วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 733-739

ตอนที่ 733 ถังหนิงต้องการให้เธอปกป้อง...

 

ผลปรากฏว่าหลงเจี่ยตั้งครรภ์ได้กว่าสองเดือนแล้ว!


 


 


นี่อาจเป็นข่าวดีที่สุดที่ถังหนิงได้รับในช่วงพักหลังมานี้ เมื่อคิดว่าทั้งหลงเจี่ยและลู่เช่อต่างปรารถนาที่จะมีลูกด้วยกันมานานแสนนาน หัวใจของถังหนิงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติ


 


 


หลงเจี่ยยกเลิกงานทั้งหมดในมือและกลับไปอยู่บ้านเพื่อดูแลครรภ์และเตรียมคลอดลูก ขณะเดียวกัน ทันทีที่แม่ของลู่เช่อได้รับข่าวดี เธอก็บินตรงมายังปักกิ่งด้วยความตั้งใจที่จะมาดูแลหลงเจี่ยในระยะยาว


 


 


โดยในเวลานี้ ลูกๆ ของถังหนิงกับโม่ถิงมีอายุได้เกือบหกสิบวันแล้ว


 


 


ขณะที่เธอมองดูลูกผมที่ปรากฏบนศีรษะของเด็กทั้งสอง ถังหนิงเอื้อมมือของเธอไปลูบศีรษะของแฝดผู้พี่


 


 


เดิมทีโม่ถิงต้องการให้เด็กทั้งสองเริ่มหย่านม เพราะถังหนิงจำเป็นต้องกลับไปถ่ายทำ แต่ถังหนิงปฏิเสธ “เด็กๆ ยังต้องการนมแม่เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิต้านทาน พวกเขาเป็นลูกของเรานะ ฉันจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพวกเขา”


 


 


“ลูกชายทั้งสองคนของผมไม่ได้อ่อนแอแบบนั้นหรอกนะ…”


 


 


“ฉันมีน้ำนม แล้วทำไมฉันถึงให้พวกเขาไม่ได้ ต่อให้ตอนที่ฉันกลับเข้าวงการไปแล้วและถ่ายทำโฆษณาในช่วงเวลาหนึ่งเดือน ฉันก็ยังสามารถปั๊มนมให้พวกเขากินได้ตอนที่ฉันไม่อยู่ แบบนี้พวกเขาจะได้ไม่ขาดสารอาหาร” ถังหนิงตอบพร้อมรอยยิ้ม


 


 


โม่ถิงหมดหนทางเมื่ออยู่กับถังหนิง เขาทำได้เพียงดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “เจ้าเด็กแสบสองคนนี้ได้แต่ประโยชน์จริงๆ นะเนี่ย!”


 


 


“นี่ นั่นลูกคุณนะ!” ถังหนิงกล่าวพลางทุบไปที่แผ่นอกของโม่ถิง “อีกอย่าง มีใครบางคนคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ถึงได้มาแอบขโมยอาหารของลูกชายตัวเองตอนกลางดึก…”


 


 


โม่ถิงไม่เถียงพลางอุ้มถังหนิงไว้ในอ้อมแขน “พวกเขาไม่กล้าบ่นหรอก!”


 


 



 


 


ขณะที่เฉินซิงเยียนตอบรับคำเชิญไปร่วมรายการวาไรตี้โชว์สองสามรายการ ตอนนี้เธอได้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างแล้ว แน่นอนว่าเหตุผลที่เส้นทางของเธอราบรื่นขึ้นมากนั้นมีส่วนมาจากที่ความจริงที่เธอเป็นน้องสาวของโม่ถิง


 


 


ต่อให้ถ้ามีใครอยากจะสร้างความยุ่งยากให้เธอ คนพวกนั้นจะต้องคิดก่อนว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะต่อกรกับโม่ถิงหรือเปล่า ถึงแม้โม่ถิงจะไม่เคยออกมายอมรับเฉินซิงเยียนต่อสาธารณะ แต่เขาก็ไม่เคยออกมาปฏิเสธเช่นกัน


 


 


ตารางถ่ายรายการวาไรตี้ของเฉินซิงเยียนในวันนี้เป็นรายการทอล์กโชว์เพราะรูปแบบการสัมภาษณ์แบบใหม่ในรายการแนวนี้กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก


 


 


เฉินซิงเยียนเป็นหนึ่งในแขกที่ได้รับเชิญมาร่วมรายการ


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่ได้เดินทางไปที่รายการเป็นเพื่อนเฉินซิงเยียนเพราะตอนนี้เธอมีผู้ช่วยของตัวเองแล้ว ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอร่วมงานแนวนี้ อันจื่อเฮ่าจะให้เธอได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาได้อย่างอิสระ


 


 


ที่ด้านหลังเวที เฉินซิงเยียนใช้ห้องพักร่วมกับแขกที่ได้รับเชิญคนอื่นๆ เนื่องจากทั้งหมดมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ แขกคนอื่นๆ จึงเข้ามากล่าวคำทักทาย แต่เฉินซิงเยียนไม่รู้สึกคุ้นเคยกับคนพวกนี้เลยแม้แต่น้อย


 


 


เมื่อเห็นท่าทีไร้อารมณ์ของเฉินซิงเยียน แขกคนอื่นๆ ก็ดึงมือของตัวเองกลับอย่างกระอักกระอ่วนและเริ่มพูดคุยกันเองอยู่ด้านข้าง “ฉันอยากจะรู้จริงว่าต้องทำบุญมากี่ชาติได้ถึงเกิดมาเป็นน้องสาวของโม่ถิงแบบนี้”


 


 


“เป็นน้องสาวโม่ถิงแล้วไงเหรอ ดูอย่างถังหนิงสิ ต่อให้มีโม่ถิงเป็นผู้จัดการส่วนตัว พวกเธอไม่เห็นเหรอว่าถังหนิงกลายเป็นพวกตกยุคไปแล้วตั้งแต่คลอดลูกน่ะ”


 


 


“ถังหนิงเป็นภรรยาของตระกูลร่ำรวยมีชื่อเสียงในสังคม ทำไมต้องมาแคร์เรื่องชื่อเสียงด้วยล่ะ”


 


 


“อย่าลืมสิ ในวงการนี้เป็นเรื่องของชื่อเสียงและโชคเท่านั้นนะ ในเวลาไม่กี่ปี พอถังหนิงแก่แล้วก็ไม่สวยอีกต่อไป มาดูอีกทีเธอก็ไม่ต่างอะไรกับแม่บ้านน่าสงสารธรรมดาคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ”


 


 


“ถูกของเธอ ตอนนี้ถังหนิงคลอดลูกแล้ว รอยแตกที่ท้องน่าจะลึกมากจนฆ่ายุงได้เลย เห็นว่าไห่รุ่ยปฏิเสธงานโฆษณาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กไปหลายเจ้า ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังไม่ยอมรับความจริงอยู่หรือไง”


 


 


“ถังหนิงคิดว่าตัวเองฝืนธรรมชาติได้หรือไงนะ ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก ทันทีที่ผู้ชายมีลูก เขาก็จะเริ่มหมดความสนใจในตัวผู้หญิงคนนั้น รอดูเถอะ ไม่ว่าคู่รักในวงการบันเทิงคู่นั้นจะรักกันมาแค่ไหน พวกเขาก็จะจบด้วยการนอกใจอีกฝ่ายอยู่ดี”


 


 


เดิมทีเฉินซิงเยียนตั้งใจจะไม่ใส่ใจผู้หญิงทั้งสอง แต่ยัยสองคนนั้นยังคงเอาแต่นินทาลับหลังเธอ


 


 


ท้ายที่สุดเธอไม่อาจทนได้อีกต่อไป “รอให้ตัวเองก้าวไปถึงจุดเดียวกับถังหนิงได้ก่อนเถอะค่อยมาบอกว่าถังหนิงตกยุค พวกเธอยังไม่แม้แต่จะอยู่ในจุดที่มีโอกาสนั้นด้วยซ้ำ”


 


 


ผู้หญิงสองคนนั้นหันมามองหน้าเฉินซิงเยียน จากนั้นทั้งสองกลอกตาไปมาและทำเสียงเยาะเย้ย


 


 


คนพวกนี้กลังพูดว่าร่างกายของถังหนิงลงพุงแล้วกลายเป็นพวกตกยุคงั้นเหรอ


 


 


เฉินซิงเยียนเพิ่งจะพบกับถังหนิงเมื่อไม่นานมานี้และถังหนิงดูสวยยิ่งกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ ผู้หญิงพวกนี้กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้


 


 


กระนั้นในวงการก็กำลังลือกันว่าถังหนิงไม่ยอมรับความจริง


 


 


จะเป็นไปได้ยังไงที่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะยังคิดว่าตัวเองยังสาวและสวยอยู่หลังจากคลอดลูกแล้ว


 


 


“เธอคิดว่าถ้าตัวเองไม่ใช่น้องสาวของโม่ถิงแล้วจะยังมีที่ให้เธอยืนอยู่อย่างทุกวันนี้เหรอ เธอมันก็แค่สตันต์ คิดว่าตัวเองมีค่านักหรือไง”


 


 


ผู้ช่วยของเฉินซิงเยียนนั้นเป็นคนมีความสามารถแต่ไม่เก่งเรื่องการต่อปากต่อคำ โดยเฉพาะกับสถานการณ์แบบที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าในตอนนี้ ดังนั้นเฉินซิงเยียนจึงรู้สึกว่าเธอไร้ที่พึ่ง


 


 


ขณะนั้นเอง อันจื่อเฮ่าปรากฏตัวขึ้นที่หน้าทางเข้าของห้องพักและกล่าวกับผู้หญิงเหล่านั้น “ในเมื่อพวกคุณรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นน้องสาวของโม่ถิง ก็ควรจะรักษาระยะห่างเอาไว้ไม่ใช่เหรอ”


 


 


เฉินซิงเยียนหันกลับไปมอง ทันทีที่เธอรู้ว่าคนคนนั้นคือผู้ชายของเธอ หัวใจเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย


 


 


“พวกคุณอยากรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิลปินคนล่าสุดที่มาหาเรื่องเฉินซิงเยียน”


 


 


ผู้หญิงทั้งสองเห็นชัดว่ารู้สึกหวาดกลัวขณะเก็บข้าวของของตัวเองและรีบเดินจ้ำอ้าวไปยังห้องพักห้องอื่น


 


 


“ฉันเข้าใจว่านายไม่มาไม่ใช่เหรอ”


 


 


“เธอคิดว่าฉันจะไว้ใจให้เป็นแบบนั้นได้หรือไง” อันจื่อเฮ่าถามพลางเอามือกอดอก


 


 


เฉินซิงเยียนยิ้มหวานพลางต่อยไปที่แขนของอีกฝ่าย “ฉันรู้อยู่แล้วว่านายรักฉันที่สุด ตอนแรกฉันก็ไม่ได้อยากจะมีน้ำโหหรอกนะ แต่ปากผู้หญิงสองคนนั้นน่าจะถูกเย็บปิดไปซะ พวกนั้นบอกว่าพี่หนิงแก่แล้วท้องก็เต็มไปด้วยรอยแตกลาย ฉันทนไม่ได้ก็เลยพูดอะไรไปนิดหน่อย”


 


 


“ถังหนิงต้องการให้เธอมาปกป้องหรือไง” อันจื่อเฮ่าส่ายหน้า “ถังหนิงเจออะไรแบบนี้มาเยอะและรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีกว่าเธอมาก หยุดกอดได้แล้ว ถ้ามีใครมาเห็นเข้า ข่าวจะเอาพวกเราไปพูดเสียๆ หายๆ”


 


 


“ฉันไม่ได้ดังขนาดนั้นหรอกน่า!”


 


 


“แต่เธอเป็นน้องสาวของโม่ถิง!”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น เฉินซิงเยียนก็รู้สึกไม่พอใจ แม้เธอจะรู้ว่ามันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เพราะเรื่องมีปากเสียงในคืนนี้ เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเธอได้สร้างอันตรายให้ตัวเองไว้มากแค่ไหน หากผู้หญิงพวกนั้นไม่ชอบขี้หน้าเธอและต้องการจะเล่นแง่กับเธอ คนพวกนั้นก็มีวิธีมากมายทีเดียว


 


 


ต่อให้เธอเป็นน้องสาวของโม่ถิงก็ตาม!


 


 


ไม่นานจากนั้นเฉินซิงเยียนเดินเข้าไปภายในห้องสตูดิโอที่ใช้ถ่ายรายการ เนื่องจากเธออยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เด็ก เธอจึงปรับตัวเข้ากับสถานการณ์แบบนี้ได้ดีกว่าศิลปินหน้าใหม่คนอื่น แต่เพราะเหตุนี้ทำให้แขกคนอื่นๆ กลับพากันไม่ชอบเธอยิ่งกว่าเดิม


 


 


เวลาสี่ทุ่มตรง ในที่สุดเฉินซิงเยียนก็ถ่ายรายการเสร็จ ผู้ช่วยของเธอยื่นเสื้อแจ็กเกตให้ขณะที่เธอเตรียมตัวไปพบอันจื่อเฮ่าที่อยู่ด้านนอก กระนั้นเมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ บางคนกลับขังเธอไว้ในห้อง ซ้ำร้าย คนพวกนั้นยังเทน้ำเน่าใส่เธออีกด้วย…


 


 


คราวนี้เฉินซิงเยียนหลบไม่พ้นและไม่อาจเปิดประตูออกมาได้ เธอทำได้เพียงโทรหาผู้ช่วยของตัวเอง


 


 


ทันทีที่ผู้ช่วยของเธอได้รับการติดต่อ เธอรีบวิ่งไปหาอันจื่อเฮ่าและอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟัง


 


 


“หาร้านเสื้อผ้าที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วซื้อเสื้อผ้าใหม่มาชุดหนึ่ง”


 


 


“ได้ค่ะคุณอัน”


 


 


หลังจากนั้น อันจื่อเฮ่าวิ่งโครมครามเข้าไปในห้องน้ำหญิงก่อนจะพังประตูและอุ้มเฉินซิงเยียนออกมา จากนั้นเขาจึงพาเธอไปล้างตัวที่อ่างล้างหน้า


 


 


“เจออะไรอย่างนี้แล้วทำไมเธอถึงไม่รู้จักเรียนรู้สักทีนะ


 


 


ถ้าเธอไม่ได้ฉลาดหรือมองการณ์ไกลเท่าถังหนิงก็อย่าเที่ยวไปหาเรื่องคนอื่นเขาสิ!” อันจื่อเฮ่าโกรธมากจนดวงตาทั้งสองข้างของเขารุกโชตไปด้วยความโกรธ “เธออยากให้ฉันอยู่ในสภาพที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาหรือไง” 

 

 


ตอนที่ 734 ท่านประธานโม่นี่รักภรรยาขอ...

 

เหตุการณ์ในวันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเฉินซิงเยียน เธอเคยมีประสบการณ์แบบนี้กับแอนนี่มาก่อน…


 


 


เมื่อนึกย้อนถึงความทรงจำอันไม่น่าอภิรมย์นัก เฉินซิงเยียนกอดตัวเองแน่นและยอมให้อันจื่อเฮ่าช่วยล้างตัวของเธอ ไม่นานนักผู้ช่วยของเธอกลับมาพร้อมชุดเสื้อผ้าสะอาดและทั้งสามใช้เวลากว่าสี่สิบนาทีอยู่ในห้องน้ำ กระนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่อาจชำระล้างกลิ่นเหม็นรุนแรงออกจากร่างกายของเฉินซิงเยียนได้


 


 


ในฐานะศิลปินที่ไม่ระมัดระวังตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ หากใครสักคนแค่คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ถังหนิงเคยประสบพบเจอมาแล้วละก็ เห็นได้ชัดว่าวงการบันเทิงนั้นเป็นสถานที่ที่คนจะยกคนที่อยู่ในระดับสูงและเหยียบย่ำคนที่ต่ำ และมันเป็นแบบนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง


 


 


เฉินซิงเยียนเคยตกหลุมพรางมาแล้วมากมายตั้งแต่ในอดีต แต่กระนั้นเธอก็ยังต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้อีก คงไม่อาจมีใครว่าโทษอันจื่อเฮ่าที่รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อยเพราะเฉินซิงเยียนเรียนรู้อะไรช้าเหลือเกิน


 


 


หลังกลับมาถึงบ้าน เฉินซิงเยียนก็ขังตัวเองอยู่ในห้องอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายของเธออยู่นานกว่าสี่ชั่วโมง ในระหว่างนั้น อันจื่อเฮ่าได้ติดต่อไปยังทีมโปรดิวเซอร์ของรายการทอล์กโชว์ดังกล่าวและเตือนให้พวกเขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับรวมทั้งขอให้พวกเขาหาตัวคนผิดมาให้ได้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดแต่ยากที่จะทำได้


 


 


กว่าเฉินซิงเยียนจะออกมาจากห้องอาบน้ำ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงตีสามแล้ว เมื่อเห็นอันจื่อเฮ่ากำลังรอเธออยู่ในห้องนั่งเล่น เธอได้แต่เดินก้มหน้าไปหาอีกฝ่าย


 


 


ภายใต้ความมืด อันจื่อเฮ่าโอบแขนข้างหนึ่งรอบเอวของเฉินซิงเยียนและดึงเธอลงมานั่งบนตักของเขา ทั้งคู่มองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน แต่เธอซิงเยียนกลับรู้สึกไม่มีความสุข “ฉันไม่คิดว่าฉันจะสามารถเป็นคนเจ้าวางแผนได้อย่างพี่หนิง มันเหนื่อยเกินไป ฉันคิดว่าฉันไม่เหมาะกับวงการนี้จริงๆ นั่นแหละ”


 


 


“ตอนนี้ลืมเรื่องพวกนั้นไปก่อนเถอะ…” อันจื่อเฮ่าถอนหายใจพลางบีบจมูกของอีกฝ่าย


 


 


ในเมื่อเฉินซิงเยียนไม่อาจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและปกป้องตัวเองได้ งั้นเขาก็ควรจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องเธอ


 


 


เขาตระหนักได้ว่าเขาได้บีบบังคับให้หลายคนทำในสิ่งที่เกินความสามารถของคนเหล่านั้น “ถ้าเธอรู้สึกว่าเธอไม่ชอบการแสดงอีกแล้วจริงๆ แล้วเธอก็ไม่อยากวิ่งหางานตลอดเวลาอีก ตั้งแต่นี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องทำแล้วล่ะ”


 


 


“จริงเหรอ”


 


 


“ใครบอกให้เธอทำให้ฉันกังวลกันล่ะ” อันจื่อเฮ่าถามอย่างหมดหนทาง


 


 


เฉินซิงเยียนนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งขณะที่เธอเริ่มตระหนักได้ว่าเธอไม่ได้ทุ่มเทอะไรให้กับความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากนัก


 


 


เธอปฏิเสธที่จะทำสิ่งนั้นหรือเปลี่ยนสิ่งนี้ ดูเหมือนอันจื่อเฮ่ามักจะต้องคอยเตรียมสิ่งต่างๆ ให้เธออยู่เสมอ…


 


 


“ฉันจะทนดูอีกสักหน่อย ถ้าฉันรับมันไม่ไหวอีกต่อไป ฉันจะบอกนายนะ”


 


 


แต่เฉินซิงเยียนไม่รู้เลยว่าข่าวเรื่องที่ ‘น้องสาวของโม่ถิงเปื้อนอึไปทั้งตัว’ จะแพร่ไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่าในวันถัดมา


 


 


ชื่อของ ‘เฉินซิงเยียน’ ไม่ได้สำคัญนึก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่เธอเป็นน้องสาวของโม่ถิง


 


 


[ยัยสตันต์กระจอกนั่นเคยเป็นข่าวว่าถูกบังคับให้กินฉี่นี่ คราวนี้บางคนเอาอึไปเทให้เธอ ดูท่าชะตาชีวิตของเธอน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับของพรรค์นี้สินะ]


 


 


[ฮะๆๆ ฉันว่าก็งั้นแหละ]


 


 


[น้องสาวของโม่ถิงดูไม่เห็นทำอะไรเก่งสักอย่างเลย]


 


 


[เทียบกับคู่โม่ถิงถังหนิงแล้ว ยังห่างไกลอีกเยอะ]


 


 


โม่ถิงไม่คาดว่าเฉินซิงเยียนจะสร้างข่าวแบบนี้ขึ้นมา ดูเหมือนทุกครั้งที่เธอกลายเป็นพาดหัวข่าว จะต้องเป็นเรื่องที่เธอถูกรังแกเสมอ ดังนั้นโม่ถิงจึงเริ่มรู้สึกว่าอันจื่อเฮ่าเป็นผู้จัดการที่ขาดคุณสมบัติ


 


 


เดิมทีโม่ถิงไม่คิดจะเข้ามายุ่งเรื่องของเฉินซิงเยียน จนกระทั่งเขาได้รับสายโทรศัพท์จากถังหนิง “ซิงเยียนเป็นน้องสาวของคุณ ต่อให้ไห่รุ่ยไม่ออกมาพูดอะไร เราก็ไม่อาจนิ่งเฉยแบบนี้”


 


 


แต่ พวกเขาจะทำอะไรกับเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ


 


 


“คุณคงไม่คิดจะนั่งดูคนในตระกูลโม่ถูกรังแกหรอกใช่ไหม”


 


 


โม่ถิงโก่งคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนที่เขาจะขอให้ฟังอวี้ติดต่อหาอันจื่อเฮ่า เขาบอกให้ฟังอวี้บอกอีกฝ่ายว่า หากเขาไม่สามารถปกป้องเฉินซิงเยียนได้ ก็ให้ส่งสัญญาของเธอมาให้ไห่รุ่ยดูแลซะ ไห่รุ่ยจะไม่มีวันปล่อยศิลปินในสังกัดต้องเจอเรื่องแบบนี้


 


 


ขณะเดียวกัน อันจื่อเฮ่าได้ใช้ประโยชน์จากเส้นสายที่เขามีในการจับตัวคนก่อเหตุและพวกเขาได้รับการยืนยันแล้วว่าคนคนนั้นคือใคร


 


 


กระนั้นก็ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง คือเด็กใหม่คนนั้นมีพี่สาวที่ทรงอำนาจอยู่!


 


 


ท่ามกลางนักแสดงสาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเวทีระดับโลกนั้น พี่สาวของเด็กใหม่คนนี้เป็นหนึ่งในนั้น นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอกล้าลงมือกับเฉินซิงเยียน เพราะเธอมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง!


 


 


นักแสดงหญิงคนนี้เคยเซ็นสัญญากับไห่รุ่ยแต่หลังจากอาชีพนักแสดงของเธอเติบโตในต่างประเทศ เธอได้ก่อตั้งบริษัทเอเจนซี่ของตัวเองและเซ็นสัญญากับฮอลลีวูด


 


 


ทุกวันนี้เธอไม่ได้แสดงอีกแล้ว แต่กลับผันตัวไปเป็นโปรดิวเซอร์แทน แม้หลักๆ เธอจะมุ่งมั่นอยู่กับการทำงานในต่างประเทศ แต่เธอก็ยังคงมีชื่อเสียงโด่งดังในจีน ผู้คนเพียงแค่ไม่มีโอกาสได้เห็นเธอบ่อยนักเท่านั้น


 


 


หลังจากตระหนักถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม เฉินซิงเยียนก็ได้ปรามอันจื่อเฮ่าเอาไว้ “ครั้งก่อนนายได้ทุ่มเททรัพย์สินทั้งหมดที่นายมีเพื่อฉันไปแล้ว คราวนี้นายคิดจะเสียสละอะไรอีก มันก็แค่อึนิดๆ หน่อยๆ เอง ฉันรับมือได้น่า”


 


 


อันจื่อเฮ่ามองเฉินซิงเยียนอย่างลึกซึ้ง “ฉันจะต้องแก้แค้นให้เธออย่างแน่นอน ฉันเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลถึงวิธีการของฉันหรอก”


 


 


เฉินซิงเยนมองอันจื่อเฮ่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดเธอพยักหน้า “จากนี้ไปฉันจะพยายามทำตัวให้ดีแล้วกัน…”


 


 


“แต่โม่ถิงไม่อยู่เฉยกับเรื่องนี้ เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเธอพยายามจะปกป้องเมียของเขา” อันจื่อเฮ่าพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี ต่อให้เขาไม่ใช่ผู้จัดการที่ยอดเยี่ยม แต่โม่ถิงเองก็ไม่ใช่พี่ชายที่ดีเหมือนกัน


 


 


ดังนั้นอันจื่อเฮ่าจึงโทรหาฟังอวี้และให้คำตอบของเขาแก่โม่ถิง “อีกฝ่ายพูดใส่ร้ายถังหนิง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่ารอยผิวแตกลายของถังหนิงใหญ่จนน่าจะฆ่ายุงตายได้แล้วยังบอกด้วยว่าอีกไม่กี่ปีถังหนิงจะแก่และไม่น่าสนใจอีกต่อไป ผู้หญิงพวกนั้นยังอ้างด้วยว่าสุดท้ายคุณก็จะทิ้งถังหนิงไป”


 


 


พูดง่ายๆ คือโม่ถิงไม่ได้ปกป้องชื่อเสียงผู้หญิงของตัวเองเช่นกันเพราะผู้คนไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเขา


 


 


หลังได้รับคำตอบจากอันจื่อเฮ่า โม่ถิงหัวเราะ จากนั้นเขาจึงบอกกับฟังอวี้ “ติดต่อประธานของอี้ซิงฟิล์ม น้องสาวของเธอมาหาเรื่องน้องสาวฉัน บอกเธอให้อธิบายเรื่องนี้มาซะ”


 


 


น้องสาว!


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ฟังอวี้ได้ยินโม่ถิงพูดคำนี้ แต่แน่นอนว่าฟังอวี้รู้ดีว่าโม่ถิงไม่ได้ต้องการให้คนพวกนั้นออกมาอธิบายเรื่องนี้เพราะน้องาวของเขา แต่เป็นเพราะภรรยาของเขาต่างหาก กล้าดียังไวถึงมาอ้างว่าถังหนิงมีรอยผิวแตกลาย


 


 


ถึงแม้จะมีคนมากมายที่คิดแบบนั้น…


 


 


… แต่ใครกันจะกล้าออกมาพูดเรื่องแบบนี้ คนพวกนั้นต้องกล้ามากแน่ๆ!


 


 


ไม่นานนัก พวกเขาได้รับสายจากประธานของอี้ซิง “เราควรมาพบกันแล้วหารือเรื่องนี้นะคะ เพราะถึงยังไงเราก็เคยร่วมงานกันมาก่อน”


 


 


ผู้หญิงคนนี้เป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกและประสบความสำเร็จในสายอาชีพที่เปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะค่อนข้างมีความสามารถ ประกอบกับความใจกว้างที่เธอได้จากการปรับตัวเข้ากับชาวอเมริกัน รวมถึงการเป็นผู้หญิงเก่งที่สามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเพียงลำพัง เธอจึงไม่ได้เกรงกลัวคำขู่ของโม่ถิง “นี่เป็นเพียงการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ของพวกสาวๆ ประธานโม่อย่าไปใส่ใจเลยนะคะ”


 


 


ทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ !


 


 


เธอคิดว่าเรื่องนี้เป็นแบบนั้นงั้นเหรอ


 


 


“อีกอย่าง จากที่ฉันรู้ ท่านประธานโม่เองก็ดูจะไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับการทะเลาะกันของพวกเด็กๆ แต่เป็นเรื่องที่น้องสาวของฉันบังเอิญไปพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับคุณนายโม่ต่างหาก ท่านประธานโม่นี่รักภรรยาของตัวเองจริงๆ เลยนะคะ ฉันอยากจะเห็นกับตาตัวเองจังเลย”


 


 


“คุณจะได้เห็นเร็วๆ นี้”


 


 


ขนาดโม่ถิงยังไม่อาจได้รับคำขอโทษจากอีกฝ่าย อย่าว่าแต่อันจื่อเฮ่าเลย


 


 


ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินว่าเรื่องในครั้งนี้เป็น ‘การทะเลาะเล็กๆ น้อยๆ’ เช่นนั้นโม่ถิงก็จะตอบสนอง ‘การทะเลาะเล็กๆ น้อยๆ’ นี้


 


 


“ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังอยากจะพูดข้อกังวลอะไรนิดหน่อยนะคะ ฉันได้ยินมาว่าภรรยาของคุณได้ให้กำเนิดลูกแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนั้นการที่จะมีรอยท้องแตกลายก็เป็นเรื่องปกติ น่าสงสารนะคะทุกครั้งที่สุดยอดนางแบบหรือนักแสดงสาวๆ ฝีมือดีให้กำเนิดลูก


 


 


“คุณค่าของผู้หญิงพวกนั้นต้องมาลดลง…” 

 

 


ตอนที่ 735 ฉันไม่อยากถูกคนพวกนั้นล้อเ...

 

“เพราะอย่างนั้นคุณถึงยอมยกลูกชายตัวเองให้คนอื่นตอนที่เปลี่ยนสายอาชีพงั้นเหรอ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองสินะ” โม่ถิงถาม


 


 


ชัดเจนว่าผู้หญิงคนนั้นอึ้งกับคำพูดของโม่ถิง เธอไม่เคยนึกภาพเลยว่าเขาจะใช้วิธีนี้โต้ตอบ แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็เริ่มหัวเราะออกมา “นี่เป็นตัวเลือกของครอบครัวฉัน ท่านประธานโม่ไม่มีสิทธิ์มาพูด”


 


 


“งั้นคุณก็ควรระวังคำพูดของตัวเองให้ดี”


 


 


โม่ถิงมักไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ แต่เมื่อเป็นเรื่องของถังหนิง เขาจะตอบโต้เสมอ


 


 


“ก็ได้ ฉันจะไม่พูดอะไรก็แล้วกัน เพราะถึงยังไงทุกคนก็มีตาอยู่แล้ว…”


 


 


“ผมจำพฤติกรรมในวันนี้ของคุณเอาไว้แล้ว ดังนั้นอย่าโทษผมถ้าจะไม่ไว้หน้าคุณก็แล้วกัน”


 


 


ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอเริ่มประนีประนอมขึ้นเล็กน้อย “เอาอย่างนี้ไหม่ ฉันจะกลับไปสั่งสอนน้องสาวของฉันแล้วกัน คุณคิดว่าไงล่ะคะท่านประธานโม่”


 


 


“สายไปแล้ว!” โม่ถิงกล่าวก่อนวางสายโทรศัพท์


 


 


แม้เดิมทีผู้หญิงคนนี้จะมาจากไห่รุ่ย แต่เธอก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของไห่รุ่ยอีกแล้ว และแน่นอนว่าเฉินซิงเยียนเองก็ไม่ได้มาไห่รุ่ยเช่นกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องของถังหนิง ไม่มีใครหน้าไหนได้รับอนุญาตให้พูดจาใส่ร้ายถังหนิงต่อหน้าเขาทั้งนั้น


 


 


โม่ถิงไม่ชอบคนที่มาประจบสอพลอเขาแล้วก็ไม่ชอบคนที่มาท้าทายอำนาจเขาเช่นกัน คนที่อยู่ในวงการต่างทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี นี่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกหวั่นใจนิดหน่อย


 


 


เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับเฉินซิงเยียนแต่ยังเกี่ยวกับถังหนิงด้วย!


 


 


เพราะเฉินซิงเยียนตกอยู่ในความวุ่นวายนี้เพราะเธอทำเพื่อถังหนิง


 


 



 


 


ประธานของอี้ซิงฟิล์มมีชื่อว่าไป๋อวี๋ ส่วนน้องสาวของเธอมีชื่อว่าไป๋หลินหลิน


 


 


เดิมทีไป๋อวี๋ตั้งใจจะฝึกฝนน้องสาวของเธอด้วยตัวเอง แต่โชคไม่ดีที่น้องสาวของเธอมีความคิดในหัวมากเกินไป


 


 


เพราะความกลัวที่มีต่อโม่ถิง สุดท้ายไป๋อวี๋จึงโทรหาน้องสาวของเธอ “คราวนี้เธอสร้างปัญหาใหญ่เกินไปแล้วนะ คนอื่นอาจจะไม่เป็นปัญหา แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเธอเอาอึไปเทใส่น้องสาวของโม่ถิงแบบนั้น เธอยังอยากรอดอยู่ในวงการนี้อยู่ไหม”


 


 


ไป๋หลินหลินกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ที่บ้านด้วยท่าทีภาคภูมิใจ “แล้วไง ตอนนี้พี่สาวของหนูกำลังทำงานอยู่ที่ฮอลลีวูด ถ้าเรื่องมันเลวร้ายจริงๆ หนูก็ยังทำงานกับพี่ได้เสมออยู่ดี!”


 


 


“ไปขอโทษเฉินซิงเยียนซะ!” ไป๋อวี๋สั่ง


 


 


“ไม่ไป!”


 


 


“ถ้าเธอไม่ไปก้ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพี่อีก ฉันจะไม่ให้เธอได้มาทำงานในฮอลลีวูด ไว้ค่อยมาบอกฉันว่าเธอจะเอายังไงหลังจากไปคิดให้ดีแล้วกัน”


 


 


ไป๋หลินหลินวางโทรศัพท์ด้วยความโกรธขนเกือบจะขว้างมันลงกับพื้น แม้เธอจะไม่อาจเก็บกลั้นความโกรธภายในเอาไว้ได้ แต่เธอก็เข้าใจว่าคนฉลาดจะไม่มีวันต่อสู้เมื่อโอกาสไม่อำนวย ดังนั้นสุดท้ายเธอจึงโทรหาผู้จัดการของเธอ “หาโอกาสซื้อของขวัญไปขอโทษเฉินซิงเยียนซะ”


 


 


“เธอไม่คิดจะไปขอโทษด้วยตัวเองงั้นเหรอ” ผู้จัดการคนนั้นถาม


 


 


“แค่ฉันคิดจะขอโทษก็โชคดีแค่ไหนแล้ว จะให้ฉันไปขอโทษด้วยตัวเองงั้นเหรอ ไม่มีทาง อีกอย่างฉันไปพูดอะไรเรื่องถังหนิงหรือไง มันก็เป็นความจริงทั้งนั้นที่ถังหนิงทั้งแก่ แล้วก็กำลังจะตกยุคในไม่ช้า ไม่ใช่เรื่องลับอะไรสักหน่อย”


 


 


ผู้จัดการคนนั้นมองดูโทรศัพท์ของเธอด้วยความไม่สบายใจ ไป๋อวี๋ได้โทรมาและสั่งให้ไป๋หลินหลินไปขอโทษด้วยตัวเอง…


 


 


“พี่อวี้บอกให้เธอไปขอโทษด้วยตัวเอง”


 


 


ไป๋หลินหลินเตะขาโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยว หลังระบายความไม่พอใจออกไปได้เล็กน้อย ในที่สุดเธอก็ตอบ “ช่วยหาตารางงานของนังนั่นให้ฉันที”


 


 


“ตกลง” ผู้จัดการคิดว่าไป๋หลินหลินคิดได้แล้ว เธอจึงเริ่มหาข้อมูลอย่างมีความสุข


 


 


ไป๋หลินหลินทำเสียงเยาะเย้ยอย่างไม่พอใจ เธอจะดูสิว่าพี่สาวของเธอจะใส่ใจอะไรไหม่ถ้าเธอไปหาเรื่องไห่รุ่ยให้ถึงที่สุดจริงๆ


 


 



 


 


ถังหนิงเข้าใจสถานการณ์ที่เฉินซิงเยียนกำลังประสบอยู่เป็นอย่างดี แม้ไม่มีใครกล้าพูดว่าร้ายเธออย่างโจ่งแจ้ง แต่เธอก็ต้องพบกับความยากลำบากมากมายอยู่เบื้องหลังเช่นกัน เพราะในฐานะน้องของโม่ถิง เธอมีสิทธิ์พิเศษที่ทำให้คนอื่นเกรงกลัว แต่เธอก็ต้องแบกรับความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับสถานะนี้เช่นกัน


 


 


โม่ถิงเป็นคนไร้ความปรานีในวงการนี้มาโดยตลอด เมื่อต้องจัดการกับศิลปินที่มาจากค่ายอื่น เขาไม่เคยแสดงความเมตตาใดๆ ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายที่แอบเก็บความไม่พอใจที่มีต่อโม่ถิงเอาไว้ แต่เพราะความสามารถมากมายของเขา คนพวกนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ทว่าเฉินซิงเยียนนั้นต่างออกไป เธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของไห่รุ่ยและเธอไม่มีคนหนุนหลัง แม้จะมีอันจื่อเฮ่าเป็นผู้จัดการ เขาก็ไม่แข็งแกร่งพอจะเป็นโล่ให้เธอได้


 


 


หากคนสักคนอยากจะใช้อุบายบางอย่างจากที่มืด ก็ไม่มีใครทันสังเกตทั้งนั้น


 


 


หลังจากข่าวที่เธอถูราดด้วยอุจจาระรั่วไหลออกไป เฉินซิงเยียนยังคงนิ่งเงียบอยู่อีกหลายวัน


 


 


แม้อันจื่อเฮ่าจะอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดช่วงเวลาเหล่านั้น เธอก็ยังคงรู้สึกเซื่องซึมและไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถทำได้


 


 


กระนั้นเธอก็ยังมีตารางงานถ่ายทอดสดในวันพรุ่งนี้ เมื่อคิดถึงท่าทางล้อเลี่ยนของคนอื่นๆ ก็ทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นคงอย่างรุนแรง ไม่ว่างานนี้จะสำคัญแค่ไหน เธอก็ไม่อยากไปอีกแล้ว


 


 


อันจื่อเฮ่าบอกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกต่อต้าน เขาจึงโอบกอดเธอไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างและดึงเธอมานั่งที่ตักของเขา จากนั้นเขาจึงถามอย่างอ่อนโยน “เธออยากยกเลิกงานพรุ่งนี้ไหม”


 


 


“อือหึ ฮันไม่อยากถูกคนพวกนั้นล้อเลียน”


 


 


“เธอไม่ใช่เฉินซิงเยียนคนที่ฉันเคยรู้จัก เฉินซิงเยียนคนที่สามารถเปลี่ยนโลกให้กลับตาลปัตได้เพื่อยั่วโมโหคนอื่นหายไปไหนแล้วนะ”


 


 


หลังได้ยินเช่นนั้น เฉินซิงเยียนก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ฉันกลัวจะสร้างปัญหาให้นาย”


 


 


เธอไม่ต้องการให้อันจื่อเฮ่าต้องมาผลาญเงินเพื่อแก้แค้ให้เธออีกแล้ว


 


 


“ความน่าเคารพมันสร้างกันได้ ถ้าเธอต้องการให้คนอื่นเห็นค่าของเธอ เธอก็ต้องเห็นค่าตัวเองเสียก่อน เธอจะไปร่วมรายการถ่ายทอดสดพรุ่งนี้ ต่อให้ฟ้าถล่มฉันก็จะลากเธอไป!” อันจื่อเฮ่าปลอบโยนอีกฝ่ายทั้งที่หัวใจเขารู้สึกเจ็บปวด เฉินซิงเยียนเปลี่ยนไปมากนักตั้งแต่มาอยู่กับเขา


 


 


เธอเคยเป็นเฉินซิงเยียนที่มีอิสระและไม่แคร์สิ่งใด แต่บัดนี้…


 


 


… เธอกลับหวาดระแวงมากจนสูญเสียความเป็นตัวเองไปจนหมดสิ้น


 


 


ยามดึกคืนนี้ อันจื่อเฮ่านั่งอยู่ในห้องทำงานเพื่อจัดการเอกสารต่างๆ ขณะนั้นเอง ถังหนิงโทรหาเขาเพื่อคอนเฟิร์มตารางงานของเฉินซิงเยียน “เธอมีงานถ่ายทอดสดพรุ่งนี้ใช่ไหม”


 


 


“ใช่ พรุ่งนี้ตอนสองทุ่ม”


 


 


“ฉันจะไปดูด้วยและไปเป็นกำลังใจให้เธอสักหน่อย”


 


 


“โอเค” เขารู้สึกมีความสุขมากที่มีคนอีกคนมาช่วยเขาปกป้องเฉินซิงเยียน


 


 


แน่นอนว่าถังหนิงไม่ได้คาดคิดว่าไป๋หลินหลินเองก็จะมาปรากฏตัวที่รายการถ่ายทอดสดนี้ด้วย ในเวลาเช่นนี้เธอจึงควรทำหน้าที่พี่สะใภ้ อย่างน้อยเธอต้องบอกทุกคนรู้ว่าตระกูลโม่ไม่ยอมถูกรังแกได้ง่ายๆ


 


 


โม่ถิงได้ยินบทสนทนาของถังหนิงจากด้านหลัง เขาจึงเอ่ยถามขึ้น “คุณวางแผนจะไปปกป้องเฉินซิงเยียนงั้นเหรอ”


 


 


“คุณปกป้องฉันและฉันก็จะปกป้องครอบครัวของเรา”


 


 


โม่ถิงไม่ได้ตอบอะไรพลางเอามือลูบผมอีกฝ่าย ดูเหมือนเขาจะเห็นด้วย


 


 


“อีกอย่าง ถ้าซิงเยียนยังถูกรังแกอยู่แบบนี้ มันก็จะยิ่งทำให้คุณขายหน้าไปด้วยไม่ใช่เหรอ คนตระกูลโม่จะยอมให้คนอื่นมาทำร้ายแบบนี้ได้ยังไง”


 


 


“เข้าใจแล้ว”


 


 


ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ ถังหนิงจะไปร่วมรายการถ่ายทอดสดอย่างไม่เป็นทางการ เธอเพียงแต่ไปให้กำลังใจเท่านั้น แน่นอนว่าก่อนที่งานโฆษณาของเธอจะเริ่มถ่ายทำ เธอจะไม่เผยตัวเองต่อหน้าสื่อสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ในเมื่อมีคนมาล้อเลียนว่าเธอมีรอยท้องลาย เธอก็จะจัดการฉีกหน้าคนพวกนั้น


 


 


กระนั้น เฉินซิงเยียนในฐานะผู้ถูกกระทำกลับไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับไป๋หลินหลินเลย และไม่รู้ด้วยว่าถังหนิงจะมาปรากฏตัวเช่นกัน


 


 


รายการโชว์ที่กำลังจะมาถึงจะต้องสนุกมากแน่ๆ …


 


 



 


 


บ่ายวันต่อมา เฉินซิงเยียนเดินทางมาถึงสถานีโทรทัศน์พร้อมอันจื่อเฮ่า ทว่าขณะที่ผู้คนเดินผ่านเดิน พวกเขากลับแอบยิ้มอย่างเยาะเย้ย


 


 


เฉินซิงเยียนรู้สึกอับอาย อันจื่อเฮ่าจึงถามคนพวกนั้นตรงๆ “ขำอะไรนักเหรอ” 

 

 


ตอนที่ 736 ทำให้มือของคนอื่นสกปรก

 

ไม่มีใครคิดว่าอันจื่อเฮ่าจะแว้งกัด ดังนั้นคนพวกนั้นจึงเดินจ้ำอ้าวหนีไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าด้วยการปกป้องของอันจื่อเฮ่า อารมณ์เฉินซิงเยียนจึงดีขึ้นเล็กน้อย


 


 


แต่อันจื่อเฮ่ากลับไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมากพอ เขาจึงวางแขนรอบไหล่ของเฉินซิงเยียนและปกป้องเธอไว้ในอ้อมแขน


 


 


“ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้…”


 


 


อันจื่อเฮ่าชำเลืองตาลงมองอีกฝ่ายและกล่าวด้วยคำพูดสั้นๆ “ไปเถอะ…”


 


 


เฉินซิงเยียนยิ้มกว้างและไม่โต้แย้งอะไรอีก ขณะนั้นเธอมีเพียงแค่ผู้ชายคนนี้อยู่ในสายตา ไม่มีใครจะสูงผงาดและแข็งแรงได้เท่าเขาอีกแล้ว!


 


 


ไม่นานนัก ทั้งคู่ได้เดินมาถึงยังห้องพัก อาจเป็นเพราะอันจื่อเฮ่าอยู่ด้วยทำให้ช่างแต่งหน้าอ่อนน้อมกับเฉินซิงเยียนเป็นพิเศษ แม้ผู้คนจะไม่ให้เกียรติเฉินซิงเยียน พวกเขาก็ยังคงไว้หน้าอันจื่อเฮ่า


 


 


“พอแล้วล่ะ นายมาส่งฉันถึงนี้อย่างปลอดภัยแล้ว ฉันเคยออกรายการสดมาก่อน นายกลับไปทำงานของนายได้แล้ว” เฉินซิงเยียนเตือนความจำว่าอันจื่อเฮ่ายังมีนัดสำคัญคืนนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะเธอ เขาก็คงไม่ต้องยุ่งวุ่นวายขนาดนี้ “ไปได้แล้ว อย่าไปสายเพราะฉันเลย”


 


 


อันจื่อเฮ่าจ้องมองเฉิยซิงเยียนก่อนจะกวาดตาไปมองช่างแต่งหน้า แน่นอนว่าสายตาที่เขาใช้มองคนทั้งสองนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


 


คนหนึ่งถูกมองด้วยสายตาอบอุ่นและอ่อนโยน ในขณะที่มองอีกคนด้วยสายตาเฉียบคมและข่มขู่


 


 


ช่างแต่งหน้าคนนั้นยิ้มและทำให้อันจื่อเฮ่าผ่อนคลายลงได้นิดหน่อย ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่เลวร้ายนัก


 


 


“งั้นฉันไปก่อนนะ บอก ‘เสี่ยวชี’ ให้โทรหาฉันหลังจากที่เธอถ่ายเสร็จแล้วด้วยล่ะ”


 


 


“โอเค” เฉินซิงเยียนพยักหน้า


 


 


เสี่ยวชีคือผู้ช่วยของเฉินซิงเยียน อาจเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับแอนนี่ ผู้ช่วยที่อันจื่อเฮ่าหามาให้เฉินซิงเยียนจึงเป็นคนที่ขยันและเอาการเอางานเป็นอย่างมาก แต่เธอไม่รู้วิธีแก้สถานการณ์และมีไหวพริบมากนัก


 


 


กระนั้นสำหรับใครบางคนที่ต้องการผู้ช่วยมาดูแลเรื่องชีวิตประจำวันทั่วไปอย่างเฉินซิงเยียนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหาคนที่มีไหวพริบมากนักก็ได้ ดังนั้นแค่เสี่ยวชีก็เพียงพอแล้ว


 


 


หลังจากอันจื่อเฮ่าเดินออกไป ช่างแต่งหน้าได้หยิบอุปกรณ์แต่งหน้าของเธออกมาและกล่าวอย่างชื่นชม “ถึงเธอจะไมได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ที่มีชื่อเสียง แต่ก็ยังคุ้มที่ได้รับการดูแลจากอันจื่อเฮ่าแบบนี้นะ”


 


 


เฉินซิงเยียนมองผ่านกระจกและพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ


 


 


เธอไม่ได้อยากอยู่ในไห่รุ่ยหรือฮอลลีวูด เธอแค่ต้องการเป็นศิลปินในสังกัดของเฉินซิงเยียน แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว


 


 


ขณะที่การถ่ายทอดสดจะเริ่มขึ้นตอนสองทุ่ม เฉินซิงเยียนมีเวลาเพียงพอในการแต่งหน้า กระนั้นก่อนที่เธอจะได้แต่งหน้าถึงครึ่งทาง ประตูห้องพักก็พลันถูกเปิดออกด้วยฝีมือของผู้จัดการของไป๋หลินหลิน เธอชะโงกหัวเข้ามาดูว่าเฉินซิงเยียนอยู่ภายในห้องหรือไม่ หลังจากแน่ใจว่าอีกฝ่ายอยู่ในห้อง เธอจึงเปิดประตูออกกว้างและเดินเข้ามาภายใน “คุณเฉินเป็นยังไงบ้างคะ เออ… ฉันขอเวลาคุณสักครู่ได้ไหม”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้จัดการของไป๋หลินหลิน และไม่รู้ด้วยว่าไป๋หลินหลินเป็นคนที่เทน้ำโสโครกพวกนั้นใส่เธอ ดังนั้นเธอจึงถามด้วยความสงสัย “มีเรื่องอะไรงั้นเหรอคะ”


 


 


“สิ่งนี้คือ…”


 


 


“เลิกเสียเวลามาพูดสุภาพกับมันได้แล้ว!” ไป๋หลินหลินปรากฏตัวขึ้นหลังผู้จัดการของตัวเองและเดินก้าวขึ้นมาอยู่ด้านหน้าแล้วพูดจัดบท จากนั้นเธอจึงก้าวไปอยู่ระหว่างช่างแต่งหน้ากับเฉินซิงเยียนและผลักช่างแต่งหน้าคนนั้นจนเสียศูนย์ไปพิงโต๊ะแต่งหน้าอีกตัวหนึ่ง “เราเคยเจอกันมาก่อน… พี่สาวฉันสั่งให้ฉันมาที่นี่แล้วขอโทษเธอซะ!”


 


 


หลังเห็นไป๋หลินหลิน เฉินซิงเยียนก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร


 


 


“ส่งดอกไม้มาให้ฉัน” เมื่อเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของเฉินซิงเยียน ไป๋หลินหลินก็เหยียดมือของเธอไปทางผู้จัดการของตัวเอง


 


 


ผู้จัดการของเธอรีบส่งช่อดอกไม้สดในมือให้เธอ หลังจากได้รับดอกไม้มาไว้ในมือ ไป๋หลินหลินเพียงแค่โยนมันใส่เฉินซิงเยียน “เธอได้รับการขอโทษจากฉันแล้วนะ!”


 


 


บางทีอาจไม่เคยมีใครเคยเห็นการขอโทษแบบนี้มาก่อนก็ได้ เห็นได้ชัดว่าเธอมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา


 


 


เฉินซิงเยียนมองดูดอกไม้บนตักของเธอและรู้ตัวว่าผู้หญิงคนนี้จงใจมาสร้างปัญหา ดังนั้นเธอจึงโยนช่อดอกไม้ไปด้านข้างและพูดอย่างนุ่มนวล “เธอควรออกไปจากห้องนี้ซะก่อนที่ฉันจะลงมือทำอะไรนะ”


 


 


“โกรธหรือไง” ไป๋หลินหลินหัวเราะ “ฉันคิดว่าเธอเป็นพวกนิ่งๆ ซะอีก ที่ไหนได้เธอกลับไปฟ้องโม่ถิง ฉันแค่พูดว่าถังหนิงแก่ แค่นั้นต้องทำให้เรื่องบานปลายขนาดนี้ด้วยเหรอ


 


 


“อ๋อ หรือเพราะถังหนิงไม่อนุญาตให้ใครมาบอกว่ามันแก่ แต่มันเป็นความจริงนี่ คลอดลูกไปแล้วด้วยนะ จะกลับมาทำตัวเป็นสาวบริสุทธิ์ได้ซะที่ไหนล่ะ”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น เฉินซิงเยียนก็มองผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาอาฆาต แต่ไป๋หลินหลินไม่เกรงกลัวขณะพูดต่อไปว่า “แค่เธอเอาชนะฉันไม่ได้ เลยหันไปหาพี่สาวฉันสินะ จะหน้าด้านไปถึงไหน ถ้ามีปัญหาจริง ก็ทำให้ฉันเจออย่างที่เธอเจอสิ


 


 


“จะบอกอะไรให้นะ ฉันมาที่นี่วันนี้เพื่อด่าถังหนิงโดยเฉพาะเลย ฉันอยากจะรู้สิว่าเธอจะรับได้สักแค่ไหน”


 


 


เฉินซิงเยียนพยายามอดกลั้นเพราะเธอรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้มีเส้นใหญ่ เธอไม่ต้องการให้ไห่รุ่ยออกมาช่วยเธอ และไม่ต้องการสร้างปัญหาให้อันจื่อเฮ่า


 


 


แต่ยิ่งเธอนิ่งเฉยมากเท่าไหร่ ไป๋หลินหลินก็ยิ่งทำตัวแย่มากขึ้นเท่านั้น


 


 


รายการถ่ายทอดสดกำลังจะเริ่มขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะทันแต่งหน้าได้ถึงครึ่งทาง ไป๋หลินหลินกลับเข้ามาสร้างปัญหา


 


 


ถ้าพูดถึงเรื่องความหน้าด้าน เธอไม่มีทางสู้ไป๋หลินหลินได้เลย


 


 


“เธอรู้ไหมว่าคนเขาเรียกถังหนิงว่าอะไร เขาเรียกถังหนิงว่ายัยหนังแตงโม… เพราะรอยผิวแตกที่ท้องมันดูเหมือนลายบนเปลือกแตงโมไงละ!”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่อาจทนได้อีกต่อไปขณะที่เธอคว้าเสื้อเชิ้ตของไป๋หลินหลินไว้ในมือ ไป๋หลินหลินไม่เกรงกลัวพลางจ้องตาเฉินซิงเยียนกลับ “ฉันจะพูดอะไรก็ได้ที่ฉันอยากพูด ถังหนิงมันก็แค่กะหรี่…”


 


 


“เธอว่าไงนะ”


 


 


“กะหรี่ไง!” ไป๋หลินหลินตอบอย่างรวดเร็วเกินไป ไม่ทันได้สังเกตว่าคำถามเมื่อกี้ไม่ได้ออกมาจากปากของเฉินซิงเยียน


 


 


ผู้จัดการของไป๋หลินหลินเอื้อมมือไปหยุดไป๋หลินหลิน แต่สีหน้าของเธอซีดเผือดด้วยความกลัวเมื่อเห็นถังหนิงก่อนจะรีบหลบตัวไปซ่อนอย่างรวดเร็ว เพราะเธอกลัวเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา


 


 


“ทำไมฉันถึงไม่รู้เลยล่ะว่าฉันเป็นกะหรี่” ถังหนิงถามด้วยท่าทีขบขัน


 


 


ได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดไป๋หลินหลินถึงได้มีสติกลับสู่ความเป็นจริง ถังหนิงได้มาปรากฏตัวอยู่ในห้องพักแห่งนั้นเป็นการส่วนตัว


 


 


ไป๋หลินหลินตัวแข็งทื่อขณะที่เธอหันไปมองผู้จัดการของเธอด้วยสีหน้าฉงน ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่เตือนเธอ


 


 


กระนั้นถังหนิงไม่ใช่คนมีเมตตา เธอจึงหันกลับไปบอกลู่เช่อ “ปิดประตู”


 


 


ลู่เช่อพยักหน้าและปิดประตูจนสนิท


 


 


ถังหนิงนั่งลงบนโซฟาและถามไป๋หลินหลิน “ในเมื่อฉันเป็นกะหรี่ เธอช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าฉันเป็นกะหรี่แบบไหน ฉันมั่นใจว่าคุณไป่มีเวลาเหลือเฟือที่จะให้คำอธิบายกับฉัน”


 


 


ไม่เพียงแค่เฉินซิงเยียนเท่านั้น แม้แต่ช่างแต่งหน้าเองก็อึ้งด้วยความช็อกเพราะการปรากฏตัวของถังหนิง แต่ถังหนิงไม่ลืมที่จะเตือนช่างแต่งหน้าคนนั้น “แต่งหน้าต่อเถอะ เธอมีเวลาเหลืออีกแค่ยี่สิบนาทีก่อนที่รายการจะเริ่มไม่ใช่เหรอ”


 


 


ช่างแต่งหน้าคนนั้นพยักหน้าด้วยความเชื่อฟังขณะที่เธอกลับมาเริ่มแต่งหน้าให้เฉินซิงเยียน พลางดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นไปด้วย


 


 


ไป๋หลินหลินรู้สึกหวาดวิตกอย่างท่วมท้น ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ท่าทีจองหองเมื่อครู่ของเธอหายไปจนหมด…


 


 


ไม่ว่าเธอจะจองหองเพียงใด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับถังหนิง ความเย็นยะเยือกที่แผ่ไปทั่วไขสันหลังทำให้เธอขนลุกไปทั้งตัว


 


 


“ทำไมไม่พูดล่ะ” ถังหนิงถามพลางเงยหน้าขึ้นมาอง


 


 


“นั่น… นั่นมัน…”


 


 


“ฉันคิดว่าเธอคงยังไม่ลืมเรื่องของซ่งซินที่เพิ่งถูกส่งเข้าคุกไปเมื่อไม่นานนี้หรอกนะ” ถังหนิงพูดแทรก “ความสามารถพิเศษของฉันคือการชนกับคนแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน…”


 


 


“คุณ… คุณไม่กล้าหรอก” ไป๋หลินหลินรู้ตัวว่าเสียงของเธอสั่นเล็กน้อย


 


 


“อะ มีห้องน้ำส่วนตัวในห้องนี้ด้วยนี่นา” ถังหนิงพูดกับตัวเองพลางมองไปยังห้องน้ำที่อยู่มุมห้อง “ทำไมเธอไม่ลองลิ้มรสการเปื้อนอึทั้งตัวดูบ้างล่ะ อ้อ ไม่สิ แบบนั้นจะปัญหามากไป… มันจะมีแต่ทำให้มือของคนอื่นสกปรกไปด้วย…”

 

 

 


ตอนที่ 737 ทำทุกอย่างแบบสุดโต่งและไม่...

 

“คุณ… คุณรู้แค่วิธีรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ทำไมไม่ให้เฉินซิงเยียนมาสู้กับฉันเองล่ะ เพราะมันเอาชนะฉันไม่ได้ มันถึงได้ร้องขอความช่วยเหลือสินะ!”


 


 


“เธอคิดว่าตัวเองดีกว่าอีกฝ่ายแค่ไหนงั้นเหรอ ถ้าเธออยากจะด่าฉัน ก็มาพูดต่อหน้าฉันสิ เธอมันก็แค่คนที่ดีแต่พูดลับหลังฉัน” ถังหนิงสวนกลับ


 


 


“มีคนอีกเยอะแยะที่พูดถึงคุณ ทำไมไม่ไปเอาเรื่องคนพวกนั้นให้หมดด้วยล่ะ”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น ถังหนิงก็ตัดสินใจว่าเธอจะจบเรื่องทั้งหมด เพราะเธอมาถึงที่นี่และบังเอิญไป๋หลินหลินมาปรากฏตัวพอดีเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงบอกกับลู่เช่อ “เปิดประตู”


 


 


“มีหลายคนกำลังพยายามแอบฟังอยู่จากด้านนอกนะครับ” ลู่เช่อเตือน


 


 


“ให้พวกเขาได้เห็นชัดๆ ไปเลย” ถังหนิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ


 


 


ลู่เช่อพยักหน้าและเปิดประตูห้องพัก มีคนจำนวนหนึ่งออกันอยู่ด้านนอกห้อง ทำหมดอยู่กำลังอยู่ในท่าเดียวกัน ดูเหมือนทุกคนจะพยายามเอนตัวอิงประตูแอบฟังสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้อง ทันทีที่ลู่เช่อเปิดประตู สีหน้าของคนพวกนั้นดูกระอักกระอ่วน ซึ่งมีพิธีกรของรายการถ่ายทอดสดรวมอยู่ในนั้นด้วย


 


 


“เอ่อ ผมมาที่นี่เพื่อบอกเฉินซิงเยียนว่าโชว์จะเริ่มในอีกสิบนาที แต่ไม่คิดว่าจะเจอถังหนิง…”


 


 


“ซิงเยียน เตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการเอง” ถังหนิงไม่รู้สึกอะไรกับเหล่าผู้สอดรู้สอดเห็นทั้งหลายขณะที่เธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบตามปกติของเธอ


 


 


“ถังหนิง ฉันขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ…”


 


 


“ใช่ๆ ถังหนิง พวกเราทุกคนชอบคุณมากเลย การได้พบคุณเป็นเรื่องยากสุดๆ พวกเราก็เลยตื่นเต้นมากไปหน่อย…”


 


 


“ถังหนิง…”


 


 


ผลปรากฏว่าผู้คนเหล่านั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อสอดรู้สอดเห็น พวกเขาเพียงแค่ได้ยินว่าถังหนิงปรากฏตัวและอยากจะได้ลายเซ็นเท่านั้น


 


 


“ไม่มีปัญหาค่ะ” ถังหนิงตอบรับ หลังจากเธอแจกลายเซ็นเสร็จแล้ว หนึ่งในบรรดาสาวๆ พูดขึ้น “คุณยังสวยเหมือนเดิมเลยนะคะ ไม่ดูเหมือนคุณเพิ่งคลอดลูกเลยสักนิด”


 


 


“ใช่ๆ คุณต้องดูแลตัวเองอย่างดีมากแน่ๆ เลย คุณสวยจริงๆ ค่ะ…”


 


 


“ขอบคุณค่ะ” ถังหนิงกล่าวขอบคุณพวกเธออย่างสุภาพ


 


 


เฉินซิงเยียนอยากจะอยู่ในห้องต่อ แต่เธอจำได้ว่าอันจื่อเฮ่าได้ทุ่มเทมากมายเพื่อรักษาภาพลักษณ์ให้เธอ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลุกขึ้นและเดินผ่านทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ในห้องเพื่อออกไปยังสตูดิโอ


 


 


หลังจากนั้น ถังหนิงนั่งลงบนโซฟาแล้วมองไปยังโทรศัพท์ของตัวเองโดยไม่พูดอะไร หลังจากนั้นผู้คนจำนวนไม่น้อยพากันเข้ามาขอลายเซ็นของเธออย่างไม่ขาดสาย ถังหนิงไม่ได้รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อยขณะตอบสนองคำเรียกร้องของเหล่าสตาฟของสถานีโทรทัศน์ทีละคน


 


 


ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนที่เข้ามาภายในห้องต่างอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชม ถังหนิงดูแลตัวเองอย่างดีมากจนเธอไม่มีอะไรแสดงออกว่าเธอเพิ่งคลอดลูกเลยได้ยังไงกันนะ ที่จริงเธอดูอ่อนเยาว์และงดงามเป็นพิเศษด้วยซ้ำ


 


 


แม้แต่ผู้บริหารระดับสูงของสถานียังแกล้งเป็นทำเดินผ่านเพียงเพื่อจะมีโอกาสได้กล่าวทักทายกับเธอ


 


 


ห้องพักได้กลายเป็นห้องพบปะแฟนๆ ของถังหนังขณะที่ทุกคนพากันเข้าและออกจากห้องอย่างต่อเนื่อง กระนั้นไป๋หลินหลินยังคงยืนอยู่กับที่ เกรงกลัวเกินกว่าจะขยับตัว ในขณะที่ผู้คนเดินเข้าออกและพูดซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเรื่องของเธอ


 


 


ดังนั้นผู้จัดการของไป๋หลินหลินจึงขัดจังหวะขึ้น “เอ่อ… คุณถังคะ น้องไป๋ของเรา…”


 


 


“ไม่ใช่เรื่องของคุณ” ลู่เช่อเข้าห้ามผู้จัดการคนนั้นด้วยน้ำเสียงข่มขู่


 


 


ผู้จัดการคนนั้นหมดหนทางขณะที่เธอรีบเงียบปากและแสร้งทำเป็นใบ้


 


 


ไป๋หลินหลินยังคงยืนอยู่ที่จุดเดิม ถึงคราวของเธอที่จะถูกคนอื่นเย้ยหยัน ข่าวได้แพร่ออกไปหลังจากนั้นว่าเธอเป็นคนเทน้ำโสโครกใส่เฉินซิงเยียน เธอทำได้เพียงยืนเฉยๆ ราวกับเด็กประถมที่ได้รับการลงโทษเมื่อต้องเผชิญหน้ากับถังหนิง


 


 


ไมว่าถังหนิงจะยังอยู่ในห้องพักนานเพียงใด ไป๋หลินหลินก็ยืนอยู่ที่เดิมนานเท่านั้น


 


 


ขณะที่เฉินซิงเยียนถ่ายรายการเสร็จตอนสี่ทุ่ม ถังหนิงยังคงอยู่ในห้องพักและไป๋หลินหลินก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม


 


 


เฉินซิงเยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย…


 


 


แน่นอนว่าเธอไม่เข้าใจว่าวิธีการของถังหนิงนั้นชาญฉลาดแค่ไหน


 


 


ในฐานะรุ่นพี่ เธอไม่สามารถเอาอุจจาระมาราดไป๋หลินหลินได้ และเธอจะไม่ทำอะไรที่น่าอับอายทั้งนั้น ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการทำให้ไป๋หลินหลินอยู่ใกล้ๆ ราวกับคนปัญญาอ่อนในสายตาของทุกคน เธอจำเป็นต้องใช้พลังงานใดๆ ในการทำให้ความจองหองของไป๋หลินหลินหมดไป


 


 


ส่วนเหตุผลที่ทำให้ไป๋หลินหลินไม่กล้าขยับเขยื้อนนั้นเป็นเพราะเธอกลัวมากเกินไป…


 


 


ถังหนิงไม่พูดอะไรกับเธอเลยแม้แต่คำเดียว แต่เธอกลับไม่กล้าแม้แต่จะก้าวไปไหน


 


 


“เสร็จแล้วเหรอ ล้างเครื่องสำอางแล้วไปกันเถอะ…”


 


 


เฉินซิงเยียนมองถังหนิงและส่งสัญญาณว่า ‘ใครบางคน’ ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ


 


 


ถังหนิงยักไหล่และตอบ “ฉันไม่ได้บอกให้ยืนอยู่ตรงนั้นสักหน่อย!”


 


 


ไป๋หลินหลินจ้องมองผู้หญิงทั้งสองคน แต่เธอทำได้เพียงรอให้ถังหนิงเดินออกจากห้องไปก่อนที่เธอจะตะโกนใส่ผู้จัดการของตัวเอง “รีบมาช่วยฉันสิ ยัยโง่! ฉันจะต้องเอาคืนมันให้ได้”


 


 



 


 


ถังหนิงเดินนำเฉินซิงเยียนไปที่รถของเธอ หลังจากขึ้นไปบนรถ เธอก็กล่าวขึ้น “วันนี้ฉันไม่ได้ลงมืออะไรกับผู้หญิงคนนั้น ถ้าฉันทำ ฉันจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลและกลายเป็นคนที่รังแกคนอื่นอย่างที่คนอื่นพูดว่าฉันเป็น มันจะไม่เป็นประโยชน์กับเธอ”


 


 


“แต่ผู้หญิงคนนั้นยังกลัวพี่อยู่เลย…”


 


 


“เธอรู้ไหมว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงกลัวฉัน” ถังหนิงชำเลืองตามองเฉินซิงเยียนและตอบด้วยเสียงนิ่ง “เพราะแต่ก่อนฉันเคยเจอคนแบบนี้มาเยอะ ตอนแรกฉันก็แค่อดทนและไม่พูดอะไร แต่หลังจากนั้นฉันจะทำให้คนพวกนั้นต้องชดใช้ให้ฉันเป็นสองเท่าเสมอ ไม่ว่าเรื่องจะใหญ่หรือเล็กน้อยแค่ไหน ตราบใดที่คนพวกนั้นติดค้างฉัน ฉันจะไล่บี้ทุกคน!


 


 


ไป๋หลินหลินกลัวเพราะรู้ว่า เมื่อถึงเวลาที่ฉันเคลื่อนไหว ฉันจะทำทุกอย่างแบบสุดโต่งและไม่สนใจอะไรทั้งนั้น!


 


 


“ดังนั้นผู้หญิงคนนั้นเลยได้แต่ยืนเงียบราวกับจักจั่นในฤดูหนาว…”


 


 


นี่คือความน่ากลัวของถังหนิง แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดผลลัพธ์มหาศาลได้แล้ว เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ข่าวได้แพร่ออกไปราวกับไฟลามทุ่งว่าไป๋หลินหลินถูกถังหนิงทำโทษและบังคับให้เธอยืนอยู่นานถึงสองชั่วโมงโดยไม่ขยับเขยื้อน!


 


 


สิ่งนี้ได้สื่อสารข้อความหนึ่งถึงประชาชน


 


 


ไม่ว่าไป๋หลินหลินจะมีอำนาจแค่ไหนหรือมีความสามารถแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าถังหนิงเธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง


 


 


ส่งผลให้ไป๋อวี๋ผู้เป็นพี่สาวของเธอต้องขายหน้าอย่างที่สุด


 


 


อีกเหตุผลที่ทำให้ถังหนิงไม่ลงมือสั่งสอนไป๋หลินหลินโดยตรงนั้นเพราะไป๋หลินหลินและเฉินซิงเยียนกำลังอยู่ในระดับเดียวกัน ต่อให้เธอสั่งสอนบทเรียนให้ไป๋หลินหลินคราวนี้ เธอก็จะยังไม่ยอมรับในตัวเฉินซิงเยียนอยู่ดี


 


 


ขณะเดียวกัน อีกจุดหนึ่งที่ประชาชนกำลังพุ่งความสนใจไปก็คือสภาพและรูปร่างปัจจุบันของถังหนิง


 


 


ต่อให้เหล่าสตาฟที่สถานีโทรทัศน์จะพากันกว่าชื่นชมเธอว่าสวยขึ้นกว่าแต่ก่อน… แต่เธอก็ยังเป็นแม่อยู่ไม่ใช่เหรอ


 


 


ในเมื่อเธอเป็นแม่คน ร่างกายเธอไม่มีแต่กลิ่นนมอย่างนั้นหรือ…


 


 


เฉินซิงเยียนรู้สึกชื่นชมและยกย่องถังหนิงอย่างมาก เพราะไม่ว่าถังหนิงจะเจอกับใคร ก็สามารถทำให้คนพวกนั้นเชื่องและยอมเชื่อฟังได้ทุกครั้ง


 


 


หลังได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันจื่อเฮ่าพยายามกลั้นหัวเราะอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดกับเฉินซิงเยียน “ความสาหัสที่ถังหนิงเคยผ่านมาไม่ใช่อะไรที่เธอจะจินตนาการได้หรอก เดิมทีเธอตกจากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุดในอาชีพของตัวเอง แล้วต้องเจอกับการทรยศหักหลัง ไหนจะเรื่องฉาวมากมาย ภายในสถานการณ์แบบนั้น คนอื่นคงแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว


 


 


“เธออาจจะไม่มีวันไปถึงจุดเดียวกับถังหนิงก็ได้…


 


 


“เธอไม่รู้วิธีจัดการกับสิ่งยั่วยุ”


 


 


เฉินซิงเยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทดสอบอันจื่อเฮ่า “นายจะดูแลฉันดีแบบนี้ตลอดไปหรือเปล่า”


 


 


“แน่นอน” อันจื่อเฮ่าตอบพลางจูบลงที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย แต่กระนั้นเขากลับไม่เคยคาดคิดเลยว่าความเป็นอยู่ในปัจจุบันของพวกเขากำลังจะเปลี่ยนไปราวหน้ามือเป็นหลังมือในไม่ช้า… 

 

 


ตอนที่ 738 เลิกกับอันจื่อเฮ่า

 

หลังถังหนิงสั่งสอนบทเรียนให้กับไป๋หลินหลิน เรื่องนี้ก็กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการ เพราะเด็กแก่แดดที่ไม่มีเหตุผลคนนั้นคิดว่าเธอสามารถทำตัวจองหองได้เพราะเธอมีชื่อเสียงนิดหน่อย ดังนั้นเธอจึงควรได้รับการสั่งสอน


 


 


แต่หลังจากไป๋อวี๋ได้ยินเรื่องนี้ เธอโกรธมากจนหน้าแดงไปหมดขณะที่เธอทุบมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะตรงหน้า


 


 


แม้เธอจะอบรมไป๋หลินหลินอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นน้องสาวของเธอ ด้วยสิ่งที่ถังหนิงทำนั้นไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเธออย่างแรง


 


 


เพราะท้ายที่สุด การกระทำของถังหนิงนั้นมีนัยอื่นแอบแฝงอยู่แล้ว ในเมื่อไป๋อวี๋ไม่รู้จักวิธีสั่งสอนน้องสาวของตัวเองให้ดี งั้นถังหนิงก็ต้องมีใครสั่งคนมาทำหน้าที่นี้แทน ต้องมีใครสักคนสอนเด็กคนนี้ให้รู้จักทำตัวให้เหมือนกับมนุษย์ทั่วไปบ้าง


 


 


เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ไป๋อวี๋โทรหาไป๋หลินหลิน โดยไป๋หลินหลินเอาแต่ระบายความเจ็บปวดของตัวเอง


 


 


“เธอทำได้แค่ร้องไห้หรือไง ใช้ไม่ได้ ไม่รู้วิธีต่อสู้หรือไงกัน อะไรที่เด็กเฉินนั้นอยากได้ เธอต้องไปต่อสู้แย่งมันมาด้วย อย่าบอกนะว่าน้องสาวฉันไม่รู้วิธีจัดการเรื่องพวกนี้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”


 


 


“พี่ไม่รู้หรอกว่าถังหนิงมันหยาบคายแค่ไหน…”


 


 


“ฉันรู้…” แค่ได้ยินชื่อถังหนิงก็ทำเอาไป๋อวี๋ปวดหัวแล้ว แต่เธอมีความปรารถนาอื่นอยู่ในใจ เธอต้องการลองต่อกรกับถังหนิงด้วยตัวเธอเอง เธออยากรู้ว่าในจุดที่เธอเคยยอมแพ้และจากจุดที่เธอเคยกลัวจะเสียไป ถังหนิงจะยังใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ได้ไหม


 


 


หลังจากคลอดลูกแล้ว เธอจะยังสามารถรักษาชื่อเสียงเอาไว้อยู่จริงหรือ


 


 



 


 


ตกค่ำในวันนั้น ถังหนิงกับโม่ถิงต่างอุ้มลูกชายไว้ในอ้อมแขน พวกเขากำลังกล่อมเด็กตัวแสบทั้งสองและพยายามแข่งกันว่าเด็กคนไหนจะหลับก่อน


 


 


แต่กั่วกั่วในอ้อมแขนของถังหนิงนั้นได้มีไข้ขึ้นอีกครั้ง ทำเอาทั้งสองต้องอยู่ในความตื่นตระหนกไปครึ่งค่อนคืน หลังพยายามลดไข้ให้เด็กน้อยอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดทั้งสองก็ทำได้สำเร็จ


 


 


ณ เวลานั้น ถังหนิงได้ผล็อยหลับไปที่โซฟา เมื่อโม่ถิงเห็นเช่นนั้น ก็อุ้มอีกฝ่ายออกจากห้องของเด็กๆ อย่างแผ่วเบา


 


 


“ฉันเผลอหลับไปงั้นเหรอ” ถังหนิงตื่นขึ้นขณะที่อยู่ในอ้อมแขนของโม่ถิงแล้วขยี้ตาเล็กน้อยก่อนเธอจะโอบเรียวแขนของตัวเองรอบคอของชายหนุ่ม “กั่วกั่วมีไข้เพราะเขาต้องการทำโทษที่ฉันไม่อยู่บ้านดูแลเขาเมื่อคืนหรือเปล่านะ”


 


 


“หยุดคิดแบบนั้นเลยครับ” โม่ถิงตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ผมนัดกับกุมารแพทย์ที่ได้รับความนับถืออย่างดีเอาไว้แล้ว หมอจะช่วยตรวจร่างกายให้กั่วกั่วเอง”


 


 


ถังหนิงพยักหน้าขณะที่เธอเอียงศีรษะแนบชิดร่างกายของโม่ถิง “เอาจริงๆ นะคะ ฉันรู้สึกดีใจจริงๆ ดูผู้ชายทุกวันนี้สิ จะมีสักกี่คนที่เข้ามาช่วยดูแลลูกของตัวเองโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ เทียบกันแล้วตราบใดที่คุณอยู่บ้าน คุณจะรับผิดชอบดูแลลูกๆ ของเราอย่างเต็มที่เสมอ…”


 


 


“ตอนผมเด็กๆ ผมจำเรื่องของพ่อไม่ได้มากเท่าคุณอารองด้วยซ้ำ ผมเลยไม่อยากให้ลูกๆ มองว่าผมเป็นคนที่แทบไม่เคยอยู่บ้านเลยแบบนั้น”


 


 


“ปะป๊าถิง คุณทำได้ยอดเยี่ยมแล้วนะคะ”


 


 


โม่ถิงไม่พูดอะไร แต่เขารู้สึกไม่ต่างจากถังหนิง บางครั้งถังหนิงคิดด้วยซ้ำว่าถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิงและโม่ถิงเป็นผู้ชาย หรือบางที ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายไม่สามารถมีลูกได้ เขาคงไม่อยากแม้แต่จะให้เด็กทั้งสองออกมาจากท้องของเธอและทำให้เธอต้องเจ็บปวดจากการคลอดแบบนี้


 


 


ดังนั้นความรักที่เธอมีต่อโม่ถิงนั้น…


 


 


…เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้


 


 


เป็นไปไม่ได้แน่ที่จะไม่หลงรักผู้ชายแบบนี้


 


 


“อีกไม่กี่วัน คุณอยากให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณตอนถ่ายโฆษณาไหม”


 


 


“ไม่จำเป็นค่ะ… อยู่บ้านดูแลเด็กๆ เถอะ”


 


 


เมื่อเป็นเรื่องภาษาอังกฤษ ถังหนิงพูดภาษาอังกฤษได้คล่องว่าโม่ถิง และเมื่อเป็นเรื่องของการถ่ายทำและเรื่องอื่นๆ ในกองถ่าย ถังหนิงก็มีประสบการณ์เป็นอย่างดี ทำให้เธอไม่ต้องการคำแนะนำใดๆ จากเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่ผู้จัดการของเธอจะต้องไปปรากฏตัวด้วย สิ่งที่เธอต้องการคือผู้ช่วยสักคนที่จะดูแลเรื่องจิปาถะอื่นๆ แต่นับตั้งแต่เหตุการณ์ของเหยียนซู ถังหนิงก็ไม่เคยมีผู้ช่วยอย่างจริงๆ จังๆ อีกเลย


 


 


“แต่ฉันต้องพูดว่าคุณเป็นพี่ชายที่ไม่ค่อยได้เรื่องนะ คุณไม่ชอบซิงเยียนเหรอ”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น โม่ถิงถึงกับอึ้ง ก่อนที่เขาจะตอบหลังผ่านไปครู่หนึ่ง “เธอจำเป็นต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง โลกนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวเธอ ต่อให้เราวางโอกาสที่จะได้เป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกไว้ตรงหน้า แต่ถ้าเธอไม่ตระหนักได้ด้วยตัวเอง เธอก็จะไม่มีวันเหมาะกับบทบาทนั้น”


 


 


“ก็ได้… ฉันว่าสิ่งที่คุณพูดฟังดูมีเหตุผลค่ะ” ถังหนิงพยักหน้าเห็นด้วย เพราะนั้นเป็นวิธีเดียวกันกับที่เธอเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ในอดีต ไม่ว่าคนจะพยายามโน้มน้าวเธออย่างไร เธอก็ไม่เคยฟัง เธอทั้งดื้อดึงและเอาแต่ต่อต้านจนเธอวิ่งมาถึงทางตัน ท้ายที่สุดด้วยเหตุการณ์ของหันอวี่ฝาน เธอจึงได้หูตาสว่างในที่สุด


 


 


“ไปอาบน้ำเถอะ…”


 


 


หลังเข้ามาภายในห้องนอน โม่ถิงก็วางถังหนิงลงและตบหลังเธอเบาๆ


 


 


ถังหนิงอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เธอจะวิ่งตามหลังอีกฝ่ายแล้วโอบเอวของเขาเอาไว้ “เราเคยทำ…’ รถโยก’ กันมาก่อนไหมคะ”


 


 


“หืม?”


 


 


“ฉันอยากจะเอาใจคุณต่ออีกหน่อย…” แก้มทั้งสองข้างของถังหนิงแดงระเรื่อ


 


 


โม่ถิงหันกลับมาแล้วอุ้มเธอกลับมาไว้ในอ้อมแขนพลางรีบเดินตรงไปที่ประตู


 


 


“คุณรีบขนาดนั้นเลยเหรอ เดี๋ยวลูกตื่นขึ้นมาจะทำยังไง”


 


 


ถึงยังไงตอนนี้พวกเขาก็เป็นพ่อแม่คนแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาต้องคำนึงถึงลูกชายทั้งสองเสมอ


 


 


ถังหนิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ต่อให้เธอคลอดลูกแล้วมันยังไงเหรอ นั่นหมายความว่าชีวิตของเธอจะต้องจืดชืดอย่างนั้นหรือ ต่อให้เธอเป็นคุณแม่ลูกสอง เธอก็ยังเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างเร่าร้อนกับโม่ถิง


 


 


หลังทั้งเดินมาถึงโรงจอดรถชั้นใต้ดิน โม่ถิงเลือกรถเอสยูวีของพวกเขา เพราะมันเป็นรถเพียงคันเดียวที่มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ


 


 


แม้ทั้งสองจะยังอยู่ที่บ้าน ถังหนิงก็พบว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นระรัวขณะที่เธอก้าวเข้าไปในรถ มันรู้สึกราวกับพวกเขากำลังมีความสัมพันธ์ต้องห้าม


 


 


“ถ้านี่ยังทำให้คุณตื่นเต้นไม่พอ… เราจะขับรถออกไปข้างนอกก็ได้นะ”


 


 


“จุ๊ๆ” ถังหนิงไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไปขณะที่เธอปิดปากอีกฝ่ายด้วยรสจูบ


 


 



 


 


หลังจากไป๋หลินหลินได้รับบทเรียนจากถังหนิง สถานการณ์ของเฉินซิงเยียนก็ดีขึ้นมาก เพราะถึงยังไงถังหนิงก็เป็นตัวแทนของโม่ถิง และโม่ถิงเป็นตัวแทนของไห่รุ่ย


 


 


ส่งผลให้เฉินซิงเยียนสามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกได้ในที่สุด หลังการร่วมงานอีเวนต์ เธอก็กลับมาถึงบ้านพร้อมกับความตัวเบาและผ่อนคลายขึ้นมาก


 


 


กระนั้น ในค่ำคืนนั้นเอง ขณะที่เธอกลับมาถึงอะพาร์ตเมนต์ของอันจื่อเฮ่า สิ่งที่กำลังรอเธออยู่กลับไม่ใช่อันจื่อเฮ่าแต่เป็นพ่อแม่ของอวิ๋นซิน…


 


 


“พวกคุณรอจื่อเฮ่าอยู่เหรอคะ”


 


 


“ไม่ วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของอวิ๋นซิน จื่อเฮ่าไปเยี่ยมที่หลุมศพของเธอ พวกเรากำลังรอเธออยู่ต่างหาก” ลุงอวิ๋นอธิบายพลางประคองป้าอวิ๋น


 


 


“อ๋อ ถ้างั้นเข้ามาด้านในก่อนสิคะ” เฉินซิงเยียนเชื้อเชิญพลางเปิดประตูบ้าน เมื่อทั้งหมดเข้ามาภายใน เธอก็รินชาชั้นดีให้ทั้งสองคนละแก้ว แต่ไม่เพียงป้าอวิ๋นจะไม่รับมันแล้ว เธอยังปัดมันทิ้งและกล่าว “ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แต่ฉันก็ต้องขอให้เธอเลิกกับอันจื่อเฮ่าซะ ไปให้พ้นจากลูกเขยของเรานะ!


 


 


“นับตั้งแต่ตอนที่จื่อเฮ่าตกลงไปจะเยี่ยมหลุมศพของอวิ๋นซิน ฉันก็รู้ดีว่าเขามีแต่ลูกสาวของเราอยู่ในใจ เขาไม่มีทางชอบเธอแน่ ถ้าเธอฉลาดพอ เธอควรจะไสหัวไปซะก่อนจะทำให้ตัวเองลำบาก!”


 


 


คำพูดของป้าอวิ๋นฟังดูไม่ดีนัก อีกทั้งนี่เป็นครั้งแรกของเฉินซิงเยียนที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นรักแรกของเธอ…


 


 


ดังนั้นเธอจึงไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร หรือพูดตามตรงคือเธอไม่รู้จะทำอะไรดี


 


 


“ฉันว่าฉันควรโทรหาจื่อเฮ่าดีกว่า…”


 


 


“โทรอะไรอีกล่ะ” ป้าอวิ๋นคว้าโทรศัพท์ของเฉินซิงเยียนออกจากมือของเธอแล้วขว้างมันลงกับพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง… 

 

 


ตอนที่ 739 อย่าแสร้งทำเป็นอ่อนแอต่อหน...

 

“เรามาที่นี่เพื่อเจอเธอโดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องบอกอันจื่อเฮ่า”


 


 


เฉินซิงเยียนมองดูโทรศัพท์ที่แตกเป็นเสี่ยงบนพื้นจากนั้นจึงหันขึ้นมามองผู้สูงอายุจอมเผด็จการสองคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอโกรธจัดจนมือทั้งสองข้างเริ่มสั่น


 


 


ลุงอวิ๋นสัมผัสได้ว่าเฉินซิงเยียนเกือบจะฟิวส์ขาดแล้ว เขาจึงรีบดึงป้าอวิ๋นมาอยู่ด้านหลังตัวเองเพื่อปกป้องเธอ จากนั้นเขาจึงพูดกับเฉินซิงเยียน “ถ้าเธอโกรธ ก็มาระบายกับฉัน อย่ากล้าแม้แต่จะแตะต้องตัวเมียของฉันนะ ที่จริงไม่ใช่เพราะเราไม่อนุญาตให้อันจื่อเฮ่าแต่งงานหรอก แต่เธอต่างหากที่ดีไม่พอสำหรับลูกเขยของเรา”


 


 


ให้ตายสิ… ช่างเป็นพ่อแม่ที่หัวแข็งและมั่นใจอะไรขนาดนี้!


 


 


ดวงตาเฉินซิงเยียนเริ่มแดงก่ำ เธอโกรธมากจนน้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมา


 


 


อย่างไรก็ตาม คำพูดที่ถังหนิงเคยพูดกับเธอก่อนหน้านี้พลันดังก้องขึ้นในความคิดของเธอ หากเธอไม่อยากถูกรังแก เธอต้องไม่ออมมือแม้ว่าเธอจะต้องสู้จนกว่าโลกจะแตกก็ตาม


 


 


ดังนั้นเธอจึงผลักชายแก่คนนั้นและกล่าว “อย่าคิดว่าฉันจะเคารพพวกนั้นแล้วออมมือให้นะ พวกคุณไม่สมควรได้รับการเคารพตั้งแต่แรกแล้ว อย่ามาขู่ให้ฉันกลัวด้วยการบอกว่าฉันไม่ดีพอ ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันเป็นน้องสาวของโม่ถิง ถ้าพูดเรื่องหัวนอนปลายเท้า อวิ๋นซินของพวกคุณไม่มีค่าพอจะมาถือรองเท้าให้ฉันด้วยซ้ำ!


 


 


“แล้วอย่าแสร้งมาทำเป็นลมหรืออ่อนแอต่อหน้าฉัน ถ้าพวกคุณกล้าทำแบบนั้น ฉันจะกระโดดออกไปจากชั้นสามเดี๋ยวนี้แล้วบอกตำรวจว่าพวกคุณบังคับให้ฉันฆ่าตัวตาย!”


 


 


ลุงอวิ๋นและป้าอวิ๋นต่างพากันตาเบิกโพลงขณะที่พวกเขาจดจ้องไปที่เฉินซิงเยียน พวกเขาไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อนและไม่เคยเจอใครที่ไร้ความปรานีกว่าพวกเขาเองเช่นนี้


 


 


เฉินซิงเยียนใช้อารมณ์ออกมาได้อย่างพอเหมาะและแสดงออกว่าพร้อมจะทำทุกอย่าง ซึ่งนั่นแน่นอนว่าเพียงพอที่จะทำให้สองตายายอึ้ง โดยเฉพาะป้าอวิ๋น… แผนเดิมที่เธอตั้งใจจะแกล้งเป็นลมกลับพลันไร้ประโยชน์ เธอทำได้เพียงเริ่มพูดอย่างตะกุกตะกักด้วยความโกรธพลางพูดซ้ำคำเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า “แก… แก…”


 


 


“พวกคุณบอกว่าฉันหน้าด้านใช่ไหม” เฉินซิงเยียนสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ในที่สุด จากนั้นเธอจึงพูดเย้ยหยันตายายทั้งสอง “ถึงมันจะฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องความหน้าด้านแล้วละก็ ฉันยังตามหลังพวกคุณอีกไกล ฉันกับอันจื่อเฮ่าคบกันอย่างเป็นทางการ ฉันเป็นแฟนเขา และมีฐานะชัดเจน แล้วพวกคุณเกี่ยวข้องอะไรกับเขาไม่ทราบ


 


 


“พวกคุณไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน… เขาแค่ดูแลพวกคุณมาหลายปีเพราะความมีศีลธรรมของเขา แต่พวกคุณกลับถือวิสาสะมาที่บ้านของเขาและบังคับให้เขาเลิกกับแฟนตัวเองเนี่ยนะ พวกคุณมันเหมือน ‘ชาวนากับงูเห่า’ ไม่มีผิด ที่ตอบแทนความมีน้ำใจด้วยความอกตัญญู”


 


 


“อวิ๋น…”


 


 


“ไม่ต้องมาพูดว่าเขาเป็นสาเหตุทำให้อวิ๋นซินตาย พวกคุณรู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าผู้หญิงคนนั้นตายได้ยังไง ถ้าคนอื่นมายืนในจุดเดียวกับพวกคุณ พวกเขาคงรู้สึกดีใจแค่ไหนแล้วที่ยังมีเงินไว้ซื้อข้าวกิน พวกคุณอยู่ในจุดที่ดีกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ พวกคุณคิดว่าตัวเองเป็นผู้ให้กำเนิดของอันจื่อเฮ่าหรือไง”


 


 


“ตาแก่… ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว… ฉันปวดหัวเหลือเกิน” ป้าอวิ๋นกล่าวพลางกุมศีรษะตัวเองก่อนจะเริ่มโงนเงนไปมาหลังได้ยินคำพูดของเฉินซิงเยียน คราวนี้เฉินซิงเยียนแสดงความไม่ละอายใจออกมาด้วยการเดินไปที่หน้าต่างและผลักบานหน้าต่างให้เปิดออก


 


 


“ถ้าคุณกล้าเล่นละคร ฉันจะกระโดดออกไปนอกหน้าต่างนี่เดี๋ยวนี้เลย ข้างนอกมีคนเยอะแยะที่เป็นพยานได้ มาดูสิว่าพวกคุณจะพูดแก้ต่างให้ตัวเองยังไง! ฉันเป็นคนดังอยู่แล้วยังไงก็มีคนสนใจ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น มาดูสิว่าพี่ชายของฉันจะปล่อยพวกคุณสองคนไปไหม”


 


 


เมื่อเห็นว่าเฉินซิงเยียนเอาจริง ลุงอวิ๋นก็ไม่กล้าปลุกปั่นอะไรเธออีก เขาจึงรีบแบกหญิงชราขึ้นหลังแล้วออกจากบ้านของอันจื่อเฮ่าเพื่อตรงไปยังโรงพยาบาลทันที


 


 


เฉินซิงเยียนตระหนักดีว่าป้าอวิ๋นนั้นกำลังรู้สึกป่วยจริงๆ ในตอนท้าย แต่เธอไม่อาจใจอ่อนในนาทีสุดท้ายแล้วแสดงความอ่อนแอออกมาได้ ดังนั้นเธอจึงฝืนตัวเองไปยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่าง เธอไม่เชื่อว่าสองตายายจะยังหน้าด้านต่อไปได้อีก


 


 


และเป็นไปตามคาด เธอสามารถบีบให้พวกเขายอมถอนตัวไปได้…


 


 


แต่ขณะที่เธอมองดูห้องนั่งเล่นที่กลับมาว่างเปล่า เธอก็พลันรู้สึกอ่อนล้า เธอถึงโทรหาถังหนิง “พี่หนิง ขอฉันไปอยู่ที่ไฮแอทรีเจนซี่สักสองสามวันได้ไหม ฉันอยากไปอยู่เป็นเพื่อนหลานๆ”


 


 


เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่าย ถังหนิงบอกได้ว่าเฉินซิงเยียนเพิ่งจะผ่านความเจ็บปวดอะไรมา เธอจึงตอบกลับ “ถ้าคุณอาอยากจะมา เธอคิดว่าฉันจะห้ามได้เหรอ”


 


 


เฉินซิงเยียนหาที่ไปที่ดีได้แล้ว เธอจึงรีบโทรเรียกแท็กซี่และมุ่งหน้าไปยังไฮแอทรีเจนซี่ทันที


 


 


ถังหนิงอดใจรอฟังเรื่องของเฉินซิงเยียนไม่ไหว แต่กลังจากที่เฉินซิงเยียนเดินทางมาถึง เธอกลับไม่พูดอะไรเลย กลับกัน เฉินซิงเยียนกลับโถมตัวเข้าสู่อ้อมแขนของถังหนิงและระเบิดน้ำตาออกมา จากนั้นเธอจึงไปเล่นกับเด็กทั้งสองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าเธอกับอันจื่อเฮ่าจะเลิกกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกหากเธอจะเอาเรื่องส่วนตัวของเขามาบอกคนอื่น แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นถังหนิง แต่เธอก็ยังคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ


 


 


ขณะที่ถังหนิงมองดูเฉินซิงเนียน เธอตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายได้เติบโตขึ้นอีกหน่อยแล้ว อย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้ว่าควรชั่งข้อดีข้อเสียก่อนจะลงมือทำอะไร


 


 



 


 


ในความเป็นจริงแล้ว นี่ไม่ใช่วันครบรอบวันตายของอวิ๋นซิน ลุงอวิ๋นพาป้าอวิ๋นมาที่บ้านของอันจื่อเฮ่าเพราะเขารู้ว่าอันจื่อเฮ่ามีประชุมตอนดึกจากสายโทรศัพท์ที่เขาคุยเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้ไม่เพียงแค่เขาไล่เฉินซิงเยียนออกไปไม่ได้ เขายังทำให้อาการของภรรยาตัวเองทรุดหนักขึ้นอีก เขาเป็นเหมือนโจรขโมยไก่ที่นอกจากจะทำพลาดในการขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียถุงข้าวสารไปอีกต่างหาก


 


 


ดังนั้นเขาจึงโกรธมาก เขาตัดสินใจโทรหาอันจื่อเฮ่า “จื่อเฮ่า มาที่โรงพยาบาลสักเดี๋ยวสิ คุณป้าของเธออาจจะไม่รอด”


 


 


อันจื่อเฮ่ากำลังอยู่ระหว่างการประชุม หลังจากรับสายโทรศัพท์และทำความเข้าใจกับผู้กำกับเฉินแล้ว เขารีบออกจากห้องประชุมทันที


 


 


แต่หลังจากเดินทางมาถึงยังโรงพยาบาลด้วยความหวั่นวิตก เขากลับพบว่าสองตายายกำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องและดูไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินอะไรเลย


 


 


อันจื่อเฮ่าหายใจลึก หลังสงบสติอารมณ์ได้แล้วเขาจึงเอ่ยถามขึ้น “คุณป้าเป็นอะไรงั้นเหรอครับ”


 


 


“จื่อเฮ่า มาได้เวลาพอดีเลย วันนี้ป้าของเธอกับฉันมีเจตนาดีไปเยี่ยมเธอที่บ้านมา แต่ยัยแฟนเด็กของเธอเรียกพวกเราว่าพวกหน้าด้านแล้วยังบอกว่าพวกเราเป็น ‘ชาวนากับงูเห่า’ ด้วย มันถึงขนาดทำให้ป้าของเธอโกรธจนเป็นลม…”


 


 


“เธอไม่ใช่คนแบบนั้น…” อันจื่อเฮ่าตอบ


 


 


“จื่อเฮ่า หลังผ่านมาหลายปีเธอเลือกจะเชื่อผู้หญิงที่เธอเพิ่งจะคบได้แป๊บเดียวแทนที่จะเชื่อลุงของเธองั้นเหรอ ฉันผิดหวังในตัวเธอจริงๆ”


 


 


“คุณลุง ดูแลคุณป้าไปก่อนนะครับ ผมจะกลับไปดูที่บ้านก่อน” อันจื่อเฮ่าหันหลังกลับแต่กลับถูกเรียกตัวเอาไว้


 


 


“จื่อเฮ่า…”


 


 


“ได้โปรดเถอะครับคุณลุง คุณลุงรู้ไหมว่าการประชุมคืนนี้ของผมสำคัญแค่ไหน เลิกคิดว่าโลกนี้หมุนรอบตัวพวกคุณสองคนเสียทีเถอะ ผมเป็นห่วงคุณป้าจากใจจริง แต่สุดท้ายคุณลุงกลับโกหกผม…” พูดจบ อันจื่อเฮ่าก็เดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองและรีบตรงกลับบ้าน


 


 


กระนั้นเมื่อเขาเดินทางมาถึงอะพาร์ตเมนต์ กลับไม่มีไฟดวงใดในบ้านเปิดอยู่เลยและเฉินซิงเยียนไม่ได้อยู่บ้าน แต่เขารู้ว่าเธอไม่มีงานอะไรในคืนนี้…


 


 


จากนั้นเขาจึงมองดูความเละเทะบนพื้นและโทรศัพท์ที่แตกละเอียดของเฉินซิงเยียน


 


 


เขารู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองถูกบีบเป็นเสี่ยงจนแทบหายใจไม่ออก…


 


 


“เด็กนั่นมีที่ให้ไปอยู่ไม่กี่ที่” อันจื่อเฮ่าพูดงึมงำกับตัวเองก่อนที่เขาจะโทรหาถังหนิง “เฉินซิงเยียนอยู่กับคุณใช่ไหม”


 


 


“หลังร้องไห้สักพักก็เพิ่งหลับไปน่ะ” ถังหนิงตอบตามตรง


 


 


“ขอโทษด้วยนะ…”


 


 


“คุณไม่ควรพูดขอโทษกับฉัน ไปทำอะไรให้ซิงเยียนเสียใจล่ะ คุณต้องแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา นั่นคือสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ แล้วอย่าบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างคุณสองคน ไม่มีใครเชื่อคุณหรอก”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม