วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 7.3-8.4

ตอนที่ 7-3

 

ในระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน ฝีเท้าของเด็กน้อยที่เข้าไปในตรอกหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เด็กน้อยกระซิบบางอย่างกับเหล่าชายหนุ่มรูปร่างน่าเกรงขามที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้า จากนั้นเด็กน้อยคนนั้นก็เดินกลับมาหาพลางยืนเกาหัวอย่างเขินอายต่อหน้ารยูฮา 


 


 


“ที่นี่ถูกแล้วขอรับนายท่าน แต่คนเฝ้าเขาบอกว่าเข้าไปไม่ได้ขอรับ” 


 


 


“ฝากไปบอกทีว่าข้ามีเงินมาเดิมพันแล้วก็ไม่จำกัดด้วย” 


 


 


พูดพร้อมวางเหรียญสองเหรียญเพิ่มลงไปบนฝ่ามือให้อีก เด็กน้อยทำหน้าตาเด็ดเดี่ยวแล้วกลับไปหาเหล่าชายหนุ่มอีกครั้ง และหลังจากนั้นฮอนต้องถูกค้นตัวจากคนเฝ้าประตู เขาชักสีหน้าแล้วรับเอาหน้ากากมาก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างในได้  


 


 


“สีหน้าไม่ดีเลย ฮอน” 


 


 


“เป็นครั้งแรกที่กระหม่อมยอมให้ผู้ชายสัมผัสตัวพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮอนผู้ซึ่งไม่ชอบสัมผัสผู้ชายเป็นพิเศษ แม้แต่เรื่องได้รับการดูแลรับใช้จากขันทีเขาก็เกลียด มีคำสั่งห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด เหล่าชายน่าเกรงขามลูบคลำไปบนพระวรกายอันสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขาคิดว่าหนึ่งในนั้นสัมผัสตัวเขาพร้อมกับยิ้มแปลกๆ ให้ ให้ตายเขาก็จะไม่ทำแบบนี้อีกครั้งแน่ๆ 


 


 


“สองท่าน” 


 


 


ทันทีที่สองคนสวมหน้ากากที่หน้าประตูเสร็จ ผู้เฝ้าประตูตรวจดูว่าใส่เรียบร้อยแล้วจึงเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในมีควันของยาสูบตลบอบอวลจนบดบังสายตาในชั่วพริบตา พอควันเริ่มจางไป รอบๆ ห้องก็เห็นเป็นคนใส่หน้ากากนั่งล้อมเป็นวงอยู่ การเดิมพันตาหนึ่งน่าจะเพิ่งจบลง ชายคนหนึ่งถึงกำลังกวาดเงินเดิมพันลงมา 


 


 


“คนใหม่นี่เอง” 


 


 


เหล่าผู้ชายมองดูเสื้อผ้ามีราคาที่รยูฮาสวมอยู่ก็พากันคาดหวังว่านางคงมีเงินมาก และแต่ละคนก็เข้ามาล้อมจนเว้นที่ไว้ให้สองคนสามารถนั่งได้เท่านั้น กลิ่นของเหล่าผู้ชายที่ลอยอยู่เต็มห้องทำให้ฮอนหน้านิ่ว โชคดีมากที่สวมหน้ากากอยู่  


 


 


“ฝากตัวด้วย” 


 


 


รยูฮาทักทายสั้นๆ แล้วกระดานเดิมพันก็กลับมามีชีวิต เหล่าเงินของรยูฮาที่ลงไปตาแรกเข้าไปอยู่ในมือของเหล่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด เกมที่สองก็เช่นเดียวกัน พอไพ่ของครั้งที่สามถูกแจกจ่ายริมฝีปากที่เคยไร้ความรู้สึกก็ยกยิ้มขึ้นแล้วจางหายไป 


 


 


“เหรียญเงินสิบนยาง” 


 


 


ชายคนที่ได้เงินไปเมื่อครู่ขยับตัวแล้ววางเงินหนึ่งกำมือลง ต่อไปเป็นคราวของรยูฮา หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเงินแล้วเอาออกมา เหล่านักพนันพากันส่งเสียงแห่งความโลภออกมา  


 


 


“เหรียญเงินสิบนยางแล้วก็ทองหนึ่งนยาง” 


 


 


“หา…!” 


 


 


ฮอนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ตกใจเช่นเดียวกัน จนถึงตอนนี้เงินที่รยูฮาและฮอนเสียก็พอสมควรแล้ว แต่ก็วางทองที่ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าหลายเท่าตัวลงไป ไหนว่าเงินฉุกเฉิน จะเอาเงินราชวงศ์ของวังซึงกวอนออกมาใช้จนหมดเลยหรือ ฮอนมีมีลางสังหรณ์ว่านี้คือตาที่รยูฮาพูดถึงแล้ววางไพ่ของตัวเองลง 


 


 


“ข้าขอยอมแพ้ขอรับ” 


 


 


“ข้าเองก็ใจสั่นมากเหมือนจะไม่ไหว” 


 


 


“ข้าเองก็ด้วย ฮ่าๆ” 


 


 


พวกเขาวางไพ่ลงตามมาทีหลัง มีเพียงชายรูปร่างสูงใหญ่ที่นั่งตรงข้ามรยูฮาเท่านั้นที่ยิ้มแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเงินที่ใหญ่เท่าฝาหม้อ 


 


 


“คนมาใหม่ลงขนาดนี้ เจ้าบ้านอย่างข้าคงแพ้ไม่ได้ เหรียญเงินเพิ่มอีกยี่สิบนยาง” 


 


 


เหรียญเงินกองกันขึ้นเป็นภูเขาลูกเล็กพร้อมกับเสียงโลหะกระทบกัน ทุกคนกลืนน้ำลายดังเอื๊อกแล้วเฝ้าดูทั้งสองคน รยูฮารู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นบนชั้นผิวแล้วค่อยๆ หงายไพ่ออกช้าๆ พอเห็นไพ่พวกนั้นเหล่านักพนันยิ่งพากันอุทานเสียงดังมากกว่าเมื่อครู่ 


 


 


ไพ่ของรยูฮานั้นรวมแต้มทั้งหมดแล้วได้เจ็ดแต้ม ถึงแต้มจะไม่ได้ต่ำมาก แต่ก็ไม่ใช่ถึงกับจะทุ่มด้วยทอง มันหมิ่นเหม่  


 


 


ช่างเหมาะที่จะประลองกับชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ฝีมือทัดเทียมกัน เขาส่งเสียงแล้วหงายไพ่ลงบนพื้น ไพ่สองใบที่มีเลขหกเขียนอยู่อย่างชัดเจน 


 


 


“โธ่เอ๊ย กะแล้วเชียว…!” 


 


 


“เฮ้อ ให้ตายสิ” 


 


 


ความเสียใจและความอิจฉาผสมปนเปกันในคราวเดียว ภายในห้องเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ทรัพย์สินที่รวมกันอยู่ก่อนนั้นทั้งหมดหายเข้าไปในกระเป๋าเงินของรยูฮาอย่างสะอาดหมดจด คนที่เสียทรัพย์มากเมื่อครู่ ปกติน่าจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่เขากลับยิ้มพร้อมส่งเสียงไปทางรยูฮา 


 


 


“ท่านกล้าได้กล้าเสียจนน่าทึ่ง” 


 


 


“ท่านที่พูดอย่างนั้นต่างหากที่น่าทึ่ง หากเป็นข้าคงไม่กล้าลงเดิมพันทองที่เลขหก” 


 


 


รยูฮาพูดอย่างสบายๆ แล้วรวบไพ่เพื่อเริ่มเกมต่อไป ตอนนี้เองที่ฮอนใช้มือคว้ามือของหญิงสาวไว้แล้วเลื่อนลงไปใต้โต๊ะพร้อมกับพูดเสียงเบา 


 


 


“พอเถอะขอรับ” 


 


 


“เล่นอีกสักตา” 


 


 


“ตอนนี้ช้ามากแล้วขอรับ” 


 


 


การแสดงของฮอนเป็นธรรมชาติดีทีเดียว รยูฮาลอบยิ้มในหน้ากากแล้วส่ายหน้าราวกับเลี่ยงไม่ได้  


 


 


“ขอโทษด้วยที่ต้องกลับแล้ว ไว้เจอกันอีกคราวหน้า” 


 


 


ผู้ชายทั้งหลายที่เหลือถามว่าจะไปแบบนี้ได้อย่างไร แต่ก็ปล่อยทั้งคู่ออกไปอย่างง่ายๆ เมื่อออกมาด้านนอกทั้งคู่ก็ถอดหน้ากาก เดินผ่านทางเดินมืดๆ ออกมาที่ลานด้านหน้าถึงได้เหมือนกับหลุดออกมาจากกลิ่นของผู้ชาย ฮอนยกหน้ากากขึ้นมาใส่ปิดหน้าแล้วผลักประตูใหญ่ออกไป แต่ประตูนั้นก็ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย กลับได้ยินน้ำเสียงอันน่าขนลุกลอยเข้ามากระทบหูของทั้งคู่ 


 


 


“มาเอาเงินแล้วจะไปเฉยๆ หรือ แบนนั้นไม่ได้สิ” 


 


 


ชายห้าคนที่ตามพวกเขาออกมาอย่างไร้สุ่มเสียงยืนอยู่ ตรงกลางนั้นมีชายที่เสียทองไปเมื่อครู่รวมอยู่ด้วย ใบหน้าที่ถอดหน้ากากออกแล้วน่าเกรงกลัวเหมือนกันหมด ความน่าเกรงกลัวไม่ด้อยไปว่าหัวหน้าองครักษ์ชองโอ ถ้าพามาที่นี่ด้วยคงติดอันดับสาม 


 


 


“ต้องมีทั้งคนได้และคนเสียสิถึงจะเรียกว่าพนัน ไม่มีความยุติธรรมเสียเลย” 


 


 


เหล่าคนที่พอใช้ได้ตัวสั่นแต่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะตอบโต้การคุกคาม ท่าทางที่ค่อยๆ เดินเข้ามาดูคุกคามมาก ได้ยินเสียงกระซิบลอยเข้ามาที่หูของฮอนที่กำลังจะเข้าไปขวางข้างหน้า  


 


 


“เดี๋ยวก่อน อยู่เฉยๆ” 


 


 


ฮอนไม่ชอบใจเลยแต่เพราะเชื่อรยูฮาจึงหลบไปด้านข้างหนึ่งก้าว ระหว่างนั้นชายคนที่เข้ามาก็ยื่นหน้าเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


“ใช่ ต้องมีทั้งคนได้และคนเสีย แต่ว่าคนได้ถูกกำหนดไว้แล้วไม่ใช่หรือไง หืม?” 


 


 


กำปั้นที่ถูกยกขึ้นมาใหญ่กว่าหัวของผู้หญิงปกติเล็กน้อย รยูฮาแสร้งทำเป็นกลัวแล้วถอยไปอยู่ข้างหลัง 


 


 


“ทำอะไร ข้าจะเรียกทหารมา!” 


 


 


เสียงตะโกนอย่างตะกุกตะกักช่างแผ่วเบา ท่าทางแบบนั้นใครดูก็รู้ว่ากลัว ทำให้ความมั่นใจของพวกผู้ชายเพิ่มขึ้น  


 


 


“ฮ่าๆ ทหาร? เป็นคนต่างเมืองสินะ? ไหนลองเรียกมาสิ! ถ้ามาแล้วไหนๆ ก็ต้องดื่มเหล้าด้วยกันเสียหน่อย!” 


 


 


ท่ามกลางชายที่ล้อมไว้อยู่มีคนปรบมือพร้อมหัวเราะด้วยความชอบใจดังขึ้นราวกับแต่งเรื่องขึ้นมา ริมฝีปากของฮอนที่ถูกหน้ากากบดบังไว้หัวเราะโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่ว่าคนที่ถูกเรียกว่าเป็นหทารปกป้องชาวบ้านคบค้ากับนักเลงเพื่อหากินหรือ หากในเมืองอยู่สุขสบายดียิ่งเป็นเรื่องน่าแปลก 


 


 


“ปล่อยพวกเราไปเถิด ข้าจะให้ทั้งหมดของข้า ม้าที่ขี่มาก็เอาไปได้เลย” 


 


 


รยูฮาสวมบทบาทว่ากำลังกลัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ นางยื่นกระเป๋าเงินส่งไปให้ด้วยมืออันสั่นเทา ชายร่างใหญ่ฉวยเอาสิ่งนั้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างพอใจ แล้วประตูที่ดันไม่ออกก็ยอมเปิดออก มีเสียงแกร๊กดังขึ้น ประตูส่งเสียงน่าอึดอัดแล้วถูกเปิดออก ชายเฝ้าประตูสองคนเมื่อครู่กำลังมองพวกเขาในสภาพอมยิ้ม 


 


 


“ท่านทหาร ไว้มาใหม่คราวหน้านะ” 


 


 


ชายคนที่ส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ฮอนตอนก่อนจะเข้าไปเมื่อครู่กวนใจเขาด้วยน้ำเสียงน่าอึดอัด ไม่ได้เข้าใจผิดไปเองจริงๆ ด้วย รยูฮาจับข้อมือของเขาที่ตอนนี้ขนลุกไปทั่วทั้งร่างแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะอย่างนั้นเขาจึงสงบใจลงแล้วจัดการกับความคิดได้ 


 


 


“ถ้าจัดการกับพวกนักเลงเมื่อกี้ ต่อให้ไม่มีเอกสาร หลักฐานก็เพียบ!” 


 


 


รยูฮากำลังอารมณ์ดีเพราะทำตามแผนการสำเร็จอย่างง่ายดาย แต่ฮอนต่างออกไป เขาหยุดเดินแล้วถอดหน้ากากเลื่อนลงข้างล่าง หว่างคิ้วของฮอนที่ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์กำลังขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงก็ทุ้มต่ำกว่าปกติมาก 


 


 


“หลักฐานอะไร สิ่งที่จำเป็นข้าจะรวบรวมมาเอง คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก” 


 


 


“ไม่ชอบใจมากหรือ ก็น่าอยู่หรอก ดูอย่างไรพวกคนเฝ้าประตูนั้นก็น่าจะเป็นพวกรักร่วมเพศ…” 


 


 


ยังไม่ทันที่รยูฮาจะได้พูดต่อจนจบ นางก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของฮอน เป็นเพราะเขาโดนลวนลามจากชายสองคนนั้นหรือ แต่ถึงไม่ใช่อย่างนั้นตอนนี้ทั้งคู่ก็ดูสะดุดและกลายเป็นจุดสนใจในชั่วพริบตา 


 


 


“รักร่วมเพศหรือ วิปริต” 


 


 


“จุ๊ๆ พวกคนหนุ่มสาวสมัยนี้…” 


 


 


คำพูดกระซิบกระซาบจากคนที่เดินผ่านไปมาแว่วมาให้ได้ยิน แต่นอกจากจะไม่ปล่อยหญิงสาวแล้วฮอนยิ่งกอดนางแน่นขึ้นไปอีก รยูฮาลังเลอยู่สักครู่แล้วก็ยกมือขึ้นลูบหลังเขา 


 


 


“เรื่องที่ข้าลำบากไม่ว่าจะมากแค่ไหนก็ทนได้ แต่ที่เจ้าคุยกับคนต่ำช้าพวกนั้น ที่พวกนั้นเข้ามาใกล้เจ้า แม้แต่หายใจในพื้นที่เดียวกันข้าก็ทนไม่ไหว ข้าต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะเข้าใจจิตใจของข้า”

 

 

 


ตอนที่ 7-4

 

เสียงกระซิบแผ่วเบาของฮอนดูร้อนรน แต่ว่าก็เต็มไปด้วยใจจริง รยูฮานึกถึงความคิดที่อันตรายแล้วค่อยๆ ตบลงบนหลังของเขาที่ลูบไปก่อนหน้านี้เบาๆ 


 


 


“อย่างนั้นเองสินะเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


ตอนนั้นเองน้ำเสียงอันคุ้นเคยก็ดังแทรกขึ้นมา 


 


 


“ทั้งสองท่าน ทำอะไรกันอยู่ตรงนั้นเพคะ” 


 


 


เป็นมินอาที่ทำหน้าบูดบึ้งเหมือนทนดูไม่ได้และชานที่กำลังซ่อนสีหน้าบูดเบี้ยวยืนอยู่ ฮอนตกใจรีบผละออกมาทำเสียงกระแอมกระไอ แต่ก็โบกมือไปทางมินอาแสดงถึงความยินดีที่ได้เจอ 


 


 


“ข้าตั้งใจว่าพอกลับไปแล้วจะไปหาเจ้าอยู่พอดีเชียว จากที่พวกข้าไปตรวจสอบมามีพวกรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูอย่างไรก็เหมือนนักเลงอยู่ เจ้าตามพวกนั้นไปแล้วสืบแหล่งซ่องสุมของพวกมันมาซะ” 


 


 


“ทำไมเป็นหม่อมฉันอีกแล้วเพคะ พวกทหารที่พามาเป็นขบวนก็เอาออกไปใช้หน่อยสิเพคะ” 


 


 


ชานยกยิ้มเพราะมองมินอาที่กำลังไม่พอใจจากจุดที่ห่างออกมา ไหล่ของหญิงสาวลู่ลง ตอนกลางคืนอันมืดมิด ดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นมาก็ถูกเมฆบดบัง สีหน้าของมินอาดูหวั่นไหวในชั่วพริบตาจนไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น 


 


 


“เดี๋ยวข้าไปด้วย ผู้หญิงไปคนเดียวมันอันตรายไม่ใช่หรือ” 


 


 


“สิ่งที่อันตรายคือท่านต่างหาก กลับไปรอเฉยๆ เถอะเพคะ” 


 


 


“ดูเหมือนคงจะจำไม่ได้ว่าข้าชนะเจ้าทั้งดาบแล้วก็ธนู” 


 


 


พอพูดความจริงก็หมดคำจะตอบโต้ มินอาถอนหายใจส่งบังเ**ยนม้าให้ฮอน สิ่งนั้นหมายถึงการยินยอม มินอาและชานรับข้อมูลตำแหน่งจากรยูฮาแล้วก็หายตัวไป รยูฮามองตามเบื้องหลังด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้วก็เดินไปทางที่ว่าการ 


 


 


“กลับไปแล้ว ฝ่าบาทสั่งพวกทหารให้เตรียมตัวด้วยนะเพคะ หากมินอากลับมาจะได้ออกเดินทางได้ทันที” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


จักดู หัวหน้านักเลงที่เก่งกาจที่สุดในเมืองนี้ 


 


 


เขาคือลูกชายของคนทำไร่เลื่อนลอยผู้ยากจน แต่เพราะเกลียดความยากจนจึงหนีออกมากลางดึกแล้วเข้าไปอยู่ในกองโจร รูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าดุดันนั้นพอเจอเข้ากับความยากลำบากสะสมมาก็ยิ่งดูน่ากลัวขึ้นไปอีก หลังจากสั่งสมประสบการณ์มากกว่าสิบปีเขาก็ลงจากเขามาตั้งถิ่นฐานในเมืองที่อยู่ห่างไกลแห่งนี้ 


 


 


สิ่งที่เรียนรู้มามีแค่การลักขโมย แน่นอนว่าไม่มีทางจะมาค้าขายหรือทำการเกษตร ในชั่วพริบตาพวกเขาที่ดึงดูดเอาคนที่เดิมทีก็ดีอยู่แล้วที่มีอยู่เข้ามา แล้วเริ่มขูดรีดตามคำสั่งของผู้ใหญ่จนตอนนี้ถึงกับทำบ่อน เงินที่ได้จากการพนันเป็นเพียงรายได้ที่เพิ่มขึ้น รายได้หลักคือขายสมาชิกในครอบครัวของคนที่เสียพนันหมดจนเป็นหนี้ หรือก็คือ การซื้อขายมนุษย์นั่นเอง 


 


 


รายได้นั้นมากมายเหลือเกิน ถึงขั้นสามารถใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายได้ไม่แพ้เหล่าขุนนาง นอกจากนั้นยังติดสินบนเจ้าเมือง ทำเรื่องสกปรกแทนเพื่อแลกกับความคุ้มครอง แล้วใครจะกล้ายุ่งกับจักดูกันเล่า 


 


 


เขาพอใจกับชีวิตเช่นนี้เป็นอย่างมาก แต่แล้วจู่ๆ เหล่าคนรับใช้ก็พรวดพราดเข้ามา พวกเขาถูกพวกทหารใช้มีดจี้ที่คอ ชายผู้ดูเหมือนพวกชอบเที่ยวหอนางโลมก็ปรากฏตัวขึ้นและหัวเราะ 


 


 


“คุ้นหน้าข้าใช่หรือไม่” 


 


 


“พะ… พูดเรื่องอะไร…” 


 


 


“เมื่อกี้ไม่ได้เจอกันที่บ่อนสินะ ว่าแต่เจ้ารักษากระเป๋าเงินของนายข้าไว้เป็นอย่างดีหรือไม่” 


 


 


ตาที่ปกติก็โปดปูนอยู่แล้วของจักดูคราวนี้เหมือนกับจะหลุดออกมาจากเบ้า เงินและทองที่ขโมยมาถึงแม้เขาจะต่ำช้าแต่ก็ดูออกว่าในกระเป๋าเงินสีฟ้านั้นมีเครื่องประดับมีค่ามากอยู่ กระเป๋าเงินที่ดีที่สุดของปีนี้ ใครจะไปรู้ว่ากระเป๋านั้นจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ของความโชคร้าย 


 


 


“จะคืนให้ตามเดิมขอรับ ขอแค่ไว้ชีวิตข้า” 


 


 


“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะข้าก็ไม่ชอบฆ่าใคร” 


 


 


คำพูดของเขาใกล้เคียงความจริง การฆ่าไม่ใช่งานอดิเรกของฮอน เจ้าพวกที่ส่งสายตาแปลกๆ มาให้เขาตอนอยู่ที่บ่อนตอนนี้ก็กลายเป็นกองเลือดและกำลังส่งเสียงร้องคราญครางน่าสงสาร ก่อนอื่นเลยคือไม่ได้ตาย 


 


 


“เจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชองโอค้นที่แห่งนี้ทุกซอกทุกมุมแล้วยื่นถุงเงินสีฟ้าให้ฮอน พอพลิกกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะ เงิน ทอง และเครื่องประดับที่ถูกขโมยไปก็ไหลออกมา ฮอนหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งจากในนั้นแล้วลุกขึ้น เขายื่นมันไปตรงหน้าจักดูแล้วเขย่าไปมา 


 


 


“รู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร” 


 


 


“ไม่รู้ขอรับ ข้าแค่ดูแล้วก็เก็บใส่ไว้ตามเดิม!” 


 


 


ดวงตาของนักเลงกลิ้งไปมาทั้งที่หน้าแนบอยู่กับพื้น เครื่องประดับที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ของมีค่าทั่วไปและจักดูก็รู้ว่าในบ้านนอกแบบนี้ไม่มีทางมีของเช่นนี้แน่ เขาจึงตั้งใจจะเอาไปที่เมืองหลวงจึงเก็บส่วนหนึ่งแยกจากประเป๋าเงินไว้ต่างหาก 


 


 


“ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้มีรูปภาพใช่หรือไม่” 


 


 


ฮอนยกยิ้มอีกครั้งแล้วชี้ใช่ดูตราประทับที่ถูกประทับอยู่ข้างหลัง 


 


 


“นี่คือตราของราชสำนัก ทำไม ก็ตราเดียวกันกับที่ถูกวาดอยู่บนธงที่ติดอยู่ตรงที่ว่าการอย่างไรเล่า” 


 


 


สายตาที่ตกอยู่ในความตื่นตระหนกของจักดูไล่ไปตามรูปภาพที่ฮอนชี้ให้ดู ธงของที่ว่าการที่เคยผ่านหูผ่านตา แน่นอนว่าเคยเห็นอยู่เรื่อยแต่ไม่ได้สนใจ สิ่งที่ถูกเขียนอยู่บนธงที่โบกสะบัดไปมา มาซ่อนอยู่ด้านหลังเครื่องประดับที่ชิงมาจากบ่อนได้อย่างไร 


 


 


จักดูกลอกตาไปมาเพราะความสับสน เขานึกถึงกองทหารที่เพิ่งติดสินบนไปเมื่อหลายวันก่อน ทหารพวกนั้นรายงานว่าเมืองข้างๆ ที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนนั้น องค์รัชทายาทเสด็จมาแล้วก็มาจัดการทุกอย่างให้ระวังตัวไว้… 


 


 


“องค์รัชทายาท…ฝ่าบาท?” 


 


 


ช่วงเวลารุ่งโรจน์ของชีวิตนักเลงกำลังจะจบลง ความชั่วมากมายที่เคยทำไว้ผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว แต่ว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงตรงหน้า ว่ากันว่าจะมีช่องให้ได้ไหลไป เขานึกถึงเชือกเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตตัวเองได้แล้วรีบไหลตามออกมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


“กระหม่อมรู้เรื่องการทุจริตทั้งหมดของเมืองนี้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะสารภาพออกมาให้หมด เพราะงั้นช่วยละเว้นชีวิตกระหม่อมด้วย!” 


 


 


สายตาของฮอนยังคงมีรอยยิ้มไม่จางหายไป ด้านหลังของจักดูที่หมอบอยู่ ที่ตรงนั้นรยูฮาในชุดเครื่องแบบสีดำยืนพิงกรอบประตูและกำลังจ้องมองมาทางฮอน 


 


 


ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งเหลือเกิน ใช้เวลาสองสามวันก็จับหัวหน้าโจรได้ อีกทั้งยังเชื่อมโยงไปถึงเจ้าเมืองผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีได้ด้วย ฮอนส่งยิ้มเล็กๆ ไปให้นาง แล้วหันมามองจักดูอีกครั้ง  


 


 


“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าคำพูดของเจ้าคือความจริง มีหลักฐานหรือไม่” 


 


 


“มีพ่ะย่ะค่ะ เหล่าลูกน้องของกระหม่อมเป็นพยานได้ กระหม่อมมอบทรัพย์ให้เจ้าเมืองและมีหนังสืออนุญาตที่ได้รับมาด้วย” 


 


 


จักดูดิ้นรน ความตั้งใจอันแรงกล้าของนักเลงผู้ซึ่งไม่เหลืออะไรแล้วทำให้ฮอนคิดหนัก แม้แต่นักเลงที่อ่านหนังสือไม่ออกสักตัวและขโมยของคนอื่นเพื่อดำรงชีวิตยังดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตตน แล้วก่อนที่รยูฮาจะปรากฏตัว เขามัวแต่ทำอะไรอยู่ 


 


 


“เอามา” 


 


 


สิ้นคำสั่งสั้นๆ จักดูก็เอากระดาษเก่าหนึ่งแผ่นที่ผูกพับหลายทบออกมาจากอ้อมกอดซึ่งถูกมัดติดไว้อย่างแน่นหนา เอกสารนั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอำนาจในการจัดการตลาด ตรงส่วนท้ายมีแม้กระทั่งตราประทับของเจ้าเมือง 


 


 


ไม่เกินจริงเลยหากบอกว่ามันคือข้อตกลงเพื่อบีบบังคบเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่ทำถูกกฎหมาย ต่อให้ไม่ได้เห็นกับตาก็ชัดเจนว่าชาวบ้านในเมืองนี้ต้องหลั่งน้ำตาและเลือดมากแค่ไหนเพราะกระดาษแผ่นเดียวแผ่นนี้  


 


 


“หากินกันเป็นระบบเชียว” 


 


 


ฮอนพูดซ้ำเบาๆ แล้วพับสิ่งนั้นอีกครั้งก่อนจะเก็บไว้ในหน้าอก เขาออกคำสั่งกับจักดูที่ตอนนี้หมอบคว่ำหน้าลงราวกับพยายามทำให้รูปร่างใหญ่โตนั้นเล็กลงให้ได้มากที่สุด 


 


 


“สารภาพความผิดที่เจ้าเคยทำออกมาจากปากเจ้าให้หมด ถ้าเหล่าทหารตรวจสอบแล้วตกหล่นไปแม้แต่เรื่องเดียว เจ้าถูกเด็ดคอทิ้งแน่” 


 


 


ไม่มีทางจำความผิดทั้งหมดที่ทำมาได้แน่ คำสั่งในตอนนี้ก็เหมือนกับสั่งให้เด็ดคออยู่แล้ว แต่จักดูก็ดิ้นรนพยายามคิดแล้วสารภาพความผิดที่จำได้ออกมาทีละอย่าง 


 


 


“ตระกูลคิมขายปลา…ติดหนี้บ่อนเลยส่งลูกสาวเขาไปซ่อง…เอื๊อก!” 


 


 


ทุกครั้งที่ความผิดที่ตัวเองทำหลุดออกมาจากปากของจักดู ชองโอที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็จะฟาดปลอกดาบลงไปหนึ่งครั้ง หนึ่งเรื่องต่อหนึ่งครั้ง หลังจากค่อยๆ เอ่ยความผิดที่นึกออก จักดูก็กลายเป็นกองเลือดน่าสงสารเหมือนกันกับคนเฝ้าประตูที่มากวนใจฮอน และหายใจหอบอย่างยากลำบาก ฮอนยกมือขึ้นสั่งหยุดการตีแล้วหรี่ตามอง 


 


 


“รักษาเขา เฝ้าคนที่อยู่ที่นี่ไว้พอตะวันขึ้นให้ลากมาที่ว่าการ ถ้าสอบสวนเสร็จแล้วให้สรุปความผิด จากนั้นส่งไปยังเมืองที่ครั้งก่อนกำแพงถล่มลง ให้ไปก่อกำแพงเช้าจรดเย็นในฐานะทาสหลวง ตลอดชีวิตไม่มีเว้นสักวัน” 


 


 


พอพูดเสร็จ ฮอนก็เดินจากไปพร้อมกับรยูฮาโดยไม่หันกลับมามอง เหล่าทหารตามทั้งคู่ไปเป็นแถวเพื่อคุ้มครองแต่ก็ไม่ใกล้จนเกินไป รยูฮาที่เงียบมาสักพักเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน 


 


 


“พาไปตอนนี้ก็ได้ ทำไมต้องรอถึงตอนเช้าเพคะ” 


 


 


ปลายจมูกของหญิงสาวที่ถามอย่างนั้นมีแสงจันทร์ส่องประกายเลือนรางอยู่ ฮอนรู้สึกอิจฉาแสงจันทร์ ดังนั้นก่อนจะตอบคำถามเขาจึงลูบไปที่ปลายจมูกนั้นด้วยปลายนิ้วทำทีเหมือนว่ากำลังเช็ดอะไรบางอย่างออกให้ 


 


 


“ให้ชาวบ้านที่โดนพวกเขากระทำได้แก้แค้นบ้าง พวกเขาคงสบายใจมาก ถ้าได้เห็นคนที่ทรมานตัวเองถูกทรมานแล้วจึงค่อยพาตัวไป” 


 


 


รยูฮาไม่ถามต่อแล้วเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรจะพูดอีก ถึงจะไม่ใช่เส้นทางที่ไกลมากแต่เพราะฝีเท้าที่ช้าลงเรื่อยๆ ของทั้งคู่ทำให้นานทีเดียวกว่าจะถึงที่ว่าการ ริมฝีปากของรยูฮายกยิ้มเศร้าพลางพยักหน้าเป็นการบอกลาในค่ำคืนนี้ 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


ตอนที่ 7-5

 

“จะไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชานที่เจอเข้ากับรยูฮาบนทางเดินมืดๆ ถามขึ้นอย่างมีมารยาท เส้นผมที่ยังไม่ค่อยแห้งดีของหญิงสาวยึดเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมและครึ่งหนึ่งก็ถูกปล่อยลงมาปะไหล่ราวกับว่าเพิ่งอาบน้ำออกมา ตรงแก้มชื้นขึ้นสีและดูน่ารัก สายตาของชานไม่สามารถมองตรงๆ ไปยังรยูฮาได้จึงหยุดสายตาอยู่ที่ปลายเท้าของรยูฮา 


 


 


“จะไปหาองค์รัชทายาทเพคะ ทรงมาหรือยังเพคะ” 


 


 


ความโลภอันเป็นไปไม่ได้ตีตื้นขึ้นมาจากหัวใจของชานอีกครั้งและแลบลิ้นดำปี๋ออกมา หากคนที่รยูฮาเรียกว่าฝ่าบาทคือข้า หากห้องที่นางไปหาคือห้องของข้า หากคนที่ได้ลูบไล้เส้นผมและจุมพิตลงบนแก้มนุ่มคือข้า ถึงจะคิดเช่นนั้น หากแต่ก็มีเพียงน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมาจากริมฝีปากของชาน 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ทรงอยู่ในห้องบรรทม ลองเข้าไปดูสิพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


รยูฮาโค้งตัวแสดงความเคารพอีกครั้ง แล้วเดินผ่านโถงทางเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องที่ฮอนอยู่ ตอนนั้นเองที่มินอาผู้ที่ตามมาหรี่ตามองชาน ชานรู้สึกได้ว่าสายตานั้นเจาะทะลุเข้าในใจของตัวเอง แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น มินอาเบนสายตากลับมาอีกครั้งแล้วเปิดประตูเพื่อให้รยูฮาเข้าไป 


 


 


“มีเรื่องอะไรกัน” 


 


 


ฮอนนั่งจมอยู่ในความคิดตรงโต๊ะพอเห็นรยูฮาที่จู่ๆ เข้ามาก็ตกใจลุกขึ้น  


 


 


“ต่อไปหม่อมฉันก็จะมาหาอย่างกะทันหันเช่นนี้อีก แค่คิดว่าอยากเห็นหน้ามากจึงมาหาแบบนั้นไม่ได้เลยหรือเพคะ ว่าแต่คิดอะไรอยู่ ขนาดประตูเปิดแล้วฝ่าบาทถึงยังไม่รู้ตัวอีกเพคะ” 


 


 


ถ้ารยูฮาพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้บ่อยๆ หัวใจของเขาคงทำงานหนักแน่ ฮอนยิ้มแล้วเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ จากนั้นจึงเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่ง แล้วตัวเองก็นั่งลงด้วย 


 


 


“ข้ากำลังนึกถึงเหล่านักเลงที่เจอเมื่อกี้ อย่างไรเสียพวกเขาก็คือราษฎรของพระจักรพรรดิแต่ด้วยความจนเลยทำให้ต้องทำเรื่องเลวร้าย” 


 


 


น้ำเสียงของฮอนที่นั่งอยู่เงียบๆ นั้นแหบพร่า ตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ น้ำหนักของความเป็นองค์รัชทายาท 


 


 


“ข้าสมควรตั้งสติให้เร็วกว่านี้ สมมติว่าถ้าได้ออกไปข้างนอกเพื่อดูแลที่ที่ฝ่าบาทเอื้อมมือไปไม่ถึงเหมือนเสด็จพี่ได้…” 


 


 


มือขาวของรยูฮาถูกยกขึ้นวางบนหลังมือของฮอนที่วางอยู่บนโต๊ะ ราวกับจะปกป้อง 


 


 


“หากทรงไม่ลืมคำว่าราษฎรของพระจักรพรรดิ ตอนที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ประเทศก็จะกลายเป็นประเทศที่มีความเป็นอยู่ดีขึ้นเพคะ แต่อย่ารู้สึกผิดไปเลยเพคะ พวกขุนนางที่ทำตัวเสื่อมเสียไม่ใช่คนชั้นต่ำหรือคนยากจนแต่เป็นเพียงแค่คนชั่วมิใช่หรือเพคะ การที่คนเหล่านั้นกลายเป็นคนชั่วเช่นนั้นไม่ใช่ความผิดของฝ่าบาทเลยนะเพคะ” 


 


 


“พระชายา เจ้ารู้อะไรหรือไม่” 


 


 


ฮอนยกมือขึ้นสอดประสานเข้ากับนิ้วของรยูฮา มือของเขาหยาบกร้านเล็กน้อยแต่อบอุ่นมาก 


 


 


“บางครั้งข้าก็อยากละทิ้งตำแหน่งรัชทายาท เพราะมันเหมือนกับข้าแย่งมาจากเสด็จพี่ที่ไม่ว่าใครมอง ตำแหน่งนั้นก็ควรเป็นของเสด็จพี่ แต่ว่าพอมีเจ้าอยู่ข้างๆ ข้าถึงได้ตั้งใจรักษาที่นั่งนี้ไว้ ทำให้ได้มาเจอกับงานที่ต้องทำในฐานะเจ้าของที่นั่งนี้” 


 


 


รอยยิ้มฉายบนแววตาของรยูฮา ฮอนผู้เฝ้ามองสิ่งนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา ท่ามกลางสายตาที่แสดงถึงว่าล่วงเลยเวลาเข้านอนมาแล้ว ใบหน้าของฮอนก็ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้รยูฮา แต่ว่าตอนที่ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสลงบนริมฝีปาก ริมฝีปากของรยูฮาก็ถอยห่างออกมาทิ้งไว้แค่เพียงลมหายใจ 


 


 


ถูกโดนทำแบบนี้อีกแล้ว ฮอนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนโง่ แต่ก็ไม่ได้อารมณ์เสีย 


 


 


“ยังไม่อาบน้ำหรือเพคะ หม่อมฉันจะสั่งให้มินอาเตรียมให้ นางอยู่ข้างนอก เดี๋ยวหม่อมฉันตามให้นะเพคะ” 


 


 


“อ้า ข้าเองก็อยากอาบอยู่เหมือนกัน ขอบใจเจ้ามาก” 


 


 


ฮอนขยับตัวเดินออกประตูไปในสภาพเก็บซ่อนความเสียดายไว้ พอตามมินอาที่รออยู่ข้างนอกมาสถานที่ที่มาถึงคือห้องทรงน้ำที่ตั้งอยู่ด้านในสุดตรงโถงทางเดิน เขากอดเสื้อนอกออกจนหมดแล้วยื่นให้มินอาก่อนจะลงไปในน้ำอุ่นแล้วหลับตา ฮอนรู้สึกแปลกๆ จึงมองไปรอบๆ ไม่เห็นเหล่าคนรับใช้ที่ต้องเข้ามาดูแลเลยสักคน 


 


 


“มินอา” 


 


 


“เพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ระหว่างข้าอาบน้ำ เจ้าจะดูแลข้าตลอดเลยรึ” 


 


 


“ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


มินอายิ้มอย่างมีนัยยะแล้ววางเสื้อนอกที่ถืออยู่ไว้ตรงประตูก่อนจะหายไปข้างนอก อืม บางครั้งอาบน้ำคนเดียวแบบนี้บ้างก็ดี ฮอนคล้อยตามพร้อมกับคิดอย่างเห็นด้วย หัวที่วุ่นวายถูกทำให้สงบลงในน้ำ 


 


 


แล้วต่อมาไม่นาน 


 


 


“พระชายา! ทำอะไร! ไม่สิ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!” 


 


 


เขาผู้ซึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้งแล้วใช้มือลูบหน้าคิดว่าเห็นผีเป็นครั้งแรกเสียแล้ว ท่ามกลางไอน้ำเลือนรางรยูฮาถือผ้าสีขาวและกำลังมองมาที่ตนอยู่ไม่ใช่หรือ 


 


 


“การดูแลรับใช้วันนี้ หม่อมฉันจะทำให้เองเพคะ” 


 


 


ยิ่งรยูฮาเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของฮอนก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่สายตาเปิดเผยเหมือนตอนที่มองเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เป็นสายตาที่ดูแปลกประหลาดกว่านั้น เขาคุ้นเคยกับการที่ผู้หญิงมองร่างกายและสัมผัสเพื่อดูแลรับใช้ ตอนอาบน้ำน่ะเคยแน่นอนอยู่แล้ว ตอนเปลี่ยนเสียผ้าก็เคยมี เมื่อครู่ก็ถอดเสื้อผ้าต่อหน้ามินอาอย่างไม่คิดอะไรไม่ใช่หรือ แต่ทำไมแค่รยูฮามองมาหน้าก็ร้อนขึ้นแบบนี้ 


 


 


“เดี๋ยว หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน หยุดเดี๋ยวนี้” 


 


 


“ทำไมล่ะเพคะ” 


 


 


ในขณะที่รยูฮาหยุดเดิน มือฮอนก็หมุนตัวไปฝั่งตรงข้ามแล้วลูบลงบนหน้าอกที่ตกใจ พวกเราคือคู่สามีภรรยา เขาพูดแล้วพูดอีกเหมือนสวดมนต์ ให้สัญญาว่าจะร่วมชีวิตตลอดไป แล้วแค่ให้เห็นร่างเปลือยจะเป็นไรไป เขาพยายามทำให้ใจสงบแบบนี้และจังหวะที่หมุนตัวกลับไปอีกครั้ง บางอย่างที่อบอุ่นแล้วก็อ่อนนุ่มถูกวางลงบนไหล่เขา 


 


 


“อยู่เฉยๆ เพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


เสียงอ่อนหวานดังขึ้นข้างหูฮอนพร้อมกับผ้าขนหนูที่รยูฮาเอาชุบน้ำอุ่นแล้วค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นลงบนร่างกายของฮอน จากไหล่กว้างสู่แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและข้ามลำคอเรื่อยไปจนถึงตรงหน้าอกที่เปียกน้ำ ทุกที่ที่มือนั้นเลื่อนผ่านปลุกร่างกายของชายหนุ่มที่อ่อนเพลียให้รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟลวก ต่อมาริมฝีปากของฮอนที่เผยอออกก็มีเสียงครางและลมหายใจพ่นออกมาด้วย และสิ่งนั้นก็เข้าไปในปากของรยูฮาที่ประกบกันอยู่ 


 


 


“ไปห้องนอนได้หรือไม่” 


 


 


การประกบปากอันหอมหวานจบลง น้ำเสียงที่พูดขึ้นอย่างระมัดระวังจั๊กจี้อยู่ตรงใบหูของรยูฮา และตอนที่หญิงสาวพยักหน้า เขาก็อุ้มนางเดินออกนอกประตูไปแล้ว ตลอดทั้งชีวิตนี่เป็นการกระทำที่รวดเร็วที่สุดของฮอน 


 


 


“ฝ่าบาท ชุด! จะเป็นหวัดได้นะเพคะ!” 


 


 


แม้แต่น้ำเสียงห้ามปรามของรยูฮาก็ไม่สามารถหยุดเขาได้ ฮอนสวมแค่กางเกงเปียกตัวเดียวอุ้มรยูฮาไว้แน่นแล้ววิ่งกลับไปยังห้องนอน เป็นภาพที่ถ้ามองเห็นส่วนล่างก็คงน่าอายอยู่ไม่น้อย โชคดีที่โถงทางเดินมืดนั้นร้างผู้คน แน่นอนว่าเป็นเพราะมินอาที่ออกมาเมื่อครู่ไล่ออกไปไม่ให้แม้แต่หนูสักตัวเดียวเข้ามาได้ 


 


 


“รยูฮา…” 


 


 


ฮอนวางรยูฮาลงบนที่นอนแล้วกลืนกินริมฝีปากแดงทั้งอย่างนั้นอีกครั้ง ทั้งที่ฝ่าอากาศเย็นอีกทั้งยังอยู่ในสภาพตัวเปียก แต่อุณหภูมิในร่างกายก็ไม่เย็นลงเลย หัวใจเต้นแรงมากจนดูเหมือนว่าอีกไม่นานมันจะฉีกหน้าอกออกมาและกระเด็นออกมาข้างนอก การประกบปากที่ไล่นับตั้งแต่ริมฝีปากเรื่อยลงมาตามลำคอ จนในที่สุดก็อดไม่ไหวกัดลงไปบนลาดไหล่ขาว 


 


 


“อ้า ฝ่าบาท…” 


 


 


น้ำเสียงนั้นที่ผสมระหว่างความทรมานและความสุขสมไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้ฮอนได้คิดอะไรอีก มือสั่นเทาโน้มลงมาปลดปมเชือกที่อยู่ตรงหน้าอกอย่างไร้เรี่ยวแรง ตะเกียงส่องลงบนผิวที่เผยออกมาตรงเสื้อผ้าที่ถูกเลิกออก 


 


 


“ทำไม…ถึงได้งดงามเช่นนี้” 


 


 


ฮอนมองรยูฮาแล้วสติเลื่อนลอยไปสักครู่ จากนั้นจึงถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง รยูฮาค่อยๆ ยื่นมือมาทางเขา ตอนนั้นเองที่ดวงตาของรยูฮามองไปที่ไหล่ของเขา แขนที่เหมือนจะดึงฮอนเข้ามากอดกลับผลักเขาไปด้านข้างอย่างแรงแทน 


 


 


“เฮือก!” 


 


 


รอดพ้นจากจุดสำคัญไปได้อย่างหวุดหวิด เลือดของราชวงค์อันสูงส่งไหลออกมาที่หัวไหล่ของฮอน ไม่ทันรู้ตัวมือของผู้บุกรุกก็ลุกล้ำเข้ามาถึงเตียงแล้ว ตรงนั้นดาบกำลังสะท้อนกับแสงไฟ  


 


 


“เจ้าไม่ได้ตายดีแน่” 


 


 


รยูฮาหยิบเอาปิ่นปักผมปลายแหลมที่ปักอยู่ในผมออกมาตอนไหนไม่รู้ แล้วพูดเสียงเบาอย่างเย็นชา ผู้บุกรุกมองฮอนกับรยูฮาสลับกัน แล้วหันดาบมาราวกับพยายามจะฆ่ารยูฮาก่อน  


 


 


“เฮือก!” 


 


 


ขณะเดียวกันปิ่นปักผมของรยูฮาก็ปักลงบนหลังมือของผู้บุกรุกอย่างแม่นยำ เสียงร้องเพราะความเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมกับดาบที่ร่วงลง มินอาพังประตูเข้ามาท่ามกลางเสียงแหลมของโลหะ 


 


 


“พระชายา!” 


 


 


ดาบของมินอาที่ไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อยจู่โจมเข้าตรงท้ายทอยจนผู้บุกรุก คนผู้นั้นสิ้นสติแล้วล้มลงทั้งอย่างนั้น มินอารับผ้าห่มมาฉีกและมัดผู้บุกรุกไว้ แล้วเสียงอันรีบเร่งของรยูฮาก็ลอยมาทางมินอา 


 


 


“ไปจับตัวเจ้าเมือง แล้วตามองค์ชายมา!” 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


ตอนที่ 7-6

 

“พระชายา?”


 


 


ชานผู้ซึ่งวิ่งมากราวกับคนสติหลุดถึงกับหมดคำพูดเมื่อเห็นสภาพภายในห้อง เตียงที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคาบเลือด ฮอนที่หมดสติไปในอ้อมแขนของรยูฮา รยูฮาที่กำลังห้ามเลือดตรงไหล่ของฮอนบนเตียงที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น ดูเหมือนว่าหญิงสาวคงไม่รู้ตัวว่าเสื้อผ้าของตนถูกถอดออกจนเกือบจะตัวเปลือย


 


 


“หมอ หมอ เรียกหมอหรือยังเพคะ”


 


 


น้ำเสียงสั่นเครือที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นแสดงออกซึ่งความตื่นตระหนก หวาดกลัว และโมโหของหญิงสาว ชานจึงถอดเสื้อคลุมของตนคลุมลงบนไหล่รยูฮา แล้วรับเอาฮอนมาวางลงบนเตียง ก่อนจะสำรวจตรงนั้นตรงนี้ บาดแผลที่ถูดมัดไว้แน่นโดยการปฐมพยายบาลเบื้องต้นมีเลือดไหลออกมาต่อเนื่อง ดาบที่ทำให้เกิดบาดแผลก็อยู่ด้านข้างเขานั่นเอง


 


 


“หมอกำลังมาพ่ะย่ะค่ะ รอสักครู่”


 


 


ดวงตาว่างเปล่ามองชานที่พูดอย่างสุขุมเยือกเย็น สายตานั้นดูวุ่นวายและสูญเสียความสงบนิ่งที่ปกติเคยมี แม้แต่ในสถานกาณ์คับขันแบบนี้ดวงตาคู่นั้นก็ยังทำให้ชานหวั่นไหว สิ่งที่ทำให้เขายิ่งทนไม่ได้คือความจริงที่ว่าในดวงตานั้นมีภาพของเขาอยู่ไม่ใช่ฮอน ความต้องการที่ควบคุมไม่ได้หลั่งไหลลงมาเหมือนการถล่มของภูเขา และมันกำลังโหมเข้าใส่ชาน กว่าจะตั้งสติได้แขนแกร่งของเขาก็ดึงรยูฮาเข้ามากอดตามใจเสียแล้ว


 


 


“เฮ้อ ให้ตายสิ”


 


 


เสียงแหบแห้งออกมาจากปากของชานราวกับมีอะไรสักอย่างขูดลำคอของเขา รยูฮานั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้เขาหมดหวังและตกลงไปในนรก ในสถานการณ์ที่น้องชายคนเดียวถูกจู่โจมจนสิ้นสติไป เขาก็ยังปรารถนาในตัวภรรยาของน้อง คุณธรรมประจำใจที่เขายึดมั่นมาตลอดชีวิตและความอยากครอบครองรุนแรงที่มีต่อรยูฮากำลังต่อสู้ห่ำหั่นกัน และชานก็กำลังถูกกระชากเป็นชิ้นๆ  


 


 


“ดูแลฝ่าบาทอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ใช่หมอไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามานะเพคะ”


 


 


ดูเหมือนว่าในหัวของรยูฮาตอนนี้จะไม่รับรู้ว่าใจของชานกำลังสั่นไหวและถูกกระชากเป็นชิ้นๆ แม้แต่ความจริงที่ว่าชายที่กำลังกอดนางอยู่คือชานก็ไม่เข้าไปในหัวนาง รยูฮายังคงอยู่ในสภาพสายตาว่างเปล่าแล้วหายไปนอกประตูโดยที่มีเสื้อของชานคลุมอยู่ ในห้องที่ฮอนยังคงไม่ได้สติเหลือแค่ชานเท่านั้น


 


 


“พระชายา!”


 


 


“เจ้าเมืองอยู่ไหน”


 


 


เหล่าทหารที่เฝ้าอยู่นอกประตูกระวีกระวาดตะโกนเรียกพระชายาเพราะการปรากฏตัวขึ้นของพระชายา ผมยุ่งเหยิงและเนื้อหนังมังสาที่โผล่ออกมาจากเสื้อของบุรุษที่ถูกคลุมไปอย่างลวกๆ เหล่าทหารที่ไม่อาจแตะต้องพระวรกายได้จึงทำได้แต่ก้มหน้า มินอานั้นวิ่งเข้ามากอดรยูฮาไวเหมือนลำแสง


 


 


“พระชายา หาเจ้าเมืองเจอแล้วเพคะ เขาหนีไปไม่ได้แน่ แต่พระชายาแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนเถอะนะเพคะ”


 


 


เป็นทั้งบริวารและครอบครัวที่เชื่อใจกว่าใคร น้ำเสียงอันเฉียบขาดของมินอาทำให้สติที่กลายเป็นน้ำแข็งกลับมาอีกครั้ง รยูฮากลับเข้าไปในห้องแล้วแต่งตัวกลับออกมา เจ้าเมืองก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า


 


 


มินอาพูดถูกแล้ว เจ้าเมืองหนีไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะร่างกายที่แก่ตัวลงแล้วของเขาถูกห้อยอยู่ตรงคานห้องทำงานแล้ว


 


 


“โธ่เอ๊ย!”


 


 


คำด่าอย่างอ่อนแรงเล็ดลอดออกมาจากปากที่เม้มเข้าหากันแน่น รยูฮาเงยหน้ามองศพของเจ้าเมืองที่ลิ้นห้อยยาวลงมาแล้วหมุนตัวกลับอย่างเย็นชา


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


ผ่านไปสองวันฮอนถึงลืมตาตื่นขึ้น มีดสั้นพ้นจากจุดสำคัญไปแต่พิษที่ติดอยู่ในนั้นก็แพร่กระจายเข้าไปในเลือด


 


 


ฮอนค่อยๆ ลืมตาปะทะกับแสง สิ่งที่เข้ามาในสายตาของฮอนอย่างแรกเลยคือภาพของรยูฮาที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ โดยมีดาบอยู่ข้างกาย


 


 


“ฝ่าบาท?”


 


 


รยูฮาลืมตาขึ้นเพราะสัมผัสที่ลูบลงอย่างแผ่วเบาบนหัว ถึงจะซูบผอมแต่ฮอนก็มองรยูฮาไม่วางตา


 


 


“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”


 


 


รยูฮาหัวเราะชอบใจกับคำพูดที่เอ่ยออกมาเป็นครั้งแรกพร้อมกับรอยยิ้มบาง ตอนนี้ใครกำลังเป็นกังวลเพราะใครกันแน่


 


 


“คนที่ควรจะเป็นอะไรคือฝ่าบาทต่างหากเพคะ”


 


 


“…งั้นหรือ”


 


 


ฮอนลูบคลำมือของรยูฮา อุณหภูมิที่ถูกส่งออกมาอย่างอบอุ่นเป็นตัวบอกได้อย่างชัดเจนที่สุดมากกว่าสิ่งอื่นใดว่าเขายังไม่หมดลมหายใจ


 


 


“เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้”


 


 


“ไม่เพคะ หากหม่อมฉันใส่ใจรอบข้างให้มากกว่านี้…”


 


 


ไม่รู้ว่ามีผู้ลอบฆ่าซุ่มอยู่ ความรู้สึกผิดเกาะแน่นเหมือนปลิงดูดเลือดที่ติดอยู่ตรงท้ายทอย แต่ฮอนกลับส่ายหน้าแล้วปฏิเสธความรู้สึกผิดของหญิงสาว


 


 


“ขอบใจที่ช่วยชีวิต หากต้องมาตายก่อนได้เข้าหอกับเจ้า ต่อให้ตายไปข้าก็คงจากโลกนี้ไปไม่ได้”


 


 


“ยังจะมาล้อเล่นในสถานการณ์แบบนี้อีกหรือเพคะ”


 


 


ฮอนเปิดปากตั้งใจจะบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น แต่ได้ยินเสียงของชานพาหมอเข้ามาพอดี


 


 


“ฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ความรู้สึกเหมือนไม่ค่อยดีใจที่เขาฟื้นเลย ฮอนคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ก็รู้สึกเพียงชั่วครู่ ชานที่มักจะเม้มปากอยู่ตลอดกลับมามีใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วเข้ามานั่งในห้อง


 


 


“โชคดีจริงๆ ตามที่หมอบอก เพราะพระชายาช่วยป้องกันจุดสำคัญไว้ได้อย่างรวดเร็วจึงไม่เกิดอันตรายมากไปกว่านี้ นับได้ว่าช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้สองครั้งแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


รยูฮาลุกขึ้นจากที่พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ แล้วปล่อยมือที่จับอยู่


 


 


“หม่อมฉันมีเรื่องต้องไปจัดการ องค์ชายอยู่ดูฝ่าบาทด้วยนะเพคะ”


 


 


“ข้าเพิ่งฟื้นเจ้าจะไปไหน”


 


 


“หม่อมฉันกำลังสอบสวนคนที่ลอบปลงพระชนม์อยู่เพคะ”


 


 


รยูฮาทิ้งคำน่าหวาดเสียวไว้แล้วออกจากห้อง มุ่งหน้าไปที่ใดสักแห่ง สถานที่หญิงสาวมาถึงคือคุกที่อยู่ลึกที่สุดในที่ว่าการ ภายในคุกคับแคบที่ไม่มีแสงส่องเข้ามาถูกทำให้สว่างด้วยแสงไฟจากเตาไฟที่กำลังลุกโชน


 


 


“อือ! อือ อื้อ!”


 


 


ผู้ลอบสังหารเห็นรยูฮาก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เขาไม่ได้ถูกมัดไว้ ร่างกายของเขาที่หักไปหมดแล้วตรงจุดนั้นจุดนี้ ส่วนที่พอจะขยับได้มีเพียงนิ้วมือไม่กี่นิ้ว ไม่มีหนทางให้เลี่ยงรยูฮาได้เลย สำหรับผู้ลอบสังหารการปรากฏตัวของรยูฮาน่ากลัวกว่าความตาย เพราะ…


 


 


พรึ่บ!


 


 


แส้ตวัดพันรอบตัวผู้ลอบสังหารเหมือนงู สัมผัสของแส้ติดไปทั่วร่าง มีเลือดออกมาเล็กน้อยจากเนื้อที่ปริแตก แต่ใบหน้าของรยูฮานั้นเป็นสีหน้าที่ไม่สามารถเห็นได้จากที่ไหนเลย


 


 


พรึ่บ!


 


 


พรึ่บ!


 


 


ฟาดลงไปแล้วกี่ครั้งกัน รยูฮาหยุดการเคลื่อนไหวครู่หนึ่ง แล้วโบกมือข้างที่ไม่ได้จับแส้ ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ โปรยผงสีขาวลงบนร่างกายของผู้ลอบสังหาร


 


 


“อ๊าก! อ๊ากกก!”


 


 


เกลือละลายลงบนเลือดซึมเข้าไปในแผล ให้ของขวัญเป็นความทรมานดังนรก ทรมานเสียยิ่งกว่าการพาวิญญาณของผู้ลอบสังหารไปสู่ความตาย


 


 


ตอนแรกคิดไว้ว่าอย่างไรเสียก็จะไม่เปิดปาก เขากลับมาเพราะโดนสาดน้ำ การฝึกฝนอย่างหนักท้ายที่สุดแล้วก็เตรียมตัวมาเพื่อสิ่งนี้หรือเปล่า ดังนั้นพอได้สติลืมตาตื่นขึ้นมาเจอพระชายา เขาก็ถึงกับยิ้มแห้งในใจ แน่จริงพระชายาก็ลองทรมานดูสิว่าข้าจะเปิดปากไหม


 


 


แต่ผ่านไปสองสามชั่วโมงผู้ลอบสังหารก็ทำได้เพียงยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองคิดผิด พระชายาไม่สงสัยคนที่ยุยงเขาเลย หลังจากที่หญิงสาวทรมานเขาไม่ให้ตาย และหากสลบไปก็ส่งหมอไปรักษา ทำราวกับว่าตนเองมีเมตตา และต่อมาอีกสองสามชั่วโมงก็ทรมานเขาต่อ พระชายาขององค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเป็นสาวบ้าจนน่าตกใจ


 


 


พรึ่บ!


 


 


“ต่อไป”


 


 


รยูฮาฟาดแส้ลงไปเป็นครั้งสุดท้ายแล้วส่งให้ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเก็บแส้แล้ววางบางอย่างที่เล็กและเป็นประกายลงบนมือของรยูฮา มันคือมีดสั้นที่เจาะทะลุไหล่ของฮอน


 


 


“อ๊ากกก”


 


 


ผู้ลอบสังหารส่ายหน้าไปมาเพราะความหวาดกลัว ขอร้องช่วยเปิดปากให้ที ข้าจะสารภาพความผิดทั้งหมดที่รู้ แต่การขอร้องอย่างน่าหดหู่นั้นกลับได้ยินเพียงแค่เสียงดังอู้อี้เพราะถูกปิดปากไว้


 


 


“เหลือส่วนไหนกันนะ”


 


 


รยูฮาสำรวจตรงนั้นตรงนี้แล้วขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะท่าทีที่น่าเวทนาของผู้ลอบสังหารหรือเพราะเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด นางแค่กลุ้มใจที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจนมองไม่เห็นที่ให้กรีดลงไปอีก


 


 


“สาดน้ำลงไป เพราะเลือดเลยมองไม่ค่อยเห็น”


 


 


ทหารหนึ่งนายออกไปเอาน้ำตามคำสั่งของหญิงสาวที่ถอยไปหนึ่งก้าว โอกาสมีแค่ตอนนี้เท่านั้น หญิงสาวคนนี้ไม่อนุญาตให้เขาบอกข้อมูลที่มีเลย ต้องบอกข้อมูลที่กระตุ้นหญิงบ้าคนนี้ให้ได้มากกว่านี้ ดังนั้นผู้ลอบสังหารจึงตัดสินใจบอกสิ่งที่เขารู้ด้วยวิธีเดียวที่เขาทำได้ มีสิ่งเดียวแล้วที่เขาปรารถนา นั้นคือการได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดไปสู่ความตายอันสงบ


 


 


“อือ อื้อ อื้อ…”


 


 


ผู้ลอบสังหารดิ้นรนเอานิ้วที่เคลื่อนไหวได้จิ้มไปที่เลือดแล้วเริ่มเขียน


 


 


“พระชายา ดูเหมือนว่ามันกำลังจะทำอะไรสักอย่างพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 7-7

 

ช่างน่าขอบใจเสียเหลือเกินที่ดูเหมือนว่าทหารนายหนึ่งดูออกถึงความตั้งใจของเขา ผู้ลอบสังหารจึงมีแรงฮึด เคลื่อนไหวมืออย่างตั้งใจ แต่ว่าก่อนจะเขียนได้ถึงครึ่ง น้ำเสียงเย็นชาของพระชายาก็บาดคอเขา 


 


 


“เปิดปากง่ายอย่างนั้นไม่ได้สิ เป็นคนไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย” 


 


 


ภายใต้ความหวังอันดำมืด น้ำชะล้างข้อมูลที่ผู้ลอบสังหารใช้เลือดเขียนไปจนหมดจด ในคุกเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความทรมานอีกครั้ง ถึงขนาดต้องทิ้งชุดขาวที่เต็มไปด้วยเลือดไปหนึ่งชุด 


 


 


 


 


 


“ตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ในระหว่างที่ฮอนหลับไป รยูฮาส่ายหน้าให้กับคำพูดของชานที่นั่งอยู่ตรงข้าม นางไม่เปิดเผยความจริงที่ผู้ลอบสังหารอยากบอกเกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างมาก ความจริงแล้วเบื้องหลังที่รู้นั้นไม่ใช่เบื้องหลังจริงๆ ผู้ลอบสังหารองค์รัชทายาทไม่มีทางจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่หรือ 


 


 


“ถึงไม่อาจรู้เบื้องหลัง แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือไม่ได้ตั้งใจจะปลงพระชนม์องค์รัชทายาทจริงๆ มิใช่หรือเพคะ” 


 


 


“…เรื่องนั้นก็จริงพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทุกจุดแปลกไปหมด ทั้งที่ช่วงเวลาที่ฮอนอยู่คนเดียวก็มีมากพอ แต่เลือกลอบสังหารตอนที่รยูฮาอยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมีดมันสั้นเกินกว่าจะแทงไปที่ขั้วหัวใจได้ พิษที่กระจายอยู่ตรงนั้นก็มีปริมาณไม่มากพอทำให้ถึงแก่ความตาย 


 


 


เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง เจ้าเมืองจึงใช้มือสังหาร แต่ทันทีที่แผนการล้มเหลว เขาก็แขวนคอตัวเอง นั่นเป็นเพราะความผิดที่ใหญ่กว่าทุจริตคือความผิดที่ไม่สามารถช่วยเหลือสายเลือดราชวงค์เอาไว้ได้ เจ้าเมืองจะไม่รู้เลยหรือ หากองค์รัชทายาทถูกลอบปลงพระชนม์ในที่ว่าการของตัวเอง ตัวเองก็อาจต้องโทษประหารชีวิตตามไปด้วย 


 


 


“มันคือการเตือนเพคะ เป็นทั้งการเตือนองค์รัชทายาทและเป็นการเตือนหม่อมฉันด้วย” 


 


 


รยูฮาพูดเสียงเบา ชานก็พยักหน้าราวกับเห็นด้วย 


 


 


“จูเยฮึง องค์ชายมองว่าเป็นเรื่องที่เขาก่อหรือไม่เพคะ” 


 


 


“ท่านก็รู้ความจริงจากหลักฐานที่พวกเราได้มาแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ จากนี้ไปพวกเราต้องระวังตัวกันให้มากขึ้น เพราะตัวท่านก็รู้ดีว่าคนที่ถูกเพ่งเล็งว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้คือใคร”  


 


 


ตึก ตึก ชานมองดูปลายนิ้วของรยูฮาที่เคาะลงบนโต๊ะทำให้นึกอีกคนที่มีนิสัยแบบนี้ 


 


 


“…แล้วพระสนมเอกล่ะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


คนที่ปรารถนาให้ฮอนหายไปมากกว่าใคร คนที่ปรารถนามาทั้งชีวิตว่าจะผลักฮอนออกไป แล้วให้ชานขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแทน คนที่คลอดแล้วก็เลี้ยงชานมา 


 


 


“ตอนนี้…มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพคะ ด้วยอาการบาดเจ็บองค์รัชทายาท ทำให้ต้องกลับไปพระราชวังอีกครั้ง ถึงจะตรวจตรามาได้หลายเมืองแล้ว แต่ก็ยังตรวจตราไม่ครบทั้งแนวเขตชายแนบ นับว่าปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้ อีกอย่างถ้าหัวหน้าองครักษ์ต้องกลับพระราชวังไปก็คงไม่พ้นต้องได้รับโทษ จะไม่กลายเป็นว่าเสียบริวารที่ซื่อสัตย์ขององค์รัชทายาทไปหรือเพคะ” 


 


 


ชานเงี่ยหูฟังคำพูดเบาๆ ของรยูฮาแล้วใช้มือลูบหน้า นางไม่ได้คิดต่างไปจากใจของเขาเลย ความจริงที่ว่าความคิดเขาเหมือนกับความคิดของรยูฮามันเต็มเติมในหัวใจ มันคือโรคร้ายแรง ไม่อาจควบคุมได้ 


 


 


“ขอเข้าไปนะเพคะ” 


 


 


ตอนนี้เองมินอาผู้เย็นชาก็เข้ามายืนในห้อง หญิงสาวพยายามอย่างมากไม่ให้ชามยาสมุนไพรสีขาวที่วางอยู่บนถาดหก 


 


 


“ไปรินยาสมุนไพรมาเพคะ หม่อมฉันเคี่ยวเอง” 


 


 


“ขอบใจมาก เอามานี่มา” 


 


 


รยูฮารับถ้วยยาสมุนไพรมาแล้วเดินไปที่เตียง หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหาร มินอาก็ระวังมากขึ้นแม้แต่น้ำแก้วเดียวนางก็เป็นคนไปตักและมาเคี่ยวยาเอง ยืนเฝ้าประตูทั้งเวลากลางวันกลางคืน ตรวจสอบทุกคนที่เดินผ่านไปมา เพราะนาง รยูฮาถึงวางใจได้อีกนิด แต่ยิ่งเวลาผ่านไปท่าทางที่ดูอิดโรยของมินอายิ่งทำให้มีแต่สงสาร 


 


 


“ข้าจะถวายยาแล้วก็คอยดูแลอยู่ข้างๆ เจ้าไปพักเถอะ” 


 


 


“ได้เวลาองค์ชายสองออกไปขานชื่อทหาร หม่อมฉันจะเฝ้าอยู่ก่อนเพคะ” 


 


 


“นี่เป็นคำสั่ง” 


 


 


มินอาโค้งหัวลงครั้งหนึ่งโดยเก็บความไม่ชอบใจไว้และหมุนตัวออกไป ชานที่รู้ตัวว่าถึงเวลาขานชื่อทหารแล้วก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตู ระหว่างที่ปิดประตูลง เขาเห็นรยูฮาที่นั่งลงบนเตียงค่อยๆ ลูบไปที่ฮอนเพื่อปลุก เขาจึงพยายามทำหน้าให้ไร้ความรู้สึกให้ได้มากที่สุด 


 


 


 


 


 


“ลำบากเจ้าแย่เลย” 


 


 


ชานที่เดินไปตามโถงทางเดินพูดขึ้น มินอาหันมองเขาครู่หนึ่งแล้วเบนสายตาไปเบื้องหน้า  


 


 


“ไม่ใช่เรื่องลำบากหรอกเพคะ การช่วยพระชายาเป็นงานของหม่อมฉันอยู่แล้ว” 


 


 


“ที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเพื่อองค์รัชทายาทหรอกหรือ” 


 


 


“ช่วยเรื่องหัวใจพระชายาก็เป็นงานของหม่อมฉันเพคะ ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทสั่นคลอนอีกครั้ง พระชายาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เพราะอย่างนั้นหม่อมฉันจึงตั้งใจจะถวายการคุ้มครองเองเพคะ” 


 


 


นางดื้อดึงตั้งมั่นแน่วแน่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเหตุผลลึกซึ้งเหมือนรยูฮามาก ชานคิดเช่นนั้นแล้วลูบลงบนหัวของมินอา แน่นอนว่าทำไปด้วยใจเอ็นดู แต่กลับหนีไม่พ้นถูกมินอาคว้าข้อมืออย่างอัตโนมัติ 


 


 


“อึก!” 


 


 


ชานขมวดคิ้วเนื่องจากการจู่โจมอันคาดไม่ถึงและส่งเสียงร้องเบาๆ มินอาตาเบิกกว้างกับสิ่งที่ทำลงไปอีกครั้ง 


 


 


“หม่อมฉันเสียมารยาทอีกแล้วเพคะ มันติดเป็นนิสัย” 


 


 


“นี่เรียกว่านิสัยหรือ” 


 


 


เป็นนิสัยป้องกันตัวจากโฮจินที่มักจะเข้ามาใกล้เสมอ แต่ชานไม่มีทางได้รู้ ชานนึกสงสงสัยว่าเด็กคนนี้ใช้ชีวิตแบบไหนมา แต่มินอาเข้าใจว่าคำนั้นที่ชานถามย้ำอีกครั้งเป็นเพราะความผิดที่บังอาจจู่โจมพระราชโอรส นางจึงคุกเข่าหมอบลงตรงนั้น 


 


 


“ลงโทษหม่อมเถิดเพคะ” 


 


 


ชานกำข้อมือข้างที่เจ็บแน่น เขาหมดคำพูดไปชั่วขณะและมองลงไปยังมินอา และต่อมาตอนนั้นเอง 


 


 


“ฮ่าๆ!” 


 


 


เสียงหัวเราะที่ระเบิดขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงทำให้มินอามองชานอย่างมึนงง ชานหัวเราะจนตัวงอกับท่าทางแบบนั้นของมินอา จนผ่านไปสักพักใหญ่การหัวเราะจึงเงียบลงอย่างยากเย็น เขาลูบหัวมินอาอีกครั้งแต่คราวนี้ข้อมือไม่โดนจับแล้ว 


 


 


“ทำไมเหมือนเจ้านายเจ้าขนาดนี้ ข้าไม่คิดลงโทษแม้แต่น้อย ลุกขึ้นเถอะ” 


 


 


“อ้า อย่างนั้นหรือเพคะ” 


 


 


มินอาปัดเสื้อผ้าแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นราวกับไม่รู้ว่าคุกเข่าลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นางมองไปทางชานอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วโค้งตัวลง 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นต่อไปโปรดระวังเรื่องการเข้าใกล้ตัวหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันเป็นคนของพระชายา นอกเหนือจากเรื่องของพระราชวังแล้วจะมาสัมผัสโดนตัวผู้ชายไม่ได้เพคะ” 


 


 


ชานมองเบื้องหลังของมินอาผู้ทิ้งคำสุดท้ายไว้แล้วเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะยกยิ้ม แม้แต่สีหน้า การพูดการจาก็เหมือนกันราวกับพี่น้อง แต่ว่าในหัวของชานที่กำลังจะลบมินอาออกอย่างหมดจดในไม่ช้า กลับมีเสียงของฮอนที่ทำให้เขาทั้งดีใจและทรมานในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหมุนวนกลับมาอีกครั้ง  


 


 


‘หากต้องมาตายก่อนได้เข้าหอกับเจ้า ต่อให้ตายไปข้าก็คงจากโลกนี้ไปไม่ได้’ 


 


 


คำพูดที่แอบได้ยินจากนอกประตูทำให้ชานเกิดความหวัง  


 


 


พระชายายังไม่ได้เข้าหอ 


 


 


 


 


 


“เจ้าว่าคนร้ายฆ่าตัวตายงั้นรึ มันทำได้อย่างไรกัน” 


 


 


สายตาเฉียบแหลมราวกับคมมีดพุ่งไปที่ชองโอซึ่งกำลังกระสับกระส่าย 


 


 


“ตั้งใจว่าจะเอาน้ำให้เลยปลดโซ่ตรวน แต่เขากลับกัดมือของทหารที่จับคางไว้แล้วก็กัดลิ้นตัวเอง ยกโทษให้กระหม่อมด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ พระชายา” 


 


 


รยูฮาเม้มปากแน่น ยังไม่ทันล้วงข้อมูลออกมาได้เลยแต่ก็ไม่เสียดายที่นักโทษตาย แต่จะมาตายง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้สิ พอหลับตาภาพใบหน้าอันหม่นหมอง ดวงตาซีดเผือด และเลือดที่ไหลลงมาจากไหล่ของฮอนก็ปรากฏขึ้น ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นรยูฮาจะสะดุ้งตื่นในขณะนอน แล้วกัดฟันมุ่งหน้าไปที่คุก 


 


 


“…ไม่ใช่ความผิดเจ้า ออกไปเถอะ” 


 


 


พอปล่อยชองโอออกไปแล้ว ภาพของดาบที่ถูกว่างอยู่อย่างเรียบร้อยก็เข้ามาในดวงตาของรยูฮา วันที่จู่ๆ ก็ประกาศว่ารยูฮาจะได้เป็นพระชายาอย่างกะทันหัน ดาบของฮูหยินตระกูลจองก็ตกมาเป็นของรยูฮา 


 


 


‘รยูฮา ต่อจากนี้ดาบเล่มนี้คือของเจ้า ใช้ดาบนี้ทำลายคนที่ขวางทางฮอน แล้วก็คุ้มครองเขา แน่นอนว่าทั้งร่างกาย จิตใจ ตำแหน่งของเขา รวมไปถึงราษฎรของเขา เจ้าทำได้หรือไม่’ 


 


 


‘เจ้าค่ะ ท่านแม่’ 


 


 


ดาบที่ตอนแรกยกด้วยสองมือก็ยังร้องเสียงโอดโอย พอฤดูกาลเปลี่ยนผันก็ค่อยๆ เบาขึ้น สามารถยกได้ด้วยสองมือ ดึงดาบออกมาแล้วก็กวัดแกว่ง จนในที่สุดก็สามารถถือไว้ได้ด้วยมือเดียวและโยนไปมาได้ นางผ่านการฝึกฝนอย่างหนักจนดาบรวมเป็นหนึ่งกับร่างกาย 


 


 


แต่ว่าพอถึงคราวจำเป็นจริงๆ การฝึกฝนนั้นกลับไม่ได้ฉายแสง หากระมัดระวังรอบข้างอีกสักนิด หากเคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้อีกสักนิด หากไม่ละความสนใจไปจากสายตา ใบหน้าที่ถูกทำให้แดงและแขนที่โอบกอดตัวนางเอง… 


 


 


ในขณะเดียวกันมินอาผู้ซึ่งเฝ้าประตูห้องที่ฮอนอยู่ราวกับสิ่งไม่มีชีวิตก็ว้าวุ่นภายในใจเช่นเดียวกัน ขันทีหนึ่งเดียวกำลังเดินทางมา ดังนั้นเรื่องจัดการเสื้อผ้าของฮอนที่ถูกทิ้งไว้ในห้องสรงน้ำในวันนั้นจึงเป็นงานที่มินอาต้องทำ เพราะเสื้อผ้าขององค์รัชทายาท คนของพระราชวังเท่านั้นถึงจะจับต้องได้ 


 


 


สิ่งที่ได้รับกลับมาหลังจากออกไปจัดการกับเสื้อผ้าในระยะเวลาสั้นๆ ช่างน่าเศร้าใจนัก ภาพของเลือดที่สาดไปทั่วห้องบรรทมและเจ้านายที่เลือดท่วมตัวทรมานมินอาทั้งยามหลับยามตื่น แบบนี้ได้รับโทษเสียดีกว่า แต่ทั้งพระชายาและองค์รัชทายาทไม่มีใครถามหรือมีความคิดจะโทษนางเลย เพราะอย่างนั้นนางจึงลงโทษตัวเองด้วยการทรมานตัวเอง 


 


 


“แล้วเจ้าจะได้นอนเมื่อไหร่กัน”

 

 

 


ตอนที่ 7-8

 

ชานที่พาหมอเข้ามานั้น เห็นมินอาเข้าพอดีถึงกับคิ้วขมวดเป็นปม แก้มแดงระเรื่อที่เคยดูดีกลับซูบผอมลง กระดูกนูนขึ้นมาเพราะริมฝีปากที่เม้มแน่น ดูเหมือนว่าคนที่จำเป็นจะต้องให้หมอตรวจคงไม่ใช่ฮอนแต่คือมินอาต่างหาก ผ่านมาหลายวันแล้วนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องแต่แทบจะไม่เห็นมินอาออกห่างจากหน้าประตูห้องของฮอนเลย อย่างดีก็พักนอนแค่เพียงชั่วยามเดียวเท่านั้น 


 


 


“หม่อมฉันนอนทุกครั้งที่ว่างเพคะ อย่าสนใจเลยเพคะ” 


 


 


“ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นนะ” 


 


 


เมื่อสำรวจไปทั่วใบหน้านั้นทุกซอกทุกมุม ใบหน้าบูดบึ้งก็เข้ามาในสายตาของชาน จริงๆ แล้วเขาไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปใส่ใจ แต่ถึงอย่างไรสำหรับรยูฮาแล้วมินอาก็เป็นสาวใช้ที่นางหวงแหนมากที่สุด หากเกิดเรื่องอะไรกับหญิงสาวคนนี้ไม่อยากแม้แต่จะคิดเลยว่านางจะทรมานแค่ไหน 


 


 


“งานอารักขาฝ่าบาทเป็นงานของหัวหน้าองครักษ์กับเหล่าทหาร ที่พาพวกเขามาก็เพราะอย่างนี้ เจ้ากลับไปดูแลพระชายาเถอะ” 


 


 


“หม่อมฉันจะละเลายหน้าที่ในการดูแลพระชายาไปไม่ได้เพคะ อีกทั้งหัวหน้าองครักษ์ต้องดูแลการเข้าออกอาคารทั้งหมดของที่ว่าการ ส่วนเหล่าทหารก็เชื่อไม่ได้ ผู้ลอบฆ่าจะรู้ตำแหน่งขององค์รัชทายาทภายในวันเดียวที่มาถึงเลยหรือเพคะ หากไม่มีใครบอกก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพคะ” 


 


 


มินอาผู้ซึ่งแย้งขึ้นมาเบนสายตากลับมาทางเดิมอีกครั้งแล้วเงียบลง 


 


 


“เสด็จพี่ ล้มเลิกความตั้งใจเถอะ ข้าโน้มน้าวหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ยอมเคลื่อนไหวเลย” 


 


 


ฮอนที่กำลังฟังบทสนทนาของพวกเขาพูดขึ้นมาในห้อง ชานส่ายหน้าแล้วมองไปทางหมอที่อยู่ด้านหลัง 


 


 


“ต้มยาสมุนไพรให้ที ใจใส่เป็นพิเศษด้วยเพราะเป็นของผู้หญิงกิน” 


 


 


หลังจากร่างของชานหายเข้าไปในประตู ประตูบานนั้นก็ปิดลงอีกครั้ง พอไออุ่นที่ออกมาห้องหายไปอากาศตรงโถงทางเดินก็ยิ่งทำให้มินอาหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม มินอาเงยหน้ามองเพดานแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนที่ทำบ่อยๆ เวลาพยายามจะตั้งสติ แล้วกลับมายืนนิ่งอีกครั้ง จ้องมองแสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านเข้ามาตรงปลายโถงทางเดิน 


 


 


 


 


 


หลังจากนั้นไม่นานรถม้าที่ลากด้วยม้าสี่ตัวและหมอหลวงที่ถูกส่งมาจากพระราชวังก็มาถึง ด้วยความที่เป็นรถม้าที่รถเทียมม้าสี่ตัวเช่นนี้มีแค่กษัตริย์เท่านั้นที่นั่งได้ ฮอนจึงดื้อดึงไม่ยอมขึ้นไปนั่ง แต่ต่อหน้าคำสั่งของกษัตริย์ ในที่สุดแล้วเขาจึงทำได้แค่ขึ้นไปนั่งด้วยความรู้สึกเหมือนกับนั่งลงบนเบาะที่เต็มไปด้วยหนาม 


 


 


“พระชายา ไม่ลำบากหรือ มานั่งด้วยกันสิ” 


 


 


“อย่างที่ฝ่าบาททรงบอกนี่เป็นรถม้าที่มีแค่กษัตริย์เท่านั้นที่นั่งได้นะเพคะ หม่อมฉันนั่งไม่ได้หรอกเพคะ” 


 


 


ฮอนเปิดหน้าต่างออกไปพูดกับรยูฮาแล้วก็เงียบปากลงเพราะคำตอบที่เหมือนกับดาบ พอขึ้นมานั่งบนนี้มันก็ทั้งสบายและอบอุ่นจึงคิดว่าถ้าให้รยูฮาขึ้นมานั่งแล้วทำดีด้วยคงได้จูบนางอีกสักครั้ง แบบนี้มันจะไม่เย็นชาไปหน่อยหรือ รยูฮาฝากเสียงผ่านสายลมไปยังฮอนที่ทำหน้าสลดอยู่อีกครั้ง 


 


 


“พอกลับไปวังซึงกอนจะเล่นน้ำทุกคืนก็ได้ อย่าทรงน้อยใจไปเลยเพคะ” 


 


 


“พูดจริงใช่หรือไม่ เจ้าสัญญากับข้าแล้วนะ” 


 


 


พอเห็นฮอนที่ดูสดใสขึ้นทันทีรยูฮาก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา ความจริงแล้วจะเข้าไปที่พักของพระชายา หรือจะเข้าที่พักของนางสนมล้วนเป็นการตัดสินใจขององค์รัชทายาท ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของที่พัก ท่าทางของฮอนที่ดูชอบใจกับคำที่บอกว่าให้มาที่วังซึงกอนได้เหมือนกับจะลืมแม้แต่ความจริงข้อนั้นไปดูใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อย แม้มีคำพูดพร่ำเสียดสีแต่รยูฮาก็รู้เกี่ยวกับข่าวลือเหลวไหลที่ว่าฮอนเป็นพวกสำมะเลเทเมาหรือเป็นเมล็ดพันธ์กษัตริย์ทรราช  


 


 


“หากฝ่าบาทจะเสด็จมา…” 


 


 


“ข้าจะนำสุราไปด้วย” 


 


 


ฮอนยกแขนข้างที่ไม่บาดเจ็บวางบนกรอบหน้าต่างแล้วเกยข้างลงบนนั้น เขาสบตากับรยูฮาแล้วยิ้มออกมา อันตรายอีกแล้ว รยูฮาถึงกับสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปชั่วขณะ และพอต้องจัดการกับหัวใจที่ถูกทำให้หวั่นไหว นางจึงลบรอยยิ้มออกจากใบหน้าแล้วกลับมาทำหน้าไร้ความรู้สึกอีกครั้ง 


 


 


“อย่ายิ้มเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ทำไม ไม่ชอบมองหรือ เห็นเจ้าชอบบอกว่าข้าหล่อเหลาอยู่เสมอนี่” 


 


 


“เพราะว่าเป็นเช่นนั้นอย่างไรเล่าเพคะ หากใจหม่อมฉันสั่นคงช่วยเหลือฝ่าบาทลำบาก ช่วยระวังด้วยเพคะ” 


 


 


“ใจสั่นหรือ จริงหรือ เพราะข้า?” 


 


 


ไม่ได้ปรารถนาไปจนถึงขั้นถวิลหา ไม่สิ ความจริงแล้วปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นอย่างมากแต่กลัวถูกปฏิเสธจึงไม่กล้าถาม จะไม่ให้ฮอนดีใจไปกับคำพูดที่ลอยมาอย่างคาดไม่ถึงได้หรือ แค่ได้ยินถึงคำว่า ‘หากใจสั่น’ ฮอนก็ยื่นแขนที่เคยเท้าคางอยู่ไปทางรยูฮา 


 


 


“จับหน่อย” 


 


 


“หม่อมฉันจับบังเ**ยนม้าอยู่เพคะ” 


 


 


“ขนาดบนหลังม้ายังถือดาบถือกระบี่ได้เลย” 


 


 


เล่ห์เหลี่ยมแบบนั้นไปเรียนมาจากไหน รยูฮายิ้มแห้งอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วผละมือออกจากบังเ**ยนม้าก่อนจะวางลงบนมือของฮอนที่ยื่นออกมานอกหน้าต่าง และพอคิดว่าจะลองดึงมือนั้นดูสักนิดดีไหม 


 


 


จุ๊บ 


 


 


ริมฝีปากอุ่นก็สัมผัสลงบนหลังมือของรยูฮาแล้วผละออก 


 


 


“อะไรกันเพคะ” 


 


 


“บอกอีกทีสิ ว่าใจสั่นหรือไม่” 


 


 


ถ้าบอกว่าใจไม่สั่นก็เป็นเรื่องโกหก แต่เพราะไม่สามารถโกหกได้รยูฮาจึงเลือกจับบังเ**ยนม้าอีกครั้งแล้วเร่งความเร็วให้พ้นจากสายตาของฮอนแทนที่จะตอบ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“พระสนมเอก เห็นว่าองค์ชายสองเสด็จเข้าเมืองหลวงมาแล้วเพคะ” 


 


 


ลมอุ่นเพียงเล็กน้อยพัดผ่านใบหน้าของพระสนมมุนผู้ซึ่งมีสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเพียงครู่แล้วก็หายไป ใจอยากออกไปหาที่พระราชวังแต่ไม่อยากทำความเคารพพระมเหสีที่เกลียดชังจนรู้สึกอึดอัดราวกับจะอาเจียนออกมา ตอนไปส่งก็ไม่ได้ออกไปจะทำอย่างไรดี พระสนมมุนมองประตูที่ไม่มีผู้ใดเข้ามาแล้วจมอยู่ในห้วงความคิด 


 


 


ข่าวสำคัญเรื่องขบวนเสด็จองค์รัชทายาทถูกส่งไปยังวังชังชุนอันเงียบสงบ ภายใต้ริ้วรอยตรงดวงตาของพระพันปีผู้ซึ่งถามไถ่ถึงหลานชายและหลานสะใภ้ส่องประกายด้วยความรู้สึกยินดีเพราะมีหวังจากข่าวที่ถูกส่งมา นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุลอบสังหารองค์รัชทายาท พระพันปีก็นอนไม่หลับด้วยความกังวล ทุกเช้ามืดจะลุกขึ้นมาอธิษฐาน ขอให้หลานชายมาถึงอย่างปลอดภัยไร้อุบัติเหตุใหญ่ด้วยร่างกายที่ไม่มีบาดแผล 


 


 


“เตรียมพระกระยาหารเช้าที่องค์รัชทายาทจะเสวยพรุ่งนี้ให้ดี ถือเป็นงานใหญ่ของวังชังชุน” 


 


 


“จะจัดเตรียมตามนั้นไม่ให้มีบกพร่องเลยเพคะ พระพันปี” 


 


 


เตรียมพระกระยาหารเช้าให้องค์รัชทายาทหรือ ก่อนที่จะมีงานอภิเษกนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลย งานใหญ่ขององค์รัชทายาทที่รู้กันดีโดยทั่วไปคือในหนึ่งปีจะจัดขึ้นสักครั้งสองครั้งรวมทั้งวันประสูติด้วย ตระกูลของขุนนางผู้ซื่อสัตย์ส่งหญิงสาวที่ถูกใจพระพันปีมากเข้ามาในพระราชวัง ถึงจะไม่ได้พูดแต่ท่าทางขององค์รัชทายาทที่มักจะไปเที่ยวเล่นข้างนอกค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระชายาก็เป็นที่น่าพอใจอยู่ไม่น้อย ทั้งยังสายตาขององค์รัชทายาทยามทอดมองไปที่องค์ชายสองกับพระชายาซึ่งเพลิดเพลินไปกับการดื่มชาบนหอสูง วันนั้นหัวใจของพระพันปีผู้เฝ้าดูหนุ่มสาวทั้งคู่ผ่านด้านหลังถ้วยชารู้สึกอบอุ่นเหมือนช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 


 


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเชื้อพระวงศ์แต่ละคนเข้าใจสถานการณ์และกำลังยุ่งวุ่นวาย ขบวนขององค์รัชทายาทที่เดินทางเข้ามายังเมืองหลวงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นมากกว่าต้อนเดินทางออกไป และกำลังมุ่งหน้าสู่พระราชวัง 


 


 


รถม้าที่ตามหลังรถม้าที่ฮอนนั่งมาอย่างสง่างามเป็นของรยูฮา หญิงสาวสวมชุดสีแดงซ้อนกันเป็นทบๆ แทนเสื้อไหมสีขาวนั่งอยู่ภายในนั้น ชานเองก็อยู่ในชุดเครื่องแบบที่ตัดเย็บด้วยไหมสีทองแทนชุดธรรมดาคุ้มครองอยู่ข้างๆ แต่ว่าดวงตาที่ต้องมองไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่รู้ทำไมถึงเบนไปหาใบหน้าด้านข้างของรยูฮาที่โผล่พ้นออกมาทางมู่ลี่เล็กน้อย  


 


 


งดงาม ลำคอส่องประกายมันวาวภายใต้ปรอยผมที่ตกลงมาไม่กี่ช่อ บนหัวที่ถูกตกแต่งด้วยหงส์สีทองซึ่งรองลงมาจากพระพันปีก็อนุญาตให้แค่พระชายาขององค์รัชทายาทเท่านั้นที่ใส่ได้ ปีกของมันสยายและสั่นไหว หงส์นั้นไม่ได้บินสูงขึ้นมา มันเพียงแต่ทำให้ใจของชานที่รู้ดีว่ารยูฮาคือพระชายาขององค์รัชทายาทเจ็บปวด นอกจากเขากับองค์รัชทายาทแล้วก็ไม่มีชายหนุ่มคนไหนได้รับอนุญาตให้อยู่ข้างๆ หญิงสาวเลย ความจริงนั้นมันหนักหน่วงและทรมานชาน 


 


 


“พระสนม คราวนี้ได้เวลากลับแล้วเพคะ” 


 


 


ภายในฝูงชนที่มารวมตัวกันเหมือนฝูงมด หญิงคนหนึ่งกระซิบบอกหญิงอีกคนที่ใบหน้าถูกปิดบังไว้อย่างระมัดระวัง  


 


 


“อีกสักหน่อย” 


 


 


หญิงผู้กระซิบบอกย่ำเท้าไปมา อาศัยช่วงชุลมุนออกมาเตรียมต้อนรับองค์รัชทายาท แต่นางต้องกลับก่อนที่ขบวนนี้จะเข้าไปในพระราชวังอีกครั้ง แต่สายตาของพระสนมมุนที่ออกมาต้อนรับการกลับมาของชานโดยไม่เผชิญหน้ากับพระมเหสีจับจ้องอยู่ที่ลูกชายผู้ซึ่งอยู่บนหลังม้าอย่างสง่างามและด้านข้างของพระชายาผู้ซึ่งลูกชายของตนเฝ้ามองอย่างห่วงใย  


 


 


“…เข้าใจแล้ว” 


 


 


“คะ?” 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”ตอนที่ 7-9 


 


 


 


 


 


นางในซึ่งหวาดกลัวร้องสะอึกสะอื้นและอ้อนวอน ชานขมวดคิ้วยกขวดเหล้าขึ้นมา ดูจากนิสัยพระสนมต่อให้นางในคนนี้เป็นเครื่องมือคลายความโกรธก็คงยังไม่พอ แม้จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ แต่ชานก็ไม่ใช่คนที่จะนิ่งดูดายเรื่องพวกนี้ได้ ในพระราชวังอันกว้างใหญ่ โชคร้ายที่หญิงสาวถูกจัดให้มาอยู่ที่วังซูอัน แต่นั้นก็ไม่ใช่ความผิดนางไม่ใช่หรือ 


 


 


“…ไปกันเถอะ” 


 


 


ชานเปิดประตูออกอย่างแรงจนเหล่านางในพากันตกใจก้มหน้าลง ทั้งที่เป็นองค์ชายผู้ซึ่งอ่อนน้อมและสะอาดสะอ้านอยู่เสมอจึงนึกว่าคงไม่ได้เห็นท่าทางของพระองค์ในชุดที่ปล่อยละหลวม ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ปฏิเสธว่ามีกลิ่นเหล้าฟุ้งออกมา แต่ขวดเหล้าที่ถืออยู่ในมือจะพูดว่าอย่างไรดี 


 


 


“ยืนทำอะไรอยู่ ไหนว่าหัวจะหลุดออกจากบ่า?” 


 


 


“อ้า เพคะ ขอประทานอภัยเพคะ” 


 


 


นางในที่ยืนมึนงงมองเขาอยู่พยายามตั้งสติแล้วรีบเร่งฝีเท้ามายืนข้างหน้า เหมือนได้ยินเสียงซุบซิบดังมาจากคนใช้ในพระราชวัง แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ คนที่เขาอยากดูดีในสายตามีแค่คนเดียวอยู่แล้ว 


 


 


“พระสนม องค์ชายสอง…” 


 


 


ก่อนที่นางในจะได้พูดจบ ชานผู้ซึ่งจับประตูไว้ด้วยตัวเองก็กลั้นหายใจไปชั่วขณะ กลิ่นนั้นยังคงอยู่ดังเดิม ภายในปั่นป่วนเพราะกลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งขึ้นท่ามกลางกลิ่นน้ำมันหอมและแป้ง 


 


 


“องค์ชาย ทำไมอยู่ในสภาพเช่นนี้ บอกว่าเป็นหัวหน้ากองโจรก็คงเชื่อ!” 


 


 


“จะเป็นอะไรไป ไม่มีใครว่าอะไรอยู่แล้ว พูดธุระมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชานนั่งลงบนเก้าอี้ลวกๆ แล้วส่งสายตาไม่พอใจออกไป พระสนมมุนมองปราดไปยังลูกชายตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แต่มองไม่ออกว่าเขาเมาเหล้ากรึ่มๆ 


 


 


“องค์ชายถึงวัยออกเรือนแล้วแต่ก็ยังไม่ได้พบคู่ครอง แม่คนนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ” 


 


 


“แค่ไม่สบายพระทัยเรื่องคู่ครองของกระหม่อมเลยเรียกหากลางดึกหรือพ่ะย่ะค่ะ จัดพิธีได้เลยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่พาหญิงสาวที่เหมาะสมมาแล้วพรุ่งนี้ก็จัดงานได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


สายตาดูสบายๆ ของพระสนมมุนที่มองมายังชานที่อยู่ในอาการเมายังคงอยู่ที่ขวดเหล้าอย่างไม่ละสายตา 


 


 


“แบบนั้นไม่ได้สิ การอภิเษกสมรสเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำครั้งเดียวในชีวิตไม่ใช่หรือไร แม่ปรารถนาให้องค์ชายร่วมทุกข์ร่วมสุขกับหญิงอันเป็นที่รักไปตลอดชีวิต” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้รู้สึกหนาวเย็นไปตามแนวกระดูกสันหลัง ทั้งคำพูดที่ว่าเป็นที่รัก ทั้งคำว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข ล้วนไม่ใช่คำพูดที่จะออกมาจากปากของผู้เป็นแม่ของเขา  


 


 


“มีแผนอะไรในใจหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พระสนมมุนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วก็ไม่มีคำตอบให้ไปสักครู่หนึ่ง ก่อนจะมองตาลูกชายตรงๆ แล้วยกยิ้มเล็กน้อย 


 


 


“จะทำอย่างไรดี มีหญิงที่ถูกตาต้องใจบ้างหรือไม่เล่า” 


 


 


“ถ้าจะพูดเรื่องไร้ประโยชน์ กระหม่อมขอตัวก่อน” 


 


 


ชานเผยความรู้สึกอึดอัดใจและไม่เป็นมิตรออกมาทั้งอย่างนั้นแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง แต่น้ำเสียงของพระสนมมุนที่พูดต่อไปและเล็บอันแหลมคมก็เกี่ยวปกเสื้อของเขาไว้ 


 


 


“องค์ชายชอบลูกพลับใช่หรือไม่ แต่ไม่รู้หรือว่าลูกพลับน่ะยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งดูน่าอร่อยแล้วก็ยิ่งดูน่าอยากได้” 


 


 


‘โธ่เว้ย!’ คำสบถเล็ดลอดออกมาจากช่องฟันเบาๆ แต่พระสนมมุนไม่สนใจ ลูกชายที่เคยอ่อนน้อมและหนักแน่นอยู่เสมอดูจะเสียหลักไปเรื่อย ดูท่าแล้วความลึกซึ้งในใจของเขาคงไม่ธรรมดา ซึ่งสำหรับนางแล้วเขายิ่งรู้สึกลึกซึ้งยิ่งดี  


 


 


“เพราะลูกพลับที่อยู่ปลายยอดมันดูน่าอร่อยอย่างไรเล่า แต่อย่างไรเสียหากขึ้นไปบนยอดก็เด็ดลงมาได้ ไม่ใช่จะมาเหลือไว้เพื่อให้กากิน ไม่ใช่หรือ” 


 


 


ดวงตาของลูกชายที่แดงก่ำกับดวงตาของแม่ที่เย็นเป็นน้ำแข็งปะทะกัน เพล้ง ขวดเหล้าที่ชานเขวี้ยงลงบนพื้นแตะกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนเศษแก้วที่กระเด็นไปทั่วเชือดเฉือดสายตานั้นไป เขาหันหลังไปอย่างแรงราวกับจะสะบัดน้ำเสียงของพระสนมมุนที่ติดอยู่ตรงเสื้อออกไป จากนั้นจึงกลับเข้าที่พักฝังตัวนิ่งอยู่บนที่นอน 


ตอนที่ 8-1 


 


 


 


 


 


“เสด็จย่า ทำไมมาอยู่ตรงนี้เพคะ ลมออกจะแรง” 


 


 


รยูฮาจับมือของพระพันปีผู้ซึ่งเดินเตร่อยู่ข้างรอเวลาให้ภรรยาของหลานชายเข้ามา แล้วเป่าลมหายใจลงไป 


 


 


“พระชายา มือข้าเองก็เย็นเหมือนกัน” 


 


 


ฮอนพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือออกไป รยูฮาจับมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแน่นแล้วเดินขึ้นบันไดไป ประตูหลายชั้นถูกเปิดออกแล้วเข้ามายื่นในห้องพักของพระพันปีถึงได้รู้สึกถึงบางอย่างที่คุ้นเคย  


 


 


“พระพันปี นี่มัน…” 


 


 


ฮอนเปิดปากพูดก่อนอย่างระมัดระวัง ของตกแต่งและของมีค่าที่เคยวางอยู่ทุกที่ทั่วห้องมันหายไปกว่าครึ่งไม่ใช่หรือ  


 


 


“ใช่แล้ว พอเห็นรถม้าและนางในที่พระชายาส่งกลับมาแล้วก็รู้สึกละอายใจมาก องค์รัชทายาทกับพระชายาบอกว่าจะไปดูแลเหล่าชาวบ้านที่ตกอยู่ในความลำบาก แล้วพากันออกเดินทางไปบนทางที่ยากลำบาก คนแก่คนนี้ก็เห็นว่าทองคำที่อยู่ในห้องนี้เฉยๆ มันสิ้นเปลืองเงินพระคลัง เลยส่งไปช่วยคนที่ยากจน” 


 


 


นั่นมัน… พวกเขาไม่ได้ส่งนางในกลับมาเพราะแบบนี้สักนิด ฮอนผงะแล้วมองไปทางรยูฮา ดูเหมือนว่านางเองก็จะคิดเหมือนกัน แต่ใบหน้าของพระพันปีที่พูดขึ้นมาแบบนั้นกลับดูสดใสและปลาบปลื้มใจอย่างที่ไม่เคยมีเมื่อก่อน เพราะอย่างนั้นให้เข้าใจเช่นนั้นก็คงได้ ใบหน้าของฮอนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็วและกล่าวชมพระพันปี 


 


 


“ทรงฉลาดหลักแหลมมากพ่ะย่ะค่ะ พระพันปี ทั้งประเทศคงสรรเสริญความมีน้ำใจของพระองค์อยู่” 


 


 


“ใช่แล้วเพคะ เสด็จย่า เพราะความกรุณาของพระองค์ ฤดูหนาวนี้ชาวบ้านคงได้ใช้ชีวิตอย่างอบอุ่น” 


 


 


ใบหน้าของพระพันปียิ่งสดใสขึ้นไปอีกเพราะคำชมของสองหนุ่มสาว ตอนนั้นเองเสียงของนางในอายุมากก็ลอยผ่านเข้าประตูมา 


 


 


“พระพันปี องค์ชายสองเสด็จเพคะ” 


 


 


“ให้เข้ามา” 


 


 


สำหรับชานผู้รู้สึกหนาวเย็นอยู่นั้น อากาศอันอบอุ่นกำลังโอบล้อมตัวเขาไว้ชนิดที่เขาเองก็รู้สึกไม่คุ้นเคย สามคนที่นั่งอมยิ้มอยู่ตรงกลางนั้นดูอ่อนโยนและสนิทสนมกันมาก จนไม่มีที่ให้ชานแทรกเข้ามา 


 


 


“กระหม่อมมาสายนี่เอง ถวายบังคมพระพันปี ขอทรงพระเจริญ” 


 


 


“นั่งเถอะ อีกไม่นานก็ถึงเวลาอาหารแล้ว” 


 


 


พระพันปียิ้มให้แล้วกลับมาดูภูมิฐานตามเดิม ก่อนจะส่งสัญญาณมือไปทางชาน ทั้งที่ก็เป็นท่าทางที่เหมือนเดิมอยู่ตลอดแต่ไม่รู้ทำไมมาคราวนี้ในใจมันถึงรู้สึกหวาดกลัว 


 


 


“เสด็จพี่ ดูเหมือนว่าจะยังไม่หายเหนื่อย” 


 


 


“ไม่ใช่หรอกพ่ะย่ะค่ะ พอได้นอนสบายเลยไม่ชินจึงดื่มเหล้ามานิดหน่อย” 


 


 


“…อย่างนั้นหรือ” 


 


 


ฮอนยกแก้วน้ำขึ้น รสขมเปียกตลบอบอวลอยู่ในปาก คืนนั้นที่มือลอบสังหารเข้ามา ภาพที่เขาเห็นตอนสติอันน้อยนิดกลับมา ชายที่กอดรยูฮาผู้ซึ่งกำลังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือชานแน่ๆ แม้จะมองเห็นแต่ฮอนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่เดิมที่ตรงนี้คือที่ที่ชานต้องนั่ง และรยูฮาผู้ซึ่งจะมาเป็นพระชายาก็จะกลายเป็นผู้หญิงของเขา ถึงแม้ฮอนจะไม่ได้เป็นฝ่ายแย่งที่นั้นมาด้วยตัวเองแต่ความจริงข้อนั้นก็ใช่ว่าจะเปลี่ยน 


 


 


ในเช้าวันนั้น ทั้งฮอนและชานก็ไม่สามารถแม้แต่จะฝืนยิ้มได้ พระพันปีและรยูฮาดูออกถึงความเย็นยะเยือกที่ไหลผ่านออกมาจากทั้งคู่ แต่ก็เงียบคำไว้เหมือนอย่างทุกที หลังจากสถานการณ์น่าอึดอัดผ่านไปทั้งอย่างนั้น พระพันปีก็เอ่ยปากไล่สองพี่น้องต่างจากปกติ 


 


 


“ทั้งคู่กลับไปเถอะ ส่วนพระชายาอยู่คุยกับย่าก่อน” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พระพันปีมองทั้งคู่เดินออกนอกประตูไปแล้วพิงลงบนเก้าอี้อย่างสบาย 


 


 


“ได้ยินว่าเรื่องคราวนี้สร้างความลำบากให้พระชายาเป็นอย่างมาก” 


 


 


“ไม่เลยเพคะ หม่อมฉันละอายมากกว่าที่ปลอดภัยอยู่คนเดียว” 


 


 


ร่างกายของพระพันปีแก่ลงและเกิดริ้วรอย ผมที่เคยดกดำยาวสลวยก็กลายเป็นสีเทา แต่ไหวพริบไม่ได้ลดลงไปตามกาลเวลา รยูฮาเพิ่งรู้ว่าแววตาฉลาดภายใต้ริ้วรอยนั้นเหมือนกับพระราชา 


 


 


“คนที่อยู่เบื้องหลังยังไม่ถูกเปิดเผยออกมาใช่หรือไม่” 


 


 


“เพคะ” 


 


 


พระพันปีมองปราดไปที่ใบหน้าของรยูฮาเงียบๆ ดูเหมือนจะเล็งเป้าหมายอะไรบางอย่าง แล้วหลังจากนั้นก็พูดด้วยเสียงอันเบา 


 


 


“อาจจะไม่ได้หวังปลิดชีพจริงๆ” 


 


 


แม้จะมีรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวไปที่พระราชวัง แต่ด้วยความที่เบื้องหลังยังไม่แน่ชัดการคาดเดาทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่ถูกจำกัดขอบเขตไว้ ภายนอกอาจจะเห็นว่าเป็นการลงมือสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ทำไมพระพันปีที่นั่งอยู่ในวังชังชุนถึงได้รู้เรื่องพวกนั้น ดวงตาของรยูฮาเต็มไปด้วยความมึนงง 


 


 


“ทำไมเสด็จย่าถึง…?” 


 


 


“สมแล้ว” 


 


 


พระพันปีถอนหายใจจ้องมองไปยังแก้วชาที่เพิ่งวางลงตรงหน้าเมื่อครู่ 


 


 


“ข้ารู้จักคนที่น่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่พูดออกไปไม่ได้ เพราะไม่มีแม้แต่หลักฐานสักนิด” 


 


 


“ว่าแต่ทำไมเสด็จย่าทำไมบอกเรื่องนี้กับหม่อมฉันหรือเพคะ ทรงทูลโดยตรงกับฝ่าบาทจะ…” 


 


 


“ยังไม่ถึงเวลา ถ้าที่ข้าคิดมันถูก ถึงจะไม่อันตรายต่อชีวิตแต่ก็อันตรายต่อหัวใจและสติของเขา พระชายาช่วยยึดหัวใจนั่นไว้ให้แน่นด้วย เรื่องนี้ย่าขอ…” 

 

 

 


ตอนที่ 8-2

 

พระพันปีลูบบนหลังมือของรยูฮาอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง  


 


 


“องค์รัชทายาททรงฉลาดหลักแหลมอยู่เสมอ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว จนกว่าจะได้ขึ้นครองราชย์ก็ต้องระวังไปจนถึงเรื่องความฉลาดที่มากเกินไปนั้น เขาอาจจะติดอยู่กับความรื่นเริงในชีวิตจนเสียเวลาช่วงหนึ่งในชีวิตไป จึงทำให้ถูกติฉินนินทา เชื่อว่าเจ้าคงฟังออกว่าข้าหมายความว่าอย่างไร” 


 


 


บทสนทนาของทั้งคู่สั้นกว่าครั้งไหน จากนั้นไม่นานรยูฮาก็จับมือของพระพันปีเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงวางลงหันหลังออกจากวังชังชุนไป นางทั้งเดินเล่นในพระราชวังพร้อมกับกลับตำหนักมาอ่านหนังสือ และซ่อมแซมดาบไปด้วยก็แล้ว แต่คำพูดของพระพันปีก็ไม่ยอมออกไปจากหัว พระอาทิตย์กำลังตกเหนือภูเขาทางทิศตะวันตก หลังคาถูกย้อมไปด้วยสีทองของอาทิตย์อัสดง และตอนนั้นเองที่ฮอนเปิดประตูทั้งสองข้างเข้ามาในห้องของนาง 


 


 


“พระชายา ข้ามาแล้ว” 


 


 


“อย่าพรวดพราดเปิดประตูเข้ามาสิเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


“เพราะข้าคิดถึงเจ้าอย่างไรเล่า คิดถึงอยู่ตลอดทั้งวัน” 


 


 


ฮอนพูดราวกับบ่นพึมพำแล้วเหวี่ยงตัวไปยังที่นอน ไม่ว่าใบหน้าของนางในที่ยืนห้อมล้อมอยู่จะยิ้มหรือไม่ยิ้ม เขาก็มุดตัวลงไปในผ้าห่มเพื่อสูดกลิ่นกายเลือนรางของรยูฮาอย่างแน่วแน่ 


 


 


“…ออกไป” 


 


 


รยูฮาคิดว่าคงต้องให้นางในออกไปก่อนเสียตั้งแต่ตอนนี้ จึงส่งสัญญาณมือไปทางพวกนาง ไม่มองก็รู้ว่าข้างนอกบรรดาหญิงสาวที่พากันเสียดายต่างกระซิบกระซาบจนโกลาหลขนาดไหน 


 


 


“คิดถึงหม่อมฉันขนาดนั้นหรือเพคะ” 


 


 


“ไม่นะ ข้าหมายถึงนิยายพื้นบ้านต่างหาก ไหนๆ แล้วก็เอาออกมาเถอะ” 


 


 


รู้สึกได้ถึงความสบายใจบนใบหน้าของฮอนที่กำลังยกยิ้ม รยูฮาข่มใจที่อยากจะตีเขาสักครั้งด้วยสันหนังสือไว้อย่างยากเย็น แล้วหยิบที่ใส่ของที่เต็มไปด้วยหนังสือที่อยู่ใต้เตียงออกมา 


 


 


“ของว่างเล่า” 


 


 


“…เฮ้อ” 


 


 


“ไม่มีหรือ” 


 


 


“ไม่มีเพคะ” 


 


 


“ปากมันว่าง” 


 


 


“บอกว่าไม่มีไงเพคะ หรือจะเสวยนิ้วมือของหม่อมฉันก็เชิญเลยเพคะ” 


 


 


รยูฮาพูดพร้อมนั่งลงบนที่นอนแล้วยื่นนิ้วชี้ออกมา ฮอนมองตามอย่างไม่สะดวกใจนักก่อนจะจับนิ้วนั้นไว้แล้วเอาเข้าปากจริงๆ  


 


 


“อึก” 


 


 


รยูฮาขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดแล้วพยายามจะเอานิ้วออกมา แต่ฮอนกลับยึดไว้แน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยแล้วเริ่มเคี้ยว หญิงสาวคนนี้แม้แต่ปลายนิ้วก็มีรสหวานออกมาหรือนี่ 


 


 


“ปล่อยเถอะเพคะ” 


 


 


คิดว่าเป็นของว่างจริงๆ หรือ ดูเหมือนฮอนที่กำลังเอานิ้วอีกข้างเข้าปากจะไม่ได้ยินเสียงของรยูฮา เป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่ รยูฮาคิดแบบนี้ไม่ได้เกินไปเลย ภาพนิ้วที่เข้าออกตรงริมฝีปากแดงภายใต้ขนตาแพยาวนั้นจะบอกว่าแสดงออกถึงความต้องการทางร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายที่กลายเป็นเจ้าของนิ้วมือนั้น ยิ่ง… 


 


 


“นี่มัน…” 


 


 


ตอนนี้ปลายลิ้นของฮอนกำลังเกี่ยวเอานิ้วที่สี่เข้ามาก็รู้สึกได้ถึงความแปลกปลอม พอจะเอาออกจากปากก็เจอเข้ากับรอยแผลเหมือนกับถูกฉีกขาดเพราะอะไรบางอย่าง เป็นรอยเล็กมากๆ แต่ในสายตาของฮอนกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ 


 


 


“คืนแรกของเราน่ะหรือ” 


 


 


“ใช่แล้วเพคะ” 


 


 


ฮอนลูบคลำแผลเป็นด้วยปลายนิ้วเบาๆ วันนั้นไม่ควรพูดว่ามีคนที่รักอยู่แล้วหรือพูดออกไปว่าไม่ได้รู้สึกรักใคร่เลย ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงได้เข้าหอและไม่เกิดรอยแผลเป็นนี้ 


 


 


“ขอโทษที่ข้าทำให้มือน่ารักนี้มีแผลเป็น” 


 


 


“ไม่ใช่มือที่น่ารักเสียหน่อยเพคะ” 


 


 


เป็นไปตามที่รยูฮาพูด มือที่จับดาบกวัดแกว่งมาเป็นเวลานานนิ้วมือก็ยืดยาวออกไป ตรงฝ่ามือก็มีทั้งหนังด้านและรอยแผลเป็น เล็บก็ไม่ได้ดูดีเหมือนหญิงสาวคนอื่นในวัง มองหนังด้านนั้นน่ารักได้อย่างไร ฮอนแตะริมฝีปากลงบนปลายนิ้วนั้นแล้วพูดเสียงเบา  


 


 


“เหมือนโดนวางยาในมื้อเย็น” 


 


 


“จริงหรือเพคะ” 


 


 


รยูฮาขมวดคิ้วแล้วก้มตัวลงไปเพื่อสำรวจสีหน้าของฮอน แล้วแขนที่ไม่ยอมพลาดโอกาสของฮอนก็โอบไหล่หญิงสาวดึงเข้ามาในที่นอนอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ข้าแน่ใจว่าโดนวางยาในสำรับอาหารแน่นอน ซอรยูฮา ไม่ใช่เจ้าใส่ลงไปหรือ” 


 


 


“ทำไมใช้คำพูดแบบเป็นกันเองอีกแล้วเพคะ” 


 


 


“จะดูว่าถ้าพูดแบบนี้แล้วจะจูบอีกหรือไม่” 


 


 


ใบหน้าของรยูฮาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าทรงเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้เชี่ยวชาญทั้งสุราและนารีคงไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก 


 


 


“คราวหน้าฝ่าบาทต้องนำสุรามาด้วยนะเพคะ จะมาตัวเปล่าไม่ได้นะเพคะ” 


 


 


รยูฮาขยับตัวออกอย่างคล่องแคล่ว เกือบจะเรียบร้อยอยู่แล้วเชียว ฮอนถอนลมหายใจออกมาอย่างเสียดาย เปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ด้านข้าง 


 


 


อ้างว่าอยากอ่านหนังสือสักเล่มเพื่อให้ได้มาหารยูฮา แต่เนื้อหาในเล่มกลับดูไม่มีทีท่าว่าจะเข้าสายตา หน้าหนังสือถูกเปิดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวแล้ววางลงข้างหมอนอย่างเรียบร้อย 


 


 


“ว่าแต่พระพันปีทรงตรัสอะไรหรือ” 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องจะมาสงสัยเรื่องที่ผู้หญิงคุยกันนะเพคะ” 


 


 


“ข้าสงสัยเกี่ยวกับเจ้าทุกอย่าง ตื่นนอนเมื่อไหร่ กินอะไร คุยอะไรกับใคร ไปจนถึงคิดอะไรอยู่ รู้หรือไม่ว่าข้าอิจฉาใครมากที่สุดในโลก” 


 


 


รยูฮาจัดหนังสือที่ฮอนขว้างวางไว้ด้านข้าง และในที่สุดก็หันไปมองเขา 


 


 


“คนที่อยู่สูงรองลงมาแค่พระราชาจะคิดอิจฉาริษยาใครอีกหรือเพคะ” 


 


 


“มินอา” 


 


 


คำตอบของเขาค่อนข้างจะเหนือความคาดหมาย พอได้ฟังสาเหตุที่บอกต่อมาก็น่าจะเป็นเช่นนั้น 


 


 


“มินอาอยู่ข้างเจ้ามาตั้งแต่เด็กๆ รู้จักเจ้าในมุมที่ข้าไม่รู้ หากข้าไม่นึกอิจฉามินอาที่แม้แต่ตอนอาบน้ำก็ไม่อยู่ห่างจากเจ้า… ข้าก็คงเป็นสามีที่ใช้ไม่ได้มิใช่หรือ” 


 


 


น้ำเสียงของฮอนที่พูดเสริมด้วยคำถามสุดท้ายอย่างระมัดระวังอ่อนหวานราวกับจะหลอมละลาย พูดแบบนี้ด้วยใบหน้าแบบนี้มันออกจะเล่นผิดกติกาไปหน่อย รยูฮายกมือขึ้นปัดจมูกรอบหนึ่งราวกับกำลังหลงเสน่ห์ของอีกฝ่าย เหมือนที่ฮอนเคยทำภายใต้แสงจันทร์เมื่อนานมาแล้ว  


 


 


“ฝ่าบาททรงจำเรื่องเมื่อตอนเป็นเด็กไม่ได้สินะเพคะ ในความทรงจำที่หายไปอาจจะมีหม่อมฉัน…” 


 


 


รยูฮากำลังจะพูดต่อแล้วก็เม้มปากลง ท่านแม่ย้ำตลอดว่าต้องไม่ให้องค์รัชทายาทจำความได้ ถึงไม่ได้ถามสาเหตุแต่ก็ไม่นึกจะต่อต้านคำพูดของท่านแม่ผู้ซึ่งฉลาดหลักแหลมอยู่เสมอ 


 


 


“พระพันปีคงบอกไว้สินะ” 


 


 


ฮอนพูดดักคอ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแก้สถานการณ์ ฮอนยอมรับความเงียบนั้นของรยูฮาแล้วพูดต่อ 


 


 


“ตอนที่เสด็จแม่จากไป ข้าก็ป่วยหนัก จนความทรงจำก่อนหน้านั้นถูกลบไปหมด ที่ได้ยินมาคือก่อนเกิดเรื่องนั้นพระพันปีทรงอ่อนโยนมาก” 


 


 


สัญชาตญาณของรยูฮาที่เอียงหูฟังเงียบๆ จับคำพูดสุดท้ายได้แล้วถูกผลักเข้าสู่ความคิดอันดิ่งลึกลงไป พระพันปีผู้ซึ่งเคยอ่อนโยนก่อนที่ความทรงจำจะถูกลบไป ท่านแม่ผู้ที่บอกว่าห้ามให้ความทรงจำกลับคืนมา นางรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงอันแปลกประหลาดในความสัมพันธ์นั้น ทั้งคู่รู้อะไรบางอย่าง บางอย่างที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นไว้มันคืออะไรกัน 


 


 


“คิดอะไรอยู่หรือ” 


 


 


ความลื่นไหลของความคิดถูกตัดขาดไปเพราะน้ำเสียงอันนุ่มนวล รยูฮาลูบไล้ใบหน้าของฮอนอีกครั้งแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง  


 


 


“หม่อมฉันจะออกไปเอาของว่างเข้ามาเพคะ ดูเหมือนว่ามินอาจะไม่อยู่” 


 


 


 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


วันแล้ววันเล่าผ่านไปอย่างเงียบสงบชนิดที่ว่าน่าแปลกใจ ลมที่พัดมาจากทางเหนือหอบเอาน้ำค้างแข็งอันหนาวเย็นมาด้วย แต่เพราะเข้าสู่ปีที่อุดมสมบูรณ์ ราษฎรจึงไม่อดอยาก การบุกรุกทางฝั่งชายแดนก็ลดลง เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวที่บรรดาสัตว์หากินพืชผลบนภูเขาจนตัวอ้วนพีกำลังเตรียมตัวหลับยาว ฤดูแห่งการล่าสัตว์  


 


 


“รายละเอียดและงบเกี่ยวกับงานแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


สีหน้าของพระราชาผู้ซึ่งรับเอากระดาษม้วนหอบหนึ่งมาสดใสขึ้น ทรงใช้นิ้วคลี่กระดาษออกทีละแผ่นแล้วอ่านอย่างละเอียด พอประทับพระราชลัญจกรลงไป บรรดาขุนนางต่างลอบมองอย่างใจหายใจคว่ำถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา 


 


 


“ทำได้ดีมากไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง จัดเตรียมตามนี้” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง” 

 

 

 


ตอนที่ 8-3

 

งานแข่งขันล่าสัตว์ที่ซึ่งจัดขึ้นราวๆ ช่วงนี้ของทุกปีและมีเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดพร้อมทั้งข้าราชบริพารเข้าร่วมเป็นหนึ่งในงานที่เขารอคอยมากที่สุด หากได้ออกจากห้องทรงงาน ควบม้าออกไปแล้วปักบ้องไม้ไผ่ลงบนหัวใจของกวาง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นตัวของตัวเองในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่พระราชาของประเทศ เสียงของขันทีร่างบอบบางดังขึ้นปลุกพระราชาขึ้นมาจากจินตนาการที่ทำให้อารมณ์ดี 


 


 


“ฝ่าบาท องค์รัชทายาทขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“รัชทายาท? ให้เข้ามาได้” 


 


 


ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่ดี แต่ว่าอาณาจักรมันกว้างใหญ่ งานของพระราชาต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่มีจบสิ้น หากไม่ใช่การเข้ามาถามไถ่สุขภาพเป็นบางครั้งคราวก็ไม่ง่ายนักที่จะได้เจอหน้า การที่โอรสของตนมาหาถึงห้องทรงงานเช่นนี้คงไม่ใช่ว่ามีเรื่องใหญ่โตหรอกหรือ พระราชาใจหายขึ้นมาทันที แน่นอนว่าก่อนจะมาเป็นพระราชา เขาก็คือพ่อของสักคนมาก่อน 


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” 


 


 


“นั่งก่อน เจ้ามีเรื่องอะไรงั้นรึ” 


 


 


ดูจากที่ผิวสะอาดและสีหน้าสดใสคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ตามที่เป็นกังวล พระราชาผู้ซึ่งวางใจได้นิดหน่อยยิ้มออกมาแล้วหัวเราะ  


 


 


“กระหม่อมอยากพบจึงมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เสียงหัวเราะที่พยายามอดกลั้นกับท่าทีเสแสร้งของลูกชายคนสุดท้องระเบิดออกมา เขาไม่ใช่ลูกชายที่จะอยากเจอหน้าพ่อแล้วมาถึงห้องทรงงาน ต้องมีเรื่องขอร้องบางอย่างเป็นแน่ถึงมาหา 


 


 


“อะไร ไหนพูดมาสิ คราวนี้เจ้าปฏิบัติตามคำสั่งข้าได้เป็นอย่างดี เข้าจะให้รางวัลเจ้าสักหน่อย” 


 


 


ฮอนแอบยิ้มเงียบๆ กับคำพูดที่เหมือนว่าจะอ่านใจตัวเขาเองออก คราวนี้คงกู้หน้าของรยูฮาได้ 


 


 


“เมื่อครู่นี้กระหม่อมเห็นใต้เท้าเยบูออซา[1]ออกไป หรือว่ามาปรึกษาหารือเรื่องงานแข่งขันล่าสัตว์กันพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว” 


 


 


ถ้าเป็นเรื่องงานแข่งขันล่าสัตว์ก็ย่อมเป็นเรื่องดี ใบหน้าของพระราชาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น  


 


 


“ล่าสัตว์คราวนี้กระหม่อมอยากพาพระชายาไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พระราชาเอียงคอเพราะคำขอร้องที่เหนือความคาดหมาย สถานภาพของหญิงสาวไม่ได้ต่ำต้อย เรียกได้ว่าสามารถให้สืบทอดตระกูลได้เลย หากต้องการจะออกไปล่าสัตว์ไม่ว่าจะเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทหรือพระราชินีก็ไม่ใช่เรื่องลำบากสักหน่อย แต่ที่เขาเอียงคอสงสัยเพราะมาถึงตอนนี้ไม่เคยมีใครเอ่ยออกมาเลยว่าจะขอออกไปล่าสัตว์ด้วย หรืออาจจะเคยมีนางสนมสักสองคนหรือไม่นะที่ตามออกไปด้วยเพราะหวังจะได้รับความโปรดปรานจากพระราชาเป็นพิเศษ 


 


 


“ไม่มีอะไรที่ไม่ได้หรอกนะ แต่ด้วยร่างกายของผู้หญิงเช่นนั้นจะขี่ม้าได้หรือ” 


 


 


“นางเคยเรียนขี่ม้ามาก่อน แล้วก็บอกว่าเคยจับสัตว์มาแล้วบ้างพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เห็นบอกว่าถ้าเป็นเสือก็เคยจับเสือตัวเล็กมาแล้ว ฮอนคิดว่าไม่ใช่คำโกหก ฮอนไม่สามารถจับใจความคำพูดของพระราชาที่เอ่ยพึมพำอย่างใจลอยได้ 


 


 


“เหมือนกันกับ…” 


 


 


“ทรงตรัสว่าอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่มีอะไร ข้าจะให้ขุนนางเตรียมที่เพิ่มให้อีกหนึ่ง เตรียมตัวมาก็แล้วกัน” 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 


 


 


เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อนจึงกังวลเล็กน้อย แต่ก็โปรดให้ทำโดยง่ายดายอย่างคาดไม่ถึง คราวนี้ก็จะได้เจอเหยี่ยวชื่อคยอกรังที่รยูฮาเลี้ยงไว้แล้วสินะ ประตูเบื้องหลังของฮอนที่หันหลังกลับออกไปถูกปิดลง พระราชาเบนสายตาไปยังม้วนกระดาษที่ต้องจัดการวันนี้ แต่ก็ไม่มีสมาธิแม้แต่น้อย  


 


 


“คราวนี้ฝ่ายรัชทายาทคงชนะสินะ น่าเสียดาย” 


 


 


ดวงตาของพระราชาที่ยกยิ้มขึ้นมีความคิดถึงเล็กน้อยเข้ามาปะปน แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ความคิดที่อยู่ภายในจิตใจของพระราชาเท่านั้น ฮอนผู้ไม่มีทางรู้ว่าพระราชาคิดอะไรอยู่ หอบข่าวดีมุ่งหน้าไปยังวังซึงกอน 


 


 


“พระชายา พระชายา!” 


 


 


ถ้าเป็นปกติ หากตะโกนเรียกพระชายาเช่นนี้ฮอนคงโดนทำโทษไปแล้ว แต่วันนี้รยูฮาไม่เป็นอย่างนั้น เพราะความจริงแล้วคนที่ส่งฮอนไปห้องทรงงานก็คือหญิงสาว 


 


 


“ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ” 


 


 


การแข่งขันล่าสัตว์ของวังหลวงเป็นงานที่แค่เคยได้ยินจากท่านพ่อผู้ซึ่งเข้าร่วมทุกปี รยูฮาผู้ซึ่งชื่นชอบการล่าสัตว์จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน สายตาของหญิงสาวที่ถึงขั้นกลืนน้ำลายเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ฮอนเห็นอย่างนั้นแล้วก็ทิ้งความคิดที่จะบอกข่าวดีโดยเร็ว เขายกยิ้มก่อนจะโน้มตัวลงไปเพื่อให้สายตาของตนเองอยู่ในระดับเดียวกับสายตาของรยูฮา 


 


 


“เจ้าจะให้ข้าบอกโดยที่เจ้าไม่ตอบแทนสิ่งใดเลยหรือ ตรงนี้ ตรง…อื้อ!” 


 


 


ก่อนที่จะพูดจบ ริมฝีปากที่เคยสัมผัสลงเบาๆ อย่างหยอกล้อก็ถูกกลืนกินเข้าไปในริมฝีปากของรยูฮา มันใกล้เคียงกับกระแทกริมฝีปากลงไปมากกว่าประกบปาก รยูฮาจับใบหน้าของฮอนไว้แล้วควานเข้าไปในปาก จากนั้นนางก็ปล่อยแล้วเช็ดริมฝีปากด้วยแขนเสื้อ แม้จะเป็นเวลาไม่นานแต่ก็ใบหน้าของฮอนก็เต็มไปด้วยความสบายใจ  


 


 


“เฮ้อ จริงๆ เลย” 


 


 


“คราวนี้ก็บอกมาได้แล้วเพคะ เป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“ได้รับอนุญาตแล้ว ในสามวันนี้ พวกเรามาจับสัตว์ให้เต็มที่กันเถอะ” 


 


 


“จริงหรือ? จริงหรือ? จริงหรือเพคะ” 


 


 


หน้าของรยูฮาบานกว่าตอนดื่มเหล้าเสียอีก ฮอนแปลกใจกับความจริงข้อนั้น ถึงจะดูสวยแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกอิจฉาอยู่เงียบๆ  


 


 


“ตอนข้ามาหาก็ช่วยยิ้มแบบนี้ให้ด้วยสิ” 


 


 


“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกเพคะ” 


 


 


“ทำไม” 


 


 


“ก็หม่อมฉันมองฝ่าบาทอยู่นี่เพคะ” 


 


 


รยูฮายกยิ้มอย่างหยอกล้อ ก่อนที่หญิงสาวจะหยอกเย้าฮอนต่อ เขาก็ได้แต่รู้สึกประหม่าเพราะสีหน้าที่นางทำประจำมันต่างออกไป อีกทั้งยังรู้สึกถึงบางอย่างนุ่มนิ่มบนฝ่ามือที่รยูฮาคว้าไปจับอย่างรวดเร็ว  


 


 


“ตรงนี้มันเต้นแรงเพคะ จะยิ้มได้อย่างไร”  


 


 


“พระชายา!” 


 


 


ฮอนตกใจรีบดึงมือออกแล้วซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อ ตอนนี้สิ่งที่เต้นแรงคือหัวใจของเขาต่างหาก เลือดร้อนไหลเวียนไปทั่วร่างในคราวเดียว ส่วนใบหน้าก็แดงเสียยิ่งกว่าอาทิตย์อัสดงที่ส่องสว่างข้างนอก 


 


 


“พระชายา…ช่างมีความสามารถในการทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ…เฮ้อ” 


 


 


เขาพึมพำอย่างสับสนแล้วลูบหน้าขึ้นลงไปมา แต่ว่าร่องรอยสีแดงก็ยังไม่หายไป อีกแล้ว พังหมดอีกแล้ว ไม่อาจจะรู้ได้ว่าทำไมถูกโจมตีอยู่ทุกครั้งไป ฮอนทำใจให้สงบลงแล้วหมุนตัวอย่างกะทันหันเอื้อมมือไปแตะประตู 


 


 


“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ” 


 


 


“เตรียมที่นอน” 


 


 


ดูท่าแล้วฮอนคงตกใจมาก รยูฮาคิดว่าฮอนขุ่นเคืองใจจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วลูบลงบนหลัง 


 


 


“จะไปบรรทมแล้วหรือเพคะ” 


 


 


“วันนี้ข้าคงนอนไม่หลับเป็นแน่” 


 


 


เฮ้อ ฮอนหันกลับไปอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วดึงรยูฮาเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น พอร่างกายแนบชิดกันจนลมไม่สามารถพัดผ่านไปได้ รยูฮาถึงรู้สาเหตุที่เขาพยายามจะเลี่ยงออกไป ข้างใบหูของหญิงสาวที่พยายามหลบซ่อนใบหน้าอันแดงก่ำในอ้อมกอดเขา บางทีก็เหมือนได้ยินเสียงกระซิบของความเสียใจ บางทีก็ได้ยินเหมือนเสียงกระซิบหอมหวานไหลเข้ามา 


 


 


“นอนหลับให้สบายเถอะ ถึงข้าอาจจะลำบากหน่อย” 


 


 


คล้อยหลังเสียงปิดประตู ความค้างคาที่ฮอนทิ้งไว้ก็ขาดผึ่งแล้วร่วงลง รยูฮาทิ้งตัวลงนั่งราวกับโลกถล่มลง แล้วซบใบหน้าลงตรงหัวเข่า หลังจากนั้นมินอาก็เข้ามาข้างในบอกให้นอนแล้วยืนนิ่งอยู่ 


 


 


“ทำไมเป็นเช่นนั้นเพคะ” 


 


 


“จะบ้าตาย มินอา” 


 


 


ท่าทางของรยูฮาที่พูดพึมพำในขณะที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาดูไม่คุ้นเคยราวกับเป็นคนอื่น มินอาเข้าไปนั่งตรงข้ามแล้วยื่นหน้าเข้าไปสังเกตตรงนั้นตรงนี้ใกล้ๆ ติ่งหูของรยูฮาที่โผล่พ้นเส้นผมที่ปรกลงมาอย่างกระจัดกระจายเป็นสีแดงก่ำราวกับลูกพลับที่ห้อยอยู่บนปลายกิ่ง 


 


 


“ทะเลาะกันอีกแล้วหรือเพคะ” 


 


 


รยูฮารู้สึกประหม่าแล้วก็เขิน มันเป็นคำถามที่ถามออกมาเพราะตอนแรกไม่คิดว่า เพราะความรู้สึกเช่นนั้นนางจึงอยู่ในอาการแบบนี้ ถึงมินอาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น แต่ก็ทำให้ใจที่เต้นโครมครามของรยูฮาสงบลงได้และสามารถเคลื่อนที่จากตรงพื้นไปยังเตียงนอนได้ 


 


 


“ใจเย็นลงหน่อยเถอะเพคะ อย่าโมโหมาก” 


 


 


“คงเย็นลงแหละ เฮ้อ ข้าจะทำอย่างไรดี คือ…เฮ้อ” 


 


 


จะบ้าตาย ทำอย่างไรดี รยูฮาหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็พูดสองคำนี้ซ้ำไปมาจนมินอาส่ายหน้าแล้วออกไป และก็เข้าสู้เช้าวันใหม่ นางนอนดึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คำกระซิบบอกที่ฮอนทิ้งไว้ข้างใบหูวนเวียนอยู่อย่างนั้นทั้งคืน จนพระอาทิตย์ขึ้นถึงได้รู้สึกตัวว่าเป็นความฝัน แน่นอนว่าฮอนผู้ซึ่งเดินกลับไปตามทางแคบๆ ก็มีอาการเช่นเดียวกัน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] เยบูออซา คำเรียกขุนนางที่ดูแลเรื่องงานราชประเพณีของเกาหลีในสมัยก่อน 

 

 

 


ตอนที่ 8-4

 

งานแข่งขันล่าสัตว์ที่ทั้งพระราชาและรยูฮาตั้งหน้าตั้งตารอ ในที่สุดก็มาถึง ก่อนที่ดวงดาวจะหายไปยามรุ่งสาง มินอาที่ออกไปข้างนอกก็ถือกรงนกขนาดใหญ่กลับมา รยูฮารอและมองไปทางนอกหน้าต่างอย่างกระวนกระวายใจ นางต้อนรับมินอาด้วยรอยยิ้มสดใส ที่ถูกคือนางยิ้มรับเหยี่ยวที่อยู่ในกรงที่มินอาถือมา  


 


 


“คยอกรัง ไม่คิดถึงพี่สาวคนนี้บ้างเลยรึ” 


 


 


เป็นเหยี่ยวตัวเล็กที่มีปีกสีน้ำตาลและหัวสีขาว แต่สายตไม่แพ้เหยี่ยวตัวใหญ่เลย รยูฮาเอาเหยี่ยวออกมาแล้วจับมันนั่งลงตรงปลอกแขน ก่อนจะลูบไล้อย่างอ่อนโยน เป็นท่าทางที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเอ็นดูราวกับทำกับเด็กน้อย 


 


 


“พระชายา หม่อมฉันเพิ่งเคยเห็นเหยี่ยวเป็นครั้งแรกเพคะ” 


 


 


“สวยมากเลยเพคะ พระชายา” 


 


 


เหล่านางในมารุมล้อมรยูฮาไว้อีกครั้งเพื่อชมคยอกรัง แต่ไม่มีใครกล้าเอื้อมมือไปจับ ฮอนที่เปลี่ยนใส่ชุดล่าสัตว์ตั้งแต่เช้ามืดและมาหาที่วังซึงกอนเห็นเหยี่ยวตัวน่ารักก็ยกยิ้มขึ้น 


 


 


“เจ้าตัวน้อยนี่คืออะไรกัน นกพิราบสื่อสารงั้นหรือ” 


 


 


“อย่าได้ดูถูกไปเชียวนะเพคะ เหยี่ยวตัวไหนในพระราชวังก็ไม่ฉลาดไปกว่าคยอกรังหรอกเพคะ” 


 


 


ท่าทางของหญิงสาวที่บอกเช่นนั้นพร้อมกับสบตาคยอกรังไปด้วยช่างดูอ่อนโยน ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเขาหึงหวงเหยี่ยวหรือนี่ ฮอนรู้สึกเวทนาตัวเอง เคาะนิ้วลงบนกรงนกแล้วบอกให้รีบเก็บมันกลับเข้าไปโดยเร็ว 


 


 


“รีบเก็บมันแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว” 


 


 


“ฝ่าบาทออกไปก่อนถึงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เพคะ” 


 


 


“ไม่เอา ครั้งที่แล้วพระชายาก็ยัง…โอ๊ย” 


 


 


ในที่สุดรยูฮาก็หลบสายตาของเหล่านางในแล้วหยิกลงบนต้นขาของฮอน ฮอนถือกรงนกและถูกไล่ออกไปอย่างหน้าสลด ก่อนจะบ่นพึมพำหาเรื่องเหยี่ยว 


 


 


“เจ้าของแกโหดร้ายจริงๆ…ใช่ไหมเล่า” 


 


 


“…” 


 


 


“เป็นสามีภรรยากันแท้ๆ จะมารักษาระยะห่างอะไรกัน ไหนๆ ก็เห็นมาแล้ว” 


 


 


“…” 


 


 


ถึงไม่ได้พูดแต่รู้สึกเหมือนกับว่าเหยี่ยวส่ายหน้า ฮอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและแสดงความไม่พอใจออกมา 


 


 


“คยอกรัง นี่แกเข้าข้างเจ้าของหรือ” 


 


 


“…อิๆ” 


 


 


ไม่ใช่เหยี่ยวที่หัวเราะ ฮอนหันไปตามเสียงหัวเราะที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาและเจอเข้ากับนางในคนหนึ่งที่ก้มหมอบลงบนพื้น 


 


 


“เจ้าหัวเราะรึ” 


 


 


“ประทานโทษตายหม่อมฉันด้วยเพคะ!” 


 


 


กล้าหัวเราะเยาะองค์รัชทายาท ต่อให้หัวหลุดออกจากบ่าตรงนี้ก็ไม่มีคำจะพูด ฮอนเริ่มแหย่นางโดยย่อตัวลงข้างๆ แล้วมองไปยังหญิงสาว ยอนฮวายิ่งก้มหน้ามุดลงไปบนพื้นอีก 


 


 


“เด็กยกชาของพระชายานี่เอง ใช่หรือไม่” 


 


 


“เพคะ หม่อมฉันยกถวายเองเพคะ” 


 


 


“เจ้าชื่ออะไรรึ” 


 


 


“ยอน ยอนฮวาเพคะ” 


 


 


ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความกลัวตอนนี้มีกระทั่งน้ำตาไหลออกมาซึมลงไปบนพื้นไม้ เขาแค่ลองแหย่ดูเพราะน่าแกล้งเท่านั้น ไม่คิดว่าจะถึงขั้นร้องไห้เช่นนี้ ฮอนเริ่มรู้สึกผิดและคิดว่าควรเลิกล้อเล่นได้แล้วก่อนจะตบลงบ่าของยอนฮวาเบาๆ 


 


 


“จะมาฆ่าทิ้งเพราะหัวเราะได้อย่างไรกัน ความจริงข้าก็กลั้นขำตัวเองอยู่ พื้นมันเย็นลุกขึ้นเถอะ” 


 


 


เป็นคำพูดที่อ่อนโยนเหนือความคาดหมาย ในสายตาของยอนฮวาซึ่งเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเจอเข้ากับใบหน้าที่กำลังกลั้นยิ้มอย่างหยอกล้อ ยอนฮวาตกใจจนสะอึกแทน 


 


 


“อึก อึก!” 


 


 


ตอนแรกว่าจะไม่ล้อเล่นต่อแล้ว แต่ท่าทางของนางในที่กำลังสะอึกในขณะที่มีหยดน้ำตาอยู่ตรงหางตาก็ดูน่าสนุกดี ฮอนระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืน ตอนนั้นเองที่รยูฮาเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกมาตรงโถงทางเดิน ก่อนจะมองยอนฮวากับฮอนสลับกันไปมา 


 


 


“ทำอะไรอยู่หรือเพคะ ยอนฮวา เจ้าร้องไห้ทำไม” 


 


 


“หม่อม หม่อมฉัน อึก! หัว…หัวเราะต่อหน้าฝ่าบาท…อึก!” 


 


 


รยูฮาก็หัวเราะกับท่าทางเช่นนั้นอีก เพราะเป็นน้องเล็กที่น่ารักอยู่ตลอดจึงอดไม่ได้ที่จะทั้งสงสารแล้วก็นึกขำ 


 


 


“ล้อเล่นแรงเกินไปแล้วเพคะ ฝ่าบาท นางยังเด็กอยู่ อย่าล้อเล่นสิเพคะ” 


 


 


“ไม่รู้ว่าจะร้องไห้ ขอโทษด้วย” 


 


 


ฮอนยอมรับผิดอย่างอ่อนโยนแล้วขอโทษอย่างว่าง่าย เขาตบเบาๆ ลงบนไหล่ของยอนฮวาสองครั้งราวกับรู้สึกผิดจริงๆ องค์รัชทายาทล้อเล่นกับคนในวังแล้วก็ขอโทษหรือนี่ ยอนฮวาตาเบิกกว้างกับเรื่องไม่น่าเชื่อแล้วยืนงง ระหว่างนั้นเองรยูฮาก็ลูบหัวของยอนฮวาแล้วเดินเคียงคู่ฮอนออกจากวังไป 


 


 


“ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ก็เป็นม้าพันธุ์ดีนะเพคะ” 


 


 


รยูฮามองม้าสีดำที่กำลังรอฮอนอยู่ข้างนอกด้วยสายตาชื่นชม ตรงขนที่เรียบและเป็นมันหารอยด่างไม่เจอเลยสักที่ ดวงตาก็มีสีดำและเด่นชัดเหมือนขน นางถูกใจอยากขี่แต่รู้ดีว่าเป็นม้าที่ฮอนหวงมากจึงไม่ทำอย่างนั้น 


 


 


“เพราะพระราชาทรงเลือกให้เองเลย เจ้านี่ก็ฉลาดเหมือนเหยี่ยวของพระชายา” 


 


 


ฮอนยกยิ้มแล้วชมคยอกรังกลับไป ก่อนจะขึ้นไปบนหลังม้า ตอนที่ทั้งคู่ไปถึงสถานที่ล่าสัตว์พร้อมกับเหล่าองครักษ์ แสงแดดยามเช้าก็เริ่มส่องสว่างแล้วและกำลังทำให้อากาศที่เย็นยะเยือกอุ่นขึ้น ขณะที่การถวายความเคารพถูกลดขั้นตอนลงให้เข้ากับสถานที่ ชานก็เข้ามาใกล้แล้วโค้งคำนับ 


 


 


“พระชายามาล่าสัตว์ด้วยหรือนี่ น่าตกใจมากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ถึงขนาดตกใจเลยหรือเพคะ” 


 


 


รยูฮายิ้มหวานแล้วเอาคยอกรังออกจากกรงมาเกาะไว้ที่แขน เหล่าขุนนางที่เอาเหยี่ยวมามีอยู่สองสามคน แต่ในบรรดาเหยี่ยวเหล่านั้น เหยี่ยวของนางกลับตัวเล็กที่สุด ใบหน้าของเหล่าขุนนางที่เห็นเช่นนั้นคล้ายกับมีรอยยิ้มเยาะประดับบนใบหน้า  


 


 


“จะใช้เหยี่ยวตัวเล็กนี้ล่าสัตว์หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชานยื่นมือออกไปหวังจะลูบหัวสีขาวของคยอกรังราวกับจะบอกว่าน่ารัก แต่คยอกรังกลับกระพือปีกอย่างรุนแรงและจิกลงบนมือนั้น จนเขาต้องผละออก 


 


 


“ตัวเล็กแต่ดุแฮะ” 


 


 


“แปลกจริง คยอกรังไม่จู่โจมคน องค์ชายไม่ได้ไปล้อว่ามันตัวเล็กใช่ไหมเพคะ” 


 


 


“นั้นสิ เมื่อกี้ข้าก็จับตัวมันไปไม่ใช่หรือ?” 


 


 


“คยอกรัง? เหยี่ยวตัวนี้ชื่อคยอกรังหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง ชานหวนคิดพลางขมวดคิ้ว เป็นชื่อที่เคยแอบได้ยินข้างล่างต้นไม้ตอนไล่ตามนางสนมขององค์รัชทายาทเมื่อหลายเดือนก่อน หรือว่าชื่อที่พูดถึงในตอนนั้นคือเหยี่ยว ชานคาดเดาในใจแล้วยกยิ้ม 


 


 


“ที่เสด็จพี่ได้ยินคือตัวนี้ถูกต้องแล้ว ตอนนั้นข้าไล่ตามมินอาไปแล้วลองถามเรื่องนี้กับนาง” 


 


 


ชานหันไปถามมินอาด้วยสายตา มินอาพยักหน้าตอบว่าใช่ ตอนนั้นพอดีเสียงกลองที่บอกให้รู้ว่าพระราชาเสด็จมาถึงแล้วก็ดังขึ้น บทสนทนาจึงยุติลง ทุกคนมารวมกันแล้วโค้งคำนับไปทางเดียวกัน พระราชาที่ปรากฏตัวในชุดล่าสัตว์ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องลงมาดูสดใสอย่างมาก 


 


 


“เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่เข้าร่วมในวันนี้ฟังให้ดี การแข่งขันล่าสัตว์คราวนี้จะแบ่งออกเป็นสามฝ่ายคือมูยองวัง องค์รัชทายาท แล้วก็ข้า แล้วจะแบ่งว่าใครอยู่ทีมใดด้วยการจับฉลาก เมื่อล่าสัตว์เสร็จจะนำสัตว์มารวมกัน ฝ่ายที่จับสัตว์ใหญ่และได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ฝ่ายที่แพ้ต้องรวมเงินกันเลี้ยงฝ่ายที่ชนะจนอิ่มหนำสำราญ แล้วก็คนที่ล่าสัตว์ได้มากที่สุดข้ามีสุรากับรางวัลใหญ่ให้ด้วย แต่นอกเหนือจากการแพ้ชนะแล้ว ข้าอยากให้ทุกคนสนุกและทำให้เต็มที่ที่สุด เริ่มได้!” 


 


 


กล่องที่มีรูขนาดหนึ่งมือล้วงเข้าไปได้ถูกวนไปตามผู้คน ตรงมือที่ล้วงเข้าไปในกล่องแล้วยกออกมามีทั้งความสุขและความเศร้าตามแต่สีที่ติดอยู่ คนที่ได้อยู่ฝ่ายสีแดงของพระราชากับฝ่ายสีน้ำเงินขององค์ชายสองต่างตะโกนโห่ร้องยินดี แต่ฝ่ายสีขาวขององค์รัชทายาทกลับพากันเสียใจ  


 


 


องค์รัชทายาทผู้ซึ่งทำคะแนนเพิ่มสูงขึ้นทุกปีบาดเจ็บตรงหัวไหล่และไม่ได้สะพายแม้แต่ธนูไว้ รวมไปถึงพระชายาที่อยู่ข้างๆ เหมือนกิ่งหลิวก็ไม่ได้ห้อยไว้ จำนวนของคนที่เข้ามาถูกกำหนดไว้แน่ชัด หมายความว่ายกเว้นทั้งคู่คนที่เหลือต้องจับมาให้ได้มากกว่านั้น  


 


 


“ดูเหมือนว่าท่านขุนนางจะไม่ชอบใจที่ได้อยู่ฝ่ายข้า” 


 


 


“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ฝ่าบาท!” 


 


 


ฝ่ายอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะราวกับสะใจ เรื่องเงินนั้นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่การโดนหัวเราะเยาะในงานเลี้ยงนั้นแย่ยิ่งกว่า ก่อนที่องค์รัชทายาทจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงเป่าเขาสัตว์ก็ดังขึ้นเป็นการบอกว่าให้เริ่มออกเดินทางได้ 


 


 


“ย๊า!” 


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม