ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 74.2-75.3

ตอนที่ 74-2 ธุรกิจร่วมทุนกับเรื่องหน้าแตกในวัง

 

“เจ้านายบ้านเจ้าให้เจ้ามาเจรจาการค้า นับว่าเลือกคนไม่ผิดจริงๆ”


 


 


ชายหนุ่มไม่หวงคำชม พูดออกมาตรงๆ ว่านางเป็นนักเจรจาที่ดีคนหนึ่ง เขายกย่องนางก่อน แล้วค่อยบอกข้อดีของนาง มองปราดเดียวก็รู้ว่านางมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน


 


 


“แต่เสียดาย บ้านของนายข้าไม่มีผู้หญิงนี่สิ”


 


 


หงเยียนอึ้ง ตนบอกแต่ว่าถูกใจร้าน ไม่ได้บอกว่ามีเจ้านายแต่อย่างใด อวิ๋นหว่านชิ่นเคยกำชับตนว่า เวลาติดต่อกับคนนอกเรื่องร้าน ให้ใช้ชื่อตนเป็นหลัก ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องบอกคนนอกว่ามีเจ้าของอีกคน ยิ่งไม่ต้องบอกชื่อนาง หงเยียนจำขึ้นใจ จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ชายผู้นี้ เหตุใดจึงเดาถูกในพริบตาเล่า


 


 


“คุณชายเข้าใจผิดแล้ว ข้านี่ล่ะเจ้าของร้าน” หงเยียนแก้ต่าง


 


 


ชายหนุ่มไม่คิดต่อล้อต่อเถียงกับนาง จึงยิ้มบางๆ พลางยกมือปราม


 


 


“อ้อ จริงสิ ในเมื่อแม่นางเป็นเจ้าของร้าน และถูกใจร้านนี้ ย่อมเคยคิดคำนวณต้นทุนมาก่อน เช่นนั้นพอจะบอกข้าได้ไหมว่า ลำพังค้าขายเครื่องประทินผิว เดือนหนึ่งได้กำไรสุทธิเท่าไหร่ กำไรขั้นต้นเท่าไหร่ คิดตกแต่งหน้าร้านอย่างไร ต้องใช้พนักงานกี่คน จ่ายเงินเดือนพวกเขาเฉลี่ยเดือนละเท่าไหร่ และ…ต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะถอนทุนคืน เมื่อเป็นเจ้าของ ก็ต้องรู้เรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน”


 


 


ราวกับถูกสายฟ้าทยอยฟาดลงบนศีรษะ หงเยียนนิ่งงัน เรื่องเหล่านี้มีเพียงอวิ๋นหว่านชิ่นเท่านั้นที่รู้ นางไหนเลยจะรู้ จึงหันมองสวี่มู่เจิน ดีที่พาเขามาด้วย เขาถือกำเนิดในครอบครัวพ่อค้า จะมากจะน้อยก็ต้องรู้บ้างล่ะ ถ้าพูดดำน้ำคร่าวๆ สักสองสามประโยค ก็น่าจะพอเอาตัวรอดไปได้


 


 


ทว่าสวี่มู่เจินก็ฟังจนมึนงงเช่นกัน จึงจงใจขยับเก้าอี้ กระแอมไอสองครั้ง ก่อนหันหน้าไปอีกทาง


 


 


หงเยียนจึงกัดริมฝีปาก นึกถึงอาการดีใจสุดๆ ที่ได้ออกจากกองสมุดบัญชีเมื่อเช้าของเขา ถึงได้ตระหนักในทันทีว่า คุณชายญาติผู้พี่ท่านนี้ จริงๆ แล้วไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการค้าแม้แต่น้อย!


 


 


หงเยียนทำอะไรไม่ได้ ขืนพูดจาปิดบังต่อไปก็เกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะคิดว่าตนไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นเสียงานใหญ่ จึงได้แต่บอกเป็นนัย


 


 


“เมื่อคุณชายดูออก ข้าก็ไม่ขอปิดบังอีก ข้ากำลังดำเนินการแทนนายข้าจริง นายข้าชอบร้านนี้มาก แม้เลือกอยู่หลายที่ แต่ก็ถูกใจร้านนี้มากสุด ข้าคุยกับเถ้าแก่ของร้านมาหลายวัน ซึ่งถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ต้องดำเนินการหาใหม่ ซึ่งเสียเวลามากทีเดียว จึงอยากขอให้คุณชายเห็นใจ โดยข้ากับนายจักไม่ลืมน้ำใจของคุณชายในครั้งนี้อย่างแน่นอน”


 


 


ชายหนุ่มสั่นศีรษะ ก่อนตอบด้วยท่าทีสบายๆ


 


 


“ไม่ลืมน้ำใจจะมีประโยชน์อะไร นี่เป็นเพียงคำพูดสวยหรูที่จับต้องไม่ได้ นายข้าชอบความจริง”


 


 


ความจริง? หงเยียนไม่เข้าใจ


 


 


ชายหนุ่มหัวเราะอย่างมีเลศนัย ก่อนจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าพลางว่า


 


 


“นายข้า ถ้าจะบอกว่าดี ก็ถือเป็นผู้มากน้ำใจคนหนึ่ง แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ดี ต่อให้ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดก็ไม่เป็นผล เมื่อเจ้าอยากได้ร้านนี้มาก ก็ต้องบอกให้นายเจ้า…บอกนายข้าหน่อยว่า ทำไมถึงต้องยอมให้ ถ้ามีเหตุผลเพียงพอ ที่ทำให้นายข้าเห็นว่าได้กำไร เขาย่อมรับปากตามความเหมาะสม”


 


 


นี่…ถ้าให้ติดต่อประสานงานกับคนต่างๆ หงเยียนยังพอทำเนา แต่ถ้าให้นางใช้สมองคิดคำนวณอะไรทำนองนี้ โดยเฉพาะในขอบเขตที่ไม่เชี่ยวชาญแล้วล่ะก็ ลำบากลำบนจริงๆ คิดๆ ดูจึงว่า


 


 


“เช่นนั้นข้าขอกลับไปรายงานให้นายข้าฟัง แล้วค่อยให้คำตอบกับท่าน อย่างไร พรุ่งนี้เวลานี้ เรานัดเจอกันที่นี่อีกครั้งก็แล้วกัน”


 


 


ชายหนุ่มวางค่าน้ำชาลงบนโต๊ะ แล้วลุกเดินจากไป


 


 


 


 


เมื่อสวี่มู่เจินเดินออกจากร้านน้ำชา และเห็นหงเยียนไม่สนใจ ก็รู้แล้วว่านางกำลังโกรธ เพราะคิดว่าถูกเขาหลอก เขาจึงไม่กล้าแหย่นางเล่น แต่พอใกล้ถึงทางแยก สวี่มู่เจินค่อยยืนนิ่ง ถอนหายใจเศร้าๆ ออกมา


 


 


หงเยียนกำลังขุ่นข้องหมองใจ แต่พอได้ยินเสียงถอนหายใจ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ก่อนกัดริมฝีปาก แล้วถาม


 


 


“คุณชายสวี่ยังมีหน้ามาถอนหายใจอีก ท่านใช้ข้าเป็นข้ออ้างออกมาเดินเล่นชัดๆ ท่านไม่รู้เรื่องค้าขายก็ไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้ข้ารับหน้าเพียงลำพัง จนเกือบกลายเป็นตัวตลกแล้วไหมล่ะ” ว่าแล้วก็คิดเดินจาก


 


 


ทว่าสวี่มู่เจินยื่นแขนมายันกำแพง กันนางไว้ด้านใน ไม่ปล่อยให้นางไป


 


 


“เรื่องนี้ข้าไม่ค่อยรู้ และขี้เกียจจะรู้ด้วย แต่เรื่องบางอย่างข้าเก่งมากเลย!”      


 


 


“คุณชายสวี่นี่หน้าด้านหน้าทนจริงๆ…” พอเห็นเขากั้นตนไว้ ขยับเข้าใกล้ แล้วทำหน้ากรุ้มกริ่ม หงเยียนก็ก่นด่าออกมา


 


 


สวี่มู่เจินว่า “ไม่เชื่อ วันหลังเราไปขี่ม้า ยิงธนู ตีคลีกัน ดูว่าข้าเก่งขนาดไหน”


 


 


ที่แท้ตนก็คิดนอกลู่นอกทางไปเอง หงเยียนหน้าแดง


 


 


สวี่มู่เจินมาเป็นเพื่อนหงเยียนที่ร้านน้ำชา แม้สายแล้ว แต่ถ้าบึ่งไปตอนนี้น่าจะยังเจอรัชทายาททัน จึงไม่รอช้า บอกลาหงเยียน แล้วหายลับไป


 


 


หงเยียนมองตามหลังเขา แล้วยืนนิ่งอยู่สักพัก ค่อยไปจวนรองเท้ากรม


 


 


ตอนนี้ ถ้าหงเยียนอยากพบอวิ๋นหว่านชิ่น ก็ต้องเข้าทางประตูหลัง ขอพบเมี่ยวเอ๋อร์หรือชูซย่าก่อน ด้วยเกรงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะมีปัญหากับคนในครอบครัว เนื่องจากเจ้านายสกุลอวิ๋นหลายคนรู้จักตนแล้ว รู้ว่าเดิมทีตนเป็นคนของเรือสำราญว่านชุน


 


 


ประตูหลังด้านนอก พอเมี่ยวเอ๋อร์เดินออกมา หงเยียนก็บอกนางว่า ร้านถูกผู้อื่นจองแล้ว จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ได้พบกับคนวางเงินจองในร้านน้ำชาให้ฟัง แล้วเสริมว่า


 


 


“พรุ่งนี้เขาอยากได้คำตอบจากคุณหนูใหญ่ ข้าคิดว่านายเขาไม่ใช่ผู้ที่จะรับมือได้ง่ายๆ เจ้าอย่าลืมบอกให้คุณหนูใหญ่ทบทวนให้ดีๆ ล่ะ”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์จดจำไว้ในใจ พอกลับถึงเรือนฝูหยิง ก็เล่าให้คุณหนูของตนฟัง


 


 


พอรู้ว่าร้านถูกคนจองตัดหน้า อวิ๋นหว่านชิ่นก็ตกใจ แต่พอได้ยินว่ายังไม่หมดหวัง ก็ตั้งใจฟังต่อ และกลั่นกรองคำพูดของผู้จองอีกครั้ง


 


 


พูดตรงๆ ก็คือ เถ้าแก่ลึกลับนั่นจะยอมปล่อยร้าน ก็ต่อเมื่อได้รับผลประโยชน์


 


 


ทว่าสำหรับเถ้าแก่ที่มั่งคั่ง กระทั่งค่าจองยังจ่ายได้ถึงห้าเท่านั้น นางยังจะเอาอะไรไปสู้ด้วย โดยนางไม่มีทางให้คืนเขาสิบเท่าเพื่อให้เขาปล่อยร้านอยู่แล้ว!


 


 


ถ้านางมีเงินมากพอ ก็คงไม่ต้องบอกให้หงเยียนไปต่อรองกับเถ้าแก่อ้วนตั้งหลายวันหรอก


 


 


เมื่อมาเช่าซื้อร้าน แปดถึงเก้าในสิบส่วนก็คือพ่อค้า


 


 


ดูไปแล้ว พ่อค้าผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา กระเป๋าหนักขนาดเงินจองที่จ่ายไปสามารถเช่าซื้อร้านย่านพระราชฐานได้สบายๆ เหตุใดจึงมาเช่าซื้อร้านเล็กๆ ธรรมดาๆ บนถนนจิ้นเป่าเล่า ไม่กลัวขาดทุนจริงหรือ คิดว่าจะได้กำไรจริงหรือ ใช้เงินฟุ่มเฟือยขนาดนี้ จะจองร้านไหนก็ได้ ไยต้องมาแย่งกับตนด้วย ตัดราคากันเห็นๆ!


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเบะปาก อดไม่ได้ที่จะก่นด่าเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังไปหลายประโยค


 


 


แต่ขึ้นชื่อว่าพ่อค้า ก็ล้วนเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง เช่นนี้ก็ต้องใช้ผลประโยชน์มาล่อแล้ว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิดสักพัก ก็หยิบกระดาษสีขาววางลงบนโต๊ะ แล้วหยิบพู่กันจุ่มหมึก ตวัดฉวัดเฉวียนไปมาบนกระดาษอย่างต่อเนื่อง ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม อักษรสีดำก็เรียงรายอยู่เต็มหน้ากระดาษ จากนั้นก็พับกระดาษ ใส่ลงไปในซองจดหมายหนังวัว มอบให้เมี่ยวเอ๋อร์ แล้วกำชับอะไรบางอย่าง


 


 


พอเมี่ยวเอ๋อร์ออกมา ก็มอบของที่หงเยียนรออยู่ครึ่งค่อนวันให้ พร้อมถ่ายทอดคำพูดจากอวิ๋นหว่านชิ่นให้ฟัง


 


 


หลังเที่ยงของวันรุ่งขึ้น เวลาเดียวกับเมื่อวาน เมื่อหงเยียนรุดไปถึงร้านน้ำชาตงฮุ่ยนั้น ชายหนุ่มก็รออยู่ก่อนแล้ว


 


 


พอเขาเห็นหงเยียน ก็ยกมุมปากขึ้น “นายเจ้าตอบว่าอะไร”


 


 


หงเยียนนำซองจดหมายออกมาอย่างไม่รีบและไม่ช้าจนเกินไป ยื่นให้เขา แล้วว่า


 


 


“นี่คือการประเมินผลที่ร้านจะได้รับภายในหนึ่งปีของนายข้า รวมทั้งผลกำไรแต่ละแบบ รายจ่าย ต้นทุนเป็นต้น ซึ่งสามารถอธิบายข้อสงสัยของทุกอย่างที่ท่านถามเมื่อวาน”


 


 


นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มขยับ เปิดจดหมายอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งจะว่าไป รูปแบบของการทำบัญชีในสมัยนี้ ล้วนเต็มไปด้วยตัวเลขของจำนวนเงินและวันที่เรียงรายกันเป็นตับ แสดงให้เห็นรายรับรายจ่ายทุกสามสิบวันในหนึ่งเดือน ซึ่งวันหนึ่งๆ ต้องเปลืองเนื้อที่ราวหนึ่งหน้ากระดาษ ถ้าบันทึกบัญชีในหนึ่งเดือน อย่างน้อยก็ต้องใช้สมุดบัญชีหนึ่งเล่ม แต่นางกลับสามารถเขียนลงบนกระดาษเพียงแผ่นเดียว


 


 


บนกระดาษตีเป็นตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ในตารางแบ่งซอยเป็นช่องเล็กๆ หลายช่อง ตัวอักษรหรือตัวเลขในแต่ละช่องถูกเขียนอย่างเป็นระเบียบ ช่องแนวขวางด้านบนคือวันเวลาเรียงตามลำดับ ช่องแนวยาวด้านซ้ายคือรายการ เช่น ค่าแรงพนักงาน ต้นทุนสินค้า ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด เป็นต้น


 


 


แม้มองปราดเดียวจะรู้สึกตาลาย คล้ายภาพวาดของเด็กเล็ก แต่ถ้าดูให้ละเอียด ก็พอจะมองแนว


 


 


ทางออก ซึ่งชัดเจนและรัดกุมกว่ารูปแบบการทำบัญชีที่พบเห็นทั่วไปมาก!

 

 

 


ตอนที่ 74-3 ธุรกิจร่วมทุนกับเรื่องหน้าแตกในวัง

 

พอหงเยียนเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่ม ก็ลองหยั่งเชิงดู


 


 


“คุณชาย เป็นอย่างไรบ้าง ตารางที่นายข้าเขียน ชัดเจนใช่ไหม”


 


 


“มีการคิดคำนวณในใจแล้วจริงๆ ดูๆ ไป การค้าเช่นนี้มีกำไร ไม่ขาดทุนแน่ รัดกุมมาก” ชายหนุ่มพับจดหมายคืนดังเดิม เก็บกลับไปให้นายของตนดู


 


 


ได้ยินดังนี้ ตาสวยของหงเยียนก็ทอประกาย ยิ้มในแววตา โน้มศีรษะไปข้างหน้า บอกเรื่องที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำชับไว้


 


 


“ทำการค้า ไม่มีอะไรมากไปกว่าความเชื่อมั่น เมื่อคุณชายรู้สึกว่านายข้าเป็นคนรู้งาน และธุรกิจมีอนาคตไกล ยินดีที่จะมาเป็นหุ้นส่วนกันไหม”


 


 


ชายหนุ่มครุ่นคิด ที่แท้นางก็คิดใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้ร้านมา หึๆ นับว่าฉลาดมาก ถ้าให้สู้เรื่องเงิน นางย่อมรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ แต่ถ้าสามารถร่วมทุนกัน นางได้ร้านแน่ และไม่แน่ว่า ค่าเซ้งร้านสักแดง นางก็ไม่ต้องจ่าย


 


 


“ร่วมหุ้น?” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ


 


 


“ขอถามหน่อยสิ” หงเยียนยังไม่ตอบคำถามในทันที พลันยิ้มแล้วถามกลับ “นายของคุณชายเซ้งหน้าร้านที่ถนนจิ้นเป่า เพื่อเปิดร้านอะไรหรือ”


 


 


ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วแบมือออกอย่างเกียจคร้าน “อะไรก็ได้ ขายเสื้อผ้า ขายทอง หรือไม่ก็เปิดเป็นร้านน้ำชา โรงเหล้า ถ้าขอใบอนุญาตจากทางการได้ ก็อาจเปิดเป็นหอนางโลม หรือบ่อนการพนัน แต่ถ้ายังไม่ได้อีก ก็ปล่อยทิ้งไว้ก่อน มีโอกาสค่อยปล่อยเช่า กินค่าเช่าไป”


 


 


เป็นไปตามที่คุณหนูอวิ๋นคาด เถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้ กินอิ่มแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี จึงเอาเงินมาเผาเล่น ตอนนี้เศรษฐีมีกะตังค์ในต้าเซวียนจำนวนไม่น้อยเที่ยวกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ แล้วปล่อยทิ้งไว้เก็งกำไร คิดว่าเถ้าแก่ท่านนี้ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่!


 


 


หงเยียนขมวดคิ้วน้อยๆ แต่กลับยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบาน


 


 


“เช่นนี้จะว่าไป นายของคุณชายก็ค่อยๆ เดินไปทีละขั้น ไม่มีแผนการ ถึงเซ้งร้านที่ถนนจิ้นเป่าไว้ ก็มิได้เข้าไปจัดการด้วยตัวเอง ต้องจ้างคนมาดูแล ซึ่งประจวบเหมาะกับนายข้ามีแผนสำเร็จรูปอยู่พอดี จึงสามารถปล่อยให้นายข้าจัดการได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่นายข้าไม่ใช่ลูกจ้างช่วยงานนะ เพราะเราจะร่วมลงทุนด้วยส่วนหนึ่ง ก็เท่ากับร่วมหุ้นกับพวกท่าน กำไรแบ่งกันสี่หก สิ้นปีปันผล”


 


 


“สี่หก? นายข้าเป็นคนจ่ายเงินเซ้งร้าน ถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ แต่ได้แค่หก?” ชายหนุ่มหรี่ตา


 


 


“มิได้” พอหงเยียนเห็นเขาเข้าใจผิด จึงสั่นศีรษะ “นายข้าหก นายของท่านสี่”


 


 


ชายหนุ่มมองหงเยียนนิ่ง “นายเจ้า ไม่โลภไปหน่อยหรือ”


 


 


หงเยียนยิ้มตาหยี “แต่นายของคุณชายนั้น ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เพียงนั่งอยู่ที่บ้านรับเงินปัน


 


 


ผลในทุกๆ ปีก็พอ ถ้ากำไรมากก็รับมาก ถ้ากำไรน้อยก็รับน้อย แต่นายข้าต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจบริหาร


 


 


จัดการธุรกิจ ดูแลลูกค้า คิดค้นสินค้าใหม่ๆ พัฒนาร้าน ทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีเงินเป็นกำลังใจ จะมีแรงคิดหาวิธีทำกำไรให้นายของคุณชายได้อย่างไร”


 


 


“นี่ก็คือคำพูดของนายเจ้าหรือ” ชายหนุ่มจี้ถามไปทีละจุด


 


 


หงเยียนพยักหน้า “ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของนายข้า ส่วนข้าเป็นผู้ถ่ายทอดให้คุณชายฟัง ตอนนี้ก็ขึ้นกับคุณชายแล้วว่า จะตัดสินใจอย่างไร”


 


 


ชายหนุ่มตรึกตรองสักพัก “พวกเจ้ารอจดหมายก็แล้วกัน”


 


 


พอได้ยิน หงเยียนก็รู้แล้วว่ามีความหวัง จึงรีบถาม “ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่นายของคุณชายเลย ไม่ทราบว่าเป็นพ่อค้าบ้านไหน ต่อไปถ้าได้ร่วมงานกันแล้ว ไม่ทราบชื่อผู้ถือหุ้นก็ดูกระไรอยู่”


 


 


ชายหนุ่มหัวเราะพลางชายตามองหงเยียน “นายเจ้าบอกให้เจ้ามาเจรจาการค้า แต่นางกลับอยู่เบื้องหลังไม่ยอมปรากฏตัว เช่นนี้ไม่เรียกว่าลับๆ ล่อๆ หรือ ในเมื่อนายเจ้าไม่ยอมเปิดเผยตัวตน นายข้าก็เช่นกัน เขามีกิจการมากมาย และใช่ว่าทุกกิจการ ผู้ช่วยบริหารจะรู้ชื่อเจ้าของ วันหน้าถ้าเราสนิทกันแล้วค่อยว่ากัน ส่วนตอนนี้ถ้ามีอะไรคืบหน้า ข้าจะบอกให้เถ้าแก่ร้านคนก่อนส่งจดหมายให้เจ้าเอง”


 


 


และไม่ถึงสองวัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้รับข่าวดี


 


 


เถ้าแก่อ้วนไปหาหงเยียนที่ตรอกดอกบัว ซึ่งเจ้าของร้านทุนหนาที่อยู่เบื้องหลังกำชับเขามาว่า ให้เพิ่มเอกสารสัญญาเซ้งร้านอีกหนึ่งแผ่น มอบอำนาจจัดการร้านให้หงเยียน โดยสามารถเบิกจ่ายทุกเมื่อ


 


 


ในสัญญานอกจากระบุถึงเรื่องพื้นฐานต่างๆ แล้ว ยังทำเครื่องหมายไว้ชัดเจนว่า ให้หงเยียนเป็นผู้จัดการร้าน โดยผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นอ่านสัญญาแล้วก็ไม่มีปัญหา ด้วยรู้ว่าในทางปฏิบัติ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย สุดท้ายก็เคาะ


 


 


ทว่าก็แปลกใจนิดหน่อยที่เถ้าแก่ผู้อยู่เบื้องหลังไม่ยอมเปิดเผยสถานะ ในสัญญา ฝั่งนางมีหงเยียนทำเครื่องหมายรับรอง ฝั่งนั้นมีเถ้าแก่อ้วนเป็นคนกลาง โดยไม่ปรากฏร่องรอยของคู่สัญญาให้เห็นแม้แต่น้อย…


 


 


แต่คิดๆ ดูก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เศรษฐกิจต้าเซวียนกำลังเจริญรุ่งเรือง พ่อค้ามั่งคั่งเช่นนี้จึงมีอยู่มากมาย บางครั้งเซ้งร้านไปงั้นๆ พอหันกลับมาอีกทีก็ลืมไปแล้ว ไม่สนใจอะไรมาก วานให้คนไปจัดการ ชนิดที่สิบปีไม่เคยไปเหลียวแล ก็มีเป็นจำนวนมาก


 


 


กระทั่งขุนนางหลายคนก็ชอบหารายได้เสริมด้วยการทำค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งบางครั้งไม่สะดวกออกหน้า ก็ต้องใช้ชื่อผู้อื่นดำเนินการแทน และถ้าได้เงินปันผลอะไร ก็แค่เปลี่ยนจากตั๋วแลกเงินเป็นเงินสด ไม่จำเป็นต้องนัดเจอกัน สะดวกยิ่ง


 


 


เมื่อจัดการเรื่องใหญ่สุดเสร็จเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นก็บอกให้หงเยียนลองไปหาผู้ช่วยที่ตลาดแรงงานดู โดยช่วงเปิดร้าน นางอยากให้มีคนในร้านแค่ชายคนหญิงคนก่อน ซึ่งก็คือเด็กรับใช้คอยวิ่งงาน และแม่บ้านคอยช่วยงานหงเยียนในร้าน


 


 


หงเยียนคลุกคลีอยู่ในสังคมมาหลายปี จึงอ่านคนออกมองคนเป็น ไม่ถึงครึ่งวัน ก็สามารถเลือกเด็กรับใช้


 


 


ที่ซื่อสัตย์และฉลาดจากตลาดแรงงานได้คนหนึ่ง ชื่ออาหล่าง ปีนี้แม้อายุแค่สิบห้าและเพิ่งมาจากชนบท แต่หงเยียนเห็นเขามีไหวพริบ ความรู้สึกไว เรียนรู้เร็ว สำคัญสุดคือ เพิ่งเข้าเมือง จึงค่อนข้างใสและขยัน ไม่ร้ายกาจเหมือนเด็กรับใช้ทั่วไป ร้านเปิดใหม่เช่นนี้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าความซื่อสัตย์


 


 


ส่วนแม่บ้านนั้น คิดไปคิดมา หงเยียนก็หารือกับอวิ๋นหว่านชิ่นว่า จะให้ป้าสี่หรือท่านป้าแซ่จู้มาทำหน้าที่นี้ เนื่องจากพอพี่เฉียวตายไป ป้าสี่ก็ไม่มีญาติที่ไหนอีก และพอได้ยินว่าพี่เฉียวตาย นางก็เศร้าเสียใจและร้องไห้ แต่ก็เข้าใจดี ว่าเป็นเพราะหลานตนนิสัยไม่ดีเอง จะโทษคนอื่นไม่ได้ ทั้งยังฝากหงเยียนให้ช่วยบอกคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นด้วยว่า ขออภัยในความผิดของหลานด้วย


 


 


ช่วงระยะเวลาที่อยู่กับนาง หงเยียนดูออกว่านางเป็นผู้สูงวัยที่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ที่ว่าสูงวัย ก็แค่ห้าสิบต้นๆ ร่างกายยังแข็งแรงดี เป็นแม่บ้านในร้านย่อมไม่มีปัญหา


 


 


เช่นนี้ ผู้ช่วยก็เรียบร้อย


 


 


ตู้และชั้นวางสินค้าที่ร้านเดิมยกให้ ก็ยังแข็งแรงและใหม่อยู่ เอามาทาสีทับหน่อยเป็นใช้ได้ พอเปลี่ยนป้ายชื่อร้านเสร็จ ขนสินค้าเข้ามาจัดวาง ก็เท่ากับเสร็จงานใหญ่


 


 


ทว่า ยากก็แต่ขั้นตอนสุดท้ายนี่ล่ะ ป้ายชื่อร้าน


 


 


โดยหงเยียนรอชื่อร้านจากคุณหนูใหญ่อยู่ ถ้าได้เมื่อไหร่ก็จะไปแถวร้านทำป้าย สั่งทำป้ายอักษรสีทองอย่างดี แล้วหาฤกษ์งามยามดียกขึ้นไปแขวนหน้าร้าน


 


 


แต่จนแล้วจนรอด คุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ส่งมาให้สักที


 


 


ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่ เมื่อเป็นป้ายชื่อร้าน ก็ต้องตั้งชื่อร้านมาสักชื่อ โดยตอนนี้ร้านค้าปลีกเครื่องประทินผิวที่มีชื่อเสียงก็มี ร้านเทียนเซียง ร้านฮ่าวหลาน ร้านลี่เหยียน รวมทั้งร้านฮุ่ยเหยียนของสกุลสวี่ที่อยู่เชิงเขาโย่วเสียน…ชื่อแต่ละแบบแต่ละชนิดก็ล้วนมีคนตั้งไปแล้ว และที่ผ่านมาก็ใช่ว่านางไม่เคยคิด แต่เพราะคิดมากจนเกินไป อวิ๋นหว่านชิ่นอยากได้ชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร


 


 


นี่เป็นเรื่องของภาพพจน์ นางเป็นน้องใหม่ ก็ต้องใช้ภาพพจน์ที่แปลกใหม่ดึงดูดลูกค้า ดังนั้น หลังจากคิดหน้าคิดหลัง นางจึงยอมลดปริมาณ แต่ไม่ลดคุณภาพ หรือก็คือยอมปล่อยให้ป้ายว่างชั่วคราว จะไม่ตั้งชื่อแบบขอไปที ให้ช่างทำป้ายทำแล้วแขวนขึ้นไปให้เสร็จๆ อีกอย่างช่วงนี้ก็เป็นช่วงทดลองตลาด ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ นางไม่รีบ 

 

 


ตอนที่ 74-4 ธุรกิจร่วมทุนกับเรื่องหน้าแตกในวัง

 

เช่นนี้ หงเยียนจึงพาอาหล่างกับจู้ป้าสี่มาที่ร้านก่อน เพื่อจัดร้าน และลองเปิดขายดู


 


 


โดยสินค้าที่จัดเรียงในร้านส่วนใหญ่นำมาจากร้านฮุ่ยเหยียน เพื่อให้หน้าร้านดูแน่น มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย แม้คนอาจไม่เข้าร้าน เพราะร้านไม่มีป้ายชื่อ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็นำเครื่องประทินผิวที่ทำเองกับมือมาวางขายด้วย โดยตั้งให้เป็นสินค้าแนะนำ เนื่องจากกลัวว่า ถ้าแปลกใหม่เกินไป ลูกค้าอาจรู้สึกแปลกๆ ไม่กล้าใช้ ดังนั้นช่วงแรกจึงทำแต่สินค้ายอดนิยมอย่างแป้ง น้ำมันแต่งผม น้ำหอม เป็นต้น


 


 


ทว่ากลับได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร้านไม่มีชื่อหรืออย่างไร จึงทำให้คนอยากรู้อยากเห็น วันแรก กลับดึงดูดลูกค้าให้เดินเข้าร้านได้จริงๆ แม้ไม่ได้ซื้ออะไร แต่ก็ทำให้ร้านดูคึกคัก ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีอย่างหนึ่ง


 


 


ที่จวนสกุลอวิ๋น อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังยุ่งจนหัวฟูแต่ก็สุขใจ ถ้าไม่ติดต่อถามไถ่หงเยียนเกี่ยวกับสถานการณ์ร้าน ก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง อ่านหนังสือและทำบันทึกย่อ ค้นคว้าพัฒนาสูตรสมุนไพรแต่ละชนิด ระหว่างนี้ ลวี่สุ่ย สาวใช้คนสนิทของอวี้โหรวจวงยังมาหาด้วยรอบหนึ่ง


 


 


รอบนี้ ท่าทีของลวี่สุ่ยเปลี่ยนชนิดหักมุมร้อยแปดสิบองศา ไม่เชิดหน้าชูคอเหมือนครั้งก่อน สีหน้าก็อ่อนโยนลง ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น พูดเพียงยาสระผมใช้ดี จึงมาซื้อกับคุณหนูอวิ๋นอีกสองกล่อง ก่อนไปยังขอครีมดอกไม้อีกสองสามกระปุกด้วย


 


 


ชูซย่าไม่รู้สึกดีกับสองนายบ่าวคู่นี้แม้แต่น้อย แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่รู้สึกอะไร ถ้านางเป็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าจริง ก็อาจฮึดขึ้นมาเฮือกหนึ่ง แล้วไล่ลวี่สุ่ยไปอย่างหยิ่งทะนงก็เป็นได้ แต่ข้างในจริงๆ ของนางในตอนนี้ ได้เลยวัยขบถที่โกรธเกลียดความฟอนเฟะของสังคมไปนานแล้ว


 


 


ลูกค้ามีหลากหลาย แต่ละคนมีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ชอบขี้หน้าก็ต้องไล่ไปให้พ้นๆ เช่นนั้นหรือ


 


 


เช่นนี้ก็จะกินข้าวชามนี้ไม่ได้อีกไปโดยปริยาย


 


 


นางไม่ชอบอวี้โหรวจวงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่ชอบเงิน


 


 


เมื่อลูกค้ามาซื้อของถึงหัวกระไดบ้าน นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่ลูกค้าไป


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ยื่นครีมดอกไม้ให้ลวี่สุ่ยตามที่นางต้องการ แล้วนัดว่าอีกสามวันให้หลังค่อยมาเอายาสระผม ลวี่สุ่ยรับของ กล่าวขอบคุณ แล้วค่อยออกจากบ้านสกุลอวิ๋นไป


 


 


จากนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นก็ยุ่ง จนแทบไม่มีเวลาสนใจเรื่องวุ่นๆ ในบ้านก่อนหน้านี้


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังคงถูกขังอยู่ในห้องเล็กข้างห้องบูชาบรรพชน ถงฮูหยินมีอนุฟางคอยช่วยจัดการงานหลังบ้าน ส่วนอวิ๋นเสวียนฉั่งนั้น ยุ่งยิ่งกว่า ยุ่งจนหมู่นี้ไม่ค่อยได้กลับจวน


 


 


เนื่องจากอีกไม่กี่วัน ฉินลี่ชวนต้องยื่นหนังสือขอเกษียณอายุราชการอย่างเป็นทางการให้กับฝ่าบาทในช่วงเช้าของการออกว่าราชการในท้องพระโรง ก่อนกล่าวสดุดีพระมหากรุณาธิคุณ จากนั้นตามกฎหมาย เมื่อขุนนางอาวุโสลาออกจากตำแหน่ง หลังเสร็จสิ้นราชกิจในท้องพระโรง หนิงซีฮ่องเต้ต้องเรียกประชุมเสนาบดีหรือเจ้ากรมต่างๆ ได้แก่ กรมขุนนาง กรมธรรมการ กรมพระคลัง ฯ รวมทั้งรองเจ้ากรม พร้อมขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคน ให้มาร่วมกันเลือกผู้ที่มีความสามารถ เข้าดำรงตำแหน่งที่ว่างลงของฉินลี่ชวน ซึ่งปกติแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกในที่ประชุม สุดท้ายก็จะได้เป็นเจ้ากรมกลาโหมคนใหม่


 


 


ในที่ประชุม ลำดับแรก เจ้ากรมกลาโหมคนก่อนต้องนำเสนอรายชื่อให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเป็นครั้งแรก โดยถ้าใครมีรายชื่อในนั้น ก็ถือว่าได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าฝ่าบาททรงพิจารณาแล้ว และไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไร แปดถึงเก้าในสิบส่วน ชื่อที่ถูกนำเสนอก็คือผู้สืบทอดตำแหน่งต่อ


 


 


ทว่า หลังจากเรื่องผูกดวงของลูกสาวคนโต อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ไม่หวังอะไรจากฉินลี่ชวนอีก แค่ไม่เหยียบเท้าตนเพื่อแก้แค้นก่อนจากไป ก็นับว่าบุญโขแล้ว จึงได้แต่วิ่งเต้นตำแหน่งกับขุนนางกรมอื่นๆ โดยใช้เส้นสายกับเงินทองสานสัมพันธ์ เผื่อพวกเขาจะช่วยผลักดันตนในที่ประชุมบ้าง


 


 


ด้วยเหตุนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงยุ่งจนหัวหมุน ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไหนเลยจะมีเวลามาใส่ใจไป๋ฮูหยินที่อยู่ข้างห้องบูชาบรรพชนอีก


 


 


ส่วนอวิ๋นหว่านเฟย หลังจากเข้าจวนโหวได้ไม่ถึงสองวัน ก็มีข่าวลือไม่น่าฟังแพร่มาถึงบ้านสกุลอวิ๋นว่า อวิ๋นหว่านเฟยไม่ได้เข้าไปในจวนกุยเต๋อโหว แต่ถูกส่งให้ไปอยู่ตัวคนเดียวที่บ้านหลังน้อยในซอยหลังจวนโหว


 


 


ซึ่งบ้านหลังนี้ก็เป็นทรัพย์สินของจวนโหวเช่นเดียวกัน แต่ทิ้งร้างมานาน โดยเมื่อก่อนเคยให้ญาติๆ ของบ่าวในจวนพักอาศัย


 


 


พอข่าวแพร่มาถึง ก็เหมือนก้อนหินตกลงไปในน้ำนิ่ง เกิดเป็นคลื่นระลอกใหญ่


 


 


วันนั้นเป็นช่วงพลบค่ำ นานแล้วที่อวิ๋นเสวียนฉั่งมิได้เลิกงานกลับบ้านเช้าเช่นนี้ เพราะวันนี้การสานสัมพันธ์ไม่ค่อยราบรื่น อารมณ์เขาจึงไม่ค่อยดี อีกทั้งพรุ่งนี้หลังประชุมท้องพระโรง ฉินลี่ชวนก็ต้องนำเสนอรายชื่อให้ฝ่าบาททรงพิจารณาแล้ว


 


 


ครั้งนี้โอกาสในการได้เลื่อนตำแหน่งของตน เกรงว่าคงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย!


 


 


ขณะคิด อวิ๋นเสวียนฉั่งพลันรู้สึกแน่นหน้าอก กินข้าวไปได้คำหนึ่ง ก็ต้องหยุดกิน ไม่รู้สึกอยากอาหารแต่อย่างใด


 


 


สมาชิกครอบครัวสกุลอวิ๋นกำลังนั่งกินข้าวมื้อเย็นอยู่ในห้อง เรื่องของอวิ๋นหว่านเฟยก็ลอยจากด้านนอกมาเข้าหูทุกคน อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าบิดาม่วงคล้ำ นิ้วจับตะเกียบแน่น ไม่พูดไม่จา


 


 


ท่าทางพายุกำลังจะเข้า อนุฟางจึงสบตาอวิ๋นหว่านถง แล้วรีบก้มหน้าก้มตาคีบกับข้าวใส่ปาก ตามด้วยข้าวคำโต ไม่กล้าส่งเสียงออกมา


 


 


เนื่องจากสองวันนี้อากาศเย็นลงกะทันหัน อาชิงรู้สึกปวดท้อง หวงน้าสี่จึงต้องอยู่เป็นเพื่อนลูก คอยป้อนข้าวลูกที่เรือนตะวันตก ไม่ได้ออกมากินข้าวร่วมโต๊ะกับทุกคน มิเช่นนั้น บรรยากาศอาจถูกแต่งแต้มให้น่ากลัวกว่านี้ ส่วนถงฮูหยินก็มีท่าทางเช่นเดียวกับลูกชาย ไม่พูดจาใดๆ แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนไปจากเดิมจนเดาใจไม่ถูก


 


 


คนทั้งบ้านคล้ายเปลวเทียนในสายลม บ้างก็กำลังโกรธ บ้างก็กำลังหวาดกลัวสุดๆ มีเพียงอวิ๋นหว่านชิ่นที่มีท่าทางสบายๆ ใช้ตะเกียบคีบหมูแดง ตักน้ำแกงชามเล็กให้น้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งเคี้ยวข้าวไปได้สองคำ ก็หันไปกระซิบเสียงเบา “ท่านพี่ ท่าทางจะทะเลาะกันอีกหรือ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นทำเสียง ‘ชูว์’ ก่อนหันไปพูดข้างหูน้อง “ดูไปก่อน”


 


 


แต่ยังไม่ทันไร อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ระเบิดอารมณ์ ด้วยการเขวี้ยงตะเกียบออกไปไกล


 


 


“ไร้เหตุผลสิ้นดี ไร้เหตุผลสิ้นดี คนสกุลมู่หรงไม่เห็นคนสกุลอวิ๋นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!”


 


 


แต่ในใจเขาก็รู้ดีว่า คนสกุลมู่หรงไม่เต็มใจรับเฟยเอ๋อร์เข้าบ้าน โดยฉีกหน้าเขาแต่แรกแล้ว ตอนนี้ไยจึงต้องเห็นเขาอยู่ในสายตาด้วย


 


 


พอด่าจบ ข้าวที่เพิ่งกินเข้าไปสองคำก็คล้ายติดอยู่ในหน้าอกของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ทำให้เขารู้สึกจุกเสียดที่กล้ามเนื้อระหว่างทรวงอกทั้งสองข้าง สะอึก แต่สำรอกไม่ออก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีม่วง จึงต้องใช้มือนวดไปมาบริเวณหน้าอก


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสายตาให้น้อง อวิ๋นจิ่นจ้งจึงวางตะเกียบลง แล้วเรียกบ่าวรับใช้ให้ไปรินน้ำชาร้อนๆ มา ส่วนตนก็เข้าไปพยุงบิดา แล้วช่วยนวดกล้ามเนื้อระหว่างทรวงอก


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งจิบชาร้อนลงไปไม่กี่คำ สะอึกอีกไม่กี่ครั้ง ก็พลันโล่งหน้าอก รู้สึกสบายขึ้นมาก สีหน้ากลับคืนมาเลือดฝาดดังเดิม


 


 


คิดๆ ดู ยังคงเป็นลูกชายที่รู้กาลเทศะ เสียดาย เมื่อก่อนตนรักและเอ็นดูเฟยเอ๋อร์ไม่น้อยไปกว่าลูกชายแต่นางกลับทำให้ตนขายหน้าตลอด ครั้งแล้วครั้งเล่า คิดแล้วก็ทอดถอนใจ ก่อนพูด


 


 


“จิ่นจ้ง นี่ชาอะไรหรือ ดื่มแล้วรู้สึกสบายขึ้นมาก”


 


 


“ท่านพี่ชงชาใบมะกรูดกลิ่นกุหลาบ ด้วยการใส่กุหลาบแห้งกับใบมะกรูดแห้งลงไปในน้ำเดือด ซึ่งชงง่ายอีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิต ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย แก้ปวดท้องได้ด้วย” อวิ๋นจิ่นจ้งตอบเป็นวิชาการ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหันมองลูกสาว ดวงตาฉายแววชื่นชมออกมา หลายวันก่อนเห็นนางงีบหลับอยู่ข้างแปลงดอกไม้เล็กๆ ขณะทำสวนอยู่ข้างเรือน ก็รู้ทันทีว่านางกำลังค้นคว้าอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง ถ้าไม่ใช่เพราะอนุฟางเตือนสติ เขาก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว การค้นคว้าของนางกลับใช้ประโยชน์ได้จริงๆ


 


 


ก๊าซในกระเพาะอาหารแม้หายไป แต่ความขุ่นเคืองในใจยังไม่หาย


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าเปลี่ยนสีอีก “ไม่ได้ เรื่องขายหน้าเช่นนี้ ข้าต้องไปพูดกับคนสกุลมู่หรงให้รู้เรื่อง…” 

 

 


ตอนที่ 74-5 ธุรกิจร่วมทุนกับเรื่องหน้าแตกในวัง

 

ถงฮูหยินไม่ส่งเสียงอยู่ครึ่งค่อนวัน ใบหน้าเย็นชานิ่งงันอยู่นาน ที่สุดแล้วก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันออกมา


 


 


นางอยู่บ้านเจ้ารองมานาน เรื่องของอวิ๋นหว่านเฟยที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงแซยิดฮูหยินท่านโหว นางก็เคยได้ยินมา มิน่าเล่ามิน่า ที่เคยแปลกใจว่า เดิมทีคนที่ต้องแต่งออกไปเป็นฮูหยินจวนโหวคือชิ่นเอ๋อร์ ไฉนจึงกลายเป็นเฟยเอ๋อร์แต่งออกไปเป็นอนุได้ ที่แท้จุดพลิกผันของเรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง และเคยได้ยินเจ้ารองบอกว่า ไม่เสียแรงที่ไป๋ฮูหยินมีน้องสาวที่คุยกันได้คนหนึ่ง เป็นนางในอยู่ในวัง จวนโหวถึงได้รับปากว่าจะรับเฟยเอ๋อร์เข้าบ้าน


 


 


ถงฮูหยินวางตะเกียบลงอย่างแรง ก่อนพูดเสียงเย็นชา


 


 


“ลูกสาวที่แต่งออกไป ก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนุ ต่อให้ถูกเขาตีเขาฆ่า เจ้าจะทำอย่างไรได้…ไม่ต้องยุ่งแล้ว ต้องโทษที่เด็กมันไม่ฉลาดเอง อยากเข้าจวนโหวจนไม่สนใจที่จะรักษาความบริสุทธิ์ก่อนแต่ง จนคนรอบข้างต้องเดือดร้อนกันไปหมด ถ้าข้าเป็นท่านโหวอาวุโส ก็ไม่ญาติดีกับนางเหมือนกัน พูดก็พูด ให้เฟยเอ๋อร์แต่งไปเป็นอนุบ้านอื่น ยังดีกว่าจวนโหวที่มีกฎระเบียบเข้มงวดเลย! ล้วนต้องโทษไป๋ฮูหยินที่ทำอะไรไม่ปรึกษา ยัดเยียดเฟยเอ๋อร์ให้จวนโหวเอง ช่วยไม่ได้! แม้ข้าเป็นคนบ้านนอกคอกนา ก็ยังรู้เลยว่า ถ้าฮ่องเต้ได้ยินว่าเจ้าให้ลูกสาวไปเป็นอนุเขา แล้วยังไปยุ่งย่ามกับเขาอีก ย่อมไม่ชอบใจแน่ เจ้ารอง เจ้ามิได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด หรือถูกห่อตัวด้วยผ้าไหมดิ้นทองอย่างคุณชายผู้สูงส่ง การที่เจ้าไต่เต้ามาถึงขั้นนี้ได้ มิใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีผลต่อการเลื่อนตำแหน่งของเจ้าหรือเปล่า! ในเมื่อตอนนี้เลือดของไป๋ฮูหยินหยุดไหล เฟยเอ๋อร์ออกเรือนแล้ว เจ้าก็น่าจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ข้ารู้ ว่าเจ้ายังรักและอาลัยอาวรณ์นางอยู่ แต่ครั้งนี้นางทำผิดร้ายแรงมาก เจ้าอย่าได้ให้ผู้คนพูดไปเชียวว่า ที่หลังบ้านเจ้ายุ่งวุ่นวายเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้าตามใจเมียจนเสียคน!”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดขณะฟังมารดาพูดเป็นนัยว่าให้จัดการกับไป๋เสวี่ยฮุ่ย…เดิมทีเขาลังเลใจอยู่จริงๆ อย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี ย่อมนึกถึงความอ่อนโยนของนางในช่วงแรกๆ แต่ตอนนี้ เขาต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด จึงพลันผละจากเก้าอี้ เดินเข้าไปด้านใน


 


 


สตรีที่นั่งอยู่กับโต๊ะกินข้าวก็ไม่กล้าไปไหน ยิ่งไม่คิดพูดอะไร ได้แต่เคี้ยวข้าวช้าๆ รอ


 


 


การรับประทานมื้อเย็นในวันนี้ จึงยาวนานเฉกเช่นเดียวกับการรับประทานอาหารในคืนส่งท้ายปีเก่า ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ม่านก็ถูกเลิกขึ้น อวิ๋นเสวียนฉั่งกลับออกมาพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นในมือ น้ำหมึกบนกระดาษคล้ายยังไม่แห้ง รวมทั้งรอยประทับนิ้วมือ


 


 


“ท่านแม่” ดวงตาอวิ๋นเสวียนฉั่งแน่วแน่ แววตาเย็นยะเยียบดุจก้อนหิน ไร้ซึ่งความอ่อนโยน


 


 


“ตอนนี้เรื่องหลังเรือนทั้งหมด ท่านแม่เป็นคนจัดการ ลำบากท่านแม่ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยช่วยลูกแล้ว”


 


 


ถงฮูหยินรับแผ่นกระดาษจากมือลูกชาย แล้วเบิ่งตาชราดูคร่าวๆ เสียดายที่อ่านหนังสือไม่ออก จึงวางลงตรงหน้าอาเม่าที่นั่งอยู่ข้างๆ “ไหน ดูให้ย่าหน่อยซิ เขาเขียนว่าอะไร”


 


 


อาเม่าแม้ยังไม่โตดี แต่ก็เรียนในโรงเรียนชนบทมาแล้วสองปี ย่อมรู้หนังสือขั้นพื้นฐาน พอเห็นตัวอักษรด้านบนเด่นสะดุดตา ก็อ่านเสียงดังออกมา


 


 


“หนังสือ…หย่า!”


 


 


สตรีและเด็กๆ ที่นั่งอยู่กับโต๊ะล้วนกลั้นหายใจ


 


 


เจตนาตรงกันพอดี ถงฮูหยินจึงพับหนังสือหย่า เก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างมีความสุข ก่อนยกตะเกียบขึ้น


 


 


“เจ้ารอง ยังไม่กินข้าวอีก โกรธเสร็จ ก็ต้องกินข้าวให้อิ่ม ไหนบอกว่าพรุ่งนี้มีประชุมนัดสำคัญไง รีบกินแล้วก็รีบไปพักผ่อนเสีย”


 


 


หลังจากกินข้าวอิ่ม แต่ละคนก็แยกย้ายกันกลับเรือน พอเดินออกมา ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่ตกติดต่อกันหลายวันนั้น ได้หยุดไปนานแล้ว อากาศจึงสดชื่นเย็นสบาย แสงอาทิตย์อัสดงแผ่กระจายไปทั่ว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเหยียบไปบนหินกรวดตรงพื้นทางเดินช่วงสั้นๆ โดยมีเมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าขนาบซ้ายขวา ทั้งสามเดินไปเล่นไป ถือเป็นการเดินย่อยระหว่างทางกลับเรือน


 


 


พอเมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าเดินออกมาและได้ยินว่าหนังสือหย่าถูกเขียนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินตัวเบาและพูดมากขึ้น เจ้าพูดคำข้าพูดคำ พูดว่าคนชั่วย่อมได้รับกรรมตามสนอง ใช่ว่าจะลอยนวล แต่ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก ไป๋ฮูหยินกินอยู่อย่างสุขสบายมาสิบกว่าปี ไหนเลยจะคิดว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน จะเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ เริ่มจากลูกสาวตกต่ำไปเป็นอนุ ถูกคนที่บ้านสามีทิ้งให้อยู่นอกบ้านอย่างอัปยศอดสู ส่วนตัวฮูหยินเอง นอกจากแท้งลูกแล้ว สมบัติส่วนตัวยังถูกแย่งเอาไปหมด ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องเล็กๆ และตอนนี้กำลังจะโดนหย่า ต้องออกจากบ้านไปโดยไม่ได้อะไรติดตัวแม้แต่น้อย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นฟังแต่ไม่พูด นางกลับมิได้ดีใจเหมือนสาวใช้ทั้งสอง เรื่องจะราบรื่นเช่นนี้จริงหรือ


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจะจบสิ้นทุกสิ่งอย่างเช่นนี้จริงหรือ


 


 


หัวหน้าไป๋ที่อยู่ในวังจะยอมให้พี่สาวแท้ๆ ถูกขับออกจากบ้าน กลายเป็นแม่ม่ายผัวร้างเช่นนี้หรือ


 


 


ประสบการณ์เมื่อชาติก่อนบอกนางว่า ถ้าเรื่องยังไม่ถึงที่สุด อย่าเพิ่งด่วนดีใจ


 


 


และแล้ววันรุ่งขึ้น ความคิดนี้ก็ได้รับการยืนยัน


 


 


หลังเลิกประชุมเช้า อวิ๋นเสวียนฉั่งในชุดเต็มยศ มือถือแผ่นฮู้[1]สีหยกเดินออกจากท้องพระโรงอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมเหล่าขุนนางจากกรมต่างๆ ภายใต้การนำของหัวหน้าขันที เหยาฟู่โซ่ว ทั้งหมดเดินลดเลี้ยวไปตามระเบียงแดง เข้าสู่พระที่นั่งอี้เจิ้ง


 


 


ตอนเดินออกจากท้องพระโรง ฉินลี่ชวนหันมามองเขา และยิ้มเย็นชาออกมา


 


 


ยิ้มนี้ทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งเหงื่อไหลไม่หยุดขณะเดิน โดยระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา เขาก็รู้สึกโงนเงนแล้ว


 


 


หนิงซีฮ่องเต้ถอดมงกุฎ และเปลี่ยนจากชุดออกว่าราชการ เป็นชุดยาวหลวมๆ สีน้ำเงิน สวมผ้าคาดเอวถักลายมังกรและก้อนเมฆ ดูสบายๆ กว่าช่วงเช้ามาก ซึ่งตอนนี้ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้สี่ขาลายมังกรเรียบร้อย


 


 


ด้านหน้าที่นั่งขุนนางแต่ละท่าน มีโต๊ะเตี้ยไม้แดงตั้งอยู่ เหล่าขันทีน้อยต่างทยอยกันยกขนมนมเนยเข้ามาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ยืนถือกาน้ำชาสีทอง คอยรับใช้อยู่ด้านหลัง


 


 


โดยด้านหลังของโต๊ะแต่ละตัว ล้วนมีขันทีน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ คอยรินน้ำชาให้ขุนนางชั้นสูงที่อยู่ด้านหน้าเป็นระยะ


 


 


เหล่าขุนนางต่างเข้านั่งประจำที่ จิบชาร้อน คุยกันเรื่องการเมือง แล้วหนิงซีฮ่องเต้ก็ส่งเสียงดังกังวานเปิดประเด็น


 


 


“ท่านฉินอุทิศเวลาครึ่งชีวิตทำงานให้กับราชสำนัก แต่ตอนนี้กลับมาเกษียณ ทิ้งเราไปพักผ่อน ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างเพลิดเพลิน ทำให้เราต้องสูญเสียแม่ทัพที่ดีไปคนหนึ่ง”


 


 


คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา บรรยากาศจึงผ่อนคลายลง


 


 


ขณะเดียวกัน เหล่าขุนนางใหญ่ก็ตื่นตัว กำลังจะเริ่มฟาดฟัน ชิงตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหม!


 


 


ฉินลี่ชวนประสานมือพลางยิ้ม “กระหม่อมแม้ไม่อยู่ในราชสำนัก แต่ก็ตั้งใจคัดเลือกดาวรุ่งมาให้ฝ่าบาททรงพิจารณา ถึงตอนนั้นเขาย่อมทำงานต่อจากกระหม่อมได้เป็นอย่างดี ช่วยราชกิจฝ่าบาท พัฒนาต้าเซวียนเราให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป!”


 


 


พูดจบก็หันมองลูกน้องที่อยู่ตรงข้ามอย่างมีนัย…รองเจ้ากรมฝ่ายซ้าย


 


 


สายตาเช่นนี้ ย่อมเป็นสายตาเย้ยหยัน ข่มขวัญ และสะใจ


 


 


เม็ดเหงื่อผุดขึ้นในฝ่ามือของอวิ๋นเสวียนฉั่ง เขาใจเต้นไม่หยุด ก่นด่าตาแก่หนังเหนียวในใจ


 


 


ฉินลี่ชวนล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ ขณะคิดถวายสมุดพับรายชื่อ ท้องก็พลันปวดขึ้นมา อยากจะออกไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็อดทนไว้ ทว่าไหนเลยจะทนได้ ท้องมวนและปั่นปวนอย่างแรง จนได้ยินเสียงปู้ดป้าด คล้ายจะออกมาได้ทุกเมื่อ!


 


 


“ท่านฉิน?” หนิงซีฮ่องเต้เห็นเขาหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน จึงถามอย่างเป็นห่วง


 


 


ฉินลี่ชวนเหงื่อเย็นหลั่งไหล ยอมเสี่ยงลุกขึ้นยืน พูดพลางริมฝีปากสั่น “ฝ่า ฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมพลันปวดท้องมวน อาจเป็นเพราะวันนี้อากาศเย็น และตอนเช้ากินหมั่นโถวเย็นลงไป…”


 


 


เหล่าขุนนางบ้างเบ้ปาก บ้างแอบหัวเราะ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งลอบถอนหายใจ ก่นด่าในใจอีกสองคำ ตาแก่หนังเหนียว คิดล้างแค้นซึ่งหน้า ทำให้ข้าไม่ได้เลื่อนขั้น สมน้ำหน้า ท้องเสียตายได้ยิ่งดี จมถังส้วมตายไปเลย ไม่ต้องกลับมา!


 


 


หนิงซีฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ ขมวดคิ้ว “ตาเฒ่าอย่างเจ้านี่ ทำไมถึงทำตัวเช่นนี้! ยังไม่รีบไปอีก! ระวังเปื้อนห้องประชุมด้วย ถ้าไม่เห็นแก่เจ้าที่ใกล้เกษียณ เราต้องลงโทษเจ้าให้หนัก!”


 


 


ฉินลี่ชวนสูดหายใจเข้าลึกๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ไปกับขันทีน้อยนำทางที่อยู่ด้านหลัง มุ่งหน้าสู่ห้องน้ำที่อยู่หลังพระที่นั่งอี้เจิ้ง…


 


 


 


 


——


 


 


[1] แผ่นฮู้ แผ่นแบนยาวทำจากหยก งาช้าง หรือไม้ไผ่ ตามแต่สถานะของขุนนางผู้ถือ ใช้ถือไว้ด้านหน้าเวลาเข้าเฝ้ากราบทูลเรื่องราวต่างๆ กับฮ่องเต้ โดยขุนนางจะเขียนเรื่องต่างๆ โดยย่อไว้ด้านที่หันเข้าหาตัว แล้วพูดตาม เหมือนสมุดจดกันลืม 

 

 


ตอนที่ 75-1 พกยาพิษติดตัว

 

และแล้วภายใต้การนำของขันทีน้อย ฉินลี่ชวนก็ไปถึงห้องน้ำหลังพระที่นั่งอี้เจิ้งได้ทันท่วงที


 


 


ผ่านไปครึ่งก้านธูป ฉินลี่ชวนค่อยตัวเบาลง พอสวมกางเกงและรัดผ้ารัดเอวเสร็จ ก็ก้าวออกมาพลางสวดยับ บ้าจริง ทั้งๆ ที่ใกล้เกษียณกลับบ้านเลี้ยงหลานแล้ว ยังต้องมาขายหน้าฝ่าบาทกับพวกขุนนางซึ่งหน้าอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน ท้องไส้ข้าไม่ได้แย่แบบนี้นี่


 


 


 เพิ่งก้าวออกจากห้องน้ำ ขันทีน้อยที่ยืนรออยู่ก็จ้องมองตนพร้อมรอยยิ้มล้ำลึก


 


 


“ท้องไส้เจ้ากรมฉินในตอนนี้ ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?”


 


 


เฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างฉินลี่ชวนย่อมรู้ดีว่า ขันทีน้อยมิได้พูดเสียดแทงตน จึงนิ่งไป น้ำชานั่น…หรือว่าน้ำชานั่นมีปัญหา “เป็นเจ้า?”


 


 


“โอ้ ข้าน้อยไหนเลยจะมีขวัญกล้าเทียมฟ้าเยี่ยงนี้ กลัวถูกประหารจะแย่” ขันทีน้อยหัวร่องอหาย ก่อนสะบัดแส้ขนหางจามรีในมือ ก้าวเข้าหา แล้วล้วงสมุดพับเล่มหนึ่งออกจากแขนเสื้อ


 


 


“แต่มีผู้สูงส่งในวังคนหนึ่งอยากให้ใต้เท้าเสนาบดี ช่วยเปลี่ยนโผรายชื่อหน่อย”


 


 


…..


 


 


ในห้องประชุม


 


 


พอเห็นฉินลี่ชวนไปห้องน้ำ อวิ๋นเสวียนฉั่งแม้สะใจ แต่ก็รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้ามาก ทั้งๆ ที่รู้ว่ารายชื่อที่ฉินลี่ชวนนำเสนอ ไม่มีชื่อตน แต่ก็ยังไม่วางใจ ต้องได้ยินเขาประกาศออกมาก่อน จึงจะสบายใจ มิเช่นนั้น ในใจก็เหมือนมีหินก้อนหนึ่งทับไว้


 


 


ครึ่งชั่วยามผ่านไป ฉินลี่ชวนก็กลับเข้ามา


 


 


ขุนนางหลายท่านเห็นเขาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปป้องปากพูดข้างหู บ้างก็แอบหัวเราะ


 


 


ทว่าตอนนี้ ฉินลี่ชวนมิได้รู้สึกอับอายเช่นเมื่อครู่อีก เขาเดินเข้ามาอย่างเหม่อลอย พอเดินถึงกลางห้อง ก็กล่าวขออภัยกับหนิงซีฮ่องเต้ ที่เสียมารยาทเมื่อครู่


 


 


เมื่อเห็นเขาเข้าห้องน้ำเรียบร้อย แต่สีหน้ากลับซีดขาว ฝีเท้าก็ช้าลง หนิงซีฮ่องเต้จึงคิดว่าเขาอาจไม่สบายจริงๆ และเห็นแก่ที่เขาเป็นขุนนางสองรัชสมัย เป็นผู้อาวุโสที่อายุมากแล้ว จึงมิได้ตำหนิติเตียน คร้านที่จะเสียเวลาอีก จึงว่า “เมื่อไม่เป็นไรแล้ว ท่านฉินก็รีบส่งโผรายชื่อมาให้ข้าเถิด”


 


 


ฉินลี่ชวนล้วงสมุดพับออกจากแขนเสื้อ ส่งให้เหยาฟู่โซ่วด้วยมืออันสั่นเทา เหยาฟู่โซ่วจึงนำสมุดพับถวายให้หนิงซีฮ่องเต้


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งกำหมัดแน่น คับแค้นใจยิ่ง ตำแหน่งเจ้ากรมอยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่กลับหลุดลอยไปแบบนี้ ตนเป็นถึงรองเจ้ากรม นอกจากฉินลี่ชวนแล้ว ตนก็ใหญ่สุด ประสบการณ์ก็หลากหลาย เคยบังคับบัญชากองทัพด้วยตัวเองมาแล้วหลายสมรภูมิ ไม่มีใครมีคุณสมบัติเทียบเท่าตน ที่พอจะนั่งในตำแหน่งนี้ได้ แต่กลับ…


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งกัดฟันกรอด ลอบกอดอก ถอนหายใจ


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ เห็นเพียงหนิงซีฮ่องเต้ถือสมุดพับไว้ในมือ เงยหน้าขึ้น แล้วมองมาที่ตนด้วยสายตาค่อนข้างพินิจพิจารณา


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งยืนนิ่ง ในที่สุดฝ่าบาทก็เห็นตนอยู่ในสายตา…แต่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ หนิงซีฮ่องเต้ก็หรี่พระเนตรที่เปี่ยมอำนาจบารมี แล้วหันพระพักตร์ไปเล็กน้อย


 


 


“เราว่า ท่านอวิ๋นไม่เลวจริงๆ เป็นหนึ่งในสามรายชื่อเจ้ากรมที่เราเลือกไว้ในใจแต่แรก แสดงว่าท่านฉินกับเราใจตรงกัน”


 


 


กบาลคล้ายถูกอะไรตีไปทีหนึ่ง เห็นแสงสีเงินระยิบระยับ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งตื่นตกใจ มีตนอยู่ในรายชื่อด้วยหรือ? เป็นไปไม่ได้…


 


 


พอฉินลี่ชวนเห็นว่าฝ่าบาทมองอวิ๋นเสวียนฉั่งไว้แต่แรก ก็ยิ่งต้องพายเรือตามน้ำ เหลือบมองอวิ๋นเสวียนฉั่ง แล้วว่า


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ เสวียนฉั่งอยู่ในกรมกลาโหมมาหลายปี เป็นบุคลากรที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในกรมทั้งซ้ายและขวา ต้องสามารถบังคับบัญชากรมกลาโหมต้าเซวียนได้อย่างแน่นอน สมควรที่จะได้รับตำแหน่งเสนาบดี”


 


 


แววตาไม่ได้รู้สึกจากใจจริงทั้งหมด คล้ายถูกบังคับอยู่บ้าง


 


 


ของขวัญหล่นลงจากฟากฟ้า ใส่กบาลอวิ๋นเสวียนฉั่ง ทำให้เขาไม่ทันได้คิดอะไร สมองยังมึนงง ขณะรีบลุกขึ้นยืน “กระหม่อมรู้สึกละอายใจ ที่อายุราชการยังน้อย แต่ถ้าได้เป็นเสนาบดี ย่อมต้องอ่อนน้อมถ่อมทน ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทำงานหนักอย่างสุดความสามารถ เพื่อต้าเซวียนเรา!”


 


 



 


 


เลิกประชุม


 


 


ฝ่าบาทจากไปก่อน เหล่าขุนนางทยอยกันเดินออกจากพระที่นั่งอี้เจิ้ง


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งจงใจออกเป็นคนสุดท้าย เขาเดินเข้าหาฉินลี่ชวน ตาเฒ่านี่ จะมาไม้ไหนอีก ไม่มีทางที่จู่ๆ จะค้นพบสัจธรรมแน่


 


 


แต่เขายังไม่ทันได้เข้าใกล้ ฉินลี่ชวนก็กุมท้อง แย่จริง สลอดในน้ำชานั่นแรงมาก ยังถ่ายออกมาไม่หมด ปวดท้องอีกแล้ว พอเห็นอวิ๋นเสวียนฉั่งเดินเข้ามา ก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วพูดน้ำเสียงดูหมิ่น


 


 


“อาศัยเส้นสายเมีย เครือข่ายญาติ ต่อให้ได้เป็นเสนาบดี ก็เท่านั้น! โอ๊ย ท้องข้า…ไม่ไหว…” ว่าแล้วก็บึ่งไปห้องน้ำทันที


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดไปคิดมา ก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ขณะเดียวกัน ขันทีน้อยชุดแดงคนหนึ่งก็เดินจากระเบียงพระที่นั่งเข้ามาหาเขา


 


 


คุ้นหน้าจริง ขันทีน้อยผู้นี้คล้ายยืนอยู่ด้านหลังของฉินลี่ชวนตอนอยู่ในห้อง


 


 


ขันทีน้อยมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้อวิ๋นเสวียนฉั่ง


 


 



 


 


เวลาเดียวกัน ที่จวนสกุลอวิ๋น


 


 


หลังเที่ยง เมี่ยวเอ๋อร์ก้าวเข้ามาในเรือนฝูหยิง “คุณหนูใหญ่ ตอนนี้ผู้อาวุโสอยู่ที่ห้องน้อยข้างห้องบูชาบรรพชน พร้อมคนกลุ่มหนึ่ง นางบอกให้ท่านไปที่นั่นด้วย”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง วางมือลงจากงานที่ทำ แล้วเดินนำเมี่ยวเอ๋อร์ไปทางห้องบูชาบรรพชน


 


 


ห้องน้อยข้างห้องบูชาบรรพชน ที่ไม่มีใครถามถึงมาหลายวัน


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดวงแข็งมาก ที่รอดชีวิตจากการถูกลงโทษในครั้งนี้ บาดแผลส่วนล่างไม่อักเสบเพิ่ม สองวันนี้ปากแผลจึงปิดสนิท ไข้ก็ลดแล้ว พอได้ยินว่าหญิงชรามา ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด แต่จำต้องข่มความกลัวไว้ แล้วให้อาเถาไปเอากระจกกับหวี


 


 


พออาเถากลับมา ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็นั่งหน้ากระจก หวีผมรกรุงรังให้เรียบแล้วมวยขึ้น ล้างหน้าล้างตา เช็ดตัวคร่าวๆ ให้สะอาดด้วยน้ำหนึ่งกะละมัง จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างเตียง


 


 


หวงน้าสี่มาเป็นเพื่อนถงฮูหยิน พอเห็นน้องสะใภ้หน้าซีดเซียวยามไร้เครื่องสำอาง ก็แอบตกใจอยู่บ้าง นึกถึงตอนเห็นน้องสะใภ้ครั้งแรกที่มาเมืองหลวงใหม่ๆ นางเหมือนนางฟ้าก็มิปาน รักษาตัวเป็นอย่างดี และสวยแบบสาวรุ่น ผิวพรรณเนียนละเอียดสะอาดสะอ้าน ดวงตาอ่อนโยนมีเสน่ห์ ผมแต่ละเส้นก็หวีอย่างเรียบร้อยหมดจด เสื้อผ้าตลอดทั้งตัว รอยยับสักรอยก็ไม่มี ไหนเลยจะเหมือนสาวใหญ่อายุเฉียดสามสิบ ถ้าอยู่บ้านนอก ใครๆ ก็นึกว่าอายุสิบแปดสิบเก้า แต่ตอนนี้ ใบหน้าเหลืองตอบ เรื่องเนื้อตัวมีกลิ่นยากจะทานทนไม่ต้องพูดถึง รอบดวงตาที่เหม่อลอยบุ๋มลงไปคล้ายเบ้าเล็กๆ ร่องจมูกทั้งสองข้างลึกลงไปมาก ทำให้นางดูแห้งเ**่ยวเหมือนผู้สูงอายุ


 


 


ผู้หญิงอย่าหยุดสวย เฉกเช่นดอกไม้ที่ต้องบำรุงดูแลรักษาเสมอ แต่การแก่ชรา กลับทำได้ในเวลาไม่กี่วัน เพียงเจ็บปวดใจ กลุ้มใจ ตรากตรำทำงานหนัก ผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตเพียงครั้งเดียว กลับสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ เร็วยิ่งกว่าการแปลงโฉมเสียอีก


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ด้านหลังท่านย่า แววตาเฉยชาขณะจ้องมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย ลักษณะเช่นนี้ของไป๋ฮูหยิน นางไม่เคยเห็นมาก่อน ชาติที่แล้ว ตนต่างหากที่มีลักษณะเช่นนี้ แล้วสองแม่ลูกก็คงจ้องมองตนเองด้วยสายตาเช่นนี้


 


 


พอนึกได้แบบนี้ ก็คิดว่าการเป็นคนไม่อ่อนไหวง่ายก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องเอะอะอะไรก็ร้องไห้เสียใจให้กับผู้ชายใจโลเล กลุ้มใจที่มีลูกสาวอกตัญญู และโกรธเพราะถูกปล้นสมบัติพัสถาน


 


 


ถงฮูหยินกับหวงน้าสี่ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ตกใจเล็กน้อยกับท่าทางอิดโรยของไป๋ฮูหยิน ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน นางผอมลงไปมาก ดูราวกับต้นไม้แห้งเ**่ยว ยิ่งเปลี่ยนเป็นชุดผ้าเนื้อหยาบสีขาวล้วนแบบเรียบๆ ผมเผ้าก็มวยแบบลวกๆ จนย้อยห้อยลงต่ำ ไม่มีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด ทรุดโทรมกว่าบ่าวรับใช้ในบ้านเสียอีก


 


 


เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน 

 

 


ตอนที่ 75-2 พกยาพิษติดตัว

 

ก่อนมา ถงฮูหยินได้เตรียมใจไว้เผื่อ กรณีที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยโวยวายใหญ่โตขึ้นมาตามลักษณะนิสัยของนาง ก่อนจะกอดขาตนร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ตอนนี้พอเห็นนางสงบนิ่ง ก็ผิดคาดอยู่บ้าง ทว่าก็มิได้ลังเลใจนาน ล้วงหนังสือหย่าออกจากอกเสื้อ ทิ้งลงบนโต๊ะ


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหลือบมองหนังสือหย่า แล้วยิ้มเย็นชาที่มุมปาก ให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้ริมหน้าผาที่ถูกลมพัด จะร่วงไม่ร่วงแหล่ เป็นความอนาถใจในความสิ้นหวังอย่างหนึ่ง


 


 


“นี่เป็นความประสงค์ของท่านพี่?”


 


 


“แม้แต่ลายมือเจ้ารอง เจ้าก็จำไม่ได้รึ เจ้ารองเขียนหนังสือหย่าบนโต๊ะกินข้าวด้วยตัวเอง โดยที่ไม่มีใครพูดกำกับแม้แต่คำเดียว” ถงฮูหยินตอบอย่างเย็นชา นี่นางยังปล่อยวางไม่ได้อีกหรือ


 


 


พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้ว่าเป็นความประสงค์ของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที คล้ายกำลังหัวเราะ แต่ก็แฝงความเย็นยะเยียบของหิมะที่กลมกลืนกันจนดูไม่ออก แต่ยังคงมิได้ร้องไห้ฟูมฟาย คล้ายความโกรธแค้นและความรู้สึกไม่เป็นธรรมทั้งหมดได้หลอมรวมกับความเจ็บปวดตอนแท้งลูกและค่อยๆ มลายหายไปในหลายวันต่อมาแล้ว นางไม่เคลื่อนไหว ได้แต่นั่งอยู่ข้างเตียง


 


 


“เด็กๆ จับมือไป๋ฮูหยิน พิมพ์ลายนิ้วมือหน่อย” ถงฮูหยินเห็นนางไม่ขยับ ก็หันไปสั่งบ่าว


 


 


มอมอสองคนจึงก้าวเข้าไป คนหนึ่งกดไหล่ของไป๋เสวี่ยฮุ่ยไว้ อีกคนจับมือนางขึ้นมา ด้วยแรงที่แทบจะหักมือนางได้ ก่อนแกะนิ้วเรียวยาวบนฝ่ามือนางออก แล้วจับนิ้วหัวแม่มือ กดลงไปในดินสีแดง จากนั้นก็เคลื่อนไปบนกระดาษ


 


 


ตอนนี้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถึงคล้ายตกใจตื่นจากความฝัน จึงดิ้นไปมาอย่างแรง พลางกรีดร้อง


 


 


“ไม่ ข้าไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ ไม่พิมพ์…ข้าเป็นฮูหยินรองเจ้ากรม ใครก็แย่งตำแหน่งนี้ไปจากข้าไม่ได้ ในจวนรองเจ้ากรมข้าใหญ่สุด ท่านพี่รักข้ามากสุด…ข้าไม่พิมพ์!”


 


 


ถงฮูหยินชี้ “พิมพ์ลงไป! อย่าร่ำไร! รถม้ารออยู่ด้านนอก”


 


 


รถม้าด้านนอก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยนิ่งไปชั่วขณะ นางไม่มีญาติต่างถิ่น รากฐานของนางได้หยั่งลึกไว้ที่จวนรองเจ้ากรมในเมืองหลวงแล้ว ถ้าหนังสือหย่ามีผล บ้านสกุลอวิ๋นย่อมไม่อยากขายหน้า จึงไม่อนุญาตให้นางอยู่ในเมืองหลวง ต้องนำตัวนางไปทิ้งไว้ในที่ห่างไกลผู้คน…และไม่แน่ว่าอาจให้คนคอยจับตาดูนางด้วย


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่รู้เอาแรงมาจากไหน เกร็งมือยันเอาไว้ ทำให้มอมอกดไม่ลง


 


 


แต่พอเห็นสีหน้าผู้อาวุโส มอมอที่คิดจะหักมือนางอยู่ ก็ไม่ลังเลใจอีก เค้นแรงที่มีอยู่ทั้งหมด หักมือไป๋เสวี่ยฮุ่ยเสียงดัง ‘แก๊ก’ และมอมอก็ไม่รอให้นางร้องโหยหวนออกมา แข็งใจจับนิ้วหัวแม่มือนางกดลงตรงที่ว่างด้านล่างของหนังสือหย่า…


 


 


ด้านนอก เสียงย่ำฝีเท้าดังมา ตามด้วยเสียงเรียกขานของบ่าว “นายท่าน…”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเอะใจ บิดากลับมาแล้วหรือ เขายกเรื่องนี้ให้ท่านย่าจัดการแล้วนี่ ด้วยคร้านที่จะเผชิญหน้า


 


 


กับเรื่องยุ่งยากใจและเสียความรู้สึกเช่นนี้ แต่ตอนนี้พลันปรากฏตัวขึ้น หรือเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรอีก


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งสาวเท้าเข้ามาในห้องน้อยที่ทั้งเตี้ยและอับชื้น โดยไม่แม้กระทั่งมองไป๋ฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างเตียง ก้าวเข้าหาถงฮูหยินทันที ก่อนกดเสียงพูดลงต่ำ “ท่านแม่ หย่าไม่ได้”


 


 


เสียงแม้เบา แต่ห้องแคบ ทุกคนจึงได้ยินอย่างชัดเจน


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยคล้ายถูกหมอเทวดาฝังเข็มกระตุ้นหัวใจให้ในพริบตา รีบดึงวิญญาณคืนกลับ แววตาที่ล่องลอยแต่เดิม สุกใสขึ้นทันที ริมฝีปากที่แห้งแตกสั่นน้อยๆ ตื่นเต้นจนหยุดไม่อยู่


 


 


ถงฮูหยินหน้าเปลี่ยนสี “เจ้ารอง ผู้หญิงแบบนี้ ถ้าปล่อยให้กินตำแหน่งฮูหยินรองเจ้ากรมต่อ ก็จะเอาแต่จะคิดชั่ว ส่งคนลอบทำร้ายทายาทฮูหยินคนก่อนอีก นางเป็นคนเห็นแก่ตัวและโลภ มีความผิดครบถ้วนตามเกณฑ์การปลดออกจากตำแหน่ง อย่าว่าแต่หย่าเลย ถ้าตอนนี้ข้านำตัวนางไปฟ้องร้องยังที่ทำการอำเภอ ให้นางติดคุกหรือถูกประหาร ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เจ้ายังอาลัยอาวรณ์อะไรนางอีก นางเลี้ยงลูกสาวเจ้าจนโตมาเป็นแบบนั้น ทำให้เจ้าโงหัวไม่ขึ้นต่อหน้าสกุลมู่หรง เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่า ผู้หญิงคนนี้ใช่คนดีที่ไหน!”


 


 


“ท่านแม่ ลูกมิได้อาลัยอาวรณ์นาง” ในห้องมีทั้งบ่าวทั้งนายมากมาย อวิ๋นเสวียนฉั่งพูดมากไปไม่ดี จึงกดเสียงให้ต่ำลงอีก “เชิญท่านแม่ไปที่ห้องรับแขก ลูกจะค่อยๆ อธิบายให้ฟัง”


 


 


อีกนิดเดียวเท่านั้น ถงฮูหยินก็จะขับไล่สะใภ้เลวๆ ออกจากบ้านได้แล้ว ตอนนี้แม้ไม่อยากทำตามที่ลูกว่า แต่ก็รู้นิสัยของลูกดี จึงสะบัดแขนเสื้อ แค่นเสียงเย็นชา แล้วก้าวออกจากห้องไป


 


 


พอเห็นหญิงชราจากไป ไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่อยู่ในห้องก็ร้องไห้โฮออกมา คิดจะโผเข้าไปกอดขาสามี แต่ยังไม่ทันเรียก “ท่านพี่” อวิ๋นเสวียนฉั่งก็มีท่าทีหวาดกลัวเมื่อเห็นสภาพสกปรกของนาง จึงก้าวถอยหลังสองก้าว ขมวดคิ้ว พลางสั่งอาเถากับมอมอทันที


 


 


“รีบหน่อย อาบน้ำสระผมให้นาง หวีผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วย ยังมี มือนางเป็นอะไร หักหรือเปล่า? รีบเอาผ้ามาพันไว้ อย่าให้ใครดูออก…สรุปแล้ว ทำให้นางดูเป็นผู้เป็นคนปกติ…เดี๋ยวจะมีแขกมา”


 


 


มือขวาของไป๋เสวี่ยฮุ่ยหัก เพราะถูกหญิงชราบังคับให้ประทับลายนิ้วมือ ซึ่งเมื่อครู่ไหนเลยจะมีใครสังเกตเห็น พออาเถากับมอมอหันไปมอง ก็เห็นว่าบวมเปล่งแล้ว จึงรีบทำตามที่นายสั่ง ไปตักน้ำ ไปหยิบเสื้อผ้า ไปหยิบผ้าพันแผล วิ่งวุ่นกันแล้ว


 


 


ทุกคำพูดของบิดา ล้วนสะท้อนเข้าหูอวิ๋นหว่านชิ่นที่ยืนอยู่หน้าประตู มีแขกมา? นางกวักมือเรียกเมี่ยวเอ๋อร์ให้เข้าหา ก่อนกำชับเสียงเบา “เฝ้าดูอยู่แถวนี้หน่อย”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เข้าใจ “เจ้าค่ะ”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งสั่งการเรียบร้อย ก็เดินออกมา


 


 


พอถงฮูหยินเห็นลูกชายออกมา ก็ให้อวิ๋นหว่านชิ่นกับหวงน้าสี่พยุงซ้ายขวา ไปที่ห้องรับแขก


 


 


หน้าห้องรับแขก เมื่ออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นสองสาวพยุงมารดามา และมีทีท่าว่าจะเข้าไปด้วย ก็ลังเลใจ ก่อนยับยั้งไว้ “ท่านแม่ เรื่องนี้ ให้ลูกพูดกับท่านสองต่อสองจะดีกว่า…”


 


 


ดูท่า ต้องทำเรื่องน่าอายอะไรมาแน่ หาไม่แล้วทำไมต้องกันไม่ให้ใครรู้ด้วย อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเย็นชาที่มุม


 


 


ปาก


 


 


ถงฮูหยินจึงส่งสายตาให้หวงน้าสี่กับบ่าวและมอมอที่ตามมา ให้ถอยออกไปก่อน แต่กลับจับแขนของหลานสาวไว้แน่น ตบเบาๆ แล้วว่า


 


 


“อืม ให้น้าสี่กลับไปก่อน แล้วให้ชิ่นเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนข้า”


 


 


ถงฮูหยินก็เดาได้เช่นกันว่า อาจมีเรื่องอะไรหรือใครมาขวางไม่ให้ลูกชายหย่าเมีย มีคนอยู่อีกคน ย่อมมีผู้ช่วยเพิ่ม หลานสาวกับตนยืนอยู่ข้างเดียวกัน เป็นคนสกุลอวิ๋นเหมือนกัน ต้องให้อยู่ด้วย มีอะไรจะได้ช่วยกันพูด หรือมีอะไรที่ตนไม่เข้าใจ จะได้ให้นางอธิบายให้ฟัง


 


 


เมื่อเห็นมารดายืนกราน อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่ตอบรับ


 


 


ทั้งสามเดินเข้าห้องรับแขก อวิ๋นหว่านชิ่นปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย แล้วเดินมายืนข้างกายท่านย่า


 


 


พอบิดาเห็นประตูปิดลง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบ ยินดีปรีดายิ่ง


 


 


“ท่านแม่ วันนี้ตอนเข้าประชุมขุนนาง ฝ่าบาทมองมาที่ลูกด้วย เพราะลูกอยู่ในรายชื่อนำเสนอ เรื่องเจ้ากรมคนใหม่น่ะ มีสิทธิ์เป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน ต่อไปลูกจะได้เป็นขุนนางชั้นสอง เป็นเสนาบดี ท่านก็จะได้เป็นแม่เสนาบดีแล้ว! ไว้วันหลังลูกจะขอพระราชโองการแต่งตั้งฮูหยินอาวุโส ให้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลเรา!”


 


 


“โอ้ จริงหรือ” พอได้ยิน ถงฮูหยินก็ลืมเรื่องคับใจแถวห้องบูชาบรรพชนไปชั่วคราว พลอยดีใจจนตัวสั่นไปด้วย “ข้าก็ว่า ลูกชายที่ข้าเลี้ยงมากับมือ ต้องเก่งอยู่แล้ว! แม้เป็นเด็กบ้านนอก ไม่มีภาษีเทียบเท่าลูกขุนนางเหล่านั้นแล้วไง ลำพังความสามารถส่วนตัว ไม่พึ่งพาคนนอก ก็สามารถเหนือกว่าลูกท่านหลานเธอพวกนั้นได้! ยังไม่ถึงสี่สิบก็ได้เป็นเจ้ากรมกลาโหมแล้ว มีสักกี่คนที่ทำได้! ดี ดี ลูกข้าเก่งมาก!


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหงอยลง ดูจากลักษณะท่าทางของบิดาแล้ว ตำแหน่งเจ้ากรมนั่นน่าจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมเต็มที เมื่อวานยังมีสภาพเหมือนสุนัขตกน้ำ หายใจพะงาบๆ อยู่เลย วันนี้ทำไมถึงได้กลายเป็นนกยูงรำแพนที่ได้รับคัดเลือกไปได้


 


 


อีกทั้ง…มีชื่ออยู่ในรายชื่อนำเสนอด้วย


 


 


นางเคยได้ยินมาว่า รายชื่อนำเสนอก็คือรายชื่อเจ้ากรมคนใหม่ ซึ่งเจ้ากรมคนก่อนเขียนขึ้นเองกับมือเพื่อนำเสนอให้ฝ่าบาทพิจารณาในช่วงที่ใกล้เกษียณ จากนั้นก็พูดแนะนำบุคคลในรายชื่อให้ฝ่าบาทฟังต่อหน้าพระพักตร์ ทว่า ฉินลี่ชวนเนี่ยนะ นำเสนอชื่อบิดา?


 


 


หลังจากเรื่องผูกดวง อวิ๋นหว่านชิ่นก็พอจะรู้ว่า อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องหงุดหงิดใจตอนไปทำงานที่กรมกลาโหมแน่ เพราะต้องถูกฉินลี่ชวนกดดันในทุกๆ ด้าน ด้วยฉินลี่ชวนเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ชั่วชีวิตกลัวก็แต่ถูกคนทำร้าย แล้วจู่ๆ เหตุใดถึงใจกว้างขึ้นมา ช่วยผลักดันบิดา ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เล่า


 


 


ต่อเนื่องกับเรื่องหย่าของไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกขัดขวาง บวกกับเรื่องจวนโหวรับอวิ๋นหว่านเฟยเข้าจวน ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นก็ค่อยๆ สว่างขึ้น 

 

 


ตอนที่ 75-3 พกยาพิษติดตัว

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งแจ้งข่าวดีก่อน เมื่อเห็นถงฮูหยินอารมณ์ดีขึ้น ค่อยเก็บรอยยิ้มลง แล้วพูดเป็นนัย


 


 


“ครั้งนี้ที่ลูกประสบความสำเร็จ ได้รับการพิจารณาจากฝ่าบาทให้เป็นเสนาบดีนั้น เป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากฮองเฮา”


 


 


จริงดังคาด คนจากวังหลังอีกแล้วที่เข้ามาก่อกวนสถานการณ์ อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องบิดาที่อยู่ตรงหน้านิ่งพลางดูหมิ่นในใจ บิดานั่งหน้าชื่นตาบานอยู่บนเก้าอี้เหมือนนกกางเขนเกาะกิ่งเหมยอย่างระริกระรี้ก็มิปาน เพื่อลาภยศสรรเสริญแล้ว ถึงกับยอมประนีประนอมเรื่องหลังบ้าน ปล่อยภรรยาเลวๆ ให้ลอยนวล นี่คือการพลิกลิ้น ยอมรับว่าการทำร้ายคนของไป๋ฮูหยินนั้นไม่เป็นปัญหา ไม่สนใจไยดีว่าน้องกับตนเสี่ยงเอาชีวิตไปทิ้งอย่างไร


 


 


ทว่าถงฮูหยินกลับยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เพียงงงงวย “ฮอง…ฮองเฮา? ฮองเฮาช่วยเจ้า?”


 


 


“ใช่ ฮองเฮา” อวิ๋นเสวียนฉั่งย้ำ


 


 


พอเห็นถงฮูหยินมองมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็ก้มหน้า พลางอธิบายเสียงเบาให้ท่านย่าฟัง


 


 


“ข้างกายเจี่ยงฮองเฮามีนางในที่มีอำนาจคนหนึ่ง แซ่ไป๋”


 


 


ตอนนี้ หญิงชราล้วนเข้าใจแล้ว


 


 


ที่แท้น้องสาวที่เป็นสาวใช้อยู่ในวังของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็คือคนของฮองเฮา ครั้งนี้ที่ลูกชายได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างราบรื่น เบื้องหลังคือการเล่นพรรคเล่นพวกนี่เอง


 


 


เมื่อครู่นางเพิ่งเยินยอลูกชายไปหมาดๆ ว่า เป็นเพราะการสั่งสอนของนางและความสามารถของตัวเขาถึงไต่เต้าจนได้ตำแหน่งใหญ่โต พอรู้ว่าต้องพึ่งผู้หญิง แถมยังเป็นผู้หญิงอัปยศ ที่เกือบจะถูกบ้านสกุลอวิ๋นยื่นใบหย่าและขับไล่ไป ถงฮูหยินจึงมึนงงไปชั่วขณะ สีหน้ากึ่งม่วงกึ่งแดง รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


 


“นึกว่าเจ้าได้นั่งตำแหน่งเสนาบดีเพราะความสามารถ ที่แท้ก็พึ่งผู้หญิง…”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเยาะในใจ ชีวิตบิดามีช่วงไหนบ้างที่ไม่พึ่งผู้หญิง


 


 


ช่วงวัยรุ่น อวิ๋นเสวียนฉั่งพึ่งหญิงผู้ให้กำเนิดเมี่ยวเอ๋อร์ทอผ้าทำนา ห่มผ้าเมื่อหนาว พัดวีเมื่อร้อน สาวงามคู่บัณฑิต ย่อมสนับสนุนให้บัณฑิตไปสอบแข่งขันในเมือง แต่พอเข้าเมือง เนื่องจากอยากได้ทรัพย์สินของบ้านสกุลสวี่มาเป็นแรงหนุน อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงแสร้งทำตัวเป็นหนุ่มโสดซิง หลอกคุณหนูสวี่ผู้ใสซื่อแต่งงาน จนได้ครอบครองสินสอดและเส้นสายของสกุลสวี่ในเมืองหลวงมากมาย จนตอนนี้ ก็ถึงคราวน้องสาวของไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่รู้ว่าพี่สาวกำลังจะถูกหย่า จึงนำตำแหน่งขุนนางมาล่อ ให้เขาละทิ้งกฎเกณฑ์ ไม่สนใจผิดชอบชั่วดี


 


 


ท่านย่าหนอท่านย่า ท่านไม่ควรเปรยที่เขาใช้เต้าไต่ แต่ควรถามเขาว่า เมื่อไหร่จะเลิกใช้เต้าไต่เสียที


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินมารดาพูดเปรยๆ แบบนี้ ก็หน้าแดง ไม่พูดอยู่เนิ่นนาน


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิดในใจ อันที่จริงใช่ว่าท่านย่าไม่รู้ว่า ผู้หญิงทุกคนในชีวิตของลูกชาย คนไหนบ้างที่ไม่เคยถูกลูกชายใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์


 


 


เมื่อก่อนถงฮูหยินมักเพลิดเพลินกับการคุยให้เพื่อนบ้านฟังว่า ลูกชายของตนเรียนหนังสือเก่งแต่เด็ก บวกกับการเคี่ยวกรำของตน ถึงประสบความสำเร็จ พอนานวันเข้า ถงฮูหยินก็มีความสุขเรื่อยมากับการนึกว่าลูกน่าจะเป็นเช่นนี้ แต่พอรู้ว่าลูกทำกับเมียที่อยู่บ้านนอกอย่างไร หญิงชราก็ได้แต่เลือกที่จะลืมมันไปเสีย โดยบอกกับตนเองว่า นั่นเป็นเพราะลูกไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้พอเห็นเรื่องจริงแผ่หลาอยู่ตรงหน้า นางก็คล้ายถูกฟาดเข้าที่ศีรษะ พอตื่นขึ้นก็รู้ว่า ลูกที่ทำให้ตนภาคภูมิใจนักหนาคนนี้ ทุกครั้งที่ได้เลื่อนตำแหน่ง เขาไม่เคยพึ่งความสามารถของตนเองเลย วิธีที่ใช้ล้วนเป็นวิธีที่ไม่สง่างาม และเป็นวิธีอัปยศที่สุดในสังคม…พึ่งผู้หญิง พึ่งเส้นสาย พอผู้หญิงหมดประโยชน์ ก็ถีบหัวส่ง


 


 


แม้ถงฮูหยินมีข้อเสียอยู่บ้าง เช่นเห็นแก่ตัว รักลูกหลานผู้ชายมากกว่าผู้หญิง มีความสุขไปวันๆ แต่ก็มีข้อดีที่เป็นคนอนุรักษนิยม จริงใจ พูดคำไหนคำนั้น หาไม่แล้วคงไม่ช่วยเมี่ยวเอ๋อร์ด้วยการแย่งมาจากอ้อมอกคนที่คิดทำร้ายแต่แรกหรอก ด้วยไม่อยากให้ลูกชายทำผิดซ้ำซาก


 


 


ในความคิดของหญิงชรา เรื่องผู้ชายใช้เต้าไต่นั้น น่าอายและน่าอดสูมากพอๆ กับผู้ชายขายตัวก็ว่าได้


 


 


เงียบไปพักหนึ่ง ถงฮูหยินก็หดหู่ใจยิ่ง มิได้ยินดีปรีดากับการได้เลื่อนตำแหน่งของลูกชายแบบเมื่อครู่อีก แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ มองลูกชายด้วยแววตาอันล้ำลึก


 


 


“เช่นนี้เป็นอันว่า หญิงชั่วนางนั้น เจ้าไม่เพียงไม่หย่า ยังจะยกย่องเชิดชูนางด้วย ใช่ไหม”


 


 


“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น” อวิ๋นเสวียนฉั่งเหงื่อตก “เพียงแต่คนเขาช่วยลูกขนาดนี้ ลูกก็เลยคิดว่า…จะปล่อยไป๋ฮูหยินออกมาชั่วคราวก่อน”


 


 


“อะไรคือปล่อย? ให้อาศัยในเรือนหลักของบ้านสกุลอวิ๋น กินดีอยู่ดี เป็นฮูหยินต่อรึ จากนั้นก็ปล่อยให้เรื่องที่นางทำร้ายคนเงียบไป เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น? ใต้หล้ายังมีเรื่องอยุติธรรมเช่นนี้อยู่อีกรึ!” ถงฮูหยินเคาะไม้เท้าลงบนพื้นอย่างแรงด้วยความโมโห


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเหงื่อไหลเต็มหน้า “ไม่ใช่หรอก ๆ” เขาพูดไปเช่นนั้นเอง แต่โทนเสียงยังยืนยัน


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมองท่าทีของเขาเงียบๆ เมื่อได้ผลประโยชน์มากขนาดนี้ เขาก็ไม่มีทางหย่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยแน่


 


 


ถงฮูหยินพูดอย่างเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไรกับนาง”


 


 


ถ้าไม่หย่า ก็ยังเป็นฮูหยินรองเจ้ากรมอยู่


 


 


เรื่องของไป๋ฮูหยิน หญิงชราไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะพลอยทำร้ายลูกไปด้วย แต่เรื่องนี้ไม่เล็ก นางไม่กลัวว่าไป๋ฮูหยินจะถูกคนครหา เพียงแต่ ประการแรก นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ลูกกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย ประการที่สอง เมื่อนายหญิงของบ้านทำผิดร้ายแรง ต่อไปถ้าลูกสาวอีกสองคนของสกุลอวิ๋นออกเรือนไป อาจถูกคนที่บ้านสามีค่อนแคะได้ จึงไม่ให้บ่าวในบ้านแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป


 


 


ตอนนี้บ่าวทุกคนในบ้านล้วนรู้เรื่องของไป๋เสวี่ยฮุ่ยแล้ว สตรีเช่นนี้ ถึงสกุลอวิ๋นใจกว้าง ให้นางอยู่ต่อ แล้วนางจะเป็นนายหญิงของบ้านต่อได้หรือ


 


 


เมื่ออวิ๋นเสวียนฉั่งรับน้ำใจจางเจี่ยงฮองเฮา ก็ต้องให้ไป๋ฮูหยินอยู่ต่อ แต่จะจัดการอย่างไรนี่สิ คือปัญหา


 


 


พอได้ยินมารดาถาม เขาก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบ


 


 


“เมื่อไม่หย่า ในสายตาคนนอก นางก็ยังเป็นฮูหยินรองเจ้ากรมอยู่ ทุกอย่างจึงต้องเหมือนเดิม…”


 


 


“เหลวไหล เหลวไหล! ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด!” ถงฮูหยินเคาะไม้เท้ากับพื้น จะประนีประนอมขนาดนี้ได้อย่างไร


 


 


“ท่านย่า” อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ เอ่ยปาก แล้วจึงเรียกอวิ๋นเสวียนฉั่งเบาๆ “ท่านพ่อ ท่านย่าพูดถูก เช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด”


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์” คิ้วเข้มของอวิ๋นเสวียนฉั่งขยับ ก่อนจ้องหน้าลูกสาวอย่างไม่พอใจ ส่งสัญญาณบอกนางว่า อย่าได้เติมเชื้อไฟ


 


 


“ใครบอกให้เจ้าพูด! เจ้าไม่ชอบแม่เจ้ามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ครั้งนี้เจ้ากับน้องเป็นเหยื่อ ย่อมไม่อยากให้นางได้ดี แต่พ่อขอบอกเจ้าก่อนว่า แม้ครั้งนี้แม่เจ้าผิด แต่อย่างไร เจ้าก็เป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ มีเพียงย่ากับพ่อเท่านั้นที่จัดการได้ เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดแทรก!”


 


 


ถงฮูหยินกำลังร้อนใจดั่งไฟเผา โมโหที่ลูกชายคนรองไม่ได้เรื่อง แม้แต่เมียทำผิดก็ยังจัดการไม่ได้


 


 


ถ้ายอมให้หญิงชั่วเป็นฮูหยินต่อ แล้วบ้านนี้ ยังจะเป็นบ้านอยู่อีกหรือ!


 


 


ยิ่งพอได้ยินชิ่นเอ๋อร์เอ่ยปากช่วย แต่กลับถูกลูกชายขัดขวาง หญิงชราคล้ายอยู่ในทะเลทรายอันแห้งแล้งและกำลังหาแหล่งน้ำสะอาดๆ ดื่ม แต่พอเริ่มหวังว่าจะได้รอดชีวิต แหล่งน้ำพลันถูกคนถ่มน้ำลายลงไปไม่หยุดเสียนี่ จึงโกรธสุดๆ จับมือหลานสาวไว้ แล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดใส่ลูกชาย


 


 


“นี่มันผีหลอกชัดๆ คนทำผิด กลับไม่ถูกลงโทษ แต่ผู้บริสุทธิ์กลับผิดแทน? เมื่อชิ่นเอ๋อร์ไม่มีสิทธิ์พูด งั้นเจ้าก็แหกตาดูสิว่า ในบ้านเจ้า ยังมีผู้หญิงคนไหนมีสิทธิ์อีก?! สวรรค์ ทำไมข้าถึงได้ให้กำเนิดลูกชายเช่นนี้ออกมาได้! ไม่คิดแบ่งแยกผิดชอบชั่วดีอะไรสักนิด! บรรพชนสกุลอวิ๋น ไว้ข้ากลับบ้านแล้ว ค่อยตายชดใช้ความผิดให้พวกท่านก็แล้วกัน…” ว่าพลางตีอกชกหัวตนเอง


 


 


หญิงชราบ้านนอกคอกนา เวลาร้องห่มร้องไห้แสดงท่าทีจะเป็นจะตายขึ้นมา ใครๆ ก็เอาไม่อยู่ อวิ๋นเสวียนฉั่งถูกน้ำลายพ่นใส่จนเต็มหน้า เช็ดแทบไม่ทัน จึงสับสน


 


 


“ลูกก็พูดไปเช่นนั้นเอง ท่านแม่ใจเย็นๆ!” แล้วค่อยหันไปโบกมือให้อวิ๋นหว่านชิ่น “เจ้าว่าไป ว่าไป” โทนเสียงอ่อนโยนลง


 


 


“ท่านพ่อ”


 


 


พอได้รับอนุญาตให้พูด อวิ๋นหว่านชิ่นก็หันหน้าเข้าหาอวิ๋นเสวียนฉั่ง แม้โทนเสียงของนางใสอยู่บ้าง ทว่าแต่ละคำล้วนหนักแน่น ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย แววตาใสกระจ่าง สงบนิ่ง ทำให้คนฟังต้องสนใจฟัง โดยไม่รู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้าคือแม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีที่ยังไม่ออกเรือน


 


 


“เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้ท่านแม่ไม่ถูกหย่าจนต้องออกจากจวน และยังอยู่ที่เรือนหลักได้ แต่จะให้เป็นนายหญิงของบ้านไม่ได้ หนึ่ง มีผลต่อคำสั่ง เมื่อบ่าวในบ้านต่างรู้ว่าท่านแม่ทำผิดอะไรไว้ ถ้าท่านแม่ยังมีอำนาจเหมือนเมื่อก่อนอีก ไฉนบ่าวจะไม่คิดว่าความผิดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ต่อไปถ้าบ่าวทำความผิดในลักษณะเดียวกัน ก็จะนำเรื่องของท่านแม่ขึ้นมาอ้าง แล้วเราจะโต้เถียงพวกเขาอย่างไรได้ นานวันเข้า บ้านก็จะไร้ซึ่งความ


 


 


ยุติธรรม กฎเกณฑ์ถูกทำลาย เกิดความหายนะไม่สิ้นสุด”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งกับถงฮูหยินกลั้นหายใจฟัง อวิ๋นหว่านชิ่นชะงักเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ


 


 


“สอง เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ผู้ที่จัดการท่านแม่และยื่นหนังสือหย่าให้ คือท่านย่าที่ลงมือด้วยตัวเอง ถ้าท่านแม่กลับมากุมอำนาจใหม่ จะทำอย่างไรกับท่านย่า ถ้าบอกว่าไม่มีความโกรธแค้นใดๆ เลย ต่อไปจะไม่ลำเอียงหรือเห็นแก่ตัวอีก ท่านพ่อคิดว่าเป็นไปได้หรือ แล้วบ้านจะสงบได้อย่างไร ครอบครัวมิแตกแยกหรือ ในรัชสมัยก่อน เมื่อสนมที่เคยเป็นคนโปรด ได้กลับมาเป็นคนโปรดอีกครั้ง พอได้รับการแต่งตั้งใหม่ ในวังก็เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพราะนางไม่อยากถูกทอดทิ้งและถูกดูแคลนอีก จึงต้องล้างแค้นพวกที่เคยทำร้ายหรือหัวเราะเยาะนาง นี่เป็นเรื่องปกติ”


 


 


พอถงฮูหยินได้ยินข้อสอง หน้าก็ซีด หันไปมองลูกชายด้วยสายตาดุดัน


 


 


“คำพูดของชิ่นเอ๋อร์โดนใจข้ายิ่ง ข้าก็บอกแล้วว่า ถ้าเจ้าคิดจะตอบแทนน้ำใจฮองเฮา ข้าไม่ว่า แต่เจ้าจะให้หญิงชั่วนางนี้ขึ้นมาอยู่เหนือข้าอีกครั้งหรือ ตามนิสัยชั่วๆ ของนาง กระทั่งทายาทที่นางเคยเลี้ยง นางก็ยังทำร้ายได้ จะแปลกอะไรถ้าจะแก้แค้นข้า หรือเจ้าจะนิ่งดูดายให้นางกับคนแก่ที่ใกล้เข้าโลงอย่างข้า สู้กันไปเรื่อยๆ”


 


 


เมื่ออวิ๋นเสวียนฉั่งถูกบีบทั้งสองทาง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่ปลอบมารดาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปก่อน รอจนถงฮูหยินสงบลง ค่อยถอนหายใจออกมา แล้วว่า


 


 


“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าลองบอกมาหน่อยซิว่า ควรทำอย่างไรกับนางดี”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม