อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 725-731
ตอนที่ 725 ไม่ทอดทิ้งกัน (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ไป๋ซู่เย่เดินไปข้างหยูอัน มองเขาแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงเบา “ขอบคุณ”
หยูอันนิ่งชะงักไปครู่ดวงตาฉายแววซับซ้อน สุดท้ายแค่ตอบกลับหน้านิ่ง “คุณไม่ต้องขอบคุณผม ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ”
“ไม่ว่าคุณทำเพื่อใคร แต่คนที่ได้คือฉัน” เธอพูดจบก็กล่าวขอบคุณอย่างหนักแน่นอีกครั้ง
สีหน้าหยูอันผ่อนคลายลงบ้างในที่สุด “รอเราออกไปได้คุณค่อยขอบคุณผมก็ไม่สาย!”
ไป๋ซู่เย่กำลังจะพูดบางอย่างก็ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าดังแว่วมากะทันหัน
“คุณขึ้นรถไป อย่าลงมา!” เย่เซียวปฏิกิริยาไวที่สุด ดันไป๋ซู่เย่ขึ้นไปบนรถ
“ฉันไม่ไป!”
“ขึ้นรถ!” เย่เซียวกดเสียงหนักขึ้นกว่าเดิม
ไป๋ซู่เย่หันกลับมามองตาเขาอย่างแน่วแน่ “เย่เซียว คุณมาช่วยฉันอย่างไม่คิดชีวิต ตอนนี้จะให้ฉันเป็นคนขี้ขลาด คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม? ถ้าวันนี้คุณเป็นอะไรไป ตายอยู่ตรงนี้ ฉันไม่มีวันมีชีวิตรอดไปคนเดียวแน่!”
ประโยคสุดท้ายเธอพูดกัดฟันแน่นทุกคำเพื่อแสดงความเด็ดขาดของเธอว่าต้องการจะเคียงบ่าเคียงไหล่เขาและต่อสู้ไปพร้อมกับเขา
เย่เซียวใจสั่นไหว ดวงตาสบตาเธอนิ่ง ใต้แสงจันทร์นั้นทอให้ดวงตาเขาดูอ่อนโยนชั่ววูบจากนั้นเขาก็โยนปืนที่เหน็บไว้ข้างเอวให้เธอ “ถือไว้ให้ดี”
ไป๋ซู่เย่ถึงมีสีหน้าผ่อนคลายลง เขาพูดเสริมอีกประโยค “ห้ามบาดเจ็บอีก!”
เธอยิ้มน้อยๆ“คุณก็ด้วย”
“นายท่าน เหมือนจะไม่ใช่คน!” หยูอันยกปืนจ้องไปทางข้างหน้าอย่างระแวง
เย่เซียวกับไป๋ซู่เย่เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เห็นดวงตานับสิบคู่จากที่ไกลๆ กำลังทอแสงท่ามกลางความมืด ดวงตาเหล่านั้นมาพร้อมกับความเยือกเย็นและอันตรายถึงชีวิต กำลังก้าวมาหาพวกเขาทีละนิดๆ
“ฝูงหมาป่า!” เย่เซียวยกปืนขึ้นทีเดียว
“ให้ตายสิ!แม้แต่สัตว์เดรัจฉานพวกนี้ก็คิดจะมาสนุกด้วย!” หยูอันสบถที “มาตัวหนึ่งฆ่าตัวหนึ่ง มาฝูงหนึ่งก็ฆ่าฝูงหนึ่ง!”
เย่เซียวมุ่นคิ้ว ถาม“ระเบิดของเราเหลืออีกเท่าไหร่?”
“ฝังหมดแล้วครับ เหลือไม่ถึงสอง” หยูอันตอบเสร็จก่อนจะนึกบางอย่างได้ เส้นเลือดตรงขมับปูดโปนทันใด “บ้าเอ้ย!พวกฝูงสวะ!”
คล้ายตอบรับประโยคของเขาทีวินาทีถัดมาอยู่ๆ ฝูงหมาป่าก็วิ่งกระโจนมาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้พวกเขาก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตู้ม–’ จากที่ไกลออกไป ‘ตู้ม–’ อีกเสียงที่ดังต่อๆ กัน ระเบิดฝูงหมาป่าพวกนั้นลอยฟ้ากระจายกันออกไป สร้างความตกใจแก่ฝูงหมาป่าที่แต่แรกกลมเกลียวกันดี หมาป่าที่เหลือชีวิตอยู่น้อยตัวรีบวิ่งกลับทางเดิม หรือมีบางตัวที่ตกใจเกินเหตุพุ่งมาหาพวกเขาเพราะความตกใจ
“บ้าเอ้ย!เจ้าพวกนี้ ใช้ระเบิดเราจนหมดเลย!” หยูอันโกรธจนเลือดแทบขึ้นหน้า ยกปืนยิงทีละตัวๆ
มีระเบิดอยู่ไม่นานก็จัดการฝูงหมาป่าได้ด้วยดี แต่เย่เซียวยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด ยกปืนแบกไว้ด้านหลัง “เราต้องรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!มีเสียงเคลื่อนไหวดังขนาดนี้ ต้องสร้างความสนใจให้พวกเขามาแน่ๆ”
ไป๋ซู่เย่เองก็กระโดดขึ้นรถไปหยิบของใช้จำเป็นสำหรับทะเลทราย
แต่เพิ่งขึ้นรถได้ยินเสียงหยูอันกล่าวว่า “ไม่ทันแล้ว!พวกมันมาแล้ว!”
เย่เซียวกระโดดขึ้นรถตามหยูอัน จากนั้นรีบสั่ง “หยูอัน ถอยมาที่รถ!ซู่ซู่ เอาระเบิดออกมาให้หมด!”
“ได้” ไป๋ซู่เย่ลากลังเก็บระเบิดมา จากนั้นเสียงปืนดังสนั่นเธอรีบย่อตัวลงอย่างฉับไว เย่เซียวดึงเธอเข้าไปอยู่ข้างหลังด้วยสัญชาตญาณ “คุณนั่งอยู่ตรงนี้ห้ามยื่นหัวออกไป!หยูอัน เตรียมเปิดสปอร์ตไลท์”
หยูอันกดปุ่มหนึ่งทีเพื่อเปิดแสงสปอร์ตไลท์ที่ถูกติดตั้งไว้บนเฮลิคอปเตอร์เมื่อบ่าย ส่องไปยังทิศทางที่มาของกลุ่มคน
แต่ภายในเวลาไม่ถึงห้าวินาทีเขาก็รีบดับลง
“ทางสิบนาฬิกา ทั้งหมดสิบแปดคน!ปืนกลทั้งหมด แต่ยังไม่เห็นอาวุธชั่วคราว!” เพิ่งสิ้นเสียงหยูอัน เย่เซียวก็ลุกขึ้นยิงปืนไปทางสิบนาฬิกาจากหน้าต่างอย่างแม่นยำ
ได้ยินเสียงฝีเท้าที่อลหม่านมาแต่ไกล จากนั้นกระสุนที่ยิงมาราวกับฝนห่าใหญ่กระทบใส่เหล็กโลหะดังกระหึ่ม
หยูอันเปิดแสงสปอร์ตไลท์อีกครั้ง ครั้งนี้แค่สี่วินาทีก็ปิดลง “หายไปคนหนึ่ง กลุ่มคนกระจายตัวแล้ว ทางแปดนาฬิกามีคนหนึ่ง!”
เย่เซียวเล็งเป้าไปทางแปดนาฬิกา หยูอันกลับยิงไปทางสิบเอ็ดนาฬิกาอย่างแม่นยำ
หยูอันกับเย่เซียวเข้าคู่กันได้ดี ไปๆ มาๆ ท่ามกลางกระสุนที่ยิงมานับไม่ถ้วนก็จัดการไปหลายคน แต่แสงสปอร์ตไลท์ถูกคนยิงเข้าให้เกิดเสียงดังจนมันดับลง
เกิดความเงียบสนิท
สามคนอยู่ในรถไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังเพราะกลัวจะพลาดเสียงฝีเท้าสักคนไป
“ทางห้านาฬิกา!” เย่เซียวหันหลังยิงไปอีกนัด
“ทางสี่นาฬิกา!” หยูอันเองก็ยิงไปอีกนัด
แต่ไม่รอหยูอันหันกลับมามีกระสุนปืนที่ถูกยิงมาจากอีกฟาก รอเขาได้ยินเสียงฝีเท้าก็สายไปแล้ว
“หยูอัน ระวัง!”
ไป๋ซู่เย่กระโจนเข้าไปแทบไม่ต้องคิด ขณะที่กระโจนไปเธอยกปืนพกขึ้นยิงสองนัดไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกเกิดเสียง ‘ปึก–’ ก่อนที่ชายร่างบึกบึนคนหนึ่งจะล้มลงกับพื้น
กระสุนที่ยิงเข้ามาเสยผ่านหูของเธอจนเส้นผมเธอขาดสะบั้นไปหนึ่งจุก เธอไม่คิดจะเช็ดเลือดตรงติ่งหูพลางก้มถามหยูอันที่ถูกเธอผลักล้มข้างๆ แล้วแน่นิ่งไปครู่ใหญ่ว่า “คุณเป็นไงบ้าง? บาดเจ็บหรือเปล่า?”
หยูอันเงียบไปอึดใจ ได้แต่มองเธอนิ่งๆ
ในความมืดไป๋ซู่เย่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของเขา แค่ได้ยินเสียงหอบหายใจอย่างหนักอึ้งของเขา ไม่รู้ว่าเขามีอาการอย่างไรจึงถามไปอีกที “คุณเป็นยังไงบ้างกันแน่? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
เธอถามไปก็ยื่นมือไปลูบจับแขนของเขาไป
หยูอันรู้สึกแย่ขึ้นมาชั่วขณะ สิบปีก่อนภาพที่พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขประดังประเดมาในหัวเขาทำให้เขารู้สึกอิดออดหน่อยๆ
ฉะนั้น…
เมื่อกี้…เท่ากับว่าเธอได้ช่วยชีวิตตัวเองไว้แล้วครั้งหนึ่ง? ถ้ากระสุนนัดนั้นยิงพลาดสักนิดก็อาจจะโดนตัวเธอไปแล้ว แต่เธอกลับกระโจนตัวมาอย่างไม่ลังเล…
“ลูบซี้ซั้วอะไร?”ก่อนที่เขาจะตอบกลับไปมือของไป๋ซู่เย่ก็ถูกเย่เซียวตะครุบไว้ น้ำเสียงของเขาไม่สบอารมณ์นัก “เขาไม่ได้บาดเจ็บ!”
“งั้นก็ดี” ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เธอไม่อยากสร้างความเดือดร้อนแก่พวกเขาสองคน ยิ่งไม่หวังให้พวกเขาสองคนบาดเจ็บเพราะตัวเอง ต่อให้ตอนนี้จะสร้างความเดือดร้อนไปแล้วก็ตาม
“คุณล่ะ?” เย่เซียวเชยตามองเธอ ดวงตาของเขาล้ำลึกภายใต้แสงจันทร์ที่สะท้อนให้เห็น “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
ไป๋ซู่เย่จับหูตัวเองที พอสัมผัสโดนของเหลวและรู้สึกเจ็บเล็กน้อย “ไม่เป็นไร แค่เฉียดหูไปนิดเดียว ไม่เจ็บมาก”
เย่เซียวยังคงสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม “เรื่องช่วยชีวิตคนแบบนี้ ทีหลังไว้ให้เป็นหน้าที่ผมก็พอ!”
ไป๋ซู่เย่หัวเราะที“ให้คุณเป็นฮีโร่ได้คนเดียวหรือไง?”
“ใช่ แค่ผมเท่านั้น!” เย่เซียวหัวเราะไม่ออก เปิดกล่องปฐมพยาบาลโดยย้ายไปนั่งริมหน้าต่าง “มานี่ ให้ผมดูแผลของคุณหน่อย”
“ความจริงไม่เป็นไรจริงๆ” แม้ไป๋ซู่เย่จะว่าอย่างนั้นแต่ก็ไม่อยากสร้างความไม่พอใจแก่เย่เซียวเลยย้ายไปนั่งข้างเย่เซียวอย่างเชื่อฟัง
………………………
ตอนที่ 726 แสงแรกของเขา (1)
โดย
Ink Stone_Romance
“ความจริงไม่เป็นไรจริงๆ” แม้ไป๋ซู่เย่จะว่าอย่างนั้นแต่ก็ไม่อยากสร้างความไม่พอใจแก่เย่เซียวเลยย้ายไปนั่งข้างเย่เซียวอย่างเชื่อฟัง
เย่เซียวเปิดกล่องปฐมพยาบาลเพื่อทำแผลตรงหูให้เธอ เมื่อเทียบกับแผลตรงแขนแล้วแผลแค่นี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย แต่สีหน้าเย่เซียวกลับดูไม่ดีเหมือนเดิม
เพิ่งผ่านช่วงเวลาแห่งการต่อสู้เพื่อชีวิตรอด ตอนนี้ศัตรูทุกคนถูกจัดการหมดแล้ว ทั้งสามคนถึงได้ผ่อนคลายลงได้สักที
หยูอันนั่งบนพื้นพิงรถบ้านพลางหอบหายใจ สายตาจดจ่อที่ตัวหญิงสาวตรงริมหน้าต่างอยู่นาน เงียบไปพักใหญ่คล้ายอยากพูดบางอย่างแต่ก็ไม่พูด
เย่เซียวมองไปทางเขา
สายตาล้ำลึก ยิ่งดูเย็นชาภายใต้แสงจันทร์ “ดูอะไร?”
หยูอันได้สติกลับมาถึงรู้ว่าใครบางคนไม่พอใจกับสายตาที่มองเขม็งของตนอย่างชัดเจน เขารีบถอนสายตาจากตัวไป๋ซู่เย่แล้วอธิบาย “ท่านอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้คิดอย่างอื่น”
“เด็ดขาดหน่อย มีอะไรก็พูด อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ใช่นิสัยของแกนะ” เย่เซียวปิดกล่องปฐมพยาบาล
ไป๋ซู่เย่ฟังไม่เข้าใจ “พวกคุณสองคนคุยอะไรกัน?”
“ถามเขา” เย่เซียวแค่พยักพเยิดปลายคางไปทางหยูอัน
ไป๋ซู่เย่เลยมองไปทางหยูอันตามสายตาของเขา หยูอันเบี่ยงหน้าหนีด้วยความทำตัวไม่ถูก แล้วคว้าปืนลุกยืน “ผมจะออกไปดูสักหน่อยว่าพวกนั้นตายหมดหรือยัง”
เขายกปืนเดินไปที่ประตูรถบ้าน รอเดินถึงหน้าประตูนั้นกลับชะงักฝีเท้าและโพล่งออกมาหนึ่งคำ
“ขอบคุณ”
สองพยางค์ที่แข็งกระด้างและอิดออด
ไม่แม้แต่จะหันกลับมาด้วยซ้ำ สิ้นคำก็กระโดดลงจากรถไป
ไป๋ซู่เย่นิ่งไปชั่วขณะ สองพยางค์นั่นทำให้ใจเธอสั่นไหวไม่น้อย หยูอันเป็นคนแบบไหนเธอรู้ดี รักพวกพ้องจงรักภักดี เกลียดชังคดแค้น เรื่องเมื่อสิบปีก่อนเขายังจดจำฝังใจได้ขนาดไม่ยอมรับคำขอบคุณของเธอได้ง่ายๆ พอจะคิดได้ว่าคำเมื่อกี้นั้นต้องยากเพียงใดเมื่อต้องออกจากปากเขา
ขณะที่ตกอยู่ในห้วงความคิดหน้าต่างก็ถูกหยูอันเคาะจากข้างนอก เธอก้มมองไปอย่างสงสัยได้ยินเพียงหยูอันกล่าว “แต่มันคนละเรื่อง ขอบคุณไม่ได้หมายความว่าจะยกโทษให้!”
ไป๋ซู่เย่ยิ้มขมขื่นหนึ่งที
ความจริง…
เธอไม่เคยนึกถึงคำว่า ‘ยกโทษ’ เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
เย่เซียวที่อยู่ข้างๆ ก็สีหน้านิ่งลง แต่ไป๋ซู่เย่เดาใจเขาไม่ได้ เธอคิดว่าเย่เซียวต้องมีความคิดอย่างเดียวกับหยูอันเป็นแน่แท้ มาช่วยชีวิตเธอคืออีกเรื่อง แต่จะให้ยกโทษใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนั้นเชียว?
ระหว่างพวกเขาคั่นกลางด้วยความทรยศหักหลังของความรัก คือชีวิตยี่สิบห้าชีวิตของผู้คน…
แม้ไม่เคยคาดหวังใดๆ แต่ความคิดเจียมตัวนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกแย่อยู่บ้าง
“จะออกไปสูดอากาศอยู่ไหม?” เสียงเย่เซียวกระชากความคิดเธอกลับมา
ไป๋ซุ่เย่มองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน สุดท้ายทิ้งทุกความคิดอันวุ่นวายไปแล้วพยักหน้ารับ “พระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายสวยมาก คุ้มค่าที่จะดูสักครั้ง”
เอ่ยถึงพระอาทิตย์ขึ้น ราวกับว่าทั้งคู่หวนนึกถึงภาพที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขามู่เจี้ยพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สบตากันแวบหนึ่งด้วยแววตาที่แฝงด้วยห้วงอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาในวันนั้น ทั้งสิ้นหวังและอัดอั้นถึงเพียงนั้น…
เย่เซียวถึงขั้นพูดกระซิบหูเธอด้วยตัวเองว่าปล่อยเธอไป นั่นเท่ากับว่าหัวใจได้ปล่อยวางเธอไปแล้วสินะ!
พวกเขาในยามนั้นจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าสักวันนอกจากพวกเขาจะได้เจอกันอีก แต่ยังร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันภายใต้สถานการณ์แบบนี้?
“ถ้าคุณไม่ง่วง ก็ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน” เย่เซียวชิงพูดขึ้นก่อน
“นอนมาทั้งวัน ตอนนี้ฉันสดชื่นมาก”
ทั้งสองคนเดินตามกันลงจากรถบ้านไป รอบข้างคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด หยูอันค้นหากระบอกปืนและอาวุธอื่นจากตัวพวกเขามาโยนใส่รถเผื่อยามฉุกเฉิน
“แกไปนอนพักสักหน่อย ครึ่งค่อนคืนหลังฉันเฝ้าเอง” เย่เซียวกล่าวกับหยูอัน ขณะที่ดูแลเธอเมื่อครึ่งค่อนคืนก่อน มองใบหน้ายามหลับใหลของเธอเขาก็ได้พักสายตางีบไปครู่หนึ่ง
“ผมไม่เหนื่อย” หยูอันปฏิเสธ
“ตอนนี้เราต้องเก็บเรี่ยวแรงไว้ ไม่ใช่เวลาจะมาฝืน ขึ้นไป!” คำพูดเย่เซียวหนักแน่นห้ามปฏิเสธ
หยูอันชั่งใจเพียงครู่ สุดท้ายพยักหน้ายกปืนขึ้นรถไป
………………
ด้านนอก เงียบสงบ
ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงคลื่นลมที่พัดผ่านมา
ดวงจันทร์ประกบดาว ทะเลทรายที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด หากไม่ใช่เพราะพวกเขากำลังถูกไล่ฆ่าอยู่จนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปหรือไม่นั้น ภาพตรงหน้าช่างเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามเสียจนน่าเรียกให้คนมานั่งเชยชมดีๆ สักที
“เย่เซียว เราไปนั่งตรงนั้นสักพักเถอะ” ไป๋ซู่เย่ชี้ไปที่กองทรายไม่ใกล้ไม่ไกล ชิงวิ่งเหยาะๆ ไปตรงนั้นก่อนหนึ่งก้าว
เย่เซียวขมวดคิ้วทีหนึ่ง
ก้าวตามไปแล้วคว้าตัวเธอมาอยู่ใต้วงแขนเป็นการปกป้องอย่างอัตโนมัติ “ตามผมไว้ อย่าวิ่งเพ่นพ่าน!”
ใต้แสงจันทร์ สีหน้าของเขายังตึงเครียดไม่เปลี่ยนจากเดิม
ใบหน้าที่คงท่าทางเย็นชากับดวงตาที่จับตามองเธอไม่ห่าง
ไป๋ซู่เย่เงยหน้ามองเขา อยู่ๆ ก็หัวเราะเสียงเบาที รอยยิ้มของเธอเย้ายวนใจเล็กน้อยภายใต้แสงจันทร์ เขาสติหลุดไปชั่วขณะ “หัวเราะอะไร?”
“เย่เซียว คุณเครียดเกินไปแล้ว” ไป๋ซู่เย่ใช้นิ้วแตะแก้มที่เขาขบกรามแน่น “ผ่อนคลายหน่อย ความจริงฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่คุณคิด และไม่อยากเป็นภาระของคุณ”
เย่เซียวจ้องมองเธอนิ่ง
ไม่ผิด
เธอกล้าหาญมาก มีฝีมือที่ไม่เลว หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วไปที่พร้อมจะสิ้นชีพภายใต้สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายนี้ได้เสมอคงสติกระเจิดกระเจิงไปนานแล้ว ไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้
แต่ว่า…
ดันกลายเป็นว่าเธอกล้าหาญมากเท่าไร เก่งกาจมากเท่าไร ในสายตาของเย่เซียวกลับคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอจนต้องได้รับการปกป้องตลอดเวลา
อีกอย่าง ภาระ? เขาหวังให้เธอเป็นภาระของตัวเองเสียจริงๆ!
“เย่เซียว?” เห็นเขาไม่ตอบกลับตัวเอง ไป๋ซู่เย่จึงเผลอจับติ่งหูเขาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว “สติกลับมาได้แล้ว”
เย่เซียวถูกเธอขัดความคิด เขากระชากมือเธอลงมากุมไว้ “อย่าจับมั่วๆ!”
สามคำที่น้ำเสียงแข็งกระด้างและปนด้วยเสียงแหบที่ติดจะเซ็กซี่หน่อยๆ
จู่ๆ ไป๋ซู่เย่ก็รู้สึกขบขัน ผู้ชายคนนี้…ยังยั่วยวนง่ายเหมือนเดิม อืม ความจริงง่ายกว่าเมื่อสิบปีก่อนด้วย
สิบปีก่อนอาจเป็นเพราะเธอยังอายุน้อย เย่เซียวเลยควบคุมตัวเองได้ดีเสมอมา แต่สิบปีให้หลังต่างจากเดิมอย่างชัดเจน หลายครั้งที่เจอกันก่อนหน้านี้เธอเคยเห็นความบ้าคลั่งของเขามาก่อนแล้ว
แต่ว่า…
ต่อหน้าผู้หญิงอีกคน—ต่อหน้าคู่หมั้นของเขา เขาก็ถูกยั่วยวนได้ง่ายขนาดนี้หรือ?
นึกถึงเธอ ไป๋ซู่เย่ก็อารมณ์ดำดิ่งลงไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว
เย่เซียวคล้ายจะรู้สึกได้พลางหันกลับมามองเธอ “คิดอะไร?”
“…เปล่า ไม่ได้คิดอะไร” ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ จากนั้นกระชับมือเย่เซียว “ไปกันเถอะ เราไปกัน”
ในช่วงเวลานี้เธอจะคิดมากไม่ได้ วันพรุ่งนี้ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร จะเดินออกไปจากทะเลทรายแห่งนี้ได้หรือเปล่ายังไม่มีใครทราบได้ แล้วจะมัวมาคิดมาก คิดถึงคนและเรื่องราวนอกเหนือจากพวกเขาไปทำไม?
………………………
ตอนที่ 727 แสงแรกของเขา(2)
โดย
Ink Stone_Romance
บนผืนทราย ลมแรงยิ่งกว่า
ไป๋ซู่เย่สวมเสื้อกันหนาวของเย่เซียว ส่วนบนตัวเย่เซียวมีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวตัวเดียวและเผยลำแขนแข็งแกร่ง
เธอยื่นมือลูบจับแขนเขาสองที ตำแหน่งที่ลูบจับนั้นเย็นเฉียบ
“คุณใส่เสื้อดีกว่า ถ้าเป็นหวัดในที่แบบนี้ก็แย่แล้ว” ไป๋ซู่เย่ว่าแล้วถอดเสื้อกันหนาวของเย่เซียวที่อยู่บนตัวออก ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไร ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด
ครั้งนี้เย่เซียวกลับไม่ปฏิเสธอีกพลางสวมเสื้อกันหนาวทับข้างนอก ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ นานทีเขาจะเชื่อฟังแบบนี้
แต่วินาทีถัดไปกลับรู้สึกแรงโอบที่เอว
ไม่รอตั้งตัวทันเธอถูกเย่เซียวรั้งตัวเข้าไปโดยนั่งหันข้างลงบนหน้าขาแข็งแรงของเขา
เธอเชยตาขึ้นมองอย่างแปลกใจ
“เย่เซียว?”
เย่เซียวเปิดเสื้อออกกอดร่างที่ผอมบางของเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมอกด้วยกัน
ข้างนอกลมแรงแต่ถูกต้านไว้นอกเสื้อผ้า สิ่งที่แนบชิดเธอคืออกแกร่งทว่าอบอุ่นของชายหนุ่ม ไป๋ซู่เย่รู้สึกอุ่นวาบที่หัวใจ เธอไม่แม้แต่จะขัดขืนสักนิด แน่นอนว่า…
สถานการณ์แบบนี้เธอไม่มีโอกาสที่จะขัดขืนเลย
ยิ่งไปกว่านั้นกลับปล่อยให้ร่างกายโอนอ่อนของตัวเองพิงอกเขาตามใจตัวเอง
“ยังหนาวอยู่มั้ย?” เขาถามเสียงทุ้ม ดวงตาล้ำลึกทอดมองไปไกล
“…ไม่หนาว” เธอส่ายศีรษะ แขนที่ไม่ได้บาดเจ็บพาดอ้อมไปด้านหลังเอวของเขาแล้วกอดเอวเขาเงียบๆ
ร่างสูงตระหง่านของเย่เซียวเกร็งอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่นานก็กลับสู่สภาพเดิม
สายตาของเขาถึงค่อยๆ หันกลับมาจรดบนใบหน้าเธอ มือใหญ่ลูบไล้เอวเธอเบาๆ สองทีโดยขมวดคิ้ว “ทำไมผอมลงขนาดนี้?”
เขาไม่ถามยังดีพอถามไป๋ซู่เย่รู้สึกแสบจมูกขึ้นอย่างน่าแปลก–เธอไม่รู้ว่าตัวเองที่เดิมทีเข้มแข็งมาโดยตลอดคนนั้นทำไมสองวันนี้ถึงร้องไห้อย่างง่ายดายเช่นนั้น
“…ผอมเหรอ?” เธอถามเขาเสียงเบา ซุกหน้ากับอกเขา “ไม่หรอกมั้ง”
จะไม่ผอมได้อย่างไร? นับตั้งแต่ที่เธอกลับประเทศในวันที่เขาหมั้นหมายจนถึงวันนี้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอผ่านช่วงเวลานี้มาได้อย่างไร
รู้สึกสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทุกวี่ทุกวัน แต่ก็ต้องทำเป็นเข้มแข็งและมีสติยามอยู่ต่อหน้าคนนอกในทุกๆ วัน…
ชีวิตที่ต้องสวมหน้ากากทำเอาเธอแทบจะพังทลายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเธอถึงได้อาสามาที่แห่งนี้อย่างกล้าหาญทั้งที่รู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ความสุ่มเสี่ยง บางทีเธออาจจะมีสติบ้างยามเผชิญหน้ากับความตาย
เพียงแต่…
ระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เขา สบายดีไหม?
“เย่เซียว” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆ
“หืม?”
“เรามาคุยเล่นกันหน่อยเถอะ” สิบปีแล้ว สิบปีเต็มที่พวกเขาไม่เคยได้พูดคุยกันดีๆ สักครั้ง
เย่เซียวสะท้านเล็กน้อย รอเอ่ยปากอีกทีเสียงกลับนิ่งลงมากกว่าเดิม “คุณอยากคุยเรื่องอะไร?”
ไป๋ซู่เย่ปรับท่านั่งเล็กน้อยให้หลังตัวเองพิงอกเขาให้หลังศีรษะของเธอชิดหน้าอกของเขา สายตาเชยมองกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ไกลโพ้น “สิบปีนี้…คุณสบายดีมั้ย?”
เย่เซียวเงียบ
ลมหายใจเริ่มหนักอึ้ง
พักใหญ่จนเธอคิดว่าเขาคงจะไม่ตอบกลับแล้วนั้นเขากลับเอ่ยปากตอบ “ไม่ดี”
เป็นคำตอบที่อยู่ในความคาดหมายแต่พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ หน้าอกก็เจ็บแปลบอยู่ดี ไม่ได้รู้สึกดีเลย
เธอเงียบ
“คุณล่ะ?” เย่เซียวถามกลับกะทันหัน สายตาทอดมองไปที่ห่างไกลแล้วกล่าวต่อ “หลังกลับทีมทำภารกิจครั้งยิ่งใหญ่สำเร็จ กลายเป็นวีรสตรีของกระทรวงความมั่นคง เด็กผู้หญิงอายุสิบแปดแต่กลับปั่นหัวเย่เซียวที่กองทัพรัฐบาลมากมายทำอะไรไม่ได้ เป็นผู้นำกองทัพสำคัญที่แทบจะทำลายกำลังของเขาไปกว่าครึ่งในคืนเดียว สร้างชื่อเสียงที่เลื่องลือในเวทีนานาชาติภายในพริบตาแก่คุณ ผมคิดว่าหลายปีนี้คุณน่าจะสบายดีไม่น้อย”
ไป๋ซู่เย่ดวงตาฉายแววเศร้าชั่ววูบ
ความจริงตรงข้ามโดยสิ้นเชิง สิบปีนี้…เธอแทบจะมีชีวิตไม่รอด…
กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่างแต่เย่เซียวถอนสายตากลับมามองหัวศีรษะที่เธอกำลังก้มหน้าอยู่ อยู่ๆ ก็ถาม “เคยมีแฟนมากี่คน?”
“…หืม?” เปลี่ยนเรื่องเร็วเกินไปจนไป๋ซู่เย่ไม่ทันตั้งตัว
เย่เซียวหันตัวเธอกลับมา หรี่ตามองเธอ “สามคน? ห้าคน? หรือว่าแปดคน?”
“แปดคน? เยอะเกินไปหรือเปล่า”
“แล้วกี่คน?” เย่เซียวถาม จบคำสีหน้าก็ผ่อนคลายลงกว่าเดิม “ก็คือคนสกุลยวิ๋นคราวก่อน?”
“เขาไม่ใช่แฟนของฉัน”
“คู่หมั้น?” สีหน้าของเขาเรียบนิ่งขึ้นเล็กน้อย
นี่เธอเป็นคนบอกเอง
“ก็ไม่ใช่”
“แล้วเป็นอะไร?”
“ก็แค่เพื่อนธรรมดา ที่คนในครอบครัวฉันค่อนข้างชอบเขาเท่านั้นเอง”
ประโยคของเธอทำให้สีหน้าเย่เซียวผ่อนคลายลงบ้าง “ฉะนั้น…คุณไม่เคยมีแฟน?”
“…” ไป๋ซู่เย่กลับเป็นฝ่ายเงียบ
สีหน้าเย่เซียวที่เพิ่งผ่อนคลายลงเริ่มเกร็งแน่นอีกครั้ง สายตาเฉียบคม “กี่คน?”
ภายใต้สายตาที่แข็งกร้าวปนบีบบังคับของเขา ไป๋ซู่เย่ชูสองนิ้วขึ้นช้าๆ
บอกตามตรงว่าเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นถือว่าเป็นแฟนหนุ่มหรือไม่
เมื่อนั้นเธอที่เพิ่งกลับมาในประเทศมัวแต่นึกถึงผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ควรนึกถึงอย่างบ้าคลั่ง ฝันถึงเขา หลังตื่นมาก็เป็นเขาเหมือนเดิม แต่ผู้ชายคนนั้นห่างไกลเหลือเกิน ถึงขั้นไม่มีวันสัมผัสเขาได้อีกตลอดชีวิต เธอในเมื่อนั้นราวกับปลาที่ถูกทอดทิ้งอยู่กลางทะเลทราย ดิ้นรนกระเสือกกระสน คิดหาวิธีที่สามารถทำให้เธอหลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมที่เจ็บปวดทรมานนี้
จิตแพทย์สอนวิธีหนึ่งแก่เธอว่า ‘เบี่ยงเบนความสนใจ’ แค่หลงรักผู้ชายคนใหม่ เข้าสู่ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เธอจะสามารถลืมความรักที่รักแต่ไม่อาจเอื้อมนั้นได้อย่างรวดเร็ว
เธอพยายามเปิดใจรับผู้ชายที่ตามจีบเธอเป็นคนแรก แต่หลังหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปเธอก็ถอดใจ ความสัมพันธ์ครั้งที่สองเองก็เกิดขึ้นภายในเวลาอันสั้น จบด้วยการนอนหลับเพียงลำพัง
ความสัมพันธ์สองครั้งที่ไม่มีการลงเอยใดๆ—หากนับว่าเป็นความรักล่ะก็ การที่ไม่สามารถทำให้เธอหลุดพ้นจากอดีตยิ่งเป็นการตอกย้ำเธออย่างสิ้นหวังว่าผู้ชายคนนั้นได้ฝังรากลึกลงในหัวใจของเธอ เกิดต้นกล้าที่เติบโตเลื้อยพันตามอวัยวะภายในของเธอ เป็นเถาวัลย์ที่ล้อมพันหัวใจของเธอ
อยากลืม คาดว่าคงต้องเป็นชาติหน้า ต่อให้เธอปฏิเสธความจริงที่แสนน่ากลัวนี้อยู่นานทีเดียวก็ตาม
เย่เซียวแค่นหัวเราะเสียงเย็นและจับนิ้วมือของเธอให้ฝังลงฝ่ามือ ดวงตาอันตรายไล่ต้อนเธอ “อย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด สิบปีนี้รัฐมนตรีไป๋ใช้ชีวิตดีตามที่ผมคิดไว้เลย”
“คุณเองก็มีแฟนสาวเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” ไป๋ซู่เย่พยายามให้น้ำเสียงตัวเองฟังดูผ่อนคลายบ้าง “ไม่พูดถึงเรื่องอื่น พูดถึงคู่หมั้นของคุณ…ฉันอยู่ที่ประเทศ S ยังรู้เลยว่าช่วงก่อนหน้างานหมั้นของพวกคุณยิ่งใหญ่มาก คนทั้งเมืองยังแสดงความยินดีกับพวกคุณ…”
พูดถึงนี่อยู่ๆ ไป๋ซู่เย่ก็พูดต่อไม่ได้
เธอมองเย่เซียวแวบหนึ่ง ท่าทีสบายที่เสแสร้งของตัวเองช่างกินแรงเหลือเกิน
ใจปวดหนึบ
“ฉันอยากนอนแล้ว ไม่ดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วกัน…” เธอแสร้งหาววอดอย่างเกียจคร้านแต่เสียงกลับเศร้าอย่างที่เศร้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
………………………
ตอนที่ 728 แสงแรกของเขา(3)
โดย
Ink Stone_Romance
ไม่รอเย่เซียวพูดอะไรเธอลุกขึ้นหมายจะออกไปจากอ้อมกอดของเขา แต่ถูกเย่เซียวรั้งเอวไว้ไม่ให้ขยับตัว
เธอก้มมองเขา เขาจับปลายคางเธอแล้วประกบจูบเธอทันที
เธอครางเสียงฮึมในลำคอทีหนึ่ง…
ปลายลิ้นนุ่มชื้นของเขาไล้เลียไปตามกลีบปากเธอเบาๆ
เธอถูกเขาหยอกเย้าจนตัวสั่นไม่หยุดและเผลอโอบลำคอเขาโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเพียงเสียงแหบของเขากล่าวเสียงต่ำว่า “ผมได้รสชาติเปรี้ยวๆ ล่ะ…คุณหึงเหรอ?”
ประโยคท้ายพูดโดยมองตาเธอไปด้วย ทำให้ทุกหยาดอารมณ์ของเธอหมดหนทางที่จะซุกซ่อน
อีกทั้งเป็นประโยคคำถามที่เป็นประโยคบอกเล่ามากกว่า
ไป๋ซู่เย่มองเขา “คุณ…เป็นคนหึงก่อนหรือเปล่า?”
สิ่งที่ตอบเธอกลับเป็นจูบดูดดื่มของเย่เซียว
ทั้งคู่คล้ายลืมสิ้นทุกอย่างไปชั่วขณะ ปล่อยวางทุกอย่างเหลือเพียงกอดกันอย่างแนบแน่นและจูบอีกฝ่ายอย่างร้อนแรงปนใจร้อน
จูบนี้ดำเนินอยู่ยาวนาน
คล้ายจะเอาจูบที่ติดค้างไว้สิบปีนี้กลับมาในครั้งเดียว
แล้วคล้ายต้องการจูบให้ความหึงหวงที่ผุดขึ้นมาในใจของอีกฝ่ายดับมอด ให้หมดไป…
“พอแล้ว…” สุดท้ายเย่เซียวเป็นฝ่ายผละออกจากปากของเธอก่อน เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของเขามีความเจ็บปวดที่พยายามอดกลั้นอารมณ์บางอย่าง
ไป๋ซู่เย่รู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าเบื้องล่างของเขาเกิดปฏิกิริยารุนแรงมาก แต่ที่นี่ ณ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำเรื่องนี้จริงๆ
“ฉัน…ลุกขึ้นก่อน?” ไป๋ซู่เย่ว่าแล้วจะลุกขึ้น
ถูกเย่เซียวกดตัวลงทีเดิมอีกครั้ง “อย่าขยับตัว…”
ไป๋ซู่เย่เลยอยู่นิ่งๆ เธอพิงหน้าอกของเย่เซียวทั้งที่ลมหายใจหอบหนักเช่นกัน รู้สึกได้ว่าเขากำลังพยายามปรับอารมณ์ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างสุดความสามารถ
ผ่านไปสักพัก…
ลมหายใจของเขาคงที่มากกว่าเดิม
ไป๋ซู่เย่ถามเขา“คุณตามหาคุณแม่ของคุณเจอแล้วเหรอ?”
“อืม พ่อบุญธรรมของผมตามหาท่านเจอก่อนผมหนึ่งก้าว แม้ว่าตอนนี้เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่ถือได้ว่าท่านกำลังถูกพ่อบุญธรรมของผมกักตัวทางอ้อม”
“คุณไม่เคยคิดจะพาท่านหนีไปเหรอ?”
“พาท่านไป? พาไปไหน?” เย่เซียวกอดเธอโดยที่ทอดสายตามองไปที่ไกลและมีความรู้สึกที่ยากจะเอื้อนเอ่ย “ตลอดชีวิตของแม่ผมฝ่าฝันเรื่องราวมามากนัก ถูกคนทรมานมาตลอดชีวิต ท่านเจอเรื่องการจากลาจนกลัวขึ้นใจ ตอนนี้อยู่กับพ่อบุญธรรมผม มีพ่อบุญธรรมผมคอยคุ้มกันอยู่กลับกลายเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง อย่างน้อยไม่มีใครกล้าวางแผนอะไรกับท่าน ถึงพ่อบุญธรรมผมจะกักตัวอย่างอ้อมๆ ก็เป็นการปกป้องแบบหนึ่ง”
ไป๋ซู่เย่นึกถึงคราวก่อนที่ไฟเรนเซ่ใช้มารดาเขามาขู่เข็ญตน บัดนี้ถือว่าเย่เซียวได้กลับมาพบกับตน ไฟเรนเซ่รู้เรื่องไหม?
“คิดอะไรอยู่?” เย่เซียวไม่ได้ยินเสียงเธอเลยก้มมองเธอ
“กำลังคิดถึงพ่อของคุณ งั้นคุณตามหาพ่อของคุณเจอหรือยัง?”
เอ่ยถึงเรื่องนี้สีหน้าเย่เซียวกลับเย็นชาในฉับพลันจนหนาวเข้ากระดูก ไม่มีสีหน้าอ่อนโยนปนอบอุ่นดั่งที่กล่าวถึงมารดาของเขาเมื่อสักครู่
“เจอตั้งแต่แปดปีก่อนแล้ว”
“งั้นตอนนี้เขา…”
“ตายแล้ว!” สองพยางค์ที่เขาพูดเล็ดลอดไรฟัน
“?” ไป๋ซู่เย่แหงนหน้ามองสีหน้าที่เย็นชาของเขาอย่างไม่เข้าใจ
ดวงตาเย่เซียวประสานกับของเธอ “ผมเป็นคนฆ่าเขาเอง”
ใจของเธอกระตุกวูบ ลมหายใจหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม “เขา…คุณ…”
“ปีนั้นเขาเอง—เขาที่เป็นสามีและพ่อคน กลับขายแม่ของผมที่กำลังออกไปหาเงินเพื่อรักษาอาการป่วยของผมให้ไปอยู่ที่ชนบทในป่าในเขาเพื่อเงินพนันพันหยวน บนภูเขายากจนและลำบากอย่างมาก ไม่มีหญิงสาวคนไหนยอมแต่งงานไปอยู่ที่นั่น ฉะนั้นเลยมีแต่ผู้ชายโสดนับสิบคน ส่วนแม่ของผม…”
เย่เซียวพูดถึงนี่ก็สูดหายใจเข้าอย่างเจ็บปวดราวกับทำใจได้แล้วถึงพูดต่อ“เขามองแม่ของผมถูก…คนพวกนั้นย่ำยีอย่างไม่สนใจใยดี!ตลอดสิบวัน แม่ผมไม่มีแรงขัดขืน จะตายก็ตายไม่ได้…เพราะคนสารเลวนั่นขู่เธอว่าถ้ากล้าฆ่าตัวตาย ต่อให้ผมจะป่วยตายก็ไม่มีวันสนใจผมอีก”
“หลังจากนั้น…ท่านถูกเขาขายเป็นทอดๆ เหมือนสินค้าอย่างหนึ่ง…”
พูดถึงเรื่องพวกนี้เย่เซียวตัวสั่นอย่างรุนแรง ดวงตาแดงก่ำ
ไป๋ซู่เย่รู้ว่าภายในใจเขากำลังสะกดกลั้นความเจ็บปวดไว้มากเพียงใด ผู้ชายคนนั้นเป็นถึงบิดาของเขา!ทุกคนล้วนมีหัวใจที่นับถือเคารพและชื่นชมบิดาตัวเอง แต่ผู้ชายคนนั้น เหลือไว้เพียงการทำร้ายและสะเทือนใจที่ไม่อาจลบเลือนแก่เย่เซียว
เธอปวดใจแทบตาย แยกขาออกคุกเข่ากับพื้นทรายใช้สองมือกอดเขาแน่นให้ใบหน้าเขาแนบอกตัวเอง
ลูบหลังเขาเป็นเชิงปลอบเบาๆ “ไม่ต้องพูดแล้ว…มันผ่านไปแล้ว เย่เซียว ทุกอย่างผ่านไปแล้ว…”
เย่เซียวไม่ได้พูดอะไรแค่กอดเธอไว้แน่น
ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความมืดมน สิ้นหวัง กดดัน เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในหุบเหวที่ไม่มีวันได้เห็นแสงอาทิตย์
มีเพียงเธออยู่…
เธอเป็นดั่งแสงแรกที่ปรากฏในชีวิตของเขา และเป็นแสงแรกเพียงหนึ่งเดียว…
แต่แสงนี้จะอยู่ในชีวิตเขานานเท่าไรเขากลับไม่สามารถมั่นใจได้ แสงเป็นสิ่งที่ไม่อาจคว้าจับได้อยู่แล้ว ต่อให้ตัวเองจะพยายามมากขนาดไหน ต้องการมากเพียงใด
คิดแบบนี้หน้าอกเย่เซียวก็ยิ่งเจ็บอย่างทวีคูณ ได้แต่กอดกระชับตัวเธอไว้แน่นแล้วเงยหน้าขึ้นใช้ปากคลำหาปากของเธอ
ไป๋ซู่เย่รู้สึกถึงใจที่อยู่ไม่นิ่งของเขา ความเจ็บปวดของเขา การปลอบประโลมที่เขาต้องการ เธอโน้มหน้ายื่นปากไปหาด้วยตัวเอง
หากตนสามารถปลอบเขาได้แม้เพียงนิด ให้เธอทำอะไรเธอก็ยอม
…………………………
แสงอาทิตย์พ้นจากขอบฟ้าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ชั่วขณะที่สาดแสงปกคลุมผืนดินทะเลทรายจนกลายเป็นสีทองอร่ามนั้น ไป๋ซู่เย่หาววอดค่อยๆ ลืมตาขึ้น
พระอาทิตย์ขึ้นสวยงามมาก เย่เซียวกลับกำลังมองเธอ
สายตาคู่นั้นที่ไม่ทันถอนกลับ มองจนเธอเผลอใจเต้นไม่เป็นจังหวะพลางถามเสียงต่ำ “ทำไมไม่ปลุกฉัน?”
“ดูตอนนี้ก็เหมือนกัน”
ทีนี้เขาถึงละสายตาไปมองผืนทรายที่ปกคลุมด้วยแสงสีทองของพระอาทิตย์ที่ห่างไกลออกไป
ไป๋ซู่เย่จัดผมเผ้า ซบศีรษะที่ลาดไหล่เขาเบาๆ
คันตรงหลังคอหน่อยๆ เธอเอื้อมแขนไปเกาสองที น่าจะถูกแมลงในทะเลทรายกัดซึ่งเธอไม่ได้เก็บมาคิดมาก
“เย่เซียว…”
“หืม?”
“สมมติ ฉันบอกว่าสมมติน่ะนะ…” ไป๋ซู่เย่หรี่ตามองแสงสีทองตรงหน้า “ถ้าเกิดว่าวันนี้คุณกับฉันตายอยู่ที่นี่…คุณจะเสียใจทีหลังมั้ย?”
เย่เซียวเบนหน้าหันมามองเธอด้วยแววตาล้ำลึก “ผมไม่มีวันให้คุณตาย”
ประโยคสั้นๆ ไม่กี่พยางค์กลับเต็มไปด้วยพลังที่ไม่เปิดโอกาสให้ได้สงสัย
ไป๋ซู่เย่หัวเราะที ผู้ชายคนนี้ ทุกคำที่พูดจากปากล้วนทำให้คนเชื่อถือได้อย่างง่ายดาย ต่อให้พวกเขาในตอนนี้จะหมดสิ้นเสบียงอาหาร เธอก็เชื่อเขา!
แต่ทันใดนั้นเอง…
“พึ่บพึ่บพึ่บ–” เสียงดังขึ้นอย่างฉับพลัน
เธอลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ แหงนหน้า “เฮลิคอปเตอร์!”
อีกทั้งไม่ใช่แค่ลำเดียว!
บนพื้นระนาบเดียวกันยังมีรถถังที่ขับเคลื่อนมาทางนี้อย่างโอ่อ่า
หยูอันพุ่งตัวลงมาจากรถบ้านโดยที่แบกปืนอยู่ “นายท่าน สารเลวพวกนั้นมาอีกแล้ว!”
มองดูสถานการณ์นี้ ไป๋ซู่เย่ใจหายวาบแล้วใจหายวาบอีก
………………………
ตอนที่ 729 แสงแรกของเขา(4)
โดย
Ink Stone_Romance
มองดูสถานการณ์นี้ ไป๋ซู่เย่ใจหายวาบแล้วใจหายวาบอีก
กลุ่มคนเมื่อคืนกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับกลุ่มคนตรงหน้า
เธอเผลอหันไปมองเย่เซียวแวบหนึ่งแต่เทียบกับความตื่นตระหนกของเธอกับหยูอันแล้ว เย่เซียวกลับมีท่าทีเรียบนิ่งไม่ร้อนใจใดๆ
เฮลิคอปเตอร์ลงจอดอย่างโอ่อ่าจนเกิดพายุฝุ่นทรายขึ้นระลอกหนึ่ง ไป๋ซู่เย่ยกแขนบังตาอัตโนมัติ
คนแรกที่กระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ทำให้หยูอันผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที
“คุณชายถัง!”
“หยูอัน ปืนกระบอกนี้ของนายคิดจะเอามายิงฉันเหรอ?” ถังเจวี๋ยเลิกคิ้วสวยอย่างเย้ายวน คนคนนี้อยู่ในชุดลายทหารขนาดรูปร่างพอๆ กับเย่เซียว แต่หน้าตากลับงดงามยิ่งกว่าผู้หญิง กลอกดวงตาวาววับ
หยูอันรีบเก็บปืน “เข้าใจผิดครับคุณชายถัง”
เย่เซียวย่างกรายเข้าไปหาผู้บุกรุก ถังเจวี๋ยกางแขนออกแต่ไกลแล้วกอดเย่เซียวเต็มอกด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ได้เจอกันนาน!”
“คิดว่าตอนกลับมาอาจจะต้องเก็บศพนาย” ถังเจวี๋ยยิ้มทุบอกเย่เซียวที “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้บาดเจ็บ ฉันน่าจะมาทันเวลา”
ไป๋ซู่เย่ใจวูบโหวง เผลอก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วถามเสียงเบา “เย่เซียว คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
กระสุนปืนที่ฝังอยู่ในหัวใจของเขาเหมือนระเบิดเวลาลูกหนึ่ง ไป๋ซู่เย่คอยนึกถึงอยู่เสมอ
“สบายใจได้ ผมไม่เป็นไร” เย่เซียวส่ายศีรษะ เห็นสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไรของเขาแล้วไป๋ซู่เย่ถึงค่อยสบายใจขึ้นบ้าง
ถังเจวี๋ยปรายสายตามาทางไป๋ซู่เย่กวาดตามองประเมินเธอทีหนึ่ง ดวงตาทรงอัลมอนด์ยิ้มได้มีเสน่ห์มาก “สาวสวยคนนี้ ต้องเป็นสาวสวยที่ทำเย่เซียวไม่เป็นผู้เป็นคนเมื่อสิบปีก่อนแน่ๆ ใช่มั้ย?”
“ถังเจวี๋ย นายพูดมากไปหน่อยนะ”
ไป๋ซู่เย่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ถังเจวี๋ยหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ไม่แนะนำหน่อยเหรอ?”
เย่เซียวพยักพเยิดปลายคางไปทางถังเจวี๋ย “ลูกพี่ลูกน้องของถังซ่ง ถังเจวี๋ย”
ไป๋ซู่เย่พยักหน้ายิ้มอมยิ้มให้เขา ถังเจวี๋ย เธอไม่เคยทำความรู้จักกันจริงๆ มาก่อนและไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่เธอค่อนข้างรู้จักกันดีกับคนตระกูลถังพอสมควร ตระกูลถังเองก็เป็นกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ได้อยู่ภายใต้หน่วยงานรัฐบาล คนของตระกูลถังเป็นอัจฉริยะกันแทบทุกคน ถังซ่งเป็นอัจฉริยะด้านการแพทย์ ส่วนถังเจวี๋ยเป็นอัจฉริยะด้านการสร้างอาวุธ ได้ยินว่าตระกูลถังมีตัวแบบอาวุธใหม่มากมาย ไม่รู้ว่าตั้งกี่ประเทศที่ส่งสายลับมาสืบหาตัวแบบอาวุธเหล่านี้ แต่ไม่มีใครจบด้วยดีสักคน
ถังเจวี๋ยเป็นคนลึกลับมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ไป๋ซู่เย่ได้รู้หน้าค่าตาของเขาอย่างแท้จริง
ดูดีเหลือเกิน
ดูดีมีเสน่ห์เกินไป นอกจากจะไม่ให้ความรู้สึกรุกล้ำที่รุนแรงแล้วแถมยังคล้ายตัวปีศาจที่คอยหลอกล่อปุถุชน
ผู้ชายแบบนี้หากไม่ได้รู้จักอย่างถ่องแท้ ใครจะรู้ว่าเขาจะเป็นตัวอินทรีย์ที่ยากจะกัดกินกระดูกบนผืนทะเลทรายซ่าเหยียนแห่งนี้
“ไป๋ซู่เย่” เย่เซียวผายมือมาทางเธอ
“เป็นเกียรติของผมที่ได้รู้จักกับสาวสวย” ถังเจวี๋ยจับมือเธอขึ้นมาหมายจะประทับจูบเป็นการทักทาย เย่เซียวขวางห้ามไว้กลางคันด้วยใบหน้าเย็นชา กระชากมือเธอกลับจากการกอบกุมของถังเจวี๋ยมากุมไว้แน่นแล้วสองตาก็ถลึงใส่ถังเจวี๋ย
ถังเจวี๋ยระเบิดเสียงหัวเราะ“เย่เซียว เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกว่านายจะใจแคบขนาดนี้มาก่อนเลยนะ”
ไป๋ซู่เย่ถือว่ามองทะลุปรุโปร่งแล้วว่าถังเจวี๋ยกับถังซ่งเกรงว่าจะเป็นคนประเภทเดียวกันที่กระตือรือร้นเรื่องผู้หญิงเป็นพิเศษ
“ไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่า” เย่เซียวบอกกับถังเจวี๋ย “บนแขนเธอมีแผล ต้องเปลี่ยนยา”
“อือฮึ ขึ้นเครื่องเลย”
พวกเขากระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตามๆ กันโดยไม่รอช้า
เฮลิคอปเตอร์ทะยานสู่ท้องฟ้า ไป๋ซู่เย่ก้มมองผืนทะเลทรายสีทองด้านใต้และรู้ว่าบัดนี้พวกเขาปลอดภัยอย่างแท้จริงแล้วถึงรู้สึกผ่อนคลายลงสักที
เธอนั่งอยู่ข้างเย่เซียว ไม่รู้ว่าเพราะเสียงใบพัดที่ดังเกินไปหรืออยู่ในทะเลทรายนานเกินไปจนเธอล้าไปทั้งตัว ดังนั้นรอไม่นานก็อิงไหล่เย่เซียวผล็อยหลับไปอย่างสะลึมสะลือเพราะความเหนื่อยอ่อน
เย่เซียวหันตัวน้อยๆ พลางก้มหน้ามองเธอ ปลายนิ้วเรียวที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนทัดผมเธอที่ปรกลงมาไว้หลังหู จ้องมองใบหน้าดวงเล็กเปื้อนฝุ่นนั่น สีหน้าอ่อนโยนขึ้นมากในพริบตา
ถังเจวี๋ยนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ มองจากกระจกหน้าก็สามารถเห็นสีหน้าในเวลานี้ของเย่เซียวได้อย่างชัดเจน
“เอ๊ะ ฉันว่านะ นายมองผู้หญิงคนอื่นด้วยแววตาลึกซึ้งแบบนี้ แถมยังยอมเสี่ยงชีวิตมาช่วยเธอ กลับไปนายจะรายงานกับคู่หมั้นตัวน้อยที่เพิ่งหมั้นกับนายยังไง?” ถังเจวี๋ยหัวเราะถาม
เย่เซียวไม่สนใจเขา แค่ถอนสายตาจากใบหน้าของไป๋ซู่เย่ไปยังนอกตัวเครื่องห่างไกลออกไป ถังเจวี๋ยเองก็ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เขาปรับสีหน้าให้จริงจัง “เย่เซียว มีบางเรื่องนายต้องคิดให้ดีนะ ถ้าพ่อบุญธรรมของนายรู้ว่านายวิ่งแจ้นมาที่นี่เพื่อคนที่เคยหักหลังมาก่อนอย่างไม่คิดชีวิต คิดว่าน่าจะโกรธน่าดู”
“พอแล้ว ฉันรู้อยู่แก่ใจดี”
“เรื่องที่ฉันเคยคุยกับนายเมื่อก่อน นายคิดว่ายังไงบ้างแล้ว?” ถังเจวี๋ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ถ้านายร่วมงานกับฉัน แทนที่ไฟเรนเซ่ หลังจากนั้นนายอยากแต่งงานกับใครก็ได้”
“ถังเจวี๋ย ถ้าเป็นเพื่อนกัน ห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก!” เย่เซียวหันหน้ามาขณะที่สีหน้าเย็นชากว่าเดิมนัก ให้เขาทำเรื่องที่ผิดศีลธรรม ไม่มีทาง!
“OK!นายว่ายังไงก็อย่างนั้น แต่ว่าหนี้ที่ตาแก่ไฟเรนเซ่ติดค้างฉันไว้ สักวันฉันจะทวงกลับมาให้ได้!” พูดถึงนี่ใบหน้าดูดีของถังเจวี๋ยเองก็ปกคลุมด้วยความนิ่งขรึมชั้นบางๆ
…………………………
ไป๋ซู่เย่หลับสนิท
รอตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว เธอลืมตาขึ้น ในตาเป็นเพดานที่ไม่คุ้นเคย เฟอร์นิเจอร์บ้านที่ไม่คุ้นตา สภาพแวดล้อมที่แปลกตา
เห็นได้ชัดว่าผ่านการอาบน้ำมาแล้วเพราะร่างกายที่แต่เดิมเต็มไปด้วยฝุ่นทรายขณะนี้กลับสดชื่นสะอาดและสบาย ชุดลายทหารบนตัวถูกถอดทิ้งสวมด้วยชุดนอนสีขาว
นี่มันที่ไหนกัน? เย่เซียวล่ะ? แล้วใครเป็นคนอาบน้ำให้ตน?
อีกทั้งยังอยู่ในสภาพที่เธอไม่รู้สึกตัวใดๆ
ทำไมเธอถึงหลับลึกขนาดนี้? หากเป็นปกติของการตื่นตัวของเธอ มีใครเคลื่อนย้ายตัวเองสักนิดเธอจะรู้สึกตัวทันที
ผิดปกติอย่างมาก
เธอมุ่นคิ้วยันตัวหมายจะลุกขึ้น แต่เพิ่งรู้สึกว่าวิงเวียนศีรษะอย่างแรงและบนแขนที่ยังปักด้วยเข็มอยู่
ลำคอเธอแห้งผาก
เผลอจับหน้าผากทีหนึ่งถึงรู้ว่าตัวเองไข้ขึ้นเสียได้
“คุณไป๋ ตื่นแล้วหรือคะ?”
ประตูห้องถูกเปิดจากข้างนอก สาวรับใช้ยกถ้วยโจ๊กจืดจางเข้ามา “คุณไม่ได้ดื่มอะไรมาหนึ่งวันเต็มแล้ว คุณหมอบอกว่ารอคุณตื่นก็ให้ทานโจ๊กรองท้องก่อน”
ไป๋ซู่เย่ยันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง “ฉันเป็นไข้ได้ยังไง?”
“แผลตรงแขนของคุณอักเสบเลยทำให้ไข้ขึ้น แต่คุณหมอบอกว่ารอฉีดยานี้เสร็จ ไข้ก็จะลด”
ไป๋ซู่เย่ถอดชุดนอนออกมองปากแผลตรงแขนของตัวเอง ถูกทำแผลใหม่จริงๆ ด้วย
“ที่นี่คือ?”
“เป็นฐานบัญชาการหลักของนายท่านถัง คุณวางใจได้ ที่นี่ปลอดภัยมาก ในทะเลทรายซ่าเหยียนนี้ไม่มีใครไม่เคารพนายท่านของเรา” ใบหน้าสาวรับใช้ตัวน้อยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจยามเอ่ยถึงนายท่านของตน
…………………………
ตอนที่ 730 คุณสำคัญกว่าชีวิต (1)
โดย
Ink Stone_Romance
“แล้วเย่เซียวล่ะ?”
“ตอนนี้คุณเย่เซียวกับคุณหยูอันกำลังพักผ่อนอยู่ นายท่านบอกว่าพวกเขาเหนื่อยล้าเกินไป ห้ามเราไปรบกวน”
ไป๋ซู่เย่ถึงพยักหน้ารับและโล่งอกไปที เมื่อคืนที่ทะเลทรายเย่เซียวไม่ได้นอนทั้งคืน แล้วยังเพ่งสมาธิอยู่เป็นเวลานาน ไม่เหนื่อยสิแปลก
“คุณเอาโจ๊กมาให้ฉันเถอะ ฉันจะทานสักคำสองคำ”
“ได้ค่ะ”
คนรับใช้กางโต๊ะบนเตียงออกแล้ววางถ้วยโจ๊กลงไป
“คุณไป๋ เมื่อกี้ตอนที่ฉันอาบน้ำให้คุณ เห็นตุ่มแดงๆ ขึ้นตรงหลังคอของคุณ น่าจะถูกแมลงที่ทะเลทรายกัดเข้า คุณจะให้ฉันหายามาประคบให้หน่อยมั้ย?”
ไป๋ซู่เย่เผลอลูบจับหลังคอทีอย่างไม่รู้ตัว เดิมทีตรงนั้นคันหน่อยๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เธอส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
“ถ้างั้นก็ดีแล้วค่ะ”
“อ้อ ที่นี่ปิดกั้นสัญญาณมั้ย? ฉันอยากโทรศัพท์สักหน่อย”
“คุณรอสักครู่นะคะ” สาวรับใช้หมุนตัวไปเอาโทรศัพท์ไร้สายมา ไป๋ซู่เย่กล่าวคำขอบคุณทีแล้วโทรศัพท์ไปที่กระทรวงความมั่นคงโดยตรง คนที่รับสายคือปลัดกระทรวง พอได้ยินเสียงของเธอเจ้าตัวก็ถอนหายใจยาว
“คนของเราไปถึงนอกเขตทะเลทรายซ่าเหยียนแล้ว ไม่คิดว่าคุณจะปลอดภัยแล้ว”
“คุณให้คนถอยกลับไปเถอะ อย่าเข้ามาในทะเลทรายจะได้ไม่เกิดความเสียหายโดยไม่จำเป็น ตอนนี้ฉันปลอดภัยดี เดี๋ยวจะออกไปจากทะเลทรายแล้ว”
“ตอนนี้คุณอยู่ไหน?” ปลัดกระทรวงไล่ถามต่อ
“ฉัน…” ไป๋ซู่เย่ไม่อยากพูดถึงเย่เซียว กล่าวเพียง “ฉันเจอคนตระกูลถัง ตอนนี้น่าจะอยู่ในฐานของถังเจวี๋ย”
“ถังเจวี๋ย?” ปลัดกระทรวงเงียบไป ถังเจวี๋ยเองก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เขาไม่คิดว่าคนที่เป็นผู้นำกลุ่มที่ไม่ใช่รัฐบาลอย่างอีกคนจะยอมช่วยคนของรัฐบาลประเทศ S
“ปลัดคะ ตัวประกันปลอดภัยดีใช่มั้ย?”
“เรื่องนี้คุณสบายใจได้ ตอนนี้ตัวประกันถูกส่งตัวกลับประเทศหมดแล้ว ปลอดภัยดี”
ไป๋ซู่เย่ถึงรู้สึกเบาใจลง “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ตอนนี้สุขภาพของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจจะต้องพักฟื้นที่นี่สักสองวันถึงจะกลับประเทศได้”
“ไม่รีบ แค่คุณปลอดภัย อะไรก็ดี!”
อาจเป็นเพราะพิษไข้ ไป๋ซู่เย่รู้สึกอ่อนล้าเลยวางสายไปโดยไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น ทานโจ๊กเสร็จถามคนรับใช้ว่า “เย่เซียวพักอยู่ห้องไหนเหรอ?”
“อยู่ห้องทางขวามือของห้องคุณนี่เองค่ะ”
ไป๋ซู่เย่ได้ยินเธอว่าเช่นนั้นเลยหันไปมองกำแพงทางขวามือราวกับพอรู้ว่าเขาอยู่ใกล้ตัวเองขนาดนี้ ใจก็สงบลงอย่างมาก
เพียงแต่…
รอไปจากที่แห่งนี้ ระหว่างพวกเขา…จะกลายเป็นเขากับเธออีกครั้ง
เขากลับไปยังเมืองเยียวของเขา เมืองที่มีคู่หมั้น มารดาและพ่อบุญธรรมของเขา…
เธอกลับประเทศ S ของเธอ มีงานและหน้าที่ที่เธอควรทำให้สำเร็จ…
รู้สึกน้อยใจขึ้นมาดื้อๆ ไป๋ซู่เย่หลับตาลงใหม่ห้ามไม่ให้ตัวเองคิดมากไปกว่านี้ เธอเผลอหลับไปอีกครั้งอย่างสะลึมสะลือ
…………
กลางดึก
เธอถึงตื่นมา
เข็มตรงแขนถูกดึงออกไปแล้ว เธอจับหน้าผากตัวเองพบว่าไข้ลดลงมากแล้วเช่นกัน
แต่ยังรู้สึกลำคอแห้งผากอยู่
นอนไปนานขนาดนี้ก็รู้สึกมีพลังขึ้นมามากโข เธอเลิกผ้าห่มลงจากเตียงเดินไปที่ห้องข้างๆ
อาจเป็นเพราะอยู่ในกลางดึกคฤหาสน์ทั้งหลังเลยเงียบสงัด ไม่เปิดไฟ เธออยากดื่มน้ำแต่กลับไม่รู้ทิศทางว่าห้องครัวอยู่ทางไหน คลำหาทางตรงกำแพงตั้งนานจนหาฝาปิดสวิตช์ไฟจนเจอแต่ก็ไม่รู้ว่าเปิดอย่างไร เธอเข้าใจได้สักทีว่าคนอย่างพวกถังเจวี๋ยแต่ละคนล้วนรอบคอบและระมัดระวัง แม้แต่ฝาปิดสวิตช์ไฟยังต้องแสกนนิ้วมือเพื่อเข้าระบบ
เกรงว่าคฤหาสน์หลังนี้ล้วนเต็มไปด้วยกับดัก
ไป๋ซู่เย่คิดได้ดังนั้นก็ไม่กล้าเดินไปไหนเองมั่วๆ แล้ว
เธอนึกถึงเย่เซียว…
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังอยู่ห้องข้างๆ หรือเปล่า…
นึกถึงเขาก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนมากมายขึ้นในใจ เธอย่ำเท้าเดินไปที่ห้องข้างๆ เสียงเบา เคาะประตูเบาๆ ทีหนึ่ง แนบหูกับประตูก็ไม่ได้ยินเสียงใด
เงียบไปชั่วขณะ เธอบิดกลอนประตูเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
“ใคร?”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู เธอถูกชายหนุ่มตะครุบตัวไว้และสัมผัสเย็นเฉียบที่จ่ออยู่ตรงคอตัวเอง
ปลายมีดแหลมคมจ่ออยู่ตรงเส้นเลือดใหญ่ตรงลำคอเธอ
ไป๋ซู่เย่สูดหายใจไม่กล้าขยับตัว
“ซู่ซู่?”
แค่อาศัยเสียงหายใจก็ฟังออกว่าเป็นเธอ เย่เซียวสบถหยาบทีรีบโยนมีดสั้นไปมุมห้อง
“เจ็บตัวตรงไหนหรือเปล่า?” เขาถามเสียงเบา
ไป๋ซู่เย่ลูบคอตัวเองก่อนจะส่ายศีรษะ “เปล่า แต่ อีกนิดเดียว”
เพิ่งสิ้นคำของเธอก็รู้สึกอุ่นร้อนตรงคอเพราะปลายนิ้วของเย่เซียวได้สัมผัสแตะตรงผิวเนียนละเอียดของเธอ ตรงจุดตำแหน่งที่ปลายมีดสั้นจ่อไว้เมื่อครู่
หากสัมผัสที่มีดสั้นเมื่อกี้เป็นความเยือกเย็นเข้ากระดูก ถ้าอย่างนั้นตอนนี้…
ไป๋ซู่เย่รู้สึกเพียงปลายนิ้วร้อนผ่าวของเขากำลังแผ่ซ่านกระจายไปทั่วอณูร่างกายผ่านพื้นผิวของเธอ
หัวใจเธอเต้นรัวเร็ว
หอบหายใจทีหนึ่งพลางจับปลายนิ้วเขาไว้
“…ฉันไม่เป็นไร” แม้แต่เสียงยังอ่อนลงมากโดยไม่รู้ตัว
แววตาเย่เซียวล้ำลึกกว่าเดิม
ในห้องไม่เปิดไฟ มีเพียงแสงจันทร์จางๆ ที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
พวกเขาทั้งคู่ใกล้กันมาก ร่างสูงใหญ่ของเขาโอบล้อมเธอไว้ทั้งหมด ลมหายใจทั้งสองสอดประสานกัน สถานการณ์นี้บรรยากาศเริ่มคลุมเครือยากจะเอื้อนเอ่ยอยู่บ้าง
ไป๋ซู่เย่หายใจติดขัด ได้ยินเพียงเขาถามเสียงเบา “ไข้ ลดหรือยัง?”
“…อืม”
เย่เซียวยกมืออังหน้าผากเธอคล้ายไม่ไว้วางใจ “ทำไมถึงยังร้อนขนาดนี้?”
“…” ไป๋ซู่เย่ยันสองมือไว้ที่หน้าอกเขา “คุณขยับมาใกล้ขนาดนี้ จะไม่ร้อนได้ยังไง?”
เธออยากดันตัวเขาออกไปแต่เย่เซียวตัวใหญ่ เธอดันตัวเขาแล้วแต่เขากลับยืนนิ่งไม่ขยับสักนิด
เขาล็อกสายตาไว้ที่เธอนิ่ง “ดึกขนาดนี้คุณมาห้องของผม อยากทำอะไร?”
“…” ไป๋ซู่เย่แลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งของตัวเองที “ฉันไม่ได้อยากมาห้องของคุณ”
เย่เซียวหน้าตึง น้ำเสียงกดต่ำลงกว่าเดิมมาก “แล้วคิดจะทำอะไร?”
ไป๋ซู่เย่พูดอย่างยอมแพ้ “ฉันหิวน้ำ อยากดื่มน้ำ แต่ฝาปิดสวิตช์ไฟที่นี่ต้องแสกนนิ้ว ฉันเปิดไม่ได้ และไม่รู้ว่าตรงไหนคือห้องครัว เลย…มาหาคุณไง”
เป็นข้ออ้างที่ฝืดเสียจริงๆ!
เย่เซียวแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน เขาแค่นเสียงทีแล้วก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว แตะสัมผัส ‘พรึ่บ’ ไฟในห้องก็สว่างโร่
ถังเจวี๋ยเคยบันทึกรอยนิ้วมือของเขา เขาอยู่ที่นี่เปรียบเสมือนอยู่บ้านตัวเอง
แสงไฟสว่างจ้ากระทบลงมา ไป๋ซู่เย่ที่ยังปรับตัวไม่ทันหรี่สองตาลงและยกมือบังแสงอัตโนมัติ สักพักถึงวางมือลง
เผลอหันไปมองเย่เซียวที่สายตาเขากำลังจดจ่ออยู่บนตัวเธอเขม็ง
หลังเธออาบน้ำตัวสะอาดสะอ้าน ผมยาวที่ไม่ผ่านการเป่าผมมาก่อนหน้ากำลังคลอเคลียลาดไหล่และปกคลุมแผ่นหลังอ้อนแอ้นนั้น
ชุดนอนสีขาวยิ่งขับให้เธอดูงดงาม เธอในสภาพนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงไป๋ซู่เย่ร่าเริงบริสุทธิ์เมื่อสิบปีก่อนอย่างอดไม่ได้
นัยน์ตาล้ำลึกขึ้นกว่าเดิม
ไป๋ซู่เย่ถูกเขาจ้องจนทำตัวไม่ถูก เธอเปิดประตูออกให้มีช่องแคบๆ ก่อนหันกลับมามองเขา “คุณ…ช่วยเปิดไฟข้างนอกให้ฉันหน่อยได้มั้ย? ฉันจะไปดื่มน้ำ”
…………………………
ตอนที่ 731 คุณสำคัญกว่าชีวิต (2)
โดย
Ink Stone_Romance
เย่เซียวหลุดจากภวังค์
สติที่หลุดลอยไปเมื่อครู่ถูกเรียกกลับมา
มองเธอแวบหนึ่งก่อนเดินนำเธอออกไปหนึ่งก้าว เขายังถือว่าคุ้นเคยกับคฤหาสน์หลังนี้พอควร ตามหาปุ่มเปิดปิดไฟของห้องโถงได้อย่างแม่นยำ ชั่วขณะเดียวเท่านั้นไฟในห้องโถงก็สว่างโร่ เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านสุดหรูสะท้อนเข้ามาในตาของไป๋ซู่เย่
ถังเจวี๋ยเองก็เป็นคนที่มีรสนิยมดี พอดูออกได้ว่าทุกการจัดวางของตรงนี้ล้วนถูกออกแบบโดยนักออกแบบชื่อดัง
“ของที่นี่อย่าจับไปเรื่อย ส่วนใหญ่ถูกถังเจวี๋ยวางกับดักไว้” เย่เซียวเดินลงไปก็บอกเธอไปพลาง
ไม่ผิดอย่างที่เธอคาดไว้
ถังเจวี๋ยเป็นอิจฉริยะด้านอาวุธย่อมไม่ปล่อยให้ข้อดีของตัวเองสูญเปล่า
“อืม” ไป๋ซู่เย่ตอบรับทีพลางเดินตามหลังเย่เซียว เย่เซียวเดินลงได้สองขั้นบันไดก็ยื่นมือไปทางเธอ เธอชะงักไปชั่วขณะและไม่รอตั้งตัวทันเย่เซียวก็ได้กุมมือเธอไว้ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติเสียแล้ว
เธอจุดยิ้มมุมปากเป็นองศาสวย เร่งฝีเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อเดินลงบันไดพร้อมกับเขา
“เย่เซียว” จู่ๆ เธอก็เรียกเขา
“หืม?”
“คุณ…ตอนนี้ยังชอบประเภทใสซื่อบริสุทธิ์มากกว่าอยู่เหรอ?”
เธอไม่ได้มองข้ามท่าทางที่เขาเหม่อลอยไปเมื่อครู่
เย่เซียวฉงนใจกับคำถามกะทันหันของเธอ หันข้างมองเธอแวบหนึ่งถึงละสายตาออกตอบกลับเสียงจาง “ไม่ชอบ”
“คุณโกหก สายตาเมื่อกี้ของคุณก็เปิดโปงคุณหมดแล้ว แต่ว่า…” ไป๋ซู่เย่หยุดชะงัก ถึงพูดต่อ “เย่เซียว ความจริงฉันไม่ใช่ไป๋ซู่เย่คนเดิมแล้ว คุณเสี่ยงชีวิตมาที่ทะเลทรายเพื่อฉันในตอนนี้ ฉันกลัวคุณจะเสียใจทีหลัง”
“จะเสียใจหรือไม่เสียใจก็เรื่องของผม ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ”
เย่เซียวเองก็คิดว่าประเภทที่ตัวเองชอบน่าจะเป็นอย่างในอดีตของเธอที่ดูจะซุกซนหน่อยๆ น่ารักบ้าง ใสซื่อบ้าง ออดอ้อนบ้าง โกรธเป็นบ้าง งี่เง่ากับเขาบ้าง แต่สิบปีผ่านไปเขาถึงรู้…
เขาแค่ชอบเธอ แค่คนนี้คนเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าเธอจะกลายเป็นคนแบบไหน ดีหรือร้าย ข้อดีหรือข้อเสีย สุดท้ายก็หนีไม่พ้นชื่อ ‘ไป๋ซู่เย่’ น่าหลันศัลยกรรมเหมือนเพียงใดนั่นก็ไม่ใช่เธอ กระตุ้นความรู้สึกในใจเขาให้สั่นไหวสักนิดก็ไม่มี
…………
ในห้องครัว
ไป๋ซู่เย่เทน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว เย่เซียวไม่ได้เข้ามา แค่นั่งรอตรงโซฟาข้างนอก
ข้างโซฟาเป็นคู่มืออาวุธและเขากำลังเปิดอ่านมันผ่านๆ มองจากมุมของเธอไปเห็นแค่ใบหน้ามุมข้างแสนดูดีของเย่เซียว ไป๋ซู่เย่ถือแก้วน้ำหวนนึกถึงชีวิตที่หลุดพ้นจากความตายของตนในครานี้ นึกถึงถ้อยคำทั้งหมดที่เขากระซิบชิดหูในวันที่เขาลอยลงมาจากท้องฟ้า เอาแต่ใจและแข็งกร้าวเช่นเคย แต่กลับเรียกให้เธอใจวูบไหวทุกครั้งที่นึกถึง
เธอเทน้ำอีกหนึ่งแก้วถือไว้ ยกออกไปยื่นไปตรงหน้าเขา
ทีนี้เย่เซียวถึงเงยหน้าวางคู่มืออาวุธไว้ข้างมือ มองเธอวูบหนึ่ง
ไป๋ซู่เย่นั่งลงข้างเขา “คุณเองก็ดื่มน้ำหน่อย”
“อืม”
“เรา…จะไปกันเมื่อไหร่?” ไป๋ซู่เย่ลังเลเพียงครู่ก่อนถามออกเสียง
ท่วงท่ากำลังดื่มน้ำของเย่เซียวชะงักกึก
พักใหญ่ถึงถามเสียงนิ่ง “อยากกลับไปมากขนาดนั้นเชียว?”
ไป๋ซู่เย่หายใจติดขัดแต่ไม่ได้ตอบโต้
ก้าวออกจากทะเลทรายแห่งนี้ พวกเขาจะยังทำตัวเป็นปกติเหมือนตอนนี้ได้หรือไม่? บางที…โอกาสที่จะเจอกัน อาจจะไม่มีด้วยซ้ำ…
นึกถึงตรงนี้เริ่มรู้สึกปวดใจอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาเริ่มชื้นด้วยน้ำใสชั้นบางๆ
เย่เซียวตอบเสียงเรียบ “ถ้าคุณอยากไป พรุ่งนี้…ถังเจวี๋ยส่งคุณไปจากที่นี่ได้”
“แล้วคุณล่ะ?” เสียงไป๋ซู่เย่อุดอู้เล็กน้อย “คุณก็จะกลับเมืองเยียวเหรอ?”
นัยน์ตาเย่เซียวล้ำลึกขึ้น “…นั่นคือบ้านของผม เหมือนประเทศ S ที่เป็นบ้านของคุณ”
นั่นสิ…
มารดาของเขา พ่อบุญธรรม คู่หมั้น หน้าที่การงานและพี่น้องทุกคนล้วนอยู่เมืองเยียว เขาย่อมกลับเมืองเยียวอยู่แล้ว
เธอคิดว่าตัวเองถามคำถามที่โง่เขลาไป
ไป๋ซู่เย่วางแก้วน้ำในมือลง เชยตามองเขาแวบหนึ่งก่อนเบนหน้าหนีถามด้วยท่าทีเหมือนจะสบายๆ “งั้น…หลังจากนี้ เราจะยังได้เจอกันอีกมั้ย?”
“คุณอยากเจอผมมั้ย?” แววตาเย่เซียวล้ำลึก ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะมองทะลุร่างกายของเธอเข้าไปสำรวจถึงขั้วหัวใจของเธอ
ไป๋ซู่เย่เผลอกลั้นหายใจ เงียบไปอยู่พักใหญ่
ความเงียบนี้เท่ากับให้คำตอบเขา ความผิดหวัง ความเย็นวาบถาโถมเข้ามาในหัวใจเขา
“ในเมื่อได้ดื่มน้ำแล้วก็กลับไปพักผ่อนต่อเถอะ นี่มันดึกมากแล้ว” เย่เซียววางแก้วน้ำลงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ชิงลุกขึ้นก่อนแล้วพูดทุกคำด้วยน้ำเสียงเฉยชา
ไป๋ซู่เย่มองแผ่นหลังเขาด้วยหัวใจที่บีบรัดจนเจ็บไปหมด
“เย่เซียว”
เธอขานเรียกเขาที ได้ยินเสียงตัวเองที่มีก้อนสะอื้นน้อยๆ
เย่เซียวหยุดฝีเท้า ไม่ได้หันกลับมา
ไป๋ซู่เย่เดินอ้อมไปข้างหน้าเขา
“เรื่องครั้งนี้ ฉันยังไม่ได้พูดขอบคุณคุณเลย”
ขอบคุณ?
เย่เซียวรู้สึกรำคาญใจนัก ที่เขาอยากได้ยินไม่ใช่คำนี้
“นอนเถอะ” เขากำลังจะผลักเธอออก
ชั่ววินาทีที่มือสัมผัสแขนเธอนั้นจู่ๆ เธอก็ยื่นมือมากุมมือเขาไว้ เขาคิดจะขืนออกด้วยสัญชาตญาณแต่กลับถูกเธอตรึงไว้แน่นกว่าเดิม
ต่อจากนั้นได้ยินเพียงเธอกล่าวขึ้นแผ่วเบา “ฉัน…คิดถึงคุณมาก…”
เย่เซียวนิ่งงัน
อารมณ์ซับซ้อนผุดขึ้นที่หัวใจชั่ววูบ
เขากำลังคิดว่าตัวเองเกิดภาพหลอนหรือเปล่า
“ฉันคิดถึงคุณมากจริงๆ…” ไป๋ซู่เย่ไม่ได้มองเขา แค่หลุบตาทิ้งไว้ที่มือของเขา เธอกดเสียงให้ต่ำที่สุดราวกับกำลังพึมพำให้ตัวเองฟัง พยายามระงับอารมณ์ไว้อย่างสุดความสามารถแต่แพขนตาที่สั่นระริกก็ได้เปิดโปงเธอ เธอพูดย้ำอีกครั้ง “เย่เซียว ฉันคิดถึงคุณทุกวัน…”
เย่เซียวหายใจติดขัด วินาทีถัดจากนั้นแขนยาวโอบรั้งตัวเธอเข้ามาในอ้อมอกตัวเอง เขาแรงเยอะ มือใหญ่ประคองหลังเอวเธอไว้ให้เรือนร่างนุ่มนิ่มของเธอแนบชิดติดอกแกร่งของตัวเอง เขาถามเสียงแหบพร่า “คุณรู้มั้ยว่าคุณกำลังพูดอะไร?”
ใบหน้าทั้งคู่อยู่ใกล้กันผิดปกติ
ปลายจมูกเขาเกือบชิดปลายจมูกเธออยู่รอมร่อ แสงไฟเจิดจรัส ไป๋ซู่เย่กำชุดนอนบนตัวเขาไว้ด้วยสองมือและใช้แววตาลึกซึ้งจดจ้องเขา
ชั่วขณะนี้อยู่ๆ เธอก็ไม่อยากให้ตัวเองมีสติเกินไป ใจเย็นเกินไป อารมณ์ที่กักเก็บไว้ในใจมานานแสนนานอย่างยากลำบากต้องการได้ระบาย เธอหยักหน้ารับ “ฉันบอกว่าฉันคิดถึงคุณมากๆ…คุณยอมเชื่อฉันอีกสักครั้งมั้ย?”
ดวงตาเย่เซียววาววับ สบตาเธอพร้อมขบคิดบางอย่าง
จากนั้นอยู่ๆ เขาก็โน้มหน้าลงประกบจูบเธอ
ยังยอมเชื่อไหม?
เขาไม่รู้
คำกล่าวที่ว่า ‘พอถูกงูฉกเข้าสักครั้งก็กลัวเชือกที่ใช้ตักน้ำในบ่อ’ สำหรับเขา เขาตกอยู่ในสภาวะขัดแย้งกับตัวเองโดยเสมอมา ความขัดแย้งนี้สร้างความทุกข์ทรมานแก่เขา ให้เขาเจ็บปวด
พวกเขาทั้งสองคนราวกับยืนอยู่ปลายเส้นขอบฟ้าสองฟาก ครั้นที่เธอถ่วงน้ำหนักให้เขาลอยขึ้นสูง เขาจะเริ่มระแวงว่าเธอจะเป็นอย่างสิบปีก่อนโดยอัตโนมัติ ที่จู่ๆ ก็ถอนตัวไปให้เขาล้มกระแทกพื้นจนร่างแหลกสลาย
แล้วตัวเองล่ะ? เขาเข้าใจดีว่าไม่ว่าเธอจะยืนอยู่สูงขนาดไหนเขาไม่มีวันทำใจให้เธอล้มได้!คนที่ถอนตัวก่อนจะไม่มีวันเป็นเขา!
การเสียสละในความสัมพันธ์ยิ่งไม่เท่าเทียมกันมากเท่าไรเขายิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย ยิ่งรู้สึกเดี๋ยวได้เดี๋ยวเสีย
………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น