ่าว ก็คือลำแขนงามดังหยกที่ขาวผุดผ่องปานหิมะ ประเด็นสำคัญคือแต้มพรหมจรรย์สีแดงสดบนข้อมือ ที่ยังคงแจ่มชัดและสะดุดตา ชัดเจนดังเช่นแต้มดอกเหมยที่หว่างคิ้วของเว่ยฉางอิ๋งในวันนี้ที่ยิ่งขับให้ผิวพรรณยิ่งดูขาวผุดผ่องยิ่งขึ้น


                แม่เฒ่าซ่งยังคงมีอาการตื่นตระหนกอยู่เป็นนาน คล้ายจะพูดกับตัวเอง บางทีก็คล้ายจะพูดให้คนในโถงฟัง พูดย้ำไปย้ำมาว่า “เจ็บหรือไม่? หือ? เจ็บหรือไม่?” ระหว่างพูด ฮูหยินผู้เฒ่าก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดที่แต้มพรหมจรรย์ เหมือนจักกังวลว่าน้ำชาที่ยังเหลืออยู่จะทำหลานสาวบาดเจ็บมากยิ่งขึ้นไปอีก…


                หนึ่งหน สองหน สามหน…


                ฮูหยินผู้เฒ่าเช็ดแรงมาก เมื่อเอาผ้าออก ผิวที่เดิมทีขาวเนียนดังหิมะก็กลับเป็นสีแดงขึ้นมา


                แต่แต้มพรหมจรรย์นั้นยังคงมีสีสดดังเดิม


                …แน่นอนว่ามิใช่เพิ่งจะแต้มขึ้นมาเร็วๆ นี้


                บรรดาคุณหนูในตระกูลใหญ่ จะมีผู้ใหญ่แต้มให้ตั้งแต่เล็ก หลังจากนั้นจนกระทั่งออกเรือนก็จะคอยหมั่นตรวจดูเสมอ เพื่อมิให้เกิดเหตุผิดพลาดที่ไม่ยอมให้พวกผู้ใหญ่ล่วงรู้ และถือเป็นการเตือนพวกนางให้รักษาจารีตประเพณี ไม่กล้าทำเรื่องลบหลู่ธรรมเนียมของตระกูล


                นี่เป็นแต้มพรหมจรรย์ของจริง ซึ่งแต้มให้นางตั้งแต่เป็นทารก โดนน้ำไม่เลือน แม้เนิ่นนานสียังแจ่มชัด มีเพียงหลังคืนแต่งงาน ผลัดความเป็นเด็กของหญิงสาวออกไปและกลายมาเป็นฮูหยิน จึงจะค่อยๆ เลือนหายไป


                เว่ยฉางอิ๋งก้มหน้าลง มองมันอย่างช้าๆ  ฟังคำปลอบประโลมเสียงอ่อนโยนของท่านย่า แล้วค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของตนลง ยามนั้นเองจึงได้หันไปคราวะเสิ่นโจ้ว… แม่เฒ่าซ่งและเสิ่นโจ้วพูดสิ่งใดนางล้วนฟังไม่ถนัด ในใจมีเสียงทอดถอนใจอย่างลมพัดแผ่วเบาว่า ‘ที่แท้ ที่ท่านย่ารีบเรียกตนมาในยามนี้… ก็เพื่อกาน้ำชากานี้ หรือพูดได้ว่า เป็นการบอกกล่าวต่อเสิ่นโจ้วทั้งโดยอ้อมและโดยตรง ว่าตนเองยังคงบริสุทธิ์อยู่เช่นนั้นรึ?’


                …ไม่เกี่ยวกับว่างานแต่งหนนี้จะสำเร็จหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลเว่ยก็จะไม่ยอมให้นางต้องแบกรับชื่อเสียงว่าไม่บริสุทธิ์


                ดังนั้นแต้มสีแดงบนแขนของเว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องทำให้เสิ่นโจ้ว ทำให้บ่าวไพร่ที่ติดตามเขามา และทุกคนในห้องโถงนี้ได้เห็นด้วยตา ยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งมาก็จักต้องได้เห็นในทันใด


                ตระกูลเว่ยไม่แต่งงานครานี้ไม่เป็นไร ทว่ากลับไม่อาจปล่อยให้เสิ่นโจ้วคิดว่าเว่ยฉางอิ๋งถูกข่มเหงจริงๆ!


                ตระกูลเสิ่นไม่อาจแน่ใจว่าเว่ยฉางอิ๋งถูกข่มเหงจริงหรือไม่ อย่างไรก็จะต้องเกิดความเคลือบแคลงใจ หากถอนหมั้นเพราะเหตุนี้ก็จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ยามนี้เสิ่นโจ้วได้เห็นแต้มพรหมจรรย์ของแท้อย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นหากถอนหมั้นในสถานการณ์เช่นนี้ เท่ากับเป็นการทำให้ตระกูลเสิ่นไม่ต้องหนักใจ ทั้งยังเป็นการคำนึงถึงตระกูลเสิ่นด้วย… ดังนี้แล้วต่อให้ถอนหมั้น ตระกูลเสิ่นก็จะต้องรู้สึกติดค้างตระกูลเว่ย


                แม้เสิ่นโจ้วจะเป็นชายแต่ก็เป็นผู้อาวุโส ทั้งยังอยู่ต่อหน้าเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่ง…เมื่อครู่นี้ทุกคนต่างเห็นชัดเจนว่าน้ำชาร้อนมากเพราะเพิ่งชงมาใหม่ แม่เฒ่าซ่งรักใคร่ทะนุถนอมหลานสาวเพียงคนเดียว จึงรีบตรวจดูข้อมือที่อาจจะถูกน้ำร้อนลวก โดยไม่ทันห่วงว่ากำลังอยู่ต่อหน้าแขก ก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล…ซึ่งเจตนาที่แผงอยู่ภายนั้นคาดเดาได้ไม่ยาก ทว่าต่อให้เปิดออกมาก็หาต้องหวั่นเกรงว่าจะมีคนคิดเล็กคิดน้อย… เพราะแขนเสื้อเป็นฮูหยินผู้เฒ่าดึงขึ้น หาใช่เว่ยฉางอิ๋ง ผู้ใหญ่สงสารเด็ก ทำการเร่งร้อนไปสักหน่อย ก็ด้วยความรักที่มีต่อหลาน เหตุผลนี้ก็เข้าใจได้


                ทุกสิ่งจึงออกมาสมบูรณ์แบบ


                ในเวลาแรกที่เสิ่นโจ้วมาถึง ตระกูลเว่ยก็ใช้วิธีเช่นนี้พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าความบริสุทธิ์ของเว่ยฉางอิ๋งยังคงอยู่ ต่อจากนี้…สัญญาแต่งงานจะยังคงมีต่อไปหรือไม่ แล้วจักปฏิบัติต่อตระกูลเว่ยด้วยท่าทีเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับตระกูลเสิ่นแล้ว


                ดีชั่วอย่างไร ตระกูลเว่ยก็แสดงให้เห็นชัดแจ้งแล้วว่า… เว่ยฉางอิ๋งนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง เรื่องที่ภายนอกว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่บริสุทธิ์ล้วนเป็นเพียงการสร้างข่าวลือ


                หากตระกูลเสิ่นยังคงชักช้า อย่างไรก็จักต้องเป็นฝ่ายผิดอยู่บางส่วน


                เว่ยฉางอิ๋งไม่คัดค้านวิธีเช่นนี้ และไม่ได้ยอมรับว่าจำเป็นต้องทำ ความบริสุทธิ์ที่นางมีเป็นเรื่องจริง ตระกูลเว่ยไม่จำเป็นต้องเสียเปรียบเพราะเรื่องนี้ ทว่าแม้จะเข้าใจเช่นนี้ก็กลับไม่อาจหยุดความเศร้าโศกในใจของนางได้… จักมีหญิงสาวสักกี่คนที่ก่อนแต่งงาน แล้วจำเป็นต้องคอยพะวงเรื่องพิสูจน์ให้บ้านสามีได้เห็นว่าตนบริสุทธิ์?


                เพียงแค่ทำเช่นนี้ นางก็รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยลงไปอีกโดยไม่มีสาเหตุแล้ว…


                เรื่องแต่งงานหนนี้ ไม่อาจดำเนินต่อไป…จริงๆ เช่นนั้นหรือ?


                ซวงหลี่ประคองแขนของนางขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล แล้วลอบออกแรงกดไปคราหนึ่ง เป็นการบอกว่านางควรจะพูดอะไรสักหน่อย ปากก็กล่าวด้วยเสียงไม่สูงไม่ต่ำว่า “วันสองวันมานี้คุณหนูใหญ่ค่อนข้างเพลีย ข้าน้อยประคองคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ…”


                เว่ยฉางอิ๋งได้สติคืนมา พยายามรักษาอาการให้อยู่ในท่าสำรวม แล้วก้มตัวลงเป็นการขอตัวให้ตนออกไปจัดการกับเสื้อผ้าและหน้าตาสักหน่อย


                แม่เฒ่าซ่งเองก็กล่าวขอขมาเสิ่นโจ้ว เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงว่า “เจ้าออกไปกับข้า ข้าก็ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน”


                เมื่อออกจากประตู แม่เฒ่าซ่งกุมมือหลานสาวเอาไว้แน่น คล้ายต้องการพูดบางสิ่ง แต่กลับชะงักเอาไว้ จากนั้นเกือบเค่อจึงได้เอ่ยเสียงต่ำออกมา “ร้อนหรือไม่? เจ็บหรือไม่?”


                “ไม่ร้อน ไม่เจ็บเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งส่ายหัว นางมิได้กล่าวเท็จ น้ำชากานั้นแม้จะร้อน แต่กลับไม่ถึงขั้นลวกมือ… แม่เฒ่าซ่งเพียงต้องการโอกาสที่จะเปิดแขนเสื้อของหลานสาวอย่างเปิดเผย แล้วจักให้เว่ยฉางอิ๋งถูกน้ำร้อนลวกจริงๆ ได้อย่างไร? ส่วนเรื่องที่แม่เฒ่าซ่งออกแรงเช็ดแขนนางสองสามหนนั้น… ด้วยเว่ยฉางอิ๋งเข้าใจเจตนาของท่านย่าอย่างแจ่มแจ้ง จึงยิ่งทำให้ไม่รู้สึกว่าเจ็บ


                สิ่งที่นางเห็น คือการใคร่ครวญวางแผนและความรักใคร่อย่างเต็มเปี่ยมที่ฮูหยินผู้เฒ่าทุ่มเทให้หลานๆ มาโดยตลอดอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย…


                “กลับไปก่อนเถิด” แม่เฒ่าซ่งมองดูท่าทีของหลานสาว ว่านางรู้ความแล้วหลังจากปลงตก แต่กลับยังคงเจ็บปวดอยู่ภายในใจจนยากเอ่ยคำ เด็กที่เป็นเช่นนี้ การแต่งงานที่ดีงามเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องถูกทำร้ายจนถึงเพียงนี้ด้วย? หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงอดจะยุยงให้เว่ยฮ่วนลงมือให้เร็วกว่านี้ไม่ได้ รวมทั้งจัดการพวกที่ได้ชื่อว่าวางแผนทำร้ายคนบ้านใหญ่ และส่งเว่ยเจิ้งหย่าไปให้พ้นๆ เสียตั้งนานแล้ว


                แต่ยามนี้ทุกสิ่งล้วนสายเกินไปเสียแล้ว…


                ทำได้เพียง… ฟังสวรรค์บัญชาเท่านั้น!


                ย่าหลานทั้งสองคนมีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่ภายใจจนยากเอ่ยคำ พากันยืนนิ่งอยู่บนระเบียบทางเดินภายนอกโถงอยู่เกือบเค่อ จึงค่อยแยกย้ายกันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตน แต่กลับได้ยินเสียงเอะอะดังมากจากข้างหน้า


                ฮูหยินผู้เฒ่าให้เว่ยฉางอิ๋งกลับไปที่เรือนเสียซวงก่อน ตนเองขมวดคิ้วแล้วถามบ่าวที่อยู่ซ้ายขวาว่า “ข้างหน้าเกิดเรื่องใดขึ้น? มิเห็นหรือว่าเซียงหนิงปั๋วกำลังอยู่ข้างใน?” นางคะเนในใจว่าผู้ที่สามารถมาทำเสียงเอะอะในยามนี้คงจะมีความเกี่ยวข้องกับจวนจิ้งผิงกงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้… แต่ต่อให้ทางจวนนั้นเกิดเรื่องใหญ่โตเพียงใด มีหรือจะเทียบได้กับเรื่องสัญญาแต่งงานของหลานสาวตนจะดำเนินต่อไปหรือไม่?


                ฮูหยินผู้เฒ่าคิดคำนวณในใจ ไม่ว่าคนที่มาจะเป็นผู้ใด มาด้วยสาเหตุใด ขอเพียงเกี่ยวพันกับจวนจิ้งผิงกง นางจักไม่ไต่ถามแยกแยะใดๆ ทั้งสิ้น แต่จักจัดการไปเสีย ค่อยว่ากันทีหลัง!


                ไม่คิดว่าสาวใช้ที่ให้ไปสอบถามเรื่องราวเพิ่งจะยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไปที่ระเบียงทางเดินด้านข้างเพียงสิบกว่าก้าว ในประตูทรงโค้งวงพระจันทร์ข้างหน้านั้น พลันมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น


                คนที่อยู่ข้างหน้านั้นสวมงอบ สวมชุดจิ่นเผาตัวยาวสีแดงสด รองเท้ายาวสีเขียวครามลายเมฆมงคล พื้นรองเท้าหนา บนรองเท้ายาวมีรอยดินโคลนเปรอะเปื้อน ที่ชายเสื้อตัวยาวและปลายแขนเสื้อยิ่งมีรอยเปียกอยู่หลายแห่ง ในรุ่ยอวี่ถังปูพื้นด้วยอิฐ ดังนั้นรอยดินโคลนนี้จึงมีเพียงไปโดนจากภายนอกมา ดูจากตำแหน่งรอยเปื้อนแล้วเห็นชัดว่าจักต้องขี่ม้าบนทางที่เป็นดินในระยะทางที่ไม่สั้นเลย


                คนผู้นี้รีบร้อนเข้ามา จังหวะการก้าวเท้ารุนแรงดุดัน แตกต่างกับคนปกติเป็นอย่างมาก งอบที่เขาสวมนั้นใช้ตอนอยู่บนหลังมา เพราะมีความกว้างเป็นอย่างมาก แม้ตัวเขาจะสูงใหญ่ แต่งอบก็กลับปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง จากมุมของแม่เฒ่าซ่งที่มองไป เห็นเพียงริมฝีปากบางที่ปิดสนิทซึ่งอยู่ใต้งอบลงมาเท่านั้น จากการแต่งกายจนถึงรูปร่าง จนถึงบุคลิกท่าทาง จนถึงสิ่งที่ลอบมองเห็นใต้งอบนี้ ล้วนไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง ทำให้แม่เฒ่าซ่งทั้งรู้สึกตื่นตระหนกและมีโทสะ… แม้แต่เว่ยฉางเฟิงยังไม่เคยบุ่มบ่ามบุกเข้ามาในเรือนหลังเช่นนี้! คนผู้นี้เป็นผู้ใดกัน?! บังอาจบุกเข้ามาอย่างไร้สาเหตุ แท้จริงแล้วมีวัตถุประสงใด? แล้วพวกองครักษ์ไยปล่อยให้เขาเข้ามา?!


                ฮูหยินผู้เฒ่าบันดาลโทสะเสียจนควันออกหู เมื่อมองออกไปกลับเห็นว่าข้างหลังคนนี้ผู้มีองครักษ์ตั้งแต่ที่ลานหน้าจวนจนถึงที่เรือนหลังเดินตามมา ในนั้นยังมีพ่อบ้านแม่บ้านและบ่าวไพร่ที่รับใช้เป็นประจำอีกหลายคน เรียกได้ว่าเป็นขบวนยิ่งใหญ่เอาการ แต่ว่าคนเหล่านี้…ทั้งพ่อบ้านแม่บ้านและบ่าวไพร่ล้วนมีสีหน้าจนใจเต็มกลืน พวกองครักษ์ล้วนเอามือทาบไว้บนมีด แต่กลับมีท่าทีลูบหน้าปะจมูก หามีผู้ใดกล้าลงมือไม่


                เมื่อมองเห็นสายตาตื่นตระหนกและโกรธเกรี้ยวของฮูหยินผู้เฒ่ามองมา แม่บ้านผู้ดูแลนอกเรือนผู้หนึ่งหัวไว จึงรีบสาวเท้ารวบสามก้าวเป็นสองก้าว วิ่งมาข้างหน้าสองสามก้าวแล้วบอกว่า “รายงานฮูหยินผู้เฒ่า…”


                ยังมิทันสิ้นเสียงของแม่บ้านผู้นี้ คนชุดแดงผู้นั้นถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แล้วพลันหยุดเดิน เมื่อเขาหยุด คนอื่นๆ ก็พากันหยุดเดินโดยไม่ทันรู้ตัว เมื่อเห็นแม่เฒ่าซ่ง ต่างก็หันหน้ามามองกัน แต่เห็นคนชุดแดงผู้นั้นหาได้สนใจสิ่งใดไม่ ยังคงเอื้อมมือไปปลดงอบบนศีรษะออกท่ามกลางฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา


                คนผู้นี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มในวัยที่ยังมิได้สวมหมวก สองคิ้วเอียงชี้ขึ้น ดวงตาลึกล้ำสว่างใส…สว่างใสเสียจนเมื่อปลดงอบลง แม้แต่แม่เฒ่าซ่งยังรู้สึกว่าในดวงตาทั้งคู่นี้มีพลังอำนาจรุนแรงที่ประเดประดังออกมา ไม่เพียงแค่ดวงหน้าที่หล่อเหลาเร่งเร้าใจ ท่าทางการยืนของเขาก็เห็นชัดว่าผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน เพียงแค่หยุดเดินก็ยืนตรงสง่าดังท่อนทวน! มีความเฉียบคมที่โดดเด่นเกินคนแสดงออกมาในทุกท่วงที!


                ความเฉียบคมนี้ทำให้สภาพทุลักทุเลด้วยอาภรณ์และรองเท้าที่เปรอะเปื้อนโคลนถูกกดลงไปเสียสิ้น แม้แต่ความหล่อเหลาที่พลุ่งพล่านลุกโชนในตัวเขา ยังไม่ทำให้คนประทับใจได้เท่ากับความเฉียบคมเช่นนี้


                ในยามนี้ ตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่เลื่องชื่อทั้งหลาย ล้วนพากันให้คุณค่ากับราศีที่อบอวลอ่อนละมุนทว่าสง่างาม ต่างนับหน้าถือตาความความสง่าเย้ายวนใจที่สูงส่งบริสุทธิ์เกินคน ประหนึ่งผู้สูงส่งที่เร้นกายอยู่ท่ามกลางหุบเขา ใต้ลำน้ำหนีจากทางโลก ดังเช่นเว่ยเจิ้งหง ดังเช่นเว่ยซินหย่ง แม่เฒ่าซ่งเห็นพี่น้องในตระกูลที่เป็นเช่นเว่ยเจิ้งหงมาจนเจนตาแล้ว ทว่ายังเพิ่งจะได้เห็นคนรุ่นหลังที่มีความเฉียบคมแจ่มชัดเช่นนี้เป็นหนแรก ยิ่งไปกว่านั้นความเฉียบคมแจ่มชัดนี้ยังสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ สมเหตุสมผลและไม่อาจจะปิดบังได้เลยแม้แต่น้อย ถึงกับหลงลืมไถ่ถามเขา ได้แต่ยืนนิ่งเหม่อมองดูเขา


                เมื่อชายหนุ่มชุดแดงเห็นนางมองมา ยังคงมิได้มีอาการสะทกสะท้านใดๆ เขาเอางอบส่งให้เด็กหนุ่มชุดเขียวครามคนหนึ่งที่ตามมาข้างหลังติดๆ ซึ่งดูท่าว่าจะเป็นเด็กรับใช้ถือเอาไว้ จัดเสื้อผ้าเล็กน้อย จากนั้นจึงประสานมือโค้งตัวลงต่ำคาราวะแม่เฒ่าซ่งที่อยู่บนระเบียงทางเดิน แล้วกล่าวเสียงกังวานว่า “หลานเขยเสิ่นจั้งเฟิง คราวะท่านย่า!”


                แม่เฒ่าซ่งผู้หลักแหลมแยบยล เมื่อครู่นี้เพิ่งจะตกตะลึงกับความเฉียบคมของเด็กหนุ่มแปลกหน้า แล้วมาได้ยินคำว่า ‘หลานเขย’ และได้ยินอีกว่า ‘เสิ่นจั้งเฟิง’ เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงลานระเบียงเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลนแต่กลับหันมาคารวะตน นางก็ถึงกับรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม


                เขาก้มตัวในท่าคาราวะอยู่เป็นนาน แม่เฒ่าซ่งจึงเพิ่งจะพึมพำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเองว่า “เสิ่นจั้งเฟิง?”


                เป็นเฉินหรูผิงที่ดึงแขนเสื้อแม่เฒ่าซ่งเพื่อบอกเป็นนัยว่านางยังมิทันได้รับคารวะเสิ่นจั้งเฟิง แม่เฒ่าซ่งจึงเพิ่งจะพ่นลมหายใจออกมา แล้วกล่าวอย่างกึ่งร้องไห้กึ่งหัวเราะว่า “เด็กดี จะ…เจ้าลุกขึ้นก่อน!” แล้วโพล่งถามไปทันใดว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”


                …มิน่าเล่า เขาจึงสามารถบุกจากลานด้านหน้ารุ่ยอวี่ถังมาจนถึงเรือนหลังได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ คนตั้งมากมายตามหลังเขามาแต่กลับไม่มีผู้ใดกล้ามารั้งเขาเอาไว้ แขกสูงศักดิ์ที่เป็นทั้งหลานเขย และยังเป็นคู่หมั้นของเว่ยฉางอิ๋ง…ผู้ใดจักหาญกล้าลงมือกับเขาเล่า?


                เหตุที่ไม่กล้าลงมือ ลำพังเพียงท่าทีสง่างามเฉียบคมในตัวของเสิ่นจั้งเฟิง นอกจากจะทำให้บรรดาคนเฝ้าประตูในแต่ละชั้นยอมหลีกทางและเดินตามมาคอยดูเผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดแล้ว จักทำสิ่งใดได้อีก?


__________________________


ตอนที่ 76 กระบี่ ‘สังหารตามใจ’

โดย

Xiaobei

                ฝนฤดูใบไม้ร่วงไหลอาบลงมาตามแก้มของเสิ่นจั้งเฟิง และหยดลงที่ใต้ลำคอ ทำให้ชุดจิ่นเผาสีแดงสดเปียกโชกจนกลายเป็นแดงเข้ม ท่ามกลางสายฝน บนลานบ้านที่เวิ้งว้าง ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนแต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งที่เนื้อตัวเปื้อนโคลนและน้ำฝน แต่กลับรู้สึกเพียงว่าเขาสง่างามมีพลัง มิได้มีสภาพน่าอเนจอนาถเลยแม้แต่น้อย


                ริมฝีปากของเสิ่นจั้งเฟิงโค้งขึ้นเล็กน้อย อมยิ้มอ่อนๆ รอยยิ้มของเขาจริงใจ ประสานมือคำนับเป็นหนที่สอง “ตอบคำท่านย่า ท่านอาลืมนำของสำคัญมา ดังนั้นท่านพ่อจึงสั่งให้หลานเขยรีบตามนำมาส่งให้ขอรับ”


                ของสำคัญ?


                แม่เฒ่าซ่งนิ่งเหม่อหนแล้วหนเล่า จึงว่า “เป็นของสำคัญใดกันหรือ?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ และมองไปยังเสิ่นจั้งเฟิงที่ฝนฤดูใบไม้ร่วงหยดลงมาจากในแขนเสื้อของเขา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ แล้วรีบเปลี่ยนสีหน้า ร้องออกไปว่า “รีบขึ้นมาพูดบนระเบียงเร็วๆ เข้า! เจ้าเด็กคนนี้! ของสิ่งใดต้องรีบร้อนนำมาส่งถึงเพียงนี้ ให้ผู้อื่นเร่งเดินทางมาก็พอแล้ว ไยต้องมาด้วยตนเองเล่า?” ขณะที่เรียกเสิ่นจั้งเฟิ่งให้ขึ้นมาหลบฝน ก็หาได้ละเว้นต่อว่าต่อขานพวกพ่อบ้านแม่บ้าน “ตาไม่มีแววกันเสียเลย! ตั้งแต่หน้าลานจวนจนถึงเรือนหลังหาได้มีผู้ใดคิดเอาร่มสักคันมาให้ไม่!”


                “หลานเขยขอบคุณท่านย่าที่เป็นห่วง จะว่าไปเป็นหลานเขยใจร้อน มิทันรอให้คนมาบอกกล่าวก็บุกเข้ามา ขอให้ท่านย่าโปรดอภัยด้วยขอรับ” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มสดใส พลางคารวะอีกครา จากนั้นจึงก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นมาบนระเบียงทางเดิน ยามนี้ชุดจิ่นเผาที่เดิมทีมีสีแดงสดก็กลายเป็นสีแดงเข้มไปจนหมดแล้ว ทั้งชายเสื้อและใต้แขนเสื้อดังมีลำธารเล็กๆ ที่มีน้ำไหลหลากลงมา ทั้งตัวประหนึ่งว่าเพิ่งดึงขึ้นมาจากน้ำเช่นนั้น


                แต่ยังเห็นเขาร่าเริงสดใส ดวงหน้ายังคงหล่อเหลาเร่งเร้าใจคน หาได้มีท่าทีใส่ใจใดๆ แม้แต่น้อย


                 ด้วยเขาเอ่ยปาก คำก็หลานเขย สองคำก็หลานเขย แม่เฒ่าซ่งจึงพลันรู้สึกเอ็นดูเขาขึ้นมาจากในหัวใจ แม้แต่กระโปรงของตนยังเปียกอยู่แถบนึ่งก็หาได้ใส่ใจไม่ เร่งร้อนเรียกคนให้เข้าไปรายงานเว่ยฮ่วนและเสิ่นโจ้ว ทั้งยังให้เฉินหรูผิงเป็นคนไปตระเตรียมน้ำร้อน และแม่เฒ่าซ่งยังส่งผ้าให้เขาเช็ดหน้าด้วยตนเอง พลางกล่าวด้วยความรักใคร่อย่างเปี่ยมล้นว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องเร่งรีบ ไยไม่ใช้วิธีอื่น มีสิ่งใดสำคัญนัก? ดูเจ้าสิเปรอะเปื้อนทั้งโคลนทั้งน้ำไปทั้งตัว รีบเข้าไปทักทายท่านอาของเจ้า แล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน หาไม่แล้วจะหนาวจนป่วยเอาได้!”


                เสิ่นจั้งเฟิงกำลังจะอมยิ้มและตอบกลับ พลันเห็นว่าข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่า ห่างออกไปสิบกว่าก้าว ใกล้จะถึงซุ่มประตูรูปวงพระจันทร์ที่มีใบกล้วยบดบังอยู่ มีสาวใช้หลายนางกำลังห้อมล้อมหญิงสาวในชุดสีเรียบผมสลวยงดงามนางหนึ่ง ซึ่งกำลังจ้องมองมาทางตนด้วยสีหน้าสับสน


                แม้จักสวมชุดสีเรียบทั้งตัว ทั้งนอกทางเดินก็ยังมีฝนตกโปรยปราย แต่กลับมิได้ดูอาดูรน่าสงสาร เพียงเพราะใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้งดงามเหลือ เรียกได้ว่างามโดดเด่นยิ่งกว่าผู้ใด ปรายตามองเพียงครั้ง ทำให้คิดถึงดอกกุหลาบที่กำลังบานสะพรั่งรับแสงตะวันท่ามกลางสวนดอกไม้ในฤดูร้อน เร่าร้อนดังไฟ สดใส่เจิดจ้า ความเจิดจ้าในยามนี้มีความอิดโรยเล็กน้อยออกมาให้เห็น ทว่ายามที่เขามองกลับไปศีรษะของนางยังคงเชิดขึ้นสูง ไม่เสียชื่อความภาคภูมิและทะนงตนของสตรีในตระกูลสูงศักดิ์


                เสิ่นจั้งเฟิงเพียงเหลียวมองไปข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่าคราหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็สัมผัสได้แล้ว พลางกระแอมไอหนึ่งหน เอื้อมมือออกไปแล้วว่า “ที่นี่เป็นทางลม เจ้าเสื้อผ้าเปียกปอน อย่าได้ตากลมอีก…รีบเข้าไปเถิด”


                “หลานเขยน้อมรับคำสั่ง” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มและรีบรับคำ แล้วเดินไปที่ข้างประตูสองก้าว เห็นฮูหยินผู้เฒ่าหันหน้าไปสั่งความกับสาวใช้ข้างกายว่าให้เลือกเสื้อผ้าที่มีขนาดเหมาะสมกับตนเองมาให้ เขาจึงอาศัยโอกาสนี้รีบกวาดมองไปทางประตูวงพระจันทร์อีกคราอย่างรวดเร็ว ครานี้กลับมองเห็นเพียงใบกล้วยสองสามใบที่กำลังโบกไหวด้วยต้องสายฝนฤดูใบไม้ร่วง


                ภายในประตูบนทางเดินนั้นว่างเปล่า เพียงพริบตา คนก็ไปเสียแล้ว


                เสิ่นจั้งเฟิงหันสายตากลับมา ยิ้มเยาะตนเองในใจ แต่กลับไม่ว่างจักมาคิดมาก เมื่อตั้งสติแล้ว จึงเตรียมตัวรับความประหลาดใจของเสิ่นโจ้วผู้เป็นอา


                ระหว่างทางกลับเรือนเสียซวง ฝนค่อยๆ ตกหนักขึ้น


                นางเฮ่อเป็นคนกางร่มให้เว่ยฉางอิ๋ง แล้วให้พวกสาวใช้ถอยออกไปสองสามก้าว ท่ามกลางสายฝน นางเอามือป้องข้างหูเว่ยฉางอิ๋ง กล่าวไปด้วยความตื่นตระหนกและยินดีว่า “เมื่อครู่คนผู้นั้น…คล้ายจักเป็นท่านเขยกระมังเจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย ตั้งใจจดจ่อเดินไป ประหนึ่งว่าไม่ได้ยิน


                “ท่านเขยเรียกขานตนว่าหลานเขยกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยนะเจ้าคะ!” นางเฮ่อเข้าใจว่าเว่ยฉางอิ๋งยังมิทันออกเรือน อย่าว่าแต่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หรือแม้มิมีเรื่องใดเกิดขึ้น… เด็กสาวมีตระกูลที่รู้กฎเกณฑ์ดีบังเอิญได้พบกับคู่หมาย ต่อให้เพียงแค่มองเห็นแต่ไกลเพียงคราเดียว ก็จักต้องรู้สึกขวยเขินไปกว่าครึ่งวัน


                “ข้าน้อยไม่พูดแล้ว คุณหนูเป็นคนดีถึงเพียงนี้ บ้านเสิ่นหรือจะคิดไปทางอื่นได้?” นางเฮ่อรู้สึกอารมณ์ดีเป็นที่สุด!


                เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก หมุนกำไลที่ข้อมืออย่างช้าๆ จนกระทั่งเข้าไปภายในห้อง นางเฮ่อยังคงพูดอย่างอารมณ์ดีว่าที่แท้บ้านเสิ่นหาใช่คนที่ไม่มีสัจจะ เสิ่นจั้งเฟิงก็รูปงามเสียเหลือเกิน บ้านสามีเช่นนี้และสามีเช่นนี้คู่ควรกับเว่ยฉางอิ๋งไปเสียทุกสิ่ง… ที่สุดเว่ยฉางอิ๋งก็ทนไม่ได้ กล่าวเสียงต่ำไปว่า “ท่านอาไม่รู้สึกหรือว่า…เสิ่นจั้งเฟิง เขาและเซียงหนิงปั๋วมากันคนครั้ง กลับมิได้มาถึงพร้อมกัน ไม่แปลกไปหน่อยหรือ? อีกประการ เหตุใดเขาจึงต้องมาด้วยตนเองเล่า?”


                นางเฮ่องงงัน เอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าได้ไถ่ถามแล้วนี่เจ้าคะ คงเพราะเสียงลมเสียงฝน คุณหนูใหญ่จึงไม่ได้ยินกระมังเจ้าคะ? เซียงหนิงปั๋วผู้นั้นลืมเอาของสำคัญมา ดังนั้นท่านเขยจึง…”


                “อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องว่าจักมีของสำคัญอันใดที่ครานี้เซียงหนิงปั๋วไม่อาจไม่นำมาได้?” เว่ยฉางอิ๋งนั่งลงบนตั่ง กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ของสำคัญที่สุดในเรื่องแต่งงานนี้ก็คือหยกประดับรูปใบไม้ล้อมดอกไม้คู่หนึ่งที่หักแยกออกจากกันยามทำสัญญาแต่งงาน แต่นั่นก็เป็นของของบ้านเสิ่น ต่อให้ต้องการจะถอนหมั้น ก็ควรจักเป็นบ้านเราส่งคืนกลับไป หาใช่พวกเขาต้องนำมาไม่”


                เมื่อเห็นว่านางเฮ่อต้องการพูดบางสิ่ง เว่ยฉางอิ๋งรีบยกมือขึ้นปรามนางไว้ แล้วพูดต่อไปว่า “ต่อให้มีสิ่งของสำคัญชิ้นอื่นที่ต้องนำมาจากเมืองหลวง แล้วเซียงหนิงปั๋วลืมนำมา เมื่อเป็นเช่นนั้น หรือบ้านเสิ่นจักไม่มีผู้อื่นที่สามารถนำมาส่งได้? เสิ่นจั้งเฟิงยังเป็นราชองครักษ์ชินในราชสำนัก เป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อหน้าพระพักตร์องค์ฮ่องเต้ ราชองครักษ์ทั้งสามหากมิได้มีราชโองการก็ห้ามออกมาจากเมืองหลวง! การที่เขามาที่เฟิ่งโจว ไม่น่าเป็นเรื่องง่ายหรอกกระมัง?”


                “บางที…” นางเฮ่อสูดลมหายใจเข้า รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเล็กน้อยภายในอก คงเป็นเพราะอากาศยามฤดูใบไม้ผลิ “บางทีของสิ่งนั้นอาจจะสำคัญเกินไป ไม่อาจวางใจผู้อื่นได้กระมังเจ้าคะ?”


                “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจักนำมาที่เฟิ่งโจวทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งย้อนถาม “ยิ่งไปกว่านั้นท่านราชครูมีบุตรชายหลายคน ยิ่งจักต้องมีผู้ที่ไว้วางใจ และยังมีองครักษ์ลับ ‘จี๋หลี[1]’ มีผู้ที่สามารถส่งมาได้มากมาย เสิ่นจั้งเฟิงถือเป็นผู้ที่เป็นความหวังที่สุดของตระกูล แต่ยามนี้ท่านราชครูอยู่ในใกล้กลางคน หรือบุตรชายคนอื่นจักมิมีผู้ใดสามารถทำหน้าที่สำคัญนี้ได้? เสิ่นจั้งเฟิงกับข้ามีสัญญาแต่งงานอยู่กับตัว ตามสัญญาก่อนหน้านี้ ปีหน้าก็จักต้องมารับข้าไปแต่งงานแล้ว ยามนี้ก็ควรจะหลบเลี่ยงมาพบเจอข้าสักหน่อย ตามธรรมเนียมแล้ว แม้จักมิได้มีหน้าที่รับผิดชอบหน้าพระพักตร์ หากจะต้องส่งของมาจริงๆ ก็ไม่ควรเป็นเขามา!”


                นางเฮ่อนิ่งเงียบไปเกือบเค่อ จึงได้เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะว่าอย่างไร เมื่อครู่นี้ท่านเขยก็ออกปากเรียกขานตนเองว่าหลานเขยแล้ว ต่อให้เรื่องนี้จะมีเงื่อนงำบางสิ่งอยู่ หรือว่าหลังจากที่ท่านเขยยอมรับเองแล้วว่าตนเป็นหลานเขยตระกูลเว่ย แล้วบ้านตระกูลเสิ่นจะยังกลับลำเล่าเจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งเอามือขึ้นมาปิดปาก เนิ่นนานจึงว่า “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงยังอยากให้ข้าไปเป็นสะใภ้บ้านเสิ่น แต่เห็นเขาเร่งร้อนเข้ามาเช่นนี้ กระทั่งทนรอให้บ่าวมารายงานก่อนแล้วจึงให้คนรับใช้ออกไปต้อนรับที่ข้างนอกไม่ได้…คาดว่าที่บ้านเสิ่นให้เซียงหนิงปั๋วมาครานี้ เดิมทีเพื่อมาถอนหมั้นเป็นแน่ เป็นตัวเขาเองที่ไม่ยินยอม จึงได้เร่งควบม้ามาตลอดทางจนเสื้อผ้าเปรอะโคลน ทั้งยังบุกเข้ามาถึงเรือนหลังโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น… เกรงว่าเพราะกังวลว่าหากช้าไปก้าวหนึ่ง เซียงหนิงปั๋วก็จักพูดเรื่องถอนหมั้นออกไปกระมัง? หาไม่แล้วไยต้องเสียมารยาท ถึงขั้นบุกเข้ามาถึงเรือนหลังเช่นนี้”


                “…” นางเฮ่อส่งเสียงซีออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่เป็นนานจึงเอ่ยว่า “แต่ที่ท่านเขยมาเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการแล้วว่ายังคงมีการแต่งงานอยู่ต่อไป ยามนี้เซียงหนิงปั๋วก็ไม่อาจไม่พูดตามคำเขาแล้วนี่เจ้าคะ” สักพักหนึ่งก็พูดอีกว่า “หลังจากที่หญิงสาวออกเรือนแล้วก็จะต้องใช้ชีวิตร่วมกับสามี แม้พ่อแม่สามีจักเรื่องมากสักหน่อย ขอเพียงทำทุกเรื่องไปตามกฎเกณฑ์ ในบ้านตระกูลใหญ่โตก็มิใช่จะคอยแต่หาความกับคุณหนูใหญ่ ต่อให้บ้านเสิ่นต้องการจักถอนหมั้น ยามนี้ตัวท่านเขยเองกลับไม่ยินยอม เห็นได้ว่าท่านเขยยังคงเอ็นดูคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ”


                นางเฮ่อเอามือปิดปาก “หลังจากคุณหนูใหญ่แต่งออกไป เมื่อมีผู้สืบสกุลแล้ว… ข้าน้อยคิดว่าคนบ้านเสิ่นก็จักไม่พูดกระไรแล้วเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งยกมือขึ้นก่ายหน้าผากแล้วเอนตัวไปข้างหลังนอนลง พาดตัวลงบนหมอนอิงที่หัวตั่ง หลับตาลงไม่เอ่ยคำ คิดในใจว่า ‘ข้าและเขาแม้จะเป็นคู่หมายกันมาแต่เยาว์วัย ทว่าเมื่อข้าถูกนำตัวกลับมาที่เฟิ่งโจวนั้นยังมิทันครบขวบ ยามนั้นเขาก็ยังเล็กนัก เรียกได้ว่าต่างเป็นคนแปลกหน้าอย่างยิ่งสำหรับกันและกัน ครานี้ชื่อเสียงของข้าถูกทำลายถึงเพียงนี้ ลูกผู้น้องฝั่งบิดาทั้งหญิงชายล้วนต้องอับอายเพราะข้า ขะ…เขากลับฝืนความต้องการของครอบครัว อยากให้สัญญาแต่งงานนี้ดำเนินต่อไป แท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุใดกัน?’


                ‘เป็นเพราะเห็นใจหรือสงสาร หรือเพราะมีแผนการอื่นใด?’


                ‘หรือเป็นเพราะ…เข้าใจ?’


                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าภายในใจว้าวุ่นเป็นที่สุด…


                นางว้าวุ่นอยู่ทางนี้ ในเรือนหลังกลับว้าวุ่นขนานใหญ่เสียยิ่งกว่า… เดิมทีในห้องโถงนั้น เว่ยฮ่วนและเสิ่นโจ้วกำลังจะสนทนากันถึงประเด็นหลัก เมื่อได้ยินว่าเสิ่นจั้งเฟิงเร่งตามมาอย่างปัจจุบันทันด่วนก็ต่างพากันตกใจ เสิ่นโจ้วถึงขั้นคลางแคลงใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าข่าวนี้เป็นจริงหรือเท็จ จนกระทั่งเห็นว่าผู้ที่เดินเลี้ยวเข้ามาจากฉากกันลม และมาคารวะด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้านทั้งเนื้อตัวเปียกปอนเปรอะดินโคลนผู้นั้นก็คือหลานชายของตน เขาก็ตื่นตระหนกยกใหญ่จนหน้าถอดสี!


                ไม่ทันได้สอบถามถึงการเดินทางที่ยากลำบากและเนื้อตัวที่เปียกโชก ก็ดูราวกับว่าเสิ่นโจ้วผู้แสนจะสงบเยือกเย็นกลับตกใจเสียจนเกือบจะกระโดดลงมาจากที่นั่ง! พลางชี้นิ้วไปยังหลานชาย ยามพูดจาก็เกือบจะกัดลิ้นตนเอง “จะ จะ เจ้า! เจ้ามาได้อย่างไร?!”


                เดิมทีเว่ยฮ่วนกำลังจะสอบถามถึงสาเหตุที่เสิ่นจั้งเฟิงเดินทางมาด้วยตนเอง แต่เมื่อเห็นว่าเสิ่นโจ้วมีปฏิกิริยาที่รุนแรงถึงเพียงนี้ สายตาจึงฉายแววแห่งความประหลาดใจออกมา ลูบที่เคราเบาๆ และกลับหัวเราะออกมา “นี่คือจั้งเฟิงรึ? ไม่เจอกันสิบกว่าปี หากไม่บอก ตาแก่อย่างข้ากลับจำเจ้าไม่ได้เลย”


                เขาเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ เพียงเห็นอาการยามอาหลานพบกัน ก็เข้าใจได้แล้ว ทั้งไม่จี้ประเด็นและไม่ซักไซ้ พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสีย แล้วกล่าวกับเสิ่นโจ้วอย่างมีไมตรีว่า “ดูเด็กคนนี้สิ เนื้อตัวมีแต่โคลนมีแต่น้ำ จักต้องเร่งเดินทางมาอย่างลำบากยิ่งนัก ทั้งยามนี้ก็เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว เสื้อผ้าเปียกปอนเช่นนี้ไม่ควรสวมอยู่นาน ตามความเห็นของข้า ให้เด็กคนนี้ไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ข้างหลังเสียก่อนเถิด ใกล้พลบค่ำจึงค่อยสอบถามเหตุผลก็ยังไม่สาย”


                ภายในใจของเสิ่นโจ้วนั้นแทบจะกระอักเลือดออกมา แต่เขาก็เป็นห่วงหลานชายว่าหากไม่รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็จะล้มป่วยเอาได้ จึงทำได้เพียงกัดฟันกล่าวว่า “ท่านเว่ยกล่าวถูกต้องอย่างยิ่ง!” เขากำลังวางแผนว่าจะอาศัยจังหวะที่เสิ่นจั้งเฟิงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อรีบลงดาบตัดบัวไม่ให้เหลือไย ฝืนทนทำหน้าหนาๆ อาศัยตอนที่คนยังพักผ่อนอยู่ในรุ่ยอวี่ถัง รีบพูดเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน เช่นนี้แล้วรอจนหลานชายออกมาก็กล่าวลาได้ทันที


                ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงหาได้ขอตัวออกไปตามที่ได้พูดจากัน เขาหันไปคารวะทักทายเว่ยฮ่วนอย่างมีมารยาท แล้วว่า “หลานเขยขอบคุณท่านปู่ที่เป็นห่วง แม้จักมีดินโคลนระหว่างทาง ทว่าเพราะมีถนนหลวง ตลอดทางกลับเดินทางอย่างสะดวกโยธิน เพียงจนใจที่ยามนี้เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ทำให้ท่านปู่ขัดเคืองสายตา ต้องขอให้ท่านปู่ให้อภัยด้วยขอรับ! รอจนหลานเขยผลัดเสื้อผ้าแล้ว แต่งกายให้เรียบร้อย ค่อยมาขอขมาท่านปู่อีกคราขอครับ!”


                เขาคอยย้ำไปย้ำมาว่า ‘ท่านปู่’ และ ‘หลานเขย’ ยิ่งไปกว่านั้นในคำกล่าวนี้ยังมีนัยยะแฝงอยู่… ดินโคลนระหว่างทางสามารถเข้าใจได้ว่าคืออุปสรรคและสภาพการที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในสัญญาการแต่งงานครั้งนี้ ถนนหลวงก็คือเป็นการบอกโดยนัยว่าสัญญาแต่งงานนี้เป็นประมุขทั้งสองฝ่ายสัญญาเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว และได้มีแม่สื่อไปมาหลายครั้งอย่างเปิดเผย ถูกต้องตามธรรมเนียม ทว่าตลอดการเดินทางบนถนนหลวงนั้นก็ ‘สะดวกโยธิน’ นี่ยังต้องพูดอีกหรือว่ามีความหมายเช่นไร?


                จักขาดก็แต่เพียงเสิ่นจั้งเฟิงมิได้บอกออกไปชัดเจนว่าเขาสนับสนุนให้สัญญาแต่งงานยังคงดำเนินต่อไป ทั้งยังกระตือรือร้นให้มีต่อไปเป็นอย่างมากอีกด้วย


                เว่ยฮ่วนฟังคำกล่าวนี้แล้วแทบจะเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูรักใคร่ แต่เสิ่นโจ้วกลับแทบจะเป็นลมล้มพับลงไป!


                เซียงหนิงปั๋วผู้น่าสงสารกำลังขบคิดยุทธวิธีตอบโต้อย่างรวดเร็ว กลับเห็นว่าที่สุดเจ้าหลานชายเจ้าปัญญาผู้นี้พลันมาทางตน พลางยิ้มเบิกบาน…เสิ่นโจ้วดูหลานชายผู้นี้เติบโตมา มีหรือจักดูไม่ออกว่ารอยยิ้มของเสิ่นจั้งเฟิงที่หันมาคารวะอย่างอบอุ่นในยามนี้ กลับแฝงไว้ด้วยความปรีดา หากเป็นยามปกติ เสิ่นโจ้วจักต้องส่งเท้าถีบออกไป พลางถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วชกเจ้าเด็กคนนี้สักตั้งหนึ่งไปนานแล้ว!


                จนใจเสียเหลือเกินที่ยามนี้มีเว่ยฮ่วนกำลังมองมาทั้งรอยยิ้มตาหยี เสิ่นโจ้วจึงทำได้เพียงกลืนเลือดลงคอไป แล้วฟังเขาพูดจาประหนึ่งว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงๆ ว่า “ท่านอาเร่งร้อนเดินทาง กลับลืมของที่ท่านพ่อกำชับให้นำมาด้วย ดังนั้นท่านพ่อจึงสั่งให้หลานรีบขี่ม้าเร็วนำมาส่ง…”


                …เสิ่นโจ้วที่คุ้นเคยกับนิสัยของหลานชายรู้สึกขึ้นมาในทันใดว่าควรจักให้เขารีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเสียไวๆ เป็นดี แต่เรื่องน่าเศร้าก็คือ เขายังมิทันเอ่ยปาก เว่ยฮ่วนก็ออกปากถามด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์ไปเสียก่อนแล้ว “โอ๋? เป็นของสิ่งใดสำคัญถึงเพียงนี้ ถึงกับต้องให้จั้งเฟิง เจ้านำมาส่งด้วยด้วยตนเอง ทั้งยังขี่ม้าตากฝนมาเสียอีก?”


                “เป็นกระบี่เล่มหนึ่งขอรับ” เสิ่นจั้งเฟิงอมยิ้มกล่าวตอบ “เมื่อครู่นี้หลานเขยรีบร้อนเข้ามาบอกกล่าวกับท่านอา กลับทำมันตกอยู่บนอานม้า”


“กระบี่นาม ‘ลู่หู’ ขอรับ เดิมทีเป็นกระบี่ที่ท่านพ่อแขวนเอาไว้ในห้องหนังสือ ด้วยได้ยินว่าก่อนนี้ฉางเฟิงถูกลอบสังหาร จึงได้ปลดมันลงมาด้วยตนเอง เพื่อมอบให้…” พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงก็อดจะแดงระเรื่อขึ้นมาไม่ได้ พักหนึ่งจึงกล่าวว่า “มอบให้น้องหญิงเว่ยขอครับ”


แม้ยามนี้ตระกูลเว่ยจะมีน้องหญิงเว่ยหลายนาง แต่น้องหญิงเว่ยที่เสิ่นจั้งเฟิ่งเอ่ยถึง ก็จักต้อง…เป็นเว่ยฉางอิ๋งเท่านั้นแล้ว!


“ ‘ลู่หู สังหารตามใจ’!” แววตาของเว่ยฮ่วนสว่างวาบ พลางตบมือหัวเราะอยู่เป็นนาน “ชื่อดี! ชื่อดี!”


ด้วยเหตุที่ถิ่นฐานของตระกูลเสิ่นต้องต่อสู้กับพวกชิวตี๋มาหลายชั่วอายุคน กระบี่นาม ‘ลู่หู’ เล่มนี้เป็นเสิ่นเซวียนเก็บเอาไว้ในห้องหนังสือเพื่อเป็นเครื่องประกาศเจตนารมณ์ แต่ยามนี้กลับนำกระบี่เล่มนี้มามอบให้กับสะใภ้ที่ยังมิทันได้เข้าบ้าน… นาม ‘ลู่หู’ บอกความชัดเจนเพียงนี้ กอปรกับผลจากการต่อสู้ของเว่ยฉางอิ๋งที่ลงมือสังหารหัวหน้าพวกลอบสังหารและลูกน้องของมันผู้หนึ่งบนถนนหลวง… แม้จักบอกว่าผู้ที่เว่ยฉางอิ๋งสังหารนั้นเป็นชาวเว่ยขนานแท้ แต่กลับไม่อาจทานเสียงเล่าลือว่าพวกมันล้วนเป็นพวกหรง!


ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่า นี่คือการแสดงความคาดหวังและสนับสนุนจากว่าที่พ่อสามี!


เมื่อได้รับการยอมรับและเชื่อมั่นจากเสิ่นเซวียน บวกกับคำชี้แนะอีกเพียงเล็กน้อย คำวิจารณ์ที่มีต่อชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋ง ก็จักกลายเป็นการชมเชยว่านางไม่หวั่นเกรงต่อศัตรูที่แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องน้องชายแล้ว ด้วยร่างกายที่บอบบางของสตรี ทว่ากลับมีความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยวจนสามารถสังหารหัวหน้าของศัตรูและผู้ลอบทำร้ายคนหนึ่งได้อย่างเหี้ยมหาญ!


แม้ว่ากันว่าตระกูลเว่ยมีชื่อเสียงยิ่งในด้านบุ๋น แต่ไรมาสตรีในตระกูลขึ้นชื่อในเขตทะเลว่ามีความเรียบร้อยสง่างาม แต่เว่ยฮ่วนก็ไม่มีทางรังเกียจว่าในบันทึกของตระกูลจะมีวีระสตรีที่ผู้คนต่างสรรเสริญว่าเป็นหญิงที่แข็งแกร่งไม่แพ้ชายอกสามศอก ผู้สร้างเกียรติยศและหน้าตาให้แก่ตระกูลเว่ย!


ประสาอะไร เมื่อในยามนี้ หลานสาวบ้านใหญ่เพียงคนเดียวของเขาก็กำลังตกอยู่ในสภาพการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้…


เว่ยฮ่วนมองเสิ่นจั้งเฟิงด้วยความชื่นชม แล้วหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างจริงใจ…ส่วนเสิ่นโจ้วที่มีสีหน้าซีดเผือดนั้น ยามนี้ในสมองมีเพียงความคิดเดียวว่า ‘เจ้าเด็กคนนี้…เจ้าเด็กคนนี้! เจ้าเด็กคนนี้นับวันยิ่งเหิมเกริมเกินไปแล้ว! กระบี่ของพี่ใหญ่ที่อยู่ในห้องหนังสือเล่มนี้ ข้าเองยังเอามาไม่ได้ แต่เขากลับกล้าขโมยออกมามอบให้กับเด็กสาวตระกูลเว่ย!!! เขาไม่กลัวหรืออย่างไรว่าเมื่อกลับไปเมืองหลวงแล้วพี่ใหญ่จักโมโหโกรธาและตีเขาจนครึ่งปียังลุกจากตั่งไม่ไหว?!!’


________________________________


[1] จี๋หลี แปลว่า “รั้วหนาม”


ตอนที่ 77 อาหลาน

โดย

Xiaobei

                “เหลวไหล! เหลวไหลสิ้นดี! นี่มันเหลวไหลที่สุด!” หากเสิ่นจั้งเฟิงเพียงแค่ประกาศตัวว่าเป็นหลานเขยตระกูลเว่ยก็ใช่ว่าจะไม่อาจแก้ไขได้ ดีชั่ว เรื่องแต่งงานของเขาต้องว่าตามคำเสิ่นเซวียนเท่านั้น อย่างมากก็เพียงผิดใจกับตระกูลเว่ยบ้าง ดีชั่วการถอนหมั้นอย่างไรก็ต้องผิดใจกับตระกูลเว่ยอยู่แล้ว… แต่กระบี่ ‘ลู่หู’ นั้นได้มอบให้แก่เว่ยฉางอิ๋งในนามของเสิ่นเซวียนไปแล้ว เฟิ่งโจวและเมืองหลวงห่างกันพันลี้ ต่อให้รู้ชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงปั้นแต่งความเท็จขึ้นมา แต่ในหนึ่งยามสามเค่อนี้ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเขาพูดส่งเดช ทั้งตระกูลเว่ยก็มิใช่ตระกูลที่จักเมินเชยได้ตามอำเภอใจ ต่อให้เสิ่นโจ้วไร้ยางอายเพียงใด ในสภาพการณ์ที่ดูแล้วเหมือนกับว่าพี่ใหญ่เห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานของหลานชายไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่อาจจะพูดเรื่องถอนหมั้นอะไรเช่นนั้นได้อีก…


                ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นจั้งเฟิงมาถึงช้ากว่าเสิ่นโจ้ว จากความเข้าใจของเสิ่นโจ้วที่มีต่อหลานชายผู้นี้ ต่อให้ไม่สนสิ่งใด ยังคงแข็งขืนจะถอนหมั้นต่อไป คาดกว่าเสิ่นจั้งเฟิงก็จักต้องบอกไปทันใดว่าเสิ่นเซวียนตัดสินใจใหม่แล้ว จึงได้ส่งเขาตามมาภายหลัง…เช่นนั้นแล้ว การที่เด็กคนนี้มาล่าช้ากว่าตนเพียงก้าวเดียวจักต้องไม่ใช่เพราะตามมาไม่ทัน แต่เป็นเพราะเขาจงใจชัดๆ!


                ปัญหาก็คือทั้งที่เสิ่นโจ้วจะรู้แผนการของเขาอยู่เช่นนี้แต่กลับจนปัญญา…หรือจักยังสามารถบอกตระกูลเว่ยว่า ‘พวกเราตระกูลเสิ่นตัดสินใจถอนหมั้นแล้ว ข้ารับคำสั่งของพี่ชายและพี่สะใภ้เดินทางมาเพื่อขอหยกประดับรูปใบไม้ล้อมดอกไม้ชิ้นนั้นคืนเป็นการเฉพาะ เพียงแค่เจ้าเด็กเสิ่นจั้งเฟิงผู้นี้ไม่เห็นด้วย ยามนี้เขาเหิมเกริมยิ่งนัก ขโมยเอากระบี่ของบิดามามอบให้แก่คู่หมั้น จงใจสร้างความเท็จว่าตระกูลเสิ่นไม่ต้องการถอนหมั้น หากพวกท่านไม่เชื่อ สามารถส่งคนไปตรวจสอบความจริงกับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ของข้าที่เมืองหลวงได้’ อย่างนั้นหรือ?


                …แม้รุ่ยอวี่ถังจะอ่อนอำนาจลงบ้างชั่วขณะ แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล!


                อย่าว่าแต่เสิ่นโจ้วเลย ต่อให้ตัวเสิ่นเซวียนเองมาอยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าจะรังแกตระกูลเว่ยเช่นนี้!  เดิมทีนั้นแต้มพรหมจรรย์บนข้อมือของเว่ยฉางอิ๋งมิได้จางหายไป และต้องมาถอนหมั้นในสถานการณ์เช่นนี้ก็นับว่าพวกตนเป็นฝ่ายผิดอยู่บ้าง เสิ่นจั้งเฟิงทำการเช่นนี้ไปแล้ว นอกเสียจากว่าคิดจะก่อความแค้นกับตระกูลเว่ยไปอย่างน้อยหลายชั่วคน หาไม่แล้ว… อย่างไรเสิ่นโจ้วก็รู้สึกว่าในสถานการณ์เช่นนี้หากเขายังจะเอ่ยเรื่องถอนหมั้นออกไป เขาก็ยังไม่หน้าหนาจนถึงขั้นนั้น


                เสิ่นโจ้วที่ในใจกระอักเลือดสดออกมาไม่หยุดหย่อน ทำเอาสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและต้องอาศัยข้ออ้างว่าเป็นห่วงร่างกายของหลานชาย มากลบเกลื่อนเว่ยฮ่วน จนต้องให้บ้านเว่ยจัดเตรียมเรือนให้พวกเขาอาหลานสำหรับพักรอ


                เสิ่นจั้งเฟิงอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าเพิ่งจะออกจากห้องอาบน้ำ เสิ่นโจ้วก็เข้าไปรับอย่างเกรี้ยวกราดคับอก ด้วยการยกเท้าขึ้นมาถีบเขาหนหนึ่งจนเขาเซออกไป แล้วด่าทอดังสายฟ้าผ่า “เรื่องแต่งงานสำคัญนัก บิดามารดาเป็นผู้กำหนด! ท่านพ่อท่านแม่เจ้าล้วนตัดสินใจให้ข้ามาถอนหมั้นแล้ว แล้วเจ้าตามเอากระบี่ ‘ลู่หู’ มามอบคุณหนูตระกูลเว่ยในนามของบิดาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?! ฮ้า!”


                “ยามนี้ท่านอากำลังโกรธ ยังขาดสติ” เสิ่นจั้งเฟิงถูกเขาถีบแต่ก็กลับไม่ได้สะทกสะท้านใดๆ หลังจากที่ลุกขึ้นมาอย่างมั่นคงแล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้าปกติว่า “ท่านลองคิดถึงสถานการณ์ในยามนี้ดูหรือไม่?”


                “หือ?” เสิ่นโจ้วขมวดคิ้ว และกลับเก็บโทสะไปในทันใด


                …ผู้สืบสกุลในบ้านใหญ่ของตระกูลเสิ่นกำลังรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ลำพังเพียงท่านราชครูเสิ่นเซวียนผู้เดียว ทั้งจากภริยาและอนุก็มีบุตรชายถึงหกคน รวมบุตรของเสิ่นโจ้ว ทั้งหมดก็มีคุณชายแปดคน สี่คนในจำนวนนั้นล้วนเป็นบุตรของบ้านใหญ่ เพราะตระกูลเสิ่นและตระกูลหลิวต้องต่อสู้กับพวกตี๋และหรงมานานปี ไม่อาจย่ามใจได้ ไม่เหมือนกับพวกตระกูลเว่ยสองสามตระกูลนี้ ซึ่งตำแหน่งประมุขนั้นสืบทอดกันมาโดยสายเลือด เว้นเสียแต่ว่าประมุขไร้บุตรชายเท่านั้น


                กฎเกณฑ์ที่มีมาแต่ไรของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงและตระกูลหลิวแห่งตงหูล้วนคือ ขอเพียงเป็นพี่น้องในตระกูล ไม่เกี่ยวว่าจักเป็นบุตรบ้านใหญ่ จากอนุ หรือเป็นญาติใกล้ไกล ขอเพียงมีความสามารถเหนือผู้อื่น ก็ล้วนมีความเป็นได้ว่าจะได้สืบทอดตำแหน่งประมุข ดังนี้แล้วจึงกล่าวได้ว่า หลิวซีสวินซึ่งได้รับการบ่มเพาะจากตระกูลหลิวแห่งตงหูมาอย่างเต็มกำลังในยามนี้ ก็มิใช่พี่น้องในสายหลัก แต่เพราะความสามารถของเขาโดดเด่น ตระกูลหลิวจึงคอยสอนสั่งและสนับสนุนเขามาโดยตลอดด้วยมองว่าเขาเป็นตัวเลือกที่จะรับตำแหน่งประมุขคนต่อไป


                ทว่าแม้เสิ่นจั้งเฟิงจะเป็นหนึ่งในบุตรชายบ้านใหญ่ในรุ่นนี้ แต่เขาอยู่ในลำดับที่สาม บนหัวเขานั้นยังคงพี่ชายคนโตซึ่งเป็นบุตรคนโตของบ้านใหญ่และพี่รองซึ่งเป็นบุตรชายของอนุ ซึ่งทั้งสองคนล้วนถูกส่งตัวมาที่ซีเหลียงเพื่อสู้รับกับพวกตี๋ตั้งแต่ยังมิทันถึงวัยเกล้าผม ใช้ดาบใช้ทวนกรำศึกอยู่ในสนามรบขัดเกลาตนเองจนเป็นที่ประจักถึงความองอาจห้าวหาญและจัดเจนในการรบ


                บรรดาน้องชายที่อยู่ถัดจากเขา ก็มีหลายคนที่ได้รับการยกย่องว่ามีสติปัญญาล้ำเลิศ ร่ำเรียนเป็นผลสัมฤทธิ์ หากพิจารณาดูแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงนั้นอยู่ที่เมืองหลวงตลอดเวลา ไม่เคยไปที่ซีเหลียงเลย ยังไม่เคยรู้ว่าจักอดทนกรำศึกในสนามรบได้มากน้อยเพียงใด การประลองต่อหน้าพระพักตร์นั้นด้วยถูกเลือกให้ไปและไม่อาจเพิกเฉยต่อความบันเทิงของฮ่องเต้ได้ และข้อห้ามต่างๆ ในราชสำนักก็เคร่งครัดนัก ไม่อาจแสดงฝีมือของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ การที่เขาได้รับการยอมรับนั้นแม้จะกดหลิวซีสวินลงจนมิด แต่กลับยังห่างไกลกับพี่ชายทั้งสองคนมากนัก


                ในเรื่องของยุทธศาสตร์ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางแล้ว…ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นชื่อเรื่องการให้รางวัลและลงทันฑ์ไปตามพระทัย จะว่าไป หากกล่าวถึงเรื่องการรบเพียงบนกระดาษ หรือจะเทียบได้กับการเข้ารบในสนามรบจริงๆ? แม้กระทั่งด้านบุ๋น จนถึงวันนี้เขาก็ยังมิเคยเขียนบทความประเภทกลอนเพลงโต้สดออกมาได้เลย…ในเรื่องนี้แล้ว เสิ่นจั้งเฟิงยังเทียบไม่ได้กับหลานสาวตัวน้อยของเขา เสิ่นซูเหยียน ที่อายุเพียงน้อยๆ ก็ได้ฉายาว่าเทพธิดากวีน้อยแล้ว…


                เขาอายุยังมิทันถึงวัยสวมหมวกก็ได้รับแต่งตั้งจากในตระกูลให้เป็นประมุขคนต่อไป หาใช่เพราะเขาแข็งแกร่งกว่าพี่น้องในทุกเรื่อง แต่ด้วยคุณลักษณะสองประการที่ล้ำเลิศกว่าพี่น้องทุกคนในตระกูล หนึ่งคือความใจกว้างโอบอ้อมอารี สองคือสายตาที่มองการไกล


                แม้แต่เสิ่นโจ้วที่อายุเกือบจะครึ่งร้อยแล้ว ตั้งแต่ในช่วงเวลาที่เสิ่นจั้งเฟิงเข้าพิธีเกล้าผม เขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของตนเองนั้นห่างไกลกับหลานชายเป็นอย่างมาก


                เมื่อได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงพูดมาในยามนี้ เสิ่นโจ้วก็สงบลงไปทันใด และไม่ทุบตีด่าทอหลานชายอีก แล้วลงนั่งที่ที่นั่งทั้งสองที่ซึ่งอยู่ข้างหน้าต่าง… ก่อนหน้านี้เสิ่นโจ้วได้สั่งให้บ่าวไพร่ออกไปแล้ว เพื่อมิให้มีคนมาพบเห็นเข้าว่าเสิ่นจั้งเฟิงถูกทุบตี หลานชายที่โตถึงเพียงนี้แล้ว อีกทั้งคนในตระกูลยังฝากความหวังอันยิ่งใหญ่เอาไว้กับเขา ต่อให้มีเพียงบ่าวที่เชื่อใจได้พบเห็นก็ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และจักต้องคอยระวังด้านนอกเอาไว้ด้วย อย่าให้บ้านตระกูลเว่ยมาลอบแอบฟังเอาได้


                อาหลานลงนั่ง เสิ่นโจ้วเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “หรือว่าสถานการณ์ในวันสองวันนี้มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นพี่ใหญ่จึงได้เปลี่ยนใจ ยอมให้เจ้าแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลเว่ยต่อไปรึ?”


                ในขณะนี้ เสิ่นโจ้วรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย คิดในใจว่ากระบี่ ‘ลู่หู’ เป็นของรักของห่วงของเสิ่นเซวียนผู้พี่ชาย แม้ตนเองซึ่งเป็นมือเป็นเท้าเพียงผู้เดียวก็ยังไม่ยอมมอบให้ แม้บางครั้งเสิ่นจั้งเฟิงจะเคยขัดคำสั่งของผู้ใหญ่ แต่กลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยครั้งนัก ของรักของห่วงของผู้ใหญ่เช่นกระบี่ ‘ลู่หู’ นี้ หลานชายผู้นี้ก็หาใช่คนที่ไม่รู้จักว่าสิ่งใดควรไม่ควร แล้วจักไปเอามาส่งเดชได้อย่างไร?


                อย่าได้เป็นเพราะตนเพิ่งออกจากเมืองหลวงมา แล้วเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น หรือสถานการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลัน ยามนี้กลับต้องการให้การแต่งงานกระชับสัมพันธ์กับตระกูลเว่ยดำเนินต่อไป? เพียงแต่ต่อให้บุตรสาวตระกูลเว่ยผู้นี้ยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ แต่ชื่อเสียงกลับเสื่อมเสียไปจนสิ้นแล้ว ช่างเป็นการไม่ยุติธรรมกับเสิ่นจั้งเฟิง… ก็ไม่น่าเล่าพี่ใหญ่จึงได้ยอมสละ ‘ลู่หู’ ออกมา เพื่อช่วยเหลือว่าที่ลูกสะใภ้ให้กลับจากอัปลักษณ์เป็นงดงาม ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์นางในไปในอีกทิศทางหนึ่ง


                อย่างไรเสียต่อให้ ‘ลู่หู’ จักเป็นของรักของห่วงของเสิ่นเซวียนปานใด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางจะเทียบกับเสิ่นจั้งเฟิงได้


                ทว่า…


                เสิ่นจั้งเฟิงกระแอมไอเบาๆ หนหนึ่ง พลางชี้ไปที่เอวของตน แล้วว่า “ท่านอาไม่รู้ เพราะท่านพ่อไม่อนุญาตให้หลานมาเฟิ่งโจว หลานต้องใช้ตราเข้าราชสำนักไปขอลาพักจากฮ่องเต้ ยืมม้าหลวงมาสองตัว แล้วออกเดินทางทันที และเพราะต้องเร่งร้อนออกจากเมืองหลวง เงินทองในตัวมีไม่เพียงพอ ยังต้องเอาหยกประดับที่พกติดตัวไปจำนำไว้แถบใกล้ๆ เมืองหลวง จึงเตรียมของจนพร้อมเดินทางมาได้ แต่เพราะกังวลว่าท่านพ่อจะส่งคนใน ‘จี๋หลี’ มาจับข้า ตลอดทางจึงนอนกลางดินกินกลางทราย จึงได้เข้ามาถึงที่พักกลางทางได้อย่างง่ายดาย… ส่วนเรื่องว่าในระยะนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงเป็นเช่นไรนั้น หลานก็ไม่รู้เลย!”


                สีหน้าของเสิ่นโจ้วเปลี่ยนไปทันใด แล้วร้องออกมาว่า “แล้วที่เจ้าว่าสถานการณ์…?”


                “หลานหมายความว่า ยามนี้สัญญาแต่งงานได้ดำเนินต่อไปเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจะมีโทสะเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ยามนี้แม้จะตีหลานให้ตาย ก็ไม่อาจ…” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวถึงตรงนี้ เสิ่นโจ้วก็แทบจะล้มประดาตาย!


                เขาถลกแขนเสื้อขึ้นมาด้วยโทสะอย่างไม่อาจยั้งได้ แล้วกำมือจนกระดูกลั่นกร๊อบแกร๊บ… ไม่ใช่เขาผู้เป็นอาจะไม่เอ็นดูหลานชายผู้นี้ แต่หลานชายเยี่ยงนี้…หลานชายเยี่ยงนี้จะไม่ให้ตีได้อย่างไรกัน!


                น่าเสียดายก็แต่ ในเวลากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ เด็กรับใช้ข้างนอกกลับพลันร้องบอกมาจากนอกหน้าต่างว่า “แม่นมข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามาขอรับ บอกว่าคุณชายสามเดินทางมาลำบาก ทั้งยังตากฝน จึงได้ส่งสุรามาให้คลายหนาวเป็นการพิเศษขอรับ”


                เสิ่นโจ้วหน้าเขียวคล้ำ แล้วเก็บหมัดที่เหลืออีกเพียงหนึ่งชุ่น[1]ก็จะทุบไปที่หัวของเด็กคนนี้ ท่ามกลางสายตายินดีปรีดิ์เปรมของเสิ่นจั้งเฟิง จากนั้นก็จัดแจงเสื้อผ้าของตนสักหน่อยด้วยความรวดเร็ว แล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “เป็นแม่นมเฉินรึ? รีบเชิญ!”


                พักหนึ่งจากนั้น เฉินหรูผิงก็ถือกล่องอาหารเข้าประตูมาด้วยตนเอง แล้วยิ้มให้กับคนทั้งสองเป็นการคารวะ พลางยื่นกล่องอาหารออกไป เอ่ยปากถามเป็นอันดับแรกว่าร่างกายของเสิ่นจั้งเฟิงเป็นเช่นไรบ้าง ต้องการเชิญหมอมาตรวจดูหรือไม่ เสิ่นจั้งเฟิงย่อมต้องกล่าวคำขอบคุณและปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจ เฉินหรูผิงมิได้อยู่ที่นี่ต่อ เมื่อถ่ายทอดคำทักทายปราศรัยและความห่วงไยของแม่เฒ่าซ่ง และบอกว่าคืนนี้เว่ยฮ่วนจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขาที่เดินทางมาไกล จากนั้นก็อำลาและจากไป…


                ที่ทั้งสองถูกขัดจังหวะครานี้ ขณะที่เฉินหรูผิงสอบถามไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มือของนางก็จัดวางสุราและอาหารไว้บนโต๊ะของพวกเขาอาหลานอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังรินสุราไว้ให้พวกเขาคนละจอก ว่ากันว่า ตีกลองศึกหนแรกฮึกเหิม หนสองถดถอย หนสามเหือดแห้ง หลังจากกล่าวคำตามมารยาทกับเฉินหรูผิงสักพัก และมีอาหารและสุราวางอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด เสิ่นโจ้วก็ไม่มีแก่ใจจะลงไม้ลงมือแล้ว พลางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ดื่มสุราสักสองจอกอบอุ่นร่างกายก่อนเถิด”


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มและให้เขาดื่มก่อน เสิ่นโจ้วพลันเอื้อมไปหยิบจอกสุราตรงหน้าตนขึ้นมาจิบคำหนึ่ง พลางหรี่ตา แค่นเสียงกล่าวว่า “เด็กดี วันนี้เจ้าประจบผู้ใหญ่ตระกูลเว่ยทั้งสองท่านเสียปิติยินดีไม่เบา สุราซวงหลางนี้ เพราะมีกรรมวิธียุ่งยากทั้งวัตถุดิบที่ใช้ก็ต้องคัดสรรมาอย่างดี ตลอดมาจึงไม่ได้ทำออกมามากนัก ภายหลังจึงกลายเป็นว่าแม้แต่กรรมวิธีก็ยังไม่มีการถ่ายทอดแล้ว ยามนี้สุราชนิดนี้ที่แต่ละตระกูลเก็บรักษาเอาไว้จึงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย และล้วนถือว่าเป็นของล้ำค่า แม้แต่บิดาเจ้าก็จักมีแต่ยามที่ยินดีปรีดาเป็นที่สุดจึงจะเอามารินลิ้มรสสักจอก ยามนี้แค่เพียงให้เจ้าอบอุ่นร่างกาย ตระกูลเว่ยถึงกลับเอาออกมาให้หนึ่งไห!”


                “หากท่านอาชอบ หลานก็จักดื่มเพียงจอกนี้ ส่วนทั้งไหนี้ยกให้ท่านอาเป็นอย่างไร?” เสิ่นจั้งเฟิงฟังแล้วยิ้มพลางกล่าวออกมา


                เสิ่นโจ้วแค่นเสียงหัวเราะออกมาหนหนึ่ง แล้วจิบไปอีกคำ ทันใดนั้นก็กล่าวว่า”บิดาเจ้าไม่แม้อนุญาตให้เจ้ามาเฟิ่งโจว แล้วเจ้าไปเอากระบี่ ‘ลู่หู’ ออกมาจากห้องหนังสือของเขาได้อย่างไร? ต่อให้จะหลอกคนอื่นออกมาได้ แต่คนเฝ้าประตูก็จะไม่ยอมให้เจ้าเอาไปหรอกกระมัง?”


                ‘ลู่หู’ เป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง แม้จะสวมเสื้อผ้าที่มีขนาดกว้างเพียงใดก็ไม่อาจซุกซ่อนเอาไว้ได้…หาไม่แล้ว ความคิดต้องการ ‘ลู่หู’ ของเสิ่นโจ้วก็มิได้มีมาเพียงปีสองปี จนใจที่เสิ่นเซวียนไม่ยอมให้เสียที แม้ภายนอกนั้นเสิ่นโจ้วจะมีรูปลักษณ์หยาบกระด้างแต่ยามเขาทำการใดกลับให้ค่ากับความสุขุมรอบคอบยิ่ง และด้วยเพราะอายุอานามก็ปูนนี้แล้ว แต่ก็หาใช่ว่าจักไม่เคยมีนอกลู่นอกทางกับพี่ชายแท้ๆ ของตนมาก่อน กระบี่เล่มนี้วางอยู่ในห้องหนังสือตลอดเวลา และมี ‘จี๋หลี’ คอยเฝ้าอยู่ คิดอยากจะขโมยเอามาดื้อๆ ล้วนเป็นไปไม่ได้


                ยังไม่นับเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงกลับเอามาอยู่ในมือได้อย่างง่ายดาย แต่นี่เขายังนำมันมาด้วยจนถึงที่เฟิ่งโจว แล้วมามอบให้แก่คู่หมายของตนในนามของเสิ่นเซวียนอีก…


                เมื่อสงบสติอารมณ์ลง คำถามที่เสิ่นโจ้วคิดคำนึงถึงที่สุดก็คือเรื่องนี้ว่า… ข้าคอยคิดมาตลอดหลายปีนี้ก็ยังเอามาไม่ได้ ไยเจ้าเด็กคนนี้จึงทำได้?


                “หลานขอให้จั้งหนิงและซูเหยียนช่วย” ในดวงตาของเสิ่นจั้งเฟิงเผยความเปรมปรีดิ์ออกมา กระแอมเบาๆ แล้วว่า “จั้งหนิงใส่ทำนองเพลงให้กับกลอนบทหนึ่งที่ซูเหยียนเพิ่งจะเขียนออกมา อาศัยจังหวะตอนที่ท่านพ่อว่างเว้นจากกิจต่างๆ แล้วเข้าไปในห้องหนังสือพร้อมด้วยซูเหยียนเพื่อบรรเลงให้ท่านพ่อฟัง”


                เสิ่นโจ้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “จากนั้นก็เอากระบี่ซ่อนไว้ใต้ฉินและนำออกมารึ? นี่คงไม่ใช่กระมัง! ในเมื่อพี่ใหญ่ก็อยู่ในห้องหนังสือด้วย จักไม่พบเห็นได้อย่างไรกัน?”


                “ก่อนหน้านั้นหลานได้สั่งให้คนทำกระบี่ที่เหมือนกับ ‘ลู่หู’ ออกมาเล่มหนึ่ง ทั้งตัวกระบี่และฝักกระบี่ให้จั้งหนิงเก็บเอาไว้ใต้ฉินและนำเข้าไป… จั้งหนิงหรือจะแต่งทำนองเพลงเป็น? ยิ่งไม่ต้องบอกว่าฝีมือฉินของนางนั้นยิ่งย่ำแย่เสียกว่าการแต่งทำนองเพลงเสียอีก ท่านพ่อฟังเสียจนปวดหัวนักหนาแต่ก็ใจไม่แข็งพอจะต่อว่านาง ทำได้เพียงพยายามดูเอกสารเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ยามที่ท่านพ่อดูเอกสาร กระบี่เล่มนี้ก็อยู่ข้างกายท่านพ่อพอดี จั้งหนิงอาศัยโอกาสให้ซูเหยียนดีดฉินแทนนางสองสามหน แล้วตนเองลุกขึ้นสับเปลี่ยนเสีย จากนั้น…”


                เสิ่นโจ้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “แล้วเด็กรับใช้ในห้องหนังสือเล่า?”


                “ซูเหยียนบอกว่านางเพียงอยากให้ท่านพ่อฟังก่อน จึงได้ยืนกรานให้ท่านพ่อไล่เด็กรับใช้ออกไปเสีย” เสิ่นจั้งเฟิงลูบคางครั้งแล้วครั้งเล่า พูดพลางยิ้มว่า “ท่านพ่อรักใคร่พวกนางมาโดยตลอด ย่อมไม่ถือสากับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้”


                “…” ด้วยประการฉะนี้ เจ้าหลานชายที่ไม่ได้ทำให้วางใจผู้นี้ นอกจากวางแผนการขโมยกระบี่ล้ำค่าของรักของห่วงของบิดาแล้ว ยังถึงกับลากน้องสาวร่วมท้องเสิ่นจั้งหนิงที่อายุเพิ่งจะสิบสามปีและหลานสาวเสิ่นซูเหยียนอายุเพียงสามขวบมาเกี่ยวข้องด้วยหรือนี่? ตามที่เขาว่ามา หรือว่าจนยามนี้เสิ่นเซวียนก็ยังมิทันรู้ตัว…ว่า ‘ลู่หู’ แสนรักของเขา ถูกลูกชายลูกสาวอกตัญญูเหล่านี้สับเปลี่ยนไปแล้ว?


                เสิ่นโจ้วยอมรับว่าเพื่อกระบี่เล่มนี้แล้ว เขาเคยคิดนอกลู่นอกทางมาไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งหน แต่ทุกคราก็ล้วนรู้สึกว่าตนละเมิดธรรมเนียมของบุตรหลานของตระกูลสูงศักดิ์เป็นอย่างยิ่ง ทว่าต่อให้เขาไร้ยางอายเพียงใดก็ไม่เคยมีความคิดจะใช้หลานสาวตัวน้อยหรือกระทั่งหลานปู่ที่คนหนึ่งอายุสิบสามปีอีกคนหนึ่งสามขวบ… บอกว่าเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงได้กระบี่มาแล้ว จากนั้นก็เข้าไปขอลาพักกับฮ่องเต้และยืมม้า อาศัยเงินที่ใช้หยกประดับกายไปจำนำมาใช้เดินทางมาจนถึงเฟิ่งโจว แต่กลับไม่รู้ว่าหลานสาวและหลานปู่ที่ช่วยเขาขโมยกระบี่มาป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้างแล้ว…


                เขาคิดอยู่เป็นนานแล้วรู้สึกว่าตนเทียบไม่ติดเลยจริงๆ พลางยกจอกสุราขึ้นซดอย่างแรง แล้วเงยหน้าดื่มจนหมดจอกในคราเดียว!


                เสิ่นจั้งเฟิงคงดูความกลัดกลุ้มใจของอาตนออก จึงได้อธิบายไปว่า “เดิมทีข้าวางแผนว่าจะทำการผู้เดียว ทว่าหลังจากที่ทำฝักเปล่าซึ่งจะใช้สับเปลี่ยนกับ ‘ลู่หู’ เสร็จและนำกลับบ้าน กลับถูกพวกนางเห็นเข้าพอดี จั้งหนิงซุกซนนัก จักต้องขอผสมโรงด้วยให้จงได้ หากข้าไม่ให้พวกนางทำ นางก็จะเปิดโปงข้าต่อหน้าท่านแม่ เช่นนั้นแล้ว…”


                หลานสาวและหลานปู่ที่ข้าเลี้ยงมาก็ไม่เลวเลยนี่? เสิ่นโจ้วยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาโดยพลัน…


                อาที่แสนเจ็บปวดใจรู้สึกโมโหโกรธามาจากขั้วหัวใจ ดังนั้นแล้วเสิ่นโจ้วจึงได้แค่นเสียงหึอย่างเย็นเยือกออกมาคราหนึ่ง กล่าวเย็นชาว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นยามนี้มาว่ากันเรื่องเหตุใดเจ้าจักต้องแต่งงานกับบุตรสาวบ้านเว่ยที่ชื่อเสียงย่อยยับผู้นี้ให้จงได้? ในยามนี้เด็กสาวผู้นี้งดงามไม่เบาดังว่า แต่เจ้าก็เพียงเคยเห็นนางคราหนึ่งตั้งแต่นางยังอยู่ในผ้าอ้อมนี่? อย่าได้บอกข้าว่าสิบกว่าปีก่อนที่เคยเห็นตั้งแต่อยู่ในผ้าอ้อมนั้นเจ้ายังจำได้ถึงยามนี้! อีกประการหากเจ้าชอบหญิงรูปโฉมงดงาม ในบ้านจะไม่มีให้เจ้าหรือไร!”


                เห็นเสิ่นจั้งเฟิงเอาแต่หัวเราะไม่พูดจา เสิ่นโจ้วจึงสูดหายใจลึก กล่าวเสียงหนักว่า “ข่าวคราวจากในวังนั้นยืนยันมาแล้ว ว่าในการประลองยุทธในงานเลี้ยงพระราชทานคืนวันส่งท้ายปีเก่า ผู้ที่ได้สามอันดับแรกล้วนได้เลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษ และได้อภิสิทธิ์ในการออกรบ แม้จะมีเพียงสามอันดับ ทว่าทั้งรางวัลและสิทธิประโยชน์ของผู้ที่ได้ที่หนึ่งกลับห่างไกลกับที่สองและที่สามยิ่งนัก ยามนี้คาดว่าตระกูลหลิวจักต้องวางแผนนานัปการเพื่อช่วยให้หลิวซีสวินได้เป็นที่หนึ่ง เจ้าไม่คอยเตรียมตัวการประลองยุทธครานี้อยู่ที่เมืองหลวงแต่กลับวิ่งมาขัดขวางการถอนหมั้นที่เฟิ่งโจว… เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าหลายปีมานี้ด้วยท่านเว่ยลาออกจากราชการทำให้กำลังอำนาจของรุ่ยอวี่ถังถดถอยลงไป แม้ว่าท่านเว่ยยังอยู่ ทว่า…”


                อย่างไรเสีย ยามนี้ก็ยังอยู่ในบ้านตระกูลเว่ย แม้จะมีคนที่วางใจเฝ้าอยู่ภายนอก เสิ่นโจ้วก็ยังคงรู้สึกว่าหากพูดถึงตระกูลเว่ยในเรื่องร้ายมากเกินไปก็จักไม่เป็นการสมควร จึงได้หยุดปากเสีย แล้วถามไปทีละคำว่า “เจ้ายืนกรานจะแต่งงานกับบุตรสาวสกุลเว่ยผู้นี้ ด้วยเหตุผลใดกันแน่?!”


____________________________


[1] ชุ่น เป็นหน่วยวัดความยาวแบบจีน มีความยาวประมาณ 1 นิ้ว


ตอนที่ 78 ข่มเหงเกินไป

โดย

Xiaobei

                เมื่อเห็นว่าเสิ่นโจ้วไถ่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง เสิ่นจั้งเฟิงก็เก็บรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าไปเสีย มีความเย็นชาอยู่ในที แล้วกล่าวว่า “หรือท่านลุงไม่รู้สึกว่า คนเหล่านั้นข่มเหงกันเกินไป!”


                เสิ่นโจ้วขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เจ้าหมายถึงเรื่องที่พวกเขาใช้บุตรสาวสกุลเว่ยมาทำลายหน้าตาของบ้านเราหรือ? แค้นนี้เจ้านึกหรือว่าบ้านเราจะไม่จำเอาไว้? แต่เรื่องสำคัญในยามนี้คือเรื่องที่หนึ่งในการประลองยุทธ์ในงานเลี้ยงประราชทานวันส่งท้ายปีเก่า!” เขาคิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงมีชื่อตั้งแต่อายุยังน้อย ครานี้ถูกผู้คนครหาว่าคู่หมายที่เขาหมั้นไว้ตั้งแต่เล็กยังมิทันได้เข้าบ้านก็มาเสียความบริสุทธิ์แล้ว เมื่อถูกเยาะเย้ยเสียเต็มที่ จนเคืองโกรธอย่างหนัก จึงไม่ยอมฟังคำเย้ยหยันของคนพวกนั้นให้ต้องถอนหมั้นครานี้


                เสิ่นโจ้วถอนหายใจ เขาเองก็รู้สึกว่าหลานชายถูกให้ร้ายหนักหนา อีกไม่กี่เดือนก็จักแต่งงานแล้ว กลับมีข่าวออกมาว่าคู่หมายที่หมั้นกันมาแต่เล็กถูกคนร้ายข่มเหงรังแก ถึงในยามปกติเสิ่นจั้งเฟิงจะเป็นคนใจกว้าง แต่เรื่องเช่นนี้สำหรับผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ผู้ใดจักสามารถรับได้ไหว? ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นจั้งเฟิงกำลังอยู่ในวัยที่เลือดลมพลุ่งพล่าน


                เพียงเพราะหลานชายก็โมโหเสียจนเลอะเลือน ในเวลาเช่นนี้ควรจักรีบจัดการถอดหมั้นไปเสียโดยเร็วจึงจะถูกต้อง หาไม่แล้วก็จะถูกดึงไปเกี่ยวข้องด้วย เหตุใดกลับจะมาทำตามสัญญาแต่งงานต่อไปเล่า? ยามนี้หากการแต่งงานครานี้ยังดำเนินต่อไปจะมีประโยชน์ใดอีก?


                ดังนั้นเขาจึงกล่าวไปอีกว่า “ต้นเหตุที่ผู้คนเหล่านั้นเย้ยหยันแท้จริงแล้วก็ด้วยเพราะบุตรสาวสกุลเว่ย ขอเพียงพวกเราถอนหมั้น แล้วจักเกี่ยวกับบ้านเราเรื่องใด?”


                เสิ่งจั้งเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ท่านอาก็คิดเช่นนี้หรือ? หากเป็นดังนี้ แล้วจะต่างอะไรกับเหล่าคนที่ไม่ไถ่ถามถึงดีชั่วดำขาวพวกนี้?”


                เสิ่นโจ้วตะลึงงั้น


                แล้วฟังเสิ่นจั้งเฟิงพูดต่อไปว่า “ความผิดอยู่ที่พวกลอบสังหารเหล่านั้น อยู่ที่ผู้บงการอยู่เบื้องหลังตัวจริง ว่าที่ภรรยาของหลานผู้นี้ผิดที่ใด?”


                “บุตรสาวสกุลเว่ยนั้นมิได้ผิดที่ใดจริงๆ เพียงแต่เด็กสาวผู้นี้โชคไม่ดี” สีหน้าของเสิ่นโจ้วเริ่มหนักขึ้น แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เรื่องนี้นั้น แน่นอนว่าเป็นตระกูลเสิ่นผิดต่อตระกูลเว่ย ทว่าผิดก็ส่วนผิด แต่ก็ไม่อาจเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่มีต่อตระกูลเว่ย แล้วจักให้เจ้าต้องมาทนรับคำเย้ยหยันของผู้คนไปชั่วชีวิต! ยิ่งไปกว่านั้นแม้เรื่องที่มีชาวบ้านเฟิ่งโจวไปขวางเกี้ยวร้องเรียนจะเป็นการให้ร้ายจริงๆ แต่เรื่องที่เด็กสาวผู้นี้ไปตามนัดหมายแทนน้องชาย และไปอยู่พูดคุยกับเว่ยซินหย่งแห่งจือเปิ่นถังในหุบเขาเพียงลำพังอยู่ครึ่งวันกลับเป็นเรื่องจริง! ในหุบเขาแห่งนั้นหาได้มีเพียงเว่ยซินหย่งนายบ่าว ยังมีพวกโจรโฉดแห่งเขาเฟิ่งฉีด้วย! ลำพังเพียงประเด็นนี้ การถอนหมั้นของพวกเราก็มีหลักฐานอยู่ทนโท่!”


                เขากล่าวเตือนไปว่า “หรือที่เจ้าดึงดันจะทำตามสัญญาแต่งงานต่อไปก็เพราะสงสาร บุตรสาวสกุลเว่ยผู้นี้? เจ้าอย่าได้ใจอ่อนทำเรื่องเลอะเลือนไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบเชียว! ภาษิตว่า คำคนกลับผิดเป็นถูก คำว่าร้ายป่นกระดูกได้ ความความอัปยศและเสียงเย้ยหยันที่ภรราซึ่งเป็นเช่นนี้จักนำมาสู่เจ้าในภายภาคหน้านั้น มิใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการได้เชียว! ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เจ้าสงสารนาง แล้วเจ้าเคยคิดถึงลูกๆ ของเจ้าในภายภาคหน้าบ้างหรือไม่? เมื่อมีมารดาที่มีชื่อเสียงบ่นบี้ ลูกๆ ของเจ้าในวันหน้าก็จะต้องถูกผู้คนเย้ยหยันรังแก… เจ้าลองคิดดูให้ดีว่าเมื่อมีผลเหล่านี้ตามมา แล้วเจ้าจักมีเรี่ยวแรงเหลือพอไปรับหน้าที่ประมุขตระกูลได้อย่างไร!”


                “หากเห็นใจนางจริงๆ การแต่งงานนี้ก็ให้ตระกูลเว่ยเป็นฝ่ายถอนหมั้นเสียก็สิ้นเรื่อง บ้านเราค่อยชดเชยให้ตระกูลเว่ยหรือเด็กสาวผู้นี้ด้วยหนทางอื่นสักครา เรื่องแต่งภรรยาเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต หาได้มีผู้ใดแต่งเข้าบ้านด้วยความเห็นใจสงสารไม่! เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะยอมรับได้หรือ!”


                เสิ่นจั้งเฟิงวางตะเกียบงาช้างลง มองอาด้วยสายตานิ่งสงบคราหนึ่งแล้วว่า “หัวหน้าพวกลอบโจมตีเป็นว่าที่ภรรยาของหลานลงมือสังหารต่อหาผู้คน”


                “แล้วอย่างไร?” เสิ่นโจ้วกล่าวเย็นชา “เจ้าอย่าคิดว่าเพียงกระบี่ ‘ลู่หู’ หนึ่งเล่ม แล้วเอ่ยอ้างนามของบิดาเจ้าก็จะทำให้เสียงเล่าลือผันเปลี่ยนไปได้! หากคำเล่าลือควบคุมได้ง่ายดังว่า ตระกูลเว่ยเลื่องชื่อด้านบุ๋น กลยุทธเรื่องการกลับดำเป็นขาวนั้นเก่งกาจกว่าพวกเราชาวบู๊ตั้งไม่รู้เท่าใด! ด้วยฝีมือของท่านเว่ยป่านนี้คงจัดการไปได้ตั้งนานแล้ว!”


                 “ในเมื่อสามารถสังหารหัวหน้าพวกลอบโจมตีบนถนนหลวงต่อหน้าผู้คนได้หากนางหลบหนีมาเพียงลำพัง คิดว่าคงจักไม่มีปัญหาใด” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวราบเรียบ “แต่นางไม่ทำ นางเอาตัวมาบังอยู่ข้างหน้าน้องชายร่วมท้องเว่ยฉางเฟิง สุดท้ายก็ปกป้องเว่ยฉางเฟิงให้ถอยเข้าไปในป่าและเอาชีวิตรอดมาได้! จากนั้นก็ทำเช่นนั้นอีกด้วยการไปตามนัดหมายแทนน้องชาย เดิมทีนางสามารถให้เว่ยฉางเฟิงไปกับคนของเว่ยซินหย่ง แล้วตนก็กลับมารายงานคนในตระกูลที่เฟิ่งโจว ค่อนส่งค่อยไปช่วยเหลือเว่ยฉางเฟิง! หากบอกว่านางไม่ยอมถอยยามอยู่บนถนนหลวง อาจเพราะคิดว่าวรยุทธของตนเก่งกาจพอ เป็นดังโคที่ไม่กลัวเสือมาแต่กำเนิด แต่หลังจากเผชิญกับเรื่องน่าขวัญผวาในป่ามาหลายวัน กลับยังมีความกล้าจะไปตามนัดแทนน้องชาย…ท่านอาคิดว่านางจะไม่รู้หรือไรว่าที่ตนไปครานี้จะต้องลงเอยเช่นไร?”


                เสิ่นโจ้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าจักบอกอีกหน บุตรสาวสกุลเว่ยมีคุณธรรมสูงส่งจริงแท้! หากนางมิได้หมั้นหมายกับเจ้า ข้าเองก็ชื่นชมสตรีเช่นนี้อยู่ไม่น้อย… สตรีที่มีความสามารถทั้งยังมีคุณธรรมสูงส่งเช่นนี้ แม้แต่ในซีเหลียงก็ยังพบเห็นได้ไม่มาก แต่แล้วจะอย่างไร? ยามนี้บ้านเราต้องการสะใภ้ที่สามารถช่วยเป็นกำลังสนับสนุนเจ้าได้ หาใช่ฮูหยินที่ยังไม่เข้าประตูบ้านก็ต้องเป็นภาระของเจ้า แล้ววันหน้าก็ยังจะกลายเป็นเหตุผลที่เห็นอยู่ทนโท่และให้ผู้อื่นใช้มาโจมตีเจ้า! ชื่อเสียงของบุตรสาวสกุลเว่ยผู้นี้ย่อยยับจนไม่เหลือชิ้นดี ในเสียงเล่าลือต่างพากันว่านางไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว ต่อให้ชื่นชมในความเสียสละของนางเพียงใด หรือเพราะความเสียสละของนางต่อเว่ยฉางเฟิง เราก็จักต้องทำเช่นเดียวกัน ด้วยการเสียสละเจ้าให้รับนางเข้าบ้านต่อไปรึ?”


                เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เสิ่นจั้งเฟิงกลับหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “บริสุทธิ? ผุดผ่อง? หากว่าที่ภรรยาของหลานผู้เอาแต่คำนึงถึงชื่อเสียงดีงามและความบริสุทธิ์ของตนเอง จนถึงขั้นที่เมื่อได้เผชิญหน้ากับพวกลอบสังหารก็หลบหนีออกมาเพียงลำพัง ผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถูกเย้ยหยันดังที่เป็นอยู่นี้ก็จะมิใช่นางแล้ว แต่สตรีที่บอกว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องเช่นนี้…หลานยอมแต่งกับหญิงในหอสำราญ[1] ก็จักไม่มีทางให้นางเข้าบ้านตระกูลเสิ่น!”


                ทันใดนั้น ดวงตาของเขาพลันส่งประกายรุ่มร้อนออกมา เต็มไปด้วยไฟโทสะและปรามาส แล้วพูดออกมาทีละคำว่า “หญิงสาวที่บอกว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องพวกนั้นก็เพียงเพราะไม่เคยถูกลอบสังหารเท่านั้น! หากได้เจอแล้ว ก็เกรงว่าหากไม่ก็ถูกสังหารก็คงจักไม่ถูกข่มเหงอยู่บนถนนหลวงไปแล้ว ไม่เป็นภาระแก่พี่น้องที่เป็นชายก็ถือว่าไม่เลวแล้ว มีหรือจะพูดถึงเรื่องไปช่วยผู้อื่นได้? หลานดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าคนเหล่านี้มีสิทธิ์อันใดไปเย้ยหยันเหยียดหยามผู้อื่น!”


                “อีกประการ เรื่องเสียหรือไม่เสียความบริสุทธิ์อะไรนั่น… มิใช่เป็นเพียงไปพบเว่ยซินหย่งแทนเว่ยฉางเฟิงหนหนึ่งเท่านั้นหรือ เมื่อนับกันจริงๆ แล้ว เว่ยซินหย่งก็ยังเป็นอาในตระกูลของนาง! ทั้งยังเป็นพวกพ้องของท่านเว่ย แล้วจะทำสิ่งใดกับนางได้? หรือต่อให้ทำ นางก็เป็นผู้ถูกทำร้าย หาได้เป็นนางยินยอมไม่! กลับกลายเป็นว่าด้วยเหตุนี้ก็โยนความผิดไปที่นาง ช่างน่าขันสิ้นดี! หากว่ากันตามหลักการเช่นนี้ หลานก็สามารถเอากระบี่ไปแทงพวกที่วิพากษ์วิจารณ์นางจนตาย แล้วก็โทษว่าเหตุใดเขาจึงมาชนกระบี่ของหลาน ทั้งยังทำให้กระบี่ของหลานเปรอะเปื้อนอีกเช่นนั้นรึ?”


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเยาะ “นางเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทั้งองครักษ์และสาวใช้ล้วนถูกสังหารจนสิ้นด้วยน้ำมือศัตรู มีเพียงครูฝึกวรยุทธผู้หนึ่งและผู้ช่วยซึ่งเป็นพี่ชายในตระกูลอีกผู้หนึ่ง พยายามปกป้องน้องชายอย่างสุดกำลังให้หนีรอดจากสถานการณ์อันตรายออกมาได้! นี่เป็นความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยวเก่งกาจถึงเพียงใด? พวกคนที่พูดจาเกินจริงและเอาแต่เยาะนางอยู่ทั้งวันเหล่านี้ ไม่นับพวกเด็กเล็กสตรีคนชราที่ไม่รู้ความ ว่ากันเพียงพวกผู้ชายที่เป็นหนึ่งในนั้น ยังไม่เอ่ยถึงว่าพวกผู้ชายเหล่านี้แต่ละคนจักมีฝีมือสังหารหัวหน้าพวกคนร้ายต่อหน้าผู้คนหรือไม่ ในยามที่พวกเขาแต่ละคนได้เผชิญหน้ากับความหวาดกลัวระหว่างความเป็นและความตายนั้น จักสามารถไม่รักตัวกลัวตายและปกป้องญาติพี่น้องของตนได้หรือไม่?”


                “ไอ้พวกไร้ยางอาย! กลับดำเป็นขาว จับถูกปนผิด ไม่แยกแยะดีชั่ว!”


                “ตามคำครหาของพวกไร้ยางอายเหล่านี้ เป็นไปได้ว่าหากเจอกับคนร้าย เมื่อองครักษ์ไม่อาจรับมือได้ก็คงมีแต่ตายสถานเดียว? หากไม่ยืนรอความตายอยู่บนถนนหลวง หรือไม่ก็เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วก็คงจะผูกคอตาย? พวกคนร้ายสังหารได้แต่เพียงองครักษ์และสาวใช้ของตระกูลเว่ย ที่สุดก็ยังมีพวกนายเหลือรอดชีวิตมาได้ ทว่าคนพวกนี้… กลับหวังให้ผู้ที่รอดชีวิตจากเคราะห์ร้ายมาได้ตายตกไปตามกัน เพียงเพราะสิ่งที่เรียกขานกันว่าเป็นบรรทัดฐานของความบริสุทธิ์ซึ่งพวกเขานึกคิดกันไปเอง!”


                “โบราณว่ามีเพียงผู้ไร้ข้อด่างพร้อยที่สามารถลบหลู่คนได้ คนเหล่านี้จิตใจเต็มไปด้วยความคิดโสมมชั่วช้า แต่กลับกล้าคิดว่าตนไม่ด่างพร้อยไม่สกปรก แล้วยึดถือเอาหลักการที่พวกเขาคิดไปเองว่ายิ่งใหญ่ ใช้วาจาเป็นดาบมาประหารผู้คนที่พวกเขาคิดว่าเป็นคนผิดเช่นนั้นหรือ?!”


                จิตใจของเสิ่นจั้งเฟิงเย็นเฉียบ ในแววตาถึงขึ้นมีแววสังหารปรากฏออกมาอย่างชัดเจน “หากพวกลอบทำร้ายสมควรได้รับโทษประหารเพราะความผิดของพวกมัน พวกที่ได้ทีขี่แพะไล่ชอบซ้ำเติมผู้อื่นนั้น กลับชั่วช้ากว่าพวกลอบทำร้ายเป็นร้อยเท่า! ความจริงแล้วพวกเขาสมควรได้รับโทษให้ตายเป็นหมื่นหน!”


                เสิ่นโจ้วมองหลานชายที่ค่อยๆ มีอารมณ์ดือดดาลขึ้นมา แล้วถอนหายใจอีกครา “ข้าก็บอกไปแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้มิได้มีสิ่งใดไม่ดี เหมาะสมทั้งวงศ์ตระกูลจิตใจดีงามมีคุณธรรม เพียงแต่หากยามนี้เจ้าแต่งกับนาง ก็จะกลายเป็นตัวถ่วงของเจ้า! ลำพังเพียงเรื่องนี้ เรื่องแต่งงานครานี้ก็จะต้องยกเลิก! พวกเราจักต้องคำนึงถึงเจ้า!”


                เสิ่นจั้งเฟิงหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็สงบลงได้แล้ว “ท่านอายังคงไม่เข้าใจ! ฉางอิ๋ง…เป็นว่าที่ภรรยาของหลาน!”


                เสิ่นโจ้วกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง เขาส่ายหัวขัดจังหวะ แล้วพูดต่อว่า “หากนางมิใช่ว่าที่ภรรยาของหลาน เมื่อได้ยินเรื่องนี้ แม้หลานจะรู้สึกเช่นเดิมว่าพวกที่สร้างข่าวลือครหานินทาสมควรได้รับโทษ รู้สึกเช่นเดิมว่านางเคราะห์ร้ายเหลือทน… แต่อย่างมากหลานก็จักแก้ต่างให้นางเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่จะไม่ไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างไรเสียใต้หล้านี้กว้างใหญ่นัก เรื่องที่ไม่เป็นธรรมไร้คุณธรรมมีมากมายเกินไป หลานเข้าใจดีว่า หาไปยุ่งย่ามได้ไม่”


                “แต่ฉางอิ๋งไม่เหมือนกัน! ในนามนั้นนางถือเป็นคนของตระกูลของเราตั้งนานแล้ว แต่เมื่อนางถูกให้ร้ายไม่ได้รับความยุติธรรม บ้านเราก็คิดแต่จะตัดนางทิ้งไปเสีย ไม่คิดแม้จะช่วยนางทวงถามความยุติธรรม ล้างมลทินให้นาง นี่มันเป็นหลักการประเภทใดกัน?”


                “คำครหานินทาแม้จักสามารถละลายทองป่นกระดูก แต่นั้นก็เป็นเพียงเพราะใจคนขลาดกลัวไปก่อนเท่านั้น! สกุลเสิ่นสืบทอดมานับร้อยปี เคยผ่านมาสามรัชสมัย! ชื่อเสียงของบ้านเราหาได้อาศัยคนยกย่อปอปั้นออกมา หากแต่ได้มาจากการใช้ดาบใช้กระบี่ฟาดฟันกับพวกตี๋! หรือว่าตระกูลที่สืบทอดมาจนถึงวันนี้ แต่ตระกูลของเรากลับอ่อนแอขี้ขลาดจนถึงขั้นที่ไม่กล้าแม้จะปกป้องสะใภ้ที่หมั้นหมายไว้แล้ว ด้วยหวาดกลัวแค่เพียงเสียงเล่าลือ?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเยาะคราหนึ่ง “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหญิงสาวที่ใจกว้างและแข็งแกร่งเช่นฉางอิ๋งนี้เป็นที่ต้องใจของหลานพอดิบพอดี หรือต่อให้นางจะมิใช่หญิงในแบบที่หลานชอบ เพียงเรื่องที่นางเป็นคู่หมั้นของหลานเรื่องเดียว มันผู้ใดถือสิทธ์ใดคิดร้ายให้ร้ายสบประมาทนาง หลานก็จักไม่มีวันทิ้งนางโดยไม่ไยดี! ยามนี้อย่าว่าแต่นางมิได้มีความผิดใด หรือต่อให้มีความผิด สะใภ้ของบ้านเสิ่นของเราก็จักต้องให้บ้านเสิ่นเป็นผู้ดูแลสอนสั่ง มีหรือต้องให้คนนอกมาชี้มือชี้เท้าวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา? ! ชายชาตรีอกสามศอก แม้แต้ภรรยาที่หมั้นหมายกันมาแต่เล็กก็ยังปกป้องไม่ได้ แล้วหลานจักยังมีหน้ายืนหยัดอยู่ในใต้หล้านี้ได้อย่างไร?!”


                สีหน้าของเสิ่นโจ้วเปลี่ยนไปหลานหน กระทืบเท้าพลางกล่าวด้วยโทสะว่า “เจ้าจะเข้าใจสิ่งใด? นี่เป็นเวลาที่ต้องมาพูดเรื่องคุณธรรมหรือไร? ตระกูลหลิวนั่น…”


“ตั้งแต่หลานประลองยุทธ์หน้าพระพักตร์ ไม่เคยพ่ายแม้สักหน!” เสิ่นจั้งเฟิงพูดด้วยความทะนงตนว่า “หลิวซีสวินก็เป็นเพียงคนขี้แพ้เท่านั้น! ปีก่อนๆ หลานเอาชนะเขาได้ แล้วเหตุใดปีนี้จะชนะอีกไม่ได้! ต่อให้หลานถดถอยไปหมื่นก้าวและพ่ายแพ้ในหนนี้ นั่นก็เพราะใจหลานไม่แน่วแน่พอ ไม่มานะฝึกวรยุทธเพียงพอ จะเกี่ยวกับสตรีผู้หนึ่งได้อย่างไร? แต่โบราณมาแพ้ชนะล้วนเป็นเรื่องปกติของทหาร แต่ไรมาหลานไม่เคยเหยียดหยัน ไม่รับผิดชอบหรืออำพรางความผิดต่อสิ่งที่หลานพึงรับผิดชอบ ยิ่งไม่มีทางไร้ยางอายโยนความผิดไปให้แก่สตรีที่ไร้ความผิดคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นภรรยาตนเองด้วยเป็นแน่!”


                “การแต่งงานนี้ท่านพ่อเป็นผู้กำหนดเอง เหมาะสมด้วยชาติตระกูล ตัวนางหลานเองก็ชอบ แล้วตระกูลเสิ่นและจือเปิ่นถังแห่งตระกูลเว่ยถือสิทธิ์ใดมาใช้กลอุบาย แล้วหลานก็จักต้องไปถอนหมั้นตามที่พวกเขาต้องการ? ข้าเป็นถึงบุตรชายตระกูลเสิ่น ทำการใดมีความคิดอ่านของตนเอง เพียงแค่เสียงเล่าลือก็คิดจะบีบบังคับข้า… เห็นข้าเป็นหุ่นเชิดในกำมือของพวกเขาจริงๆ หรือ?” เขามองไปยังเสิ่นโจ้วด้วยอารมณ์สงบ แต่น้ำเสียงกลับไม่มีท่าทีจะให้ต่อรองสิ่งใด “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ความสามารถหน้าตาและนิสัยใจคอของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อหลานได้ยินเรื่องความกล้าหาญและคุณธรรมของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเป็นยิ่งนัก! ดังนั้นการแต่งงานครานี้ หลานจักแต่งให้ได้!”


                “เจ้าสามารถกล่าวว่าจาเช่นนี้ออกมา ดูท่าว่าแผนการของตระกูลหลิวหนนี้ไม่เพียงไม่อาจทำให้จิตใจเจ้าว้าวุ่น แต่กลับทำให้ปณิธานของเจ้ายิ่งแน่วแน่ขึ้น เช่นนี้ ข้าก็กลับวางใจ” เสิ่นโจ้วนิ่งเงียบอยู่เกือบเค่อ แล้วว่า “ทว่า เจ้าก็ต้องให้ข้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนกล่าวเตือนเจ้าสักคำ… คนเราเมื่อตัดสินใจอะไรลงไปในยามที่อายุยังน้อยหุนหลันพลันแล่น วันหน้าจักต้องไม่มาสำนึกเสียใจ เพราะความจริงแล้วสามีภรรยาจักต้องอยู่กันไปตลอดชีวิต! ยามนี้เจ้ารู้สึกว่าหากมิใช่นางเจ้าจะไม่แต่ง แต่วันหน้าอาจจักต้องเสียใจหนักหนากับสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้”


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา “หลานรู้เพียงว่า หากครานี้ไม่หาหางเร่งมาเฟิ่งโจวเพื่อขัดขวางท่านอา…หลานจักต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!”


                “ความจริงแล้วแม้การที่พวกเราถอนหมั้นจะเป็นการซ้ำเดิมตระกูลเว่ย ทว่าแต่โบราณมาเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันโดยนัยอยู่แล้ว” เสิ่นโจ่วลองเกลี่ยกล่อมเขาอีกหน “เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดว่าหากเจ้าไม่แต่งกับบุตรสาวสกุลเว่ยผู้นี้ แล้วนางจะต้องลงเอยน่าอนาถจนเกินไป ท่านเว่ยและฮูหยินผู้เฒ่ามีหลานสาวแท้ๆ เพียงผู้เดียว จักต้องวางแผนให้กับชีวิตที่เหลือของนางเป็นแน่”


                เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะลั่น ในเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความประชดประชัน “ชีวิตที่เหลือนั้นจะเป็นเช่นไร? ต้องถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายเพื่อให้ตระกูลได้จารึกเอาไว้ว่าเป็นหญิงที่มีใจเด็ดเดี่ยว หรือว่าต้องไปอยู่ในศาลเจ้าตลอดชีวิตและฝั่งชีวิตในวัยที่งดงามที่สุดเอาไว้ที่นั่น? เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องแบกรับกับการให้ร้ายของพวกคนเขลา ขึ้นชื่อว่าถูกบ้านสามีทอดทิ้ง อาศัยสมบัติติดตัวมหาศาลแต่งกับญาติพี่น้องห่างๆ ในตระกูลที่ยากจนสัตย์ซื่อ และยังต้องถูกคนชี้ชวนดูรึ? หากทุกคนที่ไม่เคยทำความผิดใดเลย แต่กลับต้องเสียสละตนเพื่อคุณธรรมต่างต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ธรรมเนียมปฏิบัติในหล้านี้ช่างน่ากลัวปานใด? หรือเพราะฉางอิ๋งเป็นหญิง นางละทิ้งโอกาสจะหนีเอาตัวรอดเพียงลำพังและรักษาเกียรติยศชื่อเสียงช่วยชีวิตน้องชายสองคน แต่กลับไร้ความชอบทั้งยังมีความผิด?! เป้าหมายดังเดิมที่ฮ่องเต้เซิ่งเสี่ยนจงแต่ยุคโบราณให้คุณค่ากับเกียรติยศชื่อเสียงเป็นที่สุด ก็เพื่อสอนสั่งให้ใต้หล้ามีความสัตย์ซื่อ ให้ผู้คนมีจิตใจดีงาม แต่หากรู้ว่าเพื่อไขว่คว้าเกียรติยศชื่อเสียงซึ่งผู้คนให้การยอมรับ แต่กลับมองข้ามคุณสมบัติอื่นๆ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงชายหญิงโง่เง่า ที่ใครว่าอย่างไรก็ว่าตามเท่านั้น! พวกเขาหรือจะเข้าใจว่าสิ่งใดคือเกียรติยศชื่อเสียงและคุณธรรมที่แท้จริง?!”


                เขาส่ายหัว รอยยิ้มเย็นชาสายตาเย็นเฉียบ “ท่านอาโปรดอภัยที่หลานไม่อาจทำเรื่องเห็นแก่ตัวทอดทิ้งภรรยาที่ไม่มีความผิดใดได้! ท่านเว่ยจักต้องวางแผนให้กับชีวิตที่เหลือของฉางอิ๋ง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของตระกูลเว่ย แต่ยามนี้ฉางอิ๋งนับว่าเป็นคนของตระกูลเสิ่นของเราแล้วมิใช่หรือ? ในเมื่อเป็นคนของตระกูลเสิ่น ก็ควรจักเป็นบ้านเสิ่นของเราปกป้องนาง! แต่มิใช่รู้อยู่เต็มอกว่านางถูกคนวางแผนให้ร้ายและลบหลู่อย่างไม่เป็นธรรม แต่กลับหวาดกลัวแค่เพียงเสียงเล่าลือจนต้องรีบร้อนลนลานทอดทิ้งนาง! ของประดับที่มักวางอยู่บนโต๊ะ เพราะมองเห็นอยู่ทุกวี่วัน จึงตัดใจทำลายหรือโยนทิ้งไปไม่ได้ง่ายๆ สิ่งของยังเป็นเช่นนี้ ประสาอะไรกับภรรยาที่ผูกพันกันมาแต่เล็ก?!”


                “คำครหานินทา หลานจะแบกรับแทนนางเอง! หลานกลับอยากจะดูนัก ในใต้หล้านี้ ถูกผิดกลับกันไปหมดแล้วจริงหรือ หญิงที่มีคุณธรรมยิ่งใหญ่ชัดแจ้งถึงเพียงนี้ จักไม่อาจได้รับการสรรเสริญมีชื่อดีงามอยู่ในใต้หล้านี้ แต่กลับถูกกล่าวโทษและลบหลู่เช่นนั้นหรือ?! แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น หลานก็จะไม่มีวันทอดทิ้งภรรยาที่ได้หมั้นหมายกันไว้เด็ดขาด!”


                เสิ่นโจ้วบันดาลโทสะขึ้นมา “หากว่ากันดังนี้พวกเราล้วนเป็นพวกกลับดำเป็นขาว จับถูกปนผิด ไม่แยกแยะดีชั่ว มีเพียงเจ้าที่มีคุณธรรมสูงส่งเช่นนั้นรึ! หากเจ้าไม่ใช่หลานชายข้า เจ้าคิดหรือว่าข้าจะไปสนใจว่าเจ้าจะแต่งกับภรรยาเช่นไร หรือข้าจักวิ่งวุ่นไปมานับพันลี้เช่นนี้?!”


                “ท่านอาทำเพื่อหลาน” ความเดือดดาลของเสิ่นจั้งเฟิงพลันหายไปสิ้น พลางกล่าวและคราวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


                “ในเมื่อเจ้ารู้ถึงความลำบากใจของข้า…” แท้จริงแล้ว เสิ่นโจ้วพิจารณาเรื่องนานาเพื่อหลานชายผู้นี้ด้วยใจจริง เมื่อเห็นเขามีท่าทีคล้ายว่าอ่อนลงบ้าง เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงช้าลง คิดจักกล่าวเตือนเขาต่อไป


                ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจนเผยให้เห็นฟัน แล้วเตือนว่า “ท่านอา เพียงแต่ว่ากระบี่ ‘ลู่หู’ นั้นได้มอบให้ฉางอิ๋งในนามของท่านพ่อไปแล้ว ยามนี้ท่านเว่ยคงให้คนแจ้งข่าวนี้ไปทั่วเฟิ่งโจวแล้ว ดังเช่นที่หลานว่าไว้ก่อนนี้ เป็นที่แน่นอนแล้วว่าสัญญาแต่งงานยังดำเนินต่อไป ไม่ว่ายามนี้ท่านอาจะกล่าวเตือนหลานอีกเพียงใด…ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว จักกล่าวสิ่งใดอีก?”


                เสิ่นโจ้วมองเขา… ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะซัดเขาอย่างไรจึงจะดี!!!


________________________


[1] หอสำราญ เป็นสถานบันเทิงในยุคโบราณ มีการแสดงต่างๆ รวมทั้งเป็นซ่องโสเภณีด้วย


ตอนที่ 79 ลมหนาว

โดย

Xiaobei

                กระบี่ถูกชักออกจากฝัก เพียงวาดกระบี่ไปคราหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งก็รู้ทันทีว่าเป็นกระบี่ที่ยาวสามฉื่อ ตามหลักการแล้ว มันต้องหนักสามจิน[1]ยี่สิบเหลี่ยง[2]


                กระบี่นี้ล้ำค่ามหาศาล


                ปลายด้ามทำจากทองคำ หล่อเป็นรูปอักษรหรูอี้ ภายในกระบี่ตันไม่เป็นโพร่ง ไร้พู่ห้อย แสดงถึงฐานะความเป็นกระบี่ฝ่ายบู๊อย่างชัดแจ้ง ต่างกับกระบี่ที่ใช้ประดับไว้ที่เอวของคนฝ่ายบุ๋น…นี่เป็นอาวุธกระบี่ที่สามารถนำมาใช้สังหารศัตรูได้จริง ด้ามกระบี่ทำจากงาช้าง มีสายหนังพันรอบอยู่ภายนอก ประดับด้วยไข่มุกที่เปล่งแสงได้ กระบังกันมือทำจากทองคำ สลักเป็นภาพทิวทัศน์แม่น้ำและภูเขา ฝักทำจากไม้ต้นก้านเหลือง ไม่แต่งแต้มสีสัน ไร้ลายประดับ แต่บนฝักกระบี่นั้นกลับอาศัยหยกสีเลือดสดทอประกายที่ฝังเรียงกันออกมาเป็นนามของกระบี่ ขับพลังอำนาจของนามแห่งกระบี่ออกมาว่า…


                ลู่หู (สังหารตามใจ)!


                เว่ยฉางอิ๋งมองเพียงคราแรกก็รู้ได้โดยพลันว่าหยกสีเลือดบนฝักกระบี่นี้ จักต้องเป็นหยกสีเลือดที่มาจากหยกชิ้นเดียวกับปิ่นหยกคู่สีเลือดที่ฮูหยินซูเคยมอบให้กับตน คาดว่าคงเป็นเศษหยกที่ตัดเหลือออกมาเมื่อตอนที่ทำปิ่นคู่นั้นให้กับตน เพราะอย่างไรเสียสำหรับตระกูลสูงศักดิ์แล้ว หยกสีเลือดที่พบเห็นในดินแดนตี๋นั้นมีจำนวนน้อยยิ่งนัก


                ลำพังเพียงรูปลักษณ์ภายนอก กระบี่เล่มนี้ก็สามารถทำให้คนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่ต่างพากันให้ราคาเท่าทองพันชั่งแล้ว


                ว่าที่พ่อสามีของตนผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในเสาหลักของต้าเว่ย เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง หย่งติ้งโฮ่ว เป็นราชครูผู้สูงศักดิ์ และเป็นผู้ปกครองตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง! กระบี่ล้ำค่าซึ่งเป็นของรักของหวงของบุคคลเช่นนี้ แม้มิใช่กระบี่เลื่องชื่อในตำนานมาแต่ครั้งโบราณเช่นกระบี่ ‘กานเจี้ยง’ หรือกระบี่ ‘หมัวเหยีย’ ทว่าตัวของมันเองก็มีความโดดเด่นเหนือผู้ใด


                เว่ยฉางอิ๋งฝึกวรยุทธ์มานานปี มีความชำนาญเพลงดาบเป็นที่สุด ทว่าโดยมากแล้วผู้ฝึกวรยุทธ์ล้วนมีสัญชาตญาณที่จะเกิดความสนใจในอาวุธนานาชนิดที่มีความพิเศษในตัวเองอยู่แล้ว


                ขึ้นชื่อว่าเป็นกระบี่แสนรักของเสิ่นเซวียน ประมุขแห่งตระกูลเสิ่นซึ่งเป็นตระกูลฝ่ายบู๊แล้ว… เพียงแค่คิดถึงฉายานี้ก็เพียงพอจะทำให้สองตาของนางลุกวาว แล้วหยิบมันขึ้นมาหวดวาดไปมาอยู่เป็นนานอย่างรักใคร่จนวางไม่ลงเสียที ว่าแล้วจึงเพิ่งจักค่อยๆชะลอหยุดลงไปตามความคาดหวังของพวกนางเฮ่อที่รู้สึกสงสัยอยู่เนิ่นนานแล้ว! หลังจากเสียงดังควากเบาๆ กระบี่ลู่หูก็ออกมากจากฝักเพียงหนึ่งชุ่นกว่าๆ


                แม้จะเป็นยามกลางวัน แสงสว่างวาบของกระบี่ที่เย็นยะเยือกดังแสงจันทร์ หนาวเหน็บดังเดือนที่สามในฤดูใบไม้ร่วง ยังคงฉายแสงจ้าเจิดจรัส ลำแสงของกระบี่ที่กว้างเพียงหนึ่งชุ่น กลับยังทำให้รู้สึกแสบตา


                เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึก กำกระบี่เอาไว้แน่นแล้วบอกกับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายว่า “ถอยห่างออกสักหน่อย!”


                นางเฮ่อรีบพาพวกบ่าวใช้ไปหลบที่มุมห้อง เห็นว่าข้อมือของเว่ยฉางอิ๋งสั่นไหวเบาๆ แล้วพลันมีแสงวาบดังแสงจันทร์สาดส่องออกมา เมื่อมองกลับไปอีกครั้ง กระบี่ชิงเฟิงยาวสามฉื่อก็ออกมาจากฝักจนหมด แล้ววางตัวในแนวนอนอยู่ข้างหน้าหน้าอกของเว่ยฉางอิ๋ง แสงจากตัวกระบี่คล้ายนิ่งคล้ายขยับ ประหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ตัวกระบี่มีลายเมฆสลับซับซ้อนสลักอยู่ ดังเช่นสีของลำน้ำที่ใส่กระจ่างแสนอ่อนโยน ทว่ากลับมีความเฉียบคมที่ไม่มีสิ่งใดทัดทานไร้ผู้ใดจะมาขวางได้!


                …ภาพที่เห็นนี้ ต่อให้ในสายตาของผู้ไม่สันทันเรื่องกระบี่แล้ว ก็ยังอดจะกล่าวคำชมมาจากส่วนลึกในใจประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า ‘กระบี่ชั้นเลิศ!’


                “ได้ยินมาว่านี้เป็นของรักของหวงของท่านราชครู วันนี้นำมามอบให้คุณหนูใหญ่ เห็นได้ว่าท่านราชครูเอ็นดูคุณหนูมากมายนักนะเจ้าคะ!” นางเฮ่อไม่เพียงไม่สันทัดเรื่องกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นมิได้มีความสนใจเรื่องกระบี่แม้แต่น้อย แม้กระบี่ลู่หูจะล้ำเลิศเพียงใด แต่หากมิใช่กระบี่ที่เสิ่นเซวียนให้เสิ่นจั้งเฟิงนำมามอบให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง ที่เฟิ่งโจวด้วยตนเอง นางก็คร้านจักมองแม้สักหน


                ทว่าด้วยเหตุที่นางเป็นห่วงเป็นไยเว่ยฉางอิ๋ง ยามนี้ไม่ว่านางเฮ่อจะมองกระบี่เล่มนี้อย่างไรก็รู้สึกรื่นหูรื่นตา ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ดีไปเสียหมด ไม่รู้เรื่องอาวุธเลยแม้แต่น้อยแล้วจะอย่างไรเล่า? อย่างไรก็ตาม ยามนี้นางเฮ่อก็เห็นว่ากระบี่ที่ดีที่สุดนับแต่อดีตจนถึงเวลานี้ก็คือกระบี่ลู่หู่เล่มนี้! ไม่มีเล่มอื่นใดอีก


                อย่างไรเสีย หากเป็นก่อนที่เสิ่นจั้งเฟิงจะประกาศตนต่อธารกำนัลว่าเป็นบุตรเขยของตระกูลเว่ย นางเฮ่อก็ยังคงไม่ค่อยแน่ใจ แต่ในยามนี้เมื่อกระบี่ลู่หูถูกนำมาส่งที่เรือนเสียซวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว… เช่นนั้นก็มั่นอกมั่นใจได้จริงๆ เสียที!


                ต้องรู้เสียก่อนว่า…


                กระบี่เล่มนี้ยังมิทันส่งมาถึงเรือนเสียซวง ในเมืองเฟิ่งโจวต่างก็พากันรู้แล้วว่าเสิ่นเซวียนหนึ่งในเสาหลักของต้าเว่ย ทั้งยังมีตำแหน่งหย่งติ้งโฮ่ว ราชครู และประมุขตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ชื่นชมสะใภ้สามที่ยังไม่ได้เข้าบ้านผู้นี้เสียอย่างยิ่ง กระทั่งหลังจากมีข่าวลือจากทางเมืองหลวงที่ชี้ชัดว่าความบริสุทธิ์ของเว่ยฉางอิ๋งมัวหมอง ก็ได้ส่งเซียงหนิงปั๋วซึ่งเป็นน้องชายร่วมท้องและเสิ่นจั้งเฟิงคู่หมั้นของเว่ยฉางอิ๋ง ควบมาเร็วทั้งวันทั้งคืนเร่งให้ถึงเฟิ่งโจว เพื่อนำกระบี่แสนรักนามลู่หูมามอบให้แก่ว่าที่ลูกสะใภ้ เพื่อเป็นการแสดงท่าทีของตน!


                และในเวลาเดียวกัน เว่ยซือกู่นักเขียนเรืองนามในเขตทะเลอีกผู้หนึ่งของตระกูลเว่ยนอกจากเว่ยเจิ้งหย่า ก็ได้เขียนกวีสรรเสริญฉันทลักษณ์สี่และหกตัวอักษรด้วยตนเอง แต่ละคำในบทกวีล้ำเลิศงดงามดังมวลบุปผา สิ่งสำคัญคือ ด้วยชื่อเสียงของเว่ยซือกู่ เมื่อบทกวีนี้เผยแพร่ออกไป ก็จักต้องมีการถ่ายทอดออกไปทั่วทั้งเฟิ่งโจว และแพร่ออกไปยังที่ไกลๆ ด้วยพ่อค้าเร่ที่เดินทางผ่านมาและจากที่พักริมทาง…


                ในบทกวีสรรเสริญที่เว่ยซือกู่เขียนพู่กันด้วยตนเองนั้นมีใจความสำคัญ ขอ สรรเสริญการยึดมั่นในสัญญา ยึดมั่นในคุณธรรม และแยกแยะผิดถูกของตระกูลเสิ่นเป็นที่ยิ่ง โดยเฉพาะชี้ชัดไปว่าสำนึกในน้ำใจของเสิ่นเซวียนที่สั่งให้บุตรชายเดินทางพันลี้นำกระบี่มามอบให้… แน่นอนว่าเว่ยซือกู่ไม่ลืมจะอาศัยโอกาสนี้เน้นย้ำเรื่องวีรกรรมอันห้าวหาญเกรียงไกรของเว่ยฉางอิ๋ง ที่สังหารหัวหน้าพวกลอบทำร้ายเพื่อช่วยเหลือน้องชายร่วมท้อง พร้อมกับปกป้องลูกผู้น้องจนเอาชีวิตรอดมาได้ ยกย่องให้นางเป็นวีรสตรีผู้ต่อต้านพวกชนกลุ่มน้อย… บทกวีทั้งบทไม่ลืมที่จะคอยย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาถึงความไร้ยางอายของพวกหรง  ความเจ็บปวดเป็นที่สุดที่เว่ยเจิ้งหย่าซึ่งเป็นผู้รับเคราะห์อีกคนของตระกูลเว่ยที่ต้องมาจบชีวิตลงในวันก่อร่างสร้างตัว รู้สึกเศร้าเสียดายในความเบาปัญญาของผู้คนในแคว้นที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิควร ท้ายสุด ลงท้ายด้วยการมองการไกลถึงอนาคตใจภายภาคหน้าและอำนวยพรให้ต้าเว่ยนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรือง และให้ชายแดนกลับมามีความสงบสุขในเร็ววัน


                เลือกสรรถ้อยคำงดงาม ทุกตัวอักษรไพเราะหมดจนดังมุก และมีความหมายล้ำลึกในทุกตัวอักษร… อย่างไรเสีย ไม่ว่าผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่ว่าการที่พวกหรงแฝงตัวเข้ามาในเฟิ่งโจวทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้น ความจริงที่ตระกูลเว่ยเชื่ออย่างแม่นมั่นก็ได้ถูกพรรณนาไว้ในบทสรรเสริญบทนี้จนหมดสิ้นทุกประการแล้ว


บทความที่ดีและสำคัญเช่นนี้ ไม่อาจไม่นำมาแบ่งปันกับแขกที่มาเยือนจากแดนไกลได้


ในงานเลี้ยงตอนรับในคืนวันนี้ เว่ยฮ่วนสั่งให้หลานชายเว่ยฉางเฟิงที่มาในงานด้วยลุกขึ้นอ่านบทความของเว่ยซือกู่ที่หมึกยังไม่ทันแห้งบทนี้ เพื่อเป็นการแสดงการขอบคุณเสิ่นโจ้วอย่างจริงใจอีกคราหนึ่ง “พวกหรงไร้ยางอาย สังหารไม่สำเร็จ กลับใช้คำให้ร้ายไร้แก่นสารทำลายชื่อเสียงของสตรีตระกูลสูงศักดิ์! สิ่งที่น่าแค้นใจยิ่งกว่าคือหนทางแสนยาวไกล จึงมีผู้คนในแคว้นหลงเชื่อวาจาเหลวไหลนี้! แม้นว่าผู้บริสุทธิ์ยังคงบริสุทธิ์ ผู้ขุ่นมัวยังคงขุ่นมัว ทว่าหลานสาวอายุยังน้อยบอบบาง ทั้งอยู่แต่ในจวนมาเนิ่นนาน ไม่อาจทนฟังได้! กลับต้องให้ตานเซียวและจั้งเฟิงจากแดนไกลพันลี้ เดินทางมาช่วยเหลือ!”


แล้วกล่าวว่า “ขอใช้สุราจอกนี้ อวยพรให้พวกเราสองตระกูลมีผู้สืบสกุลสืบไป


มีความสุขและมั่งคั่งตลอดกาล!”


                ความรู้สึกในอกของเสิ่นโจ้วที่เพิ่งจะแอบไปทุบตีหลานชายมาอย่างลับๆ นั้นยากเกินจะบรรยาย ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้และในเวลานี้ เขาก็ทำได้เพียงยกจอกสุราขึ้นมาคราวะด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์ “โดยนามแล้วหลานสาวของท่านเว่ยถือเป็นสะใภ้ของสกุลเสิ่นมาตั้งนานแล้ว เมื่อถูกคำครหาให้ร้าย พวกเราตระกูลเสิ่นหรือจะนั่งดูดายได้? เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องภายในของตระกูลเสิ่นอยู่แล้ว จักกล่าวว่ามาช่วยเหลือได้อย่างไร? คำกล่าวนี้ท่านเว่ยกล่าวหนักเกินไป จึงขอใช้สุราจอกนี้อวยพรให้ตระกูลเว่ยเปรมปรีดิ์ เป็นสุขมั่งคังยืนนาน!”


                “ดื่ม!”


                “ดื่ม!”


                ทั้งสองคนต่างยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้าและดื่มสุราจนหมดจอก บรรยากาศภายในงานครึกครื้นและเป็นมิตร ประหนึ่งคำในบทสรรเสริญได้แทรกลึกเข้าไปภายใจผู้คนแล้ว


                ในสภาพการเช่นนี้ ตระกูลเสิ่นจะกล่าวคำว่าถอนหมั้นสองคำนี้ออกมาอีกได้อย่างไร?


                ดังนั้นแล้วในยามนี้ นางเฮ่อแม้แต่หลับฝันก็ยังหัวเราะออกเสียงออกมา!


                เว่ยฉางอิ๋งมิได้ตอบความของนางเฮ่อ นางกำกระบี่ พลางวาดกระบี่ไปสองสามหน แต่กลับรู้สึกว่าในห้องช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก ยื่นนิ้วมือออกไปดีดที่ตัวกระบี่ ได้ยินเพียงเสียงก้องกังวานเย็นเฉียบ แสงวาบจากใบมีดเฉียบคมเจิดจ้า…ในขณะที่นางรู้สึกพึงพอใจในกระบี่เล่มนี้เหลือล้น พลันมีความหนึ่งโพล่งขึ้นมาในใจ “วันนั้น เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงปลดงอบออก… เป็นจริงว่าความเฉียบคมที่พรั่งพรูออกมานั้น… กลับเป็นเช่น… เป็นเช่นกระบี่ลู่หูเล่มนี้!”


                ใบหน้าของนางแดงขึ้นมาทันใด พลันพลิกมือส่งกระบี่กลับเข้าไปในฝักเสียงดังควับ แล้วว่า “พื้นที่ในห้องเล็กนัก รู้สึกอึดอัด… รกจนฝนหยุดแล้ว ค่อยไปลองมือที่ในสวนดีกว่า”


                ว่าพลางนำกระบี่ยาววางกลับไปในถุงผ้าดิ้นทองที่บรรจุกระบี่มา เก็บเข้าไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็กลับเกิดความรู้สึกตัดใจไม่ลงและลูบคลำไปมา… นางเฮ่อจึงได้หัวเราะว่า“เวลานี้กระบี่เล่มนี้ก็เป็นของคุณหนูใหญ่แล้ว คุณหนูใหญ่อยากชมอยากสัมผัส ก็มิใช่ว่าทำได้ดังใจหรอกหรือเจ้าคะ? เหตุใดยังต้องคอยพะวงถึงและตัดใจไม่ลงเช่นนี้ กลับทำเหมือนมันจะบินหนีไปเช่นนั้น!”


                เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันยิ่งแดงก่ำขึ้นเสียกว่าเก่า พลางคิดอย่างกระอักกระอ่วนใจว่า ‘เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งจักรู้สึกว่าลักษณะท่าทีของเสิ่นจั้งเฟิงเหมือนกระบี่เล่มนี้ยิ่งนัก นี่เป็นเพราะสิ่งใด?’ จึงรีบเก็บมือกลับไปเสียโดยพลัน แสร้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องเช่นนั้นและกล่าวว่า “ท่านอาเก็บไปเสียก่อนเถิด ข้า…อืม คงเพราะเมื่อครู่ร่ายกระบี่อยู่พักหนึ่ง ครานี้จึงรู้สึกร้อนขึ้นมา”


                ระหว่างพูดนั้น นางรู้สึกว่าใบหน้าคลายจะยิ่งจะแดงขึ้นมาอีก เพื่อพิสูจน์คำพูดของตน นางถึงกับยกแขนเสื้อขึ้นมาพักโบกสองสามหน


                นางเฮ่อรับถุงผ้าปักนั้นมา… นางเป็นห่วงเว่ยฉางอิ๋งอย่างมาก เมื่อได้ยินคำจึงเร่งสั่งกับฉินเกอว่า “คุณหนูรู้สึกร้อน ไปเปิดหน้าต่างออกสักหน่อย”


                … แต่การไม่ยอมเสียหน้ากลับทำร้ายคนอย่างเหลือแสน!


                เวลานี้เข้าสู่กลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และหลายวันมานี้ก็มีฝนตกอยู่ตลอดเวลา คนภายนอกล้วนเปลี่ยนมาสวมเสื้อบุผ้าสองชั้นกันแล้ว เว่ยฉางอิ๋งอยู่ภายในห้องที่ประตูหน้าต่างปิดสนิท จึงสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ เท่านั้น แต่เพราะนางกลัวว่าจะถูกมองออกว่าเห็นกระบี่ลู่หูแล้วคิดถึงเสิ่นจั้งเฟิง จึงได้กล่าวอ้างเหตุผลไปลอยๆ แต่นางเฮ่อกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง ทำให้นางลงจากหลังเสือไม่ได้ จนต้องตากลมหนาวที่พัดเข้ามาอยู่พักใหญ่ๆ … ซึ่งความจริงแล้ว นางยังมิทันฟื้นตัวจากอาการอิดโรยอ่อนแรงจากการไม่กินไม่ดื่มมาสองวันสองคืนที่นางมีมาก่อนหน้านี้ หลังจากจิตใจถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักจนตรอมใจ เมื่อมาตากลมเช่นนี้ พอตกเย็นนางจึงมีอาการไอขึ้นมา


                เมื่อนางเฮ่อส่งท่านหมอจี้ไปแล้ว นางก็ตำหนิตนเองอย่างหนัก “ไยจึงไม่เตือนคุณหนูให้ปิดหน้าต่างเสียให้เร็วๆ เล่า? อากาศเช่นนี้ และเสื้อผ้าของคุณหนูใหญ่ก็บางเบาเพียงเท่านั้น จักมาตากลมอยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ได้อย่างไร?”


                เว่ยฉางอิ๋งนอนอยู่บนตั่งนอนด้วยลมหายใจอ่อนไร้เรี่ยวแรง บนหน้าผากมีผ้าชุบน้ำวางอยู่ เมื่อได้ยินคำที่นางกล่าวออกมาเหมือนจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นางเป็นตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง ด้วยเกรงวาหากตากลมเพียงชั่วครู่แล้วจักถูกดูออกว่านางกำลังกลบเกลื่อนบางสิ่ง จึงได้แข็งใจฝืนทนตากลมหนาวในฤดูใบไม้ร่วง กระทั่งทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงได้ปิดหน้าต่าง… ในขณะที่จิตใจของนางไม่สงบเช่นนี้จึงมิได้สนใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด มีหรือจะรู้ว่านางตากลมอยู่ครึ่งชั่วยามแล้ว?


                ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนี้ หากไม่ไอก็นับว่าแปลกแล้ว!


                เคราะห์ดีที่เป็นเพียงลมหนาวที่แผ่วเบา ท่านหมอจี้จึงได้สั่งเพียงยาต้มผ่อนคลายประสาทให้ ให้ห้องครัวต้มน้ำขิงเข้มๆ มา บอกว่าให้ดื่มน้ำขิงเสียก่อนแล้วค่อยดื่มยาต้มคลายประสาท นอนหลับสักตื่น พอตื่นขึ้นก็จะทุเลาลงแล้ว


                ปรากฏว่า วันต่อมาอาการไอกลับหายไปจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งจึงได้รีบเปลี่ยนมาใส่เสื้อบุผ้าซับข้างใน เมื่อวานนี้ต้องลมหนาวเสียจนเข็ดขยาดแล้ว เมื่อถึงเวลาหลังเที่ยงซึ่งเป็นเวลาที่ต้องไปคารวะท่านย่า ยามนางออกจากประตูและต้องลมฤดูใบไม้ผลิเพียงครู่เดียว คิดไปคิดมายังคงไม่วางใจ จึงได้กลับเข้าประตูมาให้ฉินเกอค้นเอาเสื้อคลุมกันลมตัวหนึ่งออกมาจากหีบเสื้อผ้าและสวมทับเข้าไป


                เมื่อไปถึงเรือนของแม่เฒ่าซ่ง เพิ่งจะเดินผ่านประตูวงโค้งพระจันทร์ ก็เห็นลูกผู้น้องเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนทั้งสองคนยืนอยู่ข้างหน้าสาวกำลังรออยู่ที่ทางเดิน คล้ายกับกำลังรอให้คนเข้าไปรายงานท่านย่า


                นี่เป็นหนแรกที่ลูกผู้พี่และลูกผู้น้องทั้งหมดได้พบหน้ากันหลังจากที่ไปร่วมงานไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกง เพราะหลายวันก่อนเว่ยฉางอิ๋งได้ขออนุญาตลาฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเหตุผลว่าร่างกายไม่พร้อม…ซึ่งเรื่องที่ร่างกายนางไม่พร้อมนี้ ก็ใช่ว่าจะมิได้เกี่ยวข้องกับลูกผู้น้องทั้งสองนาง ต้องมาพบหน้ากันในยามนี้ ทั้งสามคนจึงมีอาการตกตะลึงกันเล็กน้อย


                เว่ยฉางอิ๋งนั้นยังดี ดีชั่วอย่างไรกระทั่งผ้าขาวผืนนั้นนางก็ยังตัดไปแล้ว เมื่อเคยผ่านความรู้สึกที่ต้องยอมสู้จนตัวตายมาแล้ว ใจคนเราก็ยอมจะเปิดกว้างมากขึ้น บวกกับยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว บ้านเสิ่นไม่เพียงไม่ถอนหมั้น แต่กลับส่งกระบี่ล้ำค่ามาช่วยสนับสนุนนาง แม้บนใบหน้าของนางจะมิได้ยินดีแทบคลั่งอย่างที่นางเฮ่อเป็น ทั้งยังพยายามรักษาท่าทีให้อยู่ในอาการสงบให้มากที่สุด แต่อารมณ์ของนางกลับดีเป็นอย่างยิ่ง… ดังนั้นจึงมิได้มีแก่ใจจักทำสิ่งใดกับน้องสาวทั้งสอง หลังจากที่ตะลึงไปคราหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็หันเหสายตาออกไปเสียอย่างลื่นไหลรวดเร็ว


                เมื่อเทียบกับนางแล้ว เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนกลับกระอั่กกระอ่วนใจเกินเปรียบ ทั้งสองนางได้แต่มองเว่ยฉางอิ๋งตาปริบๆ เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งพาคนเดินผ่านหน้าพวกนางไป และไม่ได้ทักทายพวกนาง กระทั้งไม่แม้จะคิดมองพวกนางสับแวบเดียว ที่สุดเว่ยฉางเยียนก็อดรนทนไม่ไหว ร้องเรียกออกไปว่า “พี่สาม!”


                เว่ยฉางอิ๋งยังคงเดินต่อไปห้าหกก้าวจนถึงหน้าประตูจึงได้หยุดเท้า แล้วหันหน้ากลับไปมองอย่างเย็นชา “มีสิ่งใด?”


                “ไม่…อืม…” เว่ยฉางอิ๋ง ลูกผู้พี่ผู้นี้แม้โดยปกติแล้วจะไม่อาจพูดได้ว่าเป็นห่วงเป็นไยพวกน้องๆ เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็นับได้ว่าให้ความอ่อนโยนและเป็นกันเอง ในเรื่องที่น้องสาวทั้งสองคนนี้ต้องการ โดยทั่วไปแล้วนางล้วนพยายามทำอย่างเต็มความสามารถ เว่ยฉางเยียนไม่เคยถูกเว่ยฉางอิ๋งปฏิบัติกับตนอย่างเย็นชาเช่นนี้มาก่อน ยามนี้ทั้งหวั่นกลัวทั้งน้อยใจ และพลันเคืองจมูกขึ้นมา คิดในใจว่า ‘พี่สาม ทำเช่นนี้เพราะเกลียดชังพวกเราแล้วหรือ?’


                เมื่อมองเห็นว่าเว่ยฉางเยียนไม่สามารถบอกเหตุผลที่ร้องเรียกเว่ยฉางอิ๋งออกมาได้ เว่ยฉางอิ๋งจึงคิดจักเดินตรงเข้าไปข้างในเสีย เว่ยเกาฉานรีบกล่าวว่า “พี่สาม พะ.. พวกเราอยากจะแสดงความยินดีกับพี่สามสักคำ!”


                หากเว่ยฉางอิ๋งตอบความมา ต่อให้เป็นคำประชดประชันหรือเย้ยหยัน เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนก็ต่างเตรียมตัวรับสภาพความต่ำต้อยของตนไว้แล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็นลูกผู้พี่ เมื่อน้องสาวเฝ้าวิงวอนอย่างน่าเวทนา ท่านพี่สามผู้นี้ก็หาใช่คนใจไม้ไส้ระกำ… หากนางตอบมาคำหนึ่ง ก็มีช่องทางให้ขอขมาและขอรับโทษได้…


                ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังดีเสียกว่าถูกมองผ่านไปโดยสิ้นเชิงเช่นยามนี้…


                ในดวงตาของเว่ยเกาฉานมีสายตาวิงวอนและรู้สึกผิดแสดงอกมาอย่างชัดแจ้ง… แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับทำเหมือนมิได้ยินคำพูดนี้ หันไปถามซวงจูที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่า “ท่านย่าอยู่ข้างใน? ตื่นอยู่หรือว่าเพิ่งจะลุก? ข้าจะเข้าไปข้างในก่อน”


                ซวงจูก็ทำประหนึ่งว่าบนทางเดินระเบียงนี้ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น ปิดปากหัวเราะแล้วว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสนทนากับท่านอาที่มาจากแดนไกลอยู่เจ้าค่ะ คุณหนูมาถูกจังหวะพอดีเจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยว่า “ท่านอาใด?” ที่ถามไปครานี้กลับมิได้คาดหวังจะให้ซวงจูตอบ เพราะระหว่างพูดนั้นนางก็ได้ข้ามธรณีประตูและเดินเข้าไปแล้ว


                เดิมทีเว่ยเกาฉานยังคิดอยากจะเร่งเดินตามไป นางยกชายกระโปรงและวิ่งไปสองก้าว แต่กลับถูกซวงจูรั้งตัวเอาไว้ทั้งร้อยยิ้ม “ครานี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีธุระเจ้าค่ะ ยังต้องให้คุณหนูสี่และคุณหนูห้าโปรดรอไปอีกสักครู่เถิดเจ้าค่ะ…”


                รอยยิ้มของนางอ่อนโยนและมีไมตรีจิตเช่นเดียวกับที่มีต่อเว่ยฉางอิ๋ง แต่ท่าทีที่รั้งพวกนางไม่ให้เข้าไปนั้นกลับแน่วแน่ยิ่งนัก


___________________________


[1] จิน หนึ่งจินในสมัยถัง หนักเกือบ 600 กรัม


[2] เหลี่ยง หนึ่งเหลี่ยงในสมัยถัง หนักเกือบ 38 กรัม


ตอนที่ 80 หวงเฉี่ยนซิ่ว

โดย

Xiaobei

                เว่ยฉางอิ๋งมิได้ใส่ใจเรื่องที่ลูกผู้น้องทั้งสองร้องเรียกนาง อย่างไรเสีย ต่อให้นางไม่อาจแต่งเข้าตระกูลเสิ่นได้ หากต้องการจะจัดการลูกผู้น้องที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับท่านย่าทั้งสองคนนี้ ก็เป็นเพียงเรื่องที่บอกกล่าวออกไปประโยคหนึ่งก็สิ้นเรื่องแล้วเท่านั้น


ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมองเห็นท่าทีกระวนกระวายใจของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนแล้ว คาดว่าสองสามวันมานี้ แม้ไม่ต้องเป็นกังวลเมื่อลูกผู้น้องทั้งสองนางนี้ต้องไปไหนมาไหนกับตน แล้วจักพลอยทำให้พวกนาง พลอยต้องถูกครหานินทาไปด้วย ทว่าในสองสามวันมานี้ วันคืนของพวกนางคงจักไม่เป็นสุข หากไม่บอกว่ายากจะนั่งสงบได้ อย่างน้อยก็ต้องคอยคิดอยู่ตลอดเวลาว่า… เมื่อล่วงเกินเว่ยฉางอิ๋งแล้ว นางจักไปฟ้องท่านย่าเรื่องของพวกตนเช่นไร?


ความเคืองแค้นครานี้จะสะสางกันยามใดก็ได้ โดยซึ่งสิทธิ์ในการแก้ไขเรื่องขัดเคืองนี้อยู่ในมือของเว่ยฉางอิ๋ง จึงไม่ควรค่าต้องไปกังวลใจ


กลายเป็นว่าท่านอาจากแดนไกลที่ซวงจูพูดถึงกลับทำให้นางอยากรู้ขึ้นมา ผู้ที่มาจากแดนไกล? ทั้งยังเป็นท่านอา? บ่าวในวัยที่ถูกเรียกว่าทานอาเช่นนี้ นอกจากพวกแม่บ้านในจวนแล้ว ต่อให้เป็นแม่บ้านภายนอกจวน หากต้องการจะพบกับแม่เฒ่าซ่งก็หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ และต่อให้สองสามวันมานี้แม่เฒ่าซ่งมาดูแลจวนแทนสะใภ้เป็นการชั่วคราว หากมิใช่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ก็หาใช่ว่าบ่าวบอกว่ามีเรื่องจะรายงาน แล้วแม่เฒ่าซ่งจะไม่รำคาญและให้เข้าพบได้ไม่ หากแต่จักต้องให้รอจนซ่งฮูหยินว่างเสียก่อนค่อยให้มาใหม่


หรือว่ามาจากเจียงหนาน? คงมิใช่ว่าทางท่านตานั้นมีเรื่องใด จึงสามารถเข้าพบแม่เฒ่าซ่งได้? นับๆ ดู ท่านพวกของท่านพี่ซ่งไจ้สุ่ยคงจักถึงเมืองหลวงตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่มีข่าวคราวเรื่องถอนหมั้นสำเร็จส่งมาเสียที หรือว่า…


เว่ยฉางอิ๋งเดินเลี้ยวเข้าไปข้างหลังม่านกั้น ในขณะที่กำลังคาดเดาไปต่างๆ นานาอยู่นั้น นางเห็นแม่เฒ่าซ่งในชุดกระโปรงที่สวมอยู่บ้านเป็นปกติ นั่งอยู่ในที่นั่งหลัก นอกจากเฉินหรูผิงและพวกของซวงหลี่ ซวงเฉียวแล้ว ปรากฏว่ามีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนตั่งกลมสลักลายที่ยกจากข้างนอกเข้ามาและกำลังสนทนาอยู่กับแม่เฒ่าซ่ง


ดูจากสีหน้าของพวกนาง คล้ายกำลังสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน


ภาพที่เห็นนี้ ทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ แน่นอนว่าบ่าวรู้ใจของแม่เฒ่าซ่งย่อมต้องเป็นเฉินหรูผิง ซึ่งเป็นแม่บ้านใหญ่ของรุ่ยอวี่ถัง ทุกคนจึงได้ให้ความเคารพยำเกรงเฉินหรูผิงเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมองดูบ่าววัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้าผู้นี้ นอกจากดวงตาจะสุกสว่างสักหน่อย ใบหน้าก็ดูธรรมดา มีปิ่นห้อยอุบะไข่มุกสองอันปักเอียงๆ อยู่บนม้วยผม ทั้งสีทองและไข่มุกก็ล้วนธรรมดา สวมเสื้อส้างหรูตัวสั้นแขนแคบสีเขียวไพลที่ไม่มีลวดลายสีสันประดับ สวมกระโปรงหลัวฉวินจีบใหญ่สีงาช้าง… อาภรณ์ทั้งชุดล้วนเป็นของใหม่ และเพราะความใหม่นี้ ยิ่งทำให้เห็นชัดว่านางได้เตรียมตัวตั้งแต่หัวจรดเท้ามาเป็นการพิเศษเพื่อพบแม่เฒ่าซ่ง


                ไม่ว่าจะดูอย่างไร หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็เป็นเพียงบ่าวมีอายุในบ้านตระกูลใหญ่ที่มีหน้ามีตาสักหน่อย ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าซ่งกลับดูได้รับเกียรติเช่นนี้ ในขณะที่เฉินหรูผิงยังคงยืนอยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่า แต่หญิงวัยกลางคนในวัยซึ่งสามารถเป็นบุตรสาวของเฉินหรูผิงได้ผู้นี้กลับนั่งที่ตั่งกลมสลักลาย?


                เมื่อเว่ยฉางอิ๋งกวาดตาไปยังเฉิยหรูผิง กลับเห็นว่าท่าทีของแม่นมสูงวัยผู้นี้ก็ยังดูยิ้มแย้มมีอัธยาศัยอันดี มองไม่ออกว่าไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ทว่า แต่ไรมาแม่นมสูงวัยผู้นี้ก็ไม่เคยเอ่ยปาก ต่อให้ในใจมีความคิดใด ก็จักไม่ยอมให้ผู้ใดมองออกได้โดยง่ายอยู่แล้ว


                นางเดินไปสองก้าว แม่เฒ่าส่งก็ได้เหลือบตามาเห็นหลานสาวแล้ว จึงหยุดการสนทนาเสีย และเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “มิใช่บอกว่าเมื่อวานเจ้าต้องลมหนาวจนล้มป่วยหรอกหรือ? ไยจึงมาแล้ว?”


                “ดื่มน้ำขิงและนอนหลับหนึ่งคืน ตื่นเช้ามาก็หายแล้วเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเดินเข้าไปคราวะและกล่าวอย่างยิ้มแย้ม


                แม่เฒ่าซ่งเห็นว่าสองแก้มของนางมีสีระเรื่อเป็นธรรมชาติ ฟังเสียงพูดจาก็มีกำลังดีจึงได้วางใจ พลางกวักมือแล้วว่า “เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้ากำลังเอ่ยถึงเจ้ากับเฉี่ยนซิ่วอยู่เชียว”


                เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังหญิงวัยกลางคนผู้นั้นคราหนึ่ง คิดในใจว่าเฉี่ยนซิ่วที่ท่านย่าเอ่ยถึงนั้นคงจักเป็นหญิงผู้นี้ ในสีหน้าของนางก็อดจะมีความประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ว่า ‘คนผู้นี้ดูแปลกหน้ายิ่ง แล้วจักเกี่ยวกับเรือนเสียซวงของข้าเรื่องใดกัน?’


                แม่เฒ่าซ่งหันหน้าไปกล่าวกับหญิงวัยกลางคนผู้นั้นว่า “นี่ก็คือฉางอิ๋ง” น้ำเสียงของนางนั้นใกล้ชิดสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง เหมือนยามที่พูดกับเฉินหรูผิง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ยินการแนะนำเช่นนี้ คล้ายกับว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้หาได้ไม่คุ้นเคยกับเว่ยฉางอิ๋งไม่


                สิ่งที่พบเห็นนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งยิ่งทวีความสงสัยขึ้นอีก แล้วเห็นว่ามุมปากของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นกำลังอมยิ้ม พลางลุกขึ้นมาคราวะตนด้วยท่าทางสุภาพอ่อนโยน ‘ข้าน้อยแซ่หวง ครานั้นท่านแม่เฒ่าเหมิงให้นามว่าเฉี่ยนซิ่ว คารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!’ สายตาของนางเป็นมิตรยิ่งนัก กระทั่งมีแววตาแห่งความรักใคร่เอ็นดูที่ออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วกล่าวพร้อมเสียงสะอื้นว่า “ไม่ได้พบกันหลายปี โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงแข็งแรงดังเดิม และคุณหนูใหญ่ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”


                “ท่านอาไม่ต้องมาพิธีเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งฟังจากน้ำเสียงของนางว่าเหมือนจักเคยพบตนมาก่อน แต่เหตุใดไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าเคยจดจำหญิงวัยกลางคนผู้นี้ได้แต่เมื่อใด เว่ยฉางอิ๋งพลันประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ท่านอาเคยได้พบข้ามาก่อน?”


                นางหวงอมยิ้มแล้วมองไปยังแม่เฒ่าซ่งคราหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มน้อยๆ แล้วอธิบายแทนหลานสาวว่า “เฉี่ยนซิ่วเป็นหลานข้างแม่ของแม่นมเฉินของเจ้า แก่กว่าท่านอารองของเจ้าสองปี ก่อนนี้อยู่ในคฤหาสน์ที่เมืองหลวงมาโดยตลอด คอยช่วยอาสะใภ้รองของเจ้าจัดการงานในบ้านทุกเรื่อง ยามเจ้ายังอยู่ในผ้าอ้อมอยู่นั้น เป็นนางและนางเฮ่อช่วยกันดูแลเจ้ามา”


                นางหวงกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “คำกล่าวนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ายกย่องข้าน้อยเสียแล้ว ข้าน้อยโง่เขลานัก มีความสามารถแค่เพียงน้อยนิด เรื่องใหญ่ต่างๆ ล้วนเป็นฮูหยินรองจัดการดูแล ภายในจวนจึงสงบเรียบร้อยได้ ตัวข้าน้อยนั้นมิกล้ารับความชอบ ยามที่คุณหนูใหญ่ยังอยู่ในผ้าอ้อมก็ล้วนเป็นน้องเฮ่อที่เป็นคนลำบาก ข้าน้อยก็เพียงคอยช่วยเหลือบ้างเท่านั้นเจ้าค่ะ”


                “ที่แท้เป็นท่านอาที่มาจากเมืองหลวงหรอกหรือเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งพอจักนึกขึ้นมาได้ว่ายามที่กลับมาเฟิ่งโจวนั้น นางหวงผู้นี้เป็นผู้ที่ท่านย่าจงใจให้อยู่ที่เมืองหลวงต่อไป เพื่อคอยจับตาดูครอบครัวของท่านอารอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ จึงได้มาที่เฟิ่งโจว? เพราะมีเรื่องที่ต้องมารายงานด้วยตนเอง หรือท่านย่าเป็นคนสั่งให้มา? นางคิดใคร่ครวญไปมาในใจอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินซวงจูบอกว่าท่านย่ากำลังสนทนาอยู่กับท่านอาจากแดนไกลท่านหนึ่ง ยังนึกว่ามาจากเจียงหนานเสียอีก! ก่อนนี้ท่านอาก็ยังเคยดูแลข้าด้วย น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้ายังเล็กนัก จึงจำท่านอาไม่ได้ ท่านอาโปรดอย่าได้ถือโทษ!”


                นางหวงรีบกล่าวว่า “ยามนั้นคุณหนูยังเล็ก จักจำคนได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นข้าน้อยก็เพียงคอยช่วยน้องเฮ่อเท่านั้นเจ้าค่ะ”


                แม่เฒ่าซ่งยิ้ม “เดิมทีตกลงกันว่าจะให้เฉี่ยนซิ่วและนางเฮ่อดูแลเจ้าด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าภายหลังด้วยท่านปู่เจ้าล้มป่วย พวกเราต้องเร่งกลับเฟิ่งโจว คงเพราะมีหลายคนที่ตามขึ้นมาด้วยไม่ทัน จึงได้ให้นางอยู่ที่คฤหาสน์ที่เมืองหลวง นับแต่เจ้าจำความได้ก็มิเคยได้เจอกัน ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะเดาไปถึงเจียงหนานโน่น”


                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำกล่าวนี้ คิดในใจว่าที่แท้แล้วสาเหตุที่นางหวงผู้นี้ต้องอยู่ที่เมืองหลวงมาตลอดหลายปีนี้ เป็นท่านย่าจงใจวางแผนจัดการ หาไม่แล้วด้วยฐานะของเฉินหรูผิงที่คอยอยู่ข้างกายแม่เฒ่าซ่งนั้น ไม่ว่าจะเร่งรีบจนพาคนไปได้ไม่หมด หลานสาวของเฉินหรูผิงก็จะไม่มีวันถูกหลงลืมเป็นแน่ ดังนั้นเป็นไปได้แต่เพียงว่าจงใจให้นางอยู่ที่นั่นต่อไป


                เพียงแต่นับๆ ดูแล้วครานั้นนางหวงก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเองในเวลานี้ ซึ่งในวัยสาวเช่นนั้นเกรงว่ายังคงเป็นสาวใช้อยู่ และสำหรับหลายคนก็ถือว่าอายุยังน้อยอยู่มาก จักสามารถดูแลบ้านท่านอารองทั้งบ้านได้หรือ? เพราะแม้แต่ท่านปู่เองก็ยังชื่นชมท่านอารองว่าฉลาดปราดเปรื่องนัก


                หรือว่าครานั้นแม่เฒ่าซ่งไม่ได้ทิ้งนางหวงเอาไว้ลำพังผู้เดียว? แต่ยังมีผู้อื่นที่สูงวัยกว่าและน่าเชื่อถือยิ่งว่า เพียงแต่หนนี้มิได้กลับมาพร้อมกัน?


                ทว่าแม่เฒ่าซ่งก็พูดเองแล้วว่า นางหวงเป็นผู้ที่ช่วยฮูหยินรองแซ่ตวนมู่ ‘ดูแลเรื่องทั้งหมดในบ้าน’ ที่เมืองหลวง ว่ากันตามจริงแล้วเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจากไป นางตวนมู่ก็ถือเป็นนายผู้หญิงของคฤหาสน์ที่เมืองหลวงโดยชอบธรรม ต่อให้นางหวงสามารถอาศัยอำนาจของแม่เฒ่าซ่งได้ ทว่าอยู่ห่างไกลปานนั้น หากตนเองไม่มีความอดทน นี่ก็สิบกว่าจะยี่สิบปีแล้ว นางตวนมู่จักไม่กล้ากดนางเอาไว้ และควบคุมนางได้อยู่หมัดหรือ! มีหรือจะเหลือช่องทางใดให้นางคอยช่วยดูแลบ้านเรือน?


                เมื่อมองดังนี้แล้ว แม้ตั้งแต่แรกแม่เฒ่าซ่งจะมิได้เลือกนางหวงให้เป็นคนสอดแนมอยู่ในบ้านสองเพียงผู้เดียวทว่า นางหวงก็คงจักเป็นผู้ที่เก่งกาจที่สุดในจำนวนนั้น


                และเมื่อมองจากอายุของนางหวงครั้งเมื่อได้รับคำสั่งให้อยู่ที่เมืองหลวง ผนวกกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาจนวันนี้ ก็จักเห็นได้ว่ากลยุทธ์ในการดูแลจัดการเรื่องในบ้านของนางนั้นลึกล้ำปานใด หาไม่แล้วเหตุจึงได้ไปเข้าตาฮูหยินผู้เฒ่าและได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญทั้งที่อายุเพียงน้อยๆ เท่านั้น?


                … แต่กลับไม่รู้ว่าคนซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ เหตุใดจู่ๆ จึงได้กลับมาที่เฟิ่งโจวในเวลาเช่นนี้? จะว่าไปตลอดสิบกว่าปีมานี้ นี่เป็นคราแรกในที่นางหวงมาปรากฏตัวที่รุ่ยอวี่ถัง แต่แม่เฒ่าซ่งกลับยังคงคุ้นเคยและผ่อนคลายกับนางเป็นอย่างมาก เห็นชัดว่าสิบกว่าปีมานี้ทั้งสองฝั่งหาได้ไม่ติดต่อส่งข่าวคราวกัน แต่ในทางกลับกัน เมื่อมองจากประเด็นนี้พวกนางจักต้องคอยส่งข่าวหากันอยู่บ่อยครั้ง จึงยังคงรักษาความคุ้นเคยครั้งเคยอยู่ในคฤหาสน์เดียวกันตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนเอาไว้ได้ตลอดมา


                หากเป็นเรื่องทั่วไปก็ไม่มีความจำเป็นใดต้องให้นางหวงเดินทางมาด้วยตนเอง และในเมื่อนางมาด้วยตนเองแล้ว เช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรล้วนไม่มีทางเป็นเรื่องเล็ก!


                แต่ยามนี้ดูไปแล้วทั้งแม่เฒ่าซ่งและนางหวงล้วนมีท่าทางผ่อนคลาย แม่เฒ่าซ่งเองก็ถึงขึ้นมีแก่ใจช่วยนางหวงสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมกับหลานสาวตน… เว่ยฉางอิ๋งอดคิดสงสัยไม่ได้ว่า ‘คงมิใช่ว่ามีเรื่องใดที่ไม่ต้องการให้ข้ารู้ จึงทำให้ท่านย่าและท่านอาหวงผู้นี้เอาแต่สนทนาสัพเพเหระไม่คุยเรื่องสำคัญเสียที?’


                ในขณะที่นางกำลังคาดเดาอยู่นั้น แม่เฒ่าซ่งก็สัมผัสได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ “อย่าได้มองแต่เพียงว่าเฉี่ยนซิ่วและนางเฮ่อมีอายุไล่เลี่ยกัน นางมีความละเอียดอ่อนกว่านางเฮ่อมากนัก ต่อไปมีนางอยู่ข้างกายเจ้า ตัวข้าเอง ก็วางใจได้แล้ว!”


                เว่ยฉายอิ๋งตะลึงงัน พลันโพล่งออกไปว่า “ท่านย่าจะไล่ท่าอาเฮ่อไปหรือเจ้าคะ?”


                แม้นางจะคาดเดาได้ว่าสาเหตุที่นางเฮ่อผู้นี้สามารถทำให้แม่เฒ่าซ่งให้เกียรติถึงเพียงนี้ ไม่มีทางเป็นเพราะเฉินหรูผิงเท่านั้น แต่ตัวนางเองจักต้องเป็นผู้เฉลียวฉลาดมีความสามารถอีกด้วย เพียงแต่ แม้นางเฮ่อจะปากร้ายและไม่ละเอียดอ่อนเท่าใด แต่ก็อยู่ข้างกายเว่ยฉางอิ๋งมาโดยตลอด ความรู้สึกที่เว่ยฉางอิ๋งมีต่อแม่นมผู้นี้ หาใช่เพียงผิวเผินไม่ ก็ย่อมอาลัยอาวรณ์ไม่อยากแยกจากนางเป็นธรรมดา


                สีหน้าของนางก็พลันร้อนรนขึ้นมา โดยไม่ทันห่วงว่ายามนี้จะมีนางหวงอยู่ข้างๆ นี่เอง


                แม่เฒ่าซ่งทั้งขัดเคืองทั้งขบขัน กล่าวว่า “ท่าทีอดจะเต้นโหยงขึ้นมาไม่ได้ของเจ้าเช่นนี้หมายความอย่างไรกัน? หรือบ้านเราให้ท่านอาอีกคนแก่เจ้าแล้วจะถึงกับต้องขัดสนได้ยาก?” พลางชี้นิ้วไปแตะที่หว่างคิ้วของนางคราหนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “ปีหน้าเจ้าก็จักออกเรือนแล้ว แม้เจ้าจะเกิดที่เมืองหลวง แต่ก็กลับมาเติบโตที่เฟิ่งโจว คนที่คอยดูแลข้างกายเจ้าก็เช่นกัน แม้จะบอกว่าท่านอาหญิงรองของเจ้าจักอยู่ที่เมืองหลวง ทว่าก็ไม่อาจจะเข้าไปคอยชี้แนะเจ้าในบ้านเสิ่นได้… เฉี่ยนซิ่วนั้นเรียกได้ว่าเกิดและเติบโตในเมืองหลวง เคยคุ้นกับนิสัยใจคอของคนที่เมืองหลวงเป็นที่สุด แล้วเจ้าว่าเจ้าจักไม่ต้องคนเช่นนี้เอาไว้ข้างกายเจ้าอีกคนรึ?”


                เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าหาใช่ต้องการจะไล่นางเฮ่อไปไม่ เพียงแต่เพิ่มคนให้ตนผู้หนึ่ง นางจึงได้เปลี่ยนจากความกังวลมาเป็นยินดี แล้วกล่าวโทษว่า “โธ่เอ๊ย ท่านยาไม่พูดให้ชัดเจน ข้าก็หลงนึกว่าจะเปลี่ยนท่านอาให้ข้าใหม่นั่นสิเจ้าคะ!” เป็นเพราะมีนางหวงอยู่ ทั้งยังเป็นท่านอาที่แม่เฒ่าซ่งสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง จึงได้หันไปยิ้มแย้มและคำนับนาง “ท่านอาหวงอย่าได้ถือโทษ เพียงข้าได้พบท่านอาก็รู้สึกว่าเป็นมิตร เพียงแต่ท่านอาเฮ่ออยู่กับข้ามานานปี จึงทำให้ทำใจจากกันไม่ได้”


                ตั้งแต่ต้นจนจบใบหน้าของนางหวงล้วนมีแต่รอยยิ้ม แม้เว่ยฉางอิ๋งจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ไล่แม่นมเฮ่อไปเพื่อให้นางมาอยู่แทน นางก็ยังไม่มีท่าทีหวั่นไหวหรือมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เวลานี้ได้ยินคำของเว่ยฉางอิ๋ง ริมฝีปากก็ยิ่งมีรอยยิ้มเสียยิ่งกว่าเก่า คำนับตอบนางแล้วว่า “จักกล้าโทษคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกันเจ้าคะ? คุณหนูใหญ่มีใจผู้พันรักใคร่เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นน้องเฮ่อก็คอยปรนนิบัติคุณหนูมานานปี ข้าน้อยเพิ่งจักมาใหม่ ต่อไปจักต้องขอคำชี้แนะจากน้องเฮ่ออีกมากเจ้าค่ะ”


                แม่เฒ่าซ่ง สรุปให้ชัดเจนว่า “ดีแล้ว เฉี่ยนซิ่วและนางเฮ่อก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกัน ในเรือนเสียซวงก็ยังมีห้องว่างอีกหลายห้องที่ทำไว้เรียบร้อย ยามนี้ก็พอดีว่าพวกเจ้าจักได้กลับไปพร้อมกัน นับแต่วันพรุ่ง เจ้าต้องฟังท่านอาหวงผู้นี้สอนสั่งเรื่องที่เมืองหลวงให้จงดี!”


                เว่ยฉางอิ๋งหันหน้าไปสั่งเยี่ยนเกอที่อยู่ข้างหลังในทันใดว่าให้กลับไปบอกนางเฮ่อเตรียมห้องเอาไว้เสียก่อน เพราะสัมผัสได้ว่าแม่เฒ่าซ่งให้ความสำคัญกับนางหวงและมีความรู้สึกไม่ใคร่พอใจนางเฮ่อแฝงอยู่ภายใน จึงเกรงว่าเรื่องนี้จะทำให้นางเฮ่อรู้สึกว่าถูกนางหวงข่มเอา จึงกล่าวไปเป็นพิเศษว่า “น่าเสียดายที่สองวันนี้ล้วนมีฝนตก ห้องสองสามห้องในเรือนเสียซวงนั้นล้วนไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว ครานี้แม้จะทำความสะอาดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เกรงว่าจะยังมีกลิ่นอยู่บ้าง”


                “คุณหนูใหญ่เป็นกังวลไปแล้วเจ้าค่ะ” นางหวงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้าน้อยก็หาใช่คนเปราะบางอะไร ขอเพียงมีห้องสักห้องก็พอแล้ว รอจนอากาศปลอดโปร่งแล้วจึงค่อยเอาของออกไปตากก็เป็นพอเจ้าค่ะ”


ท่านอาที่มองดูแล้วอ่อนโยนและช่างเอาอกเอาใจเช่นนี้ แต่ด้วยเรื่องของนางเฮ่อ เว่ยฉางอิ๋งจึงกลับระวังตัวกับนางขึ้นมา แต่ความรู้สึกเช่นนี้ก็มิได้มีที่ใดไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้นนางหวงคุ้นเคยกับธรรมเนียมและนิสัยใจคอของผู้คนในเมืองหลวง เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้จะต้องแต่งเข้าบ้านตระกูลเสิ่นแน่นอนแล้ว ว่ากันตามจริง ข้างกายนางก็ยังขาดคนเช่นนี้… ต่อให้เมื่อไปถึงเมืองหลวงจะสามารถสอบถามเอาได้จากบ่าวในบ้านเสิ่น แต่มีหรือจะน่าเชื่อถือได้เท่ากับบ่าวที่ท่านย่าให้ไปอยู่ด้วยยามแต่งงานเล่า?


ดังนั้น แม้เว่ยฉางอิ๋งจะกังขาอยู่ในใจว่าท่านอาหวงผู้นี้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ทั้งยังเป็นท่านย่าแนะนำให้ตนด้วยตนเอง ก็ใช่ว่าจะถือเอาเรื่องนี้มารังแกพวกของนางเฮ่อจึงจะถูกต้อง… ต่อให้นางหวงเฉลียวฉลาดเก่งกาจปานใด ไม่ว่าจะว่าอย่างไรพวกของนางเฮ่อ หรือต่อให้เป็นพวกฉินเกอทั้งสี่คน ต่างก็ปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว จึงมีความผูกพันกัน คนเช่นนางหวงซึ่งจู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในเรือนเสียซวงกลางคันเช่นนี้… จึงเป็นธรรมดาที่จิตใจของเว่ยฉางอิ๋งย่อมจะเอนเอียงไปในทางที่ตนคุ้นเคยมากกว่า


ทว่าเมื่อคิดย้อนกลับมา นางหวงในวัยสิบแปดปีก็สามารถรับหน้าที่สำคัญในการจับตาดูบ้านสอง แม้แต่แม่เฒ่าซ่งจากเมืองหลวงมาสิบกว่าปี ท่านอาสะใภ้รองแซ่ตวนมู่ก็ยังทำสิ่งใดไม่ได้ นอกเสียจากเอาแต่นั่งดูนางแบ่งอำนาจการดูแลปกครองบ้านของฮูหยินเช่นตนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ท่านอาที่เก่งกาจเช่นนี้ ขอเพียงมิได้มีใจเป็นอื่น เมื่อมีนางหวงอยู่ข้างกายแล้ว ภายภาคหน้าก็จะสามารถลดความกังวลไปได้ไม่น้อยเลย


ด้วยความคิดเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งแอบหวังในใจว่าเมื่อนางหวงผู้นี้มาถึงเรือนเสียซวงแล้ว ก็จะสามารถสมานสมัคคีกับพวกของนางเฮ่อได้เป็นอย่างดี ต่างฝ่ายต่างยอมให้กัน แล้วทุกคนก็พร้อมแรงพร้อมใจกันมาช่วยตนได้เป็นดี


ทว่าเห็นชัดว่าแม่เฒ่าซ่งให้ความสำคัญกับนางหวงมาก ระหว่างที่สนทนาสรรพเหระกันในเวลาต่อมา ยังคอยเรียกให้นางหวงพูดคุยด้วยสองสามประโยค แม้จักเป็นเช่นนี้ นางหวงกลับมิได้เผยสีหน้าโอหังออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ต้นจนจบไม่ร้อนรนไม่กระวนกระวาย หากแต่อ่อนโยนสำรวม จากเดิมที่เป็นห่วงว่าแม่เฒ่าซ่งคอยให้ท้ายนางหวง แล้วจักทำให้พวกของนางเฮ่ออดจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ได้ แต่ด้วยท่าทีเช่นนี้ของนางหวงกลับทำให้เว่ยฉางอิ๋งโล่งใจขึ้นมา พลางคิดในใจว่าที่แท้แล้วคนที่ท่านย่าเลือกสรรออกมานั้นเป็นคนที่สามารถสะกดอารมณ์ได้เป็นอย่างดี มิใช่เป็นพวกตื้นเขินที่พอได้รับการยกย่องแค่เพียงน้อยก็เหลิงจนลืมตัว


ทว่าในยามนี้ยังอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นิสัยใจคอที่แท้จริงของนางหวงนั้นยังต้องคอยดูหลังจากที่ไปถึงเรือนเสียซวงแล้ว ว่านางจักปฏิบัติเช่นไรกับพวกของนางเฮ่อจึงจะสามารถแน่ใจได้


…ในที่นี้พูดไม่ได้ว่าพวกนางสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ แต่อย่างน้อยก็พูดคุยกันได้อย่างเบิกบานใจยิ่ง ด้วยความตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจจึงกลับหลงลืมเรื่องที่เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนรอจะเข้ามาคารวะท่านย่าอยู่ข้างนอกไปเสียสนิท


จนกระทั่งเกือบจะหนึ่งชั่วยามจากนั้น แม่เฒ่าซ่งเตรียมจะให้หลานสาวอยู่รับประทานอาหารเป็นเพื่อนตน แล้วให้เฉินหรูผิงพานางหวงไปทานอะไรที่ด้านหลังเสียหน่อย ทั้งให้น้าหลานสองคนได้สนทนากันบ้าง… ซวงจูคอยยืนชะเง้อคออยู่ที่ประตู จึงได้ถูกเรียกตัวเข้ามาสอบถาม ซวงจูบอกว่า “คุณหนูสี่และคุณหนูห้ามารออยู่นาน เมื่อครู่เกิดมีอาการไอขึ้นมาเจ้าค่ะ”


หลายวันมานี้ฝนฤดูใบไม้ร่วงทำให้ความเย็นตลบอบอวลทั่วไปหมด ทั้งภายนอกประตูก็เป็นช่องทางลมมีลมโกรกอย่างหนัก เมื่อวานเว่ยฉางอิ๋งตากลมเพียงน้อยก็ยังล้มป่วยเพราะต้องลมเย็น เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนซึ่งเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เคร่งครัดในกฎระเบียบ พวกนางจึงมีร่างกายที่อ่อนแอบอบบางอย่างคุณหนูทั่วๆ ไปที่รักษากฎระเบียบเป็นกัน… ตากลมฤดูใบไม้รวงอยู่หนึ่งชั่วยาม ทั้งมิได้สวมผ้าคลุมกันลม ไม่กล้าเรียกให้คนกลับไปเอา ทั้งยืนอยู่นานยิ่งเหนื่อยล้า หากไม่เจ็บป่วยขึ้นมาสักเล็กน้อยกลับเป็นเรื่องแปลกเสียอีก


“เช่นนั้นก็ให้พวกนางกลับไปเสียเถิด” แม่เฒ่าซ่งมิได้ปิดบังความลำเอียงของตนเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินดังนั้นกลับเอ่ยออกไปอย่างราบเรียบโดยไม่แม้จะเหลือบตามองสักหน


เฉินหรูผิงเอ่ยคำเสริมไปว่า “ร่างกายของคุณหนูใหญ่ยังมิทันหายดี ฮูหยินผู้เฒ่าก็อายุมากแล้ว ในเมื่อคุณหนูทั้งสองมีอาการไม่สบายเพราะลมหนาว แล้วจักเข้ามาได้อย่างไร? หากแพร่เชื้อโรคขึ้นมาแล้วจักทำอย่างไร?”


ซวงจูเข้าใจโดยพลัน “ข้าน้อยจักไปบอกกล่าวกับคุณหนูทั้งสองเดี๋ยวนี้ ว่าในระยะสองสามวันให้อยู่แต่ในห้องของตนอย่าได้ออกมาเจ้าค่ะ”


แม่เฒ่าซ่งรอจนซวงจูออกไป แล้วมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งที่สีหน้ากำลังสับสน พลางกล่าวเรียบๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้าไปจัดการเอาเองเถิด”


เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อไป จากนั้นจึงได้พยักหน้าเป็นทีว่าเข้าใจแล้ว


___________________________


ตอนที่ 81 หยั่งเชิง

โดย

Xiaobei

                สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเว่ยฉางอิ๋งก็คือ นางเฮ่อที่แต่ไรมาเป็นคนอารมณ์ร้ายชอบเอาชนะเป็นที่สุดแม้เพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม เมื่อได้เห็นนางหวงกลับมิทันรอให้ตนแนะนำ ก็วิ่งปรี่เข้ามารับเป็นอย่างยินดี “นี่ข้าไม่ได้ฝันอยู่ใช่หรือไม่? พี่หวง ท่านมาจริงๆ หรือ?”


                นางหวงมองไปด้วยสายตาแย้มยิ้ม จึงว่า “ได้ยินว่าวานนี้คุณหนูใหญ่มีอาการไอ? ยามนี้แม้จะหายแล้ว แต่ก็อย่าได้ตากลมมากไปเป็นดี”


                นางเฮ่อมิได้รู้สึกสักนิดว่านางหวงเพิ่งจะมาก็มายึดอำนาจตนและเริ่มออกคำสั่ง หากแต่พยักหน้ารับคำ แล้วว่า “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ดูข้าสิ พอเห็นพี่หวงก็ลืมคุณหนูใหญ่เสียสนิท!”


                ขณะที่ถูกล้อมตัวเดินเข้าประตู เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสงสัยในใจ เมื่อตนเองนั่งลง จึงให้ท่านอาทั้งสองนั่งลงด้วยแล้วสอบถามว่า “เมื่อครู่ท่านย่าบอกว่าท่านอาเฮ่อและท่านอาหวงรู้จักกัน ไม่ทราบว่าจะเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่?”


                นางเฮ่อจับจ้องอยู่ที่นางหวงไม่ยอมละสายตามาเสียตั้งนานแล้ว นางมีท่าทางราวกับว่ามีคำพูดมากมายในอกที่อยากจะบอกเล่าออกมา เมื่อได้ยินคำของเว่ยฉางอิ๋ง นางไม่แม้แต่จะคิดก็พูดว่า “คุณหนูใหญ่ไม่ทราบ ข้าน้อยและพี่หวงนั้นเรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยกัน เหมือนกับจูสือและจูหลานในยามนี้ ครานั้นหลังจากคุณหนูใหญ่เกิด พอดีกับว่าข้าน้อยยังไม่หมดนม จึงได้มาเป็นแม่นมให้คุณหนูใหญ่ จากนั้นเมื่อคุณหนูใหญ่อายุได้ห้าเดือนกว่า ข้าน้อยบังเอิญไปกินของที่ไม่ควรกินเข้า ทำให้คุณหนูใหญ่อาเจียนนมออกมาติดต่อกันสองวัน จนเกือบจะมิได้ดูแลคุณหนูใหญ่เสียแล้ว โชคดีที่พี่หวงช่วยทำอาหารยาปรับร่างกายให้ข้าน้อย จึงสามารถอยู่ข้างกายคุณหนูใหญ่ได้ต่อไป!”


                เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังนางหวงอย่างประหลาดใจ “ท่านอาหวงทำอาหารยาเป็นหรือ? ท่านอารู้เรื่องการแพทย์หรือเจ้าคะ?”


                “อาหารยาพี่หวงทำออกมานั้นแทบไม่ต่างกับของ ‘ลวี่หยวน’ เลยเจ้าค่ะ” เดิมทีหลายวันมานี่นางเฮ่อก็อารมณ์ดีมาโดยตลอด ยามนี้ยิ่งได้มาพบกับเพื่อนเก่าที่จากกันมาสิบกว่าปี ในใจยิ่งตื่นเต้นดีใจ ครานี้จึงได้หลงลืมข้อห้ามบ้างอย่างไป และหลุดปากไปว่า “อย่างไรเสียก็เป็นท่านหมอเทวดาจี้สอนสั่งมากับมือเชียวนะเจ้าคะ!”


                ยังไม่ทันสิ้นเสียงนางเฮ่อ ทั้งที่ใบหน้าของนางหวงยังยิ้มแย้มอยู่เช่นเดิม แต่กลับแย่งนางพูดอย่างไม่ให้เป็นที่น่าสงสัยว่า “ไม่เจอกันสิบกว่าปี นิสัยเช่นนี้ของน้องเฮ่อกลับยังไม่เปลี่ยนเลย เพียงแต่ยามนี้คุณหนูใหญ่อยู่ที่นี่ เจ้าอย่าเอาแต่ห่วงเรื่องเก่าๆ แต่กลับไม่รู้ว่ายามนี้คุณหนูใหญ่ทำสิ่งอยู่บ้าง?”


                เว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินฮูหยินซ่งเอ่ยถึงข้อห้ามเกี่ยวกับจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้มาก่อนแล้ว ในเวลานี้จึงไม่ไปซักไซ้ถามให้มากความ แต่เมื่อเห็นว่านางเฮ่อตื่นเต้นดีใจจนเก็บคำพูดไว้ไม่ได้เช่นนี้ ก็พลันลอบอุทานในใจว่า ‘หรือที่ท่านย่าบอกว่าท่านอาเฮ่อนั้นดีไปเสียทุกเรื่อง เพียงแต่เวลาดีใจขึ้นมาก็มักจะอดกลั้นอะไรไม่ได้ เรื่องนี้หากนำไปเล่าให้ท่านย่าฟังก็เกรงว่าคงจักกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต… ทว่าท่านอาหวงผู้นี้กลับเอาแต่นิ่งเงียบสงบคำ สมกับเป็นผู้ที่ท่านย่าให้ความสำคัญจริงๆ’


                การที่เว่ยฉางอิ๋งลอบถอนหายใจเช่นนี้ แม้นางจะมิได้ถึงขึ้นรังเกียจนางเฮ่อด้วยสาเหตุนี้ ทว่านางก็ยิ่งให้ความสำคัญกับนางหวงมากยิ่งขึ้น จึงกล่าวว่า “เวลานี้โดยทั่วไปแล้วข้ามิได้ทำเรื่องใด เช่นนั้นจึงกลับเป็นโอกาสดีจะให้ท่านอาได้รู้จักคนของข้า… ฉินเกอ เยี่ยนเกอ ไปเรียกคนมา”


                สาวใช้ทั้งแปดนางที่ดูแลอยู่ในเรือนเสียซวงล้วนเข้ามาคารวะนางหวง เว่ยฉางอิ๋งให้นางเฮ่อไปดูการจัดเก็บห้องพักกับนางหวง นางเฮ่อยิ้มพลางกล่าวว่า “ห้องเหล่านี้ไม่มีคนอยู่มานานปี กลิ่นอับชื้นรุนแรงนัก ทั้งยามนี้ก็มีฝนตก ดีชั่วอย่างไรข้าน้อยก็อยู่เพียงผู้เดียว ทั้งห้องก็กว้างขวาง ดังนั้นข้าน้อยจึงเรียกให้คนไปจัดห้องแล้วรอบหนึ่ง และให้พี่หวงพักอยู่กับข้าน้อยไปก่อนดีไหมเจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งจึงถามนางหวงว่า “ท่านอาหวงคิดเห็นเช่นไรเล่า?”


                แน่นอนว่านางหวงไม่มีข้อขัดข้องใด


                เว่ยฉางอิ๋งสนทนากับนางอีกสักพัก มองสีท้องฟ้าก็ค่ำแล้ว บวกกับนางเฮ่อไม่อาจปิดบังสีหน้าอันเร่งร้อนเอาไว้ได้ ว่าต้องการจะสอบถามเรื่องราวหลังจากที่จากกันเสียยิ่งนัก จึงอดจะหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้ พลางว่า “ข้ารู้สึกเพลียแล้ว ท่านอาทั้งสองตามสบายเถิด คืนนี้ก็ให้ฉินเกอและเยี่ยนเกอนอนเป็นเพื่อนข้าก็พอแล้ว”


                นางเฮ่อดีใจยิ่ง “ข้าน้อยขอบคุณคุณหนูใหญ่ที่เอาใจใส่ข้าน้อยเจ้าค่ะ!”


                นางหวงมองนางอย่างจนใจคราหนึ่ง แล้วขอบคุณเว่ยฉางอิ๋งพร้อมกัน และอำลาตามนางออกไป


                วันต่อมา


                เว่ยฉางอิ๋งเตรียมพร้อมเอาไว้ว่าวันนี้นางหวงจะต้องตื่นสายหรือต่อให้ไม่ตื่นสายก็จะต้องมีสีหน้าเซื่องซึมอยู่บ้าง… เพราะอย่างไรเมื่อวานนี้ เพียงแค่มองไปยังนางเฮ่อที่แม้จะอยู่ต่อหน้าตนก็มีท่าทีว่ามีเรื่องต้องสนทนากันไม่จบไม่สิ้นแล้ว รอจนไปนอนบนตั่งเดียวกับนางหวง เพียงเลือกเรื่องที่จากกันมาสิบกว่าปีนี้มาสักเรื่องหนึ่ง หากไม่พูดกันทั้งคืน หรือไม่พูดคุยกันถึงดึกดื่นกระทั่งง่วงนอนเสียจนพูดต่อไปอีกไม่ไหวก็คงจะไม่ยอมหยุด


                นางหวงเพิ่งจะเร่งเดินทางมาถึง เดินทางด้วยเรือและรถมาอย่างลำบากตลอดทาง ทั้งยังถูกนางหวงรบกวนทั้งคืน หากวันนี้กำลังวังชาดีอยู่ก็แปลกแล้ว


                ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังดังนี้อยู่ เมื่อเห็นว่าฝนยังไม่หยุด จึงคิดจะฝึกฝนตนด้วยการหาบางสิ่งทำสักหน่อย ไม่คิดว่าเพิ่งจะเรียกให้คนเตรียมกระดาษและฝนหมึก นางเฮ่อและนางหวงก็เข้ามาในประตูพร้อมกัน ดูไปแล้วแม้จะพูดไม่ได้ว่ากระปรี้กระเปร่านัก แต่ก็มิได้เซื่องซึมอย่างที่คาดเอาไว้


                ไม่ทันรอให้เว่ยฉางอิ๋งแสดงสีหน้าประหลาดใจ นางเฮ่อและนางหวงพลันขอขมาด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าน้อยตื่นสาย ขอคุณหนูลงโทษด้วยเจ้าค่ะ!”


                “วานนี้ท่านอาหวงเร่งเดินทางมา วันนี้จะตื่นสายบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหนแล้วหนเล่า กล่าวว่า “ท่านอาเฮ่อไม่ได้พบกับท่านอาหวงมาสิบกว่าปีแล้ว อยู่เป็นเพื่อนท่านอาหวงก็ถือเป็นน้ำจิตน้ำใจที่ควรมีเจ้าค่ะ”


                ในคำกล่าวนี้ยังเป็นการปกป้องนางเฮ่อด้วย อย่างไรเสียความเป็นไปได้ที่สุดที่พวกนางมาสายก็เพราะนางเฮ่อพานางหวงพูดคุยจนทำให้นอนกันดึกดื่น แต่ที่เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเช่นนี้ กลับบอกว่าสาเหตุที่มาสายเพราะนางหวงตื่นสายเพียงผู้เดียว ส่วนนางเฮ่อนั้นต้องรอนางจึงได้มาสายไปด้วย


                ดูไปแล้วนางหวงก็มิได้สนใจว่าจะต้องตกกระไดพลอยโจรไปด้วย และขอบคุณพร้อมๆ กับนางเฮ่อที่เว่ยฉางอิ๋งให้อภัย จากนั้นนางเฮ่อก็สอบถามเรื่องต่างๆ ตามความเคยชินของเว่ยฉางอิ๋งไปทีละเรื่อง และคอยสอบถามพวกของเจวี๋ยเกอที่ดูแลปรนนิบัตินางอีกด้วย นางหวงคอยนั่งฟังอยู่ข้างๆ และคอยจดจำอย่างตั้งใจ


                เป็นเช่นนี้ไปจนถึงหลังเที่ยง เว่ยฉางอิ๋งมองไปที่ถังทองแดงหยดน้ำ[1]ที่มุมห้อง แล้วจิบน้ำชาที่เจวี๋ยเกอยกมาให้หนึ่งอึก เอ่ยช้าๆ ว่า “เมื่อวานท่านย่าได้มอบหมายงานให้ข้าชิ้นหนึ่ง ข้าคิดว่าควรจะเร่งทำแต่เนิ่นๆ เป็นดี เพียงแต่ข้ายังเด็ก ก่อนนี้ทุกเรื่องล้วนมีท่านย่าและท่านแม่คอยคุ้มกันให้ ครานี้เป็นครั้งแรกที่ต้องฝึกฝนด้วยตนเอง เพื่อมิให้มีเรื่องคลาดเคลื่อน จึงต้องขอให้ท่านอาทั้งสองช่วยพิจารณาให้ข้าด้วย”


                คำพูดกล่าวไปเช่นนั้น แต่นี่เห็นชัดว่าเป็นการหยั่งเชิงนางหวง


                แต่มิใช่ว่าเว่ยฉางอิ๋งจงใจหาเรื่องนางหวง แต่เพราะเดิมทีในเรือนเสียซวงมีนางเฮ่อเป็นหัวหน้า ยามนี้เมื่อนางหวงมา แม้นางเฮ่อจะมิได้พูดชัดเจน แต่ท่าทีที่ยอมจะเป็นรองนั้นชัดเจนยิ่ง ปัญหาคือนางเฮ่อเติบโตมากับนางหวงตั้งแต่เล็กและมองออกว่านางนับถือนางหวงอย่างมาก จึงยอมจะอยู่ใต้อำนาจของนางหวง… แต่พวกของฉินเกอกลับไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น


                เดิมทีพวกของจูสือซึ่งเป็นสาวใช้ตัวน้อยทั้งสี่คนเป็นนางเฮ่อสอนสั่งมา ย่อมจะยอมรับนางเฮ่อเป็นธรรมดา พวกของฉินเกอสี่คนเป็นองครักษ์ลับ เพิ่งจะมาคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเว่ยฉางอิ๋ง ซึ่งแน่นอนว่าพวกนางจักไม่กล้าเพิกเฉยต่อนางเฮ่อซึ่งเป็นผู้ดูแลเว่ยฉางอิ๋งมาจนเติบใหญ่… แต่ครานี้จู่ๆ ก็มีนางหวงโผล่มา พอเข้ามาในเรือนเสียซวงก็กลายเป็นหัวหน้าของทุกคน แล้วนี่มันเรื่องใดกัน?


                แน่นอนว่าด้วยท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่า ท่าทีของเว่ยฉางอิ๋งและนางเฮ่อ พวกของฉินเกอจักไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ แต่นั่นกลับมิได้หมายความว่าพวกนางยินยอมพร้อมใจ


                มิสู้หาสักโอกาสหนึ่งให้นางหวงได้แสดงฝีมือไปเสียเลย และถือเป็นการบอกเล่าแก่บรรดาสาวใช้น้อยใหญ่ ว่าเพราะเหตุใดพอนางมาถึงเรือนเสียซวง แม้แต่คนไม่ยอมใครเช่นนางเฮ่อยังยอมศิโรราบให้นาง หาไม่แล้วหากมีการคาดเดาไปเรื่อยๆ ระหว่างพวกบ่าวไพร่ด้วยกัน เมื่อนานไปก็ยากจะเลี่ยงมิให้เกิดความแค้นเคืองกันได้ ซึ่งเป็นผลร้ายอย่างยิ่งต่อความสามัคคีของทุกคนภายในเรือน… ส่วนเรื่องว่านางหวงจะไม่ผ่านบททดสอบ เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้ เพราะนางหรือจะไม่เข้าใจท่านย่าของตน?


แม่เฒ่าซ่งมีสายตาที่แสบสันหาได้เปรียบ คนที่นางหนุนหลัง จักเป็นพวกที่ดูดีแต่ภายนอกได้อย่างไร?


ปรากฏว่าเมื่อนางหวงฟังคำนี้ก็ยิ้มแย้มด้วยความเข้าใจในทันที เพียงแต่มิได้ออกปาก และปล่อยให้นางเฮ่อถามไปเสียก่อน “กลับมิรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้คุณหนูใหญ่ทำสิ่งใดเจ้าคะ?”


“น้องสี่และน้องห้า…” เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งออกปาก ดวงตาของนางเฮ่อก็สว่างวาบขึ้นมา กล่าวว่า “แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้คุณหนูไปจัดการนังสอง…เอ่อ!” เมื่อถูกนางหวงมองตาขวางมาคราหนึ่ง นางเฮ่อก็พลันกลืนคำที่เห็นชัดว่าไม่ใคร่น่าฟังซึ่งกำลังจะพูดต่อมาลงไปเสียโดยมิทันรู้ตัว แล้วยิ้มเลิ่กลั่กหนแล้วหนเล่า


เมื่อเห็นแม่นมซึ่งเดิมทีเป็นคนปากร้ายโอหังกลับถูกท่านอาหวงผู้นี้จัดการเสียอยู่หมัด เว่ยฉางอิ๋งมองดูอย่างกลัดกลุ้มใจ แม้จะบอกว่ารู้ว่านางหวงทำไปเพราะหวังดีต่อนางเฮ่อ แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายเสียหน้า ด้วยคนของตนเทียบกับคนของท่านย่าไม่ได้ สักพักหนึ่งจึงกล่าวว่า “ความหมายของท่านย่าคือให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ก่อนที่ข้าจะบอกกล่าวกับท่านย่าว่าข้าตัดสินใจทำเช่นใด ท่านย่าจะไม่มาก้าวก่าย วานนี้พวกนางก็มาทักข้า เพียงแต่ข้ามิได้สนใจเท่าใดนัก… โอ้ จริงสิ ท่านอาหวงยังมิทันรู้ว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นไรกระมัง? ไม่ทราบว่าท่านอาเฮ่อเล่าเรื่องนี้ให้ท่านอาหวงฟังมาก่อนหรือไม่เจ้าคะ?”


นางเฮ่ออ้าปากค้าง แล้วตอบไปสั้นๆ ประโยคหนึ่งว่า “พี่หวง ก็คือเรื่องที่คุณหนูใหญ่ไปร่วมไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกงที่ข้าบอกกับท่านเมื่อคืนนี้”


“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบ วานนี้นางเฮ่อมีท่าทีอดรนทนไม่ไหวที่จะรำลึกความหลังกับนางหวง พวกนางจากกันมาสิบกว่าปี ต่อให้เพียงเล่าเหตุการณ์สำคัญๆ ในระหว่างสิบกว่าปีนั้นคืนหนึ่งก็คงยังพูดได้ไม่หมด ดูจากความสดชื่นของพวกนางแล้ว พวกนางไม่มีทางจะพูดคุยกันจนดึกดื่นจึงนอนหลับไป คาดว่าอย่างมากที่สุดก็คงจะพูดคุยกันเพียงหนึ่งชั่วยาม…. ตามหลักการแล้ว เพียงรำลึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ และปลงอนิจจังกับวันเวลาอันงดงามที่กำลังค่อยๆ เลือนหายไปก็ยังไม่พอแล้ว


ยิ่งไม่ต้องบอกว่า หากว่ากันตามปกติแล้วเมื่อพูดคุยเรื่องเก่าๆ รำลึกถึงอดีตและปลงอนิจจังกันจนเสร็จ ยังมีเวลาสอบถามอีกว่าเหตุใดจู่ๆ นางหวงจึงได้มาที่เฟิ่งโจว… อื่ม เรื่องนี้ต้องคุยกันนานเท่าใดก็ยังไม่รู้แน่ อย่างไรเสีย หัวข้อสนทนาก็จักต้องพาดพิงถึงไปบ้านสองอย่างง่ายดายยิ่ง…


เว่ยเซิ่งอี๋ซึ่งเป็นบุตรของอนุแต่กลับเก่งกาจสามารถและมีพี่ชายบ้านใหญ่ขี้โรคจักเป็นดังใจเว่ยฮ่วนหรือไม่ ยามนี้เว่ยฉางซุ่ยที่เกือบจะยกบุตรมาเป็นบุตรบุญธรรมของเว่ยเจิ้งหงเพื่อให้กลายมาเป็นผู้สืบสกุลของบ้านใหญ่เป็นเช่นไรบ้าง คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าทิ้งเอาไว้หลังจากกลับไปที่เฟิ่งโจวครานั้นทำงานเป็นเช่นไรบ้าง ความรู้สึกในการรับศึกภายในบ้าน และนางหวงรับมือกับนางตวนมู่ในระยะสิบกว่าปีมานี้ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึ่งพอใจเช่นใด… ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งในนี้ ไม่ทันระวังตัวก็ล้วนสามารถคุยกันได้ทั้งคืน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่านางเฮ่อหรือนางหวงล้วนเป็นข้าเก่า เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้มีความเป็นมาอย่างไร พวกนางล้วนเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งกว่าพวกบุตรหลานตระกูลเว่ยเช่นเว่ยฉางอิ๋งเสียอีก… เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งเท่าใดก็ย่อมพูดคุยกันได้มากมายเท่านั้น


แต่ยามนี้นางเฮ่อได้เล่ารายละเอียดของเรื่องราวเมื่อตอนที่ไปร่วมงานไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกงพร้อมกับตนไปแล้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เดียวนั่นก็คือนางหวงเป็นผู้ควบคุมบทสนทนาของพวกนางทั้งหมด ข้ามเรื่องรำลึกถึงวันเก่าๆ ข้ามเรื่องปลงอนิจจัง แล้วตรงเข้าสอบถามเรื่องสถานการณ์ในระยะนี้ของตนเสียเลย ไม่แน่ว่ายังเริ่มสอบถามตั้งแต่เรื่องที่ได้ประสบมาหลังจากถูกลอบทำร้ายจนถึงตอนนี้เสียด้วยซ้ำ หากไต่ถามเฉพาะเรื่องเหล่านี้ ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามก็คงได้ความเพียงพอ จากนั้น…นางหวงก็ให้นางเฮ่อหุบปาก และพักผ่อนเสีย


…เหตุใดนางจึงเกิดความรู้สึกว่าเสียทีให้แก่ท่านอย่าอีกคราแล้ว? แม้จะบอกว่านางหวงก็เคยดูแลตนมาก่อนเมื่อครั้งยังอยู่ในผ้าอ้อม แต่ปัญหาคือยามนี้ผู้ที่อยู่กับนางมาจนเติบใหญ่ และรู้ใจตนเป็นอันดับหนึ่งตลอดหลายปีมานี้เป็นท่านอาเฮ่อนี่!


ท่านอาเฮ่อ ท่าน… เว่ยฉางอิ๋งลอบหลั่งน้ำตาอยู่ภายในใจหลายหน และปลอบประโลมตนเองว่า ‘ช่างเถิด ท่านอาเฮ่อมิได้มีท่าทีจะชิงดีชิงเด่นกับนางหวง กลับเป็นการช่วยให้ข้าไม่ต้องลำบากมาจัดสรรอำนาจ ดีชั่วอย่างไรเรื่องจัดการดูแลบ้านช่อง ท่านอาเฮ่อก็เทียบนางหวงไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อยอมสละตำแหน่งให้เองก็ถือเป็นเรื่องดี…เอ่อ…มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ตัวข้าเองก็หวังให้พวกนางสมานสามัคคีกันหรอกหรือ?’


เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกว่าตนเองออกจะมีอาการสับสน…


เมื่อนางหวงได้ฟังคำของนางเฮ่อเช่นนั้น ก็ก้มหัวลงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มน้อยๆ ให้เว่ยฉางอิ๋ง กล่าวว่า “เรื่องนี้ น้องเฮ่อได้เอ่ยกับข้าน้อยเมื่อคืนแล้ว แต่ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่คิดเห็นเช่นใดเจ้าคะ?”


_________________________________


[1] ถังทองแดงหยดน้ำ เป็นเครื่องดูเวลาอย่างหนึ่งของจีน โดยดูว่าน้ำหยดลงมาถึงส่วนใดของแต่ละถัง ก็จะบอกเวลาที่ต่างๆ กันออกไป


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม