อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 732-737

 ตอนที่ 732 คุณสำคัญกว่าชีวิต (3)

โดย

Ink Stone_Romance

               แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เมื่อเธอบอกว่า‘คิดถึงเขา’คำที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านับเป็นคำบอกรักหรือไม่ เขากลับมีเพียงยอมแพ้ ไม่อาจใช้สติไปแยกแยะจริงเท็จอย่างปกติของเขาได้เลย


               หากเป็นเรื่องโกหก เขาก็ยอม


               ปกติจูบของเย่เซียวมักดุเดือดร้อนแรง ไม่ปล่อยให้เธอได้มีพื้นที่ในหัวได้ขบคิดเรื่องอื่น


               ไม่นานไป๋ซู่เย่ก็ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ร้อนแรงที่เขามอบให้จนไม่อาจถอนตัว ในหัวเธอขาวโพลน รู้เพียงเธอชอบให้เขากอดตัวเองแน่นๆ แบบนี้ ชอบที่ได้สัมผัสตัวเขาอย่างใกล้ชิดและแท้จริง…


               เธอดูดดุนเรียวลิ้นชื้นของเขากลับ มืออ่อนนุ่มสอดเข้าใต้ร่มผ้าเขาโดยไม่รู้ตัว เย่เซียวครางฮึมในลำคอหนักๆ มือใหญ่คว้าจับมือนุ่มของเธอกลับคล้ายจะบดตัวเธอรวมเป็นร่างเดียวกับตัวเอง


               ไม่สนใจสถานที่เลย…


               เขาถอดชุดนอนของเธอให้ริมฝีปากได้ดูดดุนลาดไหล่เธออย่างบ้าคลั่งร้อนแรง ทิ้งร่องรอยกุหลายแสนจะคลุมเครือบนผิวขาวละเอียด ไป๋ซู่เย่หายใจหอบมือโอบกอดไหล่เขา สองขาของเธอถูกเขายกขึ้นสูงให้เกี่ยวเอวแกร่งเขาไว้


               ทั้งสองคน…


               ทุกอย่างยังไม่ทันเริ่มต้นก็เปียกชุ่มเพราะหยาดเหงื่อ


               แต่ว่า…


               จูบไปจูบไป เย่เซียวรู้สึกเธอในอ้อมแขนยิ่งตัวร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ…


               จูบไปจูบไป เธอรู้สึกว่าเขาที่อยู่ตรงหน้าเริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ…


               จูบไปจูบไป เธอเริ่มหมดแรงตอบสนองเขา…


               จูบไปจูบไป เธอตัวอ่อนยวบในอ้อมแขนของเขา…


               “ซู่ซู่!” เย่เซียวจับสังเกตถึงความผิดปกติได้เลยกอดเธอไว้แน่น ตัวเธอที่อ่อนระทวยไถลลงไป สองขาไม่มีแรงจะทรงตัวได้อีกเพราะเจ้าตัวได้หมดสติไปแล้ว


               “ซู่ซู่!ซู่ซู่!”


               เย่เซียวนั่งย่อลงกับพื้นโดยกอดเธออยู่ เรียกสองทีแต่เธอไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ


               “ถังเจวี๋ย!” เย่เซียวช้อนตัวเธอขึ้นทีเดียวก้าวขายาวขึ้นไปชั้นบนพลางตะโกนเรียกเสียงดัง “ถังเจวี๋ย!”


               ถังเจวี๋ยกำลังคาดสายรัดชุดนอนอย่างเกียจคร้าน เดินหาววอดออกมาจากห้องนอนและกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของเย่เซียว“เรียกหมอ!รีบเรียกหมอมาเร็ว!”


               เมื่อถังเจวี๋ยเห็นไป๋ซู่เย่ที่นอนหมดสติในอ้อมแขนเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบปรับสีหน้าให้จริงจังก่อนจะกดโทรออกโดยไม่ถามให้มากความ     ………………


               ไป๋ซู่เย่ถูกวางไว้บนเตียงของเย่เซียว


               เธอไข้ขึ้นอีกแล้ว


               ไข้ขึ้นสูงถึงขั้นไม่มีสติ ใบหน้าดวงเล็กขาวซีดไร้สีเลือดฝาด


               คุณหมอกำลังตรวจอาการให้ด้วยใจที่หวั่นเกรง


               เย่เซียวระงับอารมณ์ไว้ “คุณบอกว่าถ้าฉีดยาของคุณแล้วไข้เธอจะลดไม่ใช่เหรอ? นี่อาการแย่ลงชัดๆ”


               “เย่เซียว พอได้แล้ว อย่าทำหน้าน่ากลัวนัก คุณหมอหลินจะตกใจแย่” ถังเจวี๋ยพูดปลอบอยู่ข้างๆ


               ท่าทางที่เย่เซียวตีหน้าเย็นชานั้นน่ากลัวจริงๆ แม้แต่เขาถังเจวี๋ยยังรับไม่ไหว อย่าว่าแต่คนอื่นเลย


               “ตอนนี้มันยังไงกันแน่?” เย่เซียวถามต้อนคุณหมอหลินด้วยสีหน้าที่ไม่คลายความตึงเครียดลงสักนิด


               “นายอย่ากังวลเกินไป แผลอักเสบแล้วมีไข้มันปกติ” ถังเจวี๋ยยังคงปลอบเย่เซียว


               “นายท่าน คุณเย่เซียว กลัวแต่ว่า…ไข้ขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่แค่แผลอักเสบธรรมดา” คุณหมอหลินเอ่ยขึ้นกะทันหันด้วยใบหน้าหนักอึ้ง น้ำเสียงแฝงด้วยความหวาดระแวง


               เย่เซียวหน้าดุดัน “นี่หมายความว่ายังไง?!”


               คุณหมอหลินมองสีหน้าเย่เซียวแวบหนึ่งพลางเม้มปากไปมาไม่กล้าพูด


               “กลัวอะไร มีอะไรก็พูดมา!” ถังเจวี๋ยขมวดคิ้วสวย


               “นายท่าน นายท่านรู้จักตัวอ่อนยุงก้นปล่องของทะเลทรายมั้ยครับ?”


               “เหลวไหล ฉันต้องรู้อยู่แล้ว แต่ว่าที่ทะเลทรายซ่าเหยียนไม่เคยมีเจ้าตัวนี้มาก่อนเลย”


               “แต่ตอนนี้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว…”


               ถังเจวี๋ยตกใจ“ความหมายของคุณคือ…”


               “อะไรคือตัวอ่อนยุงก้นปล่อง?” เย่เซียวรู้จักทะเลทรายน้อยเกินไป เขาไม่เคยได้ยินแมลงชนิดนี้มาก่อน แต่เห็นจากสีหน้าของถังเจวี๋ยเขารับรู้ทันทีว่านี่ต้องไม่ใช่แมลงธรรมดา


               ถังเจวี๋ยทำหน้าตึงเครียด “คุณหมอหลิน อาการนี้จะวินิจฉัยเหลวไหลไม่ได้นะ คุณต้องดูให้แน่ชัดนะ!”


               คุณหมอหลินปัดผมของไป๋ซู่เย่ไปเพื่อโชว์เนื้อลำคอด้านหลังของเธอ


              “คุณดูสิ ตรงนี้…คิดว่าน่าจะเป็นแผลที่ถูกตัวอ่อนยุงก้นปล่องกัด ตัวอ่อนยุงก้นปล่องปล่อยสารพิษทางนี้ ระยะที่โรคฟักตัวคือภายในสองวัน หลังสองวันจะไข้ขึ้นซ้ำๆ ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที ตัวแบคทีเรียจะแผ่กระจายเข้าในอวัยวะภายใน ภายในหนึ่งสัปดาห์ ก็จะตายเพราะระบบอวัยวะภายในพัง…”                เย่เซียวหายใจขาดห้วงดวงตาแดงก่ำ เขากระชากคอเสื้อคุณหมอไว้ด้วยมือเดียวแล้วลากตัวเขาเข้าหาตัวเอง อีกมือหยิบปืนจ่อตัวเขา “คุณพูดอีกทีสิ!ตัวอ่อนยุงก้นปล่องอะไร เมื่อกี้เธอยังอยู่ดีๆ อยู่เลย!”                เพราะอารมณ์ที่รุนแรงเกินไป เวลาเขากัดฟันพูดทุกคำออกมาจึงตัวสั่นระริก


               “เย่เซียว นายใจเย็นหน่อย!ฆ่าเขาก็ไม่ได้ช่วยอะไร!” ถังเจวี๋ยจับกระบอกปืนของเย่เซียว


 คุณหมอตกใจจนเหงื่อแตกพลั่กและร่างกายสั่นเทา “นายท่าน ผม…ผมพูดความจริงทั้งนั้น ตอนนี้ตัวอ่อนน่าจะยังอยู่ใต้ผิวหนัง ต้องรีบเอาตัวอ่อนนั่นออกมาให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นอาการมีแต่จะแย่ลง”


 เย่เซียวหายใจหอบหนัก สติค่อยๆ ถูกดึงกลับมา


 ถังเจวี๋ยสบโอกาสนี้แย่งปืนจากเขาไป แค่ถามคุณหมอหลินต่อ “คุณ เอามันออกมาได้มั้ย?”


 “ผมทำได้ แต่ว่า…”


               “แต่ว่าอะไร?”


 “แต่ว่าตอนนี้ไวรัสได้ฝังอยู่ในร่างกายของเธอ ฉะนั้นการเอาตัวอ่อนออกมาเป็นแค่ขั้นแรก ขั้นที่สองยังคงต้องได้รับยารักษา”


 “งั้นก็รักษาสิ!เขียนรายการยามา ฉันไปเอาเอง”


 “นายท่าน เอาไม่ได้หรอก!ยาที่ไว้รักษาไวรัสตัวอ่อนยุงก้นปล่องทุกวันนี้ยังไม่มีขายในตลาดเลย เกรงว่าต้องลองไปถามคุณชายถังซ่งดู”


               “คุณ ตอนนี้รีบเอาตัวอ่อนออกมา ฉันจะไปโทรหาถังซ่ง!” เย่เซียวทิ้งคำไว้แล้วรีบสับเท้าออกจากห้องอย่างไม่รอช้า ถังเจวี๋ยรีบเรียกทีมพยาบาลของตระกูลถังมาทั้งหมดเพื่อทำการตรวจร่างกายทั้งตัวให้เธอ วินิจฉัยโรค รอมั่นใจก็จะทำการผ่าเอาตัวอ่อนออกมา     ………………


 ถังซ่งกำลังนอนอยู่


 สะลึมสะลือไม่ได้สติครบครันนัก


 “ฮัลโหล ใครเนี่ยโทรมาดึกดื่น ไม่รู้หรือไงว่ารบกวน…”


 “ยารักษาพิษตัวอ่อนยุงก้นปล่อง นายมีมั้ย?” เย่เซียวพูดขัดประโยคกล่าวโทษของเขา


 “เย่เซียว?” เดิมทีถังซ่งยังงัวเงียอยู่แต่พอนึกถึงบางอย่างเจ้าตัวก็ตื่นในทันที กระเด้งตัวลุกจากเตียงฉับพลัน “นายถูกตัวอ่อนยุงก้นปล่องกัดเหรอ?”


“ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นเธอ!” มือที่ทิ้งข้างลำตัวของเย่เซียวกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดหลังมือปูดโปน


ให้ตาย!เขายอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกกัดยังจะดีกว่า!


“เธอ? ไป๋ซู่เย่!”


“นายอย่าพล่ามเยอะขนาดนั้น มียาหรือเปล่า?”


“ฉันไม่มี นี่เป็นโรคสายพันธุ์ใหม่ โอกาสตายร้อยละร้อย ไม่เคยมีใครมีชีวิตรอด”


“นายเป็นอัจฉริยะด้านการแพทย์ไม่ใช่หรือไง?” เย่เซียวตะคอกเสียงดังด้วยห้วงอารมณ์ที่ใกล้ระเบิดเต็มที “ไม่มียาอะไรเลย นายเป็นอัจฉริยะด้านการแพทย์บ้าอะไร!”


เสียงตะคอกที่ดังจากปากเริ่มเปลี่ยนโทนเสียงไปบ้างเล็กน้อย ตายร้อยละร้อยบ้าอะไร ถ้าเขาไม่ได้พยักหน้าตกลง แม้แต่ยมบาลก็ห้ามเอาชีวิตเธอไป!


ถังซ่งไม่เคยเห็นเย่เซียวเป็นแบบนี้มาก่อน เขากล่าว“นายอย่าเพิ่งใจร้อนขนาดนั้น ถึงฉันจะไม่มียา แต่ฉันรู้ว่าใครน่าจะมี”


“ใคร?”


………………………


ตอนที่ 733 คุณสำคัญกว่าชีวิต (4)

โดย

Ink Stone_Romance

 “ใคร?”


 “ในมือพ่อบุญธรรมของนายอาจจะมี” ถังซ่งอธิบาย “ยารักษาไวรัสชนิดนี้ฉันกับคุณหมอประจำตัวพ่อบุญธรรมของนายข่ายปินช่วยกันคิดค้นมันมาเมื่อสองปีก่อน แต่ตัวยาหนึ่งในนั้นมันเอาออกมาได้ยากมาก เพราะฉันยุ่งเกินไปเลยลืมเรื่องนี้ บางทีข่ายปินอาจจะเอามันออกมาได้สำเร็จแล้วก็ไม่แน่”


 “แล้วก็!” ถังซ่งตักเตือน “นายต้องระวัง ไวรัสนี้มันติดต่อทางเลือด ฉะนั้นอย่าให้เลือดของเธอโดนแผลของนาย เข้าใจมั้ย?”


เย่เซียวไม่ได้พูดพล่ามอะไรกับถังซ่งต่อ รีบโทรสายตรงหาข่ายปินโดยทันที


ข่ายปินได้ยินเข้ารีบถาม “นายน้อย คุณถูกตัวอ่อนยุงก้นปล่องกัดหรือครับ?”


 “คุณแค่บอกมาว่ามีหรือไม่มี!”


“มี คุณวางใจได้ ทีมรักษาของเราจะรักษาให้คุณอย่างเต็มที่ ไม่มีทางเป็นอะไรไปได้”


 “ดี ให้ทีมรักษาของคุณเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้ผมจะบินกลับไป!”


………………


วันรุ่งขึ้นเช้าตรู่


ถังเจวี๋ยเป็นคนส่งพวกเขาออกจากทะเลทรายด้วยตัวเอง


บนเครื่องบินส่วนตัวของถังเจวี๋ยไป๋ซู่เย่ยังอยู่ในสภาวะหมดสติและตัวร้อน เย่เซียวให้เธอนอนบนตักตัวเองส่วนมือของเขาคอยประสานจับมือเธอแน่นเสมอไม่ปล่อยสักวินาทีเดียว


หยูอันเดินมา ถอนหายใจพูดเกลี้ยกล่อม “นายท่าน พักหน่อยเถอะ”


ตั้งแต่เมื่อคืนถึงตอนนี้เย่เซียวไม่ได้พักสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ตอนผ่าเอาตัวอ่อนเขารออยู่ข้างนอก รู้สึกว่าทุกวินาทีนั้นช่างยาวนาน


 “ไม่ต้องหรอก ถามกัปตันสิว่าอีกนานแค่ไหนจะถึงเมืองเยียว” เขาเอ่ยปาก ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนล้า


 “บอกว่าอย่างน้อยอีกสองชั่วโมง หลี่สือรอที่สนามบินแล้ว แค่ลงจากเครื่องก็รีบไปที่ห้องทดลองของคุณหมอข่ายปินได้ทันที”


เย่เซียวพยักหน้า ก้มมองท่าทางเจ็บปวดของเธอแล้วก็รู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ เขากุมกระชับมือเธอแน่นและวางจรดริมฝีปากเบาๆ นิ้วมือลูบไล้หลังมือเธอแผ่วเบาคล้ายว่าจะช่วยบรรเทาความเจ็บแก่เธอได้สักนิด แต่เขากลับรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้ที่เขาทำนั้นไม่ได้ช่วยอะไร!


ความรู้สึกที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อเธอ ได้แต่นั่งมองเธอถูกเชื้อไวรัสทรมานแบบนี้มันแย่ที่สุดเลย!


 “นายท่าน มีเรื่องหนึ่งคุณเคยคิดไว้ก่อนหรือเปล่า…” หยูอันทำหน้าหนักอึ้ง กล่าวขึ้นช้าๆ “คุณหมอข่ายปินคอยรับใช้คุณไฟเรนเซ่เพียงคนเดียวมาตลอด ตอนนี้ให้เขารักษาคนนอก เกรงว่า…”


เย่เซียวย่อมเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน


จะให้ข่ายปินรักษาคนนอกล้วนต้องได้รับคำอนุญาตจากพ่อบุญธรรม ส่วนท่าทีที่พ่อบุญธรรมมีต่อเธอ…จะให้เขาพยักหน้า แทบเป็นไปไม่ได้


 “ไปเอากระบอกฉีดยาในกล่องปฐมพยาบาลมา” อยู่ๆ เย่เซียวก็พูดสั่ง


หยูอันไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ทำตาม


เย่เซียวหยิบกระบอกฉีดยาอันใหม่มาก่อนพับแขนเสื้อไป๋ซู่เย่ขึ้น หลังทาแอลกอฮอล์พลางหาเส้นเลือดอย่างแม่นยำ ดูดเลือดเล็กน้อยโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวหรือไม่แม้แต่กระทั่งย่นคิ้วสักนิด


 “นายท่าน นี่คุณ…” หยูอันขมวดคิ้ว


เย่เซียวไม่พูดอะไร แค่เก็บกระบอกฉีดยาไว้บนตัวให้ดี


 “นายไม่ต้องสนใจ ฉันมีขอบเขต”


 “ถ้าเกิดยาพวกนั้นมีผลข้างเคียง!” หยูอันอดพูดเสียงสูงไม่ได้ ยาพวกนั้นไม่ถูกส่งไปที่ตลาด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยผ่านการทดลองจากมนุษย์ตัวเป็นๆ หรือไม่


แต่เทียบกับความตื่นตระหนกของเขาแล้วเย่เซียวกลับใจเย็นเรียบนิ่ง “นายไปเถอะ ฉันอยากพักผ่อนแป๊บหนึ่ง”


หยูอันอยากถามเขาเหลือเกินว่าเพื่อผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงที่เคยทำร้ายเขา ทำถึงเพียงนี้มันคุ้มจริงๆ หรือ?


แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ถามไป


เพราะเขารู้ดี…


ว่าคงเป็นการถามที่เสียแรงเปล่าเท่านั้น


ขณะที่ชีวิตตัวเองไม่มีความสำคัญใดๆ อีกต่อไปยามอยู่ต่อหน้าใครสักคน ก็ไม่มีคำว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม มีแค่ความสมยอมและความเสียสละอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


…………………………


รถของเย่เซียวขับตรงไปยังห้องทดลองของข่ายปินอย่างโอ่อ่า


ทีมพยาบาลของข่ายปินได้เข็นไป๋ซู่เย่เข้าห้องตรวจไปแล้ว


สักพักข่ายปินวิ่งมาจากห้องทดลองอย่างเร่งรีบ


 “นายน้อย!”


 “รีบตรวจร่างกายให้เธอ เอายาออกมา!” เย่เซียวพูดสั่งข่ายปิน


ข่ายปินทำหน้าหนักใจ เขารับรู้แล้วว่าคนที่โดนพิษจากตัวอ่อนยุงก้นปล่องนั้นไม่ใช่เขา แต่เป็นผู้หญิงที่หมดสติซึ่งถูกเข็นเข้าห้องตรวจก่อนหน้านี้


 “นายน้อย คุณรู้ดีว่าตลอดชีวิตของผมจะรักษาแค่คุณไฟเรนเซ่ ถ้าไม่มีคำอนุญาตของคุณไฟเรนเซ่ ผมไม่มีทางรักษาให้คนอื่นได้ ดังนั้น…”


เย่เซียวไม่มีความอดทนที่จะฟังเขาพูดให้จบประโยค


หยูอันได้รับสัญญาณจากสายตาเขาก่อนจะเอาปืนจ่อหัวข่ายปิน ข่ายปินหยุดหายใจชั่วขณะพร้อมยกสองแขนขึ้น หยูอันกัดฟันกรอด “นายท่านไม่ได้ล้อเล่นกับคุณ ถ้าวันนี้คุณไม่รักษาคุณไป๋ให้ดี คุณก็เตรียมเก็บศพให้ตัวเองเถอะ!”


 “นายน้อย…” ข่ายปินไม่กล้าตกลง


 “หยูอัน จะทำอะไรคนของฉัน ต้องถามความคิดเห็นฉันก่อนหรือเปล่า!” เสียงน่าเกรงขามดังขึ้นฉับพลัน


ทุกคนต่างหันไปตามต้นเสียงเห็นเพียงเฉิงหมิงที่กำลังเข็นไฟเรนเซ่มาจากทางเดินที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงล้อเก้าอี้เข็นที่สร้างความกดดันแก่สถานการณ์นี้


แววตาเฉียบคมของไฟเรนเซ่กวาดผ่านทุกคนและชำเลืองมองหยูอันแวบหนึ่ง หยูอันโค้งตัวเล็กน้อย “คุณไฟ”


แต่ปืนในมือไม่ได้ถูกเก็บ


ไฟเรนเซ่ทำหน้าดุดันเย็นยะเยือก “แกกล้าเอาปืนจ่อคนของฉันเพื่อผู้หญิงที่ตอนนั้นฆ่าพี่น้องพวกแกไปตั้งมากแล้วงั้นเหรอ!”


หยูอันสะท้านเพราะแววตาของเขาไปชั่วขณะ แต่เจ้าตัวยืนนิ่งตัวตรงเช่นเดิม “ขออภัยคุณไฟ ตอนนี้ผมกำลังทำงานให้นายท่านของเรา ท่านอยากช่วย ถ้าอย่างนั้นผมก็จะช่วย”


ไฟเรนเซ่แค่นเสียงที “จงรักภักดี ถือว่าเขาดูคนไม่ผิด!แต่คนของฉันก็จงรักภักดี อย่างเช่น คุณหมอข่ายปิน”


 “พ่อบุญธรรม” ทีนี้เย่เซียวถึงกล่าวทักทายแต่ยังคงสีหน้าเรียบตึง


ไฟเรนเซ่จรดสายตาที่เขา “แกเพิ่งรู้จักฉันวันแรกเหรอ? เอาปืนมาข่มขู่คนของฉัน มีประโยชน์เหรอ?”


เย่เซียวเกร็งหน้าแน่น เขาไม่อยากพูดให้มากความจึงถามอย่างตรงไปตรงมา “แล้วต้องทำยังไงท่านถึงจะยอมตกลง ให้ข่ายปินช่วยเธอ?”


 “ทำไมฉันต้องพยักหน้าตกลง?” ไฟเรนเซ่ถามย้อนโดยไม่ตอบคำถาม “เย่เซียว ฉันไม่ใช่คนขี้ใจอ่อน และไม่ได้ทำการกุศล บนโลกนี้มีคนต้องการให้ฉันช่วยเหลือมากเกินไป ถ้าฉันช่วยทุกคน ฉันทำไหวเหรอ?”


เย่เซียวยังขบกรามแน่นเหมือนเดิมและแสดงท่าทีหนักแน่น “ขอแค่ท่านยอมช่วยเธอ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”


 “ฉันจะให้แกทำอะไรได้อีก?” ไฟเรนเซ่โบกมือปัด “ฉันขอแค่แกไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ตอนนี้เธอตายแล้ว ยิ่งสมใจฉัน แกว่า ฉันจะช่วยเธอเพื่อแกได้มั้ย?”


เย่เซียวมองไฟเรนเซ่ด้วยแววตาหนักแน่นวูบหนึ่ง


ทันใดนั้นเองเขาควักกระบอกฉีดยาจากกระเป๋า กัดฝาหุ้มทิ้งแล้วปักต้นขาตัวเองอย่างไม่ลังเล ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด


 “นายท่าน!” หยูอันร้องขึ้นมา รีบรุดหน้าไปหาโดยไม่คิดจะสนใจข่ายปินอีก


………………………


ตอนที่ 734 รักที่ไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้ (1)

โดย

Ink Stone_Romance

 “นายท่าน!” หยูอันร้องขึ้นมา รีบรุดหน้าไปหาโดยไม่คิดจะสนใจข่ายปินอีก


แต่สายไปเสียแล้ว…


เย่เซียวได้ฉีดเลือดที่ติดเชื้อไวรัสเข้าร่างตัวเอง


ทุกคนต่างตกใจกับการกระทำของเขาหลังรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


ไฟเรนเซ่เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขาตบล้อเก้าอี้เข็นทีหนึ่งเพื่อให้ยันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล กางมือตบหน้าเย่เซียวฉาดใหญ่ ตะคอกเสียงกร้าวด้วยแรงอารมณ์ “เจ้าคนไม่รักดี!นี่แกกล้ามาไม้นี้กับฉันงั้นเหรอ!แกกล้าสละชีวิตเพื่อผู้หญิงคนเดียวงั้นเหรอ!”


 “ผมเคยสัญญากับเธอว่าจะไม่ปล่อยให้เธอตาย และไม่มีวันที่จะรอดไปคนเดียว!” ดวงตาเย่เซียวหนักแน่น ต่อให้เผชิญกับความตายก็ไม่หวั่นไหวยำเกรง มีแต่ความดื้อรั้น


ไฟเรนเซ่หอบหายใจหนัก ยกนิ้วชี้เขา “ชีวิตของแกเป็นของฉัน!ฉันเป็นคนให้แก!ไม่ได้รับคำอนุญาตของฉันใครอนุญาตให้แกตาย!ข่ายปิน แกช่วยชีวิตมันให้ได้!ถ้ามันตาย พวกแกก็ต้องตายตามไปทั้งหมด!”


“นายน้อย รีบเข้าไปในห้องตรวจกับผมเลยครับ!” ข่ายปินไม่กล้าชักช้า คนในทีมรักษาที่อยู่ด้านหลังต่างก็ใจหล่นวูบกันทั้งนั้น


เย่เซียวกลับไม่สะทกสะท้าน แค่จ้องไฟเรนเซ่ ไฟเรนเซ่จ้องกลับอย่างวาวโรจน์ “อยากให้ฉันยกแกเข้าไปด้วยตัวเองหรือไง?!”


 “เอาปืนบังคับให้ผมไปก็เปล่าประโยชน์ ผมแค่ต้องการให้ท่านยอมช่วยเธอ”


 “ถ้าฉันไม่ช่วยล่ะ?” ไฟเรนเซ่กัดฟันกรอด


 “งั้นท่านก็อาจจะช่วยผมไม่ได้!การมีชีวิตอยู่ต่อมันยาก แต่การตายกลับง่ายมาก!”


ไฟเรนเซ่แทบจะเป็นลมเพราะอารมณ์เดือดพล่าน นิ้วมือที่ชี้เขาสั่นระริกอยู่กลางอากาศ “ดี ดีมาก!บนโลกนี้ก็มีแค่แกที่กล้าขู่ฉัน!ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฉันยิงกะโหลกมันไปแล้ว!”


เย่เซียวไม่มีท่าทีหวาดหวั่น


 “ได้ จะให้ช่วยเธอก็ได้ แต่แกต้องตกลงเงื่อนไขหนึ่งข้อ!ไม่อย่างนั้น ต่อให้ตอนนี้ช่วยเธอให้ฟื้นได้ แต่ไม่มียารักษาที่ต่อเนื่อง เธอก็ไม่รอดอยู่ดี!”


 “ท่านพูดมาเลย”


 “รอพวกแกหายดี รีบแต่งงานกับน่าหลัน!ไม่ใช่แค่จัดงานแต่งงาน แต่ต้องจดทะเบียนสมรสจริงๆ!”


 “…” คราวนี้เปลี่ยนเป็นเย่เซียวที่เงียบ


ไฟเรนเซ่ถอยกลับไปนั่งบนเก้าอี้เข็นพลางแค่นหัวเราะที “ดูเหมือนความคิดแกที่อยากช่วยเธอไม่ได้หนักแน่นอย่างที่ฉันคิดไว้ ได้ พวกแกอยากตายด้วยกันก็ไปตายด้วยกัน!เฉิงหมิง เข็นฉันไป!”


 “คุณไฟ!” เฉิงหมิงเรียกขานเสียงต่ำทีหนึ่ง


 “ไป!” ไฟเรนเซ่แค่นหัวเราะอีกที จากนั้นหันมาสบตาเย่เซียว “รอแกตาย ทุกปีที่จุดธูปไหว้แกฉันจะบอกแกให้รับรู้ว่าแม่ของแกกำลังโดนคนที่เกลียดชังโกรธแค้นแกทรมานแบบไหนอยู่!ถึงตอนนั้น แกอย่าหาว่าฉันไม่สนใจแม่ของแก!”


 “พ่อครับ!” เย่เซียวหันหลังมาจ้องแผ่นหลังนั่น


ไฟเรนเซ่กลับไม่ยอมหันมา


เย่เซียวกำหมัดที่ทิ้งข้างลำตัวแน่น เขากล่าวเสียงนิ่ง “ผมตกลง!”


 “แกพูดอีกทีสิ!”


 “ขอแค่ท่านยอมช่วยเธอ ไม่ว่าอะไรผมก็ตกลง!”


 “นี่แกพูดเองนะ มีคนมากมายเป็นพยานอยู่ตรงนี้ แกต้องพูดได้ทำได้!”


เย่เซียวตีหน้าเรียบตึง เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำ“ผมพูดได้ทำได้!”


 “ดี ช่วย!” ไฟเรนเซ่สั่ง ทุกคนในที่นี้ล้วนพรูลมหายใจยาว


ข่ายปินกล่าว “นายน้อย เชิญตามเราเข้าไปในห้องตรวจโดยด่วน”


เย่เซียวไม่ยอม ตอบเพียง “ให้เธอตรวจก่อน”


ข่ายปินทำอะไรไม่ได้ จำต้องให้ทีมพยาบาลรีบเข็นไป๋ซู่เย่เข้าไปในห้องตรวจทันที


ไฟเรนเซ่แค่นเสียงที ให้เฉิงหมิงเข็นตัวเองไปจากตรงนี้ การไม่เห็นคงดีที่สุด!


 “นายท่าน” หยูอันเข้ามาหาอย่างเป็นห่วง


 “ฉันไม่เป็นไร” เย่เซียวเงียบไปอึดใจ “เรื่องเมื่อกี้ ห้ามพูดต่อหน้าเธอแม้แต่คำเดียว!”


หยูอันไม่เข้าใจเสียจริง เย่เซียวยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอแล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกเธอ?


…………


เย่เซียวนั่งอยู่นอกห้องตรวจรอ สองมือลูบหน้าและประสานอยู่ใต้จมูก


ในหัวเดี๋ยวเป็นประโยคที่เธอพูดเมื่อคืน ‘ฉันคิดถึงคุณมากๆ’ เดี๋ยวเป็นประโยคของพ่อบุญธรรม ‘แต่งงานกับน่าหลันทันที’…


สองประโยคประเดประดังสลับกันไปมาราวกับเลื่อยที่ตัดเส้นประสาทเขาอยู่ไม่ขาดสาย


เขารู้สึกปวดศีรษะคล้ายว่าจะระเบิดอยู่ทุกเมื่อ


สูดหายใจเข้าลึก เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาและแตะนิ้วสัมผัสหน้าจอสักครู่ คลิปเสียงหนึ่งดังขึ้น


เขาหลับตา เอนตัวพิงเก้าอี้โดยที่ศีรษะแตะกำแพงเย็นยะเยือกด้านหลัง


 ‘เย่เซียว รับโทรศัพท์ได้แล้ว’


 ‘เย่เซียว รับโทรศัพท์ได้แล้ว’


……


เสียงที่ดังเข้าโสตประสาทไม่หยุดหย่อน เสียงนั้นเหมือนเป็นยารักษาเขาที่ได้ผลที่สุด เขาคอยรับฟังอย่างหลงใหลจนรู้สึกความปวดตรงศีรษะที่บรรเทาลงบ้าง


“นายท่าน?”


 “นายท่าน?”


“นายท่าน!”


หยูอันเรียกเขา แต่เสียงของหยูอันค่อยๆ ห่างไปเรื่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ…


กระทั่งท้ายที่สุดเขาล้มตึงกับพื้นดัง‘ปึง–’ภาพตรงหน้ามืดสนิท ไม่ได้ยินเสียงของหยูอันอีกต่อไป…


…………………………


ไป๋ซู่เย่ฟื้นมาอีกทีคืออีกหนึ่งคืนหลังจากนั้น มีเข็มสายน้ำเกลือปักอยู่หลังมือโดยมีถุงน้ำเกลือหลายถุงห้อยอยู่บนราว


เธอรู้สึกเหมือนโดนรถทับทั้งตัว หนักอึ้งเสียจนแม้เธอจะขยับปลายนิ้วเดียวยังเป็นเรื่องยาก


เธอกวาดมองรอบข้าง เห็นเพียงสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตา


สีขาวโพลน


ขาวจนตาลายวิงเวียนศีรษะ


ยังมีกลิ่นฉุนจมูกของยาที่หลากหลาย


นี่คือที่ไหน?


เธอเป็นอะไรไป?


ไป๋ซู่เย่คิดว่าตัวเองไม่ใช่อาการไข้ขึ้นเพราะแผลอักเสบธรรมดา จากสถานการณ์ของเธอในเวลานี้ทรมานกว่าไข้ขึ้นสูงมากนัก


 “คุณอย่าขยับ!” กำลังคิดจะลุกขึ้น ประตูก็ถูกผลักเข้ามา คนที่เข้ามาคือถังซ่ง


เห็นเขา ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก


อย่างน้อยก็เป็นคนคุ้นเคย


 “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ไป๋ซู่เย่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเบาหวิว เธอทิ้งตัวกลับไปใหม่


 “คุณป่วย เย่เซียวไม่ไว้วางใจคนรักษาที่นี่เลยให้ผมมาเฝ้าเอง เผื่อว่าระหว่างนี้พวกเขาคิดจะเล่นอะไรอีก” ถังซ่งเดินมาข้างเตียง “นอนดีๆ ผมขอเช็คตาคุณหน่อย”


ไป๋ซู่เย่นอนราบอย่างดี ไฟฉายของถังซ่งสาดแสงลงมาจนเธอปวดตาไปหมด


 “ฉันอยู่ที่ไหนเหรอ?”


 “ในห้องวิจัยของคุณหมอข่ายปิน อ้อ เขาเป็นคนคุณหมอประจำตัวของไฟเรนเซ่”


 “แล้ว…ฉันมาที่นี่ได้ยังไง?” ไป๋ซู่เย่มองถังซ่งแวบหนึ่ง “ก่อนหน้านี้คุณหมอบอกว่าฉันไข้ขึ้นเพราะแผลอักเสบ แต่ตอนนี้ดูท่าทางแล้วจะไม่ใช่”


“ที่ของพี่ผมทำไมถึงมีหมอห่วยๆ แบบนั้น?” ถังซ่งเก็บไฟฉาย อธิบายอาการของเธอให้เธอฟัง


ไป๋ซู่เย่ฟังจบแทบจะถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงทันที “แล้วเย่เซียวล่ะ? เขาอยู่กับฉันตลอดเวลา เขาถูกกัดบ้างมั้ย?”


 “คุณสนใจตัวเองให้ดีก่อนเถอะ”


 “เย่เซียวเป็นยังไงกันแน่?”


ถังซ่งนึกถึงคำสั่งของเย่เซียวที่ย้ำนักหนา จึงกล่าวเพียง “คุณสบายใจได้ เขาไม่เป็นอะไร”


 “จริงเหรอ?”


 “อือฮึ”


ไป๋ซู่เย่ถึงเบาใจลง “แล้ว ตอนนี้เขาอยู่ไหน?”


 “เขายุ่งมาก มีงานที่ต้องจัดการหน่อย อีกอย่างคุณก็รู้ว่าพ่อบุญธรรมของเขาไม่ชอบคุณมากขนาดไหน ฉะนั้น…ระยะนี้ เขาอาจจะมาพบคุณไม่ได้”


…………………………


ตอนที่ 735 รักที่ไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้ (2)

โดย

Ink Stone_Romance

 “…อ่อ” ไป๋ซู่เย่หยักหน้ารับ แม้บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าอย่าสนใจ แต่ความผิดหวังก็จับจองเต็มหัวใจ


เขาอยู่ที่นี่ มีชีวิตของเขา…


ชีวิตเหล่านี้เธอล้วนเข้าร่วมไม่ได้ นี่เป็นโลกที่ต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง…


 “จากอาการของฉัน ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเท่าไหร่?” ไป๋ซู่เย่ถามถังซ่ง


 “อย่างน้อยก็ต้องครึ่งเดือนล่ะ หลังครึ่งเดือนไวรัสในร่างกายอาจจะถูกกำจัดจนสิ้นซาก ทำไม อยากไปแล้วเหรอ?”


 “ฉันอยู่ที่นี่ครึ่งเดือน ต้องบอกคนในครอบครัวก่อน”


 “คนที่บ้านคุณโทรมาหาผมถึงที่แล้ว” ถังซ่งโยนโทนศัพท์ให้เธอ “คุณบอกพวกเขาเอง”


 “ขอบคุณ”


ไป๋ซู่เย่รับโทรศัพท์มาอย่างอ่อนแรง


ถังซ่งไม่ว่าอะไร แค่หันไปสั่งให้คนเอายาเข้ามาส่งพร้อมจับตาดูเธอให้ทานยาตรงเวลาในปริมาณที่กำหนดไว้


อีกฟากหนึ่ง


เย่เซียวเองก็เริ่มมีอาการไข้ขึ้นซ้ำไปมา แต่ทุกครั้งที่ได้สติคนแรกที่เขาถามถึงรวมถึงเรื่องแรกกลับเป็นเธอ ได้ยินถังซ่งบอกว่าเธออาการดีขึ้นเขาถึงได้ค่อยๆ ผ่อนคลายก่อนจะสลบเหมือดไปอีก


น่าหลันมาทุกวันแต่ทุกครั้งที่มาตรงกับเวลาที่เย่เซียวหลับอยู่ ไม่รู้ว่าเขาไม่อยากสนใจเธอเป็นทุนเดิมหรือไม่ได้สติจริงๆ


เธอมาด้วยใจที่คาดหวังอยู่ทุกคราแต่กลับต้องจากไปพร้อมความผิดหวังที่ไม่อยากจะยอมรับ


…………


พริบตาเดียว


สิบกว่าวันผ่านไป


ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่ริมหน้าต่างคอยมองไปยังกิ่งไม้โล่งเปล่าข้างนอกด้วยใจที่รู้สึกวังเวง


รวมถึง…ความน้อยใจที่สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ…


ถังซ่งบอกว่าระยะนี้เย่เซียวจะไม่ปรากฏตัวขึ้น เขาก็ไม่เคยปรากฏตัวเลยจริงๆ…


อีกห้าวันเธอจะกลับประเทศแล้ว หรือว่าจะไม่ได้เจอเขาก่อนกลับประเทศ?


คิดถึงนี่แม้แต่ลมหายใจยังเริ่มหนักอึ้ง เธอเปิดหน้าต่างยื่นศีรษะออกไปสูดอากาศเข้าปอดหลายที อยากให้ตัวเองหายใจสะดวกขึ้นบ้าง


 “ข้างนอกหนาว อย่าไปยืนตากลมริมหน้าต่าง ถ้าเป็นหวัดเข้าภูมิคุ้มกันจะลดลง ไม่แน่เชื้อไวรัสอาจกลับมาอีก ถึงตอนนั้นจะยุ่งยากกว่านี้” ขณะนั้นเองถังซ่งโผล่มาพลางเตือนเธอด้วยใบหน้ามุ่นคิ้วเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ริมหน้าต่าง


ไป๋ซู่เย่เก็บอารมณ์ที่ล่องลอยรับคำทีหนึ่งหมายจะเอียงตัวไปปิดหน้าต่าง แต่ชั่วขณะที่จะปิดหน้าต่างร่างแสนคุ้นตาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา


ในสวนดอกไม้ที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มกำลังยืนอยู่บนถนนหินกรวดเส้นเล็ก


ตาเธอเป็นประกายอย่างดีใจ


มีชั่ววูบที่คล้ายว่าตัวเองได้กลับไปวัยสาวแรกแย้มตอนอายุสิบแปดปี


“คุณหมอถัง ตอนนี้ฉันออกไปเดินเล่นหน่อยได้มั้ย?” เธอหันมาถามถังซ่ง


ถังซ่งพยักหน้า “ใส่เสื้อหนาหน่อยน่าจะไม่มีปัญหา แต่ออกไปอย่าเกินสิบนาทีเด็ดขาด”


ถังซ่งเองก็เห็นชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ชั้นล่าง


ไป๋ซู่เย่เตรียมหมุนตัวหยิบเสื้อกันหนาวแต่ถังซ่งที่ทิ้งสายตาอยู่นอกหน้าต่างเสมอกลับหรี่ตาลงกะทันหัน จากนั้นยกแขนดึงตัวเธอไว้


 “อะไรเหรอ?” เธอหันกลับมาถามถังซ่ง


ถังซ่งถึงได้ปรายตามาทางเธอช้าๆ และใช้แววตาซับซ้อนมองเธอแวบหนึ่ง พยักพเยิดปลายคางไปนอกหน้าต่างที่ทำให้ไป๋ซู่เย่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความสงสัย ชั่วครู่นั้นใจสะท้านและยืนแน่นิ่งกับที่


มือที่จับเสื้อกันหนาวอยู่ กระชับแรงแน่นกว่าเดิมมากโดยไม่รู้ตัว…


ที่แท้…


คนที่อยู่ชั้นล่างไม่ได้มีเพียงเขา


ยังมี…น่าหลัน


พวกเขาทั้งคู่กำลังเดินขนาบข้างกันอยู่ในสวนดอกไม้ ไม่รู้ว่ากำลังคุยเรื่องอะไรและไป๋ซู่เย่ไม่รู้ว่าทำไมเย่เซียวถึงมาโผล่อยู่ตรงนี้ แต่เธอกลับรู้ดี…เมื่อกี้ เห็นได้ชัดว่าเธอเผลอคิดเข้าข้างตัวเอง เขาไม่ได้มาเพื่อเธอ…


………………


อีกด้านหนึ่ง


น่าหลันเขย่งเท้าเอาเสื้อกันหนาวคลุมไหล่เย่เซียว “คุณหมอข่ายปินบอกแล้วว่าตอนนี้คุณจะโดนลมมากไม่ได้ ห้ามเป็นหวัด”


 “…” เย่เซียวไม่ตอบโต้ ทำท่าหนักใจ


 “เย่เซียว คุณพ่อบอกแล้ว…รอคุณหายดี เราจะแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ เป็นเรื่องจริงใช่มั้ย?” น่าหลันได้เปลี่ยนสรรพนามเรียกเป็น ‘คุณพ่อ’ แล้ว


เย่เซียวชะงักฝีเท้าหันข้างมองเธอด้วยแววตาล้ำลึกยากจะคาดเดา ดวงตาคู่นั้นมีความเย็นชาอย่างที่เขาเป็นราวกับต้องการจะแช่แข็งตัวเธอ น่าหลันถูกเขาจ้องมองจนเริ่มลน ไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้—ผู้ชายที่กำลังจะกลายเป็นสามีของเธอ กำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ เธอเม้มปากน้อยๆ “ทำไมมองฉันแบบนั้นล่ะ?”


 “ตั้งแต่แรกเริ่ม คุณต้องการอะไรกันแน่?”


เย่เซียวถามเสียงเรียบ


แพขนตาน่าหลันสั่นไหว “ฉันไม่เข้าใจที่คุณถาม”


แววตาเย่เซียวลึกล้ำกว่าเดิม จู่ๆ ยกมือลูบไล้ใบหน้าเธอ


ท่วงท่ากลับอ่อนโยนผิดแปลกแต่ยิ่งอ่อนโยนยิ่งทำให้น่าหลันหวาดกลัว เธอสบตาเย่เซียวอย่างหวาดระแวง จากนั้นเบี่ยงหน้าอยากหลุดพ้นจากมือเขา แต่เย่เซียวกลับจับปลายคางเธอแน่นไม่ให้เธอขยับ


 “ใบหน้าของคุณ มีตรงไหนบ้างที่ไม่ผ่านมีดหมอ?” ถามออกเสียงที่เย็นชากว่าเดิม


มือที่จับปลายคางเธออยู่นั้นก็เพิ่มแรงมากขึ้น


 “…ที่แท้ คุณรู้หมดแล้ว” ขนตาน่าหลันสั่นระริกอย่างรุนแรง ความจริงไม่แปลก เย่เซียวเป็นคนฉลาด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จะปกปิดเขาได้อย่างไร?


 “ลองบอกจุดประสงค์ของคุณมาดีกว่า” เย่เซียววางมือลง สีหน้าเย็นชามากขึ้นในพริบตา “ทำไมถึงทุ่มเทเพื่อเข้าใกล้ผมมากขนาดนั้น? ยอมทุกอย่างกระทั่งเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้หญิงอีกคน”


น่าหลันใช้ดวงตาน่าสงสารมองเขา “เย่เซียว ในมุมมองคุณ คุณคิดว่าจุดประสงค์ฉันคืออะไร?”


เย่เซียวคงสีหน้าเย็นชาดังเดิม “ผมไม่เคยเสียแรงไปเดาใจผู้หญิง”


 “ไม่ใช่ว่าคุณไม่อยากเสียแรงไปเดา แต่คุณไม่อยากเสียแรงไปรู้สึกมันต่างหาก!” เสียงแตกร้าวของน่าหลันถูกปรับสูงขึ้น “ตอนที่ฉันอายุสิบหก คุณเคยช่วยชีวิตฉันในสงครามหนึ่ง ฉันไม่มีพ่อแม่ ร้องไห้อ้อนวอนขอร้องอยากอยู่กับคุณ แต่คุณกลับมีท่าทีเย็นชาต่อฉันขนาดนั้น ทิ้งเด็กผู้หญิงอายุสิบหกในหมู่บ้านเก่าคร่ำครึแห่งหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม จากไปอย่างไม่ลังเล”


 “ผมช่วยคุณนั่นเป็นเพราะผมเมตตา คุณไม่ควรไม่สำนึก”


 “ในเมื่อแบบนี้ตอนนั้นจะเสียแรงมาช่วยฉันทำไม? ใช้ชีวิตเพียงลำพังบนโลกใบนี้ไปตลอดชีวิต ฉันยอมตายไปพร้อมกับพ่อแม่ในเพลิงสงครามดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น…คุณช่วยฉัน แต่กลับเอาหัวใจฉันไปด้วย…”


ประโยคสุดท้ายของเธอเรียกให้เย่เซียวมุ่นคิ้วเล็กน้อย


น่าหลันยกมือเขามากดทับตรงหน้าอกตัวเอง


นัยน์ตาหญิงสาวรื้นด้วยน้ำใสบางๆ “คุณลองรู้สึกดู…นี่เป็นหัวใจที่บริสุทธิ์ดวงหนึ่ง!เย่เซียว คุณเป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันรัก และเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่ฉันจะรักในชีวิตนี้…ขอแค่ได้อยู่กับคุณ อย่าว่าแต่เอามีดกรีดใบหน้าเลย ต่อให้ฆ่าฉันทิ้ง ควักหัวใจฉันไป ล้วงเอาปอดของฉันไปฉันก็ยอม!ดังนั้น ตอนที่คุณพ่อให้ฉันเข้าใกล้คุณ ฉันมีอะไรให้ต้องลังเลอีก?”


…………………………


ตอนที่ 736 รักที่ไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้ (3)

โดย

Ink Stone_Romance

คำสารภาพรักของหญิงสาวทุกตัวอักษรเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่กลับไม่สามารถสร้างความประทับใจแก่เขาได้


นอกจากผู้หญิงคนนั้นไม่ว่าจะเป็นคนไหน เขาไม่มีความสามารถที่จะหวั่นไหวหรือใจสั่นอีก


ใบหน้าราบเรียบและดึงมือจากตรงหน้าอกเธอกลับมา เขากล่าวเสียงเย็น “คุณกลับไปเถอะ หลังจากนี้ไม่มีอะไรก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก”


เขาทิ้งน่าหลันเดินนำหน้าไปหนึ่งก้าว และแทบจะเงยหน้ามองโดยอัตโนมัติ


เงาร่างที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างทำเขายืนชะงัก


ระยะที่ห่างไกล ทั้งสองคนประสานสายตากลางอากาศ


ต่างฝ่ายต่างนิ่ง


จากนั้นคนที่ได้สติก่อนเป็นคนที่อยู่ตรงริมหน้าต่าง


เธอยิ้มให้เขาจางๆ ทีหนึ่ง หุบยิ้มก่อนจะปิดหน้าต่าง


ไป๋ซู่เย่พิงกระจกยืนเหม่ออยู่พักใหญ่ ความเย็นที่พุ่งพรวดขึ้นมาจากฝ่าเท้ากลบตัวเธอจนมิด


นิ้วมือจิกเข้าฝ่ามือ


เมื่อครู่คาดหวังในใจมากเท่าไร ตอนนี้…ก็ผิดหวังในใจมากเท่านั้น…


แต่ยิ่งผิดหวังถึงจะยิ่งมีสติ…


เธอเกือบลืมแล้วเชียวว่าเขามีคู่หมั้น…


หากเธอยังไม่ยอมตัดใจจากผู้ชายคนนี้ คอยนึกถึงแต่ผู้ชายของผู้หญิงคนอื่นอย่างหน้าไม่อาย…


นั่นเป็นสิ่งที่มือที่สามจะทำ!


 “คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย?” ถังซ่งมองเธออย่างนึกห่วงแวบหนึ่งพลางถามเสียงเบา


เธอหลุดจากภวังค์


แย้มปากเหยียดยิ้มอย่างฝืนใจทีส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร ช่างเถอะ ข้างนอกหนาวเกินไป ฉันไม่ออกไปแล้ว”


เธอวางเสื้อกันหนาวลงแล้วเลิกผ้าห่มบนเตียงก่อนซุกตัวกลับเข้าไปใหม่ สายตาเบี่ยงไปทางอื่นที่ถังซ่งมองไม่เห็น รู้สึกเพียงขอบตาเริ่มร้อนผ่าวอย่างทรมาน


ถังซ่งมองเธอเงียบๆ อยู่สักพัก อยากพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด


แค่ตรวจอาการเธออีกทีถึงเปิดประตูเตรียมออกไป


 “ถังซ่ง” เสียงเรียกจากไป๋ซู่เย่ตรึงเขาไว้อย่างฉับพลัน


เสียงเบาหวิวล่องลอย


ตัวถังซ่งที่เดินถึงหน้าประตูหยุดชะงัก หันกลับมามองเธอ เธอกึ่งพิงหัวเตียงปล่อยผมยาวคลอไหล่ ใบหน้าเล็กขาวซีดน้อยๆ


 “ฉัน…ขอกลับไปก่อนได้มั้ย?”


ถังซ่งส่ายหน้า “คงไม่ได้ อย่างน้อยต้องให้อาการคงที่แล้วถึงจะไปได้ อีกไม่กี่วันเย่เซียวก็จะแต่งงานแล้ว ผมเข้าใจความรู้สึกคุณดี แต่อย่าล้อเล่นกับชีวิตตัวเอง”


เขา…จะแต่งงานแล้ว?


ประเด็นสำคัญที่ไป๋ซู่เย่จับได้กลับเป็นประโยคนี้ของถังซ่ง แพขนตาเธอกะพริบสั่นไหวดูคล้ายวิญญาณออกจากร่าง


แต่กลับไม่ได้ถามให้มากความแค่แสร้งพยักหน้าเหมือนไม่เป็นอะไร ตอบกลับว่า ‘โอเค’ ทิ้งตัวลงนอนซุกในผ้าห่มอีกครั้ง


ประตูถูกปิดเบาๆ


เธอตะแคงร่างที่หนักอึ้งทว่าข้างในกลวงพลิกตัวหันแผ่นหลังให้กับประตู


สายตาเหม่อมองไปนอกหน้าต่างนิ่ง


หมอนเปียกเป็นดวงใหญ่โดยไม่รู้ตัว


เธอรู้ว่าไม่นานก็ข้าเขาต้องแต่งงาน แต่ว่า…


ที่แท้…


ต่อให้เตรียมใจมากเท่าไร รอวันนี้มาถึงจริงๆ…ทุกเส้นเขตแดนที่สร้างเพื่อคุ้มกันหัวใจก็ถูกทำลายทิ้งอย่างง่ายดายอยู่ดี…


…………………………


ถังซ่งเดินออกจากห้องผ่านทางเดินยาว ทันทีที่เงยหน้าก็เห็นเขา


กำลังพิงกำแพงสูบบุหรี่


ถังซ่งขมวดคิ้วยื่นมือไปแย่งบุหรี่ในมือเขาโยนทิ้งไปไกล


 “อยากตายหรือไง?”


 “อยาก แต่ยังตายไม่ได้” เย่เซียวพูดเสียงนิ่ง เขาต้องมีชีวิตต่อไป อย่างน้อยจนกว่ามารดาของเขาจะปลอดภัยดี


ถังซ่งมองเขานิ่งๆ แวบหนึ่ง “เมื่อกี้นายกับน่าหลันในสวนดอกไม้ ทั้งนวดทั้งคลึง เธออยู่ข้างบนเห็นหมดแล้ว”


 “ทั้งนวดทั้งคลึง?”


 “นายไม่ใช่แค่ลูบหน้าเธอแต่ยังจับหน้าอกเธอด้วย นี่ไม่ใช่ทั้งนวดทั้งคลึงหรือไง?”


เย่เซียวไม่ได้แก้ตัว เขาไม่ถนัดเรื่องการแก้ตัวอยู่แล้ว


ถังซ่งกล่าว “เรื่องที่นายจะแต่งงานกับน่าหลัน ฉันก็บอกเธอแล้ว”


เย่เซียวนิ่งไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถามเสียงเรียบ “เธอ…มีปฏิกิริยายังไง?”


 “…ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น นิ่งสงบ ไม่พูดสักประโยคก็นอนแล้ว” เขาพูดไปพร้อมเหลือบสังเกตสีหน้าเย่เซียวไป


เย่เซียวล้วงบุหรี่ในกระเป๋ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้จุดไฟแค่คีบไว้เท่านั้น สีหน้าของเขาหม่นหมองถึงที่สุด


ถังซ่งถอนหายใจ ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่รู้ว่าที่นายเสี่ยงชีวิตช่วยเธอจะคุ้มหรือเปล่า”


 “ไม่เคยมีคุ้มหรือไม่คุ้ม มีแต่ว่าฉันยอมหรือไม่ยอม”


ถังซ่งหัวเราะ “เมื่อก่อนคิดว่ามีแค่พี่ฉันที่รักเดียวใจเดียว คนเขาแต่งงานแล้วแท้ๆ เขากลับยังไม่ลืมสักที ส่วนนายกลับตรงกันข้าม ตัวเองใกล้จะแต่งงานแล้วแท้ๆ ยังไม่ลืมเธอ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีผลลงเอย พวกนายสองคนยังเฝ้ารอกันแบบนี้มันทรมานตัวเองชัดๆ!”


 “เธอจะหายดีเมื่อไหร่?” เย่เซียวพูดเบี่ยงประเด็น


 “นายหายดีแล้วเธอก็ต้องหายดีแล้วเหมือนกัน แต่นายบอกเองว่าอยากให้เธออยู่ต่อสักหน่อย ถึงได้ให้เธออยู่นี่เรื่อยๆ ถ้าอยากไปจริงๆ วันนี้ก็ไปได้”


 “รอผ่านวันเสาร์เถอะ” เย่เซียวตอบ


 “วันเสาร์เป็นวันพิเศษอะไรเหรอ?”


เย่เซียวไม่พูดอะไรอีก แค่หันหลังเดินจากไปด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง แผ่นหลังดูโดดเดี่ยว


……………………


ไป๋ซู่เย่อยู่ในห้องวิจัยต่ออีกหลายวัน อากาศข้างนอกเย็นลงเรื่อยๆ เย็นเสียจนคนอาจไม่มีความกล้าที่จะออกไปเดินเล่น


แต่เธอกลับรู้สึกว่าการหมกอยู่แต่ในห้องนั้นเป็นความทรมานแบบหนึ่ง


เธอมักคิดอยู่เสมอว่าขอแค่ได้ไปสูดอากาศข้างนอกทุกอย่างจะดีขึ้น แต่หลังลองทำดูหลายครั้งถึงพบว่าเสียแรงเปล่า…


ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอก ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าไรก็ไม่หายไปสักที


หนึ่งวันก่อนไปจากเมืองเยียว


เธอเดินรับลมเฉกเช่นปกติ เดินสวมเสื้อกันหนาวอยู่ในสวนของห้องวิจัยไปมาอย่างไม่ตายใจ


เดินไปเดินไป…


จู่ๆ รถคันหนึ่งก็เทียบจอดตรงหน้าเธอ


เท้าของเธอหยุดชะงัก มองชายหนุ่มที่ย่ำเท้าก้าวลงจากรถช้าๆ ชั่วขณะนั้นเผลอกลั้นหายใจไปด้วย


ที่แท้ไม่ได้เห็นเขาใกล้ขนาดนี้มาสิบกว่าวันแล้ว…


บางที…


ผ่านวันนี้ไป ผ่านช่วงเวลานี้ไป หลังจากนี้อาจไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว…


เย่เซียวเองก็มองเธอ


ทั้งสองคนมองกันและกันเงียบๆ อย่างพร้อมเพรียง


 “ขึ้นรถ” สุดท้ายเขาเป็นคนพูดก่อน เปิดประตูด้านหลังของรถ


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ถามมากแค่ก้าวขึ้นรถตามคำสั่งของเขา ความจริงไม่จำเป็นต้องถามมาก แค่ได้อยู่กับเขาแค่วินาทีเดียวก็นับว่ามากเกินไปแล้ว แล้วจะไปสนจุดหมายปลายทางของพวกเขาทำไมกัน?


หยูอันเป็นคนขับรถ


เย่เซียวกับไป๋ซู่เย่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยกัน ทั้งสองคนกลับไม่มีบทสนทนาใดๆ


บรรยากาศภายในรถอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาของหยูอันแค่กล้าที่จะมองไปยังหนทางข้างหน้าไม่กล้ามองเหลวไหล แม้แต่หายใจยังต้องระวัง


รถยนต์ขับเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ


ขับถึงโรงแรมทรงเรือใบก็จอดลง


พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ภายในโรงแรมจำรถของเย่เซียวได้ตั้งแต่ขับมาแต่ไกล รีบทิ้งงานในมือก่อนจะออกมาต้อนรับ


 “นายน้อย!”


 “ทำงานพวกคุณต่อ ไม่ต้องสนใจฉัน” เย่เซียวสั่งเสียงเรียบ


ผู้จัดการโบกมือไล่ ทุกคนจึงกลับไปประจำตำแหน่งตัวเอง


 “นายน้อย ห้องของคุณเตรียมเสร็จแล้วครับ” ผู้จัดการเป็นคนสุดท้ายที่เดินจากไป ก่อนไปได้กระซิบบอกเย่เซียว


………………………


ตอนที่ 737 รักที่ไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้ (4)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวพยักหน้ารับแต่กลับหันไปมองหญิงสาวที่ยังนั่งฉงนอยู่ในรถ


 “ลงมา” เย่เซียวยื่นมือให้เธอ


ไป๋ซู่เย่ไม่เข้าใจ หนึ่งวันก่อนที่จะกลับไปเขากลับพาตัวเองมาที่โรงแรมแห่งนี้–โรงแรมที่อดีตพวกเขาเคยมาพักด้วยกันหลายครั้ง


เธอไม่ได้ถามมากแค่จับมือเขาลงจากรถ


เย่เซียวเดินนำเธอเข้าไปในลิฟต์และตรงดิ่งไปที่ชั้นบนสุด เดินมาถึงหน้าห้องที่คุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้นนี้เขาหยุด เธอเองก็หยุดตาม


 ‘ตี๊ด—ตี๊ด–’ เสียงดังไม่กี่ทีประตูห้องก็ถูกการ์ดรูดให้เปิดออก


เธอที่เงียบมาตลอดทางยกมือจับแขนของเย่เซียวที่กำลังดันประตู “เย่เซียว…”


เย่เซียวก้มมองเธอ


เธอสูดหายใจเข้าลึกคล้ายต้องใช้แรงมหาศาลถึงจะคั้นเสียงออกมาได้ “เรามาทำอะไรเหรอ?”


เย่เซียวไม่ตอบแต่กลับถามย้อน“คุณคิดว่าไงล่ะ?”


 “บางทีฉันอาจจะต้องถามคุณว่า คุณอยากให้ฉันทำอะไร?” ไป๋ซู่เย่คุมเสียงตัวเองให้ฟังดูเรียบที่สุด เธอเงยหน้าขึ้น “อีกไม่กี่วันคุณก็จะแต่งงานกับน่าหลัน แต่ตอนนี้กลับพาฉันเข้าโรงแรม เย่เซียว คุณอยากให้ฉันเป็นมือที่สามเหรอ?”


 “ถ้าใช่ คุณยอมมั้ย?”


 “ฉันไม่ยอม” ไป๋ซู่เย่ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ ดวงตากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ฉันไม่มีวันเป็นมือที่สาม ไม่มีวัน…”


เย่เซียวใช้สายตาเรียบนิ่งมองเธอ สีหน้าฉายอารมณ์ซับซ้อน


ความจริงเขาจะยอมให้เธอเป็นมือที่สามได้อย่างไร? แต่วินาทีนี้เขาหวังจะได้ยินคำว่า ‘ยอม’ จากปากเธอมากกว่า…


อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ไม่มากก็น้อยว่าความจริงเธอสนใจเขา สนใจถึงขั้นขอร้องอย่างน่าสงสารก็ตาม อย่างน้อยเขาเป็นแบบนี้กับเธอ!


แต่นั่นเป็นแค่ความคาดหวังที่ไม่มีวันเป็นจริง…


เขาเองก็รู้ดี


 “ผมไปช่วยคุณที่ทะเลทรายอย่างไม่คิดชีวิต คุณอยากจะขอบคุณผมไม่ใช่เหรอ?” ในที่สุดเย่เซียวก็เอ่ยปาก


 “ใช่” ไป๋ซู่เย่หยักหน้ารับ “ฉันอยากขอบคุณคุณ”


 “ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามา” เย่เซียวผลักประตูให้ตัวเองเดินนำเข้าไป


เขาหันมามองเธอแวบหนึ่ง“อยู่กับผมคืนสุดท้าย ผมคิดว่าจากที่ผมยอมเสี่ยงชีวิตช่วยคุณ ต่อให้เรามีอะไรกันทั้งคืน บุญคุณนี้ยังไงคุณก็ไม่เสียเปรียบ”


ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่หน้าประตู มองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร


เขาไม่ได้เร่งเร้า ยืนสบตาเธออยู่ตรงนั้น


นัยน์ตาเริ่มรื้นด้วยม่านหมอกบางๆ ขับให้ตัวเธอดูน่าสงสารอย่างที่สร้างความปวดใจแก่คนมองเล็กน้อย เย่เซียวเกิดอารมณ์ชั่ววูบที่อยากไปกระชากเธอเข้ามากอด รักเธอ ปลอบเธอดีๆ…


มีคนบางประเภทที่น่าโกรธนักเมื่อหัวรั้นขึ้นมา


ขณะที่เธอกำลังเผยมุมที่อ่อนแอต่อหน้าคุณ คุณกลับรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าโดนมีดกรีดหัวใจ…


เดิมทีเขาคิดว่าเธอจะปฏิเสธตัวเองแต่เธอกลับเดินตามเขาเข้ามาหนึ่งก้าว


 “คุณนั่งรอแป๊บหนึ่ง ฉันขอไปอาบน้ำก่อน” ไป๋ซู่เย่ถอดเสื้อกันหนาวตัวนอกวางบนโซฟา ไม่รอเย่เซียวว่าอะไรเธอก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ


เย่เซียวมองบานประตูห้องอาบน้ำที่ถูกปิดตัวลง เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายถาโถมเข้ามาในชั่วขณะ เธอคิดจริงๆ หรือว่าเขาพาเธอมาที่นี่เพื่อต้องการทำอะไรเธอ!


เย่เซียวจุดบุหรี่ ทิ้งตัวลงบนโซฟาขนาดกว้างใหญ่ ดูดบุหรี่ด้วยอารมณ์ที่อัดอั้น


……………………


ไป๋ซู่เย่อาบน้ำในห้องอาบน้ำอยู่สักพักใหญ่ๆ ช่วงนี้เธอแช่อยู่แต่ในห้องทดลองจนมีแต่กลิ่นยาติดตัว ทีนี้ได้อาบน้ำเจ้าตัวก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมากทีเดียว


เธอเช็ดตัวให้แห้งก่อนสวมชุดคลุมอาบน้ำของโรงแรมโดยที่ข้างในเปลือยเปล่า เงียบไปอึดใจก็ตัดสินใจเปิดประตูเดินออกไป


ความจริงเป็นอย่างที่เย่เซียวพูด เธอให้ทุกอย่างของตัวเองแก่เขาไปก็ไม่มีวันเสียเปรียบ


ผู้ชายคนนี้มีค่าพอที่เธอจะทำเช่นนี้


สูดหายใจเข้าลึกๆ เธอเดินเข้าไปในห้องนอน ในห้องนอนเย่เซียวกำลังเอนหลังพิงโซฟาหลับตาคล้ายจะหลับไปแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาหัวค่ำ แสงสลัวจากสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่างกระทบลงบนหน้าเขาเกิดเป็นเงามืด ภายใต้แสงยามโพล้เพล้ ใบหน้าที่เย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งตามปกติของเขา ยามนี้กลับเผยความอ่อนล้าให้เห็นอย่างปกปิดไม่มิด


รวมถึง…


อารมณ์ที่คล้ายเจ็บปวด คล้ายหดหู่ คล้ายซึมเศร้า…


ไป๋ซู่เย่พิงกำแพงเอียงศีรษะมองเขาอยู่ห่างๆ


เขาใกล้จะแต่งงานแล้ว แต่เดิมควรเป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่งแต่ทำไมเขาถึงดูโศกเศร้า หมดสิ้นกำลังใจขนาดนั้น?


หากเป็นเช่นนี้ แล้วชีวิตที่เหลืออยู่จะให้เธอสบายใจได้อย่างไร?


เธอเปิดฮีทเตอร์ในห้องพลางดึงผ้าห่มผืนบางในตู้มาคลุมตัวเขา ขณะที่กำลังจะผละห่างกลับถูกเขาโอบรั้งที่เอวกะทันหัน รวบตัวเข้าไปกอดทันที


 “เย่เซียว?”


เธอเรียกเขาเสียงเบา


เขาไม่ได้ลืมตาแค่แนบแก้มกับลำคอเธอ สูดดมกลิ่นตัวของเธออย่างหลงใหล ปลายจมูกเขาค่อนข้างเย็นพอสัมผัสกับผิวเธอทำให้เธอรู้สึกร้อนระอุราวกับเปลวไฟ หัวใจเต้นแรงปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้น มือวางบนบ่าเบาๆ แล้วโอบลำคอเขาไว้ ไม่มีท่าทีขัดขืนสักนิด


 “ทำไมไม่เป่าผมให้เสร็จค่อยออกมา?” ในที่สุดเย่เซียวก็เงยหน้าขึ้นสักที มือลูบจับเส้นผมที่เปียกโชกของเธอ


 “งั้นฉันจะไปเป่าตอนนี้แหละ” เธอว่าแล้วลุกจากตัวเขา เย่เซียวปล่อยให้เธอไปโดยไม่ห้ามรั้งใดๆ


……


รอเป่าถึงครึ่งเดียวเธอเห็นเย่เซียวกำลังยืนพิงประตูมองเธอผ่านกระจก


สายตาหนักใจ


วันนี้เขาใส่ชุดธรรมดาง่ายๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำ ปกคอเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมออกสองเม็ดเผยให้เห็นอกแกร่งไปกว่าครึ่ง ต่อให้ใส่เสื้อที่ธรรมดาจนเข้าข่ายเรียบง่ายนี้ พออยู่บนตัวเขากลับดูดีมีสง่าอย่างที่คนทั่วไปทำไม่ได้


เขามองเธอ ดวงตาที่มักติดเย็นชาอยู่เสมอนั้นวันนี้แฝงด้วยหลากหลายอารมณ์ที่ซับซ้อน มองจนเรียกให้เธอใจเต้นผิดจังหวะ


เธอคิด…


ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะทนสายตาแบบนี้ของเขาได้


 “คุณดูเหนื่อยมาก” ไป๋ซู่เย่เก็บความคิดเหลวไหลของตัวเอง เป่าผมไปพลางถามเขาไป สายตาประสานกับสายตาเขาผ่านกระจก อาลัยอาวรณ์ไม่อยากละสายตา


เขาพยักหน้ารับน้อยๆ ส่งเสียงจากลำคอ ‘อืม’


 “งั้นคุณไปนอนพักสักหน่อยเถอะ เสียงเป่าผมของฉันรบกวนคุณใช่มั้ย? ฉันปิดประตู เสียงจะเบาลงมาก”


เย่เซียวยกเท้า ไม่ได้หันหลังเดินไปแต่กลับเดินมายังทิศทางของเธอ


ร่างของเขาสูงตระหง่านให้ความรู้สึกเหนือกว่าอย่างน่ากดดัน ร่างใหญ่ทาบทับจากแผ่นหลัง ไป๋ซู่เย่เผลอกลั้นหายใจรวมถึงร่างกายที่แข็งทื่อ


จากนั้น…


 “ผมทำให้” เขาแย่งไดร์เป่าผมจากมือเธอไป


สายตาทั้งคู่สอดประสานกันผ่านกระจก แต่ไม่ได้พัวพันไปมากกว่านั้นซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนละสายตาไปก่อน


เย่เซียวเป่าผมให้เธอด้วยท่าทางที่ดูเงอะงะ


สิบปีแล้ว…


สิบปีนี้อย่าว่าแต่ช่วยใครเป่าผมเลย แม้แต่ปลายเส้นผมของผู้หญิงเขาก็ไม่เคยแตะ ดังนั้นจะไม่เงอะงะได้อย่างไร? ต่อให้ในอดีตเขาเคยทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล้วก็ตาม


หัวใจไป๋ซู่เย่ในเวลานี้ปวดหนึบถึงขั้นสุด


…………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม