อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 746-752

 ตอนที่ 746 ตัดขาดความสัมพันธ์(1)

โดย

Ink Stone_Romance

ไป๋หลางตกใจเพราะเขาจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว


เย่เซียวถามเสียงขรึม “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”


 “อยู่…โรงพยาบาล”


 “ทำอะไรที่โรงพยาบาล?!”


 “คุณหมอนัดเธอไว้ว่าผ่าตัดทำแท้งวันนี้”


 “เธอกล้าเหรอ!” เย่เซียวตะคอกเสียงดัง อารมณ์เดือดพล่านนั่นอย่าว่าแต่คนรับใช้ที่คอยปรนนิบัติเขาอยู่ข้างๆ จะตกใจเลยแม้แต่คุณแม่เย่ยังสะดุ้งเฮือก มองเขาอย่างกังวล โบกมือให้คนรับใช้อื่นๆ ถอยไปจากห้องชั่วคราว


 “เธอกล้าเอาลูกฉันออกดูสิ!เธอกล้าเหรอ!” เย่เซียวกัดฟันพูดทุกคำและเพราะอารมณ์ที่รุนแรงเกินไปทำให้ร่างกายสั่นเทา


วางสาย เขาตะคอกเสียงต่ำ“หลี่สือ!”


 “นายท่าน!” หลี่สือรีบเข้ามา


 “ฝากนายดูแลคุณหญิงชั่วคราว อย่าให้ท่านเป็นอะไรไปเด็ดขาด!”


 “แล้วท่าน…”


“ฉันต้องไปประเทศ S ก่อน”


 “ตอนนี้?” หลี่สืออึ้ง นี่งานแต่งงานใกล้จะเริ่มแล้วไม่ใช่หรือ?


 “ใช่ ตอนนี้!”


เย่เซียวไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าโทรศัพท์เดินออกไปในท่าทางเร่งรีบจนเกิดเสียงลมตามทาง


ท่าทางนั่นย่อมเป็นท่าทีที่หากเจอใครขวางหน้าจะฆ่าให้หมดอย่างไม่ละเว้น


ไม่มีใครกล้าขวางเขาแต่มีคนไปรายงานคุณไฟก่อนแล้ว


รอเขามาถึงชั้นล่างไฟเรนเซ่ได้พาชายชุดดำนับสิบกว่าคนมารอเขาที่ห้องโถงอยู่ก่อนหน้าแล้ว “เย่เซียว การพนันของเรา แกคิดว่าเล่นตลกเหรอ!แกคิดจะอยู่ก็อยู่ คิดจะไปก็ไป?!”


เย่เซียวดวงตาแดงก่ำและไม่มีท่าทีจะหยุดฝีเท้า


 “นายน้อย!”


เฉิงหมิงก้าวไปขวางเขาไว้หนึ่งก้าว


เขาหายใจหนักอึ้ง ยกปืนจ่อหัวเฉิงหมิง แรงโทสะและแรงอาฆาตในดวงตายังทำให้เฉิงหมิงสะดุ้ง


ไฟเรนเซ่ตบล้อเก้าอี้เข็น “แกกล้าดียังไง แม้แต่ลุงหมิงแกยังกล้าขู่!”


 “คุณพ่อ ตอนนี้ผมพูดแค่ประโยคเดียวถ้าวันนี้ใครกล้าขวางผม ปากกระบอกปืนนี้ก็จะจ่อหัวคนนั้น!ผมไม่ว่าอะไรถ้าจะตายไปพร้อมกับท่าน!”


 “เย่เซียว!” ไฟเรนเซ่คำราม “แกรู้มั้ยว่าแกกำลังพูดอยู่กับใคร?!”


เย่เซียวตาแดงก่ำเพราะเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย “ให้พวกเขาไสหัวไป!”


ทีนี้มีคนวิ่งออกหน้ามากระซิบบอกเฉิงหมิงไม่กี่ประโยคอย่างร้อนรน เฉิงหมิงตกใจก่อนถึงโน้มตัวไปกระซิบบอกไฟเรนเซ่“คุณไฟ ให้นายน้อยไปเถอะครับ ตอนนี้คุณไป๋กำลังทำแท้งที่ประเทศ T…”


ไฟเรนเซ่ทำหน้านิ่งอึ้งชั่ววูบ แต่ไม่นานก็สงบอารมณ์ได้พลางส่งสัญญาณให้คนกลุ่มนั้นให้คนรอบข้างสลายตัวไป


เย่เซียวไม่ชักช้าแม้แต่ก้าวเดียว ก้าวขายาวขึ้นรถที่รออยู่ตรงนั้นนานแล้ว


 “เย่เซียว!” น่าหลันเรียกเขาจากข้างหลังแต่เขากลับไม่เคยหันกลับมา รถถูกสตาร์ทเกิดเสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นก่อนจะพุ่งตัวออกไปราวกับลูกกระสุน


 “เย่เซียว คุณอย่าไปนะ!” น่าหลันยกชายกระโปรงวิ่งตามไป เธอในตอนนี้ไม่คิดจะสนใจสายตาของผู้คนในงานอีกแล้ว แค่เหยียบรองเท้าส้นสูงตามไปร้องไห้ปานใจจะขาด “เย่เซียว หยุดนะ…คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้…”


แต่รถคันนั้นยิ่งขับยิ่งไกล ยิ่งขับยิ่งไกล…ไกลเสียจนหายไปจากการมองเห็นในไม่นาน…


ผู้ชายบนรถนั่นไม่เคยชะงักเพื่อเธอแม้เพียงครู่เดียว


เธอวิ่งจนเมื่อยขา


กำรองเท้าส้นสูงล้มพับกับพื้นอย่างสิ้นหวัง ผมทรงเจ้าสาวที่ถูกเกล้าขึ้นสยายหลุดออกมาอย่างน่าอนาถ


เดิมทีเธอเป็นเจ้าสาวที่สร้างความตะลึงแก่ผู้คนในวันนี้ แต่ ณ เวลานี้เธอกลับกลายเป็นตัวตลกที่น่าขันที่สุด…


………………


บนรถ


เย่เซียวกำโทรศัพท์กดโทรไปยังเบอร์นั้นแต่ไม่ว่าจะโทรอย่างไรก็โทรไม่ติด


เขาโกรธจนแทบจะโยนโทรศัพท์ทิ้งนอกหน้าต่าง


ให้ตายสิ!


ผู้หญิงคนนั้นทางที่ดีจะไม่กล้าทำอย่างนั้น!ไม่อย่างนั้นเขาไม่กล้าคาดคิดจริงๆ ว่าตัวเองจะทำเรื่องอะไรที่อยู่เหนือการควบคุมบ้าง!


 “นายปล่อยวางหน่อย อย่างน้อยเด็กนั่นก็เป็นลูกของพวกนาย ฉันว่าเธอแค่พูดด้วยความโกรธไปแค่นั้น” ถังซ่งปลอบเขา


เย่เซียวสูดหายใจลึกด้วยสีหน้าเยือกเย็น อารมณ์โกรธ? จากนิสัยของเธอแล้วเขาไม่กล้าฟันธงจริงๆ


สุดท้ายได้แค่สั่งหยูอัน “ขับเร็วหน่อย”


………………


รอไป๋หลางเดินทางมาถึงโรงพยาบาลนั้นเห็นเพียงเธอที่นอนบนเตียงและใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด


เจ้าตัวเหมือนคนที่ทำจากกระดาษและถูกลอกกระดูกเส้นเอ็นไปทั้งหมด เรียกให้คนมองอดสงสารไม่ได้


 “คุณรอผมมาเซ็นไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาคนเดียวล่ะ?” ไป๋หลางพยายามระงับอารมณ์ตัวเองไว้ วางผลไม้ที่เอาติดมือมาไว้ข้างๆ


ไป๋ซู่เย่ถึงค่อยๆ เปิดเปลือกตามองไป๋หลางแวบหนึ่ง อยากจะยันตัวให้ลุกขึ้น ไป๋หลางเอาหมอนสอดไว้หลังเธอให้เธอนั่งหลังตรง มองเขา “นายมาได้ยังไง?”


 “ก็เป็นห่วงคุณไง เดิมทีอยากให้คุณคิดดีๆ ก่อน ไม่คิดว่า…”


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ปริปากเอ่ยเสียง มือเย็นเฉียบใต้ผ้าห่มวางบนหน้าท้องน้อยตัวเองเบาๆ


ตรงนั้น จนตอนนี้ยังเจ็บอยู่…


 “ในเมื่อตัดสินใจแบบนี้แล้วคุณก็อย่าคิดมากเลย” ไป๋หลางพูดปลอบ แสร้งพูดอย่างสบายๆ “ยังไงอนาคตก็มีโอกาสอีก ใช่มั้ยล่ะ?”


ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบแค่เบนสายตาไปนอกหน้าต่าง ยังมีโอกาสอีกไหม? เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีโอกาสท้องอีกหรือไม่ แต่ว่า…


เธอคิดว่า…


กับเย่เซียว…คงไม่มีโอกาสอีกแล้วสินะ…


นับจากวันนี้ไปเขาเป็นผู้ชายของคนอื่นไปแล้ว…


 “ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว คุณยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันสินะ? ผมจะไปซื้อกลับมาให้คุณหน่อย” ไป๋หลางรู้สึกบรรยากาศรอบข้างอึดอัด รอเธอพยักหน้าถึงเดินไปจากห้องพักผู้ป่วย


ไม่รู้ว่าควรปลอบโยนอย่างไรดีจริงๆ


มีบางเรื่องที่ไม่หายเพียงเพราะคำพูดปลอบโยน


……………………


เย่เซียวนั่งเครื่องบินมาถึงประเทศ S เขาเดินทางอย่างไม่หยุดพักมาถึงโรงพยาบาลก็เป็นเวลาบ่ายสามกว่า


ไป๋ซู่เย่ในชุดคนไข้กำลังเดินออกจากห้องตรวจของโรงพยาบาลพอดี เจ้าตัวยังมึนอยู่บ้าง


เธอเงยหน้าเห็นเย่เซียวยืนห่างตัวเองไปเพียงไม่กี่เมตรและสีหน้าเย็นชา ดวงตาที่คละเคล้าด้วยหลากหลายอารมณ์มองเธอมาแต่ไกล สายตานั่นคล้ายจะมองเธอให้ทะลุปรุโปร่ง


แต่เขากลับไม่เคยขยับเข้ามาใกล้


เป็นภาพลวงตา…


เขาเพิ่งแต่งงานวันนี้นะ จะปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?


เธอยิ้มอย่างขมขื่นที รู้สึกตัวเองช่างน่าขำ


เรื่องมาถึงจุดนี้แล้วเหตุใดถึงยังมีภาพลวงตาว่าเขาจะปรากฏตัวได้? ลูกไม่มีแล้ว…เขาจะมาหรือไม่มา ล้วนสายไปแล้ว…


ชายหนุ่มที่ยืนไม่ห่างเริ่มก้าวขามาทีละก้าวๆ พร้อมด้วยความเย็นชา ก้าวขายาวมาทางเธอ เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นส่งเสียงดังแสนอึดอัดใจก้องทางเดินยาวที่เงียบสงบ


เสียงนั่นราวกับเคาะลงหัวใจเธอ


อึดอัดจนใจเจ็บ…


เธอยืนตะลึงอยู่กับที่


กระทั่งชายหนุ่มยืนห่างตัวเองเพียงคืบ ได้รับความกดดันที่ไม่สามารถปะทะซึ่งๆ หน้าได้นั้นเธอถึงได้สติ


ไม่ใช่ภาพลวงตา…


เขายืนอยู่ตรงหน้าตัวเองจริงๆ!


 “ลูกล่ะ?” เย่เซียวถามเสียงเรียบ ประโยคสั้นๆ ที่เขาแทบจะพูดเล็ดลอดไรฟันออกมาทีละตัว แข็งกระด้างเหมือนหิน


ไป๋ซู่เย่ใช้ดวงตาว่างเปล่ามองชายหนุ่มตรงหน้า “คุณมาเพื่อให้แน่ใจว่าฉันได้เอาลูกออกไปหรือเปล่างั้นเหรอ?”


……………………


ตอนที่ 747 ตัดขาดความสัมพันธ์(2)

โดย

Ink Stone_Romance

 “ไป๋ซู่เย่ ผมถามคุณอีกครั้งเดียว—ลูก ของ ผม ล่ะ?” เย่เซียวกดเสียงถามเน้นทุกคำ


มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนเริ่มสั่นเทาเผยให้เห็นเส้นเลือดปูดโปนตรงช่วงลำแขน


ทุกอย่างนี้กำลังแสดงให้เห็นถึงอารมณ์คุกรุ่นที่เขาระงับไว้ในขณะนี้


 “แท้งไปแล้ว…” ครู่ใหญ่ไป๋ซู่เย่ถึงพูดออกมาเสียงลอยๆ จรดสายตามองพื้นอย่างไร้แสงประกาย เสียงนั่นเหมือนหมอกควันที่พร้อมจะสลายทุกเมื่อที่ลมพัดมา


แต่กลับเป็นเหมือนมีดคมที่ปักแทงลงกลางอกของเย่เซียว เขาตัวสะท้านรุนแรง “คุณ…คุณพูดอีกที!”


 “แท้งไปแล้ว!ทำแท้งไปแล้ว!ลูกไม่อยู่แล้ว!คุณพอใจหรือยัง?” เธอเริ่มควบคุมไม่ได้ พูดถึงประโยคท้ายเสียงแหบแห้งและแทบจะเป็นการตวาด เสมือนได้ปลดปล่อยทุกหยาดอารมณ์ที่ระงับไว้อย่างยากลำบากให้วินาทีนี้ระเบิดออกมาทั้งหมดยามเผชิญหน้ากับเสียงคำถามของเย่เซียว “เย่เซียว คุณไปแต่งงานตามสบาย ฉันไม่มีทางรบกวนพวกคุณ…ไม่มีทางตลอดชีวิต…”


 ‘แท้งไปแล้ว’ คำนี้ทิ่มแทงหัวใจเธอไม่หยุดหย่อน ไม่ได้เบาไปกว่าความเศร้าเสียใจเมื่อสูญเสียลูกไปเท่าไร…


เย่เซียวตาแดงก่ำใช้มือใหญ่บีบคอระหงส์เธอไว้ทีเดียว จับตัวเธอโยนให้กระแทกกำแพงแรงๆ เส้นเลือดตรงหน้าผากเขาเต้นตุบๆ ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะแรงโกรธเกรี้ยว “คุณเชื่อมั้ยว่าตอนนี้ผมฆ่าคุณได้?”


เขาโกรธจนเสียงยังสั่น มือยิ่งไม่ได้ผ่อนแรงลงสักนิด ผู้หญิงคนนี้กล้าฆ่าลูกของเขา!ฆ่าลูกของพวกเขาสองคนได้อย่างใจเย็นเช่นนี้!ลูกคนแรก!


ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายด้วยน้ำมือเขาเพราะใบหน้าดวงเล็กที่ขาดอากาศหายใจจนเริ่มเปลี่ยนสี แต่เธอไม่ได้ขัดขืนเพียงแค่ปล่อยให้เขาบีบคอตัวเองต่อไปอย่างตายใจ


คนรอบข้างที่เดินผ่านไปมาเห็นฉากนี้ล้วนไม่กล้าส่งเสียง กระทั่งเห็นถังซ่งวิ่งมาจับมือเขา “เย่เซียว รีบปล่อย อยากให้คนตายหรือไง?!”


เย่เซียวกลับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น


ดวงตาแดงก่ำจ้องไป๋ซู่เย่ไม่ห่าง เริ่มรื้นด้วยน้ำใสช้าๆ ช้าๆ


ไป๋ซู่เย่เห็นภาพนั้นเองกับตารู้สึกเหมือนโดนอาวุธหนักๆ กระแทกที่หัวใจอย่างฉับพลัน แรงสะเทือนที่ทำเอาเธอเจ็บสะท้านไปทั้งอวัยวะภายใน


น้ำตากลิ้งลงจากตาตามโดยไม่รู้ตัว


 “ไป๋ซู่เย่…ผมเย่เซียวนี่มันบ้าจริงๆ ถึงได้ควักหัวใจมาไว้ในมือคุณครั้งแล้วครั้งแล้ว ปล่อยให้คุณย่ำยี ปล่อยให้คุณทำลายมัน!” เสียงของเขาราวกับหัวใจแตกสลาย เขาที่เคยชินกับการมองคนราวกับอยู่เหนือกว่าและเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ครั้งนี้กลับรู้สึกท้อแท้พ่ายแพ้อย่างไม่เคยมีมาก่อน ปากของเขาแทบจะชิดติดปลายจมูกเธอ เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจเย็นเข้ากระดูกของเขา ปากบางกำลังสั่น เสียงก็สั่นอย่างรุนแรง “คุณทำให้ผมแพ้อีกแล้ว…แพ้ไม่เหลือชิ้นดี!”


มือของเขาคลายจากลำคอเธอช้าๆ เจ้าตัวก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวและยืนทรงตัวแทบไม่ไหว


เธอได้หายใจเต็มปอดเสียทีแต่สองขากลับอ่อนแรงหลังแนบกำแพงแต่ก็ยังยืนไม่มั่นคง


แค่หายใจทีเดียวเจ้าตัวก็ทรุดตัวลงตามกำแพงล้มนั่งอยู่บนพื้นเย็น


น้ำใสในตาเย่เซียวได้หายไปแล้ว เหลือเพียงความเย็นชา เขาก้มมองเธอด้วยสีหน้าที่เย็นชาไร้ความปราณียิ่งกว่าครั้งไหนๆ “ตั้งแต่วันนี้ไประหว่างคุณกับผมตัดขาดกัน!จากนี้ไม่ว่าคุณไป๋ซู่เย่จะเป็นจะตาย ก็ไม่เกี่ยวข้องกับผมเย่เซียวอีก!”


ไป๋ซู่เย่หอบหายใจ น้ำตาเอ่อล้นมองเย่เซียวอย่างน่าสงสาร อยากจะพูดบางอย่างแต่หัวใจเหมือนมีก้อนสำลีอุดไว้พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว


เย่เซียวมองเธอเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นหันหลังเหลือเพียงแผ่นหลัง


 “เย่เซียว!” ถังซ่งเรียกเขาทีหนึ่งแล้วมองไป๋ซู่เย่ที่นั่งล้มกับพื้นแวบหนึ่ง


โน้มตัวประคองตัวเธอขึ้น มองเธอนิ่งๆ แวบหนึ่ง“ถึงจะไม่สนเรื่องพวกคุณว่าจะทำอะไรกันบ้าง แต่ว่า…ครั้งนี้ คุณทำร้ายเย่เซียวเข้าแล้วจริงๆ”


ไป๋ซู่เย่หลังแนบกำแพงพลางรู้สึกเพียงวิงเวียนศีรษะ เธอไม่ได้ฟังคำพูดของถังซ่งเลย มีแค่ประโยคของเย่เซียวที่ว่า ‘ตัดขาดกัน’ก้องกังวานในหัวไปมา …


เขาเคยบอกว่า


–ถ้าคุณกล้าตาย ผมจะไปพลิกนรก!


ตอนนี้เขากลับพูดว่า


–ต่อจากนี้ไม่ว่าคุณไป๋ซู่เย่จะเป็นจะตาย ก็ไม่เกี่ยวข้องกับผมเย่เซียวอีก!


ไม่เกี่ยวข้องอีก…


กัดทึ่งหัวใจเธอทุกคำ


เธอลากตัวที่หนักอึ้งเดินสะเปะสะปะไปทางห้องพักผู้ป่วย หลายครั้งที่เกือบจะล้มแต่มีคนใจดีที่เดินผ่านมาช่วยประคอง


 “คุณ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?” มีคนถามอย่างเป็นห่วง


เธอส่ายศีรษะ อยากบอกเหลือเกินว่า ‘ไม่เป็นไร’


จะเป็นอะไรได้ล่ะ? สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้นตอนที่ตกเลือดรุนแรงเมื่อคืน ตัวเองนอนบนเตียงอันเย็นเฉียบนั่นเพียงลำพัง สองขาถูกแยกเพื่อให้เครื่องมือสอดเข้ามาคว้านร่างกาย


ความเจ็บแบบนั้นยังทนมาได้ แล้วมีอะไรที่เธอทนไม่ได้อีก?


แต่…ต่อให้เป็นอย่างนั้นแค่คำง่ายๆ เธอก็หมดสิ้นแรงที่จะพูดให้ครบประโยค ปากบางขาวซีดอ้าพะงาบ เสียงที่ดังออกมากลับเป็นเสียงร้องไห้แหบแห้ง


 “คุณ? คุณ คุณเป็นยังไงบ้าง?”


สุดท้ายได้ยินเสียงของคนแปลกหน้า ภาพตรงหน้าเธอดำมืด หมดสติไม่รู้สึกตัวอีก


ชั่วขณะนั้น…


เธอคิดว่านอนไปอย่างนี้เถอะ นอนไปอย่างนี้…อย่างน้อยก็ไม่เจ็บมาก…


……………………


เวลาเพียงหนึ่งวันที่เย่เซียวบินกลับประเทศ S จากประเทศ T แล้วบินกลับประเทศ T จากประเทศ S


เขาขังตัวเองไว้ในห้องและไม่ออกมาอยู่ช่วงใหญ่


ถังซ่งนั่งบนโซฟาแหงนหน้ามองไปชั้นบนหลายครั้ง เขาเป็นห่วงจริงๆ ว่าเรื่องนี้จะสะเทือนจิตใจเขาเกินไปจนกระทบต่อหัวใจที่อ่อนแอดวงนั้นของเขา คุณแม่เย่ที่นั่งอยู่ชั้นล่างนิ่งนั่งก้นไม่ติดเบาะ เดินวกไปวนมาที่ห้องโถงหลายครา รอจนถึงกลางดึกเที่ยงคืนสุดท้ายก็รอไม่ได้ หยิบกุญแจขึ้นไปชั้นบน


 “เย่เซียว” เธอเคาะประตู


ข้างในไร้เสียงเคลื่อนไหว


 “เย่เซียว แม่เอง ลูกเปิดประตู”


“…” ข้างในกลับเงียบสงัดอย่างเคย


คุณแม่เย่ทนต่อไปไม่ไหว ใช้กุญแจเปิดประตู


ข้างในมืดสนิท


ผ้าม่านหน้าต่างทุกบานปิดมิดชิดไม่ให้แสงจันทร์ผ่องข้างนอกเล็ดลอดเข้ามาเพียงนิดราวกับว่าโลกของเขาภายในห้องนี้เหลือเพียงวันมืดมนไร้แสงอาทิตย์…


อากาศนอกจากกลิ่นควันบุหรี่ก็เป็นกลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้ง


คุณแม่เย่ยืนอยู่หน้าประตูอาศัยแสงที่ลอดเข้ามาเพียงนิดพอจะเห็นเย่เซียวกำลังนั่งนิ่งบนพื้น ข้างกายคือขวดเหล้ายุโปรที่ว่างเปล่า แล้วก็…ที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มไปด้วยก้นบุหรี่หลายอัน


คุณแม่เย่เห็นแล้วตาแดงระเรื่อ


ปิดประตูเบาๆ ไม่พูดอะไรแค่เดินเข้าไปเงียบๆ เก็บขวดเหล้ารวมถึงที่เขี่ยบุหรี่ไว้ข้างๆ


ย่อตัวนั่งลงรั้งตัวลูกชายมากอด


 “ลูกชาย มีเรื่องเสียใจอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว ลองบอกแม่สิ” คุณแม่เย่เอ่ยปากอย่างกล้ำกลืน เสียงปนสะอื้น


…………………………


ตอนที่ 748 ตัดขาดความสัมพันธ์(3)

โดย

Ink Stone_Romance

 “ลูกชาย มีเรื่องเสียใจอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว ลองบอกแม่สิ” คุณแม่เย่เอ่ยปากอย่างกล้ำกลืน เสียงปนสะอื้น “มีหลายเรื่องที่แม้ว่าแม่จะไม่เข้าใจ แต่พูดออกมายังดีกว่าลูกเก็บไว้ในใจตลอดนะ!”


เย่เซียวตัวสั่นอย่างรุนแรง เขาหอบหายใจหนักๆ หลายครั้งราวกับอาศัยมันมาผ่อนปรนความเจ็บปวดที่เหมือนถูกกรีดกรายที่หัวใจ


 “ลูกของผม…ลูกของเรา ถูกเธอฆ่าไปแล้ว…” ในความมืดเสียงของเย่เซียวแหบแห้งถึงขีดสุด คุณแม่เย่ตะลึง กอดลูกชายแน่น ได้ยินแค่เสียงเขาพูดต่อ “แม่ว่า เธอมีใจให้ผม…”


เขาหัวเราะทีคล้ายกำลังเย้ยหยันตัวเองทั้งกำลังหัวเราะอย่างขมขื่น “ถ้าเธอมีใจให้ผมสักนิดจริงๆ เธอจะฆ่าลูกของผมได้ยังไง? จะฆ่าลูกของผมได้ยังไง!นั่นคือลูกของเรา!นั่นคือลูกของเรา!”


เขาพูดย้ำๆ ประโยคสุดท้ายด้วยอารมณ์ที่ใกล้จะพังทลายเต็มที กำปั้นเขาต่อยกำแพงไม่ยั้งจนเนื้อแตกเลือดไหลก็ยังไม่หยุดมือ


เธอใจเหี้ยมขนาดนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงใจร้ายขนาดนี้?!


 “เย่เซียว อย่าทรมานตัวเองอีกเลย!แม่ขอร้องล่ะ อย่าทำร้ายตัวเองอีก!” เย่เซียวปวดใจจนน้ำตาไหลพรั่งพรูไม่หยุด รีบกอดแขนเย่เซียวไว้


เย่เซียวรู้สึกเพียงเจ็บร้าวตรงหัวใจ


ทันใดนั้นทั้งร่างก็ทิ้งตัวลงให้คุณแม่เย่หวีดร้องอย่างตกใจหมายจะยื่นมือไปประคองเขาแต่ไม่ทันเสียแล้ว ได้ยินเพียง ‘ปึง–’ เสียงดังทึบ ร่างหนักอึ้งของเขาได้ล้มลงไปอย่างแรงตามด้วยหมดสติ


 “คุณหมอถัง!คุณหมอถัง!” คุณแม่เย่ร้องขึ้นเสียงดัง


ฉับพลันคฤหาสน์ทั้งหลังก็เกิดโกลาหล ถังซ่งพุ่งตัวขึ้นมารวมถึงน่าหลันก็วิ่งเข้าห้องอย่างรีบร้อน


……………………


ยี่สิบวันหลังจากนั้นไป๋ซู่เย่ขอลา


ยี่สิบวันนี้เธอไม่ได้ไปไหนแต่นอนพักที่จงซันถึงยี่สิบวันเต็ม ฮูหยินไป๋อยากจะขุนเธอให้อ้วนกว่านี้หน่อยแต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่อ้วนขึ้นสักที ไป๋เย่ฉิงกลับลากตัวเธอไปวิ่งทุกเช้า เธอไม่ปฏิเสธ การออกกำลังกายจะทำให้คนเราอารมณ์ผ่อนคลายขึ้น


แต่เธอกลับรู้ดี…


ความผ่อนคลายเหล่านั้นเป็นเพียงภาพจอมปลอมที่แสดงให้คนที่เป็นห่วงเธอโดยเฉพาะ


ส่วนที่เหลือไว้ให้ตัวเองกลับเป็นความทรมานทุกวินาทีของกลางดึกทุกคืน


เมื่อเธอกลับมาที่กระทรวงความมั่นคงไป๋หลางกำลังนั่งค้นเอกสารที่หน้าโต๊ะทำงานด้วยใบหน้าคิ้วขมวด


 “ดูอะไร?” ไป๋ซู่เย่เดินผ่านห้องทำงานเขาเลยเคาะประตู


ไป๋หลางเงยหน้า เห็นว่าเป็นเธอก็แทบจะซ่อนเอกสารไว้ทันที


“ซ่อนอะไร?” แวบเดียวไป๋ซู่เย่ก็จับผิดสังเกตเขาได้


 “ไม่มีอะไรครับรัฐมนตรี คุณหมดวันพักแล้วเหรอ?”


 “อืม”


ไป๋ซู่เย่เดินเข้าไปช้าๆ ไป๋หลางแอบซ่อนเอกสารไว้ชั้นล่างสุดเงียบๆ สุดท้ายไป๋ซู่เย่ที่ดูท่าทีเขาออกยื่นมือเดียวแย่งเอกสารไปถือไว้ทันที


เนื้อหาที่เข้าตาทำให้เธอนิ่งอยู่กับที่


ในยี่สิบวันนี้เย่เซียวได้รับช่วงต่อไฟเรนเซ่ทุกอย่างรวมถึงการเจรจาค้าอาวุธกับสามประเทศเพื่อนบ้านของประเทศ S ที่จะมีเขาเป็นผู้เจรจาเอง


ไป๋หลางแอบสังเกตสีหน้าเธอถึงค่อยๆ เอ่ยปาก “เย่เซียวก้าวขึ้นมาก็เลื่อนการเจรจาเหล่านี้ให้เร็วขึ้น ไม่ถึงสิบวันก็เซ็นสัญญาไปแล้วหนึ่งประเทศ สองประเทศที่เหลือถ้าไม่ผิดจากที่คาดก็น่าจะเสร็จสิ้นภายในสองเดือนนี้ ดังนั้น…ตอนนี้เย่เซียวได้แทนที่ไฟเรนเซ่ กลายเป็นเป้าหมายที่เราต้องกำจัดเป็นอันดับแรก แล้วครั้งนี้ทางกองทัพได้ให้อาวุธที่ดีที่สุด พลังทำลายล้างไม่มีอะไรเทียบได้”


ไป๋ซู่เย่หายใจหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง พักใหญ่ถึงถาม “แล้ว…เขาบาดเจ็บมั้ย?”


 “หลายวันก่อนดักเจอเขาได้ที่ต่างประเทศ ถึงไม่ได้โจมตีเขาได้โดยตรงแต่ก็โดนลูกน้องของเขา”


 “หยูอัน?”


 “…ครับ”


ไป๋ซู่เย่หายใจขาดห้วง


 “เพื่อเอาคืนเรา เย่เซียวได้มีการโต้ตอบอีกยาวเป็นพรวน ไม่นานมานี้ได้ขายน้ำมันหินให้ประเทศ E ในราคาที่ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ เป็นผลให้ประเทศเรากับประเทศ E ต้องหยุดการค้าขายน้ำมันหิน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศเราให้ตกต่ำลง หุ้นตลาดสั่นคลอน เช้าวันนี้ทางสภาหอการค้าถูกเรียกตัวเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดีทันที”


ไป๋ซู่เย่ไม่พูดอะไรแค่วางเอกสารลงช้าๆ หลายวันมานี้ที่เธออยู่จงซัน ไม่มีใครเอ่ยถึงข่าวของเย่เซียวต่อหน้าเธอสักประโยคเดียว


เธอไม่รู้ว่าที่แท้เขากับประเทศ S ได้มาถึงจุดแตกหักกันขนาดนี้แล้ว


จากจุดแตกหักครั้งก่อนคือเมื่อสิบปีที่แล้ว สิบปีนี้เย่เซียวสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองขึ้นทุกวัน ตกเป็นจุดสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายประเทศมัววุ่นกับการผ่อนปรนประนีประนอมไม่กล้าท้าทายตามอำเภอใจ


แต่ตอนนี้…


หากทั้งสองฝ่ายยังสู้กันต่อไป อนาคตต้องเสียหายทั้งสองฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย กระตุกหนวดเสือเย่เซียวกับไฟเรนเซ่ ต่อจากนี้ทุกภาคส่วนของประเทศ S อาจจะโดนข่มขู่ แต่หากท้าทายประเทศ S ชีวิตเย่เซียวก็ห้อยอยู่บนเส้นด้ายทุกวัน…


ในหัวใจเขายังมีลูกกระสุนติดอยู่ลูกหนึ่ง…


 “รัฐมนตรี?” ไป๋หลางเรียกเธอที มองเธออย่างเป็นห่วง


ไป๋ซู่เย่ถึงหลุดจากภวังค์ “ฉันกลับห้องทำงานของฉันก่อน ตอนเที่ยงทานข้าวด้วยกัน ถือว่า…ขอบคุณนายที่ดูแลฉันก่อนหน้านี้”


 “ไม่ต้องเกรงใจกันหรอกครับ ดูแลหัวหน้าเป็นเรื่องปกติ” ไป๋หลางยิ้มและตะเบะท่าเคารพตามทหาร


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้พูดอะไรต่อแค่หมุนตัวเดินออกไป มีเรื่องให้คิดหนักขึ้นมาทันที


เธอไม่ควรเป็นห่วง


เย่เซียวแต่งงานกับน่าหลันไปแล้ว อีกทั้ง…พวกเขาตัดขาดความสัมพันธ์กันไปแล้ว…


ต่อให้เป็นห่วงก็ไม่ต้องมาถึงเธอ


หัวใจเริ่มปวดหนึบอีกครั้ง เธอรีบก้าวเท้าเดินไปที่ห้องทำงานค้นยาจากกระเป๋าออกมากรอกใส่ปากตามด้วยน้ำหลายเม็ด


 “รัฐมนตรี” ขณะนั้นเองประตูห้องทำงานถูกผลักเข้ามาจากข้างนอก


ไป๋ซู่เย่ระงับอารมณ์ที่ผุดขึ้นมากลางอกลงไป มองไปยังเลขาเฉินหน้าประตูเรียบๆ “ทำไมเหรอ?”


 “ปลัดกระทรวงเคยสั่งไว้ว่าถ้าคุณกลับมาทำงาน ให้รีบไปที่ห้องทำงานเขาทันที”


ไป๋ซู่เย่ถือแก้วน้ำแนบปากตรงขอบแก้วคล้ายมีเรื่องให้ครุ่นคิด สักพักถึงพยักหน้ารับ “รู้แล้ว ฉันจะรีบไป”


 “ค่ะ” เลขาเฉินเดินออกไปแต่ก่อนไปหันกลับมา “รัฐมนตรี คุณต้องระวังสุขภาพนะคะ เพิ่งจะ…อากาศแบบนี้ทางที่ดีอย่าดื่มน้ำเย็นเลย ฉันจะไปเทน้ำอุ่นเข้ามาให้คุณหนึ่งแก้ว”


 ‘เพิ่งจะ…’ ประโยคท้ายถูกตัดไป แต่ไป๋ซู่เย่ก็รู้ว่าเธอหมายถึงแท้ง


เพียงแค่พูดถึงหัวใจก็เจ็บแปลบ


เธอวางแก้วน้ำลง กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก ฉันจะรีบขึ้นไป รอกลับมาค่อยเทแล้วกัน”


………………


ไป๋ซู่เย่ดื่มน้ำเย็นไปอีกอึกใหญ่ จัดชุดเครื่องแต่งกายเสร็จถึงขึ้นไปชั้นบน


ปลัดได้สั่งให้เลขาเทน้ำรอเธออยู่ในห้องทำงานแล้ว


 “ดื่มน้ำก่อน” ปลัดได้ส่งแก้วน้ำมาไว้ตรงหน้าไป๋ซู่เย่ด้วยตัวเอง


เธอไม่ได้เกรงใจพลางยกขึ้นจิบอึกหนึ่ง เธอไม่ได้เป็นฝ่ายพูดก่อนเพียงรออีกฝ่ายพูดจุดประสงค์ตัวเอง


 “ตอนนี้กลับมาทำงาน น่าจะหายป่วยดีแล้วใช่มั้ย?” ปลัดถามไปก็มองมาทางเธออย่างสงสัยไป


………………………………


ตอนที่ 749 ตัดขาดความสัมพันธ์(4)

โดย

Ink Stone_Romance

ไป๋หลางกับเลขาเฉินบอกแค่ป่วย ไม่กล้าบอกไปว่าแท้ง


 “ค่ะ หายดีแล้ว”


 “…” ปลัดมองเธอแล้วชะงักค้างไปพักใหญ่ถึงถามลองเชิง “คุณเพิ่งกลับมา คงยังไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้ดี ครั้งนี้เวลาที่เหลือให้เรา น่าจะไม่ถึงสองเดือนดี”


ปลัดพูดไม่มีที่มาที่ไปแต่ไป๋ซู่เย่ฟังเข้าใจแล้ว


อย่างที่คิด…


ไม่พ้นจากเรื่องของเย่เซียว


 “ตอนนี้เย่เซียวแทนที่ไฟเรนเซ่ แต่กลับมาโหดกว่าไฟเรนเซ่”


 “เมื่อกี้ฉันฟังไป๋หลางพูดถึงบ้างแล้ว” ไป๋ซู่เย่ตอบกลับปลัด


 “ซู่เย่ ภารกิจครั้งนี้ คุณไปเถอะ!” ปลัดเอ่ยขึ้นกะทันหัน ไป๋ซู่เย่ใจบีบรัดและตอบปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้ ฉันทำไม่ได้!”


สายตาปลัดตวัดมองเธอเขม่นสองที “คุณปฏิเสธได้เฉียบขาดขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าเป็นคำสั่งจากกองบัญชาการกองทัพล่ะ?”


ไป๋ซู่เย่สองมือกำแน่น


หากเป็นคำสั่งจากกองทัพต้องรับไว้ นี่เป็นกฎของประเทศ คนที่ขัดขืนคำสั่งถือว่ามีโทษร้ายแรงเท่ากบฏ โดยเฉพาะประเทศกำลังตกอยู่ในยามคับขัน


ปลัดวางเอกสารลับฉบับหนึ่งไว้ตรงหน้าเธอ “นี่เป็นรายงานที่ได้รับมาเมื่อวาน คุณน่าจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแล้ว”


ไป๋ซู่เย่มือสั่นเทาเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่มีความกล้าที่จะเปิดอ่านเอกสารฉบับนั้น ถามเสียงเรียบ “ทำไมเป็นฉัน?”


 “เพราะฝ่ายข่าวกรองรู้ดีว่าเย่เซียวปฏิบัติต่อคุณพิเศษกว่า”


เธอแค่นหัวเราะ“พิเศษตรงไหน?”


“ที่ทะเลทรายซ่าเหยียน คุณออกมาได้คิดว่าเป็นเพราะคุณงามความดีของถังเจวี๋ยเหรอ? ผมคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะเย่เซียวเสี่ยงชีวิตไปช่วยคุณ ถังเจวี๋ยจะยอมให้คุณเป็นหนี้บุญคุณ ยอมให้รัฐบาลเราเป็นหนี้บุญคุณขนาดนี้ได้ยังไง?”


ไป๋ซู่เย่หายใจติดขัดน้อยๆ


 “แล้วก็ ตอนที่คุณอยู่ทะเลทรายซ่าเหยียนถูกตัวอ่อนยุงก้นปล่องกัด ได้คุณหมอข่ายปินของไฟเรนเซ่ช่วยชีวิตไว้แต่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าข่ายปินนอกจากจะช่วยรักษาให้ไฟเรนเซ่ไม่มีทางช่วยชีวิตคนอื่น แล้วอย่างนั้นคุณคิดว่าตอนนั้นเย่เซียวใช้วิธีไหนเพื่อโน้มน้าวใจให้ไฟเรนเซ่ช่วยคุณ?”


ไป๋ซู่เย่มองเขาอย่างฉงน


 “จากข่าวที่ฝ่ายข่าวกรองเราได้รับมา ช่วงเวลาที่คุณได้รับการรักษาเย่เซียวก็ได้รับการรักษาในห้องทดลองของข่ายปินทุกวัน รักษาอะไร รักษาอาการถูกตัวอ่อนยุงก้นปล่องกัดเหมือนคุณ ซู่เย่ คุณลองคิดดูสิ เดิมทีเย่เซียวไม่ได้ถูกยุงก้นปล่องกัด ทำไมพอกลับมาที่ห้องทดลองกลับได้รับเชื้อไวรัสนี้?”


ไป๋ซู่เย่มึนไปแล้วเพราะคำพูดของปลัด


เธอมองอีกฝ่ายแน่วแน่คล้ายกำลังตัดสินว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริงหรือเท็จ


ปลัดยังคงตรงไปตรงมา “คุณคือคนฉลาด สาเหตุนี้ ลองคิดดูดีๆ แล้วคุณน่าจะรู้ดีกว่าผม”


เธอสูดหายใจเข้าลึก หลับตานึกที่ถังซ่งบอกว่าระยะนั้นเขาไม่มีเวลาว่างมาหาตน ภายหลังในโรงแรมตรงแขนเขามีรอยเข็มจริงๆ—เนื่องด้วยความเศร้าเสียใจที่มีมากกว่าในเวลานั้น พวกเขาเกี่ยวกระหวัดกอดรัดไม่หยุดพัก ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้เปิดปากถามมากยิ่งคิดไม่ถึงที่มาที่ไปในเรื่องนี้—หากเมื่อนั้นเขาได้รับการรักษาอยู่ในห้องทดลองเหมือนกันจริงๆ ถ้าอย่างนั้น ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ…


 “วันนั้น เขาได้รับเชื้อจากตัวอ่อนยุงก้นปล่องเหมือนกับคุณ ใช้ความตายบีบบังคับให้พ่อบุญธรรมของเขาช่วยคุณ” ปลัดกล่าวขึ้นและพูดเปิดโปงความคิดในใจเธอทันที


เธอตะลึงอยู่กับที่ด้วยหัวใจที่ว้าวุ่นหาที่เทียบไม่ได้


เย่เซียว…


ผู้ชายคนนั้น…ลับหลังเธอ ทำอะไรไปบ้างกันแน่?


 “เย่เซียวไม่กลัวแม้แต่ความตายเพื่อคุณ ผมคิดว่าคนทั้งโลกคงมีแค่คุณ ที่จะปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ได้สำเร็จโดยไม่เกิดความเสียหาย”


 “ไม่เกิดความเสียหาย?” ไป๋ซู่เย่พึมพำประโยคนี้ แค่นหัวเราะทีหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น “แล้วฉันล่ะ? ฉันนับว่าเป็นคนที่เสียหายมั้ย?”


ปลัดเม้มปาก แววตาล้ำลึกขึ้น


 “นี่ก็คือหน้าที่ของเรา!” พักใหญ่ปลัดถึงพูดขึ้น “เมื่อแรกที่เราเข้ากระทรวงมา เรายืนอยู่ในตำแหน่งนี้ก็ต้องรู้แล้วว่าไม่ว่าอนาคตเราจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากลาแบบไหน เพื่อประเทศชาติ เราจำเป็นต้องเสียสละ คนทั้งประเทศไม่ได้มีแค่คุณที่กำลังเสียสละ–”


พูดถึงนี่ปลัดชะงักไปอึดใจ รอกล่าวอีกทีน้ำเสียงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย“สองปีก่อน ลูกชายของผม…ถูกกลุ่มอาชญากรตัดคอสังหารตอนออกปฏิบัติภารกิจ ตอนที่ส่งตัวเขาไปปฏิบัติภารกิจ เขารู้อยู่แล้วว่ามีอันตรายรออยู่มากเพียงใด ผมจะไม่รู้ได้ยังไงว่าถ้าไปอยู่ที่นั่น 90% ไม่มีทางรอดกลับมา? แต่ในฐานะที่เขาเป็นทีมปฏิบัติพิเศษ เป็นหน่วยกล้าแนวหน้า เขาไม่มีเหตุผลที่จะถอยหลัง!ต่อให้ตาย ตายอยู่ในสนามรบ เขาก็มีเกียรติยศ ผมภาคภูมิใจในตัวเขาเสมอ!เราใส่ชุดเครื่องแบบนี้ ใช้ภาษีประชาชน ใช้สัญชาติของประเทศนี้ ก็มีหน้าที่ที่ต้องปกป้องประเทศชาติ ปกป้องความปลอดภัยมั่นคงของประชาชนของเรา รัฐมนตรีไป๋ ต่อหน้าเหตุการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน ความเข้าใจตรงจุดนี้ผมคิดว่าเราน่าจะฝังลึกเข้าไปในกระดูกแล้ว ไม่ต้องมีใครสอนคุณ!”


ไป๋ซู่เย่นั่งตัวแข็งอยู่ตรงนั้นอยู่นาน


นั่งจนตัวเย็นไปทั่วร่างถึงค่อยๆ เอ่ยปาก “บางที…บางทีเมื่อก่อนเย่เซียวอาจจะมีใจกับฉันอย่างลึกซึ้ง แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้เขาเป็นสามีของผู้หญิงคนอื่นไปแล้ว อีกอย่างเขาเคยบอกฉันเองกับปากว่า ‘ตัดขาดความสัมพันธ์’ กับฉัน ปลัดคะ คุณคิดว่าฉันมีโอกาสที่จะฆ่าเขาจริงๆ เหรอ?”


“เย่เซียวไม่ได้แต่งงาน แล้วพรุ่งนี้เขาจะจัดงานแต่งงานกับน่าหลันใหม่”


ไป๋ซู่เย่หยุดหายใจ


 “คำสั่งจากเบื้องบนบอกว่าให้คุณหาวิธีฆ่าเขาในงานแต่งงานพรุ่งนี้ คนของเราจะหาทางป่วนงาน ขอแค่คุณฉวยโอกาสช่วงโกลาหลลงมือกับเขาตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัว หลังจากนั้นจะมีคนของเราไปรับคุณ”


ไม่!


เธอทำไม่ได้!


อดีตเธอเคยคิดว่าหากให้เธอเลือกใหม่อีกครั้งกับเรื่องสิบปีก่อน ต่อหน้าสถานการณ์คับขัน เธอจะเลือกเป็นสายลับข้างกายเขาเหมือนเดิม


แต่…


ณ ชั่วขณะนี้เธอกลับทำไม่ได้แล้ว…


หากให้เธอฆ่าเย่เซียวด้วยตัวเอง เธอคิดว่าเธอน่าจะเลือกฆ่าตัวเอง


 “ฉันมีวิธีที่ดีกว่านี้” หลังเงียบไปครู่ใหญ่ ในที่สุดไป๋ซู่เย่ก็หาเสียงตัวเองเจอ


 “คุณว่ามาเลย”


 “ยังมีเวลาเหลือสองเดือนไม่ใช่เหรอ? สองเดือนนี้ฉันจะหาทางหยุดการเจรจาสัญญาของพวกเขา ฉันจะพยายามโน้มน้าวใจให้เย่เซียวไม่ดำเนินการเจรจาสัญญาฉบับนี้” เธอพูดต่อ “เบื้องบนขอแค่ให้ฉันทำภารกิจสำเร็จ ฉันทำให้สำเร็จก็พอ ยิ่งไปกว่านั้นเราจำเป็นต้องสู้กับเย่เซียวถึงขั้นฆ่ากันเลยเหรอ? เศรษฐกิจประเทศเราในตอนนี้ได้รับความเสียหายมากแล้ว ถ้าเย่เซียวตายในงานแต่งงานพรุ่งนี้ ไม่มีอะไรรับประกันว่าลูกน้องของเขาที่อยากแก้แค้นให้เขาจะเหมือนเมื่อสิบปีก่อน ลอบสังหารตามแต่ละประเทศ สร้างกลุ่มอาชญากรเพื่อจู่โจมหรือเปล่า ปลัดคะ ฉันจะไม่พูดถึงผลของมันคุณก็คงคิดได้ ดังนั้น ฉันหวังว่าคุณจะช่วยเสนอให้กับเบื้องบนแทนฉันด้วย”


…………………………


ตอนที่ 750 ยังคงรักคุณ(1)

โดย

Ink Stone_Romance

ปลัดมองเธอนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง“คุณมั่นใจว่าจะห้ามไม่ให้เขาทำสัญญาได้มากเลยเหรอ?”


มั่นใจไหม?


เอาความมั่นใจมาจากไหน?


สัญญาสองฉบับนี้ไม่ใช่มูลค่าน้อยๆ แต่เป็นการค้าขายมากกว่าแสนล้าน ต่อให้ตอนนี้เย่เซียวมาแทนที่ไฟเรนเซ่แต่ลูกน้องส่วนมากก็คือคนเก่าคนอาวุโส หากเขาเจรจาไม่สำเร็จแล้วหลังจากนี้เขาเย่เซียวจะสยบพวกเขาอย่างไร? อย่าว่าแต่ทำเพื่อเธอเลย


 “ทำไมไม่พูดแล้วเหรอ?”


ปลัดเค้นถามอีกครั้งเรียกสติเธอกลับมา เธอเงยหน้า “คุณเองก็บอกว่าเขาพิเศษกับฉันไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อสิบปีก่อนฉันทำภารกิจสำเร็จได้ สิบปีหลังทำไมไม่ลองดูล่ะ? พวกคุณส่งคนมากขนาดไหนก็ใช่จะมั่นใจว่าฆ่าเย่เซียวได้ แถมยังจะสร้างความเสียหายแก่ทางเรามหาศาล ฉะนั้น…ลองเสี่ยงดูสักตั้ง!”


“เสี่ยงดูสักตั้ง?” นัยน์ตาปลัดเข้มขึ้นมองเธอด้วยท่าทีจริงจัง “ซู่ซู่ คุณต้องรู้นะว่าถ้าเสี่ยงรอบนี้แล้วแพ้ ผลจะเป็นยังไง? ยิ่งไปกว่านั้นการยื่นข้อเสนอใหม่ คุณต้องยื่นขอคำสั่งทางหทาร ผลของการปฏิเสธภารกิจไม่สำเร็จ…”


ปลัดพูดถึงนี่ก็ไม่ได้พูดต่อแต่สีหน้ากลับหนักอึ้งอย่างมาก


ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่และกล่าวหลังตัดสินใจเด็ดขาด “ถ้าฉันทำภารกิจไม่สำเร็จยอมเอาชีวิตเข้าแลก แต่ถ้าฉันทำภารกิจสำเร็จครั้งนี้ล่ะก็…ฉันเองก็มีคำขอร้องหนึ่งเหมือนกัน”


 “คุณพูดมาเลย”


 “…ฉันอยากลาออก”


ปลัดขมวดคิ้ว “คุณรู้ว่านี่ไม่ใช่ผลที่เราอยากเห็น คุณเป็น…”


 “ฉันคิดมาอย่างดีแล้ว” ไป๋ซู่เย่ตอบกลับปลัดที่ต้องการจะพูดมากกว่านั้น “ฉันเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนดีๆ สักช่วงหนึ่ง”


ปลัดเห็นความแน่วแน่จากสายตาเธอ เห็นทีเธอคิดมาล่วงหน้าแล้ว เธอไม่ใช่คนที่จะฟังคำเกลี้ยกล่อมของใคร


ปลัดรู้สึกเสียดายในใจแต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับ “ได้ ผมสัญญากับคุณว่าหลังทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จ ถ้าคุณยังคิดจะลาออก ผมจะพยายามยื่นขอเบื้องบนให้คุณ”


 “งั้นขอบคุณคุณล่วงหน้าเลยแล้วกัน”


 “ผมจะโทรศัพท์ยื่นข้อเสนอของคุณเดี๋ยวนี้”


……………………


หนึ่งชั่วโมงให้หลังไป๋ซู่เย่ออกมาจากห้องทำงานของปลัดเพื่อกลับไปยังห้องทำงานตัวเอง


ไป๋หลางได้เดิมตามหลังเธอเข้ามาติดๆ


 “ปลัดคุยกับคุณเพราะเรื่องเย่เซียวอีกแล้วใช่มั้ยครับ?” ไป๋หลางถามอย่างตระหนก


ไป๋ซู่เย่ไม่คิดจะปิดบังเขา จัดเก็บเอกสารที่เพิ่งส่งมาเมื่อเช้าไปพยักหน้าไปพลาง “อืม เอกสารพวกนี้นายช่วยจัดการหน่อยแล้วกัน ฉันคงไม่กลับมาในเร็วๆ นี้ ถ้ามีเรื่องสำคัญก็รายงานปลัดโดยตรงเลย”


 “คุณจะไปฆ่าเย่เซียวจริงๆ เหรอ?” ไป๋หลางปิดประตูกดเสียงให้เบาลง “เย่เซียวเป็นคู่ต่อสู้ง่ายๆ ที่ไหน? รัฐมนตรี เขาเคยไว้ชีวิตคุณมารอบหนึ่งไม่เท่ากับว่าจะไว้ชีวิตคุณทุกครั้ง!คุณไปแบบนี้มันเท่ากับแมงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ!”


 “ฉันไม่ได้จะฆ่าเขา และไม่มีทางฆ่าเขา…”


 “แล้ว?”


 “ฉันแค่ไปลองห้ามการเจรจาสัญญาของเขา” หยุดเว้นช่วงอึดใจก่อนพูดเสริมอีกประโยค “ใช้วิธีอย่างสันติที่สุด”


 “วิธีสันติที่สุด?” ไป๋หลางหลุดขำ “เรื่องมาถึงจุดนี้ระหว่างพวกคุณยังมีวิธีสันติอีกเหรอ? คุณเข้าใจเย่เซียวดีกว่าผม คิดว่าในใจคงรู้ดีกว่าผมมาก ความสำคัญของสัญญาฉบับนี้ที่มีต่อเขาใช่ว่าไม่กี่ประโยคของคุณจะขัดขวางได้? ยิ่งไปกว่านั้นเขาบอกคุณเองกับปากแล้วว่า ‘ตัดขาดความสัมพันธ์’ จากนิสัยของเย่เซียว คุณทำอะไรได้อีก?”


 “ไม่งั้นจะทำยังไง?” คำพูดของไป๋หลางจี้ปมในใจของเธอ เอกสารในมือถูกปิดอย่างแรง เธอจรดสายตาไว้ตรงหน้าโต๊ะทำงาน “หรือว่าปล่อยให้พวกเขาไปตามฆ่าเย่เซียว? หรือว่า…ให้ฉันไปฆ่าเขาเองกับมือ แล้วค่อยฆ่าตัวตาย?”


 “คุณกำลังเป็นห่วงชีวิตเขา?”


 “ใช่ ฉันเป็นห่วงเขา เป็นห่วงแทบตาย!หัวใจเขามีกระสุนค้างอยู่ นั่นก็คือระเบิดเวลา ถ้าถูกคนในกระทรวงความมั่นคงหรือคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า เขาตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”


ไป๋หลางเงียบไปครู่หนึ่ง พักใหญ่ถึงกล่าว“แต่ว่า…เขาเคยบอกให้คุณทำแท้งลูกพวกเขาอย่างไม่ปราณีขนาดนั้น”


เอ่ยถึงลูก หัวใจไป๋ซู่เย่ก็เจ็บเสียดทีหนึ่ง


ยี่สิบวันนี้หลังสงบสติอารมณ์ได้ความจริงเธอหวนนึกถึงปฏิกิริยาในวันนั้นของเย่เซียวเสมอ วินาทีที่เธอบอกว่าแท้งลูกไปแล้ว เธอเห็นน้ำตาในดวงตาเขาอย่างชัดเจน


ผู้ชายแบบนั้นที่ไม่เคยน้ำตาตกสักหยดต่อหน้าเทพแห่งความตาย แต่วันนั้น…


วันนั้นเขาต้องเจ็บถึงขนาดไหนถึงได้มีน้ำตา?


ในเมื่อเขาเป็นคนบอกให้เธอทำแท้งเอง แล้วเหตุใดเขาถึงเจ็บปวดถึงขั้นนั้น?


เธอแอบรู้สึกถึงความผิดปกติแต่กลับไม่สามารถยืนยันอะไรได้


 “คุณไปทำงานของคุณต่อเถอะ ฉันจะกลับไปเก็บกระเป๋า วันนี้จะบินไปที่เมืองเยียวเลย”


 “งั้นผมไปกับคุณด้วย” ไป๋หลางไม่ไว้วางใจ


 “ฉันไปรอบนี้อาจจะไปถึงสองเดือน” ไป๋ซู่เย่มองเขาแวบหนึ่ง “คุณหาเวลาว่างสองเดือน ไม่คิดจะทำงานที่นี่ต่อแล้วเหรอ?”


 “…” ไป๋หลางตอบไม่ถูก


ไป๋ซู่เย่ไม่รอช้า หลังจากสั่งงานสองเดือนข้างหน้าให้กับไป๋หลางรวมถึงเลขาเฉินก็เตรียมกลับไป


“รัฐมนตรี!” ก่อนออกจากห้องทำงาน จู่ๆ ไป๋หลางก็เรียกเธอไว้


เธอหันกลับมา


นัยน์ตาไป๋หลางฉายแววเศร้า


 “คุณต้องมีชีวิตรอดกลับมา!ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม!ถ้ามีตรงไหนที่ต้องการผม โทรหาผมได้เสมอ”


ไป๋ซู่เย่เจ็บแปลบที่หัวใจ


หากทำภารกิจไม่สำเร็จ ผลที่รอเธออยู่คืออะไรล่ะ?


เธอไม่ได้คิดต่อ แค่แย้มปาก “ฉันจะพยายาม”


ไม่อยู่นานไปกว่านั้นพลางเปิดประตูก้าวออกไป ไป๋หลางที่มองแผ่นหลังนั้นอยู่กลับรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก


ให้ตาย!


การออกไปปฏิบัติภารกิจเป็นเรื่องธรรมดามากทำไมเขาต้องเศร้าขนาดนี้? อีกอย่างทุกครั้งก็ไปเสี่ยงอันตราย ทุกครั้งอาจเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย เมื่อก่อนก็ไม่เคยรู้สึกหนักหน่วงที่ใจเท่านี้มาก่อน


ไป๋หลางมองตัวเองอย่างนึกดูถูก เขารู้สึกว่าตัวเองยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนแอมากขึ้น!


…………


ไป๋ซู่เย่กลับไปที่จงซันก่อนเพื่อกล่าวลากับผู้ใหญ่ทั้งหลาย ไม่กล้าบอกไปว่าได้รับภารกิจแบบไหน กล้าบอกเพียงแค่ว่าเป็นงานระยะยาวสองเดือน


ฮูหยินไป๋อาลัยอาวรณ์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้


นั่งเครื่องรอบสองทุ่มบินตรงไปยังเมืองเยียว ไม่กี่ชั่วโมงให้หลังก็มาถึงเมืองเยียวซึ่งเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว


เมืองเยียวจะหนาวเย็นกว่าเมืองหลวงของประเทศ S อยู่มาก เธอเดินท้าลมออกมาจากสนามบิน มองเส้นสายถนนมืดครึ้มและแปลกตานิ่ง เมืองที่แปลกตา รู้สึกเพียงหัวใจโล่งเปล่าและไร้จุดหมาย


ภารกิจครั้งนี้ โอกาสที่เธอจะทำสำเร็จมันน้อยยิ่งกว่าน้อย


มาทั้งอย่างนี้ ออกจะไม่เจียมเนื้อเจียมตัวสักหน่อย


 “คุณไป๋” รถคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าเธอ


เธอได้สติ พอลองเทียบสัญญาณลับกับอีกฝ่ายเสร็จถึงเปิดประตูก้าวขึ้นรถ


 “คุณไป๋ เรียกผมว่าอาเช่อก็พอ ผมเป็นคนที่จะคอยดูแลคุณที่เมืองเยียว ถ้ามีตรงไหนต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อผมได้โดยตรง เบื้องบนได้แจ้งเรามาแล้วว่าสองเดือนนี้ให้ช่วยคุณทำภารกิจให้สำเร็จ”


ไป๋ซู่เย่พยักหน้าเบาๆ พูดเสียงเบา“ส่งฉันไปที่โรงแรมเรือใบเถอะ”


…………………………


ตอนที่ 751 ยังคงรักคุณ(2)

โดย

Ink Stone_Romance

พรุ่งนี้คือวันแต่งงานของเย่เซียว


โรงแรมเรือใบทั้งโรงแรมถูกจัดตกแต่งเป็นสีมงคล


ไป๋ซู่เย่เลือกห้อง 8801 โดยเฉพาะ


 “คุณผู้หญิง การ์ดห้องของคุณ” ไม่นานพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ได้ยื่นกุญแจห้องให้เธอ


เธอกล่าวขอบคุณ เงียบไปครู่หนึ่งถาม “เจ้านาย…ของพวกคุณ พรุ่งนี้จะมาที่นี่ประมาณกี่โมง?”


 “งานแต่งงานเริ่มตอนเก้าโมงเช้าพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แปดโมงก็น่าจะมา”


 “…อ้อ ขอบคุณ”


ไป๋ซู่เย่ผงกศีรษะให้อีกฝ่ายเป็นเชิงขอบคุณ ชั่วขณะที่หยิบกุญแจห้องเผลอกวาดตาไปเห็นปฏิทินปีใหม่ที่วางไว้หน้าเคาน์เตอร์โดยไม่ได้ตั้งใจ หน้าปฏิทินเป็นรูปพรีเวดดิ้งของคู่บ่าวสาว


ชายหนุ่มยังคงเย็นชาร่างสูงตระหง่านตั้งตรง ส่วนหญิงสาว…อิงแนบอกเขาราวกับนกตัวน้อยๆ ที่ต้องการการปกป้องดูแล ท่าทางมีความสุขอย่างมาก


 “นี่เป็นประธานกรรมการของเรา กับว่าที่ภรรยาประธานกรรมการ เหมาะสมกันใช่มั้ยคะ?” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ยิ้มอธิบายให้เธอ


เธอยกมุมปากอย่างยากลำบากถึงฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายเห็น


ดูแล้วเหมาะสมกันอย่างที่ว่า


แต่ว่า…


แค่แวบเดียวเธอก็ดูออกได้ว่ารูปเหล่านี้มาจากการตัดต่อ ท่าทางเย่เซียวจะไม่ชอบถ่ายรูปเหมือนเคย แม้แต่รูปพรีเวดดิ้งยังเป็นเช่นนี้


 “ว่าแต่คุณลูกค้า คุณดูคล้ายภรรยาของท่านประธานเราจังเลย!”


ไป๋ซู่เย่สวมแว่นกันแดดเพื่อบดบังสายตาสงสัยมากมายหลังประโยคเดียวของอีกคน ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไปชั้นบนโดยไม่พูดอะไร


………………


คืนนั้นยังคงพึ่งพายานอนหลับถึงนอนได้


แต่…


นึกถึงว่าพรุ่งนี้ก็คือวันแต่งงานของเขา เธอก็รู้สึกร้อนรนทุกวินาทีราวกับถูกจับโยนลงกระทะน้ำมันเดือด


คืนนั้นเธอฝันร้าย ในฝันมีแต่ประโยค ‘ตัดขาดความสัมพันธ์’ ของเขาที่ดึงทึ่งเส้นประสาทเธออยู่ร่ำไป


วันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นมาเลยปวดศีรษะเหมือนจะระเบิด


คว้าโทรศัพท์มาดูอย่างสะลืมสะลือแต่กลับเป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้วถึงได้ตื่นเต็มตา รีบเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ด้วยความที่เจ้าตัวมีสภาพทรุดโทรมจึงแต่งหน้าชั้นบางๆ โชคดีที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง


………………


เย่เซียวมาถึงโรงแรมในเวลาแปดโมงตรง


ด้านหลังมีหลี่สือรวมถึงหยูอันคอยติดตาม


แม้วันนี้จะเป็นวันแต่งงานแต่สีหน้าของเขาช่างดูไม่ดีเอาเสียเลย พนักงานโรงแรมรีบถลาออกมาต้อนรับไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตาเขา แรงอาฆาตที่แผ่จากตัวบอสใหญ่มันหนักหน่วงเกินไป


“ท่านประธาน นี่การ์ดห้องของประธาน สไตลิสต์รอท่านประธานอยู่ที่ชั้นบนแล้ว”


 “อืม” เย่เซียวแค่ตอบรับด้วยใบหน้าราบเรียบที หยูอันเดินไปรับการ์ดห้องมา


คนทั้งกลุ่มเดินเข้าลิฟต์เพื่อไปยังชั้นบนสุด


 “นายท่าน” หยูอันมองกระจกวาวรอบข้างตัวลิฟต์ ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่


เย่เซียวปรายตาหันข้างมองเขาแวบหนึ่งอย่างเฉยชา


หยูอันกระแอมไอที พูดเสียงจริงจัง “คุณน่าจะยิ้มหน่อย”


 “ยิ้มอะไร?”


 “ยังไงวันนี้ก็เป็นวันที่น่ายินดีของคุณ”


น่ายินดี?


เย่เซียวแค่นหัวเราะที งานแต่งงานครั้งนี้แค่เป็นผลจากการแพ้พนันกับพ่อบุญธรรมเท่านั้น แพ้ราบคาบ แล้วน่ายินดีตรงไหน?


ให้เขายิ้ม?


เขาคิดว่า…


ตลอดชีวิตนี้เขาคงไม่มีวันที่จะยิ้มออกอีก


ลิฟต์พุ่งทะยานขึ้นไปชั้นบนเรื่อยๆ


กระทั่งจอดอยู่ชั้น 88 ‘ติ้ง–’ สิ้นเสียงประตูลิฟต์เปิดออกช้าๆ


ชั่วครู่ที่ประตูลิฟต์เปิด คนทั้งหมดในลิฟต์ล้วนยืนแน่นิ่ง หยูอันกะพริบตาปริบเพราะคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาด


แต่พอดูดีๆ อีกทีหญิงสาวแสนงามในชุดกระโปรงยาวสีฟ้าตัวบาง ปล่อยผมลอนคลอเคลียที่ไหล่นั่นไม่ใช่ไป๋ซู่เย่แล้วจะเป็นใครได้อีก?


 “หยูอัน!” ในที่สุดเย่เซียวก็เอ่ยปากพูดเสียงขรึม


 “นายท่าน” หยูอันก้าวเข้าไปหา


 “มัวยืนนิ่งเฉยทำไม? มัดตัวเธอไว้!ก่อนหน้านี้คนของกระทรวงความมั่นคงทำร้ายนายยังไง ตอนนี้นายก็เอาคืนกลับมา!” เย่เซียวสีหน้านิ่งขรึม


หยูอันไม่ขยับตัว


หากเป็นเมื่อก่อนเขาต้องเข้าไปมัดตัวอย่างไม่ลังเลแน่ๆ


แต่หลังจากที่เธอเคยช่วยชีวิตตนเมื่อคราวที่อยู่ทะเลทรายซ่าเหยียน อีกทั้ง…ความจริงเขาไม่กล้ามัดจริงๆ หากทำเธอเจ็บเข้าเย่เซียวจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แค่คิดก็พอจะรู้ได้


 “เย่เซียว ฉันอยากคุยกับคุณหน่อย” ไป๋ซู่เย่ปริปากพูดเสียงเบา สายตาจรดบนตัวชายหนุ่มยากจะละสายตา


ไม่เจอกันยี่สิบวัน…


ชั่ววูบหนึ่งรู้สึกราวกับผ่านไปนานแสนนาน…


เย่เซียวปรายตาเย็นชามองเธอแวบหนึ่งโดยไม่ยอมตอบกลับเธอสักคำ หลีกเลี่ยงเธออย่างนึกรังเกียจเข้าไปในห้อง


ใบหน้าเขาราบเรียบไม่แสดงอาการใดๆ แต่แขนที่เริ่มแกร็งแน่นพร้อมจะเปิดโปงอารมณ์ที่ยากจะสงบลงของเขาในตอนนี้ตลอดเวลา


ดีมาก!


เขากลับทำใจนิ่งต่อหญิงสาวตรงหน้านี้ไม่ได้เหมือนเดิม!


แต่ถ้าเขาใจกล้าให้เธออย่างโง่เขลาอีก คาดหวังในตัวเธออีกสักนิดก็เท่ากับทำตัวเอง!


จุดประสงค์ที่เธอมาที่นี่ จุดประสงค์ที่มาคุยกับเขา ใจเขารู้ดีเหมือนกระจกสะท้อน หากไม่ใช่เพราะเขาเลื่อนการเจรจาสัญญาเข้ามาเวลาอันใกล้ เธอจะปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?!


เคยคิดว่าเขาจะเย็นชาต่อตัวเองแต่ขณะที่เดินสวนไหล่เขานั้นหัวใจกลับเจ็บรัดแน่นดังเดิม


เธอสูดหายใจเข้าลึกปรับลมหายใจก่อนก้าวตามไปช้าๆ “เย่เซียว”


เย่เซียวหายใจหนักอึ้งหันหลังกลับมากะทันหัน ยกกระบอกปืนจ่อขมับเธอ “ไป๋ซู่เย่ อย่าคิดว่าผมจะเป็นไอ้โง่ในกำมือคุณอีก มีสิทธิ์อะไรถึงคิดว่าแค่คุณอยากคุยผมก็จะคุยกับคุณ?”


ไป๋ซู่เย่รู้สึกเพียงความเย็นผิดปกติตรงหน้าผาก


เธอหายใจหอบทีหนึ่งไม่ตอบ ตรงหน้าได้เห็นเขาในระยะอันใกล้ ความเจ็บปวดยังคงฉายบนใบหน้าเขาอย่างชัดเจน


อีกทั้ง…


จู่ๆ เธอเพิ่งรู้…ที่แท้ในยี่สิบวันนี้ ความจริงแล้วคนที่สภาพโทรมลงไม่ได้มีแค่ตัวเอง…


ยังมีเขาด้วย…


เย่เซียวแทบกัดฟันพูดกรอดเลื่อนกายเข้ามาใกล้เธอ “กระทรวงความมั่นคงอยากให้คุณมาคุยเรื่องสัญญากับผม ให้พวกเขาไสหัวไป อย่ามาไม่เจียมตัว!”


สีหน้าของเขาคล้ายกำลังกัดทึ่งกระดูกของเธอ


 “ฉันไม่ได้มาคุยเรื่องสัญญากับคุณ…” ไป๋ซู่เย่ไม่กล้าพูดถึงเรื่องสัญญา เธอเข้าใจเย่เซียวเกินไป เรื่องนี้เป็นปมในใจเขามานับสิบปี เขาอ่อนไหวต่อเรื่องนี้และยังให้ความสนใจมันมาก


หากตอนนี้เธอบอกเขาว่าเธอมาเพื่อเรื่องสัญญา เขาต้องบ้าคลั่งแน่ๆ


ส่วนความเป็นจริง…


ท้ายที่สุดตนจะมาเพื่อสนองตัวเองหรือมาเพื่อสัญญาจริงๆ ใจเธอรู้ชัดแจ้งดี มีคนบางคนทั้งที่พร่ำบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ตัดใจ บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าให้ลืมมันไป แต่…จากตัดใจที่มากเท่าไรก็อดที่จะขยับเข้าไปใกล้อย่างห้ามใจไม่ไหว


 “ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไร ผมก็ไม่คิดจะคุยกับคุณ!” เย่เซียวพูดเสียงกระแทก แรงโทสะบนใบหน้าไม่มีท่าทีผ่อนลง “วันนี้เป็นวันแต่งงานของผม ถ้าคุณไม่ได้มาเพื่อป่วน ผมให้บัตรเชิญคุณ ให้คุณยืนดูอยู่นอกงานอย่างดีได้!”


ไป๋ซู่เย่ปวดแปลบที่หัวใจ


เธอยกมือกำปากกระบอกปืน “ครั้งนั้นที่พ่อบุญธรรมคุณยอมช่วยฉัน เพราะคุณเอาชีวิตคุณมาบีบคั้น?”


…………………………


ตอนที่ 752 ยังคงรักคุณ(3)

โดย

Ink Stone_Romance

ประโยคเดียวถามออกเสียงพร้อมสายตาเธอที่จ้องมองเขานิ่งคล้ายไม่อยากพลาดสีหน้าท่าทางเดียวของเขา


แต่ประโยคนี้กลับทิ่มแทงใจลึกๆ ของเย่เซียวเต็มเปา


 “ไสหัวไป!” เขาตวาดเสียงดัง


ทุกอย่างในอดีตที่เคยทำให้ พอมาดูเอาตอนนี้เหมือนตบหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่า


แต่ ณ เวลานี้เธอกลับจับปากกระบอกปืนอย่างดื้อรั้น สองตาแดงก่ำจ้องเขาเขม็ง “เย่เซียว ใช่หรือไม่ใช่?”


ไฟโทสะของเย่เซียวเดือดพล่าน เก็บปืนควับโยนใส่มือหยูอัน จากนั้นพูดสั่งเสียงเย็น “เปิดประตู!”


หยูอันตอบรับทีแล้วรีบไปเปิดประตู


ไม่รอไป๋ซู่เย่ตั้งสติได้สองมือก็ถูกเย่เซียวใช้เนกไทผูกมัดไว้ เขาแบกตัวเธอเข้าไปในห้องด้วยอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิด เข้าไปโยนเธอลงบนเตียงอย่างแรงทำให้ผ้าปูเตียงที่เป็นระเบียบเรียบร้อยยับย่นเข้าหากันเพราะการรุกล้ำของทั้งคู่ เจ้าหน้าที่ข้างในสะดุ้งกับการเข้าหากะทันหันของพวกเขา มองสีหน้าเดือดพล่านของเย่เซียวอีกทีล้วนลุกพรวด กลั้นหายใจอย่างพร้อมเพรียง


 “ไสหัวออกไปให้หมด!” เย่เซียวคำรามเรียกให้ทุกคนออกจากห้องไปอย่างเร็ว


ชั่วขณะภายในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน


 “คุณมาทำอะไรกันแน่!” เย่เซียวตะครุบมือเธอให้ตรึงบนเตียงไม่ให้ดิ้นหลุด “ฆ่าลูกของผมแล้วยังจะมาหัวเราะเยาะผมโดยเฉพาะเหรอ? ผมกลายเป็นตัวตลกในกำมือคุณ นอกจากจะทำอะไรคุณไม่ได้สักนิดแล้วยังโง่เสี่ยงชีวิตไปช่วยคุณหลายครั้ง คุณรู้สึกดีมาก ใช่มั้ย?!”


เอ่ยถึงลูกที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เย่เซียวปวดใจราวกับถูกมีดกรีดแทงซ้ำๆ


ยิ่งเจ็บไฟโทสะในใจก็ยิ่งเดือด


ดวงตาของเขาแดงก่ำ จ้องหญิงสาวใต้ร่างกัดฟันพูดอย่างไม่แคล้วใจ “ให้คุณคลอดลูกของผมสักคน ลูกของเราสองคน สำหรับคุณแล้วมันยากขนาดนั้นเชียวเหรอ? ยากจนคุณตัดสินโทษประหารชีวิตเขาโดยไม่ถามสักคำ? ไป๋ซู่เย่ คุณมีสิทธิ์อะไรมาฆ่าลูกของฉันเย่เซียวกันแน่?!”


ไป๋ซู่เย่ตาแดงระเรื่อและรื้นด้วยน้ำใส น้ำตาหนึ่งหยดร่วงหล่น ความเจ็บที่สูญเสียลูกกำลังถาโถมเข้ามาคล้ายปากน้ำพุ เจ็บจนเธอรู้สึกร้าวไปทั้งทรวงอก


น้ำตาเปียกไปทั้งหมอน


ดวงตาเย่เซียวที่แฝงด้วยความเจ็บแดงระเรื่อ เขายิ่งตะครุบข้อมือเธอแรงกว่าเดิมคล้ายต้องการจะบีบเธอให้แหลกสลาย “เก็บน้ำตาจอมปลอมของคุณซะ ฆาตกร มีสิทธิ์อะไรมาร้องไห้?!”


อีกอย่าง…


ให้ตายเถอะ สิ่งที่ทำเขาโกรธมากที่สุดคือ…


น้ำตาจระเข้พวกนี้ที่ไหลรินเขากลับยังรู้สึกปวดใจ!เพราะอะไร? เพราะอะไรถึงทำเขาบ้าบิ่นและทำตัวเองได้ถึงขนาดนี้?


เหมือนถูกเธอจับจุดอ่อนได้เสมอ มีแค่เธอที่จัดการเขาได้แต่เขากลับแก้แค้นไม่ได้ด้วยซ้ำไป!ความรู้สึกแบบนี้ มันแย่มากเหลือเกิน!


 “ฉันเปล่า ฉันเปล่า…” ไป๋ซู่เย่ส่งเสียงสะอื้น เบี่ยงหน้าหันหนีไม่ยอมมองเขา “ฉันเคยถามคุณ ฉันเคยโทรหาคุณ…คุณเป็นคนบอกให้ฉันทำแท้งเอง คุณให้ฉันทำแท้งเอง!”


เสียงเธอแหบพร่า น้ำตายิ่งไหลยิ่งมาก


เย่เซียวจ้องหญิงสาวใต้ร่างด้วยแววตาที่ฉายแววผิดหวัง ครู่ใหญ่ถึงแย้มปากเหมือนได้ยินเรื่องน่าขบขัน“เพื่อให้ตัวเองพ้นโทษ คำโกหกน่าขันแบบนี้คุณก็กล้าแต่งมันขึ้นมา? ทำไม? เพื่อเข้าใกล้ผมแล้วฆ่าผมจะได้บรรลุเป้าหมายพวกคุณ?”


เขายังคงระแวงเธออยู่เสมอ


ยิ่งทำอะไรเธอไม่ได้ยิ่งต้องระแวง บนโลกนี้คนที่ทำร้ายตัวเองได้คงไม่พ้นคนที่ตัวเองรักมากที่สุด


 “ใครกันแน่ที่สร้างคำโกหก?” ไป๋ซู่เย่หันหน้ามามองเขาด้วยใบหน้าที่น้ำตาไหลอาบแก้ม “เย่เซียว จริงหรือไม่จริงคุณลองค้นดูโทรศัพท์ฉัน คุณส่งข้อความมาให้ฉัน ประวัติการโทรของเรา ยังไงก็ปลอมแปลงไม่ได้!”


เย่เซียวก้มตัวจดจ้องเธอ


ความเจ็บปวดของเธอทำให้เขารู้สึกชั่ววูบว่าเหมือนไม่ได้กำลังโกหก


แต่เธอโกหกจริงๆ ความจริงเขาก็ดูไม่ออก คำลวงเมื่อสิบปีก่อน เธอได้ทำเขาไว้เจ็บแสบมาก


พักใหญ่เขาถึงปล่อยเธอ ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เขารู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขัน คำลวงที่เป็นไปไม่ได้แบบนี้เขากลับมีใจที่คิดจะลองไปเชื่อถือมัน


เขาคว้ากระเป๋าของเธอที่ตกพื้นขึ้นมา ล้วงโทรศัพท์เธอออกมา


ไป๋ซู่เย่พูดเสียงเรียบ “หนึ่งวันก่อนคุณแต่งงาน ฉันโทรหาคุณ…ฉันบอกคุณว่าฉันท้องลูกของเรา คุณกลับบอกฉันว่าคุณกำลังซักซ้อมงานแต่งงาน แล้วก็…”


พูดถึงนี่เธอไม่ได้พูดต่อ


เพราะว่า…


เห็นได้ชัดว่าเย่เซียวเห็นข้อความฉบับนั้นแล้ว


ความตะลึง ความโกรธแผ่กระจายในแววตาดั่งลมพายุ


ชั่วครู่นั้นไป๋ซู่เย่เข้าใจทันที


เธอหัวเราะเสียงเบา หัวเราะเสียงเศร้าๆ “ถ้าฉันเดาไม่ผิด ข้อความนี้น่าจะมาจากคู่หมั้นคุณสินะ? คุณมาโกรธใส่ฉัน น่าจะไปโกรธใส่เธอสักครั้งหรือเปล่า?”


น้ำเสียงติดน้อยใจของเธอแม้แต่เธอยังฟังออก พูดจบกัดปากเพื่อกลั้นน้ำตาที่มากกว่านี้ไว้


เธอยังคงถือสา…


ถือสาที่เขาจะแต่งงานกับน่าหลันครั้งแล้วครั้งเล่า


เย่เซียวตาจ้องข้อความฉบับนั้นอยู่นาน ทุกห้วงอารมณ์ในแววตาโผล่พ้นออกมา คนที่กล้าปั่นหัวเขานอกจากไป๋ซู่เย่ไม่มีวันมีคนที่สอง!เขาไม่อนุญาตให้คนแบบนี้มีชีวิตอยู่!


เขาหันกลับมามองหญิงสาวที่ตัวคุดคู้อยู่บนเตียงเพราะความโศกเศร้าแวบหนึ่ง คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนเตียงรั้งตัวเธอเข้ามากอดไว้ด้วยสีหน้าเจ็บปวด กอดเธอไว้แน่นๆ อ้อมแขนกว้างหนาของชายหนุ่มปะทะมา เธอกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ‘ฮึกฮือ’ หลุดเสียงร้องไห้ก่อนจะซุกหน้าเข้าที่อกเขา


 “เย่เซียว…คุณเชื่อฉัน ฉันพยายามแล้ว…” เธอร้องไห้ราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง


เขาหายใจหนักอึ้ง ใช้มือเดียวกดศีรษะเธอติดอก


 “ถ้าเก็บไว้ได้ ฉันไม่มีทางให้ลูกทิ้งฉันไป…ฉันพยายามแล้ว…”


เย่เซียวก้มหน้าจูบศีรษะเธอ ปากบางกำลังสั่นเทา


เขาไม่เอ่ยสักประโยคตั้งแต่แรกเริ่ม สีหน้าเยือกเย็น นิ่งขรึมดุจซาตานแต่กลับกระชับกอดเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร…


ประตูถูกเคาะจากข้างนอก


 “นายท่าน” เสียงหยูอันดังจากข้างนอก “ควรเปลี่ยนเสื้อแล้ว”


 “ให้สไตลิสต์เข้ามา!” ในที่สุดเย่เซียวก็เอ่ยปาก


หยูอันถึงเปิดประตูให้สไตลิสต์เข้ามากัน เย่เซียวกำลังก้มหน้าแกะสายเนกไทตรงข้อมือเธอ เพราะเมื่อกี้มัดแน่นเกินไปจนทิ้งรอยแดงรอบข้อมือเธอ เย่เซียวมองด้วยสายตานิ่งๆ แวบหนึ่ง ปลายนิ้วลูบไล้บนรอยแดงนั่นไปมาทีโดยเม้มปากบางไว้แต่กลับไม่พูดอะไร


จากนั้น…


ไป๋ซู่เย่ดูเขาเปลี่ยนเป็นชุดเจ้าบ่าวด้วยสไตลิสต์ทั้งอย่างนั้น


เธอนั่งบนเตียงมองเขานิ่ง น้ำตาทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัว


นี่เขา…ยังคงจะไปแต่งงานหรือ?


รอผ่านไปครู่หนึ่งเขาแต่งตัวเสร็จสรรพ หล่อเหลามาก


ถึงจะมีแต่ความเย็นชาแผ่ออกมาจากทั้งตัว แต่ว่า…วันนี้เขาต้องเป็นผู้ชายที่โดดเด่นมากที่สุด


เขาย่ำเท้าเดินไปตรงหน้าประตู


ไป๋ซู่เย่ใจบีบรัด “เย่เซียว…”


เธอลงจากเตียงเดินไปยังทิศทางของเขาสองก้าว


เย่เซียวปรายตามองเธออยู่ห่างๆ วูบหนึ่งถึงหันไปมองหยูอัน “เอาบัตรเชิญให้เธอหนึ่งใบ”


…………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม