วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 740-746
ตอนที่ 740 ตัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
“เข้าใจแล้ว” อันจื่อเฮ่าพูดด้วยเสียงอู้อี้
พูดให้ชัดคือเขาไม่เพียงแค่เข้าใจแต่จิตใจของเขาก็ชัดเจนขึ้นด้วย
เรื่องที่เฉินซิงเยียนมีความหมายกับเขาและอยู่ในตำแหน่งไหนในหัวใจเขานั้นชัดเจนยิ่งกว่าน้ำแข็ง เขาตระหนักดีว่าอวิ๋นซินเป็นอดีตไปแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องสองคนมาทำร้ายแฟนสาวของเขา
ดังนั้น ไม่สนว่าจะเป็นเวลาค่ำมืดเพียงใด อันจื่อเฮ่าออกตามหาร้านขายโทรศัพท์มือถือที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่แล้วช่วยสั่งซิมการ์ดอันใหม่ให้เฉินซิงเยียนและนำมันไปส่งให้เธอโดยตรง ทว่าเขาขอให้ถังหนิงไม่ต้องปลุกเฉินซิงเยียนขึ้นมา
ถังหนิงรับโทรศัพท์เอาไว้และส่ายหน้า แต่เธอก็ยังช่วยเพื่อนของเธออยู่ดี ทางที่ดีเธอไม่ควรเข้าไปยุ่งกับความสัมพันธ์ของคนอื่น
แม้เธอจะมีเจตนาดีก็ตาม
อีกอย่างเธอเข้าใจดีว่าไม่มีใครเหมือนโม่ถิงที่จะรับรองความปลอดภัยของเธอ ไม่ว่าเขาจะไร้ความปรานีแค่ไหนก็ตาม กระนั้นเธอเชื่อว่าอันจื่อเฮ่าได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว
“ฉันยอมให้คุณทำเฉินซิงเยียนเสียใจแค่ครั้งเดียว ห้ามมีครั้งที่สอง!”
“ไม่ต้องห่วงครับ” อันจื่อเฮ่าแสดงออกถึงความมุ่งมั่น ขณะที่เขาจากไปสายตาเขาดูมั่นคง
กระนั้นก็ตาม เขาจะใช้เวลาทั้งคืนครุ่นคิด เพราะเขากลัวว่าเฉินซิงเยียนจะยอมแพ้ และกลัวว่าตัวเองจะตัดสินใจผิดพลาด แต่ถ้าชีวิตไม่ก้าวต่อไปก็จะไม่มีผลลัพธ์ใดๆ เกิดขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นความเจ็บปวดของเฉินซิงเยียนก็จะไม่มีวันสิ้นสุด…
เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น!
…
ที่จริงแล้วในคืนนั้น เฉินซิงเยียนได้ทำร้ายตัวเองด้วย นับตั้งแต่ทั้งสองเริ่มคบหากัน วันเวลาของพวกเธอผ่านไปอย่างหวานชื่น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างวันนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยาก…
แต่ความขัดแย้งเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะแทงลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเธอ ซึ่งมันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย
ดังนั้นหลังจากร้องไห้กว่าครึ่งค่อนคืน ในที่สุดเฉินซิงเยียนก็ผล็อยหลับไป แน่นอนว่าถังหนิงในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการฝึกอบรมคนอื่นรู้ดีว่าเฉินซิงเยียนจะแทบไม่ได้นอนในช่วงหัวค่ำ เธอจึงยังไม่ได้เอาโทรศัพท์ให้อีกฝ่าย จนกระทั่งเธอตื่นขึ้นมาเพื่อให้นมเด็กๆ ตอนรุ่งสาง ถังหนิงจึงวางโทรศัพท์เครื่องนั้นไว้บนโต๊ะข้างเตียงนอนของเฉินซิงเยียน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังหลับลึก ถังหนิงก็ส่ายหน้า “น่าสงสารจริง ร้องไห้ซะขนาดนั้น”
ดวงตาทั้งสองข้างของเฉินซิงเยียนบวมตุ่ยราวกับไข่ห่าน
แต่นี่เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงและถังหนิงรู้ดีว่าความรักจะทำให้คนเราเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นต่อให้ถังหนิงรู้สึกปวดใจเล็กๆ เธอก็จะไม่เข้าไปยุ่ง
ไม่นานนัก… ดวงอาทิตย์ขึ้นเต็มที่ในที่สุด เฉินซิงเยียนลุกขึ้นนั่งบนที่นอนด้วยความงัวเงียและสังเกตเห็นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอนซึ่งดูเหมือนเครื่องเดิมที่เธอเคยมีอย่างไม่ผิดเพี้ยน ใช่แล้ว… นี่มันเหมือนเดิมเป๊ะเลย!
เฉินซิงเยียนรีบวิ่งออกจากห้องพร้อมผมอันยุ่งเหยิง เมื่อเห็นถังหนิงกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ เฉินซิงเยียนก็เอ่ยถามขึ้น “พี่หนิง โทรศัพท์นี่มาจากไหนงั้นเหรอ”
“’ บางคน’ เอามาส่งเมื่อคืนนี้” ถังหนิงตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“เขาไม่พูดอะไรเลยงั้นเหรอ”
“เขาบอกฉันไม่ให้รบกวนการนอนของเธอและให้เธอพักผ่อนอย่างเต็มที่” ถังหนิงกล่าวก่อนที่เธอจะเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมอาหารเช้าของโม่ถิง
แต่หัวใจเฉินซิงเยียนเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเสียงกลอง
เมื่อคืนเธอถูกครอบงำด้วยความรู้สึกมากมาย แต่วันนี้ด้วยการกระทำเดียวของอันจื่อเฮ่า ปัญหาทั้งหมดของเธอได้มลายหายไปจะหมดสิ้น
ความรัก…
…สิ่งที่ไม่ต้องมีเหตุผล เป็นสิ่งที่ไม่มีกฎเกณฑ์หรือคำอธิบายใดๆ
“เธอแน่ใจเหรอว่าอยากจะไปที่สตูดิโอด้วยหน้าตาแบบนั้น ผู้ช่วยของเธอกำลังรอเธออยู่…” ถังหนิงกลับไปในห้องครัวหลังจากนั้นสักครู่แล้วชี้ไปยังแขกที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
เฉินซิงเยียนหันไปมองเสี่ยวซีก่อนที่เธอจะรีบกลับเข้าไปจัดการตัวเองในห้อง จากนั้นเธอจึงเดินไปหาน้องเจ็บและกล่าว “ไปกันเถอะ”
“ไม่กินข้าวเช้าเหรอ” ถังหนิงถามพลางกอดอก
“ไม่ล่ะ…” เธอจะไปอยากอาหารได้ยังไง
กระนั้นอันจื่อเฮ่ารู้ดีว่าเธอชอบไม่กินข้าวเช้า เขาจึงสั่งเสี่ยวซีให้นำอาหารมาให้เธอด้วย แต่เสี่ยวซีรอจนพวกเธอขึ้นมาบนรถตู้ก่อนจะส่งอาหารเช้าให้เธอ “คุณอันเอามาให้ค่ะ”
ขณะที่เฉินซิงเยียนมองดูที่อาหารเช้าพวกนั้น ดวงตาทั้งสองข้างของเธอแดงก่ำทันที เมื่อคืนนี้เธอหนีออกมาโดยไม่ทันได้คิดทั้งที่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของอันจื่อเฮ่าด้วยซ้ำ
เธอคิดอะไรได้มากมายหลังผ่านไปหนึ่งคืนเต็ม
เธอพึ่งพาอันจื่อเฮ่ามากเกินไป หากวันหนึ่งเขาต้องการจะจากไป เธอจะยังยืนอยู่ได้ไหม
“คุณเฉินอยากกลับไปที่บ้านก่อนไหมคะ หรือจะตรงไปที่สตูดิโอเลย”
“ตรงไปที่สตูดิโอกันเถอะ” เฉินซิงเยียนตอบ อันจื่อเฮ่าทำเพื่อเธอมากมายโดยหวังว่าเธอจะพัฒนาและเติบโตขึ้น ดังนั้นเธอจะทำให้เขาผิดหวังไม่ได้
เสี่ยวซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่เธอยังคงเชื่อฟังคำสั่งของเฉินซิงเยียนและขับตรงไปยังสตูดิโอ
เฉินซิงเยียนไม่ได้ติดต่อหาอันจื่อเฮ่าในทันทีเพราะเธอยังต้องการเวลาในการพิจารณาตัวเธอเอง
แน่นอนว่าอันจื่อเฮ่าเองก็ไม่ได้รีบร้อนติดต่ออีกฝ่ายเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรเขาก็รู้ตารางงานทุกอย่างของเธอและรู้ดีว่าเธออยู่ที่ไหน
เพื่อเซอไพรส์อีกฝ่ายในคืนนั้น เขาไม่ได้โทรเช็กอาการของเธอหรือไม่แม้แต่จะบอกให้เธอทำตัวดีๆ
หลังจากทำงานมาทั้งวัน เฉินซิงเยียนก็ทุ่มเทตั้งใจทำงานมากกว่าแต่ก่อน ขณะที่เธอเดินออกมา เธอชำเลืองมองนาฬิกาของตัวเองก๋พบว่าเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
“ให้ฉันพาไปส่งที่บ้านไหมคะ” เสี่ยวซีเสนอ
เฉินซิงเยียนค่อนข้างเหนื่อยล้า เธอจึงพยักหน้ารับ ถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว มีอีกหลายสิ่งที่เธอต้องการพูดกับอันจื่อเฮ่า
ไม่ช้าไม่นาน รถตู้ได้ขับมาถึงด้านหน้าอะพาร์ตเมนต์ของอันจื่อเฮ่า เฉินซิงเยียนโบกมือลาเสี่ยวซีและเดินเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ด้วยตัวเอง เดิมทีเธอคิดว่าอันจื่อเฮ่าน่าจะยังไม่อยู่บ้าน แต่เธอต้องประหลาดใจเพราะอันจื่อเฮ่ากำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับป้าอวิ๋นและลุงอวิ๋น ภาพตรงหน้าทั้งน่าขบขันแต่ก็ดูเข้ากัน
มันดูราวกับพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและเธอเป็นเพียงคนนอกเท่านั้น
ด้วยความคิดเช่นนี้ เฉินซิงเยีนอยากจะหันหลังกลับและเดินออกไป แต่อันจื่อเฮ่าเรียกเธอเอาไว้ “มานี่สิ…”
เฉินซิงเยียนอึ้งเล็กน้อย แต่ภายใต้สายตาปลอบโยนของอันจื่อเฮ่า สุดท้ายเธอเกิดมาอยู่ข้างเขาอย่างเชื่อฟังและนั่งลง ลุงอวิ๋นและป้าอวิ๋นดูไม่พอใจขณะที่พวกเขาเอ่ยปากถามขึ้นมาทันที “นี่มันหมายความว่ายังไงกัน เธอเรียกพวกเรามาเพื่อพลอดรักให้ดูหรือไง
ย้อนกลับไปตอนที่เธอคบกับอวิ๋นซิน เธอสัญญาว่าจะไม่มีวันรักคนอื่นอีก”
“คุณป้าจะพูดอะไรให้มีหลักฐานด้วยนะครับ” อันจื่อเฮ่าโต้แย้ง
“อวิ๋นซินไม่อยู่อีกแล้วนี่ เธอก็เลยจะปฏิเสธอยู่แล้ว…”
“สำหรับผม ถ้าผมพูดอะไรไว้ผมก็จะยอมรับ แต่ถ้าไม่ ผมก็จะไม่มีแสร้งทำเป็นว่าผมพูด ผมมั่นใจว่าแฟนผมเชื่อมั่นในตัวผม” อันจื่อเฮ่ากล่าวก่อนที่เขาจะหันมามองเฉินซิงเยียน “ใช่ไหม”
เฉินซิงเยียนพยักหน้าด้วยความหนักแน่น
“เห็นไหม…”
“พอแล้ว หยุดพูดจาวกวนสักที บอกมาตามตรงว่าเธอเรียกพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไร”
ตอนที่ 741 ความดีย่อมชนะความชั่วเสมอ
อันจื่อเฮ่าเหยียดแขนของเขาออกไปโอบรอบเฉินซิงเยียน หลังกวาดตามองดูรอบอะพาร์ตเมนต์ เขาก็วางกุญแจชุดหนึ่งไว้บนโต๊ะกาแฟและกล่าว “บ้านหลังนี้เป็นสินทรัพย์ที่แพงที่สุดของผมในตอนนี้ ผมจะยกให้คุณสองคน พวกคุณจะมาอยู่ที่นี่ก็ได้ถ้าต้องการ ไม่งั้นจะขายมันทิ้งก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน”
ลุงอวิ๋นกับป้าอวิ๋นอึ้ง ชำเลืองตามองกันก่อนเอ่ยถามอันจื่อเฮ่า “เธอจะยกอะพาร์ตเมนต์ของตัวเองให้เรางั้นเหรอ เธอกำลังพูดว่าเราต้องการแค่เงินของเธอหรือไง”
“จื่อเฮ่า แค่เพราะเธอได้ลูกคนรวยอยู่ในมือ เลยลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับอวิ๋นซินของเราหรือไงกัน…” ป้าอวิ๋นเริ่มร้องไห้
“อวิ๋นซินตายไปแล้ว คุณป้าคิดจะให้ผมใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดกับเถ้ากระดูกของเธอเหรอครับ” น้ำเสียงอันจื่อเฮ่าพลันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นอกจากพวกคุณจะไม่ใช่พ่อแม่บังเกิดเกล้าของผมและไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของผมแล้ว เรากำลังพูดถึงชีวิตของผมอยู่นะครับ พวกคุณได้รับสิ่งที่พวกคุณต้องการแล้ว แค่นั้นยังไม่พออีกหรือไง”
“จื่อเฮ่า พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะ…”
“ผมทำตัวสุภาพแล้วครับ พวกคุณรู้ดีว่าตัวเองได้อะไรจากผมไปบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าเอาไปใช้เอง เรื่องนี้ผมรับได้ แต่พวกคุณกลับยกทุกอย่างให้ลูกชายที่เพิ่งแต่งงานใหม่ของพวกคุณ เขาควรเป็นคนที่มาดูแลพวกคุณต่างหาก
“ผมจะย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์นี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากนี้ไปผมหวังว่าพวกคุณสองคนจะเลิกยึดติดกับผมสักที”
ในความเป็นจริงนั้น อันจื่อเฮ่ารู้ดีว่าสองตายายคู่นี้ไม่ต่างอะไรกับผีดูดเดือดที่กำลังสูบเลือดสูบเนื้อของเขา ที่จริงเขาก็ตระหนักถึงเรื่องนี้มาได้สักพักแล้ว
แต่เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความลำบากใจอะไรให้เขามากนักเพราะเขาคิดว่าทั้งสองจะมีขีดจำกัด ทว่าตอนนี้เฉินซิงเยียนถูกทำให้เจ็บปวด ดังนั้นเขาจึงไม่อาจทนกับคนทั้งสองนี้ได้อีกต่อไป
“เธอจะไม่ดูแลพวกเราไปจนเราตายงั้นเหรอ”
“พวกคุณไม่ได้คลอดผมออกมานะ!” อันจื่อเฮ่าคำราม “คุณป้า คนที่มีศีลธรรมต้องรู้สึกการยับยั้งชั่งใจบ้างนะครับ”
ได้ยินอันจื่อเฮ่าพูดเช่นนั้น ในที่สุดเฉินซิงเยียนก็เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง แม้แต่ลูกชายของครอบครัวอวิ๋นก็ยังพึ่งพาอันจื่อเฮ่า พวกเขามีลูกชายเป็นของตัวเอง แต่ไม่ได้พึ่งลูกชายคนนั้น แล้วกลับมาเกาะติดอยู่กับอันจื่อเฮ่าเพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นแฟนของลูกสาวพวกเขา
เฉินซิงเยียนรู้ดีว่าอันจื่อเฮ่าเป็นคนซื่อสัตย์ แต่เธอก็เข้าใจดีกว่าสองตายายคู่นี้ได้ล้ำเส้นของอันจื่อเฮ่าเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม เฉินซิงเยียนไม่ต้องการให้เขาสูญเสียอะไรไปอีกแล้ว
ดังนั้นเธอจึงพูดกับสองตายาย “ในเมื่อพวกคุณไม่ยอมรับของที่ผิวเผินอย่างอะพาร์ตเมนต์หลังนี้ งั้นฉันขอรับไว้แล้วกัน”
ได้ยินเช่นนั้นทำให้คนอีกสามคนในห้องตัวแข็งทื่อ
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ป้าอวิ๋นตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “เขายกมันให้พวกเราแล้ว…”
“ทำไมเขาต้องยกให้พวกคุณด้วยล่ะ พวกคุณเป็นอะไรกับเขางั้นเหรอ” เฉินซิงเยียนถาม “เงินของเขาไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศนะ เขาต้องทำงานหนักหามา ทำไมเขาถึงต้องให้พวกคุณทั้งอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่สนหรอก ฉันจะเอา…”
“แก…
“จื่อเฮ่า เธอบอกพวกเราว่าเธอจะยกอะพาร์ตเมนต์นี้ให้เรา! เธอคิดจะกลับคำหรือไง” แน่นอนว่าป้าอวิ๋นไม่อาจเอาชนะความหน้าด้านของเฉินซิงเยียนได้ ดังนั้นเธอจึงหันมาหาอันจื่อเฮ่าแทน
“ใช่ เขากำลังจะกลับคำ ในเมื่อไม่มีการเซ็นเอกสารอะไร แล้วพวกคุณจะทำอะไรได้” เฉินซิงเยียนยืนเป็นโล่ให้อันจื่อเฮ่าที่อยู่ด้านหลัง “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณสองคนเป็นพ่อแม่ของอวิ๋นซินแล้วละก็ ป่านนี้ฉันคงถีบพวกคุณไปถึงดาวอังคารแล้ว พวกคุณคิดว่าตัวเองยังมีโอกาสมาที่นี่แล้วเรียกร้องอะไรอีกหรือไง”
“ซิงเยียน…”
“อันจื่อเฮ่า ให้ฉันบอกอะไรนายนะ ไม่ว่านายจะเคยสร้างความไม่พอใจหรือติดค้างอะไรอวิ๋นซินแค่ไหน นายก็ชดใช้ไปหมด แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา นายอาจจะต้องการดูแลบางคนด้วยความเต็มใจ แต่คนพวกนั้นต้องรู้จักสำนึกบุญคุณด้วย ดังนั้นฉันอยากจะขอให้คนสันหลังยาวสองคนนี้ออกไปได้แล้ว ไม่มีอะไรในบ้านนี้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณ” เฉินซิงเยียนกล่าวพลางชี้ไปที่ประตูบ้าน
ป้าอวิ๋นตัวสั่นด้วยความโกระ แต่เธอไม่อาจทำอะไรได้
แรกเริ่มเธออยากจะแกล้งทำเป็นหมดสติอีกครั้ง ทว่าเฉินซิงเยียนนำเธอไปก้าวหนึ่งด้วยการพูดกับอันจื่อเฮ่า “จื่อเฮ่า โทรหาพี่ชายฉันที ฉันปวดหัว ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บครั้งก่อนยังไม่หายดีหรือเปล่า บอกพี่ชายฉันว่ามีคนบางคนทำให้ฉันไม่พอใจแล้วบอกเขาให้มาจัดการเรื่องนี้ด้วย”
แม้ลุงอวิ๋นและป้าอวิ๋นจะไม่คุ้นเคยกับโม่ถิง แต่ทั้งสองก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเขามาก่อน
ด้วยการแสดงละครที่เฉินซิงเยียนงัดออกมาใช้ สองตายายรีบระงับความโกรธและนั่งอยู่กับที่อย่างหมดหนทางและหน้าซีดเผือด
“จื่อเฮ่า ฉันปวดหัวมากเลย พาฉันไปโรงพยาบาลที…”
เมื่อเห็นหน้าของเฉินซิงเยียนเริ่มซีด อันจื่อเฮ่าก็คิดว่าเธอรู้สึกไม่สบายจริงๆ ชายหนุ่มจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีเพื่อโทรไปยังโรงพยาบาล การกระทำนี้สร้างความหวาดหวั่นให้กับสองตายายอย่างมากจนพวกเขาไม่กล้าพูดถึงอะพาร์ตเมนต์อีกแล้วรีบจากไปทันที
แม้แต่หลานซีซึ่งเป็นคนทำร้ายอวิ๋นซินยังถูกทำร้ายอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของไห่รุ่ย อย่าว่าแต่สองตายายคู่นี้เลย
เมื่อเห็นสองตายายหายตัวไปในกลุ่มควัน เฉินซิงเยียนก็หัวเราะออกมา ขณะที่เธอเอนตัวลงบนโซหา น้ำตาก็เริ่มไหลซึมออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างเนื่องจากหัวเราะมากเกินไป
เห็นดังนั้น อันจื่อเฮ่าจึงสูดหายใจลึกและดึงอีกฝ่ายมาอยู่ในอ้อมกอด “เธอทำฉันกลัวแทบตาย”
“พวกนั้นหน้าด้านมาเล่นเกมกับฉันเอง ฉันเก่งเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เจ็ดขวบแล้ว” หลังเฉินซิงเยียนหยุดหัวเราะ เธอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันก่อนให้อันจื่อเฮ่าฟัง “บอกมาสิ ทำไมนายถึงได้ดูแลสองตายายงี่เง่านั่น”
“ก่อนหน้านี้ ฉันรู้สึกผิดเพราะฉันคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้อวิ๋นซินตาย หลังจากนั้นก็เป็นเพราะเหตุผลที่ทำให้รู้สึกใจอ่อน”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อ นายรู้สึกใจอ่อนให้กับสองคนนั้นจริงๆ เรอะ” เฉินซิงเยียนส่ายหน้าพลางลุกขึ้นยืนจากอ้อมกอดของอันจือเอ่า “จากนี้ไป ถ้านายเห็นสองคนนั้นอีก นายไม่จำเป็นต้องทำตัวสุภาพอะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าพวกนั้นสูบเลือดสูบเนื้อนายเพื่อไปเลี้ยงลูกชายของตัวเอง ฉันละอยากจะด่าแรงๆ ใส่คนพวกนั้นจริงๆ”
อันจื่อเฮ่าดึงเฉินซิงเยียนกลับมาก่อนอีกครั้ง คราวนี้ในที่สุดหัวใจของเขาก็รู้สึกมั่นคงอีกครั้งเพราะเฉินซิงเยียนไม่ยอมแพ้ในตัวเขาและไม่ขวัญเสียไปกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น
“มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก…”
“อย่างงั้นก็ดี ถ้านายพยายามจะทำดีกับพวกนั้นอีกละก็ ฉันจะ…”
“ตราบใดที่เธอไม่ทิ้งฉันไป ฉันยินดีทำทุกอย่าง” อันจื่อเฮ่ารีบพูดเสริม
“ทำไมฉันต้องทิ้งนายด้วย มันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย” เฉินซิงเยียนกอดตอบอันจื่อเฮ่า โชคดีที่เธอมีถังหนิงอยู่ข้างๆ และสอนให้เธอหนักแน่น ไม่เช่นนั้นเธอคงยอมแพ้ให้กับความสัมพันธ์อันน่าเหน็ดเหนื่อยนี้ไปนานแล้ว “จากนี้ไปฉันจะดูแลการเงินของนายเอง พวกบ้านั่นอย่าฝันจะได้เงินจากนายอีกแม้แต่แดงเดียว”
“เอาเลย…”
“เมื่อคืนฉันเจ็บปวดจริงๆ นะ…”
“ฉันรู้” อันจื่อเฮ่าผลักเฉินซิงเยียนออกจากตัวเขาอย่างอ่อนโยน แล้วบรรจุมพิตที่หน้าผากเธอตามด้วยบริเวณริมฝีปากของหญิงสาว “นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอเพราะคนอื่นอีก”
“นายควรทำให้ได้อย่างที่พูด ไม่งั้นฉันจะทิ้งนายจริงๆ ด้วย” หลังพูดจบ เฉินซิงเยียนบดริมฝีปากชองเธอแนบเข้ากับริมฝีปากของอันจื่อเฮ่า ทั้งสองพลันถูกครอบงำด้วยความปรารถนาขณะทั้งคู่แสดงออกถึงความรักทั้งหมดที่พวกเขามีต่อกันและกัน จนกระทั่งอันจื่อเฮ่าวางมือของเขาลงบนหน้าอกของเฉินซิงเยียนอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทำให้ทั้งสองคนหยุดด้วยความประหลาดใจ
“ไม่… เรายังทำแบบนี้ไม่ได้”
ตอนที่ 742 อยู่บ้านเพื่อดูแลเด็กๆ
เฉินซิงเยียนเอนตัวพิงแผ่นอกของอันจื่อเฮ่าและสงบอารมณ์ของเธอลง “แล้วเมื่อไหร่… เราถึงจะทำได้ล่ะ”
“ฉันไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้” พูดจบ อันจื่อเฮ่าก็ตบหลังของอันจื่อเฮ่าเบาๆ เป็นสัญญาณให้เธอลุกขึ้น “ฉันจะไปอาบน้ำหน่อย…”
“กลั้นไว้แบบนี้จะโอเคจริงเหรอ” อันจื่อเฮ่าหัวเราะพลางมองอีกฝ่ายที่กำลังงุ่นง่าน
“เพราะอย่างนั้นเธอถึงควรเลิกยั่วฉันสักที” อันจื่อเฮ่ากล่าวงก่อนจะรีบตรงเข้าไปในห้องน้ำและใช้น้ำเย็นล้างตัว กระนั้นเขาก็ฝันถึงการได้สัมผัสร่างกายอันนุ่มลื่นของเฉินซิงเยียนเหมือนอย่างที่เขาทำเมื่อครู่ ความรู้สึกนั้นช่างมอมเมาเสียจนเขาแทบจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
อาจเป็นเพราะการประสบกับความสุ่มเสี่ยงในความสัมพันธ์ เฉินซิงเยียนจึงพลันรู้สึกอ่อนไหวในการใช้ชีวิตมาก
คืนนั้น ขณะที่อันจื่อเฮ่าเอนตัวลงบนเตียงพร้อมจะเข้านอน เฉินซิงเยียนกลับปรากฏตัวที่ประตูโดยกอดหมอนของเธอเอาไว้ “คืนนี้ฉันขอนอนด้วยคนได้ไหม”
อันจื่อเฮ่าอึ้งเล็กน้อย ในขณะที่เขากำลังจะตอบนั้น เฉินซิงเยียนรีบพูดเสริมขึ้น “ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรไม่คิด”
อันจื่อเฮ่าจ้องมองเฉินซิงเยียนอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดเขาก็ไม่อาจปฏิเสธเธอได้ “ฉันหวังว่าเธอจะไม่เสียใจทีหลังนะ” พูดจบ เขาก็ขยับตัวอย่างงุ่มง่ามและเสนอที่นอนอีกครึ่งเตียงให้เธอ
เฉินซิงเยียนกระโดดขึ้นมาบนเตียงและโถมตัวเข้าหาอ้อมแขนของอันจื่อเฮ่า ความรู้สึกที่เสียไปกลังคืนกลับมาทำให้เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะไม่ทะเลาะกับอันจื่อเฮ่าอีกแล้ว
อันจื่อเฮ่าบรรจงลูบไปบนเรือนผมของเฉินซิงเยียน ในเวลานั้น ทั้งสองเพียงแค่สัมผัสถึงความรักที่มีต่อกันและกันโดยไม่มีความปรารถนาอื่นใดเจือปน ขณะที่ทั้งสองกอดกันและกันไว้แน่น พวกเขาค่อยๆ ผล็อยหลับไปอย่างช้าๆ …
…
เช้าวันต่อมาก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น ถังหนิงโทรหาอันจื่อเฮ่าขณะที่เธอกำลังให้นมเด็กๆ “สงบสติอารมณ์เด็กคนนั้นได้หรือยัง”
“อื้อ” อันจื่อเฮ่ากล่าวพลางมองหญิงสาวที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“คุณนอนด้วยกันงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” อันจื่อเฮ่าอธิบาย “ผมไม่ได้…”
ได้ยินดังนั้น ถังหนิงก็หัวเราะออกมา “ฉันไม่เคยคิดว่าคุณจะเป็นคนหัวโบราณแบบนี้ ฉันพนันว่าเฉินซิงเยียนต้องการกินคุณทั้งตัวแล้วแน่ๆ”
“เธอยังเด็กอยู่นะ…”
“ฉันแค่โทรมาแสดงความเป็นห่วงเฉยๆ คุณกลับไปนอนได้แล้ว” ถังหนิงกล่าวอย่างมีนัย หลังจากเธอวางสายโทรศัพท์ ร่างสูงกำยำก็พลันปรากฏตัวขึ้นและโอบกอดเธอจากด้านหลัง
“หมู่นี้คุณโทรศัพท์ตอนที่ผมไม่อยู่บ่อยๆ เหรอครับ” โม่ถิงโอบกอดทั้งแม่และลูกเอาไว้พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกอันทรงเสน่ห์ที่แฝงไปด้วยความอันตราย
“มันเป็นเรื่องมีความหมายนะคะ แกล้งทำเป็นว่าคุณไม่รู้เรื่องของอันจื่อเฮ่ากับเฉินซิงเยียนแล้วกัน” ถังหนิงยิ้ม “คุณไม่ได้หึงใช่ไหม”
“จากนี้ไปเวลาคุณมาให้นมเด็กๆ เรียกผมให้มาด้วยนะ ถ้าผมอุ้มไว้คนหนึ่ง คุณจะได้ไม่ลำบากเกินไป”
“เรื่องนั้นคุณช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะ อีกอย่างไห่รุ่ยเองก็ยุ่งมากอยู่แล้ว ฉันไม่อยากให้คุณนอนไม่พอ” หลังให้นมถังถังเสร็จแล้ว ถังหนิงวางเด็กน้อยลงและหันไปเอาแขนโอบรอบเอวของโม่ถิง “ฉันจัดการได้ แค่มีคุณอยู่ใกล้ๆ ฉันก็รู้สึกสบายใจพอแล้ว ฉันแค่ต้องตื่นเช้าขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง”
“ผมเป็นผู้ชายนะ คุณกลัวว่าผมจะนอนไม่พองั้นเหรอ” โม่ถิงอุ้มถังหนิงไว้ในอ้อมแขนและพาเธอออกจากห้องเลี้ยงเด็ก “อีกอย่าง ผมเป็นสามีของคุณแล้วก็เป็นพ่อของลูกๆ เราด้วย การดูแลคุณเป็นความรับผิดชอบสำคัญที่สุดของผม”
ถังหนิงไม่พูดอะไรขณะที่เธอโน้มตัวแนบชิดลำคอของโม่ถิง
“ไม่ต้องห่วง คุณไปถ่ายโฆษณาเถอะ ต่อให้คุณไม่อยู่บ้าน ผมก็ยังดูเจ้าสองแสบได้เป็นอย่างดี”
ถังหนิงไม่เคยรู้สึกกังขาในเรื่องนี้ โม่ถิงได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแลเด็กๆ ไปแล้ว แค่สองแสบยื่นแขนออกมาเขาก็รู้แล้วว่าเด็กๆ ต้องการอะไร
“ตกลงค่ะ มีคุณอยู่ฉันก็วางใจ”
ดังนั้นในเช้าวันต่อมา ฟังอวี้จึงถูกเรียกมาที่ห้องประธาน เพราะโม่ถิงมีสองสามเรื่องต้องสั่งการ
“ฉันจะไม่เข้าออฟฟิศตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้นายเป็นคนดูแลได้เลย”
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณถังหนิงงั้นเหรอครับ”
โม่ถิงชำเลืองตามองอีกฝ่ายและตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ฉันจะอยู่บ้านดูแลพวกเด็กๆ …”
ฟังอวี้อยากจะหัวเราะออกมาแต่เขากลัวเกินกว่าจะทำเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นโม่ถิงลาหยุด อย่าว่าแต่การอยู่บ้านเพื่อดูแลเด็กๆ เลย นั่นเป็นหน้าที่ที่พี่เลี้ยงควรจะเป็นคนทำ แต่ทั้งถังหนิงและโม่ถิงมักจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองเสมอทั้งที่ทั้งคู่ก็ยุ่งแบบสุดๆ ไม่แปลกใจที่ทุกคนในออฟฟิศจะเริ่มตั้งฉายาให้เขาว่า ‘ปะป๊าถิง’
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเรื่องต่างๆ ให้เอง”
แน่นอนว่าเมื่อเป็นเรื่องของการเป็นพ่อ ฟังอวี้ต้องยอมแพ้ให้กับโม่ถิง เพราะเขาเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในช่วงวัยเด็กส่วนใหญ่ของฟังเย่ว์
แม้หลายสิ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อมีฮั่วจิงจิงอยู่ข้างๆ แต่เวลาเหล่านั้นได้ล่วงเลยไปแล้วและไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก
“ส่วนเรื่องคุณถังหนิง ผมควรจ้างผู้ช่วยให้เธอสักคนไหมครับ” ฟังอวี้ถามอย่างพินิจพิจารณา เขาคิดไว้แล้วว่าหากโม่ถิงอยู่บ้าน นั่นหมายความว่าถังหนิงต้องออกไปทำงาน
“ลู่เช่อจะคอยอยู่เป็นเพื่อนถังหนิง ตอนนี้ฉันไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น”
“รับทราบครับ”
ในที่สุดถังหนิงก็กำลังจะกลับมาทำงาน แม้วงการนี้จะไม่ได้ขาดแคลนคนดัง แต่การได้เห็นถังหนิงฟันฝ่าสร้างเส้นทางให้ตัวเองในวงการก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่เป็นเห็น เธอเป็นนักแสดงหญิงที่หาได้ยากและไม่ควรปล่อยให้ไร้ประโยชน์ ต่อให้เป็นความต้องการของโม่ถิง คนอื่นก็ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
ถังหนิงกำลังถ่ายทำโฆษณา…
เป็นเวลานานแล้วนับตั้งแต่ถังหนิงมีผลงานล่าสุดออกมา ครั้งนี้เธอกำลังจะได้ใช้ความสามารถต่างๆ ของเธอในการชนะใจคนทั้งวงการบันเทิง
…
ในขณะเดียวกัน หลังจากลุงอวิ๋นและป้าอวิ๋นจากไปแล้ว อันจื่อเฮ่าคิดว่าในที่สุดเขาก็ได้รับความสงบสุขเสีย แต่กลับกันเมื่อน้องชายของอวิ๋นซินได้มาหาเขาถึงที่
“นายมาทำอะไรที่นี่” อันจื่อเฮ่ายืนพิงทางเข้าบ้านโดยไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปภายในบ้านของเขา
“พ่อกับแม่บอกฉันว่านายไม่คิดจะดูแลพวกเขาอีกแล้ว” น้องชายของอวิ๋นซินมองหน้าอันจื่อเฮ่าแบบไม่เชื่อสายตา “อะไรกัน ตอนนี้นายได้ของเล่นใหม่แล้วเลยตัดสินใจจะลืมพี่สาวฉันหรือไง ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่ มาดูแลครึ่งๆ กลางๆ แล้วทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง นายคิดจะให้ฉันทำอะไรกันแน่ ฉันเพิ่งจะแต่งงานมาได้พักเดียว นายคิดจะให้ฉันแบกรับความรับผิดชอบของคนทั้งบ้านได้ยังไง”
“นายไม่มีแขนขาหรือไง นายไม่ควรมาถามฉันเรื่องความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวนายเองนะ” อันจื่อเฮ่าตอบอย่างหนักแน่น
“ไม่มีทาง ทำไมนายถึงได้ใจดำขนาดนี้!” น้องชายของอวิ๋นซินพูดถากถางก่อนที่เขาจะสอดส่ายสายตามองผ่านช่องระหว่างประตู “ฉันได้ยินมาว่าตอนแรกนายวางแผนจะยกอะพาร์ตเมนต์นี้ให้พ่อแม่ฉัน แต่นายก็กลับคำพูด ฉันไม่เคยเจอใครปลิ้นปล้อนเท่านายมาก่อน…”
“บอกมาว่านายต้องการอะไร หยุดพูดไร้สาระสักที”
“ถ้านายยกอะพาร์ตเมนต์นี้ให้ฉัน ฉันจะไม่มาสร้างปัญหาอะไรอีก” น้องชายของอวิ๋นซินกล่าว “ไม่งั้นฉันจะมาที่นี่ทุกวันแล้วทักทายกับแฟนใหม่นายสักหน่อย”
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เลยว่าเฉินซิงเยียนได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็ก
ดังนั้นเมื่อเฉินซิงเยียนเปิดประตูออกมาและพบแขกของพวกเธอ น้องชายของอวิ๋นซินเริ่มผิวปากใส่เธอ “ไม่เลวนี่หว่า น่ารักดีนี่…”
เฉินซิงเยียนโกรธพลางเอ่ยถามอันจื่อเฮ่า “หมอนี่ใคร”
“น้องชายของอวิ๋นซิน…”
“ฉันต่อยมันได้ไหม”
ตอนที่ 743 คุณไม่ควรบังคับให้ผมต้องโห...
อันจื่อเฮ่าชำเลืองมองเธอด้วยสายตาอนุญาต
น้องชายของอวิ๋นซินไม่รู้เลยว่าเฉินซิงเยียนเป็นนักศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะ “ฉันชอบถูกสาวน่ารักๆ สัมผัสเนื้อตัวนะ…”
เปรี้ยง!
นั่นคือเสียงเดียวที่ได้ยินขณะที่เฉินซิงเยียนมอบลูกเตะเน้นๆ ให้ผู้ชายคนนั้นจนเขาร่วงจากบันได ก่อนที่น้องชายของอวิ๋นซินจะทันได้มีโอกาสดูอาการบาดเจ็บของตัวเอง เฉินซิงเยียนก็กระโดดตามลงไปและเริ่มต่อยใส่เขา จนเมื่อเธอพอใจแล้วเฉินซิงเยียนจึงลุกขึ้นยืนและกล่าวเตือน “ถ้าแกกล้ามาที่นี่อีก ฉันจะซัดแกทุกครั้งที่ฉันเจอแกเลย!”
น้องชายอวิ๋นซินไม่เคยคาดคิดว่าเฉินซิงเยียนจะมีฝีมือขนาดนี้ ในขณะนั้น เขาทำได้เพียงนอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้น ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นยืน
“หึ หน้าด้านกันทั้งบ้าน!”
หลังพูดจบ เฉินซิงเยียนเดินกลับไปหาอันจื่อเฮ่า ทั้งคู่เดินกลับเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ทีละคนก่อนปิดประตูลง
“ทำแบบนี้ไม่ได้อะไรหรอก เพื่อป้องกันไม่ใช่ครอบครัวนี้มาสร้างปัญหาอะไรเพิ่มอีก ฉันจะต้องคิดหาวิธีจบเรื่องทุกอย่างในคราวเดียว” เฉินซิงเยียนจะรับมือกับคนพวกนี้ที่มาเสนอหน้าที่อะพาร์ตเมนต์ทุกวี่วันได้อย่างไร ต่อให้คนธรรมดาก็ไม่สามารถรับมือไหว ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ในสายตาประชาชนอย่างเธอหรืออันจื่อเฮ่าเลย
เมื่อเห็นเฉินซิงเยียนเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องนั่งเล่น อันจือเฉ่าจึงดึงเธอเข้ามาก่อด “ฉันจะจัดการเอง ฉันจะไม่ปล่อยให้ครอบครัวน่ารังเกียจนี่มาปรากฏตัวให้เธอเห็นอีกแล้ว”
“จริงนะ” เฉินซิงเยียนทั้งเชื่อมั่นและกังขาในตัวเขา
“จริง” อันจื่อเฮ่าพยักหน้า “ไปอาบน้ำสักหน่อยเถอะ เธอมีออดิชั่นบ่ายนี้นะ พาเสี่ยวซีไปด้วยแล้วอย่าทำให้ฉันขายหน้าล่ะ”
“โอเค” หลังได้รับรอยจูบหนึ่งครั้ง เฉินซิงเยียนก็เดินตรงไปยังห้องน้ำอย่างเชื่อฟัง ขณะที่เธอเดินพ้นไปจากสายตา ท่าทีของอันจื่อเฮ่ากลับดูโหดเ**้ยมขึ้น นี่เป็นเรื่องที่เขาต้องจัดการให้จบในคราวเดียว
หลังจากเฉินซิงเยียนและเสี่ยวซีเดินทางออกจากอะพาร์ตเมนต์ อันจื่อเฮ่าก็ขับรถไปยังโรงพยาบาลที่ป้าอวิ๋นใช้บริการบ่อยครั้ง และเป็นไปตามคาดเพราะน้องชายอวิ๋นซินก็มาใช้บริการโรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อรักษาอาการกระดูกหักของเขา
เมื่อเห็นอันจื่อเฮ่าปรากฏตัว ไม่เพียงแค่ลุงอวิ๋นกับป้าอวิ๋นเพียงเท่านั้น แต่ภรรยาของน้องชายอวิ๋นซินเองก็เดือดดาลไม่แพ้กัน “แกมันพวกหมาหมู่ มาทำร้ายสามีฉันทำไม”
“อันจื่อเฮ่า กล้าดียังไงถึงมาที่นี่!” ป้าอวิ๋นตะโกนลั่น “ฉันจะแฉเรื่องของแกให้สื่อรู้ แกมันไม่ใช่คนแถมยังสถุล!”
ป้าอวิ๋นไม่มีการศึกษา จึงใช้คำพูดได้ไม่ดีนัก เมื่อเธอฉุนเฉียวคำพูดของเธอจึงค่อนข้างไม่ยั้งคิด
อันจื่อเฮ่าหัวเราะเบาๆ ชณะที่เขาเอ่ยถามป้าอวิ๋น “คุณวางแผนจะแฉอะไรกับสื่อล่ะ จะไปบอกว่าคนทั้งครอบครัวของคุณเกาะผมกินมาตลอดงั้นเหรอ หรือเรื่องเงินผมที่ลูกชายคุณเอาไปแต่งภรรยากับซื้อบ้านทั้งหมดด้วยล่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น ใบหูของลุงอวิ๋นกับป้าอวิ๋นก็แดงเถือก พวกเขาตระหนักดีว่าคำพูดของตัวเองนั้นค่อนข้างไร้เหตุผล
ขณะนั้นเอง ภรรยาของน้องชายอวิ๋นซินหันไปมองพ่อแม่สามีของตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา “ไม่ใช่ว่าอวิ๋นเฮ่าหาเงินมาได้ด้วยตัวเองงั้นเหรอ”
“เรื่องนั้น…”
“หาเงิน?” อันจื่อเฮ่ามองไปที่สองตายายด้วยสายตาเยาะเย้ยและตอบคำถามของหญิงสาวอ่อนต่อโลกคนนั้น “ด้วยความสามารถของอวิ๋นเฮ่าเมื่อไหร่ถึงจะมีปัญหาซื้อบ้านในปักกิ่งกันล่ะ ผมขอโทษนะ แต่ค่าใช้จ่ายของทุกคนในครอบครัวนี้มาจากผมทั้งนั้น ตลอดหลายปีมานี่พวกเขาไม่เคยต้องหาเงินสักแดง ดังนั้นคุณป้า คุณน่าจะเป็นฝ่ายถูกแฉเรื่องนี้มากกว่านะ ผมก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าสื่อจะว่ายังไง”
ป้าอวิ๋นดูไม่พอใจนัก แต่เธอไม่อาจพูดอะไรได้
“งั้นมันก็เป็นความจริงสินะ ฉันรู้อยู่แล้ว” ดวงตาทั้งสองข้างของผู้หญิงคนนั้นเอ่อไปด้วยน้ำตาขณะที่เธอมองดูสองตายายตรงหน้าและพูดต่อ “ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะหย่ากับอวิ๋นเฮ่า และแน่นอนว่าฉันจะไม่เอาเด็กในท้องไว้ด้วย อย่าฝันไปเลย พวกคุณนี่มันอะไรกัน แต่เกาะคนอื่นกินก็แย่พอแล้ว พวกคุณยังหวังจะให้พวกเขามาเลี้ยงดูลูกชายตัวเองด้วยเนี่ยนะ ฉันต้องดวงซวยสุดๆ แน่ถึงได้มาแต่งงานกับคนไร้ประโยชน์แบบนี้”
“นั่นเป็นเพราะมันเป็นสาเหตุทำให้ลูกสาวของฉันตาย มันสมควรโดนแบบนี้!”
“พอสักที หยุดดื้อด้านได้แล้ว!” ผู้หญิงคนนั้นยิ้มเยาะใส่ลุงอวิ๋นพลางปาดน้ำตาบนใบหน้า “ไม่นานมานี้ อวิ๋นเฮ่าบอกฉันอย่างหน้าชื่นตาบานว่าคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการตายของพี่สาวเขาถูกพบแล้ว แล้วนี่อะไร คุณยังวางแผนจะโทษคุณอันอีกงั้นเหรอ พอสักที ฉันจะหย่า หลังจากฉันยื่นเรื่องแล้วฉันจะให้ศาลเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ฉันอยากจะดูสิว่าพวกคุณจะยังหน้าด้านไปได้อีกนานแค่ไหน”
พูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็คว้ากระเป๋าเธอแล้วเดินตึงตังออกไปจากห้องพักคนไข้ ลุงอวิ๋นอยากจะวิ่งตามอีกฝ่ายไปแต่ป้าอวิ๋นห้ามเขาเอาไว้ “ไม่ต้องไปสนใจคนที่มองภาพกว้างไม่ออกแบบนั้นหรอก เดี๋ยวลูกชายก็หาคนที่ดีกว่านี้ได้
“พอใจหรือยังล่ะ อันจื่อเฮ่า”
เดิมทีอันจื่อเฮ่าไม่ได้วางแผนจะให้เรื่องเป็นแบบนี้ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องออมมือ…
ดังนั้นเขาจึงหยิบสัญญากู้ยืมเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและเอ่ยถามสองตายาย “คุณคิดจะใช้หนี้พวกนี้เมื่อไหร่”
เมื่อสองตายายเห็นสัญญาเหล่านั้น ทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่ง
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของทั้งสองอยู่ภายใต้การดูแลของอันจื่อเฮ่า แต่มีหลายครั้งที่พวกเขาประสบกับช่วงที่ต้องใช้เงิน ยกตัวอย่างเช่นตอนที่พวกเขาต้องการเงินมาให้อวิ๋นเฮ่าซื้อบ้าน ในเวลานั้น พวกเขารู้ดีว่ามันเป็นเงินก้อนใหญ่ พวกเขาจึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องดีที่จะเอ่ยปากขอตรงๆ ทำให้พวกเขาเซ็นสัญญากู้ยืมเงินแบบส่งๆ ด้วยความคิดว่าอันจื่อเฮ่าจะไม่มีวันขอให้พวกเขาใช้เงินคืน
แต่บัดนี้…
“ถ้ารวมหนี้ทั่วไปทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว พวกคุณติดเงินผมประมาณสิบล้านหยวน หมู่นี้ผมบังเอิญร้อนเงินเสียด้วยสิ แล้วพวกคุณจะจ่ายเงินคืนผมได้เมื่อไหร่ล่ะ”
“มันจะมากไปแล้วนะ!” ลุงอวิ๋นขู่คำรามด้วยความโกรธ
“ผมทำตัวดีด้วยแล้วนะ ไม่อย่างนั้นผมคงส่งสัญญาพวกนี้ไปให้ทีมทนายความจัดการไปแล้ว” น้ำเสียงอันจื่อเฮ่าเย็นชาขึ้นกว่าเดิม “ในเมื่อพวกคุณสองคนไม่มีความละอายนักละก็ ผมก็ต้องจัดการเรื่องนี้แบบธุรกิจและทำเป็นว่าผมช่วยเลี้ยงหมูเลี้ยงหมามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
“แกคิดจะทำอะไร” ป้าอวิ๋นตัวสั่นด้วยความโกรธ แต่เธอไม่มีทางหาเงินสิบล้านเหรียญมาคืนได้แน่
“ง่ายมาก เอาลูกชายไร้ประโยชน์ของพวกคุณไปแล้วไสหัวออกไปจากปักกิ่ง ผมไม่อยากเห็นหน้าพวกคุณอีก ถ้าพวกคุณมาให้ผมเห็นหน้าอีกละก็ ผมจะเอาสัญญาพวกนี้ไปให้ทนายความทันที ถ้าเป็นแบบนั้นอย่ามาหาว่าผมใจดำก็แล้วกัน”
“แก…”
“นี่เป็นผลที่พวกคุณทำตัวเองไม่ใช่หรือไง” อันจื่อเฮ่าชำเลืองมองครอบครัวนี้อย่างแดกดันก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ว่าไง จะไปไหม”
“ก็ได้!” ลุงอวิ๋นกล่าวด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี “อันจื่อเฮ่า แกมันโหดเ**้ยมจริงๆ!”
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณไม่ควรบีบให้ผมต้องโหดเ**้ยมมากไปกว่านี้”
ว่าแล้วอันจื่อเฮ่าก็เก็บสัญญาเหล่านั้นและเดินตรงออกจากห้องพักคนไข้ ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระหลังจากเกี่ยวข้องกับครอบครัวอวิ๋นมาหลายปี ต่อให้อวิ๋นซินมองลงมาจากบนสวรรค์ด้วยความผิดหวัง เขาก็จะไม่ใจอ่อน เพราะตอนนี้คนเพียงคนเดียวที่เขาต้องการปกป้องคือเฉินซิงเยียน
ขณะเดียวกัน เฉินซิงเยียนกำลังอยู่ระหว่างการออดิชั่นเรื่อง ‘สุดยอดแฟนเก่า’ ซึ่งเป็นหนังตลกกำกับโดยผู้กำกับหวังผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘ราชาหนังตลก’
ในฐานะนักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงเพราะโม่ถิง ผู้กำกับจึงไม่ได้คาดหวังกับการแสดงหรือทักษะอะไรของเฉินซิงเยียนมากนัก
ดังนั้นดูเหมือนว่าเธอจะไม่อาจได้บทนักแสดงสมทบได้เลยด้วยซ้ำ แต่ในขณะนั้นเอง ไป๋หลินหลินได้มาปรากฏตัวในการออดิชั่นครั้งนี้ด้วย
ตอนที่ 744 รอให้ฉันกลายเป็นตัวตลกอย่า...
ไป๋หลินหลินไม่ได้เก่งกาจกว่า แต่กระนั้นเธอก็มีพี่สาวทำงานอยู่ในฮอลลีวูด ดังนั้นทั้งเฉินซิงเยียนและไป๋หลินหลินจึงมีพื้นเพที่เรียกได้ว่าทัดเทียมกัน
เสี่ยวชีโทรหาอันจื่อเฮ่าเพื่ออธิบายสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด เพราะเธอกลัวว่าเฉินซิงเยียนจะถูกรังแกอีก ดังนั้นอันจื่อเฮ่าจึงรีบเดินทางมาถึงยังสถานที่ออดิชั่นไม่นานหลังจากนั้น เมื่อเห็นเฉินซิงเยียนที่กำลังถือบทสำหรับการออดิชั่นไว้ในมือ เขาก็รีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและเอ่ยถาม “มีอะไรเหรอ”
ขณะที่เฉินซิงเยียนมองดูการปรากฏตัวของอันจื่อเฮ่า เธอพูดขึ้นทันที “ที่จริงฉันคิดอะไรได้บางอย่าง”
“เธอคิดจะเป็นสตันต์ที่เก่งที่สุดในปักกิ่ง”
เฉินซิงเยียนสูดหายใจลึกและตระหนักได้ว่าภาพลักษณ์สบายๆ ของเธอก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นภาพจำอยู่ลึกในหัวใจของอันจื่อเฮ่าเสียแล้ว ส่งผลให้เขาไม่เคยชินกับความเอาจริงเอาจังของเธอ กระนั้นเฉินซิงเยียนยังคงพูดในสิ่งที่เธอคิด “ฉันรู้ว่านายหางานออดิชั่นนี่มาให้ฉันเพราะนายอยากให้ฉันได้มีผลงานแล้วก็ได้แสดงในหนัง ฉันเองก็รู้ว่านายไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวฉันมากนัก แต่นับจากวันนี้ไปฉันอยากคาดหวังอะไรให้ตัวเองบ้าง
“ฉันอ่านบทพวกนี้แล้ว ฉันรู้ดีว่านายอยากให้ฉันออดิชั่นบทนางรอง แต่ฉันรู้สึกว่าบทตัวละครหญิงที่ต้องปลอมตัวเป็นผู้หญิงนี่เหมาะกับฉันมากกว่า”
อันจื่อเฮ่ามองวิเคราะห์เฉินซิงเยียนอย่างจริงจังพลางแย้มรอยยิ้มออกมา “เธอเตรียมตัวจะเป็นซูเปอร์สตาร์หรือยัง”
“ต่อให้ไม่ใช่เพื่อตัวฉันเอง ฉันก็อยากทำเพื่อความฝันของนาย นายเคยเป็นผู้จัดการตัวท็อปนะ ฉันไม่อยากให้ความสามารถของนายต้องสูญเปล่าเพราะฉัน”
อันจื่อเฮ่าวางมือลงบนหัวของเฉินซิงเยียนเบาๆ เธอโตขึ้นแล้วสินะ
“เธอเหมาะกับบททอมนี่มากกว่าจริงๆ นั่นแหละ ถึงมันจะไม่ใช่บทเด่นอะไรแต่ตัวละครตัวนี้มีรายละเอียดมากที่สุด มีชีวิตชีวาและสมบูรณ์ที่สุดในบทของเรื่อง ถ้าแสดงดีๆ มันสามารถเปล่งประกายได้มากกว่าบทนางรองหรือบทนางเอกด้วยซ้ำ ถ้าทำแสดงได้แย่ มันจะกลายเป็นแค่ตัวละครตัวหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญและถูกลืม แต่เราไม่มีอะไรจะเสีย ถือว่านี่เป็นโอกาสให้เธอได้สะสมประสบการณ์แล้วกัน”
“ตกลง” เฉินซิงเยียนพยักหน้า
“ไป๋หลินหลินมาออดิชั่นบทนางรอง แต่กลับไม่รู้ว่าบทนี้มีไว้เพื่อเสริมให้บทนางเอกเด่นขึ้น ที่จริงมันมีบทน้อยกว่าตัวละครอื่นๆ ด้วยซ้ำ บทนางรองอาจจะได้แสดงในหลายฉากแต่มันไม่ได้หมายความว่าจะเป็นบทที่ดี”
หลังได้ยินเช่นนั้น เฉินซิงเยียนก็เริ่มหัวเราะออกมาพลางกระซิบที่ข้างหูอันจื่อเฮ่า “ดูจากนิสัยของไป๋หลินหลินแล้ว ผู้หญิงคนนั้นต้องทำทุกอย่างเละแน่”
ไป๋หลินหลินดูเหมือนจะรู้ตัวว่าเฉินซิงเยียนกับอันจื่อเฮ่ากำลังพูดถึงตัวเองอยู่ เธอจึงกลอกตาและเดินตรงมาหาทั้งสอง “บทนางรองเป็นของฉัน อย่าฝันไปหน่อยเลย”
เฉินซิงเยียนไม่เคยอยากได้บทนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว…
เมื่อเธอเริ่มนึกถึงภาพที่ไป๋หลินหลินยืนอยู่ต่อหน้าถังหนิง เธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“หัวเราะอะไรไม่ทราบ”
“กำลังคิดถึงตอนที่เธอโดนยืนทำโทษนะสิ”
“รอก่อนเถอะ หลังจากฉันได้เป็นนางรอง แกจะได้เห็นดีแน่” ไป๋หลินหลินผูกใจเจ็บ หลังจากได้พูดข่มอีกฝ่าย เธอก็รีบหันหลังกลับและเดินออกไปอย่างเร่งรีบ เฉินซิงเยียนหัวเราะมากจนน้ำตาไหล
“ฉันได้ยินมาว่ายัยนั่นมีพี่สาวที่มีอำนาจพอดู คงไม่มาสร้างปัญหาอะไรหรอกใช่ไหม”
“พี่สาวของผู้หญิงคนนั้นอยู่ในระดับเดียวกับถังหนิง ดังนั้นถังหนิงจะต้องหาวิธีรับมือกับพี่สาวคนนั้นแน่ ถ้าพี่สาวของผู้หญิงคนนั้นมาหาเรื่องเธอก็เท่ากับลดค่าตัวเอง” อันจื่อเฮ่าตอบพร้อมรอยยิ้ม
…
ไป๋อวี๋เดือดดาลมาก ถังหนิงบีบบังคับให้น้องสาวของเธอต้องยืนถึงสองชั่วโมงราวกับนักเรียนที่ถูกทำโทษหน้าเสาธง ไม่ว่าใครได้ยินเรื่องนี้ก็ต้องรู้สึกแย่ทั้งนั้น
“เป็นนักแสดงที่ใกล้จะหมดอายุแท้ๆ ทำไมถึงไม่กลับบ้านไปซะนะ ทำไมถึงได้เที่ยวออกมาเดินทำตัวเป็นคนดีทั้งๆ ที่มันไม่ใช่”
กระนั้นไป๋หลินหลินกลับไม่รู้เลยว่าถังหนิงมาที่สตูดิโอในวันนั้นเพราะเธอได้เซ็นสัญญาในฐานะพรีเซนเตอร์ระดับโลกให้กับเครื่องสำอางแบรนด์หรูระดับอินเตอร์เจ้าหนึ่ง โดยเครื่องสำอางแบรนด์นี้เป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดีในด้านภาพลักษณ์ที่ดูมีชีวิตชีวา และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้โม่ถิงตัดสินใจเลือกงานนี้ให้ถังหนิง ในตอนแรกบริษัทเครื่องสำอางดังกล่าวมีความกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของถังหนิง พวกเขาต่างสงสัยว่าเธอจะยังมีเสน่ห์ดึงดูดมากเพียงพออยู่หรือไม่ แต่ทันทีที่ถังหนิงในชุดสูทสีขาว รวมผมยาวดำขึ้นเป็นทรงหางม้าและก้าวออกมาปรากฏต่อหน้าทุกคน ความสวยของเธอก็สะกดทุกสายตาจนไม่มีใครอาจละสายตาไปจากเธอได้แม้แต่คนเดียว
เพราะเหตุนี้ทำให้ช่างภาพถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความชื่นชม ถังหนิงยังคงอยู่ในสภาพเดียวกับครั้งที่เธอยังเป็นนางแบบ สะท้อนความเป็นมืออาชีพของถังหนิงให้เห็นได้อย่างชัดเจนผ่านความมีวินัยในการดูแลรูปร่างของเธอ
ใช้เวลาไม่นานนักถังหนิงก็เริ่มพูดคุยกับชายคนหนึ่งด้วยภาษาอังกฤษอันไร้ที่ติและเข้าใจคอนเซปต์ในการถ่ายภาพครั้งนี้
ดังนั้นด้วยความช่วยเหลือของช่างแต่งตัว ถังหนิงเปลี่ยนไปอยู่ในชุดออกกำลังกายสีขาวสะอาดตา
ขณะที่ช่างแต่งตัวมองไปยังหน้าท้องของถังหนิงและเห็นว่ามันกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างสวยงาม ช่างคนนั้นถึงกับอ้าปากค้าง “ฉันดูไม่ออกเลยว่าคุณมีลูกคนหนึ่งแล้ว”
“ที่จริงแล้วสองคนค่ะ” ถังหนิงยิ้ม “ฉันมีลูกแฝด…”
ช่างแต่งตัวคนนั้นชูนิ้วโป้งขึ้น “คุณนี่น่าเหลือเชื่อจริงๆ!”
ตลอดการถ่ายภาพ ถังหนิงเปลี่ยนชุดทั้งหมดถึงเจ็ดชุด ซึ่งทั้งหมดอยู่ในธีมสีขาวและความเป็นผู้หญิง ภายในห้องที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ สภาพของถังหนิงนั้นสมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อ
“มืออาชีพยังไงก็เป็นมืออาชีพอยู่วันยังค่ำ” ช่างภาพกล่าวชื่นชมเธออย่างต่อเนื่อง ถังหนิงไม่เคยลืมความเป็นมืออาชีพในแบบฉบับของเธอเลย โดยเฉพาะแววตาคู่นั้น
เธอสามารถแสดงความดุดัน เร่าร้อน อ่อนโยน รวมถึงความบริสุทธิ์ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะประสบการณ์ต่างๆ ที่เธอสั่งสมมาจากการแสดงซึ่งเธอนำทักษะเหล่านั้นมาใช้ในการถ่ายทำโฆษณาครั้งนี้ ทำให้แม้แต่ทีมงานถ่ายทำโฆษณาเองยังต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เพราะจากบรรดานางแบบทั้งหมดที่พวกเขาเคยร่วมงานด้วย ถังหนิงเป็นคนที่น่าประทับใจมากที่สุด
“รอจนกว่าเราจะปล่อยโฆษณาตัวนี้ออกมาเถอะ ผลลัพธ์จะต้องน่าตกใจแน่ๆ ผมรอไม่ไหวแล้ว!” ช่างถ่ายภาพพูดกับทีมงานคนอื่นๆ หลังจากที่เขาถ่ายเสร็จ
หลังถังหนิงถ่ายภาพเสร็จแล้ว เธอต้องการเพียงแค่รีบกลับบ้าน เดิมทีทีมถ่ายทำโฆษณาต้องการจะเชิญถังหนิงไปร่วมมื้อค่ำกับทุกคน แต่เธอกล่าวปฏิเสธพวกเขาด้วยความเกรงใจ เนื่องจากเธอยังมีเด็กอีกสองคนที่กำลังรอเธออยู่ที่บ้าน
“นอกจากการโฟกัสเรื่องงานแล้วคุณยังเป็นห่วงลูกมากด้วย คุณนี่เป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” ช่างไฟหัวเราะออกมา
เพราะเธอเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยม จึงต้องการรีบกลับบ้านไปเอาใจยอดคุณพ่อที่อยู่ที่บ้านเช่นกัน
ถังหนิงยิ้มพลางกล่าวอำลาเหล่าทีมงาน จากนั้นเธอก็มุ่งหน้าออกจากสตูดิโอพร้อมกับลู่เช่อ
เธอสามารถกลับมาทำงานได้แต่ชายร่างใหญ่กับเด็กน้อยอีกสองคนที่บ้านเป็นสิ่งที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดเสมอ
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน ถังหนิงพบว่าโม่ถิงกำลังงีบหลับอยู่กับเด็กๆ
ได้เห็นปะป๊าถิงนอนหัวชนกับหัวของลูกชายตัวน้อยทั้งสองคน ถังหนิงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเธอ
เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่งเธอและโม่ถิงเคยให้คำสัญญากันไว้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงคู่รักธรรมดาเมื่ออยู่ที่บ้าน มันเป็นสถานที่สำหรับพวกเขาเพียงสองคนเท่านั้น
ถังหนิงเดินเข้าไปหาทั้งสามก่อนบรรจงจูบลงบนหน้าผากของโม่ถิง จากนั้นเธอจึงเดินไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมมื้อค่ำ
ไม่นานหลังจากนั้นโม่ถิงเดินไปอยู่ที่ด้านหลังของถังหนิงและโอบแขนของเขารอบเอวของเธอ “การกลับไปทำงานวันแรกของคุณราบรื่นดีไหมครับ”
“แน่นอนค่ะ…” ถังหนิงพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“ไห่รุ่ยได้รับข่าวว่าไป๋อวี๋วางแผนจะกลับมาปักกิ่งเพราะต่อยอดอาชีพของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นพุ่งเป้ามาที่คุณ พอเธอกลับมาเธอน่าจะสร้างปัญหาให้คุณแน่”
“ทั้งหมดเป็นเพราะฉันให้น้องสาวของเธอถูกยืนทำโทษงั้นเหรอ” ถังหนิงพ่นลมออกทางจมูก “การมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องปกติในวงการไม่ใช่หรือไง”
“ไป๋อวี๋เป็นผู้หญิงฉลาด และสามารถสละคนสำคัญในชีวิตของเธอได้ถ้าจำเป็น พวกคุณสองคนมีเส้นทางแบบเดียวกัน แต่เมื่อมาถึงทางแยก พวกคุณกลับเลือกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นผู้หญิงคนนั้นอยากเลยจะรอดูผลลัพธ์ที่ออกมา”
“ถ้าไม่นับเรื่องอื่นๆ แล้วละก็ ไป๋อวี๋คนนี้ถือว่ามีเสน่ห์พอดูนะคะ” ถังหนิงยอมรับในจุดนี้ “เธอต้องกำลังรอให้ฉันกลายเป็นตัวตลกอยู่แน่”
ตอนที่ 745 พวกเขาคิดกันไปเองว่าคุณกลั...
ไป๋อวี๋โด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยเจอเล่ห์เหลี่ยมมาแล้วสารพัด ทำให้เธอรู้วิธีวางตัวและรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ดังนั้นด้วยการใช้ไห่รุ่ยเป็นฐาน สุดท้ายเธอได้ก้าวสู่เวทีระดับโลกอย่างสง่างามและสร้างอี้ซิงฟิล์มขึ้นในที่สุด ทุกวันนี้ทั้งเธอและสามีต่างทำงานหนักร่วมกันอยู่ในฮอลลีวูด
จุดเปลี่ยนสำคัญที่โม่ถิงพูดถึงก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาที่ไป๋อวี๋ยังคงอยู่กับไห่รุ่ย ในเวลานั้นเธอมีชายคนรักซึ่งเธอคบหาด้วยมานานหลายปี แต่ท้ายที่สุดเพื่อให้ได้มาซึ่งอนาคตที่โชติช่วง เธอตัดสินใจทำแท้งและเลิกรากับนักร้องหนุ่มผู้ไม่มีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้น
ในฐานะเซเลบสาว ความอ่อนเยาว์ไม่ใช่สิ่งที่คงอยู่นิรันดร์ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเก็บกระเป๋ากลับบ้านก่อนที่อาชีพการงานจะทันได้เริ่มเติบโต
ส่งผลให้ในเวลานั้น ไป๋อวี๋ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เมื่อคนรักเก่าของเธอรู้เรื่องการทำแท้ง เขาก็แทบเสียสติ แต่เขาสามารถรวบรวมสติและปล่อยเธอไปในท้ายที่สุด
อาจเป็นเพราะต้องการทำให้ไป๋อวี๋รู้สึกผิด คนรักเก่าผู้ไร้ความทะเยอทะยานของเธอพลันตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงและเริ่มใช้เส้นสายในการเติบโตก้าวหน้า ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นที่ปรึกษาที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในวงการเพลง
อาจพูดได้ว่าเป้าหมายของถังหนิงและไป๋อวี๋นั้นคล้ายคลึงกันมาก แต่หากไป๋อวี๋อยู่ในจุดของถังหนิง เธอคงไม่ผันตัวมาเป็นนักแสดงในขณะที่กำลังจะได้กลายเป็นสุดยอดนางแบบระดับโลกแน่ และเธอคงไม่มีวันมีลูกในช่วงเวลาที่กำลังโด่งดังถึงขีดสุดเช่นกัน เธอไม่ได้เสียสติ มีคนตั้งมากมายแค่ไหนที่เฝ้าฝันจะมีชื่อเสียงโด่งดัง
ทำไมถังหนิงถึงไม่เห็นคุณค่าโอกาสที่เข้ามาพวกนั้น
ไป๋อวี๋ไม่ชอบถังหนิงเพราะไป๋อวี๋สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้ได้มาถึงจุดที่ยืนอยู่ทุกวันนี้ แต่ถังหนิงดูเหมือนจะทำให้เธอเห็นว่าการตัดสินใจของเธอเป็นเรื่องผิดพลาดเสมอ
ถังหนิงกลับมาทำงานแล้ว ดังนั้น ‘ชายาหนิง’ ซึ่งได้เริ่มเตรียมการมาระยะหนึ่งได้ส่งกำหนดการทั้งหมดมาให้เธอ แม้บรรดาผู้จัดจะพูดเสมอว่าถังหนิงจะได้เล่นบทนางเอก แต่พวกเขาก็ไม่เคยประกาศเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ เพราะเหตุนี้ อันจื่อเฮ่าจึงติดต่อถังหนิงอีกครั้ง “คุณพร้อมจะมาที่กองถ่ายหรือยัง”
‘ชายาหนิง’ เป็นละครเรื่องยาวแนวย้อนยุคในราชวงศ์ ทันทีที่ถังหนิงเข้ากองถ่าย หนังเรื่องนี้น่าจะต้องใช้เวลาประมาณสามถึงหกเดือนในการถ่ายทำจนจบ ถังหนิงชอบเนื้อเรื่องแต่…
“ขอฉันคิดอยู่ก่อน” ถังหนิงตอบ เธอเป็นกังวลที่ต้องห่างลูกทั้งสองของเธอเป็นเวลานานๆ
“คุณกลับบ้านทุกวันก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไม่ได้เจอลูกของคุณหรอก” อันจื่อเฮ่าเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายด้วยข้อเสนอที่ดึงดูดใจ “ตอนนี้มีนักแสดงหญิงหลายคนได้รับข้อเสนอของหนังเรื่องนี้ ถ้าคุณไม่รีบตัดสินใจ คนอื่นอาจจะแย่งบทนี้ไปจากคุณก็ได้นะ”
“งั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น…” ถังหนิงยิ้ม
“คุณคิดว่ามีใครที่จะเหมาะกับบทนี้มากไปกว่าคุณงั้นเหรอ คุณได้สัญญาไปตั้งนานแล้วแต่คุณก็ยังไม่เซ็นมันกลับมาเสียที!”
ไม่ใช่ว่าถังหนิงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับความท้าทายเช่นนี้ แถมเธอยังไม่เคยถ่ายละครแนวย้อนยุคแบบนี้มาก่อนยิ่งทำให้มันท้าทายมากยิ่งขึ้น แต่ว่าเธอมีความกังวลใจ…
“คุณต้องให้คำตอบผมภายในพรุ่งนี้เช้านะครับ” อันจื่อเฮ่ารู้สึกร้อนใจ ขั้นตอนการเตรียมงานใช้เวลายาวนานมากเกินไปแล้ว ยิ่งพวกเขาล่าช้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งสิ้นเปลืองทรัพยากรไปมากเท่านั้น
“ตกลง” ถังหนิงพยักหน้า “แล้วอีกอย่าง คุณเพิ่งบอกว่าซิงเยียนจะได้รับบทในละครด้วยใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”
“เด็กคนนั้นมีอย่างอื่นที่อยากจะทำ” อันจื่อเฮ่าเผยใบหน้าโล่งใจที่เห็นได้ยากของตัวเองออกมา
ตอนนี้เฉินซิงเยียนรู้วิธีจัดการสิ่งต่างๆ มากขึ้นแล้ว เธอบอกได้ว่าสิ่งไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับเธอและทำให้อันจื่อเฮ่าได้เห็นความเป็นไปได้ที่เธอจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์
…
ถังหนิงถูกโน้มน้าวใจให้ร่วมงานกับ ‘ชายาหนิง’ แต่เมื่อเธอมองไปยังใบหน้าที่กำลังหลับพริ้มของลูกชายทั้งสอง เธอล้มเลิกความคิดเหล่านั้น
บทดีๆ เดี๋ยวก็มีมาอีก แต่เวลาที่จะได้ใช้ร่วมกับลูกทั้งสองของเธอนั้นไม่มีวันย้อนคืนกลับมาได้
โม่ถิงดูเหมือนจะสังเกตเห็นความลังเลใจของอีกฝ่าย ดังนั้นในฐานะผู้จัดการ เขาจึงตอบไปยังทีมผู้จัดเพื่อตอบรับบทดังกล่าวและบอกให้พวกเขาสามารถประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการได้ทันที
“เด็กๆ ต้องมีคนดูแล แต่คุณเองก็ต้องทำตามความฝันของคุณด้วย ผมติดต่อทีมผู้จัดไปแล้ว คุณจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ทุกวันและไม่มีใครมาห้ามไม่ให้คุณอยู่กับลูกๆ ตอนกลางคืน ระหว่างเวลากลางวันเราจะให้สองแสบอยู่กับแม่ของพวกเรา…”
เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่ไป๋ลี่หวาจะดูแลเด็กสองคนได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นซย่าอวี้หลิงจึงยกถังซื่อกรุปให้ถังจิ้งเซวียนดูแลและลงมาช่วยดูแลเด็กๆ
คุณย่าของเด็กทั้งสองเป็นนักวิจัยชีววิทยา ในขณะที่คุณยายเป็นนักธุรกิจหญิงผู้มีชื่อเสี่ยงโด่งดัง ยิ่งไปกว่านั้น เด็กทั้งสองยังเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย ดังนั้นจึงไม่มีข้อกังขาเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กทั้งสอง
ถังหนิงมองโม่ถิงและรู้ดีว่าชายคนนี้เข้าใจเธอมากที่สุด ดังนั้นเธอถึงไม่โต้แย้งอะไรพลางพยักหน้ารับ
“แค่การที่คุณไม่ได้อยู่ที่นี่ยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ได้เป็นแม่ที่ดีสักหน่อย อย่ารู้สึกผิดเลยครับ ถ้าผมมีเวลา ผมจะพาพวกเขาไปหาคุณที่กองถ่าย”
โม่ถิงรำลึกอยู่เสมอว่าถังหนิงเรียนรู้ทักษะการแสดงจากศูนย์เพราะเรื่อง ‘โง่’ ทั้งที่ตอนนั้นอีกเพียงก้าวเดียวเธอก็จะได้กลายเป็นสุดยอดนางแบบระดับโลก
ในเวลาเช่นนี้ แรงสนับสนุนจากคนรักจึงเป็นเครื่องรับรองที่สำคัญที่สุด
“โอเคค่ะ ปะป๊าถิง!”
การตัดสินใจร่วมงานกับ ‘ชายาหนิง’ ของถังหนิงนั้นได้รับการยืนยันไว้ตั้งแต่แรกแล้วและเหล่าที่งานได้เตรียมพร้อมที่จะประกาศเรื่องนี้ไว้แล้ว ขณะที่ทีมนักแสดงทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงระดับสูงทั้งสิ้น บทพระเอกก็ไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่ แต่เป็นนักแสดงชายที่มากประสบการณ์เช่นกัน
แต่กลับมีสิ่งที่ไม่คาดฝัน…
…เพียงชั่วข้ามคืน ทีมผู้จัดเรื่อง ‘ชายาหนิง’ เกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน จากเดิมที่ถังหนิงจะต้องเล่นสองบทด้วยตัวเอง พวกเขากลับตัดสินใจเพิ่มนักแสดงพิเศษเข้ามาอีกหนึ่งคนและจัดการให้ถังหนิงได้เล่นเพียงบทเดียว
‘ชายาหนิง’ ได้รับการปรับบท จากเดิมที่เป็นเรื่องราวของนางสนมคนหนึ่งที่ถูกประหารด้วยการตัดหัวเนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งของราชวัง แต่เรื่องกลับหักมุมเมื่อนางสนมคนนั้นไม่ตายและฟื้นกลับมาจากความตายพร้อมอุปนิสัยที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้วกลายเป็นนางสนมที่ทุกคนต่างพากันยกย่องในที่สุด หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยศึกแย่งชิงตัวตนระหว่างสองพี่น้อง นี่คือจุดที่ทีมผู้จัดอัดฉากตบตีมากมายระหว่างสองพี่สองเข้าไป…
ความรู้สึกที่น่าดึงดูดของเรื่องกลับหมดไปในทันที…
จากบทที่มีความละเอียดอ่อนแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องของผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบไร้จุดด่างพร้อยอันแสนน่าเบื่อ…
ดังนั้นหลังจากที่อันจื่อเฮ่านำบทละครใหม่มาให้ถังหนิง ถังหนิงอ่านคร่าวๆ และโยนมันทิ้ง “ฉันไม่สนว่าจะได้บทนางเอกหรือเปล่า แต่ตัวละครตัวนี้กลายเป็นคนที่ไม่มีมิติไปแล้ว ฉันไม่อยากเล่นอะไรที่มันเกินจริงแบบนี้”
“ละครออกมายืนยันว่าแล้วจะมีนางเอกสองคน คุณรู้ไหมว่านางเอกอีกคนคือใคร” อันจื่อเฮ่ามองหน้าถังหนิงอย่างมีนัย “ไป๋อวี๋! ไป๋อวี๋มีชื่อเสียงอยู่แล้วแถมยังยื่นข้อเสนอที่จะลงทุนให้กับละครเรื่องนี้ ดังนั้นพวกผู้จัดถึงได้รู้สึกเหมือนถูกหวย ไป๋อวี๋เป็นที่ยอมรับของทุกคนว่าเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ ดังนั้นการปรากฏตัวของเธอจึงไม่น่าจะทำให้คุณภาพของละครเรื่องนี้ลดลง”
“พุ่งเป้ามาที่ฉันสินะ” ถังหนิงยิ้มเยาะ
“ถังหนิง ละครเรื่องนี้มีบทที่สมบูรณ์และมีทีมโปรดักชั่นที่เป็นมืออาชีพ ไม่ว่าใครมาแสดงผลที่ได้จะต้องไม่ออกมาแย่แน่ แน่นอนว่าการมีนักแสดงดีๆ เพิ่มขึ้นมาก็ถือเป็นเรื่องดีด้วย ถ้าคุณปฏิเสธบทนี้แล้วละครเกิดดังขึ้นมา คนคงได้พูดไปต่างๆ นานาแน่
“พวกเขาอาจจะคิดไปถึงว่าคุณกลัวไป๋อวี๋ด้วยซ้ำ”
“ฉันจะไม่แสดงเรื่องนี้!” ถังหนิงตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “คุณรู้ว่าฉันเป็นคนยังไง ตอนที่ฉันรับบทมาดู นักแสดงคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญอะไรอยู่แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวบทเองต่างหาก คุณบอกให้ตัวเองเล่นละครที่มีบทแบบนี้ได้ลงไหมล่ะ”
ตอนที่ 746 อะไรที่เป็นของหนิงของฉัน ใ...
“บางครั้งเราก็จำเป็นต้องเสียเวลารอบทดีๆ และฉันไม่กลัวถ้าจะต้องรอ” ถังหนิงกล่าวก่อนจะผลักบทละครกลับไปหาอันจื่อเฮ่า “ขอโทษนะ จื่อเฮ่า”
อันจื่อเฮ่าอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา “แบบนี้ก็สมกับเป็นคุณดีนะ สมกับเป็นถังหนิงที่ผมรู้จัก ไม่เป็นไรหรอก ผมเคารพการตัดสินใจของคุณ”
“ละครเรื่องนี้มีโอกาสดังเป็นพลุแตก แต่… ฉันรู้สึกว่าแค่การถ่ายทำอย่างดีมันยังไม่พอ ตัวเนื้อเรื่องเองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ผลงานคลาสสิกชิ้นเอกจะถูกรังสรรค์ได้ก็ต่อเมื่อความละเอียดอ่อนอย่างมีศิลป์ของนักเขียนได้รับการยกย่องเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อความโด่งดังเพียงชั่วคราวและถูกลืมเลือนหลังจากนั้น”
ถังหนิงเข้าใจสิ่งนี้ดียิ่งกว่าใครทั้งนั้น!
…
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋อวี๋ได้ก็รับข่าวเรื่องที่ถังหนิงปฏิเสธบทของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ไป๋อวี๋ค่อนข้างสับสน สำหรับในประเทศจีน ทีมสร้างอย่างเรื่อง ‘ชายาหนิง’ นั้นถูกจัดว่าน่าจับตามองและมีแววจะได้รับความนิยม แต่ถังหนิงก็ยังปฏิเสธ หรือเป็นเพราะบทในฐานะนางเอกของเธอถูกฉกไป เมื่อคิดเช่นนั้นริมฝีปากไป๋อวี๋เริ่มเผยรอยยิ้มอันเย็นชา
การฉกชิงมันเป็นเรื่องปกติในวงการบันเทิงไม่ใช่หรือไง ทำไมถังหนิงถึงได้คิดเล็กคิดน้อยนัก
ไป๋อวี๋อยากรู้สิ่งที่ถังหนิงคิดอยู่ในหัวจริงๆ สมองผู้หญิงคนนั้นทำจากถั่วกวนหรือไงกัน
แต่กระนั้น ไม่ว่าถังหนิงจะมีเหตุผลอะไรถึงได้เลือกที่จะปฏิเสธบทของ ‘ชายาหนิง’ ไป๋อวี๋ก็ได้สร้างประเด็นร้อนให้ทุกคนได้ถกเถียงกัน
ดังนั้นพาดหัวข่าวเช่นนี้จึงได้เริ่มปรากฏขึ้น
‘ซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ไป๋อวี๋ กลับคืนวงการ บทนางเอกของถังหนิงถูกฉกไปแล้ว!’
‘‘ชายาหนิง’ ประกาศเปลี่ยนตัวในนาทีสุดท้ายให้ไป๋อวี๋ได้บท ถังหนิงชวดบทนางเอก’
บทความทุกรูปแบบแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวไฟป่า แต่ทุกบทความล้วนมีนัยเดียวกันคือเดิมทีถังหนิงเป็นผู้ได้รับเลือกให้เล่นบทนางเอกของเรื่อง ‘ชายาหนิง’ แต่กลับถูกแทนที่โดยไป๋อวี๋ ทุกคนต่างพยายามคาดเดาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ เนื่องจากถังหนิงเพิ่งจะคลอดลูก ทุกคนจึงทึกทักไปเองว่าอาจเป็นเพราะร่างกายของถังหนิงยังไม่กลับคืนมาโดยสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋อวี๋เป็นผู้มีชื่อเสียงระดับโลกจึงไม่อาจมองข้ามได้ เช่นเดียวกับความสามารถในการแสดงของเธอที่ได้รับการขัดเกลามาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ทีมผู้จัดจะเลือกไป๋อวี๋แทนที่จะเลือกถังหนิงเพราะไป๋อวี๋มีภาษีดีกว่า
[ถังหนิงเป็นคนที่ขโมยบทของคนอื่นมาตลอด พอตอนนี้โดนคนอื่นแยกบทไปบ้าง ทำเอาฉันรู้สึกสะใจแบบแปลกๆ แฮะ]
[ถ้าพูดเรื่องประสบการณ์แล้วละก็ ถังหนิงยังตามหลังไป๋อวี๋อีกไกล เป็นธรรมดาที่ผู้จัดเลือกจะเปลี่ยนคน]
[เมื่อก่อนไป๋อวี๋เป็นสาวในฝันของฉันเลยนะ ไม่นึกเลยว่าจะกลับมาแสดงอีก ฉันละตั้งตารอดูเลย!]
[ไป๋อวี๋เล่นบทละครคลาสสิกมาเยอะ ฉันนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าตอนนั้นถังหนิงทำอะไรอยู่]
แน่นอนว่าบรรดาแฟนคลับของถังหนิงออกมาตอบโต้
[อะไรที่เป็นของถังหนิงของฉัน ใครก็มาขโมยไปไม่ได้ทั้งนั้น ยกเว้นแต่ถังหนิงจะตั้งใจยกให้เอง]
[อย่าทำเหมือนไป๋อวี๋สูงส่งเกินเอื้อมไปหน่อยเลย ถ้าพูดถึงเรื่องการแสดง ถังหนิงของเราไม่มีทางแพ้หรอก]
[พวกเธอชมไป๋อวี๋ไปได้ยังไงกัน บทที่เคยเล่นเมื่อก่อนก็มีแต่บททื่อๆ เป็นตัวละครไร้สมองทั้งนั้น มันน่าภูมิใจตรงไหนกัน]
[ร่างกายถังหนิงของเราไม่มีอะไรผิดปกติสักหน่อย แล้วลูกๆ ของเธอก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วยทั้งนั้น]
เมื่อดูจากความดุเดือดระหว่างแฟนคลับของทั้งสองฝ่าย เห็นได้ชัดว่า ‘ชายาหนิง’ ได้กลายเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมไปแล้ว
กระนั้น ในเวลาเช่นนี้ ถังหนิงไม่อาจออกมาพูดแก้ต่างอะไรให้ตัวเองได้ หากเธอออกมาพูดว่าเธอถูกแทนที่ นั่นจะหมายความว่าเธอไม่ดีเท่าไป๋อวี๋ แต่ถ้าเธอบอกทุกคนว่าเธอเป็นคนปฏิเสทบทดังกล่าวและละครได้รับความนิยม ผู้คนจะพูดว่าเธอแหกหน้าตัวเองและโง่ที่ไม่ยอมรับบทที่สามารถช่วยให้เธอก้าวหน้าได้
ดังนั้นเธอจึงไม่อาจออกมาพูดอะไรได้
แน่นอนว่าเธอมีข้ออ้างอีกข้อหนึ่งที่สามารถใช้ได้ โดยเธอสามารถพูดได้ว่าเธอจำเป็นต้องดูแลลูกๆ แต่เธอไม่อาจใช้เด็กน้อยเป็นโล่ได้ ความจริงก็คือความจริง เธออาจนิ่งเงียบต่อไปได้แต่เธอจะไม่มีวันทำอะไรที่ล้ำเส้นขีดจำกัดของตัวเอง
แม้แต่หลงเจี่ยซึ่งกำลังตั้งท้องยังอดเป็นกังวลไม่ได้ “ดูจากวิธีที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาหาเรื่องคุณสิคะ ตั้งใจมาขโมยบทคุณเลยไม่ใช่เหรอ แล้วคุณก็ยกให้ง่ายๆ เนี่ยนะคะ”
“เปล่า ฉันแค่ไม่ชอบบทนั่นเท่านั้น พวกเขาเปลี่ยนแปลงบทมากเกินไป” ถังหนิงตอบ หากบทยังคงเหมือนเดิม เธอจะไม่มีวันยอมยกเลิกง่ายๆ แน่
“แล้วคุณคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ สถานการณ์ด้านคุณตอนนี้ดูกระอักกระอ่วนน่าดูนะคะ แถมทุกคนก็พากันคิดไปต่างๆ นานา”
“ฉันจะแค่รอ…” หากไม่มีบทดีๆ เข้ามา สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงแค่รอเท่านั้น
“เธอไม่เคยเห็นใครมีกึ๋นพอจะมากลั่นแกล้งเธอเลยนะ”
ว่าแต่ กลั่นแกล้งเนี่ยนะ ถังหนิงไม่ได้มองว่านี่เป็นการถูกกลั่นแกล้ง ที่จริงเธอต่างหากที่กำลังกลั่นแกล้งไป๋อวี๋
เพราะถึงยังไงเธอก็มีลูกๆ เป็นพลัง
ขณะเดียวกัน ถังหนิงอาจจะแค่ปฏิเสธบท แต่โม่ถิงกลับทำตามขั้นตอนอันไร้ปรานีของไห่รุ่ยและทำการฟ้องร้องทีมผู้จัด ข้อแรก ตอนที่พวกเขาเซ็นสัญญากับถังหนิง พวกเขาตกลงให้เธอเล่นบทนางเอก แต่กลับมีนางเอกคนที่สองปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ข้อที่สอง ทีมผู้จัดตกลงว่าบทจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่กลับมีการแก้ไขบทมากมาย ซึ่งนี่ถือเป็นการละเมินสัญญาโดยสิ้นเชิง
แต่แน่นอนว่า ‘ชายาหนิง’ มีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง ในเมื่อไห่รุ่ยระบุเรื่องค่าเสียหาย พวกเขาก็แค่จ่ายเงินเหล่านั้นเท่านั้น
แต่ทีมผู้จัดของ ‘ชายาหนิง’ กลับออกมาพูดว่าพวกเขาจะไม่พิจารณาถังหนิงมาเล่นบทอะไรของพวกเขาในอนาคตอีกเลย
ในเมื่อสถานการณ์เลยเถิดไปไกลถึงขนาดนี้ และผู้กำกับเฉินเฟิ่งเองก็เป็นชายที่มีความซื่อตรง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งผู้กำกับหลักโดยมีอันจื่อเฮ่าออกมาด้วย นั้นหมายความว่าการถ่ายทำทั้งหมดจะต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ท้ายที่สุด ผู้กำกับเฉินเฟิ่งก็ออกมาพูดสิ่งที่ไห่รุ่ยไม่อาจพูดได้ “ในฐานะผู้กำกับหลักของ ‘ชายาหนิง’ มีหลายสิ่งที่ผมอยากจะพูด อย่างแรก ก่อนที่ ‘ชายาหนิง’ จะเริ่มถ่ายทำ ถังหนิงได้เซ็นสัญญาในบทนางเอกผ่านการสื่อสารของผู้ช่วยผู้กำกับของเรา… จนกระทั้งการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อย่างที่สอง ทันทีที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สิ่งแรกที่ถังหนิงเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องนักแสดงที่เธอต้องแสดงด้วย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงต่างหาก เพราะเธอรู้สึกว่า ‘ชายาหนิง’ ได้สูญเสียคุณสมบัติแรกเริ่มของมันไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจไม่ร่วมงานกับละครเรื่องนี้อีกต่อไป ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการแชร์บทนางเอกเลยแม้แต่น้อย
“ถังหนิงเป็นนักแสดงที่มีคุณวุฒิ ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธที่จะร่วมแสดงในละครเรื่องนี้ และในฐานะผู้กำกับที่มีคุณวุฒิ ผมก็จะถอนตัวออกจากละครเรื่องนี้เช่นกัน”
คำแถลงการณ์นี้ได้สร้างกระแสขึ้นมาทันที
บัดนี้ผู้คนได้รับรู้เหตุผลแท้จริงที่เป็นสาเหตุให้ถังหนิงปฏิเสธที่จะร่วมงานกับละครเรื่องนี้ ว่าเป็นเพราะบทละครได้สูญเสียคุณสมบัติแรกเริ่มไปแล้ว
ทำให้นอกจากคำพูดของผู้กำกับเฉินจะฉีกหน้าทีมผู้จัดของ ‘ชายาหนิง’ แล้ว มันยังทำให้บรรดาแฟนคลับของไป๋อวี๋ต้องอับอายอีกด้วย
ถังหนิงไม่ได้ต้องการบทนี้ เธอเป็นคนโยนมันทิ้ง แต่ดาราในดวงใจของพวกเขากลับคว้ามันไว้ราวกับอัญมณีมีค่าแถมยังโอ้อวดไปทั่ว
แน่นอนว่าละครเลือกนี้จะต้องดังแน่ แต่ไม่ได้หมายความว่าละครที่ดังจะเป็นละครที่ดี…
[ถังหนิงพิถีพิถันเรื่องการเลือกบทอยู่แล้ว แถมยังมีประธานโม่อยู่ข้างๆ แบบนี้ เธอจะต้องเลือกรับแต่บทดีๆ เท่านั้น ดูอย่างหนังที่เธอเคยเล่นเมื่อก่อนสิ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอเป็นนักแสดงที่จริงจังแค่ไหน ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ทั้งนั้น]
[ฉันหวังว่าถังหนิงจะรับบทในละครเรื่องอื่นเพื่อมาแข่งกับ ‘ชายาหนิง’ นะ! ต้องน่าสนใจมากแน่!]
[แต่ถังหนิงจะไปหาบทดีๆ ที่มีโปรดักชันใหญ่ๆ อย่าง ‘ชายาหนิง’ ได้จากไหนล่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก!]
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น