วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 747-753

ตอนที่ 747 จุดเปลี่ยน

 

ในความเป็นจริงแล้ว ถังหนิงเพียงแค่ไม่รับบทนี้เท่านั้น ในขณะที่เฉินเฟิงและอันจื่อเฮ่าต่างหากที่ทุ่มเทไปมากมายกับละครเรื่องนี้ ดังนั้นการถอนตัวของทั้งคู่จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง กระนั้นพวกเขาต่างก็มีขีดจำกัดของตัวเองที่ชัดเจน


 


 


แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่มีใครตกอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบถังหนิง ตอนนี้ถังหนิงกำลังอยู่ในสถานะที่ต้องการงานสักอย่างหนึ่งมาพิสูจน์คุณค่าของเธอ ดังนั้นเมื่อไป๋อวี๋รู้ว่าอยู่ๆ ถังหนิงก็ตัดสินใจถอนตัวออกจาก ‘ชายาหนิง’ เธอจึงคิดว่าถังหนิงต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ เพราะในวงการนี้งานที่รับรองความก้าวหน้าได้แบบแน่นอนเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง แต่ถังหนิงกลับทำให้ทีมผู้จัดไม่พอใจถึงขนาดนี้…


 


 


ทุกคนต่างวิตกกังวล โดยเฉพาะบรรดาแฟนคลับ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะกังวลแค่ไหน ถังหนิงก็จะไม่มีวันรับบทเว้นเสียแต่มันจะดีพอ


 


 


ขณะเดียวกัน ละครเรื่อง ‘ชายาหนิง’ มีความคืบหน้าไปมาก ไม่นานหลังจากไป๋อวี๋ตกลงเข้าร่วมงาน พวกเขาก็เริ่มปล่อยภาพนักแสดงในชุดแต่งกายและเริ่มต้นการถ่ายทำทันที ดูราวกับว่าพวกเขากำลังพยายามจะสื่อว่าต่อให้ถังหนิงเกิดเปลี่ยนใจ ก็ไม่มีที่สำหรับถังหนิงอีกแล้ว ในเวลาแบบนี้ ไป๋อวี๋ได้ออกความเห็นเกี่ยวกับเหตุดราม่าในครั้งนี้ระหว่างการให้สัมภาษณ์หนึ่ง “ทุกคนให้ความหมายของคำว่าคุณภาพต่างกันค่ะ ฉันคิดว่าผู้เขียนบทได้เขียนมันขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ฉันคิดว่าทุกคนควรเคารพงานของคนอื่นนะคะ หรือต่อให้ไม่เคารพอย่างน้อยก็ควรไม่ออกมาวิจารณ์การตัดสินใจของทีมงาน”


 


 


ไป๋อวี๋เลือกใช้คำพูดได้อย่างชาญฉลาด ภายนอกดูเหมือนเธอจะกำลังชื่นชมบรรดาทีมงานและผู้เขียนบทที่ทุ่มเททำงานอย่างนัก แต่เธอก็ยังพุ่งประเด็นถึง ‘ใครบางคน’ ที่ตั้งความหวังของตัวเองเอาไว้สูงส่งและเรียกร้องมากเกินไปด้วย เธอไม่จำเป็นต้องพูดทุกคนก็รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงใคร ถังหนิงนั้นเอง เธอรู้สึกว่าถังหนิงไม่เคารพการทุ่มเททำงานหนักของคนอื่น!


 


 


“ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะรับแต่บทที่มีคุณภาพเท่านั้น ฉันรู้สึกว่านักแสดงที่ดีไม่ควรจะเรื่องมากนะคะ นักแสดงควรจะสามารถแสดงบทอะไรก็ได้ นั่นถือเป็นการฝึกฝนตนเองอย่างเหมาะสมในฐานะนักแสดง”


 


 


ทันทีที่คำพูดของไป๋อวี๋ถูกเผยแพร่ แม้จะฟังดูสมเหตุสมผลแต่ก็ถือเป็นการประกาศสงครามระหว่างเธอกับถังหนิงทันที


 


 


ผลลัพธ์คือเธอทึกทักเอาเองว่าถังหนิงกำลังอยู่ที่บ้านด้วยความหวั่นวิตก


 


 


แต่ในความเป็นจริงนั้น ถังหนิงไม่แม้แต่จะใส่ใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายทำอะไร


 


 


ไป๋อวี๋พูดอะไรงั้นเหรอ


 


 


ท่ามกลางบทมากมายในมือของไห่รุ่ย โม่ถิงพยายามเลือกบทที่ดูมีศักยภาพและน่าจะทำให้เติบโตได้ แต่กลับไม่มีบทใดที่เหมาะสมกับถังหนิงเลย ขณะที่ถังหนิงไม่มีงานอะไรในมือและพยายามที่จะปรากฏตัวออกไปพิสูจน์สถานะปัจจุบันของตัวเอง ทำให้แม้บรรดาแฟนคลับของเธอจะอยากเข้าข้างแต่พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจ


 


 


นั่นเป็นตอนที่มีสายโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องทำงานประธานของไห่รุ่ย


 


 


นักเขียนที่มีชื่อว่าถังเซี่ยวได้โทรเข้ามาเพื่อบอกว่าเธอมีนิยายในมือชื่อ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ซึ่งเธอได้นำมาปรับปรุงเป็นบทละครที่จดสิทธิบัตรแล้วและต้องการเชิญให้ถังหนิงมาเล่นบทนางเอกของเรื่อง


 


 


เธอเป็นแฟนคลับของถังหนิง จนถึงขนาดใช้นามสกุลถังในนามปากกา เธอบอกโม่ถิงว่าเธอยังคงทำงานเขียนเพราะได้กำลังใจจากถังหนิงและเธอมาถึงจุดที่เธออยู่ทุกวันนี้ได้เพราะถังหนิงเช่นดัน ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าถึงเวลาที่เธอจะได้ตอบแทนถังหนิงแล้ว


 


 


ดังนั้นโม่ถิงจึงบอกให้ลู่เช่อหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ทันที


 


 


ผลที่ได้น่ะเหรอ แม้แต่ลู่เช่อยังต้องอึ้งกับข้อมูลที่พบ


 


 


ตอนนี้นิยายเรื่องดังกล่าวได้รับความนิยมอันดับหนึ่งของนิยายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดหลายเจ้าของจีนและมียอดวิวกว่าพันล้านวิว นักเขียนได้รับการเสนอเงินจำนวนมหาศาลจากค่ายหนังหลายค่าย แต่ถังเซี่ยวไม่เคยใจอ่อนเพราะเธอฝันว่าสักวันหนึ่งนักแสดงในดังใจของเธอจะร่วมแสดงในหนังที่ปรับจากนิยายเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมขายลิขสิทธิ์ให้ใครเลยจนถึงตอนนี้ เมื่อโอกาสที่ไม่คาดฝันได้มาถึง


 


 


“ท่านประธานครับ นิยายเรื่องนี้มีมูลค่ามาก ที่สำคัญที่สุดคือตัวนิยายเองก็มีมาตรฐานสูงและทุกส่วนสามารถล้มล้างคำวิพากวิจารณ์ได้จนหมดสิ้น ชัดเจนว่านักเขียนคนนี้มีพรสวรรค์มากจริงๆ ครับ


 


 


“ที่จริงเธอถึงขนาดเขียนบทด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องใช้นักเขียนบทเลย ผมลองตรวจสอบดูแล้ว เห็นว่ามันสมบูรณ์แบบทีเดียวครับ”


 


 


ลู่เช่อรู้สึกตื่นเต้น จะมีใครปฏิเสธงานแบบนี้ได้อย่างไรกัน


 


 


โม่ถิงรับบทมาและเปิดดูที่หน้าแรก


 


 


เรื่องราวของละครเรื่องนี้ไม่ได้เปิดมาแบบเนิบนาบหรือน่าเบื่อ ที่จริงผลงานของถังเซี่ยวมักจะตื่นเต้นและน่าประทับใจเสมอ


 


 


ฉากแรกเริ่มต้นด้วยองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์หลานกำลังถามนางเอกว่าทำไมเธอถึงเป็นแม่ของเขา เพราะเขาดันโชคร้ายที่ตกหลุมรักเธอและชื่นชมในตัวเธอ


 


 


ในความเป็นจริง นางเอกมีอายุมากกว่าองค์จักรพรรดิเพียงสามปีเท่านั้น และด้วยว่านางเป็นพระสนมของจักรพรรดิองค์ก่อนและได้รับคำสั่งให้ดูแลเขา ในขณะเดียวกัน ที่จริงแล้วนางเอกนั้นมาจากโลกอนาคต จึงต้องทำหน้าที่นางสนมไปพร้อมกับการซ่อนความสามารถที่แท้จริงของนางเอาไว้


 


 


หลังจากได้อ่านเพียงส่วนสั้นๆ ของบทละคร โม่ถิงก็ปิดบทลงและพูดกับลู่เช่อ “ไม่ว่าจะต้องทำยังไง เราต้องได้ละครสิทธิบัตรเรื่องนี้”


 


 


ถังหนิงได้รับบทละครหลังจากนั้น ทันทีที่เธอมองดูบทละครนั้น เธอตกหลุมรักการออกแบบของมันทันที นอกจากส่วนของความรักต้องห้ามแล้ว ความรู้เกี่ยวกับความยุติธรรมและรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งปรากฏในงานเขียนของถังเซี่ยวก็มีความเป็นมืออาชีพมากจนนักนิติวิทยาตัวจริงยังให้การยอมรับ


 


 


หลงเจี่ยได้ทราบข่าวเรื่องนี้หลังจากนั้นไม่นาน ทันทีที่เธอได้ยินเรื่องนี้ ก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ “คุณพระ ฉันเคยอ่านนิยายเรื่องนี้ตอนมีเวลาว่าง ให้ตายสิ นี่คุณกำลังจะเล่นเป็นชิงหลาน นางเอกสุดที่รักของฉัน ฉันจะบอกอะไรให้นะคะ นิยายเรื่องนี้สนุกสุดๆ เลย ถ้าคุณไม่อ่านแล้วจะเสียใจ!”


 


 


นี่ถือเป็นความประหลาดใจที่ดีใช่ไหมนะ


 


 


อยู่ๆ ถังหนิงก็หัวเราะออกมา


 


 


หลงเจี่ยพอจะเดาความรู้สึกของถังหนิงในตอนนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงรีบถาม “นี่คือผลของความดีต่างๆ ที่คุณเคยทำมาไงล่ะคะ ความจริงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าทุกก้าวที่คุณเลือกมันถูกต้องแล้ว พระเจ้า ฉันรอดูไม่ไหวแล้วค่ะ!”


 


 


นี่ทำให้ถังหนิงรู้สึกขอบคุณนักเขียนคนนี้อย่างสุดซึ้ง ที่จริงเธอบอกโม่ถิงให้เชิญถังเซี่ยวมาที่บ้านของพวกเขา เพราะพวกเขาต้องการหารือเกี่ยวกับบทแบบตัวต่อตัวและทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


 


 


ถังเซี่ยวรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับเชิญ แม้เธอจะตระหนักดีว่าถังหนิงอาจไม่รู้จักเธอหากไม่มี ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แต่การได้ใกล้ชิดกับนักแสดงในดวงใจเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกโชคดีสุดๆ


 


 


ด้วยความที่ตัวบทละครเองก็ดีอยู่แล้ว โม่ถิงจึงรีบจัดการประชุมระดับผู้บริหารและยืนยันว่าไห่รุ่ยจะลงทุนในละครเรื่องนี้และจะเชิญเฉินเฟิงมาเป็นผู้กำกับ


 


 


พนักงานระดับบริหารแทบทุกคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้และยินดีให้โม่ถิงดำเนินการต่อได้เลย


 


 


ทีมงานถูกจัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการสนับสนุนของไห่รุ่ย ในขณะเดียวกันเฉินเฟิงก็ได้รับบทละครจากโม่ถิง ทันทีที่เขาเห็นบทดังกล่าว เขาก็รีบโทรหาโม่ถิงและตกลงที่จะเซ็นสัญญาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ดูเหมือนเขาจะตื่นเต้นมากกว่าคนอื่นๆ เสียอีก


 


 


ใช้เวลาไม่นาน ตำแหน่งหลักๆ ในทีมงานก็ครบถ้วนและการคัดตัวนักแสดงได้เริ่มต้นขึ้น


 


 


แต่ถังหนิงบอกโม่ถิงว่าเธอต้องการคุยกับนักเขียนก่อน


 


 


ถังเซี่ยวนั้นมีพรสวรรค์ เธอน่าจะมีนักแสดงอยู่ในใจแล้ว จึงน่าจะฟังคำเสนอแนะของเธอก่อน


 


 


นั่นทำให้โม่ถิงรีบจัดการเชิญถังเซี่ยวและส่งลู่เช่อไปรับเธอมายังไฮแอทรีเจนซีถึงหน้าประตูบ้านของถังหนิงด้วยตัวเอง


 


 


ก่อนที่ถังหนิงจะได้พบถังเซี่ยว เธอคิดว่าถังเซี่ยวเป็นผู้ชาย แต่เมื่อหญิงสาวหน้าตาดีมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอ ถังหนิงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


 


ถังเซี่ยวนั้นทั้งมีพรสวรรค์และชวนให้ประหลาดใจ


 


 


“ตายแล้ว ถังหนิง คุณสวยจังเลย…” ถังหนิงทำให้ถังเซี่ยวประหลาดใจไม่แพ้กัน “คุณไม่เหมือนกับที่เขาลือกันเลย คุณไม่เห็นอ้วนเลยสักนิด!” 

 

 


ตอนที่ 748 ตัวเลือกสำหรับบทพระเอก

 

“ถ้าฉันอ้วนแล้วจะเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ คุณจะยังเลือกฉันเป็นนางเอกอยู่ไหม” ถังหนิงถามพร้อมรอยยิ้มก่อนเชิญให้ถังเซี่ยวนั่งลง


 


 


“ไม่มีทางหรอกค่ะ คุณเป็นคนมีวินัยกับตัวเองอย่างดีมาตลอด เพราะอย่างนั้นฉันถึงเชื่อมั่นในตัวคุณ ฉันแค่ไม่คิดว่าคุณจะดูดีได้ขนาดนี้ต่อให้เพิ่งจะคลอดลูกก็ตาม” ถังเซี่ยวอยู่ในชุดกระโปรงสีดำ มีแว่นตากรอบทองวางอยู่บนดั้งจมูก เธอดูขี้อายเล็กน้อยตามแบบฉบับนักเขียนที่มักจะอยู่แต่ในบ้านและแถมไม่ออกมาข้างนอกหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครเท่าไร


 


 


“คุณอยากจะเจอลูกฉันไหม” ถังหนิงถามหลังจากชงกาแฟเสร็จ


 


 


“ได้เหรอคะ” ถังเซี่ยวดูประหลาดใจและยินดีในเวลาเดียวกัน ตามองมายังถังหนิงด้วยท่าทีน่ารักใสซื่อ


 


 


ถังหนิงพยักหน้ารับ หลังจากนั้นก็อุ้มเด็กทั้งสองออกมาจากห้อง ทันทีที่ถังเซี่ยวตระหนักได้ว่ามีเด็กถึงสองคน เธอถึงกับอึ้ง “คุณ… คุณคลอดลูกฝาแฝดงั้นเหรอคะ พวกเขาหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลย!”


 


 


“ใช่ ฉันยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับสื่อ” ถังหนิงพยักหน้า “ฉันอยากให้เด็กสองคนนี้ได้มีวัยเด็กที่สงบสุข”


 


 


“พวกเขาน่ารักจังเลยค่ะ…”


 


 


ถังเซี่ยวอายุยี่สิบสามแต่เธอเขียนนิยายมานับล้านคำแล้ว นิยายเรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการหารือกันในตอนนี้ ที่จริงครอบครัวของถังเซี่ยวไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร และพ่อแม่เธอก็มักจะทะเลาะกันต่อหน้าเธออยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเธอจึงเส้นทางการเป็นนักเขียนเพื่อเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเอง ตอนที่เธอได้เรียนรู้เรื่องราวของถังหนัง ถังเซี่ยวกำลังอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุดของชีวิต แต่ขณะที่เธอมองดูถังหนิงค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาสู่จุดปัจจุบันอย่างทุกวันนี้ ตัวเธอเองได้ตั้งสติและฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเป็นนักเขียนที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในตอนนี้


 


 


จากนั้นหญิงสาวทั้งสองเริ่มพูดคุยกัน ถังเซี่ยวตระหนักได้ว่าถังหนิงไม่เปิดประเด็น เธอจึงรีบบอกถึงเจตนาดั้งเดิมสำหรับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ให้ถังหนิงฟัง ซึ่งทำให้ทั้งสองพบว่าทั้งคู่มีมุมมองแบบเดียวกันและต่างรู้สึกเสียดายที่พวกเธอไม่ได้เจอกันให้เร็วกว่านี้ ยิ่งพูดคุยกันมากเท่าไร ทั้งสองก็ยิ่งเข้ากันได้ดีมากขึ้นเท่านั้น


 


 


“ฉันมั่นใจว่าคุณจะต้องแสดงเป็นชิงหลานได้ดีมากแน่ๆ แต่คุณต้องเตรียมตัวเหนื่อยไว้ด้วยนะคะ ถ้าเราต้องการถ่ายทำนิยายเรื่องนี้ให้ออกมาดี คุณจะต้องเหนื่อยอีกเยอะเลย”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังหนิงก็ตอบรับด้วยรอบยิ้มอันอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วงค่ะ บทอันมีค่าของคุณได้ช่วยฉันเอาไว้ ฉันจะทุ่มสุดตัวแน่นอน”


 


 


“นั่นเพราะคุณเองก็ช่วยเหลือฉันไว้ในอดีตเช่นกันค่ะ” ถังเซี่ยวกล่าวขอบคุณถังหนิงด้วยความจริงใจ “คุณไม่รู้หรอกว่าคุณมีความหมายกับฉันมากแค่ไหน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด คุณเป็นคนเดียวที่แสดงให้ฉันเห็นว่าความพยายามจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าเสมอ ถ้าทุกคนบนโลกนี้เห็นคุณค่าของชีวิต ฉันเชื่อว่าจะมีอีกหลายคนที่จะได้รับแรงบันดาลใจจากมัน


 


 


“อีกอย่าง ฉันไม่คิดว่าคุณจำเป็นต้องใช้บทของฉันมาช่วยคุณหรอกค่ะ เพราะคุณเป็นตัวของตัวเองมาตลอด แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาลือกันเลยสักนิด”


 


 


จากนั้นถังหนิงและถังเซี่ยวพูดคุยกันต่ออีกหลายชั่วโมง จนท้ายที่สุดทั้งสองได้เห็นภาพอันชัดเจนว่าความคาดหวังของละครเรื่องนี้คืออะไร


 


 


สุดท้าย ถังเซี่ยวสังเกตว่าเวลาล่วงเลยไปมากแล้ว เธอจึงรีบลุกขึ้นเพื่อลากลับ เพราะหากเธอไม่ทำเช่นนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าพวกเธอจะคุยกันต่อไปอีกนานแค่ไหน


 


 


“อ้อ ว่าแต่เรื่องบทพระเอก คุณมีความต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”


 


 


“เดิมทีฉันค่อนข้างชอบเป่ยเฉินตงนะคะ แต่พวกคุณสองคนเคยร่วมงานกันมาหลายครั้งแล้วและภาพลักษณ์ของเขาไม่ค่อยเหมาะกับชุดย้อนยุคเท่าไหร่ ฉันเลยจะให้พวกคุณเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้แล้วกันค่ะ”


 


 


“คุณไม่มีใครอื่นในใจแล้วจริงๆ เหรอ” ถังหนิงถามขณะที่ถังเซี่ยวกำลังจะกลับ


 


 


“อืม… ที่จริงฉันมีคนหนึ่งในใจ แต่ฉันไม่คิดว่ามันเป็นไปได้” ถังเซี่ยวลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเธอโน้มตัวมากระซิบบอกชื่อคนคนนั้นที่ข้างหูของถังหนิง


 


 


เป็นไปตามคาด…


 


 


… ถังหนิงจ้องหน้าถังเซี่ยวตาไม่กะพริบ


 


 


“เขาเกิดมาพร้อมภาพลักษณ์ทรงพลังราวกับราชา ถึงแม้จะไม่ใช้ทักษะในการแสดง เขาก็ยังสามารถจูงใจทุกคนและแฟนๆ ของนิยายเรื่องนี้ได้!”


 


 


แต่การที่จะคัดตัวคนที่เธอคิดไว้ในใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้สำเร็จ


 


 


“มันเป็นไปไม่ได้จริงไหมคะ ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะดูไม่มีทีท่าว่าเขาจะมาแสดง ฉันก็เลยให้พวกคุณเลือกคนอื่นแทนดีกว่า ตราบใดที่พวกคุณคิดว่านักแสดงคนนั้นเหมาะสมกับคุณ ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้วละค่ะ”


 


 


ถังเซี่ยวเชื่อมั่นในตัวพวกเขามากเหลือเกิน


 


 


นักเขียนคนอื่นมักจะมีความกังวลกับหลายสิ่งอย่างเมื่อต้องถ่ายทำนิยายของตัวเองและมีข้อเสนอแนะมากมายต่อบรรดานักแสดง แต่ถังเซี่ยวเป็นคนที่งานด้วยได้ง่าย เธอเพียงแค่วางชื่อคนที่เป็นไปไม่ได้ไว้เบื้องหลัง สลัดมันทิ้งและเดินต่อไป


 


 


ไม่ใช่ว่าคนที่ถังเซี่ยวเสนอจะแสดงละครไมได้ เพียงแต่…


 


 



 


 


ในขณะที่กองถ่ายของ ‘ชายาหนิง’ กำลังยุ่งอยู่กับการถ่ายทำ ข่าวอันน่าตื่นเต้นได้ปรากฏขึ้นบนหน้าข่าวบันเทิงไปทั่วปักกิ่ง ถังหนิงได้ตกลงร่วมงานกับละครเรื่องใหม่ซึ่งได้รับการดัดแปลงมาจากนิยายที่กำลังเป็นที่นิยมที่ชื่อ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แต่งโดยถังเซี่ยว ทันทีที่ข่าวนี้ได้รับการเผยแพร่ สื่อต่างแห่กันมาที่ไห่รุ่ยเพื่อยืนยันข้อมูลดังกล่าว ท้ายที่สุดหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของไห่รุ่ยได้ออกมาบอกให้ทุกรอฟังการประกาศอย่างเป็นทางการและจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใดๆ ในเวลานี้


 


 


ข่าวนี้สร้างความวุ่นวายให้กับ ‘ชายาหนิง’ เพราะทีมงานหลายคนต่างเคยอ่านนิยายเรื่องนี้ ที่มีบางคนที่กำลังไล่อ่านผลงานล่าสุดของถังเซี่ยวอยู่ด้วย ดังนั้นจึงสามารถเห็นปฏิกิริยาของทีมงานได้อย่างง่ายดายว่านิยายเรื่องนี้โด่งดังมากแค่ไหน


 


 


สำหรับไป๋อวี๋ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ จึงไม่เคยเห็นนิยายเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามผู้ช่วยของเธอ “’ หวงเฟยยอดสตรี’ นั่นดีกว่า ‘ชายาหนิง’ หรือเปล่า”


 


 


ผู้ช่วยคนนั้นตัวแข็งทื่อ เธอไม่คิดว่าไป๋อวี๋จะถามคำถามเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงผงกหัวอย่างเหนียมๆ


 


 


“บอกความจริงฉันมา”


 


 


“มันสนุกมากเลยค่ะ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่ยากจะเอาชนะได้” ผู้ช่วยคนนั้นอธิบายอย่างซื่อตรง “อีกอย่าง ฉันได้ยินมาว่าถังเซี่ยวเป็นคนเขียนบทด้วยตัวเอง ฉันมั่นใจว่ามันจะต้องน่าตื่นตาตื่นใจมากแน่ๆ”


 


 


“เธอตั้งหน้าตั้งตารอดูหรือเปล่า”


 


 


ผู้ช่วยมองท่าทีของไป๋อวี๋และเลือกที่จะโกหกในท้ายที่สุด “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะคะ ถังเซี่ยวอาจจะอยากดัดแปลงนิยายของตัวเองแต่ก็ควรจะคิดด้วยว่าแฟนๆ จะยอมรับเรื่องนี้ได้หรือเปล่า นักอ่านทุกคนต่างมีความคิดหวังของตัวเองเกี่ยวกับบทนางเอกอยู่แล้ว ถ้าถังหนิงอยากจะเล่นละครเรื่องนี้ ก่อนอื่นเธอจะต้องผ่านบรรดาแฟนๆ ไปให้เสียก่อน ถังหนิงจะต้องเจอเรื่องลำบากอีกเยอะเลยละค่ะ…”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋อวี๋ก็รู้ดีว่าผู้ช่วยของเธอกำลังโกหก แต่เธอก็รู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายค่อนข้างมีน้ำหนัก เพราะถึงยังไงก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้บรรดาแฟนคลับพอใจ


 


 


แล้วก็เป็นไปตามคาด เพราะทันทีที่ข่าวกระจายไปถึงหูแฟนๆ ความเห็นมากมายได้ก่อตัวขึ้น…


 


 


[คุณพระ! ในที่สุด… นิยายเรื่องโปรดกับดาราที่ฉันชอบก็…]


 


 


[ให้ตายสิ สุดท้ายนิยายเรื่องนี้ก็ถูกเอาไปทำเป็นละครจนได้ โชคดีที่ได้ถังหนิงมาเป็นนางเอก อย่างน้อยก็ค่อยสบายใจได้หน่อย]


 


 


[ตื่นเต้นจังเลย! ถังหนิงกำลังจะเล่นเป็นชิงหลาน! โอ๊ย! สมบูรณ์แบบสุดๆ!]


 


 


[น่าดีใจจริงๆ ฉันรู้มาตลอดว่าถังเซี่ยวเป็นแฟนของถังหนิง]


 


 


แต่แน่นอนว่าแฟนคลับบางส่วนยังคงรู้สึกไม่เชื่อมั่น


 


 


[ถังหนิงเพิ่งจะคลอดลูกเมื่อไม่นานมานี้เองนี่ จะมาแสดงเป็นชิงหลานผู้ทรงเสน่ห์ของเราได้ยังไงกัน]


 


 


[ฉันกลัวว่าถังหนิงไม่น่าจะเข้ากับชุดแนวย้อนยุคหรอก จริงไหม]


 


 


[ฉันยอมรับในความสามารถด้านการแสดงของถังหนิงนะ แต่ฉันยอมรับหุ่นที่เหมือนหัวไชเท้าของคนที่เพิ่งคลอดลูกไม่ได้หรอก]


 


 


[ไม่มีใครสามารถมาเล่นเป็นชิงหลานในจินตนาการของฉันได้ทั้งนั้น ฉันขอร้องล่ะถังหนิง ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ มีนิยายตั้งหลายเรื่องที่พังไม่เป็นท่าเพราะถูกเอาไปดัดแปลงเป็นละคร นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องโปรดของฉัน ขอร้องล่ะอย่าทำมันพังไปด้วยเลย!]


 


 



 


 


ทุกคนต่างยอมรับในการแสดงของถังหนิง


 


 


แต่พวกเขาไม่เชื่อมั่นในรูปร่างและสภาพของเธอ! 

 

 


ตอนที่ 749 ดูว่าฉันจะทำลายยัยนั่นยังไง

 

ถังหนิงไม่รีบร้อนที่จะออกมาอธิบายเรื่องต่างๆ เพราะเธอคิดว่ายังไม่ถึงเวลา


 


 


แต่ละครจำเป็นต้องคัดเลือกตัวพระเอก ดังนั้นโม่ถิงจึงให้ตัวเลือกแก่ถังหนิงสองคนคือลู่อี่หลิงและหลงซิง


 


 


ลู่อี่หลิงมีภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสูงศักดิ์ เหมาะกับบทองค์จักรพรรดิในนิยาย แม้การแสดงจะดูแข็งๆ ไปบ้าง แต่หน้าตาของเขาถือเป็นจุดเด่น


 


 


อีกด้านหนึ่ง หลงซิงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้ดูโดดเด่นในชุดย้อนยุค แต่เขาดูสบายตาและไม่น่าเบื่อ ที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการแสดงของเขานั้นถือว่าหาตัวจับได้ยาก


 


 


ชายทั้งสองต่างมีจุดแข็ง จุดดี และจุดด้อยของตัวเอง


 


 


ขณะที่ถังหนิงมองดูข้อมูลของชายทั้งสองคน เธอยังคงนิ่งเงียบอยู่อีกพักหนึ่ง ทันทีที่โม่ถิงเห็นเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “คุณยังไม่พอใจกับทั้งสองคนนี้ใช่ไหม”


 


 


ถังหนิงมองโม่ถิงโดยไม่พูดอะไรราวกับกำลังจ้องลึกเขาไปในจิตใจของเขา


 


 


“ผมติดต่อให้ทั้งสองคนมาออดิชั่นแล้ว คุณควรจะไปดูสักหน่อย”


 


 


ถังหนิงพยักหน้า แต่เธอรู้สึกว่าพระเอกที่เธอคาดหวังจริงๆ นั้นไม่มีทางเป็นไปได้


 


 


….


 


 


ทันทีที่ไป๋อวี๋กลับมาประเทศจีน ไป๋หลินหลินก็พลันรู้สึกเธอมีคนให้พึ่งพาได้ ด้วยการลบภาพความทรงจำของการถูกลงโทษอันแสนเลวร้ายต่อหน้าถังหนิงออกไปจากหัว ในที่สุดตอนนี้ไป๋หลินหลินก็สามารถออกมาอวดศักดาได้อีกครั้ง


 


 


แน่นอนว่าเธอยังคงจำความแค้นที่เธอมีต่อเฉินซิงเยียนได้ดี ถึงเธอจะไม่อาจต่อกรกับถังหนิงที่แทบจะไม่เคยก้าวออกจากบ้านได้ แต่การที่เธอจะสามารถสั่งสอนบทเรียนให้กับเฉินซิงเยียนได้นั้นก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว


 


 


รวมถึงเรื่องที่ตอนนี้เธอกับเฉินซิงเยียนกำลังประชันฝีมือแย่งบทในเรื่อง ‘สุดยอดแฟนเก่า’ ทำให้โอกาสที่ทั้งสองจะพบกันยิ่งเพิ่มสูงขึ้นมาก


 


 


หลังอันจื่อเฮ่าถอนตัวจาก ‘ชายาหนิง’ เขาก็ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับเฉินซิงเยียน เขารู้สึกโล่งใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายเติบโตขึ้นและเข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม


 


 


วันนี้ ทั้งสองมาร่วมการทดสอบอ่านบท อันจื่อเฮ่าเดินไปห้องน้ำเป็นเพื่อนเฉินซิงเยียนและพาเธอมาถึงหน้าประตูห้องน้ำ


 


 


บังเอิญเป็นเวลาเดียวกับที่ไป๋หลินหลินกำลังเดินออกจากห้องน้ำห้องนั้นพอดี ทันทีที่ไป๋หลินหลินเห็นอันจื่อเฮ่า เธอก็ยิ้มเยาะและเดินตรงไปหาเขา “คุณอัน”


 


 


อันจื่อเฮ่ายืนหลังพิงผนัง ชำเลืองตามองไป๋หลินหลิน


 


 


“ฉันได้ยินมาว่าคุณเคยเป็นผู้จัดการตัวท็อปมาก่อน แต่จากที่เห็นความสามารถของคุณก็แค่ครึ่งๆ กลางๆ … แค่ดูแลเฉินซิงเยียนคนเดียวก็แทบเอาตัวไม่รอด นี่คุณทำผลงานอะไรอย่างอื่นได้อีกไหมคะเนี่ย”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่อยากตอบโต้ เขาจึงทำเป็นไม่สนใจราวกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตน


 


 


เมื่อเห็นเช่นนั้น ไป๋หลินหลินก็พูดอย่างถากถาง “สำหรับคนอย่างเฉินซิงเยียนเนี่ย ต่อให้คุณช่วยไปทั้งชีวิตก็ไม่มีทางเป็นซูเปอร์สตาร์ได้หรอก คุณควรจะยอมแพ้ซะนะ”


 


 


หลังได้ยินเช่นนั้น อันจื่อเฮ่าก็ชี้ไปที่หูของตัวเอง “ฉันไม่เข้าใจภาษาสัตว์หรอกนะ หรือบางทีหูฉันอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่”


 


 


ไป๋หลินหลินเยาะเย้ยและเดินจากไป ไม่นานหลังจากนั้นเฉินซิงเยียนก็เดินออกมาจากห้องน้ำและมองไปที่อันจื่อเฮ่า “เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงไป๋หลินหลิน ยัยนั่นมากวนนายงั้นเหรอ”


 


 


“ไปกันเถอะ การทดสอบจะเริ่มแล้ว” อันจื่อเฮ่าไม่คิดจะอธิบาย


 


 


“มันมาพูดใส่ร้ายนายงั้นเหรอ”


 


 


อันจื่อเฮ่ายังคงไม่พูดอะไร


 


 


ดังนั้นเฉินซิงเยียนจึงไม่ถามอะไรอีก แต่เธอให้คำมั่นกับตัวเองว่าเธอจะต้องเป็นศิลปินที่ดีที่สุดของอันจื่อเฮ่าให้ได้ เธอจะทำให้ทุกคนต้องอึ้งและทำให้เขาเชิดหน้าชูตาได้อย่างภาคภูมิ


 


 


การทดสอบอ่านบทกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เฉินซิงเยียนได้รับบททอมบอยที่เธออยากได้


 


 


แต่ไป๋หลินหลินกลับแสดงความดูถูกในเรื่องนี้


 


 


“คนชั้นต่ำก็เลือกได้แค่บทชั้นต่ำเท่านั้นแหละ”


 


 


หลังการทดสอบ ไป๋หลินหลินเตรียมตัวกลับ แต่ทีมงานกลับนำกองของขวัญจำนวนมากมาให้เธอ ไป๋อวี๋เป็นคนเตรียมของขวัญพวกนี้ให้แก่ไป๋หลินหลิน


 


 


อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าไป๋อวี๋มีแนวทางในการเข้าหาคนในแบบของเธอ เพื่อทำให้เรื่องต่างๆ ภายในกองของไป๋หลินหลินง่ายขึ้น ไป๋อวี๋จึงต้องทุ่มเทอะไรนิดหน่อย


 


 


“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอซูเปอร์สตาร์ระดับโลกที่นี่ ฉันเจอไป๋อวี๋!”


 


 


“ไป๋อวี๋คะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ ฉันชอบคุณมากเลย”


 


 


“ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับพี่ไป๋อวี๋ พวกเราต้องเข้ากับไป๋หลินหลินได้ดีอย่างแน่นอน”


 


 


ไป๋อวี๋ยืนอยู่ที่ทางเข้าพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นและอีคิวที่สมบูรณ์แบบ นี่ทำให้อันจื่อเฮ่ารู้สึกกระอักกระอ่วนขณะที่เขานั่งอยู่ในห้องประชุม บรรดาตัวแทนจากเอเจนซี่ต่างๆ ล้วนแล้วแต่นั่งอยู่ภายในห้องและแสดงจุดยืนของตัวเองออกมา อย่างน้อยพวกเขาต่างต้องการให้ศิลปินของตนได้รับการปฏิบัติที่ดีภายในกองถ่าย ดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องลงทุนบางอย่างเพื่อให้เป็นเช่นนั้น


 


 


กระนั้นอันจื่อเฮ่ากลับไม่ทำอะไรเลย…


 


 


“ไปกันเถอะ” อันจื่อเฮ่าพูดกับเฉินซิงเยียน


 


 


“เดี๋ยวก่อน… มีของขวัญให้พวกคุณด้วยนะ” ไป๋อวี๋เห็นทั้งสองพยายามจะปลีกตัวกลับ เธอจึงรีบยื่นของขวัญสองชิ้นให้กับเฉินซิงเยียน


 


 


เฉินซิงเยียนชำเลืองตามองไปยังอันจื่อเฮ่า


 


 


ท้ายที่สุดเสี่ยวชีก็กลายเป็นคนรับของขวัญเหล่านั้นไว้แทนคนทั้งสอง


 


 


“ขอบคุณค่ะพี่ไป๋อวี๋”


 


 


ในที่ทำงาน มักจะมีคนที่ชอบใช้อีคิวของตัวเองในการสั่งสอนคนอื่นให้รู้จักการวางตัว แต่แน่นอนว่าไป๋อวี๋ทำแบบนี้ก็เพื่อทำให้เฉินซิงเยียนและอันจื่อเฮ่ารู้สึกลำบากใจ


 


 


ไป๋หลินหลินเผยแววตาหยิ่งผยองออกมาราวกับเธอกำลังบอกพวกเขาให้ดูวิธีอันไร้จุดด่างพร้อยของพี่สาวของเธอ


 


 


“ไปกันเถอะ” อันจื่อเฮ่าพูดซ้ำก่อนจะเอาแขนโอบไหล่เฉินซิงเยียนและเดินออกจากห้องไป


 


 


“เป็นน้องสาวของโม่ถิงแท้ๆ แต่กลับไปไม่รู้จักการวางตัว น่าอายจริงๆ!”


 


 


“ฉันได้ยินมาว่าอันจื่อเฮ่าเคยเป็นผู้จัดการตัวท็อปด้วยนะ ทำไมเขาถึงได้เลือกมาดูแลคนอย่างเฉินซิงเยียนกัน”


 


 


“พรสวรรค์ของเขาอาจจะหมดไปแล้วก็ได้!”


 


 


คำพูดที่ไม่รักษาน้ำใจเหล่านั้นดังไล่ทั้งทั้งคู่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้เดินไปไกล เฉินซิงเยียนอยากจะหันหลังกลับไปโต้ตอบแต่อันจื่อเฮ่าห้ามเธอเอาไว้ “อย่าไปสนใจ…”


 


 


“แต่คนพวกนั้น…”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายอธิบาย เขาลากเธอออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ไป๋อวี๋ทำดีกับคนอื่นอย่างนั้นเหรอ แล้วยังไง


 


 


“พี่มาได้จังหวะแถมช่วยกู้หน้าฉันไว้ได้พอดีเลย!” ไป๋หลินหลินรู้สึกราวกับเธอได้ระบายความโกรธของตัวเอง “นับจากนี้ไปมาดูกันว่าฉันจะทำลายยัยนั่นยังไง!”


 


 


โชคไม่ดี…


 


 


… อันจื่อเฮ่านั้นเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดการตัวท็อปเพราะมีที่มา ไป๋อวี๋ทำดีกับคนอื่นแต่เธอเล็งเป้าหมายไม่ตรงจุด


 


 


ของขวัญธรรมดาจะมีค่าแค่ไหนกันเชียว


 


 


เช้าวันต่อมา อันจื่อเฮ่าเชิญคนสำคัญจำนวนหนึ่งมาเลี้ยงอาหารที่โรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น เขาพูดกับผู้กำกับ “ผู้กำกับหวังครับ ผมบังเอิญมีเพื่อนเป็นคณบดีของโรงเรียนสอนภาษาต่างประเทศ ผมคิดว่าเขาน่าจะให้ความช่วยเหลือลูกสาวของคุณได้นะครับ”


 


 


ทันทีที่ผู้กำกับได้ยินเช่นนั้น เขาก็ทุบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น “ผมกำลังปวดหัวเรื่องนี้อยู่พอดีเลย จือเฮ่า คุณนี่เข้าใจผมจริงๆ นะ”


 


 


โรงเรียนที่อันจื่อเฮ่าพูกถึงเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและยากที่จะเข้า ผู้กำกับหวังได้ใช้เส้นสายที่เขามีแล้วแต่ก็ยังไม่อาจช่วยให้ลูกสาวของเขาเข้าเรียนที่นี่ได้ กระนั้นอันจื่อเฮ่ากลับมีความสามารถที่ไม่คาดคิด


 


 


“ไม่ต้องห่วงนะ ผมรู้ว่าทำไมคุณถึงทำแบบนี้ ผมจะดูแลซิงเยียนอย่างดี คุณวางใจได้เลย”


 


 


เมื่อเป็นเรื่องของการวางรากฐานแล้วละก็ ไม่จำเป็นต้องสูญเงินไปกับคนที่ไม่มีประโยชน์ เพียงแค่เล็งเป้าไปยังคนที่อยู่ระดับสูงสุดแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว


 


 


ทุกคนจะปฏิบัติกับเฉินซิงเยียนอย่างไรก็ไม่สำคัญ เพราะท้ายที่สุดการตัดสินใจของผู้กำกับถือเป็นที่สุด 

 

 


ตอนที่ 750 ไม่ต้องใจร้อน เดี๋ยวเธอได้...

 

บรรยากาศในระหว่างมื้อกลางวันครั้งนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่นแบบสุดๆ แต่นอนว่าเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำการถ่ายทำ มันจะต้องมีอะไรดีๆ ให้ดูอย่างแน่นอน


 


 


คนพวกนั้นคิดว่าอันจื่อเฮ่าไม่รู้จักวิธีเข้าหาคนจริงๆ อย่างนั้นหรือ


 


 


น่าหัวเราะสิ้นดี! คนอย่างเขาจำเป็นไปต้องเอาอกเอาใจคนทั่วไปหรืออย่างไร ทำแบบนั้นก็มีแต่จะลดตัวเองลงไปสิไม่ว่า!


 


 


ที่สำคัญกว่านั้น ผู้กำกับคนนี้รู้จักการชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียเป็นอย่างดี ไม่ว่าไป๋อวี๋จะมีความสามารถมากแค่ไหน อิทธิพลที่เธอมีก็จำกัดอยู่แค่ไหนประเทศอเมริกาเท่านั้น ในขณะที่ถ้าใครสักคนอยากจะมีชีวิตรอดได้ในปักกิ่ง คนคนนั้นไม่ควรไปหาเรื่องบิ๊กบอสแห่งวงการบันเทิงอย่างโม่ถิง รวมถึงน้องสาวของเขาด้วย


 


 


แต่สิ่งที่ประชาชนกำลังพูดถึงในตอนนี้ล่ะ


 


 


พวกเขากำลังพูดว่าการแสดงของไป๋อวี๋นั้นหาตัวจับได้ยาก อีคิวก็สูง เรียกได้ว่าการจะหานักแสดงหญิงแบบเธอนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง ที่จริงแม้แต่ถังหนิงเองก็ไม่อาจเทียบเคียงความสมบูรณ์แบบของไป๋อวี๋ได้ เพราะในหลายๆ ครั้ง อย่างน้อยถังหนิงจะแสดงอารมณ์ออกมานิดหน่อย ในขณะที่ไป๋อวี๋ไม่เคยมีจุดด่างพร้อยในเรื่องนี้เลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไป๋อวี๋จึงเป็นผู้หญิงที่เลิศเลอเพอร์เฟกต์ในสายตาทุกคน


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าเดิมเกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำ ‘ชายาหนิง’ เพราะเธอได้รับบาดเจ็บหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอยังคงยืนกรานที่จะถ่ายทำต่อและไม่ยอมให้การถ่ายทำเกิดความล่าช้าเพียงเพราะเธอเป็นซูเปอร์สตาร์


 


 


ขณะที่บรรดาแฟนคลับของไป๋อวี๋ดูคลิปเบื้องหลังการถ่ายทำละคร หัวใจของพวกเขาปวดร้าวจนต้องออกมาเรียกร้องให้ผู้กำกับดูแลนักแสดงสาวในฝันของคนทั้งชาติคนนี้!


 


 


เธอเป็นนักแสดงสาวในฝันของคนทั้งชาติ!


 


 


ทันใดนั้นแสงไฟต่างก็สาดแสงส่องสว่างไปยังไป๋อวี๋มากกว่าถังหนิง ‘อ้วนฉุ’ เพียงเพราะไป๋อวี๋ดูใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบมากกว่า


 


 



 


 


“ไร้สาระที่สุด! ไป๋อวี๋นี่น่าขยะแขยงเป็นบ้า” หลงเจี่ยหัวร้อนฉ่าขณะอ่านความเห็นต่างๆ บนโลกออนไลน์ แม้เธอจะกำลังตั้งท้อง ก็ยังคงรีบรุดมายังไฮแอทรีเจนซี่


 


 


“เธอกำลังท้องอยู่นะ ทำไมไม่ใจเย็นๆ หน่อยล่ะ” ถังหนิงกล่าวด้วยเสียงเข้ม “เธออยากให้ลูกเกิดมาขี้โมโหเหมือนเธอหรือไง”


 


 


“เรื่องนั้นถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ด้วยเหรอคะ” หลงเจี่ยอึ้ง


 


 


“มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งหลายปีแล้ว เธอยังไม่ชินกับความเห็นแบบนี้อีกเหรอ” ถังหนิงช่วยประคองหลงเจี่ยลงนั่ง


 


 


“แต่มันไม่เคยน่ารังเกียจขนาดนี้นี่… คุณควรจะอ่านดูบ้างนะคะ ทุกคนต่างพากันพูดว่าผู้หญิงคนนั้นแสดงได้เก่งกว่าแล้วก็มีอีคิวสูงกว่าคุณ แถมตอนนี้ยังพูดถึงขนาดว่าหุ่นของผู้หญิงคนนั้นดีกว่าคุณด้วย คนพวกนั้นตาบอดไปหมดแล้วหรือไงกัน”


 


 


“ผู้คนต้องไม่แน่ใจอยู่แล้วเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นรูปร่างตอนนี้ของฉัน เธอช่วยใจเย็นลงหน่อยได้ไหม”


 


 


อีคิวของถังหนิงนั้นถูกใช้เพื่อจัดการศัตรูมาตลอด เธอไม่เคยเอาอกเอาใจใคร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่คนจะพูดว่าไป๋อวี๋เข้ากับคนอื่นได้ดีกว่าเธอ


 


 


ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่คนเขาพูดกัน เธอก็ยังมีโอกาสที่มากมายที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าคนพวกนั้นคิดผิด แล้วเธอจะรีบไปทำไมกันล่ะ


 


 


“แต่ฉันโกรธนี่คะ”


 


 


ถังหนิงเป็นคนนิ่งมาตลอดทำให้เธอเป็นคนคาดเดาได้อย่าง แต่การโต้กลับของเธอนั้นงดงามเสมอ


 


 


“ไม่ต้องใจร้อน เดี๋ยวมีอะไรดีๆ ให้ดูแน่นอน ใจเย็นๆ ไว้” ถังหนิงปลอบอีกฝ่าย


 


 



 


 


ไป๋อวี๋กำลังรุ่งโรจน์ในปักกิ่ง ส่งผลให้ไป๋หลินหลินผู้เป็นน้องสาวได้รับความสนใจอย่างมาก แต่ในขณะนั้น ไป๋หลินหลินกำลังถ่ายทำอยู่ที่กองถ่าย แม้เธอจะไม่อาจโอ้อวดตัวเองต่อสาธารณะได้ แต่เธอก็ยังทำตัวหัวสูงได้ในกองถ่าย


 


 


เฉินซิงเยียนเป็นคนชอบอ่านบท ดังนั้นต่อให้บรรดาทีมงานไม่สนใจและไม่พูดคุยกับเธอ นั่นก็ยังเป็นเรื่องดี เพราะเธอสามารถใช้เวลาในการอ่านบทให้สมบูรณ์ได้มากกว่าเดิม


 


 


นับตั้งแต่ตอนที่อันจื่อเฮ่าถูกว่าร้ายเพราะเธอ เฉินซิงเยียนให้คำมั่นกับตัวเองว่าเธอจะสร้างชื่อให้ตัวเองเพื่อที่อันจื่อเฮ่าจะได้รับความเคารพไปด้วย


 


 


ไป๋หลินหลินมองดูเฉินซิงเยียนที่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ไป๋หลินหลินมีโอกาสมากมายที่จะเดินไปหาเรื่องอีกฝ่ายแต่เพราะเธอรู้ว่าเฉินซิงเยียนเป็นสตันต์และมีความสามารถด้านการต่อสู้ หญิงสาวจึงไม่กล้าทำอะไรเหมือนอย่างแต่ก่อน


 


 


เธอทำได้เพียงใช้อุบายเล็กๆ หน่อยๆ เพื่อสร้างความยุ่งยากให้เฉินซิงเยียนเท่านั้น


 


 


“ไป๋หลินหลิน ถึงตาเธอแล้ว เตรียมตัวเข้าฉากได้”


 


 


การถ่ายทำของผู้กำกับในวันนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก จนถึงจุดที่มีหลายคนโดนเขาตะโกนใส่ แม้แต่นักแสดงนำทั้งสองคนก็ยังโดนผู้กำกับต่อว่า นับประสาอะไรกับนักแสดงไร้ประสบการณ์อย่างไป๋หลินหลิน


 


 


“เธอแสดงเป็นหรือเปล่าเนี่ย


 


 


“เป็นหุ่นกระบอกหรือไง หน้าน่ะไปฉีดโบทอกซ์มาเกิดขนาดงั้นเรอะ ทำไมหน้าถึงได้แข็งแบบนั้น!


 


 


“เก่งแต่เรื่องหาเรื่องคนอื่น ไม่สนใจจะพัฒนาการแสดงให้มันได้มาตรฐานหรือไง


 


 


“ฉันไม่อยากถ่ายเธอแล้ว ไป๋หลินหลิน ไปพักจูนสมองให้มันเข้าที่สักสองวันไป”


 


 


ใบหน้าไป๋หลินหลินแดงเถือกหลังจากถูกต่อว่าจนต้องอับอาย ในเวลานั้น บรรดาทีมงานพยายามจะเข้ามาพูดปลอบใจเธอ พวกเขาใช้คางชี้ไปที่เฉินซิงเยียนและกล่าว “รอดูเถอะ ยัยเด็กนั่นต้องเจอหนักกว่าแน่”


 


 


ไป๋หลินหลินสังเกตเห็นว่าเฉินซิงเยียนกำลังจะเริ่มถ่ายทำและรู้สึกสงบลงเล็กน้อย อย่างน้อยเธอก็เป็นนางรองและผู้กำกับต้องไว้หน้าเธอบ้าง เธออดใจรอดูเฉินซิงเยียนต้องอับอายคนทั้งกองถ่ายไม่ไหวแล้ว


 


 


“ทุกคนพร้อมนะ!”


 


 


เฉินซิงเยียนอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน และเพื่อให้สมบทบาท เธอต้องตัดผมจนสั้นและมีรอยสักอีกนิดหน่อย ดูจากภายนอกแล้วเธอดูมีบุคลิกที่มีเอกลักษณ์มากทีเดียว


 


 


ฉากน่าตื่นเต้นที่พวกเขากำลังถ่ายทำมีส่วนที่เฉินซิงเยียนจะต้องแข่งรถยนต์อยู่ด้วย


 


 


ผลงานของผู้กำกับหวังขึ้นชื่อเรื่องความไร้เหตุผล ดังนั้นในภาพยนตร์คอเมดี้เรื่องนี้ ตัวละครของเฉินซิงเยียนจึงเป็นทอมบอยที่ทำตัวเกินจริง ทั้งกินเหล้า สูบบุหรี่ แข่งรถและมีเรื่องกับคนไปทั่ว ทุกอย่างที่ผู้ชายชอบทำ เธอจะรู้วิธีทำเช่นกัน


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ผู้กำกับไม่ได้พอใจกับการแสดงของเฉินซิงเยียนเสียทีเดียว ที่จริงในระหว่างการถ่ายทำ ผู้กำกับถึงกับกระโดดออกจากที่นั่งพร้อมคิ้วขมวดย่น…


 


 


“ผู้กำกับกำลังจะระเบิดแล้ว!”


 


 


“ฮะๆๆ เฉินซิงเยียนกำลังจะโดนด่า”


 


 


แต่ผิดความคาดหมาย เพราะผู้กำกับพูดเพียงแค่ “ซิงเยียน จำตำแหน่งของเธอตรงซ้ายมือไว้ด้วย เธอโอเคแล้วล่ะ พยายามต่อไปนะ”


 


 


ทุกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออก


 


 


พวกเขาถูกตะโกนใส่ แต่ไม่เพียงเฉินซิงเยียนจะไม่โดนตะคอกเท่านั้น ผู้กำกับยังพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากด้วย


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกับผู้กำกับ”


 


 


“ทำไมเขาไม่ตะโกนใส่เฉินซิงเยียนล่ะ”


 


 


ไป๋หลินหลินโกรธจนอกแทบระเบิดเพราะทุกอย่างไม่ออกมาอย่างที่เธอคาดคิด


 


 


ไม่เพียงแต่ผู้กำกับจะพูดชมเชยเฉินซิงเยียนเท่านั้น เขายังพูดกับทุกคนหลังจากเฉินซิงเยียนถ่ายเสร็จด้วยว่า “ถ้าฉันด่าเธอวันนี้ นั่นจะเป็นเพราะเธอไม่ใส่ใจในสิ่งที่สมควรใส่ใจ รังแกกันไปแล้วมันจะมีอะไรดี ทีมงานคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน อย่าบกพร่องในหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเองเพราะผลประโยชน์เล็กน้อยแล้วมาเที่ยวดูถูกคนอื่น


 


 


“นับจากนี้พวกเธอควรดูตัวเองให้ดี ถ้าทำแบบนี้อีก ฉันจะไล่ออกทันที!”


 


 


ผู้กำกับหวังพูดจบปั๊บเขาก็ประกาศเลิกกอง


 


 


กระนั้นใบหน้าของทีมงานทุกคนกลับแดงเถือกด้วยความอับอาย


 


 


“ทำไมผู้กำกับหวังถึงได้ลำเอียงเข้าข้างเฉินซิงเยียนแบบนี้ล่ะ” ไป๋หลินหลินถามคนที่อยู่รอบตัวเธอด้วยความสับสน


 


 


“อาจเพราะเขาเห็นเฉินซิงเยียนถูกรังแกมากเกินไปก็ได้” ทีมงานคนหนึ่งยักไหล่


 


 


ไป๋หลินหลินไม่พอใจ แม้ทีมงานทุกคนจะต้อนรับเธอเป็นอย่างดี แต่ผู้กำกับกำลังไม่ชอบขี้หน้าเธอ…


 


 


เฉินซิงเยียนมีโชคจริงๆ


 


 


แต่มันเป็นแค่โชคธรรมดาอย่างนั้นหรือ


 


 


อาจเป็นเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาของไป๋หลินหลิน เธอไม่เคยเข้าใจเหตุผลที่แท้จริง เช่นเดียวกับพี่สาวของเธอที่รู้วิธีการเพียงแค่ผิวเผินและยังมีอีกหลายสิ่งที่เธอไม่อาจควบคุมได้ 

 

 


ตอนที่ 751 เยี่ยมไปเลย นี่แหละถังหนิง

 

สองสามวันต่อจากนั้น สิ่งที่ทุกคนชอบทำคือการเปรียบเทียบระหว่างไป๋อวี๋กับถังหนิง


 


 


ทุกคนต่างพากันหัวเราะเรื่องที่ถังหนิงไม่มีวี่แววจะมีอีคิวได้เท่านักแสดงหญิงอีกคน กระนั้นก็มีคนไม่มากที่จะเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกลลวงเหล่านี้ ระดับอีคิวที่สูงส่งของไป๋อวี๋เป็นเพียงอีกวิธีการหนึ่งที่เธอใช้ทำให้ตัวเองดูโดดเด่นขึ้นเท่านั้น


 


 


[ไป๋อวี๋นี่สมบูรณ์แบบจริงๆ แบบนี้แหละที่เราต้องการ ถังหนิงจะอยู่บ้านเลี้ยงลูกไปก็ได้นะ]


 


 


[ไม่จริงหรอก ไป๋อวี๋ถึงกับจงใจทำแท้งเพื่อการแสดง เธอเป็นแค่ผู้หญิงที่ถูกการแสดงครอบงำจิตใจเท่านั้นแหละ]


 


 


[ผู้หญิงคนสองนี้เหมือนกันมากจนเราต้องการแค่คนเดียวก็พอ ในเมื่อถังหนิงถอนตัวออกจากวงการไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะกลับมาอีก]


 


 


[ถังหนิงควรจะถอนตัวจาก ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แล้วให้คนอื่นเล่นแทนซะ]


 


 


เมื่อต้องเผชิญกับความเห็นมากมาย ดูเหมือนไป๋อวี๋จะอยู่ในด้านบวก ในเมื่อถังหนิงไม่ชอบออกมาอธิบายตัวเองต่อสาธารณะ ผู้คนก็เริ่มเห็นว่าถังหนิงต่างหากที่เป็นภาพจำลองของไป๋อวี๋


 


 


ด้วยภาพเบื้องหลังการถ่ายทำของ ‘ชายาหนิง’ ทำให้แฟนคลับทุ่มความสนใจมายังไป๋อวี๋และชื่นชอบวิธีที่เธอทำงานมากกว่า


 


 


ในโลกใบนี้ บรรดาแฟนคลับมักจะเลือกคนที่ดูดีและมีหุ่นที่สมบูรณ์แบบมากกว่า ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย นี่คือสัจธรรมของวงการนี้ หากมีใครเกิดอ้วนหรือไปทำศัลยกรรมมาแล้วดูไม่ดี อาชีพของคนคนนั้นก็มีแต่จะพังพินาศเท่านั้น


 


 


และดูเหมือนว่าในสายตาของทุกคน ถังหนิงจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น แต่กลับยังทำตัวดื้อด้านอยู่อีก


 


 


แม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ ถังหนิงก็ยังไม่เคยคิดจะออกมาอธิบายอะไร โชคดีที่ยังมีคนบางส่วนที่ยังให้การสนับสนุนและเชื่อมั่นในตัวเธอ


 


 


ดังนั้นเมื่อมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกระหว่างถังหนิงกับไป๋อวี๋ จึงมีคนมากมายต้องทะเลาะกับเพื่อนของตัวเองเพราะเรื่องนี้


 


 



 


 


“ท่านประธานครับ สื่อโฆษณาแบรนด์เครื่องสำอางที่คุณผู้หญิงถ่ายจะได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกในวันพรุ่งนี้ ทางเอเจนซี่โฆษณายืนยันมาแล้วครับ” ลู่เช่อยืนอยู่ภายในห้องทำงานประธานของไห่รุ่ยพลางถือกองเอกสารหนาที่กำลังรอรายงานให้กับโม่ถิงไว้ในมือ กระนั้นโฆษณาของถังหนิงถือเป็นข่าวใหญ่ เขาจึงให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องนี้


 


 


“เมื่อถึงเวลา ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ทั้งหมด รวมถึงตึกต่างๆ จะถ่ายทอดโฆษณาสินค้าสำหรับฤดูกาลใหม่ชุดนี้ ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องการเผยแพร่เลยครับ”


 


 


โม่ถิงกำลังยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่สูงจากพื้นจรดเพดาน หลังได้ยินสิ่งที่ลู่เช่อพูด เขาก็หันกลับมาด้วยสีหน้านิ่งและกล่าว “ข่าวเกี่ยวกับพระเอกของเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จะขึ้นหน้าหนึ่งในอีกสองสามหวันหลังจากนี้”


 


 


หลังจากที่ไป๋อวี๋รังแกถังหนิงมานาน ก็ถึงเวลาแล้วที่ไป๋อวี๋จะได้สัมผัสความรู้สึกของการถูกบดขยี้!


 


 


กล้าดียังไงมาแข่งเรื่องอีคิวกับถังหนิง


 


 


ใครสั่งใครสอนให้ทำแบบนี้


 


 



 


 


วันต่อมา ไป๋อวี๋มาร่วมรายการที่ชื่อ ‘สัมภาษณ์เซเลบ’ ในฐานะนักแสดงหญิงที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญมากที่สุด เธอจึงไม่ยอมพลาดโอกาสใดๆ ที่จะได้แสดงอีคิวของเธอออกมา โดยเฉพาะเมื่อบรรดานักข่าวเอ่ยถามถึงความรู้สึกของเธอที่ถูกเปรียบเทียบกับถังหนิง เธอก็แสดงออกอย่างถ่อมตนเป็นพิเศษ “เอาจริงๆ นะคะ ถ้าคิดถึงระยะเวลาตอนที่เราเปิดตัว ถังหนิงถือว่าเป็นรุ่นพี่ของฉัน ฉันคิดจริงๆ ว่าเธอทำได้ดีแล้วจริงๆ ค่ะ”


 


 


“ไม่หรอกค่ะ คุณทำได้ดีกว่ามากเลย”


 


 


“จริงเหรอคะ ขอบคุณมากค่ะ!” ไป๋อวี๋ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณนักข่าวคนนั้น


 


 


ด้วยการบอกว่าถังหนิงเปิดตัวก่อนเธอ ไป๋อวี๋เพียงแค่ต้องการใบ้ว่าถังหนิงแก่แล้ว!


 


 


“อีกอย่างตอนนี้คุณก็สวยกว่าถังหนิง…”


 


 


“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ นะคะ… แต่ถังหนิงมีลูกน้อยที่น่ารัก” ไป๋อวี๋พูดแทนถังหนิงเพื่อแสดงให้เห็นถึงจิตใจอันดีงามและอีคิวอันสูงส่งของตัวเอง


 


 


แต่ยิ่งเธอทำแบบนี้มากเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งเกลียดถังหนิงมากขึ้นเท่านั้น


 


 


เพราะทุกคนรู้สึกว่าการมีตัวตนของไป๋อวี๋เป็นเรื่องน่ายินดีกว่าการมีตัวตนของถังหนิง


 


 


กระนั้น ในเวลาสิบโมงของเช้าวันเดียวกัน ที่หน้าจอขนาดใหญ่ที่สุดของปักกิ่ง ณ จัตุรัสกลางเมือง โฆษณาตัวใหม่ของแบรนด์เครื่องสำอางหรูชื่อดังกำลังฉายอยู่บนนั้น


 


 


ทันทีที่โฆษณาตัวใหม่ถูกปล่อยออกมา โลกออนไลน์ก็เต็มไปด้วยประเด็นถกเถียง


 


 


เพราะพรีเซนเตอร์ในคลิปยาวสามสิบวินาทีนั้นคือถังหนิง!


 


 


ใช่แล้ว ถังหนิงที่ทุกคนกำลังไม่ชอบในตอนนี้!


 


 


ด้วยเสื้อสปอร์ตบาร์และกางเกงรัดรูปสีขาว ประกอบกับนวมชกมวยและผมสีทองเป็นลอนอ่อนๆ ยาวประบ่า ทำให้ความสง่างามและทรงพลังแผ่ซ่านออกมาจากตัวถังหนิง แค่มองเพียงครั้งเดียวทุกคนก็ถูกดึงดูด


 


 


เธอเท่เกินไปแล้ว! เธอดูสะอาดบริสุทธิ์และมีอิสระพร้อมด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์


 


 


อย่างที่ได้ระบุไว้ก่อหนน้านี้ ถังหนิงเปลี่ยนชุดทั้งหมดเจ็ดชุดตลอดการถ่ายโฆษณาดังกล่าว ที่ตราตรึงใจที่สุดคือฉากสุดท้ายซึ่งถังหนิงอยู่ในชุดราตรียาวรายล้อมไปด้วยกุหลาบมากมาย ซึ่งเป็นฉากที่น่าทึ่งมาก ชุดราตรีเข้ารูปช่วยส่งเสริมให้เธอดูเย้ายวน เผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบไร้ไขมันส่วนเกิน ที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องอิจฉา…


 


 


[พระเจ้า… ถังหนิงทำฉันตาร้อนไปหมดแล้ว!]


 


 


[ฉันย้ายไปอยู่ข้างไป๋อวี๋แล้วนะ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับมาหาถังหนิง]


 


 


[พวกคนที่พูดว่าถังหนิงอ้วนแถมน่ารังเกียจตอนนี้คงได้หน้าแตกแน่]


 


 


[ฉันอยากพูดแค่ว่า ‘ใครบางคน’ ที่ไปลอยตัวอยู่ที่ฮอลลีวูดมานานแต่ไม่กลับไม่เคยได้เป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ชื่อดังอะไรเลย! ถังหนิงของฉันทำให้พวกเราต้องประหลาดใจด้วยระเบิดเวลาแบบนี้]


 


 


ขณะที่ไป๋อวี๋ยังคงหลงระเริงกับ ‘อีคิวอันสูงส่ง’ ของตัวเอง ปักกิ่งได้เต็มไปด้วยคำว่า ‘ถังหนิง’ และ’ โฆษณาแบรนด์ดัง’ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


 


แฟนคลับบางคนถึงกับออกความเห็นว่าพวกเขาสามารถดูโฆษณาดังกล่าวได้เป็นสิบๆ ครั้งโดยไม่รู้สึกเบื่อเพราะถังหนิงหุ่นดีและดูงดงาม


 


 


ในขณะเดียวกัน รูปลักษณ์ของถังหนิงก็ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับบรรดานักวิจารณ์แฟชั่นซึ่งเคยเห็นผลงานของเธอบนรันเวย์มาแล้ว ในใจของคนเหล่านั้นไมมีนางแบบคนไหนทำได้อย่างที่ถังหนิงเคยทำ เธอถังหนิงจะหันหลังให้กับวงการแฟชั่นไปแล้ว ทุกคนก็ยังอดสรรเสริญเธอไม่ได้


 


 


เยี่ยมไปเลย นี่แหละถังหนิง


 


 


การปรากฏตัวของเธอทุกครั้งจะพลิกสถานการณ์อยู่เสมอและตบหน้าทุกคนได้อย่างน่าสะใจ ดังนั้นข่าวของไป๋อวี๋จึงถูกบดบังอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไม่เหลือร่องรอยอะไรเลย


 


 


โฆษณาของถังหนิงได้รับการเผยแพร่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ยอดวิวกับทะลุเกินสิบล้านวิวไปแล้ว!


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน แบรนด์เครื่องสำอางหรูดังกล่าวได้ประกาศออกมาทางเว็บไซต์ทางการว่าถังหนิงซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ของเขาได้รับเชิญมาร่วมงานแถลงข่าวในคืนพรุ่งนี้


 


 


พูดอีกแง่คือหลังจากการซ่อนตัวมาแสนนาน ในที่สุดถังหนิงก็ได้กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง!


 


 


[ว้าว ฉันต้องพูดว่าถังหนิงนี่มีความอดทนเป็นที่หนึ่งเลยนะ หลายคนพูดใส่ร้ายว่าเธออ้วน แต่เธอก็ยังไม่ใส่ใจอยู่ได้ตั้งนานก่อนที่จะออกมาตีแสกหน้าคนพวกนั้น ถ้าฉันเป็นถังหนิง ฉันคงระเบิดความโกรธออกมาเป็นพันๆ ครั้งไปแล้ว]


 


 


[นั่นเพราะถังหนิงรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนพูดไง ในเมื่อเธอมีความมั่นใจแล้วทำไมเธอจะทนไม่ได้ล่ะ]


 


 


ขณะที่ไป๋อวี๋กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำ เธอยังคงไม่รู้ตัวถังการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงที่กำลังเกิดขึ้น จนกระทั่งเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นดูในคืนนั้นและตระหนักได้ในที่สุดว่าโลกภายนอกมีแต่ข่าวของถังหนิงอยู่เต็มไปหมด


 


 


“นี่มันอะไรกัน” ไป๋อวี๋ถามผู้ช่วยของเธอ


 


 


ผู้ช่วยคนนั้นมองหน้าไป๋อวี๋และส่ายศีรษะ “ฉันไม่แน่ใจว่าถังหนิงกำลังเล่นเกมอะไรอยู่กันแน่เหมือนกันค่ะ”


 


 


ไป๋อวี๋ไม่พูดอะไรออกมาอีก เธอจำเป็นจะต้องรักษาภาพลักษณ์เป็นมิตรต่อหน้าทุกคน แต่ลึกลงไปในใจแล้วเธอกำลังปะทุไปด้วยความโกรธ!


 


 


เธอไม่รู้เลยว่าการใช้ไพ่อีคิวสูงของตัวเองจะเป็นการขุดหลุมพรางมากมายให้เธอลงไปเสียเอง… 

 

 


ตอนที่ 752 ฉันจะเปลี่ยนตัวเธอออก!

 

ทันใดนั้น ถังหนิงได้กลับคืนสู่วงการและเป็นอีกครั้งที่ไป๋อวี๋ถูกข่มไว้ใต้เธอ


 


 


นี่เป็นเพราะทุกคนเริ่มตระหนักได้ว่าพวกเขาคิดผิดที่เปรียบเทียบถังหนิงกับไป๋อวี๋และคิดว่าทั้งสองนั้นมีส่วนคล้ายคลึงกัน ถังหนิงนั้นมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์แล้วไป๋อวี๋จะเอาอะไรมาเทียบได้กันล่ะ


 


 


ถูกต้องแล้ว ถังหนิงนั้นมีเอกลักษณ์และไม่ขึ้นกับใคร เธอไม่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจใครก็ตามที่เธอพบ


 


 


ถังหนิงเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด เธอทำดีกับคนที่ดีกับเธอ


 


 


เมื่อเทียบกันแล้ว แม้ไป๋อวี๋จะเป็นคนแบบที่ยิ้มให้กับทุกคนและดูเข้าถึงได้ง่าย แต่เธอก็ยังดูค่อนข้างน่ากลัว เพราะเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเธอเคยแทงข้างหลังหรือสร้างเรื่องใส่ร้ายคนอื่นมากี่ครั้งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คนที่พยายามเอาใจคนอื่นมักจะเป็นคนเจ้าวางแผน คนพวกนั้นไม่เคยจริงใจกับใครเพราะในหัวใจของคนเหล่านั้น ทุกคนก็เหมือนกันหมด


 


 


ถังหนิงโต้กลับได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลกระทบถึงไป๋หลินหลินและเฉินซิงเยียนที่กำลังอยู่ในกองถ่ายอีกด้วย


 


 


ก่อนหน้านี้ ตอนที่ไป๋อวี๋ได้รับการสรรเสริญจากทุกคน ไป๋หลินหลินผู้เป็นน้องสาวก็ถูกมองด้วยความรักใคร่เช่นกัน ที่จริงแล้วคนที่ชอบไป๋หลินหลินก็ได้ร่วมดูถูกเฉินซิงเยียนด้วย แต่ตอนนี้ถังหนิงพลันปรากฏตัวขึ้นและลมได้เปลี่ยนทิศแล้ว ผู้คนในกองถ่ายที่เดิมสร้างความยุ่งยากมากมายให้เฉินซิงเยียนในที่สุดก็รู้จักควบคุมตัวเองและไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรกับเฉินซิงเยียนอีก ที่จริงบางคนถึงกับนำสิ่งของมาให้เฉินซิงเยียนเพื่อขออยู่ข้างเธอด้วย…


 


 


กระนั้นข้อดีของเฉินซิงเยียนในระหว่างช่วงเวลาเช่นนี้คือเธอเรียนรู้ที่จะเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้นคนพวกนั้นจึงไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทน


 


 


เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ไป๋หลินหลินเดินไปหาเฉินซิงเยียนและพูดกับอีกฝ่าย “เหอะ… แกคิดว่าตัวเองอยู่ๆ ก็สูงส่งขึ้นได้เพราะถังหนิงหรือไง ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถังหนิงก็คือถังหนิง แกไม่ใช่ถังหนิงสักหน่อย”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น เฉินซิงเยียนก็ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวกับไป๋หลินหลิน “เธออาศัยความสำเร็จของพี่สาวตัวเองมาทำตัวหยิ่งยโสไม่ใช่หรือไง แล้วตอนนี้เป็นอะไรไปล่ะ เธอเป็นปลิงเกาะคนอื่นได้อยู่คนเดียวหรือไง”


 


 


“แก…”


 


 


“อีกอย่าง ในเมื่อพี่หนิงกลับเข้าวงการมาแล้ว นั่นหมายความว่าพี่สาวเธอไม่มีโอกาสเอาชนะพี่หนิงได้อีกแล้ว ถ้าเธอมีเวลามาทำตัวอิจฉาตาร้อนต่อหน้าฉันแบบนี้ เธอควรจะเอาเวลาไปพัฒนาการแสดงของตัวเองซะบ้าง!”


 


 


“เฉินซิงเยียน ฉันพนันได้เลยว่าแกต้องไปให้ท่าผู้กำกับมาแล้วใช่ไหม” ไป๋หลินหลินพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “ไม่อย่างนั้นผู้กำกับจะทำดีกับแกขนาดนี้ไปทำไมในเมื่อเขายังตะคอกนางเอกเลย”


 


 


เฉินซิงเยียนได้ยินเช่นนั้น ก็คว้าแขนไป๋หลินหลินแล้วลากอีกฝ่ายไปหาผู้กำกับ “แน่จริงเธอพูดคำพูดเมื่อกี้หน้าผู้กำกับอีกทีสิ”


 


 


“นี่มันอะไรกัน” ผู้กำกับหวังถามขึ้นมาในทันที


 


 


“ฉัน…” ไป๋หลินหลินไม่เคยคิดว่าเฉินซิงเยียนจะลากเธอมาเผชิญหน้ากับผู้กำกับตรงๆ แบบนี้


 


 


“ไม่กล้าหรือไงล่ะ”


 


 


“แกกำลังแกล้งฉันเพราะแกมีถังหนิงคอยหนุนหลัง!” ไป๋หลินหลินทำตัวราวกับตัวเองเป็นเหยื่อ


 


 


“ก็ได้ ถ้าเธอไม่พูด งั้นฉันจะพูดแทนเอง” เฉินซิงเยียนไม่คิดจะแสดงความปรานี เธอรู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะทำดีกลับพี่น้องไป๋แค่ไหน คนพวกนี้ก็ไม่มีว่ารู้สึกยินดีกับการกระทำเหล่านั้น ดังนั้นแทนที่จะทำอะไรแบบนั้น เธอน่าจะเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจดีกว่า “ไป๋หลินหลินถามฉันเมื่อกี้ว่าผู้กำกับทำดีกลับฉันเพราะฉันให้ท่าเขาหรือเปล่า”


 


 


ใบหน้าผู้กำกับหวังเปลี่ยนเป็นแดงก่ำหลังได้ยิน ด้วยแรงเหวี่ยงแขนเพียงครั้งเดียว เขาตบเข้าที่ใบหน้าของไป๋หลินหลิน “บ้าเอ้ย! แน่จริงพูดอีกทีสิ พูดต่อหน้าฉันเลย”


 


 


หลังถูกตบ ไป๋หลินหลินช็อกจนพูดอะไรไม่ออก…


 


 


“ฉะ… ฉัน…”


 


 


“ถ้าเธอข้องใจว่าทำไมฉันถึงได้ทำดีกับซิงเยียนแล้วละก็ เธอควรจะดูการที่ซิงเยียนทำการบ้านในบทของตัวเองเสียบ้าง ซิงเยียนอยู่ที่นี่ในฐานะนักแสดงที่มีความจริงจัง แล้วเธอละอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร เธอแค่มาสุมหัวแล้วทำตัวจองหองไปวันๆ แล้วกล้าดียังไงมาเรียกร้องว่าฉันลำเอียงเข้าข้างซิงเยียน เธอคิดว่าครูบาอาจารย์เขาจะมานั่งใส่ใจนักเรียนที่ห่วยที่สุดของตัวเองหรือไง ไป๋หลินหลิน ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันจะฟ้องเธอข้อหาหมิ่นประมาท ฉันมีครอบครัวมีภรรยา ฉันจะไม่ยอมให้เธอมาพูดจาใส่ร้ายฉันแบบนี้!”


 


 


เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับหวังกำลังโกรธจริงๆ


 


 


“อีกอย่างนะไป๋หลินหลิน ฉันไม่คิดว่าเธอเหมาะกับหนังของฉัน งั้นเธอควรจะออกไปจากที่นี่ซะ…”


 


 


“ผู้กำกับคะ… แบบ… แบบนี้คุณหมายความว่ายังไง”


 


 


“ฉันหมายความว่า ไสหัวไปซะ! หนังเรื่องนี้ไม่ต้องการเธออีกต่อไปแล้ว ฉันจะเปลี่ยนตัวเธอออก!” ผู้กำกับส่งเสียงขับไล่ด้วยความทรงอำนาจ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะส่งเสียง แม้แต่ทีมงานที่มักจะอยู่ข้างไป๋หลินหลินเสมอในเวลานี้ยังทำได้เพียงเอาตัวเองให้รอด


 


 


“ผู้กำกับคะ ฉันแค่พูดเล่นเท่านั้น อย่าไล่ฉันออกเลยนะคะ ได้โปรดเถอะค่ะ!” ไป๋หลินหลินไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยมีใครทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองของเธอแบบนี้เช่นกัน แต่…


 


 


…วงการนี้นั้นเลือดเย็น


 


 


“แม้แต่พี่สาวของเธอยังถูกเขี่ยทิ้งเพียงชั่วพริบตา แล้วเธอคิดว่าตัวเองจะรอดอย่างนั้นเหรอ” พูดจบ ผู้กำกับหวังก็หันหลังเดินจากไป


 


 


ทุกคนได้เห็นเหตุการณ์ที่ไป๋หลินหลินถูกไล่ออก ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มประเมินความสามารถของเฉินซิงเยียนใหม่


 


 


ไป๋หลินหลินวิ่งขอความช่วยเหลือไปทั่วแต่ไม่มีใครกล้าต่อกรกับผู้กำกับหวัง ยกเว้นแต่คนคนนั้นจะรนหาที่ตาย…


 


 


แม้เฉินซิงเยียนจะรู้สึกเวทนาไป๋หลินหลิน เธอเลือกที่จะคว้าบทของตัวเองและกลับไปยังที่นั่ง ไป๋หลินหลินเกลียดเฉินซิงเยียนมาก ดังนั้นเธอจึงกระโจนเข้าไปหวังจะทำร้ายอีกฝ่ายแต่…


 


 


… เฉินซิงเยียนไม่ได้มีแค่ทักษะด้านการต่อสู้ เธอยังมีอันจื่อเฮ่าเป็นโล่อีกด้วย


 


 


ดังนั้นทันทีที่ไป๋หลินหลินกระโจนเข้าใส่ อันจื่อเฮ่าจึงสกัดเธอลงไปกองกันพื้น


 


 


“เฉินซิงเยียน ฉันเกลียดแก… ฉันจะทำให้แกต้องชดใช้ในสิ่งที่แกทำในวันนี้เป็นพันๆ เท่า”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่สนใจอีกฝ่ายก่อนจะหันไปชมเชยเฉินซิงเยียน “ทำได้ดีมาก!”


 


 


เฉินซิงเยียนยิ้มด้วยความมั่นใจก่อนจะก้มหน้าลงศึกษาบทที่อยู่ในมือต่อ ในความเป็นจริง เธอรู้ดีกว่าเธอกำลังเกาะความสำเร็จของถังหนิงในเหตุการณ์นี้ หากถังหนิงไม่ได้กลับคืนสู่วงการ ก็คงเป็นเรื่องยากที่เธอจะจัดการกับไป๋หลินหลินเหมือนอย่างที่เธอทำในวันนี้…


 


 


เมื่อเห็น่วาเหตุการณ์ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว ไป๋หลินหลินจึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาและโทรหาไป๋อวี๋ “พี่… พี่ต้องทวงความยุติธรรมให้ฉันนะ”


 


 


แต่ไป๋อวี๋ไม่อยู่ในโหมดที่จะมาจัดการปัญหาต่างๆ ของไป๋หลินหลิน


 


 


หลังจากไป๋อวี๋กลับมาถึงโรงแรมก่อนหน้านี้ เธอดูโฆษณาของถังหนิงและดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่านับสิบๆ ครั้ง


 


 


เธอไม่เคยคาดคิดว่าถังหนิงจะเจ้าวางแผนถึงขนาดนี้


 


 


ก่อนอื่นถังหนิงปล่อยให้ไป๋อวี๋เที่ยวโอ้อวดต่อหน้าทุกคนและปล่อยให้เธอเพิ่มพูนความยกย่องจากคนทั้งประเทศ หลังจากนั้นเธอฉวยโอกาสในชั่วขณะเดียวในการสร้างความประหลาดใจแก่ทุกคน แผนการของเธอแยบยลยิ่งกว่าและสมเป็นภรรยาของโม่ถิงจริงๆ


 


 


แต่กระนั้นก็ยังมีโอกาสอีกมาที่ทั้งสองจะได้ประชันกันในอนาคต ผู้ชนะคนสุดท้ายยังไม่ถูกตัดสิน


 


 


อาจเป็นเพราะในสายตาของไป๋อวี๋ เธอไม่คิดว่าตัวเองเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายๆ ของถังหนิง


 


 


แต่ในความเป็นจริง ต่อให้ไป๋อวี๋ไม่ปรากฏตัวขึ้น ถังหนิงก็ยังทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่เป็นเพราะมีไป๋อวี๋อยู่ด้วยทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาสร้างผลกระทบมากกว่าเดิม


 


 


ขณะเดียวกัน ภายในห้องเสื้อผ้าห้องหนึ่ง ณ ไฮแอทรีเจนซี่ ถังหนิงหยิบชุดเดรสตัวหนึ่งที่เธอไม่ได้ใส่มานานขึ้นมาสวม มันให้ความรู้สึกราวกับเป็นชุดที่มาจากอีกช่วงชีวิตหนึ่ง…


 


 


ในขณะนั้นเอง โม่ถิงโอบเรียวแขนทั้งสองข้างของเขารอบตัวเธอจากด้านหลัง “คุณคิดจะใส่ชุดนี้ไปงานวันพรุ่งนี้งั้นเหรอ” 

 

 


ตอนที่ 753 ไป๋อวี๋เชยมาก!

 

“ฉันไม่ใช่เด็กนะคะ คุณจำเป็นต้องมาเป็นห่วงเรื่องนี้ด้วยเหรอ” ถังหนิงตบเบาๆ ที่หลังมือของโม่ถิงและยิ้ม “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ทุกอย่างจะต้องออกมาสมบูรณ์แบบ”


 


 


“หลังจากถูกบดบังมานาน… ถึงเวลาที่ถังหนิงของผมจะเฉิดฉายแล้วนะครับ” โม่ถิงพูดราวกับตัวเองเป็นแฟนคลับคนหนึ่งของถังหนิง “ถึงงานวันพรุ่งนี้จะไม่ได้สำคัญอะไร แต่ก็จะเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าสาธารณะของคุณหลังจากคลอดลูก แถมยังเป็นโอกาสเหมาะที่จะพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างด้วย…”


 


 


เป็นโอกาสเหมาะที่จะพิสูจน์ว่าไป๋อวี๋โง่เง่า


 


 


“ฉันเข้าใจค่ะ” ถังหนิงพยักหน้า


 


 


“อีกอย่าง คุณจะต้องไปวัดตัวในอีกสองวันข้างหน้า ตอนนี้ในหัวผมมีแต่ภาพว่าคุณในชุดย้อนยุคออกจะมาเป็นแบบไหน” โม่ถิงกล่าวพลางมองเงาสะท้อนของถังหนิงในกระจก “คุณจะต้องดูสมบูรณ์แบบแน่นอนครับ”


 


 


ในความเป็นจริง ถังหนิงเองก็กำลังจินตนาการว่าโม่ถิงจะดูดีแค่ไหนเมื่ออยู่ในชุดองค์จักรพรรดิ ทุกคนจะต้องทึ่งอย่างแน่นอน


 


 


โม่ถิงมองตาของถังหนิงผ่านเงาสะท้อนในกระจก หัวใจของทั้งสองเชื่อมโยงกัน ดังนั้นทั้งคู่จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่โม่ถิงไม่ปล่อยให้อีกรู้ว่าเขารู้ เขาเพียงแค่จูบลงบนหลังคอหญิงสาวและก้าวถอยออกมา เขากลัวว่าหากเขายังยืนอยู่ตรงนั้นต่อ เขาและถังหนิงจะตกอยู่ในความปรารถนาและฉากรักจะเริ่มขึ้น


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน หลังไป๋อวี๋ก็ได้ดูโฆษณาของถังหนิง เธอนอนไม่หลับทั้งคือน จึงลุกจากเตียงมาโทรหาเพื่อนในวงการหลายคนของเธอ


 


 


“ถ้าได้จู่โจมแล้วละก็ ถังหนิงจะไม่มีวันแสดงความปรานีต่อศัตรูเลย…”


 


 


“ไป๋อวี๋ เธอไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับถังหนิงได้ยังไง ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ นะ แถมยังส่งศัตรูสองคนเข้าคุกมาแล้วด้วย”


 


 


“ถังหนิงมีโม่ถิงคอยหนุนหลัง เธอจะแข่งกับผู้หญิงคนนั้นไปทำไมกัน”


 


 


ไป๋อวี๋ต้องการได้ยินมุมมองที่แตกต่างออกไป แต่ทุกคนกลับหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับถังหนิง ทันทีที่เธอพูดถึงชื่อถังหนิง อีกคนกลับมีแต่จะจบบทสนทนาทันที


 


 


“ไป๋อวี๋ เธอควรจะทุ่มสุดตัวกับบทในเรื่อง ‘ชายาหนิง’ แล้วเลิกแข่งกับถังหนิงได้แล้ว ถังหนิงดูอ่อนแอแค่ภายนอกเท่านั้นนะ”


 


 


ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่พูดแบบนี้ก่อนที่พาดหัวข่าวจะออกมาว่าเธอถูกถังหนิงบดขยี้และเขี่ยจนตกกระป๋องล่ะ


 


 


พอถังหนิงกลับคืนวงการแล้วถึงค่อยมาพูดเกลี้ยกล่อมเธอแบบนี้


 


 


แต่ไป๋อวี๋มองว่ามันเป็นเพียงการปะทะกันครั้งแรกระหว่างเธอกับถังหนิงเท่านั้น เธอไม่อาจปล่อยให้ตัวเองถูกปั่นหัวได้ เพราะถึงอย่างไรเธอก็อยู่ในฮอลลีวูดมานานหลายปี จะมีคนที่เธอที่ไม่อาจต่อกรด้วยอยู่จริงหรือ


 


 


คิดได้ดังนี้ ไป๋อวี๋ก็กลับไปยังห้องนอนของเธอ เมื่อเห็นสามีของตัวเองกำลังนั่งพิงหัวเตียงรอเธออยู่ ไป๋อวี๋จึงถอนหายใจออกมา อย่างน้อยก็ยังมีคนให้พึ่งพาได้ นั่นคือสามีที่อยู่ในโอวาทของเธอ…


 


 



 


 


นี่เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าสาธารณะของถังหนิงนับตั้งแต่คลอดลูก ดังนั้นความสามารถในการดึงดูดความสนใจของสื่อของถังหนิงจึงไม่อาจดูถูกได้ เพราะไป๋อวี๋ทำให้สื่อคิดว่าเธอโดดเด่นกว่าถังหนิงในหลายแง่มุม รวมถึงเรื่องรูปร่างและอีคิว และดูเหมือนถังหนิงจะไม่อาจโต้แย้งอะไรได้แม้แต่คำเดียว กระนั้นถังหนิงกลับพลันปรากฏตัวในฐานะพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ชื่อดัง ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมากลายเป็นการตบหน้าตัวเองของไป๋อวี๋


 


 


แต่แม้ถังหนิงจะแสดงความสามารถและรูปร่างของเธอออกมาได้อย่างง่ายดายผ่านคลิปโฆษณายาวสามสิบวินาทีนั้น แล้วเรื่องอีคิวล่ะ


 


 


ระหว่างช่วงเวลาที่ถังหนิงถูกไป๋อวี๋บดบัง สื่อไม่มีทางรู้ได้เลยว่าถังหนิงรู้สึกอย่างไรเพราะพวกเขาไม่มีโอกาสได้เจอเธอ ดังนั้นตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสนั้นแล้ว พวกเขาจะต้องถามความรู้สึกและความคิดของถังหนิงอย่างแน่นอน


 


 


ว่าแต่ความคิดอะไรกันล่ะ


 


 


ถังหนิงไม่เคยต้องคิดอะไร เธอเพียงแค่ลงมือทำเลยเท่านั้น


 


 


เวลาหนึ่งทุ่มตรง


 


 


ผู้มีชื่อเสียงในวงการแฟชั่นมากมายมาร่วมงานแถลงข่าวสำหรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ของแบรนด์เครื่องสำอางหรูชื่อดัง แต่ด้วยสถานะปัจจุบันของถังหนิงทำให้เธอถูกจัดให้เข้าร่วมงานเป็นคนสุดท้าย


 


 


สื่อต่างๆ ยืนรออยู่ที่สองข้างของพรมแดงที่คลาคล่ำไปด้วยดารา เป็นเวลานานมากแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้เห็นถังหนิง ดังนั้นทุกคนจึงสงสัยมากว่าเธอจะมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบเหมือนกับที่ปรากฏในโฆษณาหรือไม่


 


 


ช่วงเวลาบนพรมแดงยาวนานหนึ่งชั่วโมง แม้สื่อจะรู้ว่าถังหนิงจะมาถึงงานเป็นคนสุดท้าย แต่ความคาดหวังของทุกคนก็มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างพากันมองไปที่หน้าทางเข้าด้วยความกระวนกระวายเป็นระยะ


 


 


“คืนนี้ร้านขายยาจะต้องคนเยอะแน่ๆ ผมเห็นว่าทุกคนชะเง้อกันจนคอเคล็ดไปหมดแล้ว! ฮ่าๆๆ ผมบอกได้เลยว่าทุกคนกำลังตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของถังหนิงในคืนนี้” พิธีกรของงานกล่าวหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม ใครกันที่บอกว่าถังหนิงล้าสมัย พิธีกรคิดเช่นนั้น ดูความระดับความคาดหวังของทุกคนก็เห็นได้ชัดว่าถังหนิงยังคงเป็นถังหนิงอยู่วันยังค่ำ


 


 


“เอาละครับ เวลาบนพรมแดงของเราเหลืออีกไม่มากแล้ว ผมมั่นใจว่าทุกคนคงใกล้หมดความอดทนเต็มที ดังนั้นต่อจากนี้ ได้โปรดให้การต้อนรับถังหนิงของเราด้วยครับ!”


 


 


ทันทีที่พิธีกรเอ่ยถึงถังหนิง…


 


 


…ทั้งสองฟากฝั่งพรมแดงก็ต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้น…


 


 


เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงกดชัตเตอร์กล้องดังระงมไปทั่ว…


 


 


ชั่ววินาทีต่อมา ถังหนิงก็ปรากฏตัวบนพรมแดงในชุดราตรียาวสง่าสีฟ้าครามราวสายน้ำไหล การแต่งหน้าอ่อนๆ พร้อมกับทรงผมลอนยาวประบ่าทำให้เธอดูนุ่มนวลและอ่อนโยนมาก ที่สำคัญที่สุด แววตาของเธอดูมีสดใสและมีชีวิตชีวา ก่อนหน้านี้ตอนที่ไป๋อวี๋เดินผ่านหน้ากล้องด้วยตัวเธอเอง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนเทียบผู้หญิงทั้งสอง แต่บัดนี้ เพียงแค่มองถังหนิงครั้งเดียว ทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่า ไป๋อวี๋เชยมาก!


 


 


“พระเจ้า ถังหนิงมาแล้ว!”


 


 


“ถังหนิง มองทางนี้หน่อยครับ…”


 


 


“ถังหนิง”


 


 


สื่อต่างพากันเบียดเข้าไปบนพรมแดงราวกับเสียสติ จนทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยต้องเข้ามาผลักพวกเขากลับไปเข้าที่


 


 


ขณะเดียวกัน ถังหนิงยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลาขณะเดินขึ้นไปหาพิธีกร หลังจากโค้งคำนับทุกคน เธอหันกลับไปมองพิธีกรคนนั้น เธอรู้ดีว่าพิธีกรเองก็มีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ


 


 


“ถังหนิงครับ หลังจากการเฝ้ารอการปรากฏตัวของคุณมาแสนนาน ในที่สุดคุณก็มาอยู่ที่นี่แล้ว!”


 


 


“ทุกคนเหนื่อยกันมากนะคะ” ถังหนิงตอบได้อย่างเหมาะสมพลางถือไมโครโฟนไว้ในมือ


 


 


“คุณเองก็ทำงานหนักมากเช่นกันนะครับ โฆษณาของคุณได้ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ แม้แต่ลูกสาวของผมยังดูซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบรอบอยู่ที่บ้านเลยครับ ผมประหลาดใจจริง อีกอย่างผมคิดว่าคุณรักษารูปร่างได้ดูดีมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก ความลับของคุณคืออะไรงั้นเหรอครับ” พิธีกรเอ่ยถามอย่างสู่รู้


 


 


“อันที่จริงทั้งหมดมาจากการควบคุมอาหารแบบสมเหตุสมผลค่ะ” ถังหนิงตอบด้วยคำตอบเรียบง่าย


 


 


“ถังหนิง คุณช่วยตอบคำถามของเราอีกสักสองสามข้อได้ไหมครับ” บรรดานักข่าวจากสองข้างของพรมแดงเริ่มรู้สึกร้อนรน ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นเธอแล้ว และเธอไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง แต่…


 


 


… พวกเขาจะกลับบ้านมือเปล่าไม่ได้


 


 


“ขอโทษด้วยนะครับ งานกำลังจะเริ่มแล้วและถังหนิงของเราจำเป็นต้องเข้าไปด้านใน” พิธีกรรีบช่วยพูดตัดบท


 


 


แต่ขณะนั้นเอง ถังหนิงยกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือของเธอแล้วกล่าวกับบรรดานักข่าว “ฉันรู้ว่าพวกคุณต้องการสัมภาษณ์นะคะ หลังจากงานจบแล้วฉันยังพอมีเวลานิดหน่อย แต่ตอนนี้งานกำลังจะเริ่มแล้วจริงๆ ฉันขอโทษนะคะทุกคน”


 


 


“พวกเรารอได้คะ!”


 


 


ถังหนิงยิ้มก่อนเข้าไปในงานภายใต้การคุ้มครองของทีมรักษาความปลอดภัย


 


 


หากไป๋อวี๋อยู่ในจุดเดียวกับถังหนิง เธอคงปรากฏตัวต่อหน้าสื่อด้วยสีหน้าใสซื่อราวกับเธอถูกบังคับให้สัมภาษณ์ทั้งที่ไม่เต็มใจ ทำให้บรรดานักข่าวต้องรู้สึกเห็นใจเธอ


 


 


กระนั้นก็ตาม บรรดาแฟนคลับของไป๋อวี๋ออกมาอ้างว่าถังหนิงกำลังแสดงละคร


 


 


[ยัยนี่เคยทำตัวดีอย่างมาปรากฏตัวต่อหน้าสื่อด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ ไม่ใช่ว่ามันกำลังพยายามแข่งกับไป๋อวี๋ของเราเรื่องอีคิวหรอกนะ]


 


 


[ปลอมมาก ปลอมสุดๆ! มาดูสิว่าจะแสดงละครไปได้อีกนานแค่ไหน เห็นกันอยู่แล้วว่ายัยนั่นควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีแล้วยังจะมาเสแสร้งแสดงละครอีก หน้าไม่อายที่สุด!]


 


 


[ฉันอดใจรอดูว่ามันจะพูดกับสื่อว่ายังไงหลังจากโดนสัมภาษณ์ไม่ไหวแล้ว…]

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม