วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 7.3-8.4
ตอนที่ 7-3
ในระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน ฝีเท้าของเด็กน้อยที่เข้าไปในตรอกหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เด็กน้อยกระซิบบางอย่างกับเหล่าชายหนุ่มรูปร่างน่าเกรงขามที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้า จากนั้นเด็กน้อยคนนั้นก็เดินกลับมาหาพลางยืนเกาหัวอย่างเขินอายต่อหน้ารยูฮา
“ที่นี่ถูกแล้วขอรับนายท่าน แต่คนเฝ้าเขาบอกว่าเข้าไปไม่ได้ขอรับ”
“ฝากไปบอกทีว่าข้ามีเงินมาเดิมพันแล้วก็ไม่จำกัดด้วย”
พูดพร้อมวางเหรียญสองเหรียญเพิ่มลงไปบนฝ่ามือให้อีก เด็กน้อยทำหน้าตาเด็ดเดี่ยวแล้วกลับไปหาเหล่าชายหนุ่มอีกครั้ง และหลังจากนั้นฮอนต้องถูกค้นตัวจากคนเฝ้าประตู เขาชักสีหน้าแล้วรับเอาหน้ากากมาก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างในได้
“สีหน้าไม่ดีเลย ฮอน”
“เป็นครั้งแรกที่กระหม่อมยอมให้ผู้ชายสัมผัสตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮอนผู้ซึ่งไม่ชอบสัมผัสผู้ชายเป็นพิเศษ แม้แต่เรื่องได้รับการดูแลรับใช้จากขันทีเขาก็เกลียด มีคำสั่งห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด เหล่าชายน่าเกรงขามลูบคลำไปบนพระวรกายอันสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขาคิดว่าหนึ่งในนั้นสัมผัสตัวเขาพร้อมกับยิ้มแปลกๆ ให้ ให้ตายเขาก็จะไม่ทำแบบนี้อีกครั้งแน่ๆ
“สองท่าน”
ทันทีที่สองคนสวมหน้ากากที่หน้าประตูเสร็จ ผู้เฝ้าประตูตรวจดูว่าใส่เรียบร้อยแล้วจึงเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในมีควันของยาสูบตลบอบอวลจนบดบังสายตาในชั่วพริบตา พอควันเริ่มจางไป รอบๆ ห้องก็เห็นเป็นคนใส่หน้ากากนั่งล้อมเป็นวงอยู่ การเดิมพันตาหนึ่งน่าจะเพิ่งจบลง ชายคนหนึ่งถึงกำลังกวาดเงินเดิมพันลงมา
“คนใหม่นี่เอง”
เหล่าผู้ชายมองดูเสื้อผ้ามีราคาที่รยูฮาสวมอยู่ก็พากันคาดหวังว่านางคงมีเงินมาก และแต่ละคนก็เข้ามาล้อมจนเว้นที่ไว้ให้สองคนสามารถนั่งได้เท่านั้น กลิ่นของเหล่าผู้ชายที่ลอยอยู่เต็มห้องทำให้ฮอนหน้านิ่ว โชคดีมากที่สวมหน้ากากอยู่
“ฝากตัวด้วย”
รยูฮาทักทายสั้นๆ แล้วกระดานเดิมพันก็กลับมามีชีวิต เหล่าเงินของรยูฮาที่ลงไปตาแรกเข้าไปอยู่ในมือของเหล่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด เกมที่สองก็เช่นเดียวกัน พอไพ่ของครั้งที่สามถูกแจกจ่ายริมฝีปากที่เคยไร้ความรู้สึกก็ยกยิ้มขึ้นแล้วจางหายไป
“เหรียญเงินสิบนยาง”
ชายคนที่ได้เงินไปเมื่อครู่ขยับตัวแล้ววางเงินหนึ่งกำมือลง ต่อไปเป็นคราวของรยูฮา หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเงินแล้วเอาออกมา เหล่านักพนันพากันส่งเสียงแห่งความโลภออกมา
“เหรียญเงินสิบนยางแล้วก็ทองหนึ่งนยาง”
“หา…!”
ฮอนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ตกใจเช่นเดียวกัน จนถึงตอนนี้เงินที่รยูฮาและฮอนเสียก็พอสมควรแล้ว แต่ก็วางทองที่ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าหลายเท่าตัวลงไป ไหนว่าเงินฉุกเฉิน จะเอาเงินราชวงศ์ของวังซึงกวอนออกมาใช้จนหมดเลยหรือ ฮอนมีมีลางสังหรณ์ว่านี้คือตาที่รยูฮาพูดถึงแล้ววางไพ่ของตัวเองลง
“ข้าขอยอมแพ้ขอรับ”
“ข้าเองก็ใจสั่นมากเหมือนจะไม่ไหว”
“ข้าเองก็ด้วย ฮ่าๆ”
พวกเขาวางไพ่ลงตามมาทีหลัง มีเพียงชายรูปร่างสูงใหญ่ที่นั่งตรงข้ามรยูฮาเท่านั้นที่ยิ้มแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเงินที่ใหญ่เท่าฝาหม้อ
“คนมาใหม่ลงขนาดนี้ เจ้าบ้านอย่างข้าคงแพ้ไม่ได้ เหรียญเงินเพิ่มอีกยี่สิบนยาง”
เหรียญเงินกองกันขึ้นเป็นภูเขาลูกเล็กพร้อมกับเสียงโลหะกระทบกัน ทุกคนกลืนน้ำลายดังเอื๊อกแล้วเฝ้าดูทั้งสองคน รยูฮารู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นบนชั้นผิวแล้วค่อยๆ หงายไพ่ออกช้าๆ พอเห็นไพ่พวกนั้นเหล่านักพนันยิ่งพากันอุทานเสียงดังมากกว่าเมื่อครู่
ไพ่ของรยูฮานั้นรวมแต้มทั้งหมดแล้วได้เจ็ดแต้ม ถึงแต้มจะไม่ได้ต่ำมาก แต่ก็ไม่ใช่ถึงกับจะทุ่มด้วยทอง มันหมิ่นเหม่
ช่างเหมาะที่จะประลองกับชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ฝีมือทัดเทียมกัน เขาส่งเสียงแล้วหงายไพ่ลงบนพื้น ไพ่สองใบที่มีเลขหกเขียนอยู่อย่างชัดเจน
“โธ่เอ๊ย กะแล้วเชียว…!”
“เฮ้อ ให้ตายสิ”
ความเสียใจและความอิจฉาผสมปนเปกันในคราวเดียว ภายในห้องเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ทรัพย์สินที่รวมกันอยู่ก่อนนั้นทั้งหมดหายเข้าไปในกระเป๋าเงินของรยูฮาอย่างสะอาดหมดจด คนที่เสียทรัพย์มากเมื่อครู่ ปกติน่าจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่เขากลับยิ้มพร้อมส่งเสียงไปทางรยูฮา
“ท่านกล้าได้กล้าเสียจนน่าทึ่ง”
“ท่านที่พูดอย่างนั้นต่างหากที่น่าทึ่ง หากเป็นข้าคงไม่กล้าลงเดิมพันทองที่เลขหก”
รยูฮาพูดอย่างสบายๆ แล้วรวบไพ่เพื่อเริ่มเกมต่อไป ตอนนี้เองที่ฮอนใช้มือคว้ามือของหญิงสาวไว้แล้วเลื่อนลงไปใต้โต๊ะพร้อมกับพูดเสียงเบา
“พอเถอะขอรับ”
“เล่นอีกสักตา”
“ตอนนี้ช้ามากแล้วขอรับ”
การแสดงของฮอนเป็นธรรมชาติดีทีเดียว รยูฮาลอบยิ้มในหน้ากากแล้วส่ายหน้าราวกับเลี่ยงไม่ได้
“ขอโทษด้วยที่ต้องกลับแล้ว ไว้เจอกันอีกคราวหน้า”
ผู้ชายทั้งหลายที่เหลือถามว่าจะไปแบบนี้ได้อย่างไร แต่ก็ปล่อยทั้งคู่ออกไปอย่างง่ายๆ เมื่อออกมาด้านนอกทั้งคู่ก็ถอดหน้ากาก เดินผ่านทางเดินมืดๆ ออกมาที่ลานด้านหน้าถึงได้เหมือนกับหลุดออกมาจากกลิ่นของผู้ชาย ฮอนยกหน้ากากขึ้นมาใส่ปิดหน้าแล้วผลักประตูใหญ่ออกไป แต่ประตูนั้นก็ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย กลับได้ยินน้ำเสียงอันน่าขนลุกลอยเข้ามากระทบหูของทั้งคู่
“มาเอาเงินแล้วจะไปเฉยๆ หรือ แบนนั้นไม่ได้สิ”
ชายห้าคนที่ตามพวกเขาออกมาอย่างไร้สุ่มเสียงยืนอยู่ ตรงกลางนั้นมีชายที่เสียทองไปเมื่อครู่รวมอยู่ด้วย ใบหน้าที่ถอดหน้ากากออกแล้วน่าเกรงกลัวเหมือนกันหมด ความน่าเกรงกลัวไม่ด้อยไปว่าหัวหน้าองครักษ์ชองโอ ถ้าพามาที่นี่ด้วยคงติดอันดับสาม
“ต้องมีทั้งคนได้และคนเสียสิถึงจะเรียกว่าพนัน ไม่มีความยุติธรรมเสียเลย”
เหล่าคนที่พอใช้ได้ตัวสั่นแต่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะตอบโต้การคุกคาม ท่าทางที่ค่อยๆ เดินเข้ามาดูคุกคามมาก ได้ยินเสียงกระซิบลอยเข้ามาที่หูของฮอนที่กำลังจะเข้าไปขวางข้างหน้า
“เดี๋ยวก่อน อยู่เฉยๆ”
ฮอนไม่ชอบใจเลยแต่เพราะเชื่อรยูฮาจึงหลบไปด้านข้างหนึ่งก้าว ระหว่างนั้นชายคนที่เข้ามาก็ยื่นหน้าเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น
“ใช่ ต้องมีทั้งคนได้และคนเสีย แต่ว่าคนได้ถูกกำหนดไว้แล้วไม่ใช่หรือไง หืม?”
กำปั้นที่ถูกยกขึ้นมาใหญ่กว่าหัวของผู้หญิงปกติเล็กน้อย รยูฮาแสร้งทำเป็นกลัวแล้วถอยไปอยู่ข้างหลัง
“ทำอะไร ข้าจะเรียกทหารมา!”
เสียงตะโกนอย่างตะกุกตะกักช่างแผ่วเบา ท่าทางแบบนั้นใครดูก็รู้ว่ากลัว ทำให้ความมั่นใจของพวกผู้ชายเพิ่มขึ้น
“ฮ่าๆ ทหาร? เป็นคนต่างเมืองสินะ? ไหนลองเรียกมาสิ! ถ้ามาแล้วไหนๆ ก็ต้องดื่มเหล้าด้วยกันเสียหน่อย!”
ท่ามกลางชายที่ล้อมไว้อยู่มีคนปรบมือพร้อมหัวเราะด้วยความชอบใจดังขึ้นราวกับแต่งเรื่องขึ้นมา ริมฝีปากของฮอนที่ถูกหน้ากากบดบังไว้หัวเราะโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่ว่าคนที่ถูกเรียกว่าเป็นหทารปกป้องชาวบ้านคบค้ากับนักเลงเพื่อหากินหรือ หากในเมืองอยู่สุขสบายดียิ่งเป็นเรื่องน่าแปลก
“ปล่อยพวกเราไปเถิด ข้าจะให้ทั้งหมดของข้า ม้าที่ขี่มาก็เอาไปได้เลย”
รยูฮาสวมบทบาทว่ากำลังกลัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ นางยื่นกระเป๋าเงินส่งไปให้ด้วยมืออันสั่นเทา ชายร่างใหญ่ฉวยเอาสิ่งนั้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างพอใจ แล้วประตูที่ดันไม่ออกก็ยอมเปิดออก มีเสียงแกร๊กดังขึ้น ประตูส่งเสียงน่าอึดอัดแล้วถูกเปิดออก ชายเฝ้าประตูสองคนเมื่อครู่กำลังมองพวกเขาในสภาพอมยิ้ม
“ท่านทหาร ไว้มาใหม่คราวหน้านะ”
ชายคนที่ส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ฮอนตอนก่อนจะเข้าไปเมื่อครู่กวนใจเขาด้วยน้ำเสียงน่าอึดอัด ไม่ได้เข้าใจผิดไปเองจริงๆ ด้วย รยูฮาจับข้อมือของเขาที่ตอนนี้ขนลุกไปทั่วทั้งร่างแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะอย่างนั้นเขาจึงสงบใจลงแล้วจัดการกับความคิดได้
“ถ้าจัดการกับพวกนักเลงเมื่อกี้ ต่อให้ไม่มีเอกสาร หลักฐานก็เพียบ!”
รยูฮากำลังอารมณ์ดีเพราะทำตามแผนการสำเร็จอย่างง่ายดาย แต่ฮอนต่างออกไป เขาหยุดเดินแล้วถอดหน้ากากเลื่อนลงข้างล่าง หว่างคิ้วของฮอนที่ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์กำลังขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงก็ทุ้มต่ำกว่าปกติมาก
“หลักฐานอะไร สิ่งที่จำเป็นข้าจะรวบรวมมาเอง คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก”
“ไม่ชอบใจมากหรือ ก็น่าอยู่หรอก ดูอย่างไรพวกคนเฝ้าประตูนั้นก็น่าจะเป็นพวกรักร่วมเพศ…”
ยังไม่ทันที่รยูฮาจะได้พูดต่อจนจบ นางก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของฮอน เป็นเพราะเขาโดนลวนลามจากชายสองคนนั้นหรือ แต่ถึงไม่ใช่อย่างนั้นตอนนี้ทั้งคู่ก็ดูสะดุดและกลายเป็นจุดสนใจในชั่วพริบตา
“รักร่วมเพศหรือ วิปริต”
“จุ๊ๆ พวกคนหนุ่มสาวสมัยนี้…”
คำพูดกระซิบกระซาบจากคนที่เดินผ่านไปมาแว่วมาให้ได้ยิน แต่นอกจากจะไม่ปล่อยหญิงสาวแล้วฮอนยิ่งกอดนางแน่นขึ้นไปอีก รยูฮาลังเลอยู่สักครู่แล้วก็ยกมือขึ้นลูบหลังเขา
“เรื่องที่ข้าลำบากไม่ว่าจะมากแค่ไหนก็ทนได้ แต่ที่เจ้าคุยกับคนต่ำช้าพวกนั้น ที่พวกนั้นเข้ามาใกล้เจ้า แม้แต่หายใจในพื้นที่เดียวกันข้าก็ทนไม่ไหว ข้าต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะเข้าใจจิตใจของข้า”
ตอนที่ 7-4
เสียงกระซิบแผ่วเบาของฮอนดูร้อนรน แต่ว่าก็เต็มไปด้วยใจจริง รยูฮานึกถึงความคิดที่อันตรายแล้วค่อยๆ ตบลงบนหลังของเขาที่ลูบไปก่อนหน้านี้เบาๆ
“อย่างนั้นเองสินะเพคะ ฝ่าบาท”
ตอนนั้นเองน้ำเสียงอันคุ้นเคยก็ดังแทรกขึ้นมา
“ทั้งสองท่าน ทำอะไรกันอยู่ตรงนั้นเพคะ”
เป็นมินอาที่ทำหน้าบูดบึ้งเหมือนทนดูไม่ได้และชานที่กำลังซ่อนสีหน้าบูดเบี้ยวยืนอยู่ ฮอนตกใจรีบผละออกมาทำเสียงกระแอมกระไอ แต่ก็โบกมือไปทางมินอาแสดงถึงความยินดีที่ได้เจอ
“ข้าตั้งใจว่าพอกลับไปแล้วจะไปหาเจ้าอยู่พอดีเชียว จากที่พวกข้าไปตรวจสอบมามีพวกรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูอย่างไรก็เหมือนนักเลงอยู่ เจ้าตามพวกนั้นไปแล้วสืบแหล่งซ่องสุมของพวกมันมาซะ”
“ทำไมเป็นหม่อมฉันอีกแล้วเพคะ พวกทหารที่พามาเป็นขบวนก็เอาออกไปใช้หน่อยสิเพคะ”
ชานยกยิ้มเพราะมองมินอาที่กำลังไม่พอใจจากจุดที่ห่างออกมา ไหล่ของหญิงสาวลู่ลง ตอนกลางคืนอันมืดมิด ดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นมาก็ถูกเมฆบดบัง สีหน้าของมินอาดูหวั่นไหวในชั่วพริบตาจนไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น
“เดี๋ยวข้าไปด้วย ผู้หญิงไปคนเดียวมันอันตรายไม่ใช่หรือ”
“สิ่งที่อันตรายคือท่านต่างหาก กลับไปรอเฉยๆ เถอะเพคะ”
“ดูเหมือนคงจะจำไม่ได้ว่าข้าชนะเจ้าทั้งดาบแล้วก็ธนู”
พอพูดความจริงก็หมดคำจะตอบโต้ มินอาถอนหายใจส่งบังเ**ยนม้าให้ฮอน สิ่งนั้นหมายถึงการยินยอม มินอาและชานรับข้อมูลตำแหน่งจากรยูฮาแล้วก็หายตัวไป รยูฮามองตามเบื้องหลังด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้วก็เดินไปทางที่ว่าการ
“กลับไปแล้ว ฝ่าบาทสั่งพวกทหารให้เตรียมตัวด้วยนะเพคะ หากมินอากลับมาจะได้ออกเดินทางได้ทันที”
* * *
จักดู หัวหน้านักเลงที่เก่งกาจที่สุดในเมืองนี้
เขาคือลูกชายของคนทำไร่เลื่อนลอยผู้ยากจน แต่เพราะเกลียดความยากจนจึงหนีออกมากลางดึกแล้วเข้าไปอยู่ในกองโจร รูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าดุดันนั้นพอเจอเข้ากับความยากลำบากสะสมมาก็ยิ่งดูน่ากลัวขึ้นไปอีก หลังจากสั่งสมประสบการณ์มากกว่าสิบปีเขาก็ลงจากเขามาตั้งถิ่นฐานในเมืองที่อยู่ห่างไกลแห่งนี้
สิ่งที่เรียนรู้มามีแค่การลักขโมย แน่นอนว่าไม่มีทางจะมาค้าขายหรือทำการเกษตร ในชั่วพริบตาพวกเขาที่ดึงดูดเอาคนที่เดิมทีก็ดีอยู่แล้วที่มีอยู่เข้ามา แล้วเริ่มขูดรีดตามคำสั่งของผู้ใหญ่จนตอนนี้ถึงกับทำบ่อน เงินที่ได้จากการพนันเป็นเพียงรายได้ที่เพิ่มขึ้น รายได้หลักคือขายสมาชิกในครอบครัวของคนที่เสียพนันหมดจนเป็นหนี้ หรือก็คือ การซื้อขายมนุษย์นั่นเอง
รายได้นั้นมากมายเหลือเกิน ถึงขั้นสามารถใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายได้ไม่แพ้เหล่าขุนนาง นอกจากนั้นยังติดสินบนเจ้าเมือง ทำเรื่องสกปรกแทนเพื่อแลกกับความคุ้มครอง แล้วใครจะกล้ายุ่งกับจักดูกันเล่า
เขาพอใจกับชีวิตเช่นนี้เป็นอย่างมาก แต่แล้วจู่ๆ เหล่าคนรับใช้ก็พรวดพราดเข้ามา พวกเขาถูกพวกทหารใช้มีดจี้ที่คอ ชายผู้ดูเหมือนพวกชอบเที่ยวหอนางโลมก็ปรากฏตัวขึ้นและหัวเราะ
“คุ้นหน้าข้าใช่หรือไม่”
“พะ… พูดเรื่องอะไร…”
“เมื่อกี้ไม่ได้เจอกันที่บ่อนสินะ ว่าแต่เจ้ารักษากระเป๋าเงินของนายข้าไว้เป็นอย่างดีหรือไม่”
ตาที่ปกติก็โปดปูนอยู่แล้วของจักดูคราวนี้เหมือนกับจะหลุดออกมาจากเบ้า เงินและทองที่ขโมยมาถึงแม้เขาจะต่ำช้าแต่ก็ดูออกว่าในกระเป๋าเงินสีฟ้านั้นมีเครื่องประดับมีค่ามากอยู่ กระเป๋าเงินที่ดีที่สุดของปีนี้ ใครจะไปรู้ว่ากระเป๋านั้นจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ของความโชคร้าย
“จะคืนให้ตามเดิมขอรับ ขอแค่ไว้ชีวิตข้า”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะข้าก็ไม่ชอบฆ่าใคร”
คำพูดของเขาใกล้เคียงความจริง การฆ่าไม่ใช่งานอดิเรกของฮอน เจ้าพวกที่ส่งสายตาแปลกๆ มาให้เขาตอนอยู่ที่บ่อนตอนนี้ก็กลายเป็นกองเลือดและกำลังส่งเสียงร้องคราญครางน่าสงสาร ก่อนอื่นเลยคือไม่ได้ตาย
“เจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ชองโอค้นที่แห่งนี้ทุกซอกทุกมุมแล้วยื่นถุงเงินสีฟ้าให้ฮอน พอพลิกกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะ เงิน ทอง และเครื่องประดับที่ถูกขโมยไปก็ไหลออกมา ฮอนหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งจากในนั้นแล้วลุกขึ้น เขายื่นมันไปตรงหน้าจักดูแล้วเขย่าไปมา
“รู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร”
“ไม่รู้ขอรับ ข้าแค่ดูแล้วก็เก็บใส่ไว้ตามเดิม!”
ดวงตาของนักเลงกลิ้งไปมาทั้งที่หน้าแนบอยู่กับพื้น เครื่องประดับที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ของมีค่าทั่วไปและจักดูก็รู้ว่าในบ้านนอกแบบนี้ไม่มีทางมีของเช่นนี้แน่ เขาจึงตั้งใจจะเอาไปที่เมืองหลวงจึงเก็บส่วนหนึ่งแยกจากประเป๋าเงินไว้ต่างหาก
“ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้มีรูปภาพใช่หรือไม่”
ฮอนยกยิ้มอีกครั้งแล้วชี้ใช่ดูตราประทับที่ถูกประทับอยู่ข้างหลัง
“นี่คือตราของราชสำนัก ทำไม ก็ตราเดียวกันกับที่ถูกวาดอยู่บนธงที่ติดอยู่ตรงที่ว่าการอย่างไรเล่า”
สายตาที่ตกอยู่ในความตื่นตระหนกของจักดูไล่ไปตามรูปภาพที่ฮอนชี้ให้ดู ธงของที่ว่าการที่เคยผ่านหูผ่านตา แน่นอนว่าเคยเห็นอยู่เรื่อยแต่ไม่ได้สนใจ สิ่งที่ถูกเขียนอยู่บนธงที่โบกสะบัดไปมา มาซ่อนอยู่ด้านหลังเครื่องประดับที่ชิงมาจากบ่อนได้อย่างไร
จักดูกลอกตาไปมาเพราะความสับสน เขานึกถึงกองทหารที่เพิ่งติดสินบนไปเมื่อหลายวันก่อน ทหารพวกนั้นรายงานว่าเมืองข้างๆ ที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนนั้น องค์รัชทายาทเสด็จมาแล้วก็มาจัดการทุกอย่างให้ระวังตัวไว้…
“องค์รัชทายาท…ฝ่าบาท?”
ช่วงเวลารุ่งโรจน์ของชีวิตนักเลงกำลังจะจบลง ความชั่วมากมายที่เคยทำไว้ผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว แต่ว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงตรงหน้า ว่ากันว่าจะมีช่องให้ได้ไหลไป เขานึกถึงเชือกเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตตัวเองได้แล้วรีบไหลตามออกมาอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมรู้เรื่องการทุจริตทั้งหมดของเมืองนี้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะสารภาพออกมาให้หมด เพราะงั้นช่วยละเว้นชีวิตกระหม่อมด้วย!”
สายตาของฮอนยังคงมีรอยยิ้มไม่จางหายไป ด้านหลังของจักดูที่หมอบอยู่ ที่ตรงนั้นรยูฮาในชุดเครื่องแบบสีดำยืนพิงกรอบประตูและกำลังจ้องมองมาทางฮอน
ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งเหลือเกิน ใช้เวลาสองสามวันก็จับหัวหน้าโจรได้ อีกทั้งยังเชื่อมโยงไปถึงเจ้าเมืองผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีได้ด้วย ฮอนส่งยิ้มเล็กๆ ไปให้นาง แล้วหันมามองจักดูอีกครั้ง
“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าคำพูดของเจ้าคือความจริง มีหลักฐานหรือไม่”
“มีพ่ะย่ะค่ะ เหล่าลูกน้องของกระหม่อมเป็นพยานได้ กระหม่อมมอบทรัพย์ให้เจ้าเมืองและมีหนังสืออนุญาตที่ได้รับมาด้วย”
จักดูดิ้นรน ความตั้งใจอันแรงกล้าของนักเลงผู้ซึ่งไม่เหลืออะไรแล้วทำให้ฮอนคิดหนัก แม้แต่นักเลงที่อ่านหนังสือไม่ออกสักตัวและขโมยของคนอื่นเพื่อดำรงชีวิตยังดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตตน แล้วก่อนที่รยูฮาจะปรากฏตัว เขามัวแต่ทำอะไรอยู่
“เอามา”
สิ้นคำสั่งสั้นๆ จักดูก็เอากระดาษเก่าหนึ่งแผ่นที่ผูกพับหลายทบออกมาจากอ้อมกอดซึ่งถูกมัดติดไว้อย่างแน่นหนา เอกสารนั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอำนาจในการจัดการตลาด ตรงส่วนท้ายมีแม้กระทั่งตราประทับของเจ้าเมือง
ไม่เกินจริงเลยหากบอกว่ามันคือข้อตกลงเพื่อบีบบังคบเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่ทำถูกกฎหมาย ต่อให้ไม่ได้เห็นกับตาก็ชัดเจนว่าชาวบ้านในเมืองนี้ต้องหลั่งน้ำตาและเลือดมากแค่ไหนเพราะกระดาษแผ่นเดียวแผ่นนี้
“หากินกันเป็นระบบเชียว”
ฮอนพูดซ้ำเบาๆ แล้วพับสิ่งนั้นอีกครั้งก่อนจะเก็บไว้ในหน้าอก เขาออกคำสั่งกับจักดูที่ตอนนี้หมอบคว่ำหน้าลงราวกับพยายามทำให้รูปร่างใหญ่โตนั้นเล็กลงให้ได้มากที่สุด
“สารภาพความผิดที่เจ้าเคยทำออกมาจากปากเจ้าให้หมด ถ้าเหล่าทหารตรวจสอบแล้วตกหล่นไปแม้แต่เรื่องเดียว เจ้าถูกเด็ดคอทิ้งแน่”
ไม่มีทางจำความผิดทั้งหมดที่ทำมาได้แน่ คำสั่งในตอนนี้ก็เหมือนกับสั่งให้เด็ดคออยู่แล้ว แต่จักดูก็ดิ้นรนพยายามคิดแล้วสารภาพความผิดที่จำได้ออกมาทีละอย่าง
“ตระกูลคิมขายปลา…ติดหนี้บ่อนเลยส่งลูกสาวเขาไปซ่อง…เอื๊อก!”
ทุกครั้งที่ความผิดที่ตัวเองทำหลุดออกมาจากปากของจักดู ชองโอที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็จะฟาดปลอกดาบลงไปหนึ่งครั้ง หนึ่งเรื่องต่อหนึ่งครั้ง หลังจากค่อยๆ เอ่ยความผิดที่นึกออก จักดูก็กลายเป็นกองเลือดน่าสงสารเหมือนกันกับคนเฝ้าประตูที่มากวนใจฮอน และหายใจหอบอย่างยากลำบาก ฮอนยกมือขึ้นสั่งหยุดการตีแล้วหรี่ตามอง
“รักษาเขา เฝ้าคนที่อยู่ที่นี่ไว้พอตะวันขึ้นให้ลากมาที่ว่าการ ถ้าสอบสวนเสร็จแล้วให้สรุปความผิด จากนั้นส่งไปยังเมืองที่ครั้งก่อนกำแพงถล่มลง ให้ไปก่อกำแพงเช้าจรดเย็นในฐานะทาสหลวง ตลอดชีวิตไม่มีเว้นสักวัน”
พอพูดเสร็จ ฮอนก็เดินจากไปพร้อมกับรยูฮาโดยไม่หันกลับมามอง เหล่าทหารตามทั้งคู่ไปเป็นแถวเพื่อคุ้มครองแต่ก็ไม่ใกล้จนเกินไป รยูฮาที่เงียบมาสักพักเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน
“พาไปตอนนี้ก็ได้ ทำไมต้องรอถึงตอนเช้าเพคะ”
ปลายจมูกของหญิงสาวที่ถามอย่างนั้นมีแสงจันทร์ส่องประกายเลือนรางอยู่ ฮอนรู้สึกอิจฉาแสงจันทร์ ดังนั้นก่อนจะตอบคำถามเขาจึงลูบไปที่ปลายจมูกนั้นด้วยปลายนิ้วทำทีเหมือนว่ากำลังเช็ดอะไรบางอย่างออกให้
“ให้ชาวบ้านที่โดนพวกเขากระทำได้แก้แค้นบ้าง พวกเขาคงสบายใจมาก ถ้าได้เห็นคนที่ทรมานตัวเองถูกทรมานแล้วจึงค่อยพาตัวไป”
รยูฮาไม่ถามต่อแล้วเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรจะพูดอีก ถึงจะไม่ใช่เส้นทางที่ไกลมากแต่เพราะฝีเท้าที่ช้าลงเรื่อยๆ ของทั้งคู่ทำให้นานทีเดียวกว่าจะถึงที่ว่าการ ริมฝีปากของรยูฮายกยิ้มเศร้าพลางพยักหน้าเป็นการบอกลาในค่ำคืนนี้
* * *
ตอนที่ 7-5
“จะไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ชานที่เจอเข้ากับรยูฮาบนทางเดินมืดๆ ถามขึ้นอย่างมีมารยาท เส้นผมที่ยังไม่ค่อยแห้งดีของหญิงสาวยึดเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมและครึ่งหนึ่งก็ถูกปล่อยลงมาปะไหล่ราวกับว่าเพิ่งอาบน้ำออกมา ตรงแก้มชื้นขึ้นสีและดูน่ารัก สายตาของชานไม่สามารถมองตรงๆ ไปยังรยูฮาได้จึงหยุดสายตาอยู่ที่ปลายเท้าของรยูฮา
“จะไปหาองค์รัชทายาทเพคะ ทรงมาหรือยังเพคะ”
ความโลภอันเป็นไปไม่ได้ตีตื้นขึ้นมาจากหัวใจของชานอีกครั้งและแลบลิ้นดำปี๋ออกมา หากคนที่รยูฮาเรียกว่าฝ่าบาทคือข้า หากห้องที่นางไปหาคือห้องของข้า หากคนที่ได้ลูบไล้เส้นผมและจุมพิตลงบนแก้มนุ่มคือข้า ถึงจะคิดเช่นนั้น หากแต่ก็มีเพียงน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมาจากริมฝีปากของชาน
“พ่ะย่ะค่ะ ทรงอยู่ในห้องบรรทม ลองเข้าไปดูสิพ่ะย่ะค่ะ”
รยูฮาโค้งตัวแสดงความเคารพอีกครั้ง แล้วเดินผ่านโถงทางเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องที่ฮอนอยู่ ตอนนั้นเองที่มินอาผู้ที่ตามมาหรี่ตามองชาน ชานรู้สึกได้ว่าสายตานั้นเจาะทะลุเข้าในใจของตัวเอง แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น มินอาเบนสายตากลับมาอีกครั้งแล้วเปิดประตูเพื่อให้รยูฮาเข้าไป
“มีเรื่องอะไรกัน”
ฮอนนั่งจมอยู่ในความคิดตรงโต๊ะพอเห็นรยูฮาที่จู่ๆ เข้ามาก็ตกใจลุกขึ้น
“ต่อไปหม่อมฉันก็จะมาหาอย่างกะทันหันเช่นนี้อีก แค่คิดว่าอยากเห็นหน้ามากจึงมาหาแบบนั้นไม่ได้เลยหรือเพคะ ว่าแต่คิดอะไรอยู่ ขนาดประตูเปิดแล้วฝ่าบาทถึงยังไม่รู้ตัวอีกเพคะ”
ถ้ารยูฮาพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้บ่อยๆ หัวใจของเขาคงทำงานหนักแน่ ฮอนยิ้มแล้วเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ จากนั้นจึงเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่ง แล้วตัวเองก็นั่งลงด้วย
“ข้ากำลังนึกถึงเหล่านักเลงที่เจอเมื่อกี้ อย่างไรเสียพวกเขาก็คือราษฎรของพระจักรพรรดิแต่ด้วยความจนเลยทำให้ต้องทำเรื่องเลวร้าย”
น้ำเสียงของฮอนที่นั่งอยู่เงียบๆ นั้นแหบพร่า ตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ น้ำหนักของความเป็นองค์รัชทายาท
“ข้าสมควรตั้งสติให้เร็วกว่านี้ สมมติว่าถ้าได้ออกไปข้างนอกเพื่อดูแลที่ที่ฝ่าบาทเอื้อมมือไปไม่ถึงเหมือนเสด็จพี่ได้…”
มือขาวของรยูฮาถูกยกขึ้นวางบนหลังมือของฮอนที่วางอยู่บนโต๊ะ ราวกับจะปกป้อง
“หากทรงไม่ลืมคำว่าราษฎรของพระจักรพรรดิ ตอนที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ประเทศก็จะกลายเป็นประเทศที่มีความเป็นอยู่ดีขึ้นเพคะ แต่อย่ารู้สึกผิดไปเลยเพคะ พวกขุนนางที่ทำตัวเสื่อมเสียไม่ใช่คนชั้นต่ำหรือคนยากจนแต่เป็นเพียงแค่คนชั่วมิใช่หรือเพคะ การที่คนเหล่านั้นกลายเป็นคนชั่วเช่นนั้นไม่ใช่ความผิดของฝ่าบาทเลยนะเพคะ”
“พระชายา เจ้ารู้อะไรหรือไม่”
ฮอนยกมือขึ้นสอดประสานเข้ากับนิ้วของรยูฮา มือของเขาหยาบกร้านเล็กน้อยแต่อบอุ่นมาก
“บางครั้งข้าก็อยากละทิ้งตำแหน่งรัชทายาท เพราะมันเหมือนกับข้าแย่งมาจากเสด็จพี่ที่ไม่ว่าใครมอง ตำแหน่งนั้นก็ควรเป็นของเสด็จพี่ แต่ว่าพอมีเจ้าอยู่ข้างๆ ข้าถึงได้ตั้งใจรักษาที่นั่งนี้ไว้ ทำให้ได้มาเจอกับงานที่ต้องทำในฐานะเจ้าของที่นั่งนี้”
รอยยิ้มฉายบนแววตาของรยูฮา ฮอนผู้เฝ้ามองสิ่งนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา ท่ามกลางสายตาที่แสดงถึงว่าล่วงเลยเวลาเข้านอนมาแล้ว ใบหน้าของฮอนก็ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้รยูฮา แต่ว่าตอนที่ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสลงบนริมฝีปาก ริมฝีปากของรยูฮาก็ถอยห่างออกมาทิ้งไว้แค่เพียงลมหายใจ
ถูกโดนทำแบบนี้อีกแล้ว ฮอนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนโง่ แต่ก็ไม่ได้อารมณ์เสีย
“ยังไม่อาบน้ำหรือเพคะ หม่อมฉันจะสั่งให้มินอาเตรียมให้ นางอยู่ข้างนอก เดี๋ยวหม่อมฉันตามให้นะเพคะ”
“อ้า ข้าเองก็อยากอาบอยู่เหมือนกัน ขอบใจเจ้ามาก”
ฮอนขยับตัวเดินออกประตูไปในสภาพเก็บซ่อนความเสียดายไว้ พอตามมินอาที่รออยู่ข้างนอกมาสถานที่ที่มาถึงคือห้องทรงน้ำที่ตั้งอยู่ด้านในสุดตรงโถงทางเดิน เขากอดเสื้อนอกออกจนหมดแล้วยื่นให้มินอาก่อนจะลงไปในน้ำอุ่นแล้วหลับตา ฮอนรู้สึกแปลกๆ จึงมองไปรอบๆ ไม่เห็นเหล่าคนรับใช้ที่ต้องเข้ามาดูแลเลยสักคน
“มินอา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ระหว่างข้าอาบน้ำ เจ้าจะดูแลข้าตลอดเลยรึ”
“ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาท”
มินอายิ้มอย่างมีนัยยะแล้ววางเสื้อนอกที่ถืออยู่ไว้ตรงประตูก่อนจะหายไปข้างนอก อืม บางครั้งอาบน้ำคนเดียวแบบนี้บ้างก็ดี ฮอนคล้อยตามพร้อมกับคิดอย่างเห็นด้วย หัวที่วุ่นวายถูกทำให้สงบลงในน้ำ
แล้วต่อมาไม่นาน
“พระชายา! ทำอะไร! ไม่สิ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
เขาผู้ซึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้งแล้วใช้มือลูบหน้าคิดว่าเห็นผีเป็นครั้งแรกเสียแล้ว ท่ามกลางไอน้ำเลือนรางรยูฮาถือผ้าสีขาวและกำลังมองมาที่ตนอยู่ไม่ใช่หรือ
“การดูแลรับใช้วันนี้ หม่อมฉันจะทำให้เองเพคะ”
ยิ่งรยูฮาเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของฮอนก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่สายตาเปิดเผยเหมือนตอนที่มองเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เป็นสายตาที่ดูแปลกประหลาดกว่านั้น เขาคุ้นเคยกับการที่ผู้หญิงมองร่างกายและสัมผัสเพื่อดูแลรับใช้ ตอนอาบน้ำน่ะเคยแน่นอนอยู่แล้ว ตอนเปลี่ยนเสียผ้าก็เคยมี เมื่อครู่ก็ถอดเสื้อผ้าต่อหน้ามินอาอย่างไม่คิดอะไรไม่ใช่หรือ แต่ทำไมแค่รยูฮามองมาหน้าก็ร้อนขึ้นแบบนี้
“เดี๋ยว หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน หยุดเดี๋ยวนี้”
“ทำไมล่ะเพคะ”
ในขณะที่รยูฮาหยุดเดิน มือฮอนก็หมุนตัวไปฝั่งตรงข้ามแล้วลูบลงบนหน้าอกที่ตกใจ พวกเราคือคู่สามีภรรยา เขาพูดแล้วพูดอีกเหมือนสวดมนต์ ให้สัญญาว่าจะร่วมชีวิตตลอดไป แล้วแค่ให้เห็นร่างเปลือยจะเป็นไรไป เขาพยายามทำให้ใจสงบแบบนี้และจังหวะที่หมุนตัวกลับไปอีกครั้ง บางอย่างที่อบอุ่นแล้วก็อ่อนนุ่มถูกวางลงบนไหล่เขา
“อยู่เฉยๆ เพคะ ฝ่าบาท”
เสียงอ่อนหวานดังขึ้นข้างหูฮอนพร้อมกับผ้าขนหนูที่รยูฮาเอาชุบน้ำอุ่นแล้วค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นลงบนร่างกายของฮอน จากไหล่กว้างสู่แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและข้ามลำคอเรื่อยไปจนถึงตรงหน้าอกที่เปียกน้ำ ทุกที่ที่มือนั้นเลื่อนผ่านปลุกร่างกายของชายหนุ่มที่อ่อนเพลียให้รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟลวก ต่อมาริมฝีปากของฮอนที่เผยอออกก็มีเสียงครางและลมหายใจพ่นออกมาด้วย และสิ่งนั้นก็เข้าไปในปากของรยูฮาที่ประกบกันอยู่
“ไปห้องนอนได้หรือไม่”
การประกบปากอันหอมหวานจบลง น้ำเสียงที่พูดขึ้นอย่างระมัดระวังจั๊กจี้อยู่ตรงใบหูของรยูฮา และตอนที่หญิงสาวพยักหน้า เขาก็อุ้มนางเดินออกนอกประตูไปแล้ว ตลอดทั้งชีวิตนี่เป็นการกระทำที่รวดเร็วที่สุดของฮอน
“ฝ่าบาท ชุด! จะเป็นหวัดได้นะเพคะ!”
แม้แต่น้ำเสียงห้ามปรามของรยูฮาก็ไม่สามารถหยุดเขาได้ ฮอนสวมแค่กางเกงเปียกตัวเดียวอุ้มรยูฮาไว้แน่นแล้ววิ่งกลับไปยังห้องนอน เป็นภาพที่ถ้ามองเห็นส่วนล่างก็คงน่าอายอยู่ไม่น้อย โชคดีที่โถงทางเดินมืดนั้นร้างผู้คน แน่นอนว่าเป็นเพราะมินอาที่ออกมาเมื่อครู่ไล่ออกไปไม่ให้แม้แต่หนูสักตัวเดียวเข้ามาได้
“รยูฮา…”
ฮอนวางรยูฮาลงบนที่นอนแล้วกลืนกินริมฝีปากแดงทั้งอย่างนั้นอีกครั้ง ทั้งที่ฝ่าอากาศเย็นอีกทั้งยังอยู่ในสภาพตัวเปียก แต่อุณหภูมิในร่างกายก็ไม่เย็นลงเลย หัวใจเต้นแรงมากจนดูเหมือนว่าอีกไม่นานมันจะฉีกหน้าอกออกมาและกระเด็นออกมาข้างนอก การประกบปากที่ไล่นับตั้งแต่ริมฝีปากเรื่อยลงมาตามลำคอ จนในที่สุดก็อดไม่ไหวกัดลงไปบนลาดไหล่ขาว
“อ้า ฝ่าบาท…”
น้ำเสียงนั้นที่ผสมระหว่างความทรมานและความสุขสมไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้ฮอนได้คิดอะไรอีก มือสั่นเทาโน้มลงมาปลดปมเชือกที่อยู่ตรงหน้าอกอย่างไร้เรี่ยวแรง ตะเกียงส่องลงบนผิวที่เผยออกมาตรงเสื้อผ้าที่ถูกเลิกออก
“ทำไม…ถึงได้งดงามเช่นนี้”
ฮอนมองรยูฮาแล้วสติเลื่อนลอยไปสักครู่ จากนั้นจึงถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง รยูฮาค่อยๆ ยื่นมือมาทางเขา ตอนนั้นเองที่ดวงตาของรยูฮามองไปที่ไหล่ของเขา แขนที่เหมือนจะดึงฮอนเข้ามากอดกลับผลักเขาไปด้านข้างอย่างแรงแทน
“เฮือก!”
รอดพ้นจากจุดสำคัญไปได้อย่างหวุดหวิด เลือดของราชวงค์อันสูงส่งไหลออกมาที่หัวไหล่ของฮอน ไม่ทันรู้ตัวมือของผู้บุกรุกก็ลุกล้ำเข้ามาถึงเตียงแล้ว ตรงนั้นดาบกำลังสะท้อนกับแสงไฟ
“เจ้าไม่ได้ตายดีแน่”
รยูฮาหยิบเอาปิ่นปักผมปลายแหลมที่ปักอยู่ในผมออกมาตอนไหนไม่รู้ แล้วพูดเสียงเบาอย่างเย็นชา ผู้บุกรุกมองฮอนกับรยูฮาสลับกัน แล้วหันดาบมาราวกับพยายามจะฆ่ารยูฮาก่อน
“เฮือก!”
ขณะเดียวกันปิ่นปักผมของรยูฮาก็ปักลงบนหลังมือของผู้บุกรุกอย่างแม่นยำ เสียงร้องเพราะความเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมกับดาบที่ร่วงลง มินอาพังประตูเข้ามาท่ามกลางเสียงแหลมของโลหะ
“พระชายา!”
ดาบของมินอาที่ไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อยจู่โจมเข้าตรงท้ายทอยจนผู้บุกรุก คนผู้นั้นสิ้นสติแล้วล้มลงทั้งอย่างนั้น มินอารับผ้าห่มมาฉีกและมัดผู้บุกรุกไว้ แล้วเสียงอันรีบเร่งของรยูฮาก็ลอยมาทางมินอา
“ไปจับตัวเจ้าเมือง แล้วตามองค์ชายมา!”
* * *
ตอนที่ 7-6
“พระชายา?”
ชานผู้ซึ่งวิ่งมากราวกับคนสติหลุดถึงกับหมดคำพูดเมื่อเห็นสภาพภายในห้อง เตียงที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคาบเลือด ฮอนที่หมดสติไปในอ้อมแขนของรยูฮา รยูฮาที่กำลังห้ามเลือดตรงไหล่ของฮอนบนเตียงที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น ดูเหมือนว่าหญิงสาวคงไม่รู้ตัวว่าเสื้อผ้าของตนถูกถอดออกจนเกือบจะตัวเปลือย
“หมอ หมอ เรียกหมอหรือยังเพคะ”
น้ำเสียงสั่นเครือที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นแสดงออกซึ่งความตื่นตระหนก หวาดกลัว และโมโหของหญิงสาว ชานจึงถอดเสื้อคลุมของตนคลุมลงบนไหล่รยูฮา แล้วรับเอาฮอนมาวางลงบนเตียง ก่อนจะสำรวจตรงนั้นตรงนี้ บาดแผลที่ถูดมัดไว้แน่นโดยการปฐมพยายบาลเบื้องต้นมีเลือดไหลออกมาต่อเนื่อง ดาบที่ทำให้เกิดบาดแผลก็อยู่ด้านข้างเขานั่นเอง
“หมอกำลังมาพ่ะย่ะค่ะ รอสักครู่”
ดวงตาว่างเปล่ามองชานที่พูดอย่างสุขุมเยือกเย็น สายตานั้นดูวุ่นวายและสูญเสียความสงบนิ่งที่ปกติเคยมี แม้แต่ในสถานกาณ์คับขันแบบนี้ดวงตาคู่นั้นก็ยังทำให้ชานหวั่นไหว สิ่งที่ทำให้เขายิ่งทนไม่ได้คือความจริงที่ว่าในดวงตานั้นมีภาพของเขาอยู่ไม่ใช่ฮอน ความต้องการที่ควบคุมไม่ได้หลั่งไหลลงมาเหมือนการถล่มของภูเขา และมันกำลังโหมเข้าใส่ชาน กว่าจะตั้งสติได้แขนแกร่งของเขาก็ดึงรยูฮาเข้ามากอดตามใจเสียแล้ว
“เฮ้อ ให้ตายสิ”
เสียงแหบแห้งออกมาจากปากของชานราวกับมีอะไรสักอย่างขูดลำคอของเขา รยูฮานั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้เขาหมดหวังและตกลงไปในนรก ในสถานการณ์ที่น้องชายคนเดียวถูกจู่โจมจนสิ้นสติไป เขาก็ยังปรารถนาในตัวภรรยาของน้อง คุณธรรมประจำใจที่เขายึดมั่นมาตลอดชีวิตและความอยากครอบครองรุนแรงที่มีต่อรยูฮากำลังต่อสู้ห่ำหั่นกัน และชานก็กำลังถูกกระชากเป็นชิ้นๆ
“ดูแลฝ่าบาทอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ใช่หมอไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามานะเพคะ”
ดูเหมือนว่าในหัวของรยูฮาตอนนี้จะไม่รับรู้ว่าใจของชานกำลังสั่นไหวและถูกกระชากเป็นชิ้นๆ แม้แต่ความจริงที่ว่าชายที่กำลังกอดนางอยู่คือชานก็ไม่เข้าไปในหัวนาง รยูฮายังคงอยู่ในสภาพสายตาว่างเปล่าแล้วหายไปนอกประตูโดยที่มีเสื้อของชานคลุมอยู่ ในห้องที่ฮอนยังคงไม่ได้สติเหลือแค่ชานเท่านั้น
“พระชายา!”
“เจ้าเมืองอยู่ไหน”
เหล่าทหารที่เฝ้าอยู่นอกประตูกระวีกระวาดตะโกนเรียกพระชายาเพราะการปรากฏตัวขึ้นของพระชายา ผมยุ่งเหยิงและเนื้อหนังมังสาที่โผล่ออกมาจากเสื้อของบุรุษที่ถูกคลุมไปอย่างลวกๆ เหล่าทหารที่ไม่อาจแตะต้องพระวรกายได้จึงทำได้แต่ก้มหน้า มินอานั้นวิ่งเข้ามากอดรยูฮาไวเหมือนลำแสง
“พระชายา หาเจ้าเมืองเจอแล้วเพคะ เขาหนีไปไม่ได้แน่ แต่พระชายาแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนเถอะนะเพคะ”
เป็นทั้งบริวารและครอบครัวที่เชื่อใจกว่าใคร น้ำเสียงอันเฉียบขาดของมินอาทำให้สติที่กลายเป็นน้ำแข็งกลับมาอีกครั้ง รยูฮากลับเข้าไปในห้องแล้วแต่งตัวกลับออกมา เจ้าเมืองก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
มินอาพูดถูกแล้ว เจ้าเมืองหนีไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะร่างกายที่แก่ตัวลงแล้วของเขาถูกห้อยอยู่ตรงคานห้องทำงานแล้ว
“โธ่เอ๊ย!”
คำด่าอย่างอ่อนแรงเล็ดลอดออกมาจากปากที่เม้มเข้าหากันแน่น รยูฮาเงยหน้ามองศพของเจ้าเมืองที่ลิ้นห้อยยาวลงมาแล้วหมุนตัวกลับอย่างเย็นชา
* * *
ผ่านไปสองวันฮอนถึงลืมตาตื่นขึ้น มีดสั้นพ้นจากจุดสำคัญไปแต่พิษที่ติดอยู่ในนั้นก็แพร่กระจายเข้าไปในเลือด
ฮอนค่อยๆ ลืมตาปะทะกับแสง สิ่งที่เข้ามาในสายตาของฮอนอย่างแรกเลยคือภาพของรยูฮาที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ โดยมีดาบอยู่ข้างกาย
“ฝ่าบาท?”
รยูฮาลืมตาขึ้นเพราะสัมผัสที่ลูบลงอย่างแผ่วเบาบนหัว ถึงจะซูบผอมแต่ฮอนก็มองรยูฮาไม่วางตา
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
รยูฮาหัวเราะชอบใจกับคำพูดที่เอ่ยออกมาเป็นครั้งแรกพร้อมกับรอยยิ้มบาง ตอนนี้ใครกำลังเป็นกังวลเพราะใครกันแน่
“คนที่ควรจะเป็นอะไรคือฝ่าบาทต่างหากเพคะ”
“…งั้นหรือ”
ฮอนลูบคลำมือของรยูฮา อุณหภูมิที่ถูกส่งออกมาอย่างอบอุ่นเป็นตัวบอกได้อย่างชัดเจนที่สุดมากกว่าสิ่งอื่นใดว่าเขายังไม่หมดลมหายใจ
“เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้”
“ไม่เพคะ หากหม่อมฉันใส่ใจรอบข้างให้มากกว่านี้…”
ไม่รู้ว่ามีผู้ลอบฆ่าซุ่มอยู่ ความรู้สึกผิดเกาะแน่นเหมือนปลิงดูดเลือดที่ติดอยู่ตรงท้ายทอย แต่ฮอนกลับส่ายหน้าแล้วปฏิเสธความรู้สึกผิดของหญิงสาว
“ขอบใจที่ช่วยชีวิต หากต้องมาตายก่อนได้เข้าหอกับเจ้า ต่อให้ตายไปข้าก็คงจากโลกนี้ไปไม่ได้”
“ยังจะมาล้อเล่นในสถานการณ์แบบนี้อีกหรือเพคะ”
ฮอนเปิดปากตั้งใจจะบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น แต่ได้ยินเสียงของชานพาหมอเข้ามาพอดี
“ฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ความรู้สึกเหมือนไม่ค่อยดีใจที่เขาฟื้นเลย ฮอนคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ก็รู้สึกเพียงชั่วครู่ ชานที่มักจะเม้มปากอยู่ตลอดกลับมามีใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วเข้ามานั่งในห้อง
“โชคดีจริงๆ ตามที่หมอบอก เพราะพระชายาช่วยป้องกันจุดสำคัญไว้ได้อย่างรวดเร็วจึงไม่เกิดอันตรายมากไปกว่านี้ นับได้ว่าช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้สองครั้งแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
รยูฮาลุกขึ้นจากที่พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ แล้วปล่อยมือที่จับอยู่
“หม่อมฉันมีเรื่องต้องไปจัดการ องค์ชายอยู่ดูฝ่าบาทด้วยนะเพคะ”
“ข้าเพิ่งฟื้นเจ้าจะไปไหน”
“หม่อมฉันกำลังสอบสวนคนที่ลอบปลงพระชนม์อยู่เพคะ”
รยูฮาทิ้งคำน่าหวาดเสียวไว้แล้วออกจากห้อง มุ่งหน้าไปที่ใดสักแห่ง สถานที่หญิงสาวมาถึงคือคุกที่อยู่ลึกที่สุดในที่ว่าการ ภายในคุกคับแคบที่ไม่มีแสงส่องเข้ามาถูกทำให้สว่างด้วยแสงไฟจากเตาไฟที่กำลังลุกโชน
“อือ! อือ อื้อ!”
ผู้ลอบสังหารเห็นรยูฮาก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เขาไม่ได้ถูกมัดไว้ ร่างกายของเขาที่หักไปหมดแล้วตรงจุดนั้นจุดนี้ ส่วนที่พอจะขยับได้มีเพียงนิ้วมือไม่กี่นิ้ว ไม่มีหนทางให้เลี่ยงรยูฮาได้เลย สำหรับผู้ลอบสังหารการปรากฏตัวของรยูฮาน่ากลัวกว่าความตาย เพราะ…
พรึ่บ!
แส้ตวัดพันรอบตัวผู้ลอบสังหารเหมือนงู สัมผัสของแส้ติดไปทั่วร่าง มีเลือดออกมาเล็กน้อยจากเนื้อที่ปริแตก แต่ใบหน้าของรยูฮานั้นเป็นสีหน้าที่ไม่สามารถเห็นได้จากที่ไหนเลย
พรึ่บ!
พรึ่บ!
ฟาดลงไปแล้วกี่ครั้งกัน รยูฮาหยุดการเคลื่อนไหวครู่หนึ่ง แล้วโบกมือข้างที่ไม่ได้จับแส้ ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ โปรยผงสีขาวลงบนร่างกายของผู้ลอบสังหาร
“อ๊าก! อ๊ากกก!”
เกลือละลายลงบนเลือดซึมเข้าไปในแผล ให้ของขวัญเป็นความทรมานดังนรก ทรมานเสียยิ่งกว่าการพาวิญญาณของผู้ลอบสังหารไปสู่ความตาย
ตอนแรกคิดไว้ว่าอย่างไรเสียก็จะไม่เปิดปาก เขากลับมาเพราะโดนสาดน้ำ การฝึกฝนอย่างหนักท้ายที่สุดแล้วก็เตรียมตัวมาเพื่อสิ่งนี้หรือเปล่า ดังนั้นพอได้สติลืมตาตื่นขึ้นมาเจอพระชายา เขาก็ถึงกับยิ้มแห้งในใจ แน่จริงพระชายาก็ลองทรมานดูสิว่าข้าจะเปิดปากไหม
แต่ผ่านไปสองสามชั่วโมงผู้ลอบสังหารก็ทำได้เพียงยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองคิดผิด พระชายาไม่สงสัยคนที่ยุยงเขาเลย หลังจากที่หญิงสาวทรมานเขาไม่ให้ตาย และหากสลบไปก็ส่งหมอไปรักษา ทำราวกับว่าตนเองมีเมตตา และต่อมาอีกสองสามชั่วโมงก็ทรมานเขาต่อ พระชายาขององค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเป็นสาวบ้าจนน่าตกใจ
พรึ่บ!
“ต่อไป”
รยูฮาฟาดแส้ลงไปเป็นครั้งสุดท้ายแล้วส่งให้ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเก็บแส้แล้ววางบางอย่างที่เล็กและเป็นประกายลงบนมือของรยูฮา มันคือมีดสั้นที่เจาะทะลุไหล่ของฮอน
“อ๊ากกก”
ผู้ลอบสังหารส่ายหน้าไปมาเพราะความหวาดกลัว ขอร้องช่วยเปิดปากให้ที ข้าจะสารภาพความผิดทั้งหมดที่รู้ แต่การขอร้องอย่างน่าหดหู่นั้นกลับได้ยินเพียงแค่เสียงดังอู้อี้เพราะถูกปิดปากไว้
“เหลือส่วนไหนกันนะ”
รยูฮาสำรวจตรงนั้นตรงนี้แล้วขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะท่าทีที่น่าเวทนาของผู้ลอบสังหารหรือเพราะเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด นางแค่กลุ้มใจที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจนมองไม่เห็นที่ให้กรีดลงไปอีก
“สาดน้ำลงไป เพราะเลือดเลยมองไม่ค่อยเห็น”
ทหารหนึ่งนายออกไปเอาน้ำตามคำสั่งของหญิงสาวที่ถอยไปหนึ่งก้าว โอกาสมีแค่ตอนนี้เท่านั้น หญิงสาวคนนี้ไม่อนุญาตให้เขาบอกข้อมูลที่มีเลย ต้องบอกข้อมูลที่กระตุ้นหญิงบ้าคนนี้ให้ได้มากกว่านี้ ดังนั้นผู้ลอบสังหารจึงตัดสินใจบอกสิ่งที่เขารู้ด้วยวิธีเดียวที่เขาทำได้ มีสิ่งเดียวแล้วที่เขาปรารถนา นั้นคือการได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดไปสู่ความตายอันสงบ
“อือ อื้อ อื้อ…”
ผู้ลอบสังหารดิ้นรนเอานิ้วที่เคลื่อนไหวได้จิ้มไปที่เลือดแล้วเริ่มเขียน
“พระชายา ดูเหมือนว่ามันกำลังจะทำอะไรสักอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนที่ 7-7
ช่างน่าขอบใจเสียเหลือเกินที่ดูเหมือนว่าทหารนายหนึ่งดูออกถึงความตั้งใจของเขา ผู้ลอบสังหารจึงมีแรงฮึด เคลื่อนไหวมืออย่างตั้งใจ แต่ว่าก่อนจะเขียนได้ถึงครึ่ง น้ำเสียงเย็นชาของพระชายาก็บาดคอเขา
“เปิดปากง่ายอย่างนั้นไม่ได้สิ เป็นคนไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
ภายใต้ความหวังอันดำมืด น้ำชะล้างข้อมูลที่ผู้ลอบสังหารใช้เลือดเขียนไปจนหมดจด ในคุกเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความทรมานอีกครั้ง ถึงขนาดต้องทิ้งชุดขาวที่เต็มไปด้วยเลือดไปหนึ่งชุด
“ตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
ในระหว่างที่ฮอนหลับไป รยูฮาส่ายหน้าให้กับคำพูดของชานที่นั่งอยู่ตรงข้าม นางไม่เปิดเผยความจริงที่ผู้ลอบสังหารอยากบอกเกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างมาก ความจริงแล้วเบื้องหลังที่รู้นั้นไม่ใช่เบื้องหลังจริงๆ ผู้ลอบสังหารองค์รัชทายาทไม่มีทางจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่หรือ
“ถึงไม่อาจรู้เบื้องหลัง แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือไม่ได้ตั้งใจจะปลงพระชนม์องค์รัชทายาทจริงๆ มิใช่หรือเพคะ”
“…เรื่องนั้นก็จริงพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกจุดแปลกไปหมด ทั้งที่ช่วงเวลาที่ฮอนอยู่คนเดียวก็มีมากพอ แต่เลือกลอบสังหารตอนที่รยูฮาอยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมีดมันสั้นเกินกว่าจะแทงไปที่ขั้วหัวใจได้ พิษที่กระจายอยู่ตรงนั้นก็มีปริมาณไม่มากพอทำให้ถึงแก่ความตาย
เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง เจ้าเมืองจึงใช้มือสังหาร แต่ทันทีที่แผนการล้มเหลว เขาก็แขวนคอตัวเอง นั่นเป็นเพราะความผิดที่ใหญ่กว่าทุจริตคือความผิดที่ไม่สามารถช่วยเหลือสายเลือดราชวงค์เอาไว้ได้ เจ้าเมืองจะไม่รู้เลยหรือ หากองค์รัชทายาทถูกลอบปลงพระชนม์ในที่ว่าการของตัวเอง ตัวเองก็อาจต้องโทษประหารชีวิตตามไปด้วย
“มันคือการเตือนเพคะ เป็นทั้งการเตือนองค์รัชทายาทและเป็นการเตือนหม่อมฉันด้วย”
รยูฮาพูดเสียงเบา ชานก็พยักหน้าราวกับเห็นด้วย
“จูเยฮึง องค์ชายมองว่าเป็นเรื่องที่เขาก่อหรือไม่เพคะ”
“ท่านก็รู้ความจริงจากหลักฐานที่พวกเราได้มาแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ จากนี้ไปพวกเราต้องระวังตัวกันให้มากขึ้น เพราะตัวท่านก็รู้ดีว่าคนที่ถูกเพ่งเล็งว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้คือใคร”
ตึก ตึก ชานมองดูปลายนิ้วของรยูฮาที่เคาะลงบนโต๊ะทำให้นึกอีกคนที่มีนิสัยแบบนี้
“…แล้วพระสนมเอกล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่ปรารถนาให้ฮอนหายไปมากกว่าใคร คนที่ปรารถนามาทั้งชีวิตว่าจะผลักฮอนออกไป แล้วให้ชานขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแทน คนที่คลอดแล้วก็เลี้ยงชานมา
“ตอนนี้…มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพคะ ด้วยอาการบาดเจ็บองค์รัชทายาท ทำให้ต้องกลับไปพระราชวังอีกครั้ง ถึงจะตรวจตรามาได้หลายเมืองแล้ว แต่ก็ยังตรวจตราไม่ครบทั้งแนวเขตชายแนบ นับว่าปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้ อีกอย่างถ้าหัวหน้าองครักษ์ต้องกลับพระราชวังไปก็คงไม่พ้นต้องได้รับโทษ จะไม่กลายเป็นว่าเสียบริวารที่ซื่อสัตย์ขององค์รัชทายาทไปหรือเพคะ”
ชานเงี่ยหูฟังคำพูดเบาๆ ของรยูฮาแล้วใช้มือลูบหน้า นางไม่ได้คิดต่างไปจากใจของเขาเลย ความจริงที่ว่าความคิดเขาเหมือนกับความคิดของรยูฮามันเต็มเติมในหัวใจ มันคือโรคร้ายแรง ไม่อาจควบคุมได้
“ขอเข้าไปนะเพคะ”
ตอนนี้เองมินอาผู้เย็นชาก็เข้ามายืนในห้อง หญิงสาวพยายามอย่างมากไม่ให้ชามยาสมุนไพรสีขาวที่วางอยู่บนถาดหก
“ไปรินยาสมุนไพรมาเพคะ หม่อมฉันเคี่ยวเอง”
“ขอบใจมาก เอามานี่มา”
รยูฮารับถ้วยยาสมุนไพรมาแล้วเดินไปที่เตียง หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหาร มินอาก็ระวังมากขึ้นแม้แต่น้ำแก้วเดียวนางก็เป็นคนไปตักและมาเคี่ยวยาเอง ยืนเฝ้าประตูทั้งเวลากลางวันกลางคืน ตรวจสอบทุกคนที่เดินผ่านไปมา เพราะนาง รยูฮาถึงวางใจได้อีกนิด แต่ยิ่งเวลาผ่านไปท่าทางที่ดูอิดโรยของมินอายิ่งทำให้มีแต่สงสาร
“ข้าจะถวายยาแล้วก็คอยดูแลอยู่ข้างๆ เจ้าไปพักเถอะ”
“ได้เวลาองค์ชายสองออกไปขานชื่อทหาร หม่อมฉันจะเฝ้าอยู่ก่อนเพคะ”
“นี่เป็นคำสั่ง”
มินอาโค้งหัวลงครั้งหนึ่งโดยเก็บความไม่ชอบใจไว้และหมุนตัวออกไป ชานที่รู้ตัวว่าถึงเวลาขานชื่อทหารแล้วก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตู ระหว่างที่ปิดประตูลง เขาเห็นรยูฮาที่นั่งลงบนเตียงค่อยๆ ลูบไปที่ฮอนเพื่อปลุก เขาจึงพยายามทำหน้าให้ไร้ความรู้สึกให้ได้มากที่สุด
“ลำบากเจ้าแย่เลย”
ชานที่เดินไปตามโถงทางเดินพูดขึ้น มินอาหันมองเขาครู่หนึ่งแล้วเบนสายตาไปเบื้องหน้า
“ไม่ใช่เรื่องลำบากหรอกเพคะ การช่วยพระชายาเป็นงานของหม่อมฉันอยู่แล้ว”
“ที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเพื่อองค์รัชทายาทหรอกหรือ”
“ช่วยเรื่องหัวใจพระชายาก็เป็นงานของหม่อมฉันเพคะ ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทสั่นคลอนอีกครั้ง พระชายาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เพราะอย่างนั้นหม่อมฉันจึงตั้งใจจะถวายการคุ้มครองเองเพคะ”
นางดื้อดึงตั้งมั่นแน่วแน่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเหตุผลลึกซึ้งเหมือนรยูฮามาก ชานคิดเช่นนั้นแล้วลูบลงบนหัวของมินอา แน่นอนว่าทำไปด้วยใจเอ็นดู แต่กลับหนีไม่พ้นถูกมินอาคว้าข้อมืออย่างอัตโนมัติ
“อึก!”
ชานขมวดคิ้วเนื่องจากการจู่โจมอันคาดไม่ถึงและส่งเสียงร้องเบาๆ มินอาตาเบิกกว้างกับสิ่งที่ทำลงไปอีกครั้ง
“หม่อมฉันเสียมารยาทอีกแล้วเพคะ มันติดเป็นนิสัย”
“นี่เรียกว่านิสัยหรือ”
เป็นนิสัยป้องกันตัวจากโฮจินที่มักจะเข้ามาใกล้เสมอ แต่ชานไม่มีทางได้รู้ ชานนึกสงสงสัยว่าเด็กคนนี้ใช้ชีวิตแบบไหนมา แต่มินอาเข้าใจว่าคำนั้นที่ชานถามย้ำอีกครั้งเป็นเพราะความผิดที่บังอาจจู่โจมพระราชโอรส นางจึงคุกเข่าหมอบลงตรงนั้น
“ลงโทษหม่อมเถิดเพคะ”
ชานกำข้อมือข้างที่เจ็บแน่น เขาหมดคำพูดไปชั่วขณะและมองลงไปยังมินอา และต่อมาตอนนั้นเอง
“ฮ่าๆ!”
เสียงหัวเราะที่ระเบิดขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงทำให้มินอามองชานอย่างมึนงง ชานหัวเราะจนตัวงอกับท่าทางแบบนั้นของมินอา จนผ่านไปสักพักใหญ่การหัวเราะจึงเงียบลงอย่างยากเย็น เขาลูบหัวมินอาอีกครั้งแต่คราวนี้ข้อมือไม่โดนจับแล้ว
“ทำไมเหมือนเจ้านายเจ้าขนาดนี้ ข้าไม่คิดลงโทษแม้แต่น้อย ลุกขึ้นเถอะ”
“อ้า อย่างนั้นหรือเพคะ”
มินอาปัดเสื้อผ้าแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นราวกับไม่รู้ว่าคุกเข่าลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นางมองไปทางชานอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วโค้งตัวลง
“ถ้าเช่นนั้นต่อไปโปรดระวังเรื่องการเข้าใกล้ตัวหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันเป็นคนของพระชายา นอกเหนือจากเรื่องของพระราชวังแล้วจะมาสัมผัสโดนตัวผู้ชายไม่ได้เพคะ”
ชานมองเบื้องหลังของมินอาผู้ทิ้งคำสุดท้ายไว้แล้วเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะยกยิ้ม แม้แต่สีหน้า การพูดการจาก็เหมือนกันราวกับพี่น้อง แต่ว่าในหัวของชานที่กำลังจะลบมินอาออกอย่างหมดจดในไม่ช้า กลับมีเสียงของฮอนที่ทำให้เขาทั้งดีใจและทรมานในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหมุนวนกลับมาอีกครั้ง
‘หากต้องมาตายก่อนได้เข้าหอกับเจ้า ต่อให้ตายไปข้าก็คงจากโลกนี้ไปไม่ได้’
คำพูดที่แอบได้ยินจากนอกประตูทำให้ชานเกิดความหวัง
พระชายายังไม่ได้เข้าหอ
“เจ้าว่าคนร้ายฆ่าตัวตายงั้นรึ มันทำได้อย่างไรกัน”
สายตาเฉียบแหลมราวกับคมมีดพุ่งไปที่ชองโอซึ่งกำลังกระสับกระส่าย
“ตั้งใจว่าจะเอาน้ำให้เลยปลดโซ่ตรวน แต่เขากลับกัดมือของทหารที่จับคางไว้แล้วก็กัดลิ้นตัวเอง ยกโทษให้กระหม่อมด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
รยูฮาเม้มปากแน่น ยังไม่ทันล้วงข้อมูลออกมาได้เลยแต่ก็ไม่เสียดายที่นักโทษตาย แต่จะมาตายง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้สิ พอหลับตาภาพใบหน้าอันหม่นหมอง ดวงตาซีดเผือด และเลือดที่ไหลลงมาจากไหล่ของฮอนก็ปรากฏขึ้น ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นรยูฮาจะสะดุ้งตื่นในขณะนอน แล้วกัดฟันมุ่งหน้าไปที่คุก
“…ไม่ใช่ความผิดเจ้า ออกไปเถอะ”
พอปล่อยชองโอออกไปแล้ว ภาพของดาบที่ถูกว่างอยู่อย่างเรียบร้อยก็เข้ามาในดวงตาของรยูฮา วันที่จู่ๆ ก็ประกาศว่ารยูฮาจะได้เป็นพระชายาอย่างกะทันหัน ดาบของฮูหยินตระกูลจองก็ตกมาเป็นของรยูฮา
‘รยูฮา ต่อจากนี้ดาบเล่มนี้คือของเจ้า ใช้ดาบนี้ทำลายคนที่ขวางทางฮอน แล้วก็คุ้มครองเขา แน่นอนว่าทั้งร่างกาย จิตใจ ตำแหน่งของเขา รวมไปถึงราษฎรของเขา เจ้าทำได้หรือไม่’
‘เจ้าค่ะ ท่านแม่’
ดาบที่ตอนแรกยกด้วยสองมือก็ยังร้องเสียงโอดโอย พอฤดูกาลเปลี่ยนผันก็ค่อยๆ เบาขึ้น สามารถยกได้ด้วยสองมือ ดึงดาบออกมาแล้วก็กวัดแกว่ง จนในที่สุดก็สามารถถือไว้ได้ด้วยมือเดียวและโยนไปมาได้ นางผ่านการฝึกฝนอย่างหนักจนดาบรวมเป็นหนึ่งกับร่างกาย
แต่ว่าพอถึงคราวจำเป็นจริงๆ การฝึกฝนนั้นกลับไม่ได้ฉายแสง หากระมัดระวังรอบข้างอีกสักนิด หากเคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้อีกสักนิด หากไม่ละความสนใจไปจากสายตา ใบหน้าที่ถูกทำให้แดงและแขนที่โอบกอดตัวนางเอง…
ในขณะเดียวกันมินอาผู้ซึ่งเฝ้าประตูห้องที่ฮอนอยู่ราวกับสิ่งไม่มีชีวิตก็ว้าวุ่นภายในใจเช่นเดียวกัน ขันทีหนึ่งเดียวกำลังเดินทางมา ดังนั้นเรื่องจัดการเสื้อผ้าของฮอนที่ถูกทิ้งไว้ในห้องสรงน้ำในวันนั้นจึงเป็นงานที่มินอาต้องทำ เพราะเสื้อผ้าขององค์รัชทายาท คนของพระราชวังเท่านั้นถึงจะจับต้องได้
สิ่งที่ได้รับกลับมาหลังจากออกไปจัดการกับเสื้อผ้าในระยะเวลาสั้นๆ ช่างน่าเศร้าใจนัก ภาพของเลือดที่สาดไปทั่วห้องบรรทมและเจ้านายที่เลือดท่วมตัวทรมานมินอาทั้งยามหลับยามตื่น แบบนี้ได้รับโทษเสียดีกว่า แต่ทั้งพระชายาและองค์รัชทายาทไม่มีใครถามหรือมีความคิดจะโทษนางเลย เพราะอย่างนั้นนางจึงลงโทษตัวเองด้วยการทรมานตัวเอง
“แล้วเจ้าจะได้นอนเมื่อไหร่กัน”
ตอนที่ 7-8
ชานที่พาหมอเข้ามานั้น เห็นมินอาเข้าพอดีถึงกับคิ้วขมวดเป็นปม แก้มแดงระเรื่อที่เคยดูดีกลับซูบผอมลง กระดูกนูนขึ้นมาเพราะริมฝีปากที่เม้มแน่น ดูเหมือนว่าคนที่จำเป็นจะต้องให้หมอตรวจคงไม่ใช่ฮอนแต่คือมินอาต่างหาก ผ่านมาหลายวันแล้วนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องแต่แทบจะไม่เห็นมินอาออกห่างจากหน้าประตูห้องของฮอนเลย อย่างดีก็พักนอนแค่เพียงชั่วยามเดียวเท่านั้น
“หม่อมฉันนอนทุกครั้งที่ว่างเพคะ อย่าสนใจเลยเพคะ”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
เมื่อสำรวจไปทั่วใบหน้านั้นทุกซอกทุกมุม ใบหน้าบูดบึ้งก็เข้ามาในสายตาของชาน จริงๆ แล้วเขาไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปใส่ใจ แต่ถึงอย่างไรสำหรับรยูฮาแล้วมินอาก็เป็นสาวใช้ที่นางหวงแหนมากที่สุด หากเกิดเรื่องอะไรกับหญิงสาวคนนี้ไม่อยากแม้แต่จะคิดเลยว่านางจะทรมานแค่ไหน
“งานอารักขาฝ่าบาทเป็นงานของหัวหน้าองครักษ์กับเหล่าทหาร ที่พาพวกเขามาก็เพราะอย่างนี้ เจ้ากลับไปดูแลพระชายาเถอะ”
“หม่อมฉันจะละเลายหน้าที่ในการดูแลพระชายาไปไม่ได้เพคะ อีกทั้งหัวหน้าองครักษ์ต้องดูแลการเข้าออกอาคารทั้งหมดของที่ว่าการ ส่วนเหล่าทหารก็เชื่อไม่ได้ ผู้ลอบฆ่าจะรู้ตำแหน่งขององค์รัชทายาทภายในวันเดียวที่มาถึงเลยหรือเพคะ หากไม่มีใครบอกก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพคะ”
มินอาผู้ซึ่งแย้งขึ้นมาเบนสายตากลับมาทางเดิมอีกครั้งแล้วเงียบลง
“เสด็จพี่ ล้มเลิกความตั้งใจเถอะ ข้าโน้มน้าวหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ยอมเคลื่อนไหวเลย”
ฮอนที่กำลังฟังบทสนทนาของพวกเขาพูดขึ้นมาในห้อง ชานส่ายหน้าแล้วมองไปทางหมอที่อยู่ด้านหลัง
“ต้มยาสมุนไพรให้ที ใจใส่เป็นพิเศษด้วยเพราะเป็นของผู้หญิงกิน”
หลังจากร่างของชานหายเข้าไปในประตู ประตูบานนั้นก็ปิดลงอีกครั้ง พอไออุ่นที่ออกมาห้องหายไปอากาศตรงโถงทางเดินก็ยิ่งทำให้มินอาหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม มินอาเงยหน้ามองเพดานแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนที่ทำบ่อยๆ เวลาพยายามจะตั้งสติ แล้วกลับมายืนนิ่งอีกครั้ง จ้องมองแสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านเข้ามาตรงปลายโถงทางเดิน
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าที่ลากด้วยม้าสี่ตัวและหมอหลวงที่ถูกส่งมาจากพระราชวังก็มาถึง ด้วยความที่เป็นรถม้าที่รถเทียมม้าสี่ตัวเช่นนี้มีแค่กษัตริย์เท่านั้นที่นั่งได้ ฮอนจึงดื้อดึงไม่ยอมขึ้นไปนั่ง แต่ต่อหน้าคำสั่งของกษัตริย์ ในที่สุดแล้วเขาจึงทำได้แค่ขึ้นไปนั่งด้วยความรู้สึกเหมือนกับนั่งลงบนเบาะที่เต็มไปด้วยหนาม
“พระชายา ไม่ลำบากหรือ มานั่งด้วยกันสิ”
“อย่างที่ฝ่าบาททรงบอกนี่เป็นรถม้าที่มีแค่กษัตริย์เท่านั้นที่นั่งได้นะเพคะ หม่อมฉันนั่งไม่ได้หรอกเพคะ”
ฮอนเปิดหน้าต่างออกไปพูดกับรยูฮาแล้วก็เงียบปากลงเพราะคำตอบที่เหมือนกับดาบ พอขึ้นมานั่งบนนี้มันก็ทั้งสบายและอบอุ่นจึงคิดว่าถ้าให้รยูฮาขึ้นมานั่งแล้วทำดีด้วยคงได้จูบนางอีกสักครั้ง แบบนี้มันจะไม่เย็นชาไปหน่อยหรือ รยูฮาฝากเสียงผ่านสายลมไปยังฮอนที่ทำหน้าสลดอยู่อีกครั้ง
“พอกลับไปวังซึงกอนจะเล่นน้ำทุกคืนก็ได้ อย่าทรงน้อยใจไปเลยเพคะ”
“พูดจริงใช่หรือไม่ เจ้าสัญญากับข้าแล้วนะ”
พอเห็นฮอนที่ดูสดใสขึ้นทันทีรยูฮาก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา ความจริงแล้วจะเข้าไปที่พักของพระชายา หรือจะเข้าที่พักของนางสนมล้วนเป็นการตัดสินใจขององค์รัชทายาท ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของที่พัก ท่าทางของฮอนที่ดูชอบใจกับคำที่บอกว่าให้มาที่วังซึงกอนได้เหมือนกับจะลืมแม้แต่ความจริงข้อนั้นไปดูใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อย แม้มีคำพูดพร่ำเสียดสีแต่รยูฮาก็รู้เกี่ยวกับข่าวลือเหลวไหลที่ว่าฮอนเป็นพวกสำมะเลเทเมาหรือเป็นเมล็ดพันธ์กษัตริย์ทรราช
“หากฝ่าบาทจะเสด็จมา…”
“ข้าจะนำสุราไปด้วย”
ฮอนยกแขนข้างที่ไม่บาดเจ็บวางบนกรอบหน้าต่างแล้วเกยข้างลงบนนั้น เขาสบตากับรยูฮาแล้วยิ้มออกมา อันตรายอีกแล้ว รยูฮาถึงกับสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปชั่วขณะ และพอต้องจัดการกับหัวใจที่ถูกทำให้หวั่นไหว นางจึงลบรอยยิ้มออกจากใบหน้าแล้วกลับมาทำหน้าไร้ความรู้สึกอีกครั้ง
“อย่ายิ้มเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
“ทำไม ไม่ชอบมองหรือ เห็นเจ้าชอบบอกว่าข้าหล่อเหลาอยู่เสมอนี่”
“เพราะว่าเป็นเช่นนั้นอย่างไรเล่าเพคะ หากใจหม่อมฉันสั่นคงช่วยเหลือฝ่าบาทลำบาก ช่วยระวังด้วยเพคะ”
“ใจสั่นหรือ จริงหรือ เพราะข้า?”
ไม่ได้ปรารถนาไปจนถึงขั้นถวิลหา ไม่สิ ความจริงแล้วปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นอย่างมากแต่กลัวถูกปฏิเสธจึงไม่กล้าถาม จะไม่ให้ฮอนดีใจไปกับคำพูดที่ลอยมาอย่างคาดไม่ถึงได้หรือ แค่ได้ยินถึงคำว่า ‘หากใจสั่น’ ฮอนก็ยื่นแขนที่เคยเท้าคางอยู่ไปทางรยูฮา
“จับหน่อย”
“หม่อมฉันจับบังเ**ยนม้าอยู่เพคะ”
“ขนาดบนหลังม้ายังถือดาบถือกระบี่ได้เลย”
เล่ห์เหลี่ยมแบบนั้นไปเรียนมาจากไหน รยูฮายิ้มแห้งอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วผละมือออกจากบังเ**ยนม้าก่อนจะวางลงบนมือของฮอนที่ยื่นออกมานอกหน้าต่าง และพอคิดว่าจะลองดึงมือนั้นดูสักนิดดีไหม
จุ๊บ
ริมฝีปากอุ่นก็สัมผัสลงบนหลังมือของรยูฮาแล้วผละออก
“อะไรกันเพคะ”
“บอกอีกทีสิ ว่าใจสั่นหรือไม่”
ถ้าบอกว่าใจไม่สั่นก็เป็นเรื่องโกหก แต่เพราะไม่สามารถโกหกได้รยูฮาจึงเลือกจับบังเ**ยนม้าอีกครั้งแล้วเร่งความเร็วให้พ้นจากสายตาของฮอนแทนที่จะตอบ
* * *
“พระสนมเอก เห็นว่าองค์ชายสองเสด็จเข้าเมืองหลวงมาแล้วเพคะ”
ลมอุ่นเพียงเล็กน้อยพัดผ่านใบหน้าของพระสนมมุนผู้ซึ่งมีสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเพียงครู่แล้วก็หายไป ใจอยากออกไปหาที่พระราชวังแต่ไม่อยากทำความเคารพพระมเหสีที่เกลียดชังจนรู้สึกอึดอัดราวกับจะอาเจียนออกมา ตอนไปส่งก็ไม่ได้ออกไปจะทำอย่างไรดี พระสนมมุนมองประตูที่ไม่มีผู้ใดเข้ามาแล้วจมอยู่ในห้วงความคิด
ข่าวสำคัญเรื่องขบวนเสด็จองค์รัชทายาทถูกส่งไปยังวังชังชุนอันเงียบสงบ ภายใต้ริ้วรอยตรงดวงตาของพระพันปีผู้ซึ่งถามไถ่ถึงหลานชายและหลานสะใภ้ส่องประกายด้วยความรู้สึกยินดีเพราะมีหวังจากข่าวที่ถูกส่งมา นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุลอบสังหารองค์รัชทายาท พระพันปีก็นอนไม่หลับด้วยความกังวล ทุกเช้ามืดจะลุกขึ้นมาอธิษฐาน ขอให้หลานชายมาถึงอย่างปลอดภัยไร้อุบัติเหตุใหญ่ด้วยร่างกายที่ไม่มีบาดแผล
“เตรียมพระกระยาหารเช้าที่องค์รัชทายาทจะเสวยพรุ่งนี้ให้ดี ถือเป็นงานใหญ่ของวังชังชุน”
“จะจัดเตรียมตามนั้นไม่ให้มีบกพร่องเลยเพคะ พระพันปี”
เตรียมพระกระยาหารเช้าให้องค์รัชทายาทหรือ ก่อนที่จะมีงานอภิเษกนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลย งานใหญ่ขององค์รัชทายาทที่รู้กันดีโดยทั่วไปคือในหนึ่งปีจะจัดขึ้นสักครั้งสองครั้งรวมทั้งวันประสูติด้วย ตระกูลของขุนนางผู้ซื่อสัตย์ส่งหญิงสาวที่ถูกใจพระพันปีมากเข้ามาในพระราชวัง ถึงจะไม่ได้พูดแต่ท่าทางขององค์รัชทายาทที่มักจะไปเที่ยวเล่นข้างนอกค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระชายาก็เป็นที่น่าพอใจอยู่ไม่น้อย ทั้งยังสายตาขององค์รัชทายาทยามทอดมองไปที่องค์ชายสองกับพระชายาซึ่งเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาบนหอสูง วันนั้นหัวใจของพระพันปีผู้เฝ้าดูหนุ่มสาวทั้งคู่ผ่านด้านหลังถ้วยชารู้สึกอบอุ่นเหมือนช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
ในเวลาเดียวกันนั้นเชื้อพระวงศ์แต่ละคนเข้าใจสถานการณ์และกำลังยุ่งวุ่นวาย ขบวนขององค์รัชทายาทที่เดินทางเข้ามายังเมืองหลวงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นมากกว่าต้อนเดินทางออกไป และกำลังมุ่งหน้าสู่พระราชวัง
รถม้าที่ตามหลังรถม้าที่ฮอนนั่งมาอย่างสง่างามเป็นของรยูฮา หญิงสาวสวมชุดสีแดงซ้อนกันเป็นทบๆ แทนเสื้อไหมสีขาวนั่งอยู่ภายในนั้น ชานเองก็อยู่ในชุดเครื่องแบบที่ตัดเย็บด้วยไหมสีทองแทนชุดธรรมดาคุ้มครองอยู่ข้างๆ แต่ว่าดวงตาที่ต้องมองไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่รู้ทำไมถึงเบนไปหาใบหน้าด้านข้างของรยูฮาที่โผล่พ้นออกมาทางมู่ลี่เล็กน้อย
งดงาม ลำคอส่องประกายมันวาวภายใต้ปรอยผมที่ตกลงมาไม่กี่ช่อ บนหัวที่ถูกตกแต่งด้วยหงส์สีทองซึ่งรองลงมาจากพระพันปีก็อนุญาตให้แค่พระชายาขององค์รัชทายาทเท่านั้นที่ใส่ได้ ปีกของมันสยายและสั่นไหว หงส์นั้นไม่ได้บินสูงขึ้นมา มันเพียงแต่ทำให้ใจของชานที่รู้ดีว่ารยูฮาคือพระชายาขององค์รัชทายาทเจ็บปวด นอกจากเขากับองค์รัชทายาทแล้วก็ไม่มีชายหนุ่มคนไหนได้รับอนุญาตให้อยู่ข้างๆ หญิงสาวเลย ความจริงนั้นมันหนักหน่วงและทรมานชาน
“พระสนม คราวนี้ได้เวลากลับแล้วเพคะ”
ภายในฝูงชนที่มารวมตัวกันเหมือนฝูงมด หญิงคนหนึ่งกระซิบบอกหญิงอีกคนที่ใบหน้าถูกปิดบังไว้อย่างระมัดระวัง
“อีกสักหน่อย”
หญิงผู้กระซิบบอกย่ำเท้าไปมา อาศัยช่วงชุลมุนออกมาเตรียมต้อนรับองค์รัชทายาท แต่นางต้องกลับก่อนที่ขบวนนี้จะเข้าไปในพระราชวังอีกครั้ง แต่สายตาของพระสนมมุนที่ออกมาต้อนรับการกลับมาของชานโดยไม่เผชิญหน้ากับพระมเหสีจับจ้องอยู่ที่ลูกชายผู้ซึ่งอยู่บนหลังม้าอย่างสง่างามและด้านข้างของพระชายาผู้ซึ่งลูกชายของตนเฝ้ามองอย่างห่วงใย
“…เข้าใจแล้ว”
“คะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”ตอนที่ 7-9
นางในซึ่งหวาดกลัวร้องสะอึกสะอื้นและอ้อนวอน ชานขมวดคิ้วยกขวดเหล้าขึ้นมา ดูจากนิสัยพระสนมต่อให้นางในคนนี้เป็นเครื่องมือคลายความโกรธก็คงยังไม่พอ แม้จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ แต่ชานก็ไม่ใช่คนที่จะนิ่งดูดายเรื่องพวกนี้ได้ ในพระราชวังอันกว้างใหญ่ โชคร้ายที่หญิงสาวถูกจัดให้มาอยู่ที่วังซูอัน แต่นั้นก็ไม่ใช่ความผิดนางไม่ใช่หรือ
“…ไปกันเถอะ”
ชานเปิดประตูออกอย่างแรงจนเหล่านางในพากันตกใจก้มหน้าลง ทั้งที่เป็นองค์ชายผู้ซึ่งอ่อนน้อมและสะอาดสะอ้านอยู่เสมอจึงนึกว่าคงไม่ได้เห็นท่าทางของพระองค์ในชุดที่ปล่อยละหลวม ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ปฏิเสธว่ามีกลิ่นเหล้าฟุ้งออกมา แต่ขวดเหล้าที่ถืออยู่ในมือจะพูดว่าอย่างไรดี
“ยืนทำอะไรอยู่ ไหนว่าหัวจะหลุดออกจากบ่า?”
“อ้า เพคะ ขอประทานอภัยเพคะ”
นางในที่ยืนมึนงงมองเขาอยู่พยายามตั้งสติแล้วรีบเร่งฝีเท้ามายืนข้างหน้า เหมือนได้ยินเสียงซุบซิบดังมาจากคนใช้ในพระราชวัง แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ คนที่เขาอยากดูดีในสายตามีแค่คนเดียวอยู่แล้ว
“พระสนม องค์ชายสอง…”
ก่อนที่นางในจะได้พูดจบ ชานผู้ซึ่งจับประตูไว้ด้วยตัวเองก็กลั้นหายใจไปชั่วขณะ กลิ่นนั้นยังคงอยู่ดังเดิม ภายในปั่นป่วนเพราะกลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งขึ้นท่ามกลางกลิ่นน้ำมันหอมและแป้ง
“องค์ชาย ทำไมอยู่ในสภาพเช่นนี้ บอกว่าเป็นหัวหน้ากองโจรก็คงเชื่อ!”
“จะเป็นอะไรไป ไม่มีใครว่าอะไรอยู่แล้ว พูดธุระมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ชานนั่งลงบนเก้าอี้ลวกๆ แล้วส่งสายตาไม่พอใจออกไป พระสนมมุนมองปราดไปยังลูกชายตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แต่มองไม่ออกว่าเขาเมาเหล้ากรึ่มๆ
“องค์ชายถึงวัยออกเรือนแล้วแต่ก็ยังไม่ได้พบคู่ครอง แม่คนนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ”
“แค่ไม่สบายพระทัยเรื่องคู่ครองของกระหม่อมเลยเรียกหากลางดึกหรือพ่ะย่ะค่ะ จัดพิธีได้เลยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่พาหญิงสาวที่เหมาะสมมาแล้วพรุ่งนี้ก็จัดงานได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาดูสบายๆ ของพระสนมมุนที่มองมายังชานที่อยู่ในอาการเมายังคงอยู่ที่ขวดเหล้าอย่างไม่ละสายตา
“แบบนั้นไม่ได้สิ การอภิเษกสมรสเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำครั้งเดียวในชีวิตไม่ใช่หรือไร แม่ปรารถนาให้องค์ชายร่วมทุกข์ร่วมสุขกับหญิงอันเป็นที่รักไปตลอดชีวิต”
คำพูดนั้นทำให้รู้สึกหนาวเย็นไปตามแนวกระดูกสันหลัง ทั้งคำพูดที่ว่าเป็นที่รัก ทั้งคำว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข ล้วนไม่ใช่คำพูดที่จะออกมาจากปากของผู้เป็นแม่ของเขา
“มีแผนอะไรในใจหรือพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมมุนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วก็ไม่มีคำตอบให้ไปสักครู่หนึ่ง ก่อนจะมองตาลูกชายตรงๆ แล้วยกยิ้มเล็กน้อย
“จะทำอย่างไรดี มีหญิงที่ถูกตาต้องใจบ้างหรือไม่เล่า”
“ถ้าจะพูดเรื่องไร้ประโยชน์ กระหม่อมขอตัวก่อน”
ชานเผยความรู้สึกอึดอัดใจและไม่เป็นมิตรออกมาทั้งอย่างนั้นแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง แต่น้ำเสียงของพระสนมมุนที่พูดต่อไปและเล็บอันแหลมคมก็เกี่ยวปกเสื้อของเขาไว้
“องค์ชายชอบลูกพลับใช่หรือไม่ แต่ไม่รู้หรือว่าลูกพลับน่ะยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งดูน่าอร่อยแล้วก็ยิ่งดูน่าอยากได้”
‘โธ่เว้ย!’ คำสบถเล็ดลอดออกมาจากช่องฟันเบาๆ แต่พระสนมมุนไม่สนใจ ลูกชายที่เคยอ่อนน้อมและหนักแน่นอยู่เสมอดูจะเสียหลักไปเรื่อย ดูท่าแล้วความลึกซึ้งในใจของเขาคงไม่ธรรมดา ซึ่งสำหรับนางแล้วเขายิ่งรู้สึกลึกซึ้งยิ่งดี
“เพราะลูกพลับที่อยู่ปลายยอดมันดูน่าอร่อยอย่างไรเล่า แต่อย่างไรเสียหากขึ้นไปบนยอดก็เด็ดลงมาได้ ไม่ใช่จะมาเหลือไว้เพื่อให้กากิน ไม่ใช่หรือ”
ดวงตาของลูกชายที่แดงก่ำกับดวงตาของแม่ที่เย็นเป็นน้ำแข็งปะทะกัน เพล้ง ขวดเหล้าที่ชานเขวี้ยงลงบนพื้นแตะกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนเศษแก้วที่กระเด็นไปทั่วเชือดเฉือดสายตานั้นไป เขาหันหลังไปอย่างแรงราวกับจะสะบัดน้ำเสียงของพระสนมมุนที่ติดอยู่ตรงเสื้อออกไป จากนั้นจึงกลับเข้าที่พักฝังตัวนิ่งอยู่บนที่นอน
ตอนที่ 8-1
“เสด็จย่า ทำไมมาอยู่ตรงนี้เพคะ ลมออกจะแรง”
รยูฮาจับมือของพระพันปีผู้ซึ่งเดินเตร่อยู่ข้างรอเวลาให้ภรรยาของหลานชายเข้ามา แล้วเป่าลมหายใจลงไป
“พระชายา มือข้าเองก็เย็นเหมือนกัน”
ฮอนพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือออกไป รยูฮาจับมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแน่นแล้วเดินขึ้นบันไดไป ประตูหลายชั้นถูกเปิดออกแล้วเข้ามายื่นในห้องพักของพระพันปีถึงได้รู้สึกถึงบางอย่างที่คุ้นเคย
“พระพันปี นี่มัน…”
ฮอนเปิดปากพูดก่อนอย่างระมัดระวัง ของตกแต่งและของมีค่าที่เคยวางอยู่ทุกที่ทั่วห้องมันหายไปกว่าครึ่งไม่ใช่หรือ
“ใช่แล้ว พอเห็นรถม้าและนางในที่พระชายาส่งกลับมาแล้วก็รู้สึกละอายใจมาก องค์รัชทายาทกับพระชายาบอกว่าจะไปดูแลเหล่าชาวบ้านที่ตกอยู่ในความลำบาก แล้วพากันออกเดินทางไปบนทางที่ยากลำบาก คนแก่คนนี้ก็เห็นว่าทองคำที่อยู่ในห้องนี้เฉยๆ มันสิ้นเปลืองเงินพระคลัง เลยส่งไปช่วยคนที่ยากจน”
นั่นมัน… พวกเขาไม่ได้ส่งนางในกลับมาเพราะแบบนี้สักนิด ฮอนผงะแล้วมองไปทางรยูฮา ดูเหมือนว่านางเองก็จะคิดเหมือนกัน แต่ใบหน้าของพระพันปีที่พูดขึ้นมาแบบนั้นกลับดูสดใสและปลาบปลื้มใจอย่างที่ไม่เคยมีเมื่อก่อน เพราะอย่างนั้นให้เข้าใจเช่นนั้นก็คงได้ ใบหน้าของฮอนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็วและกล่าวชมพระพันปี
“ทรงฉลาดหลักแหลมมากพ่ะย่ะค่ะ พระพันปี ทั้งประเทศคงสรรเสริญความมีน้ำใจของพระองค์อยู่”
“ใช่แล้วเพคะ เสด็จย่า เพราะความกรุณาของพระองค์ ฤดูหนาวนี้ชาวบ้านคงได้ใช้ชีวิตอย่างอบอุ่น”
ใบหน้าของพระพันปียิ่งสดใสขึ้นไปอีกเพราะคำชมของสองหนุ่มสาว ตอนนั้นเองเสียงของนางในอายุมากก็ลอยผ่านเข้าประตูมา
“พระพันปี องค์ชายสองเสด็จเพคะ”
“ให้เข้ามา”
สำหรับชานผู้รู้สึกหนาวเย็นอยู่นั้น อากาศอันอบอุ่นกำลังโอบล้อมตัวเขาไว้ชนิดที่เขาเองก็รู้สึกไม่คุ้นเคย สามคนที่นั่งอมยิ้มอยู่ตรงกลางนั้นดูอ่อนโยนและสนิทสนมกันมาก จนไม่มีที่ให้ชานแทรกเข้ามา
“กระหม่อมมาสายนี่เอง ถวายบังคมพระพันปี ขอทรงพระเจริญ”
“นั่งเถอะ อีกไม่นานก็ถึงเวลาอาหารแล้ว”
พระพันปียิ้มให้แล้วกลับมาดูภูมิฐานตามเดิม ก่อนจะส่งสัญญาณมือไปทางชาน ทั้งที่ก็เป็นท่าทางที่เหมือนเดิมอยู่ตลอดแต่ไม่รู้ทำไมมาคราวนี้ในใจมันถึงรู้สึกหวาดกลัว
“เสด็จพี่ ดูเหมือนว่าจะยังไม่หายเหนื่อย”
“ไม่ใช่หรอกพ่ะย่ะค่ะ พอได้นอนสบายเลยไม่ชินจึงดื่มเหล้ามานิดหน่อย”
“…อย่างนั้นหรือ”
ฮอนยกแก้วน้ำขึ้น รสขมเปียกตลบอบอวลอยู่ในปาก คืนนั้นที่มือลอบสังหารเข้ามา ภาพที่เขาเห็นตอนสติอันน้อยนิดกลับมา ชายที่กอดรยูฮาผู้ซึ่งกำลังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือชานแน่ๆ แม้จะมองเห็นแต่ฮอนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่เดิมที่ตรงนี้คือที่ที่ชานต้องนั่ง และรยูฮาผู้ซึ่งจะมาเป็นพระชายาก็จะกลายเป็นผู้หญิงของเขา ถึงแม้ฮอนจะไม่ได้เป็นฝ่ายแย่งที่นั้นมาด้วยตัวเองแต่ความจริงข้อนั้นก็ใช่ว่าจะเปลี่ยน
ในเช้าวันนั้น ทั้งฮอนและชานก็ไม่สามารถแม้แต่จะฝืนยิ้มได้ พระพันปีและรยูฮาดูออกถึงความเย็นยะเยือกที่ไหลผ่านออกมาจากทั้งคู่ แต่ก็เงียบคำไว้เหมือนอย่างทุกที หลังจากสถานการณ์น่าอึดอัดผ่านไปทั้งอย่างนั้น พระพันปีก็เอ่ยปากไล่สองพี่น้องต่างจากปกติ
“ทั้งคู่กลับไปเถอะ ส่วนพระชายาอยู่คุยกับย่าก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
พระพันปีมองทั้งคู่เดินออกนอกประตูไปแล้วพิงลงบนเก้าอี้อย่างสบาย
“ได้ยินว่าเรื่องคราวนี้สร้างความลำบากให้พระชายาเป็นอย่างมาก”
“ไม่เลยเพคะ หม่อมฉันละอายมากกว่าที่ปลอดภัยอยู่คนเดียว”
ร่างกายของพระพันปีแก่ลงและเกิดริ้วรอย ผมที่เคยดกดำยาวสลวยก็กลายเป็นสีเทา แต่ไหวพริบไม่ได้ลดลงไปตามกาลเวลา รยูฮาเพิ่งรู้ว่าแววตาฉลาดภายใต้ริ้วรอยนั้นเหมือนกับพระราชา
“คนที่อยู่เบื้องหลังยังไม่ถูกเปิดเผยออกมาใช่หรือไม่”
“เพคะ”
พระพันปีมองปราดไปที่ใบหน้าของรยูฮาเงียบๆ ดูเหมือนจะเล็งเป้าหมายอะไรบางอย่าง แล้วหลังจากนั้นก็พูดด้วยเสียงอันเบา
“อาจจะไม่ได้หวังปลิดชีพจริงๆ”
แม้จะมีรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวไปที่พระราชวัง แต่ด้วยความที่เบื้องหลังยังไม่แน่ชัดการคาดเดาทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่ถูกจำกัดขอบเขตไว้ ภายนอกอาจจะเห็นว่าเป็นการลงมือสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ทำไมพระพันปีที่นั่งอยู่ในวังชังชุนถึงได้รู้เรื่องพวกนั้น ดวงตาของรยูฮาเต็มไปด้วยความมึนงง
“ทำไมเสด็จย่าถึง…?”
“สมแล้ว”
พระพันปีถอนหายใจจ้องมองไปยังแก้วชาที่เพิ่งวางลงตรงหน้าเมื่อครู่
“ข้ารู้จักคนที่น่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่พูดออกไปไม่ได้ เพราะไม่มีแม้แต่หลักฐานสักนิด”
“ว่าแต่ทำไมเสด็จย่าทำไมบอกเรื่องนี้กับหม่อมฉันหรือเพคะ ทรงทูลโดยตรงกับฝ่าบาทจะ…”
“ยังไม่ถึงเวลา ถ้าที่ข้าคิดมันถูก ถึงจะไม่อันตรายต่อชีวิตแต่ก็อันตรายต่อหัวใจและสติของเขา พระชายาช่วยยึดหัวใจนั่นไว้ให้แน่นด้วย เรื่องนี้ย่าขอ…”
ตอนที่ 8-2
พระพันปีลูบบนหลังมือของรยูฮาอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
“องค์รัชทายาททรงฉลาดหลักแหลมอยู่เสมอ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว จนกว่าจะได้ขึ้นครองราชย์ก็ต้องระวังไปจนถึงเรื่องความฉลาดที่มากเกินไปนั้น เขาอาจจะติดอยู่กับความรื่นเริงในชีวิตจนเสียเวลาช่วงหนึ่งในชีวิตไป จึงทำให้ถูกติฉินนินทา เชื่อว่าเจ้าคงฟังออกว่าข้าหมายความว่าอย่างไร”
บทสนทนาของทั้งคู่สั้นกว่าครั้งไหน จากนั้นไม่นานรยูฮาก็จับมือของพระพันปีเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงวางลงหันหลังออกจากวังชังชุนไป นางทั้งเดินเล่นในพระราชวังพร้อมกับกลับตำหนักมาอ่านหนังสือ และซ่อมแซมดาบไปด้วยก็แล้ว แต่คำพูดของพระพันปีก็ไม่ยอมออกไปจากหัว พระอาทิตย์กำลังตกเหนือภูเขาทางทิศตะวันตก หลังคาถูกย้อมไปด้วยสีทองของอาทิตย์อัสดง และตอนนั้นเองที่ฮอนเปิดประตูทั้งสองข้างเข้ามาในห้องของนาง
“พระชายา ข้ามาแล้ว”
“อย่าพรวดพราดเปิดประตูเข้ามาสิเพคะ ฝ่าบาท”
“เพราะข้าคิดถึงเจ้าอย่างไรเล่า คิดถึงอยู่ตลอดทั้งวัน”
ฮอนพูดราวกับบ่นพึมพำแล้วเหวี่ยงตัวไปยังที่นอน ไม่ว่าใบหน้าของนางในที่ยืนห้อมล้อมอยู่จะยิ้มหรือไม่ยิ้ม เขาก็มุดตัวลงไปในผ้าห่มเพื่อสูดกลิ่นกายเลือนรางของรยูฮาอย่างแน่วแน่
“…ออกไป”
รยูฮาคิดว่าคงต้องให้นางในออกไปก่อนเสียตั้งแต่ตอนนี้ จึงส่งสัญญาณมือไปทางพวกนาง ไม่มองก็รู้ว่าข้างนอกบรรดาหญิงสาวที่พากันเสียดายต่างกระซิบกระซาบจนโกลาหลขนาดไหน
“คิดถึงหม่อมฉันขนาดนั้นหรือเพคะ”
“ไม่นะ ข้าหมายถึงนิยายพื้นบ้านต่างหาก ไหนๆ แล้วก็เอาออกมาเถอะ”
รู้สึกได้ถึงความสบายใจบนใบหน้าของฮอนที่กำลังยกยิ้ม รยูฮาข่มใจที่อยากจะตีเขาสักครั้งด้วยสันหนังสือไว้อย่างยากเย็น แล้วหยิบที่ใส่ของที่เต็มไปด้วยหนังสือที่อยู่ใต้เตียงออกมา
“ของว่างเล่า”
“…เฮ้อ”
“ไม่มีหรือ”
“ไม่มีเพคะ”
“ปากมันว่าง”
“บอกว่าไม่มีไงเพคะ หรือจะเสวยนิ้วมือของหม่อมฉันก็เชิญเลยเพคะ”
รยูฮาพูดพร้อมนั่งลงบนที่นอนแล้วยื่นนิ้วชี้ออกมา ฮอนมองตามอย่างไม่สะดวกใจนักก่อนจะจับนิ้วนั้นไว้แล้วเอาเข้าปากจริงๆ
“อึก”
รยูฮาขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดแล้วพยายามจะเอานิ้วออกมา แต่ฮอนกลับยึดไว้แน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยแล้วเริ่มเคี้ยว หญิงสาวคนนี้แม้แต่ปลายนิ้วก็มีรสหวานออกมาหรือนี่
“ปล่อยเถอะเพคะ”
คิดว่าเป็นของว่างจริงๆ หรือ ดูเหมือนฮอนที่กำลังเอานิ้วอีกข้างเข้าปากจะไม่ได้ยินเสียงของรยูฮา เป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่ รยูฮาคิดแบบนี้ไม่ได้เกินไปเลย ภาพนิ้วที่เข้าออกตรงริมฝีปากแดงภายใต้ขนตาแพยาวนั้นจะบอกว่าแสดงออกถึงความต้องการทางร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายที่กลายเป็นเจ้าของนิ้วมือนั้น ยิ่ง…
“นี่มัน…”
ตอนนี้ปลายลิ้นของฮอนกำลังเกี่ยวเอานิ้วที่สี่เข้ามาก็รู้สึกได้ถึงความแปลกปลอม พอจะเอาออกจากปากก็เจอเข้ากับรอยแผลเหมือนกับถูกฉีกขาดเพราะอะไรบางอย่าง เป็นรอยเล็กมากๆ แต่ในสายตาของฮอนกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“คืนแรกของเราน่ะหรือ”
“ใช่แล้วเพคะ”
ฮอนลูบคลำแผลเป็นด้วยปลายนิ้วเบาๆ วันนั้นไม่ควรพูดว่ามีคนที่รักอยู่แล้วหรือพูดออกไปว่าไม่ได้รู้สึกรักใคร่เลย ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงได้เข้าหอและไม่เกิดรอยแผลเป็นนี้
“ขอโทษที่ข้าทำให้มือน่ารักนี้มีแผลเป็น”
“ไม่ใช่มือที่น่ารักเสียหน่อยเพคะ”
เป็นไปตามที่รยูฮาพูด มือที่จับดาบกวัดแกว่งมาเป็นเวลานานนิ้วมือก็ยืดยาวออกไป ตรงฝ่ามือก็มีทั้งหนังด้านและรอยแผลเป็น เล็บก็ไม่ได้ดูดีเหมือนหญิงสาวคนอื่นในวัง มองหนังด้านนั้นน่ารักได้อย่างไร ฮอนแตะริมฝีปากลงบนปลายนิ้วนั้นแล้วพูดเสียงเบา
“เหมือนโดนวางยาในมื้อเย็น”
“จริงหรือเพคะ”
รยูฮาขมวดคิ้วแล้วก้มตัวลงไปเพื่อสำรวจสีหน้าของฮอน แล้วแขนที่ไม่ยอมพลาดโอกาสของฮอนก็โอบไหล่หญิงสาวดึงเข้ามาในที่นอนอย่างรวดเร็ว
“ข้าแน่ใจว่าโดนวางยาในสำรับอาหารแน่นอน ซอรยูฮา ไม่ใช่เจ้าใส่ลงไปหรือ”
“ทำไมใช้คำพูดแบบเป็นกันเองอีกแล้วเพคะ”
“จะดูว่าถ้าพูดแบบนี้แล้วจะจูบอีกหรือไม่”
ใบหน้าของรยูฮาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าทรงเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้เชี่ยวชาญทั้งสุราและนารีคงไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก
“คราวหน้าฝ่าบาทต้องนำสุรามาด้วยนะเพคะ จะมาตัวเปล่าไม่ได้นะเพคะ”
รยูฮาขยับตัวออกอย่างคล่องแคล่ว เกือบจะเรียบร้อยอยู่แล้วเชียว ฮอนถอนลมหายใจออกมาอย่างเสียดาย เปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ด้านข้าง
อ้างว่าอยากอ่านหนังสือสักเล่มเพื่อให้ได้มาหารยูฮา แต่เนื้อหาในเล่มกลับดูไม่มีทีท่าว่าจะเข้าสายตา หน้าหนังสือถูกเปิดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวแล้ววางลงข้างหมอนอย่างเรียบร้อย
“ว่าแต่พระพันปีทรงตรัสอะไรหรือ”
“ไม่ใช่เรื่องจะมาสงสัยเรื่องที่ผู้หญิงคุยกันนะเพคะ”
“ข้าสงสัยเกี่ยวกับเจ้าทุกอย่าง ตื่นนอนเมื่อไหร่ กินอะไร คุยอะไรกับใคร ไปจนถึงคิดอะไรอยู่ รู้หรือไม่ว่าข้าอิจฉาใครมากที่สุดในโลก”
รยูฮาจัดหนังสือที่ฮอนขว้างวางไว้ด้านข้าง และในที่สุดก็หันไปมองเขา
“คนที่อยู่สูงรองลงมาแค่พระราชาจะคิดอิจฉาริษยาใครอีกหรือเพคะ”
“มินอา”
คำตอบของเขาค่อนข้างจะเหนือความคาดหมาย พอได้ฟังสาเหตุที่บอกต่อมาก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
“มินอาอยู่ข้างเจ้ามาตั้งแต่เด็กๆ รู้จักเจ้าในมุมที่ข้าไม่รู้ หากข้าไม่นึกอิจฉามินอาที่แม้แต่ตอนอาบน้ำก็ไม่อยู่ห่างจากเจ้า… ข้าก็คงเป็นสามีที่ใช้ไม่ได้มิใช่หรือ”
น้ำเสียงของฮอนที่พูดเสริมด้วยคำถามสุดท้ายอย่างระมัดระวังอ่อนหวานราวกับจะหลอมละลาย พูดแบบนี้ด้วยใบหน้าแบบนี้มันออกจะเล่นผิดกติกาไปหน่อย รยูฮายกมือขึ้นปัดจมูกรอบหนึ่งราวกับกำลังหลงเสน่ห์ของอีกฝ่าย เหมือนที่ฮอนเคยทำภายใต้แสงจันทร์เมื่อนานมาแล้ว
“ฝ่าบาททรงจำเรื่องเมื่อตอนเป็นเด็กไม่ได้สินะเพคะ ในความทรงจำที่หายไปอาจจะมีหม่อมฉัน…”
รยูฮากำลังจะพูดต่อแล้วก็เม้มปากลง ท่านแม่ย้ำตลอดว่าต้องไม่ให้องค์รัชทายาทจำความได้ ถึงไม่ได้ถามสาเหตุแต่ก็ไม่นึกจะต่อต้านคำพูดของท่านแม่ผู้ซึ่งฉลาดหลักแหลมอยู่เสมอ
“พระพันปีคงบอกไว้สินะ”
ฮอนพูดดักคอ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแก้สถานการณ์ ฮอนยอมรับความเงียบนั้นของรยูฮาแล้วพูดต่อ
“ตอนที่เสด็จแม่จากไป ข้าก็ป่วยหนัก จนความทรงจำก่อนหน้านั้นถูกลบไปหมด ที่ได้ยินมาคือก่อนเกิดเรื่องนั้นพระพันปีทรงอ่อนโยนมาก”
สัญชาตญาณของรยูฮาที่เอียงหูฟังเงียบๆ จับคำพูดสุดท้ายได้แล้วถูกผลักเข้าสู่ความคิดอันดิ่งลึกลงไป พระพันปีผู้ซึ่งเคยอ่อนโยนก่อนที่ความทรงจำจะถูกลบไป ท่านแม่ผู้ที่บอกว่าห้ามให้ความทรงจำกลับคืนมา นางรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงอันแปลกประหลาดในความสัมพันธ์นั้น ทั้งคู่รู้อะไรบางอย่าง บางอย่างที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นไว้มันคืออะไรกัน
“คิดอะไรอยู่หรือ”
ความลื่นไหลของความคิดถูกตัดขาดไปเพราะน้ำเสียงอันนุ่มนวล รยูฮาลูบไล้ใบหน้าของฮอนอีกครั้งแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
“หม่อมฉันจะออกไปเอาของว่างเข้ามาเพคะ ดูเหมือนว่ามินอาจะไม่อยู่”
* * *
วันแล้ววันเล่าผ่านไปอย่างเงียบสงบชนิดที่ว่าน่าแปลกใจ ลมที่พัดมาจากทางเหนือหอบเอาน้ำค้างแข็งอันหนาวเย็นมาด้วย แต่เพราะเข้าสู่ปีที่อุดมสมบูรณ์ ราษฎรจึงไม่อดอยาก การบุกรุกทางฝั่งชายแดนก็ลดลง เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวที่บรรดาสัตว์หากินพืชผลบนภูเขาจนตัวอ้วนพีกำลังเตรียมตัวหลับยาว ฤดูแห่งการล่าสัตว์
“รายละเอียดและงบเกี่ยวกับงานแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของพระราชาผู้ซึ่งรับเอากระดาษม้วนหอบหนึ่งมาสดใสขึ้น ทรงใช้นิ้วคลี่กระดาษออกทีละแผ่นแล้วอ่านอย่างละเอียด พอประทับพระราชลัญจกรลงไป บรรดาขุนนางต่างลอบมองอย่างใจหายใจคว่ำถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
“ทำได้ดีมากไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง จัดเตรียมตามนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”
ตอนที่ 8-3
งานแข่งขันล่าสัตว์ที่ซึ่งจัดขึ้นราวๆ ช่วงนี้ของทุกปีและมีเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดพร้อมทั้งข้าราชบริพารเข้าร่วมเป็นหนึ่งในงานที่เขารอคอยมากที่สุด หากได้ออกจากห้องทรงงาน ควบม้าออกไปแล้วปักบ้องไม้ไผ่ลงบนหัวใจของกวาง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นตัวของตัวเองในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่พระราชาของประเทศ เสียงของขันทีร่างบอบบางดังขึ้นปลุกพระราชาขึ้นมาจากจินตนาการที่ทำให้อารมณ์ดี
“ฝ่าบาท องค์รัชทายาทขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“รัชทายาท? ให้เข้ามาได้”
ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่ดี แต่ว่าอาณาจักรมันกว้างใหญ่ งานของพระราชาต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่มีจบสิ้น หากไม่ใช่การเข้ามาถามไถ่สุขภาพเป็นบางครั้งคราวก็ไม่ง่ายนักที่จะได้เจอหน้า การที่โอรสของตนมาหาถึงห้องทรงงานเช่นนี้คงไม่ใช่ว่ามีเรื่องใหญ่โตหรอกหรือ พระราชาใจหายขึ้นมาทันที แน่นอนว่าก่อนจะมาเป็นพระราชา เขาก็คือพ่อของสักคนมาก่อน
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
“นั่งก่อน เจ้ามีเรื่องอะไรงั้นรึ”
ดูจากที่ผิวสะอาดและสีหน้าสดใสคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ตามที่เป็นกังวล พระราชาผู้ซึ่งวางใจได้นิดหน่อยยิ้มออกมาแล้วหัวเราะ
“กระหม่อมอยากพบจึงมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงหัวเราะที่พยายามอดกลั้นกับท่าทีเสแสร้งของลูกชายคนสุดท้องระเบิดออกมา เขาไม่ใช่ลูกชายที่จะอยากเจอหน้าพ่อแล้วมาถึงห้องทรงงาน ต้องมีเรื่องขอร้องบางอย่างเป็นแน่ถึงมาหา
“อะไร ไหนพูดมาสิ คราวนี้เจ้าปฏิบัติตามคำสั่งข้าได้เป็นอย่างดี เข้าจะให้รางวัลเจ้าสักหน่อย”
ฮอนแอบยิ้มเงียบๆ กับคำพูดที่เหมือนว่าจะอ่านใจตัวเขาเองออก คราวนี้คงกู้หน้าของรยูฮาได้
“เมื่อครู่นี้กระหม่อมเห็นใต้เท้าเยบูออซา[1]ออกไป หรือว่ามาปรึกษาหารือเรื่องงานแข่งขันล่าสัตว์กันพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว”
ถ้าเป็นเรื่องงานแข่งขันล่าสัตว์ก็ย่อมเป็นเรื่องดี ใบหน้าของพระราชาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
“ล่าสัตว์คราวนี้กระหม่อมอยากพาพระชายาไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
พระราชาเอียงคอเพราะคำขอร้องที่เหนือความคาดหมาย สถานภาพของหญิงสาวไม่ได้ต่ำต้อย เรียกได้ว่าสามารถให้สืบทอดตระกูลได้เลย หากต้องการจะออกไปล่าสัตว์ไม่ว่าจะเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทหรือพระราชินีก็ไม่ใช่เรื่องลำบากสักหน่อย แต่ที่เขาเอียงคอสงสัยเพราะมาถึงตอนนี้ไม่เคยมีใครเอ่ยออกมาเลยว่าจะขอออกไปล่าสัตว์ด้วย หรืออาจจะเคยมีนางสนมสักสองคนหรือไม่นะที่ตามออกไปด้วยเพราะหวังจะได้รับความโปรดปรานจากพระราชาเป็นพิเศษ
“ไม่มีอะไรที่ไม่ได้หรอกนะ แต่ด้วยร่างกายของผู้หญิงเช่นนั้นจะขี่ม้าได้หรือ”
“นางเคยเรียนขี่ม้ามาก่อน แล้วก็บอกว่าเคยจับสัตว์มาแล้วบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นบอกว่าถ้าเป็นเสือก็เคยจับเสือตัวเล็กมาแล้ว ฮอนคิดว่าไม่ใช่คำโกหก ฮอนไม่สามารถจับใจความคำพูดของพระราชาที่เอ่ยพึมพำอย่างใจลอยได้
“เหมือนกันกับ…”
“ทรงตรัสว่าอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีอะไร ข้าจะให้ขุนนางเตรียมที่เพิ่มให้อีกหนึ่ง เตรียมตัวมาก็แล้วกัน”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อนจึงกังวลเล็กน้อย แต่ก็โปรดให้ทำโดยง่ายดายอย่างคาดไม่ถึง คราวนี้ก็จะได้เจอเหยี่ยวชื่อคยอกรังที่รยูฮาเลี้ยงไว้แล้วสินะ ประตูเบื้องหลังของฮอนที่หันหลังกลับออกไปถูกปิดลง พระราชาเบนสายตาไปยังม้วนกระดาษที่ต้องจัดการวันนี้ แต่ก็ไม่มีสมาธิแม้แต่น้อย
“คราวนี้ฝ่ายรัชทายาทคงชนะสินะ น่าเสียดาย”
ดวงตาของพระราชาที่ยกยิ้มขึ้นมีความคิดถึงเล็กน้อยเข้ามาปะปน แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ความคิดที่อยู่ภายในจิตใจของพระราชาเท่านั้น ฮอนผู้ไม่มีทางรู้ว่าพระราชาคิดอะไรอยู่ หอบข่าวดีมุ่งหน้าไปยังวังซึงกอน
“พระชายา พระชายา!”
ถ้าเป็นปกติ หากตะโกนเรียกพระชายาเช่นนี้ฮอนคงโดนทำโทษไปแล้ว แต่วันนี้รยูฮาไม่เป็นอย่างนั้น เพราะความจริงแล้วคนที่ส่งฮอนไปห้องทรงงานก็คือหญิงสาว
“ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
การแข่งขันล่าสัตว์ของวังหลวงเป็นงานที่แค่เคยได้ยินจากท่านพ่อผู้ซึ่งเข้าร่วมทุกปี รยูฮาผู้ซึ่งชื่นชอบการล่าสัตว์จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน สายตาของหญิงสาวที่ถึงขั้นกลืนน้ำลายเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ฮอนเห็นอย่างนั้นแล้วก็ทิ้งความคิดที่จะบอกข่าวดีโดยเร็ว เขายกยิ้มก่อนจะโน้มตัวลงไปเพื่อให้สายตาของตนเองอยู่ในระดับเดียวกับสายตาของรยูฮา
“เจ้าจะให้ข้าบอกโดยที่เจ้าไม่ตอบแทนสิ่งใดเลยหรือ ตรงนี้ ตรง…อื้อ!”
ก่อนที่จะพูดจบ ริมฝีปากที่เคยสัมผัสลงเบาๆ อย่างหยอกล้อก็ถูกกลืนกินเข้าไปในริมฝีปากของรยูฮา มันใกล้เคียงกับกระแทกริมฝีปากลงไปมากกว่าประกบปาก รยูฮาจับใบหน้าของฮอนไว้แล้วควานเข้าไปในปาก จากนั้นนางก็ปล่อยแล้วเช็ดริมฝีปากด้วยแขนเสื้อ แม้จะเป็นเวลาไม่นานแต่ก็ใบหน้าของฮอนก็เต็มไปด้วยความสบายใจ
“เฮ้อ จริงๆ เลย”
“คราวนี้ก็บอกมาได้แล้วเพคะ เป็นอย่างไรบ้าง”
“ได้รับอนุญาตแล้ว ในสามวันนี้ พวกเรามาจับสัตว์ให้เต็มที่กันเถอะ”
“จริงหรือ? จริงหรือ? จริงหรือเพคะ”
หน้าของรยูฮาบานกว่าตอนดื่มเหล้าเสียอีก ฮอนแปลกใจกับความจริงข้อนั้น ถึงจะดูสวยแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกอิจฉาอยู่เงียบๆ
“ตอนข้ามาหาก็ช่วยยิ้มแบบนี้ให้ด้วยสิ”
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกเพคะ”
“ทำไม”
“ก็หม่อมฉันมองฝ่าบาทอยู่นี่เพคะ”
รยูฮายกยิ้มอย่างหยอกล้อ ก่อนที่หญิงสาวจะหยอกเย้าฮอนต่อ เขาก็ได้แต่รู้สึกประหม่าเพราะสีหน้าที่นางทำประจำมันต่างออกไป อีกทั้งยังรู้สึกถึงบางอย่างนุ่มนิ่มบนฝ่ามือที่รยูฮาคว้าไปจับอย่างรวดเร็ว
“ตรงนี้มันเต้นแรงเพคะ จะยิ้มได้อย่างไร”
“พระชายา!”
ฮอนตกใจรีบดึงมือออกแล้วซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อ ตอนนี้สิ่งที่เต้นแรงคือหัวใจของเขาต่างหาก เลือดร้อนไหลเวียนไปทั่วร่างในคราวเดียว ส่วนใบหน้าก็แดงเสียยิ่งกว่าอาทิตย์อัสดงที่ส่องสว่างข้างนอก
“พระชายา…ช่างมีความสามารถในการทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ…เฮ้อ”
เขาพึมพำอย่างสับสนแล้วลูบหน้าขึ้นลงไปมา แต่ว่าร่องรอยสีแดงก็ยังไม่หายไป อีกแล้ว พังหมดอีกแล้ว ไม่อาจจะรู้ได้ว่าทำไมถูกโจมตีอยู่ทุกครั้งไป ฮอนทำใจให้สงบลงแล้วหมุนตัวอย่างกะทันหันเอื้อมมือไปแตะประตู
“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ”
“เตรียมที่นอน”
ดูท่าแล้วฮอนคงตกใจมาก รยูฮาคิดว่าฮอนขุ่นเคืองใจจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วลูบลงบนหลัง
“จะไปบรรทมแล้วหรือเพคะ”
“วันนี้ข้าคงนอนไม่หลับเป็นแน่”
เฮ้อ ฮอนหันกลับไปอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วดึงรยูฮาเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น พอร่างกายแนบชิดกันจนลมไม่สามารถพัดผ่านไปได้ รยูฮาถึงรู้สาเหตุที่เขาพยายามจะเลี่ยงออกไป ข้างใบหูของหญิงสาวที่พยายามหลบซ่อนใบหน้าอันแดงก่ำในอ้อมกอดเขา บางทีก็เหมือนได้ยินเสียงกระซิบของความเสียใจ บางทีก็ได้ยินเหมือนเสียงกระซิบหอมหวานไหลเข้ามา
“นอนหลับให้สบายเถอะ ถึงข้าอาจจะลำบากหน่อย”
คล้อยหลังเสียงปิดประตู ความค้างคาที่ฮอนทิ้งไว้ก็ขาดผึ่งแล้วร่วงลง รยูฮาทิ้งตัวลงนั่งราวกับโลกถล่มลง แล้วซบใบหน้าลงตรงหัวเข่า หลังจากนั้นมินอาก็เข้ามาข้างในบอกให้นอนแล้วยืนนิ่งอยู่
“ทำไมเป็นเช่นนั้นเพคะ”
“จะบ้าตาย มินอา”
ท่าทางของรยูฮาที่พูดพึมพำในขณะที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาดูไม่คุ้นเคยราวกับเป็นคนอื่น มินอาเข้าไปนั่งตรงข้ามแล้วยื่นหน้าเข้าไปสังเกตตรงนั้นตรงนี้ใกล้ๆ ติ่งหูของรยูฮาที่โผล่พ้นเส้นผมที่ปรกลงมาอย่างกระจัดกระจายเป็นสีแดงก่ำราวกับลูกพลับที่ห้อยอยู่บนปลายกิ่ง
“ทะเลาะกันอีกแล้วหรือเพคะ”
รยูฮารู้สึกประหม่าแล้วก็เขิน มันเป็นคำถามที่ถามออกมาเพราะตอนแรกไม่คิดว่า เพราะความรู้สึกเช่นนั้นนางจึงอยู่ในอาการแบบนี้ ถึงมินอาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น แต่ก็ทำให้ใจที่เต้นโครมครามของรยูฮาสงบลงได้และสามารถเคลื่อนที่จากตรงพื้นไปยังเตียงนอนได้
“ใจเย็นลงหน่อยเถอะเพคะ อย่าโมโหมาก”
“คงเย็นลงแหละ เฮ้อ ข้าจะทำอย่างไรดี คือ…เฮ้อ”
จะบ้าตาย ทำอย่างไรดี รยูฮาหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็พูดสองคำนี้ซ้ำไปมาจนมินอาส่ายหน้าแล้วออกไป และก็เข้าสู้เช้าวันใหม่ นางนอนดึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คำกระซิบบอกที่ฮอนทิ้งไว้ข้างใบหูวนเวียนอยู่อย่างนั้นทั้งคืน จนพระอาทิตย์ขึ้นถึงได้รู้สึกตัวว่าเป็นความฝัน แน่นอนว่าฮอนผู้ซึ่งเดินกลับไปตามทางแคบๆ ก็มีอาการเช่นเดียวกัน
* * *
[1] เยบูออซา คำเรียกขุนนางที่ดูแลเรื่องงานราชประเพณีของเกาหลีในสมัยก่อน
ตอนที่ 8-4
งานแข่งขันล่าสัตว์ที่ทั้งพระราชาและรยูฮาตั้งหน้าตั้งตารอ ในที่สุดก็มาถึง ก่อนที่ดวงดาวจะหายไปยามรุ่งสาง มินอาที่ออกไปข้างนอกก็ถือกรงนกขนาดใหญ่กลับมา รยูฮารอและมองไปทางนอกหน้าต่างอย่างกระวนกระวายใจ นางต้อนรับมินอาด้วยรอยยิ้มสดใส ที่ถูกคือนางยิ้มรับเหยี่ยวที่อยู่ในกรงที่มินอาถือมา
“คยอกรัง ไม่คิดถึงพี่สาวคนนี้บ้างเลยรึ”
เป็นเหยี่ยวตัวเล็กที่มีปีกสีน้ำตาลและหัวสีขาว แต่สายตไม่แพ้เหยี่ยวตัวใหญ่เลย รยูฮาเอาเหยี่ยวออกมาแล้วจับมันนั่งลงตรงปลอกแขน ก่อนจะลูบไล้อย่างอ่อนโยน เป็นท่าทางที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเอ็นดูราวกับทำกับเด็กน้อย
“พระชายา หม่อมฉันเพิ่งเคยเห็นเหยี่ยวเป็นครั้งแรกเพคะ”
“สวยมากเลยเพคะ พระชายา”
เหล่านางในมารุมล้อมรยูฮาไว้อีกครั้งเพื่อชมคยอกรัง แต่ไม่มีใครกล้าเอื้อมมือไปจับ ฮอนที่เปลี่ยนใส่ชุดล่าสัตว์ตั้งแต่เช้ามืดและมาหาที่วังซึงกอนเห็นเหยี่ยวตัวน่ารักก็ยกยิ้มขึ้น
“เจ้าตัวน้อยนี่คืออะไรกัน นกพิราบสื่อสารงั้นหรือ”
“อย่าได้ดูถูกไปเชียวนะเพคะ เหยี่ยวตัวไหนในพระราชวังก็ไม่ฉลาดไปกว่าคยอกรังหรอกเพคะ”
ท่าทางของหญิงสาวที่บอกเช่นนั้นพร้อมกับสบตาคยอกรังไปด้วยช่างดูอ่อนโยน ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเขาหึงหวงเหยี่ยวหรือนี่ ฮอนรู้สึกเวทนาตัวเอง เคาะนิ้วลงบนกรงนกแล้วบอกให้รีบเก็บมันกลับเข้าไปโดยเร็ว
“รีบเก็บมันแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว”
“ฝ่าบาทออกไปก่อนถึงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เพคะ”
“ไม่เอา ครั้งที่แล้วพระชายาก็ยัง…โอ๊ย”
ในที่สุดรยูฮาก็หลบสายตาของเหล่านางในแล้วหยิกลงบนต้นขาของฮอน ฮอนถือกรงนกและถูกไล่ออกไปอย่างหน้าสลด ก่อนจะบ่นพึมพำหาเรื่องเหยี่ยว
“เจ้าของแกโหดร้ายจริงๆ…ใช่ไหมเล่า”
“…”
“เป็นสามีภรรยากันแท้ๆ จะมารักษาระยะห่างอะไรกัน ไหนๆ ก็เห็นมาแล้ว”
“…”
ถึงไม่ได้พูดแต่รู้สึกเหมือนกับว่าเหยี่ยวส่ายหน้า ฮอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและแสดงความไม่พอใจออกมา
“คยอกรัง นี่แกเข้าข้างเจ้าของหรือ”
“…อิๆ”
ไม่ใช่เหยี่ยวที่หัวเราะ ฮอนหันไปตามเสียงหัวเราะที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาและเจอเข้ากับนางในคนหนึ่งที่ก้มหมอบลงบนพื้น
“เจ้าหัวเราะรึ”
“ประทานโทษตายหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
กล้าหัวเราะเยาะองค์รัชทายาท ต่อให้หัวหลุดออกจากบ่าตรงนี้ก็ไม่มีคำจะพูด ฮอนเริ่มแหย่นางโดยย่อตัวลงข้างๆ แล้วมองไปยังหญิงสาว ยอนฮวายิ่งก้มหน้ามุดลงไปบนพื้นอีก
“เด็กยกชาของพระชายานี่เอง ใช่หรือไม่”
“เพคะ หม่อมฉันยกถวายเองเพคะ”
“เจ้าชื่ออะไรรึ”
“ยอน ยอนฮวาเพคะ”
ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความกลัวตอนนี้มีกระทั่งน้ำตาไหลออกมาซึมลงไปบนพื้นไม้ เขาแค่ลองแหย่ดูเพราะน่าแกล้งเท่านั้น ไม่คิดว่าจะถึงขั้นร้องไห้เช่นนี้ ฮอนเริ่มรู้สึกผิดและคิดว่าควรเลิกล้อเล่นได้แล้วก่อนจะตบลงบ่าของยอนฮวาเบาๆ
“จะมาฆ่าทิ้งเพราะหัวเราะได้อย่างไรกัน ความจริงข้าก็กลั้นขำตัวเองอยู่ พื้นมันเย็นลุกขึ้นเถอะ”
เป็นคำพูดที่อ่อนโยนเหนือความคาดหมาย ในสายตาของยอนฮวาซึ่งเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเจอเข้ากับใบหน้าที่กำลังกลั้นยิ้มอย่างหยอกล้อ ยอนฮวาตกใจจนสะอึกแทน
“อึก อึก!”
ตอนแรกว่าจะไม่ล้อเล่นต่อแล้ว แต่ท่าทางของนางในที่กำลังสะอึกในขณะที่มีหยดน้ำตาอยู่ตรงหางตาก็ดูน่าสนุกดี ฮอนระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืน ตอนนั้นเองที่รยูฮาเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกมาตรงโถงทางเดิน ก่อนจะมองยอนฮวากับฮอนสลับกันไปมา
“ทำอะไรอยู่หรือเพคะ ยอนฮวา เจ้าร้องไห้ทำไม”
“หม่อม หม่อมฉัน อึก! หัว…หัวเราะต่อหน้าฝ่าบาท…อึก!”
รยูฮาก็หัวเราะกับท่าทางเช่นนั้นอีก เพราะเป็นน้องเล็กที่น่ารักอยู่ตลอดจึงอดไม่ได้ที่จะทั้งสงสารแล้วก็นึกขำ
“ล้อเล่นแรงเกินไปแล้วเพคะ ฝ่าบาท นางยังเด็กอยู่ อย่าล้อเล่นสิเพคะ”
“ไม่รู้ว่าจะร้องไห้ ขอโทษด้วย”
ฮอนยอมรับผิดอย่างอ่อนโยนแล้วขอโทษอย่างว่าง่าย เขาตบเบาๆ ลงบนไหล่ของยอนฮวาสองครั้งราวกับรู้สึกผิดจริงๆ องค์รัชทายาทล้อเล่นกับคนในวังแล้วก็ขอโทษหรือนี่ ยอนฮวาตาเบิกกว้างกับเรื่องไม่น่าเชื่อแล้วยืนงง ระหว่างนั้นเองรยูฮาก็ลูบหัวของยอนฮวาแล้วเดินเคียงคู่ฮอนออกจากวังไป
“ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ก็เป็นม้าพันธุ์ดีนะเพคะ”
รยูฮามองม้าสีดำที่กำลังรอฮอนอยู่ข้างนอกด้วยสายตาชื่นชม ตรงขนที่เรียบและเป็นมันหารอยด่างไม่เจอเลยสักที่ ดวงตาก็มีสีดำและเด่นชัดเหมือนขน นางถูกใจอยากขี่แต่รู้ดีว่าเป็นม้าที่ฮอนหวงมากจึงไม่ทำอย่างนั้น
“เพราะพระราชาทรงเลือกให้เองเลย เจ้านี่ก็ฉลาดเหมือนเหยี่ยวของพระชายา”
ฮอนยกยิ้มแล้วชมคยอกรังกลับไป ก่อนจะขึ้นไปบนหลังม้า ตอนที่ทั้งคู่ไปถึงสถานที่ล่าสัตว์พร้อมกับเหล่าองครักษ์ แสงแดดยามเช้าก็เริ่มส่องสว่างแล้วและกำลังทำให้อากาศที่เย็นยะเยือกอุ่นขึ้น ขณะที่การถวายความเคารพถูกลดขั้นตอนลงให้เข้ากับสถานที่ ชานก็เข้ามาใกล้แล้วโค้งคำนับ
“พระชายามาล่าสัตว์ด้วยหรือนี่ น่าตกใจมากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงขนาดตกใจเลยหรือเพคะ”
รยูฮายิ้มหวานแล้วเอาคยอกรังออกจากกรงมาเกาะไว้ที่แขน เหล่าขุนนางที่เอาเหยี่ยวมามีอยู่สองสามคน แต่ในบรรดาเหยี่ยวเหล่านั้น เหยี่ยวของนางกลับตัวเล็กที่สุด ใบหน้าของเหล่าขุนนางที่เห็นเช่นนั้นคล้ายกับมีรอยยิ้มเยาะประดับบนใบหน้า
“จะใช้เหยี่ยวตัวเล็กนี้ล่าสัตว์หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ชานยื่นมือออกไปหวังจะลูบหัวสีขาวของคยอกรังราวกับจะบอกว่าน่ารัก แต่คยอกรังกลับกระพือปีกอย่างรุนแรงและจิกลงบนมือนั้น จนเขาต้องผละออก
“ตัวเล็กแต่ดุแฮะ”
“แปลกจริง คยอกรังไม่จู่โจมคน องค์ชายไม่ได้ไปล้อว่ามันตัวเล็กใช่ไหมเพคะ”
“นั้นสิ เมื่อกี้ข้าก็จับตัวมันไปไม่ใช่หรือ?”
“คยอกรัง? เหยี่ยวตัวนี้ชื่อคยอกรังหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง ชานหวนคิดพลางขมวดคิ้ว เป็นชื่อที่เคยแอบได้ยินข้างล่างต้นไม้ตอนไล่ตามนางสนมขององค์รัชทายาทเมื่อหลายเดือนก่อน หรือว่าชื่อที่พูดถึงในตอนนั้นคือเหยี่ยว ชานคาดเดาในใจแล้วยกยิ้ม
“ที่เสด็จพี่ได้ยินคือตัวนี้ถูกต้องแล้ว ตอนนั้นข้าไล่ตามมินอาไปแล้วลองถามเรื่องนี้กับนาง”
ชานหันไปถามมินอาด้วยสายตา มินอาพยักหน้าตอบว่าใช่ ตอนนั้นพอดีเสียงกลองที่บอกให้รู้ว่าพระราชาเสด็จมาถึงแล้วก็ดังขึ้น บทสนทนาจึงยุติลง ทุกคนมารวมกันแล้วโค้งคำนับไปทางเดียวกัน พระราชาที่ปรากฏตัวในชุดล่าสัตว์ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องลงมาดูสดใสอย่างมาก
“เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่เข้าร่วมในวันนี้ฟังให้ดี การแข่งขันล่าสัตว์คราวนี้จะแบ่งออกเป็นสามฝ่ายคือมูยองวัง องค์รัชทายาท แล้วก็ข้า แล้วจะแบ่งว่าใครอยู่ทีมใดด้วยการจับฉลาก เมื่อล่าสัตว์เสร็จจะนำสัตว์มารวมกัน ฝ่ายที่จับสัตว์ใหญ่และได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ฝ่ายที่แพ้ต้องรวมเงินกันเลี้ยงฝ่ายที่ชนะจนอิ่มหนำสำราญ แล้วก็คนที่ล่าสัตว์ได้มากที่สุดข้ามีสุรากับรางวัลใหญ่ให้ด้วย แต่นอกเหนือจากการแพ้ชนะแล้ว ข้าอยากให้ทุกคนสนุกและทำให้เต็มที่ที่สุด เริ่มได้!”
กล่องที่มีรูขนาดหนึ่งมือล้วงเข้าไปได้ถูกวนไปตามผู้คน ตรงมือที่ล้วงเข้าไปในกล่องแล้วยกออกมามีทั้งความสุขและความเศร้าตามแต่สีที่ติดอยู่ คนที่ได้อยู่ฝ่ายสีแดงของพระราชากับฝ่ายสีน้ำเงินขององค์ชายสองต่างตะโกนโห่ร้องยินดี แต่ฝ่ายสีขาวขององค์รัชทายาทกลับพากันเสียใจ
องค์รัชทายาทผู้ซึ่งทำคะแนนเพิ่มสูงขึ้นทุกปีบาดเจ็บตรงหัวไหล่และไม่ได้สะพายแม้แต่ธนูไว้ รวมไปถึงพระชายาที่อยู่ข้างๆ เหมือนกิ่งหลิวก็ไม่ได้ห้อยไว้ จำนวนของคนที่เข้ามาถูกกำหนดไว้แน่ชัด หมายความว่ายกเว้นทั้งคู่คนที่เหลือต้องจับมาให้ได้มากกว่านั้น
“ดูเหมือนว่าท่านขุนนางจะไม่ชอบใจที่ได้อยู่ฝ่ายข้า”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ฝ่าบาท!”
ฝ่ายอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะราวกับสะใจ เรื่องเงินนั้นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่การโดนหัวเราะเยาะในงานเลี้ยงนั้นแย่ยิ่งกว่า ก่อนที่องค์รัชทายาทจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงเป่าเขาสัตว์ก็ดังขึ้นเป็นการบอกว่าให้เริ่มออกเดินทางได้
“ย๊า!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น