เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 73.4-75.2

ตอนที่ 73 - 4 สารภาพรัก

 

จิ่งเหิงปัวไม่รู้สึกละอายใจด้วยเพราะความคิดอำมหิตของตนเองได้ทำให้นักปราชญ์คุณธรรมสูงส่งคนหนึ่งต้องแปดเปื้อนธุลีเลยแม้แต่น้อย…เหตุใดไม่ทำตัวให้กลมกลืนเสียหน่อยล่ะ คนดีทำเรื่องเลวบางครั้งบางคราวถึงจะมีพลังทำลายล้าง


 


 


ส่วนอีกหลายเดือนต่อมา พอได้เวลาแล้วผู้ชราฉังฟังค่อยออกมาเรียกร้องให้ราชินีขึ้นครองราชย์ กลุ่มต่อต้านฝูงนั้นจะโกรธจนปากเบี้ยวหรือไม่ นางก็ไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจ


 


 


จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปได้เรื่องหนึ่งแล้ว นางก็ค่อนข้างอารมณ์ดีอยู่บ้าง ตัดสินใจว่าช่วงนี้นอกจากโจมตีและยึดตลาดตี้เกอแล้ว งานสำคัญที่สุดที่เหลืออยู่ก็คือ…บ่มเพาะแฟนหนุ่ม!


 


 


บ่มเพาะแฟนหนุ่ม ต้องเริ่มจากความเคยชินก่อน


 


 


ยามเช้าตรู่ หมู่วิหคขานร้อง สายลมพัดก้อง คลุมโปงหนา หลับนิทราสบายใจ


 


 


ประตูถูกเปิดออกอย่างรีบร้อน ขุนนางหญิงจื่อหรุ่ยรีบก้าวเท้าเข้ามา


 


 


“ฝ่าบาท ฝ่าบาท” นางพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าหน้าต่าง โค้งคำนับให้กองผ้านวมสูงหนากองนั้น แล้วร้องว่า “พระองค์ควรตื่นบรรทมได้แล้วนะเพคะ!”


 


 


ไม่มีความเคลื่อนไหว


 


 


“ฝ่าบาท” จื่อหรุ่ยมองดูเวลา แม้เวลายังเช้าตรู่ ทว่าปัญหาคือเมื่อคืนองค์ราชินีเป็นผู้กำชับเป็นหนักหนาว่าให้นางมาปลุกตนเองในยามนี้


 


 


“ฝ่าบาท…”


 


 


กองผ้านวมกลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก รูปร่างดูคล้ายกระดองเต่า


 


 


“ฝ่าบาท ถึงเวลาแล้วเพคะ”


 


 


“อื้ม…” มือสีขาวราวหิมะข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากกองผ้านวมนั้น ตบลงบนผิวเตียงอย่างหนักหน่วง เสียงที่แว่วออกมาเปี่ยมด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเลือนราง เพียงพอให้เลือดอันเร่าร้อนของผู้อ่อนวัยทั่วทั้งโลกหล้าสูบฉีด ร้องว่า “อย่ากวนข้าสิ…อย่ากวนข้า…”


 


 


“ฝ่าบาท!” จื่อหรุ่ยทุ่มเทเรี่ยวแรง เปล่งวาจาที่มีพลังทำลายล้างที่สุดขึ้นมาดังลั่น


 


 


“พระองค์ตรัสว่าจะตื่นบรรทมแต่เช้า สรงพระพักตร์แปรงพระทนต์เสวยพระกระยาหารเช้ากับราชครู! ตรัสมาสองวันแล้วยังทรงกระทำไม่ได้ นี่คือครั้งที่สามแล้วนะเพคะ! หากไม่ตื่นบรรทมอีกหม่อมฉันจะไม่ปลุกพระองค์แล้วนะเพคะ!”


 


 


กองผ้านวมพลันกระเด้งขึ้นมาดังสวบ ราชินีที่หน้าตาผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สายตาแน่นิ่งนั่งอยู่บนเตียง เส้นผมยุ่งเหยิง แก้มสองข้างมีรอยหมอนประทับอยู่จนทั่ว


 


 


“ไอ้เวรเอ๊ย พลาดมาสองครั้งแล้ว วันนี้ต้องไปให้ได้” ใครบางคนกระซิบกระซาบขึ้น


 


 


ที่มุมปากของจื่อหรุ่ยพลันโค้งขึ้นเล็กน้อย ความพ่ายแพ้สองครั้งก่อนหน้านี้แท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะราชินีเกียจคร้านเกินไป แท้จริงแล้วเป็นเพราะราชครูไม่อยากให้ราชินีตื่นเช้า สั่งให้เหมิงหู่มากดจุดนอนหลับของราชินีเสียเลย นางไม่ใจแข็งพอที่จะมองสีหน้าผิดหวังยามตื่นนอนของราชินีทุกวัน วันนี้จึงมาปลุกล่วงหน้าเสีย


 


 


“ตื่นนอน!” ถ้าจิ่งเหิงปัวได้ตัดสินใจขึ้นมาแล้วนางก็เป็นพวกปฏิบัติการเช่นกัน ชกกำปั้นขึ้นฟ้าครั้งหนึ่งด้วยดวงตาสะลึมสะลือ ก่อนกระเด้งลงจากเตียงแล้วสวมเสื้อผ้า


 


 


จื่อหรุ่ยมีสีหน้าดีอกดีใจ รู้สึกว่าได้มองเห็นราชินีเช่นนี้ก็ดียิ่งนัก


 


 


ราชินีไม่ได้ปิดบังความพิเศษไร้ผู้ใดเหมือนที่มีต่อราชครูฝ่ายขวา เดิมทีนางเป็นคนที่ร่าเริงรักอิสระมากที่สุด ในวังทยอยมีข่าวสารบางอย่างแพร่ออกมา เอ่ยว่าราชินีกับราชครูอาจจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้ ณ ต้าฮวง เดิมทีราชินีกับราชครูเป็นคู่ครองกัน ไม่มีคนรู้สึกประหลาดใจ มีแต่การอวยพรเพิ่มมากขึ้น อย่างไรเสียแม้ว่าราชินีองค์ใหม่องค์นี้จะแปลกประหลาดอยู่บ้าง เอ่ยวาจาไม่ค่อยเข้าใจนัก ทว่ารูปโฉมที่งดงามท่าทางสนิทสนม ไม่มีความถือตัว ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยน ก็ได้รับความชื่นชอบจากเหล่าชาววังยิ่งนัก


 


 


จิ่งเหิงปัวสวมเสื้อผ้าจนเสร็จด้วยความรีบร้อน พลางรีบเร่งรื้อของในกระเป๋าออกมา นางจำได้ว่าในกระเป๋ามีอุปกรณ์อาบน้ำสำหรับเดินทางอยู่ด้วย


 


 


ตอนค้นกระเป๋านางเพิ่งพบว่าบนชั้นวางช่องแยกน้อยของตนเองมีของสิ่งหนึ่งเพิ่มเข้ามา นั่นคือกล่องใบน้อย นางหยิบลงมาเปิดดู ภายในมีกระบอกกระดาษสีแดงสั้นๆ หลายกระบอก นางจำได้ว่านี่คือดอกไม้ไฟส่งข่าว ทางต้าฮวงนี้เรียกว่าพลุจดหมาย


 


 


ในกล่องมีเศษกระดาษใบหนึ่ง เขียนด้วยตัวอักษรเอนเอียงว่า ‘ภรรยา ยามเจ้าคิดถึงข้า จุดสักกระบอก ข้าจะขี่เมฆสีรุ้งไปยังข้างกายเจ้าโดยพลัน หากข้ากำลังยุ่งนัก ข้าจะส่งพวกขี่รถลากหลายคนไปอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าถนอมรักข้าอย่างมีไมตรีหรือเหยียบย่ำพวกเขาอย่างรุนแรงได้เลย ด้วยความคิดถึง อีชี’


 


 


ข้างล่างนั้นยังมีร่องรอยสีเขียวขี้เป็ดอยู่รอยหนึ่ง จิ่งเหิงปัวหยิบขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์ มองดูอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพบว่านั่นคือ…รอยริมฝีปากที่ทายาทาเล็บสีเขียวใบหญ้ารอยหนึ่ง


 


 


รอยริมฝีปากที่ทายาทาเล็บ…


 


 


นางนึกถึงบนริมฝีปากของอีชีที่ทาด้วยยาทาเล็บสีเขียวขี้เป็ดที่ประทับรอยจูบลงบนกระดาษอย่างรุนแรง ก็พลันรู้สึกว่าทั่วร่างเหน็บชา ทั่วสารทิศอบอวลด้วยกลิ่นยาทาเล็บแสบจมูก…


 


 


ความฮาจะฝึกสำเร็จได้อย่างไร?


 


 


ความฮามันมีมาโดยกำเนิด!


 


 


นางหัวเราะฮ่าๆๆ ระลอกหนึ่งแล้วเก็บกวาดข้าวของ หลังจากหาสิ่งของที่ตนเองต้องการเจอแล้วนางก็ยืนอยู่กลางลานบ้าน ทำท่าทางฝึกหายใจเข้าออก[1]หลายท่า


 


 


ไม่ใช่เพราะนางอยากฝึกวรยุทธ์ขึ้นมา แต่หมู่นี้ช่วงเช้าของทุกวันหลังจากตื่นนอนแล้ว นางมักจะรู้สึกว่าในอกคล้ายมีปราณพุ่งขึ้นมา หากไม่อาเจียนออกมาไม่โล่งอก นางใช้วิธีหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อท้องของโยคะเคลื่อนปราณตามความรู้สึกที่ลมหายใจเคลื่อนไปโดยสำนึก รู้สึกว่าภายในร่างกายสบายอย่างยิ่ง หลังจากนั้นจะมีกำลังวังชาดีทั้งวัน ลมหายใจปลอดโปร่ง ทั้งร่างรู้สึกน่ารักตะมุตะมิ


 


 


หลังจากเคลื่อนปราณกลับไปกลับมาหลายรอบ นางก็ลืมตาขึ้น ไอสีม่วงกลางหว่างคิ้วกะพริบวูบหายไป


 


 


ฝึกหายใจเข้าออกเสร็จสิ้นแล้วแวบเข้าห้องครัว ในห้องครัวน้อยมีไอร้อนลอยล่อง ชุ่ยเจี่ยยื่นศีรษะออกมาจากข้างหลังเตา แล้วเอ่ยว่า “ข้าวเจ้าเขียวที่ใช้ต้มโจ๊กตระเตรียมเสร็จแล้ว เจ้าเอ่ยว่าให้เหลือไว้ให้เจ้าซาวด้วยตนเอง ข้าจึงไม่ได้แตะต้อง”


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นนางก็หยุดฝีเท้าลง นึกได้ว่าทำเมินเฉยใส่นางตั้งแต่มาถึงต้าฮวง ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกผิด


 


 


“เรื่องเหล่านี้มีนางกำนัลคอยทำแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขนาดนี้”


 


 


“ถึงอย่างไรข้าก็นอนไม่หลับ” ชุ่ยเจี่ยตอบอย่างเรียบง่าย จิ่งเหิงปัวมองดูนางก็รู้สึกทันทีว่าในไอควันนางแลดูคล้ายผอมบาง นิสัยก็ไม่โหวกเหวกโวยวายคล้ายคราวอยู่หอเฟิ่งไหลชี ดูนิ่งเงียบขึ้นหลายส่วน


 


 


อย่างไรเสียต้าฮวงก็คือสถานที่แปลกหน้า นางขอพึ่งพิงตนเอง แต่ไม่ได้รับการดูแลจากตนเอง บางทีความเศร้ารันทดภายในใจจึงปรากฏอยู่บนสีหน้า


 


 


จิ่งเหิงปัวใจอ่อนยวบในฉับพลัน นึกถึงคราวที่ร่วมเดินทางเส้นทางพันลี้จากหอเฟิ่งไหลชีถึงต้าฮวง ทั้งหมดมีแค่สามคนนี้ จิ้งอวิ๋นคือกระป๋องยา อยู่ในห้องทั้งวันไม่ออกมา ยงเสวี่ยอายุน้อย ช่วงนี้ส่งนางไปกองขุนนางหญิงในวัง ไม่ได้วางแผนว่าต้องให้นางเป็นขุนนางหญิงในภายภาคหน้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรให้ติดตามไปเรียนหนังสือสักหน่อย เหลือแค่ชุ่ยเจี่ยคนเดียว ที่จริงแล้วคงโดดเดี่ยวเกินไปหน่อย


 


 


“เช่นนั้นมาให้ข้าซาวข้าว” นางส่งรอยยิ้มให้ชุ่ยเจี่ย ประคองอ่างข้าวจากข้างกายนางเดินไปข้างนอก


 


 


ชุ่ยเจี่ยคล้ายถูกรอยยิ้มของนางทำให้ตกใจ นิ่งงันไปชั่วขณะ จิ่งเหิงปัวเดินผ่านนางไปแล้ว ชุ่ยเจี่ยจึงลังเลเล็กน้อย พลันเอ่ยว่า “ต้าปัว…”


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา ร้องว่า “หืม?”


 


 


แสงรุ่งอรุณมัวสลัวดุจหมอก รอยยิ้มของนางกลับเพริศแพร้วเฉิดฉายเพียงนั้น ผู้ใดต่างมองออกว่านางยินดีมีความสุขเพียงใด แม้แต่คิ้วยังคล้ายคลายออกมามากกว่าแต่ก่อน


 


 


ชุ่ยเจี่ยจ้องมองรอยยิ้มของนาง เอ่ยอย่างยากลำบากเล็กน้อยว่า “ขอโทษนะ ต้าปัว กระเป๋านั่นในยามนั้น…”


 


 


จิ่งเหิงปัวโบกไม้โบกมืออย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “อ้อ เรื่องกระเป๋าหรือ เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ”


 


 


วาจาครึ่งประโยคหลังของชุ่ยเจี่ยถูกขัดจังหวะ นางอ้าปากอยู่คล้ายอยากเอ่ยอะไรทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่ได้เอ่ยออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงตื่นเช้ามาทำอาหารทุกวัน?”


 


 


“นอนไม่หลับหรือ?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม “นอนไม่หลับก็นับแกะสิ ข้าเคยสอนเจ้านี่”


 


 


“ด้วยเพราะจิ้งอวิ๋นอยากจัดการเรื่องอาหารการกินให้เจ้าโดยตลอด” ชุ่ยเจี่ยเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “นางสุขภาพไม่แข็งแรง ข้าคิดว่าข้ามาทำให้เองดีกว่า”


 


 


“จริงหรือ? ที่จริงแล้วข้าคิดว่าพวกเจ้าสองคนไม่จำเป็นต้องทำเลย พวกเจ้าคือสหายของข้า คือพี่สาวน้องสาวของข้า ไม่ใช่คนรับใช้” จิ่งเหิงปัววางอ่างข้าวลง แล้วตบมือของนาง “คราวหน้าไม่ต้องทำแล้วนะ”


 


 


“เช่นนั้นข้าทำสิ่งใดได้ ข้าเป็นขุนนางหญิงของเจ้าได้หรือไม่”


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักไปครู่หนึ่ง หันข้างมองนางแล้วกล่าวว่า “ชุ่ยเจี่ย วันนี้เจ้าดูประหลาดนัก”


 


 


ชุ่ยเจี่ยหัวเราะ ก้มหน้าลงนวดแป้งแล้วเอ่ยว่า “จริงหรือ? บางคราวคนเราเปลี่ยนสภาพแวดล้อม พบเจอคนที่แตกต่าง คงจะค่อยๆ แปลกประหลาดไปกระมัง”


 


 


“เจ้าเอ่ยมามีเหตุผลนัก มองไม่ออกเลยว่าเจ้าเข้าใจเหตุผลขนาดนี้ด้วย” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มปรีดาหยอกล้อนางประโยคหนึ่ง แล้วทำหน้าจริงจังขึ้นมา เอ่ยว่า “ชุ่ยเจี่ย เรื่องขุนนางหญิงนั้นช่างมันเถิด ไม่ว่าเจ้าหรือจิ้งอวิ๋น ข้าต่างไม่หวังให้พวกเจ้ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในของต้าฮวง นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่พวกเจ้าควรเป็นกังวล พวกเจ้าเพียงเป็นสหายสนิทของข้าให้ดีก็พอแล้ว รอคอยภายภาคหน้า ข้ามอบสินเดิมมากมายให้พวกเจ้า หาเนื้อคู่ที่เหมาะสมให้พวกเจ้า ให้พวกเจ้าออกเรือนอย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี เช่นนี้ย่อมสมบูรณ์พร้อมแล้ว!” นางค่อยๆ หัวเราะขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังที่หาได้ยาก กล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อยว่า “แต่ก่อนข้ามีสหายสนิทสามคนเช่นกัน สหายสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน ภายหลังพวกเราพลัดหลงกัน ข้ามักคิดว่าเมื่อข้าเป็นราชินีแล้ว ต้องพยายามทำให้ดีขึ้น หากภายภาคหน้าได้พบกับพวกนางอีกครั้ง ข้าคงได้เกทับพวกนางแล้ว อื้ม พอนึกว่าภายภาคหน้าพวกนางมองเห็นข้าแล้วต้องก้มศีรษะกราบกรานตะโกนลั่นว่าองค์ราชินี ข้าน่ะก็สะใจยิ่งนักฮ่าๆๆ โดยเฉพาะไท่สื่อหลันยัยผู้ชายนั่น หากเรียกข้าเช่นนี้สักคำข้าคงอ้าปากหัวเราะไปจนวันตายแล้วฮ่าๆๆ…” นางหัวเราะปานลมชักระลอกหนึ่ง เช็ดหยาดน้ำตาที่ออกมาเพราะหัวเราะ หันหน้าจ้องมองชุ่ยเจี่ย กล่าวว่า “ไม่รู้ด้วยเหตุใด มองเห็นพวกเจ้าสามคนแล้ว ข้าก็นึกถึงพวกนางสามคนนั้น เป็นสามคนเช่นเดียวกัน เจ้ามีนิสัยแก่นแก้วของไท่สื่อหลัน ยงเสวี่ยคล้ายจวินเคอเด็กใสซื่อคนนั้น ส่วนจิ้งอวิ๋นไม่คล้ายผู้ใดเลย เหวินเจินแข็งแรงกว่านางเยอะเลย…เจ้าดูสิ ข้ามักจะชอบจับพวกเจ้ากับพวกนางมารวมไว้ด้วยกันเช่นนี้ ฉะนั้นในจิตใจต่างนึกถึงสามคน คล้ายว่ามองเห็นพวกเจ้าเสมือนมองเห็นพวกนางสามคน หรือว่านี่ก็คือผลลัพธ์ของความเห็นอกเห็นใจอะไรนั่น?” นางหัวเราะฮ่าๆๆ อีกระลอกหนึ่ง กุมมือของชุ่ยเจี่ยไว้ ก้มหน้าจ้องมองดวงตาของนาง แล้วกล่าวว่า “ข้าคือราชินี ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะกระทำเรื่องที่ข้าสมควรกระทำให้ดี ส่วนพวกเจ้าก็อยู่ให้สบาย ให้พร้อมหน้าไม่ขาดแม้แต่คนเดียวก็พอแล้ว!”


 


 


ชุ่ยเจี่ยเงยหน้าขึ้น จ้องมองจิ่งเหิงปัวอย่างงงัน นางเห็นความกระโดกกระเดกกับการกระทำสิ่งใดไร้เหตุผลทั่วไปของจิ่งเหิงปัวจนเคยชินแล้ว ทว่าเอ่ยวาจามากมายขนาดนี้เช่นครั้งหนึ่งนี้ ยังคงเป็นครั้งแรกโดยแท้


 


 


ไม่ ไม่เพียงเป็นครั้งแรกที่เอ่ยวาจามากมายขนาดนี้ ทว่าในวาจาที่แลคล้ายยังคงโอ้อวดเหล่านี้ ความรู้สึกที่ซุกซ่อนไว้ การนึกถึง ความคิดถึงและการรำลึกถึงที่ไม่เคยเอ่ยกับผู้ใดในชีวิตเฮฮาสนุกสนานเหล่านั้น


 


 


จนถึงยามนี้นางเพิ่งเข้าใจความหมายที่กลุ่มสามคนที่แลคล้ายมีหรือไม่มีย่อมได้กลุ่มนี้มีต่อจิ่งเหิงปัว


 


 


คือที่พึ่งของนาง คือความคิดถึงของนาง คือที่ซึ่งความมั่นคงในใจนางดำรงอยู่หลังจากซัดเซพเนจรมาต้าฮวงเพียงผู้เดียว มีพวกนางคล้ายดั่งมีพี่สาวน้องสาวอยู่เคียงข้างกาย ฉะนั้นนางยินยอมเชื่อถือทั้งหัวจิตหัวใจ


 


 


แท้จริงแล้วนางหวาดกลัวความโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้


 


 


เบ้าตาของชุ่ยเจี่ยพลันเปียกชื้น


 


 


มีความรู้สึกบางอย่างมัวสลัวเลือนราง มิใช่เข้าใจยิ่งนัก ทว่ายังพอเข้าใจได้


 


 


ณ ครู่หนึ่งนี้ นางเกิดจิตใจเด็ดเดี่ยวขึ้นมาเช่นกัน ความสับสนลังเลเยือกแข็งกลายเป็นความรู้สึกมั่นคง คล้ายฉากกั้นค่อยๆ เลือนหาย


 


 


“เจ้าวางใจเถิด” นางตบมือของจิ่งเหิงปัวกลับคืน เอ่ยว่า “จะทำให้ดีทั้งนั้น”


 


 


จิ่งเหิงปัวชักมือกลับคืนนานแล้ว ใบหน้ากลายเป็นสีหน้าตามอำเถอใจอีกครั้ง มองดูท้องฟ้าแวบหนึ่ง ร้องอย่างเดี๋ยวตื่นเต้นเดี๋ยวตกใจว่า “โอ๊ย แย่แล้ว เกือบไม่ทันแล้ว เร็วเข้าๆ” ร้องพลางรีบร้อนยกอ่างไปข้างบ่อน้ำ จื่อหรุ่ยตักน้ำให้ นางใช้มือซาวไม่กี่ครั้งทำเหมือนตนเองได้ซาวข้าวแล้ว จากนั้นก็ทิ้งอ่างข้าวไว้ให้จื่อหรุ่ย รีบเร่งวิ่งไปข้างลานบ้าน


 


 


วันนี้ นางจะไปมอบความรัก!


 


 


 


 


[1] ท่าทางฝึกหายใจเข้าออก เป็นการฝึกลมปราณ (气功 ชี่กง) รูปแบบหนึ่ง เน้นกำหนดการหายใจเข้าให้ลึกถึงท้องน้อยเพื่อซึมซับพลังสะอาดเข้าสู่ร่างกาย และหายใจออกทางปากเพื่อขับพิษ 

 

 


ตอนที่ 74 - 1 ข้าจะมียูกชายให้เจ้า

 

เดิมนึกว่าสายโด่งแล้วเหมิงหู่จะขวางนางไว้ เหล่าองครักษ์จะค่อยๆ ปรากฏกายรบกวนโลกของสองเรา หรือไม่กงอิ้นก็อาจจะทานอาหารเช้าไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าพอนางก้าวข้ามประตูข้างเข้าไปอย่างรีบร้อนก็มองเห็นจิ้งถิงเงียบสงัด กงอิ้นแต่งกายเรียบง่าย กำลังยืนดูปลาอยู่เบื้องหน้าอ่างปลาทองแดงแปดเหลี่ยมขนาดมหึมาในลานบ้าน


 


 


เสียงฝีเท้าของนางดังตึ่กตั่กๆ เขาคล้ายจะไม่รับรู้ ทว่าบนพื้นโต๊ะข้างกายกลับมีชาโสมร้อนผ่าววางอยู่


 


 


นางวิ่งไปข้างหลังเขาดังตึ่กตั่กๆ เขย่งเท้าขึ้นกำลังจะยื่นมือสองข้างออกไป เขาก็พลันหลบไปยืนด้านข้าง แล้วเอ่ยว่า “เจ้ายังเช็ดมือไม่สะอาดด้วยซ้ำ คิดจะทำอะไร”


 


 


จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาวครั้งใหญ่…ชอบทำลายบรรยากาศแบบนี้ตลอดเลย! ก่อนจะนำสองมือเช็ดบนแผ่นหลังของเขาทั้งหลังมือทั้งฝ่ามือเสีย


 


 


กงอิ้นหงายมือกุมมือของนางไว้ ก่อนจะฉวยมือหยิบผ้าเช็ดมือที่อยู่ข้างหนึ่งมาเช็ดมือให้นางทุกซอกทุกมุม แล้วเอ่ยว่า “อากาศเย็นแล้ว เจ้าสัมผัสน้ำเย็นทำอะไรกัน เมื่อใดเจ้าถึงจะหยุดก่อเรื่องได้?” เขาวิจารณ์ไปพลางปลายนิ้วดีดบนฝ่ามือนาง ท่าทางดูไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ทว่ามือที่เย็นเยียบของจิ่งเหิงปัวกลับอุ่นขึ้นมาในทันที


 


 


“ท่าทางนี้ของเจ้าไม่ถูกต้อง” จิ่งเหิงปัวไม่เกรงใจเช่นกัน คว้าฝ่ามือของเขาไว้ในครั้งเดียว ก่อนจะนำมากุมไว้บนฝ่ามือของตนเอง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กุมฝ่ามือเขาจนกลายเป็นก้อนเดียว ห่อหุ้มมือของตนเองไว้ แล้วเอ่ยว่า “นี่แน่ะ เจ้าควรจะทำเช่นนี้ กุมมือของข้าไว้แล้วถูมือให้ข้า อบอุ่นเพียงใด น่าซาบซึ้งเพียงใด ใกล้ชิดเพียงใด คล้ายซีรีส์เกาหลีเพียงใด…”


 


 


นางเงยหน้ามองดูส่วนสูงของเขาแล้วเปรียบเทียบกับส่วนสูงของตนเอง เสียใจอยู่บ้างว่าความแตกต่างของความสูงที่น่ารักที่สุดนั้นไม่เพียงพอ ต้องโทษตัวนางเองที่สูงเกินไป


 


 


กงอิ้นชักมือกลับ กวาดตามองนางปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไร้สาระ” ก่อนฉวยมือประคองชาโสมบนโต๊ะขึ้นมา ปลายนิ้ววัดอุณหภูมิข้างถ้วยให้พอเหมาะแล้วจึงส่งให้นาง เอ่ยว่า “ดื่มสิ”


 


 


จิ่งเหิงปัวกำลังพูดจนคอแห้ง นางก็ฉวยมือรับมาดื่ม แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าเองก็ได้ตระเตรียมความรักมามอบให้เจ้าด้วยล่ะ”


 


 


พอนางเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจก็มองเห็นใบหน้าที่ก้มลงมาของกงอิ้นพอดี นัยน์ตาสีดำขลับของเขาทั้งแน่วแน่ทั้งสงบเงียบ จ้องมองถ้วยของนาง เห็นสีหน้ายามดื่มน้ำแกงของนางดูตั้งอกตั้งใจ นั่นคือความอ่อนโยนที่ไร้วาจาอีกแบบหนึ่ง ท่ามกลางความสนใจโดยละเอียดทุกชั่วขณะ


 


 


ในใจนางรู้สึกดีอกดีใจ วางถ้วยลงแล้วโอบคอของเขาไว้ กระซิบข้างหูเขาว่า “น้ำแกงโสมหอมเหลือเกิน เจ้าก็ลองชิมด้วยสิ?”


 


 


กงอิ้นจ้องมองริมฝีปากสีแดงฉ่ำเล็กน้อยของนาง ท่าทางแบะขึ้นมาเล็กน้อยดั่งการเชื้อเชิญโดยไร้สรรพเสียงประโยคหนึ่ง ระหว่างริมฝีปากกำจายกลิ่นหอมของโสมเจือจาง ซ้ำยังมีกลิ่นหอมประหลาดทว่ายั่วยวนหอบหนึ่งพัดมา สายลมแผ่วเบารอบด้านต่างคล้ายย้อมด้วยกลิ่นอายแห่งวสันต์ อ่อนนุ่มและวนเวียนด้วยเพราะเหตุนี้


 


 


เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตาออก น้ำเสียงยังคงเฉื่อยเนือยทว่าเสียงคล้ายแหบแห้งขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้ายังไม่ได้อาบน้ำสินะ?” ว่าพลางขยับเขยื้อนเรือนร่างหลบลี้ไปหลังพุ่มดอกไม้พุ่มหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตา


 


 


อ้าวเฮ้ย เจ้าปากร้ายรังเกียจข้าไปพลางขยับเขยื้อนไปยังพุ่มไม้ไปพลาง บอกเป็นนัยว่าข้าจะอาละวาดแบบไหนกันแน่เหรอ?


 


 


ยอมรับว่าเจ้าก็คิดเหมือนกันมันจะตายเหรอไง


 


 


จอมหยิ่งทระนงปากไม่ตรงกับใจ!


 


 


เดิมทีพี่แค่อยากจะแทะโลมเจ้า แต่ตอนนี้ไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปแล้ว!


 


 


นางเขย่งเท้าขึ้น คว้ามหาเทพที่ทั้งอยากผลักนางออก ทั้งหักห้ามใจผลักออกไม่ได้ อีกทั้งกังวลว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ ทั้งคิดจะขยับไปซ่อนกายในพุ่มไม้ไว้ในครั้งเดียว กลีบปากแบะขึ้นดุจกลีบผกา “จุ๊บ” จูบไปหนึ่งครั้งอย่างรวดเร็ว


 


 


“ไม่ได้แปรงฟัน ไม่ได้ล้างหน้า เจ้าดมแล้วได้กลิ่นใด หากรู้สึกว่าไม่หอมเจ้าก็จุมพิตข้าคืนได้ อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ได้แปรงฟันไม่ได้ล้างหน้า ข้าก็ไม่ถือสาเจ้าหรอกนะ” นางยิ้มแย้มกล่าวจบในรวดเดียวอย่างรวดเร็ว กะพริบตามองดูเขา


 


 


กงอิ้นกำลัง…มองหมู่เมฆ


 


 


สายตาสูงล้ำข้ามผ่านเหนือศีรษะนาง จ้องมองเมฆล่องลอยไกลโพ้นก้อนหนึ่ง สีแดงอ่อนบนหลังหูและแก้มสองข้างผืนนั้นคล้ายยิ่งชัดเจนมากขึ้น


 


 


“ยังไม่ไปอาบน้ำอีก? ประเดี๋ยวหากพลาดการประชุมราชการเจ้าก็ไม่ต้องคิดจะมาเข้าร่วมอีกเลย”


 


 


จิ่งเหิงปัวเบ้ปาก…เล่ห์เหลี่ยมที่ต้องมีทุกครั้งหลังจากมหาเทพเขินอาย…เอ่ยการงาน แสร้งทำเป็นปกติ


 


 


“วันนี้เป็นวันพักอาบ[1] เหล่าขุนนางใหญ่ไม่ทำงานนะเจ้าลืมหรือ?” นางหัวเราะฮิๆ ได้มองเห็นใบหน้าของมหาเทพแดงซ่านอย่างเก้อเขินอีกครั้งสมปรารถนา


 


 


แต่นางรู้สึกว่าแบบนี้โคตรน่ารักเลย! หูแดงโคตรน่ารัก แก้มแดงโคตรน่ารัก สายตาเหลียวซ้ายแลขวาผิดจากสภาพปกติน่ารักโคตร ท่าทางเรือนร่างแหงนไปข้างหลังแต่เท้าโน้มมาข้างหน้ายิ่งน่ารักไปใหญ่


 


 


ไม่รู้ว่าบนเตียงน่ารักหรือเปล่า…จิ่งเหิงปัวดึงเส้นผมอย่างขุ่นเคือง…มหาเทพเปลี่ยนรหัสประตูใหญ่แล้ว ถึงขนาดตั้งฉากกั้นประหลาดผืนหนึ่งในตำหนัก การหายตัวที่ไปได้ทุกหนทุกแห่งของนางนั้นกลับถูกขวางไว้ แอบย่องเข้าไปหลายครั้งต่างประสบพบเจอสิ่งประหลาด บางครั้งคือความมืดมิดดำขลับกลุ่มหนึ่งพาให้ใจนางเกิดความหวาดกลัว เร่งรีบหายตัวออกไป บางครั้งคือความขาวโพลนมัวสลัวผืนหนึ่ง มองอะไรไม่เห็นเลย นางจึงไม่กล้าก้าวเข้าไปมั่วซั่ว บางครั้งเหมือนดั่งน้ำทะเลผืนหนึ่ง นางมองไปแล้วเกิดความหวาดกลัว จะยังกล้าก้าวเข้าไปได้อย่างไร


 


 


ในใจนางรู้ว่านี่คงจะจัดอยู่ในกับดักประเภทภาพลวงตาที่เข้าควบคุมความคิดจิตใจ แต่ด้วยเพราะเสมือนจริงเหลือเกิน ในจิตใต้สำนึกเลยไม่ยอมเสี่ยงอันตราย ส่งผลให้การหายตัวใช้ไม่ได้ ได้แต่ละทิ้งความปรารถนาที่จะโถมทับเจ้าคนนั้นอย่างหดหู่


 


 


จริงเลยแฮะ นางลูบจมูก รู้สึกว่ามหาเทพไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ราชินีแต่งงานกับราชครูได้ พี่ก็ยอมแต่งงานกับเจ้าได้ ดูท่าทางนั้นของเจ้าแม้ไม่พูดออกมา แต่คงยอมแต่งงานกับพี่แน่นอน ทำไมถึงไม่ยอมให้พี่ลองเข้าหอสักหน่อยล่ะ? หรือกลัวว่าลองแล้วไม่ไหวขึ้นมาพี่จะทอดทิ้งเขา?


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก…เฮ้ย ไม่! หรอก! มั้ง?


 


 


พอกงอิ้นหันหน้ามาก็พลันมองเห็นบนใบหน้าของใครบางคนมีสีหน้าหลากหลายซ้ำไปซ้ำมาด้วยทั้งคลุมเครือทั้งอึมครึมทั้งอัปลักษณ์ทั้งหวาดผวาทั้งกังวล สีหน้านั้นพัฒนาไปถึงขั้นสุดท้ายกลายเป็นหลุบตาต่ำ กวาดสายตาผ่านบางแห่งของเขากลับไปกลับมาอย่างต่อเนื่อง เขาพลันมีท่าทางเร่งรีบคว้าโล่ป้องกันตัวขึ้นมาปกป้องตั้งแต่ใต้ช่วงเอวไว้…


 


 


จิ่งเหิงปัวกลัดกลุ้มอยู่เนิ่นนาน รู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องยังจำเป็นอย่างยิ่ง คราวหน้าค่อยลองดูใหม่ละกัน…


 


 


อื้ม ก่อนหน้านั้น อย่าได้รีบร้อนเกินไป อย่าทำให้เขาตกใจจนหลบซ่อนขึ้นมา…


 


 


พอคิดจนมั่นใจแล้ว นางปรับเปลี่ยนสีหน้า


 


 


“แปรงฟันๆ วันนี้ข้านำของดีมาให้เจ้าด้วย”


 


 


นางนำถุงโปร่งแสงใบหนึ่งออกมาจากข้างหลังดั่งมอบของขวัญล้ำค่า เขย่าไปมาให้เขาเห็น กล่าวว่า “เจ้าต้องชื่นชอบเป็นแน่!”


 


 


แววตาของกงอิ้นทอดลงบนถุงนั้น ถุงใบนี้แปลกประหลาดยิ่งนักเช่นเดียวกับสิ่งของแปลกประหลาดทุกชิ้นที่นางมีอยู่ ดูโปร่งแสงทั้งผืน เกลี้ยงเกลาและอ่อนนุ่ม คล้ายหนังทว่ามิใช่หนัง มองไม่ออกว่าเป็นวัสดุใด มองเห็นได้ว่าภายในมีของหลายอย่าง ประกอบด้วยของทรงกระบอกอ่อนนุ่มสีสันสดใสหลอดหนึ่ง แปรงสีฟ้าอ่อนที่มีขนแปรงตรงหัวด้ามด้ามหนึ่ง หวีสีขาวที่ทำจากวัตถุดิบพิเศษเล่มหนึ่ง กล่องเล็กหลากสีแข็งๆ กลมๆ กล่องหนึ่ง ซ้ำยังมีขวดทรงโค้งสีขาวขวดน้อยสองขวด


 


 


จิ่งเหิงปัวประคองชุดอุปกรณ์อาบน้ำเพียงหนึ่งเดียวของตนเองไว้ สีหน้าบนใบหน้าดูล้ำค่า นางไม่ได้เจ็บปวดใจ แต่หากจะนำออกมาให้มหาเทพใช้ นางยังคงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง


 


 


ตอนแรกที่หลบหนีออกจากสถาบันวิจัยนั้น ท่าทางการเก็บสัมภาระของทั้งสี่คนแตกต่างกันไป จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าจวินเคอยัดเสื้อผ้าไปเยอะที่สุด นางไม่ค่อยสนใจสิ่งของอย่างอื่นเท่าไรนัก แค่กังวลว่าออกไปแล้วจะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าใส่ ในกระเป๋าผ้ายีนใบเล็กทั้งใบส่วนใหญ่จึงเป็นเสื้อผ้า ไท่สื่อหลันมีนิสัยแข็งกร้าว รังเกียจทุกสิ่งของสถาบันวิจัย คิดอย่างแน่วแน่ว่าหลังจากตนเองออกไปจะพึ่งสองมือแย่งชิงทุกสิ่งมาได้ ฉะนั้นในกระเป๋าใบเล็กจึงมีสิ่งของไม่กี่อย่างยัดไว้อย่างมั่วซั่วเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังยัดไม่เต็ม ส่วนเหวินเจินนางจำไม่ได้แล้ว แต่มองเห็นรำไรว่านางยัดกระทะเข้าไปในถุงใบใหญ่นั้นของนาง…ส่วนนางเอง กระเป๋าใหญ่ที่สุด สิ่งของเยอะที่สุด มีของทุกสิ่งอย่าง จนแทบอยากจะย้ายทรัพย์สินในสถาบันวิจัยไปให้หมด แต่เพราะเสื้อผ้ากินพื้นที่ไปครึ่งใหญ่ เสื้อผ้าบางชิ้นยัดเข้าไปไม่ลง อีกทั้งยังโยนไปให้ไท่สื่อหลันกับจวินเคอเล็กน้อย


 


 


นางคงเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่พกชุดอุปกรณ์อาบน้ำมาด้วย ด้วยเพราะนางคิดว่าคืนแรกอาจจะหาโรงแรมไม่ได้…เพราะทั้งสี่คนไม่มีบัตรประชาชน


 


 


ขณะนี้ชุดอุปกรณ์อาบน้ำชุดนี้จึงกลายเป็นของล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวในต่างโลก นางรู้สึกว่าจำเป็นต้องนำออกมาแบ่งปันกับเขาด้วย


 


 


“นี่คือสิ่งใดกัน” กงอิ้นหยิบของทรงกระบอกนั้นขึ้นมาบีบอยู่ชั่วครู่ รู้สึกคล้ายว่าภายในมีของเหลวข้น มองดูลักษณะภายนอกแล้ว แลดูสงสัยอักษรจีนตัวย่อ[2]ที่เขียนว่าคอลเกตสองอักษรนั้น สีหน้าคล้ายกลัดกลุ้มอยู่บ้าง


 


 


คงจะคิดไม่ออกว่าเหตุใดบนโลกนี้ยังมีอักษรที่ตนเองไม่รู้จักสินะ?


 


 


“นี่ๆ อย่าบีบ ถ้าล้นออกมาเสียดายของ” จิ่งเหิงปัวกำลังอยากจะหัวเราะเยาะเขา เมื่อมองเห็นเขาออกแรงบีบก็รีบเร่งหยิบแปรงสีฟันขึ้นไปรับยาสีฟัน


 


 


กงอิ้นได้ใช้นิ้วมือรับไว้แล้ว เขาดมกลิ่นชั่วครู่ ก็รู้สึกว่าหอมหวานสดชื่น พาให้คนเจริญอาหารยิ่งนัก


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่รับแล้ว ยิ้มตาหยีมองดู ดูท่าทางมหาเทพอาจจะคิดว่านี่คือของกิน กินเข้าไปสิ กินเข้าไปนางจะได้หัวเราะเยาะเขาไปชั่วชีวิตแล้วฮ่าๆๆ นางได้รับแรงกดดันจากสติปัญญาของเขามาเกินพอแล้วฮ่าๆๆ


 


 


สีหน้าบนใบหน้าของนางดูตื่นเต้นดีใจเกินไป สายตาบริสุทธิ์แวววาวของกงอิ้นชำเลืองมองเพียงครั้ง มือก็พลันหยุดชะงัก


 


 


สตรีนางนี้ คงไม่ได้มีเจตนาดีอีกแล้วกระมัง?


 


 


ไม่คิดบ้างหรือว่าเขามีสถานะระดับใด จะมีนิสัยนำของประหลาดเข้าปากมั่วซั่วจริงหรือ?


 


 


“ของกินหรือ” เขาถาม นำยาสีฟันเข้าใกล้ข้างริมฝีปาก หางตาชำเลืองมองแววตาเปล่งประกายของนาง


 


 


“เจ้าลองดูสิ” นางตอบอย่างเจ้าเล่ห์


 


 


เขาพยักหน้า วางนิ้วมือลง นางกำลังอยากจะหัวเราะลั่น เขาก็พลันยื่นนิ้วอย่างรวดเร็ว ป้ายยาสีฟันลงบนใบหน้าของนาง!


 


 


เสียงหัวเราะหยุดลงในทันใด


 


 


“ฮะ…”


 


 


แค่นี้ยังไม่ยอมเลิกรา นิ้วมือเขาป้ายต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง วาดรอยหลายรอยบนใบหน้านาง


 


 


“ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่ของกิน อาจจะเป็นครีมไข่มุกของเจ้า” เขาป้ายเสร็จก็เอ่ยด้วยใบหน้าจริงจังกับนางว่า “สีขาวราวหิมะสดใสนุ่มลื่น เจือด้วยกลิ่นหอมเล็กน้อย ดูแล้วไม่เลวเลย รู้สึกอย่างไรบ้าง?”


 


 


อย่างไรบ้างน้องสาวแกสิ ปวดใจ!


 


 


 


 


 


 


[1] วันพักอาบ คือวันที่ให้ขุนนางและข้าราชบริพารลากลับบ้านเพื่อไปอาบน้ำทำความสะอาด ชำระล้างร่างกาย


 


 


[2] อักษรจีนตัวย่อ เป็นอักษรที่พัฒนามาจากตัวอักษรจีนสมัยโบราณ เพื่อให้เขียนได้อย่างง่ายดายขึ้น โดยปัจจุบันจะใช้ในจีนแผ่นดินใหญ่ 

 

 


ตอนที่ 74 - 2 ข้าจะมียูกชายให้เจ้า

 

จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้ด่าเขา เร่งรีบไปล้างด้วยท่าทางร้องห่มร้องไห้ ชะโงกหน้ามองในอ่างน้ำ เวรเอ๊ย โคตรสร้างสรรค์!


 


 


เขาเขียนอักษร!


 


 


ซีกซ้ายเขียนว่า ‘ไอ้’


 


 


ซีกขวาเขียนว่า ‘ติ๊งต๊อง’


 


 


เจ้าสิไอ้ติ๊งต๊อง! นิ้วมือทุกนิ้วของเจ้าล้วนติ๊งต๊องทั้งนั้น!


 


 


จิ่งเหิงปัวถูฟองมากมายบนใบหน้าออก ใช้น้ำถึงสามอ่างล้างหน้า แล้วบ่นพึมพำอย่างเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปว่า “รู้อย่างนี้แต่แรกคงไม่ให้เจ้าใช้หรอก ไม่ให้เจ้าใช้ยามนี้ก็ยังทัน เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าของสิ่งนี้มันใช้อย่างไร เหอะ…เอ๊ะ? เอ๊ะๆ? เจ้าใช้ได้อย่างไร เจ้ารู้ได้อย่างไร นี่ๆๆ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”


 


 


อีกด้านหนึ่ง กงอิ้นยกแก้วกระเบื้องบ้วนปากสีครามของตนเองขึ้นมา หยิบแปรงสีฟันสีฟ้าอ่อนอันนั้นขึ้นมาอย่างสงบเยือกเย็น ก่อนจะบีบยาสีฟันลงบนแปรงสีฟันอย่างไม่รีบไม่ร้อนแล้วค่อยๆ วางไว้ในปาก


 


 


จิ่งเหิงปัวมีสีหน้างงงวย มองดูภาพตรงหน้าด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง เกือบจะโยนอ่างล้างหน้าในมือทิ้งไปแล้ว


 


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไร…”


 


 


กงอิ้นมองนางปราดเดียวก็ลองหยั่งเชิงแปรงดู เมื่อเห็นใบหน้าของนางยิ่งฉายแววตกตะลึงมากขึ้น เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองกระทำนั้นถูกต้องแล้ว จึงแปรงขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อย


 


 


รู้ได้อย่างไรน่ะหรือ? สตรีโง่เขลานางนี้ คงไม่รู้ว่าบนใบหน้าของใครบางคนมีคำตอบเขียนไว้สินะ?


 


 


นางเอ่ยมาแล้วว่าแปรงฟัน ไม่ใช่ครีมไข่มุก กินไม่ได้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ใช้แปรงฟัน ใช้แปรงแปลกประหลาดนั้นรองไว้ แล้วย่อมใช้แปรงที่รองไว้แล้วมาแปรง มีสิ่งใดแตกต่างจากกิ่งหลิวทาเกลือทะเลสาบขัดฟันกัน? เพียงอุปกรณ์พิเศษขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น


 


 


สำหรับท่วงท่า มองสีหน้านางก็รู้แล้วว่าถูกต้องหรือไม่


 


 


อืม ทว่ากลิ่นหอมกับความรู้สึกเช่นนี้ ดีกว่าเกลือทะเลสาบยิ่งนักโดยแท้…


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูมหาเทพหยิบแปรงสีฟันด้วยท่วงท่าเชื่องช้าเป็นธรรมชาติอย่างตกตะลึง…โอ๊ยๆ นางยังไม่ทันได้หยิบมาบีบโอ้อวดให้เต็มที่เลยนะ ยังคิดว่าเขาไม่เข้าใจจะค่อยๆ สอนไปทีละอย่าง เอาเปรียบด้วยวาจาสักหน่อย โอ๊ยๆ สติปัญญเช่นนี้ก็น่ารำคาญเกินไปแล้วโว้ย!


 


 


มองเห็นสีหน้าของนางดูหดหู่ เขาก็เพียงยกมุมปากขึ้นเบาบาง ยื่นมือออกไปคว้าแก้วกระเบื้องบ้วนปากสีขาวของนาง หยิบแปรงน้อยที่ประดิษฐ์เลียนแบบแปรงสีฟันของนาง บีบยาสีฟันลงเล็กน้อยแล้วยื่นไปยังเบื้องหน้านาง


 


 


จิ่งเหิงปัวหายงอนง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นางพลันยิ้มจนตาหยีด้วยเพราะท่าทางเอาใจใส่ของเขาเช่นนี้ แล้วกล่าวว่า “ยาสีฟันนี้มีเพียงหลอดเดียว ภายหลังเจ้าเก็บไว้ใช้เองนะ” ไปพลาง แปรงฟันอย่างมีความสุขไปพลาง


 


 


กงอิ้นก้มหน้ามองดูแปรงสีฟันในมือของตนเอง ด้ามสีฟ้าอ่อน หัวแปรงสีขาวทรงคลื่นที่ตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย วัสดุผิวด้ามดั่งหยก ของสิ่งน้อยสิ่งหนึ่งที่อัศจรรย์ยิ่งนัก


 


 


สิ่งของทั้งหมดในถุงนี้อัศจรรย์ยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นก็มีเพียงชุดเดียว ไม่ต้องเอ่ยย่อมรู้ว่าเป็นสิ่งของที่มีเพียงหนึ่งเดียวในต้าฮวง นางเอาไว้ข้างกายเนิ่นนานขนาดนี้ ยังไม่อาจหักใจใช้เอง ยามใช้หมดแล้วคงจะไม่มีแล้ว


 


 


แม้เห็นว่าเป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงเลือกเก็บสิ่งของเพียงหนึ่งเดียวนี้ไว้ให้เขา


 


 


ด้ามแปรงสีฟันกุมไว้ในฝ่ามือจนอบอุ่น ดวงใจคล้ายร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นกัน ปราณร้อนผ่าวพวยพุ่งขวางตรงหน้าอก เขารู้สึกถึงรสชาติหวานคาวถึงช่วงลำคอ


 


 


เขากลืนลงไปอย่างเงียบเชียบแล้วกวักมือ บอกใบ้ให้องครักษ์ที่หลบหลีกอยู่ห่างไกลอีกทางส่งผ้าลายปักมาให้ ห่อยาสีฟันแปรงสีฟันให้ดีทีละชั้นแล้วเก็บไว้ในถุงเช่นเดิม


 


 


จิ่งเหิงปัวแปรงฟันเสร็จแล้วก็พ่นน้ำกลางอากาศดังพรวด พอหันกลับมามองเห็นการกระทำของเขาก็ร้องอย่างตื่นตกใจว่า “เก็บเอาไว้ทำไมน่ะ ไม่คิดจะใช้แล้วหรือ? ของสิ่งนี้ดียิ่งนัก สะดวกสบายอย่างยิ่งใช่หรือไม่เล่า” นางยิ้มตาหยีแล้วประชิดเข้ามา กระทบกับไหล่ของเขา กล่าวเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “นี่คือสิ่งที่เอาไว้ใช้ก่อนจุมพิตกัน เอาไว้ทำให้ลมหายใจสดชื่นอย่างไร…มาสิ พวกเรามาดมกลิ่นระยะประชิดกันสักหน่อยว่าหอมหรือไม่”


 


 


กล่าวจบแล้วก็โอบลำคอของเขา คิดจะ ‘ดมสักหน่อยว่าหอมหรือไม่’


 


 


ฝ่ามือของกงอิ้นยกขึ้นเพียงครั้งขวางริมฝีปากแดงฉ่ำดุจผกาของนางไว้ แลดูท่าทางปวดศีรษะเล็กน้อย…สตรีบ้ากามชอบแสดงความรักเช่นนี้ หากมั่นใจในความรักขึ้นมา คงร่ำร้องจูบเอยกอดเอยนอนเอยไม่เว้นทิวาราตรี…แม้ว่าเช่นนี้จะดียิ่งนัก ทว่ามิใช่ควรรอให้ถึงยามค่ำคืนก่อนหรือ…


 


 


จิ่งเหิงปัวถูไถฝ่ามือเขาด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา ก่อนถอยกลับไปอย่างว่านอนสอนง่าย นางน่ะไม่ใช่ผู้หญิงโรคจิตที่ชอบทำตัวลามกตอนกลางวันซะหน่อย แค่ชอบแทะโลมเขาเท่านั้น ชอบเห็นท่าทางที่พยายามควบคุมตนเองซ้ำยังฝืนควบคุมนั้นของเขา อีกทั้งชอบติ่งหูที่แดงซ่านขึ้นมาหลายครั้งหลายครานั้น พาให้เจริญอาหารอย่างยิ่งโดยแท้…


 


 


“สองสิ่งนี้คือสิ่งใด” เพื่อหลีกเลี่ยงการลวนลามของสตรีบ้ากาม กงอิ้นที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นให้มากมายก็รีบเร่งคว้าขวดใบน้อยสีน้ำเงินและสีขาวอีกสองใบขึ้นมา


 


 


จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองแวบหนึ่ง นั่นคือยาสระผมกับครีมอาบน้ำขวดทดลอง


 


 


“สิ่งที่เอาไว้อาบน้ำสระผมอย่างไร…” จิ่งเหิงปัวทำท่าทางถูสบู่ครั้งหนึ่งอย่างเกียจคร้าน


 


 


สายตาของกงอิ้นไล่ตามทรวดทรงองเอวของนางครั้งหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก มองดูปลายศอกของนางถูผ่านเรือนร่างอ่อนช้อยอย่างนุ่มนวล…เขาก็รีบเบนสายตาออกโดยพลัน


 


 


“…ใช้ดีกว่าสบู่เจ่าโต้ว[1]เหล่านั้นเยอะเลย โอ๊ย ไม่ได้ใช้ของเหล่านี้มานานแล้ว แม้แต่หนังศีรษะข้ายังคิดถึงมันเลย…” พอจิ่งเหิงปัวเบนสายตามองเห็นสีหน้าของบางคนแล้วก็ชะงักงัน “เอ๊ะ เหตุใดเจ้าถึงหน้าแดงขึ้นมาเล่า อยู่ดีๆ เจ้าก็หน้าแดงอะไรของเจ้ากัน”


 


 


สายตาของกงอิ้นเร่งรีบกะพริบออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหยิบขึ้นมามั่วซั่วขวดหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ลองดู”


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตาปริบๆ มองดูเขา…มหาเทพเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังพูดอะไรออกมา?


 


 


มหาเทพคงจะไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เมื่อครู่สมาธิหยุดลงตรงที่ซึ่งไม่ควรหยุดลงแล้ว…


 


 


ยิ่งเก้อเขินก็ยิ่งอยากหลุดพ้นจากความเก้อเขิน เขาหยิบขวดนั้นขึ้นมาอย่างจริงจังเสียเลย เอ่ยว่า “เหตุใดจึงลองไม่ได้?”


 


 


“ได้สิ” จิ่งเหิงปัวตามไม่ทันนิดหน่อย ตอบอย่างงงงวย


 


 


“ขวดนี้ใช้สระผมหรือใช้อาบน้ำ”


 


 


“สระผม”


 


 


“เจ้าคันศีรษะหรือไม่”


 


 


“คัน” จิ่งเหิงปัวรู้สึกแค่ว่าถูกเขามองจนทั่วร่างคันไปหมดแล้ว


 


 


ประหลาดจัง ประหลาดจังเลย


 


 


กงอิ้นพลันยืนขึ้น กวักมือเรียกองครักษ์มาสั่งไม่กี่ประโยค จากนั้นกฌมีคนประกอบเพิงเรียบง่ายขึ้นมา มีคนยกน้ำร้อนมาให้ ยังมีคนลากเก้าอี้เอนนอนมาด้วย


 


 


“มาสระผม” อาภรณ์ของเขาขาวดั่งหิมะ ยืนเลิศล้ำอยู่หน้าชั้นวางอ่างที่มีไอร้อนลอยล่อง ร้องเรียกนางดั่งช่างโกนผมคนหนึ่ง สีหน้าสุขุมเป็นธรรมชาติ


 


 


“อื้ม” จิ่งเหิงปัวรับปากแล้วถึงนึกได้ว่าต้องคัดค้านว่า “ไม่เอา ข้าชอบสระผมยามอาบน้ำ สระเช่นนี้จะทำให้คอข้าเปียกน้ำไปหมด”


 


 


“เจ้ากำลังดูถูกความสามารถในการลงมือของข้าหรือ” มหาเทพเอ่ย


 


 


หา? หมายความว่าอะไรนะ จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้รู้สึกตัวขึ้นมา นางก็ถูกเขาลากไปแล้ว โน้มร่างนางลงบนเก้าอี้เอนนอน แล้วเอ่ยว่า “นอนลง”


 


 


“อื้ม” จิ่งเหิงปัวนอนลง มองดูเขาไล่องครักษ์ไปแล้วลงมือด้วยตนเอง ขยับชั้นวางอ่างน้ำร้อนมาข้างหลังเก้าอี้เอนนอน นางค่อยๆ เบิกตากว้าง


 


 


“กงอิ้น…” นางกล่าวเสียงเบาอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้า…เจ้าจะสระผมให้ข้าหรือ?”


 


 


“มีบางคนก็ช่างโง่เขลานัก แค่สระผมยังทำให้คอเปียกน้ำได้” เขายื่นมือวัดอุณหภูมิน้ำ ไม่มองนางแม้แต่น้อย แล้วเอ่ยว่า “ข้าอยากเห็นว่าพอมีคนช่วย นางจะยังคงโง่เขลาขนาดนั้นหรือไม่”


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่กล่าวอะไรแล้ว ยิ้มตาหยีนอนตะแคงมองดูกงอิ้นวัดอุณหภูมิน้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่นางพบเจอกงอิ้นปากร้ายไม่ตอบโต้ กงอิ้นไม่ได้ไล่โจมตีตนเองต่อไปเช่นเคย ก้มหน้าตั้งใจวัดอุณหภูมิ ไอร้อนสีขาวล่อยลองเวียนวนขึ้นมากลบกลืนสายตาของเขา มองเห็นเพียงขนตาที่แผ่ยาวลงมาพรมด้วยไอน้ำประหนึ่งเพชรเม็ดน้อย


 


 


ไอร้อนอบอุ่นและนุ่มนวล สายตาสุกสกาวของจิ่งเหิงปัวในไอร้อนแพรวพราวดุจสายธารเช่นกัน นางโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย ความปีติยินดีในใจผลิบานประหนึ่งบุปผา ทว่าไม่ยอมส่งเสียงรบกวนในยามนี้ นางกลัวว่าพอส่งเสียง พอแสดงออก เจ้าคนที่แท้จริงแล้วซุ่มเงียบขวยอายไปถึงกระดูกคนนั้นจะโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งแล้ววิ่งหนีไป


 


 


หากสูญเสียโอกาสที่มหาเทพสระผมให้ด้วยตัวเอง นางคงจะอาเจียนจนตายทั้งเป็นแน่นอน


 


 


ต้องสงบเยือกเย็น สงบเยือกเย็นเข้าไว้


 


 


นางหันกายครั้งหนึ่งบนเก้าอี้เอนนอน ไม่มองเขาเขาจะได้ไม่ขวยเขิน กล่าวพลางยิ้มแย้มว่า “ช่วยข้าแก้มัดผมหน่อยสิ คันยุบยิบจังเลย”


 


 


เขาคล้ายชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยื่นมือคู่หนึ่งเข้ามา ปลดผ้าคาดผมที่นางมัดผมไว้อย่างแผ่วเบา


 


 


นางไม่ชอบเกล้ามวยผม ในการประชุมราชการจะเกล้าเป็นมวยผมเรียบง่ายทรงหนึ่ง ปกติเมื่อไม่มีคนอื่นส่วนมากจะสยายผม เมื่อต้องปฏิบัติการแบบตอนนี้จะมัดผมไว้


 


 


ลักษณะเส้นผมดีโดยกำเนิด ถึงขนาดนิ้วมือเพียงลูบแผ่วเบาครั้งหนึ่ง ผ้าลายปักคาดผมสีแดงเข้มนั้นค่อยๆ ลื่นลงมา


 


 


ผมยาวหยิกเล็กน้อยกลุ่มหนึ่งสยายบนฝ่ามือเขาประหนึ่งมวลเมฆ


 


 


ผมยาวไม่ใช่สีดำบริสุทธิ์ จิ่งเหิงปัวเคยย้อมผมสีทอง แต่เป็นการลงมือย้อมด้วยตนเอง ผลลัพธ์ไม่สมความปรารถนา ภายหลังได้ใช้น้ำยาล้างสีผมล้างออก ตอนนี้สีผมค่อยๆ กลับคืนมา ด้วยเหตุนี้สีผมที่แสดงออกมาจึงพิเศษอย่างยิ่ง คล้ายสีน้ำตาลแดงนิดหน่อย โชคดีที่พื้นฐานดีโดยกำเนิด ความมันวาวไม่ลดลง เส้นผมทุกเส้นต่างเปล่งประกายเล็กน้อยภายใต้แสงอาทิตย์


 


 


นิ้วมือของกงอิ้นอดจะงอขึ้นแผ่วเบาไม่ได้ รู้สึกเพียงว่าสิ่งที่กุมไว้คือเมฆก้อนหนึ่งหรือความฝันครั้งหนึ่ง เมฆคือเมฆที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า ปล่อยตนชวนฝันและอิสระ ความฝันคือความฝันที่ปลอบโยนอยู่ในใจ อบอุ่นซ่อนเร้นและใกล้ชิด กลิ่นหอมเจือจางดั่งคล้ายดอกไม้ที่พลันผลิบานดอกหนึ่งพุ่งเข้าสู่ปลายจมูกโดยมิต้องเชื้อเชิญ กลิ่นหอมนี้แตกต่างจากกลิ่นกายนาง อ่อนจางกว่าซ้ำยังเจือด้วยกลิ่นดอกไม้ธรรมชาติ เมื่อถูกกลิ่นหอมเช่นนี้พัดผ่านคงจะทำให้คนรู้สึกว่าใจของตนเองอ่อนนุ่มประหนึ่งเส้นผมบนฝ่ามือในพริบตาเดียว


 


 


เขาไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่เนิ่นนาน นางกลับรู้สึกว่าการที่เส้นผมขยับเล็กน้อยทำให้คันขึ้นมานิดหน่อยจริงๆ แล้ว อดจะยิ้มแย้มเร่งเร้าไม่ได้ กล่าวว่า “นี่ น้ำเย็นหมดแล้ว”


 


 


ไม่รู้เพราะอะไร ในเสียงนี้กลับเจือด้วยเสียงนาสิก ทั้งแปรเปลี่ยน ทั้งวนเวียน หางเสียงวกวนไปเจ็ดแปดรอบ


 


 


นางมีเส้นเสียงที่ฟังดูเกียจคร้านเจือด้วยความแหบแห้งเล็กน้อยโดยกำเนิด แบบที่แม้ไม่อ่อนโยนยังฟังดูมีเสน่ห์ แต่ในใจเย่อหยิ่งโดยกำเนิด แต่ไหนแต่ไรมารังเกียจน้ำเสียงมารยาสาไถย ทว่าถึงตอนนี้นางเพิ่งเข้าใจ ดวงใจที่มีความรักย่อมหวั่นไหว ไม่ต้องแสร้งดัดจริตก็ไพเราะเพราะพริ้ง ทำนองเสียงทุกช่วงต่างถูกดวงใจที่มีความสุขอำพรางไว้หล่อหลอม พอเปล่งเสียงย่อมเป็นการออดอ้อนที่เป็นธรรมชาติที่สุด


 


 


 


 


 


 


 


[1] สบู่เจ่าโต้ว ถั่ว “เจ่าโต้ว” หรือ “ถั่วถูไคล” เป็นสบู่ในสมัยโบราณ 

 

 


ตอนที่ 74 - 3 ข้าจะมียูกชายให้เจ้า

 

เมื่อฟังน้ำเสียงเช่นนี้ของนางแล้ว เขาก็ชะงักไปอีกครั้ง ก่อนจะร้อง “อืม” เสียงเบาออกมา มือประคองเส้นผมของนางแช่ลงในน้ำอุ่นอย่างระมัดระวัง


 


 


จิ่งเหิงปัวร้อง “อืม…” ออกมาอย่างสบายตัว ร่างกายเริ่มที่จะผ่อนคลาย ครู่หนึ่งที่น้ำอุ่นท่วมท้นหนังศีรษะนั้น ดวงใจก็คล้ายจะร้อนผ่าวตามไปด้วย


 


 


เขากำลังลงมืออย่างแผ่วเบา ผ้าเช็ดมือที่คลุมบนกลางศีรษะของนางค่อยๆ เลื่อนลงมา แยกผมของนางออกทีละส่วนๆ แล้วแช่ไว้ในน้ำอุ่น สายตามองดูเส้นผมที่สัมผัสน้ำดำประกายดุจเมฆ คดเคี้ยววกวนแผ่วเบา ยั่วเย้าบนดวงใจของเขาด้วยท่าทางอ่อนช้อยเช่นกัน


 


 


นางหลับตาอยู่ มุมปากเจือด้วยรอยยิ้ม ไม่อยากบอกให้เขารู้ว่ายาสระผมใช้อย่างไร แค่อยากยื้อเวลาครู่หนึ่งนี้ให้นานออกไปมากยิ่งขึ้น ยิ่งนานมากขึ้น


 


 


เขาก็ไม่เอ่ยถาม สองคนต่างไม่อยากเอ่ยวาจา ไม่อยากให้เสียงวาจารบกวนอารมณ์สงบเงียบในชั่วครู่นี้ เขาเปิดฝาขวดยาสระผมด้วยตนเองอย่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ก่อนอื่นเขาเทแต่กลับเทไม่ออก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วใช้มือบีบขวด บีบออกมากองใหญ่กองหนึ่งดั่งคาดการณ์ เขาจ้องมองกองหนึ่งนั้น ไม่ค่อยแน่ใจว่ามากหรือน้อย ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วบีบออกมาอีกกองหนึ่ง


 


 


ขวดว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่งในชั่วพริบตา เขาเขย่าขวดแล้วส่ายหน้า รู้สึกว่าของสิ่งนี้แม้ว่ากลิ่นหอมใช้สะดวกแต่ไม่ทนทานโดยแท้


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกถึงของเหลวเย็นเยือกจากฝ่ามือเขาปกคลุมบนกลางศีรษะนาง นางชื่นชอบความรู้สึกที่ถูกห่อหุ้มศีรษะไว้แบบนี้อย่างยิ่ง มีความงดงามในการถูกปกป้อง อดจะยื่นศีรษะไปข้างหน้าแล้วถูไถกับฝ่ามือของเขาไม่ได้


 


 


เขาหยุดมือแล้วก้มหน้าลงมองนาง นางหยีตาอยู่ สีหน้าเปี่ยมด้วยความน่ารักใคร่และพึงพอใจ แสงอาทิตย์ถูกเงาบุปผากั้นกลาง ทอดลงแผ่คลุมหนาๆ บางๆ บนใบหน้าของนาง ผสมผสานโครงหน้าให้ยิ่งนุ่มนวลงดงามมากขึ้น ดั่งแมวน้อยที่ไร้ความกลัดกลุ้มตัวหนึ่ง


 


 


หน้าอกขยับเขยื้อนเพียงครั้ง จากนั้นก็เกิดความเจ็บปวดเล็กน้อย ทว่าริมฝีปากเขากลับกระหวัดเพียงน้อยเป็นรัศมีโค้งผืนหนึ่ง แลดูอ่อนโยน


 


 


ของเหลวเย็นสดชื่นปกคลุมเส้นผม เขาขยี้ให้นางอย่างแผ่วเบาจากการเรียนรู้โดยไม่มีผู้ชี้แนะ เส้นผมพันรอบหว่างนิ้วจนเกิดฟองขาวขุ่นนับไม่ถ้วน เฉกเช่นความรู้สึกทั้งเบิกบานทั้งอ่อนนุ่มในยามนี้


 


 


ปลายนิ้วของเขาสะกิดเกาผ่านบนหนังศีรษะนาง ออกแรงอย่างเหมาะสม นางผ่อนคลายจนร้องครางประหนึ่งแมว ทั่วทั้งร่างแอบสั่นเทาระลอกหนึ่ง อดจะนอนหงายภายใต้แสงอาทิตย์ไม่ได้


 


 


แสงอาทิตย์ค่อยๆ สว่างไสวทะลุผ่านใบไม้เขียวชอุ่มพุ่มหนึ่ง สาดส่องสตรีที่เอนกายอยู่และบุรุษที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ มือของนางวางไว้บนหน้าอก มุมปากเปี่ยมด้วยความยินดีที่ซ่อนเร้น เส้นผมแกว่งไกวในอ่างทองแดง เขานั่งอยู่ข้างศีรษะนาง สระผมยาวของนางแผ่วเบาเบื้องหน้าอ่างทองแดง แสงอาทิตย์ส่องสว่างใบหน้าด้านข้างของเขา แววตาผืนหนึ่งตั้งใจแลใสสว่าง


 


 


แสงเงาดุจผ้าโปร่ง แสงอรุโณทัยสีแดงทองอ่อนที่ปกคลุมทั่วร่าง เสียงน้ำแผ่วเบา รอยยิ้มแผ่วบาง ดอกไม้ทยอยผลิบาน สายลมพัดผ่านแผ่วโผย หยดน้ำที่ปลายนิ้วกระทบโดยมิได้ตั้งใจ แวววาวดุจความฝัน


 


 


ใต้ต้นไม้มีเสียงกระซิบกระซาบหลายครั้ง วนเวียนนุ่มนวลดุจแดนฝัน ฟังแล้วหวานชื่น


 


 


“กงอิ้น…”


 


 


“อืม”


 


 


“กงอิ้น…”


 


 


“อืม”


 


 


“กงอิ้น”


 


 


“อืม”


 


 


“กงอิ้น”


 


 


“เจ้าต้องการจะเอ่ยอะไรกันแน่?”


 


 


“…ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่อยากเรียกชื่อของเจ้าสักหน่อยเท่านั้น กงอิ้น…กงอิ้น…ชื่อของเจ้าช่างไพเราะเหลือเกิน…”


 


 


“โง่…”


 


 


เสียงนั้นเย็นชา ทว่านิ้วมือเคลื่อนไหวแผ่วเบา เปลี่ยนน้ำในอ่างเสียงดังโครมคราม ในอ่างยังคงมีฟองสีขาวอยู่ทั่ว เขาอดทนกระทำต่อไป ไม่เป็นไร สระไม่สะอาดก็ค่อยๆ สระไป วันนี้เป็นวันพักอาบ วันนี้นางอยู่ที่นี่ วันนี้ไม่ต้อนรับขุนนางใหญ่ทั้งสิ้น เขากำลังสระผม


 


 


นางก็ไม่เป็นไรเช่นกัน สระครั้งเดียวไม่สะอาดหรือ? พอดีเลย ค่อยๆ สระไป วันนี้เป็นวันพักอาบ วันนี้นางจะอยู่ด้วยกันกับเขา วันนี้หากผู้ใดมาทำลายบรรยากาศนางจะสาปแช่งคนคนนั้น วันนี้นางจะสระผม


 


 


“กงอิ้น สระผมสบายยิ่งนัก”


 


 


“อืม”


 


 


“คราวหน้าข้าจะช่วยเจ้าสระ”


 


 


“ไม่ต้อง”


 


 


“จริงนะ สบายจุง…” การออกเสียงของนางไม่ชัดเจนแล้ว กล่าวต่อไปว่า “ข้าจะสระผมให้เจ้า ข้าจะซักผ้าให้เจ้า ข้าจะห่มผ้าให้เจ้า ข้าจะมียูกชายให้เจ้า…”


 


 


“หืม?” เขาหยุดมือฉับพลัน หันข้างเอ่ยว่า “ว่าอย่างไรนะ?”


 


 


นางไม่ได้ตอบคำถาม ลมหายใจหนักหน่วง นางนอนหลับไปแล้ว ตะแคงศีรษะอย่างอ่อนช้อยใต้แสงอาทิตย์ รอยยิ้มผืนหนึ่งตรงมุมปากยังคงไม่ถูกสายลมพัดพาจนสูญสลาย


 


 


เขาใช้แรงจ้องมองนางอยู่เนิ่นนานคล้ายอยากจะจ้องมองให้นางตื่นฟื้น กลับมาตอบคำถามวาจาสำคัญเมื่อครู่สุดท้ายประโยคนั้นให้เต็มที่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าคนที่ตื่นเช้าเกินไปคนนั้นก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ซ้ำยังฉวยโอกาสพลิกกายมากอดแขนฝั่งหนึ่งของเขา บ่นพึมพำพลางแนบใบหน้าลงบนแขนของเขา


 


 


การจ้องมองของเขาใกล้จะกลายเป็นการถลึงตา แขนฝั่งหนึ่งยกขึ้นมาแล้ว ท่าทางอยากจะตบนางให้ตื่นฟื้นยิ่งนัก ทว่านิ้วมือที่เปียกน้ำยังไม่ทันได้สัมผัสใบหน้าของนาง เขาพลันชักมือกลับไป ซ้ำยังฉวยมือสะบัดน้ำบนปลายนิ้วทิ้งไป จะได้ไม่ร่วงลงบนใบหน้าของนางรบกวนการนอนหลับของนาง


 


 


มียูกชาย…


 


 


เขาถอนหายใจออกมา รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันกับสตรีนางนี้ จิตใจต้องยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมาสักหน่อยถึงจะรับไหว


 


 


ในอ่างยังคงมีฟองอยู่มากมาย เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ใจคิดว่าของสิ่งนี้คือสิ่งใดกันแน่? ของเหลวเพียงนิดเดียว เหตุใดจึงมีฟองมากมายขนาดนี้? ซ้ำยังคล้ายว่ายิ่งสระผมก็ยิ่งมีฟองมากขึ้น ดูท่าทางสิ่งของของนางไม่แน่ว่าจะเป็นของดีไปเสียทุกสิ่ง น้ำอะไรที่ใช้สระผมขวดนี้ หากต้องสระขนาดนี้จะไม่ทำให้คนเหนื่อยจนสิ้นชีพหรอกหรือ


 


 


เดิมทีนางเสนอว่าภายภาคหน้าจะสระผมให้เขาบ้าง เขาก็ยังรู้สึกหวั่นไหวนิดหน่อยอยู่หรอก ยามนี้ดูท่าทาง ปฏิเสธได้ถูกต้องยิ่งนัก


 


 



 


 


ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาดีดนิ้วเป็นครั้งที่ยี่สิบ เอ่ยว่า “เปลี่ยนน้ำ”


 


 



 


 


ครึ่งชั่วยามใหญ่ๆ ต่อมาจิ่งเหิงปัวพึมพำเสียงหนึ่งตื่นฟื้นขึ้นมา งงงวยอยู่เนิ่นนาน มองเห็นบนพื้นมีถังขนาดมหึมาใบหนึ่งเพิ่มเข้ามา ในถังมีน้ำร้อนอยู่เต็ม ที่ซึ่งไกลออกไปมีเหล่าองครักษ์ยืนโซซัดโซเซอยู่ บนพื้นมีรอยสาดน้ำเต็มไปหมด


 


 


นางชะงักไปเนิ่นนาน ถึงร้อง “ว้าย” เสียงหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไอ้เวรเอ้ย กงอิ้น เหตุใดยังสระผมไม่เสร็จอีก? ขยี้จนกระดูกข้าปวดร้าวไปหมดแล้ว อีกทั้งเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าหนังศีรษะเจ็บปวดยิ่งนัก…”


 


 


มหาเทพชูมือสองข้างที่ถูกน้ำลวกจนแดงไปหมดแล้วของตนเองขึ้น มองดูฟองสีขาวที่ยังคงดำรงอยู่ในอ่าง เงียบกริบเนิ่นนานนัก หันหน้า เอ่ยว่า “เปลี่ยนน้ำ”


 


 



 


 


ศีรษะเดียวสระไปถึงครึ่งช่วงเช้า


 


 


ในที่สุดจิ่งเหิงปัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เอนนอนได้เสียที นางรู้สึกว่ากระดูกจะร้าวไปหมดแล้ว หนังศีรษะปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว


 


 


นางหายใจเข้าดังซี้ดซ้าด คิดอยู่ว่าอธิษฐานให้สระผมคราวนี้ยาวนานสักหน่อย ยาวนานอีกสักหน่อย คราวนี้สวรรค์คงได้ยินจริงแล้ว ยาวนานจนพอจะทบเวลาสระผมไปหนึ่งปีแล้ว


 


 


อยากหัวเราะแต่กลั้นเอาไว้ก่อน ไม่ได้นะ ถ้าหัวเราะออกมา คราวหน้าคงไม่ต้องหวังให้มหาเทพปรนนิบัตินางอีกแล้ว ดูใบหน้าน้อยเขียวคล้ำของเขานั่นสิ


 


 


ชุ่ยเจี่ยยกถาดรองอยู่ ลังเลว่าจะเข้ามาดีหรือไม่ ยามนี้เวลานี้แล้ว ยังมีความจำเป็นต้องส่งอาหารเช้าอีกหรือ?


 


 


ท้องของจิ่งเหิงปัวรู้สึกหิวตั้งนานแล้ว พอมองเห็นก็รีบเร่งร้องเรียกว่า “ส่งมาๆ” ซ้ำยังโอ้อวดให้กงอิ้นฟังว่า “เจ้าต้องลองชิมนะ โจ๊กของวันนี้ข้าต้มเองเลย ผักดองข้าก็ตระเตรียมให้เจ้าเองเช่นกัน”


 


 


ชุ่ยเจี่ยกลอกตาขาว…มือกวนในอ่างข้าวสองครั้งก็นับว่าต้มโจ๊กแล้ว นี่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก


 


 


คราวนี้สีหน้าของกงอิ้นถึงได้ดูดีขึ้นมาบ้าง ถูกจิ่งเหิงปัวจูงมานั่งบนม้าหินใต้ชั้นวางกระถางต้นไม้ฝั่งหนึ่ง โบกมือให้คนที่ก้าวเข้ามาปรนนิบัติถอยออกไปทั้งหมด ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวช่วยเขาลงมือ ฉวยมือหยิบชามที่วางอยู่ฝั่งหนึ่งแล้วตักโจ๊กชามหนึ่งให้นาง


 


 


“เฮ้อ ข้ายังอยากตักให้เจ้าด้วยมือตนเองอยู่เลย” จิ่งเหิงปัวเสียดายที่สูญเสียโอกาสมอบความรักไปครั้งหนึ่ง


 


 


“ข้าเกรงว่าหากให้เจ้าเป็นคนตัก ข้าคงจะไม่ได้กินโจ๊กร้อนสักคำเดียว” มหาเทพยังคงปากคอเราะร้ายทว่าท่วงท่าอ่อนโยน ซ้ำยังคีบขนมให้นางจานหนึ่งด้วยท่าทางคล่องแคล่ว


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับยิ้มแย้มเปิดฝาครอบเงินฝาหนึ่งบนจานกระเบื้องสีขาวออกให้เขา ร้องว่า “แถ่นแทนแทนแท้น ผักดองที่เป็นหนึ่งไม่มีสองของล้างปากเรียกน้ำย่อยอันดับหนึ่งสำคัญทั้งอยู่บ้านหรือเดินทางออกโรง!”


 


 


จานกระเบื้องสีขาวละเอียดประณีตงดงาม เผยให้เห็นก้นจานสีเขียวหยกเล็กน้อย ผักดองลำต้นเรียวยาวสีเหลืองอ่อนกลุ่มเล็กประดับด้วยพริกแดงสดเล็กน้อย สีสันสดใส พาให้คนเจริญอาหาร


 


 


ใช่แล้ว ตำนานที่ในหมู่ผักดองพบเห็นได้ทั่วไปที่สุดเผยแพร่ที่สุดเป็นที่ชื่นชอบทั้งเหนือทั้งใต้เคียงข้างผู้คนนับไม่ถ้วนข้ามผ่านกาลเวลาในโรงอาหาร จ้าไช่[1]นั่นเอง


 


 


ตอนแรกที่จิ่งเหิงปัวล้วงจ้าไช่ถุงหนึ่งนี้ออกมาจากซอกชั้นประกบในกระเป๋า นางก็น้ำตาคลอเบ้าโดยแท้…รสชาติที่ไม่ได้พบกันมานานน่ะมีบ้างไหม!


 


 


พ่อจ้าไช่ หมู่นี้สบายดีหรือเปล่า? คู่หูบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับไส้กรอกแฮมของเจ้าคิดถึงเจ้าจังเลย!


 


 


ของล้ำค่าเพียงซองเดียวนี้ หลายครั้งเมื่อนางหิวกระหายอยากจะฉีกซองกินให้หมด แต่หลายครั้งลังเลด้วยความเสียดาย สิ่งของมากมายในยุคปัจจุบัน พอมาถึงยุคโบราณย่อมแลดูล้ำค่าอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเหตุผลด้านคุณภาพดินหรือเปล่า ผักดองของต้าฮวงส่วนมากมีรสเค็มฝาด ห่างไกลไม่มีทางเปรียบเทียบแม้แต่จ้าไช่ที่เรียบง่ายที่สุดที่เทคโนโลยียุคปัจจุบันผลิตขึ้น


 


 


แต่นำออกมาแบ่งปันกับเขา นางถึงรู้สึกว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว


 


 


 


 


 


[1] จ้าไช่ ผักดองชนิดหนึ่ง ทำจากผักกาด (Brassica juncea var.tumida) เนื้อกรอบนุ่ม กลิ่นรสหอมสดเฉพาะตัว 

 

 


ตอนที่ 74 - 4 ข้าจะมียูกชายให้เจ้า

 

กงอิ้นคีบไว้ชิ้นหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เคี้ยว จิ่งเหิงปัวหันหน้าจ้องมองเขาด้วยแววตาแวววาว ซักถามอย่างร้อนอกร้อนใจว่า “อร่อยหรือไม่ อร่อยหรือไม่?” 


 


 


กงอิ้นหันข้าง มองเห็นในแววตานางเปี่ยมด้วยความมุ่งมาดปรารถนา นัยน์ตาประหนึ่งหยกดำผ่องอำไพลานตา 


 


 


สิ่งนี้คือของหายากยิ่งของนางกระมัง? อาจจะมีเพียงชิ้นเดียว เจ้าคนละโมบสันหลังยาวผู้นี้ หลายครั้งหลายครานางแบ่งแยกชัดเจน หวังให้นางนำของสะสมออกมาแบ่งปัน คงต้องสำคัญต่อใจนางอย่างยิ่งถึงจะมีหวังกระมัง? 


 


 


เขากระหวัดมุมปากเล็กน้อย สูดกลิ่นหอมกรุ่นสดชื่นที่กำจายออกมาระหว่างเส้นผมของนาง รู้สึกเพียงจิตใจสงบเงียบและยินดี คีบให้นางชิ้นหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่เลว ทว่าข้าไม่ชอบรสเค็ม เจ้ากินให้มากหน่อยเถิด” 


 


 


“อ้อ” จิ่งเหิงปัวรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง มหาเทพไม่รู้จักชื่นชมจ้าไช่ แต่คนเราชอบรสชาติไม่เหมือนกัน นี่ก็ช่วยไม่ได้นะ 


 


 


“พวกเราออกไปเดินเที่ยวกันดีหรือไม่” นางเกาะแขนเขาไว้พลางอ้อนวอน ในแววตาเปล่งประกายด้วยแสงแห่งความปรารถนา เอ่ยขึ้นว่า “วันพักอาบเช่นนี้หายากเชียวนะ” 


 


 


ตะเกียบของกงอิ้นหยุดลง การตอบสนองแรกคือปฏิเสธ ทว่ายามเงยหน้ามองเห็นสายตานาง ดวงใจก็พลันอ่อนยวบ กำลังจะพยักหน้าลง แต่มือกลับชะงักไปโดยพลัน 


 


 


สตรีที่กำลังอยู่ในห้วงความรักมีความรู้สึกไวกว่าปกติ จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้าเข้ามาทันที แล้วกล่าวว่า “ทำไมหรือ?” 


 


 


กงอิ้นยกชามโจ๊กขึ้น ชามบดบังขากรรไกรล่างของเขาไว้ เขากลืนโจ๊กในชามลงไปภายในอึกเดียวอย่างรวดเร็วยิ่งนัก แล้ววางตะเกียบลงเอ่ยว่า “ข้ายังมีธุระ เจ้าไปเองเถิด ห้ามแอบหลบหนีอีก ให้อวี่ชุนตามไปด้วย” 


 


 


“อ้อ” จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้มัวผิดหวัง ปากอ้าตาค้างมองดูท่าทางที่เขาดื่มโจ๊ก มหาเทพกินข้าวหรูหราสง่างามตลอดมา คำน้อยเคี้ยวเชื่องช้า เคยตะกละตะกลามขนาดนี้เสียที่ไหน? 


 


 


“มีเรื่องใดถึงได้เร่งด่วนขนาดนี้?” นางรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง ยื่นมือตบกลางหลังเขา แล้วกล่าวว่า “ค่อยๆ กิน ระวังสำลักนะ” 


 


 


กงอิ้นเบี่ยงกายเพียงครั้ง หลบหลีกการลูบหลังของนาง นางเงยหน้าจะมองเขา เขากลับยื่นมือลูบศีรษะของนางโดยพลัน กดศีรษะของนางลงไป 


 


 


“มีเรื่องเร่งด่วนเล็กน้อย เจ้าจะออกจากวังก็ออกไป แต่ห้ามก่อเรื่องอีก คนสิ้นชีพมากเพียงใดก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า หากก่อเรื่องใดอีก เจ้าไม่ต้องคิดจะออกจากวังอีกตลอดกาล” 


 


 


“เหอะ” จิ่งเหิงปัวรับคำสั่งแต่น้ำเสียงเผด็จการแบบนี้พ่นออกมาจากจมูก ทว่าไม่คัดค้าน รอยยิ้มมุมปากอบอุ่น 


 


 


กงอิ้นรู้นิสัยปากไม่ตรงกับใจของนางมานานแล้วเช่นกัน มือไถลจากบนผมนางอย่างอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย ก่อนจะลุกยืนขึ้น ยกชามของตนเองขึ้นมามอบให้ชาววังนำไปล้าง 


 


 


จิ่งเหิงปัวยังคงรับมือโจ๊กของตนเอง ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “เหตุใดต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย รอนำของข้าไปล้างด้วยสิ…” 


 


 


กงอิ้นหยุดอยู่ชั่วครู่ ไม่ได้เอ่ยวาจาใด แววตาทอดลงในชามของตนเอง 


 


 


ดื่มโจ๊กจนหมดสิ้น เหลือเพียงก้นชามเล็กน้อย ผุดเผยสีชมพูเจือจางเลือนราง 


 


 


ไม่รู้ว่าใช่เงาสะท้อนของดอกอวี้หลาน[1]กิ่งหนึ่งเหนือศีรษะหรือไม่ 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวทานอาหารเสร็จแล้วออกจากวัง นางพาจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยไปด้วยตามคำสั่ง 


 


 


ปกติแล้วนางใช้คนโดยอาศัยลางสังหรณ์ ลางสังหรณ์บอกว่าสองคนนี้เหมาะสม สำหรับจิ้งอวิ๋น นางรู้สึกว่าสาวงามขี้โรคคิดมากเกินไป แต่ก่อนชุ่ยเจี่ยเป็นสาวแก่นแก้ว ตอนนี้ค่อยๆ คิดมากเช่นกัน ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ให้พวกนางครุ่นคิดกันให้เต็มที่ 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย นางรู้สึกว่าตนเองมีกำลังคนไม่พอ 


 


 


โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ได้วางแผนจะทำอาณาจักรธุรกิจอะไร แค่คิดจะหาเงินให้มากหน่อย ก่อตั้งกิจการให้มาก จะได้เป็นที่พึ่งพาให้ตนเองในภายภาคหน้า อย่างไรเสียมีเงินมีคนถึงทางรอดเยอะ ทำเรื่องอะไร หากไม่มีเงินย่อมทำไม่ได้ทั้งนั้น 


 


 


เรื่องแรกหลังออกเดินทางก็คือพุ่งตรงไปยังร้านค้าที่หลายวันก่อนจื่อหรุ่ยดูไว้ให้นาง นางจะเปิดร้านวาดภาพเหมือน 


 


 


ร้านวาดภาพเหมือนร้านนี้มีลักษณะแตกต่างจากร้านค้าธรรมดาทั่วไป ไม่ได้คิดจะเปิดที่ย่านตลาดที่มีผู้คนหนาแน่น ตรงกันข้าม สิ่งที่นางต้องการคือความสงบเงียบ ลึกลับ มีรสนิยม ทางที่ดีที่สุดต้องใกล้บริเวณคฤหาสน์ใหญ่โตรโหฐานที่ขุนนางสำคัญในราชสำนักพำนักอยู่ อย่างเช่น ตรอกกงเต๋อ ตรอกซีเกอที่เต็มไปด้วยขุนนางใหญ่ 


 


 


กระดาษอัดภาพไม่อาจผลิตได้อีก ทุกใบล้ำค่าอย่างยิ่ง ฉะนั้นร้านวาดภาพเหมือนนี้เดินสายการค้าระดับบนเท่านั้น เทียบเท่ากับธุรกิจขายของโบราณ ไม่เริ่มกิจการโดยง่าย เริ่มกิจการครั้งเดียวกินไปสามปี ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยแก่ราษฎร หากเปิดอยู่ในย่านตลาด พ่อค้าและลูกน้องต่างก็วิ่งมาดูความแปลกใหม่ได้ เช่นนั้นนายท่านฮูหยินที่ยึดถือสถานะเหล่านั้นจะรู้สึกว่าลดสถานะของตนเอง แล้วยังจะกล้ามาได้อย่างไร? 


 


 


ฉะนั้นบ้านที่ซื้อไม่ใช่แค่ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง จื่อหรุ่ยถูกใจคฤหาสน์สามส่วนที่แต่ก่อนเป็นของขุนนางที่ปรึกษาท่านหนึ่งในตรอกซีเกอ ขุนนางที่ปรึกษาท่านนั้นถูกถอดตำแหน่งต้องออกจากเมืองหลวง คฤหาสน์ถูกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้กันซื้อไว้ พักไว้ไม่ได้ใช้ตลอดมา ในจวนมีป่าไผ่เขียวชอุ่ม ร่มรื่นร่มเย็น พื้นศิลาเขียวคราม สายธารคดเคี้ยว สอดคล้องกับเงื่อนไขเกี่ยวกับ ‘สถานที่ถูกใจ มีเสน่ห์ แสงเงาดีโดยกำเนิด’ ของจิ่งเหิงปัว แต่ราคาสูงลิ่ว จิ่งเหิงปัวล้วงมรกตที่แบกกลับมาจากต้าเยียนอย่างยากลำบากออกมาทั้งหมดยังขาดอีกนิดหน่อย ที่นางออกไปวันนี้เพราะคิดจะต่อรองราคา 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจอยู่บนรถ อยูในตี้เกอไม่ง่ายเลยแฮะ ต้าฮวงอัญมณีมากเกินไป แม้แต่มรกตก็มีค่าน้อยกว่าต้าเยียนมาก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน ตอนแรกที่นึกว่าตนเองแบกคฤหาสน์นับไม่ถ้วนท่องโลกหล้าด้วยซ้ำเป็นเรื่องน้ำเน่า แท้จริงแล้วมูลค่านั้นถ้าเปลี่ยนเป็นยุคปัจจุบันคงจะเทียบเท่ากับห้องน้ำห้องหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ 


 


 


ขึ้นรถแล้ว นางกำลังดึงนิ้วมือดังกร๊อบแกร๊บ หน้าเขียวเขี้ยวงอกคิดว่าจะหั่นราคาอย่างไรดี มองเห็นจื่อหรุ่ยยิ้มพราวเดินขึ้นมา ในมือมีซองจดหมายซองหนึ่ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาท วันนี้ฝีพระโอษฐ์เก่งกล้าของพระองค์ ดูท่าคงขาดแหล่งสำแดงกำลังแล้วเพคะ” 


 


 


“หืม?” นางรับเอามา เปิดซองจดหมายล้วงตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมา มาอยู่ได้ระยะหนึ่งแล้ว นางก็รู้จักของสิ่งนี้ เพียงแต่ตัวเลขบนตั๋วเงินนี้ทำให้นางไม่กล้ารู้จักขึ้นมา เบิกตามองดูอยู่นาน ก่อนจะใช้นิ้วมือจิ้มนับทีละเลขว่า “หนึ่งสองสามสี่ห้า…ว้าวจำนวนเงินสูงสุด ว้าวหลายใบจัง ว้าว! เอามาจากที่ใดกันหรือ เจ้าพิมพ์เองหรือ ผิดกฎหมายหรือไม่ เหมือนของจริงเลย!” 


 


 


“เดิมทีก็เป็นของจริงอยู่แล้ว หม่อมฉันคงไม่มีความสามารถขนาดนั้นเพคะ” จื่อหรุ่ยกลั้นรอยยิ้ม เอ่ยสืบต่อว่า “เมื่อครู่ก่อนขึ้นรถ อวี่ชุนให้หม่อมฉันมา เอ่ยว่าราชครูเอ่ยแล้ว ตามกฎเกณฑ์ของต้าฮวง ผู้รายงานแผนก่อกบฏมีคุณูปการใหญ่ต่อประเทศ ตามกฎเกณฑ์ได้รับทรัพย์สินหนึ่งในห้าส่วนของผู้คิดก่อกบฏ ตั๋วเงินนี้คือทรัพย์สินหนึ่งในห้าส่วนที่ถูกขายไปของตระกูลซัง เป็นของพระองค์แล้วเพคะ” 


 


 


“วะฮะฮ่าๆ มีข้อนี้ด้วย!” จิ่งเหิงปัวดีใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึง คว้าตั๋วเงินไว้ในครั้งเดียวนับดังพึ่บพั่บ พอสัปหงกเจอหมอนอุ่น พอไม่มีเงินใช้บนฟ้าก็มีทองแท่งร่วงมาจริงๆ เลย! 


 


 


ยังจะเกรงใจอะไรอีก รีบเก็บเข้าสิ ใช้เงินที่แฟนหนุ่มให้ นี่มันก็ถูกหลักทำนองคลองธรรมแล้ว 


 


 


“ประมวลกฎหมายต้าฮวงเหมือนกองอึหมา มีข้อนี้ล่ะดีที่สุด” จิ่งเหิงปัวที่นอนหนุนตั๋วเงินชมเชยเสียงดัง 


 


 


“เป็นเช่นนี้ฝ่าบาท” ศีรษะอวบอ้วนของอวี่ชุนพลันยื่นเข้ามา เอ่ยอย่างไม่โง่เขลาเลยแม้แต่น้อยว่า “ประมวลกฎหมายข้อนี้เพิ่งเสนอขึ้นมา ยังไม่ทันได้ผ่านการเห็นชอบอย่างเป็นทางการ ทว่าราชครูเอ่ยออกมาแล้ว หากไม่ผ่านก็ต้องผ่าน เป็นเช่นนี้แล” 


 


 


… 


 


 


ลานบ้านของขุนนางที่ปรึกษาคนก่อนในตรอกกงเต๋อ เช้าตรู่วันนี้มีคนกำลังเก็บกวาด ตระเตรียมให้ผู้ซื้อเดินทางมาเยี่ยมชม บุรุษอายุสามสิบกว่าหน้าใสไร้หนวดเคราผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าธรณีประตู ฟังรายงานจากพ่อบ้านของที่แห่งนี้ 


 


 


“มีคนอยากซื้อลานบ้านแห่งนี้หรือ” เขาพยักหน้า พินิจโดยรอบแล้วเอ่ยว่า “ขายได้ก็ขายไปเถิด สถานที่เปล่าเปลี่ยวเงียบสงบไปหน่อย ทำการค้าขายมิได้ ซ้ำยังไม่ใหญ่โตพอ โอ้อวดความหรูหราฟุ่มเฟือยของเหล่าขุนนางไม่ได้ อีกทั้งแสงเงามืดครึ้ม ไม่สอดคล้องกับรสนิยมของเหล่านายท่าน ที่นี่ปล่อยว่างมานานหลายปีแล้ว ขายไปได้เร็วหน่อย บัญชีของฮูหยินจะได้มีเงินอีกก้อนเพิ่มเข้ามา” ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยสืบต่อว่า “แม้วาจาจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ราคาต้องไม่ถูกเกินไป หากน้อยไป จะเสียศักดิ์ศรีของจวนเสนาบดีกองขุนนางของพวกเรา อีกทั้งตรวจการณ์ทรัพย์สินของฝ่ายตรงข้ามให้ละเอียด หากไม่มีหัวนอนปลายเท้า ลักษณะต่ำต้อย จะขายให้ไม่ได้ จวนเสนาบดีกองขุนนางของพวกเราไม่อาจเป็นสหายข้างจวนกับพวกคนต่ำต้อยเช่นนี้” 


 


 


“นายท่านหวงคิดมากแล้ว ผู้ซื้อมองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่คนธรรมดา” พ่อบ้านนั้นยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เป็นแม่นางที่ท่าทางสง่าผ่าเผย รูปโฉมงดงามยิ่งนักเชียวล่ะ” 


 


 


คนผู้นั้นหยุดฝีเท้าที่กำลังจะก้าวไปโดยพลัน 


 


 


“แม่นางหรือ?” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


“คนเดียว?” 


 


 


“เพียงพาผู้ติดตามมาด้วยสองสามคน สตรีที่ต้องเปิดเผยหน้าตาในสมัยนี้ ส่วนมากในเรือนคงไม่มีผู้ใดแล้ว” 


 


 


“รูปโฉมงดงาม?” 


 


 


“สวยสง่าโดยแท้ โดยเฉพาะท่าทางโดดเด่น ดูดีมีการศึกษา พบเห็นได้ยากนัก” 


 


 


บุรุษยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแล้ว 


 


 


“ข้าอยู่รอดูสักหน่อย มองดูว่าท่าทางเป็นเยี่ยงไร” เขาเอ่ย 


 


 


พ่อบ้านถอยออกไปอย่างรู้งาน 


 


 


ต่างรู้ว่าหมู่นี้จวนเสนาบดีกองขุนนางกำลังตามหาสตรีมีสกุลอยู่ 


 


 


พ่อบ้านส่ายหน้าอย่างเงียบเชียบ แบะปาก…จวนเสนาบดีกองขุนนาง! ทรัพย์สินมากมายเชียว จวนขุนนางสูงส่งแห่งหนึ่งเชียว หากไม่ใช่คนในจวน ผู้ใดจะรู้ถึงความโสมมที่อยู่ภายใต้อาภรณ์สูงส่งชั้นนอก? นายท่านเป็นคนไม่มากความทว่าเจ้าชู้ ฮูหยินเป็นคนตระหนี่เหลือเกิน ต่างคนต่างควานหาเงินกันอยู่ในจวน ซ้ำยังมีนายน้อยที่ป่วยไข้โซเซผู้หนึ่งหาสตรีมา ‘สมรสสะเดาะเคราะห์’ ตลอดวัน ทุกปีเหล่าสาวใช้ถูกฮูหยินทารุณจนสิ้นชีพหรือถูกนายน้อย ‘สมรสสะเดาะเคราะห์’ จนสิ้นชีพกันไปหลายคน ชื่อเสียงเลวร้ายเหลือเกิน ส่งผลให้ฮูหยินอยากหาอนุภรรยามีสกุลให้นายท่านสักคนเพื่อคว้าหัวใจที่ค่อยๆ ลอยไปหาเรือนร่างสตรีข้างนอกของนายท่านกลับมา ต่างไม่มีผู้ใดกล้ายอมสมรสด้วย 


 


 


ดูท่าทาง หลานชายห่างๆ ของฮูหยินที่มาขอพึ่งบารมี รับตำแหน่งพ่อบ้านขั้นสามคนใหม่ของคฤหาสน์ใหญ่โตท่านนี้ คงรีบเร่งทำผลงานเบื้องหน้าฮูหยิน คราวนี้จะแก้ปัญหานี้ให้ฮูหยินแล้วหรือ? 


 


 


พ่อบ้านที่ดูแลลานบ้านแห่งนี้ นึกถึงวันนั้นที่ได้เห็นท่าทางหรูหราสง่างามยามซย่าจื่อหรุ่ยเดินทางมาเจรจาค้าขาย แล้วนึกถึงหลานสาวของตนเองที่ถูกกลั่นแกล้งจนสิ้นชีพในยามนั้น ก็ยิ้มเยาะพลางส่ายหน้า ตัดสินใจว่าเรื่องนี้ไม่เตือนสตินายท่านหวงแล้ว 


 


 


ผู้ใดอยากก่อเวรก่อกรรม จงรับผิดชอบด้วยตนเอง! 


 


 


… 


 


 


 


 


 


[1] ดอกอวี้หลาน ชื่อวิทยาศาสตร์ Magnolia denudata หรือดอกแมกโนเลีย ไม้ยืนต้น ดอกสีขาวหรือชมพูอ่อน  

 

 


ตอนที่ 75 - 1 ผู้ชายที่เข้าครัว

 

 


 


 


รถม้าจอดตรงหน้าลานบ้าน ซย่าจื่อหรุ่ยนำหน้าลงจากรถไปเจรจาหารือกับคนของอีกฝ่ายที่เข้ามาต้อนรับ จิ่งเหิงปัวเมื่อลงจากรถแล้วมองดูรอบด้าน เห็นถนนเรียบเนียน กำแพงสูงทอดเหยียดยาว เรือนกว้างชายคาสูงมองแวบหนึ่งเห็นไม่ถึงอีกฝั่ง เป็นสภาพสงบเงียบของจวนตระกูลผู้ดีโดยแท้ นางพยักหน้าลงอย่างพึงพอใจ 


 


 


วันนี้นางตระเตรียมแต่งกายแบบผู้ทำการค้าขายอย่างซื่อสัตย์เพื่อมาเริ่มต้นก่อตั้งกิจกยังารของตนเองในต้าฮวง ไม่ได้สวมกระโปรงของตนเองและไม่ได้สวมชุดชาววัง เพียงแต่งกายแบบสตรีต้าฮวงธรรมดา สวมหมวกม่านใบหนึ่ง สวมผ้าคลุมปิดหน้า หมู่นี้นางเปิดเผยตัวตนต่อหน้าสาธารณชนหลายครั้ง ก็กลัวว่าหากถูกคนจำได้ขึ้นมาแล้วจะโดนขึ้นราคาเอยอะไรเอย เช่นนั้นคงไม่ดีแน่ 


 


 


ฝ่ายผู้ขายเองก็ดูท่าทางมีมารยาทเหมาะสมเช่นเดียวกัน สมกับเป็นผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนจากตระกูลใหญ่โต เพียงแต่บุรุษเสื้อคลุมยาวที่ยืนอยู่อีกทางนั้นกลับไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรเลย สายตาที่จับจ้องมองจื่อหรุ่ยอยู่พาให้คนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่จิ่งเหิงปัวก็แสดงออกว่าเข้าใจ ผู้ที่รับตำแหน่งขุนนางหญิงผู้ชี้นำในพระราชวังต้าฮวงได้ต่างเป็นสตรีที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและสติปัญญา ขุนนางหญิงที่ได้รับการกล่อมเกลากิริยามารยาทสูงศักดิ์นานหลายปีเช่นจื่อหรุ่ยนี้ เพียงพอจะเป็นสตรีตัวอย่างได้ บุตรสาวผู้ดีมีสกุลธรรมดาคงเทียบไม่ติดแน่นอน เช่มนั้นย่อมทำให้คนอื่นจ้องมองกันยกใหญ่เป็นเรื่องปกติ 


 


 


เมื่อมีจื่อหรุ่ยอยู่ข้างหน้า ยงเสวี่ยที่อายุน้อยหน้าตาไม่โดดเด่น จิ่งเหิงปัวสวมผ้าคลุมหน้า คนที่เหลือจึงไม่สนใจสองคนนี้อีก พวกอวี่ชุนไม่ได้อยู่ในบริเวณใกล้ๆ ตามความเคยชิน เพียงรอคอยอยู่ห่างๆ บริเวณโดยรอบ เพียงเจรจาเรื่องบ้านเรือน เบื้องลึกเบื้องหลังของตระกูลนี้ก็ชัดเจน คงจะไม่มีอันตรายใดแน่แท้ 


 


 


เมื่อเข้ามานั่งภายใน ยกน้ำชาสนทนา ก่อนหน้านี้ได้ตกลงราคาแล้ว เพียงยืนยันหลังจากพาจิ่งเหิงปัวมาเยี่ยมชม ตลอดทางที่เข้ามา จิ่งเหิงปัวพอใจต่อขนาดกับทัศนียภาพของลานบ้านอย่างยิ่ง ในใจวาดเค้าโครงพิมพ์เขียวของร้านถ่ายรูปที่ตกแต่งเสร็จสิ้นในอนาคตไว้นานแล้ว ซย่าจื่อหรุ่ยเห็นสีหน้านางก็รู้ว่าผ่านด่านแล้ว อมยิ้มเอ่ยกับพ่อบ้านโดยพลันแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อผู้ครองที่ดินอยู่ด้วย เช่นนั้นไม่สู้ลงนามหนังสือสัญญากันตรงนี้เถิด” 


 


 


พ่อบ้านกำลังจะตอบรับ บุรุษหน้าขาวเสื้อคลุมยาวผู้นั้นพลันเอ่ยว่า “ช้าก่อน แม่นางท่านนี้ นายท่านของเรายังมีเงื่อนไขบางอย่างต่อการเช่าซื้อที่แห่งนี้” 


 


 


ซย่าจื่อหรุ่ยมองไปทางเขาอย่างแปลกใจ พ่อบ้านกำลังจะแนะนำ ทว่าบุรุษนั้นห้ามปรามไว้ เพียงอมยิ้มเอ่ยกับซย่าจื่อหรุ่ยว่า “แม่นาง ข้าขอเอ่ยวาจาเป็นการส่วนตัว” 


 


 


พ่อบ้านหดลำคอ ไม่เอ่ยวาจาแล้ว 


 


 


อย่างไรเสียซย่าจื่อหรุ่ยเป็นผู้ที่ออกมาจากวัง ไม่ค่อยคุ้นเคยกับเรื่องทางโลกสักเท่าใด เมื่อได้ยินวาจาก็ไม่ได้คิดมาก เอ่ยกับจิ่งเหิงปัวว่า “ข้าจะไปดูสักหน่อย ประเดี๋ยวก็กลับมา” ก่อนจะเดินตามฝ่ายตรงข้ามออกไปแล้ว 


 


 


ยงเสวี่ยมีสีหน้ากระวนกระวายเล็กน้อย นางกะพริบตาปริบๆ มองดูเงาด้านหลังของซย่าจื่อหรุ่ยแล้วลังเลไม่เอ่ยวาจาไปครู่หนึ่ง แม้จิ่งเหิงปัวจะรู้สึกว่าน่าประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะมีความลับอะไรที่ยากจะเอ่ย ไม่อยากเอ่ยขึ้นมาต่อหน้าคนอื่นก็เป็นไปได้ นางเท้าคางอยู่เช่นนั้น ครุ่นคิดเรื่องตกแต่งบ้านเรือนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะฉวยมือยกน้ำชาบนโต๊ะขึ้นดื่มอีกครั้ง 


 


 


พอครุ่นคิดได้อีกครู่หนึ่ง ก็พลันรู้สึกว่าเหตุใดทัศนียภาพเบื้องหน้าถึงมีภาพซ้อน? เหตุใดศีรษะกับหนังตายิ่งหนักขึ้น? อีกทั้งทำไมจื่อหรุ่ยถึงยังไม่กลับมา? 


 


 


นางพยายามลืมตาขึ้นก็มองเห็นใบหน้าตื่นตะลึงของยงเสวี่ย ทิวทัศน์ฝั่งตรงข้ามคล้ายกระเพื่อมอยู่ในเงาน้ำ พ่อบ้านพาคนรับใช้ถอยออกไปไกลโพ้น 


 


 


“แม่งเอ้ย…ยานอนหลับในตำนานไม่ได้มีรสเปรี้ยวหรอกเหรอ…” นางพึมพำประโยคหนึ่ง ก่อนจะล้มหัวทิ่มลงไป 


 


 


… 


 


 


ซ่า เสียงฝนตกหนักปานฟ้ารั่วรดลงจากบนศีรษะ แล้วพลันทอประกายแวววาว เปียกชุ่มโชก… 


 


 


จิ่งเหิงปัวลืมตาขึ้นอย่างมึนงงมัวสลัว มองเห็นว่าเบื้องหน้ามีหญิงวัยกลางคนกับเด็กรับใช้ไม่กี่คนถืออ่างเปล่าไว้ เอ่ยด้วยท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่นางว่า “ตื่นแล้วหรือ? ตื่นแล้วก็รีบไสหัวออกไป! หากช้าอีกหน่อย ข้าจะเอาไปโบยให้ถ้วน!” เมื่อเอ่ยจบแล้วก็ใช้น้ำอีกอ่างหนึ่งสาดใส่ยงเสวี่ยที่อยู่ข้างกายนางให้ได้สติขึ้นมา 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่ทั่วร่างเปียกโชกลุกขึ้นมา พบว่ายังดีที่ไม่ได้ถูกมัดไว้ เพียงแต่ร่างกายเปียกโชกไปจนหมด ผ้าคลุมหน้าเปียกแล้วแนบอยู่บนหน้าทำให้หายใจไม่สะดวก นางพลันดึงออกมาในครั้งเดียว แล้วซับน้ำบนใบหน้าออก 


 


 


รอบด้านเงียบสงัดไปชั่วครู่ เหล่าหญิงวัยกลางคนกับเด็กรับใช้คล้ายถูกรูปโฉมของนางทำให้ตื่นตะลึง มองหน้ากันไปมา มีคนเอ่ยว่า “นี่! นึกไม่ถึงว่าที่นี่ยังมีสตรีโฉมงาม!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเหลียวมองทุกสารทิศ ก่อนจะพบว่าที่นี่คล้ายเป็นสถานที่จำพวกห้องเก็บฟืน ดูจากทิวทัศน์ภายนอกแล้วยังคงเป็นลานบ้านเมื่อครู่นั้น 


 


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น จื่อหรุ่ยเล่า?” นางขมวดคิ้วขึ้น 


 


 


“คุณหนูคนนั้นของเจ้าน่ะหรือ” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “นางบุกเข้ามาในจวนพวกเราโดยพลการ รบกวนคุณชายของจวนเรา ทำให้คุณชายจวนเราเจ็บปวดใจจนอาการกำเริบเกือบจะสิ้นชีพ ยามนี้นางสมัครใจอยู่ปรนนิบัติคุณชายจวนเราเพื่อชดใช้ความผิด ในจวนข้าจึงไม่สืบสาวเอาความผิดของพวกเจ้าอีก เร่งรีบเก็บกวาดข้าวของไสหัวกลับไปเถิด!” 


 


 


“จวนเจ้าหรือ? จวนแห่งใด” 


 


 


“จะเอ่ยออกมาก็กลัวเจ้าจะตกใจสิ้นชีพ!” หญิงวัยกลางคนว่าอย่างรำคาญ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “บอกให้เจ้าไสหัวไปก็เร่งรีบไปสิ! คุณหนูบ้านเจ้าทำให้คุณชายจวนเราถูกตาต้องใจได้นับเป็นวาสนาของนางแล้ว หากไม่รีบไปอีก จะให้เจ้าอยู่ด้วยเจ้าเต็มใจหรือ?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากจะหัวเราะออกมา แม่งเอ้ย! ต้าฮวงเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมไปไหนก็เจอพวกลูกผู้ดีมีเงิน? 


 


 


เดิมทีนางอยากจะลงโทษคนรับใช้เหล่านี้เสียหน่อย ตอนนี้ฟังน้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนคนนี้แล้ว แม้ว่าไม่ดีนักแต่ไม่มีเจตนาร้าย คงจะด้วยเพราะฝ่ายตรงข้ามมีกำลังมาก ไม่อยากให้นางใช้กำลังต่อต้านจนตนเองพัวพันเข้าไปด้วย 


 


 


“เจ้าโชคดี” นางพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “เป็นมนุษย์ดำรงจิตใจดีงามไว้หน่อย ย่อมมีทางรอดสักทาง” 


 


 


ไม่รอให้หญิงวัยกลางคนที่รู้สึกประหลาดใจคนนั้นเริ่มด่าทอ นางก็เดินออกไปนอกห้อง จุดดอกไม้ไฟน้อยดอกหนึ่ง 


 


 


แทบจะในทันทีนั้น เงาคนกะพริบวูบ อวี่ชุนพาลูกน้องตามมาถึงแล้ว มองเห็นทั่วร่างนางเปียกโชกภายในปราดเดียวก็อดจะตกอกตกใจไม่ได้ เอ่ยว่า “ฝ่า…” 


 


 


“ไม่ต้องเอ่ยแล้ว จับคนเหล่านี้มัดไว้ให้หมด” จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังคนรับใช้ที่ตะลึงลานเหล่านั้น กล่าวว่า “จื่อหรุ่ยถูกจับตัวไปแล้ว ถามหาเบาะแสของนาง” 


 


 


ชั่วประเดี๋ยวเดียวหญิงวัยกลางคนกับเด็กรับใช้เหล่านั้นก็ถูกมัดไว้ทั่วพื้น ไม่รอให้พวกนางร้องโหยหวน ต่างคนต่างมีผ้าขี้ริ้วคอยปรนนิบัติ อวี่ชุนหิ้วหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งไปสอบสวนด้วยตนเองที่ฝั่งหนึ่ง ผ่านไปชั่วครู่จึงกลับมาด้วยสีหน้าลำบากใจ 


 


 


“อะไรหรือ?” จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าท่าไม่ดีรำไร บนโลกนี้ยังมีเรื่องที่ลูกน้องของกงอิ้นไม่กล้าจัดการด้วยหรือ? 


 


 


อวี่ชุนเอ่ยว่า “คนเหล่านี้ไม่ใช่คนรับใช้ของจวนผู้ใด แต่เป็นหญิงขายผักธรรมดาๆ แถวตลาดสดนี้ ต่างเอ่ยว่าเมื่อครู่ถูกคนขวางไว้แล้วให้เงินนิดหน่อย แล้วสั่งให้มายังที่นี่ สอนให้เอ่ยวาจาดังกล่าวนี้ ส่วนคนที่ให้เงินเป็นผู้ใด คุณชายนั่นคือผู้ใด ตระกูลนั้นคือตระกูลใด พวกนางไม่รู้ด้วยซ้ำ” 


 


 


“ไม่ยาก” จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะ กล่าวว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เจ้าเฒ่าหน้าขาวเสื้อคลุมยาวคนนั้นกระทำ ย่อมเกี่ยวข้องกับเจ้าของลานบ้านแห่งนี้แน่ นึกว่าหาคนไม่กี่คนตามตลาดมาแล้วจะลบล้างความผิดได้หรือ? หากตามหาคนที่ขายบ้านหลังนี้เจอก็ย่อมรู้ว่าเป็นผู้ใดแล้ว” 


 


 


“ไม่ต้องตามหาก็เดาได้ ในวาจาของฝ่ายตรงข้ามมีช่องโหว่ ทั้งคุณชายป่วยไข้ ทั้งตระกูลขุนนางบริเวณนี้ ทั้งในจวนมีต้นกล้าขี้โรคเลื่องชื่อเอาแต่ตามหาสตรีจวนอื่นมีเพียงจวนเดียว” อวี่ชุนมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เอ่ยขึ้นว่า “จวนเสนากองขุนนางของใต้เท้าจ้าวน่ะสิ” 


 


 


“เช่นนั้นไปพาคนกลับมาเสียสิ” จิ่งเหิงปัวไม่ครุ่นคิดด้วยซ้ำ กล่าวว่า “ข้าไม่ไปเยี่ยมถึงจวนด้วยตนเอง เรียกให้พวกเจ้ามาจัดการแล้ว พวกเจ้าอืดอาดยืดยาดทำอะไรกัน?” 


 


 


“องค์ราชินีของกระหม่อม” อวี่ชุนเอ่ยด้วยท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวด “พระองค์รู้ว่าท่านเสนากองขุนนางคือผู้อาวุโสในหมู่ลูกน้องของราชครูเราใช่หรือไม่” 


 


 


“หา?” จิ่งเหิงปัวตาค้าง 


 


 


เหตุใดถึงเจอกับลูกน้องของเขาตลอดเลย? 


 


 


ทว่ากล่าวอีกแบบหนึ่ง ขณะนี้ทั่วทั้งแว่นแคว้น ส่วนใหญ่ต่างเป็นคนของกงอิ้น อัตราที่เดินวนเวียนมั่วซั่วแล้วจะเจอสักคนสูงเหลือเกิน 


 


 


“ใต้เท้าจ้าวคือผู้อาวุโสสามรัชกาล คือผู้ไว้ใจใกล้ชิดของราชครูท่านก่อน ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสว่าไม่เคยพบมาก่อน ด้วยเพราะช่วงนี้เขาลาป่วยพักอยู่จวนตลอดมา ลาป่วยและไม่ใช่ป่วยไข้ขึ้นมาจริง เพียงกระทำการต่อต้านอย่างนุ่มนวลกับราชครูเท่านั้น” อวี่ชุนเอ่ยสืบต่อว่า “หากเอ่ยว่าเฉิงกูมั่วเป็นตัวแทนของกำลังทางทหารที่สนับสนุนราชครู เช่นนั้นใต้เท้าจ้าวย่อมเป็นตัวแทนของกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นที่สนับสนุนราชครู เพียงแต่ใต้เท้าจ้าวกับเฉิงกูมั่วแตกต่างกัน ใต้เท้าจ้าวมีคุณวุฒิเก่าแก่ ตำแหน่งสูงส่ง ยามราชครูท่านก่อนยังมีชีวิตนั้น เขาก็แก่กะโหลกกะลาขึ้นมามากแล้ว ยามราชครูรับตำแหน่ง แท้จริงแล้วเขาคือผู้แอบคัดค้านอยู่เบื้องหลัง หลังจากราชครูดำรงตำแหน่งมั่นคงจึงถอดถอนตำแหน่งรองเสนาบดีแต่เดิมของเขาแล้วเปลี่ยนเป็นเสนาบดีกองขุนนาง เขาเก็บความเคียดแค้นอยู่ในใจเสมอเช่นกัน ทว่าผู้อาวุโสสามรัชกาลเช่นเขารับหน้าที่ผู้ดูแลการศึกษาของแคว้นมานานหลายปี ขุนนางกว่าครึ่งในราชสำนักส่วนมากเป็นลูกศิษย์ของเขา ซ้ำภายนอกยังมีท่าทางสองมือสะอาดบริสุทธิ์คุณธรรมสูงส่งเสมอ ได้รับความนับหน้าถือตาจากแวดวงปัญญาชนและเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นยิ่งนัก ฉะนั้นแม้รู้แน่ชัดว่าความคิดของเขาไม่บริสุทธิ์ความประพฤติของเขาไม่ดีงาม ภายใต้สภาพการณ์ที่ยังไม่ได้กุมจุดอ่อนจุดใหญ่ไว้ ราชครูก็ไม่สะดวกจะแตะต้องเขา ฉะนั้น…” 


 


 


อวี่ชุนเดาะลิ้น มีวาจาบางประโยคไม่ได้เอ่ยออกมา ระบบบุ๋นบู๊คือเสาเอกของราชครู หากเป็นแต่ก่อน จ้าวซื่อจื๋อกล้าแตะต้องขุนนางหญิงของราชินี จัดการได้ก็จัดการไป ถือโอกาสลงโทษเจ้าผู้ชราที่มีวาจาซ่อนอยู่ในใจความคิดไม่แน่นอนคนนี้สักหน่อยพอดี ทว่ายามนี้ได้ล่วงเกินเฉิงกูมั่วฝ่ายทหารแล้ว ทหารคั่งหลงไม่มั่นคง หากล่วงเกินพรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นอีก เกรงว่าตำแหน่งราชครูจะได้รับผลกระทบ 


 


 


ในฐานะผู้ไว้ใจใกล้ชิดของกงอิ้น อวี่ชุนไม่อยากให้ราชครูสร้างศัตรูในช่วงเวลาที่มีปัญหาเหล่านี้อีก ไม่ว่าอย่างไรต้องรอให้ทหารคั่งหลงมั่นคงแล้วค่อยเอ่ยกันคราวหลัง 


 


 


พอจิ่งเหิงปัวได้ฟังวาจาเช่นนี้แล้วก็รู้สึกได้ทันทีว่าไม่ควรให้พวกอวี่ชุนยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ กงอิ้นจะได้ไม่ลำบาก 


 


 


ทว่าอวี่ชุนคงจะไม่ให้นางไปช่วยเหลือตัวคนเดียวแน่นอน ดังคาดการณ์ นางพลันได้ยินอวี่ชุนเอ่ยว่า “โปรดให้กระหม่อมรายงานราชครูก่อน…” 


 


 


“ได้สิๆ” จิ่งเหิงปัวเหลียวซ้ายแลขวา ฉวยมือชี้ไปยังลานบ้านที่เห็นคันทวยชายคาแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “จวนเสนากองขุนนางอยู่ตรงลานบ้านแห่งนั้นใช่หรือไม่เล่า” 


 


 


“นั่นคือ…” อวี่ชุนกำลังครุ่นคิดว่าเรื่องนี้ควรแอบเคลื่อนไหวช่วยคนก่อนหรือรายงานราชครูก่อน โพล่งปากตอบไปประโยคหนึ่ง จากนั้นตระหนักได้ เอ่ยว่า “นั่นคือกำแพงข้างหลังที่ติดกับจวนราชครูฝ่ายซ้าย…อ้าวคนเล่า!” 


 


 


เขาเบิกตามองกำแพงว่างเปล่าเบื้องหน้า พบอย่างโศกเศร้าว่าองค์ราชินีหนีไปอีกแล้ว 


 


 


“พวกเจ้ากลุ่มนั้นกลับวังไปรายงานนายท่านโดยพลัน” อวี่ชุนเอ่ยเสียงดังว่า “ส่วนพวกเจ้ากลุ่มนี้ตามข้ามา เยี่ยมเยียนจวนเสนาบดีกองขุนนาง!”  

 

 


ตอนที่ 75 - 2 ผู้ชายที่เข้าครัว

 

เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบเข้าสู่จวนเป้าหมายแล้ว 


 


 


นางคงไม่รอให้อวี่ชุนค่อยๆ ตัดสินใจกลับวังรายงาน แล้วรอกงอิ้นตัดสินใจพาคนกลับมาจากตาเฒ่าจ้าวอีกรอบ แม้กงอิ้นจะต้องออกหน้าแน่นอน แต่รอแล้วรอเล่ามากมายขนาดนั้นคงช้าไปไม่ทันการณ์ 


 


 


จวนแบบนี้เข้าไปเพียงนาทีเดียวก็เป็นอันตราย ความบริสุทธิ์ของจื่อหรุ่ยรอไม่ได้ 


 


 


ในเมื่อเสนากองขุนนางมีสถานภาพสุ่มเสี่ยง ไม่อาจล่วงเกินอย่างเปิดเผย เช่นนั้นนางก็ไปแอบลักพาตัวคนออกมา จากนั้นค่อยตอนเขา หรือตอนบุตรชายปัญญาอ่อนคนนั้นของเขาก็พอแล้ว 


 


 


เรือนร่างกะพริบวูบ นางยืนอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตรโหฐานแห่งหนึ่งแล้ว เบื้องหน้ามีพืชพรรณเขียวชอุ่ม ศาลาอาคาร ระเบียงคดเคี้ยวสายธารรินไหล ศาลาแดงคลื่นเขียว รูปแบบเช่นเดียวกันกับตระกูลใหญ่โตทั้งหลาย 


 


 


จิ่งเหิงปัวเข้าไปยังลานบ้านแล้วเพิ่งนึกถึงความลึกลับและซับซ้อนของคฤหาสน์สมัยโบราณ ตามหาคนคนหนึ่งในลานบ้านแบบนี้เป็นเรื่องง่ายเสียที่ไหน? 


 


 


ตำแหน่งที่ตนเองยืนอยู่เหมือนจะเป็นลานด้านหลัง ที่ซึ่งไม่ไกลมีกลิ่นหอมโชยมาเป็นระลอกคล้ายบริเวณนี้มีห้องครัว จิ่งเหิงปัวหลบอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง มองดูเบื้องหน้ามีสาวใช้ที่เดินจับกลุ่มกันผ่านมาบ่อยครั้ง สาวใช้ในจวนนี้เหมือนจะเยอะเป็นพิเศษ นางยืนอยู่ตรงนี้ประมาณเจ็ดนาที มีสาวใช้เดินผ่านไปสิบเจ็ดสิบแปดคนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทุกนางผอมบางอิ่มเอิบ รูปโฉมไม่ธรรมดา 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบด่าว่าเสนากองขุนนางคนนี้เป็นตาเฒ่าหื่นกาม มีสาวใช้งดงามมากมายขนาดนี้ยังอยากลักพาตัวจื่อหรุ่ยไปอีก 


 


 


สาวใช้หลายนางเดินผ่านเบื้องหน้านาง เสียงหัวเราะราวกระพรวนเงิน 


 


 


“วันนี้นายท่านอยากเข้าครัวด้วยตนเองขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป วันพักอาบหายากวันหนึ่ง ไม่พักผ่อนให้เต็มที่ ยังอยากจัดการเรื่องของสตรีเช่นนี้” 


 


 


“นั่นสิ เขาไม่ได้เข้าครัวด้วยตนเองมาตั้งนานหลายปีแล้วสินะ ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดพลันนึกขึ้นมาได้ เอ่ยว่าอยากจะฝึกปรือฝีมือการปรุงอาหารสักหน่อย” 


 


 


“ก็ไม่รู้ว่าวันนี้ผู้ใดมีวาสนากินจานทดลองของเขา” 


 


 


“เหล่าพี่หญิงน้องหญิงไม่สู้พวกเรามาเดิมพันกันสักหน่อยดีหรือไม่” 


 


 


“เหอะๆ ช่างเถิด เหล่าแม่นาง อย่ามัวแต่เอ่ยวาจาอยู่ตรงนี้เลย นายท่านเป็นคนอย่างไรพวกเจ้าก็ไม่รู้หรือ? พวกเจ้านึกว่าจะมีผู้ใดได้กินอาหารที่เขาทำด้วยมือตนเองจริงๆ หรือ ขอเตือนพวกเจ้าสักหน่อย เพ้อฝันให้มันน้อยๆ หน่อย ต่อให้เขายื่นจานมาข้างปากเจ้า ไม่แน่ว่าเจ้าก็ไม่อาจได้กินจริง เชื่อหรือไม่เล่า?” 


 


 


พอวาจานี้ออกมา ทุกคนต่างงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ต่อมาก็มีผู้แค่นเสียงอย่างโกรธเคือง หลังจากนั้นไม่มีผู้ใดสนใจจะเอ่ยวาจาอีก รีบร้อนเดินจากไป 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบออกมาจากหลังต้นไม้ คล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง 


 


 


ใช่แล้ว กินข้าว 


 


 


กินข้าวเป็นเรื่องสำคัญ จื่อหรุ่ยต้องกินข้าวเหมือนกัน ถ้าเขาอยากใช้กำลัง ไม่แน่ว่ายังต้องวางยาอะไรนั่นสักหน่อย ในนิยายโรแมนติกน้ำเน่าก็เขียนไว้แบบนี้ทั้งนั้น 


 


 


วันนี้ที่เจ้านายของจวนนี้เข้าครัวด้วยตนเอง ก็เพราะต้องการเอาใจหรือลงมือกับจื่อหรุ่ยหรือเปล่านะ? 


 


 


ไม่ว่าอย่างไร ห้องครัวก็เป็นสถานที่ดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง ถ้วยชามหม้อกระทะมากมาย ฉวยโอกาสบังคับขึ้นมาสักอันก็เอามาเขวี้ยง ทุบตีเจ้านายจวนนี้จนล้มลงได้แล้ว ค่อยให้เขามอบจื่อหรุ่ยออกมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ? 


 


 


จิ่งเหิงปัวจำแนกทิศทางแหล่งที่มาของกลิ่นหอมนั้นจนชัดเจน เรือนร่างพลันกะพริบวูบหายไปแล้ว 


 


 


พริบตาต่อมานางยืนอยู่หน้าห้องกระเบื้องครามห้องใหญ่สามห้อง ที่นี่คือห้องครัวของจวนแห่งนี้ 


 


 


ในลานบ้านมีคนไม่น้อยกำลังล้างพืชเก็บผักตักน้ำ มองเห็นได้อย่างรำไรว่าในห้องก็มีคนไม่น้อย 


 


 


ในห้องครัวมีไอร้อนลอยล่อง แทบจะมองไม่เห็นคน จิ่งเหิงปัวกะพริบกายอีกครั้งเข้าไปในห้องครัวเสียแล้ว 


 


 


ในไอหมอกอบอวลทุกผู้คนต่างกำลังก้มหน้ากระทำเรื่องของตนเอง ไม่มีใครพบว่ามีคนเข้ามาแล้ว 


 


 


ห้องภายในแว่วเสียงฉับๆๆ คล้ายมีคนกำลังหันผัก ฟังแล้วเห็นได้ว่าฝีมือในการใช้มีดช่ำชอง 


 


 


จิ่งเหิงปัวเดินเข้าไป มองเห็นห้องภายในห้องครัวมีคนเพียงคนเดียวกำลังหันหลังหั่นต้นหอมให้นาง เขาสวมชุดคลุมยาวเบาบางชุดหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่สง่างาม เอวบางไหล่กว้าง ถลกแขนเสื้อขึ้นผุดเผยแขนที่มีทรวดทรงแจ่มชัดคู่หนึ่ง กระดูกข้อมือประณีตงดงามนิ้วมือเรียวยาวขาวบริสุทธิ์ เงามีดในมือทอดยาวด้วยแสงวิบวับสีขาวผืนหนึ่ง ระดับความหนักเบาสม่ำเสมอ ท่วงท่างดงามทรงพลัง 


 


 


จิ่งเหิงปัวอดจะพิงขอบประตูจ้องมองเพิ่มสักแวบหนึ่งไม่ได้ 


 


 


ผู้ชายคนนี้รูปร่างดีจังเลย 


 


 


นึกไม่ถึงว่าท่วงท่าเวลาที่ผู้ชายหั่นผักในห้องครัวจะงดงามขนาดนี้ ซ้ำยัง…เซ็กซี่อีกด้วย 


 


 


นางเหม่อลอยเล็กน้อย คิดว่าถ้ากงอิ้นยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัวจะมีท่าทางแบบไหนกันนะ? จะงดงามเซ็กซี่เสียยิ่งกว่าเขาหรือไม่ หรือว่าจะมีท่าทางเหมือนเทพเซียนพลันร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ใบหน้าทิ่มพื้นดิน? 


 


 


อืม น่าจะเป็นแบบหลัง 


 


 


มองดูเงาด้านหลังแข็งแรงงดงามของคนคนนี้ ผมยาวบนแผ่นหลังดำประกายปานสายธารหลั่งริน นางรู้สึกได้ทันทีว่าแผนดั้งเดิมที่คิดจะใช้อ่างทองแดงที่มีเนื้อบดอยู่เต็มอ่างอ่างหนึ่งทุ่มลงบนศีรษะเขาเหมือนจะโหดร้ายเกินไปนิดหน่อย 


 


 


ถ้าเช่นนั้นใช้น้ำร้อนอ่างนั้นที่อยู่ด้านข้างดีหรือไม่? 


 


 


เหมือนจะโหดร้ายเกินไปหน่อยเช่นกัน 


 


 


ถ้าอย่างนั้นหากใช้มีดเล่มนั้นทางโน้นเล่า…ช่างมันเถอะ 


 


 


ถ้าอย่างนั้นใช้ฝาหม้อฝานั้นทางโน้นอีกดีไหมนะ…สงสัยว่าตนเองจะขยับได้ไหมเท่านั้นล่ะ 


 


 


ถ้าอย่างนั้นหรือจะใช้หม้อกระถางทางโน้นของทางโน้นอีก…นั่นจะเสียงดังเกินไปหรือเปล่า? 


 


 


จิ่งเหิงปัวผู้ไม่ใจแข็งพอที่จะทำลายสิ่งงดงามมาตั้งแต่เกิด ลังเลสองจิตสองใจยากจะลงมือ ยังคิดด้วยซ้ำว่าเจ้านายจวนนี้หน้าตาไม่เลวเลย หากชอบจื่อหรุ่ยจริง หลังจากนั้นค่อยขอขมา กล่าวไปกล่าวมา อาจจะได้ช่วยคู่บุพเพสันนิวาสคู่หนึ่งให้สมหวังก็ไม่อาจรู้ได้? 


 


 


ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น บุรุษผู้นั้นพลันเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “คงพอได้แล้ว” แล้วพึมพำอีกประโยคว่า “ทำไปนางก็ไม่ได้กิน…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกำลังคิดว่าเหตุใดเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นหูนัก บุรุษผู้นั้นเปิดฝาหม้อออกแล้ว กลิ่นหอมกรุ่นหอบหนึ่งพวยพุ่งเตะจมูก จิ่งเหิงปัวที่เมื่อเช้าทานข้าวมาไม่มาก ก็พลันได้ยินเสียงท้องของตนเองร้อง จ๊อก! ออกมาดังก้อง 


 


 


ซวยแล้ว! 


 


 


เรือนร่างของบุรุษหยุดชะงัก หันหน้ากลับมาโดยพลัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ลังเลอีกต่อไป ใช้ความคิดบังคับน้ำร้อนอ่างหนึ่งที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุดขึ้นแล้วคว่ำลง! 


 


 


ชั่วพริบตาที่อ่างคว่ำลงนั้น นางก็มองเห็นบุรุษผู้นั้นยังไม่ได้หันหน้ากลับมาโดยสมบูรณ์ แขนก็พลันแกว่งไปข้างหลังเพียงครั้ง สายลมรุนแรงหอบหนึ่งพุ่งเข้ามา 


 


 


โคตรซวย! 


 


 


ซ่า! 


 


 


น้ำร้อนอ่างหนึ่งคว่ำกลางศีรษะราดลงบนร่างของนาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา งงเป็นไก่ตาแตก 


 


 


แม่งเอ้ย! ไอ้หมอนั่นมันจะรู้สึกตัวเร็วเกินไปแล้ว คนยังไม่ทันได้พลิกฝ่ามือลมก็ผลักเข้ามา ผลักอ่างคว่ำลงบนศีรษะนางเสียได้! 


 


 


ตอนนี้นางดีอกดีใจเหลือเกินว่า โชคดีที่น้ำนี้ไม่ได้ร้อนเหมือนในจินตนาการขนาดนั้น! 


 


 


น้ำที่เปียกชุ่มทั้งหน้าทั้งร่าง นางร่นถอยไปพลางเร่งรีบพิงไปข้างหนึ่งคว้าของอะไรก็ได้ข้างกายมาปกป้องตนเองไปพลาง ไม่ทันได้มองให้ชัดเจนว่าฝั่งตรงข้ามคือใคร 


 


 


แต่ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง เอ่ยอย่างชะงักเล็กน้อยว่า “นี่ เจ้ายังตามมากินจริงด้วยหรือ?” 


 


 


ชะงักไปชั่วครู่ มองดูสภาพของนาง คล้ายจะเข้าใจอะไรได้ขึ้นมา ในเสียงมีความหยอกล้อเพิ่มเข้ามาด้วย เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าซาบซึ้งยิ่งนักที่ข้าเข้าครัวด้วยตนเองเพื่อเจ้า ทว่าคล้ายจะไม่ต้องถึงกับอาบน้ำพรมเครื่องหอมกระมัง?” 


 


 


พอจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงนี้ มีดหั่นผักในมือก็เกือบจะร่วงลงใส่เท้า 


 


 


ไอ้! เวร! เอ้ย! 


 


 


เป็นเหยียลี่ว์ฉีจริงด้วย 


 


 


เหตุใดนางถึงวิ่งมาจวนเขาได้เนี่ย? 


 


 


คราวนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งนึกได้ว่าจวนของเหยียลี่ว์ฉีเหมือนจะอยู่ในตรอกซีเกอเช่นกัน เพียงแต่นางไม่เคยมา จวนตระกูลเหยียลี่ว์น่าจะติดกับจวนของเสนากองขุนนางท่านนั้น 


 


 


“เหอะๆ ขออภัยด้วยนะ ข้ามาผิดจวนแล้ว สวัสดีอรุณสวัสดิ์ขอโทษลาก่อน” นางเช็ดน้ำบนใบหน้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหลังจากไป 


 


 


แต่คอเสื้อกลับถูกเขาคว้าไว้ดังคาดการณ์ 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจอยู่ในใจ ก่อนจะหันหลังกลับมา แบมือออกแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด ข้าก็เดินมาตกหลุมพรางร่วงสู่เงื้อมมือเจ้าเองนี่นะ หากจะฆ่าจะแกงจะเฉือนก็เชิญตามสบาย” 


 


 


“จริงหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีคล้ายอารมณ์ดียิ่งนัก น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความสุข เอ่ยขึ้นว่า “ตรงนี้ข้ายังขาดโฉมงามนึ่งไอน้ำจานหนึ่ง นึ่งเจ้ากินดีหรือไม่?” 


 


 


“เนื้อหนังอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมเตะจมูก รสชาติน่าจะไม่เลว” จิ่งเหิงปัวแนะนำว่า “เพิ่มไอ้โง่เหยียลี่ว์เข้าไปหน่อย…โอ้ไม่สิ ซอสซาฉา[1]เหยียลี่ว์คงยิ่งสมบูรณ์พร้อมแล้ว” 


 


 


“สิ่งใดเรียกว่าซอสซาซาเหยียลี่ว์?” 


 


 


“ทำจากกล้ามเนื้อเส้นเอ็นของเหยียลี่ว์ฉีสามจิน สับละเอียดผสมกับเต้าเจี้ยวนึ่งสามครั้ง ตากแดดสามครา” แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องฝีปากจิ่งเหิงปัวไม่ยอมเสียเปรียบผู้ใด 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างหลังกำลังหัวเราะ เสียงทุ้มต่ำราวมีเสียงก้องร่วม ดั่งเสียงไวโอลินที่มีท่วงทำนองเสียงสมบูรณ์พร้อมตัวหนึ่งเสียดสีเวียนวน เขาคล้ายแนบชิดเข้ามายิ่งนัก นางรู้สึกได้ว่าแผ่นอกกว้างของเขาเกือบจะแนบชิดเข้ากับแผ่นหลังของนาง สั่นไหวเล็กน้อย ผิวกายร้อนผ่าว 


 


 


จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเฮือก…อา อย่าหัวเราะแบบนี้ได้หรือไม่ นางแพ้เสียง! 


 


 


“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเกลียดข้าถึงขนาดแทบอยากจะกินเนื้อข้านอนหนังข้าเพียงนี้?” เสียงเขาเจือด้วยเสียงหัวเราะ เอ่ยว่า “เช่นนั้นนั่งลงกินเถิด” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีอ้อมมาเบื้องหน้านาง ยกน้ำแกงข้นไหหนึ่งมาตรงหน้านาง หอมกรุ่นจนนางวิงเวียนศีรษะ 


 


 


“น้ำแกงไก่น้ำแกงกระดูกรองพื้น ใส่สุราชุ่ยเยี่ยเลื่องชื่อเข้าไปพอเหมาะ แล้วใส่เนื้อไก่เนื้อเป็ดเนื้อแพะกระเพาะหมูไข่นกพิราบ รวมทั้งวัตถุดิบทะเลขึ้นชื่อจากโพ้นทะเลสิบกว่าชนิดไปด้วย ตุ๋นด้วยไฟอ่อนตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงยามนี้ถึงเสร็จสิ้น” รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉีพาให้คนวิงเวียนศีรษะดั่งอาหารเลิศรสไหนี้ เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าไม่ได้ทำมานานหลายปีนักแล้ว บัดนี้ลองทำดูนับว่าไม่เลว มีดคู่ใจยังไม่ขึ้นสนิม” เขาหยิบกระบอกตะเกียบมา บอกใบ้จิ่งเหิงปัวหยิบไปคู่หนึ่ง จากนั้นตนเองฉวยมือเลือกมาคู่หนึ่ง ตักปลิงทะเลชิ้นหนึ่งในไหขึ้นมากินก่อน แสดงความนัยว่าไม่มีพิษ จากนั้นถอยให้จิ่งเหิงปัวด้วยท่วงท่าสง่างาม 


 


 


จิ่งเหิงปัวควบคุมอาหารกินน้อยมาเป็นเวลานาน แท้จริงแล้วพลังต่อต้านอาหารรสเลิศต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ดูท่าทางเลือกตะเกียบคู่หนึ่งอย่างสนอกสนใจยิ่งนัก 


 


 


สายตาของเหยียลี่ว์ฉีกวาดผ่านบนร่างจิ่งเหิงปัว รอยยิ้มยิ่งลึกล้ำยิ่งใคร่ครวญ…น้ำร้อนอ่างหนึ่งราดศีรษะ พาให้อาภรณ์ของสตรีห่อหุ้มแนบแน่นบนเรือนร่าง สิ่งที่เรียกว่าความงดงามของทรวดทรงอยู่ในยามนี้นี่เอง ซ้ำสตรีเลินเล่อนางนี้ยังไม่รู้สึกตัว สะบัดอาภรณ์ตามอำเภอใจ สะบัดเพียงครั้งย่อมเป็นรอยคลื่นยั่วยวนรอยหนึ่ง งดงามสบายตาโดยแท้ 


 


 


เพียงเห็นฉากหนึ่งนี้ การเข้าครัวที่เพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ครานี้ในวันนี้ย่อมมิได้เสียแรงเปล่า 


 


 


  


 


 


 


 


 


[1] ซอสซาฉา เป็นซอสสีน้ำตาลอ่อน ทำจากกระเทียม หัวหอม ถั่วลิสง เป็นต้น รสชาติค่อนข้างเค็ม เจือหวานเจือเผ็ดเล็กน้อย คล้ายซอสสะเต๊ะ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม