แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 726-738

 บทที่ 726 ฉันจะทำเป็นชมทิวทัศน์รอบทิศไปแล้วกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชายวัยกลางคนพาทั้งสองเดินลัดห้องโถงไป พออยู่ในที่คนเยอะๆ แบบนี้ พวกเขาสองคนก็ไม่เป็นที่สะดุดตาอีกต่อไป ตลอดทางถึงแม้จะยังมีคนมองมาบ้าง แต่อย่างมากก็แค่กวาดมองเล็กน้อย มู่เฉินลอบฉลองดีใจ โชคดีที่ไม่เจอคนอย่างยัยบ้าเมื่อกี้อยู่ทุกที่ ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะทำอะไรได้ลำบากแน่ๆ


“ทางนี้”


หลังจากเดินเลี้ยวเข้าไปในทางเดินเส้นหนึ่ง บรรยากาศรอบกายพลันเงียบลงทันที


เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นโซนออฟฟิส ประตูห้องส่วนมากถูกเปิดแง้มไว้ พอมองลอดเข้าไปก็จะเห็นโต๊ะเก้าอี้และเงาคนมากมาย


ชายวัยกลางคนยังคงเดินนำลึกเข้าไปในโถงทางเดินต่อไป


หลิงม่อหันไปมองอีกฝั่งหนึ่งของทางเดิน เมื่อมองทะลุหน้าต่างกระจก สามารถมองเห็นอาคารหลังอื่นๆ จากตรงนี้ได้ทั้งหมด อาคารเหล่านี้ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างกัน แต่ก็ถูกเชื่อมเข้าด้วยกันโดยทางเดินยาวๆ กวาดมองแวบแรก เขาก็มองเห็นจุดซุ่มยิงหนึ่งจุด เมื่อสังเกตอย่างละเอียด ก็นับได้ถึง 5 จุด


“มีจุดซุ่มยิงอยู่ตึกละ 1 จุด เมื่อยิงผสานกันมาจากทุกทิศก็จะกลายเป็นห่ากระสุนที่เกรงว่าจะไม่มีจุดบอดเลยแม้แต่นิดเดียว” หลิงม่อคิด พลางบันทึกตำแหน่งจุดซุ่มยิงเหล่านี้ไว้ในสมอง


“รอบนอกมีซอมบี้สุนัขคอยเดินลาดตระเวน ด้านในมีการป้องกันเข้มงวด ถ้าคิดจะเอาหุ่นซอมบี้เข้ามาจากข้างนอก คงเป็นเรื่องยาก…”


หลิงม่อกำลังใช้ความคิด แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ชายวัยกลางคนก็หยุดเดินอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไป


“หัวหน้าหลี วันนี้มีสมาชิกใหม่มาเพิ่ม 2 คน อ้างว่ามาจากสาขาย่อยเมืองตงหมิง ผมพาพวกเขาไปกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนแล้ว ที่นั่น…”


ชายวัยกลางคนเข้าไปพูดอะไร 2 – 3 ประโยคด้านใน จากนั้นก็หันมาตะโกนเรียก “พวกนายเข้ามาเถอะ”


ห้องทำงานหัวหน้าฝ่ายบุคคล…หลิงม่อจ้องป้ายที่ติดอยู่ตรงหน้าประตูด้วยสีหน้าประหลาดใจ


ครบวงจรจริงๆ เชื่อเขาเลย…


สิ่งอำนวยความสะดวกของที่นี่ล้วนใช้ต่อจากของมหาลัยแพทย์ทั้งนั้น หลังผ่านการทำความสะอาดอย่างดี ก็ถือว่ายังมีกลิ่นอายของบริษัทใหญ่อยู่หลายส่วน


ทว่าคราบเลือดที่ติดอยู่บนกำแพงคงจะจัดการยากเสียหน่อย เพราะถึงแม้จะใช้กระดาษทรายขัดก็แล้ว แต่ก็ยังเห็นเป็นรอยจางๆ อยู่ดี


ด้านหลังโต๊ะเพียงตัวเดียวในห้อง มีชายอ้วนอายุราว 40 ปีคนหนึ่งนั่งอยู่ ตอนนี้เขากำลังก้มหน้าพลิกอ่านเอกสารลงทะเบียนของพวกหลิงม่อที่ชายวัยกลางคนเพิ่งส่งให้


พอได้ยินเสียงพวกหลิงม่อเดินเข้ามา เขาเพียงเงยหน้ามองแวบเดียว พร้อมพูดสั้นๆ ว่า “นั่งสิ” จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือต่อไป


มึนเลย เจอคนนิสัยเคร่งขรึมซะแล้ว…


มู่เฉินสีหน้าหม่นลงทันใด ในใจพลันนึกกังวลขึ้นมา


คนประเภทนี้มักจริงจังกับทุกเรื่องที่ทำ แต่จริงจังไม่เท่าไหร่ ถ้าหากเขาเป็นพวกเข้มงวดไม่โอนอ่อน ถ้าอย่างนั้นเกรงว่าวันนี้พวกเขาคงจะแฝงตัวเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ แล้วล่ะ


ต้องจัดระเบียบความคิด อารมณ์ และคำพูดให้ดีก่อน…


หลิงม่อกลับเดินไปนั่งลงบนโซฟาอย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็มองพิจารณาหัวหน้าหลีท่านนี้ตามอำเภอใจ


“เอ๋?”


มองได้ไม่นาน หลิงม่อกลับรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา คนคนนี้…เหมือนจะไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษนี่…


แค่ดูจากรูปร่างก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย มีไขมันส่วนเกินทั้งตัวขนาดนี้ นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นผู้มีศักยภาพด้านพุงพลุ้ยจากการดื่มเบียร์…


ส่วนผู้มีพลังจิต…ถึงแม้สายตาของเขาจะดูคมกริบกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็ยังห่างไกลจากผู้มีพลังจิตอีกมาก


หลิงม่อลอบแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาหนึ่งเส้นอย่างเงียบๆ ถึงแม้ไม่ได้ตรวจสอบโดยตรง แต่ในห้องเล็กๆ ที่มีสภาพแวดล้อมแบบปิดอย่างนี้ เขากลับสามารถตรวจสอบคลื่นดวงจิตของแต่ละคนได้คร่าวๆ


ไม่ใช่ผู้มีพลังจิตจริงๆ…


“ผู้มีพลังธาตุก็ไม่น่าจะใช่ ร่างกายของเขาดูอ่อนแอกว่าคนทั่วไป ซอมบี้คลานยังเร็วกว่าเขาวิ่งด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นสายไหนก็ไร้ประโยชน์…หลังจากดิ้นรนผ่านช่วงเกิดภัยพิบัติมาได้ร่างกายของเขาจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นร่างกายของเขาก็น่าจะถูกขุนจนอ้วนหลังจากมาที่นิพพานแล้ว ดูจากปริมาณไขมันในร่างกาย เดาว่าน่าจะเป็นสมาชิกเก่าแก่แล้ว…”


“ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีคนธรรมดาได้เป็นสมาชิกระดับผู้บริหารอยู่ แต่จะว่าไปก็ไม่แปลก ผู้มีความสามารถพิเศษที่มีพลังแกร่งกล้าก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจเรื่องการบริหารจัดการคนเสมอไปนี่นะ” หลิงม่อคิดในใจ


ชายวัยกลางคนเองก็หาเก้าอี้และนั่งลงด้วยเช่นกัน เห็นชัดว่าเขาจะจากไปก็ต่อเมื่อตัวตนของหลิงม่อกับมู่เฉินได้รับการยืนยันแล้วเท่านั้น


หัวหน้าหลีก้มหน้ากัมตาอ่านโดยไม่พูดไม่จาหนึ่งรอบ แล้วจู่ๆ ก็เอนหลังพิงพนัก ยื่นมือดึงลิ้นชักออก


พอเห็นการเคลื่อนไหวของเขา มู่เฉินก็รีบหันมาส่งสายตาให้หลิงม่อทันที


มีสำเนาเก็บไว้จริงๆ ด้วย!


ความจริงแล้ว มู่เฉินไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการติดต่อสื่อสารกันระหว่างสาขาย่อยกับสำนักงานใหญ่เท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าสำเนาข้อมูลนี้จะถูกส่งมาที่นี่ในทุกระยะเวลาเท่าไหร่ อีกเดี๋ยวหากถูกถามขึ้นมา เขาคงทำได้เพียงยืนยันหัวชนฝาว่าหลิงม่อเพิ่งเข้าร่วมได้ไม่นานเท่านั้น…


หัวหน้าหลีเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าทุกอิริยาบถ จนคนที่จ้องเขายังรู้สึกเหนื่อยแทน แต่พอเป็นเรื่องพลิกอ่านเอกสาร กลับไม่ช้าอย่างที่คิดเลยซักนิด


และนั่นก็คือสิ่งที่เขาฝึกฝนจนชำนาญจากสายวิชาชีพด้วยตัวเอง ซึ่งไม่มีความสามารถพิเศษอะไรมาแทนที่ได้


“อะแฮ่ม…” เมื่อหัวหน้าหลีพลิกอ่านไปจนถึงหน้าหนึ่ง เขาก็ชะงักไป หลังจากกระแอมทดสอบเสียงพูด เขาก็เงยหน้ามองพวกหลิงม่อ


“สมาชิกระดับ 5 มู่เฉิน สมาชิกระดับผู้บริหารของสาขาย่อยเมืองตงหมิง หลิงเกอ ไม่มีบันทึก”


เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์


“โอ้โห!”


มู่เฉินตะลึง นี่เขาเพิ่งจะกวาดสายตาได้ไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ แต่เขากลับอ่านหมดแล้ว?!


แค่เหลือบเห็นรายชื่อคนที่เรียงรายกันเป็นแถบยาวขนาดนั้นจากที่ไกลๆ มู่เฉินยังรู้สึกตาลาย เขาอ่านเร็วเกินไปแล้วมั้ง!


ทว่าเขาไม่ได้ตะลึงในความเร็วของหัวหน้าหลีหรอกนะ แต่…เขายังไม่ทันได้คิดให้ดีเลย!


ชายวัยกลางคนหันไปมองหลิงม่อทันที แต่หลิงม่อกลับหันมามองมู่เฉิน


ในเมื่อหัวหน้าหลียืนยันตัวตนสมาชิกระดับผู้บริหารของมู่เฉินแล้ว เขาย่อมต้องเป็นคนอธิบายอยู่แล้ว…


มู่เฉินหางตากระตุกยิกๆ เขาค่อยๆ กลอกตาไปสบตากับหลิงม่อช้าๆ


“ตำแหน่งฉันต่ำต้อย คำพูดไร้น้ำหนัก” หลิงม่อบอกเขาเสียงเบา


“…นายจะบ้าหรอ!” มู่เฉินขยับปากด่าเขาแบบไร้เสียง จากนั้นก็หันไปมองหัวหน้าหลี แล้วฝืนพูดออกไปว่า “หลิงเกอเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นาน…”


“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะให้อ้ายเฟิงรวบรวมรายชื่อมาส่งทีเดียว…แต่พวกนายเดินทางมาถึงนี่ ก็เพื่อเข้าร่วมกับสำนักงานใหญ่ใช่ไหม?” พอพูดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากอวบหนาของหัวหน้าหลีก็กระตุกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มน่าเกลียด “สำนักงานใหญ่ไม่ใช่จะเข้าร่วมได้เลยแบบนี้ เมื่อไหร่ที่เอกสารถูกอัพเดท เบื้องบนจะเป็นคนเลือกสรรเอง สมาชิกใหม่ที่จะมาเข้าร่วมที่นี่ในแต่ละรอบจะมีคนไปรับถึงที่โดยเฉพาะ จากนั้นก็ค่อยพามาที่นี่ทีเดียว ถึงแม้สาขาย่อยเมืองตงหมิงจะไม่มีใครคุณสมบัติถึงมากว่าครึ่งปีแล้ว แต่จะวิ่งมามั่วๆ แบบนี้ก็ไม่ได้…”


คำพูดคำจาของเขายังถือว่าไว้หน้าอยู่บ้าง แต่ความจริงหากแปลคำพูดของเขาอีกทีก็จะได้ความว่า : ถึงพวกนายจะเสนอตัวแกมบังคับอย่างนี้ พวกฉันก็ไม่มีทางรับไว้หรอก…


หลิงม่อไม่ได้รู้สึกอะไร แต่มู่เฉินกลับรู้สึกผิวหน้าร้อนฉ่า


เขาต้องเป็นไอ้ขี้แพ้ถึงขั้นไหนถึงได้ไม่ถูกเลือกมาโดยตลอดอย่างนี้! ทั้งที่ตอนอยู่ในสาขาย่อยเมืองตงหมิงเขายังรู้สึกว่าตัวเองก็มีดีเหมือนกันแท้ๆ ไม่คิดเลยว่าในสำนักงานใหญ่เขาคือคนที่ถูกทอดทิ้งมาโดยตลอด!


แต่พอหันไปมองหลิงม่อ มู่เฉินก็รู้สึกปลง


ความสามารถแค่นั้นของเขา เทียบอะไรกับหลิงม่อไม่ได้เลยแม้แต่น้อย


สมาชิกของสำนักงานใหญ่สองคนเมื่อกี้ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงม่อเหมือนกัน


ทว่าที่นี่เป็นถิ่นของคนอื่นเขา ถึงแม้จะเป็นหลิงม่อก็ยังต้องระวังตัว…


ไม่แน่ ที่นี่อาจมีผู้มีความสามารถพิเศษที่แกร่งกว่าหลิงม่ออยู่ก็ได้…


มู่เฉินรีบจัดการอารมณ์ความรู้สึกตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา


พอเห็นมู่เฉินทำสีหน้าอย่างนั้น ชายวัยกลางคนกับหัวหน้าหลีก็นิ่งไป


ถึงแม้จะดูเหมือนสีหน้าของคนปวดท้อง แต่ในเวลาอย่างนี้…คงไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของหัวหน้าหลีไปทำลายศักดิ์ศรีของเขาหรอกมั้ง?


พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้คิดไปในทางที่ร้ายแรงกว่านี้เลย ดังนั้นพอมู่เฉินเปิดปากพูดหลังจากที่ปั้นหน้าอมทุกข์อยู่นาน สองคนนี้ก็กระด้างแข็งเป็นหินไปทันที


“สาขาย่อย…เมืองตงหมิง…ไม่มีอีกแล้ว…”


พูดไป มู่เฉินยังส่ายหน้าไปมาเสริมด้วย จากนั้นก็แสร้งก้มหน้ากับฝ่ามืออย่างเจ็บปวด “ตาย…ตายหมดแล้ว…”


หลิงม่อที่นั่งอยู่อีกด้านถึงกับอึ้งสนิทไปสองวินาทีกว่าจะได้สติกลับคืนมา


เชี่ยย…เจ้าทึ่มนี่ฝีมือการแสดงขั้นเทพ!


แต่ในตอนนั้นเอง มู่เฉินกลับค่อยๆ เงยหน้าขึ้น อาศัยฝ่ามือเป็นกำบัง แล้วส่ายหน้าพร้อมจ้องหน้าหลิงม่อด้วยสายตาประณาม : “ตายแล้ว…ตายหมดแล้ว…”


ฆาตกรก็คือเจ้านี่แหละ!


เขาเพิ่งจะทำปากเสร็จ สีหน้าของหลิงม่อก็ขรึมลงทันที


เจ้าโง่คนนี้ หมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ…


เอาแต่ตื่นตระหนกมาตลอดทาง ตอนนี้พออินกับการแสดงเข้าหน่อย กลับเล่นสนุกขึ้นมาซะแล้ว…


มู่เฉินเห็นสีหน้าหลิงม่อเปลี่ยนไปจึงรีบก้มหน้าต่อไป เสียงอู้อี้แปลกๆ เล็ดลอดออกมาจากช่องนิ้วมือเบาๆ ฟังแวบแรกเหมือนเสียงหายใจอย่างหนักหน่วง เหมือนมู่เฉินกำลังพยายามปรับสภาพอารมณ์ของตัวเอง


หัวหน้าหลีนิ่งงันไปหลายวินาที ไม่นานเขาก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที กระทั่งพุงพลุ้ยๆ ของเขาถึงกับชนขอบโต๊ะ จนไขมันทั่วร่างกระเพื่อมไปทั้งตัวเลยทีเดียว เขาทุบฝ่ามือลงบนแฟ้มเอกสารเล่มนั้นอย่างแรง : “นายว่าไงนะ?!”


ถึงแม้มู่เฉินจะแสดงได้เนียนจนจับใจคนดู ซ้ำยังทำเป็นเสียศูนย์ ใช้คำพูดไม่กี่คำเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน แต่หัวหน้าหลีก็ยังคงยากจะจินตนาการถึง


สาขาย่อยเมืองตงหมิงล่มแล้ว? คนตายหมดแล้ว?


มันจะเป็นไปได้อย่างไร!


“นายเล่ามาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้!”


สีหน้าของหัวหน้าหลีเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่ เขาแทบจะพุ่งตัวเข้ามากระชากคอเสื้อมู่เฉินเพื่อเค้นถามแล้ว แต่ท่าทางของมู่เฉิน ทำให้เขาต้องข่มกลั้นความช็อกในใจ แล้วถามต่อ “นายใจเย็นก่อน แล้วเล่าเรื่องมาให้ละเอียดกว่านี้หน่อย”


ตอนนี้ ชายวัยกลางคนเองก็ได้สติกลับคืนมาแล้ว เขาเบิกตากว้างจ้องมู่เฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็หันไปมองหลิงม่อ


ไม่ต้องมามองฉัน…หลิงม่อเบนสายตาหนีทันที เขาเป็นแค่คนที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ไม่จำเป็นต้องแสดงถึงขนาดนั้น อย่างนั้นก็ทำเป็นกวาดตาชมทิวทัศน์รอบทิศไปแล้วกัน…


มู่เฉินใช้เวลาในการ “สูดหายใจลึกๆ” ไป 1 นาทีเต็มๆ กว่าจะเงยหน้าขึ้นมาและเผยให้เห็นใบหน้าที่แดงก่ำไปทั้งดวง


พอเห็นสภาพของมู่เฉิน หัวหน้าหลีกับชายวัยกลางคนถึงกับตัวอ่อนไปทันที


ดูท่าว่ามันคงจะเป็นเรื่องจริง…


มีเพียงหลิงม่อและมู่เฉินเท่านั้นที่รู้ ว่าเขาไม่ได้กำลังเศร้าโศกหรือเคียดแค้นแต่อย่างใด แต่กำลังแสดงละครต่างหาก…


“นาย…ค่อยๆ เล่ามา” หัวหน้าหลีลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น


“เรื่องนี้…เล่าแล้วยาว” ประโยคนี้มู่เฉินพูดจากใจจริงๆ ถ้าหากต้องเล่าจริงๆ เขาก็ต้องเริ่มเล่าจากที่ว่าไปหมายหัวหลิงม่อได้อย่างไร และเริ่มเคลื่อนไหวภารกิจรนหาที่ตายอย่างไร…


ทว่าสิ่งที่มู่เฉินจะเล่าต่อไปนี้ แน่นอนว่าเป็นคำโกหกที่ถูกเตรียมไว้นานแล้ว ซึ่งมีทั้งเรื่องจริงเรื่องแต่งปะปนกันไป ถึงแม้จะเล่าได้ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก แต่เขากลับสามารถเฉไฉเอาตัวรอดไปได้ บางเรื่องที่ไม่รู้จะแต่งเรื่องอย่างไรให้เนียน เขาก็จะบอกว่าตัวเองไม่ค่อยแน่ใจ เท่านี้ก็ไม่มีใครสงสัยแล้ว


มุมมองสายตาของคนคนหนึ่งนั้นมีจำกัด สิ่งที่สามารถมองเห็นได้จึงมีเพียงเท่านั้น ตรงกันข้าม หากเขาสามารถเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดได้ในคราวเดียว กลับจะทำให้คนอื่นเกิดความสงสัยมากกว่า


—————————————————————————–


บทที่ 727 ถึงเป็นโล่กันธนู ก็จะใช้กันอย่างนี้ไม่ได้!

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอได้ยินเรื่องเล่าจากมู่เฉิน หัวหน้าหลีกับชายวัยกลางคนก็ช็อกค้างไปทันที


คนแค่ 3 – 5 คน สามารถทำลายสาขาย่อยเมืองตงหมิงให้ล่มสลายได้ทั้งสาขา สมาชิกตายมากกว่าครึ่ง ที่เหลือหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง


นี่มัน…น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


แต่สีหน้าท่าทางของมู่เฉินไม่เหมือนคนที่กำลังโกหกเลยแม้แต่น้อย รายละเอียดมากมายที่เขาเล่ามาหากไม่ประสบกับตัวเอง ก็คงยากจะสานเรื่องราวให้เข้ากันจนไร้ช่องโหว่อย่างนี้ สิ่งสำคัญคือ ด้วยจุดยืนของมู่เฉิน เขาไม่มีเหตุผลอะไรให้สร้างเรื่องขึ้นมา ถึงแม้จะเทียบกับสมาชิกของสำนักงานใหญ่ไม่ได้ แต่ในฐานะสมาชิกระดับผู้บริหารของสาขาย่อย คุณภาพชีวิตของมู่เฉินก็ยังดีกว่าเหล่าผู้มีชีวิตที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนหนู แล้วยังต้องแบกรับความกดดันทางจิตใจอยู่ตลอดเวลาพวกนั้นมาก และการที่เขาเสี่ยงอันตรายเดินทางมาถึงเมืองเฮยสุ่ย ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาทำใจละทิ้งชีวิตอย่างนี้ไปไม่ได้


“คนจร” ที่มีพลังความสามารถอย่างหลิงม่อ มีให้เห็นไม่มากนักในหมู่ผู้รอดชีวิต


แต่ถึงอย่างไร พลังของคนหนึ่งคนก็ยังไม่เพียงพอที่จะสู้กับซอมบี้ทั้งเมืองได้อยู่ดี บางครั้งเพียงเพื่อออกไปหาอาหารเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจถึงตายได้ การต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางฝูงซอมบี้ที่จ้องฉวยโอกาสอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถหลับได้อย่างสบายใจแม้แต่คืนเดียวด้วยซ้ำ แรงกดดันทางจิตใจอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถแบกรับไว้ได้


แน่นอน นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีผู้รอดชีวิตกลุ่มเล็กๆ กระจายตัวกันอยู่ ท่ามกลางเมืองเล็กใหญ่มากมายในตะวันตก มีกองกำลังที่เป็นโล้เป็นพายอยู่เพียง 3 กองกำลังนี้เท่านั้น อิทธิพลของพวกเขาย่อมแผ่ปกคลุมไปไม่ทั่วผืนฟ้า


อย่างฟอลคอนกับกองกำลัง F ต่างก็เลือกเมืองขนาดใหญ่เป็นที่ตั้งฐานทัพ จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มขยายอิทธิพลไปยังรอบข้าง ส่วนนิพพานแม้จะพิเศษกว่าหน่อย แต่ก็ไม่อาจแผ่อิทธิพลถึงผู้รอดชีวิตได้ทุกคน


ผู้รอดชีวิตบางส่วนเกรงว่าจะไม่รู้จักกองกำลังเหล่านี้ด้วยซ้ำ ถึงแม้พวกเขาจะอยากออกตามหาสถานที่ประเภท “พื้นที่ปลอดภัย” แต่พวกเขาก็ไม่มีพลังความสามารถที่จะเดินทางแหวกฝูงซอมบี้กลางเมืองได้


ทว่าแม้แต่เหล่าผู้รอดชีวิตที่ไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังใดๆ ก็ยังพยายามรวมกลุ่มกันเพื่อมีชีวิตรอดอย่างสุดความสามารถ


เพราะความสามารถของคนคนเดียว มีขีดจำกัดมากเกินไป…


มู่เฉินไม่ได้บอกว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของคนคนเดียว เขาบอกว่าเป็นฝีมือของคน 3 – 5 คน…แต่ 3 – 5 คนก็ไม่น่าจะมีพลังขนาดนี้นี่นา!


ในตอนแรก ทั้งหัวหน้าหลีและชายวัยกลางคนต่างรู้สึกสับและขัดแย้งมาก ด้านหนึ่งเพราะหาเหตุผลที่มู่เฉินสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาไม่ได้ ในอีกด้านพวกเขาไม่อยากเชื่อเรื่องที่ได้ยิน


แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หัวหน้าหลีก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หมายเลข 1…หมายเลข 1 ไปที่สาขาของพวกนายแล้วไม่ใช่หรือ?!”


เขาถามขึ้น ขณะเดียวกันเหงื่อเย็นๆ ก็เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากเขา


เมื่อกี้มัวแต่ช็อกกับเรื่องที่มู่เฉินเล่าให้ฟัง จนเกือบลืมเรื่องนี้ไปสนิท!


ตัวทดลองหมายเลข 1 คือภารกิจระดับ S ที่กลุ่มวิจัยเป็นคนประกาศออกมาเองเชียวนะ!


ถึงแม้สัตว์ประหลาดที่เกิดจากฝีมือของกลุ่มวิจัยจะมีจำนวนไม่น้อย แต่ตัวที่ได้รับการระบุหมายเลขกับนั้นมีไม่มาก


แน่นอน การถูกเรียกชื่อว่า “หมายเลข 1” ไม่ได้แปลว่ามันเป็นตัวทดลองอันดับต้นๆ ของกลุ่มวิจัย แต่คุณค่าของมันก็ไม่ได้ด้อยเลยแม้แต่น้อย!


พอเห็นหัวหน้าหลีทำหน้ากังวล หลิงม่อก็แอบคิดในใจเงียบๆ ว่า “ชีวิตของตัวทดลองสำคัญกว่าชีวิตคนจริงๆ ด้วยสินะ…”


เมื่อกี้ถึงแม้หัวหน้าหลีจะช็อกมาก แต่เขาก็ไม่ได้ดูกังวลถึงขั้นนี้


สาขาย่อยเมืองตงหมิงเป็นหางเครนจริงๆ ด้วยสินะ มีค่าไม่เท่าหมายเลข 1 ด้วยซ้ำ…(หางเครน หรือ 吊车尾 หมายถึง ที่สุดท้าย ที่โหล่)


การเข้าไปอยู่ในสถานที่อย่างนี้ ถึงแม้จะอาศัยความสามารถแลกชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ในสายตาของคนระดับสูงพวกเขาเป็นได้แค่ตัวหมากเท่านั้น…


“เอ่อ…” มู่เฉินทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยพ่นคำโกหกที่เตรียมไว้ก่อนแล้วออกมา “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…”


“พูดให้ชัดๆ หน่อย นายไม่รู้ว่าพวกเขาตายหรือยัง หรือไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น?” ไขมันทั่วร่างของหัวหน้าหลีสั่นกระเพื่อมไปทั้งตัว เขาจี้ถามมู่เฉินอย่างร้อนรน


ชิบหาย!


มู่เฉินลอบกลอกตาขาวเงียบๆ “ผมไม่รู้ เหมือนจะหนีไปแล้วมั้ง ผมฉวยโอกาสตอนชุลมุนหนีออกมา บังเอิญเจอหลิงเกอเข้า พวกเราก็เลยร่วมเดินทางมาด้วยกัน”


“นาย…” ตอนแรกหัวหน้าหลีอยากต่อว่าเขาว่าทำไมไม่เข้าไปช่วย แต่พอนึกถึงความเร็วของหมายเลข 1 ขึ้นมาได้…มู่เฉินจะไล่ตามมันทันได้อย่างไรล่ะ …


การรับรู้เรื่องมากมายอย่างกะทันหัน ทำให้หัวหน้าหลีตัวอ่อนทรุดนั่งลงไปกับเก้าอี้


ในบรรดาผู้บริหารของนิพพาน เขาถือว่าเป็นบุคลากรระดับกลางที่ไม่มีสิทธิ์จัดการเรื่องเหล่านี้ได้เท่านั้น


มู่เฉินแอบมองหลิงม่อ เมื่อกี้เขาแสดงละครได้อย่างไหลลื่นและแนบเนียน แต่ตอนนี้ก็อดผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้


“ปิดบังการตายของหมายเลข 1” นี่คือเรื่องที่หลิงม่อเสนอขึ้นมาเป็นพิเศษ


ในตอนนั้นหลิงม่อบอกว่า แค่เรื่องที่สาขาย่อยเมืองตงหมิงล่ม สำนักงานใหญ่ก็สูญเสียมากแล้ว แต่หากแม้แต่หมายเลข 1 ก็ยังตายไปด้วย เดาว่าสำนักงานใหญ่คงจะสติแตก…


ถ้าหากกระตุ้นนิพพานสำนักงานใหญ่รุนแรงเกินไป หลิงม่อกับมู่เฉินอาจถูกกักบริเวณได้


มีอุปสรรคได้


แทนที่จะทำอย่างนั้น สู้ใช้หมายเลข 1 ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายไปแล้วมาเบี่ยงเบนความสนใจของสำนักงานใหญ่ดีกว่า


แม้กระทั่งสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่ตายไปแล้วก็ยังถูกใช้ประโยชน์ เจ้าหลิงม่อคนนี้ช่างเขี้ยวลากดินนัก!


ทว่ามู่เฉินค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับจุดนี้ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่ถูกทำลายคือสาขาย่อยทั้งสาขา ไม่ใช่ผักกาดขาวไร้ค่าอะไร…


แต่ไม่คิดเลยว่าหลิงม่อจะทายถูกทั้งหมด!


ขณะเดียวกับที่ผ่อนลมหายใจโล่งอก มู่เฉินก็รู้สึกเกลียดชังนิพพานสำนักงานใหญ่ขึ้นมา


ชีวิตคนไร้ค่าขนาดนี้เชียวหรือ? ก็จริง ในสายตาของพวกคนระดับสูง ชีวิตของคนอื่นก็คงไม่ต่างอะไรจากขยะ


ถ้าหากสามารถสร้างสัตว์ประหลาดที่ฟังคำสั่งพวกเขาจนสำเร็จ แม้แต่เหล่าผู้มีความสามารถพิเศษในสำนักงานใหญ่ก็คงไม่มีความหมายในสายตาของพวกเขาอีกต่อไป


“หัวหน้าทีมหลี่…รบกวนคุณพาพวกเขาไปด้วย…ผมจะขึ้นไปข้างบนสักหน่อย”


หัวหน้าหลีช็อคและสับสนมาก เขาลุกขึ้นยืน พลางพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“เมื่อถึงเวลา อาจต้องมาถามอะไรพวกนายอีกหน่อย…” เขามองหลิงม่อกับมู่เฉิน แล้วพูดขึ้น


หลิงม่อนั้นไม่เป็นไร เดาว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจจะมาตรวจสอบตัวตนของเขาด้วยซ้ำ แต่มู่เฉินกลับหน้าสลดไปทันที เขารู้แต่แรกแล้วว่าถ้าเข้ามาตัวเองจะต้องกลายเป็นจับกัง (คนใช้แรงงาน กรรมกร) กับโล่กันธนูให้หลิงม่อแน่นอน แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องเป็นถึงขั้นนี้!


ชายวัยกลางคนแซ่หลี่ยังคงตกอยู่ในอาการช็อกค้าง จนกระทั่งเมื่อหัวหน้าหลีเดินออกไป เขาถึงได้สติกลับมาช้าๆ


“มากับฉัน…”


ความจริง นิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ถือว่ากว้างใหญ่มาก แต่กลับสามารถจุสมาชิกของสำนักงานใหญ่ได้อย่างสบายๆ


หลิงม่อกับมู่เฉินเดินลดเลี้ยวตามชายวัยกลางคนมาตลอดทาง จนกระทั่งเดินเข้ามาในอาคารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายของสำนักงานใหญ่


หลังจากทำเรื่องลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ดูแลในห้องโถงชั้นหนึ่งเสร็จ ขายวัยกลางคนแซ่หลี่ก็ได้ยื่นกุญแจห้องสองดอกมาให้พวกหลิงม่อ


“ที่นี่เป็นอาคารหอพัก หากพวกนายไม่มีอะไรทำก็ไปเดินเล่นดูรอบๆ ได้…ตึกข้างๆ เป็นสถานบันเทิง แต่ต้องมีระดับผลงานก่อนถึงจะเข้าไปใช้งานได้ ส่วนโรงอาหารอยู่ด้านซ้ายของห้องโถง…ความจริงที่นั่นก็ต้องมีระดับผลงานมาแลกของกินด้วยเหมือนกัน แต่พวกนายเพิ่งมา สามวันแรกจึงยังไม่ต้องใช้ ที่นี่ไม่อนุญาตให้ฆ่าคน จะให้ดีที่สุดอย่ามีเรื่องชกตีกันด้วย ยังมีอีกหลายที่…ช่างเถอะ ถึงพวกนายจะไปที่ไหนก็ถูกห้ามเข้าอยู่ดี ฉันจะไม่พูดมากแล้วกัน”


ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนแซ่หลี่ยังคงอยู่ในระหว่างย่อยข้อมูลที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้ สายตาที่เขามองมู่เฉินกับหลิงม่อยังคงแฝงแววสับสน


“เดี๋ยวก่อน” ไม่ต้องให้หลิงม่อเตือน มู่เฉินรีบเปิดปากถาม “อย่างไรก็บอกพวกเราเถอะ ที่ไหนหรอ? อยู่ที่ไหนกัน? ทำไมไม่ให้คนเข้าล่ะ?”


ชายวัยกลางคนหน้าบึ้ง เจ้าหมอนี่มันเจ้าหนูจำไมเวอร์ชันคนชัดๆ!


“ตรงนั้น อาคาร 3 หลังที่อยู่หลังสุด ห้ามคนนอกเข้าทั้งหมด…”


“อ้อ เป็นอาคารอะไรกันล่ะนั่น ทำไมเข้าไม่ได้ล่ะ?”


“กลุ่มวิจัยกับพวกเบื้องบนอยู่ที่นั่นกันหมด สมาชิกทั่วไปห้ามเข้า!” ชายวัยกลางคนเห็นมู่เฉินทำท่าจะถามต่ออีก จึงรีบชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อนล่ะ”


เขารีบหมุนตัวเดินออกไปทันที กลัวว่าหากเดินช้าจะถูกมู่เฉินรั้งไว้ เขานึกว่าตอนนี้เจ้าสองคนนี้จะนั่งไม่ติดซะแล้ว แต่ปรากฏว่ายังพูดมากได้ขนาดนี้…


“ชิบ ถูกเขาถามอย่างเดียว จนลืมถามกลับไปเสียสนิท!” เดิมชายวัยกลางคนแซ่หลี่เองก็อยากจะซักถามอะไรกับสองคนนั้นด้วยเหมือนกัน…


“เรื่องนี้ต้องถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วแน่นอน นายมั่นใจหรอว่าเราสองคนจะไม่ถูกรุมจับตามอง?” พอขึ้นมาชั้นบนแล้วเห็นว่าไม่มีใครอยู่ มู่เฉินก็อดถามเสียงเบาขึ้นมาไม่ได้


“อย่างมากก็จับตามองนาย ไม่ใช่ฉันแน่นอน ฉันเป็นสมาชิกใหม่นะ” หลิงม่อพูดอย่างเรียบเฉย


มู่เฉินถึงกับพูดไม่ออก แต่ที่หลิงม่อพูดก็เป็นเรื่องจริง…และพอคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉินก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมา


นายมันไม่ใช่คน จะใช้คนอื่นเป็นโล่กันธนูก็ไม่เห็นต้องพูดตรงขนาดนี้เลย…


“วางใจเถอะ ฉันคิดว่าคงไม่ถูกจับตามองหรอก” คำพูดนี้ของหลิงม่อทำให้มู่เฉินเห็นแสงสว่างรำไร


“ยังไง?” ในสำนักงานใหญ่แห่งนี้จะต้องมีคนที่ชอบหาเรื่องอยู่มากแน่ๆ มู่เฉินไม่อยากถูกคนพวกนี้หมายหัว


ถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บจริงๆ แต่ถูกเกลียดมากๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก


“ที่นายโดนดูถูกก็เพราะนายมาจากสาขาย่อย แต่ถ้าหากรู้ว่านายคือสมาชิกที่หนีรอดออกมาได้หลังจาสาขาย่อยล่มสลาย พวกเขาก็คงขี้เกียจจะดูถูกนายอีก” หลิงม่อวิเคราะห์อย่างจริงจัง


มู่เฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็ระเบิดขึ้นมา “เชี่ย นี่มันไม่ได้ช่วยปลอบใจอะไรเลยนะโว้ย!”


อาคารหอพักมีคนเข้าออกไม่มาก ตลอดทางนอกจากผู้มีความสามารถพิเศษชายสองสามคน พวกเขาก็เห็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง


ด้วยเงื่อนไขในปัจจุบัน มีความเป็นไปได้ไม่มากที่จะมีหอพักแยกหญิงชาย ดังนั้นหอพักรวมอย่างนี้จึงมีให้เห็นทั่วไป


ทว่าพอมาถึงที่นี่ มู่เฉินกลับรู้สึกหงุดหงิดมาก “ไม่รู้ว่าจะยังมีผู้หญิงบ้าอย่างยัยร็อคเกิร์ลนั่นอีกเท่าไหร่…”


“กลัวอะไร” หลิงม่อเพิ่งจะพูดจาอวดดีออกไป ไม่รอให้มู่เฉินได้แซว เขาก็พูดต่อว่า “ยังไงพวกเราก็อยู่ไม่นาน”


มู่เฉินหมดคำพูดอีกครั้ง เจ้าหมอนี่มันปลิ้นปล้อนจริงๆ!


แต่พอคิดดูอีกที เขากลับรู้สึกตั้งตารอการท้าทายจากคนพวกนั้นขึ้นมาเล็กน้อย


นึกว่าตัวเองกำลังรังแกสมาชิกใหม่ แต่ความจริงกลับไม่ได้อยู่ในสายตาเลยซักนิด ไม่รู้ว่าพอรู้ความจริงแล้ว พวกนั้นจะรู้สึกอย่างไร…


ในสถานที่อย่างนี้ หลิงม่อไม่สะดวกใช้พลังจิตสำรวจ ทว่าหากอยากคำนวณจำนวนคนคร่าวๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป


“ถ้าหากมีอัตราการเข้าพัก 80% ในนี้แค่ผู้มีความสามารถพิเศษก็มีเป็นร้อยแล้ว สุดยอดมากจริงๆ…แต่ช่วงนี้สมาชิกส่วนมากต่างก็ออกไปทำภารกิจข้างนอกกัน เป็นเวลาที่เหมาะเจาะที่สุดพอดี ทว่าถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ ที่นี่ก็ยังคงมีผู้มีความสามารถพิเศษเหลืออยู่ถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าจะยังมีคนออกไปทำภารกิจเพิ่มอีกหรือเปล่า…”


แน่นอนว่ายิ่งมีผู้มีความสามารถพิเศษเหลือน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี…ตอนนี้หลิงม่อรู้ตำแหน่งจุดซุ่มยิงและจำนวนผู้มีความสามารถพิเศษที่แน่นอนแล้ว แต่กลับยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตำแหน่งของกลุ่มวิจัยซึ่งสำคัญที่สุดเลย ความจริงเขาก็ไม่ได้หวังว่าจะสามารถสืบรู้สถานการณ์ของกลุ่มวิจัยได้ในคราวเดียว นั่นมันห่างไกลความจริงเกินไป


พอประตูห้องเปิดออก หลิงม่อกับมู่เฉินก็อึ้งไปพร้อมกัน


ผ่านไปหลายวินาที มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ แล้วบรรยายความรู้สึกตะลึงของตัวเองด้วยคำพูดที่ตรงไปตรงมาแต่สื่อความหมายได้ชัดเจน : “เชรดดด!”


นี่มันไม่ใช่หอพักแล้ว นี่มันโรงแรมหรูระดับห้าดาวชัดๆ!


—————————————————————————–


บทที่ 728 ปากมากไม่ว่า แต่นี่ยังตามราวีไม่เลิกอีก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในตึกบ้านพัก สวี่ซูหานกำลังนั่งพิงขอบหน้าต่าง สายตาจดจ้องไปยังทิศทางที่ตั้งของมหาลัยแพทย์ฯ


ความจริง จากมุมที่เธออยู่มองเห็นเพียงอาคารร้างบางส่วน และพื้นที่ป่ารกมากมายเท่านั้น เธอไม่เห็นแม้แต่เงาร่างคนเลยซักคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเห็นหลิงม่อกับมู่เฉิน


เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าสองคนนั้นเข้าไปข้างในหรือยัง…


“เรื่องที่หลิงม่อมั่นใจ คงไม่ผิดพลาดหรอก ถ้าหากเขาคาดการณ์ผิด ก็น่าจะกลับมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว” ตอนนี้จิตใจของสวี่ซูหานกำลังสับสนวุ่นวายมาก เธอไม่อยากให้หลิงม่อกับมู่เฉินเข้าไปเสี่ยงอันตรายในนั้น แต่ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวว่าตัวเองจะกลายพันธุ์เป็นซอมบี้โดยสมบูรณ์ พวกเย่เลี่ยนดูภายนอกไม่ต่างจากคนปกติมากนัก มีเพียงเวลาต่อสู้เท่านั้นที่จะเผยความน่ากลัวของซอมบี้ระดับสูงออกมา แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้พวกเธอต้องวิวัฒนาการมานานขนาดไหนกัน?


ทันทีที่ตัวเธอกลายพันธุ์โดยสมบูรณ์ เธอจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไป และไม่อาจควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้


เรื่องบางเรื่อง เมื่อผ่านไปแล้วอาจรู้สึกว่าไม่มีอะไรมาก แต่หากได้รู้และเข้าใจก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น แรงกดดันทางจิตใจที่จะไดรับก็จะทวีคูณขึ้นทันที…


สวี่ซูหานกระทั่งอดคิดไม่ได้ว่าหากหลิงม่อล้มเหลวล่ะ ถ้าหากเขาไม่สามารถหาวิธีทำให้เธอรักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้ จะทำอย่างไรดี?


“ทำได้เพียงภาวนาให้แผนการของหลิงม่อราบรื่นแล้วล่ะ…” สวี่ซูหานจิตใจว้าวุ่น


ในตัวบ้าน ซอมบี้สาวสามตัวต่างคนต่างกำลังยุ่งอยู่กับตัวเอง ถึงแม้หลิงม่อไม่ได้พาพวกเธอไปด้วย แต่ทันทีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น พวกเธอสามคนรวมถึงพวกอวี๋ซือหรานที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ ล้วนเป็นทัพหลังของหลิงม่อ


เย่เลี่ยนยืนอยู่หน้ากระจกขนาดใหญ่บานหนึ่ง ในมือถือตะเกียบไว้หนึ่งด้าม หลังจากจ้องมองมันด้วยสีหน้าเหม่อลอยซักพัก จู่ๆ เธอก็เริ่มโยกตัวซ้ายขวาทันที


เธอไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเร็วนัก การเคลื่อนไหวของมือก็ช้ามากเช่นกัน ทุกครั้งที่ตะเกียบถูกชี้ไปที่กระจก ล้วนสามารถจับช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในขณะเคลื่อนไหวของเธอได้


ทว่าเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น เธอก็เริ่มมีข้อผิดพลาด เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการฝึกฝนกับตัวเอง มันจึงเป็นเรื่องยากกว่าปกติ


“อ๊ะ…” ขณะเดียวกับที่ตะเกียบถูกชี้ออกไป เย่เลี่ยนก็ชะงักหยุด แล้วมองตัวเองที่ถูกชี้หว่างคิ้วอยู่ในกระจก เธอกระพริบตาปริบๆ เหมือนรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย


“อะ…อีกครั้ง…”


ในตอนที่เย่เลี่ยนแข่งกับตัวเองในกระจก ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินก็ไม่ได้อยู่ว่าง


ในห้องน้ำ ซย่าน่าก็กำลังยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเช่นกัน


ณ เวลานี้ดวงตาข้างหนึ่งของเธอเป็นสีดำลึกล้ำ ส่วนอีกข้างเป็นสีแดงเจิดจรัส


บริสุทธิ์และโหดเหี้ยม สงบสุขและกระหายเลือด เมื่อสองบุคลิกรวมเป็นหนึ่งเดียว ภาพที่เห็นจึงดูประหลาดมาก


แต่สิ่งที่ซย่าน่าเห็นในกระจก กลับเป็นตัวเองสองคน คนหนึ่งคือเฮยน่าซอมบี้ชนชั้นสูงที่แท้จริง ส่วนอีกคนคือร่างดวงจิตน่าน่า บุคลิกสองบุคลิกนี้รวมกันอยู่ในร่างกายของเธอ แต่ขณะเดียวกันก็แยกตัวกันเป็นอิสระ ตอนนี้เฮยน่ายืนอยู่ข้างหน้า น่าน่าอยู่ข้างหลัง แต่ลำตัวของทั้งสองกลับหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง


“ตอนแรกก็สับสนวุ่นวายไปหมด ต่อมาก็กลืนกินซึ่งกันและกัน จนสุดท้ายก็แยกตัวออกจากกัน แล้วมาตอนนี้กลับกลายไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง…” ซย่าน่ามองเงาสะท้อนในกระจก แล้วพูดพึมพำกับตัวเอง “แต่การหลอมรวมนี้เป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น ถึงไม่มีใครเห็นก็แล้วไป แต่ในสายตาของพี่หลิงเราจะต่างอะไรกับพวกสามหัวหกแขนกันล่ะ…”


เธอใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบถุงถนอมอาหารออกมา สิ่งที่อยู่ข้างในคือไวรัสนางพญาของเจ้าซอมบี้หัวโต


“ของสิ่งนี้เราจะกินครั้งเดียวหมดก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสของอีกฝ่าย และถูกทำลายสมดุลในร่างกาย จนทำให้เชื้อไวรัสในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน…” ซย่าน่าเข้าใจทฤษฎีเหล่านี้เป็นอย่างดี ซอมบี้สัตว์ป่าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ขอเพียงเป็นก้อนเหนียวหนืดหรือไวรัสนางพญาพวกมันล้วนกลืนกิน ดังนั้นถึงได้กลายพันธุ์จนมีรูปร่างประหลาดและพิลึกพิลั่นกันอย่างนั้น


“เฮ้อ จะคิดมากไปทำไมนะ ไม่แน่มันอาจทำให้ฉันมีปีกขึ้นมาก็ได้…” จู่ๆ เฮยน่าในกระจกก็ยิ้มประหลาดขึ้นมา เธอเป็นซอมบี้ที่แท้จริง ไม่ว่าจะกลายร่างไปเป็นอย่างไรเธอย่อมรับได้ ขอแค่ได้วิวัฒนาการสูงขึ้นอีกหนึ่งระดับก็พอ


ไม่ได้!” ร่างดวงจิตน่าน่าโวยวาย “จะให้ฉันเป็นมนุษย์นกหรือไง?! ล้มเลิกความคิดนั้นไปได้เลย!”


“มนุษย์นกอะไรกัน! เขาเรียกนางฟ้าตกสวรรค์ต่างหากเล่า เป็นคนเสียเปล่า ไม่มีศิลปะเอาซะเลย…” เฮยน่าแค่นเสียง


ร่างดวงจิตน่าน่ากลอกตาขาว “น้อยๆ หน่อย! เธอจะว่าฉันอย่างนั้นทั้งๆ ที่เราใช้ความทรงจำร่วมกันเนี่ยนะ!” เธอเหลือบมองไวรัสนางพญาในมือตัวเอง แล้วบอกว่า “วิวัฒนาการของฉันในตอนนี้พัฒนาไปในด้านพลังจิตอย่างเห็นได้ชัด และเกี่ยวข้องกับการแยกบุคลิกด้วย พวกเราแยกตัวออกจากกันอย่างเป็นอิสระแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะกลับมาหลอมรวมกัน 100% มีไม่มาก แต่ไม่ว่าสุดท้ายจะกลายพันธุ์ไปเป็นแบบไหน อย่างไรมันก็ต้องเป็นผลดีกับเราแน่นอน”


“ชิ…” เฮยน่ากลอกตาขาว พวกเธอเป็นร่างเดียวกัน แต่สีหน้าเดียวกันพอถูกแสดงออกมาโดยอีกบุคลิกกลับดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


“ชิอะไรยะ! ตอนที่วิวัฒนาการครั้งที่แล้ว ฉันยังไม่ลืมเรื่องที่เธอใช้มือซ้ายหยิกแก้มขวาฉันนะ!” ร่างดวงจิตน่าน่าโวยวาย


“หึหึ จะเอาอีกไหมล่ะ! จะว่าไปแล้วเป็นคนคนเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมฉันอีกคนถึงได้เชยเฉิ่มอย่างนี้นะ…”


“นี่ พูดอย่างกับว่าตัวเองดีเด่อะไรนักหนาอย่างนั้นแหละ…”


เถียงกันก็ส่วนเถียงกัน แต่ทั้งสองกลับไม่ได้หยิกแก้มกันขึ้นมาจริงๆ


ความรู้สึกที่มาจากร่างกาย ทั้งสองบุคลิกล้วนรับรู้ร่วมกันทั้งหมด ความจริงไม่ว่าจะใช้มือข้างไหนหยิกแก้มฝั่งไหน ก็เหมือนกันทั้งนั้น…


“ใจเย็นหน่อยเถอะ ค่อยๆ กลืนกินไปดีกว่า ขอเตือนเธอไว้ก่อน ห้ามกินทีเดียวหมดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายพันธุ์เอาได้” ซย่าน่าในตอนนี้เห็นชัดว่าถูกควบคุมโดยทั้งสองบุคลิกพร้อมกัน หลังจากทิศทางในการวิวัฒนาการเริ่มปรากฏ ทั้งสองบุคลิกก็สามารถควบคุมร่างกายพร้อมกันได้แล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมดวงตาของเธอถึงได้แปลกไปอย่างนั้น


ทว่าซย่าน่ายังไม่ถึงขั้นปล่อยให้บุคลิกหนึ่งควบคุมร่างกายฝั่งหนึ่งไปเลย เหตุการณ์อย่างนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเธอทะเลาะกันเท่านั้น ในสภาวะปกติ พวกเธอต่างก็พูดคุยปรึกษากันได้เหมือนอย่างตอนนี้ แต่ในเวลาที่ต้องสู้ น่าน่าจะกลับไปเป็นร่างดวงจิต เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือร่างหลัก ส่วนเวลาพูด ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนชิงพูดขึ้นมาได้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเธอต่างก็เป็นร่างเดียวกัน ดังนั้นในสายตาของคนอื่นเธอจึงดูเป็นคนฉลาดหลักแหลมไหวพริบดี นอกจากนั้นก็ไม่อะไรที่ดูผิดปกติ


แต่หลังจากวิวัฒนาการแล้วจะกลายไปเป็นอย่างไร ซย่าน่าเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน


“รู้แล้วน่า…ชิ…” เงาสะท้อนของซย่าน่าในกระจกชักสีหน้าไม่พอใจ พลางเม้มปากแน่น


ในห้องนอน หลี่ย่าหลินกลับดูสงบนิ่งมาก


เธอนั่งอยู่บนผ้าห่มสะอาดสะอ้าน ดวงตาเบิกกว้าง


ถึงแม้เธอจะมีหน้าตาเหมือนลูกครึ่ง แต่หลี่ย่าหลินในสภาวะปกติก็ยังมีดวงตาเป็นสีดำขลับ แม้จะมีสีเหลืองอำพันแฝงอยู่เล็กน้อย แต่คนอื่นไม่มีทางมองเห็นแน่นอน


แต่เวลานี้ กลิ่นอายซอมบี้รอบกายเธอยังคงถูกกดข่มไว้เหมือนเดิม ทว่าดวงตาคู่นั้นของเธอกลับแดงก่ำจนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา


แต่หากมองดูดีๆ ก็จะเห็นสีเหลืองอำพันส่องประกายขึ้นมาเป็นระยะอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตนั้น ซึ่งนั่นทำให้ดวงตาของเธอดูสุกใสและแวววาว


ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ทว่าเพียงสีและประกายแวววาวนี้ก็งดงามมากพอที่จะทำให้ละสายตาออกไปไม่ได้แล้ว


ข้างกายเธอ มีถุงถนอมอาหารเปล่าๆ วางไว้ แสดงให้เห็นว่าเธอเพิ่งจะกลืนกินไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เข้าไป


เดิมบุคลิกของเธอเอนเอียงไปทางงู กระทั่งแม้แต่วิธีการโจมตี หรือทุกอิริยาบถในเวลาปกติล้วนเหมือนงู แต่ในระหว่างที่กลืนกินไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ร่างกายของเธอกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอย่างเห็นได้ชัด สีเหลืองอำพันยังคงอยู่ บ่งบอกว่าลักษณะเด่นของงูที่อยู่ในตัวเธอจะไม่หายไปอย่างแน่นอน ทว่าสุดท้ายจะกลายเป็นอย่างไร หลิงม่อไม่แน่ใจ หลี่ย่าหลินยิ่งไม่แน่ใจเข้าไปใหญ่


หลังจากเข้าพักเรียบร้อย สิ่งแรกที่หลิงม่อทำคือสลับมุมมองสายตา


ในกลุ่มซอมบี้สาวสามตัว คลื่นดวงจิตของเย่เลี่ยนสงบที่สุด หลิงม่อจึงสลับมุมมองสายตาไปที่เธอ


คิดไม่ถึงว่าพอสลับมุมมองสายตาเสร็จ เขาก็มองเห็นตะเกียบด้ามหนึ่งกำลังพุ่งแทงมาทางเย่เลี่ยน แถมยังดูเหมือนว่ามันกำลังไล่แทงเย่เลี่ยนด้วย


เพราะสับเปลี่ยนมุมมองสายตากะทันหัน และหลิงม่อก็ยังมองเห็นไม่ชัด พอเห็นแค่ภาพดังกล่าวเขาจึงรู้สึกหนังศีรษะตึงชาขึ้นมาทันที


หลิงม่อเห็นเย่เลี่ยนเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้านในขณะที่ตะเกียบใกล้จะแทงโดนไหล่ของเธอ แต่ไม่นาน ตะเกียบด้ามนั้นก็พุ่งมาตรงหน้าเย่เลี่ยนติดๆ


หัวใจของหลิงม่อหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ในตอนนั้นเองที่เขาค้นพบว่า ที่แท้เย่เลี่ยนก็กำลังยืนอยู่หน้ากระจกนั่นเอง…


ดวงตาของเย่เลี่ยนที่อยู่ในกระจกราวกับรอยคลื่นมากมายที่กำลังม้วนตัวเข้าด้านในอย่างต่อเนื่อง ดูน่าพิศวง


“ที่แท้ก็กำลังฝึกกับตัวเอง ตกใจหมดเลย…” หลิงม่อผ่อนลมหายใจ


วิธีฝึกซ้อมอย่างนี้มีแค่ซอมบี้เท่านั้นที่ทำได้ มันยากยิ่งกว่าใช้มือขวากับมือซ้ายของตัวสู้กันเสียอีก ซอมบี้มีปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายที่รวดเร็ว แต่กลับมีขีดจำกัดเรื่องสติปัญญา ถึงแม้ว่าเย่เลี่ยนจะเป็นซอมบี้เจ้าเมืองแล้ว แต่พัฒนาการด้านสติปัญญากลับอยู่ในระดับธรรมดามาก แม้สัญชาตญาณด้านการต่อสู้ของเธอจะน่าทึ่ง แต่การใช้พลัง “กล้องสลับลาย” กลับขึ้นอยู่กับสติรู้คิดของตัวเอง เมื่อเป็นอย่างนี้ สติปัญญาของเธอย่อมตามปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายไม่ทันแน่นอน ดังนั้นเธอจึงต้องฝึกซ้อมด้วยวิธีนี้


คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เลี่ยนจะตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้ว วิธีอย่างนี้แม้แต่หลิงม่อก็ยังคาดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ…


หลิงม่ออดเหลือบมองไปที่ตัวเย่เลี่ยนไม่ได้ เขารู้สึกสนใจสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเย่เลี่ยนมากจริงๆ


แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเย่เลี่ยน ดังนั้นหลิงม่อจึงไม่เคยคิดสลับมุมมองสายตาเพื่อแอบอ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งไม่คิดจะบังคับให้เธอเอาออกมา


แต่หลิงม่อยังคงรู้สึกได้รางๆ ว่า ถึงแม้สติปัญญาของเย่เลี่ยนจะมีขีดจำกัด แต่ในสมองเล็กๆ ของเธอกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมายนับไม่ถ้วน…


“ในเมื่อเด็กโง่ไม่อยากบอก แสดงว่าเธอต้องมีเหตุผล ยังไงก็เชื่อใจเธอดีกว่า”


หลิงม่อได้ส่งสัญญาณไปยังฝั่งอวี๋ซือหรานแล้วเช่นกัน แต่พอเขาสลับมุมมองสายตาไปก็เจอกับเฮยซือเข้าพอดี หลังทนฟังเฮยซือพูดมากเป็นต่อยหอยอยู่ 1 นาทีเต็มๆ หลิงม่อก็ทนต่อไปไม่ไหว จึงรีบดึงมุมมองสายตากลับมายังร่างหลัก แต่ภาพของห้องพักเพิ่งจะปรากฏสู่สายตา จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในสมอง


“เฮ้ยๆ นายอย่าเพิ่งหนีสิ ทำไมนายถึงไร้ความรับผิดชอบในฐานะเจ้านายอย่างนี้ล่ะ อวี๋ซือหรานไม่ได้อยากติดตามนายเลยซักนิดนะ เธอเอาแต่คิดจะกินนายเท่านั้น ยัยนั่นล้อเล่นหรือไง นายเป็นอาหารตัวสำรองของฉันต่างหากล่ะ…” เฮยซือยังคงพูดพล่ามผ่านสายสัมพันธ์ทางจิตอย่างไม่หยุดหย่อน เรื่องอย่างนี้มีแค่มันเท่านั้นที่ทำได้ เพราะตอนนี้มันเป็นร่างดวงจิตที่แข็งแกร่งมาก


หลิงม่อรู้สึกปวดหัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกเฮยซือตามมาราวีไม่เลิกอีก!


แต่ปรากฏว่าพอได้ยินประโยคสูดท้าย เขาก็รีบลุกนั่งตัวตรงทันที “อะไรนะ?!”


เขาไม่ได้พูดโพล่งออกมา แต่กลับคิดในใจแทน อาศัยสายสัมพันธ์ทางจิต เฮยซือรับรู้ถึงความคิดเขาได้อย่างแม่นยำ


“แหะๆๆ ฉันพูดอะไรงั้นหรอ? แค่ล้อเล่นหรอกน่า…เอ่อคือ เวลาของฉันหมดแล้ว ฉันไปก่อนละนะ…”


หลายวินาทีผ่านไป ระหว่างที่หลิงม่อกำลังนั่งรอเงียบๆ เสียงของเฮยซือก็ดังขึ้นอีกครั้งตามคาด “ดังนั้นนายต้องช่วยฉันกลืนกินยัยเด็กนั่นนะ เจ้านาย นายเป็นคนดีนะ…”


“นี่…”


“ฉันไปจริงๆ ละ”


เมื่อเสียงเฮยซือเงียบลง หลิงม่อกลับยื่นมือไปเคาะโต๊ะที่วางไว้ข้างตัว


เห็นเขาเป็นอาหาร? หรือเป็นตัวสำรอง? หมายความว่าอย่างไหนกันแน่?


—————————————————————————–


บทที่ 729 วิญญาณท่อ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าเฮยซือ…คงไม่ได้เห็นฉันเป็นร่างร่วมสำรองหรอกนะ?” ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองหลิงม่อทันที


ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ ยังไม่ต้องพูดถึงอิสระที่จะถูกจำกัดหลังกลายเป็นร่างร่วม แค่จินตนาการว่าเสียงของเจ้าปากมากนั่นดังอยู่ในสมองเขาทั้งวัน หลิงม่อก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวแล้ว


ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของอวี๋ซือหรานขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ไม่น่าล่ะเธอถึงได้อยากให้เขาช่วยแยกดวงจิตของเธอกับเฮยซือออกจากกัน เพราะมันน่ารำคาญและทรมานขนาดนี้นี่เอง!


แต่ความคิดนี้ของเจ้าเฮยซือกลับเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อเกินจริง เพราะมันยังคงเป็นหุ่นซอมบี้ของหลิงม่ออยู่ หากสายสัมพันธ์ทางจิตยังไม่ถูกตัดขาด มันไม่มีทางหันกลับมาต่อต้านหลิงม่อได้


“แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมีความคิดอย่างนี้ได้…เป็นพวกท้องดำจริงๆ ด้วยสินะ สมกับเป็นหมาที่ถูกซย่าน่าอบรมสั่งสอนมาจริงๆ…” (ท้องดำ หรือ 腹黑 หมายถึง คนที่ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในเต็มไปด้วยแผนการร้าย หรือคนที่มีนิสัยร้ายลึก)


หลิงม่อสะบัดหัวไปมา เฮยซือขาดการถูกอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องจริงๆ แต่เขายังไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้


เรื่องสำคัญในตอนนี้ ควรจะเป็นเรื่องการสำรวจนิพพานสำนักงานใหญ่มากกว่า


หลิงม่อไม่สามารถใช้หนวดสัมผัสทางจิตมาตรวจสอบสถานที่อย่างนี้ได้ เพราะหากไปสะกิดผู้มีพลังจิตคนอื่นเข้า จะกลายเป็นการเปิดเผยตัวตนเสียเปล่าๆ


แต่หากออกค้นหาด้วยตนเองก็คงจะได้อะไรไม่มากเหมือนกัน นอกจากว่าเขาจะมีเวทมนต์ล่องหนได้อะไรทำนองนั้น


โดยทั่วไปแล้ว ในสถานที่ที่เข้มงวดอย่างนี้ ยากที่จะคิดหาวิธีที่เหมาะสมออกจริงๆ


นั่นคือความคิดของมู่เฉิน ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในห้องข้างๆ อาจดูเหมือนกำลังพักผ่อน แต่ความจริงกลับกำลังช่วยหลิงม่อดูลาดเลาอยู่


เขารู้ดีว่าหลังจากแฝงตัวเข้ามาสำเร็จ หลิงม่อไม่มีทางปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ เขาต้องรีบทำตามแผนทันทีแน่นอน


หลังคิดซ้ายคิดขวา มู่เฉินก็ยังเดาไม่ได้ว่าหลิงม่อจะใช้วิธีแบบไหนกันแน่


หากไม่มีพลังจิตสำรวจ เขาจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ทุกที่กับจุดซุ่มยิงที่แน่นหนาขนาดนั้น


หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น มู่เฉินคงเสียความเชื่อมั่นไปแล้ว แต่สำหรับหลิงม่อ ถึงแม้เขาจะแอบสงสัยอยู่ในใจ แต่กลับยังมีความหวังอยู่


ถ้าหากไร้หนทางจริงๆ ถ้าอย่างนั้นการที่พวกเขาแฝงตัวเข้ามาเสี่ยงอันตราย ไม่เท่ากับรนหาที่ตายเปล่าๆ หรือ?


ความจริงในสายตาเขา ถึงแม้ที่ผ่านมาหลิงม่ออาจเหมือนทำเรื่องรนหาที่ตายมานับไม่ถ้วน แต่พอถึงตอนสุดท้ายมู่เฉินก็พบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด


แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา ตอนนี้พวกเขาเข้ามาถึงถิ่นของศัตรู ทันทีที่ก้าวเดินผิดก็มีแต่ความพ่ายแพ้รออยู่เท่านั้น


“พี่หลิงเอ๋ยพี่หลิง นายอย่ารังแกฉันอีกเลยนะ…” มู่เฉินพึมพำเสียงเบา


มีผนังห้องกันอยู่ หลิงม่อย่อมไม่รู้ว่ามู่เฉินกำลังพูดอะไรอยู่บ้าง


เขาไม่ได้กังวลใจเท่ามู่เฉิน และไม่ได้นั่งเค้นสมองคิดหาทางจนปวดหัว แต่กลับกำลังตรวจสอบตามซอกมุมในห้องอย่างละเอียดอยู่


ไม่รู้ว่าห้องนี้ถูกใช้ทำอะไรมาก่อน การตกแต่งไม่เลว สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน แต่เห็นชัดว่าเฟอร์นิเจอร์จำนวนมากถูกขนเข้ามาจากข้างนอก แม้แต่การตกแต่งก็ยังดูออกว่าผ่านการถูกปรังปรุงมาใหม่


เพื่อเติมเต็มความต้องการของเหล่าผู้มีความสามารถพิเศษ นิพพานสำนักงานใหญ่ได้ลงทุนลงแรงไปไม่น้อย


กำลังกายและกำลังใจที่นำมาทุ่มเทในด้านนี้ หากเป็นค่ายผู้รอดชีวิตค่ายอื่น คงจะเอามันมาค้นหาอาหารแทน แค่นี้ก็จะหิวตายอยู่แล้ว ยังจะมาพูดเรื่องไร้สาระอย่างความเพลิดเพลินในการใช้ชีวิตอะไรอีก


แต่ก็เพราะความแตกต่างที่ชัดเจนนี้เอง ที่ทำให้นิพพานสำนักงานใหญ่เป็นที่ดึงดูดท่ามกลางผู้มีความสามารถพิเศษมากมาย


ความคิดของบางคนนั้นง่ายดายมาก อย่างไรอยู่ว่างได้ไม่นานก็ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายอีกครั้งอยู่ดี ไม่ว่าเข้าร่วมค่ายไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยในช่วงเวลาที่ได้พักก็ขอเพลิดเพลินเต็มที่ดีกว่า ใครจะรู้ ครั้งหน้าที่ออกไปทำภารกิจอาจไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้วก็ได้ เพราะมีมีดแกว่งอยู่บนหัวตลอดเวลา ดังนั้นคนส่วนมากจึงกล้าทำอะไรอย่างไม่เกรงกลัวนัก หลิงม่อเดาว่าคนที่นี่น่าจะสะสมระดับผลงานได้ไม่มาก พวกเขาน่าจะใช้มันทันทีที่ได้มา


ในขณะที่ใช้ความคิดอยู่นั้น หลิงม่อก็ได้สำรวจพื้นห้องจนเสร็จ และเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เพดานห้องแทน


นิพพานสำนักงานใหญ่คงจะไม่ติดตั้งของประเภทกล้องวงจรปิดในห้องพักของผู้มีความสามารถพิเศษ หลิงม่อเองก็ไม่ได้กำลังตามหาสิ่งนั้นเหมือนกัน


เขายืนมองเพดานห้องอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมา 2 – 3 เส้น


หนวดสัมผัสทางจิตจะใช้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่หากเอามาใช้สำรวจห้องของตัวเองก็ไม่มีปัญหาอะไร


ไม่นาน สายตาของหลิงม่อก็หยุดจ้องไปยังจุดจุดหนึ่ง


เมื่อเขา “ลอยตัว” ขึ้นจากพื้นอย่างน่าประหลาด โคมไฟบนเพดานก็แกว่งไหวไปด้วย


พอลอยตัวขึ้นมาถึงกลางอากาศ หลิงม่อก็จ้องมองฝ้าเพดานสีขาวแผ่นนั้นที่กำลังกระตุกสั่นเล็กน้อย ไม่นานฝ้าแผ่นนั้นก็ถูกงัดออกจนเปิดเป็นช่องเล็กๆ


“ฮู่ว…”


หลังจากใช้หนวดสัมผัสดันฝ้าแผ่นนั้นให้เปิดออก หลิงม่อก็รีบล้วงเจ้าแมงกะพรุนตัวเล็กออกมาจากกระเป๋า


ก่อนหน้านี้เขาคิดอยากจะใช้เจ้าตัวเล็กนี้เป็นแบตเตอร์รี่สำรอง แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ มันกลับสามารถรับบทเป็นหุ่นยนต์สำรวจได้ด้วย


ตอนนี้เจ้าแมงกะพรุนตัวเล็กที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นของเล่น กำลังวิ่งไปวิ่งมาอย่างลิงโลดอยู่บนฝ่ามือของหลิงม่อ


“ย่อยสลายพลังได้ช้ามากจริงๆ ด้วย จนถึงตอนนี้พลังงานทางจิตที่อยู่ในตัวมันก็ยังอยู่ในสภาวะจำกัด…”


หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งค่อยๆ แผ่ออกมาจากดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อ จากนั้นก็แทรกเข้าไปในตัวเจ้าแมงกะพรุน


เนื่องจากกินจนอิ่มเกินไป ดังนั้นเมื่อหนวดสัมผัสเส้นนี้แทรกเข้ามามันจึงเพียงรวมอยู่กับพลังงานทางจิตที่อยู่ข้างใน ไม่ได้ถูกกลืนกินแต่อย่างใด


และที่หลิงม่อทำอย่างนี้ก็ไม่ได้อยากควบคุมมัน เพียงแต่ต้องการเชื่อมต่อกับพลังงานทางจิตของตัวเองเท่านั้น


“ถึงแม้ไม่มีความสามารถในการเก็บความจำ แต่ก็ถือว่าเป็นดวงแสงแห่งจิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนได้ล่ะนะ…”


หลิงม่อส่งตัวมันขึ้นไปบนเพดาน เขาตั้งสมาธิมั่น แล้วเจ้าแมงกะพรุนก็ปีนขึ้นไปในช่องเพดานนั้น


พอแมงกะพรุนเข้าไป หนวดสัมผัสเส้นนั้นก็หายไปทันที พร้อมกับที่ฝ้าแผ่นนั้นกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม


ถึงแม้แผ่นฝ้าจะปิดไม่แน่นเท่าตอนแรก แต่ถ้าหากไม่สังเกตดูดีๆ ก็ไม่มีทางเห็นความผิดปกติ


“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว” หลิงม่อกระโดดกลับมาบนพื้น ขณะเดียวกัน “มุมมองสายตา” อีกคู่หนึ่งก็ได้ถูกสับเปลี่ยนไปยังเจ้าแมงกะพรุน


แต่ความรู้สึกนี้แตกต่างจากตอนที่เขาควบคุมหุ่นซอมบี้ เจ้าแมงกะพรุนไม่มีความสามารถในการมองเห็น แต่ถึงจะมีก็คงใช้ไม่ได้เมื่อต้องไปอยู่ในท่อแบบนั้น


ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในความมืดมิด มีเพียงดวงแสงแห่งจิตที่อยู่ใกล้บ้างไกลบ้างเหล่านั้นเท่านั้นที่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน


แต่เจ้าแมงกะพรุนเคลื่อนไหวเร็วมาก หลิงม่อรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเหมือนวิญญาณ ที่ลอยผ่านดวงแสงแห่งจิตเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว และบินว่อนไปทั่วทั้งนิพพานสำนักงานใหญ่


“กรร!”


ซอมบี้ตัวหนึ่งกำลังเหวี่ยงแขนไปมา แต่แล้วจู่ๆ มันกลับขาอ่อนล้มตึงลงไปข้างหน้าทันที


เมื่อซอมบี้ตัวนี้ล้มลงไป ด้านหลังของมันก็ปรากฏเงาร่างบอบบางของใครคนหนึ่งซึ่งถือมีดโค้งเอาไว้


“ซอมบี้ที่นี่ยุ่งยากน่ารำคาญจริงๆ! ฆ่าหนึ่งตัวมาหนึ่งฝูง!” สาวมีดโค้งเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ภายใต้ปีกหมวก เธอหอบหายใจถี่ท่าทางดูไม่สบอารมณ์สุดขีด


ขณะเดียวกัน ชายคนหนึ่งก็กำลังล้มซอมบี้ตัวหนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สภาพของเขาถือว่าไม่เลว แต่ก็มีเหงื่อผุดขึ้นมาบางๆ แล้วเช่นกัน


“เราค้นหาที่นี่เกือบจะทั่วแล้ว น่าจะมั่นใจได้ว่าพวกนั้นไม่อยู่แล้วใช่ไหม? เธออย่าลืมล่ะ พวกเรามีเรื่องสำคัญต้องทำนะ” ชายคนนี้พูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย


“ชิ พูดเหมือนฉันกำลังทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอย่างนั้นแหละ นายก็ได้ยินเจ้าเฟิ่งจื่อแห่งฟอลคอนที่ 2 พูดแล้วนี่ หากต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขา ต้องตามหาคนคนนั้นให้พบก่อน” หญิงสาวพูดอย่างขุ่นเคือง


“โอเค~ เธอพูดถูกแล้ว” ชายหนุ่มสะบัดแขนอย่างจนใจ


“อย่ามาทำหน้าเอือมระอาใส่กันนะ!” หญิงสาวเคือง “ถึงแม้ฟอลคอนจะมีทรัพยากรไม่น้อย แต่ก็มีพอแค่เลี้ยงตัวเองเท่านั้น ฟอลคอนที่ 2 ต่างหากที่คุ้มค่าจะเชื่อมสัมพันธ์ด้วย แต่พวกเขาก็ไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของสำนักงานใหญ่ ที่ฉันทำก็เพื่อส่วนรวมทั้งนั้น! อีกอย่าง…อีกอย่างนี่ก็เป็นทางผ่านไม่ใช่รึไง!”


ชายหนุ่มทำหน้ายอมแพ้ บอกว่า “ทุกเรื่องพอออกมาจากปากเธอก็ฟังดูมีเหตุผลเสมอเลยนะ…ยังไงตอนนี้เราก็ค้นหาในเมืองชุ่ยเหอทั่วแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของพวกเขา ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปนิพพานสำนักงานใหญ่ก่อนเถอะ”


“เหอะ…” หญิงสาวได้ทีขี่แพะไล่กลอกตาขาวใส่อีกฝ่าย จากนั้นก็หันกลับไปมองเขา “ในเมื่อไม่เจอพวกเขา แล้วก็ไม่เจอซอมบี้ความแกร่งสูงสุดที่ว่านั่น…”


เธอขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบคอตัวเอง ทว่าบนลำคอของเธอ กลับไม่ได้สวมอะไรไว้…


สวบๆๆ—


เส้นหนวดของเจ้าแมงกะพรุนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นาน หลิงม่อก็ตามเจ้าแมงกะพรุนมาจนถึงบริเวณใกล้ๆ อาคาร 3 หลังที่อยู่ด้านหลัง


เขา “มองไม่เห็น” สิ่งของ แต่เขากลับสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงดวงแสงแห่งจิตที่อยู่ใกล้ๆ ผ่านพลังสัมผัสรู้อันยอดเยี่ยมของเจ้าแมงกะพรุน


ความจริง การทำอย่างนี้ถือว่ามีความเสี่ยงมาก แต่หลิงม่อเชื่อว่าคงไม่มีใครมานอนจ้องเพดาน นอกเสียจากว่าคนคนนั้นจะว่างมาก


“แปด…เก้า…สิบสาม…มีคนอยู่ตรงทางเดินทั้งหมดสิบสามคน…เมื่อกี้เจ้าคนแซ่หลี่บอกว่าที่นี่ไม่อนุญาตให้สมาชิกธรรมดาเข้า ถ้าอย่างนั้นปกติก็คงไม่มีใครมาเดินเพ่นพ่านแถวนี้สินะ แปลว่า ทั้งหมดนี่คือยามรักษาความปลอดภัย?”


—————————————————————————–


บทที่ 730 สำรวจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

แค่ทางเดินก็มียามเฝ้าตั้งสิบสามคนแล้ว ความสามารถในการป้องกันและรักษาความปลอดภัยของนิพพานสำนักงานใหญ่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ


หากเป็นคนอื่น คงจะคิดไม่ออกแล้วว่าควรทำอย่างไรกับสภาพแวดล้อมอย่างนี้ดี


ในความเป็นจริง ดูจากตาข่ายป้องกันของนิพพานสำนักงานใหญ่ แค่คิดจะแฝงตัวเข้ามาในนี้ก็ความหวังริบหรี่แล้ว หลิงม่อเองก็ใช้มู่เฉินเป็นหนอนบ่อนไส้ ถึงได้แฝงตัวเข้ามาได้ชั่วคราวอย่างนี้ คนอื่นแม้จะหมายตาที่นี่ แต่จะไปตามหาหนอนบ่อนไส้ที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้ได้จากที่ไหนล่ะ? นอกเสียจากต้องฆ่าคนของสาขาย่อยให้ตายหมด หรือไม่ก็ต้องมีสถานะเป็นสมาชิกของสาขาย่อย จึงจะสามารถกลายมาเป็นสมาชิกของสำนักงานใหญ่ได้


ถึงแม้จะดูปลอดภัยมากแล้ว แต่นิพพานสำนักงานใหญ่ก็ยังคงเลือกใช้วิธีการที่ระมัดระวังขนาดนี้ ไม่ว่าบุคคลระดับสูงของพวกเขาจะพิจารณาด้วยเหตุผลไหน ล้วนสามารถแสดงให้เห็นถึงความรอบคอบของพวกเขาได้เป็นอย่างดี


สถานการณ์อย่างนี้ทำให้หลิงม่อลำบากมาก แต่เขาก็ไม่มีทางถอยอย่างแน่นอน


ตรงกันข้าม ยิ่งพวกเขาให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ หลิงม่อก็ยิ่งคาดหวังกับสิ่งที่อยู่ในนี้มากขึ้น สิ่งที่อยู่ในนั้นต้องคุ้มค่ามากแน่ๆ ถึงได้คุ้มกันแน่นหนาขนาดนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นทั้งหมดนี้ก็คงเป็นแค่เรื่องสิ้นเปลือง


แม้เห็นคนจำนวนมาก แต่หลิงม่อก็ไม่ได้รีบร้อน เขาควบคุมแมงกะพรุนให้รออยู่ที่เดิมอย่างระมัดระวังพักหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อแน่ใจว่ายามทั้งสิบสามคนนี้ไม่รับรู้ถึงตัวตนของเจ้าแมงกะพรุน ถึงได้สั่งให้มันวิ่งผ่านท่อตรงนี้ไปอย่างรวดเร็ว


และหลังจากวิ่งผ่านท่อตรงนั้นมา มันก็มาถึงห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งทางเดินรูปตัวอักษร 品 ได้เชื่อมอาคารสามหลังนั้นกับห้องโถงแห่งนี้เข้าด้วยกัน


“อืม…เลือกทางไหนดีล่ะ?” หลิงม่อหยุดอยู่ที่ห้องโถง


เขาตัดทางเดินตรงกลางออกก่อนเป็นอันดับแรก เพราะตรงนั้นมียามยืนอยู่อีกสองคน ถึงแม้มองไม่เห็นด้วยตาว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร แต่ดวงแสงแห่งจิตของหนึ่งในสองคนนั้นดูเจิดจ้ากว่าปกติ ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต


ถ้าหากเจ้าแมงกะพรุนเข้าไปใกล้ อาจถูกจับได้ง่ายๆ


“ทางเส้นนี้มีคนเฝ้าอยู่ ไม่แน่อาจเป็นที่พักของพวกระดับสูงในนิพพานก็ได้ หรือไม่ก็ เป็นที่พักของลูกพี่ใหญ่…” หลิงม่อสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ได้ข้อสรุปว่าหากจะคิดหาทางอ้อมผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตคนนั้นไปก็ยังพอเป็นไปได้ แต่แทนที่จะทำอย่างนั้นเลย สู้ไปสำรวจตึกอื่นๆ ดูก่อนดีกว่า


“เริ่มจากด้านซ้ายก่อนแล้วกัน ถ้าหาอะไรไม่เจอก็ค่อยออกมาหาที่ตึกอื่นก็ได้”


หลังจากตัดสินใจ หลิงม่อก็เคลื่อนไหวเลียบฝั่งซ้ายของห้องโถงไปยังทางเดินด้านซ้ายอย่างช้าๆ


ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ใกล้มาก แต่หลิงม่อก็ยังคงระมัดระวังดวงแสงแห่งจิตของผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตคนนั้นอยู่ทุกวินาที


เจ้าแมงกะพรุนตัวนี้พาเขาเข้ามา แล้วยังสร้างความประทับใจแรกพบให้ยามค้นตัวอีก หากถูกจับได้ หลิงม่อคงต้องหาทางหนีทันที


ในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายไม่เห็นรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าแมงกะพรุน ก็คงจะไม่มีจินตนาการที่แปลกประหลาดพอที่จะนึกถึงเจ้าแมงกะพรุนได้


ยิ่งเข้าใกล้ หลิงม่อก็ยิ่งเคลื่อนไหวช้าลง


ดวงแสงแห่งจิตดวงนั้นยังคงเคลื่อนไหวไปทางซ้ายและทางขวา ซึ่งนั่นพอจะทำให้นึกภาพออกว่ายามคนนี้กำลังเดินวนไปวนมา


“โอย นายจะสมาธิสั้นเกินไปแล้ว…”


หลิงม่อต้องพยายามผ่านไปอย่างปลอดภัยให้ได้ แน่นอนว่าต้องเลือกจังหวะที่ยามคนนั้นอยู่ห่างที่สุด แต่เจ้าหมอนั่นกลับเดินไปเดินมา แถมยังเดินเร็วด้วย หลิงม่อจึงหงุดหงิดขึ้นมาชั่วขณะ


และที่โชคร้ายกว่านั้นคือ สุดท้ายเขาก็หยุดยืนอยู่ฝั่งซ้ายของห้องโถง!


“โชคไม่ดีจริงๆ…”


หลิงม่อพูดไม่ออก ทว่าถึงแม้มองไม่เห็น แต่เจ้าแมงกะพรุนกลับมีระบบสัมผัสรู้ต่อสภาพแวดล้อมอยู่ด้วย


ในฐานะมนุษย์ หลิงม่อย่อมไม่มีทางมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสัมผัสรู้ของมัน ทว่าหลังจากมีปฏิกิริยากับ “โลกแห่งดวงจิต” หลิงม่อก็ได้รับข้อมูลที่ถูกส่งกลับมา


“อืม…มีกลิ่นหญ้า ถ้าอย่างนั้นที่นี่ก็ปลูกพืชในร่ม?”


ในห้องโถงใหญ่แบบนี้จะวางต้นไม้เป็นของประดับตกแต่งบ้างก็ไม่แปลก แต่พืชเหล่านั้นได้กลายพันธุ์ไปหมดแล้ว ต้องเป็นคนที่มีรสนิยมแปลกขนาดไหนถึงได้รู้สึกว่ามันน่าชื่นชมกัน…


“สมกับที่เป็นสถานที่ที่สร้างหมายเลข 1 กับซอมบี้สุนัขจริงๆ”


หลิงม่อคิดในใจ ขณะเดียวกันก็ควบคุมให้เจ้าแมงกะพรุนหลบเข้าไปในมุม


หลิงม่อล็อคเป้ากระถางต้นไม้กระถางหนึ่ง โดยหยิบยืมพลังสัมผัสรู้ของเจ้าแมงกะพรุน


เขาจะมัวเสียเวลารอยามคนนั้นเดินกลับไปกลับมาไม่ได้ แทนที่จะรอเฉยๆ สู้หาวิธีที่ปลอดภัยกว่าไม่ดีกว่าหรือ…


“แกร๊ก”


“เสียงอะไร?” ยามสองคนหยุดกึกพร้อมกัน


ไม่นาน คลื่นของดวงแสงแห่งจิตที่เจิดจ้ากว่าปกติดวงนั้นก็รุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันพลังงานทางจิตกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้าไปทางที่เกิดเสียง


แต่ในตอนนั้น บนเพดานมีแสงสีแดงประกายวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เจ้าแมงกะพรุนวิ่งผ่านศีรษะของผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้น และพุ่งเข้าไปในทางเดินฝั่งซ้ายอย่างรวดเร็ว


“สำเร็จ!”


ฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายเผลอ วิ่งฝ่าด่านไปอย่างรวดเร็ว อาจฟังดูง่าย แต่ก็ต้องอาศัยการตัดสินใจที่แม่นยำมาก


และการที่หลิงม่อแผ่หนวดสัมผัสของตัวเองออกไปโจมตีกระถางต้นไม้ที่อยู่ข้างล่าง ก็ถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขาทำสำเร็จ


“มีเจ้าแมงกะพรุนคอยช่วยนี่เยี่ยมจริงๆ เลย…แค่ระวังตัวให้มากพอ ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะตามหากลุ่มวิจัย แถมความเป็นไปได้ที่สถานที่อย่างนี้จะมีชั้นใต้ดินก็ไม่สูงมาก…”


นิพพานสำนักงานใหญ่ในที่นี้ ความจริงก็คือสำนักงานใหญ่ของบริษัทนิพพานเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์จำกัดนั่นเอง ถึงแม้ในสายตาของผู้รอดชีวิตที่นี่จะยอดเยี่ยมมาก แต่ถึงอย่างไรทรัพยากรที่สามารถใช้ได้หลังเกิดภัยพิบัติก็มีจำกัด หลิงม่อจึงไม่ได้คาดหวังต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของที่นี่ในระดับที่เกินจริง ข้อดีของนิพพานสำนักงานใหญ่อยู่ที่จำนวนผู้มีความสามารถพิเศษที่มากกว่า และมีตัวทดลองอีกมากมาย แต่หากหลีกเลี่ยงปลายมีดของพวกเขาไปได้ กลอุบายเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของหลิงม่อ กลับเป็นสิ่งที่พวกเขายากจะรับมือได้ (ปลายมีด อุปมาว่า ความสามารถที่แสดงออกมา)


หลิงม่อวิ่งพุ่งเข้าไปในตัวอาคารภายในอึดใจเดียว ขณะเดียวกันเขาก็อดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้


ตอนนี้ เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดจางๆ โดยผ่านตัวกลางอย่างเจ้าแมงกะพรุนแล้ว…


ในทางเดินที่ทอดยาวเหยียด ถูกความเงียบสงัดกลืนกิน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมพัดอันเบาหวิว


ฝั่งหนึ่งของทางเดิน มีแต่ประตูห้องที่ล้วนถูกปิดแน่นสนิท และไม่สามารถมองเห็นข้างในได้


และทางเดินอีกฝั่งซึ่งมีหน้าต่าง ก็ถูกผ้าม่านสีดำทึบปิดจนมิด


มีเพียงแสงอ่อนๆ ที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามา แต่นั่นไม่เพียงไม่ได้ทำให้ที่นี่ดูสว่างขึ้น ตรงกันข้าม มันกลับทำให้บรรยากาศที่นี่น่าขนลุกไปอีกแบบ


“แอ๊ด…”


ทันใดนั้น ประตูบานหนึ่งถูกผลักออกเบาๆ พร้อมกับที่เงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อกาวน์สีขาวเดินออกมาจากในนั้น


ในมือเธอโอบเอกสารชุดหนึ่งไว้ หลังยกมือขึ้นดันแว่นเล็กน้อย เธอก็เดินมุ่งหน้าไปทางบันไดทันที


ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ หญิงสาวก็ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง เธอเผยแววตาสงสัย พร้อมกับหันมองซ้ายมองขวา


แต่หลังจากที่เสียงฝีเท้าของเธอเงียบลง ทางเดินเส้นนี้ก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง และไร้ซึ่งเงาร่างคนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง…


“น่าแปลก เมื่อกี้รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องเราอยู่แท้ๆ…”


หญิงสาวหยุดรออยู่ไม่กี่วินาที หลังจากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วแล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม และไม่นานเธอก็เดินหายไปตรงบันไดทางนั้น


เสียงฝีเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับที่ทางเดินเส้นนี้ได้กลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง


“นึกว่าจะถูกเธอจับได้ซะแล้ว สัญชาตญาณของผู้หญิงนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ…” ในอาคารหอพัก ร่างจริงของหลิงม่อกำลังถอนหายใจโล่งอก


ผู้หญิงคนนี้ทั้งที่ไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษ กระทั่งอาจมีความเป็นไปได้มากว่าเธอจะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่เธอก็ยังสัมผัสได้แวบหนึ่ง ถือได้ว่าสัญชาตญาณของเธอแรงไม่เบา


แต่ในสภาพแวดล้อมประหลาดๆ อย่างนี้ การที่จะมีสมาธิจดจ่อมากกว่าปกติก็ไม่ใช่เรื่องแปลก…


หลิงม่อไม่คิดว่าที่นี่ถูกทำให้กลายเป็นอย่างนี้ เพื่อจงใจสร้างบรรยากาศน่าขนลุกอย่างนี้ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นกลอุบายการรักษาความลับที่ง่าย แต่มีประสิทธิภาพมาก


สถานที่ที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นขนาดนี้ ก็คงจะมีเพียงฐานทดลองและวิจัยของนิพพานสำนักงานใหญ่เท่านั้น…


ที่ที่กลุ่มวิจัยอยู่!


หลังจากเข้ามาที่นี่ กลิ่นคาวเลือดฉุนขึ้นอย่างชัดเจน แถมยังมีกลิ่นของเชื้อไวรัสจางๆ ผสมอยู่ด้วย


ในตอนนั้นเอง มีแมงกะพรุนสีแดงตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งกำลังค่อยๆ ปีนออกมาจากเงามืดบนเพดาน


เจ้าแมงกะพรุนห้อยหัวลงมาจากบนเพดาน และอาศัยเงามืดเพื่ออำพรางกาย จึงยากที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


ในสถานที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพออย่างนี้ เหมาะแก่การทำภารกิจของหลิงม่ออย่างยิ่ง


ฟึบๆๆ…


เสียงเคลื่อนไหวอันเบาหวิวดังขึ้น พร้อมกับที่เจ้าแมงกะพรุนเข้าไปใกล้ห้องที่หญิงสาวคนเมื่อกี้เดินออกมาอย่างรวดเร็ว


เจ้าแมงกะพรุนมีร่างกายที่จับต้องได้ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถมุดเข้าไปในทุกที่ดั่งใจอยากได้ อีกอย่างหน้าต่างที่นี่ถูกปิดตายหมดแล้ว ถึงมันจะอ้อมไปทางหน้าต่างของห้องนี้ ก็คงไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี


“มันต้องมีช่องระบายอากาศสิ…” หลิงม่อค้นหาอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขากลับไม่เจออะไรเลย


หลังครุ่นคิด เขาก็แยกหนวดสัมผัสทางจิตออกไปอีกหนึ่งเส้น จากนั้นก็ควบคุมให้มันมุดเข้าไปในรูกุญแจ


สำหรับหลิงม่อการทำอย่างนี้ถือเป็นเรื่องยากพอสมควร ถ้าหากร่างจริงของเขาอยู่ที่นี่มันก็คงเป็นเรื่องง่ายๆ แต่นี่ตัวเขาอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร ซ้ำยังต้องอาศัยความสามารถในการสัมผัสรู้ของเจ้าแมงกะพรุนเพื่อแยกแยะทิศทางอีก ดังนั้นระดับความยากถึงได้เพิ่มสูงขึ้นมาก


หลิงม่อพยายามอยู่หลายสิบวินาที แต่เขาก็ทำสำเร็จในที่สุด


“เห็นอย่างนี้ ก็ถือเป็นการฝึกฝนพลังจิตที่ดีเหมือนกันนะ…”


เมื่อหนวดสัมผัสเข้าไป หลิงม่อก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา


เรื่องที่ยากสำหรับสถานที่แห่งนี้ก็คือเหล่าผู้มีความสามารถพิเศษที่กระจายตัวกันอยู่ทุกที่ ไม่แน่หากมีคนใช้พลังจิตสำรวจ เขาอาจถูกจับได้ทันทีก็เป็นได้


ทว่าห้องนี้เพิ่งจะมีคนเดินออกไปเมื่อกี้ บางทีข้างในอาจจะไม่มีใครอยู่แล้ว


แต่นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นหลิงม่อจึงลดความเร็วลงให้มากที่สุด


เมื่อหนวดสัมผัสมุดผ่านเข้าไปในรูกุญแจ หลิงม่อก็สามารถจับคลื่นของดวงแสงแห่งจิตที่อยู่ในห้องได้ทันที…


มีคนอยู่!


หนวดสัมผัสของหลิงม่อหดตัวทันที ขณะเดียวกัน ร่างจริงก็สูดหายใจเฮือก


นิ่งรออยู่หลายวินาที พอพบว่าในห้องไม่มีปฏิกิริยาที่ผิดปกติ หลิงม่อจึงได้ควบคุมให้หนวดสัมผัสแผ่เข้าไปอีกครั้ง


—————————————————————————–


บทที่ 731 นักฆ่าเลื่อยไฟฟ้า ผู้หญิงก็เป็นได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถึงแม้หนวดสัมผัสเข้าไปแล้ว แต่อย่างมากก็ทำได้เพียงตรวจจับดวงแสงแห่งจิตได้เพียงชั่วครู่ ไม่อาจตรวจจับสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างชัดเจน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาต่อพลังตรวจจับ หลิงม่อจึงกล้าให้เจ้าแมงกะพรุนไปอยู่หน้ารูกุญแจด้วย


ด้วยขนาดร่างกายของเจ้าแมงกะพรุนมันไม่มีทางมุดเข้าไปได้แน่ แต่พอเส้นหนวดเล็กๆ เหล่านั้นแทงเข้าไป กลับสามารถสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ข้างในได้คร่าวๆ


และนี่ก็คือข้อได้เปรียบของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ซอมบี้ไม่มีทางสู้เจ้าแมงกะพรุนได้ในเรื่องนี้ เพราะซอมบี้สามารถได้ยินเสียงอันเบาหวิว สามารถดมกลิ่นของคนที่อยู่ข้างในได้ แต่หากจะให้พวกมันรายงายสภาพแวดล้อมทั้งหมดในนั้น ก็คงเป็นเรื่องยากเกินไป


อุณหภูมิ แสงสว่าง ความกว้างของพื้นที่ กระทั่งสามารถคาดเดาได้ว่าข้างในมีสิ่งของอะไรอยู่ในตำแหน่งใดบ้างผ่านการดมกลิ่น…ข้อเสียเดียวของเจ้าแมงกะพรุนก็คือมันไม่สามารถมองเห็นได้ เรื่องนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อมัน แต่สำหรับหลิงม่อเรื่องนี้ค่อนข้างน่าปวดหัว และเหตุผลมีเพียงข้อเดียว คือเขาไม่ชิน…


ตอนนี้เขารู้สึกประหลาดมาก เหมือนวิญญาณที่หลุดลอยออกจากกายสังขาร และกำลังแอบมองสถานการณ์ในห้องผ่านรูกุญแจนี้ ถึงแม้จะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะเขาสามารถวาดภาพสภาพแวดล้อมทั้งหมดในสมองได้ ซึ่งการทำอย่างนี้ก็อาจมีส่วนที่ถูกแต่งเติมขึ้นจากจินตนาการบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากความจริงมากจนเกินไป


เป็นอย่างที่คิด ในห้องไม่ได้เปิดหน้าต่างไว้ ไม่มีลมเลยแม้แต่น้อย อุณหภูมิค่อนข้างสูง แสงสว่างก็มีไม่เพียงพอ รอบด้านมีแต่ความมืด มีเพียงโคมไฟที่อยู่กลางห้องที่ส่องสว่างอยู่เพียงดวงเดียว


จากประสบการณ์ของหลิงม่อ โคมไฟดวงนั้นจะต้องถูกคลอบไว้ด้วยโป๊ะโคมที่สามารถเก็บแสงไว้บริเวณกลางห้องแน่นอน


พอสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมอย่างนั้น หลิงม่อก็ดีใจขึ้นมา เพราะนั่นเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อเขามาก ถึงจะแอบเข้าไปก็ไม่ถูกจับได้ง่ายๆ


ฉวยโอกาสสำรวจสถานการณ์ในห้องอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ถึงแม้จะได้อะไรไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ได้รู้จักกลุ่มวิจัยเพิ่มขึ้นบ้าง


แต่จะทำอย่างไรให้เจ้าแมงกะพรุนเข้าไปในนั้นได้โดยไม่ถูกจับได้ นั่นก็เป็นปัญหาที่ยากอีกหนึ่งปัญหา


หลิงม่อพุ่งเป้าความสนใจไปยังดวงแสงแห่งจิตที่อยู่ในห้อง ความจริงที่นี่ไม่ได้มีดวงแสงแห่งจิตเพียงดวงเดียว หนึ่งในนั้นกำลังง่วนอยู่กับการทำบางสิ่งอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่ไฟส่องสว่างที่สุด ส่วนอีกหลายดวงที่เหลือกลับกำลังรวมตัวกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ความจริงห้องนี้กว้างมากทีเดียว เพราะตอนแรกหลิงม่อไม่ทันสังเกตเห็นเหล่าดวงแสงแห่งจิตที่รวมตัวกันอยู่ทางนั้น แต่พอตอนนี้ลองเพ่งสมาธิสังเกตดูดีๆ เขาก็สะดุ้งขึ้นมาทันที


ซอมบี้?


แน่นอนว่าการคาดเดานี้ไม่แม่นยำนัก เพราะไม่แน่ว่าหนึ่งในนั้นอาจเป็นดวงแสงแห่งจิตของสัตว์กลายพันธุ์ก็ได้ แต่จากกลิ่นอายที่เจ้าแมงกะพรุนสัมผัสได้ หลิงม่อกลับเอนเอียงไปทางซอมบี้มากกว่า


“วันนี้ถือว่าดวงดีไม่เลว แค่สุ่มเลือกเส้นทางแล้วบังเอิญกลุ่มวิจัยก็ถือว่าแจ็คพอตแล้ว ไม่คิดเลยว่าแม้แต่คนที่เจอคนแรกก็เป็นคนของกลุ่มวิจัยด้วย” หลิงม่อยกฝ่ามือสองข้างขึ้นถูกไปมา นี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ทว่าขณะเดียวกันเขาก็เริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าเอกสารที่ผู้หญิงคนนั้นถือไว้เป็นของประเภทรายงายวิจัย เขาคงตามเธอไปแล้ว


แต่พลาดไปแล้วก็แล้วไป เพราะถึงอย่างไรหลิงม่อก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่าจะสามารถขวางเอกสารนั้นไว้ได้ หรือถึงแม้จะขวางไว้ได้ แล้วจะเอากลับมาได้อย่างไรก็ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง เจ้าแมงกะพรุนมันอ่านเอกสารไม่ได้ซักหน่อย…


“ในฐานะไส้ศึก เจ้าแมงกะพรุนตัวนี้ยังขาดคุณสมบัติอยู่อีกหลายจุด…”


หลิงม่อสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าคนคนนั้นไม่ขยับไปไหน เขาก็รีบเพ่งสมาธิควบคุมหนวดสัมผัสให้ปลดล็อคกลอนประตู


เมื่อหนวดสัมผัสค่อยๆ ลูบไปจนเจอมือจับประตู สีหน้าของหลิงม่อก็เคร่งเครียดขึ้นมา


การต้องเคลื่อนไหวยากๆ ทั้งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร หากเผลอไปแม้แต่วินาทีเดียวก็ล้มเหลวได้


และการที่หลิงม่อสามารถฝึกพลังควบคุมได้ถึงขั้นนี้ ก็เป็นผลจากการที่เขาพยายามอย่างหนักทุกวัน เขาลงแรงกายแรงใจไปมากจริงๆ


หนวดสัมผัส ความจริงคือสายพลังจิตที่นำมาใช้ควบคุมหุ่นซอมบี้ ดังนั้นหากใช้กับซอมบี้ก็เป็นเรื่องง่าย แต่หากจะใช้ทำอย่างอื่น มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากมาก


หลิงม่อเพ่งสมาธิจนหางตากระตุกยิกๆ จนในที่สุดก็สามารถควบคุมให้หนวดสัมผัสพันรอบมือจับประตูจนสำเร็จ


และไม่รอช้า เขาแปลงหนวดสัมผัสทางจิตให้กลายเป็นรูปสสาร!


ในเสี้ยววินาทีที่หนวดสัมผัสกลายเป็นสสาร หลิงม่อรู้สึกได้ว่าพลังจิตของตัวเองเผาผลาญเร็วขึ้นเกือบสองเท่า


ทว่าปริมาณพลังจิตโดยรวมของเขาในตอนนี้ แค่สองเท่าไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่


แกร๊กๆๆ…


มือจับประตูบิดช้าๆ ขณะที่คนในห้องไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย


หลิงม่อรวบรวมสมาธิขั้นสูงสุด…ถึงแม้การที่ร่างจริงระมัดระวังตัวขนาดนี้ จะไม่ได้ส่งผลต่อภาพรวมก็ตามแต่เขาก็หลีกเลี่ยงอารมณ์ร่วมไม่ได้


แกร๊ก


เมื่อเสียงดังขึ้นเบาๆ หลิงม่อมองเห็นดวงแสงแห่งจิตของอีกฝ่ายกระตุกเล็กน้อย


ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังตามมา ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าคนคนนั้นกำลังเดินมาทางประตู


แต่ในขณะที่เจ้าของดวงแสงแห่งจิตดวงนั้นเดินเข้ามาจนอยู่ห่างประตูไม่ถึงห้าเมตร ก็มีเสียง “ป๊าบ” ดังมาจากในห้อง


เสียงนี้ดังฟังชัด และไม่นานเสียงคำราม “กรร” ก็ดังตามมาติดๆ


เสียงคำรามนี้น่าขนลุกมาก จนหลิงม่อสะดุ้งโหยงไปทั้งตัว


คนคนนั้นชะงักฝีเท้า พร้อมกับรีบหมุนตัวสาวเท้ากลับไปอย่างเร่งรีบ


แต่ในวินาทีนั้นเอง ที่บานประตูถูกผลักออกเบาๆ และมีแสงสีแดงประกายวาบเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว


เสี้ยววินาทีที่บานประตูถูกปิดลงเบาๆ คนคนนั้นก็เดินกลับมาอีกครั้ง


ตอนนี้เจ้าแมงกะพรุนอยู่บนเพดาน และหลิงม่อก็กำลังจ้องดวงแสงแห่งจิตของอีกฝ่ายจากข้างบน


แต่เห็นชัดว่าอีกฝ่ายเพียงเปิดประตูยื่นหน้าออกไปดูนอกห้องเล็กน้อย จากนั้นก็ปิดประตู


และฉวยโอกาสในช่วงนั้น หลิงม่อได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้บรรดาดวงแสงแห่งจิตที่รวมตัวกันอยู่เรีบยร้อยแล้ว


“กลิ่นสนิม…แล้วยังมีกลิ่นไหม้อีก…กรงขังงั้นหรอ? ไฟช็อต?” ไม่นานหลิงม่อก็คาดเดาได้ใกล้เคียงความจริง


ในห้องนี้มีซอมบี้ถูกขังหลายตัว และมีเจ้าหน้าที่วิจัยเหลืออยู่หนึ่งคน…


หลิงม่อคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาเส้นหนึ่งให้ยื่นไปทางดวงแสงแห่งจิตของซอมบี้ตัวหนึ่งในกลุ่มนั้น…


ในมุมห้องมืดๆ กรงขังจำนวนหนึ่งถูกวางเรียงรายกันอยู่ข้างๆ และในกรงขังก็มีซอมบี้ที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวน


ร่างกายของซอมบี้เหล่านี้ส่วนมากเต็มไปด้วยบาดแผล มีกระทั้งแผลเป็น แต่พวกมันกลับเอาแต่เบิกตากว้างอยู่ตลอดเวลา


ทันใดนั้น ดวงตาของซอมบี้ตัวหนึ่งในกลุ่มพลันดูเหม่อลอยไปทันที ผ่านไปไม่นาน ร่างกายของมันก็กระตุกสั่น มันเงยหน้ามองเข้าไปภายในห้อง


“อ่า…”


หลิงม่อต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าจะคุ้นเคยกับการควบคุมสองขั้นอย่างนี้ ความรู้สึกเท้าหนักอึ้งเหมือนการที่ต้องอยู่บนท้องฟ้ามาโดยตลอด แล้วจู่ๆ ต้องลงมาอยู่บนพื้นดิน


และมันก็เป็นภาระต่อการเผาผลาญพลังจิตของหลิงม่ออย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกันเขายังต้องควบคุมและปรับการถ่ายเทพลังงานทางจิตให้เข้ากันด้วย


“เอ๋? โซ่เหล็ก?”


หลิงม่อค้นพบโซ่เหล็กบนตัวซอมบี้อย่างรวดเร็ว กระทั่งบนปากก็ยังมีด้วย


โซ่เหล็กนี้เหมือนโซ่ที่เขาเห็นบนตัวซอมบี้สุนัขมาก และชัดเจนว่าสิ่งที่ช็อตพวกมันด้วยไฟฟ้าก็คือสิ่งนี้


ซอมบี้ที่เขาเลือกตัวนี้ยังถือว่ามีพละกำลังเต็มเปี่ยมอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่มันไม่ตายในเร็วๆ นี้แน่ และสำหรับซอมบี้ การที่ไม่ตายก็เท่ากับยังมีพลังงานเต็มเปี่ยม สามารถฉีกทึ้งร่างกายคนได้อย่างง่ายดาย วิธีที่อีกฝ่ายใช้กักขังบรรดาปีศาจเหล่านี้ในตอนแรก ก็คือใช้โซ่เหล็กมัดพวกมันไว้เหมือนบ๊ะจ่าง


หลิงม่อรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับการมัดอย่างนี้ เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วก็ร้อง “อ๋อ” ขึ้นมาทันที


ไม่น่าล่ะถึงได้คุ้นนัก เขาเคยเห็นภาพคล้ายๆ กันนี้ในความทรงจำของสมาชิกนิพพานที่อยู่รอบนอก วิธีจับกุมซอมบี้ของสมาชิกในกลุ่มนิพพาน ก็คือการใช้โซ่เหล็กมัดไว้…


“จับเป็นได้มากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”


หลิงม่อควบคุมให้หุ่นซอมบี้ลองขยับตัว แต่ก็พบว่าแขนขาทั้งสี่ถูกมัดแน่นอย่างที่คิดไว้ จากความรู้สึกที่ถูกส่งมาจากท่อนแขน เห็นชัดว่ามันเคยถูกตีแขนหักมาแล้ว ทว่าอาศัยพลังฟื้นตัวอันยอดเยี่ยมของซอมบี้ ขอเพียงไม่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อน ล้วนสามารถฟื้นสภาพกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ทั้งนั้น จุดนี้มนุษย์ไม่มีวันไล่ตามได้ทันอย่างแน่นอน


สำหรับมนุษย์ แค่เพียงถูกสัมผัสเบาๆ ก็อาจส่งผลถึงตายหรือเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้ สำหรับซอมบี้ ขอเพียงแขนขาไม่ขาดเป็นสองท่อนก็สามารถฟื้นพลังได้เต็มที่ ดังนั้นเพราะเหตุผลนี้จำนวนของมนุษย์และซอมบี้ถึงได้แตกต่างกันมหาศาล


ไม่มีความรู้สึกร่วม หลิงม่อจึงไม่คิดจะสังเกตว่าซอมบี้เหล่านี้ถูกทรมานอย่างไรบ้าง เรื่องที่เขาอยากรู้ก็คือ เจ้าหน้าที่วิจัยหล่านี้เอาซอมบี้มาทำอะไร


“หืม? นี่มัน…”


สายตาของหลิงม่อเลื่อนไปเห็นถังขยะใบหนึ่งที่อยู่นอกกรงขัง เขาเห็นเข็มฉีดยาถูกทิ้งไว้ในนั้นจำนวนหนึ่ง ดูจากหัวเข็มที่บิดงอและคราบเลือดที่เลอะติดอยู่ เห็นชัดว่ามันเคยแทงเข้าไปในผิวหนังของซอมบี้มาก่อน ทว่าอาศัยเพียงหัวเข็มไม่มีทางแทงเข้าไปในผิวหนังซอมบี้ได้แน่ พวกเขาต้องใช้วิธีอื่นช่วยด้วยอย่างแน่นอน


“เชี่ยย เลื่อยไฟฟ้า?”


“นั่นคงไม่ใช่ดอกสว่านหรอกนะ…”


“มีขวานด้วย!”


สายตาของหลิงม่อเริ่มเลื่อนไกลออกไปทีละนิดๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกตึงหนังศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่เห็นทำเอาเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง!


เมื่อเขามองเห็นเงาร่างของคนที่สวมชุดกาวน์สีขาวคนนั้น ในสมองก็เหลือเพียงความคิดเดียว


คนคนนี้ก็คือนักฆ่าเลื่อยไฟฟ้าแห่งเมืองเฮยสุ่ย…


ทว่าหลังจากเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน หลิงม่อแทบสำลักออกมา


ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิง! เป็นผู้หญิงไปได้ยังไงกัน!


อีกทั้งพอมองจากด้านข้าง เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่มัดผมหางม้าและดูมีการศึกษาคนหนึ่ง!


หลิงม่อลอบกลืนน้ำลาย เขานึกภาพเธอถือเลื่อยไฟฟ้าหรือเหวี่ยงขวานใส่ซอมบี้พวกนี้ไม่ออกเลย…


แต่พอถึงนึกเหล่าซอมบี้สาวของตัวเอง หลิงม่อก็เลิกประหลาดใจทันที


เทียบกับพวกเธอ ผู้หญิงคนนี้ยังถือว่าอ่อนโยนกว่ามาก…


“เอ๊ะ ไม่ใช่สิ พวกเย่เลี่ยนทำเพราะนั่นเป็นสัญชาตญาณของเผ่าพันธุ์ แต่ผู้หญิงคนนี้…”


หลังจากรู้สึกขนลุกอยู่ครู่หนึ่ง หลิงม่อก็ละความสนใจออกจากตัวเธอ


ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางคาดคิดว่าจู่ๆ ซอมบี้ตัวหนึ่งในกรงขังจะกลายเป็นคนอื่น ตอนนี้เธอกำลังตั้งใจส่องดูบางอย่างอย่างละเอียดผ่านกล้องจุลทรรศน์อยู่


และสิ่งที่เธอกำลังดูอยู่ ก็ต้องไม่ใช่อะไรดีๆ แน่นอน…


บนพื้นถือว่าสะอาดมาก แต่มันก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะมนุษย์ต้องการรักษาระยะห่างกับเลือดของซอมบี้มาแต่ไหนแต่ไร


แต่ใต้กรงขังไม่เหมือนกัน หลิงม่อกระทั่งสังเกตเห็นว่าด้านหน้ากรงขังถูกทำให้ยุบลงไปเป็นราง และในรางนั้นก็เต็มไปด้วยคราบเลือดเก่าๆ


“ดูเหมือนที่นี่จะถูกใช้งานมานานมากแล้ว พวกเขาเริ่มทำการทดลองตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?”


ทว่าที่นี่ไม่เหมือนสถานที่ที่มีไว้เพื่อทำการทดลองธรรมดาเลยซักนิด แต่กลับเหมือนมีไว้เพื่อทำการทดลองทางเคมีมากกว่า หลิงม่อเห็นเครื่องมือและอุปกรณ์มากมายบนโต๊ะวางเครื่องมือที่อยู่ด้านหลังผู้หญิงคนนั้น มันดูเหมือนเครื่องตรวจเลือด แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่


“ท่าทางเธอไม่น่าจะใช่ผู้มีความสามารถพิเศษ คงไม่ใช่ว่าเป็นหมอหรอกนะ?” หลิงม่อใช้ความคิดเล็กน้อย แต่สายตากลับมองไปยังโต๊ะวางเครื่องมือที่อยู่ไม่ห่าง


มีแท่นพาเลท (แท่นรองรับบรรจุภัณฑ์) แท่นหนึ่งถูกวางไว้ตรงนั้น และมีเอกสารวางไว้ในนั้นหนึ่งตั้ง…


—————————————————————————–


บทที่ 732 “S” อีกแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิงม่อคาดหวังกับกลุ่มวิจัยไว้สูงมาก เพราะพวกเขาสร้างผลการทดลองที่น่าขนลุกขึ้นมามากมาย


สามารถเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอย่างซอมบี้ให้น่าสะพรึงยิ่งกว่าเดิมได้ เท่านี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว


ความจริง รายงานวิจัยตั้งนั้นอยู่ไม่ห่างจากหุ่นซอมบี้มากนัก แต่จะยื่นแขนออกไปหยิบก็ไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหลิงม่อจะยืนมองเฉยๆ


เขาจ้องผู้หญิงคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนสายตาไปมองแท่นพาเลทตรงนั้น


ทันใดนั้น รายงานวิจัยตั้งนั้นก็สั่นเบาๆ แล้วขอบของกระดาษแผ่นที่อยู่บนสุดก็ถูกยกขึ้น


เหมือนมีใครใช้นิ้วหนีบกระดาษแผ่นนั้นไว้ จู่ๆ กระดาษแผ่นนั้นก็ถูกหยิบขึ้นอย่างน่าพิศวง โดยที่เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย


“สายตาของซอมบี้นี่สุดยอดตามคาดจริงๆ…” หลิงม่อเริ่มอ่านทันที


ความรู้สึกตอนนี้หวาดเสียวเหมือนเขากำลังเดินบนเส้นลวด ด้านหนึ่งเขาต้องจดจำเนื้อหาในเอกสารให้เร็วที่สุด อีกด้านเขาต้องระวังเจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นไปด้วย เมื่อใดที่เธอหันมาทางขวา เธออาจช็อกจนปากอ้าตาค้างไปเลยก็ได้ ลองนึกภาพดูสิ จู่ๆ ก็มองเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศในห้องที่ไม่มีใครอยู่ ไม่ว่าใครก็ต้องช็อกกันทั้งนั้น


หลิงม่อเพิ่งเคยใช้วิธีนี้เป็นครั้งแรก ถึงแม้ระดับการเผาผลาญพลังจิตจะเพิ่มขึ้น แต่ผลที่ได้ก็น่าพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด


นี่ถือเป็นวิธีใหม่ที่หลิงม่อค้นพบ การใช้ประโยชน์จากเจ้าแมงกะพรุน ทำให้แผนการแฝงตัวของเขาราบรื่นขึ้นมา


“ข้อมูลสถิติที่ถูกเขียนไว้นั่น อ่านไม่รู้เรื่องเลยแฮะ แต่โชคดีที่เขียนสรุปไว้ด้วย…” หลิงม่อเกาหัวแกรกๆ “เอกสารแยกแยะระดับความเข้มข้นของเชื้อไวรัสที่อยู่ในเลือดซอมบี้ในแต่ละระดับ? แล้วยังเป็นฉบับแก้ไขครั้งที่เจ็ดอีกต่างหาก? โคตรยาว โคตรเป็นทางการ”


หลิงม่อตะลึง


ความจริง ทฤษฎีพื้นฐานพวกนี้เขาก็เข้าใจเหมือนกัน และไม่แน่ว่าเขาอาจรู้ก่อนสมาชิกนิพพานพวกนี้ด้วยซ้ำ แต่เขามีเพียงแนวความคิดคร่าวๆ ไม่อาจวิเคราะห์แยกแยะออกมาเป็นข้อมูลสถิติละเอียดได้อย่างนี้


ให้เขาเคาะแป้นพิมพ์ยังพอได้ แต่ตรวจเลือด…ขอผ่านดีกว่า เพราะประสบการณ์ที่เขามีในเรื่องพวกนี้ก็มีแค่เคยเป็นฝ่ายถูกตรวจเลือดเท่านั้น…


แค่เห็นหัวข้อของรายงานฉบับนี้ หลิงม่อก็เริ่มรู้สึกสนใจแล้ว เห็นชัดว่าข้อมูลที่เป็นตัวเลขเหล่านั้นถูกสรุปขึ้นมาใหม่หลังจากทำการเปรียบเทียบมาแล้วเจ็ดครั้ง และมันก็แม่นยำกว่าอีกหกฉบับก่อนหน้ามาก ถึงการตรวจเลือดไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นซอมบี้ เรื่องมันก็จะต่างออกไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังทำการตรวจเลือดซอมบี้ที่ระดับต่างกันอีกด้วย!


หลิงม่ออยากรู้จริงๆ ว่าพวกเขาตรวจเลือดไปถึงซอมบี้ระดับไหนแล้ว…


เขากวาดตาผ่านข้อมูลที่เป็นตัวเลขเร็วๆ จากนั้นก็ก็เพ่งสายตาไปยังส่วนท้ายของรายงานฉบับนี้โดยตรง


“ซอมบี้ที่เพิ่งถือกำเนิดจากการกลายพันธุ์…ระดับความเข้มข้นของเชื้อไวรัสที่อยู่ในเลือด…อะไรนะ 5%?!”


ตัวหนังสือบรรทัดนั้นทำเอาหลิงม่ออึ้งค้างไปสนิท แค่ 5% เนี่ยนะ?!


แน่นอนว่าหลังจากนั้นยังมีตัวเลขอีกหลายชุดที่ถูกหลิงม่อมองข้ามไป ตัวเลขที่แม่นยำเหล่านั้นมีประโยชน์กับพวกเจ้าหน้าที่วิจัย แต่สำหรับหลิงม่ออ่านไปก็เปลืองเนื้อที่สมองเปล่าๆ


ระดับความเข้มข้นอยู่ที่ 5% โดยประมาณ ตัวเลขนี้ทำเอาหลิงม่อตะลึงมากจริงๆ


นี่ไม่ได้หมายความว่ามีเพียงคนที่เชื้อไวรัสในเลือดสูง 5% เท่านั้นที่จะติดเชื้อได้ แต่มันหมายความว่าหลังจากที่กลายร่างโดยสมบูรณ์แล้ว ความเข้มข้นของเชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายซอมบี้ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ อยู่ที่เพียง 5% เท่านั้น!


กระบวนการที่เชื้อไวรัสทำให้ผู้คนติดเชื้อ แล้วเริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างกายในภายหลัง เรียกว่าการกลายร่าง แม้เลือดหยดเดียวของซอมบี้ ก็สามารถทำให้เกิดกระบวนการเหล่านี้กับร่างกายมนุษย์ได้ ดังนั้นเชื้อไวรัสตัวแรกสุดที่ทำให้ผู้คนติดเชื้อ จึงเป็นเพียงเล็ดพันธุ์เท่านั้น…ทว่าถ้าหากแค่เมล็ดพันธุ์ยังมีระดับความเข้มข้นมากกว่า 5% ร่างกายของมนุษย์ก็คงไม่อาจต้านรับการแพร่กระจายของเชื่อไวรัส ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายพากันล้มตายหมด


“แค่ 5%…ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าในร่างกายของเรามีเชื้อไวรัสไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำสินะ…ส่วนสวี่ซูหานน่าจะอยู่ที่ 3% หรือ 4% โดยประมาณ ทว่านี่เป็นเพียงเพราะว่าเชื้อไวรัสในร่างกายยังคงต่อสู้กันเอง ความจริงปริมาณโดยรวมน่าจะถึง 5% แล้ว…”


หลังจากได้สติ หลิงม่อก็เลื่อนสายตาอ่านลงมาด้านล่าง ตอนนี้เรื่องที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็คือระดับความเข้มข้นชองเชื้อไวรัสในร่างกายพวกเย่เลี่ยน


ซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการขั้นที่ 1 ความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในเลือดอยู่ที่ 5% – 9%…”


“หมายถึงซอมบี้ธรรมดาสินะ…อืม ตามคาด หลังก้าวข้าม 10% ก็จะกลายเป็นซอมบี้กลายพันธุ์ ซอมบี้วิวัฒนาการห่างชั้นมาก ระดับความเข้มข้นสูงถึง 20% ไปแล้ว ซอมบี้ชนชั้นสูงก็เหมือนกัน ระดับความเข้มข้นสูงถึง 30% แล้ว…เอ๊ะ จู่ๆ ความเร็วในการเพิ่มจำนวนก็ลดลง”


หลิงม่อไม่แปลกใจที่นิพพานสำนักงานใหญ่มีข้อมูลสถิติของซอมบี้เจ้าเมือง แต่สิ่งที่เขาแปลกใจคือเส้นโค้งที่แสดงสถิติการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสนี้


หลังจากที่ก้าวข้ามระดับซอมบี้เจ้าเมือง ความเข้มข้นของเชื้อไวรัสสูงแค่ 40-45% เท่านั้น แต่ข้างๆ ยังมีหมายเหตุถูกเขียนไว้ด้วย : เริ่มปรากฏลักษณะพิเศษในการกลายพันธุ์


หลิงม่อครุ่นคิด แล้วเขาก็นึกออกทันที


ไม่ว่าจะเป็นระดับวิวัฒนาการหรือชนชั้นสูง สำหรับซอมบี้มันล้วนเป็นพัฒนาการที่ก้าวกระโดด หลังก้าวข้ามมาถึงระดับวิวัฒนาการ ซอมบี้ก็จะเริ่มฟื้นความจำกลับมาได้ระดับหนึ่ง สติปัญญาก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนเข้าสู่ระดับวิวัฒนาการ ซอมบี้ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเดรัจฉาน แต่ทันทีที่ก้าวข้าม พวกมันก็จะเริ่มพัฒนาไปเป็นสัตว์ประหลาดที่มีความรู้


ชนชั้นสูงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ก้อนเหนียวหนืดวิวัฒนาการเป็นนางพญา นี่คือการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ที่เห็นชัดที่สุด


แต่การเปลี่ยนแปลงมี่สำคัญที่สุดของเจ้าเมือง คือการที่เริ่มมีแนวโน้มของการกลายพันธุ์ปรากฏขึ้น ด้านอื่นๆ กลับไม่ค่อยเด่นชัดเหมือนการอัพเกรดที่ผ่านมา


ในเอกสารฉบับนี้ไม่มีข้อมูลของซอมบี้ราชา หลิงม่อเองก็ไม่สามารถวิเคราะห์เองได้ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของซอมบี้ราชาอยู่ที่ทิศทางการกลายพันธุ์ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แต่ไม่รู้ว่าระดับความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในเลือดจะอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์


หลังจากอ่านข้อมูลสถิติแผ่นนี้ ความรู้ที่หลิงม่อมีเกี่ยวกับซอมบี้ถือว่าพัฒนาขึ้นหนึ่งระดับ เขาเคยชินกับสัญชาตญาณและความเคยชินต่างๆ ของซอมบี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเทียบกับคนอื่นเขาจึงอ่านเอกสารฉบับนี้ได้เข้าใจเร็วกว่ามาก


“คนยิ่งมากพลังยิ่งเยอะจริงๆ นิพพานรวบรวมผู้รอดชีวิตมากมายขนาดนี้ แล้วยังยึดครองมหาลัยแพทย์ฯ กับโรงพยาบาลใกล้เคียงไว้อีก บวกกับเหล่าผู้มีความสามารถพิเศษได้ออกไปค้นหาสิ่งที่จำเป็นต่อการทดลองและจับซอมบี้ พวกเขาถึงได้ประสบความสำเร็จอย่างนี้ ข้อมูลสถิติอย่างนี้ ไม่อาจวิจัยได้ด้วยคนคนเดียว เพราะคนที่มีพลังอาจไม่มีเข้าใจความรู้พวกนี้ แต่ถึงจะเข้าใจก็ไม่มีเวลาและเงื่อนไขมาทำเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่…”


เหมือนกับผู้หญิงที่อยู่ในห้องนี้ หากอยู่ข้างนอก แค่เอาชีวิตรอดก็ต้องทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีอย่างสุดความสามารถแล้ว จะมีเวลามาสังเกตการณ์การทดลองอย่างใจเย็นได้อย่างไร…


หลิงม่อเดาว่าพวกเขาก็ต้องใช้ระดับผลงานด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นหลักรับประกันว่าพวกเขาจะตั้งใจทำงานเต็มที่ เพราะดูจากระบบต่างๆ ในนิพพานแล้ว ผู้บริหารระดับสูงของที่นี่คงไม่คิดทำธุรกิจที่ขาดทุนแน่นอน


หนวดสัมผัสหยิบกระดาษอีกหลายแผ่นขึ้นมา หลังจากพลิกหาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เจอข้อมูลที่น่าสนใจแผ่นหนึ่ง


“หืม? ทดสอบพลังชีวิต?”


หลิงม่อค่อนข้างสนใจหัวข้อนี้ พลังชีวิตของซอมบี้แกร่งมาก เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็รู้ดี ไม่คิดเลยว่าข้อมูลอย่างนี้ก็ยังถูกจัดอยู่ในขอบเขตการวิจัยด้วย ดูเหมือนนิพพานจะทำการวิจัยซอมบี้ทุกด้าน ไม่ปล่อยผ่านแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ…


ทว่าเมื่อเลื่อนอ่านลงไป หลิงม่อก็อดขมวดคิ้วไม่ได้


ถ้าไม่ใช่ว่าหัวข้อถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน หลิงม่อคงคิดว่าตัวเองกำลังอ่านคู่มือฆาตกรรมไปแล้ว…


การทดลองความหิวโหยถือเป็นหัวข้อมี่ถูกมองข้ามมากที่สุด การฉีดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ก็มีข้อมูลไม่มากเช่นกัน แต่หัวข้อประเภทการตัดแขนขาหรือปล่อยเลือด หลิงม่อแค่คิดก็ส่ายหัวแล้ว


ฆ่าซอมบี้ตายระหว่างการต่อสู้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากต้องมานั่งมองซอมบี้ถูกทรมานจนตาย แล้วคอยดูว่ามันจะอดทนได้นานแค่ไหนทุกวันอย่างนี้ คงเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้เกินไป


“นี่อะไรน่ะ?”


หลิงม่อก็สังเกตเห็นเอกสารแผ่นสุดท้ายเข้า เอกสารแผ่นนี้ถูกเขียนด้วยปากกาสีที่ต่างออกไป ดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าสำคัญมาก


โดยเฉพาะเมื่อเนื้อที่ว่างในกระดาษถูกเขียนด้วยปากกาสีแดงเป็นอักษร “S” ตัวใหญ่ๆ…


“ภารกิจระดับ S งั้นหรอ? ยังไม่ได้ประกาศออกไป?” หลิงม่อเหลือบมองผู้หญิงคนนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงเอกสารแผ่นนี้ออกมาเบาๆ


ภารกิจระดับ S : ภารกิจจับเป็นซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการขั้นสี่หรือสูงกว่า


รายละเอียดภารกิจ : จับเป็นซอมบี้ที่มีระดับวิวัฒนาการขั้นสี่ (รวมถึงระดับที่สูงกว่า) ระดับผลงานที่จะได้รับขึ้นอยู่กับการตัดสินจากระดับวิวัฒนาการที่ชัดเจนรวมถึงสภาพความสมบูรณ์ของร่างกายซอมบี้


“วิวัฒนาการขั้นสี่…ซอมบี้ชนชั้นสูงไม่ใช่หรอ? ยังคิดจะจับซอมบี้ที่ระดับสูงกว่าชนชั้นสูงอีก?”


หลิงม่อพยายามหันหน้าไปด้านข้าง แล้วเขาก็พบว่าซอมบี้ที่ถูกขังอยู่ทางขวามือและซ้ายมือเหมือนเจ้าหุ่นซอมบี้ตัวนี้ที่เป็นซอมบี้กลายพันธุ์เหมือนกัน มีตัวหนึ่งใกล้จะถึงระดับซอมบี้วิวัฒนาการแล้ว


เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นในตอนนี้ว่านอกกรงขังมีป้ายเล็กๆ ถูกแขวนไว้ด้วย พอใช้หนวดสัมผัสให้พลิกกลับมา เขาก็ค้นพบว่ามันเป็นป้ายบ่งบอกระดับของซอมบี้พวกนี้


สิ่งที่ทำให้หลิงม่อตะลึงก็คือ ซอมบี้ที่ยังไม่ถึงระดับวิวัฒนาการตัวนั้น กลับถูกระบุความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในร่างกายไว้อย่างละเอียดแล้ว และวิธีการแยกแยะอย่างนี้ก็แม่นยำที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย…


“กลุ่มวิจัยนี่ร้ายกาจกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย แต่ยิ่งพวกเขาร้ายกาจ ข้อมูลที่เราจะได้ก็ยิ่งมากขึ้น”


ที่หลิงม่อแฝงตัวเข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อเด็ดลูกท้อ (ขโมยความสำเร็จของผู้อื่น) ยิ่งลูกท้อของที่นี่ลูกใหญ่เท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น


ทว่าเรื่องที่พวกเขาสามารถจับซอมบี้ชนชั้นสูงได้ กระทั่งจับซอมบี้เจ้าเมืองได้ ทำให้หลิงม่อประหลาดใจเล็กน้อย ซอมบี้ชนชั้นสูงนั้นยังพอรับมือได้ง่ายหน่อย แต่เมื่อถึงระดับเจ้าเมือง หลังจากที่ซอมบี้มีสติปัญญาสูงขึ้น ถึงแม้หลิงม่อและเหล่าซอมบี้สาวจะร่วมมือกันสังหาร ก็ยังต้องลงแรงกายแรงใจไม่น้อย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาคิดจะจับเป็นด้วย…


ระดับความยากนี้มัน…สูงเกินไปแล้ว!


“ทีมเล็กๆ อย่างพวกเหอหงเยี่ยนทำภารกิจนี้ไม่ได้แน่…”


หลิงม่อครุ่นคิด แล้วทันใดนั้นสายตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา


หมายเหตุ : รางวัลของภารกิจนี้คือเหยื่อล่อ รวมถึงอุปกรณ์และกับดักที่เอาไว้ใช้กับซอมบี้ที่มีระดับวิวัฒนาการขั้นสามขึ้นไปโดยเฉพาะ


“สิ่งที่เอามาใช้ต่อกรกับซอมบี้ชนชั้นสูงขึ้นไป? จะเป็นอะไรนะ?”


สายตาของหลิงม่อพลันประกายเร่าร้อนขึ้นมาทันที


ก้อนเหนียวหนืด? ไวรัสนางพญา? ไม่สิ ของสองสิ่งนี้ดึงดูดซอมบี้ทุกระดับเข้ามาโดยไม่มีแบ่งแยกเหมือนกัน…


แต่ในหมายเหตุที่เขียนทิ้งท้ายไว้นี้ บอกว่าเฉพาะ!


วิวัฒนาการของพวกเย่เลี่ยนต้องอาศัยไวรัสนางพญาของซอมบี้ระดับสูงจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าพวกเธอยังห่างไกลจากการวิวัฒนาการโดยสมบูรณ์อีกมาก หลิงม่อก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา แต่ซอมบี้ระดับสูงไม่ใช้ผักกาดขาวที่จะเดินไปไหนก็เจอ และหากจะให้พวกเย่เลี่ยนเผชิญหน้ากับซอมบี้หลายล้านตัวทั่วเมือง พวกเธอก็ไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนั้น ดังนั้นการฆ่าฟันไปเรื่อยๆ จึงไม่ใช่วิธีที่มีความเป็นไปได้!


ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในอำเภอซินหลาน ซอมบี้ที่พวกเธอสังหารไปก็เป็นเพียงซอมบี้ในพื้นที่หนึ่งเท่านั้น


และการดึงดูดซอมบี้ระดับสูงในระหว่างที่ต้องเผาผลาญพลังกายอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากอย่างไม่ต้องสงสัย


แต่ถ้าหากมีอุบายล่อซอมบี้ระดับสูงเข้ามาโดยเฉพาะ แล้วยังสามารถหลีกเลี่ยงซอมบี้ธรรมดาได้ ความเสี่ยงก็จะลดฮวบลง ในขณะที่ประสิทธิภาพในการสังหารกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว!


—————————————————————————–


บทที่ 733 เพื่อนร่วมทีมที่เก่งราวเทพเซียน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิงม่อดวงตาเป็นประกาย!


ความน่าเชื่อถือของเหยื่อพิเศษชนิดนี้ไม่ต้องสงสัยกันเลย สิ่งที่ต้องพิจารณามีเพียงสองเรื่อง หนึ่งคือมันสามารถใช้ได้กี่ครั้ง สองคือมันมีผลในระยะพื้นที่เท่าใด!


ถ้าหากเป็นไปได้ หลิงม่ออยากได้วิธีการสร้างเหยื่อล่ออย่างนี้ได้เองด้วย ไม่เข้าใจหลักการก็ไม่เป็นไร ขอเพียงทำตามขั้นตอนจนเสร็จก็พอ…


พรึ่บ!


เผลอไปแวบเดียว เอกสารภารกิจแผ่นนี้ก็หลุดออกจากหนวดสัมผัสทันที


ตอนแรก เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นกำลังจ้องกล้องจุลทรรศน์อย่างใจจดใจจ่อ พลางก้มลงจดบันทึกไปด้วย แต่พอได้ยินเสียงเบาๆ นี้ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ


เธอมองซ้ายมองขวา แล้วตวัดสายตามองไปทางแท่นพาเลททันที


หลิงม่อมองเธอเดินเข้ามาผ่านสายตาของหุ่นซอมบี้อย่างใจเย็น ขณะเดียวกันก็ควบคุมให้เจ้าแมงกะพรุนหดตัวกลับเข้าไปในเงามืดช้าๆ


ความจริงเขาไม่ได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นอะไร ถึงแม้เอกสารรายงานพวกนี้จะถูกทำให้ดูไม่เป็นระเบียบเล็กน้อย แต่หากมันยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้เธอรู้สึกสะดุดตา เธอก็จะไม่มีทางรู้ว่าเมื่อกี้มีคนแอบอ่านเอกสารเหล่านี้ใต้เปลือกตาตัวเองแน่นอน เรื่องที่ไม่มีแนวความคิดก็เท่ากับสิ่งที่เราไม่มีวันรู้ หากเธอไม่รู้วิธีและกลอุบายเหล่านี้ของหลิงม่อ และไม่มีประสบการณ์ทำนองเดียวกัน เธอก็จะกลายเป็นเหมือนคนตาบอด ที่มองไม่เห็นความจริงเลย…


เหมือนการควบคุมหุ่นซอมบี้ แนวความคิดที่ทุกคนมีต่อซอมบี้คือความบ้าคลั่ง โหดร้าย และศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ เมื่อมีภาพจำที่ฝังรากลึกอย่างนี้แล้ว ก็ยากที่จะมีใครคาดคิดได้ว่ามนุษย์จะอยู่ร่วมกับซอมบี้ เพราะนั่นมันแหกกฎแนวความคิดเดิม แม้แต่สวี่ซูหานที่ถึงจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเย่เลี่ยนแล้ว แต่เนื่องจากไม่มีร่องรอยที่พวกเย่เลี่ยนถูกควบคุมปรากฏให้เห็น เธอจึงไม่เคยคิดมาถึงด้านนี้เลย


แน่นอนที่เธอเข้าใจผิดอย่างนี้ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของหลิงม่อในสายตาเธอด้วย : ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต


แนวความคิดโดยรวมถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าหากจำแนกอย่างละเอียด ความจริงหลิงม่อมีพลังประเภทควบคุมต่างหาก…


ดังนั้นถึงแม้จะสังเกตเห็นเงื่อนงำหรือข้อมูลไม่น้อยแล้ว แต่ถ้าหากทิศทางความคิดในตอนแรกผิดพลาด ผลที่ได้ก็จะห่างไกลจากความจริงไปมาก และหลิงม่อก็ยึดหลักจิตวิทยานี้มาใช้เสมอ ตอนนี้ที่เขาสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเจ้าหน้าที่วิจัยหญิงคนนี้ได้ ก็เพราะหลักการเดียวกันนี้


เจ้าหน้าที่วิจัยหญิงหยุดเดินอยู่ตรงหน้าแท่นพาเลท แล้วขมวดคิ้วหยิบเอกสารแผ่นบนสุดขึ้นมา


จากสายตาของเธอเดาได้ไม่ยากว่าเธอกำลังสงสัยอยู่


“วันนี้มันอะไรกันเนี่ย?” ประตูไม่ได้ปิด จู่ๆ แฟ้มเอกสารบนชั้นวางก็ตก แล้วยังมีเสียงที่ดังมาจากทางแท่นพาเลทนี้อีก เธอไม่ได้คิดว่ามีใครมาหยิบจับ แต่เสียงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกันล่ะ…เจ้าหน้าที่วิจัยหญิงละสายตาออกไป จากนั้นก็มองไปรอบๆ เธอยื่นมือไปใต้โต๊ะวางเครื่องมือแล้วดึงลิ้นชักออก กรรไกรเล่มหนึ่งถูกหยิบขึ้นพร้อมกับสายตาที่ฉายแววเยือกเย็นของเธอ


พอเห็นท่าทางระมัดระวังตัวของเธอ หลิงม่อก็แอบผิดคาดเล็กน้อย


สมกับที่เป็นคนของสำนักงานใหญ่ เธอมีความระมัดระวังมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก…


ทว่าถึงอย่างไรเธอก็ไม่รู้ว่ามีพลังควบคุมอยู่ ระวังตัวไปก็เปล่าประโยชน์ เธอไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังตอนนี้กำลังจ้องเธออย่างองอาจ…


“เอ๋? มุ่งมั่นเหมือนกันนะเนี่ย…”


หลิงม่อครุ่นคิด แล้วจู่ๆ เขาก็เลื่อนสายตามองไปที่ด้านหลังเจ้าหน้าที่วิจัยหญิง


แป๊ก!


ทันใดนั้น ห้องทั้งห้องก็มืดลง หลังจากที่โคมไฟที่เป็นแหล่งไฟเพียงหนึ่งเดียวดับลง ห้องที่แขวนผ้าม่านทึบแสงไว้แห่งนี้ก็มืดสนิททันที


ทว่าหลิงม่อที่ซ่อนตัวอยู่ในสมองของหุ่นซอมบี้กลับมองเห็นสถานการณ์ในห้องผ่านสายตาของซอมบี้ได้อย่างชัดเจน ฉวยโอกาสตอนที่หญิงสาวถอยกรูดไปชิดกำแพงด้วยความตกใจ หลิงม่อรีบใช้หนวดสัมผัสและดวงตาของซอมบี้กวาดมองบนชั้นวางทันที วิธีการควานหาของเขาคือดึงแฟ้มเอกสารแต่ละอันออกมาเล็กน้อย แล้วให้เจ้าหุ่นซอมบี้ยืนยันหัวข้อวิจัยที่เขียนติดไว้บนนั้น


โชคดีที่นิพพานจัดระเบียบและแยกแยะเอกสารไว้อย่างเป็นระเบียบ แฟ้มเอกสารทุกแฟ้มมีเครื่องหมายชัดเจน อ่านแวบแรกก็พอจะเข้าใจเนื้อหาคร่าวๆ ในนั้นแล้ว


“เป็นครั้งแรกที่อยากจะยกนิ้วให้ความเข้มงวดของนิพพาน ไม่สิ ยกนิ้วให้สามสิบสองครั้งเลย…”


หลิงม่อกวาดอ่านอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็สังเกตเจ้าหน้าที่วิจัยหญิงที่กำลังตื่นตระหนกไปด้วย


แต่สมกับเป็นนักวิจัยหญิงใจกล้าที่ใช้เครื่องซ็อตและขวานเป็น ถึงแม้เธอจะตื่นตระหนกและหวาดกลัวมาก แต่เธอกลับถือกรรไกรไว้แน่น และเดินลูบคลำไปทางโคมไฟช้าๆ


และในระหว่างนี้ เธอยังสามารถเดินไปโดยไม่ส่งเสียงออกมาซักแอะได้ด้วย


“ถ้าเป็นสวี่ซูหาน คงจะนั่งมุดหน้ากับเข่าแล้วกรี๊ดเสียงแหลมอยู่ในมุมห้องไปแล้ว…” หลิงม่อคิดอย่างขนลุก


หลิงม่อเดาว่าสายตาของเจ้าหน้าที่วิจัยหญิงคนนี้คงใกล้จะชินกับความมืดแล้ว หนวดสัมผัสของเขาชะงัก แล้วกดเปิดสวิตช์ดัง “แป๊ก” อีกครั้ง


มือของเจ้าหน้าที่หญิงเพิ่งจะยื่นไปทางโคมไฟ แต่ไม่คิดว่าเธอยังไม่ทันกด แสงไฟก็สว่างวาบขึ้นมาทันที


ครั้งนี้เธอไม่เพียงตกใจมาก แต่ถูกแสงไฟสาดกระทบดวงตาตรงๆ ด้วย


เธอถอยกรูดอย่างหวาดกลัว จนกระแทกชนเข้ากับโต๊ะด้านหลังดัง “โครม” หลิงม่อจึงรีบปิดไฟอีกครั้งอย่างไม่รีรอ


ฉวยโอกาสนี้ หลิงม่อรีบดึงแฟ้มเอกสารทั้งหมดข้างหลังออกมากวาดอ่านดูอย่างรวดเร็ว


“ฮั่ก…ฮั่ก…”


เจ้าหน้าที่วิจัยหญิงดูหวาดกลัวมาก ตอนนี้เธอมองเห็นเพียงดวงตาสีแดงก่ำหลายคู่กำลังจ้องมาทางตัวเอง


ทว่าไม่นานเธอก็ใจเย็นลง แล้วยื่นมือไปทางโคมไฟอีกครั้ง


แป๊ก…


แสงสว่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่บรรยากาศในห้อง กลับเงียบกริบ…


“เอ่อ…”


หญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อย แต่หลังจากมองซ้ายมองขวา ก็พบว่าทั้งหน้าต่างและประตูต่างก็ถูกลงกลอนไว้อย่างดีแล้ว


“ไฟตกหรอ?” สุดท้ายเธอก็เลื่อนสายตาไปมองโคมไฟบนโต๊ะ


แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียง “เกร๊ง” ก็ดังขึ้น ทำให้เธอสะดุ้งตกใจตามสัญชาตญาณอีกครั้ง


เธอหันขวับไปมองทางกรงขังอย่างสะพรึงกลัว


ซอมบี้สภาพสะบักสะบอมตัวหนึ่งกำลังจ้องเธอด้วยสายตาน่ากลัว หัวของมันแนบติดอยู่กับกรงขัง


“ฮู่ว…” เจ้าหน้าที่วิจัยหญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น


เจ้าสัตว์ประหลาดนี่…จู่ๆ ก็มาทำให้เธอตกใจ…


แต่สิ่งที่เธอไม่ได้สังเกตคือ ด้านหลังเธอ ประตูห้องบานนั้นกำลังถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ อีกครั้ง…


“แค่ห้องวิจัยห้องเดียว ก็ได้ข้อมูลมาเยอะขนาดนี้แล้ว!” ในอาคารหอพัก หลิงม่อกำลังยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก พร้อมกับเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ


ถึงแม้ตอนหลังเขาจะหาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อล่อพิเศษนั้นไม่เจอ แต่อย่างน้อยการได้ล่วงรู้เรื่องนี้ก่อน ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับหลิงม่อ


“คิดถูกจริงๆ ที่มานิพพานสำนักงานใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าร่างแม่ตัวนั้นอยู่ที่ไหน แล้วยังมีเจ้าของสมุดโน้ตเล่มนั้นอีก…”


ถึงอย่างไรก็เป็นตึกใหญ่ตึกหนึ่ง หลิงม่อเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะหาข้อมูลได้ครบภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ แต่ในสองสามวันต่อจากนี้ เขาจะต้องพลิกแผ่นดินหาข้อมูลของกลุ่มวิจัยมาให้หมด


สำหรับหลิงม่อ ตัวทดลองเหล่านั้นที่กลุ่มวิจัยจับมาถือเป็น “ไส้ศึก” ที่ดีที่สุด และเป็นเหตุผลที่ทำให้หลิงม่อมั่นใจในการแฝงตัวเข้ามา!


ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่กลุ่มวิจัยไม่ขาดแคลนก็คือ ซอมบี้…


“พะ…พี่หลิง” เสียงของมู่เฉินดังเข้ามาจากนอกห้อง


เมื่อกี้หลิงม่อใช้พลังจิตไปมาก เขาจึงเตรียมตัวจะพักผ่อนอยู่พอดี พอได้ยินเสียงเรียกเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเปิดประตู


“ฉันจะถามว่า…เอ๋ สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลยนะ” ตอนแรกสีหน้าของมู่เฉินเหมือนคนที่อดทนไม่ไหวแล้ว แต่ปรากฏว่าพอเห็นหลิงม่อเขาก็นิ่งไป


เขายังกังวลว่าหลิงม่อจะหาทางไม่ได้ กำลังคิดว่าจะบอกให้หลิงม่อเลิกหาทางเอง แล้วลองออกไปเดินสำรวจกับเขาดีไหม แต่ไม่คิดว่าจะเห็นหลิงม่อในสภาพนี้ เขาคุ้นเคยกับสีหน้าอย่างนี้ของหลิงม่อดี หลังจากที่ใช้พลังจิตเจ้าหมอนี่จะมีสภาพอย่างนี้ทุกครั้ง เส้นเลือดในดวงตาเขาจะแดงขึ้น เหมือนคนที่อดหลับมาครึ่งคืน


“นายพูดเข้าประเด็นเลยเถอะ” หลิงม่อนวดขมับ พลางยืนพิงกำแพงแล้วพูดขึ้น


มู่เฉินกลืนน้ำลาย กระพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า “นายคงไม่ได้…เริ่ม…ไปแล้วหรอกนะ?”


ความจริงมันเป็นคำถามที่โง่มาก หลิงม่อเป็นถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ใช่เพราะเขากำลังลองทำอะไรที่ก้ำกึ่งอยู่แน่นอน เรื่องนี้มู่เฉินก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วอย่างนี้ เขาก็ยังคงอดถามออกมาไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้จะเชื่อเลยทั้งที่ไม่ได้ถามได้อย่างไร…


“ก็ใช่น่ะสิ” หลิงม่อพยักหน้า


“…” มู่เฉินเบิกตากว้างจ้องหลิงม่อ เรื่องที่ยากขนาดนี้เขากลับสามารถทำสำเร็จได้โดยที่ไม่ก้าวเท้าออกนอกห้องเลยได้อย่างไร แล้วยังมาทำหน้าของมันแน่อยู่แล้วอย่างนั้นอีก! น้ำเสียงเรียบๆ อย่างนี้มันหมายความว่าไงกัน ถ่อมตัวหน่อยจะตายไหม หา!


“โรคจิตขนานแท้…” มู่เฉินยังคงจ้องหน้าหลิงม่ออย่างไม่ละสายตา


จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการดูลาดเลาของตัวเองไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ความจริงแล้วเขากำลังเฝ้าดูว่าเมื่อไหร่หลิงม่อจะกระโดดลงจากห้องพักซักที…


ถ้าจะเงียบกริบขนาดนี้แล้วเขาจะดูลาดเลาไปเพื่ออะไร! ที่แท้เขาก็เป็นได้แค่โล่กันธนูเท่านั้นสินะ


มู่เฉินพูดไม่ออก เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะเขาไม่ได้เรื่อง แต่เป็นเพราะเขามีเพื่อนร่วมทีมที่เก่งราวเทพเซียนต่างหาก


แต่สำหรับเขา หลิงม่อเป็นเหมือนเทพแห่งหายนะมากกว่า!


“นายยังไม่กลับไปอีก?” หลิงม่อทำทีเป็นเห็นใจ “ไม่แน่อีกเดี๋ยวนายอาจถูกตามไปแสดงละครฉากสองก็ได้นะ ถ้าหากผู้บริหารระดับสูงของนิพพานร้ายกาจมาก นายอาจต้องแสดงละครฉากสามฉากสี่ด้วยก็ได้ ยิ่งพูดหลายรอบ ความน่าเชื่อถือก็ยิ่งเพิ่มขึ้นนี่นะ โดยเฉพาะในตอนที่นายกำลังเหน็ดเหนื่อยสุดขีดอย่างนี้”


“นี่! ลงเรือลำเดียวกันแล้วแท้ๆ นายไม่เห็นต้องมาชอบใจกับความทุกข์ของฉันเลยนะ!” มู่เฉินโวยวาย “ถึงยังไงเรื่องที่ฉันเล่าก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด”


เขาพูดเกินจริงไปเล็กน้อย สิ่งที่เขาเล่าถือเป็น “เรื่องจริงส่วนมาก” ถึงจะให้ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตมาตรวจจับว่าเขาโกหกหรือไม่ ก็ยากจะถูกจับได้ อะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด เรื่องพวกนี้พวกเขาได้ถกเถียงกันอย่างละเอียดระหว่างทางที่มาเมืองเฮยสุ่ยแล้ว


ถึงแม้สำนักงานใหญ่จะนึกสงสัยอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ต้องเดินทางไปยืนยันถึงเมืองตงหมิง ดังนั้นทั้งสองจึงไม่จำเป็นต้องกลัว


“อ้อ ใช่สิ นายบอกฉันได้ไหมว่า…นายทำได้ยังไง?” ครั้งนี้มู่เฉินไม่หลงกลตกลงไปในหลุมที่หลิงม่อขุดไว้ ไม่นานเขาก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้าตัวเองกำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่ จึงรีบดึงเรื่องกลับมาที่หัวข้อเดิม


“บอกไม่ได้” หลิงม่อให้คำตอบเขาภายในหนึ่งวินาที


“นายคิดดูอีกทีเถอะ อย่างไรเราก็ลงเรื่อลำเดีย…”


“ปัง!”


มู่เฉินจ้องบานประตูที่ปิดใส่หน้าเขาอย่างหงุดหงิด


“เชี่ย!” หลังจากสบถอย่างอารมณ์เสีย เขาก็สะบัดหน้าเดินจากไป


ทว่าขณะเดียวกับที่เขาหมุนตัวเดินออกไป ในใจกลับอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าหลิงม่อนี่ร้ายกาจมากจริงๆ…


เดิมทีเขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับภารกิจในครั้งนี้ แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า ไม่แน่พวกเขาอาจทำสำเร็จจริงๆ ก็ได้…


“ซอมบี้…สามารถรักษาความเป็นคนไว้ได้จริงๆ หรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าเรียกว่าซอมบี้แล้วสิ? เรียกว่าอะไรดีล่ะ…”


—————————————————————————–


บทที่ 734 การใส่ความ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ ห้องประชุมใหญ่ของนิพพานสำนักงานใหญ่ ขณะนี้บรรยากาศในห้องกำลังตกอยู่ในความเงียบงัน


บรรยากาศในห้องน่าอึดอัดมาก ข้างโต๊ะประชุมมีคนนั่งเรียงรายกันอยู่หลายคน แต่ทุกคนกลับหันไปจ้องแผ่นหลังของคนคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างด้วยความกังวล


ร่างกายอวบอ้วนของชายวัยกลางคนผู้นั้นราวกับมีรังสีอำมหิตที่มองไม่เห็นแผ่อยู่รอบตัว ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดและหวั่นเกรง


บนโต๊ะ มีแบบฟอร์มลงทะเบียนสองชุดถูกวางไว้เด่นหรา โดยชุดที่อยู่ด้านบนมีตัวหนังสือหวัดๆ สองตัวปรากฏชัดเจน : หลิงเกอ


ลายเส้นของอักษรบ่งบอกถึงความไม่ใส่ใจ แต่มันกลับดูสะดุดตาเมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาของคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่เพราะชื่อของเขา แต่เป็นเพราะเรื่องราวที่มากับทั้งสองต่างหาก


หมายเลข 1 หายตัวไป? สาขาย่อยเมืองตงหมิงล่มสลาย? แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งในสองเรื่องนี้ ก็มากพอที่จะทำให้บรรดาคนในห้องประชุมรู้สึกหวาดผวาแล้ว


ในห้องประชุมไม่มีเงาร่างของชายแซ่หลีผู้เป็นหัวหน้าแผนกบุคคลรวมอยู่ด้วย เพราะเขาเป็นคนที่นำเรื่องมารายงานเป็นคนแรก ตอนนี้จึงกำลังรออยู่หน้าประตูด้วยความกระวนกระวายใจ


เขาจ้องบานประตูสีน้ำตาลเขม็ง ค้อมเอวต่ำเล็กน้อย พลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากเป็นพักๆ


บอสใหญ่ที่มักทำตัวลึกลับ ตอนนี้เขาอยู่ในห้องประชุมแห่งนี้แล้ว…


“แต๊ก…แต๊ก…”


ทันใดนั้น นิ้วมือของชายวัยกลางคนที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างก็ยกขึ้นเคาะสองครั้ง


เสียงไม่ดัง แต่มันกลับสามารถทำให้ทุกคนในที่ประชุมนั่งตัวเกร็งได้


จากประสบการณ์ การกระทำเช่นนั้นแปลว่าบอสใหญ่ของพวกเขากำลังจะเปิดปากูดแล้ว


ในสายตาของสมาชิกทั่วไป บอสใหญ่ท่านนี้ลึกลับมาก เขาไม่เคยออกหน้าเอง และไม่ได้มีนิสัยชอบจัดงานเลี้ยงจับมือทำความรู้จักกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้ได้แสดงถึงสติปัญญาของเขาในการเป็นผู้กุมอำนาจ เพราะในสถานที่แห่งนี้ที่ผู้คนต้องเสี่ยงตายเพื่ออยู่รอด สิ่งที่เหล่าสมาชิกต้องการไม่ใช่คำปลอบประโลมจากเขา และไม่ได้อยากสานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝ่ามืออันอวบอ้วนของเขาแต่อย่างใด แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือผลตอบแทนที่จะได้รับอย่างสมน้ำสมเนื้อ


ทว่าในฐานะผู้ก้อตั้งนิพพานขึ้นมา แล้วยังคอยวางแผนวางกลยุทธ์ต่างๆ อยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด บอสใหญ่ของพวกเขาคงไม่ได้กำลังต่อสู้อย่างลำพังแน่นอน


บรรดาคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมแห่งนี้คือบุคคลระดับสูงจำนวนน้อยที่สามารถพูดคุยต่อหน้ากับเขาได้ พวกเขาก็คือเหล่าคนสนิทของบอสใหญ่นั่นเอง


“แต๊กๆๆ…”


บอสใหญ่ยังคงเคาะนิ้วต่อไปเรื่อยๆ ภายใต้สายตาแห่งความกังวลของทุกคน ในที่สุดเขาก็เปิดปากพูด : “เรื่องนี้…พวกคุณคิดเห็นอย่างไร?”


ทุกคนมองตากัน ชายสวมชุดกาวน์คนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “สาขาย่อยเมืองตงหมิง… การสูญเสียที่ใหญ่ที่สุดคือหมายเลข 0 ส่วนการหายตัวไปของหมายเลข 1 นั้น…หากสามารถยืนยันได้ว่ามันตายในที่เกิดเหตุคงจะดีเสียกว่า เพราะพวกซอมบี้จะช่วยทำลายศพของมันเอง แต่ถ้าหากมันถูกกองกำลังผู้รอดชีวิตอื่นจับตัวได้ในขณะหนี คงเป็นเรื่องใหญ่…มันดูแตกต่างจากซอมบี้ทั่วไปชัดเจนมาก จึงเป็นที่สะดุดตาง่าย”


พูดถึงตรงนี้ ดวงตาแฝงความชั่วร้ายของเขาก็หรี่เล็กลง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยฉายแววเย็นชา “เรื่องนี้ถือเป็นวิกฤตครั้งใหญ่สำหรับกลุ่มวิจัยของเรา”


“กลับเป็นหมายเลข 0 เสียอีกที่ยากจะสร้างขึ้นมาซ้ำได้ แต่ตายไปแล้วก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรสาขาย่อยเมืองตงเหมิงก็กลายเป็นตัวถ่วงมานานแล้ว ข้อมูลที่ทางนั้นสามารถส่งมาให้มีน้อยเกินไป” ชายตัวผอมอีกคนพูด เขาเหลือบมองชายชราคนนั้น จากนั้นก็กระแอมเบาๆ เพราะเรื่องหมายเลข 1 เขาไม่รู้จะพูดปลอบอย่างไรดี ก็สองคนนั้นบอกไว้ชัดเจนเสียขนาดนั้นว่าหมายเลข 1 ได้หายตัวไปแล้ว


“แต่นี่มันกำลังเหยียบหัวพวกเราชัดๆ คนที่สามารถล่มสาขาย่อยเมืองตงหมิงได้ ต้องเป็นยอดฝีมือของกองกำลังอื่นแน่ๆ สาขาย่อยเมืองตงหมิงไม่มีฝีมือ แต่ซ่งจินเซินกับเฉินเล่อที่พาหมายเลข 1 ไปด้วย ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ นะ อีกฝ่ายทำตัวเหมือนมังกรแกร่งกดหัวงูเจ้าถิ่น*อย่างเหิมเกริม ต้องมีการเตรียมตัวกันมาอย่างดีแน่นอน” ชายอีกคนพูด (มังกรแกร่งไม่กดหัวงูเจ้าถิ่น แปลว่า แม้จะเป็นผู้มีอำนาจหรือพลังใหญ่โต ก็สู้พลังของเจ้าถิ่นไม่ได้อยู่ดี)


คำพูดของเขาเอนเอียงไปในทางใส่ความโดยไม่มีหลักฐานมากกว่า ทว่าทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา


ชายตัวผอมพยักหน้าแล้วบอกว่า “ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน สมาชิกของสาขาย่อยสองคนนั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย บอกแค่ว่าพวกนั้นจุดพลุล่อพวกเขาออกไป นั่นมันเห็นกันอยู่แล้วว่าจงใจพุ่งเป้าไปที่สาขาย่อยเมืองตงหมิง ไม่แน่พวกนั้นอาจรู้เรื่องหมายเลข 1 อยู่ก่อนแล้ว และตั้งใจออกมาตามล่ามันก็ได้”


“จะรู้ได้อย่างไร?” ชายคนหนึ่งถาม หนอนบ่อนไส้? เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้ แต่การส่งต่อข้อมูลออกไปไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ


“ถ้าอย่างนั้น ไม่แน่ว่าพวกนั้นอาจหมายหัวหมายเลข 0 ก็ได้ สาขาย่อยเมืองตงหมิงมีสมาชิกรอบนอกอยู่จำนวนมาก ได้ยินมาว่าสมาชิกระดับ 9 หลายคนอยู่ในกองกำลังผู้รอดชีวิตอื่น คนที่มีสายสัมพันธ์ทางจิตกับหมายเลข 0…ผมบอกแล้วว่าสมาชิกรอบนอกพวกนั้นไว้ใจไม่ได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะสาขาย่อยเมืองตงหมิงสร้างปัญหาแท้ๆ” ชายตัวผอมกอดอก แล้วขมวดคิ้วพูดอย่างไม่พอใจ


ทว่าพอเขาพูดจบ ทั้งห้องก็เข้าสู่ความเงียบในช่วงเวลาสั้นๆ อีกครั้ง


ไร้ข้อสงสัยใดๆ คำพูดเหล่านี้ล้วนวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล ใครจะคาดคิดว่ามีคนบ้าที่สนใจซอมบี้มากอยู่จริงๆ แล้วยังสามารถพาซอมบี้เก่งๆ หลายตัวไปทำลายล้างสาขาย่อยได้กันล่ะ?


ดังนั้นความคิดผิดๆ จึงนำพาพวกเขาไปยังข้อสรุปที่ผิดอีกครั้ง ถึงแม้เวลานี้ไม่มีใครพูดอะไร แต่ในใจกลับคิดว่าสิ่งที่ชายตัวผอมพูดนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง


ส่วนการคาดเดานี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น ต้องไปพิสูจน์ก่อนถึงจะรู้ แค่เบื้องบนผงกหัวตัดสินใจ มอบหมายภารกิจให้สมาชิกเดินทางไปตรวจสอบ เรื่องก็ง่ายเพียงเท่านี้


แต่การจะผงกหัวตัดสินใจอะไรก็ต้องมีหลักฐานอ้างอิงด้วย เพราะต้องตัดสินใจให้ถูกจุด


พวกเขาวิเคราะห์กันมามากมายขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องรอฟังคำสั่งจากบอสใหญ่อยู่ดี


“ถ้าอย่างนั้น…” บอสใหญ่เอ่ยขึ้น “แปลว่ามีคนคิดจะต่อกรกับนิพพานของเรา?”


“อาจไม่ถึงขึ้นเรียกว่าต่อกร แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าพวกนั้นหมายตาข้อมูลของพวกเรา กองกำลังสองกองที่ใหญ่ที่สุดในเมือง X คือกองกำลัง F กับฐานทัพฟอลคอน กองกำลัง F ไม่น่าจะทำเรื่องอย่างนี้ได้ พวกเขาอ่อนแอเกินไป แต่ฟอลคอนไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อพวกเขายึดกองทัพอากาศได้แล้ว ขอบข่ายข้อมูลของพวกเขาก็ได้ขยายตัวจนครอบคลุมไปทั่วมณฑล” มีคนพูดขึ้น


“ใช่แล้ว ถึงแม้พวกเราจะทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ แต่ก็เลี่ยงการสำรวจทางอากาศของพวกเขาไปไม่ได้อยู่ดี ฐานทัพฟอลคอนมีจุดแข็งเรื่องจำนวนคน การปลูกพืชผัก และเก็บรวบรวมทรัพยากรให้มากที่สุด ถึงแม้พวกเขาจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย แต่ยังห่างชั้นจากเราอีกไกล…” มีคนพูดเสริม


เมื่อพูดถึงตรงนี้ เรื่องก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ทุกคนต่างไม่มีใครมีความเห็นที่ต่างออกไป


ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ข้อสรุปนี้ล้วนมีเหตุมีผล มีเพียงฟอลคอนเท่านั้นที่จะมีกำลังทำอย่างนี้ได้ และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีแรงจูงใจมากพอ หากเป็นคนธรรมดาจะสนใจข้อมูลที่นิพพานมีอยู่ในกำมือไปทำไมกัน? ไม่ใช่ว่าจะมีใครทำห้องทดลองขึ้นมาแล้ววิจัยด้วยตัวเองเสียหน่อย? เรื่องอย่างนั้นแค่คิดก็ไร้สาระแล้ว


แต่ถ้าหากมีใครรู้เข้าว่ามีคนที่สามารถอยู่ร่วมกับซอมบี้ได้ ซ้ำยังวิวัฒนาการร่วมกับซอมบี้ได้ด้วย พวกเขาคงไม่คิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องแปลกอีกต่อไป


“ใช่แล้ว…”


“ดูเหมือนว่าจะมีแต่ฟอลคอนที่จะ…”


บอสใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “การริเริ่มวิจัยหมายเลข 1 เป็นหนึ่งในเบี้ยต่อรองที่เราใช้ในการเจรจากับสำนักงานกลาง ถึงแม้พวกเรายังสามารถสร้างหมายเลข 1 ขึ้นมาได้อีกหลายตัว แต่หากผลงานชิ้นนี้ถูกคนอื่นฉกฉวยไป มันต้องส่งผลต่อการเจรจาของเราแน่นอน…แต่ยังไม่ต้องรีบร้อนสร้างความขัดแย้งกับกับฟอลคอนโดยตรง…ส่งคนไปดูก่อน”


เขาว่า พลางพูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “สองคนนั้น พอถึงเวลาออกเดินทางให้พาไปด้วย พักนี้ให้จับตาดูพวกเขาไปก่อน ดูว่าพวกเขาน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ระวังตัวไว้ก่อนไม่เสียหาย เจ้าคนที่ชื่อหลิงเกอไม่น่ามีปัญหา แต่มู่เฉิน…จับตาดูเขาให้ดี”


สาขาย่อยเมืองตงหมิงล่มสลายแล้ว แต่สองคนนี้กลับรอดมาได้ แล้วยังเดินทางมาถึงสำนักงานใหญ่ได้อีก ยากที่จะตัดความน่าสงสัยออกไป แต่ก่อนที่ความจริงจะปรากฏ จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้


สองคนนั้นอุตส่าห์เสี่ยงตายเพื่อมาบอกข่าวสารถึงที่ แต่จู่ๆ กลับจะไปจับตัวพวกเขา มันเข้าท่าที่ไหนกัน?


แม้สมาชิกของนิพพานจะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนกันมากแค่ไหน แต่ก็ยังรู้จักมารยาทการประนีประนอมพื้นฐานอยู่ ดังนั้นถึงจะต้องการตรวจสอบ แต่ก็ต้องทำอย่างลับๆ สักหน่อย


ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมล้วนเข้าใจข้อนี้ดี ดังนั้นจึงพากันพยักหน้าตอบ “เข้าใจแล้ว…”


ชายชราคนนั้นเบิกตา แล้วพูดอย่างนึกขึ้นได้ “พวกเขาเดินทางผ่านเมืองมาได้ตั้งหลายเมืองกว่าจะมาถึงนี่ได้ แสดงว่าต้องมีฝีมือบ้างสินะ? อีกไม่กี่วันมีเรื่องให้พวกเขาช่วยพอดี จะได้ลอบสังเกตไปด้วยว่าพวกเขาน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน”


พอเห็นชายชรายิ้มเย็นชา อีกหลายคนรวมถึงชายตัวผอมต่างก็อดเบนสายตาออกไปไม่ได้


“เจ้าดวงซวยสองคนนั้น ทำให้หัวหน้าไม่พอใจเสียแล้ว” ชายคนหนึ่งพูดเสียงเบา


“นี่มัน…” อีกคนขมวดคิ้ว นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรอ?


“ไม่เป็นไร พวกนั้นคงไม่ถึงตายกับเรื่องแค่นี้หรอก ความจริงให้พวกนั้นอยู่ห่างจากสำนักงานใหญ่ชั่วคราวก็ดีเหมือนกัน เรื่องที่สาขาย่อยล่มสลาย อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปจะดีกว่า” มีคนกำชับเสริม


“อาจแพร่งพรายออกไปแล้วก็ได้” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นอย่างกังวล คนที่ชายแซ่หลีมารายงานให้ทราบก็คือเขานั่นเอง


“ไม่รู้จักเก็บงำความลับเลยสินะ” มีคนแค่นเสียงพูดขึ้น


ชายคนเดิมหางตากระตุก เขารีบค้านออกไป “พวกนั้นไม่บอกแล้วจะมีใครรู้?”


“เอาเถอะ ช้าเร็วอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องหลุดออกไปอยู่ดี แต่การส่งตัวพวกเขาให้ออกไปอยู่ไกลๆ ก็เป็นการป้องกันไม่ให้เรื่องถูกแพร่งพรายออกไปจนเกินขอบเขต ถือเป็นวิธีที่ดี” ชายตัวผอมพูดเพื่อกู้สถานการณ์


“เอาตามนี้แล้วกัน” บอสใหญ่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว


ขณะที่สมาชิกระดับสูงของนิพพานกำลังประชุมกันอยู่นั้น คนที่บอสใหญ่บอกว่า “ไม่น่ามีปัญหา” กลับไม่ได้อยู่ว่างๆ


หลังจากพักผ่อนได้สิบนาทีกว่า หลิงม่อก็ฉวยโอกาสเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งทันที


เขากำลังเดินวนเวียนอยู่แถวทางเดินในอาคาร พอเห็นว่ามีคนเดินออกมาจากห้องก็แอบเข้าไปใกล้ๆ ขอเพียงอีกฝ่ายไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นดวงจิตบางเบานี้ เขาก็จะแทรกตัวเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว และยิ่งถ้าเป็นห้องที่ไม่มีใครอยู่ การเคลื่อนไหวของเขาก็จะยิ่งอุกอาจมากกว่าเดิม


ในทางเดินที่ไร้ซึ่งเงาคน ประตูห้องที่กำลังปิดแน่นพลันถูกเปิดออกเป็นช่องเล็กๆ เอกสารที่อยู่ในห้องลอยขึ้นกลางอากาศทั้งที่ไม่มีใครอยู่ จากนั้นมันก็ถูกพลิกเปิดด้วยมือที่มองไม่เห็น…


ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นในทุกซอกมุมของอาคาร ขณะเดียวกัน หลิงม่อก็เริ่มเข้าใกล้อาคารชั้นบนเรื่อยๆ


หลิงม่อพบว่าตัวเองค่อนข้างยึดติดกับภาพลักษณ์เดิมๆ ของกลุ่มวิจัย ในอาคารแห่งนี้ที่ไม่มีห้องใต้ดิน แต่ห้องทดลองที่สำคัญมากกลับถูกรวบรวมไว้ชั้นบน และจุดนี้ก็เป็นจุดที่เขาไม่คาดคิดตอนที่แฝงตัวเข้ามา แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อการเคลื่อนไหวของเขา ตลอดทางเขาได้ข้อมูลมาไม่น้อย ถึงแม้จะไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ แต่มันก็ช่วยให้เขาเข้าใจซอมบี้มากขึ้นทีละนิดๆ


เรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจ คือเขาเจอรายงานเกี่ยวกับการวิจัยสัตว์กลายพันธุ์


นิพพาน กลุ่มผู้รอดชีวิตที่มีสมาชิกกระจายตัวอยู่ทุกที่ย่อมมีข้อได้เปรียบเรื่องการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นรายละเอียดเล็กๆ อย่างนี้อยู่แล้ว พวกเขาไม่เพียงริเริ่มการวิจัยที่เกี่ยวกับซอมบี้ แม้แต่สัตว์กลายพันธุ์ก็ยังอยู่ในขอบเขตการวิจัยด้วย ทว่าข้อมูลเหล่านี้เพียงทำให้หลิงม่อรู้จักประเภทของสัตว์กลายพันธุ์เท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์ต่อการวิวัฒนาการของเสี่ยวป๋ายแต่อย่างใด


—————————————————————————–


บทที่ 735 นี่ไม่ใช่โครโมโซมของบรรพบุรุษเรา!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนแรกหลิงม่อคิดอย่างนั้น แต่หลังจากอ่านอย่างละเอียด เขากลับพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด


หากดูผิวเผิน เอกสารชุดนี้ได้แยกประเภทของสัตว์กลายพันธุ์ไว้จริงๆ และมันก็ไม่ได้มีประโยชน์ในการส่งเสริมวิวัฒนาการของเสี่ยวป๋ายโดยตรง


แต่หลังจากวิเคราะห์ข้อมูล หลิงม่อกลับค้นพบคีย์เวิร์ดที่ถูกซ่อนไว้—กฎการเคลื่อนไหวของสัตว์กลายพันธุ์


เนื่องจากมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นระหว่างสัตว์กลายพันธุ์และซอมบี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในขณะที่ซอมบี้มีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวน และยึดครองอำนาจในเขตเมือง จึงพบเจอสัตว์กลายพันธุ์เดินเพ่นพ่านบนถนนได้ยาก


ความจริง เรื่องนี้ยังมีอีกหนึ่งเหตุผล นั่นก็คือพฤติกรรมบางอย่างของพวกมันยังคงอยู่หลังจากกลายพันธุ์


การสร้างรัง


สัตว์กลายพันธุ์เกือบทั้งหมดที่เป็นที่รู้จักกันจะสร้างรังอันมิดชิดของตัวเองขึ้นมา แล้วค่อยออกล่าตามความปรารถนาของตัวเอง


การจะพบเจอพวกมันขึ้นอยู่กับดวง แต่ถ้าหากมีความต้องการออกตามหาพวกมันล่ะก็…บอกได้เลยว่าในเมืองที่มีตึกสูงเรียงราย ซอมบี้แออัดอย่างนี้ ล้มเลิกความคิดไม่เข้าท่าอย่างนี้เสียดีกว่า


ทว่านี่เป็นพียงสิ่งที่พูดถึงคนทั่วไปเท่านั้น สำหรับหลิงม่อ ข้อมูลชุดนี้กลับมีประโยชน์มาก


แต่การค้นหาอย่างนี้ สำหรับหลิงม่อถือว่าเป็นขอบเขตที่กว้างเกินไป ดังนั้นเมื่อใกล้จะถึงชั้น 5 เขากลับหยุดชะงัก…


“แกร๊ก”


ประตูเหล็กในทางเดินบานหนึ่งถูกปิดและลงกลอน


“เหล่าหวัง คืนนี้ตานายเข้าเวรแล้ว?” เจ้าหน้าที่ยามยื่นกุญแจให้ผู้มา แล้วพูดกับเขายิ้มๆ


เหล่าหวังดึงเข็มขัดขึ้น แล้วรับกุญแจมา พร้อมหันไปมองประตูเหล็ก “คืนนี้ทีมวิจัยมีคนอยู่ไม่มากใช่ไหม?”


“ไม่รู้สิ ได้ยินว่าวันนี้หัวหน้าทีมอารมณ์ไม่ดีนัก คงจะมีคนอยู่ทำงานล่วงเวลาบ้างแหละ นายทำงานให้ดีแล้วกัน อย่าให้ใครจับได้ว่าแอบสัปหงกล่ะ” เจ้าหน้าที่ยามคนเดิมพูดปนขำ


“นายนี่ปากนกปากกาจริงๆ รีบไสหัวไปเลยไป” เหล่าหวังเคือง


เขาหันหลังไป แล้วยื่นมือไปปลดกลอนประตูใหญ่ แล้วแกว่งกุญแจในมือ พลางพึมพำกับตัวเอง “จะระวังไปทำไม ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครอยากเข้าไปนักหนา…ทีมวิจัยจะมีปัญหาอะไรได้? ล้อกันเล่นรึไง…”


ความมืดมิดเข้าปกคลุมเมื่อกลางคืนมาเยือน อาคารทีมวิจัยที่เดิมก็ดูมืดมนอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมืดเข้าไปอีก


ในทางเดิน เสียง “แกร๊ก” มักจะดังขึ้นเป็นพักๆ พร้อมกับเสียง “หงิงๆ” ถึงแม้จะได้ยินไม่ชัดนัก แต่ก็เหมือนมันดังอยู่ในทุกที่


แอ๊ด—


ทันใดนั้น ประตูห้องที่ปิดสนิทบานหนึ่งก็เปิดออก ประตูถูเปิดออกกว้างขึ้นเรื่อยๆ


ไม่นาน เท้าข้างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากในห้อง


เมื่อประตูถูกเปิดจนกว้างพอที่คนคนหนึ่งสามารถเดินออกมาได้ เจ้าของเท้าข้างนั้นก็ได้เบียดตัวออกมาช่องประตู


แต่การเคลื่อนไหวของเขาดูติดขัดอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าข้อต่อในร่างกายมีปัญหา กระทั่งบางจุดดูบี้ยวดงอเล็กน้อยด้วยซ้ำ


แต่ชุดกาวน์บนตัวได้ปกคลุมร่างกายเขาไว้ ทำให้ดูแปลกตาน้อยลงมาก


ชายคนนี้ยัดกุญแจพวงหนึ่งใส่กระเป๋า จากนั้นก็ยื่นมือไปจับมือจับประตู


แสงจันทร์อ่อนๆ ส่องทะลุผ้าม่านสีดำเข้ามา เผยให้เห็นนิ้วมือซีดขาวของเขา ซึ่งมีเส้นเลือดปูดขึ้นชัดเจน และคราบเลือดเก่าๆ…


แกร๊ก


ประตูถูกปิดลง และชายคนเดิมก็รีบหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว


ดวงตาประกายสีแดงคู่นั้น ปรากฏเด่นชัดในความมืดทันที…


“หุ่นซอมบี้เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถใช้ตามหากุญแจของห้องทดลองได้ กลับเป็นซอมบี้ที่กระดูกหักไปทั้งตัว…ไอ้โรคไขข้ออักเสบรุนแรงนี่เหมือนเคยเห็นในหนังผีบางเรื่องเลย…จะว่าไปแล้ว นิ้วมือที่งอขึ้นมานี้จะดัดให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหมเนี่ย…”.


ร่างจริงของหลิงม่อกำลังถอนหายใจ เขาเพิ่งเคยใช้หุ่นซอมบี้ที่สภาพย่ำแย่ขนาดนี้ พอยกมือขึ้นจะติดกระดุมกลับพบว่านิ้วมืออยู่ผิดที่ผิดทาง ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเอาซะเลย


แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาเรื่องมาก แค่ตามหาหุ่นซอมบี้ที่หนีออกมาจากกรงขังได้ ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้ว


เขาให้เจ้าแมงกะพรุนเดินสำรวจเส้นทางอยู่ข้างหน้า แล้วให้หุ่นซอมบี้เดินโซซัดโซเซตามหลังไป


ยามกลางคืน คนของทีมวิจัยลดลงมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเคลื่อนไหวได้อย่างใจคิด หากไม่ระวัง ก็อาจเสี่ยงถูกจับได้…


“นายได้ยินรึยัง หมายเลข 1 หายตัวไปแล้ว เฉินเล่อก็หายตัวไปด้วยเหมือนกัน”


ในทางเดินอาคารอันมืดมิด ประกายสีแดงสองจุดมาๆ หายๆ อยู่ในความมืด ขณะเดียวกันเงาร่างเลือนรางสองเงากำลังยืนพิงกำแพง


“ฉันก็ได้ยินมาแล้ว เฮ้อ หัวหน้าทีมคงจะโมโหมากสินะ?” อีกคนพ่นควันบุหรี่ออกมาจากปากอย่างผ่อนคลาย แล้วถามขึ้น


“เรื่องนั้นใครจะไปรู้ แต่รองหัวหน้าทีมโมโหจนจะเป็นบ้าตายแล้ว วันนี้เขาอยู่ทำงานล่วงเวลาด้วย เห็นบอกว่าจะอดหลับอดนอนหลายคืนเพื่อสร้างหมายเลข 1 ขึ้นมาอีกตัว นายรู้แล้วใช่ไหม เขาบอกว่าหมายเลข 1 คือลูกชายของเขา นี่ถ้าพ่อเขายังมีชีวิตอยู่ แล้วได้เห็นหน้าหลานอย่างนี้จะช็อกตายคาที่หรือเปล่าไม่รู้ ไม่แน่อาจตะโกนออกมาว่า พระเจ้า นี่มันไม่ใช่โครโมโซมของบรรพบุรุษเรานี่! ฮ่าๆๆๆ…” ชายที่เริ่มพูดเป็นคนแรกระเบิดหัวเราะออกมา


“เหอะๆ…เอ่อ นายว่าสองคนนี้ใครเข้าหาง่ายกว่ากัน?” ชายอีกคนเปลี่ยนเรื่องคุย


ชายคนนั้นยังคงหัวเราะ “นี่นายเอาโรคจิตสองคนมาเปรียบเทียบกันหรอ…รองหัวหน้าเป็นพวกบ้างานวิจัย ส่วนหัวหน้าก็เป็นพวกบ้าอำนาจ…ฉันว่าเปรียบเทียบว่าใครโรคจิตกว่ากันจะเข้าท่ากว่านะ”


“โอ้โห นายนี่ช่างกล้าพูด ไหนนายลองว่ามาสิว่าใครโรคจิตกว่ากัน?” ชายอีกคนหัวเราะหึๆ


“รองหัวหน้าน่ะ เขาบ้าแค่เรื่องวิจัยเท่านั้น แต่หัวหน้าน่ะ เขาเป็นพวกโรคจิตมานานกว่าหลายสิบปีแล้ว นายคิดดูเมื่อก่อนเขาเคยเป็นแค่รองมาตลอด พอมาอยู่ที่นิพพานก็รีบดันตัวเองขึ้นเป็นหัวหน้าอย่างไม่รีรอ คราวนี้เป็นไงล่ะ ก็ลำพองใหญ่เลยน่ะสิ…อ้อใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่อง เห็นบอกว่ายังต้องตามหาหมายเลข 1 ด้วยนะ เป็นคำสั่งจากหัวหน้าล่ะ” จู่ๆ ชายคนนั้นก็พูดขึ้นอย่างมีลับลมคมใน


ชายอีกคนตะลึงเล็กน้อย “ท่ามกลางฝูงซอมบี้มากมาย จะตามหาไงวะ? บ้าเปล่า…”


“เห็นบอกว่ามีเบาะแส ฉันได้ยินมาจากหัวหน้าทีมย่อยของพวกฉันอีกที นายก็ลองคิดดูสิ ครึ่งปีมานี้ผลงานที่เด่นที่สุดของพวกเราก็คือเจ้าหมายเลข 1 มันแทบจะเป็นเหมือนเส้นชีวิตของหัวหน้าเลยนะ ถ้าเส้นชีวิตของนายหายไปนายจะดีใจไหมล่ะ?” ชายคนนั้นพูดต่อ


“ไอ้บ้านี่ เปรียบเทียบอะไรอย่างนี้วะ แต่เจ้าโรคจิตสองคนนี้ก็น่าขำนะ คนหนึ่งก็เส้นชีวิต อีกคนก็ลูกชาย ฮ่าๆๆๆ…” ชายอีกคนหัวเราะ


“บุหรี่ฉันหมดแล้ว กลับก่อนล่ะ”


ชายคนนั้นเหยียบบุหรี่ให้ดับ แล้วบอก


“อืม เดี๋ยวฉันตามกลับไป ของฉันยังไม่หมด” ชายอีกคนพยักหน้า


“แค่สูบบุหรี่ก็ช้าอย่างกับป้อสาว ยุ่งยากจริง…”


“นายไสหัวไปเลยไป”


ทางเดินในอาคารกลับมาเงียบอีกครั้ง มองเห็นเพียงจุดสีแดงเล็กๆ ที่ชัดบ้างเลือนรางบ้างเป็นพักๆ บางครั้งก็ส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่กำลังเคลิบเคลิ้มราวกับจะลอยขึ้นสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น


“ฮู่ว…”


เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาอีกครั้ง แล้วแหงนหน้ามองบันไดที่อยู่ข้างบน


แต่ควันบุหรี่ยังไม่ทันจางหาย สีหน้าของเขาก็ชะงักกึกไปทันที บุหรี่ที่ถูกคาบไปไว้ในปากก็หล่นลงกับพื้นจนเกิดเป็นสะเก็ดไฟเล็กๆ


ถึงแม้จะยังยืนในท่าแหงนหน้ามองพระจันทร์เหมือนเดิม แต่สายตาของเขากลับแลดูตระหนก


ผ่านไปหลายวินาที เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แล้วค่อยๆ หันหน้ากลับมา


ระหว่างนั้น มุมปากของเขาก็กำลังกระตุกสั่นอยู่ตลอด


ทว่าพอหันมามองทางบันไดด้านล่าง เขาก็นิ่งอึ้งไป


ไม่มีใครเลย?


ในทางเดินอันมืดมิด ไม่มีใครหรืออะไรอยู่เลย…


“ฉันตาฝาดไปหรอ?” ชายคนนี้ยกมือขึ้นถูกท้ายทอยอย่างงงงวย “คงไม่ได้เป็นบ้าเพราะต้องเฝ้าซอมบี้อยู่ทุกวันหรอกนะ? นึกว่ามีตาสีแดงอยู่ข้างล่างซะอีก…”


เสี้ยววินาทีที่หางตาเหลือบไปเห็นภาพนั้น เขาตกใจมากจริงๆ ถึงขั้นรู้สึกตัวอ่อนไปเลยทีเดียว


ตอนนี้พอรู้ว่าตัวเองตาฝาดไป เขาก็อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้


หลังกระแอมเบาๆ หนึ่งที เขาก็ถอนหายใจยาวๆ แล้วก้มลงหยิบบุหรี่


ในเสี้ยววินาทีนั้น เงาร่างหนึ่งได้โฉบผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว


“หืม?”


ชายคนนี้มองซ้ายมองขวาอย่างสงสัยอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่พบอะไรเหมือนเดิม


“วันนี้ฉันเป็นอะไรไปวะ เชี่ย…”


ในทางเดินของอาคารชั้น 5 ชายคนที่เดินกลับมาก่อนกำลังเอามือซุกกระเป๋าเสื้อ พลางเดินฮัมเพลงเข้าไปในส่วนลึกของทางเดิน


เวลานี้ห่างออกไปไม่ไกลข้างหลังเขา กลับปรากฏเงาร่างของใครบางคนทันใด


เงาร่างนั้นแนบตัวติดกำแพง และกำลังเอียงคอเล็กน้อย มันเดินตามหลังมาอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับแขนข้างหนึ่งที่บิดเบี้ยวผิดรูป


เสียงกระทบกันเบาๆ ของพวงกุญแจ ดังออกมาจากในกระเป๋าเสื้อของเจ้าหน้าที่วิจัย…เงาร่างนั้นดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที


เมื่อเขาหยุดเดินอยู่ตรงหน้าประตูห้องวิจัย และกำลังจะล้วงกุญแจออกมา ทันใดนั้น เสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง…


ชายคนนี้เอามือออก แล้วหันไปมองอย่างสงสัยเล็กน้อย ในวินาทีนั้น กระเป๋าเสื้อของเขาก็ถูกเปิดออกเล็กน้อย


เมื่อกุญแจพวงนั้นถูกเกี่ยวขึ้นมาเบาๆ กุญแจอีกพวงก็หล่นลงมาจากบนเพดานเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเขา


“ไอ้สัตว์ประหลาดตัวไหนมันดื้ออีกแล้ว” ชายคนนี้หัวเราะ แล้วหันกลับมา


“อ้าว ฉันหยิบกุญแจมาผิดหรอ? นี่มันกุญแจใครล่ะเนี่ย?”


“ฮู่ว…”


หลิงม่อยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก โชคดีที่อีกฝ่ายใส่ชุดกาวน์…


“ต้องขอบคุณระบบของนิพพานอีกครั้ง หากไม่มีการสนับสนุนจากพวกนาย ฉันคงขโมยกุญแจพวงนี้มาไม่ได้”


หลิงม่อกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ จากนั้นเขาก็หลับตาลงอีกครั้ง


ตอนนี้ เขาสามารถพุ่งสมาธิไปที่การควบคุมหุ่นซอมบี้ทั้งหมด


มีเจ้าแมงกะพรุนคอยช่วย การขโมยกุญแจจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร และกลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมนี้หลิงม่อก็เคยใช้ได้ผลมาหลายครั้งแล้วด้วย


เวลานี้ กุญแจพวงที่ถูกขโมยมากำลังลอยละล่องกลางอากาศเข้าไปในมุมมืด จากนั้นก็ลอยเข้าสู่มืออันซีดขาวข้างหนึ่ง


ได้ยินเจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นบ่นอย่างหงุดหงิด ใบหน้าที่นิ่งเหมือนตอไม้ของหุ่นซอมบี้กลับปรากฏรอยยิ้มมุมปากที่ดูประหลาด


เมื่อมีกุญแจอยู่ในมือ เขาก็สามารถเข้าไปสำรวจห้องทดลองที่ถูกล็อกไว้เหล่านั้นได้อย่างสบายๆ แล้ว…


ถึงแม้ยามค่ำคืนจะเหมาะแก่การค้นหา แต่ห้องทดลองส่วนมากจะถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนาในเวลานี้ แต่เนื่องจากในห้องทดลองส่วนมากมีสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วย ดังนั้นกุญแจจึงมักอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ที่อยู่เวร จากการที่หลิงม่อแอบฟังพวกเขาคุยกันมาทั้งช่วงบ่ายในระหว่างที่ลอบเข้ามาในห้องทดลอง เขาก็เริ่มรู้กฎบางอย่างของทีมวิจัยแล้ว


“หัวหน้าทีมคนนั้นไม่ได้เข้าเวรที่ตึกนี้ แต่รองหัวหน้าทีมจะอยู่ที่ชั้น 6 ตลอด…เริ่มค้นจากชั้น 5 ก่อนดีกว่า”


หุ่นซอมบี้โฉบเข้าไปในทางเดินอีกเส้นอย่างรวดเร็ว


ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นยังคงควานหากุญแจในกระเป๋าของตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่า ห่างออกไปประมาณ 10 เมตรในแนวเส้นตรง ซอมบี้ตัวหนึ่งกำลังถือกุญแจที่หายไปของเขาจ่ออยู่หน้ารูกุญแจห้องห้องหนึ่ง…


—————————————————————————–


บทที่ 736 พวกมันมีชีวิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

“น่าแปลกจริงๆ เมื่อกี้ฉันยังเปิดประตูได้อยู่เลย…” เจ้าหน้าที่วิจัยเดินหันกลับไปทางเดิมที่มาเมื่อกี้ พลางบ่นพึมพำ และในตอนนั้นเอง ที่ประตูห้องบานนั้นถูกผลักเปิดอย่างเงียบเชียบ เงาร่างของใครคนหนึ่งโฉบเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว แล้วบานประตูก็ค่อยๆ ถูกดึงปิดจนสนิทในที่สุด


ภารกิจลักลอบเข้าห้อง สำเร็จ


“เข้ามาแล้ว” หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ยืนแนบประตู ไม่ได้รีบเร่งเคลื่อนไหวทันที จนกระทั่งเมื่อเสียงฝี่เท้าห่างออกไปไกล เขาจึงค่อยหันมามองภายในห้อง


เมื่อมองสภาพแวดล้อมด้านข้างผ่านสายตาของซอมบี้ ภาพที่เห็นจะมีแสงสีแดงปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น แต่หลิงม่อเคยชินกับเรื่องนี้แล้ว ถึงจะเหลือบไปเห็นดวงตาสีแดงบนหัวกะโหลกที่ถูกสตาฟไว้ทันที แต่เขาก็ยังนิ่งเฉย


หลังจากสั่งให้เจ้าแมงกะพรุนดูต้นทางอยู่หน้าประตู หลิงม่อก็ควบคุมเจ้าหุ่นซอมบี้ให้เดินเข้าไปในห้องอย่างเบาเท้าที่สุด


“กลิ่นคาวเลือดที่ลอยโชยออกมาจากห้องทดลองห้องนี้ฉุนที่สุด ดังนั้นห้องนี้จะต้องน่าสนใจที่สุดแน่นอน…” หลิงม่อคิดในใจ


หลิงม่อรู้สึกได้ตอนที่เดินอยู่ในทางเดินข้างนอก แต่หลังจากเข้ามาในนี้ เขากลับพบว่าที่นี่ไม่ได้มีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่ฉุนมาก แต่ยังมีกลิ่นเชื้อไวรัสที่รุนแรงมากด้วย มีกระทั่งกลิ่นประหลาดมากมายรวมอยู่เต็มไปหมด เมื่อกลิ่นทั้งหมดคละเคล้ากัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ากลิ่นของมันจะประหลาดมากขนาดไหน แค่สูดดมเพียงไม่นาน หลิงม่อก็รู้สึกแล้วว่าจิตใต้สำนึกของหุ่นซอมบี้กำลังมีปฏิกิริยาเบาๆ


แน่นอนว่าความสั่นคลอนนี้ยังไม่มากพอที่จะทำให้เกิดผลกระทบกับอำนาจการควบคุมของหลิงม่อได้ ดังนั้นเขาจึงเพียงขมวดคิ้ว แต่กลับไม่ได้หยุดเดิน


“เยอะมาก…” พอเห็นชั้นวางหนังสือมากมายที่วางเรียงรายกันอยู่ข้างผนัง สายตาของหลิงม่อก็เปล่งประกายขึ้นมา


แต่ภาพที่เห็นนั้นผิดจากที่หลิงม่อคาดไว้เล็กน้อย ที่นี่เป็นโซนออฟฟิส แต่กลิ่นคาวเลือดนั้นมาจากไหนกันล่ะ?


มองซ้ายมองขวาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ หลิงม่อส่ายหัวเบาๆ จากนั้นก็เดินไปยังชั้นวางหนังสือที่ใกล้ที่สุด


ทว่าหลังจากเดินไปตามชั้นวางหนังสือเหล่านี้หนึ่งรอบแล้ว หลิงม่อกลับต้องรู้สึกผิดหวัง ดูจากหัวข้อ สิ่งที่ถูกบันทึกในห้องนี้มากที่สุดน่าจะเป็นการวิจัยเกี่ยวกับซอมบี้ มีบันทึกมากมายตั้งแต่หมายเลข 1 จนถึงหมายเลขต่างๆ แทบไม่ต่างอะไรกับบันทึกการเจริญเติบโตของซอมบี้เลย หากมีเวลาว่าง หลิงม่อก็อยากจะนำเนื้อหารายงงานเหล่านี้มาเปรียบเทียบกับความรู้เกี่ยวกับซอมบี้ในสมองเขาซักรอบ แต่เวลาไม่คอยใคร สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อเขา


“อีกอย่าง โดยทั่วไปบันทึกการเจริญเติบโตของพวกเขาล้วนอ้างอิงจากการทรมานซอมบี้ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย…ฉันน่ะเขียนคู่มือวิธีการฝึกอบรมพิเศษสำหรับซอมบี้ยังได้เลย แถมยังเป็นวิธีการร้อยแปดที่ไม่ซ้ำกันอีกต่างหาก…แต่ประสบการณ์ส่วนตัวอย่างนี้ไม่เผยแพร่ออกไปจะดีกว่า แล้วมันก็เลียนแบบกันไม่ได้ด้วย” หลิงม่อคิดในใจ พร้อมยัดแฟ้มเอกสารเข้าไปที่เดิมอีกครั้ง


“ติ๋ง…”


ทันใดนั้น เสียงเบาๆ ดังมาจากบางแห่ง ทำให้หลิงม่อชะงักไปทันที


เขาเงยหน้าขึ้น ลูกตาสีแดงกลอกมองไปมาหนึ่งรอบ “เสียงอะไรน่ะ?”


สิบวินาทีต่อมา เสียงอันแผ่วเบานั้นดังขึ้นอีกครั้ง “ติ๋ง…”


มีเสียงจริงๆ ด้วย! หลิงม่อตวัดสายตามองไปทางด้านซ้ายของห้องอย่างรวดเร็ว


ถึงแม้ทางนั้นจะมีชั้นวางหนังสือตั้งอยู่เหมือนกัน แต่ด้านบนมีเพียงถาดเครื่องเคลือบดินเผาถูกวางไว้เพียงไม่กี่ชิ้น หลิงม่อจึงไม่ได้สนใจมากนัก


แต่เสียงที่เกิดขึ้นตอนนี้ กลับดังมาจากชั้นวางชั้นนั้น


หลิงม่อค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างสงสัย ขณะเดียวกันเจ้าแมงกะพรุนที่อยู่บนเพดานก็วิ่งตามเขามาด้วย


“ติ๋ง…”


หลิงม่อยืนเงี่ยหูฟังอยู่หน้าชั้นวางหนังสือครู่หนึ่ง แล้วหัวคิ้วก็กระดกขึ้น “ไม่ใช่ เสียงดังมาจากข้างหลังชั้นวางนนี้”


เขารีบยื่นมือออกไปคว้าชั้นวาง จากนั้นก็เขย่าไปข้างหน้าข้างหลัง “เอ๋ ขยับได้?”


หลิงม่อลองจับขอบตู้ด้านหนึ่ง แล้วออกแรงเบาๆ…ชั้นวางชั้นนั้นไถลไปยังอีกฝั่งอย่างเงียบเชียบ เผยให้เห็นรอยแยกมืดๆ ที่ถูกซ่อนไว้ด้านหลัง


“ไม่คิดว่าจะมีล้อด้วยแฮะ…” ล้อของชั้นวางนี้หากมองจากด้านนอกจะมองไม่เห็น แต่ถ้าหากนอนราบกับพื้นแล้วสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าระหว่างก้นชั้นวางกับพื้นยังมีช่องว่างเล็กๆ อยู่ และล้อก็ซ่อนอยู่ใต้ก้นชั้นวางนั่นเอง แต่คนปกติคงไม่มีใครอยู่ดีๆ ก็นอนราบกับพื้นแน่นอน ดังนั้นถึงแม้การออกแบบอย่างนี้ถึงจะดูเรียบง่าย แต่กลับสามารถปกปิดได้เป็นอย่างดี


เมื่อรอยแยกปรากฏ กลิ่นฉุนๆ เมื่อกี้ที่ดึงดูดให้เขาเข้ามาในนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม


เห็นชัดว่า กลิ่นนั้นลอยออกมาจากข้างในนั้น…


เจ้าแมงกะพรุนเดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ รอยแยกสองรอบ ขณะเดียวกันหลิงม่อก็เผยสีหน้าคาดหวังออกมาด้วยเช่นกัน


“มีดวงแสงแห่งจิตอยู่เยอะมาก ที่นี่คงจะเป็นห้องทดลองที่ซ่อนอยู่สินะ…ซ่อนตัวมิดชิดขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าทีมวิจัยมีความสำคัญกับที่มากแค่ไหน ถึงข้างในจะไม่มีรายงาน แต่ตัวทดลองที่ถูกนำขึ้นมาถึงชั้น 5 จะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ…” หลิงม่อผลักชั้นวางหนังสือออกเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปใกล้อย่างไม่รีรอ


ดูเหมือนว่าพื้นที่ว่างตรงนี้จะกว้างกว่าข้างนอกถึงสองเท่าเลยทีเดียว และช่องโหว่นี้ก็เกิดจากการใช้สิ่วเจาะกำแพงอย่างเห็นได้ชัด ห้องสองห้องหรืออาจมากกว่านั้นเชื่อมต่อกันอยู่ หลิงม่อเลือกเดินเข้ามาจากโซนออฟฟิสพอดี แต่ในเมื่อตั้งใจออกแบบเป็นพิเศษอย่างนี้ ห้องด้านในนี้จึงถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาเป็นส่วนมาก


ห้องทดลองแห่งนี้แตกต่างจากห้องทดลองที่หลิงม่อเคยเห็นมามาก


ที่นี่ไม่มีกรงเหล็ก แต่พวกเขาใช้ผ้ายางกั้นแบ่งเป็นห้องๆ แทน และด้านหน้าประตูห้องก็เป็นทางเดินอันมืดมิดและวังเวงเส้นหนึ่ง


“ติ๋ง…”


หลิงม่อมองตามเสียงไปทางซ้าย แล้วหางตาของเขาก็กระตุกด้วยความตะลึงทันที


ถังน้ำเหล็กใบหนึ่งห้อยอยู่บนผนัง ด้านล่างถังน้ำใบนั้นถูกเจาะเป็นรูเล็กๆ และมีกะละมังใบเล็กรองรับไว้ด้านล่าง


ของเหลวหนืดบางอย่างกำลังซึมออกจากรูเล็กๆ นั้น สิบวินาทีต่อมาของเหลวนั้นก็หยดลงไปในกะละมังใบเล็ก เมื่อผิวสัมผัส หยาดเลือดเล็กๆ ก็กระเซ็นขึ้นมา “ติ๋ง”


แค่เห็นกะละมังใบเล็กนั้น หลิงม่อก็ไม่คิดจะสำรวจถังน้ำเหล็กใบนั้นแล้ว สิ่งที่อยู่ในนั้นต้องไม่ใช่ของดีแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังตามหา…


“แค่กๆ…”


หลิงม่อเลื่อสายตาออกจากมุมนั้น แล้วหันไปมองทางเดินที่อยู่ตรงหน้าแทน เขาสนใจห้องที่ถูกกั้นแบ่งไว้เหล่านี้มากกว่า หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขาสนใจตัวทดลองพวกนั้น ไม่แน่อาจเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับซอมบี้ร่างแม่ในนี้ก็ได้…


ห้องด้านหน้า 2 – 3 ห้องเป็นห้องเปล่าหมด พอดึงผ้ายางขึ้น ก็เห็นว่าโต๊ะด้านในสะอาดมาก ทว่าในขณะที่หลิงม่อกำลังจะเดินไปถึงห้องที่อยู่จุดกึ่งกลาง มือที่กำลังดึงผ้ายางขึ้นของเขากลับชะงักไปเล็กน้อย


ไม่ต้องใช้เจ้าแมงกะพรุน แค่อาศัยประสาทสัมผัสทางกลิ่นของหุ่นซอมบี้ หลิงม่อก็รู้แล้วว่าในห้องต้องมีซอมบี้อยู่อย่างแน่นอน


เขาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ดึงผ้าม่านขึ้นดัง “พรึ่บ”


ถึงจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอเห็นสภาพในห้อง หลิงม่อก็ยังคงอึ้งไปทันที


“นี่มัน…เจ้าพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นแฟรงเกนสไตน์รึไง!” หลิงม่ออึ้งไปนานหลายวินาทีกว่าจะได้สติกลับคืนมา


ในห้องแห่งนี้มีเงาร่างของใครคนหนึ่งถูกห้อยตัวไว้ โดยที่มือทั้งสองข้างถูกมัดไว้ด้านบนด้วยโซ่ตรวน


บริเวณเอวถูกปลอกเหล็กที่ยึดติดกับผนังรัดไว้ ร่างกายร่างนั้นถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา


ดูจากผมเผ้าที่ยาวพะรุงพะรังและเนินอกสูงนั่น เห็นชัดว่าเป็นซอมบี้เพศหญิง


เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ไว้กลับดูค่อนข้างมิดชิด แต่แทนที่จะบอกว่าสวมใส่ สู้บอกว่าใช้ผ้าผืนหนึ่งคลุมร่างเธอไว้อย่างมิดชิดจะดีกว่า…


มองผิวเผิน เธอดูปกติมาก แต่สำหรับหลิงม่อที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ “เนินเขา” อย่างลึกซึ้งนั้น เขาสังเกตเห็นบางสิ่งได้ในทันที!


เนินเขาของซอมบี้หญิงตัวนี้…มีรูปร่างที่ผิดปกติ!


“ถึงแม้จะเคยได้ยินมาว่ามีไซส์ที่ใหญ่กว่าลูกบาสอยู่จริง แต่นี่มันไม่ใช่แค่ลูกบาสแล้วล่ะ…” หลิงม่อเดินเข้าไปในห้องนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยื่นมือไปดึงผ้าผืนนั้นออก


“หืม?” ต้องบอกว่า ภาพที่เขาเห็นค่อนข้างแตกต่างจากที่คิดไว้…


เขามองดูหน้าอกที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงเหมือนหัวใจที่กำลังเต้น แถมยังมีขนาดใหญ่จนผิดปกติคู่นั้น พลางคิดว่าแค่มองดูเฉยๆ คงจะไม่ได้อะไรแน่


หน้าอกคู่นั้นกระเพื่อมขึ้นลงราวกับว่าพวกมันมีชีวิต แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น ยิ่งพอหลิงม่อปรากฎตัว พวกมันดูเหมือนจะสงบลง ราวกับว่ากำลังพยายามอำพรางตัว…


“หน้าอกมีชีวิต…” หลิงม่อตัดสินใจแผ่หนวดสัมผัสแยกออกไปหนึ่งเส้น


เมื่อหนวดสัมผัสเส้นนี้ค่อยๆ เข้าไปใกล้เนินเขาคู่นั้น พวกมันก็กระเพื่อมแรงขึ้นทันที


เหมือนพวกมันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งจึงพยามดิ้นขัดขืน ถ้าหากสามารถเพิ่มแขนให้ได้ เดาว่าตอนนี้พวกมันคงกำลังทำท่าอ้อนวอนอยู่แน่ๆ…


ภาพที่เห็นทำเอาหลิงม่อตะลึงมาก เขาเคยเห็นระบำพุง แต่ไม่เคยเห็นระบำเต้านมเลยซักครั้ง ยิ่งไม่เคยได้ยินว่ามีเต้านมที่ไหนอ้อนวอนเป็น…


“จึ๊ก!”


หนวดสัมผัสรูปสสารจิ้มลงบนยอดเขาเบาๆ พอออกแรงสั่นเล็กน้อย เนินเขาสองลูกนั้นกลับขยายตัวขึ้น แล้วจู่ๆ มันก็ยื่นเข้ามาทางหลิงม่อเหมือนแขนสองข้าง


“เชี่ย!”


หลิงม่อหนังศีรษะชา เขารีบถอยกรูดไปข้างหลัง


ทว่าไม่นานเขาก็พบว่าตัวเองตกใจมากไป ถึงเจ้าเนินเขาสองลูกนั้นจะกำลังเปลี่ยนรูปร่างอยู่ แต่…พวกมันก็ยังสั้นเกินไป


ถึงแม้ยอดเขาจะพยายามยืดตัวออกมาจากเนินเขา แต่ความจริงมันก็ยาวได้แค่ครึ่งหนึ่งของแขนเท่านั้น แล้วพอสังเกตดูดีๆ แล้ว นั่นมันหน้าอกทรงหยดน้ำไม่ใช่หรอ?


“เป็นการกลายพันธุ์ที่ทันสมัยจริงๆ…” หลิงม่อลอบปาดเหงื่อ


เขาเอาผ้าผืนเดิมคลุมร่างซอมบี้หญิงไว้เหมือนเดิม แต่กลับพบว่าบนตัวซอมบี้หญิงยังมีป้ายแขวนไว้ด้วย


หลิงม่อดึงป้ายขึ้นดู พอเห็นข้อความที่ถูกเขียนไว้ เขาก็รู้สึกพูดไม่ออกทันที “ซอมบี้ประเภทซิลิโคนกลายพันธุ์ ระดับ A หมายเหตุ ซอมบี้ตัวนี้แม้ขณะที่อยู่ในระหว่างหมดสติ ซิลิโคนก็ยังมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ อันตราย”


“ป้ายนี้เล็กเกินไปไหม ไม่ได้ช่วยเตือนภัยอะไรได้เลย! แต่จะว่าไป อย่างนี้ก็ได้หรอ?”


แต่คิดดูดีๆ มันก็ใช่ สิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นล้วนเป็นวัตถุภายนอก ถึงมันจะไม่สามารถติดเชื้อไวรัส แต่ในขณะที่กล้ามเนื้อ กระดูก หรือแม้กระทั่งเลือดในร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง สิ่งแปลกปลอมภายนอกเหล่านี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะสามารถเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นกัน ที่ซอมบี้หญิงตัวนี้มาอยู่ที่นี่ได้ น่าจะเป็นเพราะคนของทีมวิจัยกำลังเร่งกระบวนการกลายพันธุ์ของซิลิโคนในร่างเธอ


ก่อนหน้านี้ เขาเองก็เคยเห็นซอมบี้ที่สามารถใช้เต้านมเป็นปืนฉีดพ่นเชื้อไวรัสได้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นเขากลับไม่ได้สังเกตว่ามีของประเภทซิลิโคนอยู่ข้างในด้วยหรือเปล่า


มาคิดดูตอนนี้ การที่จะเกิดกลายพันธุ์ที่พิเศษอย่างนั้นได้นั้น จะต้องมีการกระตุ้นจากภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ


ถ้าหากทีมวิจัยตามหาซอมบี้ที่มีพิษชนิดนั้นจนเจอ เดาว่ามันคงถูกจัดอยู่ในระดับ B…


“ความรู้ใหม่จริงๆ…” หลิงม่อสังเกตดูอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองห้องถัดไป


ตอนนี้เขาพอจะเดาได้รางๆ แล้ว ว่าห้องทดลองห้องนี้มีไว้เพื่ออะไร…


—————————————————————————–


บทที่ 737 ห้องแห่งความลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

มหาลัยแพทย์ฯ ในยามค่ำคืนถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด มีเพียงเสียง “สวบสาบ” ที่ดังแว่วออกมาจากพุ่มไม้และป่าด้านข้างเป็นบางระยะเท่านั้น


หากมองเข้ามาจากด้านนอก กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ที่ยื่นออกไปนอกรั้วดูเหมือนเงาตะคุ่มมากมาย เมื่อลมพัดพวกมันก็เปลี่ยนรูปร่างไป และดูเหมือนเหล่าวิญญาณที่กำลังพยายามจะหนีออกจากกรง


“อึก…”


เงาร่างที่โงนเงนไปมาเงาหนึ่งปรากฏบนทางเดินอันว่างเปล่า สองแขนของมันห้อยอยู่ข้างลำตัว และแกว่งไปมาเหมือนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ศีรษะของเงาร่างนั้นเอียงไปด้านข้าง ดวงตาสีเลือดบนใบหน้าที่บิดเบี้ยวกำลังจดจ้องไปยังเงาที่สั่นไหวเหล่านั้นเขม็ง


ขณะที่มันเดินไปถึงรั้วล้อมนั่น และกำลังเงยหน้าจ้องกิ่งไม้เหล่านั้นอย่างเหม่อลอย จู่ๆ มันกลับแหงนหน้าขึ้นเหมือนรู้สึกได้ถึงบางอย่าง


“ป๊าบ!”


ในดวงตาของมันสะท้อนเงาสีขาวขนาดใหญ่ที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า และกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ


ทันใดนั้นศีรษะของมันถูกเหยียบเข้าอย่างแรง ภาพสุดท้ายที่ซอมบี้ตัวนี้เห็น คือภาพที่เงาสีขาวขนาดใหญ่นั่นกระโดดเข้าไปในพุ่มหญ้าอย่างรวดเร็ว


ร่างกายของมันโงนเงนไปมา และไม่นานก็ล้มพับไป…


“เมื่อกี้ไม่ทันมอง แต่เสี่ยวป๋าย เหมือนแกจะเหยียบโดนอะไรซักอย่างรึเปล่า?”


ในพุ่มหญ้า อวี๋ซือหรานกระโดดลงจากหลังของเสี่ยวป๋าย แล้วถามเสียงเบา


“แบ๊…” เสี่ยวป๋ายส่ายหัวไปมาด้วยใบหน้าใสซื่อ


บนหลังของมันยังมีคนนั่งอยู่อีก 2 คน คนหนึ่งกำลังเบิกตากว้างมองรอบข้างอย่างอยากรู้อยากเห็น อีกคนกำลังถือเคียวดาบไว้ พร้อมกับสีหน้าที่ปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด


ทั้งสองก็คือเย่เลี่ยนกับซย่าน่านั่นเอง ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ พวกเธอได้รับสัญญาณจากหลิงม่อหลังจากที่รอคอยมานาน จากนั้นพวกเธอก็รีบเดินทางมาที่มหาลัยแพทย์ฯ พร้อมกับเสี่ยวป๋ายและอวี๋ซือหรานทันที


“พี่หลิง…อยู่ทางนั้น” เย่ลี่ยนยกมือขึ้นชี้เข้าไปในส่วนลึกของมหาลัยแพทย์ฯ


ซย่าน่ากระดกมุมปากขึ้น แล้วพูดว่า “ฮิฮิ คราวนี้พวกเราได้เคลื่อนไหวโดยลำพังเลยนะเนี่ย…”


“ทำไมเธอต้องดีใจขนาดนั้นด้วย?” อวี๋ซือหรานขมวดคิ้วถาม เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าการได้ช่วยเจ้ามนุษย์ไส้กรอกมันเป็นเรื่องน่าสนุกตรงไหน ไปออกล่าเหยื่อยามว่างยังจะน่าสนใจกว่าอีก ถึงจะกินไม่ได้ แต่แค่ดูก็ได้นี่…


“เปล่านี่ ฉันออกจะจริงจังนะตอนนี้” ซย่าน่าส่ายหัว “เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าคิดแต่จะเล่นสนุกท่าเดียว พี่หลิงต้องเคลื่อนไหวเองลำบากแน่นอน ดังนั้นพวกเราจึงต้องบุกทั้งข้างในและข้างนอก เพื่อจัดการเรื่องราวให้…ช่างเถอะ พวกเธอทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจที่ฉันพูดเลยซักนิด…”


อวี๋ซือหรานกลอกตาขาว เธอล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วคลี่ออกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นี่คือแผนที่ที่เขาทิ้งไว้ให้ ตรงนี้คือที่ที่เสี่ยวป๋ายเคยไปสำรวจมาแล้ว ส่วนโซนที่พวกเราต้องไปค้นหา เขาก็วาดเอาไว้ให้คร่าวๆ แล้ว ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้…แต่ถึงจะมีแผนที่ก็ยังต้องระวังอยู่ดี เพราะที่นี่มียามลาดตระเวน”


“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเรียนรู้จากเสี่ยวป๋ายจนฉลาดขึ้นมาแล้ว…” ซย่าน่าพูดชม


“แน่นอนสิ…” อวี๋ซือหรานได้ใจ แต่แล้วก็ชะงักไป


ทำไมรู้สึกว่าคำพูดของเธอมันแปลกๆ นะ…


“ใช่สิ แล้วพวกเธออีกคนล่ะ?” อวี๋ซือหรานหมายถึงหลี่ย่าหลิน


ซย่าน่ายิ้มขำ พลางตอบ “อยู่กับยัยครึ่งมนุษย์นั่น เพื่อดูแลความปลอดภัยให้เธอน่ะ”


อวี๋ซือหรานนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกว่า “เธอช่างเป็นซอมบี้ที่มีความอดทนจริงๆ ถ้าเป็นฉันล่ะก็…ยัยมนุษย์คนนั้นคงตายไปนานแล้ว”


ขณะเดียวกัน ตัดภาพมายังอาคารที่พัก


สวี่ซูหานกำลังขดตัวอยู่ในมุมห้อง เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ในขณะที่สายตาจ้องมองหลี่ย่าหลินที่อยู่ตรงหน้า


ฝ่ามือเรียวยาวของอีกฝ่ายกำลังกุมไหล่เธอไว้แน่น อาจดูนุ่มนวลและบอบบาง แต่มือนั่นกลับสามารถฉีกร่างเธอให้เป็นสองท่อนได้ทุกเมื่อ


แต่แค่นี้ยังไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้สวี่ซูหานขวัญหนีดีฝ่อ คือสายตาของหลี่ย่าหลินที่กำลังจ้องมาทางเธอเขม็ง


“เธอ…เธอจ้องฉันทำไม?” สวี่ซูหานเม้มปาก แล้วถามขึ้น


หลี่ย่าหลินกระพริบตาปริบๆ “ก็ซย่าน่าบอกให้ฉันจับตาดูเธอไว้”


“…” สวี่ซูหานมองดวงตาประหลาดที่มีสีแดงผสมสีเหลืองอำพันคู่นั้นของหลี่ย่าหลิน แล้วถามด้วยเสียงเหมือนจะร้องไห้ “แล้วทำไมตาของเธอถึงได้เปลี่ยนสีล่ะ?”


“จ้องนานน่ะ” หลี่ย่าหลินบอก พลางแลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียริมฝีปาก


“อา…” สวี่ซูหานรีบหันหน้าหนี ร่างกายเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ปากขยับพูดอย่างไร้เสียงว่า “ช่วยด้วย…”


ในพุ่มหญ้า ซย่าน่าดึงสติกลับมาจากภวังค์ความคิดของตัวเอง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ “อื้ม เชื่อมั่นในความอดทนของเธอได้…คิดว่านะ เอาล่ะ พวกเราเริ่มเคลื่อนไหวเถอะ ตามที่พี่หลิงสั่งไว้ พวกเราห้ามแยกกัน และห้ามทำเรื่องเสี่ยงอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากถูกใครจับได้ให้รีบส่งสัญญาณบอกเขา เขาจะช่วยพวกเราเบี่ยงเบนความสนใจของคนพวกนั้นออกไปเอง”


“เบี่ยงเบนยังไง?” อวี๋ซือหรานถามอย่างสงสัย


ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ถ้าหมดหนทางจริงๆ…ฉี่ไกลสามเมตรท้าลมแรงหรืออะไรก็ต้องลองทำล่ะ”


“อย่างนั้นหรอ…ฉันทำได้ไหม?” อวี๋ซือหรานยังคงถามต่อ


“พี่หลิงกลับมาเมื่อไหร่ก็ให้เขาสอนเธอสิ…”


ขณะที่พวกเย่เลี่ยนกำลังจะแฝงตัวเข้าไปในมหาลัยแพทย์ฯ หุ่นซอมบี้ที่หลิงม่อควบคุมอยู่ก็ได้เดินมาถึงพื้นที่ครึ่งหลังของห้องทดลองลับแล้ว


หลังจากเจอซอมบี้กลายร่างหญิงตัวนั้น หลิงม่อก็ได้เห็นซอมบี้กลายร่างที่ไม่เหมือนกันอีกหลายตัว


ดูจากระดับความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายของซอมบี้กลายร่างเหล่านี้ เห็นชัดว่าพวกมันถูกจับมาที่นี่ และถูกทำให้กลายพันธุ์เป็นซอมบี้กลายร่าง บางตัวก็มีภัยแฝงซุกซ่อนอยู่ในตัวเหมือนซอมบี้สาวตัวแรกอยู่แล้ว บางตัวก็ถูกฉีดเชื้อไวรัสบางอย่างเข้าไป จนทำให้ร่างกายบางส่วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไป


การกลายพันธุ์ของซอมบี้กลายร่างคือการปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายเป็นหลัก และการกลายพันธุ์ของซอมบี้ทั่วไปที่เกิดขึ้นเมื่อวิวัฒนาการถึงระดับซอมบี้เจ้าเมือง โดยปกติมักเป็นเพราะความสามารถพิเศษที่เกิดจากเชื้อไวรัส


หลิงม่อคิดว่าซอมบี้กลุ่มแรกนอกจากซอมบี้ร่างแม่แล้ว ตัวอื่นๆ ที่เหลือเป็นซอมบี้ประเภทที่เชื้อไวรัสเกิดการเปลี่ยนแปลง และซอมบี้กลุ่มหลังนั้นเป็นเพราะยีนที่แท้จริงของพวกมันเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ความสามารถพิเศษบางอย่างดูน่าเหลือเชื่อ แต่ในโลกแห่งธรรมชาติ มีสัตว์มากมายที่มีลักษณะพิเศษเหล่านั้นอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าแปลก แต่ถึงจะพูดอย่างนี้ พอลักษณะพิเศษเหล่านั้นมาปรากฏอยู่บนตัวเหล่าซอมบี้ มันกลับกลายเป็นคนละเรื่องไปเลย


สถานการณ์ของบรรดาซอมบี้กลายร่างพวกนี้ทำให้หลิงม่ออดคิดลึกกว่านี้ไม่ได้ว่าทีมวิจัยฉีดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ชนิดไหนให้พวกมันกันแน่ แล้วพวกเขาได้มันมาจากไหน…


“อืม ที่นี่ยังมีประตูอีกบาน…” ในขณะที่เดินมาจนสุดทาง หลิงม่อก็พบว่าด้านหน้ายังมีประตูอยู่อีกหนึ่งบาน


และประตูบานนี้ก็แตกต่างไปจากประตูบานอื่นๆ เพราะมันคือประตูเหล็กที่หนักและหนามาก…


หลิงม่อล้วงกุญแจพวงเดิมออกมาอีกครั้ง หลังจากลองไขดูหลายดอก ในที่สุดก็ได้ยินเสียง “แกร่ก” ดังขึ้นเบาๆ


“แอ๊ด…”


เมื่อผลักประตูออกช้าๆ กลิ่นแปลกๆ กลิ่นหนึ่งก็ลอยมาเตะจมูกทันที


กลิ่นนี้เสียดแทงจมูกกว่ากลิ่นฉุนพวกนั้นมาก แต่ในนั้นก็ยังมีกลิ่นอายของเชื้อไวรัสผสมอยู่จางๆ


เมื่อได้ยินเสียงลากโซ่ตรวนดังแว่วมาจากด้านใน หลิงม่อก็ตระหนักขึ้นได้ทันทีว่าตัวเองอาจเจอบางสิ่งที่น่าทึ่งเข้าแล้ว…


“เอี๊ยดๆๆๆ…”


ดูเหมือนว่าประตูบานนี้ไม่ได้ใส่น้ำมันหล่อลื่นมานานมากแล้ว ดังนั้นตอนที่ผลักประตูในตอนสุดท้ายมันจึงส่งเสียงดังชวนเสียวฟัน ขณะเดียวกัน สภาพในห้องก็ปรากฏสู่สายตาของหลิงม่อ…


โซ่ตรวนมากมาย…นี่คือสิ่งแรกที่หลิงม่อเห็นในห้องนี้


มีทั้งที่ถูกตรึงไว้บนเพดาน และทั้งที่ถูกตอกไว้กับผนัง อีกด้านของโซ่ตรวนที่มีขนาดเท่าข้อมือเหล่านั้น ล้วนถูกโยงไปที่เงาร่างสีดำที่อยู่กลางห้องทั้งหมด


สิ่งที่จำเป็นต้องใช้โซ่ตรวนมากมายขนาดนี้มาพันธนาการไว้ กลับไม่ใช่ซอมบี้ที่ดูร้ายกาจเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นซอมบี้เพศชายตัวหนึ่งที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างไป และถูกมัดไว้ทั้งตัวไม่ต่างจากขนมบ๊ะจ่าง ผิวหนังทั่วกายของซอมบี้ตัวนี้กลายเป็นรอยย่นไปทั้งหมด จึงยากที่จะตัดสินอายุของมันจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ใบหน้าซีดขาวนั่นกลับเหมือนศพแห้งๆ ที่เพิ่งคลานออกมาจากหลุมอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนมีระดับพลังทำลายล้างไม่สูง แต่ระดับความน่าสยองกลับสูงมาก


มันจ้องหลิงม่อเขม็ง และดิ้นขัดขืนอย่างต่อเนื่อง ทำให้โซ่ตรวนเหล่านั้นเกิดเสียงครืดคราดไม่หยุด


พอเห็นมันได้แต่บิดตัวไปมาอยู่ที่เดิม หลิงม่อก็เกิดสงสัยขึ้นมา จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาลงไปที่เท้าของมัน


“โหดเหี้ยมจริงๆ…”


เหล็กเส้นสองเส้นเจาะทะลุหลังเท้าของซอมบี้ตัวนั้น แล้วปลายด้านบนของเหล็กเส้นก็ยังถูกดัดจนงอเป็นรูปครึ่งวงกลม เพื่อยึดร่างมันให้ติดกับพื้นจุดนั้นโดยสิ้นเชิง นอกจากว่าฝ่าเท้าของมันจะเละหมด ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็หนีออกมาไม่ได้ ลำคอของมันถูกสวมไว้ด้วยโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง ทำให้ไม่อาจก้มหน้าลงไป จึงไม่มีทางที่มันจะกัดข้อเท้าตัวเองจนขาดได้


ถึงแม้ซอมบี้จะบ้าคลั่งมาก แต่ในสถานการณ์ที่สูญเสียความสามารถในการขัดขืนไปทั้งหมดอย่างนี้ การดิ้นรนก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป


หลิงม่อรู้สึกหนังศีรษะชาเล็กน้อย เขาสามารถเห็นสภาพดวงจิตของซอมบี้ตัวนี้ มันใกล้เคียงกับของเย่เลี่ยนมาก ดังนั้นพอเห็นซอมบี้ตัวนี้ถูกมัดไว้ที่นี่ หลิงม่อก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


ซอมบี้ตัวนั้นกัดฟันกรอด สายตาที่จ้องมองหลิงม่อ พลันประกายแววแปลกประหลาดไปชั่ววินาทีหนึ่ง


และแววตานั้น ก็ถูกหลิงม่อจับสังเกตได้ทัน


“หืม? เจ้านั่นมีสติปัญญา?”


หลิงม่อยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ แล้วสังเกตเจ้าซอมบี้ตัวนี้อยู่ครู่หนึ่ง


พอเห็นซอมบี้ตัวนี้ไม่ได้มีปฏิกิริยาที่มากขึ้น หลิงม่อก็ครุ่นคิด แล้วสุดท้ายก็ก้าวถอยไปข้างหลังสองก้าว


ตามคาด สีหน้าของซอมบี้ตัวนั้นดูร้อนรนขึ้นมาทันที


มันพยายามดิ้นรนอีกสองสามที พร้อมกัดฟันและแยกเขี้ยวใส่หลิงม่อ ปากที่ถูกมัดไว้แน่นอ้าออกแล้วเปล่งเสียงคำราม “ฮื่อๆ” ออกมา


ปฏิกิริยาอย่างนั้นทำเอาหลิงม่ออึ้งไปอีกครั้ง แต่ไม่นานสีหน้าของหลิงม่อก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้


หุ่นซอมบี้เดินหน้าสองก้าว จากนั้นก็ถอยสองก้าว พลางกวักมือเรียก…


“ฮื่อๆๆๆ…” ซอมบี้ยังคงดิ้นขัดขืนต่อไป มันเบิกตากว้าง เหมือนจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ


หลิงม่อกลับฉีกยิ้มกว้าง แล้วเดินเข้าไปตรงหน้าซอมบี้ตัวนั้นอย่างท้าทาย


พอเห็นหลิงม่อเดินเข้ามาใกล้ ซอมบี้ตัวนี้พลันดิ้นพล่านขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ หลิงม่อกลับหยุดชะงักในขณะที่ห่างจากมันเพียง 2 เมตร


สีหน้าของซอมบี้ค้างเติ่งไป มันจ้องหน้าหลิงม่อเขม็ง พร้อมกับพยายามยืดคอเข้ามาหาอย่างสุดความสามารถ…


“อยาก…กินฉัน?”


หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ แล้วอ้าปากถามอย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันเขาก็ฉีกยิ้มประหลาดออกมาด้วย


ดวงตาของซอมบี้ตัวนั้นเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง


“แกเอาแต่ดิ้นขลุกขลักอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่เห็นว่าแกจะทำอะไรจริงๆ ซักที ที่แยกเขี้ยวแยกฟัน ก็เพื่อหลอกล่อให้ฉันเข้ามาล่ะสิ?” หลิงม่อพูดช้ามาก แต่ดูเหมือนซอมบี้ตัวนี้จะฟังรู้เรื่องทั้งหมด มันขยับร่างกายเล็กน้อย แล้วเลื่อนสายตาไปมองหลิงม่อ ขณะเดียวกันสีหน้าของมันก็ค่อยๆ สงบลงมา


ตอนนี้ มันรู้แล้วว่าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนี้ไม่ใช่อาหารของมัน…


—————————————————————————–


บทที่ 738 ฉันสามารถโอบรอบตัวเองได้ถึงสองรอบ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฮื่อ…”


ซอมบี้ตัวนั้นสะบัดหัวไปมาเบาๆ มันจ้องหุ่นซอมบี้ของหลิงม่อเขม็ง ในสายตาของมัน เพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนี้เป็นซอมบี้ที่อยู่ระดับต่ำมาก ตามหลักแล้วไม่น่าจะมองแผนหลอกล่อศัตรูของมันออก เมื่อกี้มันได้ทำการท้าทายอย่างเต็มที่ในขอบเขตที่มันพอจะทำได้แล้ว ถึงอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งของมัน แต่ก็น่าจะพุ่งตัวเข้ามาอย่างห้ามใจไม่ได้ถึงจะถูกสิ…แต่ตอนนี้มันอะไรกัน?


“ตกใจหรอ? ไม่เป็นไร แกใจเย็นๆ ก่อนก็ได้” หลิงม่อหันมองไปรอบๆ และไม่นานเขาก็เห็นสิ่งที่ตัวเองตามหาอยู่บนโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง


ซอมบี้ตัวนั้นเบิกตาโพลงจ้องหลิงม่อเดินไปทางนั้น และยื่นนิ้วมืออันบิดเบี้ยวออกไปจับแผ่นป้ายแผ่นนั้น


“อ้าว นึกว่าแกเป็นซอมบี้เจ้าเมืองซะอีก…” หลิงม่อกวาดอ่านผ่านๆ หนึ่งรอบ แล้วเขาก็เงยหน้ามองซอมบี้ตัวนั้นอย่างแปลกใจ


บนแผ่นป้ายแผ่นนั้นเขียนข้อมูลทุกด้านของซอมบี้ตัวนี้ไว้อย่างละเอียด หนึ่งในเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจของหลิงม่อได้ในทันทีคือข้อมูลเชิงสถิติที่อัพเดทตามเวลาจริง ความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในเลือดอยู่ที่ 47% ซึ่งตัวเลขนี้เป็นจำนวนที่มากกว่าข้อมูลทั้งหมดที่หลิงม่อเห็นในรายงานก่อนหน้านี้


“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า แกเป็นซอมบี้ราชา?” เห็นชัดว่าหลิงม่อถามไปอย่างนั้น เขาพูดได้ลื่นไหลขึ้นทีละนิดๆ ในขณะที่ซอมบี้ตัวนั้นก็ตะลึงหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มันนิ่งเป็นตอไม้ไปเรียบร้อยแล้ว


การที่สีหน้าอย่างนี้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของซอมบี้ระดับสูงนับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ซอมบี้สัตว์ป่าควรมีด้วย มันอาจจะถูกขังไว้ที่นี่มาเป็นเวลานานมากแล้ว หรือไม่ก็ถูกคนในทีมวิจัยเลี้ยงมา แต่หลิงม่อคิดว่าอย่างแรกน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะซอมบี้ระดับสูงไม่ได้เลี้ยงกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ถึงพวกทีมวิจัยรู้ว่าต้องใช้ก้อนเหนียวหนืดหรือไวรัสนางพญามาเลี้ยงซอมบี้ แต่พวกเขาไม่ได้มีเงื่อนไขที่จะเก็บรวบรวมของสองสิ่งนี้ได้ในจำนวนมาก


จับเป็นซอมบี้ เจาะเลือด…ภารกิจประเภทนี้ถูกประกาศออกไปอาจไม่มีปัญหาอะไร แต่ลองเติมคำว่า “ควักสมอง” เข้าไปดูสิ? ก็เหมือนกับการแหวกไส้แหวกพุง สำหรับซอมบี้ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่ง่ายและปกติเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก แต่สำหรับมนุษย์ที่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการแพทย์มาก่อน นี่เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องควักสมองเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาเลย เพราะถึงอย่างไรโลกเราก็ไม่ได้มีโรคจิตมากขนาดนั้น…


หลิงม่อพลิกป้ายอ่าน แล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา “อ้อ ที่แท้แกก็เป็นซอมบี้กลายร่างนี่เอง”


เขาฉีกยิ้ม แล้วหันไปมองซอมบี้ตัวนั้นอย่างตื่นเต้น ขณะเดียวกัน ในสายตาของซอมบี้กลายร่างตัวนั้น เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนี้ถึงแม้จะยังดูเหมือนกล้ามเนื้อใบหน้าตาย สีหน้าก็ประหลาดสุดๆ แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆ มันกลับรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อนดีนัก


“เคร้งๆ…”


โซ่เหล็กสั่นไหวอีกครั้งเมื่อเจ้าซอมบี้ตัวนั้นขยับตัว มันเบิกตากว้างมองหลิงม่อเดินไปทางซ้ายของประตูห้อง แล้วหยิบกล่องเก็บยาฆ่าเชื้ออลูมิเนียมขึ้นมาหนึ่งกล่อง จากนั้นก็ค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามาทางตัวเอง


“ฮื่อๆ…”


“ไม่เอาน่า พวกเขาปิดปากแกไว้ก็เพื่อจะให้นายเงียบๆ นะ ถึงร้องไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” หลิงม่อวางกล่องอลูมิเนียมบนพื้น แล้วเงยหน้าพูดอย่างจริงใจ


“ฮื่อๆ!”


“หมายเลข 101 ใช่ไหม? ฉันล่ะแปลกใจมากจริงๆ ทำไมถึงได้ตั้งชื่อให้แกด้วยเลขท้ายๆ อย่างนี้ล่ะ…หรืออาจจะเพื่อบ่งบอกถึงลักษณะพิเศษของแก?” น้ำเสียงของหลิงม่อฟังเหมือนพูดพล่ามไปเรื่อย แต่ในความจริงเขากำลังพยายามตีสนิทกับซอมบี้ตัวนี้อยู่ คิดดูอีกที มันก็เป็นเรื่องแปลก กลางค่ำกลางคืน เขากลับควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ลักลอบเข้ามาในห้องทดลองลับ จากนั้นก็มายืนพูดคุยไร้สาระกับซอมบี้ที่ถูกมัดอยู่…


เจ้า 101 ไม่ได้ร้องอีก เพราะหลิงม่อได้เปิดฝากล่องอลูมิเนียมออกแล้ว


“มีมีดผ่าตัดกับกระบอกฉีดยาเบอร์ใหญ่อยู่ในนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่การที่เลื่อยสั้นมาอยู่ในนี้ด้วยมันดูไม่ค่อยเข้ากันนะ…” หลิงม่อหยิบเลื่อยด้ามนั้นออกมาดู จากนั้นเขาก็ถามขึ้น “นายว่างั้นไหม?”


เจ้า 101 กลอกตาไปมาเร็วๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนี้ไม่เพียงไม่ใช่เหยื่อของมัน แต่มันกลับคิดจะหันมาล่าตัวเอง! หากเป็นในเวลาปกติ เพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับต่ำอย่างนี้แค่ใช้นิ้วจิ้มก็ฆ่าได้แล้ว แต่ตอนนี้มันกลับถูกมัดแน่นจนเหมือนขนมเกลียว นอกจากปาก ก็ไม่มีอวัยวะส่วนไหนใช้การได้เลย!


พอเห็นหลิงม่อหยิบเลื่อยแล้วลุกขึ้นมา ในที่สุดเจ้า 101 ก็โพล่งออกมา “อะไรคือไม่เข้ากัน?”


“แกพูดได้คล่องดีนี่” หลิงม่อยิ้มแล้วกวาดตามองเจ้า 101 ขึ้นลง ถึงปากจะถูกโซ่เหล็กมัดไว้ แต่มันก็ยังอ้าปากได้ไม่มีปัญหา อย่างมากโซ่เหล็กก็ควบคุมมันได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะถ้ามันคิดจะกัดคน ก็แสดงว่ามันก็ต้องพูดได้


“แก…เป็นตัวอะไรกันแน่?” เจ้า 101 สูดจมูกเพื่อดมกลิ่นอย่างหวาดระแวง ถึงแม้รอบกายของเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนี้จะมีแต่กลิ่นอายของซอมบี้ แต่มันก็ยังมีจุดผิดปกติอยู่มากมาย


“คำถามนี้ฉันต้องเป็นคนถามแกมากกว่า” หลิงม่อหมุนควงเลื่อยในมือ พลางพูดขึ้น


เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองจะสามารถขู่เจ้า 101 ได้จริงๆ แต่ตัวตนของหุ่นซอมบี้ของเขากลับเป็นระเบิดควันอย่างดีเลยทีเดียว


“ทำไมฉันต้องบอกแก?” เจ้า 101 กระพริบตาปริบๆ แล้วพูดขึ้น


ทว่าถึงอย่างไรมันก็เป็นซอมบี้ มันจึงไม่รู้จักเก็บสีหน้าเอาเสียเลย…เพราะการที่มันกระพริบตาถี่ๆ และทำสายตาคาดหวังอย่างนั้นได้บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่ามันกำลังคิดจะต่อรองกับหลิงม่อ


“แกตอบคำถามฉัน ฉันจะปล่อยแกออกไป” หลิงม่อบอก


เจ้า 101 เบิกตากว้างขึ้นมาอีกครั้ง มันขยับร่างกายอย่างรุนแรงอย่างเนื้อเต้น เสียงโซ่ตรวนกระทบกันดังเคร้งคร้างๆ “ดีเหลือเกิน! แสดงว่าแกก็หนีออกมาเหมือนกันหรอ?”


“นายตอบคำถามฉัน ไม่ใช่ตั้งคำถาม” หลิงม่อกลอกตาขาว ต้องบอกว่าเจ้า 101 สมองดีมาก มันแกร่งกว่าซอมบี้กลายร่างทั่วไปมากทีเดียว


เดี๋ยวก่อน…


หลิงม่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วสายตาที่มองไปทางเจ้า 101 ก็เปลี่ยนไปทันที


มีสติปัญญาที่สูงกว่าซอมบี้กลายร่างทั่วไป…หรือว่านี่จะเป็นซอมบี้ร่างแม่?


ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ ซอมบี้ที่อยู่ตรงหน้านี้อาจเป็นซอมบี้ร่างแม่ที่สร้างหมายเลข 1 ขึ้นมาก็ได้!


พอเห็นสายตาที่หลิงม่อมองมาทางตัวเองเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เจ้า 101 ก็ขยับร่างกายท่อนบนที่ไร้ซึ่งท่อนแขนเล็กน้อย แล้วถามอย่างคาดหวังว่า “เจ้าชั้นตะ…เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ แกอยากถามอะไรฉัน?”


“แกใช่ร่างแม่หรือเปล่า?” หลิงม่ออ้าปากถามทันที


“ร่างแม่…” เจ้า 101 ครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า “แกดูไม่ออกหรอว่าฉันเป็นเพศผู้?”


“…ความผิดฉันเอง ฉันเปลี่ยนวิธีถามแล้วกัน พวกเขาขังแกไว้ที่นี่เพื่อเจาะเลือดแกใช่ไหม?” หลิงม่อถามอีกครั้ง


เจ้า 101 หลุบตาต่ำลงเล็กน้อย หลายวินาทีผ่านไป มันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง สายโซ่ตรวนดังกระทบกันเคร้งคร้างอีกครั้ง “ไม่ใช่แค่เลือดนะ! พวกมันเจาะของเหลวทุกชนิดไปจากร่างกายฉัน ทุกชนิด! ทั้งเลือด ทั้งไขกระดูก ทั้ง…”


“เอาล่ะ! ฉันเข้าใจแล้ว!” หลิงม่อพูดแทรกทันที ถ้ายังปล่อยให้มันพูดต่อไป หูของเขาต้องถูกทำร้ายอย่างรุนแรงแน่ๆ


พอก้มลงมองเลื่อยในมืออีกครั้ง หลิงม่อก็ทำหน้าแหยงๆ พลางเลื่อนสายตาไปมองบริเวณต้นขาของเจ้า 101


เจ้า 101 อึ้ง พลันรีบหุบขาอย่างตกใจ “ไม่นะ ความจริงพวกนั้นเจาะตรงช่องท้อง…”


“ไม่ใช่ก็ดีแล้ว…” หลิงม่อถอนหายใจ


“แกดูแขนของฉัน แขนของฉันก็ถูกพวกมันตัดเหมือนกัน!” เจ้า 101 พูดอย่างโกรธแค้น


“หืม? พวกนั้นไม่ได้ทำไปเพื่อป้องกันแกหนีหรอกหรือ?” หลิงม่องุนงง


เจ้า 101 ส่ายหัว “ไม่ใช่! พวกนั้นเอาแขนของฉันไปแช่ไว้ในน้ำแข็งเก็บอย่างดี บางทีอาจคิดว่าหลังจากแช่เย็นแล้วจะอร่อยขึ้นล่ะมั้ง…เจ้าพวกมนุษย์น่าชัง”


“เอ่อ…ไม่หรอก ไม่มีใครอยากกินเนื้อของแกหรอก จริงๆ นะ” หลิงม่อพูดอย่างนึกขนลุก


“แกหมายความว่าไง? เห็นสภาพฉันเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อก่อนเนื้อของฉันเป็นที่ต้องการมากนะจะบอกให้” เจ้า 101 ขุ่นเคือง


หลิงม่อพอจะเข้าใจแล้ว การต้องถูกใช้เป็นเครื่องผลิตเชื้อไวรัส ทำให้ร่างกายของเจ้า 101 เกิดปัญหาใหญ่หลวง การที่มันยังคงมีชีวิตอยู่ได้เป็นเพราะพลังฟื้นตัวอันแข็งแกร่ง แต่ความเสียหายแบบถาวรบางอย่างกลับไม่อาจเลี่ยงได้ อย่างเช่นสภาพผิวหนังที่เหี่ยวย่นของมันในตอนนี้


แต่หลิงม่อเพิ่งจะเคยเห็นซอมบี้ที่หลงตัวเองอย่างนี้เป็นครั้งแรก แถมมุมมองการหลงตัวเองของมัน…ก็มีความเป็นซอมบี้สูงมากซะด้วย


ถึงแม้เจ้า 101 จะไม่รู้ว่าเนื้อของตัวเองถูกใช้ทำอะไรบ้าง แต่ตอนนี้หลิงม่อมั่นใจแล้วว่า มันคือซอมบี้ร่างแม่แน่นอน 100%


“ยังมีอีกหนึ่งคำถาม…” หลิงม่อบีบคาง แล้วจ้องเจ้า 101 “ร่างกายส่วนไหนของนาย…ที่กลายพันธุ์ไป?”


แค่รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้า 101 ยากที่จะดูออกว่าสถานการณ์การกลายร่างของมันเป็นอย่างไรแน่…


คิดไม่ถึงว่าพอหลิงม่อถามอย่างอย่างนี้ สีหน้าของเจ้า 101 ก็หม่นหมองลงอีกครั้ง


ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ มันก็เงยหน้ามองไปข้างหน้า แล้วบอกว่า “เจ้าชั้นตะ…เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์…”


“จะเรียกชั้นต่ำก็เรียกไปเถอะ ไม่ต้องอึกอักหรอก…”


“ถ้าอย่างนั้นแกก็เอาของสิ่งนั้นออกไปไกลๆ หน่อย…เอาล่ะ อย่าพูดแทรกฉันอีก” เจ้า 101 พูดต่อ “เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ ในความทรงจำของแก ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับคำคำหนึ่งอยู่ไหม?”


“คำอะไร…” พอเห็นเจ้า 101 จงใจเลียนแบบสีหน้าเศร้าสลดอย่างนั้น หลิงม่อก็พอจะเดาตอนจบได้รางๆ…


“ชะนี…” เจ้า 101 ถอนหายใจ “มือคู่นั้นของฉัน สามารถโอบตัวฉันได้ถึงสองรอบ แล้วยังมีสองนิ้วอีกต่างหาก!”


“ทำไมต้องเน้นคำว่าสองนิ้วอย่างภาคภูมิใจขนาดนั้นด้วย…” ความคิดของซอมบี้สัตว์ป่า ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ…


“แกจะไปเข้าใจอะไร ในโลกของมนุษย์ พวกเขาสรรเสริญเยินยอสองนิ้วมากนะ ฌานสองดัชนีน่ะเคยได้ยินไหม? ช่างเถอะ ฉันไม่ได้หวังอยู่แล้วว่าแกจะเข้าใจเรื่องราวในโลกมนุษย์มากมาย…นั่น แกจะทำอะไร?” จู่ๆ เจ้า 101 ก็ปิดปาก (ฌานสองดัชนี วิทยายุทธ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของ ไต้ซือไห่เติง หนึ่งในปรมาจารย์แห่งเส้าหลิน โดยเขาเคยสาธิตวิชาฌานสองดัชนีด้วยการท่าหกสูงทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนนิ้วทั้งสองอย่างน่าอัศจรรย (ที่มา : Kornkit Disthan face book) )


หลิงม่อหยิบมีดผ่าตัดขึ้น ขณะเดียวกันก็ล้วงขวดออกมาหนึ่งขวด “ฉันเห็นใจกับโชคชะตาอันเลวร้ายของแกนะ แต่ตอนนี้แกต้องให้ความร่วมมือฉันซักหน่อย”


“ทำอะไรน่ะ…” เจ้า 101 เบิกตากว้าง แล้วถาม


“ให้ฉันยืมเลือดหน่อย อีกอย่างมันอาจเจ็บนิดหน่อยนะ แต่แกก็น่าจะชินแล้วใช่ไหม? เอาล่ะ รีแล็กซ์ อย่าคลุ้มคลั่ง”


หลิงม่อฉีกยิ้ม จากนั้นก็เดินอ้อมไปทางด้านหลังเจ้า 101 อยู่ข้างหน้ามันย่อมไม่เปลอดภัย แต่ถ้าอยู่ข้างหลังมันก็ทำได้แค่เบิกตากว้างมองดูเฉยๆ เท่านั้น


“ทำไมแก…แก…ฮื่อๆ!”


ท่ามกลางการขัดขืนของเจ้า 101 ตอนนี้ หลิงม่อที่อยู่ในอาคารหอพักกำลังเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา


ในที่สุดก็หาร่างแม่เจอ และเขาก็ได้เชื้อไวรัสมาแล้วเหมือนกัน…


แต่หลิงม่อก็ยังค้างคาใจเกี่ยวกับเรื่องแขนของเจ้า 101 อยู่ไม่น้อย


เขาพอจะเข้าใจว่าพวกนั้นเจาะเลือดมันไปทำอะไร แต่พวกนั้นตัดแขนของมันไปทำอะไรกันแน่?


—————————————————————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม