วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 726-732

ตอนที่ 726 ไห่รุ่ยเคลื่อนไหว

 

[ใช่ๆ การที่ต้วนจิ่งหงออกมาเรียกร้องความยุติธรรมแสดงให้เห็นว่าเธอเตรียมใจเจอสิ่งที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอมีจิตวิญญาณแห่งการเสียสละจริงๆ ฉันหวังว่าซ่งซินจะไม่ถูกปล่อยให้ลอยนวลหรอกนะ]


 


 


[เป็นไปได้ว่าต้วนจิ่งหงแค่อยากแก้แค้นซ่งซินก็ได้นะ ใครจะไปรู้ เขาบอกกันว่าไม่มีหลักฐานอะไรเลยไม่ใช่เหรอ]


 


 



 


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายต่างมีผู้สนับสนุนข้างของตัวเองมากมายและคนเหล่านั้นต่างตัดสินเรื่งในครั้งนี้ในแบบที่ตนเองต้องการไว้แล้ว


 


 


ต้วนจิ่งหงยืนกรานกว่าซ่งซินมีความผิด แต่ตำรวจไม่สามารถหาหลักฐานอะไรพบ


 


 


หากเธอต้องการให้ซ่งซินชดใช้สิ่งทีได้ทำลงไป… นั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากทีเดียว


 


 


ไม่แปลกใจที่เมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงจุดนี้ ซ่งซินก็ยังคงเผชิญหน้ากับสถานการณ์ด้วยท่าทีหยิ่งผยอง…


 


 


หลังได้จริงผลลัพธ์จากการเข้ามอบตัวของต้วนจิ่งหง ถังหนิงขอให้เหล่าบอดีการ์ดพาตัวต้วนจิ่งหงกลับมาที่ไฮแอทรีเจนซี่ หลังนั้นหลังจากที่ถังหนิงกล่อมลูกชายทั้งสองของเธอเข้านอนแล้ว เธอเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อพบต้วนจิ่งหงทันที


 


 


“ฉันรู้ผลแล้วล่ะ…”


 


 


“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าการเอาผิดผู้หญิงคนนั้นจะยากขนาดนี้” ต้วนจิ่งหงกล่าวพร้อมเสียงสะอื้น “ถ้ากฎหมายไม่สามารถหาหลักฐานอะไรมาเอาผิดผู้หญิงคนนั้นได้ ไม่เท่ากับว่าการเสียสละของฉันต้องสูญเปล่าอย่างนั้นเหรอ ถ้าครั้งนี้ฉันทำไม่สำเร็จ ในอนาคตก็ไม่มีใครสามารถต่อกรอะไรกับมันได้อีก”


 


 


“อาจไม่เป็นแบบนั้นก็ได้!” ถังหนิงส่งสัญญาณให้ต้วนจิ่งหงนั่งลงพลางส่งกระดาษทิชชู่ให้และปล่อยให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ลง “เมื่อก่อนซ่งซินเคยทำร้ายใครหรือเปล่า”


 


 


“ตอนเป็นนักเรียน เพื่อให้ตัวเองได้รางวัลที่หนึ่ง มันจงใจทำร้ายคู่แข่งก่อนวันมอบรางวัลเพื่อให้คนพวกนั้นมาร่วมงานไม่ได้ อีกฝ่ายรู้ว่ามันทำอะไรไว้ แต่มันใช้เส้นสายของที่บ้านจัดการปัญหา แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี!”


 


 


“ผิดแล้ว! หลังจากที่เธอพูดถึงเรื่องนี้ครั้งแรก โม่ถิงได้สั่งให้ลู่เช่อเริ่มสืบเรื่องนี้ เดิมทีเราไม่เจออะไรแต่หลังจากเห็นท่าทีของซ่งซิน อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้สึกแย่กับสิ่งที่ได้เห็น ดังนั้นพวกเขาถึงได้เป็นฝ่ายติดต่อพวกเรามา คนคนนั้นบอกเราว่าพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของซ่งซินและพวกเขามีพยาน!”


 


 


“จริงเหรอ” หัวใจต้วนจิ่งหงสัมผัสได้ถึงประกายแสงแห่งความหวัง


 


 


“เธอจะรู้เองหลังจากเธอพบกับคนพวกนั้น”


 


 


ถ้าพวกเขาสามารถเปิดโปงเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าซ่งซินหรือผู้อาวุโสซ่งก็ไม่อาจหลุดรอดจากเงื้อมมือของกฎหมายไปได้แน่


 


 


แน่นอนว่าผู้อาวุโสซ่งไม่ทันได้ตระหนักเลยว่า ด้วยปัญหามากมายที่ซ่งซินเป็นผู้ก่อจะส่งผลถึงงานของเขาด้วย เพราะยังไงการสอบสวนจะต้องเกี่ยวข้องกับเขาด้วยเช่นกัน


 


 



 


 


หลังการเข้ามอบตัวของต้วนจิ่งหง เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อาจหาข้อมูลอะไรได้เลย ดังนั้นเรื่องนี้จึงยิ่งทำให้อารมณ์ของซ่งซินร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม


 


 


ส่งผลให้ซ่งซินออกมาอ้างว่าไห่รุ่ยต้องการพลิกสถานการณ์และทำให้สื่อลืมเรื่องการบาดเจ็บของคุณปู่ของเธอโดยการจ้างให้ต้วนจิ่งหงออกมาแสดงละคร ในเมื่อไม่มีหลักฐานๆ จึงมีหลายคนที่เชื่อคำพูดของซ่งซิน แน่นอนว่าโลกนั้นช่างกว้างใหญ่และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้


 


 


ผู้คนไม่เคยเห็นไห่รุ่ยติดหล่มแบบนี้มาก่อน ดูเหมือนไห่รุ่ยจะไม่มีทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้เสียแล้ว


 


 


ต่อหน้าสื่อและประชาชน คำพูดของซ่งซินฟังดูน่าเชื่อถือและเธอเล่นบทผู้เสียหายได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


 


แต่ในครั้งนี้…


 


 


… อยู่ๆ ตำรวจได้เดินทางมาที่โรงพยาบาลเพื่อสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุ


 


 


แม้ซ่งซินจะหวั่นวิตก แต่เธอเชื่อมั่นว่าคำขู่ที่เธอพูดกับลุงเฉินจะได้ผลและมีประสิทธิภาพ


 


 


ขณะที่เจ้าหน้าที่เดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ซ่งซินได้เดินตามหลังเข้าไปอย่างกระชั้นชิดและพยายามกดดันลุงเฉินด้วยสายตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


 


“คุณคือลุงเฉินใช่ไหมครับ ช่วยบอกเราหน่อยได้ไหมว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ยังไง”


 


 


ลุงเฉินลุกขึ้นนั่งและชำเลืองตาไปที่ซ่งซิน


 


 


จากนั้นเขาจึงตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ครับ ผมจำได้…”


 


 


“ลุงเฉินยังรู้สึกไม่ค่อยดีนัก อย่ารบกวนเวลาเขามากเลยนะคะ”


 


 


“พูดมาได้เลยครับ”


 


 


“ที่จริงอุบัติเหตุในครั้งนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่เห็นภายนอก มันเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น…” ลุงเฉินชี้ไปที่ซ่งซิน “… เธอเข้ามารบกวนการขับรถของผมแล้วทำให้ผมขับรถชน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับไห่รุ่ย ทั้งหมดเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น!”


 


 


ลุงเฉินพูดจบ สีหน้าซ่งซินก็เปลี่ยนไป “ลุงเฉิน กล้าดียังไงมาพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าตำรวจแบบนี้”


 


 


“ผมแน่ใจว่าการ์ดบันทึกข้อมูลในรถของผมจะแสดงให้คุณตำรวจเห็นได้ว่าสิ่งที่ผมพูดมันไร้สาระหรือเปล่า” ลุงเฉินคำราม “ผมทำงานให้ตระกูลซ่งมานานหลายปี แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าคุณหนูใหญ่จะน่ารังเกียจถึงขนาดสั่งให้ผมปิดบังความจริงแบบนี้!”


 


 


“เป็นไปไม่ได้! กล้องหน้ารถไม่มีทางเก็บภาพอะไรที่แกกำลังพูดได้หรอก!”


 


 


“รถของตระกูลซ่งได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ด้วย ผู้อาวุโสซ่งอยู่ในตำแหน่งที่ทรงอำนาจ ดังนั้นท่านจึงกังวลเรื่องการถูกข่มขู่และถูกคนอื่นหลอกใช้เสมอ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของซ่งซินซีดเผือด


 


 


“เป็นไปไม่ได้ แกโกหก!”


 


 


“เฉินเหลียงคนนี้ขับรถมาตลอดชีวิตและเป็นคนที่ปฏิบัติตามกฎหมายมาโดยตลอด ผมจะไม่ปิดบังอะไรตำรวจทั้งนั้นและไม่มีทางใส่ร้ายคุณเช่นกัน จิตใต้สำนึกของคุณอาจจะยอมให้คุณทำแบบนั้น แต่ของผมไม่


 


 


หัวหน้าทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจหันกลับไปพูดกับเพื่อนร่วมงานของเขา “อย่าลืมไปสืบดูกล้องในรถด้วย”


 


 


เมื่อเห็นว่าตำรวจกำลังลงมือสืบสวน ซ่งซินรีบวิ่งไปคว้าพวกเขาไว้ทันที “อย่าไปนะ พวกคุณไปไม่ได้!”


 


 


เหล่าเจ้าหน้าที่มองดูเธอด้วยท่าทีขบขัน ดูเหมือนพวกเขาไม่จำเป็นต้องไปดูกล้องในรถก็รู้ความจริงแล้ว


 


 


ซ่งซินถูกผลักลงไปกองกับพื้น เธอพลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเพราะเธอตระหนักได้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้วที่เธอจะขัดขวางไม่ให้ความจริงถูกเปิดเผย


 


 


อีกไม่นานทั้งปักกิ่งจะรู้ว่าเธอถูกคนขับรถของบ้านตัวเองแหกหน้า


 


 


[หน้าด้านจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นตั้งใจจะโยนความผิดให้ไห่รุ่ย โชคดีที่คนขับรถคนนั้นเป็นคนดี!]


 


 


[เธอก่ออุบัติเหตุด้วยตัวเอง แล้วยังพยายามใส่ร้ายไห่รุ่ยอีก ฉันไม่เคยเห็นใครหน้าด้านเท่านี้มาก่อนเลย]


 


 


[ฉันเริ่มเชื่อสิ่งที่ต้วนจิ่งหงพูดแล้วสิ แค่ดูจากอุบัติเหตุนี่ก็รู้แล้วว่าซ่งซินเป็นคนยังไง]


 


 


[ฉันก็เชื่อต้วนจิ่งหงเหมือนกัน!]


 


 


ขณะเดียวกัน ในที่สุดไห่รุ่ยก็ออกมาพูด พวกเขามีบางสิ่งจะประกาศในวันพรุ่งนี้!


 


 


ดูเหมือนพวกเขาจะกำลังเปิดศึกครั้งสุดท้ายกับซ่งซิน


 


 


การที่ไห่รุ่ยกำลังจะออกมาเคลื่อนไหวนั้นหมายความว่าเรื่องนี้กำลังจะถึงจุดไคลแมกซ์และจุดจบกำลังใกล้เข้ามาแล้ว 

 

 


ตอนที่ 727 หนึ่งในคนที่น่ารังเกียจที่สุด

 

หลังจากตำรวจกลับไปแล้ว ซ่งซินชำเลืองตามองลุงเฉินด้วยโกรธเกรี้ยวอยู่ภายในห้องพักของโรงพยาบาล “ทำไมแกถึงบอกตำรวจ แกไม่รู้เหรือไงเพราะสิ่งที่แกพูดฉันอาจจะต้องติดคุกก็ได้ ตระกูลซ่งไม่เคยทำไม่ดีกับแกเลยสักครั้ง นี่คือวิธีที่แกตอบแทนผู้มีพระคุณหรือไง”


 


 


“ในเมื่อคุณหนูทำผิด คุณหนูก็ควรเข้าคุก” ลุงเฉินตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ไม่ไหวติงกับคำขู่ของซ่งซินเลยแม้แต่น้อย


 


 


“แกจะต้องได้ชดใช้ให้กับสิ่งที่แกพูดในวันนี้!”


 


 


ลุงเฉินพ่นลมออกทางจมูกก่อนเอนหลังเพื่อพักผ่อน เขาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนบ้าอย่างซ่งซินอีกต่อไป


 


 


เขาต้องตาบอดมาตลอดที่ทำงานให้ตระกูลซ่งแถมต้องมารับใช้นายจ้างโรคจิตแบบนี้อีก


 


 


แม้ซ่งซินจะอยากแก้แค้น แต่เธอจดจ่ออยู่กับความคืบหน้าของตำรวจมากกว่า เธอกังขาว่าพวกเขาจะดูกล้องและพิสูจน์ความผิดของเธอไปแล้วหรือยัง


 


 


เช่นเดียวกับไห่รุ่ย เธอสงสัยว่าโม่ถิงกำลังเล่นเกมอะไรอยู่กันแน่


 


 


แม้สถานการณ์ของเธอจะไม่สู้ดีนัก แต่ถ้าโม่ถิงต้องการให้เธอเสียหาย เธอรู้สึกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้!


 


 


เป็นไปไม่ได้!


 


 



 


 


นับตั้งแต่วันที่ขาทั้งสองข้างของเธอได้รับบาดเจ็บ ฮั่วจิงจิงแทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะเลย ถ้าไม่ใช่เพราะถังหนิงคลอดลูก เธอคงเลือกที่จะอยู่บ้านและไม่ออกมาเผชิญโลกภายนอกแบบนี้แน่


 


 


เหตุการณ์ต่างๆ ของซ่งซินได้ปั่นกระแสคนทั้งเมืองและเรื่องของเธอกลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง แต่ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาแบบไหนก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะอาชีพของเธอไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้อีก


 


 


โดยเฉพาะเมื่อเธอมองไปที่รอยแผลเป็นมากมายบนขาทั้งสองข้างของเธอ ฮั่วจิงจิงนึกสงสัยว่าเธอจะกลับไปเดินบนรันเวย์ด้วยขาแบบนี้ได้อย่างไร


 


 


“เด็กๆ พวกนี้นิสัยดีจังเลย เป็นสองพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลย”


 


 


“แน่นอนสิ ไม่งั้นเขาจะเรียกว่าแฝดเหมือนทำไมกันล่ะ” ถังหนิงกล่าวพลางจัดเตียงนอนของเด็กๆ ขณะที่ฮั่วจิงจิงช่วยดูแลเด็กทั้งสอง


 


 


“จากนี้ไปเธอวางแผนจะทำอะไรต่อ ไม่คิดจะกลับเข้าวงการเหรอ” ฮั่วจิงจิงถามพลางแหย่มืออ้วนๆ ของเด็กๆ


 


 


“ไว้ค่อยมาว่ากันหลังจากจัดการซ่งซินแล้ว”


 


 


ถังหนิงไม่ได้คิดถึงอนาคต การให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดได้เข้ามาป่วนแผนการต่างๆ ของเธอ เพราะชีวิตก่อนและหลังคลอดลูกนั้นแตกต่างกันอย่างมากและเธอไม่ต้องการห่างจากลูกๆ ของเธอนานๆ


 


 


“ฉันเห็นข่าวแล้ว ซ่งซินนี่มันเป็นหนึ่งในคนที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่ฉันรู้จักมาเลย”


 


 


“ฉันจะส่งผู้หญิงคนนั้นไปอยู่ในที่ที่สมควรอยู่แน่นอน…”


 


 


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถังหนิงกำลังหมายถึงคุก…


 


 


“ฉันหวังว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างจะราบรื่นนะ”


 


 


กระนั้นพวกเธอไม่จำเป็นต้องรอถึงวันรุ่งขึ้นอีกแล้ว เพราะจากคำให้การของลุงเฉิน ตำรวจได้ตามหากล้องจากรถคันที่เกิดเหตุ พบว่าซ่งซินเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุของผู้อาวุโสซ่ง ดังนั้นเธอจึงถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจเพื่อสอบปากคำทั้งคืน แต่กระนั้นซ่งซินกลับปฏิเสธที่จะพูด เพราะทนายความของเธอเคยสอนเอาไว้ว่าไม่ให้พูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าขณะที่เขาไม่อยู่กับเธอ


 


 


ในคืนนั้น หลังจากโม่ถิงได้รับข่าวเรื่องนี้ เขาเพิ่งจะอาบน้ำให้เด็กๆ เสร็จ ดังนั้นขณะที่เขากำลังเก็บห้องอาบน้ำ เขาเปิดลำโพงโทรศัพท์ของตัวเองและโทรหาลู่เช่อ “ผู้หญิงคนนั้นแค่ถูกกักตัวชั่วคราวเท่านั้น นี่ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของเรา อย่าลืมว่าวัตถุประสงค์สำคัญของเราคือการส่งผู้หญิงคนนั้นเข้าคุก ดังนั้นพรุ่งนี้ให้ทำทุกอย่างตามที่วางแผนไว้แล้วทำให้ผู้หญิงคนนั้นต้องประหลาดใจ”


 


 


“ครับ ท่านประธาน!”


 


 


ถังหนิงมองดูร่างกายอันสูงใหญ่และกำยำของโม่ถิงจากด้านหลัง ในฐานะประธานไห่รุ่ย เขาไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอหรือลูกๆ ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาจะลงมือเองโดยไม่เกี่ยงว่าเรื่องนั้นจะร้ายแรงแค่ไหน


 


 


ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนไหวเล็กน้อยพลางโถมตัวใส่แผ่นหลังของโม่ถิงและโอบแขนทั้งสองข้างของเธอรอบลำคอของเขา


 


 


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”


 


 


“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองได้แต่งงานกับสามีที่เก่งสุดๆ เลย”


 


 


“คุณเพิ่งรู้เหรอครับ” โม่ถิงยิ้มพลางลุกขึ้นโดยแบกถังหนิงไว้บนหลังแล้วเดินออกจากห้องน้ำ เขาเดินก้าวอย่างมั่นคงพลางพูดเสริม “ในเมื่อเราจะใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตอยู่ด้วยกัน คุณจะได้เห็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อในตัวผมมากกว่านี้อีก”


 


 


ถังหนิงไม่ตอบ เธอทำเพียงแค่อิงหัวไหล่ของเขาและกัดแรงๆ


 


 


“คุณเป็นแม่คนแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่เปลี่ยนนิสัยพวกนี้อีกล่ะ” โม่ถิงไม่ได้โกรธ เขาเพียงแค่นึกขึ้นได้ว่าถังหนิงไม่ได้กัดเขามานานแล้ว


 


 


ถังหนิงปล่อยเขี้ยวก่อนจะแหวกเสื้อของโม่ถิงออกเพื่อดูรอยกัด ขณะที่เธอมองดูมัน เธอพลันรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย “เจ็บไหม”


 


 


โม่ถิงไม่ตอบ เขาเพียงแค่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพลางพาถังหนิงไปที่เตียง


 


 


ทั้งคู่เป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่นับช่วงที่ทั้งคู่อยู่ต่อหน้าสาธารณะ ทันทีที่ทั้งสองกลับมาที่บ้าน พวกเขาจะเป็นคู่ชีวิตที่อีกฝ่ายต้องการมากที่สุดเสมอ


 


 


และตอนนี้ชีวิตของทั้งคู่ก็มีเด็กน้อยน่ารักอีกสองคนด้วย


 


 



 


 


นี่อาจเป็นค่ำคืนที่ไม่มีความสุขที่สุดในชีวิตของซ่งซิน ขณะที่เธอถูกถามซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่สถานีตำรวจจนถึงกลางดึก เธอไม่มีแม้แต้โอกาสที่จะได้กินอาหาร แม้แต่เตียงให้นอนพักก็ไม่มี


 


 


“คุณซ่ง ถ้าคุณยังปิดปากเงียบอยู่แบบนี้ คุณก็มีแต่จะสร้างความยุ่งยากให้พวกเรานะครับ ทำไมคุณถึงไม่ยอมแพ้แล้วเลิกทำแบบนี้เสียที หลักฐานมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว”


 


 


“จนกว่าทนายความของฉันจะมา ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น” ซ่งซินพูดย้ำเช่นนี้ตลอดทั้งคืน เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ยินคำพูดนี้หมายครั้งจนพวกเขารู้สึกว่าหูด้านชาไปหมด


 


 


เจ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่สอบปากคำเธอได้แต่กลอกตาไปมาและส่ายศีรษะ “มันจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณเองถ้าคุณบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น”


 


 


ซ่งซินปิดตาลงและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น


 


 


เจ้าหน้าที่คนนั้นลุกขึ้นและทุบมือลงบนโต๊ะอย่างหมดหนทาง


 


 


“ความตั้งใจของคุณแน่วแน่ดี”


 


 


นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวของซ่งซิน เพราะเมื่อไม่มีหลักฐาน เธอจะไม่เปิดเผยอะไรทั้งนั้น เพราะหลักฐานที่ตำรวจมีไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอยอมรับผิด


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น ทนายความของซ่งซินได้เดินทางมาถึงสถานีตำรวจและจัดการประกันตัวเธอออกมา


 


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แต่มองดูอาชญากรเดินออกไป แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ส่งผลให้รอยยิ้มของซ่งซินนั้นให้ความรู้สึกของความเยาะเย้ยและจองหอง


 


 


เซียวอวี่เหอกำลังยืนรอซ่งซินอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูไร้หนทาง เขารีบรุดเข้าไปหาเธอและพาเธอกลับบ้านทันที “กินอะไรก่อนเถอะแล้วค่อยทำอย่างอื่น”


 


 


“ทุกอย่างที่ฉันได้รับวันนี้ ฉันจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า”


 


 


ซ่งซินกำลังฝันหวานถึงอนาคต แต่เธอไม่รู้เลยว่าโม่ถิงจะไม่มีวันให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สอง


 


 


“พรุ่งนี้คุณวางแผนจะทำอะไรกับไห่รุ่ย” เซียวอวี่เหอถามพลางนั่งลงข้างๆ ซ่งซินและตักอาหารใส่จานให้เธอเพิ่ม “โม่ถิงไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายๆ ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกนะ”


 


 


“ไม่ต้องห่วง ไห่รุ่ยไม่มีทางแสดงหลักฐานอะไรได้ทั้งนั้น” ถ้าเป็นเรื่องอื่น ซ่งซินอาจจะไม่แน่ใจนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องของฮั่วจิงจิงกับเรื่องปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่ง เธอรู้ดีว่าต้วนจิ่งหงจะเป็นเพียงคนเดียวที่ต้องรับผิด ดังนั้นมันเกี่ยวข้องกับเธอตรงไหนกัน


 


 


“ไห่รุ่ยจะออกมาทำอะไรโดยไม่มีหลักฐานงั้นเหรอ”


 


 


“ครั้งอื่นฉันไม่แน่ใจ แต่ครั้งนี้ฉันมั่นใจว่าไห่รุ่ยไม่มีหลักฐานแน่นอน เพราะฉันไม่ได้ทำ!” จากนั้นซ่งซินวางชามและตะเกียบลงแล้วพูดเสริม “ฉันจะไปเยี่ยมคุณปู่ที่โรงพยาบาลทีหลัง ฉันไม่เชื่อว่าคุณปู่จะหักหลังฉันอีกคน!” 

 

 


ตอนที่ 728 ถังหนิง มีอะไรก็จัดมาเลย

 

ที่จริงแล้วภายนอกซ่งซินแค่ดูเป็นคนแข็งแกร่ง เพราะลึกลงไป เธอตระหนักเป็นอย่างดีว่าทุกครั้งที่ไห่รุ่ยออกมาเคลื่อนไหว พวกเขาจะต้องมั่นใจในสิ่งที่ทำจริงๆ แต่เพราะเธอไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งวิธีที่เธอจัดการกับเรื่องต่างๆ ของเธอนั้นมีจุดด่างพร้อยตรงไหน


 


 


ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่เธอจะนึกออกคือไห่รุ่ยสร้างหลักฐานปลอมขึ้นมา!


 


 


และอ้างอิงจากความไร้ปรานีของถังหนิง นี่จึงเป็นไปได้อย่างยิ่ง ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้มีเพียงรอให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวและเล่นไปตามน้ำ


 


 


ถังหนิง มีอะไรก็จัดมาได้เลย…


 


 


ตอนนี้คนแพ้คนชนะยังไม่ถูกกำหนด…


 


 


โชคไม่ดีที่เธอไม่รู้เลยว่าไห่รุ่ยไม่ได้จะต้อนเธอให้จนมุมด้วยเหตุการณ์ที่เธอคิดอยู่ในใจ…


 


 



 


 


หลังเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ การถูกสุนัขกัดของฮั่วจิงจิง การเกือบแท้งลูกของถังหนิงและข่าวฉาวเกี่ยวกับการลอกผลงานของผู้อาวุโสอู๋ ผู้คนต่างพากันจับจ้องไปที่ซ่งซินอย่างใกล้ชิด ทุกคนค่อนข้างมั่นใจว่าเธอคือตัวต้นเหตุทั้งหมด แต่พวกเขากังวลว่าไห่รุ่ยจะสามารถแสดงหลักฐานอะไรออกมาได้หรือไม่


 


 


เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่ตำรวจต้องจัดการ แต่เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในวงการบันเทิง เรื่องเหล่านี้จึงต้องได้รับการแก้ไขโดยไว้วิธีการของวงการบันเทิง


 


 


แน่นอนว่าซ่งซินไม่สนใจเสียงคาดคะเนต่างๆ เธอเพียงแค่เชื่อว่าหากไห่รุ่ยไม่สามารถแสดงหลักฐานอะไรออกมาได้ เธอก็จะไม่เป็นอะไร แต่…วงล้อแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มเคลื่อนที่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นในไม่ช้าวงการบันเทิงกำลังจะไม่มีที่สำหรับเธออีกต่อไป


 


 


เช้าวันต่อมาในเวลาแปดโมงเช้าพอดีตามที่ไห่รุ่ยได้เคยให้คำมั่นไว้ ไห่รุ่ยได้เริ่มต้นการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ


 


 


การแถลงข่าวดำเนินโดยหัวหน้าคนใหม่ของฝ่ายประชาสัมพันธ์เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮั่วจิงจิงและพวกเขากังวลว่าฟังอวี้อาจจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้


 


 


ท่ามกลางเสียงรัวชัตเตอร์จากกล้องของบรรดาสื่อ หัวหน้าคนใหม่ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้ก้าวขึ้นไปยืนที่โพเดี้ยมและประกาศต่อบรรดาผู้สื่อข่าว “เนื่องจากชื่อเสียงของไห่รุ่ยได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและศิลปินจำนวนมากที่อยู่ภายใต้การดูแลของเราได้รับผลกระทบ ไห่รุ่ยจะขอโต้ตอบข้อกล่าวหาของคุณซ่งซินในวันนี้ ผมหวังว่าทุกคนจากวงการข่าวจะสามารถรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมดได้!”


 


 


“แน่นอน!”


 


 


“เราจะไม่ปรานีเพียงเพราะปู่ของเธอแน่!”


 


 


“ซ่งซินไม่ลงรอยกับไห่รุ่ยมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นในวันนี้ไห่รุ่ยจะขอชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ ที่เธอกล่าวหาเราที่ละข้อ ประการแรก ซ่งซินอ้างว่าไห่รุ่ยกดดันศิลปินของค่ายเพื่อให้ถังหนิงได้อยู่ในตำแหน่งสูงสุด เห็นได้ชัดว่าเมื่อเธอพูดเช่นนี้ เธอต้องการจะหมายถึงตัวเธอเอง แต่อย่างที่ทุกท่านทราบดี ถังหนิงเป็นนักแสดงและซ่งซินประกอบอาชีพสายดนตรี จุดยืนของทั้งสองจึงไม่ได้แข็งขันกัน ยิ่งไปกว่านั้น คุณถังหนิงได้ประกาศวางมือจากวงการบันเทิงไปแล้ว ดังนั้นเธอจะแข่งขันกับซ่งซินเพื่ออะไร ข้อกล่าวหาประการแรกนี้จึงเป็นการใส่ร้ายจากซ่งซินทั้งสิ้น


 


 


“ประการที่สอง กรณีลอกเลียนผลงานกับผู้อาวุโสอู๋ กรณีนี้เป็นเหตุให้ผู้อาวุโส่อู๋ได้รับบาดเจ็บทางสมอง ภาพยนตร์ของถังหนิงต้องถูกยกเลิกออกจากโรงภาพยนตร์และถังหนิงถูกแบนออกจากวงการอย่างลับๆ ผู้เขียนของ ‘นักแกะรอย’ ได้ออกมาชี้ตัวผู้ยุยงและโลกอินเทอร์เน็ตต่างออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้นับตั้งแต่นั้น ผมดูว่าไห่รุ่ยไม่เคยออกมาให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับกรณีนี้ แต่บัดนี้ผมจะให้คำตอบในเรื่องนี้และเผยความจริงทั้งหมดในอีกไม่ช้า


 


 


“ประการที่สาม เกี่ยวกับอดีตผู้จัดการของซ่งซินซึ่งมีชื่อว่าต้วนจิ่งหง ภาพลักษณ์ของเธอเสียหายอย่างมากหลังจากที่เธอถูกจับได้ว่าเป็นขโมยเมื่อไม่นานมานี้ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ไห่รุ่ยกลับช่วยเธอให้ได้เดบิวต์ ซึ่งมีเหตุผลในการกระทำครั้งนี้ ข้อแรก ต้วนจิ่งหงได้อธิบายกับไห่รุ่ยว่าเธอเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธานโม่เพื่อซ่งซิน ซึ่งเป็นศิลปินของเธอ เธอต้องการช่วยซ่งซินเอาสำเนาเอกสารรายงานการประเมินของเธอและนั่นทำให้เธอทำผิดพลาดอย่างมหันต์ ข้อสอง ต้วนจิ่งหงเปิดเผยเรื่องโหดร้ายทั้งหมดที่ซ่งซินเคยทำใหนอดีตและขอร้องให้ไห่รุ่ยช่วย เนื่องจากต้วนจิ่งหงรู้ความลับต่างๆ ของซ่งซิน และซ่งซินได้ทำความผิดไว้มากมาย ไห่รุ่ยจึงตัดสินใจช่วยเพื่อความปลอดภัยของต้วนจิ่งหง


 


 


“หากต้วนจิ่งหงแค่อยากจะโด่งดัง เธอคงเริ่มเส้นทางใหม่สู่การเป็นดาราดังด้วยตัวตนใหม่ของเธอไปแล้ว เธอก้าวออกมาใส่ร้ายซ่งซินทำไมกัน


 


 


“ทุกท่านต้องสงสัยแน่ว่าทำไมคนที่ซื่อสัตย์ต่อซ่งซินมากขนาดนี้ถึงได้เปลี่ยนข้างและหักหลังเธออย่างกะทันหันเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะต้วนจิ่งหงถูกตราหน้าว่าเป็นขโมยเพื่อประโยชน์ของซ่งซิน แต่ซ่งซินกลับทอดทิ้งเธอ ด้วยเหตุนี้ผลลัพธ์จึงออกมาอย่างที่เราเห็นกันในวันนี้ ขณะที่ต้วนจิ่งหงตัดสินใจซื่อสัตย์กับตัวของเธอเอง ใครบางคนกลับยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับในความผิดที่ตัวเองได้ทำเอาไว้


 


 


ตอนนี้เราจะไม่ถูดถึงเรื่องที่เราไม่มีหลักฐาน และไม่ไม่พูดถึงเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วย กลับกัน ไห่รุ่ยจะเปิดโปงอาชญากรรมอื่นที่ซ่งซินได้เคยทำไว้ในอดีตแทน! ผมหวังว่าสหายจากสื่อต่างๆ จะได้ตาสว่างกับสิ่งที่เรามีในมือตอนนี้!”


 


 


หลังจากหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์พูดจบ หญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนพรมแดงพร้อมไม้เท้าคำยันและคนช่วยพยุงอีกหนึ่งคน


 


 


บรรดานักข่าวหลีกทางให้ทั้งสองแต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าไห่รุ่ยกำลังทำอะไรอยู่


 


 


ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน


 


 


“สุภาพสตรีสาวท่านนี้คือซ่งเซียวเซียว เธอเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าเท่าๆ กับซ่งซิน และเธอยังเรียนโรงเรียนเดียวกันกับซ่งซินอีกด้วย


 


 


“ผมแน่ใจว่าทุกคนคงสังเกตว่าขาซ้ายของเธอถูกตัดออกไป มันเกิดขึ้นได้อย่างไรงั้นเหรอครับ ทั้งหมดเป็นเพราะซ่งซิน!


 


 


“พวกเธออายุได้สิบเก้าปีตอนที่ทุกอย่างเกิดขึ้น เพียงเพราะเซียวเซียวสามารถเอาชนะซ่งซินและได้รางวัลที่หนึ่งในขณะนั้น ซ่งซินได้ตัดสินใจอย่างบ้าบิ่นด้วยการผลักเซียวเซียวจนตกบันได และเนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้เธอไม่อาจเข้าร่วมงานพิธีมอบรางวัลได้


 


 


“แต่สิ่งที่ซ่งซินไม่ได้คาดคิดคือซ่งเซียวเซียวเห็นคนที่ผลักเธอ ดังนั้นซ่งซินจึงทำสิ่งที่โหดเ**้ยมมากกว่าเดิม เธอใช้เส้นสายของปู่ตัวเองในการข่มขู่ซ่งเซียวเซียวและครอบครัวของเธอ!


 


 


“ตลอดหลายปี ซ่งเซียวเซียวต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวด เธอได้แต่เฝ้าดูซ่งซินไต่เต้าสู่ความโด่งดังในขณะที่เธอกลายเป็นคนไร้ค่า ไม่มีตัวตน


 


 


“ในอดีต เธอกลัวว่าเธอจะทำให้ครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตราย เธอจึงไม่พูดอะไร แต่บัดนี้เธอเพียงแค่ต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ความจริงว่าซ่งซินเป็นปีศาจที่ไร้ความเมตตา!


 


 


“และในครั้งนี้ คุณไม่ต้องพยายามปฏิเสธความจริงเหล่านี้หรอกนะซ่งซิน เรามีพยานและหลักฐานที่คุณข่มขู่คนในครอบครัวซ่ง เราจะส่งข้อมูลพวกนี้ไปให้ตำรวจโดยเร็ว”


 


 


เมื่อได้เห็นหญิงสาวผู้พิการอยู่ต่อหน้า บรรดานักข่าวพากดกล้องถ่ายรูปของตนเองอย่างบ้าคลั่ง


 


 


พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีการเปิดโปงเรื่องอื่นอีก!


 


 


ดังนั้นหลังจากเรื่องทุกอย่างที่พวกเขาได้รับรู้ เห็นได้ชัดว่าซ่งซินเป็นปีศาจโดยแท้!


 


 


ได้เห็นปฏิกิริยาของบรรดานักข่าว หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ส่งไมโครโฟนให้กับซ่งเซียวเซียว และถึงแม้ซ่งเซียวเซียวจะพิการแต่เพื่อการแก้แค้น เธอจึงอาจหาญกว่าที่เคยเป็นมาก


 


 


เสียงอันแหบพร่าของเธอดังก้องไปทั่วฮอลล์ “ซ่งซินเป็นคนอำมหิตอย่างที่สุด อาจเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่ทุกคนจะจินตนาการได้…” ซ่งเซียวเซียวชี้ไปที่พื้นที่ว่างซึ่งเคยเป็นที่ที่ขาซ้ายของเธอเคยอยู่และพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “ตอนฉันอายุสิบเก้า ฉันตกจากชั้นสี่ ถ้าไม่เป็นเพราะฉันโชคดี ฉันอาจจะเสียโอกาสที่จะได้พูดต่อหน้าทุกท่านในวันนี้และได้ทวงคืนความยุติธรรม


 


 


“ดังนั้นทันทีที่แนได้ยินข่าวลือร้ายๆ ที่ซ่งซินเป็นคนปลุกปั่น ฉันจึงเป็นคนแรกที่เชื่อ เพราะเธอเป็นคนแบบนั้นจริงๆ!


 


 


“เมื่อวานนี้หลังจากที่อุบัติเหตุรถชนปรากฏขึ้น ซ่งซินถูกตำรวจควบคุมตัวเพื่อทำการสอบปากคำ แต่เธอก็ยังใช้วิธีจนได้ประกันตัวออกมาและไม่ได้รับการลงโทษ ดังนั้นความตั้งใจของฉันในการมายืนที่นี่วันนี้คือเพื่อส่งผู้หญิงคนนั้นกลับเข้าไป…


 


 


“ฉันไม่ต้องการเป็นผู้หญิงคนนี้เดินไปมาอย่างอิสระด้วยขาที่ไม่ได้ปราศจากบาดแผลใดๆ อีกแล้ว มันน่าขยะแขยง!” 

 

 


ตอนที่ 729 ต้วนจิ่งหงจะต้องไปกับฉัน

 

“ซ่งซินเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงและไร้มนุษยธรรม ถึงตอนนี้ฉันจะพิการมาได้สองสามปีแล้ว ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันก็ยังคงเป็นการได้เห็นซ่งซินถูกส่งเข้าคุกด้วยตาของตัวเอง!”


 


 


คำพูดของซ่งเซียวเซียวนั้นทั้งชัดเจนและหนักแน่น แฝงไปด้วยความรู้สึกเกลียดชังอย่างที่สุด


 


 


ความรู้สึกของเธออยู่ในระดับเดียวกับของถังหนิง การที่ฮั่วจิงจิงได้รับบาดเจ็บและการที่เธอเกือบต้องแท้งลูก ถังหนิงจะไม่มีวันลืมมันไปตลอดชีวิต


 


 


ดังนั้นเธอและซ่งเซียวเซียวจึงหมายตาไปที่เป้าหมายเดียวกัน


 


 


ซ่งซินจะไม่มีโอกาสรอดพ้นจากกฎหมายได้อีก


 


 


แม้ผู้ชมจะดูผ่านโทรทัศน์แต่ทุกคนสามารถรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของซ่งเซียวเซียว โดยเฉพาะเมื่อเขามองไปตรงพื้นที่ว่างซึ่งเคยเป็นที่ที่ขาซ้ายของเธอเคยอยู่ อยู่ๆ ทุกคนก็ได้รับรู้การกระทำอันโหดเ**้ยมของซ่งซิน…


 


 



 


 


ซ่งซินไม่ได้คาดคิดว่าไห่รุ่ยจะขุดเรื่องเก่ามาใช้เป็นไพ่ตาย เธอตระหนักได้ว่าเธออ่อนต่อโลกเกินไป ปรากฏว่าแม้พวกเขาจะไม่ใช้คำกล่าวหาของต้วนจิ่งหง ไห่รุ่ยก็ยังสามารถทำลายเธอได้อยู่ดี เพราะเธอทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมายเกินไป


 


 


ไม่นานนัก ซ่งซินได้รับโทรศัพท์จากทนายความของเธอบอกเธอว่าครั้งนี้เขาไม่อาจช่วยประกันตัวเธอได้ จากนั้นเขาจึงบอกให้เธอหนีไปต่างประเทศเพื่อซ่อนตัวโดยเร็วที่สุด


 


 


แต่ซ่งซินไม่ต้องการยอมรับความพ่ายแพ้! เธอจะแพ้แบบนี้ได้ยังไงกัน เธอไม่มีทางแพ้


 


 


กระนั้นเธอก็ไม่อาจขัดขืนไม่ให้ตำรวจพาตัวเธอกลับไปยังห้องเดิมและพบกับเจ้าหน้าที่คนเดิมที่สถานีตำรวจได้ “คุณซ่ง เราพบกันอีกแล้วนะ คราวนี้คุณจะใช้ใครเป็นโล่อีกล่ะ”


 


 


เช่นเดียวกันครั้งก่อน ซ่งซินไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ดูเหมือนเธอจะกำลังรอผู้อาวุโสซ่งเพราะเขาคือโอกาสสุดท้ายของเธอ


 


 


แต่ในความเป็นจริงนั้น หลังจากที่ผู้อาวุโสซ่งฟื้นคืนสติหลังจากการผ่าตัดและได้เห็นข่าว เขาเพียงแค่ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นหมดไปกับการสูบบุหรี่อยู่ภายในห้องพักคนไข้ เธอไม่เคยนึกเลยว่าจะเลี้ยงดูปีศาจร้ายแบบนี้ขึ้นมา


 


 


“นับจากนี้ฉันจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอคนอื่น”


 


 


ข่าวยังคงถ่ายทอดสดเหตุการณ์ที่ห้องแถลงข่าวของไห่รุ่ยอย่างต่อเนื่อง ถึงจุดนี้ ชื่อเสียงของซ่งซินดูเหมือนจะเสียหายเกินเยียวยา แต่กระนั้นซ่งซินก็ยังคงยืนกรานที่จะปฏิเสธความผิดของเธออย่างต่อเนื่องด้วยสภาพจิตใจที่แน่วแน่และมั่นคง


 


 


เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งตำรวจได้รับข่าวว่าผู้อาวุโสซ่งได้ทำการฆ่าตัวตายที่โรงพยาบาล!


 


 


หลังได้รับรายงาน เจ้าหน้าที่สอบปากคำได้กลับเข้าไปในห้องสอบปากคำและวางเอกสารบางอย่างลงตรงหน้าซ่งซิน “เมื่อก่อนผมเคยเห็นผู้หญิงที่โหดเ**้ยมมามาก หลายคนหั่นสามีตัวเองเป็นชิ้นๆ แล้วบีบคอลูกสาวของตัวเอง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลักฐาน พวกเธอไม่เคยใช้อุบายอะไรต่อเนื่องเหมือนอย่างที่คุณทำ


 


 


“ถ้าคุณยังมีคุณธรรมอะไรหลงเหลืออยู่ในใจบ้างละก็ คุณควรจะชดใช้ความผิดของคุณที่ทำกับปู่ตัวเองด้วยชีวิต!”


 


 


ณ เวลานั้น ซ่งซินยังไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเจ้าหน้าที่คนนั้น จนกระทั่งเธอได้เห็นใบยืนยันการเสียชีวิตของผู้อาวุโสซ่ง


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกับปู่ของฉัน เขาตายได้ยังไง”


 


 


“ทำไมเขาถึงตายงั้นเหรอ ทำไมคุณไม่ถามตัวเองล่ะ” พูดจบ เจ้าหน้าที่ก็ยื่นจดหมายลาตายที่ผู้อาวุโสซ่งเขียนถึงซ่งซิน


 


 


ขณะที่เธอชำเลืองตามองดูซองจดหมายสีขาวราวหิมะ ในที่สุดซ่งซินก็ตระหนักได้ว่ามือทั้งสองข้างของเธอสั่นเทา เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นเช่นนั้น เขาจึงคว้าซองจดหมายไปและช่วยเปิดมันให้เธอ


 


 


[ซินซิน นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ปู่จะเรียกชื่อของหลาน หลังจากได้เห็นสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่หลานได้ทำ ปู่ไม่อาจสู้หน้าใครในโลกนี้ได้อีก สิ่งที่ปู่ทำได้คือการเอาชีวิตของตัวเองชดใช้ให้กับความเลวร้ายทุกอย่างที่หลานได้ทำ นี่คือผลกรรมของปู่ ผลกรรมที่ไม่สั่งสอนหลานให้ดี และเป็นผลกรรมของหลานที่จะต้องสูญเสียครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในโลกใบนี้ไป…


 


 


[ปู่ขอประกาศให้ทรัพย์สินทั้งหมดของปู่ได้รับการบริจาคให้กับการกุศล ปู่ไม่ต้องการให้มันตกอยู่ในมือคนจิตใจอำมหิตอย่างหลาน


 


 


[จากนี้ไป หลานต้องอยู่คนเดียวแล้วนะ ขอให้โชคดี]


 


 


หลังได้อ่านข้อความสั้นๆ ซ่งซินเสียสติ “นี่มันเป็นไปไม่ได้ ปู่ของฉันไม่มีทางตาย”


 


 


“เขาตายแล้ว คุณเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตาย คุณฆ่าปู่ของตัวเอง!” เจ้าหน้าที่คนนั้นตะโกนใส่ซ่งซิน “ถ้าผมเป็นเขา ผมคงสับคุณเป็นชิ้นๆ ก่อนจะฆ่าตัวตาย มันคงเป็นประโยชน์กับสังคมมากกว่านี้”


 


 


ดวงตาของซ่งซินเบิกโพลงขณะที่เธอทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนในที่สุดจะทรุดลงกับพื้นและร้องไห้ “ฉันไม่ได้เป็นต้นเหตุให้ปู่ตาย ฉันไม่ได้ทำ! พวกมันต่างหากที่ทำ!”


 


 



 


 


“ผู้อาวุโสซ่งโชคร้ายจริงๆ ที่มีหลานสาวแบบนี้ ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้แค่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตของตัวเอง” หลงเจี่ยมาช่วยถังหนิงดูแลเด็กๆ อยู่ที่ไฮแอทรีเจนซี่ ขณะที่เธออ่านข่าวในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างของเธอก็กำลังช่วยแต่งตัวให้เด็กหนึ่งในสองคน “ถึงจะน่าสังเวชไปหน่อย แต่ชีวิตมันก็แบบนี้ละนะ


 


 


“เขาว่ากันว่าเด็กคือศัตรูจากชาติปางก่อนที่มาเกิดเพื่อเอาคืน ฉันละสงสัยจริงว่าชาติที่แล้วผู้อาวุโสซ่งไปทำติดค้างอะไรซ่งซินไว้มากขนาดนั้น”


 


 


ถังหนิงยิ้มพลางรับลูกชายของเธอจากมือของหลงเจี่ย “ถึงจะน่าสงสาร แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้”


 


 


“แต่ต่อให้ถึงจุดนี่ ซ่งซินก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้สึกผิดต่อปู่ตัวเองบ้างหรือไงนะ”


 


 


ถังหนิงส่ายศีรษะ ในขณะที่เธอกำลังจะวางลูกชายคนหนึ่งของเธอลงในเปล เธอได้รับสายเรียกเข้าจากลู่เช่อ “ซ่งซินสารภาพแล้วครับ หลังจากไปที่โรงพยาบาลแล้วเห็นศพปู่ของเธอเอง เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกและในที่สุดก็บอกทุกอย่างกับตำรวจ”


 


 


“เยี่ยมไปเลยไม่ใช่เหรอ” หลงเจี่ยถามพลางมองไปที่ถังหนิง “ในที่สุดเราก็จัดการกับนังปีศาจนี่ได้สักที


 


 


“ถ้ามันยังทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อีก สวรรค์ก็คงต้องส่งสายฟ้ามาผ่ามันให้ตายแล้วล่ะ”


 


 


ซ่งซินน่าเกลียดชังแค่ไหนอย่างนั้นหรือ แค่อ่านสักสิบความเห็นจากความเห็นนับพันบนโลกออนไลน์ก็เพียงพอที่จะตอบคำถามนี้ได้แล้ว


 


 


[ถึงจะฟังดูโหดร้ายนะ แต่ฉันก็หวังว่าศาลจะตัดสินให้มันโดนประหารชีวิตซะ ยิ่งถ้าตัดมันเป็นชิ้นๆ ทีละชิ้นได้ยิ่งดี]


 


 


[ซ่งซินเป็นผู้หญิงที่น่าขยะแขยงจริงๆ มันเป็นสาเหตุที่ทำให้ปู่ตัวเองต้องตาย ตอนนี้มันจะมีความสุขอยู่ไหมนะ]


 


 


[ฉันขอให้ตำรวจไม่ปล่อยให้มันตายง่ายๆ ให้มันใช้ชีวิตอยู่ในคุกนั่นแหละดีแล้ว]


 


 


ขณะเดียวกันที่สถานีตำรวจ ซ่งซินได้สารภาพในความผิดสองสามอย่าง แต่เมื่อเป็นเหตุการณ์ของฮั่วจิงจิงและการปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่ง เธอยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับความผิด ที่จริงเธอพูดกับตำรวจว่า “ถ้าคุณต้องการให้ฉันสารภาพในคดีพวกนั้น ก็ไปพาถังหนิงมาหาฉันสิ!”


 


 


“ถังหนิงไม่ใช่คนที่คุณจะพบได้อีกแล้ว…” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวพลางใส่กุญแจมืออีกฝ่าย “คุณจะมีแค่กำแพงคุกเป็นเพื่อนไปตลอดชีวิตและไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป…”


 


 


“ไม่ ต้วนจิ่งหงจะต้องไปกับฉันด้วย…” ซ่งซินพยายามหาสิ่งปลอบใจสุดท้ายให้ตัวเอง แต่ตำรวจกลับทำลายความหวังนั้นของเธออย่างรวดเร็ว


 


 


“คุณเข้าใจผิดแล้ว ต้วนจิ่งหงได้รับการยกย่องที่เข้ามอบตัวกับตำรวจ รวมถึงเหยื่อก็ได้ยกโทษให้เธอแล้ว โทษของเธอเบากว่าของคุณมาก มีเส้นบางๆ คั่นระหว่างความดีกับความเลว และเส้นบางๆ นั้นก็มากพอที่จะกำหนดว่าคุณจะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก นั่งรอคำตัดสินของคุณเถอะ!”


 


 


เพราะนี่เป็นคดีใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการบันเทิง ซ่งซินจึงยังได้รับความสนใจจากสาธารณะอย่างต่อเนื่อง


 


 


ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ นับไม่ถ้วนที่นำมารวมกัน โทษของซ่งซินนั้นมากพอที่จะทำให้เธอต้องอยู่ในคุกไปตลอดชีวิต…


 


 


คนที่มีความสุขที่สุดในครั้งนี้อาจจะเป็นฮว่าเหวินเฟิ่ง เธอกำลังจะได้มีเพื่อนในไม่ช้า!


 


 


เหตุการณ์ทั้งหมดมาถึงจุดจบในเวลาเดียวกับที่เฉินซิงเยียนถ่ายทำละครเสร็จ หลังจากกลับมายังปักกิ่ง เธอและอันจื่อเฮ่าพากันไปเยี่ยมถังหนิงที่ไฮแอทรีเจนซี่ เมื่อได้เห็นหลานชายทั้งสองของเธอ เฉินซิงเนียนเต็มไปด้วยความปีติยินดี


 


 


ถังหนิงสังเกตเห็นว่าสายตาของอันจื่อเฮ่าจับจ้องไปที่เฉินซิงเยียนตลอดเวลา เธอจึงหัวเราะและเอ่ยถามขึ้น “พวกเธอสองคนคบกันแล้วงั้นเหรอ”


 


 


อันจื่อเฮ่าส่ายหน้า “เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานทางธุรกิจธรรมดาเท่านั้น” 

 

 


ตอนที่ 730 ฉันไม่อยากติดคุก

 

ถังหนิงไม่ได้เปิดโปงเรื่องของทั้งคู่ เธอเพียงแค่ยิ้ม ต่อให้อันจื่อเฮ่าสามารถซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้แต่ แต่เฉินซิงเยียนทำไม่ได้


 


 


“ตอนนี้เด็กๆ ก็คลอดออกมาแล้ว คุณจะกลับมาถ่ายหนังไหม” อันจื่อเฮ่าเริ่มคิดถึงอนาคตของถังหนิงไว้ล่วงหน้า “การแสดงของคุณยอดเยี่ยม คุณจะทิ้งมันไว้แบบนั้นไม่ได้นะ ทีมงานของ ‘ชายาหนิง’ กำลังรอคุณอยู่”


 


 


แววตาถังหนิงเปลี่ยนเป็นอ่อนโอนขณะที่เธอมองดูเฉินซิงเยียนอุ้มหนึ่งในลูกชายของเธอ “ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังเถอะนะ ตอนนี้เจ้าตัวแสบสองคนนี้ยังออกหาจากฉันไม่ได้”


 


 


“คุณยังไม่ได้วางแผนจะประกาศเรื่องนี้งั้นเหรอ”


 


 


“ฉันจะปล่อยให้เรื่องของซ่งซินเป็นหัวข้อข่าวตอนนี้ไปก่อน”


 


 


สายตาอันจื่อเฮ่าแฝงความคิดบางอย่างขณะที่เขามองไปที่ถังหนิง เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องร้ายต่างๆ ในวงการบันเทิงที่ถังหนิงได้ประสบจะทำให้เธอไม่สะทกสะท้าน แต่ในความเป็นจิงเธอก็ยังคงมีเปลวไฟแห่งความหลงใหลในการแสดงอยู่


 


 


กระนั้น ในตอนนี้ คนทั้งประเทศกำลังจับตามองชะตากรรมของซ่งซิน คนดังที่ก่อคดีอาชญากรรม เรื่องราวน่าตื่นเต้นนี้ไม่ใช่อะไรที่จะจางหายไปได้ง่ายๆ …


 


 


เมื่อถึงตอนที่โม่ถิงเดินทางกลับมาถึงบ้านในตอนค่ำ เฉินซิงเยียนและอันจื่อเฮ่าได้กลับไปแล้ว โม่ถิงกอดถังหนิงเป็นสิ่งแรกก่อนจะเดินตรงไปดูลูกทั้งสอง…


 


 


“ผมบอกให้ลู่เช่อติดต่อคนสองสามคน พวกเขาจะ ‘ดูแลซ่งซินเป็นอย่างดี’ ”


 


 


“ชีวิตที่เหลือในคุกของเธอฟังดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นะ…” ถังหนิงหัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยนพลางส่ายศีรษะไปมา


 


 


ตลอดชีวิตงั้นเหรอ จะเป็นแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อซ่งซินเอาชีวิตรอดอยู่ได้นานขนาดนั้นเท่านั้นแหละ!


 


 


แน่นอนว่าดม่ถิงไม่ได้พูดในสิ่งที่เขากำลังคิดออกมา กระนั้นการพูดถึงซ่งซินทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและดำมืด


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน หลังอันจื่อเฮ่าพาเฉินซิงเยียนกลับมายังอะพาร์ตเมนต์ของเขาแล้ว เขาได้ขับรถออกไปข้างนอกอีก


 


 


เฉินซิงเยียนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะมุ่งหน้าไปไหน เธอเพียงแต่เข้าไปอาบน้ำและรอการกลับมาของอีกฝ่ายอยู่ที่โซฟาอย่างใจเย็น แต่ในขณะนั้น อันจื่อเฮ่าได้เดินทางมายังย่านเมืองเก่าและเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งอย่างคุ้นเคย


 


 


พ่อของอวิ๋นซินโทรหาเขาว่าแม่ของอวิ๋นซินล้มป่วย นับตั้งแต่การตายของอวิ๋นซิน อันจื่อเฮ่าได้เข้ามาเป็นคนดูแลพ่อแม่ของเธอ แม้เขาจะไม่ได้เข้ามาเยี่ยมทั้งสองบ่อยนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่มีบางอย่างร้ายแรงเกิดขึ้น เขาจะเข้ามาดูแลด้วยตัวเอง


 


 


“จื่อเฮ่า ป้าอวิ๋นของเจ้าไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจแล้วหมอก็แนะนำว่าเธอควรจะไปรับการรักษาที่ต่างประเทศ ฉันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เราควรทำยังไงดี”


 


 


“คุณลุง อย่าเพิ่งวิตกไปเลยครับ ให้ผมดูคุณป้าก่อนนะ” อันจื่อเฮ่ากล่าวก่อนจะผลักประตูเข้าไปยังห้องนอนของป้าอวิ๋น เมื่อเขาได้เห็นหญิงชรากำลังนอนอยู่บนเตียง เขาเดินตรงเข้าไปหาเธอและเอ่ยถาม “คุณป้า เป็นยังไงบ้าง”


 


 


“จื่อเฮ่า… มาแล้วเหรอ” ป้าอวิ๋นดูทรุดโทรมและลมหายใจของเธอช่างอ่อนแรง แต่เธอยังคงสามารถคว้ามือของอันจื่อเฮ่าเอาไว้ได้ “จื่อเฮ่า ป้าเจ็บจริงๆ อย่าทิ้งพวกเราไปเลยนะ… อย่าแต่งงานใหม่แล้วลืมอวิ๋นซินของพวกเรานะ”


 


 


“คุณป้า ต่อให้ผมแต่งงานใหม่ ผมก็จะยังดูแลคุณลุงคุณป้าแทนอวิ๋นซิน” อันจื่อเฮ่าตอบอย่างใจเย็น


 


 


“ไม่ได้!” ป้าอวิ่นพลันคำรามออกมา “เธอเป็นของอวิ๋นซิน เธอจะแต่งงานกับใครหน้าไหนไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าเธอเจอผู้หญิงคนอื่น ป้าคงอยู่ต่อไปอีกไม่ได้!”


 


 


อันจื่อเฮ่าพูดอะไรไม่ออก


 


 


ลุงอวิ๋นยืนอยู่เบื้องหลังคนทั้งสอง เมื่อเห็นอันจื่อเฮ่าค่อนข้างผิดหวัง เขารีบเข้าไปปลอบโยนภรรยาของตัวเองทันที “เขาไม่แต่งหรอกนะ จื่อเฮ่าจะไม่มีวันลืมอวิ๋นซิน”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว หลังไปเยี่ยมคนทั้งสอง เขากระโดดขึ้นรถและขับออกจากย่านนั้น หลังจากกลับมาถึงอะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง เขาไม่เล่าอะไรให้เฉินซิงเยียนฟังเลยแม้แต่คำเดียว


 


 


อวิ๋นซินก็คืออวิ๋นซิน เธอเป็นอดีตไปแล้ว เขาตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับพ่อแม่ของอวิ๋นซิน ดูเหมือนพวกเขาจะกลัวว่าเขาจะเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่เพราะพวกเขาเอาแต่พึ่งพาอันจื่อเฮ่ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา


 


 


แต่… ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องแต่งงานใหม่ไม่ใช่เหรอ


 


 


“ทำไมเธอยังไม่นอนอีก” อันจื่อเฮ่าถามเมื่อเห็นเฉินซิงเยียนนั่งคุดคู้อยู่ที่โซฟา เขาเดินตรงไปและปิดโทรทัศน์ “พรุ่งนี้เธอมีคิวแน่นนะ อย่าดื้อสิ ไปนอนซะ”


 


 


“แต่…”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่พูดอะไรอีกขณะที่เดินตรงไปยังห้องทำงาน


 


 


ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขารู้สึกผิดหวังแม้เขาจะรู้ดีว่าพ่อแม่ของอวิ๋นซินไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขาก็ตามที…


 


 


เฉินซิงเยียนแอบเข้าไปในห้องทำงานและนั่งลงบนตักของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ “ไปนอนกับฉันไหม”


 


 


“ฉันยังมีเรื่องต้องทำ”


 


 


“นายไม่มีอะไรต้องทำสักหน่อย!” เฉินซิงเยียนจับโกหกเขา


 


 


“ฟังฉันนอน ไปนอนซะ”


 


 


“มีอะไรทำให้นายหงุดหงิดสินะ” เฉินซิงเยียนพูดหลางเขย่าคอของอันจื่อเฮ่า “ฉันได้ยินคำถามที่พี่หนิงถามนายวันนี้ ทำไมนายถึงไม่ยอมรับมันล่ะ”


 


 


“ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวไปต่อกรกับโม่ถิง” อันจื่อเฮ่ากล่าวพลางจ้องตาของเฉินซิงเยียน อีกทั้งเขายังต้องแก้ปัญหาเรื่องพ่อแม่ของอวิ๋นซินด้วย


 


 


“ทำไมเขาถึงมีสิทธิ์มาตัดสินเรื่องสำคัญในชีวิตของฉันล่ะ” เฉินซิงเยียนพูดถากถาง “ฉันจะแต่งงานกับใครก็ได้ที่ฉันต้องการ…”


 


 


ได้ยินคำว่า ‘แต่งงาน’ อันจื่อเฮ่ากลับหัวเราะออกมาอย่างฉับพลันพลางประคองแก้มทั้งสองข้างของหญิงสาวและถาม “เธอยังไม่เข้าใจฉันจริงๆ เลยด้วยซ้ำ เธอรู้ได้ยังไงว่าเธอจะไม่เสียใจทีหลัง”


 


 


“นายจะทำให้ฉันเสียใจหรือไงล่ะ”


 


 


“ฉันจะพยายามอย่างดีที่สุดให้เธอมีความสุข” อันจื่อเฮ่าตอบพลางอุ้มเฉินซิงเยียนไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินออกจากห้องทำงานไปยังห้องนอน “ตอนนี้เธอจะไปนอนได้หรือยัง”


 


 


เฉินซิงเยียนจดจ้องไปที่อันจื่อเฮ่าอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร ท้ายที่สุดเธอพยักหน้าและหลับตาลงก่อนจะหลับไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้คืนนี้เธอรู้สึกกระวนกระวายนิดหน่อย


 


 


เธอสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับอันจื่อเฮ่า เมื่อใครบางคนรักคนคนหนึ่งอย่างลึกซึ่ง พวกมักจะกลายเป็นคนเซนซิทีฟและหวาดระแวงเสมอ อันจื่อเฮ่าเป็นรักแรกของเธอ ดังนั้นเธอจึงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับความสัมพันธ์และไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่สำหรับอันจื่อเฮ่าล่ะ


 


 


ท้ายที่สุด อันจื่อเฮ่าใช้เวลาทั้งคืนคิดตริตรองอยู่ในห้องทำงาน ก่อนพบเฉินซิงเยียน เขาไม่เคยนึกภาพว่าตัวเองจะตกหลุมรักใครได้อีก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยจัดการกับพ่อแม่ของอวิ๋นซินอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้เขารู้สึกผิดที่เขาไม่ได้จัดการเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ


 


 


ดูเหมือนเขาจำเป็นต้องอธิบายให้ผู้อาวุโสทั้งสองเข้าใจว่าเขาเป็นห่วงคนทั้งสองเพราะความรักที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีให้กับลูกสาวของทั้งสอง แต่เขาไม่ได้ติดค้างอะไรทั้งนั้น!


 


 


เช่นเดียวกับเหตุผลที่เขาไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์กับถังหนิงล่ะ นั่นเป็นเพราะก่อนที่จะเขาแก้ปัญหานี้ เขาไม่รู้ว่าจะสามารถรับประกันความสุขของเฉินซิงเยียนได้อย่างไร


 


 


โม่ถิงคุ้นเคยกับการรักและเอาใจใส่ภรรยาของตัวเอง เขาจะไม่มีวันยอมให้อันจื่อเฮ่าทำอะไรที่เป็นปัญหาซึ่งอาจทำร้ายเฉินซิงเยียนอนาคต


 


 



 


 


หลายวันหลังจากนั้น ในที่สุดศาลก็ตัดสินคดีของซ่งซิน เพราะการที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย ศาลจึงได้ประกาศคำตัดสินสู่สาธารณะเพื่อให้คนทั้งประเทศได้เห็นคำพิพากษาสุดท้ายของเธอ


 


 


คุกเป็นสถานที่ที่ทุกข์ทรมานกว่าที่ซ่งซินเคยจินตนาการถึง ใช้ช่วงเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ ซ่งซินดูหมดหนทางและอ่อนแรงอย่างมาก เธอได้เปลี่ยนแปลงไปจากคนที่ครั้งหนึ่งเคยหยิ่งยโสโดยสิ้นเชิง


 


 


ในขณะที่ต้วนจิ่งหงดูไม่สะทกสะท้าน


 


 


ท้ายที่สุด ซ่งซินถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกยี่สิบปีในข้อหาทำร้ายร่างกายโดยเจตนา…


 


 


ยี่สิบปี…


 


 


เมื่อได้ยินตัวเลขดังกล่าว ซ่งซินก็ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นและเริ่มส่งเสียงอ้อนวอน…


 


 


“ฉันรู้ว่าฉันผิดไปแล้ว ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิด ได้โปรด ปล่อยฉันไปเถอะ! ฉันไม่อยากติดคุก! ฉันไม่อยากเข้าไปอยู่ในคุก!”


 


 


ทว่าการได้เห็นเธอเป็นเช่นนั้นกลับทำให้คนส่วนใหญ่คิดถึงคำสามคำ สมน้ำหน้า!  

 

 


ตอนที่ 731 ผมอดใจรอกินคุณทั้งตัวไม่ไห...

 

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น เด็กชายทั้งสองมีอายุได้หนึ่งเดือนแล้ว เพื่อเป็นการฉลอง เหล่าผู้อาวุโสได้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่บ้าน ตลอดวันนั้น โม่ถิงกับถังหนิงไม่มีโอกาสได้อุ้มลูกๆ ของพวกเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว


 


 


หลังจากหนึ่งเดือนเต็มแห่งการพักฟื้นอย่างระมัดระวัง ในที่สุดถังหนิงก็ได้สลัดเสื้อผ้าอันหลวมโครกและได้กลับมามีรูปร่างที่พอดีกับชุดเดรสตัวยาวของเธอในอดีตอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเธอยังคงให้นมลูกของเธอด้วยตัวเอง ร่างกายส่วนบนของเธอจึงดูอวบอั๋นมากกว่าปกติ ประกอบกับร่างกายอันสูงเพรียวของเธอ ถังหนิงจึงดูเซ็กซี่และเย้ายวนยิ่งกว่าในอดีต


 


 


ด้วยเหตุนี้ ทั้งฮั่วจิงจิงและหลงเจี่ยต่างพากันแสดงท่าทีไม่พอใจ “เวลาคนอื่นคลอดลูก ร่างกายของผู้หญิงพวกนั้นดูไม่ต่างกับลูกแอปเปิล แล้วทำไมพอเธอคลอดรูปร่างเธอกลับดูเพอร์เฟกต์กว่าแต่ก่อนอีกล่ะ”


 


 


ทั้งหมดต้องขอบคุณท่านประธานโม่


 


 


หลังจากการคลอดลูก ถังหนังได้รับการดูแลเรื่องอาหารการกินโดยนักโภชนาการคนเก่าของเธอ และแม้เธอจะต้องดูแลลูกชายถึงสองคน เธอก็ไม่เคยลืมที่จะดูแลสัดส่วนของตัวเองด้วยการออกกำลังกาย


 


 


นั่นคือวิธีที่ทำให้เธอได้ผลลัพธ์อย่างปัจจุบันนี้ และมีร่างกายที่ดูดียิ่งกว่าแต่ก่อน


 


 


“ฉันรู้สึกว่าเธอยังเดินบนรันเวย์ได้สบายๆ ได้เลยนะ”


 


 


ถังหนิงมองไปที่โม่ถิงซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลพลางยิ้มด้วยความรักใคร่…


 


 


เป็นเพราะผู้ชายคนนี้ช่วยวางแผนชีวิตให้เธอเป็นอย่างดีจนเธอไม่เสียอะไรไปเลย


 


 


ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือความมั่นใจของเธอ!


 


 


หลังงานเลี้ยง ซย่าอวี้หลิงอุ้มหลานชายทั้งสองและพูดกับถังหนิง “เดี๋ยวหลานๆ จะไปนอนที่บ้านยายคืนนี้นะ ลูกกับโม่ถิงค่อยมารับเด็กๆ พรุ่งนี้”


 


 


“ทำไมล่ะ”


 


 


ซย่าอวี้หลิงมองถังหนิงและขยิบตาให้ “พวกลูกไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแบบคู่รักมานานแค่ไหนแล้วล่ะ ลูกปล่อยให้ผู้ชายของตัวเองอดทนมานานขนาดนี้ได้ยังไงกัน”


 


 


“คุณแม่…” ถังหนิงกระแอม


 


 


“ไม่ต้องห่วง เรามีพี่เลี้ยงคอยดูแลอยู่ที่บ้าน เด็กๆ พวกนี้ไม่อดหรอก เอาตามนี้นะ” พูดจบ ซย่าอวี้หลิงและไป๋ลี่หวาก็ช่วยกันส่งแขกทุกคนกลับบ้านก่อนอุ้มหลานทั้งสองออกไป


 


 


เสียงอื้ออึงภายในห้องนั่งเล่นพลันหายไปกลายเป็นความเงียบสงัด ของตกแต่งต่างๆ ภายในห้องยังคงดูราวกับหลุดออกมาจากนิยาย แต่ถังหนิงใช้โอกาสนี้ในการเข้าหาโม่ถิงจากด้านหลังและกอดอีกฝ่ายเอาไว้ “เราไม่ได้มีเวลาสบายๆ แบบนี้ด้วยกันมาสักพักแล้วนะ”


 


 


“ในเมื่อเป็นแบบนั้น ก็อย่าให้ความตั้งใจของแม่ต้องสูญเปล่าแล้วกัน…” ทันทีที่เขาพูดจบ โม่ถิงหันกลับมาและประคองถังหนิงไปที่โซฟา


 


 


“คุณรู้วัตถุประสงค์ของคุณแม่หรือเปล่า”


 


 


โม่ถิงโถมตัวลงทับร่างกายของถังหนิง ขณะที่เขาใช้แขนข้างหนึ่งยันไว้เหนือศีรษะของถังหนิง เขาใช้มืออีกข้างดึงเสื้อของหญิงสาวขึ้น


 


 


“ท่านคงเห็นผมว่าอดใจรอที่จะกินคุณทั้งตัวต่อไปไม่ไหวแล้ว”


 


 


คนรักทั้งสองไม่ได้มีเวลาอยู่ร่วมกันเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ถังหนิงไม่อาจจำได้อีกแล้ว ทั้งหมดที่เธอรู้คือสัมผัสของฝ่ามือชายหนุ่มที่ลูบไล้ไปทั่วร่างกายของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกวาบหวิวไปทั้งตัว ความรู้สึกสั่นสะท้านรุนแรงกว่าทุกครั้ง


 


 


“เราควรไปที่ห้องนอนกันไหมคะ”


 


 


“คุณกำลังอายเพราะกลายเป็แม่คนแล้วอย่างนั้นเหรอ” โม่ถิงถามพลางกดจมูกของเขาเข้าหาของถังหนิง


 


 


ถังหนิงไม่อาจหนีรอดไปได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงยอมรับขณะที่ใบหน้าของเธอเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


 


โม่ถิงไม่พูดอะไรอีกพลางลุกขึ้นนั่งและปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองก่อนโยนไปข้างๆ แล้วหันมาถอดเดรสตัวยาวของถังหนิง…


 


 


ร่างกายของทั้งคู่ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน โม่ถิงดูแลถังหนิงเป็นอย่างดี ทำให้ร่างกายของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย


 


 


ตามมาด้วยรสจูบอันคุ้นเคย ถังหนิงไม่มีแม้แต่โอกาสจะปฏิเสธจุมพิตนั้น… เธอทำได้เพียงโอบรัดเรียวแขนของเธอรอบลำคอของโม่ถิงขณะที่ความรู้สึกภายในของเธอพลันว่างเปล่าไปหมด


 


 


ไม่นานสิ่งพันธนาการบนร่างกายของเธอได้ถูกปลดเปลื้องไปจนหมด ถังหนิงมองโม่ถิงอย่างเว้าวอนจนความว่างเปล่าภายในตัวเธอในที่สุดก็รับการเติมเต็ม ส่งผลให้เธอปลดปล่อยเสียงร้องแห่งความพึงพอใจออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้


 


 


เธอรักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน เธอรักความรู้สึกที่มีเขาอยู่ภายในตัวเธอ วิธีที่ทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นและไม่อาจควบคุมตัวเองได้


 


 


โม่ถิงกลัวว่าเขาจะทำให้ถังหนิงเจ็บ เขาจึงถูไถกับอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล แต่ถังหนิงกลับกัดเข้าที่ไหล่ของเขาและพูดด้วยเสียงกระเซ่า “ถิง… ทำแบบที่คุณเคยทำสิ”


 


 


“หืม” โม่ถิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


 


 


“ฉันต้องการให้คุณทำแบบที่คุณเคยทำ แบบที่รุนแรงและหนักหน่วง”


 


 


โม่ถิงไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงแต่ตอบสนองมันด้วยการกระทำ…


 


 


บนโซฟา บันได อ่างอาบน้ำ และอ่างล้างหน้า


 


 


ค่ำคืนนั้นถูกเติมเต็มด้วยความต้องการอันบ้าคลั่งที่ไร้จุดสิ้นสุด


 


 


หลังทั้งหมดนั้น ถังหนิงนอนเอนกายอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่ภายในอ้อมแขนของโม่ถิงและพูดด้วยน้ำสียงแหบพร่า “ฉันชดเชยสิ่งที่ติดค้างคุณไว้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาหมดหรือยังคะ”


 


 


“คุณคิดว่าแค่นี้มันเพียงพองั้นเหรอ”


 


 


ไร้เดียงสาเสียจริง!


 


 



 


 


คืนนั้น ด้านนอกมีฝนตกอย่างหนัก เฉินซิงเยียนเพิ่งจะทำงานเสร็จและกำลังจะกลับบ้านกับอันจื่อเฮ่าขณะที่ทั้งสองเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู


 


 


เฉินซิงเยียนรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่อันจื่อเฮ่าเพียงแค่พูดขึ้น “เข้าไปข้างในก่อน”


 


 


เฉินซิงเยียนพยักหน้า จากนั้นเธอจึงเดินเข้าไปในห้องนอนของเธออย่างระมัดระวังเพื่อให้อันจื่อเฮ่าและชายชราคนนั้นได้มีพื้นที่ส่วนตัว


 


 


“จื่อเฮ่า เด็กคนนี้…” ลุงอวิ๋นถามออกมาด้วยความสงสัย


 


 


“แฟนผมเองครับ” อันจื่อเฮ่าตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง “คุณลุงทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”


 


 


“โอ้ นี่เธอมีแฟนแล้วสินะ จะแต่งงานกันหรือเปล่าล่ะ” ลุงอวิ๋นนั่งลงก่อนจะเริ่มขุดคุ้ยประเด็นนี้ “เธอสัญญาไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่า…”


 


 


อันจื่อเฮ่าเข้าใจดีว่าชายชราต้องการจะพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงตอบอย่างใจเย็น “คุณลุง อวิ๋นซินก็จากไปได้หลายปีแล้วนะครับ ถึงเวลาที่ผมจะใช้ชีวิตของตัวเองเสียที”


 


 


“เธอหมายความว่ายังไง เราไม่เคยยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของเธอ แต่… ฉันแค่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง อวิ๋นซินต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้แน่”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น อันจื่อเฮ่าตกอยู่ในความเงียบ เขาเข้าใจดีว่าลุงอวิ๋นกำลังสื่อถึงอะไร เขากลัวว่าอันจื่อเฮ่าจะหยุดให้การดูแลตัวเขากับภรรยาหลังจากที่แต่งงานใหม่


 


 


“ในเมื่อผมสัญญากับอวิ๋นซินไว้ว่าจะดูแลลุงกับป้า ผมก็จะไม่มีวันกลับคำ”


 


 


“ไม่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันแค่ไม่ยอมรับเรื่องที่เธอมีแฟนใหม่” ลุงอวิ๋นเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ท่าทีของเขาทั้งแข็งกระด้างและไม่พอใจ “พวกเราคิดเสมอว่าสักวันหนึ่งเธอจะอยู่ในงานศพของพวกเราแทนในส่วนของอวิ๋นซิน”


 


 


พูดง่ายๆ คืออันจื่อเฮ่าเป็นของอวิ๋นซินและไม่อาจเป็นของคนอื่นได้ ไม่เช่นนั้นมันเท่ากับเขากำลังนอกใจเธอ


 


 


อันจื่อเฮ่าดูแลชายหญิงชราทั้งสองมานานหลายปี จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทั้งสองจะเป็นกังวลแต่การกระทำแบบนี้มันไม่เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยงั้นหรือ


 


 


“ข้อแรกนะครับคุณลุง อวิ๋นซินกับผมเราเป็นแค่แฟนกัน เราไม่เคยแต่งงานกันด้วยซ้ำ ข้อสอง ผมสัญญากับอวิ๋นซินว่าผมจะดูแลพวกคุณ แต่ผมยังคงมีชีวิตของผมเอง ผมไม่อาจปล่อยให้ใครมากำหนดชีวิตของผมได้ คุณลุงเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อไหม”


 


 


ลุงอวิ๋นไม่พูดสิ่งใดอีกก่อนจะกลับไปอย่างรวดเร็ว “ฉันจะมาหาเธอใหม่วันหลัง”


 


 


หลังชายชรากลับไปแล้ว อันจื่อเฮ่าถอนหายใจออกมาและชำเลืองตามองไปที่ประตูห้องนอนซึ่งอยู่ไม่ไกล “ออกมาเถอะ…”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่คิดว่าอันจื่อเฮ่าจะรู้ว่าเธอกำลังแอบฟังอยู่ ดังนั้นเธอจึงเปิดประตูและเผยตัวออกมา “ผู้ชายคนนั้น…”


 


 


“พ่อของอวิ๋นซิน” อันจื่อเฮ่าตอบอย่างตรงไปตรงมา “ฉันดูแลพ่อแม่อวิ๋นซินแทนอวิ๋นซิน”


 


 


ก่อนหน้านี้ อันจื่อเฮ่าคิดว่าเขาเป็นสาเหตุการตายของอวิ๋นซิน ดังนั้นการดูแลคนชราทั้งสองแทนเธอจึงดูสมเหตุสมผล แต่ท้ายที่สุดการตายของเธอนั้นที่จริงแล้วเป็นผลจากแผนชั่วของหลานซี


 


 


“นายยังจำเป็นต้องดูแลพวกเขาต่อไปในอนาคตไหม” เฉินซิงเยียนถาม


 


 


“เธอไม่พอใจเรื่องนี้หรือไง”


 


 


“ถ้าพวกเขาเข้าใจ ฉันก็ไม่อะไรหรอก แต่ถ้าไม่…” เฉินซิงเยียนตอบอย่างตรงไปตรงมา “เขาต้องการควบคุมชีวิตนาย”


 


 


“ฉัน…เรื่องนั้นฉันก็รู้ ปล่อยเรื่องนี้ให้ฉันจัดการเถอะ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว ไปอาบน้ำไป พรุ่งนี้เธอต้องไปออดิชั่น”


 


 


“อันจื่อเฮ่า ฉันเป็นคนที่ชอบยอมแพ้นะ แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้เรื่องของนาย ช่วยอย่าทำอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่แล้วกัน” 

 

 


ตอนที่ 732 ผู้หญิงของผม!

 

“โอเค” อันจื่อเฮ่าพยักหน้า


 


 


เฉินซิงเยียนได้ยินคำตอบของอันจื่อเฮ่าแล้ว ก็หันหลังกลับไปยังห้องนอนก่อนจะตรงเข้านอนหลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอเข้าใจว่าหากเธอทำตามคำสั่งของอันจื่อเฮ่า เขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไป


 


 


แต่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเธอเป็นสัญญาณสะท้อนถึงความประมาทของตัวเอง เธอรู้เพียงแค่ว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่ภายในแต่ไม่รู้จะพูดออกมาได้อย่างไร


 


 


อันจื่อเฮ่ารู้ดีว่าเขาได้ทำร้ายอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงวางงานในมือลงและเดินเข้าไปในห้องนอน ภายใต้ความมืด เขาเอื้อมมือออกไปโอบกอดเฉินซิงเยียนเอาไว้ “ขอโทษที่ไม่ได้ปกป้องหัวใจของเธอนะ”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่พูดอะไร เธอเพียงแต่กัดลงไปบนแขนของอันจื่อเฮ่าและทิ้งรอยเขี้ยวลึกเอาไว้


 


 


“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้หรือทอดทิ้งเธอ แต่ฉันหวังว่าเธอจะไม่ยอมแพ้ในตัวฉันเช่นกัน”


 


 


เฉินซิงเยียนยังเด็ก นิสัยเธอจึงยังไม่คงที่และจิตใจของเธอก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นอันจื่อเฮ่าจึงไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะอดทนมาได้ไกลขนาดนี้ตั้งแต่ต้น


 


 


เพราะถึงอย่างไร ก็เป็นเรื่องแน่นอนที่การรบกวนจากพ่อแม่ของอวิ๋นซินจะไม่มีทางจบลงง่ายๆ แต่กระนั้นเขาก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อหาทางแก้ไข


 


 


“โอเค” เฉินซิงเยียนเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะทนต่อไปได้นานแค่ไหนเช่นกัน


 


 


เธอไม่ชอบถูกใครบังคับมาตั้งแต่เด็กๆ ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่ชอบบังคับตัวเองเพื่อคนอื่นเช่นกัน


 


 


แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมีความรู้สึกพิเศษให้กับใครสักคน ดังนั้นเธอจึงหวังว่าความทุ่มเทของเธอจะไม่สูญเปล่าเพราะผู้ชายที่ไม่มีค่าพอ


 


 



 


 


หลังจากถังหนิงคลอดลูก ไห่รุ่ยปิดข่าวเรื่องนี้ไว้อย่างแน่นหนา แต่สื่อก็ยังสามารถถ่ายรูปซย่าอวี้หลิงกำลังอุ้มเด็กสองคนเอาไว้ได้ ส่งผลให้การตั้งท้องของถังหนิงกลับมาอยู่ในความสนใจของสื่ออีกครั้ง


 


 


โม่ถิงยังคงไม่ให้คำตอบกับสื่อในขณะที่เขาน้อมรับความคาดเดาต่างๆ ของสาธารณะ กระนั้นบริษัทต่างๆ เองก็ได้ยินข่าวนี้และเริ่มส่งสัญญามากมายมาถึงโม่ถิงผ่านทางลู่เช่อ


 


 


เพราะถึงอย่างไร โม่ถิงก็ยังคงเป็นผู้จัดการของถังหนิง!


 


 


“ท่านประธานครับ ร่างสัญญาพวกนี้เกี่ยวของกับเด็กทั้งหมด…”


 


 


พูดง่ายๆ คือโลกภายนอกกำลังบอกว่าถังหนิงควรจะเปลี่ยนสไตล์ได้แล้ว


 


 


เธอไม่ได้อยู่ในวัยสาวอีกต่อไป หลังการเป็นแม่ เธอต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายแน่


 


 


โม่ถิงไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองขณะที่เขาปัดสัญญาเหล่านั้นลงไปกองกับพื้น “จากนี้ไปอย่าเอาของแบบนี้มาวางบนโต๊ะฉันอีก”


 


 


“รับทราบครับ” ลู่เช่อเดาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ เพราะเป็นเรื่องปกติที่โม่ถิงจะโกรธ ใครกันกล้ามาพูดว่าถังหนิงสามารถเป็นตัวแทนคนเป็นแม่ได้เพียงอย่างเดียว และใครกันที่กล้าพูดว่าภรรยาของเขาแก่


 


 


เขาจะทำให้ถังหนิงของเขาใช้ชีวิตอย่างอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าเดิมอีก


 


 


“เราควรทำยังไงกับข่าวลือเกี่ยวกับการคลอดลูกของคุณผู้หญิงดีครับ”


 


 


“ฉันจะหาโอกาสอธิบายเรื่องนี้เอง” โม่ถิงกล่าวก่อนกลับไปง่วนอยู่กับเอกสารในมือ


 


 


ขณะเดียวกัน ถังหนิงได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นผ่านทางช่องทางข่าวสารเล็กๆ น้อยๆ มากมายของหลงเจี่ย ว่ามีโอกาสและสัญญามากมายแค่ไหนมาเสนอให้เธอจากบรรดาบริษัทเกี่ยวกับเด็ก กระนั้นปฏิกิริยาของเธอไม่ได้แตกต่างไปจากของโม่ถิง


 


 


“คนพวกนั้นต้องตาบอดแน่ๆ ดูหุ่นกับผิวตึงๆ ของคุณสิ เหมือนแต่ก่อนเปี๊ยบเลยนะ” หลงเจี่ยพูดไปด้วยกินไปด้วย “ทำไมเราไม่ขอให้นายใหญ่จัดการเปิดตัวเธอบนรันเวย์ไปเลยล่ะคะ”


 


 


การคงความสาวและสดใสไว้ได้ตลอดกาล เป็นเส้นแบ่งที่ชัดเจนมากสำหรับศิลปินคนหนึ่ง


 


 


ถังหนิงไม่พูดอะไรเลย เธอเพียงแค่มองไปที่สัญญาของ ‘ชายาหนิง’ และทำเป็นไม่สะทกสะท้าน


 


 


“ว่าแต่ตอนนี้ทุกคนกำลังเดาเพศของลูกคุณไปต่างๆ นานา แถมยังพูดกันด้วยว่าลูกคุณเกิดมาพิการหรือเปล่า ฉันคิดว่าถึงเวลาที่คุณจะออกมาพูดได้แล้วนะคะ แน่นอน ไม่ใช่การทำเพื่อพวกสอดรู้สอดเห็นพวกนั้น แต่ทำเพื่อแฟนๆ ของคุณต่างหาก คุณซื่อสัตย์ต่อคนพวกนั้นมาตลอดนี่นะ”


 


 


ถังหนิงพยักหน้าพลางนำคำพูดเหล่านั้นมาไว้พิจารณา กระนั้นขณะที่เธอมองวิธีที่หลงเจี่ยสวาปามอาหารตรงหน้า เธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เธอไม่คิดว่าตัวเองกินเยอะดื่มเยอะไปหน่อยเหรอ”


 


 


“ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมค่ะ แต่หมู่นี้ฉันชอบกินนู้นกินนี่เป็นพิเศษ” หลงเจี่ยบ่นงึมงำ


 


 


“เธอได้ตรวจบ้างหรือไง เธอท้องหรือเปล่า”


 


 


ท้อง?


 


 


หลงเจี่ยตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี่มาก่อน หลังจากไป๋ลี่หวาบอกให้เธอเปลี่ยนบรรยากาศเมื่อครั้งก่อน ความกังวลของเธอก็หมดไปและเธอแค่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าถังหนิงไม่ได้เตือนเธอถึงความเป็นไปได้นี้ เธอคงคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับกระเพาะของเธอแน่


 


 


“ฉันจะตรงไปตรวจที่โรงพยาบาล”


 


 


“ไปสิ” ถังหนิงพยักหน้า “โทรหาลู่เช่อด้วยล่ะ เธอต้องมีใครสักคนไปเป็นเพื่อนนะ”


 


 


“ได้ค่ะ” หลงเจี่ยกล่าวก่อนจะหายไปจากสายตาของถังหนิงอย่างรวดเร็ว


 


 


หลังจากนั้น ถังหนิงตกอยู่ในห้วงความคิด


 


 


เธอไม่อาจยอมรับสิ่งที่โลกจำกัดความตัวเธอหลังจากการคลอดลูกได้ ส่งผลให้เธอฝึกฝนร่างกายของตัวเองหนักขึ้นกว่าเดิม


 


 


คืนนั้น โม่ถิงกับมาถึงบ้านก็พบว่าถังหนิงยังคงอยู่ในห้องออกกำลังกาย ชายหนุ่มจึงเดินไปให้นมลูกๆ กระนั้นถังหนิงได้เห็นว่าเขากลับมาแล้ว ขณะที่โม่ถิงกำลังอุ้มลูกชายคนหนึ่งขึ้นมา ถังหนิงได้ถ่ายรูปช่วงเวลาแห่งความรักนั้นเอาไว้ได้


 


 


เมื่อโม่ถิงเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าถังหนิงกำลังถ่ายรูปอยู่นั้น เขาพูดขึ้น “มาใช้รูปที่คุณถ่ายในการแถลงข่าวกับสื่อกันเถอะ”


 


 


ถังหนิงพยักหน้าและเข้าใจเจตนาของโม่ถิงเป็นอย่างดี ทั้งสองต้องการจัดการกับข่าวลือ โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดจากคำใส่ร้ายของฮว่าเหวินเฟิ่งก่อนหน้านี้


 


 


ดังนั้นถังหนิงจึงล็อกอินเข้าไปในโซเชียลมีเดียของโม่ถิงและโพสต์รูปของคู่พ่อลูกลงไปพร้อมกับคำบรรยายสั้นๆ ว่า [ปะป๊าถิง]


 


 


หลังสาธารณชนได้เห็นรูปดังกล่าว ทุกคนต่างพากันตื่นเต้น


 


 


[ถังหนิงคลอดโม่ถิงน้อยออกมาแล้ว!]


 


 


[เป็นลูกชาย! ถังหนิงนี่รู้วิธีฉีกหน้าคนได้ดีจริงๆ!]


 


 


[ทุกคนต่างพากันคิดไปต่างๆ นานาว่าลูกของเธอเข้าโรงพยาบาล ในที่สุดพวกเราก็ได้สบายใจเสียที ดูรูปน่ารักพวกนั้นสิ…]


 


 


[ปะป๊าถิงกำลังอิ่มรัก…]


 


 


[ฉันไม่ชอบโพสต์นี้เลย ไม่เป็นมีถังหนิงเลยอ่ะ]


 


 


[หุ่นของถังหนิงต้องอ้วนเผละไปแล้วแน่ๆ]


 


 


โม่ถิงบอกถังหนิงให้โพสต์เช่นนี้เพราะเขาต้องการให้เธอยังคงเป็นปริศนาและป้องกันไม่ให้สื่อต่างๆ ตัดสินใจว่าเป็นแค่แม่ธรรมดาคนหนึ่ง


 


 


ในขณะที่ทำเช่นนั้น ถังหนิงไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะว่าเธอได้ให้กำหนดลูกหนึ่งหรือสองคนเช่นกัน!


 


 


“ก่อนการกลับเข้าสู่วงการแสดง ผมได้รับงานโฆษณาไว้ให้คุณตัวหนึ่งครับ” โม่ถิงกล่าวขณะที่เขาอยู่ในห้องอาบน้ำกับถังหนิงหลังจากส่งเด็กๆ เข้านอนแล้ว “เป็นแบรนด์เครื่องสำอางราคาแพงที่มีชื่อเสียงโด่งดังของต่างประเทศ”


 


 


นี่เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับถังหนิง พูดตามหลักแล้วหลังจากการถอนตัวออกจากวงการมาเนิ่นนาน ชื่อเสียงของเธอควรจะซ่าลงแต่กลับกัน เธอไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณหนังทั้งสามเรื่องของเธอ เนื่องจากการฉายในต่างประเทศมักจะล่าช้ากว่าการฉายภายในประเทศเสมอ ทำให้ ‘คนรักที่สาบสูญ’ เพิ่งจะเริ่มฉายในต่างประเทศ


 


 


ขณะที่ชื่อเสียงของเธอกระจายไปในต่างประเทศ จึงเป็นเรื่องง่ายที่เธอจะคว้าตำแหน่งตัวแทนแบรนด์ระดับโลกไว้ได้


 


 


“ทำไมคุณถึงเลือกทำแบบนี้คะ”


 


 


“เพราะผมต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผู้หญิงของผมยังคงงดงามอย่างน่าทึ่งเหมือนเดิมไงล่ะ!”


 


 


ถังหนิงพยักหน้า


 


 


ขณะที่เธอฝึกซ่อมร่วมกับโม่ถิงนั้น โปรเจกต์ตัวแทนแบรนด์ก็ได้เริ่มมีความคืบหน้า


 


 


แน่นอนว่าวิสัยทัศน์ของดม่ถิงยังคงเฉียบแหลมเฉกเช่นทุกครั้ง เหตุผลที่เขาช่วยให้ถังหนิงได้งานโฆษณาครั้งเพราะตัวโฆษณาขะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของผู้หญิงตะวันตกที่ดูโฉบเฉียวและยังสามารถช่วยถังหนิงได้เฉิดฉายความพลังที่อยู่ภายในตัวเธอ


 


 


เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะบอกบริษัทผลิตภัณฑ์เด็กทุกเจ้าว่านี่คือผู้หญิงของเขาและเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนเลยแม้แต่น้อย!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม