สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย 72.4-83.3
ตอนที่ 72 (4)
งานมงคล (4)
ชิงหลัวรวบรวมสติก่อนจะใช้กำลังภายในพุ่งทะยานไปตบพลังเข้าใส่ร่างเงาที่อยู่หลังภูเขาจำลอง คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของคนผู้นั้นจะว่องไวกว่านาง พลังกลางฝ่ามือยังไม่ทันประชิดตัวก็ยื่นแขนออกมาสกัดเอาไว้ก่อนแล้ว หัวใจของชิงหลัวพลันบีบรัดกำลังจะส่งกระบวนท่าต่อไปแต่คนผู้นั้นไม่มีทีท่าจะหลบหนี แต่ชิงพุ่งตัวออกมาจากด้านหลังก้อนหิน
หญิงสาวผู้นั้นอยู่ในชุดคล้ายกับสาวใช้ กลมกลืนไม่สะดุดตาสักนิด ชิงหลัวกลัวแต่ว่าฉู่สวินหยางจะตกอยู่ในอันตรายจึงยื่นมือออกไปคว้าไหล่ของนางไว้
ทว่าได้ยินเสียงหนักแน่นของหญิงสาวร้องออกมาหนึ่งคำว่า “หญิง!”
ฉู่สวินหยางตามมาถึงพอดี สบตากับนางเพียงแวบเดียวก็จำนางได้จึงรีบยกมือสั่งให้ชิงหลัวหยุดเคลื่อนไหวในทันที “หยุดก่อน! พวกเดียวกัน!”
ชิงหลัวชะงักไป แม้จะยั้งมือทันแต่ก็ยังไม่คลายความระแวง
การป้องกันของจวนอ๋องหนานเหอเข้มงวดกวดขัน ดังนั้นแม้ฉู่สวินหยางจะขอฉู่อี้อันให้ลู่หยวนติดตามนางมา แต่ก็ไม่กล้าวางคนดักซุ่มจนโจ่งแจ้ง ยิ่งกว่านั้น…
นางไม่เห็นรู้เลยว่าข้างกายของฉู่อี้อันมีองครักษ์ลับหญิงที่ฝีมือยอดเยี่ยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
ชิงหลัวก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างระวังภัย เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “อิ้งจื่อ?”
“ท่านหญิง!” อิ้งจื่อพยักหน้าให้นางเล็กน้อย ไม่พิรี้พิไรก็เอ่ยต่อฉู่สวินหยางอย่างตรงไปตรงมา “เจ้านายข้าห่วงว่าวันนี้จะเกิดเรื่องจึงสั่งให้พวกบ่าวแฝงตัวเข้ามาเป็นกำลังหนุนตั้งแต่สองวันก่อนเผื่อเอาไว้ยามจำเป็นเจ้าค่ะ”
ฝีมือเหยียนหลิงจวิน?
เขาก็ยังอุตส่าห์คิดได้ คงจะเดาได้แต่แรกแล้วว่าจวนอ๋องหนานเหอคงวุ่นวายกับการตระเตรียมงานมงคลจนไม่มีใครว่างมาสนใจ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น การปลอมตัวเป็นสาวใช้หรือไม่ก็เด็กรับใช้สักสองคนในวันนี้มันทั้งง่ายดายและยากที่จะถูกเปิดโปง
ฉู่สวินหยางเผยยิ้ม ยักคิ้วเล็กน้อย แล้วส่งสายตาตั้งคำถามให้นาง
อิ้งจื่อเข้าใจ เคลื่อนตัวพานางไปที่ด้านหลังภูเขาจำลอง
เหลยซวีกับฉู่เยว่เหยียนสองคนล้วนถูกนางตีคว่ำอยู่กับพื้น สลบไสลไม่ได้สติ
“สองคนนี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ คงไม่ได้คิดทำเรื่องดีๆ แน่!” อิ้งจื่อบอก
ฉู่สวินหยางกวาดสายตามองร่างของคนทั้งคู่ ในใจก็พอจะเข้าใจเรื่องราวบ้างแล้ว…
จู่ๆ ฉู่เยว่เหยียนก็พาบุรุษแปลกหน้าเข้ามา จุดประสงค์ไม่ต้องบอกก็เดาได้
อิ้งจื่อเห็นนางเงียบไป ลังเลชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “หากว่าท่านหญิงไม่สะดวก เรื่องนี้ บ่าวสามารถจัดการให้ได้!”
นี่เพราะกังวลว่าฉู่เยว่เหยียนกับนางเป็นพี่น้องกัน?
“ไม่จำเป็น ข้าจัดการเองได้!” ฉู่สวินหยางยกมือตัดบทนาง คิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “วันนี้เจ้านายเจ้ามาไหม?”
“มาเจ้าค่ะ!” อิ้งจื่อตอบ
“งั้นก็ดี ข้าทางนี้มีเรื่องยุ่งยาก มีเพียงเขาพอจะแก้ไขได้ เจ้าช่วยไปเชิญเขามาหน่อยได้ไหม” ฉู่สวินหยางถาม
อิ้งจื่อทำงานแต่ไรก็ไม่เคยถามหาเหตุผล นางผงกศีรษะทันที ไม่พูดมากความก็พุ่งตัวเข้าไปด้านลึกของสวนดอกไม้ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชิงหลัวมองคนสองคนที่นอนอยู่บนพื้น นัยน์ตาพลันมีไอสังหารลอยวน เปิดปากเสียงอำมหิตว่า “ท่านหญิงจะจัดการสองคนนี้อย่างไรหรือเจ้าคะ?”
ฉู่เยว่เหยียนช่างไร้สมองจริงๆ แม้แต่แผนการต่ำทรามเช่นนี้ก็ยังกล้าทำ ฉู่สวินหยางไม่โกรธไม่เคือง ยังสามารถขยับยิ้มได้อย่างสงบใจ เอ่ยว่า “ที่ตรงนี้ไม่เลว ให้พวกเขานอนไปสักพักเถอะ พวกเรากลับไปดูที่เรือนดีกว่า”
ชิงหลัวกวาดตามองสองคนอีกครั้งอย่างนึกรังเกียจ แล้วจึงตามฉู่สวินหยางกลับไปที่เรือนพัก
ที่เรือนพักในเวลานี้ หญิงสาวทั้งสามนางต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและพากันจากไปแล้ว
ฉู่สวินหยางเดินเข้าลานเรือนพักไป ฝีเท้าพลันชะงัก ลู่หยวนทิ้งตัวลงมาจากหลังคา พลางโยนร่างเล็กของคนผู้หนึ่งลงบนพื้น
คนผู้นั้นรูปลักษณ์สามัญ คิ้วตาชั่วร้าย สวมชุดเด็กรับใช้ของจวนอ๋องหนานเหอ ถูกลู่หยวนมัดปากเอาไว้ มันมองมาที่ฉู่สวินหยางอย่างขลาดกลัว ส่งเสียงอู้อี้คล้ายอยากจะบอกอะไร
“จับได้บนหลังคาขอรับ!” ลู่หยวนไขความกระจ่าง
ฉู่สวินหยางไม่ได้ถามต่อ เพียงมองข้ามเขาไปแล้วจ้องที่ประตูเรือนด้านหลัง ถามว่า “ด้านในเรือนเป็นอย่างไร?”
“มีคนเผายาสลบอย่างแรงเอาไว้ในเรือน ท่านหญิงสี่สลบไปแล้ว ตอนนี้ปลอดภัยดีขอรับ!” ลู่หยวนตอบ
ยาสลบ? ไม่ต้องบอกก็รู้ ถ้าหากนางตามเข้าไป คงต้องสลบไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย จากนั้นฉู่เยว่เหยียนก็จะพาเหลยซวี่เข้ามา จัดฉากบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ทีนี้ก็คงยากจะอธิบายอะไรๆ ให้ชัดเจนได้อีก!
แต่ถ้าอีกฝ่ายคิดจะลงมือกับนางจริงๆ เหตุใดต้องพุ่งเป้าไปที่ฉู่เยว่หนิงด้วยเล่า?
ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่นางไม่ได้เข้าไปในเรือน จากนิสัยของฉู่หลิงอวิ้นคงไม่มีทางอยู่เฉยไม่ทำอะไรแน่!
ฉู่สวินหยางเกิดความฉงนแวบผ่านกลางใจ ไตร่ตรองไปพลันเอ่ยถามลู่หยวนว่า “เรือนหลังอื่นไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“ไม่มีขอรับ!” ลู่หยวนส่ายหน้า
“ก็ดี…” ฉู่สวินหยางพยักหน้า ใช้สมองครู่หนึ่งแล้วสั่งว่า “พวกเจ้าสองคนพาน้องสี่ไปที่เรือนข้างๆ ก่อน”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” สองคนรับคำ ช่วยกันพาฉู่เยว่หนิงกับสาวใช้อีกคนที่ไม่ได้สติไปที่เรือนด้านข้าง ฉู่สวินหยางที่อยู่ในเรือนก็ไม่ได้ว่างงาน นางเดินเข้าไปดึงเศษผ้าที่มัดปากของคนผู้นั้นให้หลุดออก
คนผู้นั้นหวาดกลัวสุดขีด สั่นเทาไปทั้งตัวเอ่ยเสียงเครือว่า “ไว้ชีวิตด้วย! ท่าน.. ท่านหญิง ไว้ชีวิตด้วยขอรับ!”
ฉู่สวินหยางขยับยิ้ม รอยยิ้มนั้นช่างอ่อนหวานและสงบนิ่ง เอ่ยคล้ายทอดถอนใจว่า “เจ้ารู้จักข้า?”
คนผู้นั้นสะดุ้งคล้ายเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนพูดอะไรพลาดไป สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง ดวงตาบอกชัดว่าไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรดี เขากลัวว่าฉู่สวินหยางจะบีบคั้นให้เขาสารภาพ สมองวิ่งวุ่นสรรหาเหตุผลเพื่อให้ตนพ้นผิด
ทว่าฉู่สวินหยางกลับไม่ซักไซ้สักคำ เพียงรอคอยต่อไปอย่างอดทน
ไม่นานนักพวกลู่หยวนสองคนที่จัดการฉู่เยว่หนิงเรียบร้อยแล้วก็กลับมา
ลู่หยวนคิดว่านางกำลังสืบสวนคนผู้นั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าน้อยสอบปากคำไปแล้ว เขาไม่ยอมพูด แต่ดูจากท่าทาง แปดส่วนคงเป็นสายของศัตรูที่วางเอาไว้ อีกเดี๋ยวก็ให้มันส่งสัญญาณลับเพื่อล่อคนออกมา”
คนผู้นั้นเหมือนถูกโจมตีเข้าที่หัวใจ สีหน้าไร้เลือด
ฉู่สวินหยางยังคงเงียบไม่ถามความเพียงยื่นมือให้ลู่หยวน ถามว่า “เจ้ามีอาวุธมาด้วยใช่ไหม? ให้ข้ายืมหน่อย!”
ลู่หยวนอึ้งไป แล้วก็ควักเอามีดสั้นที่อยู่ในรองเท้าออกมาส่งให้นาง
ฉู่สวินหยางทรุดนั่งบนข้อเท้า กะน้ำหนักจากปลายมีดสั้นที่อยู่ในมือ หัวเราะด้วยหน้าตามีเมตตา
คนผู้นั้นถูกนางจดจ้อง พลันกลืนน้ำลายแห้งสองอึกอย่างไม่รู้ตัว ละล่ำละลักออกมาว่า “ท่านหญิง ข้า… ข้า… ข้าพูดแล้ว…”
“ชู่ว!” ฉู่สวินหยางกลับสั่นนิ้วหยุดวาจาของเขาแล้วหัวเราะเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่อยากรู้หรอกว่าอยู่ทางโน้นเจ้าทำหน้าที่อะไร แต่ว่าตอนนี้ข้าอยากจะใช้เจ้าสักหน่อย อดทนไว้นะ”
ยังไม่ทันขาดคำ มีดสั้นในมือก็ปักลงมา
“อ้าก!” คนผู้นั้นพลันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นกระทบกับน้ำแข็งที่เกาะใต้ชายคาจนสะท้านไปทั่วแผ่น
“เกิดอะไรขึ้น?” คู่ชายหญิงที่รออยู่ตรงกอไผ่หลังเรือนหันมาสบตากัน “มิใช่บอกว่าจะใช้เสียงร้องของผู้หญิงเป็นสัญญาณหรือ?”
“ที่นี่คือจวนอ๋องหนานเหอ คงไม่เกิดเรื่องผิดพลาดอะไรได้หรอก!” สายตาของหญิงสาวเข้มขึ้น หยุดคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ทำตามแผนเลย เจ้าออกไปก่อน!”
ชายหนุ่มชั่งใจ เห็นด้วยว่าคงไม่เกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นแน่ จึงเทเหล้าจอกเล็กในมือสาดใส่ชายเสื้อ แล้วพาเด็กรับใช้ข้างกายสองคนพุ่งตัวไปที่เรือนซึ่งเป็นที่มาของเสียงร้องโหยหวน
เขาเดินอย่างเร่งร้อน บวกกับเป็นเส้นทางที่คำนวณเวลาเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงมาถึงเรือนอย่างรวดเร็ว
แต่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป เขาก็ตกตะลึงเป็นอันดับแรก
ในเรือนนั้นไร้ผู้คนตามที่คาดการณ์ไว้ แต่มีเด็กรับใช้นอนเอกเขนกอยู่กลางเรือน ใต้ร่างแดงฉานไปด้วยโลหิตที่ไหลออกมาจากต้นขา
ห้องหับด้านในล้วนแต่ปิดสนิท เวลานั้นจึงไม่อาจวิเคราะห์ได้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ชายหนุ่มพลันสูดหายใจเข้าลึกอย่างระวังภัย เด็กรับใช้ข้างกายเขาเดินเข้าไปตรวจสอบบาดแผลคนผู้นั้น ไม่คิดว่าเพิ่งจะโน้มตัวลงไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะก้องใสของสตรีดังขึ้นที่ด้านหลัง “ไม่ต้องตรวจหรอก ก็แค่เลือดออกเล็กน้อย ตาขาวเกินไปก็เลยเป็นลม!”
ในสมองของชายหนุ่มคล้ายจะชาวาบ หมุนตัวกลับไปทันที เห็นเป็นฉู่สวินหยางที่ในมือถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดบนมีดสั้น พลางก้าวข้ามประตูมาพร้อมเสียงหัวเราะจริงใจ
สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียด ฝีเท้าซวนเซไปด้านหลังก้าวหนึ่ง ในสมองมีคำถามมากมายผุดขึ้นซ้อนทับกัน หลุดปากถามไปว่า “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
“คุณชายรองจวนติ้งเป่ยโหว” ฉู่สวินหยางถอนหายใจอย่างไม่รีบร้อน “แม้ข้าจะไม่นึกฝันว่าจะได้เจอเจ้า แต่ที่เจ้ามาที่นี่ ก็เพื่อ…มาพบข้าโดย ‘บังเอิญ’ รึ?”
นางจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘บังเอิญ’ สองพยางค์ฟังแล้วหนักแน่นมีพลัง ราวกับว่ากระแทกเข้ากลางหัวใจ
คุณชายรองจวนติ้งเป่ยโหวนามว่าจางอวิ๋นเจี่ยน เขาเป็นจอมเสเพลโฉดเขลาแต่เมื่อเทียบกับเหลยซวี่แล้วอย่างน้อยก็มีศักดิ์สูงกว่ามาก เกรงแต่ว่าหากก่อเรื่องอะไรขึ้นมาแม้แต่ฮ่องเต้ก็คงยากจะบอกปัด อีกทั้งจางอวิ๋นเจี่ยนก็เกิดมาพร้อมรูปโฉมที่ไม่แย่ แม้เขาจะเที่ยวโสเภณีตลอดทั้งคืน คนนอกรู้เข้าอย่างมากก็เรียกเขาว่าหนุ่มน้อยเจ้าสำราญเท่านั้น
คนผู้นี้ไม่ว่าจะอยู่ในแผนของฉู่หลิงอวิ้นหรือว่าซูหว่าน ก็ต้องถือว่าทุ่มเทความคิดไปไม่น้อย
จางอวิ๋นเจี่ยนอย่างไรก็เป็นจอมเสเพล เมื่อถูกฉู่สวินหยางจับได้คาที่จึงอดจะลุกลนไม่ได้ เอ่ยแก้ตัวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร ข้าแค่เดินผ่านมาแถวนี้ ได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนจึงแวะมาดู ในเมื่อท่านหญิงอยู่ที่นี่ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว” เขาพูดไปก็ชิงจะเดินหนีออกประตู
ฉู่สวินหยางยกมือขวางไว้พร้อมรอยยิ้ม มีดสั้นในมือคมกริบ อีกนิดเดียวเกือบจะแทงถูกจางอวิ๋นเจี่ยนแล้ว
“เจ้าทำอะไร?” จางอวิ๋นเจี่ยนที่ถูกนางขวางทางมองด้วยสายตาดุร้าย
“มีเรื่องขอให้เจ้าช่วย!” ฉู่สวินหยางบอกความ
“ช่วยเรื่องอะไร?” ในใจจางอวิ๋นเจี่ยนกระวนกระวายคิดแต่อยากออกไปให้เร็วที่สุดจึงตอบอย่างรำคาญ “ข้าพูดไปชัดเจนแล้ว ข้าแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“บังเอิญผ่านมา?” ฉู่สวินหยางนัยน์ตาเย็นเยียบ อารมณ์ดีๆ เมื่อครู่พลันหายวับจากนั้นนางก็เปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงเย็นชา “ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญเป็นร้อยพัน ในเมื่อบังเอิญมาชนของในมือข้า เช่นนั้นก็ถือว่าซวยไปแล้วกันนะ!”
จางอวิ๋นเจี่ยนตกใจ ยังไม่ทันไหวตัว วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงตวาดของฉู่สวินหยางดังขึ้นอย่างกะทันหัน “จับตัวเขาไว้เดี๋ยวนี้!”
——————————————–
ตอนที่ 73 (1)
วางยาสลบ (1)
จางอวิ๋นเจี่ยนชักเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว มองซ้ายมองขวาระวังภัย
เด็กรับใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังคิดจะก้าวขึ้นมาคุ้มครองผู้เป็นนายตามสัญชาตญาณ แต่ยังไม่ทันขยับก็ถูกร่างเงาสองสายที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนฟาดจนล้มไปกองกับพื้น
ลู่หยวนกับชิงหลัวสองคน สีหน้าเย็นเยือก ปรากฏขึ้นมาราวกับภูติผี
“เจ้ากล้าแตะข้า?” จางอวิ๋นเจี่ยนเดิมก็เป็นแค่คุณชายที่ไม่มีแม้แรงจะถอนขนไก่ เวลานี้มือเท้าพลันลนลานสับสน ถอยกรูไปตั้งหลัก “ที่นี่คือจวนอ๋องหนานเหอ เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“กลัวอะไร? ข้าบอกแล้วไงว่ามีเรื่องให้เจ้าช่วย” ฉู่สวินหยางก้าวเท้าเข้าหาพร้อมส่งยิ้มให้ ส่งมีดสั้นที่เช็ดจนสะอาดแล้วให้ลู่หยวนพลางเอ่ยบอก “อีกอย่าง…ข้ารับรอง เจ้าไม่มีทางขาดทุนหรอก”
จางอวิ๋นเจี่ยนตอนนี้สติกระเจิงไปสิ้น มองคนสามคนที่นอนเอกเขนกบนพื้นพร้อมกับเลือดอีกหนึ่งกอง ปากก็สั่นระริก เขาเล็งหาโอกาสแล้วพุ่งตัวออกไปทางประตู แต่เท้าวิ่งออกไปเพียงหนึ่งก้าวก็รู้สึกชาหนึบที่ท้ายทอยด้วยถูกชิงหลัวที่ตามไปติดๆ ใช้ฝ่ามือฟาดใส่จากด้านหลัง
ฉู่หวินหยางหันมามอง เอาผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดในมือยัดใส่ปากเขา สั่งการต่อด้วยสายตาเย็นชา “อีกเดี๋ยวคงจะมีคนมาเพิ่ม ชักช้าไม่ได้ รีบทำความสะอาด ลากคนแซ่จางกับเด็กรับใช้สองคนออกไปซ่อนในสวนดอกไม้ก่อน ลู่หยวน น้องสี่ให้เจ้าจัดการ อย่าให้ใครหาเจอ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ!” สองคนรับคำ รีบลงมือตามสั่ง
ขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันไป สายตาของฉู่สวินหยางกวาดมองรอบๆ พอดีเหลือบไปเห็นร่างสูงเด่นเคลื่อนตัวผ่านซากไม้เก่าแก่กลางอุทยานมาอย่างรวดเร็ว ด้านหลังมีสาวใช้ที่เกือบจะไร้ตัวตนอย่างอิ้งจื่อกับเฉี่ยนลวี่ติดตามมาด้วย
ฉู่สวินหยางยิ้มน้อยๆ รีบสาวเท้าไปรอรับ
หางตาของเหยียนหลิงจวินกระตุกเบาๆ กวาดตามองสภาพรอบเรือน คิ้วขมวดเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่เห็น แล้วสั่งกับสาวใช้ข้างกายทั้งสองว่า “เข้าไปช่วย!”
“เจ้าค่ะ!” พวกนางพยักหน้ารับคำ เข้าไปช่วยเคลื่อนย้ายคน
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ไต่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่จ้องมองฉู่สวินหยางด้วยสีหน้าเย็นชา
“ขอโทษที ต้องรบกวนเจ้าอีกแล้ว” ฉู่สวินหยางยิ้ม ด้วยมิใช่เวลามาทักทายปราศรัยจึงเอ่ยเข้าประเด็นทันที “เรื่องที่เกิดขึ้นข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียดทีหลัง แต่ตอนนี้ข้ามีของสิ่งหนึ่งต้องให้เจ้าช่วยตรวจดูว่ามันคืออะไร”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินเพียงทำเสียงรับรู้เบาๆ
ฉู่สวินหยางจึงพาเขากลับไปที่ศาลาหลังนั้นซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สีหน้าของเหยียนหลิงจวินไม่สู้ดีนักคล้ายว่าไม่มีอารมณ์จะเปิดปากพูด เพียงเดินตามหลังมาติดๆ ฉู่สวินหยางก็หาได้ใส่ใจ พอไปถึงที่ศาลา มองหาตำแหน่งที่แน่นอนจนพบ แล้วตบฝ่ามือเข้าใส่เสาต้นด้านข้างเบาๆ ทีหนึ่ง
ฝุ่นผงที่เกาะอยู่นานปีร่วงลงมาจากที่สูงพร้อมกับถุงหอมสีแดงหนึ่งใบ
ฉู่สวินหยางยื่นมือออกไปรับแต่เหยียนหลิงจวินกลับพุ่งตัวชิงมารับถุงหอมใบนั้นเอาไว้ก่อนอย่างไร้สุ้มเสียง
ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้อวดเก่ง
เขากำถุงหอมไว้ในมือ ไม่รอให้ฉู่สวินหยางบอกก็เปิดออกแล้วเพ่งมองวัตถุที่อยู่ภายใน เพียงแวบเดียวนัยน์ตาพลันมีพายุร้ายหมุนผ่าน อารมณ์บนหน้าเปลี่ยนเป็นความเย็นชาและน่ากลัวจนแม้แต่ฉู่สวินหยางเองยังสะท้านในใจ
“นี่คือ…” ฉู่สวินหยางเป็นคนฉลาด ในใจก็พอจะเดาออกได้หลายส่วน
เหยียนหลิงจวินเม้มปาก ไม่ตอบคำถามนาง
เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นลู่หยวนกับพวกอิ้งจื่อกำลังหอบหิ้วผู้ที่สลบไสลไม่รู้เรื่องออกมาจากเรือนพอดี มือหนึ่งข้างของลู่หยวนแบกเด็กรับใช้ของจางอวิ๋นเจี่ยนหนึ่งคน ส่วนจางอวิ๋นเจี่ยนถูกอิ้งจื่อลากเอวออกมา เฉี่ยนลวี่กับชิงหลัวแยกกันไปอุ้มฉู่เยว่หนิงกับสาวใช้ประจำตัวของนาง แต่ละคนรับน้ำหนักไม่เบา แต่กลับเคลื่อนไหวอย่างไร้อุปสรรค ชั่วพริบตาก็มาถึงเบื้องหน้าแล้ว
“นายท่าน!” อิ้งจื่อก้าวออกมาผงกศีรษะให้ “ทำลายร่องรอยทั้งหมดในเรือนเรียบร้อยแล้ว คนพวกนี้จะจัดการอย่างไรดีเจ้าคะ?”
สายตาทิ่มแทงของเหยียนหลิงจวินมองผ่านร่างของจางอวิ๋นเจี่ยนทีหนึ่ง แล้วยัดถุงหอมใส่ในเสื้อเขา เอ่ยเสียงน่ากลัวว่า “เด็กรับใช้สองคนนั่นหากำแพงแล้วโยนออกไปเสีย คนผู้นี้หาห้องขังเอาไว้ก่อน เจ้าเอาส่วนผสมในห่อมาแล้วเพิ่มดอกไป๋เหอเข้าไป รมควันเอาไว้ หลังจากนี้ข้าต้องใช้มัน”
สั่งจบก็นิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า “จำไว้ว่าจัดการเรียบร้อยแล้วต้องนำถุงหอมกลับมาส่งคืนท่านหญิงสวินหยาง!”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าถุงหอมมาจากที่ใด แต่เมื่อตกมาอยู่ในมือฉู่สวินหยาง ทั้งยังเห็นชัดว่าเป็นสมบัติของสตรี จึงไม่กล้าหละหลวม
เป็นครั้งแรกที่อิ้งจื่อเห็นเขาแสดงนิสัยเย็นชาเคร่งเครียดต่อหน้าฉู่สวินหยาง หัวใจพลันบีบรัดอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบหลุบตารับคำสั่ง “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ฉู่สวินหยางส่งสายตาให้ลู่หยวน บอกเป็นนัยว่าให้เขาไปช่วย ลู่หยวนพยักหน้า แล้วพาตัวคนจากไปพร้อมกับอิ้งจื่อ
ชิงหลัวทางนี้จดจ้องฉู่เยว่หนิงที่ยังสลบไม่ได้สติด้วยความเป็นห่วงเอ่ยว่า “ท่านหญิง จะทำอย่างไรกับท่านหญิงสี่ดีเจ้าคะ?”
ฉู่เยว่หนิงหมดสติอยู่ที่นี่อย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ แม้ว่าพวกนางจะมาพบทันเวลา ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไร แต่ถ้ามีคนมาเห็นเข้าอย่างไรก็ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมให้แอบอ้าง
ระหว่างที่หารือกัน ก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กของผู้คนจากอีกฝั่งของสวนดอกไม้ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ชิงหลัวเริ่มร้อนรน ซอยเท้ากับพื้น กล่าวว่า “หรือจะให้บ่าวหาข้ออ้างสักอย่างพาท่านหญิงสี่กลับจวนไปก่อนเจ้าคะ?”
“ไม่ได้!” ฉู่สวินหยางยกมือห้ามนางโดยไม่หยุดคิด “วันนี้ในจวนมีแต่คนเต็มไปหมด เจ้าพานางออกไปเช่นนี้ไม่มีทางลอดพ้นสายตาผู้คนได้หรอก”
สมองของฉู่สวินหยางหมุนติ้ว ครุ่นคิดสักครู่แล้วหันไปมองเหยียนหลิงจวินด้วยความหวัง
“ใต้เท้าเหยียนหลิง…”
เหยียนหลิงจวินกระจ่างแก่ใจดี ได้ยินดังนั้นก็ยอมก้าวไปข้างหน้า จับชีพจรของฉู่เยว่หนิงผ่านแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ฤทธิ์ยาสลบที่นางโดนไม่ใช่สามัญ หากไม่ถึงเย็นคงไม่มีทางฟื้นแน่ ข้าไม่ได้พกยาติดตัวมา เจ้าเผาสะระแหน่แห้งหนึ่งใบจนเป็นผง แล้วบดยาเม็ดนี้ให้ละเอียด ผสมกับเหล้าอย่างแรงให้นางดื่ม ประมาณหนึ่งเค่อก็น่าจะตื่นขึ้นมาได้”
เขาพูดพลางหยิบเอาเม็ดยาสีเขียวอ่อนไม่สะดุดตาออกมาจากขอบเอวแล้วโยนให้
ฉู่สวินหยางรับเม็ดยาไว้ในมือ พิจารณาอย่างไม่ค่อยมั่นใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็แกะนิ้วชิงหลัวแล้วยัดมันใส่มือนาง สั่งการว่า “วันนี้ฮูหยินใหญ่มาพร้อมกับท่านพ่อด้วย เจ้าไปหานาง นางรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ”
“เจ้าค่ะ!” เสียงคนจอแจดังเข้าใกล้มากขึ้นทุกขณะ ชิงหลัวไม่พิรี้พิไร รีบรับคำแล้วแบกฉู่เยว่หนิงวิ่งหลบไปทางเล็กๆ ลึกเข้าไปในสวนดอกไม้
จัดการเรื่องเหล่านี้แล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีก
ฉู่สวินหยางถอนหายใจเบาๆ พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงหันไปมองที่เฉี่ยนลวี่ เอ่ยว่า “เจ้ามาช่วยข้าก่อน!”
เหยียนหลิงจวินในเวลานี้ทำหน้าไม่รับแขก เฉี่ยนลวี่หัวใจเต้นตุบๆ แค่มองหน้ายังไม่กล้าด้วยซ้ำจึงพยักหน้าทันควันโดยไม่หยุดคิด
“ทุกอย่างตามท่านหญิงจะบัญชา!” อย่างไรเจ้านายของตนก็ตามใจท่านหญิงสวินหยางทุกอย่างอยู่แล้ว นางรับปากไปอย่างไรก็ไม่ผิดแน่
ฉู่สวินหยางขยับยิ้ม แล้วพานางเดินไปที่ด้านหลังของภูเขาจำลอง
ตรงนั้น เหลยซวี่กับฉู่เยว่เหยียนยังนอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนพื้นดิน
เฉี่ยนลวี่ขมวดคิ้ว อดจะหันไปส่งสายตาสงสัยให้กับฉู่สวินหยางไม่ได้ ท่านหญิงสวินหยางท่านนี้คงไม่ได้คิดจะให้นางถอดเสื้อผ้าของทั้งสองคนแล้วฉวยโอกาสเล่นบทจับชู้กระมัง?
เหยียนหลิงจวินเหลือบมองสองคนด้วยความรังเกียจ เอ่ยเสียงเย็นว่า “ยืนอึ้งอะไร? พาสองคนนี้เข้าเรือนไปสิ!”
เรื่องของฉู่เยว่เหยียนกับเหลยซวี่ ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่อิ้งจื่อได้เล่าคร่าวๆ ให้เขาฟังหมดแล้ว หากบอกว่าจางอวิ๋นเจี่ยนสมควรตาย สองคนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร
“เจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่ใจสั่นเล็กๆ รีบร้อนหาที่ซ่อนให้สาวใช้ที่อยู่ในอ้อมแขน จากนั้นก็ดึงสายผูกเอวของคนทั้งสองไว้ในมือ
ฉู่สวินหยางเห็นนางมีท่าทางหวาดกลัวก็งุนงง พอเหลือบไปเห็นน้ำแข็งที่เคลือบอยู่บนหน้าของเหยียนหลิงจวิน คิ้วก็ขมวดแน่นยิ่งกว่าเก่า…
ทำไมเฉี่ยนลวี่ถึงดูหวาดกลัวเขาขนาดนั้น? ความจริงตอนที่เขาซ่อนมีดไว้ภายใต้รอยยิ้มต่างหากถึงจะทำให้คนรู้สึกใจสั่นขวัญหายได้จริงๆ
แม้ว่ากำลังของเฉี่ยนลวี่จะไม่เลว แต่อย่างไรก็เป็นแค่เด็กอายุสิบกว่าปี จะให้ลากคนสองคนด้วยมือเปล่าก็ออกจะกินแรงเกินไป เหยียนหลิงจวินที่อยู่ด้านข้างยืนเฉยวางท่าเป็นเจ้านาย ฉู่สวินหยางทนมองไม่ไหวจึงถอนหายใจจะเดินเข้าไปช่วย แต่เขากลับขยับตัวชิงไปกระชากเหลยซวี่มาไว้ในมือแล้วก้าวพรวดๆ ไปทางเรือนพัก
เฉี่ยนลวี่หน้าขาวซีด รีบแบกฉู่เยว่เหยียนตามไปติดๆ ด้วยความกังวล
ฉู่สวินหยางเดินตามสองนายบ่าวท่าทางพิกลไปอย่างเงียบๆ
แม้ว่าพวกนางทางนี้จะจัดการได้ว่องไว แต่อีกฝ่ายเตรียมการมาก่อน ย่อมลื่นไหลไม่ติดขัด ทางด้านหน้ามีขบวนสตรีสูงศักดิ์ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยสาวใช้กำลังมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็วโดยมีซูหว่านเป็นแกนนำ
โลกช่างคับแคบเสียนี่กระไร!
หากเดินต่ออย่างไรก็ต้องปะทะกัน
สมองของสวินหยางหมุนแล่นเร็วจี๋ เปิดปากสั่งการเฉี่ยนลวี่อย่างเด็ดขาด “หลังเรือนมีหน้าต่าง เจ้าพาคนอ้อมไปข้างหลัง แล้วส่งเข้าไปในห้อง”
“เจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่ตอบรับ หมุนตัวหลบไปทางด้านข้าง
—————————————————————————-
ตอนที่ 73 (2)
วางยาสลบ (2)
ฉู่สวินหยางดึงสายตากลับมา เดิมคิดว่าเหยียนหลิงจวินความคิดว่องไวหาได้จำเป็นให้นางเอ่ยปาก แต่พอหันหน้ามากลับเจอว่าเขายังเดินสาวเท้าพรวดๆ ตรงไปหาพวกซูหว่านอย่างไม่กังวลหรือหลบเลี่ยงแม้แต่นิดเดียว
ดูจากท่าทาง…
คงไม่ได้คิดจะใช้เหลยซวี่เป็นอาวุธซัดกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาให้ราบเป็นหน้ากองกระมัง?
ฉู่สวินหยางร้อนใจ เหงื่อเย็นๆ พลันผุดทั่วร่าง
แต่วินาทีต่อมาก็ต้องดวงตาพร่าลาย…
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูเรือน จู่ๆ เหยียนหลิงจวินก็ปล่อยมือ จากนั้นก็ชิงจังหวะช่วงที่ร่างของเหลยซวี่ทรุดลง ถีบเข้าอย่างแรงไปหนึ่งเท้า เขาแทบจะไม่ขยับร่างกาย ยิ่งมีชายเสื้อคลุมบังไว้ ยากนักที่จะมีใครสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขา แต่บุรุษผอมสูงที่ถูกเขาหิ้วไว้ในมือกลับลอยละลิ่วไปทางเรือนพักราวกับผ้าขี้ริ้วรุ่งริ่งผืนหนึ่ง
ตามมาด้วยเสียงโครมดังสนั่น
หางตาของฉู่สวินหยางตวัดตามไป
ตอนที่สายตากวาดที่ทางเรือนพักก็เห็นร่างของเหลยซวี่พาดอยู่กับธรณีประตูเรือนซึ่งตรงข้ามประตูใหญ่อย่างเหมาะเจาะ
ประตูเรือนเปิดออกด้วยแรงกระแทก ภาพฉากดูสมจริง ราวกับว่าเขาล้มลงตอนที่คิดจะพังประตูเข้าไปพอดี
ฉู่สวินหยางเหงื่อเย็นโชกหน้า
หลังจากที่เหยียนหลิงจวินถีบเหลยซวี่ไปเท้าหนึ่งก็ยืนสง่าผ่าเผยอยู่ที่เก่า อกผายยืดตรง รอคอยอย่างเงียบๆ ที่นอกประตูใหญ่ ดวงหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มน่าหลงใหล เลิศล้ำเหนือทุกสรรพสิ่งราวกับอยู่คนละโลกกับดวงหน้าแข็งทื่อไร้อารมณ์ในวินาทีก่อนหน้านี้
ใต้เท้าเหยียนหลิงที่มีรอยยิ้มหยาดเยิ้มช่างน่าขนลุกจริงๆ!
ฉู่สวินหยางสะท้านไปทั่วร่างด้วยความหนาวเย็น แต่ก็เพียงชั่ววินาที ดวงหน้าก็ขยับเป็นรอยยิ้มไร้พิษสง ขยับเท้าขึ้นไปยืนเคียงข้างเขาอย่างช้าๆ
การกระทำเมื่อครู่ของเหยียนหลิงจวินไม่ถือว่าหลบซ่อน ถึงขึ้นเรียกว่าโอ้อวดก็ยังได้
เมื่อได้เห็นกลุ่มคนที่ดาหน้าเข้ามาในตอนนี้ ฉู่สวินหยางถึงค่อยเข้าใจเจตนารมณ์ของเขา…
กลุ่มคนกลุ่มนั้น มีซูหว่านเดินนำมาหน้าสุด นอกจากสาวใช้ประจำตัวที่ห้อมล้อมอยู่ข้างกาย ก็ยังมีบ่าวคุ้มเรือนของจวนอ๋องหนานเหอจำนวนหนึ่งซึ่งกำไม้พลองไว้ในมือ
คนพวกนี้อยู่แนวหน้า บดบังสายตาของเหล่าสตรีเบื้องหลังได้พอดี
การกระทำของเหยียนหลิงจวิน ซูหว่านย่อมมองเห็นอย่างแจ่มชัดถนัดตา
เห็นว่าเขาหิ้วคนครึ่งเป็นครึ่งตายคนหนึ่งเดินเข้ามาหา นางยังไม่ทันจะแน่ใจฐานะของคนผู้นั้น สายตาก็พลันพร่าเลือน แล้วร่างใหญ่ของคนผู้นั้นก็กระแทกกับประตูด้านในเสียงดังโครม
ซูหว่านทำหน้าตกตะลึง ฝีเท้าชะงักกึกพร้อมๆ กับข้ารับใช้ที่ทำหน้าเหมือนเห็นผี
“เมื่อครู่เสียงอะไรนั่น?” คนด้านหลังเบียดตัวขึ้นมาด้วยความสงสัย พอเห็นเหยียนหลิงจวินกับฉู่สวินหยางยืนอยู่หน้าประตูก็ประหลาดใจเป็นยิ่งยวด “ท่านหญิงสวินหยาง? ใต้เท้าเหยียนหลิง? เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่เล่า?”
“อ้อ!” เหยียนหลิงจวินสีหน้าราบเรียบ หลุบตามองลายปักเมฆาบนปกคอเสื้อ “ท่านหญิงสวินหยางกำลังพาหม่อมฉันไปคารวะองค์รัชทายาทกับท่านอ๋องหนานเหอ พอดีตอนที่ผ่านทางมาคล้ายจะได้ยินเสียงคนกรีดร้อง ถึงเดินเข้ามาดู ทุกท่านเล่า? เหตุใดจึงมาถึงที่นี่?”
ผู้ที่ถามเมื่อครู่คือคนแซ่ฉินซึ่งเป็นชายาของผู้ตรวจการนามว่าหลิวปิ่งอิ้น ได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า “พวกเราก็น่าจะได้ยินเสียง? เมื่อครู่ตอนที่กำลังสนทนาอยู่ห้องรับแขกด้านข้าง ฟังสาวใช้เล่าว่าเหมือนมีเสียงแปลกๆ ดังมาจากทางนี้ถึงได้เดินมาดูกัน”
การรายงานข่าวย่อมเป็นผลงานของซูหว่านอย่างไม่ต้องสงสัย
เวลานั้นซูหว่านเพิ่งจะได้สติกลับคืน ยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามาหา ทันทีที่ยื่นหน้าเข้าไปมองด้านในเรือน สีหน้าก็ดูไม่ได้ทันที
ในเรือนมีเลือดกองหนึ่ง ชายผู้แต่งกายเหมือนเด็กรับใช้นอนสลบอยู่ ผู้นั้นก็คือสายลับที่นางวางเอาไว้ ธรณีประตูยังมีอีกหนึ่งคนนอนพาดอยู่ ศีรษะเอนเข้าไปด้านในจนมองไม่เห็นหน้า ส่วนคนที่นางวางแผนให้ล่วงหน้ามาก่อนอย่างจาง อวิ๋นเจี่ยนกลับไม่รู้ว่าหายหัวไปไหน
ฉู่สวินหยางที่เดิมควรเป็นผู้รับเคราะห์กลับยืนอยู่ด้านนอก ทั้งยังปลอดภัยไร้เรื่องราว หัวใจของซูหว่านสะท้านสั่น ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างพลันโถมเข้าใส่ นางกัดฟันแล้วสะบัดหน้าหันมามองเหยียนหลิงจวิน เอ่ยเสียงหนาวเย็นว่า
“เมื่อครู่เจ้าทำอะไร?”
เหยียนหลิงจวินส่งยิ้มสบายอุรา ตอบด้วยหูตาแพรวพราว “อ่อ? ท่านหญิงซูคิดว่าข้าทำอะไรหรือ?”
ซูหว่านถลึงตาใส่ เหตุการณ์เมื่อครู่ใครๆ ก็มองเห็น เขากลับพูดออกมาได้อย่างหน้าไม่อาย
ชั่วเวลาหนึ่งนางรู้สึกสับสน สัมผัสได้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มงามล่มเมืองของบุรุษตรงหน้ามีสิ่งต้องห้ามที่นางไม่อาจแตะต้องซุกซ่อนอยู่ ซูหว่านแค่เสียหลักไปชั่วครู่ ทันใดก็มีดรุณีน้อยแทรกตัวขึ้นมาจากกลุ่มคนด้านหลังด้วยรอยยิ้มสดใส นางอายุประมาณได้สิบสี่สิบห้า แต่งชุดกระโปรงสีแสงฉูดฉาด ดวงตากลมโตสุกใสมีเสน่ห์ แก้มทั้งสองข้างมีลักยิ้มกดลึกตอนที่แย้มยิ้ม นางพุ่งตัวมาเร็วมากเหมือนผีเสื้อที่บินออกมาจากพุ่มดอกไม้ เข้าถึงตัวก็คว้าหมับเข้าที่มือของฉู่สวินหยาง ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า
“น้องสวินหยาง!” ระหว่างที่จำนรรจา เครื่องประดับมุกบนผมก็แกว่งไหว เพิ่มความมีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน
ฉู่สวินหยางตะลึงไป ก่อนจะเผยยิ้มพร่างพราวออกมาจากนัยน์ตา กุมมือของนางกลับ เอ่ยเสียงยินดีว่า “พี่ชิงเอ๋อร์ กลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”
ฮั่วชิงเอ๋อร์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพเมืองฉู่นามว่าฮั่วกัง ฮั่วกังถือเป็นขุนนางที่ติดตามสกุลฉู่มานาน หลายปีก่อนตอนเกิดสงครามก็อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉู่อี้อัน ฉู่อี้อันให้การดูแลฮูหยินและบุตรสาวของเขา ช่วงนั้นจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ฮูหยินของเขาเกิดในครอบครัวสามัญชน นิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ฮั่วกังก็เป็นตรงไปตรงมา ฮั่วชิงเอ๋อร์ได้รับนิสัยของคนทั้งสองมาเต็มๆ นางเปิดเผยจริงใจ เข้ากันกับฉู่สวินหยางได้เป็นอย่างดี แต่เพราะเมื่อสามปีก่อนตอนที่แม่เฒ่าฮั่วสิ้นลม ตรงกับช่วงที่สงครามระหว่างหนานฮวาเป็นไปอย่างตึงเครียด ราชสำนักออกคำสั่งงดเว้นการอาลัย ฮั่วกังไม่อาจอยู่ไว้ทุกข์ ฮูหยินฮั่วกับฮั่วชิงเอ๋อร์จึงเป็นคนพาโลงศพกลับบ้านเกิด คำนวณเวลาดู เดือนที่แล้วก็ครบสามปีเต็มในการไว้ทุกข์พอดี
“ไม่กี่วันหรอก รีบกลับมาให้ทันข้ามปีน่ะ!” ฮั่วชิงเอ๋อร์ตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดงไปหมด
ฮูหยินฮั่วก้าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม แกล้งทำหน้าเข้มดุนางไปทีหนึ่ง “ห้ามเสียมารยามนะ!”
จากนั้นก็ย่อกายคารวะฉู่สวินหยาง เอ่ยว่า “ผ่านมาหลายปี เด็กคนนี้ก็ยังนิสัยเหมือนเดิม ท่านหญิงอย่าได้ถือสานางเลย”
“ฮูหยินฮั่วเกรงใจไปแล้ว” ฉู่สวินหยางตอบ
ฮั่วชิงเอ๋อร์นิสัยอยู่ไม่นิ่ง เวลานี้เพิ่งเห็นว่าภายในเรือนเละเทะไปหมด พลันขมวดคิ้วมุ่น ยกชายกระโปรงก้าวนำเข้าไปเป็นคนแรก “เกิดอะไรขึ้นที่นี่เนี่ย? ถูกโจรปล้นรึ?”
นางเกิดในครอบครัวทหาร แม้จะมีฮูหยินฮั่วคอยห้ามปรามแต่นิสัยก็ยังเป็นเช่นนี้ นางเรียนวิชามวยเพื่อฝึกฝนร่างกายจึงกล้าหาญชาญชัยกว่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ พูดจบแล้วก็โน้มตัวไปทดสอบลมหายใจของเด็กรับใช้ผู้นั้นทันที
ฮูหยินฮั่วตกอกตกใจ ถลาเข้าไปลากนางออกมาห่างๆ ตำหนิเสียงเบาว่า “อย่าก่อเรื่อง”
หัวคิ้วของฮั่วชิงเอ๋อร์พันกันหนักกว่าเก่า ปล่อยให้มารดาของตนลากออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
ตอนนั้น คนอื่นๆ ก็พากันเดิมตามเขาไปในเรือน มองดูสภาพที่เกิดขึ้นแล้ววิพากษ์กันระงม
ซูหว่านกดโทสะไว้เต็มท้อง จ้องเขม็งไปที่เหยียนหลิงจวิน เอ่ยเสียงลอดฟันว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิง เจ้าสมควรอธิบายอะไรหน่อยไหม?”
“อธิบายอะไร? พวกเจ้ามองเห็นเท่าไร ข้าก็มองเห็นเท่านั้น” เหยียนหลิงจวินตอบด้วยสีหน้าสบายๆ
“โกหก!” ซูหว่านกัดริมฝีปาก กดแรงจนแทบปริแตก ยกมือชี้นิ้วไปที่ไปเหลยซวี่ที่อยู่ตรงประตู “เมื่อครู่นี้ข้าเห็นอยู่เต็มตาว่าเป็นเจ้าที่โยนคนผู้นั้นเข้ามา”
เสียงกระซิบกระซาบดังระงม สายตาสงสัยลอบประเมินเหยียนหลิงจวิน
เหยียนหลิงจวินเบนสายตาขึ้นสูงด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดังเก่า ไม่แม้แต่จะหันมองนาง ทั้งยังทำหน้าคร้านจะเอ่ยปาก
ซูหว่านเลือดขึ้นหน้า ก้าวขาเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว “เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่? ข้าเห็นกับตาตัวเอง สาวใช้ของข้ากับบ่าวคุ้มเรือนของจวนอ๋องหนานเหอก็ยังเห็น”
ระหว่างที่นางเอ่ยประโยคนี้ก็ส่งสายตาเฉียบคมมองไปรอบด้าน
“ใช่แล้ว พวกเราก็เห็นเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกายนางรีบก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “บ่าวเป็นพยานได้ ใต้เท้าเหยียนหลิงเป็นคนโยนคนเข้ามาในเรือนเจ้าค่ะ”
บ่าวคุ้มเรือนของจวนอ๋องหนานเหอที่อยู่ด้านข้างก็เตรียมพร้อมจะเข้าร่วม
“ตรงนี้ถึงขั้นเลือดตกยางออกแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากจะเอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อย ข้าแนะนำให้เจ้าคิดให้ดีก่อนจะพูดนะ!” โดยไม่คาดคิด ฉู่สวินหยางก้าวออกมาพร้อมเอ่ยไปอีกเรื่องอย่างยิ้มๆ สายตาเย้ยหยันจ้องไปที่ซูหว่าน
“ท่านหญิงซู ใต้เท้าเหยียนหลิงกับเจ้าไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวกันกระมัง?”
ระหว่างที่พูดนางก็กวาดสายตามองไปทางบ่าวคุ้มเรือนอย่างเป็นนัยแสดงท่าทีตักเตือนชัดเจน
—————————————————————————-
ตอนที่ 73 (3)
วางยาสลบ (3)
วันนี้จวนอ๋องหนานเหอมีงานมงคล แม้ว่าพวกเขาจะตระเตรียมกันมาล่วงหน้า แต่ว่าฉู่สวินหยางไม่ได้รับอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น เหตุการณ์เกิดพลิกผัน หากทำให้จวนท่านอ๋องเข้าไปมีเอี่ยว พวกเขาที่เป็นเพียงบ่าวคุ้มเรือนจะแบกรับโทษทัณฑ์ไหวหรือ?
ขบวนคนที่ยกกันมามากมาย พลันลังเลไม่รู้จะไปต่ออย่างไร
ซูหว่านถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว สีหน้าซีดแล้วซีดอีก…
คนของจวนอ๋องหนานเหอคิดจะถอนตัวออกห่าง?
ฉู่สวินหยางเห็นว่าแผนการลุล่วง จึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ เอ่ยต่อว่า “ท่านหญิงซู ก่อนหน้านี้ที่พระราชนิเวศน์ ใต้เท้าเหยียนหลิงเป็นคนจัดการมือสังหารที่ทำร้ายเจ้า อภัยที่ข้าหูตาคับแคบ หรือว่านี่เป็นวิธีการที่สกุลซูของเจ้าตอบแทนผู้มีพระคุณของตนเองรึ?”
“เจ้าไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง ข้ากับเขาไม่เคยรู้จักกัน จะมาว่าร้ายเขาอย่างไม่มีหลักฐานได้อย่างไร? อีกอย่าง หากมิใช่ฝีมือของเขาเหยียนหลิงจวิน แล้วคนผู้นั้นจะมานอนอยู่ตรงนี้ได้หรอ? เด็กรับใช้ผู้นี้ก็สลบอยู่ เจ้าอย่าบอกนะว่าพวกเขาทำร้ายกันเองจนบาดเจ็บ!” ซูหว่านเอ่ยอย่างเดือดดาล เข้าไปกระชากคอเสื้อของบ่าวคุ้มเรือนจวนท่านอ๋อง แล้วจ้องเขาด้วยสายตากดดัน “เมื่อครู่เจ้าก็เดินอยู่ข้างหน้าสุด เจ้าพูดออกมา เจ้าเห็นอะไร!”
ฉู่สวินหยางหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะเบือนสายตาไปด้านข้าง
เหยียนหลิงจวินเผยยิ้มจริงใจ ไม่แยแสแม้สักกระผีก
สีหน้าของบ่าวคุ้มเรือนคนนั้นเปลี่ยนเป็นสีตับหมู แม้จะรู้แก่ใจว่าเหตุการณ์นี้เป็นแผนที่ท่านหญิงของตนวางเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุใดพอเห็นสีหน้าพวกฉู่สวินหยางสองคนก็สูญเสียความมั่นใจไปหมดสิ้น
“ท่านหญิงซู พวกบ่าวมัวกังวลแต่จะรีบมาที่นี่ ไม่ทันสังเกตอย่างอื่นขอรับ” บ่าวคุ้มเรือนผู้นั้นกล่าวออกมาอย่างลำบากใจ
“เจ้า…” ซูหว่านอึ้งไป แค่นหัวเราะออกมาทีหนึ่งอย่างคิดไม่ถึง
นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ฮั่วชิงเอ๋อร์ก้าวขึ้นมาด้วยทนมองต่อไปไม่ไหว เอ่ยเสียงฟังชัด “ใต้เท้าเหยียนหลิงเคยช่วยชีวิตเจ้า เจ้ายังบอกว่าไม่เคยรู้จักกัน? คนอื่นล้วนมองไม่เห็น มีแต่สาวใช้ข้างกายเจ้าที่พูดเช่นนั้น เกรงว่าจะนับเป็นจริงไม่ได้หรอกนะ?”
เอ่ยจบก็ไม่สนใจสายตาทิ่มแทงของซูหว่าน เชิดหน้าสูงแล้วกล่าวอย่างดื้อรั้น “เข้าไปดูสิ คนที่อยู่ตรงประตูตายรึยัง? ข้ามองแล้วหน้าตาของบ่าวคนนั้นก็ดูไม่เหมือนคนดี แปดส่วนน่าจะเป็นโจรแน่แล้ว!”
มีบ่าวคุ้มเรือนฝืนใจวิ่งเข้าไปพลิกร่างของเหลยซวี่เพื่อตรวจสอบ ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังอย่างเกินความคาดหมาย “นี่มิใช่คุณชายรองของเสนาธิการฝ่ายพิธีการสกุลเหลยหรอกรึ?”
ทุกคนที่ได้ยินก็พากันทำหน้าแตกตื่น
ซูหว่านไม่มีทางให้เลือกมาก กลัวแต่ว่าฉู่เยว่หนิงทางนั้นจะเกิดเรื่องผิดพลาด รีบยกกระโปรงชิงวิ่งเข้าไปในเรือนเป็นคนแรก จนลืมว่าภายในห้องถูกรมยาสลบชนิดรุนแรงเอาไว้ ทันทีที่ขาข้างหนึ่งก้าวข้ามประตูไป กลิ่นหอมประหลาดก็ปะทะใส่จมูกทันที
เพราะประตูเรือนถูกเปิดเข้าออกไปหลายครั้ง ฤทธิ์ยาจึงอ่อนลงไปมากแล้ว แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก ซูหว่านก็เริ่มหน้ามืดตาลาย ร่างกายโอนเอน
นางตื่นตระหนกในใจ รีบคว้าวงกบประตูไว้เพื่อพยุงตัว จากนั้นก็ใช้สายตามองไปรอบๆ ตัวคนทรุดลงพื้น กองแหมะอยู่ข้างๆ เหลยซวี่ สาวใช้สองคนที่ตามมาพากันหน้าถอดสี รีบวิ่งเข้าไปประคอง
ไม่คาดฝัน ผู้ที่วิ่งน้ำหน้าไปพลันฝีเท้าซวนเซเมื่อเข้าใกล้ประตู ก่อนจะล้มคว่ำไปข้างหน้าด้วยอีกคนหนึ่ง
“นี่… นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์พากันหน้าเสีย น้ำเสียงสั่นเครือ
ทั้งข้ารับใช้คนอื่นๆ ต่างก็หวาดกลัว ไม่มีใครกล้าเข้าไปอีก มุมปากของเหยียนหลิงจวินกระตุกขึ้นเล็กน้อย แล้วค่อยเยื้องย่างไปหา ฮั่วชิงเอ๋อร์กลัวเขาจะพลอยโดนไปด้วย รีบเข้าไปห้ามปราม “เดี๋ยว…”
แต่ฉู่สวินหยางกลับดึงมือนางเอาไว้ แล้วส่ายหน้าให้ พลางเอ่ยปากกำชับว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงระวังตัวด้วย!”
เหยียนหลิงจวินเพียงยิ้มรับ ล้วงผ้าเช็ดหน้าจากในแขนเสื้อมาปิดจมูก จากนั้นก็เดินวนรอบเรือนรอบหนึ่ง ตอนที่วนกลับมาถึงได้เอ่ยว่า “ภายในห้องมีคนรมยาสลบอย่างแรงเอาไว้ ไม่อันตรายถึงชีวิต ด้านหลังเรือนมีหน้าต่าง เปิดออกให้อากาศระบายหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดี!” พวกฮั่วชิงเอ๋อร์พากันตบอกอย่างโล่งใจ
บ่าวรับใช้ถึงค่อยกล้าเดินเข้าไปใกล้ พากันปิดจมูกแล้วย้ายร่างคนทั้งสามที่อยู่หน้าประตูออกมา
ขณะที่ด้านนี้กำลังวุ่นวาย ชายาอ๋องหนานเหอก็ได้รับข่าว จึงรีบร้อนตามมาพร้อมกับกลุ่มคนที่ล้อมหน้าล้อมหลัง
“ได้ยินว่าที่นี่เกิดเรื่อง? มีอะไร?” น้ำเสียงคนแซ่เจิ้งร้อนใจ น้ำเสียงแฝงความไม่ปลาบปลื้มอย่างชัดเจน พอก้าวข้ามประตูใหญ่มาก็เห็นร่างเด็กรับใช้นอนจมกองเลือดอยู่ หน้าพลันถอดสีแล้วตวาดอย่างบันดาลโทสะว่า “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?!”
บ่าวรับใช้ทรุดเข่าลงพื้นอย่างพร้อมเพรียง หัวหน้าบ่าวคุ้มเรือนคนหนึ่งก้มหน้างุดมองพื้น เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “พวกบ่าวก็ไม่ทราบ ตอนแรกได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากทางนี้ ตอนที่มาถึงก็มีสภาพอย่างที่เห็นขอรับ”
จวนอ๋องกำลังจัดงานเลี้ยงมงคล ที่แห่งนี้กลับมีการเลือดตกยางออก
นี่เป็นสิ่งอัปมงคลยิ่งแล้ว!
สีหน้าของคนแซ่เจิ้งดำทะมึนไปหมด แม้จะอยู่ต่อหน้าแขกเหรื่อมากมายแต่ก็ยากจะควบคุม
ฮูหยินหลิวเดินเข้ามาพลางถอนหายใจ มองเข้าไปในห้อง ในอกก็ยังไม่หายหวาดผวา เอ่ยว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงตรวจดูแล้ว บอกว่ามีคนรมยาสลบชนิดรุนแรงเอาไว้ คุณชายรองสกุลเหลยกับท่านหญิงซูไม่ทันระวังจึงถูกเล่นงาน”
“ยาสลบ?” น้ำเสียงของคนแซ่เจิ้งตวัดสูง สีหน้าพลันเกรี้ยวกราดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
สาวใช้คนหนึ่งของซูหว่านจิกเล็บลงฝ่ามือ กัดฟันแล้วเปิดปากอย่างอึกอัก “เหมือนว่าท่านหญิงสี่แห่งวังบูรพาจะเข้ามาเปลี่ยนชุดที่นี่ ต่อมาก็ไม่เจอตัวคนแล้วเจ้าค่ะ”
คนแซ่เจิ้งเข้าใจในทันที รีบชี้นิ้วสั่ง “ไปเดี๋ยวนี้ เข้าไปดูสิ ว่าคนเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ท่านหญิงแห่งวังบูรพา ไม่อาจให้เกิดเรื่องผิดพลาดใดๆ ในจวนของนางได้ ไม่เช่นนั้นจะไปชี้แจงต่อฉู่อี้อันอย่างไร?
ตอนนี้บ่าวรับใช้มีประสบการณ์แล้ว สาวใช้รุ่นใหญ่สองคนรีบปิดจมูกแล้วเข้าไปด้านใน ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องออกมา “นี่… นี่…”
คนที่อยู่ด้านนอกต่างเฝ้ารอด้วยหัวใจเป็นกังวล ผ่านไปสักพักก็เห็นสาวใช้สองคนอุ้มร่างดรุณีเร่งฝีเท้าออกมา สาวใช้ของซูหว่านเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางกบาล ความตกใจกลัวกระจายไปทั่วหน้า
สองสาวรุ่นใหญ่ทั้งสองก็สับสนงุนงง เอ่ยว่า “พระชายา ท่านหญิงสี่ไม่อยู่มีแต่ท่านหญิงห้านอนสลบอยู่บนเตียงในห้องเจ้าค่ะ”
เรื่องว่าภายในห้องจะเป็นฉู่เยว่หนิงหรือว่าฉู่เยว่เหยียนนั้น คนแซ่เจิ้งหาได้สนใจ นางรีบปรี่เข้าไปกวาดตามองเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของฉู่เยว่เหยียน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรบุบสลาย หัวใจที่แขวนกลางอากาศถึงค่อยวางลงได้ โบกมือไหวๆ เอ่ยว่า “หาเรือนพาพวกเด็กๆ ไปพักก่อน แล้วก็ไปตามฮูหยินใหญ่ไม่ก็ฮูหยินเหลยให้ไปดูด้วย”
สกุลซูเองวันนี้ก็ต้องตระเตรียมงานมงคล ตามหลักแล้วซูหว่านไม่สมควรจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แต่ความสัมพันธ์ของนางกับฉู่หลิงอวิ้นนับว่าไม่เลว แต่เช้าตรู่ก็บอกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ในอนาคต คนแซ่เจิ้งจึงไม่ได้ว่ากระไร
แต่ไม่คิดฝัน ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ผู้เป็นบ่าวน้อมรับคำสั่ง รีบเคลื่อนย้ายสองสามคนที่สลบไสลออกไปก่อน
ภายในลานเหลือเพียงเด็กรับใช้ที่นอนไม่ได้สติ คนแซ่เจิ้งมองแล้วก็ให้อารมณ์พลุ่งพล่าน ตีหน้าเย็นหันมาเอ่ยกับป้ากู้ว่า “เป็นคนของจวนเราหรือเปล่า?”
ป้ากู้สนิทมักคุ้นกับทุกคนในจวนเป็นอย่างดี จ้องมองอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งก็ส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นเจ้าค่ะ คงจะไม่ใช่!”
“หรือจะเป็นโจรที่ฉวยโอกาสเข้ามาตอนชุลมุน” หนึ่งในฝูงชนปิดปากอุทาน สายตาลอยไปทางห้องด้านข้างด้วยความหวาดหวั่น “โจรผู้นี้วางยาสลบเพราะคิดฆ่าคน แต่ถูกคุณชายเหลยพบเข้า? แต่ตอนที่พยายามจะเข้าไปช่วยคนก็สลบไปอย่างไม่ทันระวัง”
ฉู่สวินหยางหลุดยิ้ม ต้องนับถือเหยียนหลิงจวินจริงๆ แค่การจัดฉากเรื่องราวอย่างส่งๆ แถมไม่ต้องให้เขาเอ่ยปากเล่าเรื่อง ก็มีคนรีบออกมาลำดับเหตุการณ์ให้ตั้งแต่ต้นจนจบ
“เด็กรับใช้คนนั้นถูกทำร้ายด้วยของมีคม แต่ที่นี่เหมือนจะไม่พบอาวุธใดๆ สักชิ้น?” ฉู่สวินหยางรีบเก็บรอยยิ้มก่อนที่ใครจะสังเกตเห็น เดินขึ้นไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยกับคนแซ่เจิ้งว่า “วันนี้เป็นวันสำคัญของท่านหญิงอันเล่อ ตรงนี้กลับมีเรื่องจนเลือดตกยางออก มิใช่ลางดีเลย ส่วนตัวข้าคิดว่าควรต้องแจ้งแก่ทางการ”
คนแซ่เจิ้งมุ่นคิ้ว ส่งสายตาเป็นคำถามไปให้บ่าวคุ้มเรือน
“รายงานพระชายา ไม่พบอาวุธที่เปื้อนเลือดจริงๆ ขอรับ” บ่าวคุ้มเรือนรีบร้อนตอบความ
“หรือว่ายังมีคนอื่นเข้ามาที่นี่อีก?” ฮั่วชิงเอ๋อร์กระพริบตาปริบๆ กัดริมฝีปากพลางใช้ความคิด
หัวใจของคนแซ่เจิ้งยิ่งสับสบขึ้นไปใหญ่ ลังเลครู่หนึ่งถึงได้กล่าวว่า “วันนี้จวนอ๋องหนานเหอของข้าจัดพิธีสมรส ทำให้ทุกคนเสียขวัญแล้ว ต้องขออภัยด้วย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นมงคล ข้าไม่อาจให้มันทำลายวันดีๆ ของอวิ้นเอ๋อร์ได้ ป้ากู้ พาคนออกไปก่อน รอเสร็จพิธีแล้วค่อยส่งตัวให้ทางการสืบสวน”
“เจ้าค่ะ พระชายา!” ป้ากู้รับคำสั่ง ย่อกายคารวะ
—————————————————————————-
ตอนที่ 73 (4)
วางยาสลบ (4)
คนแซ่เจิ้งค่อยพอจะหายใจสะดวก เอ่ยยิ้มแย้มกับทุกคนว่า “เรื่องราวตรงนี้ต้องขอให้ทุกคนอภัย ข้าไม่อยากให้เกิดข่าวไม่ดีในงานพิธี ดังนั้น…”
“พระชายาวางใจเถอะ พวกเราไม่ใช่คนที่จะพูดจาตามใจปาก ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน!” ฮูหยินหลิวรีบต่อความทันที
คนแซ่เจิ้งค่อยสบายใจ ยิ้มให้อย่างซาบซึ้ง “ประเสริฐยิ่ง เช่นนั้นก็เชิญทุกคนไปดื่มน้ำชาที่ห้องรับแขกก่อนเถอะ ข้ายังต้องไปเจอชายาเหลยพวกนั้นอีก”
“เชิญพระชายาตามสบาย!” ทุกคนมองส่งนางจนลับตา ก่อนจะแยกย้ายกันออกไป
ฮั่วชิงเอ๋อร์เข้ามาดึงแขนของฉู่สวินหยางเอาไว้ กระซิบว่า “น้องสาวคนดี ข้าไม่เจอเจ้าตั้งนานแล้ว คิดถึงยิ่งนัก พวกเราไปหาที่สนทนากันเถอะ!”
เหยียนหลิงจวินเห็นนางคล้องแขนฉู่สวินหยางอย่างเป็นธรรมชาติ หัวคิ้วก็พันกันเล็กน้อยอย่างไม่รู้สึกตัว
ฉู่สวินหยางหัวเราะ วางมือลงบนมือของนาง “พรุ่งนี้ข้าว่าง ข้าจะไปหาเจ้าที่จวนแม่ทัพ ตอนนี้เกิดเรื่องกับน้องห้า ข้าต้องตามไปดูก่อน”
ฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่ใคร่จะพอใจ แต่ไม่นานก็ยิ้มแย้มให้อย่างใจกว้าง ตอบว่า “ก็ดีเหมือนกัน ข้ามีของขวัญมาให้เจ้าด้วย พรุ่งนี้ข้าจะรอนะ!”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้ารับ
ฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่แง่งอน ยกกระโปรงแล้วหมุนตัวเดินตามฮูหยินฮั่วไป
ภายในลานว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ฉู่สวินหยางหันกลับมาเห็นว่าเหยียนหลิงจวินจ้องไปทางประตูใหญ่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด นึกว่าเขาสงสัยอยากรู้เบื้องหลังของฮั่วชิงเอ๋อร์ จึงเล่าความให้ฟังว่า “นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพฮั่ว ฮั่วกัง”
ความคิดของเหยียนหลิงจวินถูกนางขัดจังหวะ ดึงสายตากลับคล้ายว่าไม่ได้ฟังคำของฉู่สวินหยาง เพียงมองตานางแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ยาสลบชนิดนี้รุนแรงมาก หากว่าตั้งใจใช้มันกับฉู่เยว่หนิงจริงๆ ซูหว่านคิดจะให้นางสลบเป็นเวลานานเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง”
“ใช่!” เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฉู่สวินหยางก็รู้สึกมืดมนอยู่บ้าง
นางหมุนศีรษะ หรี่ตามองประตูใหญ่ที่ยังเปิดอ้า “น้องสี่ประพฤติตัวอยู่ในกรอบ ไม่เคยมีข่าวเสียหาย พวกนั้นก็ดูจะไม่ได้อะไรหากลงมือกับนาง”
“ฉู่เยว่เหยียนเป็นแค่ฉากหน้า หากพวกเราไม่ได้ขวางไว้แล้วทุกอย่างเป็นไปตามแผน คนที่จะถูกพบที่นี่น่าจะเป็นเจ้ากับคนแซ่จาง ถึงเวลานั้นฉู่เยว่เหยียนกับคนแซ่เหลยก็เป็นแค่หมากที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้” เหยียนหลิงจวินวิเคราะห์ด้วยสีหน้าลุ่มลึก ภายในดวงตาปล่อยไอเย็นเยียบน่ากลัว
“หากสืบสาวราวเรื่องขึ้นมา ก็เป็นแค่การแก่งแย่งชิงดีภายในของวังบูรพา เป็นฉู่เยว่เหยียนที่ร่วมมือกับนอกเพื่อทำลายชื่อเสียงของเจ้า จางอวิ๋นเจี่ยนแค่ตามมาเจอโดยบังเอิญเท่านั้น เช่นนี้แล้ว นี่จึงเป็นเรื่องคาวๆ ที่พวกเจ้าวังบูรพาก่อขึ้น ต่อให้เหตุการณ์จะเกิดในจวนอ๋องหนานเหอ แต่ก็ไม่อาจลากโยงไปถึงผู้เป็นเจ้าของจวนได้ หมากกระดานนี้ประเสริฐอย่างยิ่ง ทั้งยังไม่มีช่องโหว่ แต่ว่าในแผนการทั้งหมด… ฉู่เยว่หนิงคล้ายจะเป็นส่วนเกิน”
บนกระดานหมากนี้ แต่เริ่มเดิมทีก็ไม่มีใครคาดหวังว่าฉู่เยว่เหยียนจะทำมันสำเร็จ หากว่ามิใช่อิ้งจื่อชิงลงมือ ภายหลังนางกับเหลยซวี่ย่อมต้องตกอยู่ในกำมือของจางอวิ๋นเจี่ยน และจางอวิ๋นเจี่ยนต่างหากที่จะเป็นหมากตัวสำคัญซึ่งซูหว่านวางเอาไว้ ทว่าบทบาทของฉู่เยว่เหยียนนั้นก็ไม่อาจขาดไปจากแผน เพราะต้องเป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจ ให้นางหลุดจากข้อครหาทั้งหมด
พวกนั้นคิดจะจัดการฉู่สวินหยาง ใช้อุบายเพียงเท่านี้ก็จบเรื่องแล้ว
ทำไมยังต้องใช้ยาสลบรุนแรงกับฉู่เยว่หนิงอีก?
แค่เรื่องบังเอิญหรือ?
ไม่หรอก! คนที่มีความคิดละเอียดซับซ้อนอย่างฉู่หลิงอวิ้น ไม่มีทางทำเรื่องไร้ประโยชน์ให้คนสงสัยเล่น หากว่าเรื่องราวดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ แม้เรื่องของนางจะมากพอดึงดูดสายตาของคนส่วนใหญ่ แต่ก็ยากจะรับประกันว่าจะไม่มีใครตามไปเจอเรื่องที่ฉู่เยว่หนิงก็ตกเป็นเหยื่อ เช่นนี้มีแต่จะเพิ่มความยุ่งยาก
ดังนั้นตอนนี้มีเพียงสมมติฐานที่เป็นไปได้เพียงข้อเดียว…
ซูหว่านกับฉู่หลิงอวิ้นมีเจตนาจะทำอะไรบางอย่างกับฉู่เยว่หนิงตั้งแต่แรก
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ปล่อยไปก่อนแล้วกัน” ฉู่สวินหยางคร้านจะสืบสาวเรื่องที่คิดไปก็ยังไร้คำตอบ เพียงถอนหายใจเฮือก แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปดูทางโน้นแล้วจัดการเรื่องของฉู่เยว่เหยียนให้เรียบร้อยก่อน เจ้ากลับไปด้านหน้าเถอะ อยู่ที่นี่นานก็ไม่เป็นผลดี”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้า แต่กลับยืนนิ่งไม่ขยับ
ฉู่สวินหยางเดินไปได้สองก้าว รู้สึกว่าสายตาของเขายังติดอยู่ที่แผ่นหลัง จึงหันกลับไปส่งยิ้มให้เขา “ข้าไปก่อนนะ!”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินตอบเบาๆ สายตามองส่งนางจนลับหายจากลานเรือน
เฉี่ยนลวี่ซ่อนตัวอยู่บนหลังคานานแล้วเวลานี้จึงได้ทิ้งตัวลงมา เอ่ยปากเรียกอย่างระมัดระวัง “นายท่าน!”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินไร้อารมณ์บนหน้า “ไปตามหาเจี๋ยหงที่ด้านหน้า บอกนางว่าตรงนี้จบเรื่องแล้ว ไม่ต้องคอยเฝ้าอีก พวกเจ้าทั้งหมดไปเฝ้าฉู่หลิงอวิ้นทางนั้น จับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของนางให้ดี”
“เจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่รับคำสั่ง เหมือนว่าไม่ต้องการอยู่ข้างกายเขาให้นานขึ้นแม้แต่เสี้ยวนาที ถึงได้พุ่งตัวออกไปทันควัน
ทางด้านฉู่สวินหยางก็หาสาวใช้ให้มาช่วยนำทาง พาไปเรือนพักของคนแซ่เจิ้งที่ซึ่งพวกฉู่เยว่เหยียนกับซูหว่านสองสามคนถูกจัดให้พักอยู่ในเวลานี้
เหลยซวี่กับสาวใช้ของซูหว่านถูกจัดให้อยู่ห้องด้านนอก ซูหว่านกับฉู่เยว่เหยียนอยู่ด้านใน คนหนึ่งนอนอยู่บนตั่งยาว อีกคนนอนอยู่บนเตียง ต่างสลบไสลไม่รู้ตัว
ฮูหยินเหลยมาถึงก่อนแล้ว ตอนที่ฉู่สวินหยางเข้าประตูไปก็เห็นนางโถมตัวอยู่บนร่างเหลยซวี่ น้ำตาไหลพรากๆ อ้อนวอนต่อฟ้าดิน เสียงร่ำไห้ฟังรวดร้าว ราวกับว่าได้สูญเสียลูกชายไปแล้ว
ฉู่สวินหยางถูกนางทำให้ตกใจจนมุ่นคิ้วบางๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปด้านใน
คนแซ่เจิ้งนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเครียดขรึม พอเห็นนางเดินเขามา เพียงเหลือบตาขึ้นมอง เอ่ยว่า “นั่งสิ”
ฉู่สวินหยางผงกศีรษะ นั่งลงตามที่บอก แล้วดื่มชาเป็นเพื่อนนาง
เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง ฮูหยินใหญ่แซ่เหยาก็กระหืดกระหอบมาถึง ผู้ที่มาติดตามมาด้วย ยังมีฉู่ฉีฮุยกับฉู่เยว่เหยาสองคน พอเห็นคนทั้งสองฮูหยินเหลยก็ไม่ร้องไห้อีก เช็ดน้ำหูน้ำตาแล้วตามเข้ามาด้วย
“ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับเหยียนเอ๋อร์? คนเล่า?” ฉู่เยว่เหยามาถึงก็รีบถาม ทันทีที่สายตากวาดเข้าไปในห้องก็รีบวิ่งไปตรงหน้าเตียงแล้วเขย่าตัวฉู่เยว่เหยียน เมื่อเรียกไปสองทีแต่ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไป หันขวับไปทางคนแซ่เจิ้งด้วยความเดือดดาล
“เกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้า?” แม้คนจะประสบเคราะห์ในจวนตน แต่ฉู่เยว่เหยาก็อ่อนกว่าด้วยวัย การใช้น้ำเสียงเช่นนี้มาเค้นถามทำให้คนแซ่เจิ้งไม่พอใจอย่างมาก
มุมปากของคนแซ่เจิ้งกระตุกยิ้มเย็นเลือนลาง จากนั้นก็ถอนหายใจพลันเปิดปาก “ท่านหญิงใหญ่อย่าเพิ่งร้อนใจ แค่โดนยาสลบเท่านั้น ใต้เท้าเหยียนหลิงตรวจดูแล้ว นอนพักสักหน่อยก็ไร้เรื่องราว”
ฮูหยินเหลยได้ฟัง หยดน้ำตาที่ไหลเป็นสายพลันชะงักหยุด เอ่ยเสียงเครือว่า “แต่เขาเอาแต่นอนไม่ได้สติ เรียกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น ทำเช่นไรดีเล่า!”
คนแซ่เจิ้งมองท่าทางของคนบ้านนั้นก็ให้รำคาญใจ เบือนสายตาหนีไปด้านข้างอย่างรังเกียจ
ฮูหยินใหญ่ถึงเดินเข้าไปหาด้วยความกังวล ย่อเข่าคารวะคนแซ่เจิ้ง เอ่ยว่า “ท่านหญิงใหญ่เป็นห่วงน้องสาว ทางข้าได้รับข่าวก็รีบร้อนพากันมาที่นี่ ขอถามพระชายาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“เป็นข้าที่จัดการไม่รอบคอบ วันนี้มัวแต่ยุ่งๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มีขโมยแฝงตัวเข้ามาเสียแล้ว ดีที่ไปพบทันเวลาจึงไม่เกิดเรื่องร้ายแรง” คนแซ่เจิ้งตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความโล่งอก กุมมือฮูหยินใหญ่เอาไว้แล้วกล่าวว่า “ยังดีที่แค่ตกอกตกใจแต่ไม่มีใครเป็นอะไร ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รู้จะชี้แจงกับองค์รัชทายาทและพวกเจ้าอย่างไรดี?”
ฮูหยินใหญ่เพียงฟังด้วยสีหน้าวิตก นางไม่ตอบความ เพราะว่าเข้าใจดี…
ณ ที่แห่งนี้ วาจาของนางไร้ซึ่งอำนาจ
อย่าว่าแต่ฉู่ฉีฮุยคนอยู่ที่นี่เลย ต่อให้เป้าหมายคือฉู่สวินหยาง นางก็หาได้จำเป็นต้องออกหน้า
“ท่านหวงจ่างซุน ท่านมองว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร? ต้องไปรายงานองค์รัชทายาทสักคำหรือไม่?” ฮูหยินใหญ่ถาม หันหน้ากลับไปมองฉู่ฉีฮุย
ตั้งแต่ผ่านเข้าประตูมา ฉู่ฉีฮุยก็เอาแต่จ้องฉู่สวินหยางที่นั่งจิบชาอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เวลานี้ถึงค่อยได้สติ กำลังจะเปิดปากพูด ฉู่สวินหยางทางนั้นพลันวางถ้วยชาลง ปัดกระโปรงเล็กน้อยและลุกยืนขึ้น เอ่ยคำยิ้มแย้มว่า “ในเมื่อคนปลอดภัยแล้ว จำเป็นต้องทำเรื่องให้ใหญ่โตจนคนรู้กันทั่วด้วยหรือ? ลือต่อๆ กันไป จะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของน้องห้า!”
“อะไรเรียกว่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่?” ฉู่เยว่เหยาโมโหทันทีที่ได้ฟัง นางเด้งตัวลุกขึ้น เอ่ยเสียงดังสนั่นด้วยหน้าตาดุร้าย “แม้คนเคราะห์ร้ายจะไม่ใช่เจ้า แต่อย่าลืมนะว่าเหยียนเอ๋อร์ก็เป็นน้องสาวของเจ้าเหมือนกัน!”
ฮูหยินใหญ่ได้ฟัง นัยน์ตาอ่อนโยนราบเรียบพลันปิดลงอย่างช้าๆ มุมปากหยักขึ้นเป็นยิ้มเย็นชา…
ฉู่เยว่เหยียนร่วมมือกับผู้อื่นวางแผนทำร้ายลูกสาวนาง ตอนนี้ยังมีหน้ามาโวยวายโยนความผิด?
แท้จริงแล้ว ช่างน่าขัน!
—————————————————————————-
ตอนที่ 74 (1)
จะหนีตามกันไป? ต้องพกอีกคนไปด้วยนะ! (1)
อารมณ์ของฮูหยินใหญ่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกแม้สักนิด ชั่วเวลาเพียงกระพริบตา ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเก่า นางมองไปทางฉู่สวินหยาง ยังคงส่งยิ้มนุ่มนวลมาให้ “ท่านหญิง ตรงนี้มีท่านหญิงใหญ่คอยอยู่เป็นเพื่อน พวกเราไม่รบกวนดีกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของท่านหญิงอันเล่อ พระชายาแน่นอนว่ามีเรื่องมากมายคอยให้จัดการพวกเราก็อย่าทำให้นางเสียเวลาอีกเลย”
คนแซ่เจิ้งยุ่งอยู่จริงๆ ทว่าเมื่อครู่นางจงใจปิดปากเงียบก็เพราะไม่ถือสาฉู่เยว่เหยา อยู่ดีๆ มีโอกาสได้ชมเรื่องสนุก เหตุใดนางจะไม่คว้าเอาไว้?
วาจานี้ของฮูหยินใหญ่ คล้ายมีความนัยอย่างอื่นอีก
ฉู่สวินหยางใช้หางตาเหลือบมองฉู่เยว่เหยาทีหนึ่ง ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “ตรงนี้มีพี่ใหญ่แล้ว ข้าก็ขอไม่อยู่เกะกะ พอไปถึงด้านหน้า รบกวนฮูหยินใหญ่แจ้งต่อท่านพ่อไว้สักคำ เดี๋ยวท่านจะเป็นห่วง”
ฉู่เยว่เหยาเดิมก็ไม่พอใจ ยังคิดจะต่อความยาวสาวความยืด แต่ต้องถูกประโยคสุดท้ายของนางสกัดเอาไว้ก่อน…
ตอนนี้ฉู่เยว่เหยียนปลอดภัยแล้ว แต่ก็ก่อเรื่องจนทำชื่อเสียงวังบูรพาหม่นหมอง ฉู่อี้อันย่อมเป็นคนแรกที่จัดการนาง
ปากของนางขมุบขมิบเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางทางนี้กำลังเอ่ยกับคนแซ่เจิ้งพร้อมรอยยิ้ม “ทำให้พระชายาเสียเวลาอยู่นาน ต้องขออภัยจริงๆ พระชายารีบไปจัดการธุระเถอะ”
“อืม!” คนแซ่เจิ้งผงกศีรษะอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็ขอตัวจากไป
คล้อยหลังคนแซ่เจิ้ง ฉู่เยว่เหยาก็ถลาเข้าไปหาอย่างทนไม่ไหว เอ่ยด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “น้องสาวข้าเกิดเรื่องในจวนอ๋องหนานเหอ เจ้าจะให้แล้วเรื่องกันไปอย่างนี้รึ?”
ฮูหยินใหญ่แสยะยิ้มอยู่ในใจ…
ฉู่เยว่เหยาเป็นบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว อีกอย่างตรงนี้ก็ยังมีฉู่ฉีฮุยอยู่ทั้งคน หรือต่อให้ไม่มีก็ต้องให้ฉู่สวินหยางออกหน้า นางไม่มีสิทธิ์มาวุ่นวาย
ฉู่สวินหยางหันไปมอง มุมปากเหยียดยิ้มขำ
ฉู่เยว่เหยาถูกสายตาเหยียดหยันของนางจ้องจนเลือดขึ้นหน้า ตวาดไปว่า “เจ้ามองข้าแบบนี้คืออะไร? ข้าถามเจ้าอยู่นะ!”
“ชายาซื่อจื่อ น้องห้าเป็นคนของวังบูรพา เรื่องของวังบูรพา คนนอกไม่อาจแทรงแซง” ฉู่สวินหยางตอบ มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “เจ้าเป็นห่วงน้องห้า ข้าก็ไม่ห้ามหากเจ้าจะอยู่ดูแลนางที่นี่ แต่ว่า…”
นางหยุดประโยคกลางคัน ตอนที่เปิดปากอีกครั้ง นัยน์ตาก็ท่วมล้นไปด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าร้องแรกแหกกระเชอจนเรื่องถูกลือออกไป ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน!”
“เจ้าว่าไงนะ?” ฉู่เยว่เหยียนหน้าเขียวคล้ำ ถลึงตามองนางอย่างไม่อยากเชื่ออยู่ครึ่งค่อนวัน จนนางหลุดหัวเราะออกมาอย่างเก็บไม่อยู่
ฉู่สวินหยางไม่แยแสนาง นางก็ไม่รู้จะต่อเถียงกับใคร ทำได้เพียงเดินโซเซไปหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าฉู่ฉีฮุย กล่าวว่า “เจ้าฟังสิว่านางพูดวาจาบ้าบออะไร? ข้าก็แค่เป็นห่วงน้องห้า นางกลับมาว่าว่าข้าเป็นคนนอก!”
ฉู่เยว่เหยาเป็นคนสายตาตื้นเขิน แต่เมื่อมองภาพรวม ฉู่ฉีฮุยยังพอแยกแยะได้ชัดเจนว่าสายสัมพันธ์ใดใกล้ชิดมากกว่า
สิ่งที่ฉู่สวินหยางพูด ความจริงนางจะเอ่ยมันออกมาต่อหน้าคนแซ่เจิ้งก็ได้ แต่ที่นางไม่ทำ เหตุผลเพราะต้องการรักษาเกียรติของวังบูรพาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก
“เงียบซะ เรื่องของเหยียนเอ๋อร์ให้จบลงตรงนี้ เจ้ารีบกลับไปที่ด้านหน้าเถอะ ตรงนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว” ฉู่ฉีฮุยทำหน้าดุ เสียงทุ้มต่ำจริงจัง
ฉู่เยว่เหยาต้องตะลึงอีกรอบ อ้าปากจะเถียง รออยู่นานก็ยังไม่มีเสียงหลุดออกมา ได้แต่ตะกุกตะกักว่า “พี่ใหญ่…เจ้ากลับ… เข้าข้างคนอื่น!”
สีหน้าของฉู่ฉีฮุยย่ำแย่ขึ้นทุกขณะ ตำหนิว่า “คนอื่นอะไร? สวินหยางนางเป็นท่านหญิงแห่งวังบูรพา เป็นน้องสาวของข้ากับเจ้า!”
กรอบตาของฉู่เยว่เหยาแดงก่ำ
ฉู่สวินหยางก็คร้านจะต่อปากต่อคำกับนาง จึงปัดกระโปรงเตรียมจะเดินหนีแล้วเอ่ยว่า “ข้าผู้เป็นคนอื่นยังมีธุระต้องทำ ขอไม่อยู่รบกวนพวกเจ้าคนกันเองรำลึกความหลังกันนะ”
ฉู่เยว่เหยาไม่ได้คิดอะไร แต่พอประโยคนั้นหลุดออกไป สีหน้าของฉู่ฉีฮุยพลันเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนก้นหม้อ
ฉู่สวินหยางเดินไปได้สองก้าวแล้วก็หยุดครุ่นคิดสักครู่แล้วเบี่ยงหน้ากลับมามอง กล่าวช้าๆ ด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง
“ก่อนหน้านี้มีประโยคหนึ่งที่ข้าพูดผิดไป ในเมื่อพวกเจ้าเป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนข้าเป็นคนอื่น เช่นนั้นข้าก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งวุ่นวาย ชายาซื่อจื่อหากว่าเจ้าต้องการ เรื่องในวันนี้ก็ประกาศออกไปเถอะ ว่าเมื่อครู่น้องสาวสุดที่รักของเจ้านอนอยู่ในเรือนกับคุณชายรองสกุลเหลยที่อยู่นอกห้องนั่นแหนะ”
ฮูหยินเหลยที่ยืนปาดน้ำตาป้อยๆ อยู่ด้านข้างพลันดวงตาเป็นประกาย
ฉู่สวินหยางเม้มปากอย่างไม่แยแส เสียงหัวเราะฟังดูมีเลศนัย “ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ว่าไหมล่ะ?”
เอ่ยจบก็ไม่รั้งอยู่ต่อ จากไปอย่างไว้ท่า
ฉู่ฉีฮุยอึ้งไปทันที…เขาฟังออกอย่างชัดเจนถึงเจตนาข่มขู่ในประโยคนั้น
ดวงหน้าของฮูหยินใหญ่มีรอยยิ้มหวาน ย่อเข่าคารวะฉู่ฉีฮุย “ข้าก็ขอตัวก่อน” จบคำ ก็ส่งมือให้สาวใช้ข้างกายนามว่าหรูโม่ประคองเดินออกไป
ฮูหยินใหญ่สาวเท้าว่องไว ออกจากนอกลานก็มองซ้ายแลขวาเห็นว่าฉู่สวินหยางรออยู่ใต้ต้นเหมยที่ห่างออกไปไม่ไกล จึงสาวเท้าเข้าไปหาทันที
“ท่านหญิง!” ฮูหยินใหญ่เอ่ย ขณะพูดก็ทำความเคารพนางอย่างจริงจังหนึ่งที
ฉู่สวินหยางไม่ได้ห้าม สตรีในวังบูรพาล้วนมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา แม้นางจะไม่เป็นศัตรูกับผู้อื่นไปทั่ว แต่ก็ไม่คิดจะเป็นพพันธมิตรกับใครเช่นกัน
ฮูหยินใหญ่ย่อกายด้วยใบหน้าที่ซาบซึ้งเหลือประมาณ “เรื่องในวันนี้ ต้องขอบคุณท่านหญิงที่ปกป้องหนิงเอ๋อร์ บุญคุณที่ท่านหญิงมีต่อพวกเราแม่ลูก ข้าจดจำไว้แล้ว!”
“ฮูหยินใหญ่เกรงใจแล้ว ครอบครัวเดียวกัน เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย” ฉู่สวินหยางยิ้ม
ที่นางย้ำว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ทั้งหมดเพราะเห็นแก่หน้าฉู่อี้อัน
ฮูหยินใหญ่เป็นคนฉลาด ไม่ได้เรื่องมากอะไร ยังคงขอบคุณด้วยความซึ้งใจอีกครั้ง พูดต่ออีกสองประโยคก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านหลัง เป็นฉู่ฉีฮุยที่เดินออกมาจากเรือนหลังนั้น
ฉู่สวินหยางหรี่ตา หันศีรษะกลับไปมอง
ฮูหยินใหญ่เอ่ยขึ้นมาอย่างรู้หน้าที่ “หนิงเอ๋อร์ได้รับความตกใจ ข้าจะรีบไปดูแล ขอไม่อยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่านหญิงแล้ว”
“เชิญฮูหยินใหญ่ตามสบาย” ฉู่สวินหยางพยักหน้า
ฮูหยินใหญ่จึงประคองมือของหรูโม่แล้วจากไป
ฉู่สวินหยางถอนสายตาจากที่ห่างไกล รอฉู่ฉีฮุยเดินเข้ามาหา
สีหน้าของฉู่ฉีฮุยเคร่งเครียด เดินเข้ามาพลางสูดหายใจลึก เอ่ยปากทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม “เมื่อครู่เหยาเอ๋อร์นางเสียมารยาท เจ้าอย่าได้ใส่ใจ ข้าตำหนินางไปแล้ว”
นี่เป็นความพยายามเพียงผิวเผิน สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญก็มีเท่านี้ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ขอเพียงมอบบันไดลงให้อีกฝ่าย และเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของคนในวังบูรพาสองฝ่ายจึงต้องยอมอดกลั้นเพื่อความสงบสุข
เดิมทีแผนของฉู่ฉีฮุยก็มีเพียงเท่านั้น
แต่ว่าครั้งนี้ จุดยืนของฉู่สวินหยางต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ได้ฟังคำของเขาก็กระตุกริมฝีปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ถามกลับอย่างเชื่องช้าว่า “แล้วถ้าข้าใส่ใจล่ะ หวงจ่างซุนจะว่าอย่างไร?”
ดวงหน้าของฉู่ฉีฮุยพลันแข็งค้าง ถึงขนาดสงสัยว่าตนเองฟังผิดไปหรือเปล่า
เขามองหน้ายิ้มแย้มของดรุณีที่อยู่เบื้องหน้า ผ่านไปเนิ่นนานถึงค่อยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากทำลายบรรยากาศเย็นเยือก “เหยาเอ๋อร์นางทำเกินไปก็จริง…”
“ที่ข้าพูด หมายถึงฉู่เยว่เหยียน!” ฉู่สวินหยางไม่รอให้เขาพูดจบก็เอ่ยแทรกทันที
น้ำเสียงของนางราบเรียบ เสียงที่เปล่งลอดฟันฟังชัดเจนทุกพยางค์ มันดังกังวานอยู่ในสมองฉู่ฉีฮุย
หัวใจของฉู่ฉีฮุยสั่นไหว สูดหายใจลึกอย่างไม่รู้ตัว อ้าปากจะตอบกลับ แต่หาคำมาพูดไม่ได้ด้วยความที่มีชนักติดหลัง
“จ่างซุนท่านก็รู้นี่ใช่ไหม?” ฉู่สวินหยางไม่ได้โกรธ ยังคงสนทนาด้วยใจที่สงบนิ่ง นางก้าวขาเข้ามาช้าๆ ในน้ำเสียงยังแฝงความขบขันชัดเจน เอ่ยออกมาทีละประโยคว่า
“ฉู่เยว่เหยียนเรียกเหลยซวี่มา คิดจะทำให้ข้าสลบอยู่ในห้องนั้น พอข่าวแพร่ออกไป ท่านพ่อต้องรักษาชื่อเสียงของข้าและวังบูรพา จนไม่อาจบอกปัดการเกี่ยวดองกับสกุลเหลย เมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้ข้ากังวลเรื่องอนาคตของตน แต่ข้าก็ไม่อาจไม่คิดถึงพี่รอง สุดท้ายก็ต้องยอมเข้าสู่จวนสกุลเหลย ทางหนึ่งก็สามารถตัดแยกสายสัมพันธ์ระหว่างข้ากับพี่รอง อีกทางยังสามารถกดทับข้าเอาไว้ ไม่ให้ข้ากลายเป็นอุปสรรคที่ขวางทางหวงจ่างซุนอย่างเจ้าอีก ช่างเป็นการยิงหินครั้งเดียวได้นกสองตัวจริงๆ”
———————————————————————–
ตอนที่ 74 (2)
จะหนีตามกันไป? ต้องพกอีกคนไปด้วยนะ! (2)
ฉู่เยว่เหยียนเลือกเหลยซวี่ ความจริงอาจไม่ใช่เพราะต้องการใช้จอมเสเพลคนหนึ่งมาทำลายนาง แต่ทันทีที่นางแต่งเข้าสกุลเหลย นางก็จะถูกกดทับด้วยฐานะ นางต้องร้องขอการมีตัวตนอยู่ในสกุลเหลย ต้องคอยสังเกตสีหน้าของคนแซ่เหลยกับฉู่ฉีฮุย ต่อไปมีหรือที่นางจะทำอะไรตามใจได้อีก?
ซูหว่านมองออกว่าฉู่เยว่เหยียนรอคอยวันที่จะเหยียบย่ำฉู่สวินหยางถึงได้แสดงความคิดเช่นนี้กับนาง เพียงแต่ฉู่เยว่เหยียนไม่ได้รู้เลยว่า บนกระดานหมากนี้ ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น กระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง[1] นางเองก็เป็นหนึ่งในสัตว์ที่ถูกล่าเช่นกัน
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!” สีหน้าของฉู่ฉีฮุยเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว สะบัดแขนเสื้ออย่างมีอารมณ์
แม้เขาจะไม่ซักถามถึงการกระทำของฉู่เยว่เหยียน แต่ตอนนี้ก็พอวิเคราะห์ได้ว่าวาจาของฉู่สวินหยางเป็นจริงถึงเก้าในสิบ
“ความจริงเจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว!” ฉู่สวินหยางไม่ยอมถอยหลัง ก้าวประชิดมาอยู่เบื้องหน้าเขา
สีหน้าของนางสงบนิ่ง หว่างคิ้วกลับแฝงความเด็ดขาด สายตาจ้องเขม็งมาที่เขา เอ่ยเสียงเย็นเน้นชัดทุกคำว่า
“แต่เพราะอยากจะยืมมีดฆ่าคน เจ้าเลยแกล้งทำโง่งมตาบอด มองดูน้องสาวสุดที่รักทำเรื่องเลวทรามชั่วช้า เพราะเจ้าเป็นคนที่ต้องการกำจัดอิทธิพลของข้าที่มีต่อท่านพ่อมากยิ่งกว่านางเสียอีก”
“สวินหยาง!” ความจริงในหัวใจถูกตีแผ่ออกมาจนหมดสิ้น เขาจึงไม่อาจเก็บกดความเดือดดาลไว้ได้อีก
หน้าตาของเขาบิดเบี้ยว พลันยกนิ้วชี้หน้าฉู่สวินหยาง “ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า พูดจาอะไรต้องอาศัยหลักฐาน ถ้ายังเอาแต่พูดมั่วซั่วอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
“แล้วมีเวลาไหนที่เจ้าเคยเกรงใจข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางเยาะเสียงขึ้นจมูก แล้วเอื้อมมือไปเด็ดกิ่งเหมยข้างๆ มาไว้ในมือ หัวเราะอย่างไม่แยแส “แต่ว่าก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าก็ไม่คาดหวังอะไรจากเจ้าอยู่แล้ว ถ้าเจ้ามีกำลังมากพอก็ดันทุรังทำต่อไปเถอะ แต่ว่า…เครื่องมืออย่างฉู่เยว่เหยียนนี้ ต่อไปเจ้าคงใช้ไม่ได้แล้วล่ะ!”
ฉู่ฉีฮุยหรี่ตาเพ่งมอง สายตาเต็มไปด้วยความระแวงระวัง เค้นเสียงลอดฟันออกมาว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนที่นางเล่นลูกไม้กับข้าในครั้งนี้ ข้าจะทำให้นางสมหวัง ให้นางกระเด็นออกจากโคลนเลนในวังบูรพาให้เร็วขึ้นหน่อย” ฉู่สวินหยางกล่าว “เหลยซวี่ผู้นั้นมิใช่ว่านางเลือกสรรมาเป็นอย่างดีแล้วรึ? ละครวันนี้อย่างไรก็ไม่อาจเสียแรงเปล่าๆ กลับไปข้าจะไปพูดกับท่านพ่อ ให้นางแต่งเข้าสกุลเหลย ให้พวกเจ้าสนิทสนมกันยิ่งๆ ขึ้นไปอีก!”
งานแต่งงานของฉู่เยว่เหยียนเป็นสิ่งที่เขาจะใช้ดึงกำลังพรรคพวกในอนาคต สกุลเหลยเป็นญาติฝั่งแม่ของเขาอยู่แล้ว เดิมก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองหมากตัวไหนอีก
ฉู่ฉีฮุยมีโทสะอัดอั้นอยู่เต็มอก ความเกรี้ยวกราดพุ่งสูงก่อนระเบิดออกมาเป็นเสียงหัวเราะ “ความจริงก็คือ วันนี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น เจ้าข่มขู่ข้าไม่ได้!”
จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของฉู่สวินหยางคือฉู่อี้อัน เพื่อปกป้องชื่อเสียงฉู่อี้อันและวังบูรพา นางต้องยอมถอย ความจริงถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น แค่ปอกเสื้อผ้าของฉู่เยว่เหยียนกับเหลยซวี่แล้วโยนทั้งคู่ไว้ด้วยกัน แบบนั้นแม้มีร้อยปากก็คงเถียงไม่ขึ้น แต่ถ้าทำเช่นนั้น วังบูรพาคงกลายเป็นตัวตลก ฉู่อี้อันคงไร้สิ้นซึ่งศักดิ์ศรี
“งั้นหรือ? พวกเราก็คอยดูไป ไม่ต้องรีบร้อน” ฉู่สวินหยางยิ้มหวาน
สายตาของฉู่ฉีฮุยดำเข้ม จ้องนางไม่ยอมละหนี นิ้วมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อค่อยๆ กำเป็นหมัด บีบแน่น
ฉู่สวินหยางทิ่มแทงเขาด้วยสายตาก่อนจะหมุนตัวจากไปพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เอ่ยว่า “อ้อ อีกอย่าง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้า วันนี้เป็นวันมงคล เรื่องเล็กๆ ที่ฉู่เยว่เหยียนก่อขึ้นมันแค่ลูกไม้ชั้นล่าง หากเจ้าไม่อยากจบเห่อยู่ที่นี่ ก็ดื่มเหล้ามงคลของตนไปอย่างสงบเถอะ อย่าได้ทำเรื่องที่ไม่สมควรทำใดๆ อีก ไม่อย่างนั้น…”
ฉู่สวินหยางพูดไปรอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกดลึงอย่างไม่รู้ตัว “ผลที่ตามมา เจ้าแบกรับไม่ไหวแน่!”
ฉู่ฉีเหยียนคิดว่านางแกล้งพูดเขย่าขวัญเขาเท่านั้น แต่ทั้งน้ำเสียงและสายตา หัวใจกลับเชื่อคำนางไปแล้วจึงกำหมัดแน่นเยาะเสียงใส่ “จะเป็นเรื่องอะไรได้ เจ้าไม่ต้องมาหลอกข้าหรอก”
ฉู่สวินหยางยักไหล่ “จะเป็นเรื่องอะไรได้ เจ้ารอดูต่อไปเดี๋ยวก็รู้เอง!”
เอ่ยจบก็แกว่งกิ่งเหมยในมือแล้วเดินจากไปอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
ฉู่ฉีฮุยยืนอยู่ที่เก่า สายตาแค้นเคืองมองที่แผ่นหลังของนาง นัยน์ตาสีหน้าเปลี่ยนกลับไปมาในเสี้ยววินาที จนแผ่นหลังของนางหายลับไปจากสายตาก็ยังไม่ยอมไหวติง
ทางฉู่สวินหยางที่กำลังเดินเลี้ยวบนทางเส้นน้อย พลันปะทะกับชิงหลัวที่รีบร้อนซอยเท้าเข้ามาพอดี
“ท่านหญิง!” อาจเพราะเร่งฝีเท้าเดินหา น้ำเสียงของชิงหลัวจึงหอบเล็กน้อย มองผ่านนางไปทางข้างหลังเป็นอันดับแรก เมื่อไม่พบอะไรน่าสงสัยจึงเอ่ยว่า “บ่าวได้ยินจากฮูหยินใหญ่ว่าท่านอยู่ที่นี่ กำลังจะไปหาท่านพอดีเจ้าค่ะ”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าเล็กน้อย ฝีเท้ายังคงเดินไปข้างหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อยแล้วก็ถามขึ้นมาว่า “น้องสี่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวตอบ “บ่าวใช้ยาที่ใต้เท้าเหยียนหลิงให้ไว้ รอจนแน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้วจึงออกมา ฮูหยินใหญ่ก็ไปถึงที่นั่นแล้ว”
“อย่างนั้นก็ดี!” ฉู่สวินหยางวางใจลงได้ในที่สุด ถอนหายใจยาวออกมาทีหนึ่ง
ชิงหลัวรอคอยคำสั่งต่อไปของนางด้วยความอดทน แต่ผ่านไปพักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขัน พูดกับตัวเองอย่างชอบใจว่า “น่าสนุก!”
ชิงหลัวมึนงง “ท่านหญิงว่าอะไรนะเจ้าคะ?”
“ข้าแค่กำลังคิดว่า น้องสี่ถูกวางไว้ในตำแหน่งใดของหมากกระดานนี้” ฉู่สวินหยางตอบ ในเมื่อยังหาคำตอบให้คำถามนี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องเปลืองสมองครุ่นคิด แต่จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเหมือนนึกอะไรออก “ลู่หยวนล่ะ เจ้าไม่ได้ให้เขาไปคอยเฝ้าฉู่หลิงอวิ้นรึ?”
“บ่าวของใต้เท้าเหยียนหลิงส่งข่าวมา บอกว่าให้ยกเป็นหน้าที่ของพวกเขาเจ้าค่ะ” ชิงหลัวตอบ นิ่งไปสักพัก ก็เสริมว่า “พวกเราคนของวังบูรพา หากเคลื่อนไหวภายในจวน จะสะดุดตาเกินไป”
เทียบกันแล้ว สาวใช้สองสามคนที่อยู่ข้างกายเหยียนหลิงจวิน นอกจากเชินหลานที่แต่งตัวเป็นหมอฝึกหัดคอยติดตามเขาคนอื่นๆ ล้วนแต่ไม่คุ้นหน้า
“อืม ตามใจเขาเถอะ” ฉู่สวินหยางไม่หยุดคิดมาก พยักหน้าเอ่ยว่า “ไปเถอะ พวกเราก็ไปหาที่ที่คนเยอะๆ หลบสายตาเสียหน่อย”
งานสมรสระหว่างท่านหญิงอันเล่อกับซื่อจื่อในอ๋องฉางซุ่น มีฮองเฮาเป็นแม่สื่อ ทั้งฮ่องเต้ยังประราชทานสมรสให้ด้วยพระองค์เอง เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงภายในเมืองหลวงที่มาได้ไม่มีใครจะไม่มาร่วมอวยพร ภายในจวนอ๋องแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเรือนหน้าเรือนหลังล้วนกระจุกไปด้วยคนทั้งสิ้น ห้องโถงด้านหน้ายังพอจัดการไหว ส่วนด้านหลังก็ตระเตรียมเรือนทุกหลังที่ใช้งานได้ แล้วพาคนแยกย้ายไปต้อนรับที่ห้องรับแขกของเรือน
ฮูหยินใหญ่ผละจากคนแซ่เจิ้งแล้วก็ไปที่เรือนหลิงหลง
ฉู่เยว่หนิงถูกนำตัวมาไว้ที่ห้องสาวใช้ด้านหลังของเรือน ดีที่วันนี้สาวใช้ทุกคนต่างวุ่นวายจนหัวหมุน ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีใคร
ตอนที่ฮูหยินใหญ่ไปถึงฉู่เยว่หนิงก็ฟื้นแล้ว ชิงหลัวเห็นว่านางก็ขอตัวออกมา ภายในห้องจึงเหลือฮูหยินใหญ่แม่ลูกและชายาเหยารวมทั้งหมดสามคน
“หนิงเอ๋อร์!” ฮูหยินใหญ่รีบสาวเท้าไปข้างเตียง
“ท่านแม่!” ฉู่เยว่หนิงคว้าแขนของฮูหยินใหญ่ไว้ ปลายนิ้วสั่นเครือเล็กน้อย เพราะกลัวจะทำให้ใครๆ แตกตื่นจึงเอ่ยเสียงแผ่วเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ได้รับความเป็นธรรม
ฮูหยินใหญ่ยกมือขึ้นลูบผมนาง เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้านี่นะ อายุตั้งเท่าไรแล้ว ยังจะเกาะติดแม่แจ”
ฉู่เยว่หนิงสูดจมูกฟืดๆ เรื่องราวที่เกิดก่อนหน้านี้นางจำได้ไม่มาก รู้แค่ว่าตัวเองเข้าไปในเรือนนั้นแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีก พอตื่นขึ้นมาก็เห็นฮูหยินเหยาผู้เป็นป้าสะใภ้อยู่ข้างกายแล้ว
ชิงหลัวไม่ได้พูดอะไรมาก เล่าแค่ว่านางถูกคนเล่นงานเข้าแล้ว
ฉู่เยว่หนิงแต่เล็กก็ได้รับการคุ้มครองจากฮูหยินใหญ่เป็นอย่างดี ฮูหยินใหญ่อยู่ในวังบูรพาก็เป็นคนอ่อนน้อม อีกอย่างที่ให้กำเนิดออกมาก็เป็นบุตรสาว ดังนั้นจึงไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆ กับพวกชายารองเหลย
เรื่องราวในครั้งนี้ ทำให้ฉู่เยว่หนิงขวัญเสียแล้วจริงๆ ฮูหยินใหญ่กอดนางไว้ในอก ตบหลังเบาๆ เป็นการปลอบโยนนาง
ฮูหยินเหยายืนมองอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียดส่งสายตาให้นางแล้วถามว่า “จวนอ๋องคนมากสายตาเยอะ พวกเราหายหน้าไปนานอาจทำให้คนสงสัย รีบกลับไปที่ด้านหน้าจะดีกว่า”
“อืม!” ฮูหยินใหญ่ตั้งสติ ประคองฉู่เยว่หนิงให้ลุกยืน กุมมือของนางพลางสำรวจทั่วร่างอีกรอบหนึ่งพร้อมกำชับว่า “อีกเดี๋ยวถ้าเกิดปัญหาอะไร เจ้าก็บอกไปว่าหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนนั้นดีแล้วก็ไปหาป้าสะใภ้ของเจ้า จากนั้นก็อยู่กับนางตลอดเวลา เรื่องอื่นไม่รู้อะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม?”
“อืม! ลูกเข้าใจแล้ว” ฉู่เยว่หนิงไม่ได้ซักไซ้ พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
ต่อให้นางปลอดภัยดี แต่ถ้าเรื่องที่นางถูกคนรมยาใส่จนสลบแพร่งพรายออกไป ก็ยากจะอธิบายให้กระจ่าง
ฮูหยินใหญ่กุมมือนางเอาไว้อย่างอ่อนโยน ทั้งสามคนจัดการเสื้อผ้าจนเรียบร้อยดีแล้วก็กลับไปที่ด้านหน้าจวน
เพราะว่าเรื่องวุ่นวายที่ฉู่เยว่เหยียนก่อถูกยับยั้งได้ทันเวลา ไม่ทันไรคนก็ลืมกันไปหมด จวนอ๋องทั้งหลังต่างครึกครื้นเฮฮา ดำเนินพิธีการไปตามลำดับขั้นตอน
————————————————————————
[1] ตั๊กแตนจับจักจั่น กระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง หมายถึง มัวแต่จ้องมองเหยื่อข้างหน้าโดยไม่รู้ว่ามีภัยอยู่เบื้องหลัง
ตอนที่ 74 (3)
จะหนีตามกันไป? ต้องพกอีกคนไปด้วยนะ! (3)
เวลาเที่ยงตรง งานเลี้ยงเริ่มขึ้นเป็นทางการ ทั่วทั้งจวนต่างปกคลุมไปด้วยกลิ่นเหล้ายาปลาปิ้ง พากันชักชวนชนแก้วดื่มสุราแสดงความยินดี
ฤกษ์มงคลของวันนี้คือยามเว่ยหนึ่งเค่อ[1]
ขบวนแห่ของสกุลซูตีฆ้องร้องปาว เสียงดังกึกก้องได้ยินไปครึ่งเมืองหลวง เกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูตรงเวลาพอดี
ซูหลินอยู่ในชุดเจ้าบ่าว ร่างผอมสูงนั่งอยู่บนอาชาขาวปลอด ตัวสูงใหญ่ หวังจะมารับสาวงามสมดั่งใจหวัง บนใบหน้าแทบจะปิดความเปรมปรีดิ์ไว้ไม่มิด
แขกเหรื่อต่างออกมาชมดู มองร่างในชุดแต่งงานสีแดงสด เจ้าสาวร่างอรชรถูกสี่เหนียงพยุงออกมา คารวะน้ำชาต่อบิดามารดาของอีกฝ่ายตามขั้นตอน จากนั้นก็ถูกประคองขึ้นเกี้ยวไป
พิธีการทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อย่าว่าแต่เหตุไม่คาดฝันเลย แม้แต่เพลงประกอบยังไม่เพี้ยนผิดไปแม้แต่ครึ่งเสียง
ขบวนส่งตัวเจ้าสาวตีฆ้องร้องปาวออกจากตรอกไปแล้วแต่ฉู่ฉีเหยียนก็ยังยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ก้มมองพรมแดงใต้เท้าที่ปูยาวไปตลอดทางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ความจริงไม่ใช่เพียงฉู่สวินหยาง แม้แต่เขาเองยังไม่เชื่อเลยว่าฉู่หลิงอวิ้นจะยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ระยะนี้เขาสูญเสียเรี่ยวแรงในการเฝ้าดูความเคลื่อนไหวทุกอย่างของฉู่หลิงอวิ้นด้วยความกังวลใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ เขารวบรวมสติไว้พร้อมทุกเวลา กลัวแต่ว่าหากฉู่หลิงอวิ้นเกิดเปลี่ยนใจจะได้ยับยั้งได้ทันท่วงที
ไม่นึกว่านี่เป็นแค่การวิตกเกินกว่าเหตุ?
สุดท้ายฉู่หลิงอวิ้นก็ออกเรือนไปอย่างราบรื่นเช่นนี้?
“ซื่อจื่อ ท่านมองอะไรหรือ? นายท่านตามหาอยู่น่ะขอรับ บอกว่าให้ท่านรีบเข้าไปต้อนรับแขก” ฉู่ฉีเหยียนยืนอยู่ที่หน้าประตูตลอด หลี่หลินหาเขาจนทั่วแล้วถึงเพิ่งจะเจอคน
สายตาของฉู่ฉีเหยียนเข้มขึ้น บนใบหน้ามีความอึมครึมที่ยากจะเข้าใจ พลันถามขึ้นว่า “หลี่หลิน เจ้าไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัยเลยหรือ?”
หลี่หลินนิ่งไป เมื่อได้สติจึงขมวดคิ้วมุ่น “ท่านมองท่านหญิงแต่งออกจากประตูไปด้วยตนเอง ต่อให้ท่านหญิงจะเอาแต่ใจแต่อย่างไรนี่ก็เป็นถึงสมรสพระราชทาน ซื่อจื่อคงคิดมากไปเองขอรับ!”
“นั่นสิ!” ฉู่ฉีเหยียนสูดหายใจลึก หัวเราะเย้ยหยันกับตัวเองเบาๆ แต่สายตากลับเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบในทันใด ออกคำสั่งว่า “เรื่องนี้ข้ายังไม่วางใจ เจ้าส่งคนตามไปดูขบวนเจ้าสาวที่สกุลซูด้วย ป้องกันเอาไว้ก่อน”
หลี่หลินสูดหายใจลึก “ซื่อจื่อกลัวว่าระหว่างทางท่านหญิงจะ…”
ฉู่หลิงอวิ้นจะหนีงานแต่งกลางทาง? นี่ออกจะ…
ไม่น่าเป็นไปได้เท่าไร!
หากว่านางหนีไป หนึ่งคือขัดราชโองการ สองคือไม่ไว้หน้าสกุลซู ต้องกลายเป็นความแค้น สามคือฉู่อี้หมินย่อมอับอายและเกรี้ยวกราดจนไม่ยอมรับว่ามีนางเป็นบุตรสาวอีก ต่อไปนางก็คงไม่เหลืออะไรทั้งนั้น
ตามความเข้าใจที่ฉู่ฉีเหยียนมีต่อฉู่หลิงอวิ้น นางไม่มีทางทำเรื่องที่สิ้นคิดเช่นนั้นแน่
แต่หากฉู่หลิงอวิ้นยอมจำนงต่อชะตาเช่นนี้ก็ดูน่าสงสัยจนเกินไป
ความคิดร้อยพันไม่อาจไขความกระจ่าง ฉู่ฉีเหยียนไม่อาจละความกังวลลงได้ โบกมือสั่งว่า “ทำตามที่ข้าสั่ง”
“ขอรับ!” หลี่หลินรับคำ รีบไปจัดการทันที
ฉู่ฉีเหยียนกลับเข้าไปในงานช่วยรับรองแขก สัมปชัญญะส่วนหนึ่งยังคอยแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลางสังหรณ์ไม่ดีเอาแต่ผุดขึ้นมากลางหัวใจ คนจึงสติไม่ค่อยครบถ้วนนัก
แม้เกี้ยวเจ้าสาวจะออกจากเรือนไป แต่งานเลี้ยงในจวนยังคงดำเนินต่อ ผู้คนคารวะจนครบสามจอกแล้วก็เริ่มเมามาย บรรยากาศของงานจึงรื่นเริงขึ้นทันตา
ฝีเท้าของเหยียนหลิงจวินซวนเซเล็กน้อย มือถือจอกหยก คว้ากาเหล้าออกจากงานเดินโซเซเข้าไปในสวนดอกไม้
ตอนแรกมีคนเห็นเขายืนพิงระเบียงดื่มเหล้าอยู่ไกลๆ แต่พอมองกลับไปอีกทีก็เหลือเพียงกาเหล้าหนึ่งกากับจอกเหล้าหนึ่งจอก แม้แต่เงาของภูตผีก็ไม่มีวี่แวว
และเพราะงานเลี้ยงชุลมุนวุ่นวาย เสียงคนเซ็งแซ่ หลายคนดื่มมากแล้วก็เดินทักทายผู้อื่นไปทั่ว ร่างสีพื้นๆ ของเขาที่หายไปจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คน คิดว่าเขาไปดื่มเหล้าที่อื่นหรือไม่ก็เข้าห้องน้ำไปแล้ว
เวลานั้นเอง ที่นั่งของแขกรับเชิญหญิงอย่างฉู่สวินหยางก็ว่างเปล่าอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นกัน
ทั้งสองคนได้เจอกันที่ปลายทาง แม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้นัดแนะ แต่กลับพบอีกฝ่ายที่กำแพงด้านนอกเรือนของฉู่หลิงอวิ้นอย่างใจตรงกัน
สาวใช้ข้างกายทั้งสองคนของฉู่หลิงอวิ้นล้วนติดตามเจ้าสาวออกไปด้วย คล้อยหลังนางแล้ว คนอื่นๆ ก็ถูกป้ากู้สั่งให้แยกย้ายออกไปรับแขกที่เรือนหน้า เรือนทั้งหลังว่างเปล่าไร้คน ชั่ววินาทีพลันเปลี่ยนเป็นความเปลี่ยวร้างและเย็นชา กลายเป็นตัวเปรียบที่แตกต่างเมื่อเทียบกับงานเลี้ยงสุดครื้นเครงด้านหน้า
ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินซุ่มอยู่ข้างกำแพงคอยสังเกตมองด้านในของเรือน
อิ้งจื่อที่ซ่อนกายในมุมมืดเข้ามาสมทบอย่างเงียบๆ รายงานว่า “เฉี่ยนลวี่ตามขบวนเจ้าสาวไปที่จวนสกุลซู ที่นี่มีบ่าวกับเจี๋ยหงคอยจับตาดูอยู่ ตั้งแต่นางจากไปก็เรียบร้อยเป็นปกติ ไม่มีเรื่องใดๆ เลยเจ้าค่ะ”
เรื่องหนีงานแต่งกลางคัน ฉู่หลิงอวิ้นไม่มีทางทำแน่ๆ
แต่จะพูดว่านางแต่งให้ซูหลินอย่างไร้การขัดขืนแข็งข้อก็ฟังไม่ค่อยเข้าท่านัก
ฉู่สวินหยางมุ่นคิ้วไตร่ตรองอย่างละเอียดอยู่สักพัก เอ่ยว่า “แล้วก่อนที่นางจะออกไปล่ะ? มีใครมาที่เรือนนี้อีกบ้าง หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ผิดแผกไปจากเดิมหรือเปล่า?”
อิ้งจื่อใช้สมอง ตอบว่า “ตอนเช้ามีแขกมาหลายกลุ่ม ตอนใกล้เที่ยงชายาจวนอ๋องหนานเหอก็แวะมา สองคนพูดคุยกันอยู่สักพัก ทุกอย่างล้วนเป็นปกติเจ้าค่ะ”
“ไม่ถูก!” อิ้งจื่อคิดแล้วพลันมีแสงวาบขึ้นในสมอง หายใจหอบอย่างตื่นเต้น
ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินมองสบตากัน แล้วส่งสายตาตั้งคำถามไปให้นาง
“ระหว่างนั้นท่านหญิงรองฉู่หลิงซิ่วมาที่นี่ครั้งหนึ่ง แต่ว่าน่าแปลกนัก หลังจากที่นางเข้าไป ท่านหญิงอันเล่อก็ไล่ทุกคนในห้องออกมา เหลือไว้เพียงสาวใช้ข้างกายตนสองคน” อิ้งจื่อตอบ “ได้ยินว่าพวกนางพี่น้องไม่ได้สนิทชอบพอกันเท่าไร ตอนแรกบ่าวจึงไม่ได้สนใจนัก ตอนนี้มาคิดดู ระหว่างพวกนางสองคนไม่น่าจะมีความลับอะไรที่ต้องปิดบังผู้คนกระมัง”
“สองคนปิดห้องอยู่ในนั้นนานเท่าไร?” ฉู่สวินหยางซัก
“ไม่นานเจ้าค่ะ ประมาณครึ่งป้านชาได้” อิ้งจื่อตอบ “ด้านในก็ไม่ได้ยินเสียงดังอะไร แต่ตอนท้ายได้ยินท่านหญิงรองกระแทกประตูดังปังแล้วรีบร้อนเดินหนีไป คล้ายว่าทะเลาะอะไรกัน ทั้งยังผลักป้าคนหนึ่งที่เดินสวนมาจนล้มไปกองกับพื้นเลยเจ้าค่ะ”
ช่วงเช้าฉู่หลิงซิ่วยังแกล้งยั่วยุฉู่หลิงอวิ้นอย่างเปิดเผย ฉู่หลิงอวิ้นคงไม่ได้คิดวางแผนเอาคืนนางกระมัง?
ฉู่สวินหยางคิดไป แล้วก็ส่ายหน้ากับตัวเอง…
ไม่มีทางหรอก!
เรื่องจวนตัวขนาดนี้แล้ว ฉู่หลิงอวิ้นยังจะเอาอารมณ์ที่ไหนไปเบาะแว้งกับฉู่หลิงซิ่ว?
คล้ายว่าเค้าความจริงจะเริ่มปรากฏ ภาพเริ่มแจ่มชัดทว่าชั้นหมอกหนายังคลุมปก ขาดเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ เท่านั้น
เหยียนหลิงจวินเห็นนางคิ้วพันกันยุ่ง ก็ส่งสายตาให้อิ้งจื่อเล็กน้อย “เจ้าลอบเข้าไปตรวจสอบในห้องดูหน่อย ลองหาว่ามีร่องรอยทิ้งไว้บ้างหรือไม่”
ราตรียามเหมันต์มาถึงเร็วกว่าปกติ ท้องฟ้าในกาลนี้ค่อยๆ สลัวขึ้นทุกขณะ
อิ้งจื่อรับบัญชา กำลังจะปีนข้ามกำแพงไปก็เห็นว่าภายในห้องอันมืดดำพลันเกิดประกายไฟสว่างวาบขึ้นมา
ทุกคนพากันระวังตัว ย่อกายหลบอยู่ด้านหลังของกำแพง
“ทำไมในเรือนยังมีคนเหลืออยู่อีก?” อิ้งจื่อกระซิบแผ่ว รู้สึกโกรธเคืองกับความบกพร่องของตน
ภายในห้องไม่ได้จุดตะเกียง มีเพียงไฟจากแท่งไม้ไผ่อัดกระดาษอันเล็กๆ ที่วูบวาบไปมาอยู่สองครั้ง จากนั้นประตูก็ถูกผลักออกมาอย่างเงียบเชียบจากคนที่อยู่ด้านใน บุรุษที่แต่งกายเหมือนองครักษ์ยื่นศีรษะออกมามอง เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จึงหันหน้ากลับไปโบกมือให้คนที่อยู่ในห้อง
ฉู่สวินหยางจ้องตาไม่กระพริบ เห็นเป็นบุรุษในชุดองครักษ์สองคนหอบม้วนพรมผืนหนาออกมาอย่างลับๆ ล่อๆ
คนพวกนั้นดูท่าจะฝีมือไม่สามัญ ฝีเท้ากระทบพื้นเงียบกริบ มีเพียงเสียงเสียดสีของพรมที่หนีบอยู่ใต้วงแขนซึ่งฟังแล้วมีน้ำหนักไม่น้อย
ฉู่สวินหยางเพ่งมองด้วยความสงสัย กลับเห็นว่าด้านหนึ่งของม้วนพรมมีปอยผมดำขลับปลิวไสวกลางลมหนาวยามดึก สง่างามยิ่งนัก
นั่นใช่พรมที่ไหนกันเล่า…
เห็นชัดๆ ว่ามันม้วนคนเอาไว้คนหนึ่ง!
การเคลื่อนไหวของคนพวกนั้นว่องไวมาก เพียงกระพริบตาก็พากันออกนอกเรือนมาแล้ว เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปมาในสวนดอกไม้อย่างคุ้นชินเส้นทาง พุ่งหน้าไปทางประตูหลังของจวน
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!” ดวงตาของฉู่สวินหยางเป็นประกายวิบวับ รอจนคนเหล่านั้นเดินห่างไปก็หัวเราะออกมา
อิ้งจื่อยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยถามเสียงเบาว่า “จะให้ข้าไปขวางไว้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่จำเป็น!” เหยียนหลิงจวินยิ้มเย็น “ปล่อยพวกนั้นเคลื่อนไหวตามใจ ตามไปก็พอ”
“บ่าวเข้าใจแล้ว!” อิ้งจื่อตอบรับ โบกมือให้เจี๋ยหงแล้วกระโดดข้ามกำแพง วิ่งออกไปทางด้านหลัง
————————————————————————
[1] ยามเว่ย คือช่วงเวลาประมาณบ่ายหนึ่งถึงบ่ายสามโมง หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที
ตอนที่ 74 (4)
จะหนีตามกันไป? ต้องพกอีกคนไปด้วยนะ! (4)
ภายในเรือนของฉู่หลิงอวิ้นตอนนี้ถือว่าว่างเปล่าโดยแท้ เหลือเพียงยายเฒ่าสองคนในห้องเล็กๆ ที่กำลังกรอกเหล้าเหลืองกันอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
ฉู่สวินหยางเมียงมองอยู่ข้างกำแพงเป็นนาน ตอนนี้เพิ่งจะโผล่ศีรษะขึ้นมาอย่างไร้กังวล กระโดดขึ้นไปนั่งบนกำแพงอย่างเปิดเผย ก่อนจะเริ่มบิดขี้เกียจ บ่นพึมพำว่า “เรื่องถ้ำมองพรรค์นี้ไม่ใช่งานที่สบายเอาเสียเลย”
เหยียนหลิงจวินจนปัญญา โอบเอวนางพาลงมาจากบนกำแพง องค์เอวของดรุณีน้อยทั้งบางและนิ่ม พอได้สัมผัสเข้าพลันให้ไม่อยากจะปล่อยมือ สองคนลอยตัวลงพื้น หัวใจของเหยียนหลิงจวินสั่นไหว ภายในต่อสู้กันอย่างหนัก สุดท้ายก็ไม่อาจตัดใจถอนมือออกมา
ฉู่สวินหยางมีแต่เรื่องของฉู่หลิงอวิ้นอัดแน่นเต็มสมอง ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็ผละกายจะตามอิ้งจื่อไป แต่พอก้าวขาได้หนึ่งเท้าจึงค้นพบว่าตัวเองยังไม่เป็นอิสระ
นางชะงักกึก เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ
มือของเหยียนหลิงจวินทาบอยู่บนหลังเอวของนาง ก่อนจะผลักนางส่งไปด้านหลังเบาๆ ให้ซ่อนกายใต้เงามืดของกำแพงด้านหลัง สายตาของเขามองมา กดหน้าลงเล็กน้อย หน้าผากติดอยู่ที่ศีรษะของนาง น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยคล้ายจะปรึกษาว่า “หรือว่า…พวกเราจะไม่ตามไปดี!”
ฉู่สวินหยางถูกเขากักตัวเอาไว้แล้ว
น้ำเสียงนุ่มเบาแฝงขบขันฟังแล้วยากจะเข้าใจ ลมหายใจร้อนผ่าวเหมือนจะขับไล่ความหนาวเหน็บที่ปกคลุมลงมาพร้อมกับฟ้ายามราตรี มันนุ่มละมุนเสียจนทำให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหล
หัวใจของฉู่สวินหยางพลันสั่นเคว้ง สัญชาตญาณสั่งให้ผลักเขาออก แต่ความรู้สึกกลับบอกว่าการขัดขืนจะไม่ส่งผลใดๆ สมองหมุนแล่นเร็วจี๋ก่อนจะหลุดปากออกมาว่า
“อ่อ!” หนึ่งคำที่ตอบได้อย่างเลอะเลือนและเบาหวิว เหยียนหลิงจวินยังแอบนึกยินดีอยู่ในใจ ทว่ากลับได้ยินนางเปลี่ยนไปพูดอีกเรื่องอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้านว่า “งั้นข้ากลับไปที่งานเลี้ยงแล้วกัน!”
นางจะแกล้งมึนงงไม่เข้าใจ เหยียนหลิงจวินก็ได้แต่ตามใจนาง
“หึ…” เสียงหัวเราะจำใจ เหยียนหลิงจวินค่อยยืดตัวตรง สายตาตกอยู่ที่ใบหน้าสับสนของนางครู่หนึ่งจากนั้นก็ค่อยถอนมือออกจากเอวนาง
สีหน้าของฉู่สวินหยางยังเป็นดั่งเก่า ในใจพลันถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ตอนที่เขาดึงแขนออกไปเป็นเวลาเดียวกับที่นิ้วก้อยถูกเกี่ยวเบาๆ จากนั้นนิ้วน้อยของมือซ้ายที่ทิ้งตัวอยู่ข้างกายก็ถูกยึดไว้มั่น
เขาหมุนตัวด้วยความลื่นไหลสง่างาม ฉู่สวินหยางยังไม่ทันตั้งตัว ฝีเท้าจึงซวนเซไปหมด
เหยียนหลิงจวินไม่ได้หันมามอง ก้าวขาออกไปค่อนข้างจะรีบร้อน
ฉู่สวินหยางที่ถูกเขาเกี่ยวนิ้วเอาไว้ก็ต้องสับเท้าเร็วตามไปด้วย ปลายจมูกค่อยๆ ผุดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ให้เห็น ดวงหน้าบอกบุญไม่รับแต่ก็ไม่ปริปากบ่นกระไร
นางไม่ใช่คนที่จะยอมจำนนกับสถานการณ์เลวร้ายและหาใช่คนที่ปฏิเสธไม่เป็น แต่น่าแปลกใจเหลือเกิน ทุกๆ ครั้งที่ใกล้ชิดกับเขา หัวใจของนางกลับไม่เคยคิดผลักไส ทั้งนางยังเป็นคนสบายๆ จึงคิดว่าการยื้อยุดด้วยเหนียมอายออกจะเสแสร้งไม่จริงใจเท่าไรนัก
และอะไรๆ แบบนั้นนางก็ทำไม่เป็น
สองคนพลิกตัวข้ามกำแพงมาหยุดที่ตรอกด้านหลัง เหยียนหลิงจวินงอนิ้วเป่าปากเป็นเสียงจึงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ อาชาดำตัวใหญ่ที่กลืนหายไปกับสีฟ้ายามดึกพุ่งตัวออกมาราวกับสายฟ้า
ฉู่สวินหยางสะดุ้งตกใจ คิดว่าคนผู้นี้บ้าไปแล้วกระมัง แค่ตามคนยังต้องอลังการถึงเพียงนี้?
ตอนที่ม้าตัวนั้นวิ่งมาอยู่เบื้องหน้านางก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลง แขนข้างหนึ่งของเหยียนหลิงจวินคว้าตัวฉู่สวินหยาง อีกข้างหนึ่งเกี่ยวกับบังเหียนแล้วพลิกตัวขึ้นหลังมันทันที
กำลังเท้าของอาชาน่าอัศจรรย์ใจสมกับม้าหนุ่มสูงค่าหายาก ฉู่สวินหยางได้ยินเพียงเสียงลมที่หวีดหวิวอยู่ข้างหู แค่พริบตาก็วิ่งออกมาไกลได้สิบกว่าจั้งแล้ว
ยายเฒ่าที่เฝ้าประตูอยู่ด้านในได้ยินเสียงจึงผลักประตูออกมาดู เห็นว่าถนนด้านนอกว่างเปล่าโล่งแจ้ง แม้แต่ครึ่งเงาคนก็ไม่มี ครั้นแล้วก็งับประตูปัง งีบหลับต่อไป
เหยียนหลิงจวินขึ้นมาได้ก็ดึงผ้าคลุมผืนใหญ่ซึ่งวางเตรียมเอาไว้บนหลังม้ามาห่มร่างคนทั้งสอง ฉู่สวินหยางตกอยู่ในอ้อมแขนเขา มีเพียงใบหน้าน้อยเท่าฝ่ามือที่โผล่ออกมา ทั้งคู่มุ่งหน้าไปทางจวนสกุลซู
ขณะนี้เจ้าสาวผ่านเข้าจวนไปแล้ว เมื่อเสร็จสิ้นพิธีก็จะถูกส่งเข้าเรือนหอ ซูหลินนั้นถูกกระชากลากถูออกไปสังสรรค์ที่งานด้านหน้า
ภายในเรือนหอ ญาติพี่น้องสตรีเขามาหยอกล้อนางไปรอบหนึ่ง ต่างรู้กันอยู่ว่าฉู่หลิงอวิ้นเป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่รอให้นางตอบรับก็เล่นสนุกพอเป็นพิธีแล้วขอตัวกลับอย่างรู้ความ
เหล่าสี่เหนียงยังต้องรอให้เจ้าบ่าวมาถอดผ้าคลุมหน้าพร้อมกับคล้องแขนดื่มสุราให้เรียบร้อยแล้วถึงจะจากไปได้ คนสิบหกคนแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ยืนรอโดยไม่ปริปาก พลันได้ยินเสียงเย็นชาดังมาจากเจ้าสาวที่นั่งหลังตรงอยู่บนเตียง ว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน!”
เหล่าสี่เหนียงตะลึง ยังคิดว่าตัวเองหูแว่วไปหรือเปล่า
จื่อเหวยทำสีหน้าลำบากใจ “ท่านหญิง เช่นนี้ผิดจารีตเจ้าค่ะ!”
“พวกเจ้าก็ออกไปด้วย!” น้ำเสียงใต้ผ้าปิดหน้าฟังไม่สบอารมณ์ ความหงุดหงิดพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ “ออกไปให้หมด!”
จื่อเหวยตะลึงงัน ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของนาง ส่งสายตาบอกเหล่าสี่เหนี่ยงให้ออกไป ที่ระเบียงประตูทางเข้าทุกคนเอาแต่มองหน้ากันไปมา
จื่อเหวยปรึกษากับจื่อซวี่เบาๆ แล้วเสนอว่า “พวกเจ้าไปพักที่เรือนข้างๆ ก่อนดีไหม กว่างานเลี้ยงด้านหน้าจะเลิกอย่างน้อยก็ต้องมีถึงสองชั่วยาม ที่นี่มีข้ากับจื่อซวี่คอยเฝ้าไว้ มีเรื่องอะไรค่อยเรียกพวกเจ้า”
พวกสี่เหนียงยืนมาตั้งแต่เช้ายันเย็น หลังแข็งเมื่อยขบไปหมด หลังหันหน้าคุยกันก็ตอบตกลง อย่างไรเสียก็อยู่ในจวน คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้
เดินไปส่งเหล่าสี่เหนียงแล้ว จื่อเหวยก็ส่งสายตาให้จื่อซวี่ จากนั้นก็หมุนกายกลับเข้าเรือนไป
ฉู่หลิงอวิ้นดึงผ้าคลุมหน้าออกไปแล้ว ตอนนี้กำลังพยายามปลดมาลาหงส์ออก
จื่อเวยไม่พูดมาก รีบเข้าไปช่วยแกะมาลาหงส์และถอดชุดแต่งงานแสนซับซ้อนซึ่งอยู่บนตัวของนางออก จากนั้นก็ไปรื้อหีบสินเดิมของเจ้าสาว หยิบเอาเสื้อผ้าสะอาดสีเรียบออกมาเปลี่ยนให้นาง
สองคนจัดการได้ว่องไว พอเสร็จเรื่องเหล่านี้ ฟ้าด้านนอกก็เปลี่ยนเป็นสีดำไปหมด
ฉู่หลิงอวิ้นเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง เอ่ยอย่างร้อนใจว่า “ไปดูหน่อยสิ ทำไมคนยังส่งมาไม่ถึงอีก อย่ามาสร้างปัญหาอะไรให้ข้านะ!”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” จื่อเหวยรับคำ ทันทีที่หมุนตัวพลันเห็นว่าหน้าต่างกระดาษด้านหลังสะท้อนเงาดำของคนหลายคน พร้อมกับเสียงเคาะซี่ลูกกรงเบาๆ สามครั้ง
จื่อเหวยดีใจ รีบพุ่งเข้าไปเปิดหน้าต่าง คนชุดดำสามคนปีนเข้ามา วางม้วนพรมที่หนีบมาลงบนพื้น
ฉู่หลิงอวิ้นมองทีหนึ่ง แสงเทียนแดงสดสาดกระทบดวงหน้าที่ตกแต่งอย่างประณีต เห็นเป็นรอยยิ้มเย็นน่าแปลกประหลาด
พอจื่อซวี่ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็เปิดประตูพุ่งเข้ามา เอ่ยเสียงเครียด “ท่านหญิง!”
ฉู่หลิงอวิ้นจ้องคนชุดดำ สั่งว่า “เปิดออก!”
“ขอรับ!” คนชุดดำก้าวออกมา สะบัดพรมให้เปิดออกด้วยความกักขฬะ ฉู่หลิงซิ่วที่นอนไม่ได้สติอยู่ภายในกลิ้งหลุนๆ ออกมา
สายตาของฉู่หลิงอวิ้นกวาดไปทางใบหน้าของสาวใช้ทั้งสองคน เอ่ยเสียงน่ากลัวว่า “รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร?”
“เจ้าค่ะ!” สองคนพากันพยักหน้างึกงัก “ท่านหญิงวางใจได้!”
ฉู่หลิงอวิ้นกระตุกริมฝีปาก เหลือบตาลงมองฉู่หลิงซิ่วที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น กระซิบว่า “อย่าหาว่าข้าผู้เป็นพี่ไม่ดูแลเจ้า ตอนนี้เป็นชายาของซื่อจื่อฉางซุ่น วันข้างหน้ายังได้เป็นชายาของท่านอ๋อง อนาคตรุ่งโรจน์วางอยู่เบื้องหน้า อยู่ที่เจ้าแล้วล่ะว่าจะมีความสามารถคว้ามันมาได้หรือไม่”
จื่อเหวยได้ฟัง อดจะหนาวเหน็บในใจไม่ได้แต่ทำได้เพียงแค่ยิ้มขื่น…
ฉู่หลิงอวิ้นทำเช่นนี้ หากต่อไปอุบายตัวตายตัวแทนของนางถูกเปิดโปง ฉู่หลิงซิ่วยังจะได้ดีอยู่หรือ? จวนอ๋องทั้งสองฝ่ายจะยอมละเว้นนางหรือ? เกรงว่าจะมีเพียงโทษตายสถานเดียวเหลือให้เท่านั้น!
เป้าหมายของนางลุล่วง แต่กลัวว่าหากชักช้าคงไม่เข้าทีจึงโยนทิ้งซึ่งความลังเล พยักหน้าส่งให้คนชุดดำ “พวกเราไป ในจวนทางนั้นยังมีละครฉากใหญ่ให้เล่นอีก!”
ร่างชุดดำหนึ่งร่างปีนหน้าต่างออกไปก่อนเพื่อรับตัวนาง อีกสองคนตามติดมาด้านหลัง ทั้งสี่เคลื่อนตัวไปทางจุดซึ่งเปลี่ยวร้างที่สุดทางตะวันออกของจวนสกุลซู
ภายในห้อง สาวใช้ทั้งสองต่างไม่อิดออด เปลี่ยนชุดให้กับฉู่หลิงซิ่วอย่างไวว่อง จัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยหมดจด
พวกฉู่หลิงอวิ้นวิ่งไปถึงใต้กำแพงด้านที่ร้างผู้คน คนชุดดำเอ่ยกับนางว่า “ล่วงเกินแล้ว” จากนั้นก็อุ้มนางพลิกตัวข้ามกำแพงไป ฉู่หลิงอวิ้นหันศีรษะกลับมาตอนที่ร่างของตนลอยอยู่กลางอากาศ มองลานเรือนห่างไกลที่จุดไฟสว่างไสวพลางแสยะยิ้ม…
ใครบอกว่านางจะยอมแต่งให้ซูหลิน? ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางไม่เต็มใจทำ ใครก็ไม่อาจบังคับนางได้!
คนชุดดำกระโดดลงบนพื้น ยกมือชี้นิ้วไปทางตรอกที่อยู่ขวามือ เอ่ยว่า “รถม้าจอดอยู่ตรงนั้น เชิญท่านหญิงตามข้ามา!”
“อืม!” ฉู่หลิงอวิ้นพยักหน้า ยกเท้าจะออกเดิน พลันเห็นเงาวูบไหวปรากฏอยู่เบื้องหน้า เหมือนมนุษย์ไร้เลือดในชุดกระโปรงโผล่ขึ้นกลางอากาศก่อนจะลอยลงมาบนพื้น
ยามสนธยาไร้คน หรือว่าจะเป็นผี?
ฉู่หลิงอวิ้นตกใจจนหน้าซีด เท้าร่นถอยทันควัน
สามคนชุดดำรีบปรี่ไปขวางหน้า ยังไม่ทันจะจัดท่าวางมาด ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านบนศีรษะ
“พี่หญิงอันเล่อ!” ฉู่สวินหยางกระโดดลงมาจากบนกำแพงอย่างมั่นคง สาวเท้ามาหยุดเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มบริสุทธิ์ “วันมหามงคลเช่นนี้ ต่อให้อยากจะหนี อย่างน้อยก็ต้องมีเพื่อนไปด้วยสักคนสิ! หรือว่าเจ้าตระเตรียมไม่ทัน ให้ข้าช่วยหาคนมาแก้ขัดก่อนดีไหม?”
————————————————————————
ตอนที่ 75 (1)
ไสหัวไป! (1)
“ฉู่สวินหยาง?” ฉู่หลิงอวิ้นหรี่มามองพลันรู้สึกสะท้านไปทั่วกาย ครางเสียงแผ่วว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“คำนี้ข้าควรจะเป็นคนพูดกระมัง?” ฉู่สวินหยางเล่นเครื่องประดับตรงเอว พลางส่งยิ้มให้อย่างเอื่อยเฉื่อย
“ทุกนาทีของคืนเข้าหอมีค่าเท่ากับทองพันชั่ง ละครฉากใหญ่เช่นนี้ ฉากภาพตระการตา พี่หญิงอันเล่อไม่รอเจ้าบ่าวของตนอยู่ในเรือนหอ แต่เล่นหนีออกมาปีนกำแพงพร้อมกับบุรุษกลุ่มหนึ่ง? แบบนี้…ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?” นางพูดไปพลางตบปาก ‘แปะๆ’ สองที เวลาเดียวกันก็ใช้หางตากวาดมององครักษ์ของฉู่หลิงอวิ้นไปรอบหนึ่ง
ฉู่หลิงอวิ้นไม่เคยถูกใครพูดจาดูถูกต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน? สีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน ชี้นิ้วอย่างเดือดดาล เอ่ยเสียงกร้าวว่า “ฆ่านางเดี๋ยวนี้!”
องครักษ์ทั้งสามคนสั่นระริก ลังเลไม่กล้าลงมือ
หากฉู่หลิงอวิ้นออกคำสั่งอื่น ต่อให้สั่งพวกเขาให้จับตัวฉู่สวินหยางไว้ก็จะไม่อืดอาดแต่นี่กลับสั่งให้ฆ่าให้ตาย? ฉู่สวินหยางมีฐานะเช่นไร สั่งให้ฆ่าก็ฆ่าได้เลยหรือ?
เหล่าองครักษ์พากันกระสับกระส่าย ฉู่สวินหยางพลันเอ่ยรับด้วยเสียงหัวเราะว่า “ให้ข้าเป็นคนทำดีกว่า อย่าได้ลำบากพวกเขาเลย”
สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นเคร่งเครียดทันตา
วาจาของฉู่สวินหยางยังไม่ทันจบดี ท่ามกลางความมืดบนต้นไม้ต้นข้างๆ กับด้านหลังของกำแพงสองฝั่งพลันมีร่างเงาสีทะมึนโผล่ออกมาราวกับปีศาจ
ฉู่หลิงอวิ้นใจกระตุกวูบ ดวงหน้าซีดเผือดอย่างไม่อาจควบคุม ก้าวถอยหลังด้วยความขลาดกลัว
ผู้ที่มาคือลู่หยวนกับชิงเถิง รวมถึงสี่องครักษ์คนสนิทของฉู่อี้อัน
ฝีมือของคนพวกนี้เดิมก็อยู่แนวหน้า แม้แต่หน่วยพลีชีพที่ฝึกออกมาก็ยังเทียบไม่ไหว เวลาเพียงพริบตาก็จัดการคนสามคนของฉู่หลิงอวิ้นจนลงไปกองกับพื้น
มือข้างหนึ่งของฉู่หลิงอวิ้นขยุ้มเสื้อบริเวณหน้าอกแน่น วงหน้าไร้สีเลือด จ้องคนสามคนที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความตกตะลึง
ฉู่สวินหยางยกมือขึ้นเล็กน้อย องครักษ์ทั้งสี่ถอยหายไปอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางคืนอันมืดมิดปราศจากสิ้นซึ่งเงาคน
ฉู่หลิงอวิ้นพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา เงยหน้าขึ้นมองอย่างช้าๆ ตวาดเสียงถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ก็ตามที่เห็น ข้ามาเพื่อขวางทางเจ้า” ฉู่สวินหยางยิ้มให้ ใช้หางตาเหลือบมองนาง “ไม่ว่าเจ้าจะคิดหนีงานแต่งหรือหนีตามคนอื่นไปก็ช่าง ขอโทษด้วยเถอะนะ แต่ข้าไม่ยอม!”
นางแสดงท่าทีว่าตนอยู่เหนือกว่า ราวกับที่ทำอยู่มันถูกด้วยและเหมาะสม น้ำเสียงเย่อหยิ่งชวนให้อารมณ์เดือดดาล
ฉู่หลิงอวิ้นได้ฟังพลันกระอักในใจ ความขุ่นข้องบีบรัดจนจุกอก
“เจ้า…” ดวงตาทั้งสองของฉู่หลิงอวิ้นเบิกกว้าง คิดจะอาละวาด แต่สถานการณ์เป็นรองเช่นนี้ทำให้นางไม่อาจมุทะลุ หลังจากหายใจเข้าออกอยู่หลายรอบจนสงบลงได้ในที่สุด ก็เอ่ยด้วยความนิ่งลึกว่า “เจ้ากับข้าไม่ได้ติดค้างไร้ซึ่งความแค้น เหตุใดเจ้าต้องมาทำลายแผนของข้า? เจ้า…”
“ดูท่าพี่หญิงอันเล่อคงจะมีแค่ผิวหน้าที่เลอโฉม สมองกลับไม่ดี ความจำใช้การไม่ได้!” ฉู่สวินหยางหัวเราะตัดบทนาง มือก็โยนถุงหอมที่มัดติดตรงเอวเล่น เท้าเดินกลับไปกลับมาอย่างอ้อยอิ่งในตรอกแคบๆ นั่น “เจ้าคงไม่ลืมง่ายขนาดนั้นหรอกกระมัง? ยุยงฉู่เยว่เหยาให้กลับไปวังบูรพาเพื่อรับอนุ กระตุ้นซูหว่านให้เป็นศัตรูกับข้า หลอกใช้ซูหลินให้ลงมือเอาชีวิตข้า! ถ้าหากนี่เรียกว่าไม่ได้ติดค้างไร้ซึ่งความแค้น เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย ต่อไปก็พูดได้ว่าไร้สิ่งติดค้างต่อกันแล้วกระมัง?”
ฉู่หลิงอวิ้นอ้าปากค้าง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายจะรู้ทุกการเคลื่อนไหวของนางราวกับรู้จักฝ่ามือตนเอง ขณะเดียวกันสัญชาตญาณเตือนภัยพลันร้องเตือน…
ที่แท้นังเด็กนี่ก็มาด้วยความแค้น น่ากลัวว่าวันนี้จะไม่วางมือไปง่ายๆ
“ก็ได้!” เวลานี้ การโต้เถียงด่าทอไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ฉู่หลิงอวิ้นพยายามควบคุมลมหายใจ ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ เอ่ยว่า “ต่อให้ข้ากับเจ้าจะเคยมีเรื่องขัดแย้งกัน แต่ว่ามันคนละส่วนกัน ครั้งนี้เป็นแค่เรื่องส่วนตัวระหว่างจวนอ๋องหนานเหอกับจวนสกุลซู เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งย่าม?”
“แค่เรื่องส่วนตัว?” ฉู่สวินหยางได้ยิน ก็หัวเราะออกมาราวกับได้ฟังเรื่องตลก นางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนแผ่นอกของคนชุดดำ จ้องตาฉู่หลิงอวิ้นด้วยความกดดัน ย้อนถามว่า “ถ้าเป็นแค่เรื่องส่วนตัวระหว่างจวนอ๋องหนานเหอกับจวนสกุลซูจริงๆ แล้วเหตุใจก่อนหน้านี้เจ้าต้องวางยาสลบน้องสี่ของข้าด้วย?”
ฉู่หลิงอวิ้นถอยหลังหนึ่งเท้า ฝืนยืดหลังให้ตรงแน่ว เอ่ยเสียงกร้าว “เจ้าอย่ามาเที่ยวใส่ความผู้อื่น ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เรื่องนั้้นซูหว่านเป็นคนทำ ไม่เกี่ยวกับข้า อยากรู้อะไรก็ไปถามนางสิ”
คำยังไม่จบดี นางพลันนึกอะไรออกบางอย่าง อารมณ์บนหน้าจึงแข็งทื่อ
สุดท้ายได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากฉู่สวินหยาง “ข้าได้บอกหรือยังว่าเรื่องไหนเป็นฝีมือของซูหว่าน? ถือว่าเจ้าสารภาพออกมาเองได้ใช่ไหม? หากไม่ใช่เจ้าที่คอยชี้แนะ หากไม่ใช่เจ้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้นาง จวนอ๋องหนานเหอสามร้อยกว่าคนกลายเป็นแจกันประดับไปแล้วหรือไง? ถึงได้ปล่อยให้คนนอกวางอำนาจบาตรใหญ่ คิดจะทำอะไรก็ทำ?”
ฉู่หลิงอวิ้นถูกนางกระตุ้นจนเดือดดาล เลิกคิดจะแก้ตัวอีก เพียงตั้งคอแข็งทื่อ เอ่ยว่า “ข้าไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเจ้า ถ้าเจ้าฉลาดหน่อยก็หลีกทางไปเสีย คิดจะแตะต้องข้า ก็ต้องดูว่าเจ้ามีความกล้าพอหรือเปล่า?”
ฉู่สวินหยางไม่กล้าแตะต้องนางจริงๆ หรอก ไม่อย่างนั้นคงทำเรื่องให้ใหญ่โตวุ่นวายไปแต่แรกแล้ว
ทว่า…
แม้ฉู่หลิงอวิ้นจะรักษาความสุขุมไว้บนใบหน้าสุดชีวิต ทว่าหัวใจกลับกระวนกระวายไม่เป็นสุข ตลอดเวลาก็เอาแต่ตะแคงหูคอยฟังเสียงความเคลื่อนไหวในจวนสกุลซู
ฉู่สวินหยางมีหรือจะรู้ไม่ทันนาง? เห็นท่าดังนั้นก็เอ่ยขำๆ ว่า “ทำไมเล่า กลัวว่าข้าจะแหกปากขึ้นมารึ?”
ทันทีที่คนสกุลซูได้มาเห็น ต่อให้นางมีร้อยปากก็ยากจะอธิบาย
ความคิดของฉู่หลิงอวิ้นถูกเปิดเผย หลุดเสียงตวาดออกไปด้วยความอับอายที่กลายเป็นเกรี้ยวกราด “เจ้ากล้า?”
“เจ้ากลัว?” ฉู่สวินหยางย้อนถาม
สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นชะงักกึก กัดริมฝีปากแน่น เพลิงโทสะเผาไหม้ในดวงตา ไอสังหารแผ่ออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ฉู่สวินหยางกลับทำเป็นมองไม่เห็นสายตาดำมืดที่คมกริบดั่งมีดดาบของนาง
นางก้มหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ยังคงหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย เอ่ยช้าๆ ว่า “ตอนนี้ยังเร็วไป กว่าซูหลินจะกลับเข้าเรือนหอไปเจอเรื่องประหลาดใจที่เจ้าเตรียมเอาไว้ให้ก็คงจะอีกสักพัก ถือโอกาสนี้ที่ทัศนียภาพบนกำแพงออกจะงดงาม ไม่สู้พวกเรามาเจรจากันหน่อย? วิเคราะห์หาข้อได้ข้อเสียของหมากกระดานนี้ ?”
ฉู่สวินหยางพูดไป มือข้างหนึ่งก็คว้ากำแพงไว้ แล้วกระโดดขึ้นไปบนนั้นอย่างง่ายดายอีกครั้งหนึ่ง
มือทั้งสองข้างยันกับอิฐด้านบนกำแพง มองลงมาด้วยนัยน์ตายิ้มหยี แกว่งขาเล่นอย่างไม่ทุกข์ร้อน สบายใจไม่มีใดเปรียบ
ลู่หยวนกับชิงหลัวตามฉู่สวินหยางไปติดๆ
ฉู่หลิงอวิ้นสิ้นไร้ไม้ตอก โมโหจนควันขึ้นหน้า ถอยหลังหนึ่งก้าว มองนางด้วยความอาฆาตแค้น
ฉู่สวินหยางไม่สนใจ มองพระจันทร์ทรงกลมที่ลอยเคว้งไกลสุดตา เปิดปากด้วยน้ำเสียงไม่รีบร้อน
“เรือนหอทางนั้นข้าไม่รู้รายละเอียดหรอกว่าเจ้าจัดการอย่างไร แต่เรื่องราวพลิกผันร้อยแปด อีกไม่นานเจ้าอาจถูกเปิดโปงก็เป็นได้? หรือว่าจะรอให้พวกเขาเปลี่ยนข้าวสารเป็นข้าวสุก แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยโผล่หน้าไปสารภาพผิด? อย่างไรก็ตามแผนที่เจ้าต้องรีบกลับจวนอ๋องหนานเหอไม่อาจรอช้า เพราะเจ้าต้องฉวยโอกาสตอนที่เรื่องราวยังไม่เกิดแสร้งว่าถูกคนกักตัวเอาไว้ รอให้ทุกอย่างผ่านไป ซูหลินมาตามหาเจ้า ความจริงก็กลายเป็นว่าฉู่หลิงซิ่ววางอุบายด้วยมีใจทะเยอทะยานเสียสติ อยากแต่งเข้าสกุลซูเพื่อเสพสุขกับชื่อเสียงเงินทอง ถึงเวลานั้นนางจะตกเป็นจำเลย ส่วนเจ้า…แม้จะไม่ได้แต่งเข้าสกุลซูตามราชโองการ แต่ก็เป็นเรื่องผิดพลาดที่จนใจ อีกทั้งยังมีเสด็จย่าของเรากางปีกปกป้อง เรื่องนี้นอกจากให้แล้วๆ กันไปก็ไม่มีหนทางอื่นอีก”
ดวงหน้าของฉู่หลิงอวิ้นแข็งทื่อ เงียบกริบไร้เสียง ฉู่สวินหยางถือว่าความเงียบนั้นคือการยอมรับ มองนางทีหนึ่ง ก่อนที่จะเบี่ยงสายตาหนี
“ถ้าเจ้าทำลายงานแต่งหรือว่าหนีมัน นั่นก็คือการตบหน้าสกุลซูดีๆ นี่เอง ไม่ต้องเดาก็รู้ จวนอ๋องฉางซุ่นไม่ยอมอยู่เฉยแน่ สองสกุลต้องกลายเป็นคู่แค้นที่ชิงชัง” ฉู่สวินหยางเอ่ยต่อ “แต่ตอนนี้มันจะต่างออกไป สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าปรารถนาให้เป็น เจ้าเองก็เป็นผู้ถูกกระทำ หากซูหลินอยากจะแก้แค้น ก็ต้องแค้นฉู่หลิงซิ่วที่ถูกลาภยศครอบงำจนหน้ามืดตาบอด กับจวนอ๋องหนานเหอทางนั้น…แม้จะมองหน้าได้ไม่สนิท แต่ถ้ายังมีพี่หญิงอันเล่อเจ้าอยู่ทั้งคน อาศัยความหลงใหลโง่งมอันไม่แปรเปลี่ยนของเขา ภายหลังค่อยทุ่มเทความคิดหว่านล้อมสักนิดก็สิ้นเรื่องแล้ว ถ้าตัวปลอมที่แต่งออกไปเป็นแค่สาวใช้ธรรมดาๆ เมื่อจบเรื่องแล้วก็ยังสามารถเปลี่ยนคนกลับไปได้อีก กลบเกลื่อนว่าไม่เคยมีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้น แต่ฉู่หลิงซิ่วไม่เหมือนกัน นางเป็นถึงท่านหญิงในจวนอ๋องหนานเหอ ในเมื่อไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว ใครจะกล้าทำว่าเรื่องราวไม่เคยเกิดขึ้นอีก? ดังนั้นสกุลซูจึงทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมเท่านั้น”
ฉู่สวินหยางพูดไปก็ตบมือด้วยความนับถือ เอ่ยชมไม่ขาดปากว่า “แผนการเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังอดจะตบโต๊ะชมเชยไม่ได้”
————————————————————————
ตอนที่ 75 (2)
ไสหัวไป! (2)
เสียงปรบมือฟังชัดยามค่ำคืน สำหรับฉู่หลิงอวิ้นเหมือนว่าฝ่ามือนั้นฟาดลงบนหน้าของนางอย่างไร้ความปราณี จนความอดกลั้นทุกอย่างที่มีแทบจะสลายเป็นผุยผง หายวับไปกับตา
นางจิกเล็บกลางฝ่ามือ ไร้ซึ่งวาจา หากว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็คงจะโห่ร้องชื่นชมความเก่งกาจในการตัดสินใจและเชื่อมโยงเรื่องราวของนังเด็กคนนี้ไปแล้ว
นั่นเพราะ…
ฉู่สวินหยางคาดการณ์ทุกอย่างได้ตรงจุด ทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในการคิดคำนวณของนาง
“เช่นนั้นแล้วจะทำไม? ข้าเคยบอกแล้วนี่ มันเป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า” จบคำ ฉู่หลิงอวิ้นเพียงเอ่ยเยาะเย้ยด้วยสายตาเย็นเยียบ
“แต่เจ้าคิดจะใช้วังบูรพามาเป็นแพะรับบาปตั้งแต่ต้น” ฉู่สวินหยางกล่าว ประโยคเดียวตรงประเด็น
เวลานี้นางถึงได้เบือนหน้ากลับมา มุมปากกระตุกคล้ายยิ้ม แต่สายตาลุ่มลึกคมปลาบจ้องเขม็งที่ดวงหน้าขาวซีดทว่าไม่ทิ้งความงาม
“เจ้า…” ฉู่หลิงอวิ้นสะอึก เกือบหลุดร้องออกมาเพราะโดนจี้ใจดำ
ฉู่สวินหยางเลิกคิ้วท้าทาย เอ่ยว่า “อย่าปฏิเสธว่าไม่ใช่! ทำก็บอกว่าทำ ถ้าตอนนี้เจ้ายอมรับ บางทีข้าอาจจะเหลือทางรอดไว้ให้เจ้าบ้าง”
ฉู่หลิงอวิ้นเงียบกริบ ในใจกลับมีคลื่นใหญ่ม้วนสูง โหมซัดอย่างไม่ปราณี
นังเด็กน่าตาย!
นางถึงขนาด…
รู้ทุกอย่างเลยรึ!
ฉู่สวินหยางมองนาง เล่าเรื่องราวที่เหลือต่อไป
“แผนเดิมของเจ้า ความจริงไม่มีฉู่หลิงซิ่วอยู่ในนั้น ตามที่ตกลงกันไว้ คนที่ต้องถูกส่งให้เข้าหอแทนเจ้าควรจะเป็นน้องสี่ของข้า? ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจวนอ๋องหนานเหอก็จะพูดได้ว่าท่านพ่อใช้แผนสกปรกมาทำลายการเกี่ยวดองของพวกเจ้ากับสกุลซู ความเคลือบแคลงในใจของฝ่าบาทจะต้องถูกกระตุ้นอีกครั้ง ถึงเวลานั้นวังบูรพาจะต้องตกนรกทั้งเป็น ตัวเจ้าเองไม่เพียงหลุดพ้นจากวิกฤติ ยังสามารถโจมตีวังบูรพาจนถึงขึ้นเอาชีวิตได้อีกด้วย”
นี่เป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดของแผนการครั้งนี้ นางรอดตัวไม่พอยังไม่ลืมจะลากวังบูรพาลงนรกไปด้วย ยังดีที่แผนการตอนหลังถูกแทรกแซง ไม่อย่างนั้น…
แค่เพียงคิด ฉู่สวินหยางก็ใจสั่นไปหมด!
ฉู่หลิงอวิ้นขบฟันแน่น ไม่เอ่ยวาจา ได้แต่เบี่ยงตาหลบอย่างทนรับไม่ไหวกับสายตากดดันของฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางไม่ได้หวังว่านางจะตอบคำถาม จึงเอ่ยกับตัวเองต่อไปว่า
“รายละเอียดพวกนี้ซูหว่านคงไม่รู้สินะ? ตอนที่เจ้าร่วมมือกับนางคงจะบอกแค่ว่าเพื่อเล่นงานข้า มีเจ้าคอยวางหมากอยู่เบื้องหลัง ซูหว่านเป็นคนลงมือ เริ่มจากสั่งคนให้ทำเสื้อผ้าของพวกคุณหนูให้เปื้อน ล่อข้ากับน้องสี่ไปที่เรือนหลังนั้น ถึงเวลานั้นเจ้าก็ฉวยประโยชน์เอาตัวน้องสี่ไป ขณะเดียวกันก็ให้ซูหว่านกักตัวข้าไว้ ถือว่าชำระแค้นธนูดอกนั้น แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ข้าไม่ได้หลงกล และทันทีที่เจ้าเห็นว่าเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามแผน เจ้าก็รีบตัดสินใจถอนตัวทันควัน แต่ว่าซูหว่านทางนั้น เพราะเจ้าไม่อาจบอกแผนเรื่องหนีงานแต่งงานให้นางฟัง ทั้งยังไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น สุดท้ายจึงปล่อยมือไม่ใยดีให้นางกระโดดลงหลุมที่ตัวเองขุดไว้ น่าเศร้าที่นางไม่มีวันรู้เลยว่าตอนที่นางมุ่งมั่นตั้งใจจัดการคนนอกร่วมกับเจ้าผู้เป็นพี่สะใภ้ในอนาคตนั้น เจ้ากลับซ้อนแผนไว้อีกขั้นอย่างแยบยล เพื่อถีบพวกนางสองพี่น้องให้ออกห่าง”
“ส่วนฉู่หลิงซิ่ว…” ฉู่สวินหยางถอนหายใจ หัวเราะหยัน “ก็ถือว่านางหาเรื่องใส่ตัวเอง ที่ดันเลือกมาซ้ำเติม บาดแผลของเจ้าในวันนี้ จนเจ้าเกลียดขี้หน้านางขึ้นมากะทันหัน”
น้ำเสียงของฉู่สวินหยางมั่นคงและสงบ เมื่อเอ่ยจบแล้วก็เหลือไว้เพียงความเงียบงัน
ลู่หยวนกับชิงหลัวฟังไปใจก็ให้สะท้านสั่น ไม่ต้องคิดก็เดาออกว่า หากเรื่องราวดำเนินไปตามเส้นทางที่ฉู่หลิงอวิ้นวางเอาไว้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงไหน
สตรีผู้นี้ช่างอำมหิตเลือดเย็น!
ไม่ว่าจะส่วนตัวหรือส่วนรวม ล้วนแต่วางหมากออกมาได้อย่างแยบยล
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร จู่ๆ ลมหนาวก็โชยพัดมา
ลมเหมันต์ ทั้งแห้งผาก และเยือกเย็น
เมื่อกวาดสายตาผ่านตรอกโล่งที่มืดดำ จะเห็นดรุณีน้อยชุดม่วงผมดำขลับอยู่เหนือกำแพง กระโปรงขาวพัดพริ้ว ดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างทรนง ภายใต้ความสุขุมอ่อนโยนก็งามงดเย้าตา
สายตาของทุกคนถูกสะกดไว้บนกำแพง บางคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด บางคนจ้องมองด้วยความชิงชังปะปนด้วยความริษยา จนไม่มีใครรู้ตัวเลยว่า บัดนี้พื้นที่คับแคบตรงนั้นได้มีร่างคนเพิ่มขึ้นมาอย่างเงียบๆ
“ลงมา!” เสียงต่ำห้าวของบุรุษดังขึ้น แฝงซึ่งการบีบบังคับไม่อ่อนข้อ
ทุกอารมณ์ถูกดึงกลับ ต่างพากันหันไปมองต้นเสียง
เหยียนหลิงจวินยืนอยู่ด้านหลัง ดวงหน้านิ่งเรียบแหงนขึ้นเล็กน้อย เสี้ยวหน้าโดดเด่นถูกแสงจันทร์ฉาบทับ ปรากฏให้เห็นผิวสีหยกที่คล้ายจะเปล่งแสงนวลเนียน เป็นความสมบูรณ์อันไร้ที่ติ
เมื่อครู่ต่างคนต่างมีเรื่องอยู่ในใจ ไม่มีใครทันสังเกตว่าเขาโผล่ออกมาตั้งแต่ตอนไหน
และเขาก็หาได้แยแสผู้คน หัวคิ้วขมวดเล็กๆ มองฉู่สวินหยางที่หัวเราะชอบใจอยู่บนกำแพงอย่างไม่สบอารมณ์นัก ยื่นมือให้นางแล้วค้างไว้อยู่แบบนั้น
คนหนึ่งทำท่ารอคอย คล้ายเป็นการออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจ ทว่ากลับไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า
ฉู่สวินหยางนั่งอยู่บนกำแพง ลมเย็นพัดปอยผมพันกันยุ่ง ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย เป็นแสงวิบวับคล้ายดวงดาวสุกใส
เห็นว่าเขามา ฉู่สวินหยางจึงยิ้มให้ก่อนกระโดดลงจากกำแพงอย่างไร้ทางเลือก
เหยียนหลิงจวินคว้ามือของนางไว้ จับนางให้ยืนบนพื้นอย่างมั่นคง แต่ตอนที่สัมผัสถูกอุณหภูมิตรงปลายนิ้ว หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นอีกรอบ เขาคลี่ผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ที่อยู่ในมืออีกข้างออกแล้วคลุมบ่าให้นาง ช่วยนางจัดแจงราวกับว่าข้างกายไร้คนอื่น ซ้ำยังผูกเงื่อนที่คอเสื้อให้จนเรียบร้อย
นิ้วมือเรียวยาวพริ้วไหว ท่ามกลางขนเสื้อดำขลับ มันดูเด่นชัดสะดุดตา
การที่เขาลงมือทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกขัดแย้ง แต่ยังคงสง่างามดังเก่า และยังเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วน
ผ้าคลุมผืนนั้นเห็นชัดว่าเป็นของเขา ความหนาและใหญ่ของมันบังร่างทั้งร่างของฉู่สวินหยางเสียมิด ชายเสื้อด้านล่างยาวจนลากพื้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูตลกน่าขัน
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคน ฉู่สวินหยางรู้สึกไม่สะดวกใจนัก เท้าจึงก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว แล้วส่งยิ้มกลบเกลื่อนให้ เอ่ยว่า “ข้าไม่หนาว!”
เหยียนหลิงจวินไม่สนใจนาง ก้าวขาตามติด กระชับเสื้อคลุมให้แน่นหนาอย่างดื้อรั้น
ลู่หยวนกับชิงหลัวต่างก็หลุบตาหลบต่ำ ได้แต่ทำทีว่าตนไม่ได้พกตากับหูมาด้วย
ฉู่หลิงอวิ้นยืนอึ้งอยู่ด้านข้าง ตาสองข้างแดงเรื่อ
วินาทีที่เหยียนหลิงจวินปรากฏตัวขึ้น นางรู้สึกตกตะลึงก่อนจะตามมาด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้เหมือนว่าหน้ากากที่สวมอยู่บนหน้าจะแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ แม้แต่ความรู้สึกร้อยพันที่ปั่นป่วนอยู่ในใจก็แหลกสลาย เศษเสี้ยวเกลื่อนพื้นจนไม่อาจเก็บกวาดได้หมด
ขอบตาแดงก่ำ เหมือนจะมีของเหลวร้อนลวกไหลพรูออกมา
นางออกแรงกัดริมฝีปาก เล็บจิกเข้ากลางฝ่ามือจนเกิดรอยเลือด
สายตาของฉู่สวินหยางมองผ่านนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ หัวคิ้วพลันเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น
ฉู่หลิงอวิ้นสบตากับนางเข้าพอดี พลันหัวเราะออกมาด้วยความเศร้าหมองปนเจ็บแปลบ
นางเงยหน้าขึ้น บังคับให้น้ำตาที่คลออยู่ไหลกลับเข้าไป เอ่ยเสียงไร้ความรู้สึกว่า “กลางเมืองหลวง ใต้แผ่นฟ้า ใต้เท้าเหยียนหลิง เจ้ากำลังช่วยคนเลวกระทำการชั่วช้าและต้องการจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับจวนอ๋องหนานเหอใช่หรือไม่? ตั้งแต่ข้ารู้จักกับเจ้าก็ไม่เคยขุ่นข้องหมองใจ…”
เหยียนหลิงจวินผู้นี้ แม้จะถือว่าเป็นคนหน้าใหม่ในวงขุนนางและผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในเมืองหลวงแต่เสียงล่ำลือทุกๆ ด้านล้วนเป็นเลิศ นอกจากที่ไปขัดใจสองพี่น้องสกุลซูเมื่อครั้งก่อน ก็ไม่เคยได้ยินว่าเขาเคยล่วงเกินใครอีก
ความรู้สึกบอกนางว่า คนผู้นี้ไม่ได้มีนิสัยเลวร้าย
ฉู่หลิงอวิ้นพลันเกิดความหวังบางอย่างจากความคิดนั้น
ไม่คิดว่าวาจายังไม่ทันกล่าวจบ เหยียนหลิงจวินทางนี้ก็เอ่ยปากขึ้นเบาๆ ว่า
“งั้นเริ่มหมองใจกันตั้งแต่วันนี้เถิด!” ประโยคเดียว กระชับและเชื่องช้า แต่ทุกคนสลักชัดแทงใจ
สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นไร้เลือดโดยทันที ฝีเท้าถอยร่นซวนเซ
“เจ้า…” ปากนางอ้าค้าง น้ำตาที่กดลงไปอย่างยากลำบากรื้อกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งตามอารมณ์กราดเกรี้ยวที่อยู่เต็มอก
ตอนที่พูดประโยคนั้น เหยียนหลิงจวินไม่หันมามองด้วยซ้ำ ยิ่งไม่เคยส่งสายตาอ่อนโยนมาให้ มัวแต่ช่วยฉู่สวินหยางจัดแต่งเสื้อคลุมบนร่างอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เหอะ…” ฉู่หลิงอวิ้นพลันรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าช่างน่าขันสิ้นดี และอาจเพราะเจ็บปวดเกินไป สุดท้ายจึงหัวเราะออกมาจริงๆ
เสียงหัวเราะนั้น ไม่อาจกักเก็บหยดน้ำตาได้อีก
————————————————————————
ตอนที่ 75 (3)
ไสหัวไป! (3)
ชั่วชีวิตนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าระหว่างนางกับเหยียนหลิงจวินไม่มีความสัมพันใดๆ ต่อกัน ฉู่สวินหยางมองอารมณ์ที่นางแสดงออก พลันรู้สึกว่าทนมองต่อไปไม่ไหว
นางทำหน้าตึง เอ่ยปากสั่งลู่หยวนว่า “อย่าชักช้า รีบเก็บกวาดแล้วไปเถอะ!”
“ขอรับ ท่านหญิง!” ลู่หยวนผงกศีรษะ ก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าหมับที่ข้อมือของฉู่หลิงอวิ้น
ฉู่หลิงอวิ้นเหมือนเผชิญหน้ากับศึกใหญ่ สะบัดมือทิ้งด้วยความลนลาน ทางหนึ่งก็กรีดร้องเสียงแหลม “ฉู่สวินหยาง เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“สบายใจได้ เทียบกับเสด็จย่าที่รักเจ้าฝังกระดูกแล้ว ข้าคุยง่ายกว่าเป็นกอง ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะไม่แต่งให้ซูหลิน ข้าก็จะไม่บีบคั้นเจ้า” ฉู่สวินหยางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่อยากทำให้เจ้าลำบาก เพราะถ้าต่อไปพวกเราเจอหน้ากันมีแต่จะกระอักกระอ่วน”
ฉู่หลิงอวิ้นลังเลอยู่ครึ่งวันพลันชะงักกึก จ้องมองนางด้วยสายตาหวาดระแวงเต็มที่
นางคิดว่าฉู่สวินหยางมาเพื่อขัดขวางนาง พยายามยัดเยียดนางให้ซูหลิน เพราะอย่างไร…
เป้าหมายเดิมของงานแต่งงานฉากนี้ก็คือฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางไม่อธิบายเพิ่มเติมอีก เพียงชี้นิ้วไปที่พรมบนพื้น เอ่ยว่า “ใช้ของให้คุ้ม อย่าได้สิ้นเปลือง ม้วนนางไว้ข้างใน พวกเรากลับ!”
พรมผืนนั้น ก็คือผืนที่องครักษ์ของฉู่หลิงอวิ้นใช้พันตัวฉู่หลิงซิ่วมา
แม้จะเรียกว่าเวรกรรมตามทัน แต่ก็ไม่ควรจะตามมาไวเช่นนี้
ร่างของฉู่หลิงอวิ้นโอนเอน ดวงหน้าซีดเผือด ในที่สุดจึงตัดสินใจแหกปากร้อง…
ต่อให้ต้องตกอยู่ในมือของซูหลิน ก็ยังดีกว่ายอมให้นังเด็กใจเหี้ยมอย่างฉู่สวินหยางพาตัวนางไป อย่างไรสถานการณ์ทางนี้ยังสับสน ถึงเวลานั้นค่อยโบ้ยให้ฉู่สวินหยาง บอกว่านังเด็กคนนี้ส่งคนมาจับตัวนางจนนางต้องตัดสินใจทำเรื่องเช่นนี้อย่างไร้ทางเลือก
ความคิดของฉู่หลิงอวิ้นหมุนแล่น กำลังจะอ้าปาก พลันได้ยินเสียงตวาดดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งของตรอกถนน “พวกเจ้าเป็นใครน่ะ?”
น้ำเสียงคุ้นหู แต่ฉู่หลิงอวิ้นกำลังหัวหมุนจึงไม่ทันนึกออก
เป็นลู่หยวนที่ตาดี กระซิบบอกฉู่สวินหยางว่า “คนของจวนอ๋องหนานเหอขอรับ!”
“เอ๊ะ?” ฉู่สวินหยางชะงักไป ก่อนจะเข้าใจอะไรๆ ในทันที…
คงไม่พ้นฝีมือของฉู่ฉีเหยียน!
เขายังคงรู้จักพี่สาวของตัวเองดี ถึงได้เตรียมการไว้เสร็จสรรพ
ฉู่หลิงอวิ้นได้ยินเสียง หัวใจเต้นด้วยความยินดี รีบเรียก “หลี่…”
เสียงร้องยังไม่ทันจะลอดออกมาก็ถูกสกัดไว้ในลำคอ ร่างของนางก็ล้มพับไปพร้อมกับเสียงที่ดับหาย
พวกหลี่หลินสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เร่งฝีเท้าบุกพรวดเข้ามา
“เจ้ากับชิงหลัวพานางไปก่อน!” ฉู่สวินหยางสั่งเสียงเรียบ ก่อนหันไปมองเหยียนหลิงจวิน
เหยียนหลิงจวินพยักหน้าให้เบาๆ อย่างเข้าใจความหมาย เพียงส่งสัญญาณมือ พวกอิ้งจื่อทั้งสามคนก็ปรากฏตัวขึ้น
“ล่อพวกนั้นไปทางอื่น ก่อนฟ้าสว่าง ห้ามให้กลับไปถึงจวนอ๋องหนานเหอ” เหยียนหลิงจวินสั่ง
พวกอิ้งจื่อไม่ปริปากคัดค้าน กระโจนเข้าหาทันที
ลู่หยวนนำพรมมาม้วนร่างของฉู่หลิงอวิ้นไว้ด้านใน ช้อนไว้ใต้วงแขนแล้วพุ่งตัวไปอีกฝั่งของตรอกพร้อมกับชิงหลัว ขณะเดียวกันเหยียนหลิงจวินก็ลากมือฉู่สวินหยางลอยหายไปเพื่อเลี่ยงการตกอยู่ในสถานการณ์น่าสงสัยเช่นนี้
ตอนที่ผู้มีฝีมือของสองฝั่งประมือกันอยู่ในตรอก งานเลี้ยงภายในจวนสกุลซูยังคงดำเนินไปอย่างคึกคัก ส่วนคนที่เอาแต่หวนคิดถึงฉู่หลิงอวิ้นอย่างซูหลิน ได้ฉวยโอกาสแอบหลบไปทางเรือนหอแล้ว
เด็กรับใช้คนสนิทพยุงซูหลินที่ฝีเท้าซวนเซมุ่งหน้าไปทางเรือนหลังอย่างรีบร้อน ด้วยผลพวงจากฤทธิ์สุรา ภาพเบื้องหน้าจึงพร่าเลือน มองเห็นแต่ฉากที่ตนรับมือนางในดวงใจในชุดแต่งงานสีแดงลงมาจากเกี้ยว เห็นเอวบางอ้อนแอ้นที่ขยับเดิน ก็อดจะจินตนาการไปถึงเรือนร่างใต้ร่มผ้าไม่ได้ว่าจะเพริศพริ้งถึงเพียงไหน
ซูหลินจิตใจฟุ้งซ่าน ดวงหน้าที่เดิมแดงฉ่ำด้วยสุราถูกเติมสีให้เข้มขึ้นไปอีก ในสมองเต็มไปด้วยฉากแนบชิดสนิทเนื้อที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ไกล
เขาติดตามบิดาเข้าวังมาตั้งแต่อายุสิบสี่ และนับแต่ที่ได้เจอฉู่หลิงอวิ้นโดยบังเอิญในตอนนั้น จิตใจก็เอาแต่พะวงคิดถึงไม่หาย ตั้งใจแน่วแน่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งกับนาง รับผู้งามเป็นเลิศนี้มาไว้ในครอบครอง
รอคอยมาเนิ่นนาน ในที่สุดฝันก็จะกลายเป็นจริง
คิดไป ซูหลินก็ยิ่งเร่งฝีเท้าเพื่อไปเรือนด้านหลังอย่างทนรอไม่ไหว หัวใจร่ำร้องแต่จะร่วมเดินทางอันแสนหวานไปพร้อมกับชายาของตน
“กรี้ด…” ทันใดนั้นเอง พลันได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงของหญิงสาวดังขึ้น จนกลบเสียงงานเลี้ยงรื่นเริงด้านหน้าที่ยังไม่เลิกรา
ทิศทางของเสียงนั้น มาจากฝั่งของเรือนเจ้าสาวพอดี
เลือดในกายของซูหลินแข็งทื่อ สมองตื่นจากความมัวเมาราวกับถูกคนสาดน้ำเย็นจัดใส่หน้า เมื่อได้สติแล้ว ก็รีบวิ่งไปที่เรือนหอทันที
หลังจากเสียงกรีดร้องจบลง ก็ตามมาด้วยเสียงมากมายในหัวสมอง ซูหลินกลัวว่าจะมีคนทำร้ายฉู่หลิงอวิ้น หัวใจเหมือนถูกแผดเผา รอจนเขาพุ่งตัวไปถึงที่นั่น เรือนทั้งหลังก็อลหม่านไปหมด
สาวใช้ในเรือนสกุลซูทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ รวมไปถึงสี่เหนียงในชุดแดงสด ต่างก็เดินสวนกันให้ควั่กเหมือนกับแมลงวันไร้หัว ทุกคนทำหน้าเหมือนเจอผี หน้าซีดไร้เลือด บางคนก็หน้าดำคล้ำ ขณะที่บางคนก็ไปนั่งคุกเข่าตัวสั่นระริกอยู่ตรงมุม ไม่ปริปากพูดคำ
ประตูใหญ่ของเรือนหอมีคนอยู่เนืองแน่น แต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญจากด้านในก็ยังดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
สมองของซูหลินขาวโพลนไปหมด แม้จะพยายามปลอบตัวเอง ว่าตำหนักนี้มีทหารคอยเฝ้าเข้มงวด ไม่มีทางเกิดเรื่องแน่ แต่ว่าสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้ากำลังทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้น? พวกเจ้าร้องโวยวายอะไร?” ซูหลินก้าวเข้าลานไป ก็ส่งเท้าถีบสาวใช้คนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ข้างประตู
สาวใช้ผู้นั้นร้องโอยๆ กลิ้งไปกับพื้น ปีนขึ้นมาได้ก็ชี้นิ้วไปทางเรือนหอ น้ำตาไหลพรากๆ พูดไม่เป็นภาษาคนว่า “เป็น…เจ้าสาว…เจ้าสาว…”
เรื่องราวใหญ่โตเกินคาดฝัน ทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงจวนอ๋องหนานเหอ ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าปากมาก
หัวใจของซูหลินกระตุกวูบ หมดความอดทนจะซักไซ้ต่อ เท้าถีบใส่นางอีกทีหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้ายาวเดินไปทางเรือนหอ
“ไสหัวไปให้หมด!” เขาตวาดเสียงดังใส่ทุกคน
เหล่าสี่เหนี่ยงและข้ารับใช้ที่มุงอยู่หน้าประตูรีบแหวกทางออกเป็นสองฝั่ง พอผ่านประตูเข้าไปก็เห็นจื่อเหวยกับจื่อซวี่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับเจ้าสาวชุดแดงที่นอนอยู่บนเตียง
บ่าวสองคนล้วนตาแดงก่ำ ทางหนึ่งก็ตะโกนด่าทั้งน้ำตา “นังสารเลว! หน้าไม่อาย ข้าจะถลกหนังเจ้าออกมาให้ได้!”
แน่นอนว่าเขารู้จักสาวใช้ทั้งสองคนของฉู่หลิงอวิ้น ซูหลินยืนงงเป็นไก่ตาแตก อึ้งไปเป็นพักก่อนจะรีบก้าวขาเข้าไปทันทีที่ได้สติ เขากระชากคนทั้งสองที่นั่งคร่อมและพยายามดึงชุดเจ้าสาวอยู่ออกแล้วเหวี่ยงลงบนพื้นด้วยความเดือดดาล ระเบิดอารมณ์ว่า “ไอ้พวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ใครก็ได้เข้ามาลากพวกชั้นต่ำสองคนนี้ออกไปโบยให้ตาย!”
กล้าแตะต้องผู้หญิงของเขา? สาวใช้สองคนนั้นเสียสติไปแล้วอย่างนั้นรึ?
ซูหลินโกรธมาก ดวงหน้าบิดเบี้ยว ทำเอาสี่เหนี่ยงและบ่าวรับใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์พากันตกใจจนขาอ่อนทรุดกระแทกพื้น
เจ้าสาวที่อยู่บนเตียงปล่อยโฮออกมา ตอนที่ซูหลินกำลังเจ็บปวดหัวใจเหลือแสน จื่อเหวยที่ถูกเหวี่ยงลงพื้นก็ปาดน้ำตาทิ้งแล้วโถมตัวมากอดขาเขาไว้แน่น
ซูหลินกำลังจะสะบัดนางออกด้วยความขยะแขยง แต่ได้ยินเสียงแค้นใจของจื่อเหวยดังขึ้นก่อนว่า “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยท่านญิงของพวกเราด้วย รีบไปช่วยท่านหญิงของพวกเราด้วยเถอะ!”
ซูหลินยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่
จากนั้นจื่อซวี่ก็ฝืนทนเจ็บปีนขึ้นมา พุ่งตัวไปหน้าเตียงแล้วพยายามดึงเจ้าสาวที่นอนร้องไห้กระซิกๆ อยู่ด้านบนให้ลงมาด้านล่าง สองคนกลิ้งหลุนๆ ล้มอยู่บนพื้น
“ซื่อจื่อ ท่านดูสิ นี่มันนังสาวเลว!” จื่อซวี่ร้องบอก ออกแรงดึงผมของเจ้าสาว ผลักนางให้ไปอยู่ต่อหน้าซูหลิน
ฉู่หลิงซิ่วนอนสะลึมสะลือ ฟื้นขึ้นมายังไม่ทันจะได้สติเต็มที่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง พร้อมด้วยเสียงถาดถ้วยชากระแทกลงบนพื้น จากนั้นยังไม่ทันที่นางจะรู้ทิศรู้ทาง ก็ถูกสาวใช้สองคนกดเอาไว้ ดึงทึ้งนางสารพัดเหมือนกับคนบ้า
ผมเผ้าถูกดึงกระเซิง เครื่องประดับหล่นเต็มพื้น เสื้อผ้าก็ขาดรุ่ยเป็นจุดๆ คอเสื้อเปิดอ้า เผยให้เห็นหัวไหล่ขาวผ่องเกือบครึ่ง ภายใต้แสงเทียนถือได้ว่าเป็นภาพจรรโลงตาภาพหนึ่ง ทว่าดวงหน้าของนางในยามนี้กลับเต็มไปด้วยรอยเล็บข่วน เลือดซึมกระจายอยู่หลายแผล จมูกช้ำ หน้าบวม ยุ่งเหยิงไปทุกสิ่ง
ดวงตาของซูหลินเบิกกว้าง เหมือนว่าต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะนึกออกว่าเป็นใบหน้าของใคร จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทันที
“ทำไมถึงเป็นเจ้า?” ซูหลินซัดเซถอยหลัง ล้มตัวลงเตียงมงคลที่ระเกะระกะยากจะหาใดเปรียบ
จื่อเหวยปาดน้ำตาแล้วขยับเข้าหา โขลกศีรษะลงพื้นไม่ยอมหยุด เอ่ยว่า “ซื่อจื่อ ท่านหญิงของข้าหายไปแล้ว ไม่รู้ว่านางถูกคนทำร้ายหรือไม่ ซื่อจื่อโปรดเมตตา ขอท่านรีบหาทางช่วยท่านหญิงด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิงซิ่วถูกตีจนมึนงง ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจอะไรได้ลางๆ…
ตอนที่ 75 (4)
ไสหัวไป! (4)
ที่นี่คือจวนสกุลซู เป็นเรือนหอคืนสมรสของฉู่หลิงอวิ้น แต่สถานการณ์ตอนนี้คือเจ้าสาวบินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนนางก็ดันมาโผล่ที่นี่ในชุดเจ้าสาว
ฉู่หลิงซิ่วยังไม่ทันคิดถึงเหตุผลที่มา แต่ก็พอรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจึงรีบปีนลุกขึ้นแล้วดึงชายเสื้อของซูหลิน เอ่ยคร่ำครวญว่า “ซื่อจื่อ ข้าเปล่าทำนะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนเช้าพี่ใหญ่เรียกข้าเข้าไปหา ข้าดื่มชาไปแก้วหนึ่งจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
“เจ้ายังกล้าโกหก?” จื่อซวี่เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด กำลังจะกระโจนเข้าไปตบตีแต่ถูกเด็กรับใช้ของซูหลินคว้าเอาไว้ จากนั้นนางก็ด่าฉู่หลิงซิ่วต่ออีกยก “ตอนเช้าเจ้ายังพูดจาเยาะเย้ยล่วงเกินท่านหญิงอยู่เลย เห็นชัดๆ ว่าเจ้าริษยาท่านหญิงที่ได้สามีประเสริฐ ถึงคิดแผนชั่วช้าขึ้น คิดจะเข้ามาเสียบแทน ความคิดของเจ้าช่างต่ำช้าเลวทราม เจ้าบอกมานะเจ้าเอาท่านหญิงของข้าไปไว้ที่ไหน?”
“ข้าเปล่า เจ้าเหลวไหล!” ฉู่หลิงซิ่วโวยวายเสียงดังอย่างลนลาน แต่กลับพบว่าต่อให้ตนมีร้อยปากก็ยากจะรอดจากข้อครหานี้
เหตุใดซูหลินถึงเชื่อนาง? ส่วนสาวใช้สองคนของฉู่หลิงอวิ้นนั้นก็เห็นชัดว่าเตรียมการกันมาก่อน
ดังนั้น…
ตนถูกหญิงใจอำมหิตคนนั้นเล่นงานแล้วใช่หรือไม่?
ฉู่หลิงซิ่วอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ทำได้เพียงอ้อนวอนซูหลินต่อไป “ซื่อจื่อซู เจ้าต้องเชื่อข้า ข้าไม่ได้ทำจริงๆ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้าก็แค่…”
“ไม่รู้รึ?” ซูหลินที่เงียบอยู่นานพลันหัวเราะเสียงเย็น
น้ำเสียงฟังดูหนาวเหน็บ แสงเทียนกระทบบนหน้าเขา ส่องให้เห็นดวงหน้าที่บิดเบี้ยวไม่ได้ทรง
ฉู่หลิงซิ่วถูกสายตาคล้ายงูพิษของเขาจับจ้อง ต่อให้ได้รับความทุกข์ทรมานเพียงใด คำพูดทั้งหมดก็จุกอยู่ที่ลำคอ ไม่มีเสียงหลุดออกมาสักแอะ
สายตาของซูหลินกวาดผ่าน มองประเมินจื่อซวี่กับจื่อเหวยอีกรอบหนึ่ง
สาวใช้สองคนความจริงก็กระวนกระวายใจ นาทีนั้นได้แต่ทำเป็นสงบนิ่งสุดชีวิต จิกเล็บลงกลางฝ่ามือเพื่อให้ตัวเองมีสติอยู่ตลอดเวลา…
เรื่องที่เจ้านายของตนต้องการจะทำใครหน้าไหนก็ไม่อาจขัดขวาง หากว่าไปทำแผนของนางล้มไม่เป็นท่า คงจะมีเพียงความตายเป็นทางออกสุดท้าย
“ซื่อจื่อ ท่านหญิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย ได้โปรด!” ไม่นานนัก ก่อนที่ความอดทนเฮือกสุดท้ายจะพังทลายลง จื่อเหวยยอมกัดฟันก้มศีรษะโขลกลงกับพื้น
ซูหลินนิ่งเงียบ
ตอนนี้เขาไม่เชื่อคำของทั้งจื่อเหวย และฉู่หลิงซิ่ว
ข้อหนึ่ง ฉู่หลิงซิ่วเป็นแค่บุตรสาวอนุที่ไม่ได้รับความสนใจในจวนอ๋องหนานเหอ ต่อให้นางมีโอกาสฉกฉวยลงมือ…
แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ อาศัยกำลังของนางเพียงคนเดียวหรือ? นางสามารถทำมันได้อย่างไร้ร่องรอยหรือ? นอกเสียจากว่าภายในจวนอ๋องหนานเหอมีคนมีอำนาจอื่นหนุนหลังนางอยู่
อีกข้อหนึ่งก็คือสองตระกูลได้รับสมรสพระราชทาน ต่อให้ฉู่หลิงซิ่วมีคนและกำลังมากพอในการทำเรื่องนี้ให้สำเร็จแต่เหตุใดนางจึงเลือกที่จะทำเช่นนี้?
ในใจของซูหลินสับสันงุนงงไปหมดแล้ว
ความจริงเขาก็มองออกมาโดยตลอดว่าฉู่หลิงอวิ้นเว้นระยะห่างกับเขา ทั้งลึกๆ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงาน
ก่อนหน้าที่ราชโองการจะออกมาหนึ่งวัน เรื่องที่ฉู่หลังอวิ้นเอาเรื่องความตายของตัวเองมาต่อรอง แม้จวนอ๋องหนานเหอจะสั่งให้ปิดข่าว แต่ก็ปิดฉู่สวินหยางได้ไม่มิด ด้วยการเคลื่อนไหวบางอย่างข่าวจึงถูกส่งไปถึงหูของซูหลิน
แม้ว่าเบื้องหน้าฉู่หลิงอวิ้นจะทำทุกอย่างเป็นปกติ แต่จะให้ซูหลินไม่คิดอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยหลายปีที่ผ่านมาหัวใจเขาหมกมุ่นอยู่กับความหวังที่จะได้ฉู่หลิงอวิ้นมาครอบครอง เขาจึงบอกตัวเองให้หลบเลี่ยงไม่รับรู้ประเด็นเหล่านั้น จนเกิดปัญหาขึ้นอย่างตอนนี้…
เมล็ดพันธุ์แห่งความเคลือบแคลงที่อยู่ในใจพลันแตกดอกออกผล กลายเป็นความเกรี้ยวกราดเทียมฟ้า
ถูกต้อง ฉู่หลิงอวิ้นมีแรงจูงใจที่จะทำเรื่องแบบนี้ เพียงแค่เขากล่อมตัวเองให้ไม่เชื่อก็เท่านั้น!
อยู่ๆ ซูหลินก็หัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง
เขาสะบัดชายชุดคลุมแล้วลุกขึ้นจากเตียง สาวเท้ายาวออกไปด้านนอก
“ซื่อจื่อ…” จื่อเหวยกับจื่อซวี่พลันกระซิบพร้อมกัน
ซูหลินเดินไปได้สองก้าว หลุบตาลงมอง พลันรู้สึกว่าชุดมงคลสีแดงดังเปลวเพลิงตัวนี้ ช่างตอกย้ำความอัปยศให้ลึกแทรกมากขึ้นกว่าเก่า
ซูหลินยกมือกระชากชุดเจ้าบ่าวจนขาดแล้วเขวี้ยงลงพื้นสุดแรง เท้าเหยียบผ่านเศษผ้าขาดวิ่นไปอย่างไม่เหลือความอาลัย ทางหนึ่งก็เอ่ยเสียงเย็นชาน่ากลัวว่า “พาตัวคนพวกนี้ไปให้หมด ขบวนคนที่ไปรับเจ้าสาวยังอยู่ครบใช่ไหม? ไปเรียกมาให้ข้า ไป…ไปจวนอ๋องหนานเหอ!”
ไม่ว่าคราวนี้จะเป็นฝีมือของใคร มันก็คือการตบหน้าจวนอ๋องหนานเหออย่างชัดเจน หากว่าเขายอมกล้ำกลืนฝืนทน จะเอาหน้าที่ไหนไปยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางอีก?
ต่อให้เป็นฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่อาจละเว้น ใครหน้าไหนก็ไม่อาจล้อเขาเล่นได้ทั้งนั้น!
วินาทีนั้น เรือนหอที่สนุกคึกครื้นเหมือนเปลี่ยนเป็นสุสานฝังศพ ลมยะเยือกกลางเหมันต์ พัดผ่านประตูใหญ่ที่เปิดอ้า เปลวเทียนที่เริงระบำพลันไหววูบ…
แล้วดับพริบ!
เมื่อทุกอย่างนิ่งเงียบ หลายชีวิตที่อยู่ตรงนั้นพลันใจเคว้งหวาดกลัว
แม้แต่พวกจื่อเหวยเองก็คิดไม่ถึงว่าซูหลินจะเกรี้ยวกราดถึงปานนี้ แม้ว่าพวกนางจะโยนหมากออกไปว่าท่านหญิงไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่สิ่งที่คนผู้นี้ต้องการตามคืนกลับมา…
กลับเป็นหน้าตาและศักดิ์ศรีของเขามากกว่า!
หรือมีปัจจัยอื่น ที่อยู่นอกเหนือการคำนวณของท่านหญิง?
เรื่องราวครานี้…
จะจบลงอย่างราบรื่นได้จริงๆ หรือ?
ร่างของสาวใช้ทั้งสองสะท้านสั่นกลางลมหนาว องครักษ์เข้ามาจากด้านนอก จับสองคนมัดมือไพล่หลัง ส่วนฉู่หลิงซิ่วก็ถูกคนหิ้วปีกขึ้นเหมือนนกตัวน้อยๆ ยัดกลับเข้าไปในเกี้ยวเจ้าสาวที่ใช้ไปเมื่อตอนบ่าย
ผู้ร่วมขบวนยังเป็นคนเก่า เพียงแค่ไม่มีเสียงตีฆ้องร้องปาวอีกต่อไป
ซูหลินพลิกกายขึ้นม้า สีหน้าเคร่งเครียด ทั่วร่างมีกลิ่นไอสังหารปกคลุม ส่งสัญญาณมือพร้อมสั่งว่า “ไป!”
ขบวนคนและม้าออกเดินทางด้วยท่าทีดุดันโหดร้าย เพิ่งจะยกเท้า ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากใครบางคนซึ่งอยู่กลางความมืด
มันทั้งบางเบาและรางเลือน
คล้ายกับความฝันที่ลอยผ่าน ไม่อาจจับต้อง
แม้แต่ฉู่สวินหยางที่แอบดูความสนุกอยู่หลังต้นไม้ใหญ่แถวๆ นั้น กับเหยียนหลิงจวินยังอดจะหน้าเครียดขึ้นมาไม่ได้
จากนั้นเสียงเพลงหวิวหวานก็ลอยลมมา
ทุกคนต่างหันไปมองเบาะแสเล็กๆ นี้โดยไม่ต้องนัดหมาย…
ด้านตรงข้ามเยื้องกับจวนสกุลซูคือวัดหลวงที่ถูกทิ้งร้างของราชวงศ์ก่อน ตำหนักโอ่อ่าที่เคยถูกกราบไหว้บูชามานับหลายร้อยปี บัดนี้ทรุดโทรมเสียหาย ประตูใหญ่ถูกปิดตาย มีฝุ่นเกาะกรังจับแน่นเพราะไม่ได้เปิดใช้มาหลายปี
ประตูใหญ่สกุลซูจะตรงกับชายคาโค้งของซุ้มประตูใหญ่วัดหลวงพอดี ประตูบานนั้นสูงตระหง่าน หน้าประตูกว้างขวาง ตะไคร่เขียวเติบใหญ่ไล่ไปตามแนวกระเบื้องของชายคาที่ถูกออกแบบมาให้เป็นเส้นโค้งอันวิจิตร ยังมีเครือเถาวัลย์ที่สะบัดเคลื่อนตามแรงลม
มุมทั้งสี่ภายใต้ชายคามีกระดิ่งทองสัมฤทธิ์ใบใหญ่แขวนไว้ ถูกเคี่ยวกรำด้วยลมฝนมาหลายร้อยปี ภายในตอนนี้กลายเป็นสนิมไปหมด ไม่อาจส่งเสียงใดๆ ได้มาหลายปีแล้ว คัมภีร์สันสกฤตที่สลักไว้ด้านนอกก็ถูกลมกัดกินไปพอสมควร มองอะไรๆ ไม่ค่อยจะออกแล้ว
เวลานี้ มีหนึ่งคนนั่งชันเข่าสบายอารมณ์อยู่ด้านบนของหลังคา
ชุดสีมืดสนิท ผมดำถักเปีย บนศีรษะมีหมวกผ้าโปร่งสีเข้มปิดลงมาครึ่งหน้า พอลมพัดผ่าน โฉมหน้าที่ถูกปกปิดไว้เบื้องหลังก็เปิดออกมาให้เห็นเสี้ยวหนึ่ง
ปลายคางได้รูป ริมฝีปากที่คาบใบไม้แผ่นบางซึ่งตีจากทองคำกำลังเป่ามันให้เป็นเพลงช้าๆ ท่วงทำนองฟังแปลกหู ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน
ไม่ซึ่งไอสังหารแผ่พุ่ง มีแต่ความแปลกประหลาดไม่อาจชี้ชัด
แต่การที่คนประเภทดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นในเวลาและสถานที่เช่นนี้ ก็ทำให้คนตั้งท่าระแวดระวังได้แล้ว
มือของซูหลินกับองครักษ์ข้างกายของเขาวางลงบนด้ามดาบอย่างไม่รู้ตัว เตรียมพร้อมรับมือการจู่โจมของเขาทุกเวลา
“เจ้าเป็นใคร?” ซูหลินแผดเสียงกร้าวถามอย่างไม่ไว้ใจ
คนผู้นั้นคล้ายไม่มีความสนใจจะแสดงดนตรีต่อหน้าผู้คน จึงดึงใบไม้สีทองเสียงเหมือนขลุ่ยที่ดึงดูดสายตาของทุกคนออกจากปาก แล้วแสยะยิ้มให้ทีหนึ่ง
“ไสหัวไป!” วินาทีต่อว่า เสียงเฉื่อยช้าก็เปล่งคำลอดออกมาสามคำ
ผ้าโปร่งพริ้วไหวโดยไร้ลม ตอนที่มันเปิดขึ้นเผยให้เห็นมุมหนึ่งอันเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนของบุรุษเพศ
ดวงตาของเขากระจ่างใส แต่ก็มีเงามืดลึกซึ้งซุกซ่อนอยู่ ประกายสุุกใสยิ่งขับเน้นพลังที่แข็งกร้าวดุดัน จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
โฉมหน้าใต้ผ้าโปร่งเปิดให้เห็นเพียงแค่แวบเดียว ก่อนจะถูกความมืดมิดคลุมทับอีกครั้งหนึ่ง
ซูหลินสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอดอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกคุ้นเคยกับนัยต์ตาใต้ผ้าที่เผยให้เห็นแม้จะเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน?
ซูหลินทางนี้เหม่อลอยไปสักพัก ระหว่างที่พูด ใบไม้สีทองต้นกำเนิดเสียงที่ถูกคีบอยู่ระหว่างสองนิ้วก็ชี้ตรงไปหาเกี้ยวมงคลสีแดงซึ่งห่างออกไป…
“เกี้ยวหลังนั้น ยกมันกลับไปไว้ที่เดิมเดี๋ยวนี้!”
————————————————————————
ตอนที่ 76 (1)
เอาคืน (1)
“เกี้ยวหลังนั้น ยกมันกลับไปไว้ที่เดิมเดี๋ยวนี้!” เขาเอ่ยซ้ำอีกรอบ
แค่ไม่กี่คำ แต่ทำนองที่เปล่งออกมา…
ช้า ทั้งยังเฉื่อย เป็นน้ำเสียงของการออกคำสั่ง
แผ่นสีทองที่ปลายนิ้วสะท้อนแสงระยับภายใต้จันทรา พูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ…
มันเป็นการข่มขู่!
สายตาระวังภัยของซูหลินจ้องอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา เอ่ยเสียงเข้มว่า “ถือสิทธิ์อะไร?”
คนผู้นั้นไม่ตอบ แต่ท่าทางชี้นิ้วกลับไม่เปลี่ยนหนี ภาพใบไม้แผ่นทองบางเฉียบที่แน่นิ่งอยู่ตรงปลายนิ้วให้ความรู้สึกแปลกตากับผู้คนเป็นที่สุด ใบไม้บางๆ ผนึกไอสังหารคลุ้งพร้อมจะเอาชีวิตของใครตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น
ซูหลินในตอนนี้เดือดดาลหนัก ย่อมไม่มีอารมณ์มาหยุดพิรี้พิไรกับเขา แสยะยิ้มเย็นให้ทีหนึ่งแล้วโบกมือสั่งเป็นการตัดบทว่า “ไป! ไปจวนอ๋องหนานเหอ!”
ที่นี่คือเมืองหลวง และใต้ฝ่าเท้าของเขาก็คือประตูหน้าจวนซึ่งมีทหารคุ้มกันแน่นหนา ถ้าถูกคนทำให้ตกใจขวัญหนี ต่อไปเขาจะมีหน้าไปพบใครอีก?
องครักษ์รับคำสั่ง รีบร้องสั่งให้เคลื่อนขบวน
ฉับพลันก็เกิดเรื่องขึ้นทันที
ใต้แสงจันทร์กระจ่าง แสงสีทองอ่อนถูกส่งออกจากปลายนิ้วของบุรุษผู้นั้นราวกับสายฟ้า
เงาแสงวิ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด เป้าหมายคือใบหน้าของซูหลิน
เพราะว่าระยะห่างของสองคนไกลกันมาก สิ่งที่เขาส่งออกมาก็เป็นเพียงใบไม้สีทองบางๆ แผ่นหนึ่ง ซูหลินเดิมไม่ได้ใส่ใจ เวลานี้เมื่อคิดจะหลบจึงไม่ทันการณ์เสียแล้ว
แสงทองนั้นวิ่งเร็วเหมือนดาวตก มันมาพร้อมเสียงหวีดร้องกลางอากาศ
ซูหลินทำได้เพียงเบี่ยงหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงลมที่วิ่งผ่านแก้มไปพร้อมๆ กับความเจ็บแปลบ ตอนที่เหลือบตามองก็เห็นแสงสีทองนั้นพุ่งผ่านม่านเกี้ยวสีแดงแล้วทะลุออกทางฉากกั้นด้านหลัง ถึงจะอย่างนั้นพลังของมันก็ไม่ผ่อนลด สุดท้ายเกิดเป็นเสียงจึกเบาๆ ทีหนึ่งปักเข้าที่กลางลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปห้าจั้ง
ใบไม้ฝังลึกลงไปสามส่วน
พลังดรรชนีระดับนี้ ชวนให้หัวใจของทุกคนเย็นเยือกด้วยความขลาดกลัว
ซูหลินคิดไม่ถึง ระหว่างที่กำลังตกตะลึงก็สัมผัสได้ถึงของเหลวเหนียวๆ ที่ไหลลงมาจาแก้ม รู้สึกคันนิดๆ
เขายกมือเกาตามสัญชาตญาณ…
แสงจันทร์ส่องให้เห็นเลือดสดๆ บนนิ้วของเขา
แก้มซ้ายของเขาถูกใบไม้แผ่นนั้นบาดจนเลือดซึมเป็นแผลยาว
นี่คือมีดใบไม้บิน…
คนผู้นี้คือ…
ซูชิงสุ่ย!
ฉู่สวินหยางตกใจอย่างหนัก ดวงหน้าเปลี่ยนสีทันที
เลือดในกายคล้ายจะผนึกแข็ง ความทรงจำทั้งใหม่และเก่าต่างทะลักเข้ามาในสมอง นางรีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสตอนที่พวกซูหลินกำลังชุลมุนกระโดดผลุบลงไปทันที
เหยียนหลิงจวินไม่ทันตั้งตัว ตอนที่ยื่นมือจะดึงนางไว้ก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว
เห็นเพียงร่างเงาของนางเคลื่อนหายไปอย่างรวดเร็ว
เหยียนหลิงจวินนิ่งอึ้ง ก่อนจะเร่งพลังตามไปด้วยความเร็วสูงสุด
ฉู่สวินหยางหยางมาถึงใต้ต้นไม้ต้นนั้น ตอนที่เคลื่อนตัวผ่านก็ยกมือดึงใบไม้ที่ฝังอยู่หายเข้าไปใต้แขนเสื้อ
ด้วยกระบวนท่าเหล่านี้ทำให้ความเร็วของนางลดลง เหยียนหลิงจวินถึงตามมาทัน วาจาไม่เอ่ยเอื้อนก็คว้าเอวบางพานางเข้าไปหลบในตรอกฝั่งตรงข้าม
ท่วงท่าของคนสองคนว่องไวนัก แม้จะไม่มีใครทันสังเกต แต่บนชายคานั้น ซูอี้เห็นทุกอย่างจากด้านบนได้ชัดเจน
ฉู่สวินหยางเสี่ยงอันตรายไปชิงเก็บมีดใบไม้บินของเขา?
เพื่ออะไร?
เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่เพราะไม่มีเวลาคิดมาก จึงรีบดึงความสนใจกลับมา
ทางด้านซูหลินก็เต็มไปด้วยความสับสนลังเล จนไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวด้านหลัง ตอนนี้ไม่กล้าประมาทอีก ตวาดเสียงออกมาว่า “มือธนู!”
คนสนิทข้างกายเขาพลันได้สติ คิดจะเข้าไปเรียกคน ทว่าเท้าชักออกเพียงครึ่งก้าวลำแสงสีทองก็พุ่งผ่านอากาศมาอีก เสียงลมหวีดร้องแหลมชัดปัดผ่านหน้าผากเขาไปเพียงเส้นยาแดง
โลหิตที่ไหลเวียนในร่างของเขาชะงักนิ่ง ไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่นิดเดียว
เสี้ยวนาทีถัดมา ปอยผมกระจุกหนึ่งร่วงลงช้าๆ หล่นอยู่บนใบหน้าเขา
“ลูกไม้ชั้นต่ำ!” ซูหลินกดเพลิงโทสะภายใน กระตุกยิ้มทีหนึ่ง แล้วควักลำไม้ไผ่สวยชิ้นเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ นิ้วมือเกี่ยวช่องลับๆ บนนั้น กำลังจะยิงสัญญาณขึ้นฟ้า
บนชายคา ได้ยินเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ของบุรุษ
เพียงสะบัดมือ ด้านบนของหลังคาก็มีมือธนูเกินสิบคนปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องราวกับห่าฝน ธนูเหล็กดูน่าครั่นคร้าม ทุกคนต่างเล็งเป้าไปหาซูหลินผู้นั่งโดดเด่นอยู่บนหลังม้า
“เจ้าจะเรียกกำลังเสริมก็ได้ แต่หน้าที่ของพวกนั้นก็ได้แค่มาเก็บศพเจ้าเท่านั้นแหละ!” ที่ด้านบน ซูอี้นั่งนิ่งไม่ขยับ น้ำเสียงยังคงราบเรียบอ่อนโยน
ดวงหน้าของซูหลินเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ นิ้วมือใต้แขนเสื้อกำแน่นเป็นเสียงกรอบ
ต่อให้คนของเขาจะสังหารพวกคนร้ายให้สิ้นซากได้ แต่ถ้าเขาตายไปก่อนก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย
ต่อให้รู้อยู่เต็มอกว่ามันคือการข่มขู่ เวลานี้เขาทำได้เพียงโอนอ่อนผ่อนตาม
เพราะว่า…
เขาไม่อาจเสี่ยง
และไม่ต้องการ…
ที่จะเสี่ยงอันตรายนี้
ซูหลินสูดหายใจลึกเพื่อกดเพลิงโทสะในใจ สายตาเย็นชาอำมหิตจ้องเขม็งที่ดวงหน้าหลังผ้าโปร่งดำมืด เค้นเสียงลอดฟันว่า “เจ้าต้องการอะไร?”
ซูอี้ไหวศีรษะไปมา หัวเราะน้อยๆ “ง่ายมาก ยกเกี้ยวหลังนี้กลับเข้าไปเสีย”
ซูหลินหันกลับไปมอง นัยน์ตาเบื้องลึกมีเงาอาฆาตวูบผ่านแล้วหายไป พร้อมกับเข้าใจอะไรได้ถึงบางสิ่ง ถึงเอ่ยคำพร้อมเสียงหัวเราะว่า “เจ้าคิดจะหยุดข้าไม่ให้ไปเอาเรื่องที่จวนอ๋องหนานเหอ เจ้าเป็นคนของจวนนั้นรึ?”
นอกจากว่าเป็นคนของจวนอ๋องหนานเหอ เกรงว่าจะไม่มีใครอาจหาญถึงขั้นนี้ กล้าทำร้ายเขาถึงหน้าประตูจวนสกุลซู ทั้งยังใช้วาจาข่มขู่ไม่กลัวเกรง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูหลินถึงได้ปักใจเชื่อในข้อที่ว่า…
เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของฉู่หลิงซิ่วเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน มั่นใจได้เก้าในสิบว่าเป็นแผนที่จวนอ๋องหนานเหอคิดจะใช้จัดการเขา
ซูหลินคิดไป ไฟในใจก็ยิ่งโหมลุก เอ่ยเสียงกร้าวว่า “เจ้าคิดว่าถ้าวันนี้หยุดข้าได้ แล้วเรื่องนี้ก็จะจบง่ายๆ เหมือนกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นรึ? เจ้าจะมีปัญญาเฝ้าประตูจวนข้าได้สักกี่วัน?”
“ใครว่าข้าจะหยุดเจ้า?” ซูอี้ไม่คิดเช่นนั้น เขายืนขึ้นพลางปัดชุดที่อยู่บนตัว ร่างสูงที่ยืนเด่นใต้แสงจันทร์ดวงกลมให้อารมณ์ลึกลับและเป็นปริศนาแก่ผู้ที่ได้เห็นอย่างที่สุด
บนหลังคากระเบื้อง เขายืนตะหง่านพลางมองลงมาด้านล่าง เอ่ยว่า “พวกเจ้าอยากจะทำอะไร จะไปที่ไหน ข้าไม่ยุ่ง แต่ว่าเกี้ยวหลังนั้นจะออกจากจวนไม่ได้เด็ดขาด”
ความสนใจของเขาคล้ายจะพุ่งไปที่เกี้ยวหลังนั้นทั้งหมด
ซูหลินพลันโง่งม หันขวับกลับไปมองอีกรอบหนึ่ง
หากว่าเขาไม่อาจพาตัวฉู่หลิงซิ่วกลับไปส่งที่จวนอ๋องหนานเหอให้เร็วที่สุด แล้วข่าวไปถึงหูเบื้องบนเข้าการเคลื่อนไหวใดๆ คงเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ถึงตอนนั้นสถานการณ์จะพลิกผันเช่นไรก็ยากจะคาดเดา
ซูหลินพะว้าพะวงไม่อาจตัดสินใจ
ซูอี้คอยได้พักหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่รุกไม่ถอยก็เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ข้านั้นมีเวลารอให้เจ้าพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่หากตอนนี้เจ้าไม่ไปเสียทีงานเลี้ยงที่จวนอ๋องหนานเหอทางนั้นคงใกล้จะเลิกแล้ว”
หัวใจของซูหลินกระตุก แต่การถูกผู้อื่นบีบบังคับเช่นนี้ทำให้เขาไม่อาจสงบใจได้เลย
เขาไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว
แต่ว่า…
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ซูหลินเปิดปากถามอีกครั้งเมื่อได้สติ
ซูอี้อยู่ในสถานะเป็นต่อ ย่อมไม่ตอบคำถามเขาเพียงฉีกยิ้มให้ช้าๆ “สักวันหนึ่ง เจ้าจะรู้เอง รีบร้อนไปไยเล่า?”
ซูหลินมองออกในที่สุด คนผู้นี้ไม่มีทางให้ใครมาบังคับข่มขู่ หลังจากคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็โบกมือสั่งเสียงเย็นว่า “ยกเกี้ยวกลับเข้าไป เฝ้าคนไว้ให้ดี ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ก็แล้วกัน!”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” คนหามเกี้ยวสามสี่คนรับคำอย่างกลัวๆ แบกเกี้ยวกลับเข้าประตูไปอีกครั้งด้วยมือเท้าลนลาน
ซูหลินเงยหน้าขึ้นมองร่างเงาสลัวอีกครั้งอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็สะบัดมือแรงๆ “พวกเราไป!”
เหล่าองครักษ์พาตัวจื่อซวี่กับจื่อเหวยที่ถูกมัดมือไพล่หลังไป ทหารคุ้มกันเข้มงวด ออกตัวเคลื่อนขบวนไปทางจวนอ๋องหนานเหออย่างรวดเร็ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความคุกคามเขย่าขวัญ เทียบกับตอนแรกแล้วดูจะยิ่งตึงเครียดขึ้นมาหลายเท่า
ซูอี้ก็รักษาวาจา ไม่ได้ขัดขวางตามที่ลั่นคำไว้ เพียงมองกลุ่มคนรีบร้อนเลื่อนห่างออกไป
จากนั้น ก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณมือบอกให้ล่าถอยไป
มือธนูสิบกว่าคนหายไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
ตัวเขากลับทิ้งกายลงจากหลังคา ย่างเท้าในตรอกถนนมาหยุดลงหน้าจวนสกุลซูซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดึงใบไม้สีทองที่ปักอยู่บนกำแพงกลับคืน ตอนที่หมุนกายจากมาก็ชะงักเท้าที่หน้าต้นไม้ต้นนั้น นิ้วมือปัดผ่าน ลูบไล้บาดแผลที่ทิ้งรอยไว้ด้านบนพักใหญ่ก่อนจะถอนมือออกมาอย่างครุ่นคิด
จากนั้นปลายเท้าแตะพื้นแผ่วเบา นำพาทุกสิ่งสรรพหายไปจากวัดหลวงที่ถูกทิ้งร้างอย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่ 76 (2)
เอาคืน (2)
ราตรีกาลที่หน้าประตูใหญ่จวนสกุลซูกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
จวนอ๋องหนานเหอทางนั้น ย่อมถูกกำหนดให้เผชิญกับคลื่นพายุฉากใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน บุตรสาวของอ๋องหนานเหอแต่งงาน นางเป็นบุตรสาวสายตรงเพียงคนเดียวของเขา ซ้ำยังเป็นถึงท่านหญิงอันเล่อที่ฮองเฮาหลัวโปรดปรานรักใคร่ งานเฉลิมฉลองในวันนี้ย่อมจัดได้อลังการยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เที่ยงวันยันมืดค่ำ จวบจนเวลาใกล้เที่ยงคืนทุกคนถึงได้กินดื่มจนหนำใจเตรียมจะไปบอกลาเจ้าภาพ
เจ้ากรมพิธีการที่ดื่มไปเต็มท้องกำลังกุมมือฉู่อี้หมินพลางพร่ำเอ่ยวาจาไพเราะน่าฟัง แม้เป็นเพียงการเสแสร้ง แต่ฉู่อี้หมินก็ยิ้มจนกรามค้างไปหมด เพิ่งจะสบโอกาสผลักมือของเขาออกได้ ก็เห็นพ่อบ้านวิ่งโซเซโซซัดเข้ามาจากด้านนอกจวนพอดี
พ่อบ้านผู้นี้ถือเป็นคนเก่าแก่ของจวน จัดการเรื่องราวได้เรียบร้อย ทั้งยังไม่ตาขาวขี้กลัว ทว่าตอนนี้กลับทำท่าลุกลน แม้จะยังไม่ถึงขั้นร้องบอกให้แขกเหรื่อหลีกทาง แต่ความร้อนใจที่ปิดไม่ผิดก็บอกชัดว่าคงจะเป็นข่าวไม่ดีแน่…
น่ากลัวจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น หรือไม่ก็กำลังจะเกิด
สีหน้าของฉู่อี้หมินเคร่งเครียดขึ้นในทันที
“ท่านอ๋อง!” พ่อบ้านซอยเท้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา ยังไม่ทันจะพูดอะไร ด้านหลังก็เกิดเสียงดังปัง บ่าวคุ้มเรือนของจวนอ๋องหนานถูกโยนเข้ามาจากด้านนอกกระแทกเข้ากับโต๊ะที่อยู่ตรงกับประตูทางเข้าพอดี
อาหารน้ำแกงกระเด็นไปสี่ทิศ จานชามแตกกระจายเต็มพื้น แขกที่นั่งอยู่กระโดดเหยงหนีด้วยความตกใจ
เพราะเสียงดังสนั่นเกินไป จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังกลบเกลื่อน
นัยน์ตาของฉู่อี้หมินเย็นเยือก หันไปมองตามเสียงก็เห็นซูหลินที่มีน้ำแข็งเคลือบหน้ากำลังข้ามประตูใหญ่เข้ามาด้านใน
ด้านหลังตามติดมาด้วยองครักษ์ฝีมือเยี่ยม เห็นท่าแล้ว คงไม่ได้มาดีเป็นแน่!
ลานเรือนกว้างขวาง แขกเหรื่อเกือบร้อยพร้อมใจหุบปากเงียบ เวลานั้น นอกจากเสียงฝีเท้าที่หนักอึ้งและเย็นชาของพวกซูหลินแล้ว ไร้ซึ่งเสียงจอแจโดยสิ้นเชิง
สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าแข็งทื่อของซูหลิน ในใจเกิดเสียงซุบซิบดังไม่หยุด
ฉู่อี้หมินตะลึงไปพักใหญ่ก่อนเปลี่ยนเป็นความแปลกใจ เอ่ยถามงุนงงว่า “บุตรเขย นี่เจ้า…”
“ท่านอ๋อง!” น้ำเสียงของซูหลินทะมึนตึง กระตุกมุมปากเยาะหยันแล้วเอ่ยตัดบทเขาด้วยเสียงเย็นชาว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนนับญาติกันเร็วไป เดี๋ยวอีกสักพักพวกเราสองฝ่ายจะอธิบายกันลำบาก”
ฉู่อี้หมินเริ่มเกิดโทสะ หน้าตึงขึงในทันใด กำลังจะอาละวาด ซูหลินก็สะบัดมือสั่งว่า “พาสาวใช้สองคนนั้นเข้ามา!”
หัวคิ้วฉู่อี้หมินขมวดมุ่น มองไปด้านหลังเขาอย่างไม่เข้าใจ
เห็นว่าองครักษ์สองคนลากปีกจื่อซวี่กับจื่อเหวยที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและถูกมัดมือไพล่หลังเข้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โยนคนทิ้งไว้ที่แทบเท้าของฉู่อี้หมิน
ฉู่อี้หมินสีหน้าดำมืด ถามเสียงกร้าวว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
“เป็นข้าที่ต้องถามท่านอ๋องมากกว่ากระมังว่าสิ่งที่จวนอ๋องหนานเหอทำมันหมายความว่าอย่างไร!” ซูหลินไม่คำนึงถึงสิ่งใด ไม่แม้แต่จะไว้หน้าเขาสักนิด เท้าหนึ่งถีบเข้าที่ร่างของจื่อเหวย เอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “พูดสิ เจ้าบอกนายท่านของเจ้ากับแขกทุกคนที่อยู่ที่นี่สิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!”
จื่อเหวยหลุดเสียงเจ็บปวดออกมา น้ำตาพลันไหลร่วงเป็นสาย
ตอนนี้นางกังวลไปหมด กล้ามเนื้อทั่วร่างสั่นเทาไปทั้งตัว พยายามหมอบต่ำให้ติดพื้น ปล่อยโฮร่ำไห้
ตามแผนการของฉู่หลิงอวิ้น จะต้องทำเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โต ให้ทุกคนได้รู้โดยทั่วกันว่าฉู่หลิงซิ่วผ่านเข้าจวนสกุลซูไปแล้ว ทั้งยังทำพิธีไหว้ฟ้าดินกับซูหลิน จากนั้นฉู่หลิงอวิ้นก็จะรอดตัวจากปัญหาทั้งหมด
แต่ว่าตอนนี้…
ไม่ใช่แค่ปฏิกิริยาของซูหลินที่ผิดไปจากที่คาดไว้ ทั้งยังมีเหตุการณ์แปลกๆ ตามมาไม่หยุดหย่อนจนนางเกิดหวั่นใจ กระวนกระวายไม่เป็นสุข
ซูหลินในวันนี้ถูกคนท้าทายยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่า ความอดทนใช้หมดไปนานแล้ว เขาไม่บีบคั้นนางต่อ แต่สายตาเย็นเยือกตวัดไปทางจื่อซวี่แทน เอ่ยว่า “นางไม่พูดเจ้าก็พูดสิ อย่าได้ทดสอบความอดทนของข้าอีก ไม่อย่างนั้น… ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้้ พวกเจ้าจวนอ๋องหนานเหอทุกคน ใครหน้าไหนก็แบกรับไม่ไหวทั้งนั้น!”
จื่อซวี่เป็นคนฉลาด
แขกเหรื่อที่รุมล้อมตกอยู่ในความเงียบด้วยบังคับไม่ให้ตัวเองเริ่มต้นกระซิบกระซาบ ทว่าดวงตากลับจดจ้องละครน่าสนุกที่เกิดขึ้นกะทันหันเบื้องหน้าอย่างไม่ยอมกระพริบตาสักครั้ง
จื่อซวี่สะดุ้งสุดตัว คิดแค่ว่าเรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้วคงไม่มีทางให้ถอยกลับ สั่งน้ำมูกน้ำตาให้ไหลนองหน้าอย่างปวดร้าว โถมตัวใส่แทบเท้าของฉู่อี้หมิน คร่ำครวญออกมาเป็นคำว่า “ท่านอ๋อง! ท่านหญิงหายไปแล้วเจ้าค่ะ! ท่านหญิง… ท่านหญิงนาง…”
จื่อซวี่พูดจาไม่เป็นภาษา
ฉู่อี้หมินได้ฟังดวงตาพลันพร่าเลือน พื้นใต้เท้าโคลงเคลงจนเกือบจะหงายหลังตกบันได โชคยังดีที่มีพ่อบ้านประคองด้านหลังเขาเอาไว้อยู่
สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของฉู่อี้หมินคือลูกสาวอกตัญญูของเขาหนีงานแต่งงานไปแล้ว
ยังไม่ทันจะได้หายใจหายคอ ก็ได้ยินเสียงกระอึกกระอักของจื่อซวี่เล่าต่อว่า “ในเกี้ยวเจ้าสาว ที่ซื่อจื่อซูหามกลับไปเป็น เป็น… เป็นท่านหญิงรองเจ้าค่ะ!”
ฉู่อี้หมินเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ดวงหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว เปลี่ยนสีสลับไปมาอย่างน่าชม
เวลาเดียวกัน ฝูงชนที่ทนเงียบมาได้เนิ่นนานก็สูดหายใจเข้าลึกอย่างไม่อาจข่มกลั้น
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ที่ระเบียงทางเดินด้านหลังพลันมีเสียงร้องสูงของสตรีดังลอยมา เป็นฉู่ฉีเหยียนกับชายาอ๋องหนานเหอที่เร่งร้อนเดินมาจากด้านหลังจวนพร้อมฝูงชนโขยงหนึ่ง
นางเดินปรี่เข้ามาหากระชากจื่อซวี่ให้ยืนขึ้น ดวงตาน่ากลัวจ้องจื่อซวี่เขม็ง เอ่ยเสียงเครือว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร? พูดอีกทีสิ? เจ้าบอกว่าอวิ้นเอ๋อร์เป็นอะไรนะ?”
“ท่าน…ท่านหญิงหายไปเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่เอ่ยทั้งน้ำตา “บ่าวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนแรกทุกอย่างก็เรียบร้อยดีแต่ต่อมาภายหลังจึงได้พบว่าคนที่สวมชุดเจ้าสาวอยู่ในเรือนหอกลับเป็นท่านหญิงรอง”
“ไม่มีทาง!” จื่อซวี่ยังเล่าไม่จบดีก็ถูกเสียงแหลมปรี๊ดของสตรีอีกคนตวาดแว้ดใส่ หญิงงามวัยกลางคนแต่งหน้าเข้มจัดวิ่งออกมาจากด้านหลัง คุกเข่าลงพื้นแล้วดึงชายเสื้อคลุมของฉู่อี้หมินเอาไว้ “ท่านอ๋อง เป็นไม่ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ!”
ผู้นี้ย่อมเป็นมารดาของฉู่หลิงซิ่ว แม่นางหลี่ที่ได้รับความโปรดปรานไม่เสื่อมคลายมาตลอดสิบกว่าปีในจวนอ๋องหนานเหอ
“ท่านหญิงรองเล่า?” คนแซ่เจิ้งเห็นดวงหน้านั้นก็นึกรังเกียจในใจ แผดเสียงกลับใส่ทันควัน
นางหยุดน้ำตา สายตาเฉียบคมกวาดมองไปรอบด้าน บ่าวรับใช้ที่สบตาด้วยต่างส่ายหน้าตอบเป็นพัลวัน เป็นนัยว่าไม่มีใครรู้เรื่อง
คำพูดของจื่อซวี่ ฉู่ฉีเหยียนกลับไม่แปลกใจเลยสักนิด
นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป หากว่าไม่มีประเด็นจริงๆ มีหรือที่ซูหลินจะบุกมาอาละวาดถึงนี่?
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แต่ศักดิ์ศรีของเขาจะให้ใครมาเหยียบย่ำไม่ได้เด็ดขาด!
ดังนั้น…
แม้ตนเองจะป้องกันทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายก็ยังเกิดปัญหาขึ้นจนได้!
ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ข้างหลังกำแน่น ฉู่ฉีเหยียนพยายามควบคุมลมหายใจ เดินขึ้นไปก้าวหนึ่งเพื่อเผชิญหน้ากับซูหลิน
“เรื่องนี้จะต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย บนดวงหน้ายังรักษาความสุขุมกับรอยยิ้มน้อยๆ ไว้ได้ ตบไหล่ซูหลินเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านหน้าเขาไปหาแขกเหรื่อ ประสานมือคารวะกล่าวว่า “ขออภัยต่อใต้เท้าและฮูหยินทุกท่าน จวนของพวกเรามีเรื่องภายในให้จัดการเล็กน้อย วันนี้ต้อนรับบกพร่องไป ขอทุกท่านโปรดอภัยด้วย!”
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้มีใครบ้างเป็นคนเบาปัญญา
นี่เป็นการไล่แขกทางอ้อมน่ะสิ!
“ซื่อจื่อเกรงใจแล้ว เวลาล่วงเลยมาดึกดื่น งานเลี้ยงก็สมควรเลิกรา” มีคนรับบทต่อทันควัน “เป็นพวกเราที่มารบกวน เช่นนั้นขอตัวลาไปก่อน”
เมื่อมีคนนำ คนอื่นย่อมคล้อยตามอย่างไม่ติดขัด ต่างแยกย้ายบอกลากันไป
ฉู่อี้หมินกับคนแซ่เจิ้งต่างไม่มีกะจิตกะใจแยแสเรื่องเหล่านี้
ฉู่ฉีเหยียนเดินไปส่งทุกคนถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง วุ่นวายอยู่เกือบครึ่งชั่วยามถึงส่งคนออกไปจนหมด
คนกลุ่มสุดท้ายที่ออกมา คือพวกของฉู่สวินหยาง
เพราะว่าฉู่เยว่เหยียนยังไม่ได้สติ เพื่อหลีกเลี่ยงสายตา พวกเขาจึงรอจนเหลือเป็นกลุ่มสุดท้าย
สาวใช้รุ่นใหญ่บึกบึนอุ้มฉู่เยว่เหยียนออกมา มีฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีฮุยเดินตามอยู่ข้างหลัง
ฮูหยินใหญ่ที่รออยู่ในรถม้าไกลๆ รีบกุลีกุจอมารอรับ พลางกำชับว่า “ระวังหน่อย เดี๋ยวหัวจะโขกเอาน่ะ”
ช่วงบ่ายฉู่อี้อันถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าไปในวัง ดังนั้นผู้ที่อาวุโสสุดตรงนี้จึงเหลือเพียงนางคนเดียว
ฉู่เยว่หนิงที่อยู่บนรถช่วยสาวใช้รับตัวฉู่เยว่เหยียนที่ไร้สติเข้าไปพลางจัดที่จัดทางให้นาง
หน้าประตูใหญ่ ฉู่ฉีฮุยกับฉู่เยว่เหยียนกำลังกล่าวลากัน “วันนี้ก็เพิ่มความยุ่งยากให้จวนเจ้าไม่น้อย ข้าจึงขอลาเพียงตรงนี้”
บนหน้าของฉู่ฉีเหยียนมีรอยยิ้มบางๆ ทว่าสายตากลับมองผ่านเขาไปจดจ้องฉู่สวินหยางที่กำลังช่วยจัดการกับฉู่เยว่เหยียน
ถึงแม้จะไม่มีเบาะแสใดๆ ชี้ชัดถึงนาง แต่ว่าความรู้สึกเล็กๆ บางอย่าง คล้ายจะบอกว่านางสะบัดไม่หลุดแม้แต่เรื่องเดียว
“จะว่าไปเรื่องของท่านหญิงห้าก็เกิดจากปัญหาในจวนข้าเอง” นัยน์ตายากจะเข้าใจวาบผ่าน ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านจ่างซุนรีบส่งน้องสาวกลับจวนข้าย่อมไม่ขัดขวาง แต่ไม่สู้ทิ้งคนไว้ที่นี่สักคนหนึ่ง รอเรื่องราวตรวจสอบกระจ่างแล้ว จะได้ชี้แจงได้ถูก”
ฉู่ฉีฮุยอึ้งไป
ตอนนี้จวนอ๋องหนานเหอเกิดเรื่องไม่งามหน้าใหญ่โต แต่ปิดหูปิดตาผู้อื่นยังไม่ทันการณ์ ฉู่ฉีเหยียนกลับเชิญให้เขาทิ้งคนไว้ที่นี่?
ตอนที่ 76 (3)
เอาคืน (3)
ทางด้านฉู่สวินหยางก็ลอบสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของฉู่ฉีเหยียนอยู่ทุกขณะ ในใจพลันเข้าใจบางอย่าง…
เรื่องนี้ ซูหลินไม่ยอมเป็นคนเบื้อใบ้ให้โดนเอาเปรียบแน่ถึงได้ทำเรื่องใหญ่โตต่อหน้าธารกำนัล ในเมื่อความแตกต่อหน้าทุกคนแล้ว ต่อให้ปิดอย่างไรก็คงปิดไม่มิด ดังนั้นฉู่ฉีเหยียนจึงทำเป็นใจกว้างเปิดเผย เชิญให้พวกนางมาร่วมเป็นพยานเสียด้วยเลย
แต่ประโยคนั้นของเขาจงใจกันฉู่ฉีฮุยออกนอกวงแต่แรก เห็นได้ชัดว่า…
เขาพุ่งเป้ามาที่นาง!
“ท่านหญิงห้าเกิดเรื่องในจวนของข้า องค์รัชทายาททางนั้นกลัวว่าจะเข้าใจผิด” ฉู่ฉีเหยียนทำทีเอ่ยเป็นนัย พูดไปแต่มิได้ร้องขอความเห็นจากฉู่ฉีฮุย กลับหันมาทางฉู่สวินหยาง เอ่ยถามว่า “น้องหญิงสวินหยางคิดเห็นอย่างไรเล่า?”
ฉู่สวินหยางรอเขาอยู่นานแล้ว ทันทีที่ได้ฟังก็ส่งยิ้มเล็กๆ ให้ “ข้ารั้งอยู่ที่นี่ คงไม่รบกวนจวนเจ้ากระมัง?”
“เรื่องในจวนข้าไม่มีสิ่งใดต้องปกปิด!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ เขาเองก็ไม่กลัว ในเมื่อซูหลินมาเยือนถึงที่แล้ว อย่างไรพรุ่งนี้ข่าวก็ต้องลือไปถึงในวังอยู่ดี คนจะรู้เร็วหรือรู้ช้าก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากมาย
“เช่นนั้น ก็ตามใจเจ้าบ้านแล้วกัน!” ฉู่สวินหยางกล่าว
ฮูหยินใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว รั้งแขนเสื้อนางไว้อย่างไม่สบายใจ เอ่ยด้วยความลังเลว่า “ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า ต้องกลับจวนดึกๆ ดื่นๆ ผู้หญิงคนเดียวเดินทางไม่ปลอดภัย”
พวกคนจวนอ๋องหนานเหอมีแต่พวกเสือกระหายหิว ไม่อาจไม่ป้องกัน
“ก็ดี!” ฉู่สวินหยางหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
ฉู่ฉีฮุยกลัวใจนางนัก แต่เมื่อสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ เขาก็ไม่พูดมากอีก เพียงตอบตกลงไปว่า “เอาเถอะ ข้าไปส่งน้องสี่กับน้องห้ากลับก่อนล่ะ องครักษ์ทิ้งไว้ให้พวกเจ้า ขากลับก็ระวังตัวด้วย”
ฮูหยินใหญ่รับคำ
ฉู่เยว่หนิงที่อยู่บนรถม้าโผล่หน้าออกมาด้วยความกังวล ร้องมาว่า “ท่านแม่…”
“เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องรอข้า” ฮูหยินใหญ่บอก กุมมือของนางผ่านทางหน้าต่าง
ฉู่เยว่หนิงมุ่นคิ้วแน่นแต่ก็ผงกศีรษะ
ฉู่ฉีฮุยพลิกตัวขึ้นม้า นำขบวนเดินทางกลับไปอย่างเรียบง่าย ฮูหยินใหญ่ยืนรอส่งที่ประตูใหญ่จนลับสายตา
ใต้ซุ้มประตู ฉู่ฉีเหยียนขยับเข้ามายืนอยู่ข้างฉู่สวินหยางอย่างไร้สุ้มเสียง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ว่า
“ข้าได้ยินว่าช่วงเย็นน้องหญิงสวินหยางหายไปจากงานเลี้ยงเป็นพักใหญ่” น้ำเสียงหยั่งเชิงแต่คล้ายเจือกระแสหยอกล้อ
ที่เขารั้งตัวนางไว้ ก็เพราะอยากจะยืนยันเรื่องนี้?
ฉู่สวินหยางยิ้มให้ แต่ไม่หันไปมองเขา เพียงหัวเราะเบาๆ ทีเล่นทีจริง “ข่าวของซื่อจื่อช่างว่องไวเหลือเกิน!”
นางถึงขั้น…
ไม่ปฏิเสธ
ดวงหน้าของฉู่ฉีเหยียนเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกในชั่วพริบตา รอยยิ้มยังไม่ทันจะสลายจากดวงหน้าไปเสียหมด มองไปจึงคล้ายกับรูปไม้สลักที่กำลังเข้าฌานนรูปหนึ่ง
ระหว่างสนทนากัน หรูโม่ก็ประคองฮูหยินใหญ่เดินเข้ามาพอดี
ฉู่สวินหยางไม่สนใจปฏิกิริยาของฉู่ฉีเหยียน เดินเข้าไปจูงมือฮูหยินใหญ่แล้วหมุนกายเข้าประตูไป
นางกับฉู่หลิงอวิ้นปะทะกันอย่างเปิดเผย จึงไม่หวังจะเล่นปริศนาคำทายกับคนฉลาดอย่างฉู่ฉีเหยียน ต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ประเภทนี้…
ไม่จำเป็นต้องเล่นใบ้คำเป็นเด็กๆ
ฉู่ฉีเหยียนหรี่ตาลง มองดรุณีน้อยที่ก้าวเท้าจากไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน อารมณ์ในดวงตาพลันเปลี่ยนสับไปมาไม่หยุดนิ่ง
นางหมายความว่าอะไร?
ยอมรับอย่างเปิดเผยว่านางอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?
แต่จากความเข้าใจของเขาที่มีต่อฉู่หลิงอวิ้น มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของน้องสาวตน
เด็กรับใช้คนสนิทเห็นว่าเขายืนนิ่งเป็นนานจึงขยับเข้าหา เอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องกับพระชายายังรอท่านอยู่ที่โถงนะขอรับ!”
ฉู่ฉีเหยียนได้สติคืนมาแต่กลับหันหน้าไปมองถนนด้านนอกที่ถูกแสงจันทร์ส่องสาด นัยน์ตาเบื้องลึกทอประกายกังวล เอ่ยจะรำพึงออกมาว่า “หลี่หลินล่ะ?”
เด็กรับใช้ผู้นั้นชะงักไป หันซ้ายแลขวา “เหมือนว่าจะไม่เห็นตั้งแต่บ่ายแล้วนะขอรับ!”
เขาเป็นคนส่งหลี่หลินออกไปเอง ฉู่ฉีเหยียนย่อมรู้ดี แต่ว่าจวนสกุลซูเกิดเรื่องขึ้นแล้ว หลี่หลินที่เขาส่งตัวออกไปกลับหายตัวไร้ร่องรอย…
หรือว่า…
หัวใจของฉู่ฉีเหยียนพลันหยุดเต้น ดวงตาทอแสงน่ากลัว สั่งเสียงเย็นว่า “ส่งคนฝีมือดีกลุ่มหนึ่งไปค้นหาแถวๆ จวนสกุลซู หากพบใครน่าสงสัยพาตัวกลับมาให้ข้าทั้งหมด”
เงียบไปสักพัก ก่อนจะเสริมต่ออีกว่า “แถวนั้นใกล้กับศาลาว่าการทหาร อย่าทำอะไรเอะอะไปถึงศาลาว่าการ”
“ขอรับ บ่าวเข้าใจแล้ว!” เด็กรับใช้สนิทสนมกับผู้เป็นนาย รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทางเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่ปากมาก รีบรับคำสั่งแล้วหายไป
ในเมื่อฉู่ฉีเหยียนตั้งใจรั้งตัวนางไว้ ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้ขัดข้อง มุ่งหน้าไปที่ห้องโถงของจวนอ๋องหนานเหอทันที
สุราอาหารบนโต๊ะยังไม่ทันเก็บกวาด ถูกทิ้งไว้อย่างเย็นชืด ไร้เงาของผู้คน เทียบกับบรรยากาศคึกคักเมื่อครู่ที่แล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ระหว่างทางที่ผ่านไปคล้ายจะได้ยินเสียงเยาะหยันอันเงียบเชียบ
ตอนที่ฉู่สวินหยางกับฮูหยินใหญ่ไปถึง ผู้ที่เกี่ยวข้องในจวนอ๋องหนานเหอทั้งหมดได้รวมกันที่โถงจนครบแล้ว รวมทั้งซูหลินเองก็ด้วย สีหน้าแต่ละคนล้วนดูไม่ดี บางคนวิตก บางคนหวาดกลัว บางคนเจ็บปวด และบางคนโกรธแค้น
จื่อเหวยกับจื่อซวี่คุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่กลางห้อง
ฉู่สวินหยางกับฮูหยินใหญ่ก้าวเข้าประตูไปพร้อมกัน ซูหลินตวัดสายตาดุดันมามองเป็นคนแรก ตวาดใส่ว่า “เจ้ามาทำอะไร? ที่นี่จวนอ๋องหนานเหอ ไม่ใช่วังบูรพาของเจ้า ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
วาจานี้ ไม่เพียงหมิ่นเกียรติ ซ้ำยังไม่น่าฟังอย่างยิ่ง
พวกฉู่อี้หมินและคนแซ่เจิ้งต่างไม่คาดฝันว่าจะเห็นฉู่สวินหยางเดินเข้ามาด้วยท่าทางเปิดเผย ล้วนแต่ชักสีหน้าใส่ด้วยความไม่พอใจ
สายตาของฉู่สวินหยางกวาดไปมองซูหลินทีหนึ่ง รอยยิ้มที่ติดหน้าอยู่ตลอดพลันจืดจางไป เอ่ยเสียงเย็นชาว่า…
“ซูหลิน เห็นแก่วันนี้ที่เป็นวันแย่ๆ ของเจ้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าถอนคำพูดเมื่อครู่นี้! ไม่เช่นนั้น… กล้ากล่าววาจาลบหลู่ข้า เจ้าก็รู้ใช่ไหม ต่อให้ข้าจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าพูดว่าข้าผิด!” สีหน้าของนางราบเรียบ น้ำเสียงเย็นชืดเด็ดขาด ไม่มีใครคิดว่านางกำลังพูดเล่น
ดวงตาของซูหลินพลันเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นกระตุก สีหน้าเขียวคล้ำ
ฉู่สวินหยางไม่มีท่าทีอ่อนข้อแม้เพียงครึ่งก้าว เพียงจ้องเขม็งมาที่เขา
นับจากวันนี้ จวนอ๋องหนานเหอกับจวนอ๋องฉางซุ่นจะกลายเป็นศัตรูกันชั่วชีวิต วังบูรพาไม่อิงเอนฝั่งใด นางไม่มีความจำเป็นที่ต้องไว้หน้าซูหลินอีกแล้ว
นางเป็นราชนิกุลสูงศักดิ์ ในยุคที่อำนาจของราชวงศ์สูงส่งเหนือสิ่งใด แม้นางจะเป็นเพียงสตรี เป็นแค่นังเด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม…
แต่ขุนนางทั้งราชสำนักยังไม่อาจไม่เกรงใจนาง
ก่อนหน้านี้ซูหลินเคยได้เจอนางมาก่อนแล้ว เพียงรู้สึกว่าเด็กคนนี้ดุร้ายไม่เบา แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะพลิกหน้าตัดไมตรี ต้อนเขาจนจนมุม…
เขามาโวยวายที่จวนอ๋องหนานเหอด้วยมีพร้อมทั้งเหตุและผล แต่ฉู่สวินหยางไม่ได้ล่วงเกินอะไรเขา!
ดวงหน้าของซูหลินเขียวคล้ำไปหมด
คนแซ่เจิ้งคิดจะกู้สถานการณ์ แต่กลับถูกสายตาเย็นเยือกของฉู่อี้หมินหยุดเอาไว้เสียก่อน
ซูหลินไม่ไว้หน้าเขา เขายินดีจะรอดูความสนุกนี้
ซูหลินเห็นว่าฉู่สวินหยางไม่มีท่าทีเลิกรา ก็กัดริมฝีปากตนด้วยความลังเล เค้นเสียงออกมาว่า “หม่อมฉันลุแก่โทสะ เอ่ยวาจาล่วงเกินท่านหญิง ขอท่านหญิง… อภัยให้ด้วย!”
คำยังไม่ทันจบดี ศีรษะก็สะบัดหนีไปด้านข้างอย่างเคืองแค้น
“แค่เรื่องเข้าใจผิด ทุกคนอย่าได้ใส่ใจ!” คนแซ่เจิ้งเห็นสถานการณ์ดังนั้น ถึงได้ออกหน้าไกล่เกลี่ย
ฉู่สวินหยางไม่ได้ติดใจแต่ก็ทำเสียงเยาะใส่ทีหนึ่ง
ฉู่อี้หมินหันไปพูดกับนางด้วยสีหน้าขึงขังว่า “จวนข้าตอนนี้ยังมีเรื่องภายในที่ต้องจัดการ เกรงว่าจะไม่มีเวลาต้อนรับแขก ทหาร…”
“เสด็จลุงไม่ต้องเกรงใจ!” ฉู่สวินหยางไม่รอให้เขาเอ่ยสองคำว่า ‘ส่งแขก’ ก็เปิดปากตัดบททันที “เป็นซื่อจื่อที่เชิญข้ามา กล่าวว่าจะชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องห้าให้ข้าเข้าใจ”
นางพูดอย่างไม่รีบร้อนพร้อมปัดกระโปรงเบาๆ ก่อนจะก้มหน้ามองหาเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่ง
ฮูหยินใหญ่เดินตามไปนั่งข้างๆ นาง สาวใช้ต่างยกชามาให้คนทั้งคู่อย่างรู้งาน
ฉู่สวินหยางนั่งจิบชาในมือทำท่าว่าเรื่องราวต่างๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับตน เอ่ยว่า “เสด็จลุงมีเรื่องอะไรก็รีบจัดการเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า ข้าคอยได้!”
ใบหน้าของฉู่อี้หมินยิ่งไม่น่ามองไปใหญ่ แต่รู้ดีว่าฉู่สวินหยางไม่มีทางพูดจาเรื่อยเปื่อย
ไม่นานก็เห็นฉู่ฉีเหยียนรีบร้อนเดินเข้ามาจากด้านนอก
ฉู่อี้หมินส่งสายตาเป็นคำถามให้เขา ฉู่ฉีเหยียนทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับฉู่สวินหยาง ดื่มชาไปอึกหนึ่ง ก็เอ่ยว่า
“ท่านพ่อ ข้ารั้งตัวท่านหญิงสวินหยางเอาไว้เอง ประจวบเหมาะที่ซื่อจื่อซูอยู่พร้อม เรื่องของท่านหญิงซูกับท่านหญิงห้า วันนี้ก็ถือโอกาสไขความกระจ่างให้สองสกุลไปด้วยเสียเลย จัดการทุกอย่างในคราเดียว วันข้างหน้าจะได้ไม่ผิดใจกันอีก”
ถ้าฉู่ฉีเหยียนไม่พูดขึ้นมา ซูหลินคงจะลืมไปแล้วว่าวันนี้ทั้งวันเขายังไม่เห็นหน้าซูหว่านเลย ครุ่นคิดอย่างละเอียดก็จำได้ว่าซูหว่านมาหาเขาแต่เช้าตรู่ อ้อนเขาว่าจะมาอยู่กับฉู่หลิงอวิ้นทางนี้
เกิดเรื่องกับซูหว่านหรือ? แต่จะเกิดเรื่องอะไรได้เล่า?
ซูหลินมือไม้สั่น ถ้วยชาโคลงเล็กน้อย สะบัดหน้าขึ้นมองฉู่ฉีเหยียน เอ่ยว่า “น้องสาวข้าเป็นอะไร?”
“ไม่รู้!” ฉู่ฉีเหยียนตอบทื่อๆ ก่อนจะยิ้มหน้านิ่งราวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน “ก็ตอนช่วงบ่ายมีคนเจอว่าท่านหญิงห้าแห่งวังบูรพากับคุณชายรองสกุลเหลยนอนร่วมห้องกันอยู่ สลบไสลไม่ได้สติ!”
ซูหว่านสลบไปก็จริง แต่ว่าทุกคนต่างมองเห็นอยู่ในสายตา แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับฉู่เยว่เหยียน
ทว่าไม่อาจปฏิเสธ ฉู่ฉีเหยียนจงใจเล่นคำกำกวมเช่นนี้ จะทำให้คนเข้าใจผิดเป็นความหมายอื่นได้ง่ายๆ
ฉู่สวินหยางชื่นชมวิชาตีหน้าของคนผู้นี้อยู่ในใจ
เช่นนี้แล้ว จะทำให้ซูหลินคิดว่าตัวเองมีชนักติดหลัง อารมณ์ย่อมอ่อนลงมาไม่น้อย
ฉู่สวินหยางไม่ได้เปิดโปงเขา
มองสองสกุลจิกกัดกัน เหตุใดนางจะไม่สุขใจเล่า?
เส้นเลือดบนหน้าผากของซูหลินผุดชัด บีบถ้วยชาแตกละเอียดด้วยคุมพลังในมือไม่อยู่ น้ำชากระเซ็นซ่าน หกรดทั่วร่างเขา
เขาเด้งตัวลุกขึ้น ตวาดว่า “พาข้าไปพบหว่านเอ๋อร์!”
ฉู่ฉีเหยียนไม่ขยับ แต่ฉู่อี้หมินแสยะยิ้มเอ่ยว่า “ท่านหญิงซูทางนั้นชายาข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนไปหาหรอก ในเมื่อซื่อจื่อซูมาเยี่ยมข้าถึงหน้าประตู พวกเราก็พูดคุยเรื่องตรงหน้าก็กระจ่างกันก่อนเถอะ!”
“อย่างไรเล่า? ท่านอ๋องคิดจะจับหว่านเอ๋อร์ไว้เป็นตัวประกันรึ?” ซูหลินกระตุกยิ้ม เอ่ยคำเสียดสี “นี่คงไม่ใช่อุบายที่จวนอ๋องหนานเหอวางเอาไว้แต่แรกกระมัง?”
กักตัวซูหว่านเอาไว้ จากนั้นก็เปลี่ยนตัวเจ้าสาว สุดท้ายบีบให้เขายอมจำนน
ช่างเป็นการดีดลูกคิดที่ถี่ถ้วน มีแต่ได้ไม่มีเสียเลยจริงๆ!
ตอนที่ 76 (4)
เอาคืน (4)
“ซื่อจื่อซู ข้าจวนอ๋องหนานเหอจะได้ประโยชน์อะไรจากการปั่นหัวเจ้า การทำร้ายผู้อื่นแล้วตนพลอยต้องเดือดร้อน ข้าจะทำไปทำไม?” ฉู่ฉีเหยียนอธิบาย พยายามรักษาท่าทีไม่ร้อนไม่หนาวไว้ทุกขณะจิต
หัวใจของซูหลินกระตุกเบาๆ มองเขาอย่างไม่วางใจสองที แต่เม้มปากอยู่ครึ่งวันก็ยังไม่ยอมเอ่ยความ
ฉู่ฉีเหยียนเห็นว่าอารมณ์เขาสงบลงบ้างแล้ว ก็รีบฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อนโดยการเหลือบตาไปมองพวกจื่อซวี่ทีหนึ่ง ถามว่า “เล่ามาสิ สรุปเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
แผนการของฉู่หลิงอวิ้นเขากระจ่างชัดแก่ใจ หากว่านี่เป็นฝีมือของนางจริงๆ เรื่องเก็บกวาดย่อมเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ดังนั้นฉู่ฉีเหยียนในเวลานี้จึงค่อนข้างจะวางใจ
จื่อซวี่กัดปากแน่น แล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดในเรือนหออีกครั้ง
ฉู่ฉีเหยียนฟังไป หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กๆ สุดท้ายก็เงียบไปพักใหญ่แล้วเอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าคือ… คนที่ถูกหามออกไปจากจวนอ๋องของเราตั้งแต่แรกก็คือหลิงซิ่วรึ?”
“ตั้งแต่ที่ท่านหญิงออกจากจวน บ่าวสองคนก็ตามติดไม่ห่างสักก้าว หากว่าเรื่องราวไม่เป็นเช่นนี้ ก็คิดไม่ออกแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ว่าเจ้าสาวในเรือนหอจะเปลี่ยนเป็นท่านหญิงรองได้อย่างไร!” จื่อซวี่ตอบ
แม่นางหลี่ผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของฉู่หลิงซิ่วยืนอยู่ด้านหลัง หลายต่อหลายครั้งที่พยายามจะเปิดปากแก้ต่างแทนบุตรสาว ทว่าทุกครั้งก็ถูกสายตาตักเตือนของฉู่ฉีเหยียนกดดันเอาไว้ จึงได้แต่ละล้าละลังไม่กล้าออกหน้า
ฉู่ฉีเหยียนทำหน้าครุ่นคิด แล้วมองไปทางซูหลิน
ซูหลินสะบัดแขนเสื้อเกรี้ยวกราด
“ไม่ต้องมามองข้า เรื่องนี้เป็นฝีมือของพวกเจ้าจวนอ๋องหนานเหอ มีเพียงพวกเจ้าที่รู้ดีที่สุด เกี้ยวหลังนั้นถูกหามออกไปจากจวนอ๋องหนานเหอ ท่านอ๋องกับพระชายาไม่อาจให้คำอธิบายที่ชัดเจนแก่ข้าได้เลยรึ?”
เจ้าสาวอาจถูกเปลี่ยนตัวตอนอยู่ในเรือนหอ พวกซูหลินไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ เพียงแต่ว่า…
ทุกคนประเมินความบ้าบิ่นของฉู่หลิงอวิ้นต่ำเกินไป
เพราะความจริง…
นางใจกล้าบ้าบิ่นกว่านั้นมากนัก!
ถึงกล้าทำเลวอย่างไม่แยแสหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน!
เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะบังคับใครให้มาแต่งงานแทนทั้งๆ ที่ยังมีสติครบถ้วน และรับรู้ว่าสุดท้ายมีเพียงความตายรออยู่ ฉู่หลิงซิ่วคงจะเสียสติหากยอมร่วมมือกับนางโดยดี ดังนั้นนางจึงแอบเล่นลูกไม้ลับหลัง…
อย่างไรเสียตอนออกจากจวนก็ยังมีผ้าคลุมบังหน้าไว้ สุดท้ายขอเพียงนางยืนยันแน่วแน่ว่าคนๆ นั้นไม่ใช่นาง แล้วจะมีใครกล้าเถียง
ได้ฟังเรื่องเล่าของจื่อซวี่ ฉู่ฉีเหยียนก็พอจะจับทางแผนการของฉู่หลิงอวิ้นได้เกือบหมด หลังจากตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ตลอดทางมีจื่อเหวยกับจื่อซวี่คอยเฝ้าไว้ตลอด หากจะเล่นอุบายอะไรคงเป็นไปได้ยาก เช่นนั้นปัญหาคงจะอยู่จวนอ๋องหนานเหอของเราจริงๆ”
ซูหลินร้องเหอะ ทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“แล้วอวิ้นเอ๋อร์เจ้าตัวล่ะ?” คนแซ่เจิ้งร้อนใจถามหา ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกบิดจนไม่เป็นทรง
ฉู่ฉีเหยียนมองจื่อซวี่ด้วยสายตาเย็นชา “พวกเจ้านึกให้ดีๆ ก่อนที่ท่านหญิงจะออกจากจวนมีเรื่องอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นบ้างไหม คนถูกสลับตัวไป อย่างไรก็ต้องมีเบาะแสทิ้งไว้บ้าง”
สองบ่าวมุ่นคิ้ว เค้นสมองเต็มกำลัง
ในที่สุดจื่อเหวยก็ยกมือปิดปากอุทานตกใจ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นขลาดกลัว เอ่ยว่า “บ่าวนึกออกแล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นช่วงเที่ยงวัน คล้อยหลังหลังจากที่พระชายาแวะไปดูท่านหญิง ท่านหญิงรองก็มาถึง บอกว่ามาขอโทษที่ตอนเช้าทำผิดต่อท่านหญิง ซ้ำยังบอกว่าท่านหญิงจะแต่งออกไปแล้ว พี่น้องอยากจะคุยความในใจต่อกัน จึงไล่พวกบ่าวทุกคนออกมา ตอนที่พวกบ่าวกลับเข้าไป ผ้าคลุมหน้าของท่านหญิงก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าถึงเวลามงคลพอดี จึงไม่ได้คิดมาก หรือว่าจะเป็นตอนนั้น…”
ความจริงฉู่หลิงซิ่วไปที่นั่นก่อนคนแซ่เจิ้งเสียอีก แต่ที่ฉู่หลิงอวิ้นกล้าให้เอ่ยวาจาเช่นนี้ ก็เพราะคำนวณไว้แล้วว่าไม่มีใครเปิดโปงความจริงข้อนี้ได้
ส่วนตอนเช้าที่ฉู่หลิงซิ่วไปหาเรื่องฉู่หลิงอวิ้นนั้นทุกคนก็เห็นครบกันหมด นางจะบอกปัดอย่างไรก็ปัดไม่พ้น
ดังนั้น ทั้งแรงจูงใจและเหตุผลต่างก็ชัดเจนทั้งสิ้น
ฉู่สวินหยางทำเหมือนว่าชมละครเรื่องหนึ่งอยู่ เอาแต่ยิ้มแย้มไม่เอ่ยปากตลอดการรับชม
คนแซ่เจิ้งยิ่งร้อนใจ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปมาด้วยความวิตก “เจ้าพูดเช่นนี้ อวิ้นเอ๋อร์ถูกนาง…”
นางพูดเองก็หวั่นใจเอง จึงไม่กล้าเอ่ยคำต่อจากนั้นจนจบ รีบโบกมือเป็นพัลวัน ร้องเสียงสูงว่า “ป้ากู้ มัวอึ้งอะไรอยู่ ยังไม่รีบส่งคนออกตามหาอีก วันนี้คนเข้าคนออกทั้งวัน นางคงไม่สามารถส่งคนออกไปโดยไม่มีคนรู้เห็นได้ อวิ้นเอ๋อร์จะต้องยังอยู่ในจวนนี้แน่ๆ”
คนแซ่เจิ้งก้าวผ่านธรณีประตูออกไปเป็นคนแรก
ฉู่ฉีเหยียนลุกขึ้น และตามนางออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่สวินหยางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะวางถ้วยชาลงแล้วยืนขึ้น “หากเป็นเช่นนี้ พี่หญิงอันเล่อก็น่าสงสารยิ่งนัก”
พูดไปพลางหันไปกล่อมซูหลินว่า “ซื่อจื่อซู ดูท่าพี่หญิงอันเล่อจะถูกคนอื่นบีบบังคับ หาใช่ทำไปเพราะเจตนา ขอเจ้าใจกว้างกับนางหน่อยเถอะ”
ซูหลินมองนางด้วยสายตาทิ่มแทง ไม่รับความปรารถนาดีเลยสักนิด
ฮูหยินใหญ่กุมมือของฉู่สวินหยางพลางเอ่ยว่า “พวกเราตามไปดูหน่อยเถอะ อาจจะพอช่วยค้นหาได้”
ฮูหยินใหญ่เป็นคนไหวพริบดี ทันทีที่เรื่องของฉู่หลิงอวิ้นแดงขึ้น นางก็เข้าใจทุกอย่าง…
อีกฝ่ายวางแผนจะเล่นงานลูกสาวของนาง
ต่อให้วันนี้ฉู่สวินหยางจะยืนดูยิ่งเฉยไม่แทรกแซง นางก็ไม่ถือสาที่จะราดน้ำมันลงกองไฟให้ลุกโชนแผดเผา ยิ่งกว่านั้น…
ตามความเข้าใจที่นางมีต่อฉู่สวินหยาง นางไม่เชื่อหรอกว่าฉู่สวินหยางจะยอมปล่อยคนที่บังอาจมาแตะต้องวังบูรพาให้ลอยนวลไปง่ายๆ
ทันทีที่ขบวนคนเคลื่อนตัวออกไป ซูหลินก็เริ่มนั่งไม่ติด หัวใจโต้แย้งกันสักพัก สุดท้ายก็สะบัดชายเสื้อแล้วสาวเท้าตามออกไป
แม่นางหลี่เวลานี้เพิ่งจะมีโอกาสออกหน้า โถมตัวคุกเข่าดังตุบเบื้องหน้าฉู่อี้หมิน เอ่ยเสียงโศกว่า “ท่านอ๋อง ซิ่วเอ๋อร์ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่ ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ นางไม่ใช่เด็กไร้ความคิด เรื่องนี้ต้องมีอะไรซ่อนอยู่ ท่านต้องเป็นพยานให้นางด้วยนะเจ้าคะ!”
ฉู่หลิงซิ่วยังไม่กลับมา เห็นชัดว่าคนถูกซูหลินกุมตัวเอาไว้
ฉู่อี้หมินเดือดดาล เตี่ยนชุ่ยที่กลมกลืนอยู่กลางฝูงชนเดินเข้ามาลูบอกให้เขา พลางเอ่ยเสียงหวานด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ท่านอ๋องโมโหไปก็ไร้ประโยชน์ ความจริงไม่ว่าจะเป็นท่านหญิงใหญ่หรืองท่านหญิงรอง ตาม
ความเห็นของบ่าว ที่ซื่อจื่อซูไม่ได้แบกคนกลับมาคืน ก็คือการยอมถอยให้แล้ว นี่เป็นเรื่องดีมิใช่หรือเจ้าคะ!”
ฉู่อี้หมินรีบชั่งน้ำหนักในใจอย่างไวว่อง พลันคลายความเครียดไปได้หลายส่วน จู่ๆ ก็ลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกนอกโถงไป “ข้าก็จะไปดูสักหน่อย!”
แม่นางหลี่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น ต่อมาเมื่อได้สติ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นความยินดี…
จริงด้วย ฟ้าดินก็ไหว้ไปแล้ว ฉู่หลิงซิ่วแม้จะไม่ใช้บุตรีสายหลัก แต่ก็เป็นท่านหญิงสูงศักดิ์ในราชนิกุล ตอนนี้เท่ากับว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก วาสนาอันประเสริฐปานนี้ แต่ก่อนแม้แต่วาดฝันก็ยังไม่กล้า
เมื่อเป็นดังนั้น สายตาของแม่นางหลี่ก็เป็นเปล่งประกายยินดี ไม่เศร้าสร้อยเหมือนดังเก่า แม้แต่เอวยังหยัดเชิดขึ้นหลายส่วน
เตี่ยนชุ่ยยืนอยู่ข้างหลัง แสยะยิ้มเย็น
แม่นางหลี่ผู้นี้ใช้เชิดหน้าชูตาไม่ได้เสียเลย เรื่องแค่นี้ก็ยังขบคิดไม่แตก…
ซูหลินหลงฉู่หลิงอวิ้นอย่างโง่งม เมื่อเรื่องราวดำเนินมาเช่นนี้ อย่าว่าแต่ความรับผิดชอบทั้งหมดจะถูกผลักมาให้ฉู่หลิงซิ่วเลย ตราบใดที่ฉู่หลิงซิ่วยังอยู่ในจวนสกุลซู ก็เท่ากับการตอกย้ำซูหลินทุกวันทุกเวลาว่าจวนอ๋องหนานเหอหลอกลวงเขา ไม่ใช่แค่ฉู่หลิงซิ่ว แม้แต่จวนอ๋องหนานเหอทั้งหมดก็ต้องกลายเป็นศัตรูของสกุลซูไปชั่วชีวิต
เช่นนี้แล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ของคนแซ่เจิ้ง ไม่ว่าฉู่หลิงอวิ้นจะเป็นฝ่ายกระทำหรือถูกกระทำก็ตามแต่ สุดท้ายฉู่อี้หมินก็ต้องเอาความเกรี้ยวกราดไปลงที่นาง นั่นถือเป็นการตัดปีกคนแซ่เจิ้งไปโดยปริยาย
ซิ่งเอ๋อร์เห็นนางหัวเราะแปลกๆ ลองเปิดปากถามว่า “แม่นาง เป็นอะไรหรือ?”
“เปล่าหรอก! ไปเถอะ พวกเราก็ตามไปดูหน่อย” เตี่ยนชุ่ยตอบ รวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายแล้วรีบสาวเท้าไปติดๆ
ขบวนคนเคลื่อนตัวไป สถานที่แห่งแรกย่อมเป็นเรือนของฉู่หลิงอวิ้น
ก่อนที่ทุกคนจะผ่านเข้าประตูไป บ่าวของฉู่ฉีเหยียนที่แอบแทรกตัวปะปนกับผู้คนอย่างเงียบเชียบ ลอบส่ายหน้าให้เขาอย่างคลุมเครือ…
เมื่อครู่เขาได้รับคำสั่งจากฉู่ฉีเหยียน ให้ลองค้นหาภายในจวนทั้งหมด ตามหลักแล้ว ในเมื่อฉู่หลิงอวิ้นจะเล่นบทเป็นผู้ถูกกระทำ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะซ่อนอยู่ในเรือนตัวเอง
แต่ว่ากลับหาตัวคนไม่เจอ?
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ฉู่ฉีเหยียนเหม่อลอยชั่วขณะ สายตาพลันจ้องแผ่นหลังของฉู่สวินหยางที่เดินอยู่ข้างหน้าอย่างไม่ตั้งใจ
คนแซ่เจิ้งให้คนหารอบเรือนจนหมดแต่ก็ไม่เจอร่องรอยอะไร ขอบตาแดงก่ำอีกรอบ รีบพาคนไปหาจุดอื่นต่ออย่างไม่หยุดเท้า ทุกๆ ห้อง ทุกๆ เรือน ล้วนได้รับการตรวจสอบอย่างไม่มียกเว้น
ระหว่างทางฉู่ฉีเหยียนก็ไม่ปริปากสักคำ เพียงแต่ดวงหน้าเย็นชาขมวดคิ้วแน่น บางทีก็หันไปมองฉู่สวินหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
สัญชาตญาณของเขาร้องบอกว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
ฉู่หลิงอวิ้นตกไปอยู่ในมือนาง? แต่ต่อให้นางจับตัวฉู่หลิงอวิ้นไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า?
คนแซ่เจิ้งพลิกเรือนของจวนอ๋องหนานเหอทุกซอกทุกมุมแต่ก็ไร้ผล กำลังจะกลับไปที่เรือนของฉู่หลิงอวิ้นอีกครั้งด้วยสติที่หลุดลอย
ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ สว่าง ม่านสีฟ้ากำลังถูกลากลงมาแทนที่อย่างช้าๆ นางรู้สึกหมดหวังสิ้นแรง หัวใจกระสับกระส่าย มีเพียงน้ำตาที่กลิ้งไหลลงมาไม่หยุด
ฉู่หลิงอวิ้นหายไปแล้วจริงๆ!
หรือว่าฉู่หลิงซิ่วจะใจดำอำมหิตลงมือทำร้ายนาง?
อย่างไรก็เป็นนางในดวงใจที่เฝ้ารักมาหลายปี ความโกรธแค้นในใจลดหายไปครึ่งหนึ่ง แล้วเริ่มกลายเป็นความห่วงใยอย่างไม่รู้ตัว เบื้องหน้าเขาแต่ไกลคือเรือนของฉู่หลิงอวิ้น เขาพลันตัดสินใจของตัวกลับจวน
ทันใดนั้นเอง เท้าของคนแซ่เจิ้งที่เดินอยู่หน้าสุดพลันหยุดชะงัก ยืนตะลึงอยู่กับที่
อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็น คล้ายว่าหิมะจะตก ท้องฟ้าทั้งผืนฉาบสีครึ้มเทาๆ ภายใต้บรรยากาศที่ควรจะเหน็บหนาวอ้างว้าง แต่ลมเหนือที่พัดผ่านกลับพาเสียงเสียดสีแปลกหูลอยติดมาด้วย
คนแซ่เจิ้งสีหน้าซีดเผือด
สาวใช้กับสนมรวมทั้งบุตรีสองสามคนที่อยู่หลังสุดของขบวนพลันหน้าแดงก่ำด้วยความกระอักกระอ่วน ต่างหันซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียง
ซูหลินเพิ่งจะหมุนเท้าได้ครึ่งก้าวก็ชะงักกึก ยืนคล้ายก้อนหินสลักที่ตั้งตากลมหนาวยามรุ่งสาง เลือดร้อนๆ พลุ่งพล่านขึ้นหน้า เหมือนว่ากำลังจะระเบิดออกมาในไม่กี่วินาทีนี้
ไม่นานเท่าไร ท้องฟ้าสีเทาก็เริ่มมีหิมะโปรยลงมาอย่างช้าๆ
ฉู่ฉีเหยียนยืนกำหมัดนิ่งไม่ขยับ สายตาค่อยๆ เลื่อนไปมองดวงหน้าเสี้ยวหนึ่งที่ประดับรอยยิ้มเล็กๆ ของดรุณีน้อยซึ่งยืนอยู่หน้าเขา
ลมเหนือพัดปรอยผมนางปลิวไหว คิ้วตางดงามหมดจด นางค่อยๆ ยื่นแขนออกไปรับหิมะมาไว้ในมือ
จากนั้น นางก็หันหน้ามามอง เลิกคิ้วสูง แล้วยิ้มให้
รอยยิ้มนั้น เย็นเยือก
นี่คือจุดจบของของตั๊กแตนและจั๊กจั่น ที่ไม่รู้จักระวังนกกระจอกเหลือง!
————————————————————–
ตอนที่ 77 (1)
หมวกเขียวสดใสบนศีรษะเจ้าบ่าว (1)
เสียงครางหอบหนักของบุรุษ กับเสียงสะอื้นแผ่วที่แยกไม่ออกว่าสุขสมหรือเจ็บปวดของสตรี บางครั้งฟังชัด บางครั้งฟังเลือน
ลมเหนือหวีดหวิว บางครั้งก็ม้วนเอาเสียงติดมา ก่อนกลืนหายไปกับหิมะโปรย เพิ่มความอบอุ่นในวันที่อากาศเย็นเยือก
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าด้านในเกิดกิจกรรมอะไรขึ้น
ที่น่ากลัวกว่านั้น…
แม้เสียงของสตรีจะฟังไม่ค่อยถนัด แต่สำหรับคนที่อาศัยในจวนอ๋องหนานเหอมาเนิ่นนานกลับไม่รู้สึกแปลกหู
เหมือนมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมากลางศีรษะ
คนแซ่เจิ้งได้สติทันที ตวาดเสียงกร้าวว่า “ที่นี่หาไปรอบหนึ่งแล้วไม่เห็นเจอคน พวกเจ้าจะมายืนทื่ออยู่ตรงนี้อีกทำไม?”
น้ำเสียงของนางสูงแหลม ไม่ฟังสง่าเหมือนปกติทุกๆ วัน มีทั้งความร้อนรนและความเดือดดาลที่ไม่ปิดไม่มิด เสียงของนางดังมาก หนึ่งเพราะต้องการให้คนอื่นๆ แยกย้ายไปจากตรงนี้ สองคือคิดจะใช้มันร้องเตือนคนที่อยู่ในห้อง
“เอ่อ…เสียง…อืม…อะไร…” เสียงเคลิ้มฝันของสตรีขาดๆ หายๆ เหตุเพราะการสั่นสะเทือนที่กระตุ้นเร้ารุนแรง
“ไม่มี! เจ้าฟังผิดไป!” น้ำเสียงของบุรุษแหบพร่า ลมหายใจหอบกระเส่าแฝงความสุขสันต์และอิ่มเอม
สีหน้าของคนแซ่เจิ้งซีดเผือด ภาพเบื้องหน้าเลือนลางเหมือนจะลมจับ แม้จะมีป้ากู้ประคองไว้อยู่ แต่สองขาก็อ่อนยวบ ในสมองส่งเสียงอื้ออึงไปหมด
คนอื่นเงียบเป็นเป่าสาก หมุนตัวเตรียมแยกย้าย
เสียงในห้องนั้นทำให้ฝีเท้าที่หนักอึ้งของซูหลินยกขึ้นมาได้ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในเรือนราวกับพายุ
“ซูหลิน!” ฉู่ฉีเหยียนสูดหายใจเย็นเยือกเข้าปอด เพราะเมื่อครู่ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ฉู่สวินหยาง ถึงได้ช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่ตามไปถึงซูหลินก็ใช้เท้าถีบประตูที่ปิดแน่นของเรือนข้างเข้าไปแล้ว
เพราะว่าใส่แรงมากเกินไป ประตูไม่ได้เปิดออกตามปกติ แต่บานทั้งสองกลับหลุดออกมาจากกรอบ กองแอ้งแม้งให้เหยียบย่ำอยู่บนพื้น
เตียงหลังใหญ่อยู่ตรงกับประตูพอดี ม่านเตียงหนาสีเทาเข้มปิดร่วงลงมาเกือบครึ่ง เผยให้เห็นเค้าร่างชายหญิงที่เกี่ยวรัดกันอยู่ด้านหลังได้ลางๆ
“มันที่ไหนกล้าเรื่องเช่นนี้ ไสหัว…” บุรุษผู้นั้นกำลังอารมณ์พลุ่งพล่าน การเคลื่อนไหวต่อเนื่องไม่ติดขัด หาได้สนใจมองโลกภายนอกสักนิดไม่ เพียงแต่คำรามเสียงเหมือนถูกขัดใจออกมา
เค้าร่างที่อยู่หลังม่านสะท้อนเข้าดวงตา ซูหลินถูกกระตุ้นจนดวงตาแดงก่ำเหมือนเลือด สายตาของเขากวาดมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกบานประตูที่ตนถีบจนหลุดขึ้นมา สาวเท้าพรวดๆ เข้าไปหา วาจาไม่เอ่ยกล่าว ก็ทุ่มมันใส่ศีรษะของคนผู้นั้น
เขาในตอนนี้ กลายเป็นเดรัจฉานที่ไร้ซึ่งสติ พลังที่ทุ่มลงไปจึงไม่ได้ยั้งไมตรี
คนที่อยู่บนเตียงไร้ความสามารถจะต้านทานโดยสิ้นเชิง ได้ยินเพียงเสียงกระแทก ก่อนตัวคนจะร่วงทับสตรีที่อยู่ใต้ร่าง เส้นผมหลังศีรษะค่อยๆ มีเลือดซึมไหลออกมา เมื่อหยดลงบนหน้าอกขาวผ่องของอีกฝ่าย ก็ยิ่งขับให้สีแดงเข้มขึ้นจนเหมือนดำ
ฉู่ฉีเหยียนข้ามธรณีประตูตามซูหลินไปติดๆ ทันทีที่เข้าไป กลิ่นหอมประหลาดบางเบาก็ลอยมาเตะจมูกทันที แต่วินาทีต่อมาก็ถูกลมหนาวพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย
กลิ่นคาวเลือดลอยออกมาจากหลังม่านเตียง
โลหิตอุ่นร้อนกระเซ็นถูกร่าง ดวงตาปิดปรือเพราะถูกอารมณ์หวามไหวครอบงำของฉู่หลิงอวิ้นถึงค่อยๆ ปรับชัด แสงภาพที่พร่าเลือนเชื่อมต่อเป็นเส้นที่สมบูรณ์
นางรู้สึกว่าหัวสมองหนักอึ้ง คล้ายตกอยู่ในห้วงฝันที่พิสดารอย่างยาวนาน ขณะนี้มือเท้ายังไร้เรี่ยวแรง ทั่วร่างเหมือนถูกของบางอย่างบดกระแทก จนกระดูกแทบจะหัก
นางพยายามผลักวัตถุหนักอึ้งที่ทับอยู่บนตัวออกไป แต่ทันทีที่มือลูบไปโดนของเหลวร้อนๆ บนอก ถึงได้ยกนิ้วขึ้นมาดู สมองพลันสว่างวาบ ได้สติตื่นเต็มตาในที่สุด
นางเบิกตากว้าง พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ก็ผลักคนที่ทับอยู่ออกไปไม่ไหว สุดท้ายจึงล้มลงบนเตียงอย่างเก่า
ฉู่ฉีเหยียนที่ผ่านประตูเข้ามาได้เห็นฉากนี้พอดี ภาพเบื้องหน้าเหมือนวูบดับ ยังไม่ทันตั้งตัวก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของฉู่หลิงอวิ้นดังขึ้น เสียงแหลมสูงนั้นเหมือนจะดังทะลุไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า
นางออกแรงทั้งหมดผลักคนบนตัวจนร่วงลงพื้น แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดกายอย่างลนลาน
ฉู่ฉีเหยียนสูดหายใจลึก สีหน้าเปลี่ยนสลับระหว่างสีขาวกับสีเขียวได้อย่างน่ามหัศจรรย์
“เหอะ…” จากนั้นซูหลินที่เข้ามาถึงเป็นคนแรกก็เงยหน้าหัวเราะกับฟ้า ดวงตากระจ่างจ้องเขม็งที่สตรีซึ่งกำลังตื่นตระหนกอยู่เบื้องหน้า ทว่าสายตานั้นไม่ได้หล่อเลี้ยงด้วยความอ่อนโยนเหมือนอย่างเคย มันมีแต่เปลวเพลิงที่โชติช่วง มากพอจะแผดเผาให้คนที่ถูกมองเหลือเพียงเถ้าถ่าน
เขาจ้องฉู่หลิงอวิ้น มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อเดี๋ยวกำเดี๋ยวคลาย สุดท้ายก็ไม่มีเสียงหลุดออกมาสักแอะ เพียงสะบัดแขนเสื้อแล้วสาวเท้าพรวดๆ ออกนอกประตูไป
พวกคนแซ่เจิ้งยังคงยืนตะลึงอยู่ที่ลานด้านนอก ทันทีที่เห็นเขาพุ่งตัวออกมาราวกับพายุ ก็รุดจะเข้าไปขวาง แต่ก็ถูกซูหลินผลักออกอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
เขาเดินเร็วมาก ท่ามกลางเหมันต์หิมะหนาว ผ้าสะบัดเป็นเสียงฉับๆ แสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดและโกรธแค้นทั้งหมดที่ฝังอยู่ก้นบึ้งในใจเขา
ฉู่สวินหยางพลิกหน้ามองตามแผ่นหลังทีเดินลับไป มุมปากยกโค้งขึ้นลางๆ คล้ายรอยยิ้ม…
ระหว่างจวนอ๋องฉางซุ่นและจวนอ๋องหนานเหอ ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีทางกลับมาญาติดีต่อกันได้อีก
ความจริงข้อนี้ ช่างเป็นสิ่งประเสริฐยิ่งนัก!
ขณะที่ซูหลินเดินออกจากเรือนไปพร้อมไฟโทสะเต็มท้อง ฉู่อี้หมินที่ก่อนหน้านี้แวะไปหาคนที่เรือนฉู่หลิงอวิ้นแต่ไม่พบใครถึงได้กลับไปรอที่ห้องหนังสือ ทว่าคอยอยู่นานก็ยังไร้ข่าวคราว จึงคิดจะไปสมทบด้วยอีกครั้ง แต่พอเดินไปถึงสวนดอกไม้ก็เจอกับซูหลินที่คล้ายถูกไฟลนก้นเดินออกมาจากเรือนหลังพอดี
“ซู…” ฉู่อี้หมินรู้สึกถึงไอสังหารที่อบอวลรอบตัวเขาในทันที จึงสูดหายใจลึกก่อนเดินเข้าไปหา
“ท่านอ๋อง!” ซูหลินหยุดฝีเท้า กระตุกยิ้มเย็นแปลกๆ จนฉู่อี้หมินอดจะใจสั่นไม่ได้ ซูหลินไม่มีอารมณ์จะเอาความอะไรกับเขาอีก เพียงเอ่ยว่า “เรื่องนี้สกุลซูไม่มีทางปล่อยผ่าน หวังว่าท่านอ๋องจะรีบหาคำอธิบายที่น่าพอใจให้ข้าได้! ขอตัว!”
จบคำ ก็ไม่เห็นการมีตัวตนของฉู่อี้หมินอยู่ในสายตาอีก สะบัดแขนเสื้อเดินหนี ทิ้งให้ฉู่อี้หมินยืนตะลึงนิ่งอยู่ตรงนั้น
แผนการของฉู่หลิงอวิ้นคล้ายอาภรณ์ฟ้าที่ไร้ตะเข็บ
แม้แต่ก่อนหน้านี้ เขาก็เกือบจะหลงเชื่อในความใสซื่อของนาง
แต่เรื่องสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ได้เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ตรงหน้าเขา…
บัดนี้ จะพูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์อีกแล้ว
ฉู่หลิงซิ่ววางแผนเล่นงานนางบ้าบออะไร? เห็นตำตาว่านางคำนวณทุกอย่างไว้แต่แรก หลอกใช้ฉู่หลิงซิ่วเพื่อเลี่ยงการแต่งงานกับตน ก่อนจะแต่งออกไปกับผู้อื่นอย่างหน้าซื่อตาใส
ช่างเป็นการเดินหมากที่ได้ทุกอย่างสมปรารถนาดังใจเสียจริง!
นังแพศยา!
ที่แท้ตั้งแต่ต้นจนจบ นางก็แค่ปั่นหัวเขาเล่น!
ส่วนเขา…
ก็เป็นเพียงตัวตลกให้คนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะ!
ซูหลินจากไปพร้อมไฟโทสะ เลือดในกายเดือดพล่านจนอยากจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากอง
ทางด้านเรือนของฉู่หลิงอวิ้น ป้ากู้กำลังพยุงคนแซ่เจิ้งให้เข้าไปด้านในห้อง
แสงในเรือนมีน้อย เพราะท้องฟ้ายังไม่สว่างทั่วแผ่น จึงมืดสลัวอยู่หลายส่วน
คนแซ่เจิ้งเข้าประตูไปก็เห็นฉู่หลิงอวิ้นนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงคล้ายหวาดกลัวและโกรธแค้น ทันใดนั้นก็เก็บกดอารมณ์ต่อไปไม่ไหวอีก กระโจนเข้าไปแล้วฟาดฝ่ามือลงบนหน้านาง ตะโกนด่าว่า “เจ้าไร้สติไปแล้วหรือไง?”
เมื่อครู่ตอนที่ทุกคนอยู่ในลานก็หาได้ได้ยินเสียงร้องขัดขืนของฉู่หลิงอวิ้น ทั้งก่อนหน้านี้ก็ค้นหาจนทั่วเรือนแต่ว่าไม่พบใคร ตอนที่ย้อนกลับมาถึงได้เจอฉากนี้เข้า
บวกกับบทสนทนาของทั้งคู่ตอนที่อยู่ในอารมณ์วาบหวามก็ชวนให้เข้าใจว่าพวกเขาจงใจ หลบเลี่ยงการค้นหา จากนั้นด้วยคิดว่าที่นี่คงจะไม่มีใครย้อนกลับมาอีก ถึงได้มาแอบมาทำอะไรๆ ในที่ที่อันตรายที่สุด ทางหนึ่งก็รอคอยให้เรื่องราวด้านนอกดำเนินไปตามแผน
ไม่ใช่ว่าคนแซ่เจิ้งไม่รู้จักนิสัยของฉู่หลิงอวิ้น แต่เพราะท่าทีของฉู่หลิงอวิ้นที่มีต่องานมงคลกับสกุลซูนั้นแข็งกร้าวจนเกินไป จนนางสงสัยแต่แรกแล้วว่าบุตรสาวของตนใช่หรือไม่ว่ามีใครอื่นอยู่ในใจแล้ว ถึงได้ไม่ยอมรับซูหลิน
ตอนนี้จับคนได้คาหนังคาเขา คนแซ่เจิ้งจะคิดเช่นนี้ก็หาได้แปลกอะไร
ฉู่หลิงอวิ้นถูกฝ่ามือของนางตบจนชาไปครึ่งหน้า ล้มไปกองอยู่บนเตียงด้วยไม่ทันตั้งตัว
นางคล้ายมึนงงไม่เข้าใจ ผ่านไม่สักพักถึงได้กุมหน้าแล้วหันกลับมามอง น้ำตาไหลพรากเป็นสาย เอ่ยว่า “ท่านแม่…”
นางไม่รู้ว่าต้องอธิบายให้คนแซ่เจิ้งฟังอย่างไร ทั้งไม่รู้ว่าต้องอธิบายอะไรให้ฟังบ้าง เพราะสภาพของนางในตอนนี้ ก็เกือบจะทำให้นางเสียสติเต็มทน แม้แต่นางเองก็ไม่อาจทำใจให้เชื่อกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้
นางไม่ต้องการอธิบายอะไรนั้นทั้ง! เพียงขออย่างเดียว…
ขอให้ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ!
————————————————————————
ตอนที่ 77 (2)
หมวกเขียวสดใสบนศีรษะเจ้าบ่าว (2)
ทำไมถึงเป็นแบบนี้? มันเพราะอะไรกัน?
ฉู่ฉีเหยียนมองนางด้วยสายตาซับซ้อนอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พักใหญ่ถึงได้ก้มตัวลงหยิบเสื้อผ้าบนพื้นโยนให้นาง จากนั้นก็หันหลังกลับเดินไปด้านนอก พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “รีบใส่เสื้อผ้าเสีย”
สติของฉู่หลิงอวิ้นถึงได้ค่อยๆ คืนกลับมา รับเสื้อผ้ามาใส่อย่างรีบร้อน
ฉู่ฉีเหยียนเดินออกมานอกห้อง เดิมคิดจะมุ่งหน้าไปหาฉู่สวินหยาง แต่พลันเหลือบไปเห็นว่าด้านนอกยังมีกลุ่มเงาดำคล้ายผีสางยืนออกันอยู่ เขาจึงได้แต่เปลี่ยนทิศทางอย่างจนปัญญา
ทุกคนในจวนอ๋องหนานเหอต่างรู้ฤทธิ์ของซื่อจื่อผู้นี้ดีว่าทั้งเข้มงวดและเด็ดขาดกว่าท่านอ๋องมาก วันนี้พวกเขาได้มารับรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ ในใจของทุกคนต่างกระอักกระอ่วน พากันกลั้นหายใจหลบสายตาเขาเป็นพัลวัน
“กฎระเบียบของจวนพวกเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ข้าพูดมาก” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น นอกจากสีหน้าไม่น่ามองเล็กๆ แล้ว อย่างอื่นยังคงรักษาความสุขุมไว้ได้ทั้งหมด ทั้งน้ำเสียงก็หนักแน่นมั่นคงไม่เปลี่ยน “เมื่อวานในจวนจัดงานมงคล พวกเจ้าก็คงเหนื่อยล้าไม่น้อย เกิดอาการวิงเวียนตาลายไม่ใช่เรื่องแปลก กลับไปพักให้หมดเถอะ”
“เจ้าค่ะ! ข้า/บ่าวขอลา!” ทุกคนสะกดลมหายใจ แม้แต่หน้ายังพยายามไม่ให้เปลี่ยนสี พอย่อกายคารวะเรียบร้อยก็ล่าถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ นอกจากเสียงรองเท้าปักที่เหยียบย่ำลงพื้นหิมะแล้ว ก็ไร้ซึ่งเสียงอื่นใดอีก
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้สนใจคนพวกนี้มากนัก หมุนตัวแล้วเดินกลับไปหาฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านหน้า
เขาหยุดอยู่เบื้องหน้านางประมาณสองก้าว จ้องนางอย่างเงียบๆ
หิมะที่โปรยปรายอยู่กลางอากาศเหมือนถูกมือล่องหนคู่หนึ่งกวาดผ่าน ระหว่างคนทั้งคู่คล้ายมีปราการแกร่งกั้นขวาง แบ่งแยกออกเป็นสองโลกชัดเจน
“ฝีมือเจ้า?” ผ่านไปนาน ฉู่ฉีเหยียนถึงได้เปิดปาก วาจาคล้ายสอบถาม แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“เพื่อให้จวนอ๋องหนานเหอกับสกุลซูแตกกัน?”
อากาศเย็นมาก แต่บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลับหนาวเยือกยิ่งกว่าอากาศภายนอกเสียอีก
ฮูหยินใหญ่ยืนอยู่ด้านข้าง หัวคิ้วอดจะขมวดขึ้นไม่ได้
ฉู่สวินหยางมองหน้าฉู่ฉีเหยียนตรงๆ ต่อหน้าการไต่สวนของเขา นางก็ยังยิ้มได้อย่างปลอดโปร่งสบายใจ
“ในใจของซื่อจื่อกระจ่างใสดั่งกระจก รู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นใครถูกใครผิด และใครทุ่มเทไปมากน้อยเพียงใด คนที่รู้เรื่องดีทุกอย่างอย่างเจ้า ตอนนี้กลับยัดเยียดความผิดมาให้ข้าเช่นนี้นะรึ…” นางพูดไป หางตาก็เหลือบไปทางประตูที่พังราบของเรือนข้างอย่างเป็นนัย “ข้าแค่ใช้แผนการเดียวกันมาตลบหลังตอนจบก็เท่านั้น ส่วนความดีความชอบหลักๆ คงไม่กล้ายกให้ตัวเองทั้งหมดหรอก!”
ฉู่ฉีเหยียนถูกนางทำให้พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง กลางอกของเขาคล้ายมีความอึดอัดที่ไม่อาจระบายออกมาได้
“เจ้ายอมรับ?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยปากในท้ายที่สุด จะมากจะน้อยอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าเหลือเชื่ออยู่ดี
พวกคนที่เล่นลูกไม้เจ้าแผนการ ล้วนแต่มีกฎที่ไร้อารยะอยู่ข้อหนึ่ง แม้ว่าหลายครั้งที่อีกฝ่ายจะรู้แจ้งแก่ใจ แต่ถ้าดาบยังไม่จ่อถึงคอหอย ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางยอมรับ
ทว่าฉู่สวินหยางกลับยอมรับมันอย่างใจกว้างเปิดเผย!
นี่ไม่ใช่ลักษณะของนักปกครอง นิสัยเช่นนี้ของนาง เหมือนเด็กที่ถูกตามใจจนเหลิง ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!
“ก็ใช่ ข้ายอมรับ แต่มันเป็นการมอบของขวัญคืนกลับไปก็เท่านั้น” ฉู่สวินหยางเอ่ยต่อ “แล้วก็ยังมีอีกเรื่องที่ข้าต้องพูดกับเจ้าให้ชัดเจน สิ่งที่ข้าทำข้าย่อมรับผิด แต่เรื่องของฉู่หลิงซิ่วข้าไม่ได้เป็นคนทำ เรื่องของซูหลินก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า เจ้าไปตามสืบเอาก็ได้ แต่อย่ามากล่าวหากันมั่วๆ ทุกสิ่งที่ข้าทำล้วนมีเหตุผล ต่อให้เรื่องลุกลามไปถึงเบื้องหน้าพระพักตร์ข้าก็มีคำอธิบาย! ข้าไม่สนว่าเป็นจวนอ๋องหนานเหอหรือจวนอ๋องฉางซุ่น หลักการเดียวของข้าก็คือ…วังบูรพาจะต้องไม่ถูกเหยียบย่ำรังแกอย่างไร้สาเหตุ ไม่อย่างนั้น มันก็ต้องชดใช้ไม่น้อยไปกว่ากัน!”
นางลงมือกับฉู่หลิงอวิ้นจริง แต่ตาต่อตาก็ต้องเจอฟันต่อฟัน
ฉู่หลิงอวิ้นหาเรื่องใส่ตัวเอง ต่อให้เรื่องนี้ลุกลามจนไปถึงหูฮ่องเต้ ด้วยเพราะฉู่หลิงอวิ้นมีใจคิดเลวแต่เริ่ม สุดท้ายกรรมคืนสนองตัวเอง จะไปโทษใครได้เล่า!
สีหน้าของดรุณีน้อยเป็นอย่างที่เคย สงบนิ่งเหมือนสายน้ำ
ฉู่ฉีเหยียนมองดูความเปิดเผยที่แฝงความดุดันกลางหว่างคิ้วของนาง พลันรู้สึกว่าในฤดูที่หิมะร่วงโปรยเช่นนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยสีสัน
เมื่อก่อนเขารู้สึกเพียงว่าดรุณีน้อยผู้นี้โอหัง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความโอหังของสตรีก็แบ่งออกเป็นหลายแบบอย่างเช่นพวกบ้าอำนาจเอาแต่ใจอย่างฉู่หลิงอวิ้น พวกใจเหี้ยมไร้อารยะอย่างซูหว่าน พวกหยาบคายไร้สมองอย่างฉู่เยว่เหยียน หรือพวก…
โอหังและดุดันอย่างฉู่สวินหยางที่อยู่เบื้องหน้า!
ถึงจะโอหังไร้มารยาทอย่างไร ความรู้สึกที่ดรุณีน้อยทิ้งไว้กับผู้คนมีเพียงความตรงไปตรงมาและฉลาดเฉลียว แม้ว่าตอนนี้นางจะยืนอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ยวาจาประณามกันด้วยจุดยืนของศัตรู ทว่าสิ่งที่เขารู้สึกหาใช่ความเคียดแค้นที่มีต่ออริ แต่เป็นความนับถือที่มีต่อฝ่ายตรงข้าม
“ก็ดี!” ฉู่ฉีเหยียนใจลอยไปเพียงชั่วขณะ รวดเร็วเสียจนไม่มีใครได้เห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในก้นบึ้งของดวงตาเขา จากนั้นก็สูดลมหายใจลึก มือไขว้หลังแล้วยืดอกตรง เอ่ยว่า “ตามที่เจ้าต้องการ เรื่องนี้เป็นเพียงกิจภายในของข้าจวนอ๋องหนานเหอ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ!”
ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ ความผิดนี้ ข้ายอมรับไว้ แต่อย่าได้คิดจะใช้เรื่องนี้มาเป็นเครื่องมือบีบคั้น เพราะว่าหากยังยื้อยุดกันต่อไป สุดท้ายผู้ใดจะแพ้ชนะก็สุดรู้!
“เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่งแล้ว!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า นิ่งไปสักพักถึงเอ่ยต่อว่า “ซื่อจื่อยังมีภารกิจต้องสะสาง ข้าไม่ขอรบกวน ในเมื่อพวกเราสองฝ่ายต่างมีสิ่งให้คำนึงถึง เช่นนั้นเรื่องของน้องห้า ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องขุดคุ้ยแล้วกระมัง?”
แม้สิ่งที่ฉู่เยว่เหยียนทำจะไม่ได้ส่งผลกระทบจริงจังกับใคร แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายทั้งสิ้น
“แน่นอน!” ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้ารับ
“ขอตัว!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้น้อยๆ กำลังจะหมุนตัวจากไปพร้อมกับฮูหยินใหญ่ ฉู่อี้หมินพลันปรากฏตัวขึ้นที่ลานด้านนอกพร้อมกับความเดือดดาล
ฉู่สวินหยางกับฮูหยินใหญ่ย่อกายคารวะเขา สองฝ่ายต่างไร้อารมณ์จะทักทายตามมารยาท ถึงได้ปลีกตัวแยกออกไป
“ท่านพ่อ!” ฉู่ฉีเหยียนสูดลมหายใจลึกแล้วเดินขึ้นไปรับหน้า
ฉู่อี้หมินมองดูบรรยากาศตึงเครียด หัวใจพลันเย็นวาบอย่างไม่รู้สาเหตุ คล้ายว่าเบื้องหลังฉากหิมะสีขาวที่โปรยปรายกำลังมีเรื่องน่ากลัวบางอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น? ซูหลินออกจากจวนไปแล้ว…” ฉู่อี้หมินเอ่ย
ฉู่ฉีเหยียนหัวเราะขื่นทีหนึ่ง ตอบเสียงจริงจังว่า “เกิดเรื่องแล้ว!”
ฉู่อี้หมินใจกระตุกวูบ คล้ายได้ยินเสียงดังลอยมาจากเรือนข้าง จึงผลักเขาออกแล้วซอยเท้าฉับๆ เดินเข้าไป
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ห้ามเขา เรื่องนี้เดิมก็ไร้ทางจะปิดบัง จึงได้แต่เดินตามหลังไป
ทันทีที่ฉู่อี้หมินก้าวเข้าไปก็ตกใจจนฝีเท้าซวนเซ เกือบจะหงายหลังล้มตึง ร่างท้วมสมบูรณ์ชนเข้ากับวงกบประตู ดวงหน้ากลายเป็นสีตับหมูในพริบตา
คนแซ่เจิ้งเห็นเขาก็รีบเข้ามาขวางด้วยดวงหน้าไร้เลือด พลางกล่าวเสียงร้อนรนว่า “นายท่านฟังข้าพูดก่อน…”
ทั่วร่างของฉู่อี้หมินเหมือนถูกสายฟ้าฟาดเปรี้ยง ยกแขนสะบัดนางทิ้ง แต่ก็ถูกฉู่ฉีเหยียนที่ตามมาข้างหลังคว้าเอาไว้ก่อน
ฉู่ฉีเหยียนมองฉู่หลิงอวิ้นที่ขดตัวอยู่บนเตียง ฟันบดกระทบกันเกิดเป็นเสียงกรอดๆ
ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนสงบนิ่งเหมือนสายน้ำ เพียงเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคว่า “ท่านพ่อ เรื่องเกิดไปแล้ว ตอนนี้ไม่อาจชักช้า ท่านรีบเข้าวังไปรับผิดจะดีกว่า แม้จะห้ามซูหลินไม่ได้ แต่ต่อหน้าพระพักตร์ มีท่านอยู่ด้วย อย่างไรก็ดีกว่าให้พระองค์ฟังความจากเขาเพียงฝ่ายเดียว”
แน่นอนว่าซูหลินไม่อาจกล้ำกลืนความเดือดดาลนี้ลง ไม่เพียงเจ้าสาวถูกเปลี่ยนตัวในวันงาน ยังก่อเรื่องใหญ่โตถึงขนาดจับชู้ได้คาเตียง ถูกสวมหมวกใบเขียวประกายวิบวับในวันเดียวกันอีกด้วย…
นับแต่อดีตกาลมา คงจะมีเขาเป็นคนแรกกระมัง
ความอัปยศเช่นนี้ คงจะมากพอให้เขาทุ่มสุดตัวต่อสู้กับจวนอ๋องหนานเหอจนกว่าจะแหลกกันไปข้างหนึ่ง
ฉู่ฉีเหยียนรู้ชัดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา ดังนั้นจึงไม่คาดหวังว่าจะให้เขาสงบใจลงได้ ตอนนี้ขอแค่สามารถผ่อนหนักเป็นเบา ส่วนปฏิกิริยาของฮ่องเต้จะเป็นอย่างไรนั้น…
เขาก็สุดจะรู้จริงๆ
แก้มของฉู่อี้หมินกระตุกไม่หยุด สายตาที่จ้องฉู่หลิงอวิ้นเหมือนกับมองคู่อาฆาตที่ชิงชังกันมาแต่ชาติปางก่อน
ฉู่ฉีเหยียนไม่ใส่ใจ เอ่ยต่อไปอย่างสุขุมว่า “ท่านพ่อต้องจำไว้ให้ดี พี่ใหญ่ไม่ได้ทำเรื่องน่าอับอาย ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำอันโง่เขลาของฉู่หลิงซิ่วที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน พี่ใหญ่เป็นผู้บริสุทธิ์!”
หากว่าถูกบีบจนไร้หนทางเมื่อไร ฉู่หลิงอวิ้นก็ต้องถูกสละทิ้งเช่นเดียวกัน แต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้!
เวลานี้ ทันทีที่ฉู่หลิงอวิ้นถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการหลัก เรื่องราวทั้งหมดย่อมเปลี่ยนพลิก ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่ดันทุรังทำผิดต่อไป ผลักทุกอย่างไปให้ฉู่หลิงซิ่วเสีย
บุตรสาวอนุที่ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเพราะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กับบุตรสาวชายาเอกที่วางแผนอย่างรอบคอบเพื่อขัดราชโองการ…
โทษใดหนัก โทษใดเบา ไม่จำเป็นต้องพูดมากความอีก!
————————————————————————
ตอนที่ 77 (3)
หมวกเขียวสดใสบนศีรษะเจ้าบ่าว (3)
ส่วนด้านฉู่สวินหยางนั้นยิ่งไม่อาจเอ่ยถึง เด็กคนนั้นพูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ใครบังอาจทำให้วังบูรพาต้องเสื่อมเสีย นางหาได้แยแสหากต้องสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง ถ้าขุดคุ้ยต่อไปจนพบว่าฉู่หลิงอวิ้นวางแผนเล่นงานวังบูรพา มีแต่จะกระตุ้นให้ฮ่องเต้พิโรธยิ่งกว่าเก่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงเกียรติยศของจวนอ๋องหนานเหอในราชสำนักในภายภาคหน้า
เรื่องราวหนักเบาฉู่อี้หมินล้วนประเมินได้ทั้งสิ้น แม้เวลานี้อยากจะฆ่าฉู่หลิงอวิ้นให้ตายเพื่อระบายความโกรธแค้น แต่เขาก็ไม่กล้าชักช้า รีบร้อนเตรียมตัวเข้าวังทันที
“ท่านพ่อ ช้าก่อนขอรับ!” ฉู่ฉีเหยียนพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเรียกเขาไว้
จากนั้นก็สาวเท้าไปที่ข้างเตียง พลิกร่างเปลือยเปล่าของบุรุษที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาตรวจสอบทีหนึ่ง
ทันใดนั้น ดวงหน้าก็พลันเปลี่ยนสี
คนแซ่เจิ้งที่กำลังเกรี้ยวกราดรีบวิ่งเข้ามาดู แล้วก็ต้องตะลึงลานไปอีกครั้ง ชี้นิ้วใส่พลางเอ่ยเสียงเครือว่า “นี่… นี่…”
ฉู่หลิงอวิ้นสงบลงมากแล้ว แต่เพราะความจริงโหดร้ายเกินกว่าจะรับไหว นางจึงได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงด้วยสายตามืดมน
ตอนนี้เลื่อนสายตาไปมอง เดิมนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชังก็กลายเป็นความหวาดกลัวในทันใด!
จางอวิ๋นเจี่ยน!
คุณชายรองแห่งจวนติ้งเป่ยโหว จางอวิ๋นเจี่ยน!
คนที่นางพิถีพิถันเลือกเฟ้น จอมเสเพลที่เตรียมเอาไว้ให้ฉู่สวินหยาง!
แล้วทำไม…
เพราะอะไร?
หรือว่า…
หัวใจของฉู่หลิงอวิ้นสะท้านสั่น
ตกตะลึงไปอีกครั้ง!
ฉู่ฉีเหยียนเห็นท่าทางของนาง ในอกก็มีเปลวเพลิงโหมซัด พอจะคาดเดาความจริงของเรื่องราวได้บางส่วน
เขาไม่ได้ตำหนิฉู่หลิงอวิ้น เพียงหันไปเอ่ยกับฉู่อี้หมินด้วยสีหน้าที่กลัดกลุ้ม “เป็นคุณชายรองจวนติ้งเป่ยโหว เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร ก็ตามใจท่านพ่อเถิด!”
ฉู่อี้หมินในตอนนี้เดือดดาลจนเลือดลมตีกลับ แต่ให้โมโหอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงถลึงตาใส่ฉู่หลิงอวิ้นอย่างน่ากลัว จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ฉู่ฉีเหยียนดึงผ้าห่มจากเตียงมาคลุมร่างเปลือยของจางอวิ๋นเจี่ยนเอาไว้
“ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งให้ซื่อจื่อซู แค่พูดออกมาตรงๆ ก็ได้ มีข้าอยู่ มีท่านพ่ออยู่ มีเสด็จย่าของเจ้าอยู่ อย่างไรก็ต้องมีทางออก” คนแซ่เจิ้งแม้จะแค้นใจแต่หัวใจก็ทดท้อ เอ่ยไปก็ทิ้งตัวนั่งลงที่ขอบเตียง ปาดน้ำตาทิ้งด้วยความรวดร้าว “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง! ถึงได้ทำเรื่องพรรค์นี้ เจ้า… เจ้า…”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!” ฉู่หลิงอวิ้นกรีดร้องเสียงแหลมออกมา โถมตัวเข้าไปเกาะแขนของคนแซ่เจิ้ง เล็บยาวคมเกือบจะจิกเข้าเนื้อ
ดวงตาของนางมีดวงไฟลุกไหม้ คล้ายมองเห็นดวงหน้าของคนที่นางขยะแขยงผ่านความมืดสลัวภายในห้อง ทางหนึ่งก็บีบแขนคนแซ่เจิ้งอย่างแรง อีกทางก็เค้นคำลอดฟันว่า “เป็นฉู่สวินหยาง! เป็นนังเด็กนั่น เป็นนางที่วางแผนทำร้ายข้า!”
คนแซ่เจิ้งอึ้งไป งุนงงอยู่สักพัก ในใจพลันเกิดความหวังริบหรี่ ใช้สายตาเป็นประกายมองมาที่นาง หลุดปากถามด้วยน้ำเสียงแหลมสูง “เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“จะอะไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวเอง!” ที่ตอบนางกลับมา คือน้ำเสียงเยาะเย้ยแสนจะเย็นชาของฉู่ฉีเหยียน
เขามองฉู่หลิงอวิ้น ไม่มีทั้งความเห็นใจหรือกล่าวโทษ มีเพียงการเย้ยหยันที่แสดงออกชัดเจน
สายตาแปลกประหลาดเช่นนี้ มองจนฉู่หลิงอวิ้นเกิดความรู้สึกไม่เป็นสุข
“เมื่อคืนวานข้าสั่งให้คนไปสืบแล้ว แต่เพราะมีคนมากจึงไม่อาจกระโตกกระตาก ได้แต่เก็บเงียบเอาไว้ก่อน” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย ดวงตาเย็นชายังจ้องฉู่หลิงอวิ้นไม่ละหนี “เจ้าสั่งคนให้วางยาสลบฉู่เยว่หนิงในเรือนพัก คิดจะส่งนางให้แต่งกับซูหลินแทนเจ้า ต่อมาผู้อื่นไม่หลงกล เจ้าเลยกลัวว่าหากไปยุ่งกับคนของวังบูรพาเข้าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ถึงได้คิดแผนใหม่โดยการหลอกใช้ฉู่หลิงซิ่วแทน เจ้าไม่คิดจะแต่งให้ซูหลินตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่? เรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้าก็ยังดั้นด้นคิดออกมาได้ ตอนนี้ขว้างงูไม่พ้นคอ เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น!”
คนแซ่เจิ้งยังฟังไม่เข้าใจ สายตาสงสัยย้ายไปมาระหว่างบุตรสาวบุตรชายทั้งสอง
แผนการของฉู่หลิงอวิ้นถูกเปิดโปง จะมากน้อยนางก็รู้สึกร้อนรนอยู่บ้าง นางกัดริมฝีปากแล้วหลบสายตาของฉู่ฉีเหยียน เอ่ยเสียงเย็น “ข้าเป็นพี่สาวเจ้า ตอนนี้ข้าถูกคนอื่นเล่นงาน เจ้ายังมาพูดจาเยาะเย้ยข้าอีก? ฉีเหยียน คำที่เจ้าพูดออกมาทำให้ข้าเสียใจจริงๆ!” ระหว่างที่พูด ความโกรธเคืองน้อยใจก็โถมใส่จนจุกอก นางสะอื้นไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้า
คนแซ่เจิ้งหยุดคิดพักใหญ่ถึงได้เข้าใจเรื่องได้รางๆ ตบเตียงอย่างแรงแล้วลุกยืนขึ้น ตวาดเสียงดังด้วยดวงตาดุร้าย “ความหมายของเจ้าก็คือ นังเด็กจากวังบูรพาคนนั้น ลากสกุลจางเข้ามาก็เพื่อแก้แค้นเจ้า…”
พอสายตาเลื่อนไปมองจางอวิ๋นเจี่ยนที่สลบอยู่บนพื้น คนแซ่เจิ้งก็เหมือนถูกมีดกรีดเข้าตรงกลางใจ
บุตรสาวที่สูงศักดิ์และรูปโฉมงดงามเหนือใครของนาง ไฉนจึงถูกจอมเสเพลอย่างมันย่ำยีเอาเสียได้!
หากว่านางมิได้เกิดในตระกูลผู้ดี ได้รับการอบรมสั่งสอนถึงข้อห้ามและกฎเกณฑ์ต่างๆ นางคงจะทุบตีคนผู้นี้เป็นการระบายอารมณ์ไปแล้ว
ต่อหน้าฉู่ฉีเหยียน ฉู่หลิงอวิ้นก็เหมือนคนมีชนักติดหลัง ดังนั้น จึงไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ฉู่ฉีเหยียนหาได้ไว้หน้านาง เอ่ยต่ออย่างไม่อ้อมค้อม “หากไม่ใช่ว่านางไม่รู้จักประมาณตนคิดทำร้ายผู้อื่นก่อน มีหรือที่เรื่องจะมาถึงจุดนี้? เห็นชัดๆ ว่านางคิดจะใช้คนผู้นี้มาทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น แต่สุดท้ายกลับถูกผู้อื่นซ้อนแผนตลบหลัง เพราะเหตุใดซูหว่านกับฉู่เยว่เหยียนถึงได้หมดสติอยู่ที่เรือนรับรอง? เด็กรับใช้ที่เรือนนั้นมีความเป็นมาอย่างไร ท่านแม่ลองถามนางดูก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง”
ความจริงไม่จำเป็นต้องให้ฉู่หลิงอวิ้นสารภาพ ตอนนี้เขาก็พอจะคาดเดาทุกอย่างได้หมดแล้ว
คนแซ่เจิ้งยังไม่อาจทำใจเชื่อได้ลง หรือจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่านางไม่คิดแยแสเสียมากกว่า…
ฉู่หลิงอวิ้นจะไปทำร้ายใครนางไม่สนใจหรอก นางสนแค่ว่าบัดนี้บุตรสาวสุดที่รักของนางถูกคนเหยียบย่ำ ทั้งยังทิ้งปัญหาไว้เป็นกองให้คอยสะสาง
คนที่คิดร้ายกับบุตรสาวของนางต่างหากคือคนที่สมควรตายมากที่สุด!
ฉู่ฉีเหยียนรู้จักนิสัยของมารดาตนดี พอเลือดขึ้นหน้าก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น เขาจึงไม่คิดจะกล่อมนาง เพียงยกเท้าถีบจางอวิ๋นเจี่ยนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น เอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหาคนผิด คนในจวนคงไม่กล้าปากมาก แต่คนแซ่จางไม่ใช่สกุลชาวบ้านสามัญ ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องแก้ไขกันไป ท่านแม่รีบถือป้ายเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าเสด็จย่าเถอะ”
เขาพูดไป ก็อดจะเอ่ยคำออกมาด้วยความอึดอัดไม่ได้ “งานมงคลของพี่ใหญ่ ก็กำหนดไปเลยแล้วกัน!”
“ว่าไงนะ?” คนแซ่เจิ้งแม่ลูกมีปฏิกิริยาเหมือนกัน ร้องเสียงหลงอย่างพร้อมเพรียง
ฉู่หลิงอวิ้นที่ถูกเขาต่อว่าอยู่ครึ่งวันแต่ก็อดทนไม่สวนกลับ บัดกลับกระโดดลงมาจากเตียงอย่างอดรนทนไม่ไหว ชี้นิ้วใส่จางอวิ๋นเจี่ยนที่อยู่บนพื้นเหมือนกำลังฟังเรื่องตลกขำขัน “ฉู่ฉีเหยียน เจ้าบ้าไปแล้วใช่ไหม พูดจาเหลวไหลอะไร? ให้ข้าแต่งให้มัน? มันนับเป็นตัวอะไร? มัน…”
“หรือว่าพี่ใหญ่อยากถูกส่งไปบำเพ็ญตนที่วัดหลวง?” ฉู่ฉีเหยียนย้อนเสียงเย็น เอ่ยแทรกคำของนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ต่อให้เสด็จย่ารักเจ้าเพียงใด แต่เรื่องที่ทำให้ราชวงศ์ต้องด่างพร้อม พระนางคงจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่ หากจะจบเรื่องนี้ มีเพียงสองทาง จะเป็นทางไหนบ้าง ข้ายังต้องบอกเจ้าอยู่อีกไหม?”
แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกปิดให้รู้กันแค่ในจวน แต่ก็มีคนนอกอีกสองคนที่รู้เรื่อง วิเคราะห์จากสถานการณ์ตอนนี้ ฉู่สวินหยางคงปิดปากเงียบแน่ แต่ไม่ใช่กับซูหลิน แม้เขาจะไม่ป่าวประกาศออกไปเพราะกลัวตัวเองเสียหน้า แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ก็ต้องเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดออกมาอยู่ดี
ถึงตอนนั้น…
สิ่งที่ฉู่หลิงอวิ้นจะต้องเจอ ก็คือความพิโรธของฮ่องเต้
จุดนี้ ฉู่หลิงอวิ้นมีหรือจะไม่เข้าใจ?
เดิมนางยังคิดจะต่อปากเถียง ได้ฟังเช่นนี้แล้วก็ถอยหลังซวนเซไปหลายก้าว ดวงหน้าขาวเผือด แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง เตียงไม้ที่อายุเก่าแก่ร้องลั่นเป็นเสียงเอี้ยดอ้าด
บรรยากาศในห้องเงียบเสียจนกลายเป็นความเย็นเยียบแข็งทื่อ
คนแซ่เจิ้งก็ไม่ปริปาก…
นางตัดใจให้บุตรสาวแต่งออกไปกับจอมเสเพลเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ
ฉู่ฉีเหยียนเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของสองแม่ลูก ก็นึกรำคาญอยู่ในใจ กำลังจะพูดต่อให้จบ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังลอยมา เป็นหลี่หลินที่มายืนรออยู่หน้าประตู “ซื่อจื่อ ข้าน้อยมีเรื่องรายงานขอรับ!”
ฉู่ฉีเหยียนมองสถานการณ์ในห้อง แล้วเดินออกไปอย่างไม่ลังเล ยืนอยู่ข้างประตูเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน
หลี่หลินสีหน้าอ่อนล้า บนร่างยังมีบาดแผลอีกสองแห่ง แม้ว่าจะไม่หนักหนา แต่ก็ทำให้คิ้วของฉู่ฉีเหยียนขมวดมุ่นได้
“ฝีมือใคร?” ฉู่ฉีเหยียนถาม
เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่หลี่หลินเจอนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม คนที่ถ่วงเวลาเขาได้ทั้งคืน ซ้ำยังทำร้ายเขาได้ มีอยู่ไม่กี่คน
————————————————————————
ตอนที่ 77 (4)
หมวกเขียวสดใสบนศีรษะเจ้าบ่าว (4)
“ข้าน้อยทำพลาด!” หลี่หลินตอบ คุกเข่าลงในทันที “คืนวานข้าน้อยคุ้มครองขบวนเจ้าสาวตามคำสั่ง ต่อมาได้ยินเสียงมาจากตรอกหลังจวนสกุลซู ตอนที่จะเข้าไปตรวจสอบก็ถูกคนชุดดำลึกลับขวางเอาไว้ พวกมันตามข้าไปทั่วเมือง สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด”
หลี่หลินเอ่ยไป พลางยิ้มหยันตัวเอง จากนั้นก็ยกมือขึ้น ลูกน้องของเขาที่ด้านนอกจึงผลักคนชุดดำสามคนเข้ามา
ฉู่ฉีเหยียนนึกว่าเขาจับตัวนักฆ่ามาได้ แต่พอเห็นหน้าคนทั้งสามชัดๆ ก็ต้องยิ้มหยัดให้ตัวเองไม่ต่างจากหลี่หลิน
ฉู่หลิงอวิ้นกับคนแซ่เจิ้งก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงตามออกมา แล้วมองคนทั้งสามด้วยสีหน้าที่ต่างกันออกไป
“ข้าเจอสามคนนี้ที่ตรอกหลังจวนสกุลซูเมื่อเช้า หลังจากที่สะบัดพวกนักฆ่าหลุดแล้ว” หลี่หลินตอบ ไม่ยึกยักมากท่า
ฉู่หลิงอวิ้นจิกเจ็บใส่วงกบประตู ก่อนจะปิดตาลงเอ่ยอย่างแค้นใจ
“ข้าสั่งให้พวกมันพาฉู่หลิงซิ่วมาเปลี่ยนตัวกับข้า ตอนที่ออกมาจากจวนสกุลซูก็เจอกับฉู่สวินหยางพอดี!”
ความจริงแล้วมีเหยียนหลิงจวินอีกคน แต่ก็น่าแปลก จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่อยากยอมรับ ทั้งยิ่งไม่อยากเปิดโปงเรื่องของเขาให้คนอื่นรู้
ในที่สุดฉู่หลิงอวิ้นก็สารภาพออกมา ร่างของคนแซ่เจิ้งโอนเอน ก่อนจะทรุดลงไปอย่างฝืนตัวไม่ไหว
“พระชายา!”
“ท่านแม่!”
ป้ากู้กับฉู่หลิงอวิ้นร้องออกมาพร้อมกัน รีบประคองนางเข้าไปในห้องด้วยมือเท้าที่สับสน
ฉู่ฉีเหยียนไม่ขยับ สายตาเหี้ยมเกรียมกวาดไปทางคนชุดดำทั้งสามทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยกับหลี่หลินว่า “รู้ใช่ไหมต้องทำอย่างไร?”
สามคนนี้ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในแผนของฉู่หลิงอวิ้น ไม่อาจไว้ชีวิต!
“ขอรับ!” หลี่หลินพยักหน้า
คนทั้งสามเพิ่งจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไม่ทันร้องขอความเมตตาก็ถูกหลี่หลินปิดปากลากตัวออกไปแล้ว
ภายในห้อง ป้ากู้กดเข้าที่บริเวณร่องใต้จมูกจนคนแซ่เจิ้งค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ดวงหน้าเศร้าสร้อย ทั้งตัวพิงอยู่กับโต๊ะข้างอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฉู่ฉีเหยียนไม่อาจสนใจแต่นาง เดินเข้าไปถามฉู่หลิงอวิ้นว่า “นอกจากสามคนนี้ ยังมีใครร่วมแผนของเจ้าอีก?”
ฉู่หลิงอวิ้นไม่ใช่คนโง่ หากคิดจะดำเนินเรื่องตามแผนเดิมที่นางวางเอาไว้ ก็จำเป็นต้องปิดปากผู้ที่รู้เห็นทั้งหมด
นี่ไม่ใช่เวลาที่นางจะมาทำตัวอ่อนไหว นางรีบไตร่ตรองแล้วตอบว่า “จื่อเหวยกับจื่อซื่อไม่เป็นไรหรอก นอกนั้นตอนกลางวันก็มีป้าอีกคนหนึ่ง ที่มาเจอจื่อเหวยตอนปลอมตัวเป็นฉู่หลิงซิ่วเพื่อหนีออกจากห้องพอดี ตัวคนนั้นข้าฆ่าไปแล้ว!”
หากพูดถึงเรื่องความรอบคอบและโหดเหี้ยม ฉู่หลิงอวิ้นนับว่าเป็นที่หนึ่งได้ไม่ยาก
ฉู่ฉีเหยียนได้ฟังก็เริ่มสงบใจในที่สุด หันไปเอ่ยกับคนแซ่เจิ้ง
“ท่านแม่ เรื่องราวไม่อาจชักช้า พวกเราเป็นฝ่ายผิด ท่านพ่อขวางซูหลินไว้ไม่อยู่แน่ ก่อนที่ฝ่าบาทจะสั่งลงโทษ ท่านต้องรีบไปกล่อมเสด็จย่าให้หาทางช่วยพี่ใหญ่!”
ในสมองของคนแซ่เจิ้งสับสนไปหมด ฝืนรวบรวมสติแล้วยืนขึ้น ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา
“ได้ ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้!”
“ท่านแ…” ฉู่หลิงอวิ้นร้อนใจ คิดจะเข้าไปขวาง แต่ฉู่ฉีเหยียนส่ายหน้าให้นางเป็นการปรามเอาไว้
นางลังเลสักพัก ก่อนจะตัดสินใจยอมแพ้
พอคนแซ่เจิ้งจากไป ฉู่ฉีเหยียนก็เรียกหลี่หลินเข้ามา สั่งว่า “แบกเขามาด้วย แล้วตามข้าไปที่จวนติ้งเป่ยโหว!”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” หลี่หลินผงกศีรษะ ไม่ถามมากความก็รีบลงมือใส่เสื้อผ้าให้จางอวิ๋นเจี่ยน ล้วงยาจินชางออกมาจัดการบาดแผลให้เขาอย่างลวกๆ จากนั้นก็แบกคนแล้วเดินตามฉู่ฉีเหยียนออกประตูไป
รอจนฉู่ฉีเหยียนเดินไปไกลแล้ว จื่อเหวยกับจื่อซวี่ที่แอบดูอยู่ไกลๆ ถึงได้ผ่านเข้าประตูมาอย่างเงียบเชียบ คุกเข่าลงตรงหน้าฉู่หลิงอวิ้น เรียกเสียงเบา “ท่านหญิง!”
เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ฉู่หลิงอวิ้นย่อมอับอายจนโกรธแค้น สาวใช้ทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในอก เตรียมใจมาพร้อมเพื่อให้นางใช้ตนเป็นที่ระบายอารมณ์
สายตาของฉู่หลิงอวิ้นกวาดผ่านร่างของคนทั้งสอง แล้วก็นิ่งไป
สาวใช้ทั้งสองตัวสั่นงันงก คาดไม่ถึงว่าวินาทีต่อมานางจะผละสายตาหนี นิ้วชี้ไปที่ห้องอย่างชิงชัง “ไปเอาน้ำมันมา ข้าจะเผาห้องนี้เสียให้มอด”
สถานที่อัปรีย์เช่นนี้ เก็บซ่อนความทรงจำที่อุบาทว์และต่ำช้าที่สุดในชีวิตของนาง แม้นางจะจำอะไรได้ไม่มาก แต่พอนึกถึงภาพตอนที่ตนฟื้นขึ้นมา ในท้องก็เหมือนมีคลื่นโหมม้วนจนอยากจะอาเจียน
“เจ้าค่ะ!” ทั้งคู่รับคำ รีบไปจัดการตามที่นางสั่งอย่างไม่รอช้า
สองคนนำน้ำมันกลับมา ฉู่หลิงอวิ้นรับมาไว้หนึ่งถัง สาดมันทั้งด้านนอกด้านในจนเปียกชุ่ม นายบ่าวทั้งสามช่วยกันทำงาน สุดท้ายก็ออกมายืนดูเปลวเพลิงสูงเทียมฟ้าที่ลานหิมะด้านนอก นัยน์ตาของฉู่หลิงอวิ้นยังมีเปลวเพลิงที่ร้อนแรงยิ่งกว่าลุกโชติ บางครั้ง ก็ถูกบดบังด้วยประกายแห่งน้ำตา!
ทั้งๆ ที่แผนของนางเหมือนกับอาภรณ์ฟ้าไร้ตะเข็บ แล้วทำไม? ทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้?
ในที่สุดนางก็ไม่ต้องแต่งให้กับซูหลินตามที่หวัง แต่บัดนี้กลับต้องถูกยัดเยียดให้คนที่เทียบกับซูหลินไม่ได้สักกระผีกอย่างจางอวิ๋นเจี่ยน?
ถือสิทธิ์อะไร? เพราะเหตุใดเล่า?
ฉู่สวินหยาง!
ทั้งหมดเป็นเพราะนังเด็กสารเลวคนนั้น!
ภาพในสมองเลือนราง คล้ายเห็นสายตาที่ทั้งอบอุ่นและเฝ้าเอาใจของบุรุษผู้งามเป็นเลิศอยู่กลางตรอกถนนให้แสงจันทรา เงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองไปทางร่างเงาร่างหนึ่ง ใช้เสียงทุ้มต่ำออกคำสั่งว่า ‘ลงมา!’
ฉู่สวินหยางไม่เพียงทำลายนางย่อยยับ ทั้งได้ครอบครองสิ่งที่นางปรารถนามากที่สุดในชีวิต
หากย้อนไปก่อนหน้านี้ ทุกๆ วันนางยังสามารถเฝ้าฝันและวาดหวังที่จะมีอนาคตร่วมกับเขาได้ แต่ว่าตอนนี้…
ไม่ใช่เพราะเรือนร่างของนางที่ถูกย่ำยี แต่เพราะวาจาเย็นชาไร้ไมตรีของเขาตอนเมื่อคืนวาน
ศัตรู!
เขาประกาศจุดยืนของตนอย่างมั่นใจ ไม่เหลือแม้แต่ความลังเลหรือโอกาสใดๆ ไว้ให้นางสักนิด
แม้นางจะไม่อยากยอมรับ แต่ความจริง…
จุดจบน่าเวทนาที่นางต้องเป็นอยู่ตอนนี้ ส่วนหนึ่งก็คงมาจากฝีมือของเขาด้วยกระมัง?
นอกจากเขา ใครจะมือดีถึงขนาดมียาวิเศษ ที่สามารถควบคุมให้ยาในร่างของนางกำเริบได้ในเวลาที่เหมาะเจาะ? ความจริงตอนที่จางอวิ๋นเจี่ยนทรมานร่างกายของนาง สติของนางช่างล่องลอยและเลือนรางนัก แต่พอพวกซูหลินบุกเข้ามาอยู่ตรงหน้า กลับตื่นเต็มตาอย่างพอดิบพอดี ทำให้ทุกคนเข้าใจว่านางทำอะไรๆ ลงไปด้วยสัมปชัญญะที่ครบพร้อม ต่อให้มีร้อยปากก็ไม่อาจจะอธิบาย!
วินาทีนี้ หัวใจของนางเยือกแข็งยิ่งกว่าหิมะบนพื้นและโทสะที่แผดเผาในหัวใจก็รุนแรงยิ่งกว่าเปลวเพลิงเบื้องหน้าเสียอีก
ฉู่สวินหยาง เจ้าคอยก่อนเถอะ! คิดอยากจะควบคุมชะตาของคนอย่างข้าฉู่หลิงอวิ้น? เจ้ายังไม่เก่งกาจถึงเพียงนั้น!
สักวันหนึ่ง ข้าจะให้เจ้าได้ชดใช้มากกว่าเป็นร้อยพันเท่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าเคยทำกับข้า
ท่ามกลางหิมะและเปลวเพลิงที่ลุกโหมเชื่อมแผ่นดินและแผ่นฟ้า นางบอกกับตัวเองอย่างชัดเจนทุกๆ คำ
ทางด้านฉู่สวินหยาง ตั้งแต่ออกจากจวนมา ฮูหยินใหญ่ก็เดินเงียบมาตลอดทางราวกับมีเรื่องในใจ ไม่อาจรู้ได้ว่านางคิดอะไรอยู่
ฉู่สวินหยางมองอารมณ์บนหน้านาง แต่ไม่ได้ปริปากถาม จนกระทั่งปีนขึ้นรถม้าไปแล้วถึงได้เปิดปากก่อนว่า “ฮูหยินใหญ่ คำพูดเมื่อครู่ของซื่อจื่ออ๋องหนานเหอเจ้าก็ได้ยินแล้ว ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดมาก!”
ฮูหยินใหญ่ได้สติคืนมา เงยหน้าขึ้นมองนาง สีหน้ายังคงสุภาพและอ่อนโยน แต่ก็เห็นถึงความกังวลหลายส่วน “ข้าเข้าใจ ชื่อเสียงของจวนอ๋องหนานเหอ ไม่ต้องให้เราทำลายก็เสียหายย่ำแย่พอแล้ว เรื่องเมื่อครู่ ข้าจะปิดปาก
ให้สนิท”
มีซูหลินอยู่ทั้งคน ใครก็ไม่จำเป็นต้องรับหน้าที่เป็นผู้ร้ายเพิ่มอีก
ฮูหยินใหญ่เป็นคนฉลาด ทุ่นแรงของฉู่สวินหยางไปไม่น้อยเลย
ฉู่สวินหยางหัวเราะเบาๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
นางยอมให้ฮูหยินใหญ่อยู่รอดูเรื่องสนุกด้วยกัน ก็เพราะนางมีจุดประสงค์บางอย่าง…
ฮูหยินใหญ่รักบุตรสาวเท่าชีวิต โอมอุ้มฉู่เยว่หนิงราวกับไข่มุกกลางฝ่ามือ ตอนนี้ฉู่หลิงอวิ้นคิดจะทำร้ายฉู่เยว่หนิง สุดท้ายแม้คนจะเสียขวัญแต่ก็รอดปลอดภัยดี ทว่าในใจของฮูหยินใหญ่ย่อมจะเคียดแค้น เพื่อให้นางได้สลายความเกลียดชังในหัวใจ เลิกคิดจะเคลื่อนไหวเอาคืนลับหลัง ฉู่สวินหยางจึงต้องให้นางได้มาเห็นจุดจบของฉู่หลิงอวิ้น
สองคนพูดคุยกันไปตลอดทาง ส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องไร้สาระไม่สลักสำคัญอะไร
รถม้ามาถึงวังบูรพา สองคนแยกจากกันที่หน้าประตู
ฉู่สวินหยางพาชิงหลัวเดินลดเลี้ยวไปมา มุ่งหน้าไปที่เรือนจิ่นฮว่า ส่วนฮูหยินใหญ่กลับยืนนิ่งอยู่ที่ประตูท่ามกลางหิมะ มองตามแผ่นหลังที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ของนางอยู่เป็นนาน
หรูโม่กลัวว่านางจะโดนไอเย็นเล่นงาน จึงกุมมือของนางเอาไว้ “ฮูหยิน ท่านมองอะไรหรือเจ้าคะ?”
ความคิดของฮูหยินใหญ่ถูกตัดตอน เก็บสายตาจากที่ไกลๆ หันมามองนางทีหนึ่ง แต่กลับเปลี่ยนเรื่องไปอีกทาง นางว่า “ท่านจ่างซุนนั้น จบสิ้นแล้ว!”
ตอนที่ 78 (1)
ผลลัพธ์มหัศจรรย์ของประตูไม้ (1)
ฉู่อี้หมินรีบรุดเข้าวัง เทียบจากเวลาแล้วก็เกือบจะถึงพร้อมซูหลิน
คนหนึ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนหนึ่งร้อนใจเหมือนถูกเพลิงแผดเผา
วังหลังเป็นเขตต้องห้าม หากฮองเฮาไม่ได้เรียกตัวก็ไม่อาจบุ่มบ่ามเข้ามาเองได้ สองคนต่างใช้วิธีเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย แฝงตัวอยู่ในกลุ่มขุนนางที่จะเข้าประชุมเช้า ผ่านประตูเต๋อเซิ่งเข้ามา แล้วดักรอขบวนเสด็จของฮ่องเต้ที่เคลื่อนมาจากตำหนักใน
ฉู่อี้หมินมาช้าไปก้าวหนึ่ง เห็นแต่ไกลๆ ว่าซูหลินทิ้งเข่าตึงขวางทางเกี้ยวเสด็จของฮ่องเต้เอาไว้ แล้วประกาศเสียงก้องด้วยความคั่งแค้น “หม่อมฉันมาขอให้ฝ่าบาททรงเป็นพยาน!”
ฉู้อี้หมินร้อนใจดั่งไฟเผา หัวใจเต้นตุบๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าปรี่เข้าไปหา
ฮ่องเต้พระชนมายุมากแล้ว ทั้งเกิดในครอบครัวทหาร โรคเก่าที่เหลือทิ้งไว้จากการลงสนามรบเมื่อตอนยังหนุ่มก็เริ่มกำเริบบ่อยขึ้นทุกที ร่างกายมีแต่ความเจ็บปวดรุมเร้า โดยเฉพาะในหน้าหนาวก็มักจะมีสติไม่ค่อยครบถ้วนนัก
เกี้ยวเสด็จหยุดลงแล้ว แต่พระองค์ก็ยังไม่รู้สึกตัว
ดีที่หลี่รุ่ยเสียงตาไวรีบก้าวขึ้นไปกราบทูลด้วยเสียงเบานุ่ม “ฝ่าบาท ซื่อจื่ออ๋องฉางซุ่นกับท่านอ๋องหนานเหอมาขอเข้าเฝ้า บอกว่ามีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
เริ่มที่ฉู่หลิงอวิ้นขัดราชโองการ ตอนนี้ยังก่อเรื่องทำให้ราชวงศ์ต้องด่างพร้อย หัวใจของฉู่อี้หมินไม่อาจสงบสุข ถึงได้คุกเข่าก้มหน้างุด แต่ก็อดจะใช้หางตาเหล่มองไปทางเกี้ยวเสด็จเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของฮ่องเต้บ่อยๆ ไม่ได้
ซูหลินเหลือบตามามอง มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มดูแคลน ร้องเหอะใส่หนึ่งที
ทางด้านเกี้ยวเสด็จ ก็ต้องรอพักใหญ่ถึงค่อยได้ยินเสียง “อืม” ตอบกลับมาจากฮ่องเต้
“ฝ่าบาท ซื่อจื่ออ๋องฉางซุ่นกับท่านอ๋องหนานเหอมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงทวนประโยคเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง
ซูหลินกับฉู่หลิงอวิ้นเป็นคู่ที่ฮ่องเต้พระทานราชสมรสให้ ตามหลังแล้วเช้านี้ซูหลินควรจะพาชายาเข้าวังมาเพื่อโขกศีรษะแสดงความซาบซึ้ง เวลานี้กลับพาท่านพ่อตามาแทน
ไม่ต้องเดาก็พอรู้ คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
สองคนคุกเข่าขวางกลางขบวนเสด็จอย่างกระอักกระอ่วน เพราะถนนสายนี้ฮ่องเต้จะต้องผ่านมาทุกวัน ดังนั้นหิมะที่ทับถมจึงมีคนคอยเก็บกวาดอยู่เสมอ แต่พื้นกระเบื้องก็ยังเย็นเฉียบเพราะถูกหิมะแช่แข็งไว้ทั้งคืน คนทั้งสองล้วนมีร่างกายสูงส่งด้วยว่าเสพสุขจนเคยชิน คุกเข่าไปได้พักเดียวก็รู้สึกว่าสองขาชาหนึบ ทั้งหนาวทั้งเจ็บไปหมด
ม่านหนาสีเหลืองทองเคลื่อนลงมาบดบังสายตาของธารกำนัล บนรถม้า ฮ่องเต้หาได้ตรัสคำใด ผ่านไปครึ่งวันถึงได้ไอออกมาเสียงหนึ่ง ตรัสว่า “กลับห้องทรงอักษร!”
หลี่รุ่ยเสียงเป็นคนเฉลียวฉลาด รู้ในทันทีว่าการประชุมเช้าจะต้องเลื่อนออกไป จึงเรียกขันทีคู่ใจให้ไปรายงานที่ตำหนักจินเตี้ยน ส่วนตนก็กลับไปที่ห้องหนังสือพร้อมกับขบวนเสด็จ
เกี้ยวเสด็จของฮ่องเต้นำอยู่เบื้องหน้า ซูหลินกับฉู่อี้หมินเดินตามอยู่เบื้องหลัง ระหว่างกลางถูกเว้นว่างอย่างห่างเหิน คล้ายว่าไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีก
รอจนเกี้ยวถูกวางนิ่งบนพื้น หลี่รุ่ยเสียงก็สั่งให้ขันทีประคองฮ่องเต้เข้าไปด้านใน ส่วนเขาก็หมุนตัวกลับ ส่งสายตาเป็นคำถามไปให้ขันทีข้างกายอีกคน
ขันทีน้อยผู้นี้มองดูแล้วอายุแค่เพียงสิบสามสิบสี่เท่านั้น หน้าตาอ่อนเยาว์ ปากแดงฟันขาว เกิดมาได้หน้าตาน่ามอง ดวงตาทั้งสองสดใสเป็นประกาย เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามากระซิบข้างหู เล่าเรื่องคืนวานที่เกิดขึ้นในจวนอ๋องหนานเหอให้เขาฟัง
หลี่รุ่ยเสียงฟังไป สีหน้ายังสุขุมราบเรียบตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นก็โบกมือให้ขันทีน้อยล่าถอยไป ก่อนจะตามเข้าไปด้านในห้องทรงอักษร
ฮ่องเต้ประทับอยู่หลังโต๊ะ ด้านนอกมีขันทีกำลังยกถาดน้ำชาเข้ามาอย่างไวว่อง
หลี่รุ่ยเสียงรับมา แล้วยกขึ้นถวายด้วยตนเอง
“ฝ่าบาท…” ซูหลินที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างเปิดปากขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
ฮ่องเต้จิบชาแล้วก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะตวัดสายตามอง
ฮ่องเต้ในพระชนมายุเท่านี้ มองออกชัดเจนถึงความชราภาพ ทว่าสายตากลับไม่ขุ่นมัวเลยสักนิด ยังคงเฉียบแหลมคมกริบ
ซูหลินพลันสะอึกในลำคอ เสียงขาดหายทันใด ตอนที่สมองกำลังขบคิดหาถ้อยคำมาเริ่มประโยค ก็ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบแฝงความนุ่มนวลของหลี่รุ่ยเสียงดังขึ้น บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานไปรอบหนึ่ง
เรื่องที่เขาเล่า ก็แค่บทละครที่ฉู่หลิงอวิ้นใช้เพื่อตบตาผู้คน
แม้จะเพียงเท่านั้น ก็มากพอให้จวนอ๋องหนานเหอได้รับโทษฐานทรยศราชวงศ์แล้ว
แต่ฮ่องเต้ก็ฟังไปอย่างเงียบเชียบ หาได้แสดงท่าทีประหลาดใจ
ซูหลินกับฉู่อี้หมินก็เงียบปากเช่นกัน ทว่าใบหน้ากลับเปลี่ยนสีไปมาอย่างไม่อาจควบคุม…
ฮ่องเต้หาได้ขุ่นหมองพระทัยเมื่อฟังเรื่องที่หลี่รุ่ยเสียงเล่าจนจบ นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือพระองค์จะทรงวางคนให้จับตาดูพวกเขาสองสกุลเอาไว้ คอยรายงายความเคลื่อนไหวทุกอย่างให้วังหลวงทราบอยู่ตลอดเวลา?
ประเด็นสำคัญคือ…
หลี่รุ่ยเสียงที่เป็นเพียงแค่หัวหน้าขันที กลับแทรกตัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของข่าวสำคัญเช่นนี้เสียได้!
สองคนได้แต่งงงันไม่พูดจา เวลานั้นได้ลืมไปเสียสนิทแล้วว่าตนเข้าวังมาด้วยจุดประสงค์ใด
ฮ่องเต้ฟังหลี่รุ่ยเสียงรายงานจนจบ ถึงได้เงยพระพักตร์ขึ้นมองสองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร? อยากให้ข้าถอนราชโองการ? ทำเหมือนว่าเป็นละครตลกฉากหนึ่งไหม?”
“หม่อมฉันสั่งสอนบุตรสาวไม่ดี ถึงได้ก่อเรื่องใหญ่โต ทำให้ราชวงศ์ต้องมัวหมอง ขอเสด็จพ่อลงโทษด้วย!” ฉู่อี้หมินรีบเอ่ยเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
“ท่านอ๋อง เรื่องนี้มิใช่ว่ารับโทษทัณฑ์แล้วจะจบ สิ่งที่ต้องรีบทำเสียตอนนี้คือสืบสาวราวเรื่องให้กระจ่าง” ซูหลินกล่าว สายตาเย็นชาจ้องไปที่เขา “ท่านหญิงรองเป็นเพียงผู้หญิงยิงเรือ ท่านอ๋องคิดว่าอาศัยกำลังนางเพียงคนเดียว จะจัดฉากตบตาทุกคนได้ถึงเพียงนี้รึ?”
หากว่าไม่มีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นต่อจากนั้น เขาอาจจะทำใจเชื่อได้ ทว่าตอนนี้…
เขาเชื่อสุดหัวใจว่าต้องเป็นฉู่หลิงอวิ้นที่ไม่อยากแต่งงาน จึงร่วมมือกับจวนอ๋องหนานเหอทั้งหมดแสดงละครฉากนี้ หลอกล่อเขาเหมือนกับเป็นลิงในละครสัตว์ตัวหนึ่ง
“หรือเจ้าสงสัยว่าข้าเป็นคนยุยงอยู่เบื้องหลัง?” ฉู่อี้หมินโมโหจนหน้าแดงก่ำ ตวาดเสียงกร้าว “ซื่อจื่อ หลิงซิ่วนางยังเด็ก จริงอยู่ที่ข้าอบรมนางไม่ดี เจ้าอยากจะกล่าวประณาม ข้าก็จะเป็นคนรับเอาไว้ แต่อย่าได้ใช้วิธีกล่าวหาใส่ความกันเลย”
“กล่าวหาใส่ความ?” ซูหลินแค่นหัวเราะ ไม่คิดไว้หน้าเขา “ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรส พวกเจ้าจวนอ๋องหนานเหอกลับกล้าเปลี่ยนคนซึ่งๆ หน้า ไม่ใช่ว่าข้าอยากสงสัย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็น่าสงสัยด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว พูดก็พูดเถอะ หากจวนอ๋องหนานเหอไม่ต้องการเกี่ยวดองกัน บอกกับซื่อจื่อข้ามาตรงๆ แต่แรกก็ได้ ทำอย่างกับว่าสกุลซูของข้าอยากจะจับพวกเจ้าจนตัวสั่น”
การเกี่ยวดองกับสกุลซูเป็นความต้องการของฉู่อี้หมิน จนปัญญาที่ฉู่หลิงอวิ้นไม่ยอมให้ความร่วมมือ ครานี้เขาจึงน้ำท่วมปาก ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น แล้วร้องขอให้ฮ่องเต้ลงทัณฑ์ต่อไป
ฮ่องเต้ปล่อยให้คนทั้งสองทะเลาะกันไปไม่ห้ามปราม จิบน้ำชาอีกครั้งก่อนจะตรัสอย่างช้าๆ ว่า
“เช่นนั้นตามความคิดของขุนนางซู เรื่องนี้จะแก้ไขอย่างไร?”
ตอนนั้นหัวใจของซูหลินมันอึดอัดจนแทบระเบิดออกมา เขาเงยหน้าขึ้น ‘ถอนหมั้น’ สองคำเกือบจะหลุดออกจากปาก แต่พลันเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของฮ่องเต้เข้าเสียก่อน
เขาไม่ได้เข้าเฝ้าเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับอารมณ์ของฮ่องเต้ชราผู้นี้จึงพอรู้อยู่บ้าง แม้ตอนนี้พระองค์จะแสดงออกว่าสงบเย็นเยือก แต่เบื้องหลังความสุขุมย่อมเป็นความพิโรธดั่งอสนีบาต
อย่างไรฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นถึงราชนิกุลหญิง!
ลมหายใจของซูหลินกระตุกวูบ รีบแก้ประโยคของตนทันควัน “หม่อมฉันมิบังอาจ ทุกอย่างล้วนตามแต่น้ำพระทัย”
ฮ่องเต้ได้ฟังคำนี้ ถึงได้ยกมุมปากขึ้นคล้ายจะยิ้ม…
หากว่ามิบังอาจจริงตามที่พูด เขาคงไม่กล้ากระโดดขวางทางเกี้ยวของพระองค์โดยไม่สะทกสะท้าน
ผู้สืบทอดของสกุลซู ออกจะกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้วจริงๆ
“ซูหลิน งานแต่งนี้ เป็นเจ้าที่ร้องขอกับข้าต่อหน้าขุนนางเต็มท้องพระโรง” ฮ่องเต้ตรัส น้ำเสียงฟังแล้วเนิบนาบ แต่แฝงความบีบบังคับที่ไม่อาจปฏิเสธ แต่แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน “ดังนั้นตอนนี้ เจ้าคิดจะตระบัดสัตย์? แล้วยังจะให้ข้ามาตามเช็ดล้างใช่ไหม?”
ซูหลินอึ้งไป พลันนึกขอบคุณบุรุษชุดดำที่เข้ามาขวางทางเขาไว้เมื่อคืน จนไม่อาจส่งฉู่หลิงซิ่วคืนจวนอ๋องหนานเหออย่างที่ตั้งใจไว้
แม้เขาจะไม่เห็นจวนอ๋องหนานเหออยู่ในสายตา ทว่าฮ่องเต้ทางนั้นมิอาจกระทำการลบหลู่
หากว่าเขาตัดสินใจส่งฉู่หลิงซิ่วกลับจวนอ๋องหนานเหอแล้วค่อยมากราบทูลตามหลัง นั่นเท่ากับเป็นการตบพระพักตร์ของฮ่องเต้ต่อหน้าธารกำนัล ผู้ที่ขัดราชโองการจะไม่ได้มีเพียงจวนอ๋องหนานเหอ และจะหมายรวมถึงสกุลซูอีกด้วย
“กระหม่อมมิบังอาจ!” ซูหลินก้มศีรษะติดพื้น เป็นครั้งแรกหลังเกิดเรื่องที่รู้สึกขลาดกลัวจนเหงื่อแตก รีบเอ่ยว่า “หม่อมฉันมิกล้ากระทำการอันไม่ภักดี ไม่เช่นนั้นคงไม่รั้งท่านหญิงรองไว้ในจวน คืนวานที่บุกไปถึงจวนอ๋องหนานเหอเป็นเพราะไม่ทันคิดให้รอบคอบ หาใช่เจตนาจะเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่าบาท ขอฝ่าบาทเมตตา ปล่อยหม่อมฉันไปสักครั้ง”
ฮ่องเต้ได้ฟังวาจางดงามของเขาก็ไม่ได้เอ่ยปาก พลิกหน้าหันไปมองฉู่อี้หมิน “เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม บุตรเขยของเจ้าหาใช่คนจิตใจคับแคบ ในเมื่อแบกเกี้ยวไปผิดคน งั้นก็สลับตัวเสียใหม่ เรื่องแค่นี้ ยังต้องวิ่งโร่มากวนใจข้าด้วยรึ!”
ในเมื่อฮ่องเต้ตรัสว่าแบกเกี้ยวไปผิดคน เช่นนั้นก็ถือเป็นเรื่องเข้าใจผิด จะไม่มีใครกล้าสงสัยเคลือบแคลงอีก
ฮ่องเต้เอ่ยจบก็วางถ้วยชาในมือแล้วลุกยืนขึ้น
ซูหลินเห็นดังนั้นก็ร้อนใจ รีบยกศีรษะขึ้น เอ่ยว่า “ฝ่าบาท สลับไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“หืม?” ฝีเท้าของฮ่องเต้ชะงักกึก แล้วส่งสายตาอึมครึมไปทางเขา
เหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาตามหน้าผากของซูหลิน แต่เพราะมีเรื่องอื่นสำคัญกว่า จึงกัดฟันเอ่ยต่อไป “เรื่องเมื่อคืน ที่ขันทีหลี่เล่าไปเป็นเพียงแค่ส่วนเดียว แต่จะอย่างไร หม่อมฉันก็ไม่อาจแต่งกับท่านหญิงอันเล่อได้อีกแล้ว”
ฉู่อี้หมินร้อนตัวจนเหงื่อท่วมศีรษะ แต่ต่อหน้าเบื้องพระบาทจึงไม่อาจเข้าไปอุดปากของซูหลิน
ตอนที่ 78 (2)
ผลลัพธ์มหัศจรรย์ของประตูไม้ (2)
ซูหลินตัดสินใจแน่วแน่ ถ้าตอนนี้เขาสลับตัวรับฉู่หลิงอวิ้นกลับมา ก็เท่ากับหยิบหมวกเขียวมาสวมให้ตัวเองถึงในบ้าน ฉะนั้น ไม่ว่าเขาจะเคยชอบนางขนาดไหน แม้ว่าจะยังเหลือเยื่อใย แต่เขาจะไม่ยอมเกี่ยวข้องใดๆ กับนางอีกเป็นอันขาด
“เสด็จพ่อ…” ฉู่อี้หมินอ้าปากพูด
“ฝ่าบาท!” ซูหลินรีบชิงตัดบทเขา มองพระพักตร์ฮ่องเต้ตรงๆ เอ่ยว่า “ตอนขอนางแต่งงานที่ตำหนักจินเตี้ยน เป็นเพราะความต้องการของกระหม่อมเพียงฝ่ายเดียว ถึงได้เกิดเรื่องตลกขายหน้าอย่างวันนี้ ความจริงท่านหญิงอันเล่อมีผู้อื่นอยู่ในใจตั้งแต่แรก กระหม่อมบุ่มบ่ามมุทะลุ ครานั้นไม่รู้ก็แล้วไปเถิด แต่บัดนี้ย่อมไม่กล้าทำลายวาสนาของพวกเขา ขัดขวางความสุขของผู้อื่นอีก”
พูดถึงเรื่องนี้ เลือดในกายของซูหลินก็เดือดคลั่ง น้ำเสียงในตอนท้ายฟังแล้วปลิ้นปล้อนไม่จริงใจ เยาะเย้ยถากถางได้อย่างเก่งกาจเป็นที่สุด
ฮ่องไต้ได้ฟังก็นิ่งไป รับรู้ถึงความนัยจากท่าทางของเขา ก่อนจะย่นคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
เพื่อจะโยนเผือกร้อนอย่างฉู่หลิงอวิ้นทิ้งไป ซูหลินรีบตัดสินใจทันควัน เขกศีรษะลงกับพื้น เอ่ยเสียงหนักแน่น
“ฝ่าบาทมีราชโองการให้กระหม่อมกี่ยวดองกับจวนอ๋องหนานเหอ ถือเป็นความกรุณามากล้นที่มีต่อสกุลซู ในเมื่อจับพลัดจับผลูแบกผิดคนไปแล้ว ทั้งกระหม่อมกับท่านหญิงรองก็ผ่านพิธีกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกัน เช่นนั้น…”
แม้วาจาจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็หาใช่จะเต็มใจยอมรับ
ซูหลินสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด เอ่ยต่อว่า “ขอฝ่าบาททรงอนุญาต!”
อย่างน้อยฉู่หลิงซิ่วก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ฮ่องเต้มองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปที่ร่างของฉู่อี้หมินที่อยู่ด้านหลัง
แผ่นหลังของฉู่อี้หมินเปียกเหงื่อจนชุ่มไปหมด พอเจอสายตาเย็นเยียบของฮ่องเต้ จึงได้หลบเลี่ยงเป็นพัลวัน
หากยังมองไม่ออกว่าภายในมีเรื่องอื่นซุกซ่อน ตำแหน่งประมุขแห่งแผ่นดินก็เหมือนได้แต่นั่งครองไปวันๆ แล้ว
สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมอย่างฉับพลัน แล้วยกมือโบกให้ซูหลิน ตรัสว่า “ในเมื่อเจ้าร้องขออย่างจริงใจ ข้าก็จะให้เจ้าสมปรารถนา ราชโองการที่ออกไปแล้วก็ช่างเถอะ ข้าค่อยหาคนแก้ไขแล้วส่งไปให้เจ้าใหม่อีกรอบ”
“กระหม่อม…ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ซูหลินขบฟันแน่น พยายามบังคับไม่ให้น้ำเสียงตัวเองหลุดความไม่พอใจออกไป
ฮ่องเต้สะบัดมือใส่ เขาจึงค้อมหลังล่าถอยออกไป ทันทีที่พ้นจากประตู ก็ได้ยินเสียงถ้วยชากระแทกพื้นแตกเพล้งดังตามหลังมาด้วย
นัยน์ตาของซูหลินเปลี่ยนเป็นความอำมหิต ก่อนจะสาวเท้าหนีหายไป
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องทรงอักษรต่อจากนั้น รู้เพียงว่าฮ่องเต้ผู้ไม่เคยแสดงออกทางสีหน้าว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรมาตลอดสิบปีได้ถูกทำให้เกรี้ยวกราดเป็นครั้งแรก แม้ภายหลังฮองเฮาจะรีบตามไปปลุกปลอบด้วยตนเอง แต่ก็ไม่อาจดับเพลิงโทสะของพระองค์ได้ ท้ายที่สุด อ๋องหนานเหอออกมาจากห้องทรงอักษรพร้อมกับเลือดชุ่มศีรษะ เห็นชัดว่าถูกถ้วยชาเขวี้ยงเข้าใส่ ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นชา สภาพย่ำแย่ไม่น่ามอง
ส่วนฮองเฮาที่ตามมาภายหลังก็สีหน้าซีดเผือด อาภรณ์หงส์เปื้อนคราบช้ำชา ชัดเจนว่านางก็ถูกเหมารวมไปด้วย
ฉู่อี้หมินยืนรออยู่ที่หัวโค้งระเบียงทางเดิน เห็นว่าหลัวฮองเฮาเดินมาก็ส่งยิ้มขื่นๆ ให้อย่างกระดากอาย
“เสด็จแม่!”
หลัวฮองเฮาเหลือบมองเขาทีหนึ่ง ความเดือดดาลในอกยังไม่ทันสลาย สีหน้าจึงดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก แม้แต่ฝีเท้ายังไม่ยอมหยุด เพียงกระแทกเสียงใส่ว่า “เจ้าตามข้ามา!”
ฉู่อี้หมินถอนหายใจเฮือก เดินตามหลังนางไปที่ตำหนักโซ่วคัง
เวลานี้คนแซ่เจิ้งยังชะเง้อคอคอยคนอยู่ที่โถงตำหนัก เห็นสองคนเดินมาแต่ไกลๆ ก็ปรี่เข้าไปรับแต่พอเจอสภาพยับเยินของฉู่อี้หมิน ก็ตกอกตกใจใหญ่โต
“ท่าน…ท่านอ๋อง นี่ท่าน…”
ฉู่อี้หมินมองนางอย่างหงุดหงิด แล้วผลักนางออก ก่อนจะเดินตามหลัวฮองเฮาเข้าไปด้านในตำหนัก
คนแซ่เจิ้งถูกผลักจนซวนเซ
ป้ากู้รีบเข้ามาประคองนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านอ๋องกำลังโกรธ พระชายาอย่าได้ใส่ใจ”
คนแซ่เจิ้งย่อมเข้าใจ ฉู่อี้หมินโมโหฉู่หลิงอวิ้นจนพาลมาถึงนาง จึงทำได้เพียงแค่นยิ้มตอบ
สามคนเข้าไปด้านในตำหนัก ไฉ่เยว่ถือล่วมยาเข้ามาจัดการแผลบนหน้าผากให้ฉู่อี้หมิน
คนแซ่เจิ้งเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เสด็จแม่ เรื่องของอวิ้นเอ๋อร์…”
ฉู่อี้หมินมีโทสะเต็มท้อง ยกมือกวาดล่วมยาบนโต๊ะจนร่วงกราวลงพื้น เส้นเลือดปูดจนแทบระเบิด ยกนิ้วชี้หน้านางพลางด่ากราด “เจ้ายังกล้าพูดถึงนางสารเลวนั่น ศักดิ์ศรีของข้าถูกนางทำลายจนไม่มีเหลือ เจ้าฟังไว้นะ เจ้ารีบกลับไปแล้วส่งนางออกจากจวนเดี๋ยวนี้ อยู่ไปก็มีแต่จะทำให้ผู้อื่นถูกหัวเราะเยาะ!”
เลือดในกายของคนแซ่เจิ้งแข็งทื่อ เย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า
นางเงยหน้ามองหลัวฮองเฮาที่นั่งอยู่เบื้องบน เอ่ยอย่างลำบากใจ
“เสด็จแม่…”
ดวงหน้าของฮองเฮาหลัวถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบ พอได้ยินชื่อฉู่หลิงอวิ้น นัยน์ตาก็ทอประกายหมดความอดทน แต่ยังฝืนเอ่ยด้วยใบหน้าแข็งทื่อว่า “เสด็จพ่อของเจ้ากำลังโกรธ ส่งนางออกไปก่อนดีกว่า รอให้ข่าวมันซาลงแล้ว ข้าค่อยคิดหาวิธี!”
เพื่อรักษาชื่อเสียง ฝ่าบาทไม่อาจพระราชทานความตายให้แก่พระนัดดาของตนเพียงเพราะเหตุผลเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ยังทรงพิโรธ ใครจะพูดอะไรย่อมไม่ฟังทั้งนั้น ไม่สู้ให้พระองค์ถอดยศฉู่หลิงอวิ้นไปเสีย เนรเทศนางออกนอกเมืองหลวง แต่แน่นอนว่าการเนรเทศครั้งนี้ มันหมายถึงระยะเวลาชั่วทั้งชีวิตของนาง
อีกอย่าง เพราะปกติหลัวฮองเฮาลำเอียงรักใคร่ฉู่หลิงอวิ้นอยู่มาก ฝ่าบาทจึงพาลต่อว่านางตามไปด้วย นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว
ในเมื่อเป็นความต้องการของฝ่าบาท ใครหน้าไหนก็ไม่อาจฝ่าฝืน
คนแซ่เจิ้งพลันหมดหวัง ล้มตัวลงบนเก้าอี้ น้ำตาไหลพราก
ฮองเฮาเห็นท่าทางเหมือนคนไร้วิญญาณของนางก็ใจอ่อน เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าก็หยุดร้องได้แล้ว เดี๋ยวเรื่องราวก็ต้องผ่านไป ใครให้นางไม่รู้จักอดทนเสียบ้าง? ให้นางหลบไปสักพักก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย บุตรคนรองของจวนติ้งเป่ยโหวนั่น ข้าเองก็ไม่ชอบใจ”
คนแซ่เจิ้งได้ฟังดังนั้นถึงค่อยสงบลงบ้าง เอ่ยเสียงสะอื้นว่า “เพคะ หม่อมฉันจะเชื่อเสด็จแม่ทุกอย่าง อวิ้นเอ๋อร์นาง…ต่อไปก็ต้องพึ่งเสด็จแม่แล้ว นางช่างน่าเวทนานัก!”
คนแซ่เจิ้งพูดไป ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกครั้ง
ในเมื่อฮ่องเต้ออกราชโองการให้เนรเทศ ทางจวนติ้งเป่ยโหวนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก หาใช่ว่าคนแซ่เจิ้งตัดใจส่งนางออกไปได้ลง แต่ถ้าฉู่หลิงอวิ้นไปเสีย อย่างไรความห่วงใยที่หลัวฮองเฮามีต่อนาง ช้าหรือเร็วก็ต้องได้คืนกลับมาอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้นางแต่งกับจางอวิ๋นเจี่ยนจริงๆ ละก็…
ไม่แน่นางอาจจะแผลงฤทธิ์อะไรขึ้นมาอีก!
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม กระทั่งไฉ่เยว่ช่วยจัดการแผลให้ฉู่อี้หมินเรียบร้อยแล้ว สองสามีภรรยาก็พากันกลับจวน
ประชุมเช้าในวันนี้ รอจนแล้วจนเล่าฮ่องเต้ก็ไม่เสด็จเสียที เหล่าขุนนางคอยอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายมีเพียงหลี่รุ่ยเสียงที่โผล่มาพร้อมรับสั่งว่า ‘พระวรกายไม่สู้ดี ให้ยกเลิกการประชุมในวันนี้ไปก่อน’
ทว่าคนพวกนี้หูตาไวเพียงใด เมื่อวานชมดูฉากกายกรรมที่จวนอ๋องหนานเหอไปแล้ว สายตาของคนมากมายล้วนแต่จับจ้องเรื่องนี้อยู่ เช้าวันนี้ทั้งๆ ที่ฉู่อี้หมินกับซูหลินเข้าวังมาแต่กลับไม่มาร่วมประชุม ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าคงถูกฮ่องเต้เรียกพบเป็นการส่วนตัว
แต่เพราะการหาข่าวจากห้องทรงอักษรทำได้ยาก สถานการณ์โดยละเอียดจึงไม่มีใครรู้
ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นความลับอยู่นาน เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีราชโองการประกาศออกมาใหม่ เขียนว่าเพราะความเข้าใจผิดทำให้เกี้ยวของจวนอ๋องฉางซุ่นแบกคนไปผิดตัว แต่ฟ้าดินก็กราบไหว้ไปแล้ว ถือว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ฮ่องเต้จึงถอนพระราชทานสมรสระหว่างซูหลินกับฉู่หลิงอวิ้น แล้วออกราชโองการใหม่แต่งตั้งให้ฉู่หลิงซิ่วเป็นชายาในซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่นแทน
ตอนที่ได้ยินข่าวนี้ ฉู่สวินหยางไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด
เวลานี้นางกำลังขังตัวเองให้คัดตัวอักษรอยู่ในห้อง ในมือตวัดพู่กันขนจิ้งจอกเล่มใหม่ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “แล้วฉู่หลิงอวิ้นเล่า? ได้รับโทษอย่างไร?”
“เหมือนว่าฮ่องเต้จะพิโรธไม่น้อย จึงสั่งให้ถอดยศนาง บอกให้จวนอ๋องหนานเหอไล่นางออกจากจวนเจ้าค่ะ” ชิงเถิงตอบ นิ่งไปสักพักก็ถอนหายใจอย่างอดจะเสียดายไม่ได้ “เพียงแค่ไม่ได้ออกราชโองการอย่างชัดเจน น่าจะให้ส่งคนออกไปเสียก่อน แล้วเรื่องถอดยศคงค่อยว่ากันทีหลัง”
“ก็สมเหตุสมผล!” ฉู่สวินหยางยักไหล่ ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง “สถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ หากฮ่องเต้ถอดยศนางอย่างโจ่งแจ้งแล้วขับคนออกไป ไม่เท่ากับเป็นการประกาศให้ใต้หล้ารู้หรือว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง และฉู่หลิงอวิ้นยังมีคดีอื่นติดตัวอยู่อีก?”
ฮ่องเต้ต้องลงโทษฉู่หลิงอวิ้นแน่ นั่นเป็นเรื่องที่สามารถมั่นใจได้ แต่ว่าไม่อาจทำมันอย่างเปิดเผย ได้แต่จัดการลับๆ อย่างไร้สุ้มเสียง เพื่อเป็นการระบายอารมณ์
ชิงเถิงได้ฟังก็กลอกตาอย่างไม่เห็นด้วย “ยังคิดว่านางจะต้องแต่งให้จางอวิ๋นเจี่ยนเสียอีก เช่นนี้มิใช่ว่าเหนื่อยเปล่าหรือ? แบบนี้มีแต่จะทำให้ท่านหญิงกับคนพวกนั้นผูกแค้นฝังใจกันมากกว่าเก่า ไม่คุ้มเอาเสียเลย!”
ฉู่สวินหยางเหลือบมองนาง เผยยิ้มอย่างจนปัญญา ย้ายพู่กันไปจุ่มหมึกแล้วคัดตัวอักษรต่อไป
เรื่องที่จะให้ฉู่หลิงอวิ้นแต่งกับจางอวิ๋นเจี่ยนนั้นเห็นแต่แรกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานที่ฉู่หลิงอวิ้นตกเป็นผู้ต้องสงสัยล้มงานแต่งงานแบบนี้ จู่ๆ ดันเปลี่ยนใจไปแต่งให้สกุลจาง…
ซื่อจื่อแห่งจวนฉางซุ่นยืนอยู่ตรงหน้านางไม่แต่ง กลับจะแต่งให้จอมเสเพลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง? แม้แต่คนตาบอดยังรู้ว่าภายในมีไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เลย แม้แต่ฉู่ฉีเหยียนเองก็คงไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น คนรอบคอบอย่างฉู่ฉีเหยียน เป็นไปได้ถึงแปดส่วนว่าเขาจะต้องไปกล่อมสกุลจางให้สงบลงก่อน สองสกุลคงจะตกลงกันอย่างลับๆ เลื่อนกำหนดงานมงคลออกไป
รอจนเรื่องเงียบแล้วค่อยนำกลับมาปรึกษากันใหม่
ถึงตอนนั้น การที่สาวแก่ทึนทึกซึ่งล้มเหลวจากการแต่งงานไปแล้วครั้งหนึ่งอย่างฉู่หลิงอวิ้นจะประกาศงานมงคลกับจางอวิ๋นเจี่ยน ก็พอเป็นเรื่องที่ค่อยสมเหตุสมผลขึ้นมาหน่อย
ฉู่หลิงอวิ้นรอดตัวจากงานแต่งครั้งนี้ แค่เพราะมันยังไม่ได้ถูกประกาศออกมาอย่างเปิดเผยก็เท่านั้น!
ฉู่ฉีเหยียนผู้นี้…
ทำอะไรไร้ช่องโหว่จริงๆ!
ฉู่สวินหยางครุ่นคิด แล้วก็หัวเราะกับตัวเองเบาๆ
ชิงเถิงมักคุยกับนางไปคนละทิศคนละทางอยู่เสมอ คอยแต่เฝ้าอยู่ด้านข้างจึงรู้สึกเบื่อหน่าย จึงหมุนตัวจากไป ผ่านไปสักพักก็กลับมาใหม่พร้อมกับถ้วยน้ำแกงไก่หอมกรุ่นในมือ
ตอนที่ 78 (3)
ผลลัพธ์มหัศจรรย์ของประตูไม้ (3)
ฉู่สวินหยางทานอาหารกลางวันไปเพียงเล็กน้อย พอได้กลิ่นหอมโชยมาท้องก็ร้องโครกคราก นางหาได้รู้สึกอับอาย วางพู่กันไว้ที่ห่างออกไปแล้วถลกแขนเสื้อยื่นมือไปทางชิงเถิง เอ่ยพร้อมยิ้มตาหยีว่า “มีเพียงชิงเถิงเจ้าที่มีน้ำใจ รู้จักเป็นห่วงเป็นใยข้า!”
ชิงเถิงกลอกตาใส่นางอย่างเป็นปกติ แล้วถือถ้วยกระเบื้องเข้าไปหา
ฉู่สวินหยางนั่งดื่มน้ำแกงไก่อย่างหน้าชื่นตาบานอยู่หลังโต๊ะ ชิงเถิงยืนมองอยู่ด้านข้างอย่างจนปัญญา อยากจะเปิดปากพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ชะงักไปทุกที…
ท่านหญิงของนางก็เป็นเสียแบบนี้ นิสัยเหมือนกับเด็กๆ ที่ความคิดไม่ซับซ้อน แต่จะบอกว่านางไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ถูก เพราะทุกครั้งที่เจอเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวาน แผนการร้ายกาจแยบยลของนางก็ทำให้คนหวาดหวั่นในใจทุกครั้ง
ชิงเถิงได้แต่วุ่นวายใจอยู่ลำพัง ฉู่สวินหยางหาได้สนใจนาง เอาแต่ดื่มน้ำแกงไก่หอมฉุยอย่างเอร็ดอร่อย พอดื่มไปได้ครึ่งชาม ชิงหลัวก็เดินย่ำหิมะมาถึงที่ด้านนอกแล้ว
“ท่านหญิง!” ชิงหลัวผลักประตู ปัดหิมะบนเสื้อคลุมทิ้ง แล้วถึงค่อยก้าวข้ามประตูเข้ามา
ฉู่สวินหยางเห็นท่าทางของนาง ก็วางช้อนลงอย่างไม่รู้ตัว
ชิงหลัวเดินมาหา เริ่มประโยคด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจังในทันที “คนของสกุลจางเข้าวังไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“หือ?” ฉู่สวินหยางค่อนข้างประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
หรือว่าฉู่ฉีเหยียนตกลงกับพวกนั้นไม่สำเร็จ?
“คนสกุลจางเข้าวังไปขอพระราชทานสมรสเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวตอบ แล้วอธิบายให้ละเอียดขึ้นว่า “ข้าได้ข่าวมาว่า ตอนเช้าซื่อจื่ออ๋องหนานเหอเป็นคนไปส่งจางอวิ๋นเจี่ยนกลับจวนอย่างลับๆ ด้วยตนเอง เขาอยู่ที่จวนนั้นครึ่งชั่วยาม คงเป็นไปตามที่ท่านหญิงคาดการณ์ไว้ สองสกุลทำข้อตกลงกันอย่างลับๆ แต่ว่า…”
ชิงหลัวเล่าๆ ไปก็หยุดชะงัก หัวคิ้วขมวดเบาๆ เอ่ยต่อเจือเสียงทอดถอนใจ
“ตอนบ่ายจางอวิ๋นเจี่ยนตื่นขึ้นมา เหมือนว่าคนจะมีปัญหาบางอย่าง!”
“มีปัญหาอะไร?” ชิงเถิงดวงตาเป็นประกาย ถามอย่างกระตือรือร้น
ชิงหลัวมองฉู่สวินหยาง เอ่ยต่อด้วยอารมณ์สงบนิ่ง “ซื่อจื่อซูน่าจะลงมือหนักไปหน่อย ฟาดคนจนสติเลอะเลือน เห็นว่าฟื้นขึ้นมาก็โวยวายใหญ่โต แม้แต่ติ้งเป่ยโหวกับฮูหยินก็ลืมไปเสียหมด”
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ…
จางอวิ๋นเจี่ยนถูกซื่อจื่อซูฟาดบานประตูใส่จนปัญญาอ่อนไปแล้ว?
ข่าวที่ชิงหลัวนำกลับมาแน่นอนว่าต้องผ่านการตรวจสอบมาแล้ว เมื่อมั่นใจว่าเป็นเรื่องจริงถึงจะรายงานต่อนางได้ ฉะนั้น เก้าในสิบส่วนคงไม่ใช่ข่าวลวงแน่ๆ
ยากที่จะเห็นฉู่สวินหยางเกิดอาการตะลึงไปพักใหญ่ ตอนที่ได้สติก็หัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ประตูบานนั้นของซื่อจื่อซู ช่างกะกำลังได้แม่นยำเสียจริง”
ชิงเถิงเบะปากใส่อย่างเหยียดหยาม “เช่นนั้นท่านหญิงดีใจหรือว่าไม่ดีใจล่ะเจ้าคะ?”
ฉู่สวินหยางกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า? จะดีใจหรือไม่ต้องไปถามฉู่หลิงอวิ้นโน่นสิ”
ชิงเถิงเห็นนางแสร้งโง่งม ก็ออกแรงเตะเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ ค้อนขวับใส่นาง แล้วยกกระโปรงเดินหายไป
ชิงหลัวที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ถึงได้พึมพำออกมาอย่างครุ่นคิดว่า “เกรงว่างานแต่งของท่านหญิงอันเล่อจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งแล้ว!”
ฉู่สวินหยางหัวเราะ ไม่บอกปฏิเสธ
บุตรชายสกุลจางกลายเป็นคนปัญญาอ่อนก็เพราะฉู่หลิงอวิ้นเป็นเหตุ มีหรือจะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้ลง?
อีกอย่างท่ามกลางตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวง จางอวิ๋นเจี่ยนก็หาได้เป็นผู้มีชื่อเสียงดีงามให้กล่าวถึง ฉู่ฉีเหยียนเดิมก็เพียงต้องการกล่อมสกุลจางให้สงบ จุดประสงค์ก็เพื่อรักษาหน้าตาของฉู่หลิงอวิ้นกับจวนอ๋องหนานเหอก็เท่านั้น แต่มาถึงตอนนี้…
จางอวิ๋นเจี่ยนกลายเป็นปัญญาอ่อน หากไม่รีบตีเหล็กตอนยังร้อน ลูกสะใภ้ที่ถูกกำหนดตัวไว้ลับๆ อย่างฉู่หลิงอวิ้นคงได้บินหายไปในกลีบเมฆแน่
เช่นนั้น สกุลจางจึงไม่สนใจว่าใครจะขายขี้หน้าบ้างหรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้…
คือต้องจับคนไว้ให้มั่นเสียก่อนจึงจะสบายใจ
เป็นเพราะประตูบานนั้นของซูหลินแท้ๆ เชียวเรื่องราวถึงได้สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์
ฉู่สวินหยางนิ่งคิด ก่อนจะกำชับชิงหลัวไปสองประโยคว่า “เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่ง แต่จวนอ๋องหนานเหอทางนั้นต้องจับตาดูเอาไว้ คอยระวังการเคลื่อนไหวของฉู่หลิงอวิ้นสองพี่น้องไว้ให้ดี!”
ฉู่อี้หมินกับคนแซ่เจิ้งคงไร้หนทางจะพลิกสถานการณ์ได้อีก อย่างมากก็ทำได้แค่เข้าวังไปขอร้องหลัวฮองเฮา นางกังวลว่าฉู่ฉีเหยียนอาจทำอะไรเหนือความคาดหมายจนทำให้สถานการณ์เปลี่ยนพลิกอีกรอบ
“เจ้าค่ะ! บ่าวทราบแล้ว!” ชิงหลัวรับคำหนักแน่น ตวัดหมวกขึ้นมาใส่อีกครั้งก่อนจะวิ่งหายไปในฉากหิมะที่ไกลสุดตา
ฉู่สวินหยางยกชามน้ำแกงร้อนๆ ขึ้นมาดื่มต่อราวกับเรื่องราวไม่ได้เกี่ยวข้องกับตน
ทางด้านจวนอ๋องหนานเหอนั้นก็เป็นไปตามที่ฉู่สวินหยางคิดเอาไว้ ทันทีที่คนแซ่จางเข้าไปโวยวายในวัง ฮ่องเต้ที่โทสะยังไม่ทันจะสลายหมด ก็สั่งให้คนตามตัวฉู่อี้หมินที่เพิ่งจะหย่อนก้นนั่งเก้าอี้ให้เข้าวังอีกรอบหนึ่ง
ฉู่ฉีเหยียนกลับมาจากจวนสกุลจาง ก็สั่งให้คนคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของจวนนั้นไว้ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันเขาจะรู้ข่าวก่อนใครๆ กลัวเพียงว่าฉู่อี้หมินทางนั้นจะลุกลนจนทำให้ฮ่องเต้พิโรธยิ่งกว่าเก่า จึงตามเข้าวังไปด้วยกัน
คนแซ่เจิ้งร้อนใจเหมือนมดที่ถูกต้มในหม้อร้อน…
เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ใครต่อใครคงรู้เรื่องระหว่างฉู่หลิงอวิ้นกับจางอวิ๋นเจี่ยนกันให้ทั่วไปหมดแล้ว
“ไม่ได้ ข้าต้องรีบเข้าวังไปพบเสด็จย่าของเจ้า เรื่องนี้ต้องพึ่งนาง นี่.. นี่มัน…” คนแซ่เจิ้งเดินวนไปวนมาราวกับแมลงวันไร้หัว ควบคุมสติไม่อยู่ ได้แต่กุมมือฉู่หลิงอวิ้นเป็นการปลอบขวัญ ไม่รอให้นางพูดอะไรก็กุลีกุจอไปเปลี่ยนชุดทางการแล้วเข้าวังไปทันที
ฉู่หลิงอวิ้นตั้งแต่ต้นจนจบก็เอาแต่นั่งสงบนิ่งราวกับไม่ใช่เรื่องตน ตอนนี้นางจ้องมองแผ่นหลังของคนแซ่เจิ้ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร จู่ๆ ถึงได้แสยะยิ้มออกมา
สาวใช้สองคนหันมาสบตากัน อดจะมองนางอย่างกังวลไม่ได้
“ท่านหญิง ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ? คนแซ่จางไปฟ้องต่อหน้าพระพักตร์ ตอนนี้ฝ่าบาทก็กำลังพิโรธ…” จื่อซวี่รวบรวมความกล้า อึกอักพูดออกไป
“ทำอย่างไรดี? ถึงตอนนี้ถ้าข้าพูดไปว่าดีแล้วมันจะยังดีอยู่จริงๆ หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นเยาะเสียงใส่ การแสดงออกเช่นนี้กลับทำให้คนรู้สึกประหลาดใจนัก
หากเรื่องราวแพร่งพรายออกไป สุดท้ายจะแต่งกับจางอวิ๋นเจี่ยนหรือไม่ ชื่อเสียงของท่านหญิงอย่างนางก็ต้องย่อยยับป่นปี้อยู่ดี
สาวใช้ทั้งสองร้อนใจดั่งไปลน กระวนกระวายจนแทบจะร้องไห้ออกมา
ฉู่หลิงอวิ้นตวัดตามองทีหนึ่ง สั่งว่า “รีบไปหยิบชุดทางการมาให้ข้า ข้าจะเข้าวัง!”
“เอ่อ…” ทั้งสองคนหัวใจจะวาย มองนางด้วยความตื่นกลัว ผ่านไปครึ่งวันก็ยังไม่ยอมขยับ
อารมณ์ของฉู่หลิงอวิ้นในตอนนี้ ถ้าเข้าวังไปจะไม่อาละวาดจนพังพินาศหมดหรือ? ที่ผ่านมาก็แล้วไปเถอะ อย่างไรก็ยังมีฮองเฮาคอยให้ท้าย แต่ครั้งนี้คนที่นางไปยั่วโทสะคือฮ่องเต้เชียวนะ!
“ไปสิ!” ฉู่หลิงอวิ้นตวาดใส่อย่างโมโห เข้าใจดีว่าสาวใช้ทั้งสองคิดอะไรอยู่
“เจ้าค่ะ!” สองคนถูกเสียงตะคอกของนางทำให้ตกใจ รีบผลุบหายเข้าไปในห้องเพื่อตระเตรียมชุด
ทางด้านคนแซ่เจิ้งนั้นส่งป้ายขอเข้าเฝ้าถึงสองครั้ง หลัวฮองเฮารู้ในทันทีว่าเกิดเรื่องแล้วแน่ๆ จึงเรียกคนให้หาทันที พอฟังความของคนแซ่เจิ้งจนจบ ยังไม่ทันรอให้คนแซ่เจิ้งเอ่ยปากอ้อนวอน นางก็โมโหจนจุกอก เป็นลมไปก่อนเสียแล้ว
“ฮองเฮา ฮองเฮาเพคะ!” แม่นมเหลียงร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก คนในตำหนักโซ่วคังวุ่นวายแตกตื่น รีบให้คนไปตามหมอหลวง
คนแซ่เจิ้งห่วงพะวงแต่เรื่องฉู่หลิงอวิ้น แต่ก็ไม่อาจทิ้งหลัวฮองเฮาเอาไว้ไม่แยแส จึงทำได้เพียงข่มอารมณ์แล้วนั่งเฝ้านางอยู่ข้างเตียง
หมอหลวงเข้ามาจับชีพจรให้หลัวฮองเฮาก่อนจะควักยาน้ำออกมาขวดหนึ่งแล้วจ่อเข้าที่จมูกนาง รอจนนางได้สติจึงออกไปเขียนใบสั่งและต้มยาที่ด้านนอก
หลัวฮองเฮาเอนกายอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง สายตาเย็นเยียบจ้องคนแซ่เจิ้งที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียง
คนแซ่เจิ้งถูกมองจนขนหัวลุก ทำทีเป็นซับน้ำตาเอ่ยว่า “เสด็จแม่ ท่านเห็นอวิ้นเอ๋อร์มาแต่อ้อนแต่ออด ที่ผ่านมาท่านอ๋องก็เฝ้าถนอมนางไม่ห่าง หาได้เคยประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้ จางอวิ๋นเจี่ยนตอนนี้กลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ หากฝ่าบาทพระราชทานงานสมรสจริงๆ มิใช่เป็นการเอาชีวิตของนางหรือเพคะ!”
นางร่ำไห้ปานจะขาดใจ หลัวฮองเฮาเพิ่งจะเป็นลมไปรอบหนึ่ง บัดนี้เริ่มหายใจติดขัด หัวสมองส่งเสียงอื้ออึงให้เป็นที่รำคาญยิ่งนัก
นางมองคนแซ่เจิ้งด้วยสายตาเย็นเยียบ “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร?”
คนแซ่เจิ้งพลันเบื้อใบ้ ไม่รู้ว่าจะต่อความอย่างไรดี
“จะโทษก็โทษที่เด็กนั่นไม่รู้จักอดกลั้น ปกติก็ดูเฉลียวฉลาดดี ข้าถึงได้เอ็นดูนาง เป็นถึงบุตรีสายหลักของจวนอ๋องหนานเหอ ถูกบุตรสาวของอนุแย่งสามีไปไม่พอ ยังถูกคนอื่นเล่นงานให้เป็นที่ครหา! จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเพราะนางไร้ประโยชน์เอง!” ฮองเฮาหลัวตอบ น้ำเสียงไร้ซึ่งความเอ็นดูให้ท้ายฉู่หลิงอวิ้นอย่างที่เคยเป็น
นางตบโต๊ะด้วยความโมโห ทำเอาคนแซ่เจิ้งหัวใจกระตุกวูบ
“ตอนนี้เจ้ามาขอร้องข้า? มาขอร้องข้าให้ได้ประโยชน์อะไร? ผู้อาวุโสโหวแซ่จางเป็นขุนนางที่ทำศึกเคียงบ่าเคียง
ไหล่มากับฝ่าบาท เพื่อช่วยฝ่าบาทยอมแลกแม้กระทั่งชีวิต ตอนนี้พวกเจ้าไปล่วงเกินพวกเขา เจ้าจะให้ข้าไปพูดอะไรอีก?” ฮองเฮาหลัวเดือดดาล ตวาดเสียงสูงปรี้ด เห็นชัดว่าโมโหแล้วจริงๆ “ปฏิเสธคำขอของสกุลจางรึ? เจ้าจะให้ฝ่าบาทฆ่าโคเมื่อเสร็จศึกรึ? วาจาเนรคุณเช่นนี้ คงมีแต่เจ้าที่กล้าพูดออกมาได้!”
แม้ฮองเฮาหลัวจะเผด็จการเอาแต่ใจ แต่เป็นครั้งแรกที่ทรงเกรี้ยวกราดเช่นนี้ต่อหน้านาง
คนแซ่เจิ้งหวาดกลัวจนตัวสั่น ละล่ำละลักว่า “มิกล้า! หม่อมฉันมิกล้า! หม่อมฉันเสียสติไปเอง คิดอะไรเหลวไหล!”
เวลานั้นก็เอาแต่คร่ำครวญในใจ ด่าทอฉู่หลิงอวิ้นกับฉู่สวินหยางสลับกันไปมา
ตอนนั้นเพราะฉู่หลิงอวิ้นคำนวณถึงเบื้องหลังเช่นนี้ของสกุลจาง ถึงเลือกใช้จางอวิ๋นเจี่ยนมาเล่นงานฉู่สวินหยาง เพราะถ้าเป็นคนอื่น อาศัยเพียงฐานะในราชสำนักของฉู่อี้อัน ขอแค่เขาพูดว่าไม่แต่งเพียงคำเดียว ก็สามารถพลิกฟ้าแก้สถานการณ์ได้ทั้งหมดแล้ว
แต่กับสกุลจางนั้นต่างออกไป!
ผู้นำสกุลจางคนก่อนนามว่าจางคังเคยเป็นองครักษ์รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ติดตามร่วมรบทั้งเหนือใต้ ครั้งศึกเปลี่ยนราชวงศ์เมื่อสิบสี่ปีก่อน ยังสละชีพตนออกรับธนูแทนพระองค์ นี่ถือเป็นหนี้แห่งชีวิต ดังนั้น แม้ฐานะของสกุลจางจะไม่ได้สูงส่ง แต่หลังจากฮ่องเต้ได้ขึ้นครองราชย์ก็พระราชทานบรรดาศักดิ์โหวให้ ทว่าสกุลจางเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้า พอเริ่มมีหน้ามีตาอยู่ในราชสำนักมาหลายปี ก็ย่อมโอหังอวดตนเป็นธรรมดา ยิ่งมีบุญคุณยิ่งใหญ่คอยอุ้มชู ฮ่องเต้จึงได้แต่หลับตาข้างหนึ่งทำมองไม่เห็นเสีย
ตอนที่ 78 (4)
ผลลัพธ์มหัศจรรย์ของประตูไม้ (4)
วันนี้สกุลจางมาขอพระราชทานสมรส ทั้งเป็นข้อตกลงที่พูดคุยเอาไว้ก่อนหน้า ฮ่องเต้ย่อมจะตกปากรับคำอย่างไม่ต้องคิด
คนแซ่เจิ้งพลันรู้สิ้นหวังอย่างที่สุด ขาอ่อนยวบ ร่ำไห้อย่างรวดร้าวโศกศัลย์
“จะร้องหาอะไร?” หลัวฮองเฮายิ่งโมโหหนัก ตวาดใส่นาง “อยากร้องก็ไสหัวไปร้องที่จวนของเจ้า อย่ามาเกะกะขวางสายตาข้าตรงนี้”
หัวใจของคนแซ่เจิ้งกระตุกวูบอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองหลัวฮองเฮา…
ท่าทางของยายเฒ่าในวันนี้ถือเป็นสัญญาณที่อันตรายต่อนางยิ่งนัก เดิมทีฮองเฮายังไว้หน้าจวนอ๋องหนานเหอบ้าง ครึ่งหนึ่งก็เพราะฉู่หลิงอวิ้น บัดนี้นางทอดทิ้งฉู่หลิงอวิ้นแล้ว ต่อไปวันข้างหน้า…
จู่ๆ ลูกคลื่นแห่งความขลาดกลัวก็เข้าจู่โจมหัวใจของคนแซ่เจิ้ง กลางอกชาหนึบ ลุกขึ้นถวายพระพรและถอยออกมาอย่างไม่กล้าปากมากอีก ป้ากู้ประคองแขนนางเดินออกมาด้านนอก ขาข้างหนึ่งเพิ่งจะก้าวพ้นธรณีประตู ก็เห็นแม่นมเหลียงที่ออกไปตรวจดูยาต้มที่ห้องครัวเดินสวนเข้าไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รายงานว่า “ฮองเฮาเพคะ ท่านหญิงอันเล่อเข้าวังมา นางไปที่ห้องหนังสือ ตอนนี้คุกเข่าอยู่ที่นั่นแล้วเพคะ”
คนแซ่เจิ้งเลือดแข็งไปทั่วร่าง หัวขวับไปมองหลัวฮองเฮาอย่างไม่รู้ตัว
หลัวฮองเฮาได้ฟังก็ได้แต่หงุดหงิดใจอีกครั้ง
เดิมนางไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ แต่อย่างไรนางก็เอ็นดูฉู่หลิงอวิ้นมาหลายปี เป็นหลานสาวที่นางรักใคร่กว่าใครๆ คิดแล้วก็ยากจะทำใจได้ ลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ยันขอบโต๊ะหยัดตัวยืนขึ้น “เตรียมเกี้ยวเถอะ ข้าจะไปดูสักหน่อย!”
คนแซ่เจิ้งได้ฟัง พลันถอนหายใจอย่างโล่งอก
นางกำนัลตระเตรียมเกี้ยวพร้อมพรัก สองคนพากันมุ่งหน้าที่ไปห้องทรงอักษร
เวลานี้ คนของสกุลจาง ฉู่อี้หมินและฉู่ฉีเหยียนต่างถูกฮ่องเต้เรียกเข้าไปพบด้านในห้อง มีเพียงฉู่หลิงอวิ้นที่เห็นชัดว่าผ่ายผอมลงไปมาก กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นกลางหิมะด้วยหลังที่หยัดตรง บนตัวของนางมีเพียงชุดทางการซึ่งบ่งถึงบรรดาศักดิ์ของตน เสื้อคลุมใดๆ ล้วนไม่มีสักชิ้น
ลานโอ่อ่ากว้างขวางหน้าตำหนัก มีเพียงร่างของนางที่คุกเข่าอยู่อย่างไม่ขยับเขยื้อน มองจากที่ไกลๆ คล้ายว่าใกล้จะถูกหิมะห่าใหญ่ฝังกลบจนมิด
คนแซ่เจิ้งปีนลงมาจากเกี้ยว ขอบตาร้อนชื้นอย่างอดไม่อยู่ ทว่าคราวนี้นางระวังตัวต่อหน้าหลัวฮองเฮามากเป็นพิเศษ มิกล้าบุ่มบ่ามแม้แต่ครึ่งก้าว ร้อนใจเพียงใดก็ไม่ได้กระโจนตัวเข้าไปหา แต่กลับหันหลังเดินไปประคองหลัวฮองเฮาลงจากเกี้ยวด้วยตัวเอง
หลัวฮองเฮามองฉู่หลิงอวิ้นที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น หัวใจที่อัดแน่นไปด้วยโทสะ ก็เหือดแห้งไปสามส่วนอย่างรวดเร็ว นางถอนหายใจทีหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหา
“เสด็จย่า!” ฉู่หลิงอวิ้นคุกเข่าได้พักหนึ่งแล้ว ดวงหน้าที่เคยงดงามสะดุดตาอยู่เสมอ บัดนี้เหลือเพียงสีซีดขาวด้วยความหนาวเหน็บ ทันทีที่เปิดปากพูดเกร็ดหิมะละเอียดที่เกาะอยู่บนขนตาพลันร่วงกราวลงมาด้วย
หลัวฮองเฮาใจอ่อนยวบทันที กำลังจะเอ่ยปากกล่อมนาง ประตูห้องหนังสือที่ปิดแน่นอยู่เบื้องหน้าพลันเปิดออกมาอย่างกะทันหัน หลี่รุ่ยเสียงที่ถือแส้ปัดอยู่ในมือเดินออกมาจากด้านใน
“หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮา พระชายาอ๋องหนานเหอ!” หลี่รุ่ยเสียงย่อกายคารวะ หาได้มีท่าทีสอพลออย่างข้ารับใช้ทั่วๆ ไป มองแล้วช่างดูสุภาพและเหมาะสมอย่างยิ่ง
“อืม!” หลัวฮองเฮาพยักหน้ารับเล็กน้อย เงยหน้ามองไปทางประตูห้องหนังสือด้านหลังเขา “ฝ่าบาทยุ่งอยู่หรือ? ข้าเข้าเฝ้าตอนนี้สะดวกหรือไม่?”
จุดประสงค์ที่นางมาที่นี่ ทุกคนคงรู้แก่ใจดีโดยไม่ต้องป่าวประกาศ
หลี่รุ่ยเสียงเพียงตอบว่า “ขอฮองเฮาโปรดรอสักครู่ หม่อมฉันจะเข้าไปกราบทูลก่อน!”
“อืม!” ฮองเฮาหลัวผงกศีรษะ
หลี่รุ่ยเสียงกดหน้าลงต่ำ แล้วหันไปเอ่ยกับฉู่หลิงอวิ้นว่า “ท่านหญิงอันเล่อ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า!”
หัวใจคนแซ่เจิ้งบีบแน่น มองฉู่หลิงอวิ้นอย่างกระวนกระวาย อ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่กล้าพูดจาเรื่อยเปื่อย รู้แต่ว่าหากฉู่หลิงอวิ้นเข้าไปแล้ว มีแต่จะยั่วโทสะของฮ่องเต้ นางจึงร้อนใจยิ่งนัก
ฉู่หลิงอวิ้นเงยหน้ามองหลี่รุ่ยเสียงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่กลับคุกเข่าอย่างผ่าเผยต่อไปไม่ยอมลุกขึ้น แล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจริงใจว่า “ห้องทรงอักษรเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สตรีอย่างอันเล่อไม่บังอาจกล้ำกราย ลำบากท่านหัวหน้าขันทีกราบทูลฝ่าบาทแทนข้าสักคำ จวนติ้งเป่ยโหวเป็นขุนนางผู้ภักดี อันเล่อเลื่อมใสมานาน ข้ายินดีแต่งให้คุณชายรองสกุลจาง ขอฝ่าบาทส่งเสริม!”
ผู้อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแต่ตะลึงค้าง แม้แต่หลี่รุ่ยเสียงยังชะงักไปครู่หนึ่ง
แต่เขาคืนสติได้ก่อนทุกๆ คนตรงนั้น เพียงพริบตาเดียวก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ท่านหญิงคอยสักครู่ วาจาของท่าน หม่อมฉันจะทูลฝ่าบาทให้ทราบตามจริง!”
จบคำก็คารวะหลัวฮองเฮาและคนอื่นๆ อีกครั้งแล้วหมุนกายกลับเข้าไปในตำหนัก เสี้ยววินาทีที่พลิกตัว สายตาแหลมคมของเขาตวัดมองฉู่หลิงอวิ้นอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง ทว่ามันรวดเร็วจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น
คนแซ่เจิ้งปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างเกินจะกลั้น จิกเล็บลงกลางมือ บังคับไม่ให้ตัวเองปล่อยโฮ
หลัวฮองเฮายืนอึ้งอยู่นานกว่าจะได้สติ ดวงหน้าที่ถูกผนึกด้วยน้ำแข็งเหมือนจะถูกสายน้ำแห่งวสันต์ละลายจนสิ้น นางยกมือขวาที่สวมปลอกนิ้วสีทองขึ้น แล้วแตะที่ไหล่ของฉู่หลิงอวิ้นเบาๆ
ฉู่หลิงอวิ้นเงยหน้ามอง ส่งยิ้มซีดเซียวอ่อนแรงให้กับนาง
หลัวฮองเฮาส่งยิ้มกลับให้ด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
เมื่อได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว งานมงคลของจวนอ๋องหนานเหอกับจวนติ้งเป่ยโหวจึงจบลงอย่างราบรื่นจนน่าอัศจรรย์ใจ
แน่นอนว่า ไม่นับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังไปทั่วทุกตรอกซอกมุมถนน
เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ด้านนอกก็มีเรื่องเล่าเป็นจริงเป็นจังฉบับใหม่ พูดกันว่า…
ท่านหญิงรองจวนอ๋องหนานเหอมักใหญ่ใฝ่ได้ หลอกลวงพี่สาวของตน สวมรอยเป็นชายาซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่น
ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉางซุ่นหัวใจสลาย ต้องตัดใจจากท่านหญิงอันเล่อที่เฝ้ารักมานานปี สายรักกลายเป็นเงื่อนแค้น ระหว่างจวนอ๋องหนานเหอเหลือเพียงความชิงชัง การประชุมเช้าที่ท้องพระโรงหลายวันมานี้ สองฝ่ายต่างมึนตึงใส่กันราวกับแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน
ต่อมายังพูดอีกว่า คนไม่อาจตัดสินกันที่ภายนอก เล่าว่าคุณชายรองจอมเสเพลแห่งจวนติ้งเป่ยโหวบังเอิญเจอโจรร้ายปล้นชิงกลางถนน เพราะลงมือช่วยคน ตัวเองจึงต้องเจ็บหนัก เหลืออาการไม่สมประกอบทิ้งไว้ตลอดชีวิต
ประจวบเหมาะกับผู้ซึ่งถูกถอนหมั้นมาหมาดๆ จนกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงอย่างท่านหญิงอันเล่อ ท่านหญิงมีคุณธรรมสูงส่ง เสนอตัวแต่งเข้าจวนติ้งเป่ยโหว ถือเป็นการแสดงความจริงใจที่ราชสำนักมีให้แก่ขุนนางผู้ภักดี
ความจริงแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อแก้ต่างที่ใช้บังหน้าเท่านั้น พอเชื่อมโยงเรื่องแปลกๆ พวกนี้เข้าด้วยกัน สุดท้ายก็แค่เรื่องชีวิตรักหนุ่มสาว คนก็ค่อยๆ เลิกพูดกันไปในที่สุด
สรุปง่ายๆ ในประโยคเดียวก็คือ…
จวนอ๋องฉางซุ่นกับจวนอ๋องหนานเหอกลายเป็นศัตรูคู่แค้น ส่วนงานมงคลของท่านหญิงอันเล่อก็ถูกกำหนดให้จัดขึ้นในวันที่หกของเดือนแรกแห่งปี แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ของจวนติ้งเป่ยโหว
รอจนข่าวนี้ถูกพูดถึงอย่างร้อนแรงและเริ่มเงียบลง ก็มีข่าวที่ไม่ทราบที่มาหลุดออกมาอีกว่า คืนวันที่สิบหกเดือนสิบสองที่จวนอ๋องหนานเหอจัดงานมงคล เผอิญมีโจรร้ายบุกเข้าจวน จนเกือบจะทำให้ชื่อเสียงของท่านหญิงห้าฉู่เยว่เหยียนแห่งวังบูรพาต้องด่างพร้อย โชคดีที่ท่านชายรองแห่งจวนเสนาธิการฝ่ายพิธีการสกุลเหลยมาช่วยไว้ได้ทันเวลา กลายเป็นเรื่องเล่าแสนหวานของชายกล้าผู้พิทักษ์สาวงามไปเสียอย่างนั้น
เรื่องราวถูกตีไข่ใส่สี แม้กระทั่งเกิดขึ้นเกิดขึ้นที่เรือนใดห้องไหนก็ยังเล่าออกมาได้ราวกับตาเห็น
ข่าวซุบซิบพวกนี้ ย่อมมาถึงหูของฉู่สวินหยางอย่างรวดเร็ว
ฉู่สวินหยางเพียงหัวเราะเหอะๆ อย่างไม่ใส่ใจ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทอดถอนใจว่า “สองพี่น้องนั่นเป็นคู่ปรับฝีมือดีที่หาได้ยาก ต่อไปจะประมือกันคงต้องระวังมากเป็นพิเศษ!”
ฉู่หลิงอวิ้นกล้าหาญเด็ดขาดถึงเพียงนั้นหรือ? ถึงได้เสนอตัวแต่งให้กับจางอวิ๋นเจี่ยน? ฉู่สวินหยางไม่เชื่อว่านางจะทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ที่นางทำเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องคำนวณเส้นทางที่จะเดินต่อไว้หมดแล้ว เพียงแต่ไม่รู้เลยจริงๆ ว่านางคิดจะทำอะไรต่ออีก
แน่นอนว่าความดีความชอบในการเกลี้ยกล่อมอ๋องหนานเหอกับชายาให้ยอมรับเรื่องนี้ คงต้องยกให้ฉู่ฉีเหยียนเต็มๆ
ฉู่สวินหยางเบื่อหน่ายเต็มทน มือหนึ่งถือเตาร้อน อีกมือหนึ่งก็เท้าตั่งยันขมับเอาไว้ คาดเดาความคิดของฉู่หลิงอวิ้นและอุบายที่นางจะใช้ต่อจากนี้ ทันใดก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก เป็นฉู่เยว่เหยียนที่นำขบวนสาวใช้รุ่นเล็กรุ่นใหญ่มาโวยวายอยู่ที่หน้าประตูเรือน
เรือนจิ่นฮว่าแห่งนี้ หาใช่ที่ที่นางนึกจะเข้าออกตามอำเภอใจ เมื่อนางเข้ามาไม่ได้ก็เอาแต่แหกปากร้องลั่นอยู่ที่ด้านนอก
“ฉู่สวินหยาง เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ เจ้ามันคนชั้นต่ำใจทรามหน้าไม่อาย ออกมาคุยกับข้าให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้!”
ฉู่สวินหยางนวดหว่างคิ้วอย่างปวดศีรษะ คิดว่าปัญหาช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเกิด ถึงได้ห่มผ้าคลุมตัวใหญ่แล้วเดินออกไป
“นังคนสารเลว!” ฉู่เยว่เหยียนดวงตาแดงก่ำ พอเห็นนางออกมาก็ผลักหญิงรับใช้แก่คนหนึ่งให้พ้นทาง เงื้อมือขึ้นตะปบเข้าใส่ใบหน้าของฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางมุ่นคิ้ว
นางกำลังจะลงมือ ทว่ากลับมีคนในชุดขาวหิมะพุ่งพรวดราวกับสายฟ้าเข้ามาขวางหน้าเอาไว้ รูปมือคล้ายบุรุษนั้นคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของฉู่เยว่เหยียน
ตอนที่ 79 แผนชายงาม (1)
ฉู่เยว่เหยียนตกตะลึง ยังไม่ทันจะมองให้ชัดว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นางก็ถูกเขาผลักข้อมือไปข้างหลังเบาๆ
การเคลื่อนไหวไม่มาก แต่ใช้แรงได้พอดิบพอดี
ฝีเท้าของฉู่เยว่เหยียนซวนเซเล็กน้อย จนต้องถอยลงไปอยู่ด้านล่างของบันได สาวใช้คนสนิทที่พามาด้วยเข้ามาพยุงนางไว้อย่างเงียบๆ
“เจ้า…” ฉู่เยว่เหยียนอับอายจนโกรธ กำลังจะตวาดใส่ก็ทันสังเกตเห็นว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล…
ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะสาวใช้รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ที่นางเกณฑ์มา ต่างไม่มีใครก้าวขึ้นมาช่วยประคองนางเลยสักคน ถึงขนาดไม่ปริปากส่งเสียง กลั้นหายใจ ไม่ยอมปล่อยออกมาสักเฮือกเดียว
ฉู่เยว่เหยียนพลันชะงักคำ หันไปมองตามเสียง
ฉู่สวินหยางปลื้มปริ่มดีใจ นัยน์ตาท่วมท้นด้วยความสุข
นางโผตัวเข้าไปดึงแขนเสื้อของฉู่ฉีเฟิงเอาไว้ เรียกเขา “พี่รอง!”
ฉู่ฉีเฟิงยกมือลูบผมนางเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม และสายตารักใคร่อ่อนโยน
“อากาศหนาวเช่นนี้ไม่ยอมอยู่ในเรือน ยังจะออกมาทำเรื่องไร้สาระกับพวกนี้อีก?”
ฉู่สวินหยางหัวเราะ แต่ไม่ตอบว่ากระไร
คงเพราะเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ฉู่ฉีเฟิงจึงมีเพียงชุดผ้าไหมสีพื้นเรียบง่ายอยู่ตัวเดียว เสื้อคลุมขนสัตว์สีดำตัวใหญ่ถูกเจี่ยงลิ่วหอบไว้ในแขน แม้เขาจะสวมเสื้อผ้าบางมาก แต่สีหน้ายังดู มีชีวิตชีวากระปรี่กระเปร่า
สามเดือนที่ฝึกฝนอยู่ในค่ายทหารเมืองฉู่ ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้ผิวพรรณจะไม่ได้ขาวผ่องดังเก่า แต่ก็ไม่อาจทำลายความสูงส่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดได้ กลางหว่างคิ้วมีความองอาจเพิ่มขึ้นหลายส่วน เว้นแต่สายตาอบอุ่นอ่อนโยนที่มักใช้มองนางคู่นั้นที่ยังเป็นเช่นเก่าไม่เปลี่ยนแปลง
รอยยิ้มที่มุมปากของฉู่สวินหยางกดลึกขึ้นอีกอย่างไม่รู้ตัว
ตอนนี้ฉู่เยว่เหยียนได้สติกลับคืนมาแล้ว
นางออกแรงกัดริมฝีปาก สูดหายใจลึกแล้วเดินไปอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง เอ่ยเสียงเย็นว่า “พี่รอง ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุยกับพี่สาม หากว่าสะดวก ขอพี่รองช่วยหลบไปก่อนได้หรือไม่?”
ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนลำเอียง หากบอกว่าฉู่อี้อันตามใจฉู่สวินหยางจนเกินขอบเขต เช่นนั้นฉู่ฉีเฟิงก็เรียกได้ว่าไม่เคยขัดใจนางเลย
เป็นพี่น้องเหมือนๆ กัน ไม่เห็นว่าฉู่ฉีฮุยจะเข้าข้างนางขนาดนี้!
ฉู่เยว่เหยียนคิดในใจ พลันรู้สึกถึงเกลียดชังขึ้นมา
ฉู่ฉีเฟิงมองนางทีหนึ่ง แต่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ เอ่ยว่า “ที่นี่คือวังบูรพา ไม่มีพื้นที่ใดในจวนนี้ที่ข้าจะอยู่ไม่ได้ เป็นเจ้าเสียมากกว่า มาก่อเรื่องวุ่นวายอะไรกับพี่สามของเจ้า?”
เดิมฉู่เยว่เหยียนมาที่นี่ด้วยเหตุผลที่ครบพร้อม ทั้งหมดล้วนเตรียมการมาอย่างดี สาวใช้บ่าวไพร่ในเรือนก็เกณฑ์มาจนเกือบหมด คิดจะมาทวงความยุติธรรมจากฉู่สวินหยาง
สายตาของฉู่ฉีเฟิงตวัดมองเล็กน้อย เห็นชัดว่าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรแล้ว
สาวใช้บ่าวไพร่ต่างตกใจจนหน้าซีด พยายามหดคอตัวเองให้ต่ำเอาไว้ ในใจอยากจะมุดดินหนีให้จบเรื่อง…
ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนนุ่มนวลสุภาพ กับบ่าวไพร่ก็ปฏิบัติตัวด้วยดีอยู่เสมอ แต่คนในวังบูรพาต่างก็รู้กันทั่ว ความใจดีของเขาผูกติดด้วยเงื่อนไข นั่นก็คือ…
อย่าได้มาแตะต้องข้องแวะกับน้องสาวสุดรักสุดหวงของเขา ฉู่สวินหยาง!
หากว่ามีบ่าวคนใดลบหลู่เขาเข้าโดยไม่ตั้งใจ บางทีเขาอาจไม่ถือสา แต่หากไปหาเรื่องน้องสาวคนดีของเขาเข้า…
ท่านอ๋องน้อยผู้เคยสุภาพอ่อนโยนกว่าใครๆ ก็สามารถลงโทษคนได้อย่างไร้ความปราณี
เมื่อครู่ฉู่เยว่เหยียนลงมือทำร้ายฉู่สวินหยางต่อหน้าเขา ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าสายตาของฉู่ฉีเฟิงในตอนนี้จะทิ่มแทงคนถึงเพียงไหน
ฝืนทนได้เพียงแค่ชั่วหนึ่ง บ่าวไพร่นับสิบคนก็ทรุดตัวลงหมอบ หลบเลี่ยงดวงตากดดันคู่นั้น
ฉู่เยว่เหยียนรู้สึกถึงพลังไร้เสียงสายหนึ่งกดทับด้านบนศีรษะของตน
ความจริง นางเองก็กลัวฉู่ฉีเฟิงอยู่เล็กน้อย เพราะเวลาที่คนผู้นี้โมโห เขาก็หาได้เกรงใจฉู่อี้อันเลยสักนิด
แต่เพราะอยู่ต่อหน้าฉู่สวินหยาง นางจะยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด
“ข้ามาคุยกับพี่สามให้เข้าใจ!” ฉู่เยว่เหยียนแข็งคอสู้ เอ่ยเสียงฟังชัดว่า “ข้าอยากจะถามนางว่า เหตุใดถึงปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงของข้า?”
กล่าวจบก็หันหน้าไปทางฉู่สวินหยาง เค้นถาม “พวกเราเป็นพี่เป็นน้องกัน ทำไมเจ้าต้องใจร้ายกับข้าถึงเพียงนี้?”
ฉู่สวินหยางมองนางคล้ายจะหัวเราะ แม้คำอธิบายสักประโยคก็คร้านจะเอ่ยกับนาง
เมื่อเห็นท่าทางของนางฉู่เยว่เหยียนยิ่งเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ กำลังจะเอ่ยต่อก็ถูกฉู่ฉีเฟิงใช้น้ำเสียงเย็นชาพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “พูดจบแล้วก็กลับเรือนซินอี๋ไปเถอะ หากยังก่อความวุ่นวายเหมือนคนไม่ได้รับการสั่งสอนอีก ข้าจะสั่งลงโทษเจ้าแทนท่านพ่อ!”
วาจาของฉู่ฉีเฟิง หาใช่คำล้อเล่น
สาวใช้ของฉู่เยว่เหยียนเริ่มร้อนรน รีบเข้ามาดึงแขนเสื้อของนางไว้ กระซิบกล่อมว่า “ท่านหญิง กลับเถอะเจ้าค่ะ!”
“ปล่อยนะ!” ฉู่เยว่เหยียนสะบัดนางทิ้งอย่างเกรี้ยวกราด
สาวใช้คนนั้นยืนไม่มั่นคง เซไปด้านหลังจนเกือบจะชนเข้ากับคนที่เพิ่งจะมาถึง พอทรงตัวได้แล้วจึงรีบย่อกายคารวะ “ท่านจ่างซุน!”
ฉู่ฉีฮุยผ่านมาแต่ไกลๆ พอเห็นเหตุการณ์ทางนี้ สีหน้าก็มืดดำไปครึ่งแถบ
“พี่ใหญ่ มาได้เวลาพอดี ข้า…” ฉู่เยว่เหยียนคิดว่ามีคนให้ท้ายนางแล้ว รีบปรี่เข้าไปหาอย่างหน้าชื่นตาบาน
ฉู่ฉีฮุยปรายตาปรามนางทีหนึ่ง แล้วก็ไม่สนใจอีก ฝีเท้าไม่ได้หยุดพัก เดินตรงไปหาฉู่ฉีเฟิงทันที
“น้องรอง!” ฉู่ฉีฮุยสาวเท้ายาวเข้ามา รอยยิ้มกระจายเต็มหน้า คล้ายว่ายินดีปรีดาหนักหนา เขาตบไหล่ฉู่ฉีเฟิงอย่างแรง “กลับมาแต่เมื่อไร? ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย?”
ทั้งวาจา สีหน้าและท่าทางล้วนเสแสร้งได้อย่างแนบเนียน แต่ฉู่สวินหยางยืนอยู่ด้านข้าง ยังมองเห็นรอยยิ้มแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติบนใบหน้าเขาได้
คนในจวนทั้งหมด เกรงว่าผู้ที่ไม่อยากเห็นฉู่ฉีเฟิงปรากฏตัวออกมามากที่สุดก็คือเขานี่แหละ!
ฉู่ฉีเฟิงส่งยิ้มให้เขา แล้วตอบกลับไปสั้นๆ ว่า “เพิ่งถึง!”
สายตาของฉู่ฉีฮุยมีแสงวาบผ่าน รู้แก่ใจดีว่าที่เขากลับมาคราวนี้ต้องเกี่ยวกับการศึกเมืองฉู่ หรือไม่ก็อาจถูกฮ่องเต้เรียกตัวอย่างลับๆ ไม่เช่นนั้นข่าวการกลับมาของเขาคงไม่เก็บงำมิดชิดแม้แต่กับคนในจวน
หัวใจพลันกระตุก ฉู่ฉีฮุยไม่ได้ซักต่ออย่างรู้กาลเทศะ เพียงเอ่ยว่า “กลับมาก็ดี ใกล้จะปีใหม่แล้ว พวกเราครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้า!”
ว่าแล้วก็โอบไหล่เขา ราวกับเป็นคู่พี่น้องที่รักใคร่ปรองดองลึกซึ้ง
ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้หลบเลี่ยง มีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ และพูดคุยอย่างสุภาพตามมารยาทไปสองประโยค
ฉู่เยว่เหยียนที่ถูกลืมไว้ด้านข้างพรวดพราดเข้ามายืนอยู่หน้าคนทั้งสองอย่างทนไม่ไหว เอ่ยเสียงดังว่า “พี่ใหญ่มาก็ดีแล้ว ฉู่สวินหยางมันทำร้ายข้า พี่ต้องเป็นพยานให้ข้านะ!”
คำยังไม่ทันจบดี ฉู่ฉีฮุยก็ตวัดตาขวางใส่ สั่งสอนนางว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? นางเป็นพี่สามของเจ้านะ!”
ฉู่เยว่เหยียนถูกเขาตวาดใส่จนตาแดงก่ำ ไม่คิดว่าเขาจะเข้าข้างคนอื่น และไม่พยายามปกป้องตนเลยสักนิด
ฉู่ฉีฮุยไม่ได้ถูกน้ำตาของนางทำให้ใจอ่อน ยังดุด่าต่ออย่างรุนแรงว่า “ยังไม่รีบกลับเรือนตัวเองไปอีก? มาโหวกเหวกตรงนี้มันเหมาะสมหรือไม่?”
“ข้าไม่กลับ!” ในที่สุดฉู่เยว่เหยียนก็ปล่อยโฮออกมา นิ้วชี้ไปทางฉู่สวินหยาง ร้องว่า “นางทำร้ายข้า คนอื่นไม่ใยดีข้าก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่ช่วยข้า?”
ฉู่ฉีฮุยเองก็เก็บกดอารมณ์อยู่นานแล้ว ยกมือสั่งให้สาวใช้ลากนางออกไป
นัยน์ตาของฉู่ฉีเฟิงเต้นระริก ขยับมาข้างหน้าเล็กน้อยอย่างไร้เสียง ก่อนจะยกแขนขวางเอาไว้ เอ่ยว่า “ข้าเพิ่งกลับมาถึง อีกเดี๋ยวต้องไปคารวะท่านพ่อที่ หากน้องห้ามีเรื่องอัดอั้นอยากร้องทุกข์ เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันเลยเถอะ ทุกเรื่อง… ล้วนให้ท่านพ่อเป็นผู้ตัดสิน!”
ฉู่ฉีฮุยกระวนกระวายทันที ตั้งท่าจะปฏิเสธ ทว่าฉู่เยว่เหยียนกลับทำตาเป็นประกาย ถลึงตาใส่ฉู่สวินหยางทีหนึ่งอย่างดุร้าย “ดีสิ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะแก้ตัวเรื่องนี้กับท่านพ่ออย่างไร!”
กล่าวจบก็เชิดหน้าเหมือนไก่ชนที่เย่อหยิ่ง หมุนตัวเดินจากไป
ฉู่ฉีฮุยอยากจะห้ามแต่ก็ไร้ปัญญา ขณะที่ร้อนรนจึงทำได้เพียงเบี่ยงประเด็นไปอีกเรื่องว่า “น้องรอง เหยียนเอ๋อร์ยังเล็กไม่รู้ความ เจ้าอย่าถือสาหาความกับนางเลย นาง…”
“จะเรื่องใดก็ให้ท่านพ่อตัดสินเถอะ พี่ใหญ่อย่าได้คิดมาก!” ฉู่ฉีเฟิงขยับยิ้มน้อยๆ คิดยืมมือของผู้อื่นมาจัดการเรื่องราวแทน
จากนั้นก็เดินผ่านเขาไป ส่งสายตาไปทางฉู่สวินหยาง เอ่ยว่า “เจ้าก็ไปพร้อมข้าเลยเถอะ!”
“ก็ได้!” ฉู่สวินหยางพยักหน้ารับ
พี่ชายน้องสาวจึงเดินเคียงไหล่ไปที่ส่วนหน้าของจวน
ฉู่ฉีฮุยอับจนหนทาง ได้แต่เดินตามหลังไป
————————————————————————
ตอนที่ 79 แผนชายงาม (2)
แม้ฉู่ฉีเฟิงจะดูเหมือนว่ากลับมากะทันหัน ทว่าฉู่อี้อันรับรู้ถึงการเดินทางของเขาแต่ทีแรกแล้ว ฉะนั้นวันนี้จึงกลับมาถึงจวนเร็วกว่าปกติถึงสองชั่วยาม เวลานี้กำลังนั่งอ่านจดหมายราชการต่างๆ อยู่ที่ห้องหนังสือของตัวเอง
แน่นอนว่าเขาคงไม่เรียกคนกลุ่มใหญ่เข้าไปด้านในทั้งหมด พ่อบ้านเฉิงเข้าไปรายงาน คนอื่นๆ ย้ายไปนั่งรอที่เรือนรับแขกข้างห้องหนังสือ ระหว่างนั้นฉู่ฉีฮุยพยายามจะอ้าปากพูดอยู่หลายครั้ง แต่ฉู่ฉีเฟิงทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ให้เขามีโอกาสตัดเข้าประเด็นเลย
ส่วนฉู่เยว่เหยียนที่อยู่ด้านข้างก็เอาแต่จิกตามองฉู่สวินหยางเหมือนกับไก่ แทบจะกลืนนางเข้าไปทั้งตัวเพื่อระบายความโมโห
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ฉู่อี้อันถึงสะสางกิจสำคัญในมือจนเสร็จ แล้วเดินเข้ามาในห้อง
“ท่านพ่อ!” ทุกคนรีบพากันลุกขึ้นแล้วทำการคารวะ
“อืม!” ฉู่อี้อันทำเสียงรับรู้เบาๆ ปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ได้หันมองใครมากเป็นพิเศษ เพียงเดินตรงเข้าไปนั่งอย่างน่าเกรงขาม
สาวใช้ยกชาให้เรียบร้อยแล้วก็ล่าถอยออกไปอย่างรู้ความ
ฉู่อี้อันถึงได้เบนสายตาไปมองฉู่ฉีเฟิง เอ่ยว่า “เข้าวังไปพบเสด็จปู่ของเจ้าแล้วหรือยัง?”
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงตอบ “เกี่ยวกับสถานการณ์ของค่ายทหารเมืองฉู่ในระยะนี้ มีหลายเรื่องที่แม่ทัพฮั่วฝากให้ลูกถวายรายงานแทน ลูกจึงเข้าวังไปเฝ้าพระองค์ก่อน!”
“อืม!” ฉู่อี้อันพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่ออีก
ฉู่ฉีฮุยคอยลอบสังเกตและพิจารณาทุกการกระทำของฉู่อี้อันจากด้านข้างตลอดเวลา ไม่ยอมให้การเคลื่อนไหวหรือสายตาใดๆ หลุดรอดไปได้ เมื่อพบว่าท่าทีของเขาที่มีต่อฉู่ฉีเฟิงดูเป็นปกติ ถึงค่อยวางใจลงได้
เกี่ยวกับค่ายทหารทางนั้น ทั้งฉู่อี้อันกับฉู่ฉีเฟิงสองพ่อลูกต่างก็รู้กันดีอยู่แล้ว จึงไม่ได้เอ่ยถึงอีก เพียงแค่สอบถามเหตุการณ์ทั่วๆ ไประหว่างที่ฉู่ฉีเฟิงเดินทางกลับเมืองหลวง
ใจของฉู่เยว่เหยียนร้อนเป็นไฟ รอจนบทสนทนาของทั้งคู่จบลงก็เด้งตัวจากเก้าอี้แล้วเดินออกไป คุกเข่าหลังตรงแน่วเบื้องหน้าฉู่อี้อัน
“ท่านพ่อ ขอให้ท่านพ่อเป็นพยานให้ลูกด้วย!”
สายตาของฉู่ฉีฮุยเย็นเยือก ไอสังหารรุนแรงพุ่งออกจากดวงตา ตวาดใส่อย่างร้อนรนว่า “พูดเหลวไหลอะไร? ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก!”
ฉู่เยว่เหยียนเดิมก็โทษว่าเขาไม่เข้าข้าง เวลานี้จึงจ้องตาตอบอย่างดื้อรั้นจากนั้นก็โขกศีรษะให้ฉู่อี้อัน กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านต้องเป็นพยานให้ลูก ชื่อเสียงของลูกกำลังถูกคนอื่นทำให้มัวหมอง หากท่านมองผ่านไม่จัดการ ลูก
ก็เหลือเพียงความตายเป็นหนทางเดียวแล้ว!”
ฉู่อี้อันเงยหน้ามองนาง ไม่เอ่ยถามอะไรสักอย่าง ฉู่เยว่เหยียนพลันหันไปชี้นิ้วใส่ฉู่สวินหยางอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เพราะนางทั้งนั้น! ครั้งก่อนตอนอยู่จวนอ๋องหนานเหอข้าแค่ไม่ทันระวังเลยเป็นลมไป ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แต่นางกลับให้คนไปปล่อยข่าวมั่วๆ พูดว่า…พูดว่า…”
นางเล่าไปก็กระอึกกระอักพลางหน้าขึ้นสี กัดริมฝีปากอย่างแรง จ้องหน้าฉู่อี้อันแล้วน้ำตาไหลพราก
“ท่านพ่อ ลูกกับเหลยซวี่ ไม่มีอะไรกันทั้งนั้น แต่นางกลับกระจายข่าวลือออกไปเพื่อทำลายชื่อเสียงข้า นางคงไม่อยากให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!”
แม้จะไม่มีใครคล้อยตามนาง แต่ฉู่เยว่เหยียนก็ปล่อยโฮออกมาด้วยตัวเองแล้ว
“ท่านพ่…” ฉู่ฉีฮุยร้อนใจ อ้าปากจะพูด แต่ถูกฉู่อี้อันยกมือห้ามไว้ก่อน
ฉู่ฉีฮุยได้แต่หุบปากฉับ จ้องเขม็งที่ฉู่เยว่เหยียนทั้งอัดอั้นและหวาดกลัว
ฉู่อี้อันนั่งนิ่ง ราวกับว่าไม่มีเรื่องใดมาทำลายความสุขุมของเขาได้ เขายกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ แล้วพูดกับฉู่เยว่เหยียนว่า “เจ้าลุกไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ก่อนเถอะ!”
ฉู่เยว่เหยียนดีใจ ตอนที่ปีนขึ้นมายังไม่ลืมยักคิ้วส่งให้ฉู่สวินหยางทีหนึ่ง
“ท่านพ่อ ก็แค่ประโยคเลื่อนลอยไร้สาระ ความจริงแล้ว…” ฉู่ฉีฮุยหยุดคิดเล็กน้อย แต่ก็อดจะเอ่ยลองเชิงออกมาไม่ได้
“เดิมทีข้าก็กำลังจะเรียกเจ้ามาจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว” ฉู่อี้อันตัดบทเขา เอ่ยไปตามตรงว่า “วันสองวันนี้ เจ้าก็หาเวลาไปจวนท่านตาของเจ้าหน่อย กำหนดงานมงคลของเหยียนเอ๋อร์กับสกุลเหลยให้เรียบร้อยเสีย!”
“ว่าไงนะ?” ฉู่เยว่เหยียนเหมือนถูกฟ้าผ่า ถ้วยชาในมือร่วงลงพื้นดังเพล้ง แตกละเอียดไม่เหลือดี ตกตะลึงหน้าขาวเผือดอยู่ตรงนั้น ราวกับร่างกายไม่อาจย่อยสลายประโยคนั้นได้
ฉู่อี้อันไม่สนใจนาง พูดต่อไปตามแผนที่คิดไว้แต่แรก “เหยียนเอ๋อร์อายุยังน้อย งานแต่งอาจเลื่อนออกไปอีกสักสองปีก่อน รอให้นางปักปิ่นก็ยังไม่สาย เรื่องส่วนอื่นก็รีบจัดการแต่เนิ่นๆ”
ฉู่ฉีฮุยโอดครวญในใจ แต่ก็ยังรับปากด้วยใบหน้ายินดี “ขอรับ ลูกทราบแล้วว่าควรทำอย่างไร!”
ฉู่เยว่เหยียนเพิ่งจะเข้าใจอะไรๆ นางมองฉู่อี้อัน เอ่ยอย่างไม่อาจทำใจเชื่อได้ “ท่านพ่อ ท่านหมายถึงว่า ให้ข้าแต่งงานกับเหลยซวี่หรือ?”
เหลยซวี่ผู้นั้นเป็นเศษสวะที่บู๊ไม่ได้ความ บุ๋นไม่เอาไหน นอกจากเที่ยวเล่นดื่มกินแล้วยังทำอะไรเป็นอีก? หากเขาไม่ได้เป็นลูกผู้พี่ของนาง นางไม่อยากจะมองหน้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ฉู่อี้อันกลับบอกให้นางแต่งกับเหลยซวี่?
นี่มันน่าตลกสิ้นดี!
ฉู่อี้อันย่อมไม่อธิบายมากความกับนางอีก
ฉู่ฉีฮุยกลัวอย่างเดียวว่านางจะก่อเรื่องจนฉู่อี้อันโมโห รีบเอ่ยว่า “สิ่งที่ท่านพ่อเลือกย่อมจะดีกับตัวเจ้า ยังไม่รีบขอบคุณอีก!”
“ข้าไม่ยอม!” ฉู่เยว่เหยียนประกาศกร้าว
การตัดสินใจของฉู่อี้อันย่อมถือว่าเป็นที่สิ้นสุด จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
ฉู่เยว่เหยียนจะกระโจนตามไป แต่ถูกฉู่ฉีฮุยลากเอาไว้ นางสู้แรงไม่ไหว ได้แต่เบิกตามองตามหลังฉู่อี้อัน
พ่อบ้านเฉิงรออยู่ที่หน้าประตู
ตอนที่ฉู่อี้อันเดินผ่านเขาก็เอ่ยปากสั่งความไปด้วยว่า “อีกเดี๋ยวเจ้านำคำของข้าไปบอกที่ห้องพระ ให้คนแซ่เหลยออกหน้าจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง อบรมสั่งสอนท่านหญิงห้าให้ดี เสร็จแล้วก็สั่งให้คนไปเก็บกวาดจวนแถวหมู่บ้านซานเหอนอกเมือง พอพ้นปีใหม่ก็ส่งท่านหญิงห้าไปอยู่ที่นั่น ให้นางเตรียมตัวออกเรือนอย่างสงบ!”
ไม่เพียงกำหนดงานมงคลอย่างลวกๆ ให้นาง ยังจะขับไล่กันอย่างไม่บอกกล่าวอีก?
หากว่าตัวนางยังอยู่วังบูรพาหรือว่าในเมืองหลวง ต่อไปสถานการณ์อาจพลิกผันกลับมาได้ แต่ถ้าถูกส่งออกไปแล้ว เรื่องนี้ก็หมดทางจะแก้ไขได้อีก
ฉู่เยว่เหยียนร้องโหยหวนอย่างหมดหวัง โถมตัวใส่อ้อมแขนฉู่ฉีฮุยแล้วร้องไห้โฮ
ฉู่ฉีฮุยแอบตกใจอยู่เงียบๆ…
ชายารองเหลยถูกกักตัวอยู่สามเดือน เขาก็อ้อนวอนทั้งโดยตรงโดยนัยนับครั้งไม่ถ้วน แต่ฉู่อี้อันก็ไม่ยอมรับปากจะปล่อยนางเสียที คราวนี้กลับอาศัยเรื่องของฉู่เยว่เหยียนมาแสดงความเมตตา ความจริงเบื้องหลังนั้น ท่านพ่อกำลังเตือนเขา…
ท่านพ่อไม่อยากจะเห็นคนเหล่านี้ใช้อุบายหยาบช้าแทงข้างหลังกันอีก ความเป็นตายของพวกเขาหาใช่เรื่องมีเกียรติหรือเสื่อมเสีย ทั้งหมดล้วนเป็นแค่ความคิดที่แวบผ่านสมองเท่านั้น
ฉู่ฉีฮุยตกอยู่ในภวังค์อย่างไม่อาจถอนตัว ฉู่เยว่เหยียนร่ำไห้ไปก็ไร้ผล พลันสะบัดหน้าขึ้นมองฉู่สวินหยาง เอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้าใช่ไหม? เจ้าจงใจให้คนปล่อยข่าวเสียหายออกไป ให้ข้าถูกไล่ออกจากจวน? ตอนนี้เจ้ามีความสุขแล้วใช่ไหม? พอใจ? ภูมิใจแล้วหรือยัง?”
ฉู่สวินหยางมองนางยิ้มๆ เอ่ยด้วยดวงหน้าไม่เปลี่ยนอารมณ์ “น้องห้าคงดีใจจนเลอะเลือน พี่ใหญ่ต้องช่วยชี้แนะนางหน่อยแล้วล่ะ”
“เจ้า…” ดีใจ? มีอะไรน่าดีใจหรือ? ฉู่เยว่เหยียนนิ่งอึ้งไปพักใหญ่เพราะคำพูดของนาง
มุมปากของฉู่ฉีฮุยกระตุกค้าง มองนางด้วยอารมณ์ที่ตีกันมั่วไปหมด ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
“แม้น้องห้าจะเลอะเลือน แต่คิดว่าพี่ใหญ่คงกระจ่างแก่ใจดี ในเมื่อพวกเราอยู่พร้อมหน้ากันตรงนี้แล้ว ก็ควรจะคุยกันให้เข้าใจไปเสีย ต่อไปจะได้ไม่ต้องเข้าใจผิด ให้เบาะแว้งกันจนบ้านไร้ความสงบ มีแต่สร้างความหนักใจให้ท่านพ่อไม่จบสิ้น!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวเบาๆ แล้วหลุบตาจิบน้ำชา “ข่าวลือพวกนั้นแท้จริงแล้วมาจากไหน? พี่ใหญ่ เจ้าพอรู้บ้างหรือไม่เล่า?”
ฉู่ฉีฮุยสีหน้าย่ำแย่ ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก ฉู่เยว่เหยียนก็เด้งตัวออกจากอ้อมแขนเขา พูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “พี่รองเพิ่งกลับมา ข้าถึงไม่โทษว่าพี่ไม่เข้าใจ แต่ทำไมพี่ไม่ลองถามน้องสาวตัวดีของพี่ดูล่ะ ว่านางทำอะไรไปบ้าง? เห็นชัดๆ ว่าเป็นฝีมือนาง เป็นนางที่จิตใจหยาบช้าคิดทำลายข้า!”
ฉู่เยว่เหยียนคิดไป ก็ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บแค้น เดินกลับไปนั่งแล้วฟุบหน้าร้องไห้กับโต๊ะต่อ
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบมองนางทีหนึ่ง เอ่ยเสียงกระด้างว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องถามใคร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสืบสวนอะไรด้วย น้องสาวของข้าเป็นคนอย่างไรข้าย่อมรู้ดี เรื่องสกปรกอย่างการสาดโคลนลับหลังคน นางไม่ลดตัวลงไปทำเด็ดขาด!”
————————————————————————
ตอนที่ 79 แผนชายงาม (3)
เขาเพิ่งจะกลับมา แม้จะไม่มั่นใจว่าฉู่สวินหยางเป็นคนสั่งให้ปล่อยข่าวจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ต่อให้นางเป็นคนทำ นางก็ย่อมมีเหตุผลของนาง
“ไม่ใช่นางแล้วจะเป็นใคร?” ฉู่เยว่เหยียนตาแดงก่ำ แหกปากถามเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บ
“พี่ใหญ่ว่าอย่างไรเล่า?” ฉู่ฉีเฟิงถาม พลางมองฉู่ฉีฮุยอย่างใจเย็น
เส้นเลือดบนขมับของฉู่ฉีฮุยค่อยๆ ปูดนูน ดูท่าคงจะอดกลั้นไว้ไม่เบา
ฉู่เยว่เหยียนเห็นเช่นนั้น ในใจก็ให้ระแวงสงสัย น้ำตาพลันหยุดไหลดื้อๆ กระพริบตาปริบๆ มองเขา
สายตาของฉู่ฉีฮุยตกอยู่ที่ดวงหน้าของฉู่สวินหยาง สุดท้ายก็ตอบว่า “เหยียนเอ๋อร์ เรื่องนี้เจ้าเข้าใจสวินหยางผิดไปจริงๆ นางไม่ได้เป็นคนปล่อยข่าวลือหรอก”
ฉู่เยว่เหยียนชะงักไป ลุกขึ้นอย่างงุนงง สายตามีโฟโทสะลุกโชน “ไม่ใช่นาง? แล้วจะเป็นใครได้อีก?”
ฉู่ฉีฮุยพลันหัวเราะเสียงขื่น สายตาที่จ้องมองฉู่สวินหยางยิ่งซับซ้อนยากจะเข้าใจ ก่อนจะกัดฟันค่อยๆ อธิบายว่า “เป็นป้าสะใภ้!”
ฮูหยินเหลย มารดาของเหลยซวี่เป็นคนสั่งให้ปล่อยข่าวนี้ออกไป!
เดิมทีตอนที่ได้ยินข่าว เขาก็ยังตาพราวเป็นประกาย รีบสั่งให้คนไปหาหลักฐาน เพราะก่อนหน้านี้ฉู่สวินหยางเคยขู่ว่าจะทำให้ฉู่เยว่เหยียนกับเหลยซวี่ได้สนิทสนมกันยิ่งกว่าเก่า เขาจึงเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของฉู่สวินหยาง ขอเพียงกุมจุดอ่อนของนางได้ ต่อให้ท่านพ่อจะลำเอียงรักนางเพียงใด ก็ไม่อาจนั่งมองเฉยๆ แน่
แต่พอตรวจสอบจนกระจ่างแล้ว กลับพบเรื่องราวไม่เป็นดั่งที่เขาคิด…
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉู่สวินหยางเลยสักนิด ฮูหยินเหลยต่างหากที่เป็นคนทำ
เขาอดจะยอมรับความเก่งกาจของฉู่สวินหยางไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นที่อยู่กับคนแซ่เจิ้ง ก่อนที่จะกลับนางได้ทิ้งประโยคหมิ่นเหม่คลุมเครือเอาไว้ คล้ายเจตนาจะเอาชนะฉู่เยว่เหยา แต่ความจริงแล้วนางจงใจชี้ทางให้ฮูหยินเหลยมองเห็นถึงโอกาสที่จะได้เกี่ยวดองกับวังบูรพา
ฮูหยินเหลยผู้นั้นเป็นคนสายตาคับแคบเห็นแก่ได้โอกาสดีๆ อย่างนี้มีหรือจะยอมปล่อยให้หลุดมือ?
ดังนั้นนางจึงติดกับตามแผน เดินตามเส้นทางที่ฉู่สวินหยางเตรียมเอาไว้ทั้งหมด
แต่น่าแค้นใจนัก เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนถูกฉู่สวินหยางควบคุมไว้ในฝ่ามือ ทว่ามือนางกลับไม่เปื้อนเลือดเลยสักนิด เปิดเผยให้คนรู้ว่านางอยู่เบื้องหลัง แต่กลับไร้หนทางจะแตะต้องนาง!
“ป้าสะใภ้?” ฉู่เยว่เหยียนนึกออกในทันใด สีหน้าคาดไม่ถึง
ฮูหยินเหลยเป็นคนทำ? นางกล้า? นางทำได้อย่างไร?
ฉู่ฉีเฟิงไม่อยากพัวพันกับสองพี่น้องคู่นี้อีก วางถ้วยชาในมือแล้วยืนขึ้น เอ่ยว่า “ท่านพ่อมอบหมายงานให้ พี่ใหญ่คงจะยุ่ง พวกเราวันหน้าค่อยมาระลึกความหลังกันใหม่ สวินหยาง ไปเถอะ!”
ฉู่สวินหยางย่อมคิดไม่ต่างกัน หยัดกายเดินตามเขาออกไปอย่างไม่ต้องหยุดคิด
เรือนรับแขกหลังโต เพียงชั่วพริบตาก็เหลือแค่ฉู่ฉีฮุยกับฉู่เยว่เหยียนสองคนเท่านั้น
ฉู่เยว่เหยียนนิ่งไปนาน จะเค้นสมองอย่างไรก็ไม่เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดฮูหยินเหลยถึงทำเช่นนี้กับนาง
สุดท้าย นางก็เงยหน้าไปมองฉู่ฉีฮุยอย่างฉงน “พี่ใหญ่…”
“ไม่ต้องถามแล้ว จะโทษก็โทษที่เจ้าไร้ความสามารถเถอะ!” ฉู่ฉีฮุยเอ่ย มุมปากกระตุกหยัน มองทิศทางที่คนสองคนหายลับไป “เจ้าไม่ต้องสงสัยหรอกว่ามันจริงหรือไม่ ข้าสั่งคนไปสืบแล้ว ต่อให้เจ้าโวยวายเท่าไร ก็เอาผิดฉู่สวินหยางไม่ได้อยู่ดี”
นังเด็กนั่น ไม่ธรรมดา!
ฉู่เยว่เหยียนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กระทืบเท้าอย่างอัดอั้นใจ “แล้วจะทำอย่างไร? หรือว่าข้าต้องแต่งให้เหลยซวี่จริงๆ? ตานั่นเป็นคนยังไง พี่ไม่รู้หรือ?”
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร? คำสั่งของท่านพ่อ ถ้าเจ้าไม่ยอมแต่งก็ไปบอกกับท่านเองสิ” ฉู่ฉีฮุยเอ่ยอย่างรำคาญ ยกน้ำชาที่เย็นชืดกระดกล้างคอ
ฉู่เยว่เหยียนเห็นท่าทางไม่ยี่หระของเขาก็หงุดหงิด พลันอารมณ์เสียขึ้นมาบ้าง ร้องเหอะทีหนึ่งแล้วเดิมดุ่มๆ ไปด้านนอก “ไปก็ไปสิ ข้าไม่แต่ง พวกเจ้าจะบีบคอให้ข้าแต่งได้หรือไง!”
ฉู่ฉีฮุยไม่ได้ห้ามนาง เพียงแสยะยิ้มส่งตามหลัง “เจ้าอยากจะไปก็ไปเถอะ จะก่อเรื่องอย่างไร ก็คงไม่เลวร้ายไปกว่าที่ฉู่หลิงอวิ้นเจอแล้วล่ะ!”
ฉู่เยว่เหยียนเหมือนโดนฟ้าฝ่ากลางกบาล เท้าชะงักกึก ไม่กล้าเดินแม้แต่ครึ่งก้าว
ฉู่หลิงอวิ้นทางนั้น ขนาดมีฮองเฮาหลัวคอยหนุนหลัง ยังไม่อาจขืนชะตาได้ และถ้าหากนางยังไม่ยอมหยุด จะต้องเจอจุดจบเช่นไร?
แต่จะให้นางแต่งกับเหลยซวี่ นางก็ทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ
เมื่อเจอทางตันไปทุกด้าน ฉู่เยว่เหยียนจึงทรุดตัวนั่งยองบนพื้น กุมศีรษะกรีดร้องไม่หยุด
ฉู่ฉีฮุยไม่พูดอะไร เพียงเดินผ่านนางออกไปข้างนอกอย่างเงียบๆ
วันเดียวกันนี้เอง ฝั่งจวนอ๋องหนานเหอก็ไม่อาจหาความสงบได้
วันนี้เป็นวันกลับบ้านของฉู่หลิงซิ่วหลังจากแต่งออกไปครบสามวันตามประเพณี แต่ด้วยสกุลซูกับจวนอ๋องหนานเหอกลายเป็นศัตรูกัน ซูหลินย่อมไม่ยอมมาแน่ ทว่าต้องไว้หน้าฮ่องเต้ที่อยู่ในวัง จึงปล่อยฉู่หลิงซิ่วออกมาอย่างไม่มีทางเลือก
ฉู่หลิงซิ่วไปอยู่จวนสกุลซูได้สามวัน ระยะเวลาเพียงเท่านี้ก็ผ่ายผอมซูบลงจนสะดุดตา สีหน้าอมทุกข์ แม้จะลงแป้งจนหนาแต่ก็ไม่อาจกลบปิดร่องรอยบาดแผลบนหน้าได้ทั้งหมด
ความจริงวันนี้นางไม่อยากกลับมาเลย อยู่ที่จวนสกุลซู แม้ซูหลินจะไม่ชอบนาง แต่ด้วยมีราชโองการของฮ่องเต้ค้ำคออยู่ เขาจึงได้แต่ขังนางเอาไว้ ไม่ได้ทำอะไรนางอีก แต่กลับมาจวนอ๋องหนานเหอคราวนี้ คนแซ่เจิ้งคงถลกหนังของนางแน่
ดวงตาของฉู่หลิงซิ่วหดเล็กด้วยความหวาดกลัว ฝืนใจพาตัวผ่านประตูใหญ่หน้าจวนเข้าไป
แม้ซูหลินจะไม่ได้มาด้วย แต่ซูหว่านกลับออกตัวขอตามมาแทน
ขณะกำลังรอคนแซ่เจิ้งอยู่ที่เรือนรับรอง ฉู่หลิงซิ่วไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสักครั้ง เอาแต่ใช้นิ้วพันผ้าเช็ดหน้าไปมาอย่างกระวนกระวาย
ซูหว่านนั่งดื่มชาอยู่ด้านข้าง ตวัดสายตามามองนางเป็นพักๆ แสดงชัดถึงความดูถูก
คนแซ่เจิ้งจงใจให้พวกนางรอจนแกร่ว ทั้งสองนั่งอยู่ร่วมครึ่งชั่วยาม ถึงค่อยเห็นป้ากู้ประคองแขนนางเข้ามาจากด้านนอก
ฉู่หลิงซิ่วเกร็งไปทั่วร่าง ก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้น เอ่ยเสียงแผ่วว่า “หลิงซิ่วคารวะท่านแม่!”
คนแซ่เจิ้งกำลังหัวใจสลายเพราะเรื่องของฉู่หลิงอวิ้น ทั้งที่รู้เต็มอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางแต่กลับแสดงความชิงชังที่อัดแน่นอยู่เต็มท้องออกมาอย่างไม่ปิดบัง เอาแต่ใช้สายตาน่ากลัวมองนาง
นางไม่เปิดปาก ฉู่หลิงซิ่วยิ่งขนลุกชันไปทั้งตัว เกือบจะทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา
ซูหว่านก็ไม่ได้สนใจจะออกหน้าช่วยนาง เพียงกล่าวกับคนแซ่เจิ้งว่า “พระชายา ท่านหญิงอันเล่อสบายดีไหม? ข้าอยากจะไปคุยเล่นกับนางสักหน่อย ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่?”
คนแซ่เจิ้งหันมามองซูหว่านทีหนึ่ง นางไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อคนสกุลซูนัก แต่นึกได้ว่าในมือของซูหว่านยังกำจุดอ่อนของฉู่หลิงอวิ้นเอาไว้ ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะสั่งคนให้ไปถามความ
รอจนได้รับคำตอบจากฉู่หลิงอวิ้นแล้ว ซูหว่านก็จากไปหาฉู่หลิงอวิ้นเพียงลำพัง
หลังจากที่กำหนดฤกษ์แต่งงานได้แล้ว ฉู่หลิงอวิ้นก็เริ่มเก็บเนื้อเก็บตัว แม้จะอยู่ในจวนก็ขังตัวเงียบอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมาพบหน้าผู้คน
ตอนที่ซูหว่านผลักประตูเข้าไปนางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพอดี มือกำลังเลือกเครื่องประดับอย่างอ้อยอิ่ง แต่ดวงหน้าที่สะท้อนในกระจกกลับซูบเซียวกว่าหลายวันก่อน ทว่าด้วยรูปโฉมที่โดดเด่น มองแล้วก็เหมือนกิ่งเหมยต้องลมแรง บุรุษใดได้เห็นเกรงแต่จะสงสารเห็นใจ
ในใจของซูหว่านยังโกรธเคืองเรื่องวันงานมงคล ส่งเสียงเหอะใส่แล้วเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งที่ตั่งข้างๆ จากนั้นเปิดประเด็นด้วยท่าทีที่เหนือกว่าว่า “เรื่องในวันนั้น เจ้าต้องให้คำอธิบายแก่ข้า!”
ทั้งๆ ที่แผนทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่ฉู่สวินหยาง ต่อสุดท้ายนางกลับเป็นลมล้มพับไปด้วย หลายวันนี้ข่าวลือเรื่องฉู่เยว่เหยียนถูกกระพือไปทั่ว นางได้ฟังก็อดจะหวั่นใจไม่ได้ ยังดีที่อีกฝ่ายโจมตีแค่ฉู่เยว่เหยียน ไม่ได้ลากนางเข้าไปเกี่ยว
“อธิบายอะไร?” ฉู่หลิงอวิ้นส่งเสียงเหอะกลับไป เอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “นี่ยังชัดเจนไม่พอ? พวกเราสู้อีกฝ่ายไม่ได้จนถูกซ้อนแผนกลับมา วันนี้เจ้ามาเอาคำอธิบายกับข้า? จะให้ข้าอธิบายอะไร?”
“แต่พวกเราตกลงกันไว้แล้ว!” ซูหว่านไม่พอใจ น้ำเสียงเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ “ในเมื่อฉู่สวินหยางไม่หลงกล เหตุใดสาวใช้ของเจ้าไม่มาแจ้งข้าก่อน นี่ข้าหาทางรับมือไม่ทัน จนเกือบจะแย่ไปด้วยแล้ว!”
คิ้วของฉู่หลิงอวิ้นขมวดมุ่น แต่ไม่ได้เถียงกลับ เพียงหลุดออกมาสั้นๆ ว่า “ข้าไม่รู้!”
ซูหว่านอึ้งไป ดวงหน้ามีความเดือดดาลเคลือบเพิ่มอีกชั้น
————————————————————————
ตอนที่ 79 แผนชายงาม (4)
ฉู่หลิงอวิ้นหลุบตาลงเล็กน้อย หันเสี้ยวหน้าด้านข้างไปหานาง จึงไม่รู้แน่ชัดว่านางทำหน้าอย่างไร
ซูหว่านยังอยากจะถามต่อ แต่พอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้น ก็เริ่มลังเลขึ้นมา…
ภายหลังฉู่หลิงอวิ้นก็โดนเล่นงาน เป็นไปได้ว่าตอนนั้นคงหลงกลอีกฝ่ายไปแล้ว ถ้านางจะไม่ทันนึกเรื่องการแจ้งเปลี่ยนแผนให้ตนรู้ ก็ถือว่าเข้าใจได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความเกรี้ยวกราดที่ทับถมอยู่ในใจก็ค่อยคลายลง ทว่าน้ำเสียงก็ยังไม่สู้จะเป็นมิตรนัก “อืม เรื่องนี้เจ้าเองก็ควบคุมมันไม่ได้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉู่หลิงซิ่วล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้ก็บอกไปชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ “เช้าวันนั้นนางกับทะเลาะกับข้า คงเจ็บใจเลยหาทางเอาคืน”
“อย่างฉู่หลิงซิ่วน่ะรึ? เอาคืนเจ้า?” ซูหว่านได้ฟังก็หัวเราะยกใหญ่ราวกับได้ยินเรื่องตลก
นางใช้สายตาคมกริบมองฉู่หลิงอวิ้น มันแฝงความเกลียดชังและเยาะหยันอย่างชัดเจน เอ่ยเสียงเย็นว่า “คำนี้เจ้าเอาไปหลอกคนอื่นเถอะ ข้าเพิ่งรู้จักเจ้าเป็นวันแรกหรือไง? คิดว่าข้าโง่งั้นรึ?”
นิ้วมือของฉู่หลิงอวิ้นลูบไล้ทับทิมที่ฝังอยู่บนปิ่นปักผม ท่าทางแปลกออกไปจากปกติ ไร้ซึ่งโทสะอย่างที่ควรจะเป็น แล้วตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “งั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น? หากไม่ใช่ฝีมือนาง? เหตุใดข้าต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?”
นางไม่ชอบซูหลิน เรื่องนี้สองพี่น้องสกุลซูก็รับรู้ได้ หากนางหลบเลี่ยงงานแต่งก็ไม่เรื่องน่าแปลกใจอะไร แต่หากจะพูดว่าเพื่อที่จะปฏิเสธการเกี่ยวดองกับสกุลซู นางถึงกับยอมทำลายอนาคตทั้งชีวิตของตัวเอง เช่นนี้…
ไม่ว่าใครก็ต้องฟังแล้วสะดุดใจทั้งนั้น
ฉู่หลิงอวิ้นเงยหน้าขึ้นมองซูหว่าน ส่งยิ้มเศร้าสร้อยให้นาง “หว่านเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าเชื่อไปแล้วว่าข้าคิดร้ายต่อเจ้า ทำเรื่องที่ผิดต่อพี่ชายของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาหน่อยเถอะ ว่าข้าจะทำเช่นนั้นทำไม?”
ซูหว่านเองก็เป็นสตรี ย่อมเข้าใจดีถึงความสำคัญของคู่ครองที่จะอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิต
ถ้าแค่ฉู่หลิงซิ่วแต่งงานเข้าสกุลซูแทนนางก็ค่อยฟังขึ้นหน่อย แต่เรื่องราวที่ตามมาหลังจากนั้น…
นางรู้ดีกว่าใครๆ ว่าฉู่หลิงอวิ้นหยิ่งยโสเพียงไหน จะบอกว่านางปฏิเสธการแต่งงานกับสกุลซูก็เพื่อคนอย่างจางอวิ๋นเจี่ยน?
ตีนางให้ตาย นางก็ไม่เชื่อ!
แต่เพราะเรื่องนี้มีฮ่องเต้จับตามองอยู่ แม้จะไม่มีใครกล้าหัวเราะเสียงดัง ทว่าสกุลซูของนางก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
เป็นถึงซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่น วันแต่งงานกลับถูกตบตา แบกบุตรีอนุเข้าจวนตัวเอง ไม่ใช่เรื่องตลกแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก?
ซูหว่านแม้จะใจอ่อนลงบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็กล้ำกลืนมันไม่ลง สุดท้ายก็แข็งคอใส่เอ่ยต่อว่า “แต่เจ้าเข้าวังไปขอพระราชทานสมรสกับจางอวิ๋นเจี่ยนผู้นั้นเองนี่!”
ประโยคนี้หลุดออกไปแล้ว จะมากน้อยก็คือการประณามทั้งนั้น
ฉู่หลิงอวิ้นแสยะยิ้มอยู่ในใจ ไม่แสดงออกทางสีหน้า
“ข้าไม่แต่งกับเขาได้หรือ? อย่างไรเรื่องราวก็เกิดไปแล้ว” นางลุกขึ้น ก้าวเท้าเดินไปด้านข้าง “เจ้าคิดว่าสกุลซูของเจ้าเสียหน้า แล้วรู้หรือไม่ว่าท่านพ่อข้ากับฉู่ฉีเหยียนไม่กล้าจะออกจากจวนแล้ว แม้ว่าเบื้องหลังจะมีเสด็จปู่คอยมองอยู่ แต่มีขุนนางคนใดบ้างไม่รู้ข่าว? ลับหลังก็ปากยื่นปากยาวจนข้าแทบจะจมน้ำลายตาย ถ้าข้ายังเอาแต่ยึดติดไม่ปล่อยวาง เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้ายังจะมีหน้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่ออีกหรือ?”
เรื่องของฉู่หลิงอวิ้น ซูหลินได้เล่าให้นางฟังทั้งหมดแล้ว ซูหว่านได้ฟังก็อดจะสงสารไม่ได้ จึงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ในเมื่อทุกอย่างมาถึงขั้นนี้ เจ้าก็ต้องคิดให้ตก”
ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มขื่น แล้วใช้สายตาโดดเดี่ยวหันกลับมามองนาง
ซูหว่านเห็นอย่างนั้น ก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ โบกมือให้อย่างไม่เอาความ “เอาเถอะๆ ข้ารู้ว่าเจ้าก็ไร้หนทาง แต่พี่ใหญ่ของข้าเดือดดาลมากนัก รอให้เขาหายโกรธแล้ว ข้าค่อยไปพูดกับเขาให้ ในเมื่อไม่อาจเป็นสามีภรรยา แต่ก็ใช่ว่าต้องตัดขาดเลิกคบหากับพวกเจ้าไปตลอดชีวิต”
ระหว่างสกุลซูกับจวนอ๋องหนานเหอเดิมก็ไม่เห็นทางที่จะพลิกจากศัตรูมาสู่มิตร ฉู่หลิงอวิ้นจึงไม่คาดหวังอะไรมากมาย แต่ก็กุมมือซูหว่านเอาไว้พลางกล่าวด้วยความซาบซึ้งที่เอ่อล้นเต็มดวงตา
“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากเหลือเกิน แต่ว่า…” นางพูดไป น้ำตาก็คลอเอ่อก่อนจะปล่อยมันร่วงลงมา
“ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าแค่การทะเลาะกันสองประโยค จะทำให้ฉู่หลิงซิ่วเกิดความคิดจะทำลายชีวิตข้าทั้งชีวิต พลอยทำให้ชื่อเสียงสกุลซูของพวกเจ้าต้องมัวหมอง”
คิดถึงภาพความวุ่นวายในวันงาน ซูหว่านพลันไม่สบอารมณ์อีกครั้ง ดวงตาวาบเป็นประกายเย็นเยือกและทิ่มแทง
ได้ฟังวาจาเช่นนั้น ความไม่พอใจต่อฉู่หลิงอวิ้นที่มีอยู่แปดส่วนก็หดลงเหลือแค่สอง ทั้งยังปลอบใจนางกลับไปยกใหญ่ พูดคุยสนิทสนมอยู่เป็นนาน
เวลาใกล้จะเที่ยงวันแล้ว จากความสัมพันธ์ในวันนี้ของสองสกุล คนแซ่เจิ้งไม่มีทางต้อนรับแขกอย่างนางแน่
ซูหว่านลุกขึ้นเอ่ยคำลา ฉู่หลิงอวิ้นทำท่าลังเล คล้ายว่าไม่อยากออกไป
ซูหว่านเห็นสีหน้าซีดเซียวของนาง ก็รู้ว่านางไม่อยากเจอคน กุมมือของนางไว้ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกสักหน่อย ข้าเดินไปเองได้ เจ้าก็อย่าคิดมาก เวลาผ่านไปอะไรๆ คงดีขึ้นเอง”
ฉู่หลิงอวิ้นส่งยิ้มให้อย่างซึ้งใจ สายตากวาดไปทางลานด้านนอกอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนที่ดวงตาจะสว่างวาบ ยกมือเรียก “ฉีเหยียนมาได้จังหวะพอดี ช่วยเดินไปส่งน้องซูหว่านหน่อยเถอะ!”
ซูหว่านหันไปมองตามเสียง ก็เห็นฉู่ฉีเหยียนที่หล่อเหลาอยู่ในชุดสีเขียวเข้มกำลังเดินเข้าประตูใหญ่มา
ฉู่ฉีเหยียนมองคนทั้งสองด้วยสายตาแปลกใจทีหนึ่ง
ซูหว่านเม้มปากยิ้มบางๆ บ่ายเบี่ยงว่า “ไม่เป็นไร ข้าเดินไปเองได้ ไม่ต้องรบกวนซื่อจื่อหรอก”
ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยชอบใจ ฉู่ฉีเหยียนถึงได้ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยว่า “ไปเถอะ ข้าเดินไปส่งเอง!”
ซูหว่านไม่ปฏิเสธอีก พยักหน้าเล็กๆ แล้วข้ามธรณีประตูออกไป
ฉู่ฉีเหยียนหันมาแลกเปลี่ยนสายตาเป็นนัยกับฉู่หลิงอวิ้น จากนั้นก็ก้าวยาวๆ จากไปพร้อมกับซูหว่าน
ระหว่างทาง คนทั้งสองไร้ซึ่งบทสนทนา
ซูหว่านแอบเหล่ตามองเขาบ่อยครั้ง เห็นว่าเขาใจลอยคล้ายคิดเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ ก็ชั่งใจพักหนึ่งก่อนจะลองเอ่ยปากออกไปว่า “ซื่อจื่อหนักใจเรื่องของท่านหญิงอันเล่อหรือ?”
“หือ?” ฉู่ฉีเหยียนได้สติ รอยยิ้มมุมปากปิดบังความเศร้าสร้อยไว้ไม่มิด “ที่ผ่านมานางไม่เคยได้รับความลำบาก ครั้งนี้หลิงซิ่วก็ทำเกินไปหน่อย วันๆ ได้แต่มองดูใบหน้าฝืนยิ้มของนาง ข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึง…”
เขาพลันรู้สึกตัวว่าพูดมากไป จึงหัวเราะกลบเกลื่อน กล่าวว่า “ไม่มีอะไร! แต่ซื่อจื่อซูทางนั้นเกรงว่าข้าคงไม่มีโอกาสได้ชดใช้ความผิดให้ หากท่านหญิงซูยินยอมก็ช่วยพูดกับเขาหน่อย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นหาใช่ว่าจวนอ๋องหนานเหอตั้งใจให้เป็น”
“อืม พี่ชายข้าเขากำลังโกรธ ไว้ข้าจะช่วยพูดให้” ซูหว่านเอ่ย เห็นความระทมที่ติดค้างอยู่กลางหว่างคิ้วของเขา ก็แอบกัดริมฝีปาก พูดไปว่า “เมื่อครู่ข้าก็พูดกับท่านหญิงอันเล่อไปแล้ว รอสักสองสามวันให้นางอารมณ์ดีขึ้น ข้าจะมาหานางใหม่!”
ฉู่ฉีเหยียนยิ้มอ่อนๆ เอ่ยบ่ายเบี่ยงอย่างเกรงใจ “ด้วยความสัมพันธ์ในตอนนี้ของพวกเราสองสกุล เกรงว่าคงยากจะไปมาหาสู่กันอีก ข้าขอบคุณน้ำใจของเจ้าแทนพี่หญิงด้วย”
นัยน์ตาของซูหว่านหม่นแสง ก่อนจะหลุดสีหน้าผิดหวังออกมาให้เห็น
ฉู่ฉีเหยียนเบือนสายตาหนีอย่างหนักอกหนักใจ ส่งนางที่หน้าประตูจวนด้วยความเงียบขรึม
เวลานั้นฉู่หลิงซิ่วเพิ่งจะเอ่ยลาคนแซ่เจิ้งแล้วเดินมาถึงพอดี พอเห็นฉู่ฉีเหยียน ก็รีบย่อกายคารวะ เรียกเบาๆ ว่า “พี่ชาย!”
มองออกทันทีว่านางเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ดวงตาบวมแดง น้ำเสียงฟังอู้อี้
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนหยุดเท้าที่ใต้ชายคาประตูจวน สายตาที่มองนางเจือความรังเกียจชัดเจน
ซูหว่านเห็นเหตุการณ์ ดวงตาพลันสว่างวาบ จากนั้นก็ปีนขึ้นรถไปพร้อมกับฉู่หลิงซิ่ว
ฉู่ฉีเหยียนกำชับคนขับรถม้ากับองครักษ์เพิ่มสองประโยค ก่อนจะยืนมองจนรถม้าเคลื่อนลับสายตาไป
รอจนรถม้าพ้นจากมุมถนน ฉู่หลิงอวิ้นจึงเยื้องย่างออกจากเรือนมายืนข้างฉู่ฉีเหยียน สองพี่น้องที่เมื่อครู่ยังหน้าเศร้าอมทุกข์ ตอนนี้กลับเหลือเพียงความน่ากลัวและเย็นชา
“เจ้าต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะสำเร็จ?” ฉู่หลิงอวิ้นถาม สายตาดำมืดมองไปยังถนนด้านนอก “ถ้าไม่ไหวจริงๆ เจ้าลงมือกับซูหว่านก็ได้!”
“อย่าใจร้อน ยังพอมีเวลา ใกล้จะสิ้นปีแล้ว พวกเขาคงอยู่จนผ่านปีใหม่แล้วค่อยกลับ ขอเพียงพวกเขายังอยู่ที่นี่ ก็ควบคุมได้ไม่ยาก” ฉู่ฉีเหยียนตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าด้านใน
ดวงตาฉู่หลิงอวิ้นทอแสงเย็นเยียบ ยืนนิ่งที่หน้าประตูสักพักก่อนจะให้สาวใช้ประคองกลับเรือน
มุมหนึ่งของกำแพงจวนสุดถนน ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินขี่ม้าออกมา
“ที่ซูหว่านชอบพอฉู่ฉีเหยียน ข้ายังคิดว่าเขาจะแสร้งทำไม่รู้ไปตลอดเสียอีก” ฉู่สวินหยางหัวเราะตาหยีอย่างเจ้าเล่ห์ จ้องไปที่ประตูใหญ่จวนอ๋องหนานเหออย่างสนอกสนใจ เจื้อยแจ้วต่อว่า “หากจะเล่นบทยืมดาบฆ่าคน เห็นทีเขาต้องเอาตัวเข้าแลก ใช้แผนชายงามเสียแล้วกระมัง!”
ตอนที่ 80 ศัตรูคู่แค้น (1)
“สองพี่น้องนั่น ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ” เหยียนหลิงจวินเอ่ย น้ำเสียงเจือกระแสยั่วเย้าหลายส่วน
“ใช่สิ หากเปลี่ยนให้คนอื่นมาตกอยู่ในสถานการณ์อย่างฉู่หลิงอวิ้น แค่ความกล้าจะมีชีวิตอยู่ต่อก็ยากแล้ว ไหนเลยจะมีกระจิตกระใจไปวางอุบายเล่นงานผู้อื่นอีก?” ฉู่สวินหยางหันกลับไปมอง เอ่ยเห็นด้วยกับเขา
เหยียนหลิงจวินสบตานาง อดจะหัวเราะไม่ได้ “ดูจากแต่ละเรื่องที่นางทำกับเจ้าก็พอจะมองออก ซูหลินผู้นั้นเดิมก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไร ต่อให้ฉู่ฉีเหยียนพี่น้องไม่ลงมือ ฉู่หลิงซิ่วก็ไม่มีทางอายุยืนอยู่แล้ว แค่เพียงว่า…”
ระหว่างที่พูด สายตาเขาก็พลันเข้มลึกขึ้น “นางจะตายเงียบๆ ที่จวนอ๋องฉางซุ่นในภายหลัง หรือว่าตายอยู่ที่นี่ขณะที่ข่าวยังไม่เงียบ สำหรับฮ่องเต้ที่ออกราชโองการลงมาผู้นั้น ช่างมีความหมายแตกต่างกันมากเหลือเกิน”
ฉู่สวินหยางค่อยๆ คิดตาม
ตรงนี้เป็นถิ่นของจวนอ๋องหนานเหอ สองคนไม่อาจรั้งตัวอยู่นาน ตามองสบกันทีหนึ่งก่อนจะขี่ม้าจากไป
ระหว่างทาง ฉู่สวินหยางก็เอ่ยประเด็นก่อนหน้านี้ต่อว่า “ฝ่าบาทเพิ่งจะออกราชโองการ หากว่าฉู่หลิงซิ่วต้องตายเพราะอุบัติเหตุหรือว่าป่วยหนักจริงๆ จากนิสัยหวาดระแวงของพระองค์ สกุลซูต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ ฉู่ฉีเหยียนเป็นคนทำอะไรรวบรัดเด็ดขาด เหตุการณ์เลยเถิดมาถึงจุดนี้ เขาคงจะมองออกว่าไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสกุลซู เช่นนั้นจึงต้องเลือกเดินหันหลัง ในเมื่อไม่อาจได้รับการสนับสนุนจากสกุลซู ก็ต้องรีบถอนรากถอนโคนให้จบเรื่อง ไม่มีทางให้ข้าได้ประโยชน์อะไรเด็ดขาด”
ซูหลินกับซูหว่าน นับว่าพอมีปัญญาอยู่บ้าง แต่อุบายทางการเมืองและเล่ห์สนกลใน…
ยังห่างชั้นกันเหลือเกิน
การยกเลิกงานแต่งของฉู่หลิงอวิ้นกับสกุลซู คนตาดีที่ไหนก็มองออกทั้งนั้นว่ามีพิรุธ แต่เพราะมีราชโองการของฮ่องเต้กดไว้ ถึงได้ทำเป็นหูหนวกตาบอดไปเสีย
หากว่าฉู่หลิงซิ่วเกิดมาตายตอนนี้ นั่นต้องเป็นเพราะซูหลินไม่พอใจ แล้วลอบกำจัดนางแน่
ถึงเวลานั้นฮ่องเต้อาจจะไม่แสดงออกมากนัก แต่ในใจย่อมมีสะเก็ดแผลตกค้าง…
ว่าสกุลซูไม่เห็นราชโองการและอำนาจของพระองค์อยู่ในสายตา
จากนิสัยของพระองค์ มีหรือจะทนไหว? ความรุ่งเรืองของสกุลซูคงมาถึงทางตันแล้ว!
คงต้องชมเชยว่า แผนการของฉู่ฉีเหยียนสามารถตัดไฟแต่ต้นลม เลือกได้ประเสริฐยิ่งนัก
เหยียนหลิงจวินไม่ได้เอ่ยต่อ ขี่ม้าไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ผ่านไปสักพักเขาก็เปิดปากอีกครั้งด้วยท่าทางครุ่นคิด “ฉู่ฉีเหยียนสามารถเลือกทางที่ง่ายกว่านั้น ความจริงเขาไม่ควรใช้ฉู่หลิงอวิ้นเป็นแต้มต่อตั้งแต่แรก เขาแต่งกับซูหว่านเองเลยก็จบแล้ว สุดท้ายจะได้ไม่ยุ่งเหยิงแบบนี้”
“จะว่าไปแล้ว…” ฉู่สวินหยางเม้มปาก หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว “ไม่ใช่ว่าฉู่ฉีเหยียนไม่เด็ดขาดหรอก มีคำพูดที่ว่าแม้เป็นพี่น้องก็ต้องแบ่งกำไรขาดทุนให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ? เรื่องที่ต้องฝืนใจทำประเภทนี้ หากผลักให้ผู้อื่นได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเองนี่? แต่…ใครจะคิดว่าฉู่หลิงอวิ้นจะไม่เห็นแม้กระทั่งราชโองการของฮ่องเต้อยู่ในสายตา?”
“แล้วตอนนี้ล่ะ? เจ้าจะทำอย่างไร?” เหยียนหลิงจวินถาม
“ข้า?” ฉู่สวินหยางยักไหล่อย่างไม่แยแส ฉีกยิ้มให้เขาทีหนึ่ง “มองเสือฟัดกันไง ข้าจะตั้งตาคอยชมเลยล่ะ”
ฉู่ฉีเหยียนละทิ้งสกุลซู นางก็ไม่เคยมีความคิดจะดึงสกุลซูมาเข้ากับฝั่งตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เหยียนหลิงจวินไม่ตอบ เพียงมองนางอย่างเงียบๆ
“เจ้าไม่ต้องมามองข้าแบบนี้” ดวงหน้าของฉู่สวินหยางออกจะกระอักกระอ่วนเล็กๆ หัวเราะกลบเกลื่อน กล่าวว่า “อย่างที่เจ้าเห็น ความจริงข้าก็ไม่ชอบใจสกุลซูอยู่แล้ว และการเลือกซูหลินเป็นผู้สืบทอด ก็เหมือนการกำหนดชะตาที่ริบหรี่ของสกุลซูไว้แต่แรกแล้ว แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่ข้ารู้จัก…”
ฉู่สวินหยางกล่าว ก่อนจะส่ายหน้าอย่างลึกลับ
ฉู่เพ่ยเป็นคนไม่เอาญาติพี่น้อง เพื่อบัลลังก์แล้วเขาสามารถนั่งมองสกุลฉู่ทั้งหมดต้องพบเจอกับหายนะโดยไม่กระพริบตา ทั้งยังลงมือฆ่าลูกในไส้ของตัวเองได้ลง คนประเภทนี้…
จะนึกถึงความรู้สึกของขุนนาง? จะระลึกถึงความดีความชอบที่ช่วยพระองค์ให้ขึ้นนั่งบัลลังก์รึ?
เสร็จศึกย่อมต้องฆ่าโค เพียงแค่ยังไม่มีโอกาสที่เหมาะๆ เท่านั้นเอง!
ความคิดหวนนึกย้อนไป อารมณ์ของฉู่สวินหยางเริ่มดำดิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
เหยียนหลิงจวินเห็นเข้า ในอกก็รู้สึกบีบแน่นไม่สบายตัว
เขาหยุดคิดพักหนึ่ง แล้วยื่นมือออกไป กุมมือสองข้างของฉู่สวินหยางที่จับบังเหียนเอาไว้อย่างแผ่วเบา
แม้ว่าจะสวมเสื้อหนาชั้น แต่อากาศกลางเหมันต์ก็หนาวเหน็บ นิ้วมือที่อยู่นอกร่มผ้าของฉู่สวินหยางกลายเป็นสีแดง เวลานี้ได้รับความอบอุ่นหัวใจของนางพลันเต้นแรงตามไปด้วย ซึมซับถึงความรู้สึกนั้นพักหนึ่งก่อนจะหันหน้าไปมองเขา
คนสองคนจ้องตากันนิ่ง
สายตาของเหยียนหลิงจวินวูบหลบ คล้ายจะกลับไปเป็นเหยียนหลิงจวินคนเดิมที่ระแวดระวังตัวเหมือนตอนอยู่หุบเขาเพลิงอัคคี
จากนั้น เขาทำเป็นหัวเราะออกมาอย่างจริงจัง เอ่ยว่า “นับแต่อดีต ราชนิกุลทุกพระองค์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่นับญาติถือมิตร มีเพียงอำนาจในสายตา คนบางคนกับเรื่องบางเรื่อง ไม่มีค่าพอให้เจ้าเสียเวลาไปคิดถึง มองพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าก็พอ!”
ฉู่สวินหยางตกใจเล็กน้อย…
เขากำลังปลอบใจนางอยู่หรือ?
ท่าทางจริงจังเช่นนี้ กลับทำให้ฉู่สวินหยางทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที
นางมองตาเขา อยากจะทำตลกกลบเกลื่อนไปเสีย แต่พอเห็นสายตาจริงใจแรงกล้าของเขา คำพูดพลันจุกอยู่ที่ลำคอ ทำได้เพียงมองเขาอย่างเงียบๆ
เท่าที่จำได้นางไม่เคยเห็นเหยียนหลิงจวินแสดงอารมณ์ที่ลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน ตอนที่เขาพูดมันออกมา ไม่เหมือนว่ากำลังปลอบใจนาง แต่คล้ายเป็นความในใจของคนที่เคยประสบมาก่อนมากกว่า
แม้ว่าเขาจะเก็บสีหน้าและอารมณ์ได้มิดชิด แต่ฉู่สวินหยางก็ยังรับรู้ถึงความหนักอึ้งได้จากรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากเขา
เหยียนหลิงจวินเห็นนางเงียบไปนาน นึกว่านางกังวลเรื่องเหล่านี้ มือที่กุมมือนางอยู่จึงออกแรงบีบเบาๆ ดึงสติของนางกลับมา ก่อนจะยื่นแขนไปหานาง เอ่ยบอก “มานี่สิ!”
ฉู่สวินหยางงุนงง แต่บางทีอาจเป็นเพราะปฏิกิริยาของร่างกาย นางจึงยื่นมือส่งให้ก่อนสองแขนของเขาจะรับนางมาอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกัน
มือของฉู่สวินหยางคล้องคอเขาอยู่ เขาอุ้มนางมาวางไว้ที่กลางอกเขา ก่อนจะดึงผ้าคลุมผืนใหญ่มาห่มให้
หน้าหนาวปลายปี ถนนที่พวกเขาเดินผ่านช่างเงียบเหงา จึงไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาเห็น
ฉู่สวินหยางพิงอยู่กับอกเขา ยิ้มตาหยีแล้วเงยหน้าถามว่า “เจ้ายังมีคำที่อยากปลอบใจข้าอีกหรือ? พูดมาสิ ข้าจะฟังทั้งหมดแหละ!”
เหยียนหลิงจวินเห็นนางเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างว่องไว ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกทั้งโมโหและขบขัน เรื่องในอดีตที่ผุดเข้ามากลางหัวใจจึงค่อยๆ สลายไปด้วย
เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะก่อนจะขยี้ผมหน้าม้าของนางแรงๆ คล้ายเป็นการทำโทษ
ฉู่สวินหยางหัวเราะเสียงดัง มุดหน้าซุกอกเขาพร้อมกับผมที่ยุ่งเหยิงเพื่อหลบหลีก
เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทางเหมือนเด็กๆ ของนางก็กลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่ เอ่ยอย่างจนปัญญาทั้งเอ็นดูว่า “ไม่รู้นิสัยแบบนี้ของเจ้าได้ใครมาใคร ไม่คิดอะไรมากมายจริงๆ”
ฉู่สวินหยางโผล่หน้าออกมาจากอกเขา ใช้มือจับผมหน้าม้าของตัวเองเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทางหนึ่งก็มุ่ยปากใส่อย่างไม่ค่อยสนใจว่า “คิดน้อยไม่ดีหรือไง? ข้ายอมเป็นแบบนี้ตลอดไปยังจะดีกว่า! พวกคนที่คิดซับซ้อนวุ่นวาย พวกนั้นไม่เหนื่อย แต่ข้าเบื่อจะตายชัก!”
ว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือก ส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ “เสียดายทำไม่ได้!”
ใต้หล้านี้มีเรื่องมากมายที่ไม่เป็นดั่งใจต้องการ ใช่ว่าอยากจะเลี่ยงแล้วจะเลี่ยงได้เสมอไป
เหยียนหลิงจวินมองนางอีกครั้ง ก่อนจะเบือนสายตาหนี
เขาจงใจเคลื่อนตัวผ่านถนนสายเล็กไปอย่างเชื่องช้า ภายใต้แสงแดดอบอุ่นกลางฤดูหนาว สองคนหนึ่งม้าเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่กลางตรอกไร้ผู้คน ม้าของฉู่สวินหยางเดินบ้างหยุดบ้างเป็นระยะ ใบหญ้าข้างกำแพงร้างสะบัดไหวตามแรงลม ลดความอ้างว้าง กลับดูเปล่งประกายภายใต้อาทิตย์ที่สาดส่อง
สองคนพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย หัวข้อสนทนาก็วนเวียนอยู่ในวงขุนนางผู้ดีในกำแพงเมืองหลวงแห่งนี้
สายตาของเหยียนหลิงจวินเหลือบมองหญิงสาวที่ขดตัวอยู่ในอกของเขาคล้ายกับแมวน้อยตัวหนึ่งเป็นพักๆ รอยยิ้มที่ยกขึ้นดูงดงามน่ามองขึ้นหลายส่วน ไม่ทันรู้ตัว ดวงหน้าก็เบ่งบานราวดอกไม้ ทิ่มแทงสายตาคนยิ่งนัก
“ใกล้จะสิ้นปีแล้ว!” ฉู่สวินหยางเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางพิงอกเขาอยู่ นิ้วก็พันเชือกผูกคอของผ้าคลุมเล่น
“อืม!” เหยียนหลิงจวินรับคำเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เจ้าจะกลับไปหรือไม่?” ฉู่สวินหยางครุ่นคิด แล้วเงยหน้ามองเขาอย่างอดไม่อยู่
เหยียนหลิงจวินได้ฟังคำถาม ก็ใจลอยไปพักหนึ่ง ในตอนนั้นเขาก็กำลังก้มหน้าลงมาพอดี
ด้วยความบังเอิญ วินาทีที่นางแหงนหน้าขึ้น คางของเขาก็กดลงมา ริมฝีปากนุ่มจึงปัดผ่านกันไป
สัมผัสแผ่วบาง เบาคล้ายขนนก และผ่านแวบไปคล้ายกับดาวตก
มันนุ่มนิ่ม ชื้นเปียก ความหอมหวานที่เฉียดผ่านเบาจนคล้ายฝัน เมื่อสูดลมหายใจเข้าไป มันหลอมรวมกับเลือดในกาย แผ่กำจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ก่อนเปลี่ยนเป็นพลังจู่โจมที่ไม่ทันตั้งรับ กระแทกเข้ากลางหัวใจเสียงดังสนั่น ระเบิดพราวในสมองเหมือนกับดอกไม้ไฟ แสงระยิบระยับพร่างฟ้า ทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ทั้งสองคนต่างก็ไม่คาดฝัน
——————————————-
บทที่ 80 ศัตรูคู่แค้น (2)
“เฮ้ย!” ฉู่สวินหยางตกตะลึง ร้องออกมาอย่างตกใจ ใบหน้าแดงก่ำ
เหยียนหลิงจวินตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ในสมองยังขบคิดถึงความรู้สึกยุบยิบที่วิ่งแผ่น
พอได้ยินเสียงร้องตกใจของฉู่สวินหยาง เขาถึงได้ก้มหน้ามอง
พอได้สบตากับเขา ดวงหน้าของฉู่สวินหยางก็ยิ่งแดงขึ้นกว่าเก่า รีบหดตัวลงต่ำ ไถลตัวออกจากอ้อมแขนของเขาเหมือนปลาน้อยที่ว่ายน้ำหนี แล้วลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง
อ้อมแขนที่ว่างลงอย่างกะทันหันทำให้เขาหันขวับ ก่อนจะพลิกตัวลงจากม้า พุ่งกายตามไปยังทิศทางที่นางวิ่งหนี
เขายื่นแขนออกไปคว้านางตามสัญชาตญาณ
ขณะนั้นฉู่สวินหยางกำลังกระดาก ย่อมถอยห่างออกไปเพื่อหลบเลี่ยง
นางขบริมฝีปาก หน้าน้อยแดงจนไหม้ มองไม่ออกว่าโมโห โกรธเคือง หรือว่าแค้นใจ นางถลึงตาใส่เหยียนหลิงจวิน ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปหาม้าของตนที่วิ่งเหยาะๆ อยู่ข้างหลัง ตั้งท่าว่าจะเผ่นหนีอย่างเดียว
เหยียนหลิงจวินกระโจนก้าวหนึ่งก็ตามทัน อาศัยความสูงที่มากกว่าแย่งบังเหียนม้าเอาไว้ก่อน
ฉู่สวินหยางคว้าได้เพียงลม หันขวับมามองอย่างโมโห
เขายืนอยู่ด้านหลังนางพอดี ร่างสูงโปร่งคลุมทับด้วยผ้าคลุมผืนหนา แสงตะวันด้านหลังทาบทับจนเห็นเป็นเงามืด เหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ปิดทางหนีของนางจนมิด ฉู่สวินหยางต้องแหงนหน้าขึ้นถึงจะมองเห็นดวงหน้าของเขา
นึกถึงอุบัติเหตุแนบเนื้ออันไม่นึกฝันที่เพิ่งผ่านไป ฉู่สวินหยางก็อดจะเขินอายไม่ได้ เอาแต่ก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง พูดเสียงอู้อี้ “ข้าจะกลับแล้ว!”
นางก้มหน้างุดๆ เหยียนหลิงจวินจึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่พอฟังออกจากน้ำเสียงว่าเริ่มโมโหแล้วจริงๆ
น้อยนักที่จะได้เห็นท่าทางก้มหน้าก้มหน้าอย่างดื้อรั้นของนาง เหยียนหลิงจวินอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาขยับเข้าไปหาอีกครึ่งก้าว เอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางเอนตัวหนีไปข้างหลัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหยอกล้อดังขึ้นที่ด้านบนศีรษะว่า “ไม่ต้องหลบหรอก ข้าไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย อีกอย่าง ข้าจะไม่เอาไปบอกใครด้วย!”
เขายังมีอารมณ์มาล้อเล่น? หรือคิดว่านางตั้งใจเอาเปรียบเขาจริงๆ งั้นรึ?
ฉู่สวินหยางเริ่มไม่สบอารมณ์ แต่เวลานี้หาได้มีกระจิตกระใจไปต่อปากต่อคำกับเขา เพียงผลักเขาแรงๆ ทีหนึ่ง แล้วโถมตัวเข้าไปแย่งบังเหียนม้าจากมือเขา “ข้ามีธุระ ไปก่อนล่ะ!”
จบคำก็กระโดดพรึบคร่อมหลังม้า ตะโกนสั่งทีหนึ่ง ชิงเปิดทางไปก่อนอย่างไม่หันหลังกลับมามองสักนิด
เหยียนหลิงจวินยืนอยู่ที่เก่า มองแผ่นหลังของคนที่พ่ายแพ้แล้วชิ่งหนีก่อนจะหัวเราะออกมา สายตาพราวระยับกระทบแสงตะวัน ส่องให้เห็นเมฆหมอกที่เปิดกว้างในเบื้องลึก เป็นความงามที่สะกดไปทั่วทั้งสายน้ำร้อยลี้ปฐพีหมื่นโยชน์
เชินหลานถูกอิ้งจื่อดึงไว้ แม้จะหลบอยู่ที่ต้นถนนซึ่งห่างออกไปอีกช่วงตัว แต่ก็ยังอดจะชะเง้อชะแง้แอบมองไม่ได้ เอ่ยคำขณะที่เกาะกำแพงอิฐอยู่ว่า “เกิดอะไรขึ้น? นายท่านไปทำอะไรให้ท่านหญิงสวินหยางโกรธหรอ? เขามัวยืนอึ้งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบตามไปอีก!”
ดูท่าแล้ว หากมิใช่ว่ามีอิ้งจื่ออยู่ข้างๆ คอยดึงอยู่ นางคงไปตามคนด้วยตัวเองแล้ว
มือข้างหนึ่งของอิ้งจื่อคว้าแขนนางไว้ มืออีกข้างก็ใช้ปิดปากนาง ถลึงตาใส่เป็นการตักเตือนว่า “อย่ายุ่งน่ะ กลับได้แล้ว!”
พูดจบก็ลากเชินหลานจากไป
นางฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เล็ก สายตาย่อมดีกว่าเชินหลานหลายเท่า เมื่อครู่ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง นางเห็นชัดแจ้งเต็มตา จึงไม่อาจปล่อยให้เชินหลานมาเอะอะโวยวายอยู่ตรงนี้
ฉู่สวินหยางห้อม้ากลับจวน พอเข้าประตูไปก็เจอกับพ่อบ้านเจิงพอดี
“ท่านหญิง!” พ่อบ้านเจิงร้องเรียก “ข้าน้อยกำลังสั่งคนให้ไปตามท่านหาพอดี นายท่านรออยู่ที่ห้องหนังสือ ท่านรีบไปเถอะขอรับ!”
ฉู่สวินหยางยื่นแส้ม้าในมือให้เขา ขณะเดินผ่านเข้าไปก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “วันนี้ท่านพ่อประชุมเช้าเสร็จก็กลับจวนเลยรึ? ไม่ได้เข้าวัง?”
“ขอรับ!” พ่อบ้านเจิงตอบ ไม่ได้ปากมาก
ฉู่สวินหยางก็ไม่ซักไซ้
ฉู่ฉีเฟิงเพิ่งกลับมาถึงจวนเมื่อวาน กลางคืนดึกดื่นก็ถูกฉู่อี้อันเรียกเข้าไปคุยที่ห้องหนังสือ ทั้งสองอยู่ในนั้นข้ามคืนไม่หลับไม่นอน ส่วนว่าพวกเขาหารือเรื่องอะไรกันนั้น ฉู่สวินหยางพอจะคาดคะเนได้ส่วนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดฉู่อี้อันถึงรีบร้อนเรียกหานางด้วย?
ฉู่สวินหยางไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ตรงไปหาฉู่อี้อันทันที พอผลักประตูเข้าไป ก็เห็นทั้งสองกำลังมุงแผนที่ผืนหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ คล้ายว่ากำลังหารือเรื่องอะไรอยู่
“ท่านพ่อ พ่อบ้านเจิงบอกว่าท่านหาข้าอยู่?” ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยปาก นางส่งยิ้มให้ฉู่ฉีเฟิง “พี่รองก็อยู่ที่นี่ด้วย!”
“อืม!” ฉู่อี้อันรับคำเบาๆ เงยหน้าขึ้นมาเห็นชุดที่นางใส่อยู่ ดวงตาพลันวาบแสง
กลับเป็นฉู่ฉีเฟิงที่ชิงเปิดปากว่า “เจ้าออกไปข้างนอกมารึ? อากาศเย็นเพียงนี้ อย่าเที่ยวเล่นไปทั่ว ระวังจะเป็นไข้ไปเสีย”
“ไม่เป็นหรอกน่ะ ข้าใส่ตั้งหลายชั้นนะ!” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ก่อนจะรีบเบี่ยงประเด็น “ท่านพ่อรีบให้ตามข้ามา มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่เรียกเจ้ามาบอกว่า พ้นปีใหม่ไปพี่ชายของเจ้าก็ต้องกลับเมืองฉู่แล้ว ช่วงนี้ที่ยังว่างก็ใช้เวลาด้วยกันให้มากหน่อย” ฉู่อี้อันตอบ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบ
ฉู่สวินหยางชะงักไป มองทางเขาทีหนึ่ง แล้วหันไปมองฉู่ฉีเฟิงต่อ ถามอย่างแปลกใจ “ก่อนพี่รองจะกลับมา ฝ่าบาทไม่ได้ส่งผู้คุมทัพคนใหม่ไปแล้วหรือ? เขาคง… ไม่เต็มใจให้พี่รองกลับไปหรอกกระมัง!”
ไม่ต้องสงสัยเลย ฉู่อี้อันชิงเคลื่อนไหวก่อน เขาเริ่มแทรกซึมทางการทหารแล้ว
แต่เพราะตัวฮ่องเต้เองก็ขึ้นนั่งบัลลังก์โดยใช้กำลังทหาร พระองค์มีตัวเองเป็นบทเรียน จึงทรงระแวดระวังด้านนี้มาก สิบกว่าปีที่ผ่านมาจึงกุมอำนาจทหารไว้ในมือเดียว ไม่ยอมแบ่งไปให้ใครเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ด้วยเหตุว่าสงครามกับหนานฮวาตึงเครียดหนัก พระองค์จึงต้องส่งฉู่อี้อันไปคุมทัพอย่างไม่มีทางเลือก คิดจะพลิกสถานการณ์กลับมา บัดนี้ นับแต่หรงเสี่ยนหยางกลับแคว้นหนานฮวาไปเหตุการณ์ก็เริ่มมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นตายร้ายดีอย่างไร ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางให้วังบูรพายื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก
ฉู่อี้อันหลุบตาจิบน้ำชา ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
กลับเป็นฉู่ฉีเฟิงที่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “สงครามจะแพ้หรือชนะ เดิมก็พลิกผันได้ร้อยพันแบบ ผู้คุมทัพคนหนึ่งทำอะไรได้ไม่มากหรอก แค่ต้องดูว่าเขามีความสามารถพอจะนั่งตำแหน่งนั้นได้นานแค่ไหน”
สมองของฉู่สวินหยางหมุนแล่นอย่างว่องไว พักเดียวก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ฉู่อี้อันแสดงชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดถึงประเด็นนี้อีกต่อไป เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว พวกเจ้าอย่าลืมไปที่อารามเมตตาล่ะ”
จะให้เขาคุยแผนการที่จะจัดการบิดาของตนต่อหน้าลูกๆ…
แม้แผนการจะเริ่มต้นแล้ว แต่ก็ไม่อยากเอ่ยปากมากความ
ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงสบตากันทีหนึ่ง ต่างก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงรีบเปลี่ยนเรื่อง ลุกขึ้นแล้วเอ่ยต่อว่า “เมื่อคืนข้าสั่งคนให้เตรียมของขวัญกับแพรพรรณเอาไว้แล้ว สวินหยางถ้าตอนบ่ายเจ้าไม่มีเรื่องอะไร พวกเราก็ไปกันเดี๋ยวนี้เลยเถอะ?”
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกศีรษะ
ฉู่อี้อันโบกมือไล่ สองคนจึงคารวะแล้วล่าถอยออกมา
ตั้งแต่ออกมาจากห้องหนังสือ ฉู่สวินหยางก็เหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ ตลอดทางไม่ส่งเสียงเลยสักแอะ
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบตามอง แล้วยกมือตบไหล่นาง ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เอ่ยว่า “ถ้าไม่อยากเข้าไป เจ้ารอข้าที่หน้าประตูวัดก็ได้ ไม่ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนว่าถูกบังคับให้เดินขึ้นลานประหารหรอก”
เป็นเรื่องที่สังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายว่าคนแซ่ฟางกับฉู่สวินหยางไม่ลงรอยกัน ฉู่ฉีเฟิงรับรู้เรื่องนี้อย่างกระจ่าง
ฉู่สวินหยางได้ยินเสียงเขาพูดไปอีกเรื่องหนึ่งก็ได้สติกลับมา แต่คิ้วก็ยังพันกันยุ่ง ไม่มีท่าว่าจะคลายออกเลยสักนิด
ฉู่ฉีเฟิงอดจะเป็นห่วงนางไม่ได้ เอ่ยว่า “เป็นอะไร? ไม่สบายรึ?”
พูดแล้วก็ยื่นมือจะมาแตะหน้าผากของนาง
ฉู่สวินหยางกันมือเขาออก มองหน้าเขาตรงๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง ชั่งใจอยู่นานก่อนจะสูดหายใจลึก เอ่ยว่า “ไม่ใช่เพราะเรื่องไปอารามเมตตาหรอก พี่รอง ไปที่จวนของท่านพี่ก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย!”
ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางเคร่งเครียดก็ไม่กล้าวางใจ สั่งให้เจี่ยงลิ่วไปเตรียมรถม้า ส่วนตัวเองกับฉู่สวินหยางก็กลับไปเรือนจิ่นโม่
——————————————-
ตอนที่ 80 ศัตรูคู่แค้น (2)
“เฮ้ย!” ฉู่สวินหยางตกตะลึง ร้องออกมาอย่างตกใจ ใบหน้าแดงก่ำ
เหยียนหลิงจวินตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ในสมองยังขบคิดถึงความรู้สึกยุบยิบที่วิ่งแผ่น
พอได้ยินเสียงร้องตกใจของฉู่สวินหยาง เขาถึงได้ก้มหน้ามอง
พอได้สบตากับเขา ดวงหน้าของฉู่สวินหยางก็ยิ่งแดงขึ้นกว่าเก่า รีบหดตัวลงต่ำ ไถลตัวออกจากอ้อมแขนของเขาเหมือนปลาน้อยที่ว่ายน้ำหนี แล้วลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง
อ้อมแขนที่ว่างลงอย่างกะทันหันทำให้เขาหันขวับ ก่อนจะพลิกตัวลงจากม้า พุ่งกายตามไปยังทิศทางที่นางวิ่งหนี
เขายื่นแขนออกไปคว้านางตามสัญชาตญาณ
ขณะนั้นฉู่สวินหยางกำลังกระดาก ย่อมถอยห่างออกไปเพื่อหลบเลี่ยง
นางขบริมฝีปาก หน้าน้อยแดงจนไหม้ มองไม่ออกว่าโมโห โกรธเคือง หรือว่าแค้นใจ นางถลึงตาใส่เหยียนหลิงจวิน ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปหาม้าของตนที่วิ่งเหยาะๆ อยู่ข้างหลัง ตั้งท่าว่าจะเผ่นหนีอย่างเดียว
เหยียนหลิงจวินกระโจนก้าวหนึ่งก็ตามทัน อาศัยความสูงที่มากกว่าแย่งบังเหียนม้าเอาไว้ก่อน
ฉู่สวินหยางคว้าได้เพียงลม หันขวับมามองอย่างโมโห
เขายืนอยู่ด้านหลังนางพอดี ร่างสูงโปร่งคลุมทับด้วยผ้าคลุมผืนหนา แสงตะวันด้านหลังทาบทับจนเห็นเป็นเงามืด เหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ปิดทางหนีของนางจนมิด ฉู่สวินหยางต้องแหงนหน้าขึ้นถึงจะมองเห็นดวงหน้าของเขา
นึกถึงอุบัติเหตุแนบเนื้ออันไม่นึกฝันที่เพิ่งผ่านไป ฉู่สวินหยางก็อดจะเขินอายไม่ได้ เอาแต่ก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง พูดเสียงอู้อี้ “ข้าจะกลับแล้ว!”
นางก้มหน้างุดๆ เหยียนหลิงจวินจึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่พอฟังออกจากน้ำเสียงว่าเริ่มโมโหแล้วจริงๆ
น้อยนักที่จะได้เห็นท่าทางก้มหน้าก้มหน้าอย่างดื้อรั้นของนาง เหยียนหลิงจวินอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาขยับเข้าไปหาอีกครึ่งก้าว เอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางเอนตัวหนีไปข้างหลัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหยอกล้อดังขึ้นที่ด้านบนศีรษะว่า “ไม่ต้องหลบหรอก ข้าไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย อีกอย่าง ข้าจะไม่เอาไปบอกใครด้วย!”
เขายังมีอารมณ์มาล้อเล่น? หรือคิดว่านางตั้งใจเอาเปรียบเขาจริงๆ งั้นรึ?
ฉู่สวินหยางเริ่มไม่สบอารมณ์ แต่เวลานี้หาได้มีกระจิตกระใจไปต่อปากต่อคำกับเขา เพียงผลักเขาแรงๆ ทีหนึ่ง แล้วโถมตัวเข้าไปแย่งบังเหียนม้าจากมือเขา “ข้ามีธุระ ไปก่อนล่ะ!”
จบคำก็กระโดดพรึบคร่อมหลังม้า ตะโกนสั่งทีหนึ่ง ชิงเปิดทางไปก่อนอย่างไม่หันหลังกลับมามองสักนิด
เหยียนหลิงจวินยืนอยู่ที่เก่า มองแผ่นหลังของคนที่พ่ายแพ้แล้วชิ่งหนีก่อนจะหัวเราะออกมา สายตาพราวระยับกระทบแสงตะวัน ส่องให้เห็นเมฆหมอกที่เปิดกว้างในเบื้องลึก เป็นความงามที่สะกดไปทั่วทั้งสายน้ำร้อยลี้ปฐพีหมื่นโยชน์
เชินหลานถูกอิ้งจื่อดึงไว้ แม้จะหลบอยู่ที่ต้นถนนซึ่งห่างออกไปอีกช่วงตัว แต่ก็ยังอดจะชะเง้อชะแง้แอบมองไม่ได้ เอ่ยคำขณะที่เกาะกำแพงอิฐอยู่ว่า “เกิดอะไรขึ้น? นายท่านไปทำอะไรให้ท่านหญิงสวินหยางโกรธหรอ? เขามัวยืนอึ้งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบตามไปอีก!”
ดูท่าแล้ว หากมิใช่ว่ามีอิ้งจื่ออยู่ข้างๆ คอยดึงอยู่ นางคงไปตามคนด้วยตัวเองแล้ว
มือข้างหนึ่งของอิ้งจื่อคว้าแขนนางไว้ มืออีกข้างก็ใช้ปิดปากนาง ถลึงตาใส่เป็นการตักเตือนว่า “อย่ายุ่งน่ะ กลับได้แล้ว!”
พูดจบก็ลากเชินหลานจากไป
นางฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เล็ก สายตาย่อมดีกว่าเชินหลานหลายเท่า เมื่อครู่ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง นางเห็นชัดแจ้งเต็มตา จึงไม่อาจปล่อยให้เชินหลานมาเอะอะโวยวายอยู่ตรงนี้
ฉู่สวินหยางห้อม้ากลับจวน พอเข้าประตูไปก็เจอกับพ่อบ้านเจิงพอดี
“ท่านหญิง!” พ่อบ้านเจิงร้องเรียก “ข้าน้อยกำลังสั่งคนให้ไปตามท่านหาพอดี นายท่านรออยู่ที่ห้องหนังสือ ท่านรีบไปเถอะขอรับ!”
ฉู่สวินหยางยื่นแส้ม้าในมือให้เขา ขณะเดินผ่านเข้าไปก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “วันนี้ท่านพ่อประชุมเช้าเสร็จก็กลับจวนเลยรึ? ไม่ได้เข้าวัง?”
“ขอรับ!” พ่อบ้านเจิงตอบ ไม่ได้ปากมาก
ฉู่สวินหยางก็ไม่ซักไซ้
ฉู่ฉีเฟิงเพิ่งกลับมาถึงจวนเมื่อวาน กลางคืนดึกดื่นก็ถูกฉู่อี้อันเรียกเข้าไปคุยที่ห้องหนังสือ ทั้งสองอยู่ในนั้นข้ามคืนไม่หลับไม่นอน ส่วนว่าพวกเขาหารือเรื่องอะไรกันนั้น ฉู่สวินหยางพอจะคาดคะเนได้ส่วนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดฉู่อี้อันถึงรีบร้อนเรียกหานางด้วย?
ฉู่สวินหยางไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ตรงไปหาฉู่อี้อันทันที พอผลักประตูเข้าไป ก็เห็นทั้งสองกำลังมุงแผนที่ผืนหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ คล้ายว่ากำลังหารือเรื่องอะไรอยู่
“ท่านพ่อ พ่อบ้านเจิงบอกว่าท่านหาข้าอยู่?” ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยปาก นางส่งยิ้มให้ฉู่ฉีเฟิง “พี่รองก็อยู่ที่นี่ด้วย!”
“อืม!” ฉู่อี้อันรับคำเบาๆ เงยหน้าขึ้นมาเห็นชุดที่นางใส่อยู่ ดวงตาพลันวาบแสง
กลับเป็นฉู่ฉีเฟิงที่ชิงเปิดปากว่า “เจ้าออกไปข้างนอกมารึ? อากาศเย็นเพียงนี้ อย่าเที่ยวเล่นไปทั่ว ระวังจะเป็นไข้ไปเสีย”
“ไม่เป็นหรอกน่ะ ข้าใส่ตั้งหลายชั้นนะ!” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ก่อนจะรีบเบี่ยงประเด็น “ท่านพ่อรีบให้ตามข้ามา มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่เรียกเจ้ามาบอกว่า พ้นปีใหม่ไปพี่ชายของเจ้าก็ต้องกลับเมืองฉู่แล้ว ช่วงนี้ที่ยังว่างก็ใช้เวลาด้วยกันให้มากหน่อย” ฉู่อี้อันตอบ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบ
ฉู่สวินหยางชะงักไป มองทางเขาทีหนึ่ง แล้วหันไปมองฉู่ฉีเฟิงต่อ ถามอย่างแปลกใจ “ก่อนพี่รองจะกลับมา ฝ่าบาทไม่ได้ส่งผู้คุมทัพคนใหม่ไปแล้วหรือ? เขาคง… ไม่เต็มใจให้พี่รองกลับไปหรอกกระมัง!”
ไม่ต้องสงสัยเลย ฉู่อี้อันชิงเคลื่อนไหวก่อน เขาเริ่มแทรกซึมทางการทหารแล้ว
แต่เพราะตัวฮ่องเต้เองก็ขึ้นนั่งบัลลังก์โดยใช้กำลังทหาร พระองค์มีตัวเองเป็นบทเรียน จึงทรงระแวดระวังด้านนี้มาก สิบกว่าปีที่ผ่านมาจึงกุมอำนาจทหารไว้ในมือเดียว ไม่ยอมแบ่งไปให้ใครเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ด้วยเหตุว่าสงครามกับหนานฮวาตึงเครียดหนัก พระองค์จึงต้องส่งฉู่อี้อันไปคุมทัพอย่างไม่มีทางเลือก คิดจะพลิกสถานการณ์กลับมา บัดนี้ นับแต่หรงเสี่ยนหยางกลับแคว้นหนานฮวาไปเหตุการณ์ก็เริ่มมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นตายร้ายดีอย่างไร ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางให้วังบูรพายื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก
ฉู่อี้อันหลุบตาจิบน้ำชา ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
กลับเป็นฉู่ฉีเฟิงที่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “สงครามจะแพ้หรือชนะ เดิมก็พลิกผันได้ร้อยพันแบบ ผู้คุมทัพคนหนึ่งทำอะไรได้ไม่มากหรอก แค่ต้องดูว่าเขามีความสามารถพอจะนั่งตำแหน่งนั้นได้นานแค่ไหน”
สมองของฉู่สวินหยางหมุนแล่นอย่างว่องไว พักเดียวก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ฉู่อี้อันแสดงชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดถึงประเด็นนี้อีกต่อไป เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว พวกเจ้าอย่าลืมไปที่อารามเมตตาล่ะ”
จะให้เขาคุยแผนการที่จะจัดการบิดาของตนต่อหน้าลูกๆ…
แม้แผนการจะเริ่มต้นแล้ว แต่ก็ไม่อยากเอ่ยปากมากความ
ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงสบตากันทีหนึ่ง ต่างก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงรีบเปลี่ยนเรื่อง ลุกขึ้นแล้วเอ่ยต่อว่า “เมื่อคืนข้าสั่งคนให้เตรียมของขวัญกับแพรพรรณเอาไว้แล้ว สวินหยางถ้าตอนบ่ายเจ้าไม่มีเรื่องอะไร พวกเราก็ไปกันเดี๋ยวนี้เลยเถอะ?”
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกศีรษะ
ฉู่อี้อันโบกมือไล่ สองคนจึงคารวะแล้วล่าถอยออกมา
ตั้งแต่ออกมาจากห้องหนังสือ ฉู่สวินหยางก็เหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ ตลอดทางไม่ส่งเสียงเลยสักแอะ
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบตามอง แล้วยกมือตบไหล่นาง ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เอ่ยว่า “ถ้าไม่อยากเข้าไป เจ้ารอข้าที่หน้าประตูวัดก็ได้ ไม่ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนว่าถูกบังคับให้เดินขึ้นลานประหารหรอก”
เป็นเรื่องที่สังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายว่าคนแซ่ฟางกับฉู่สวินหยางไม่ลงรอยกัน ฉู่ฉีเฟิงรับรู้เรื่องนี้อย่างกระจ่าง
ฉู่สวินหยางได้ยินเสียงเขาพูดไปอีกเรื่องหนึ่งก็ได้สติกลับมา แต่คิ้วก็ยังพันกันยุ่ง ไม่มีท่าว่าจะคลายออกเลยสักนิด
ฉู่ฉีเฟิงอดจะเป็นห่วงนางไม่ได้ เอ่ยว่า “เป็นอะไร? ไม่สบายรึ?”
พูดแล้วก็ยื่นมือจะมาแตะหน้าผากของนาง
ฉู่สวินหยางกันมือเขาออก มองหน้าเขาตรงๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง ชั่งใจอยู่นานก่อนจะสูดหายใจลึก เอ่ยว่า “ไม่ใช่เพราะเรื่องไปอารามเมตตาหรอก พี่รอง ไปที่จวนของท่านพี่ก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย!”
ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางเคร่งเครียดก็ไม่กล้าวางใจ สั่งให้เจี่ยงลิ่วไปเตรียมรถม้า ส่วนตัวเองกับฉู่สวินหยางก็กลับไปเรือนจิ่นโม่
——————————————-
ตอนที่ 80 ศัตรูคู่แค้น (3)
ฉู่สวินหยางหันมางับประตูปิด แล้วเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับฉู่ฉีเฟิง นางไม่อ้อมค้อมก็เปิดปากเข้าประเด็นทันที “ท่านพ่อต้องการให้พี่รองแทรกซึมเข้าไปในกองทัพ แล้วหาทางควบคุมทหารเมืองฉู่สองแสนนายใช่หรือไม่?”
ฉู่สวินหยางเป็นคนเฉลียวฉลาด นางคาดเดาแผนการนี้ของฉู่อี้อันออก ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เขาเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยตามจริงว่า “แม่ทัพฮั่วเป็นคนของท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าเจ้าล้วนรู้ดี ส่วนฝ่าบาททางนั้นแม้ตอนนี้จะยังไม่ทันสังเกต แต่ในใจก็ระวังแม่ทัพฮั่วอยู่ตลอด มากสุดไม่เกินสามปี ฃแม่ทัพฮั่วต้องถูกฝ่าบาทบีบให้เกษียณตัวเองแล้วถูกส่งกลับเมืองหลวง ถึงเวลานั้นค่อยเปลี่ยนแม่ทัพคนใหม่ ต่อให้เป็นท่านพ่อก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้นต้องรีบฉวยโอกาสเสียตอนนี้ ตอนที่แม่ทัพฮั่วยังพอช่วยดึงใจคนได้ ให้พวกเขาเข้าเป็นคนของวังบูรพาด้วยความเต็มใจ”
“ท่านพี่หมายถึง…” ฉู่สวินหยางหยุดคิด อารมณ์ในดวงตายิ่งเข้มลึกมากยิ่งขึ้น “ช่วงนี้สถานการณ์ศึกที่เมืองฉู่อาจจะเลวร้ายลงอีก?”
หากคิดจะผลักผู้คุมทัพคนใหม่ออกไป วิธีที่ได้ผลที่สุดคือสร้างสถานการณ์ให้เพลี่ยงพล้ำ ให้เขาเสียความน่าเชื่อถือ
ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้าอย่างคลุมเครือ แต่ก็ไม่ปิดบัง “ก่อนกลับมาข้าวางแผนกับแม่ทัพฮั่วเอาไว้แล้ว ถึงเวลานั้นเขาจะเสนอให้โจมตีค่ายของศัตรู ฉวยโอกาสคืนส่งท้ายปีเก่าที่ทุกคนคลายความระวังตัว ตอนนั้นจะชนะให้สวยงามสักหน่อยไม่ใช่เรื่องยาก แต่เวลาเดียวกันก็ต้องยั่วยุให้พวกหนานฮวาบ้าคลั่งคิดแก้แค้น ผู้คุมทัพคนใหม่เป็นพวกมองสูงแต่ไร้ความสามารถ ย่อมต้องเอาแต่ภาคภูมิใจกับชัยชนะที่อยู่เบื้องหน้า ขอเพียงแม่ทัพฮั่วเล่นอุบายนิดหน่อย เขาคงจะหลงกลได้ไม่ยาก”
ผู้คุมทัพคนใหม่เป็นบุตรชายคนรองของจวนหลัวกั๋วกงซึ่งเป็นญาติฝั่งแม่ของฮองเฮา ฮ่องเต้เลือกใช้คนผู้นี้ หนึ่งเพราะให้เกียรติฮองเฮาหลัว สองเพราะคนผู้นี้มีความกล้าหาญมากกว่าความฉลาด ง่ายต่อการควบคุม
“หากว่าหลัวอี้เป็นอะไรไป เกรงว่าฮองเฮาคงไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ!” ฉู่สวินหยางกังวล
ฮองเฮาหลัวผู้นี้ หากว่าใครไปล้ำเส้นเข้า ก็จะกัดไม่ยอมปล่อยเลยทีเดียว
“วางใจเถอะ ไม่ปล่อยให้เขาตายหรอก เพียงแต่…” ฉู่ฉีเฟิงตบหลังมือของนาง ส่งสายตาให้เป็นเชิงปลอบโยน ก่อนมีแสงวูบผ่าน นัยน์ตาพลันถูกเคลือบด้วยความเย็นเยือกบางๆ ชั้นหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ทหารสามพันนายที่ติดตามเขาไปคงไม่อาจให้รอดกลับมา”
ฮ่องเต้สั่งการว่า ให้ใช้ทหารรักษาประตูเมืองของพระองค์คอยคุ้มครองหลัวอี้ เรียกให้น่าฟังก็คือปกป้อง ความจริงนั้น…
หนึ่งเพราะง่ายต่อการบงการหลัวอี้ สอง…
ก็เป็นเหมือนดาบคมปลาบที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะฮั่วกัง คอยจับตามองความเคลื่อนไหวเขาทุกขณะ
“หากว่าท่านพ่อคาดเดาไม่พลาด หลัวอี้เป็นเพียงฉากหน้าหลอกตาเท่านั้น ทหารสามพันนายต่างหากที่เป็นอาวุธสังหารตัวจริง!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ทุกคำฟังแล้วหนาวเยือก
ฉู่สวินหยางได้แต่ส่งยิ้มขื่น “ยิ่งอายุมากเท่าไร โรคหวาดระแวงของเขาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที”
เขาที่พูดถึงนั้น ย่อมหมายถึงฮ่องเต้
“นั่นสินะ!” มุมปากของฉู่ฉีเฟิงกระตุกขึ้นคล้ายเย้ยหยัน นิ้วมือก็เคาะที่วางแขนของเก้าอี้ไปพลางๆ
เงียบไปพักใหญ่ ฉู่สวินหยางก็คิดเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาได้ “ไปแตะต้องทหารของพระองค์เข้า กลัวว่าแม่ทัพฮั่วอาจจะโดนหางเลขไปด้วย?”
“แม่ทัพฮั่วมีความดีความชอบ แต่ให้การศึกครั้งแรกจะสะเพร่าตกหล่น แต่เมื่อหักล้างกับผลงานแล้ว คงไม่มีโทษหนักถึงชีวิต มากสุดก็คงถูกเรียกตัวกลับเมือง เลี้ยงดูเอาไว้ก็เท่านั้น” ฉู่ฉีเฟิงตอบ เห็นชัดว่าได้คำนวณผลดีผลเสียทุกอย่างเอาไว้แต่แรกแล้ว
เขาเหลือบตามองฉู่สวินหยางทีหนึ่ง กล่าวว่า “ให้เขาคืนกำลังทหารเร็วหน่อยก็เป็นเรื่องดี ไม่เช่นนั้น เพื่อหาทางกันเขาไม่ให้เข้าร่วมกับพรรคพวกใดในราชสำนัก พระองค์ต้องใช้การแต่งงานของคุณหนูสกุลฮั่วมาเป็นเครื่องมือแน่ เจ้าก็รู้นี่ว่าแม่ทัพฮั่วรักครอบครัวของเขาขนาดไหน”
ฮั่วกังรับราชการทหารแต่เด็ก บุกบั่นไปทั่วทั้งเหนือใต้ อายุพ้นสามสิบปีมาแล้วถึงได้มีฮั่วชิงเอ๋อร์ลูกสาวคนนี้ นอกนั้นก็ไม่มีใครอื่นอีก เขาจึงรักใคร่หวงแหนนางเหลือเกิน
ฉู่สวินหยางขบคิด กลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่หมากที่สมควรเดินเท่าไร
“ในเมื่อพี่กับท่านพ่อตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่กังวลใจอีก” เมื่อคิดตก ฉู่สวินหยางก็ส่งยิ้มหวานมาให้ จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อขึ้น จุ่มนิ้วลงในถ้วยชาแล้วตวัดนิ้วว่องไวลากเส้นง่ายๆ ลงบนโต๊ะ
เดิมฉู่ฉีเฟิงเพียงมองมันอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอจ้องเส้นหนานั้นไปเรื่อยๆ ก็พบว่าแผนที่คุ้นตาค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ เขาเด้งตัวลุกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว โน้มร่างเข้ามาดู
“ช่วงนี้ข้าว่างไม่มีอะไรให้ทำ เลยนั่งวิเคราะห์ภูมิประเทศแถบเมืองฉู่เล่น ข้าถึงเจอว่า หากท่านพ่อต้องการกุมอำนาจของที่นั่น ความจริงไม่จำเป็นต้องเอาความดีความชอบไปแลกอำนาจในมือพระองค์เลย สงครามฉากนี้ ไม่จำเป็นต้องคว้าชัย ขอเพียงถ่วงเวลาคนของหนานฮวาเอาไว้ ยิ่งนานเท่าไรก็ยิ่งดี” ฉู่สวินหยางลากเส้นเพิ่มอีกสองเส้น ก่อนจะยกมือแล้วจิ้มไปบนแผนที่ เอ่ยว่า “ดูจากแผนที่นี้ จุดตั้งค่ายของเรายังไม่ใช่ชัยภูมิที่ดีที่สุด รอพี่รองกลับไปแล้ว ค่อยเสนอให้ย้ายค่ายไปตรงช่องเขาทางทิศตะวันตก ที่ตรงนั้น เป็นพื้นที่ลึกเข้าไป ทั้งซับซ้อนด้วยมีภูเขาโอบล้อมรอบด้าน หลังเขายังมีปราการธรรมชาติเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไม่เป็นน้ำแข็งตลอดทั้งปี ป้องกันง่าย รุกรานยาก รอถึงตอนนั้น ขอเพียงพี่รองไม่อยากทำศึก ทัพหนานฮวาก็ทำได้แต่มองตาปริบๆ ท่านอยากจะยืดเวลาออกไปนานเท่าไรก็ย่อมได้ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น!”
ชัยภูมิตรงนั้น นางได้ทุ่มเทกำลังศึกษาแผนที่เมืองฉู่อย่างละเอียดเพื่อตามหาจุดตั้งทัพตั้งแต่ชาติที่แล้ว ปีนั้นนางก็มีความคิดเหมือนกับฉู่อี้อัน แค่อยากจะกุมอำนาจทหารของเมืองฉู่ไว้ให้นานที่สุด เพราะว่าทั้งบิดาและพี่ชายต่างมีตำแหน่งที่สุ่มเสี่ยงในวังหลวง ขอเพียงนางมีกำลังทหารอยู่ในมือ ฮ่องเต้ก็คงจะเกรงใจอยู่บ้าง อีกทั้งภูมิประเทศตรงนั้นก็ประเสริฐด้วยประการทั้งปวง ตัดความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ศัตรูจะเข้าโจมตี ทุกสนามศึกนับจากนั้นล้วนตกอยู่ในกำมือนาง นางเตรียมการและควบคุมทุกอย่างได้ตามใจสั่ง ดังนั้นจึงยังไม่เคยตกเป็นฝ่ายปราชัย
จะปราบทัพหนานฮวาได้หรือไม่ ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ล้วนแต่ไม่ส่งผลกระทบทางใดแก่วังบูรพาทั้งสิ้น สิ่งสำคัญคือดึงทัพหนานฮวาไว้ให้ได้นานที่สุด ยิ่งยื้อไว้ได้นานเท่าไร อำนาจทหารในมือก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ฉู่ฉีเฟิงจ้องหน้าโต๊ะด้วยสายตาเป็นประกาย ตราบจนรอยน้ำบนโต๊ะถูกความร้อนจากเตาไฟในห้องทำเอาเลือนหายไปกับสายลม เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าทอประกายยินดี เงยหน้ามองฉู่สวินหยางที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อ
ฉู่สวินหยางกลัวเขาจะเห็นพิรุธ จึงฉีกยิ้มยิงฟัง เอ่ยว่า “ข้าก็แค่พูดไปตามที่เห็นบนกระดาษ รู้สึกว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่เลว แต่ความจริงเป็นอย่างไร ก็ต้องรอให้พี่รองกลับไปตรวจสอบเสียก่อนจึงจะรู้”
ฉู่ฉีเฟิงมองนางด้วยสีหน้าซับซ้อน
ฉู่สวินหยางคว้าแขนเสื้อเขาแล้วดึงตัวลุกขึ้น กระพริบตาปริบๆ “แต่จะใช้ได้จริงหรือไม่ก็ตามแต่ ในฐานะที่ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยพี่รอง พี่รองต้องตอบแทนข้า ข้าไม่ต้องขึ้นเขาไปกับพี่ได้หรือไม่?”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ!” ฉู่ฉีเฟิงชะงักไป เห็นว่านางอ้อมวนไปเสียไกลก็เพื่อจะพูดคำนี้ จึงกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่ งอนิ้วดีดหน้าผากนางไปทีหนึ่ง
“งั้นข้าถือว่าพี่รองรับปากข้าแล้วนะ!” ฉู่สวินหยางไม่สนใจเขา เอาแต่หัวเราะชอบใจ “พอออกไปแล้ว พี่รองก็ส่งข้ากลางทาง ถึงเวลาข้าจะไปรอที่เรือนมีสุขตรงใกล้ๆ ประตูเมือง ตอนเย็นที่ท่านกลับเข้ามาก็อย่าลืมแวะรับข้าด้วยล่ะ!”
ฉู่ฉีเฟิงเห็นว่านางตระเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ ก็ทำใจเชื่อไม่ลงว่านางไม่ได้วางแผนมาแต่ทีแรก ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด เอ่ยว่า “เอาเถอะๆ ตามใจเจ้า!”
ฉู่สวินหยางหัวเราะ ดวงตาสุกใสทอประกายเจ้าเล่ห์เล็กๆ จากนั้นก็ยกประโปรงหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว “ข้าขอกลับไปหยิบเตาพกก่อน เสร็จแล้วจะไปรอท่านที่หน้าประตู!”
ฉู่ฉีเฟิงมองตามแผ่นหลังของนาง ยิ้มแย้มอารมณ์ดีก่อนจะเข้าไปหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป
ทันทีที่ฉู่สวินหยางก้าวเท้าออกจากเรือนจิ่นโม่ รอยยิ้มบนใบหน้าก็จืดจางไปหลายส่วน รีบเร่งฝีเท้าเดินไปทางเรือนจิ่นฮว่า
ชิงหลัวกับชิงเถิงที่รู้เรื่องแล้วก็ออกมารอที่ประตู เห็นนางกลับมาจึงเดินเข้าไปรับ “ท่านหญิงจะเปลี่ยนชุดไหมเจ้าคะ? หรือว่าออกไปทั้งแบบนี้!”
“ไม่เปลี่ยนแล้ว!” ฉู่สวินหยางตอบ ซอยเท้าหายแวบเข้าไปด้านใน “ข้าจะไม่ออกไปนอกเมืองหรอก ชิงหลัวเจ้าไปจวนผู้อาวุโสเฉินแทนข้าที เชิญใต้เท้าเหยียนหลิงไปที่เรือนมีสุข ข้ามีเรื่องด่วนต้องการให้เขาช่วย!”
ชิงหลัวตกตะลึง “ใต้เท้าเหยียนหลิง? แล้วเมื่อครู่ที่ท่านหญิงออกไป…”
คิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ หัวใจของฉู่สวินหยางพลันรู้สึกแปลกๆ แต่นางไม่อาจบอกชิงหลัวได้ว่าเพราะนางรีบหนีออกมาก่อน ถึงได้ลืมคุยเรื่องสำคัญเสียได้
“บอกให้ไปก็ไปเถอะน่ะ อย่าเพิ่งถามมากความ!” เมื่อตั้งสติได้ ฉู่สวินหยางก็เอ่ยตอบอย่างไม่ชอบใจ
ชิงหลัวเห็นท่าทางเคร่งเครียดของนางก็ไม่กล้าชักช้า รีบรับคำสั่งแล้วจากไป
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปหาเตาพกด้านในห้อง ทั้งยังบอกให้ชิงเถิงพกเงินไปด้วยจำนวนหนึ่ง เสร็จแล้วก็เดินออกไปขึ้นรถม้ากับฉู่ฉีเฟิงที่หน้าประตู
——————————————-
ตอนที่ 80 ศัตรูคู่แค้น (4)
รถวิ่งไปตามเส้นทางเดิมที่เคยใช้ ฉู่สวินหยางยิ้มแย้มจำนรรจากับฉู่ฉีเฟิงเป็นปกติไปตลอดทาง เอ่ยถามข่าวคราวเรื่องในกองทัพบ้าง ในรถม้าจึงมีเสียงหัวเราะรื่นเริงดังออกมา ช่างเป็นภาพที่แสนสุขยิ่งนัก
พอมาถึงเรือนมีสุขที่ตั้งอยู่แถวประตูเมือง ฉู่ฉีเฟิงก็สั่งให้หยุดรถ ปล่อยฉู่สวินหยางลงตรงนั้น เขาเปลี่ยนไปขี่ม้า ก่อนไปก็ยังกำชับอย่างเป็นห่วงว่า “เพราะเราออกมาช้า ฟ้าอาจจะมืดก่อนแล้วตอนข้ากลับมา…”
“รู้แล้ว ข้าจะรออยู่ที่นี่แหละ!” ฉู่สวินหยางตอบ โบกมือล่ำราเขา
ฉู่ฉีเฟิงส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างจนปัญญา แล้วพาพวกเจี่ยงลิ่วห้อม้าเดินทางต่อไป
ฉู่สวินหยางยืนอยู่หน้าเรือนมีสุขจนส่งเขาออกนอกประตูเมืองไป เจี่ยงลิ่วหันศีรษะกลับมามองหลายครั้ง ก่อนจะเหล่ตามองสีหน้าของฉู่ฉีเฟิงอย่างลังเลคล้ายอยากจะพูดบางอย่าง จนกระทั่งฉู่ฉีเฟิงหันมาเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติ
“มีอะไรก็ว่ามา อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้?” ฉู่ฉีเฟิงมุ่นคิ้วถาม
เจี่ยงลิ่วลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเปิดปากว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยได้ยินว่าช่วงนี้ท่านหญิงไปมาหาสู่กับใต้เท้าเหยียนหลิงรองหัวหน้าสำนักหมอหลวงคนใหม่อยู่บ่อยๆ”
เขาใช้คำอย่างระมัดระวัง ให้ฟังดูไม่บาดหูมากนัก
ฉู่ฉีเฟิงได้ฟังก็หน้าแข็งทื่อทันที ดวงตาหรี่ลงแล้วหันมามองด้วยความเย็นเยือก ทำเอาหัวใจของเจี่ยงลิ่วหล่นวูบ รีบก้มหน้าลงทันที
“ไม่รู้จักขอบเขตหน้าที่ของตัวเองหรือไง?” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย น้ำเสียงน่ากลัว ต่างจากท่าทีสุภาพอ่อนโยนโดยปกติอย่างสิ้นเชิง “ใครใช้ให้เจ้าอาจหาญสืบเรื่องของสวินหยาง?”
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว!” เจี่ยงลิ่วตกใจรีบขอโทษ แต่พอคิดๆ ไปก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี จึงเอ่ยปากครั้งอย่างติดใจ “แต่ว่า… ใต้เท้าเหยียนหลิงผู้นั้นมีอะไรแปลกๆ นะขอรับ”
สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงเอ่ยว่า “เรื่องของสวินหยาง ต่อไปไม่อนุญาตให้พูดถึง แล้วก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง นางรู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วง แต่ฉู่อี้อันเองยังมีท่าทีชัดเจนไม่เข้าแทรกแซง เขาก็ไม่จำเป็นต้องเคลือบแคลงสงสัยอะไรอีก
เจี่ยงลิ่วเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก ถึงได้ก้มหน้ากดความรู้สึกไม่เป็นธรรมที่อยู่ในอก ไม่กล้าปากมาก
ฉู่ฉีเฟิงขี่ม้าอยู่หน้าขบวน หลับตาลงเล็กน้อย จนแทบไม่มีใครทันสังเกตเห็น ตอนนั้นเอง…
‘เหยียนหลิงจวิน’ คำสามคำแล่นผ่านหัวสมองเขาอย่างว่องไว
เขาจำได้ คืนนั้นที่ค่ายทหารเมืองฉู่ ฉู่สวินหยางเคยถามเขาอย่างไม่จริงจังครั้งหนึ่งว่า ‘ราชสำนักของหนานฮวามีขุนนางหรือตระกูลสูงศักดิ์ที่ใช้แซ่สองตัวอย่างเหยียนหลิงหรือเปล่า’
หรือว่า?
เป็นเพราะคนผู้นั้น?
ฉู่สวินหยางทางนี้ยังยืนนิ่งอยู่หน้าเรือนมีสุข รอจนกลุ่มม้าของพวกฉู่ฉีเฟิงลับตาไปแล้วถึงได้เดินเข้าด้านใน
ชิงเถิงเตรียมห้องส่วนตัวที่ไม่สะดุดตาคนไว้ นางลงมารออยู่ที่ห้องโถงด้านล่าง ส่วนฉู่สวินหยางเดินขึ้นห้องชั้นสองไป
ตอนนี้เหยียนหลิงจวินยังมาไม่ถึง ฉู่สวินหยางนั่งเบื่อหน่ายอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ดึงใบไม้สีทองที่แอบเก็บกลับมาจากหน้าประตูจวนสกุลซูออกจากเอว ใช้นิ้วลูบมันครั้งแล้วครั้งเล่า นัยน์ตาทอแสงเคร่งขรึม ไม่เหลือท่าทางร่าเริงยิ้มแย้มอย่างที่เคยเป็น
มองออกว่าใบไม้ใบนี้ถูกตีขึ้นจากช่างฝีมือเยี่ยม ทำออกมาได้อย่างประณีต ตัวแผ่นบางกริบ ซ้ำบางกว่าใบไม้ของจริงถึงสามส่วน เมื่ออยู่กลางแสงแดดเช่นนี้ คล้ายว่าจะมีลำแสงอบอุ่นทะลุผ่านใบไม้ออกมา
ใบไม้สีทองที่เหมือนกันนี้ ชาติก่อนฉู่สวินหยางก็เคยเห็น และรู้ด้วยว่า…
มันเป็นสมบัติของคนเพียงคนเดียว!
ไม่!
ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง นี่เป็นสัญลักษณ์ของเขา!
ซูชิงสุ่ย!
คุณชายชิงสุ่ยที่มีชื่อเสียงโด่งดังในชาติก่อน สู้รบปรบมือกับนางมาครึ่งค่อนชีวิตอันแสนสั้น เป็นคู่กัดที่สุดท้ายก็ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้า!
ชาตินี้ยังต้องมาเจอกันอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
ความคิดของฉู่สวินหยางล่องลอยไปไกล ควานหาความทรงจำในสมองที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดอีกครั้ง
ซูชิงสุ่ย เหมือนคนที่ตกลงมาจากฟ้า เพราะจู่ๆ เขาก็โผล่ขึ้นมาเป็นแม่ทัพหนุ่มทรงอำนาจภายในเวลาแค่สามปี เริ่มจากทำศึกกับกองทหารม้าที่นอกด่านเป่ยเจียง[1] ใช้แผนดักซุ่มโจมตีอันยอดเยี่ยม ตัดหัวทหารม้าสามพันนายที่ได้ชื่อว่าอาจหาญที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขับไล่ชาวเป่ยเจียงที่จ้องจะยึดครองดินแดนจงหยวนให้ถอยร่นออกไปนอกด่าน จากนั้นก็เคลื่อนทัพไปทางทะเลฝั่งตะวันออก ฟาดฟันกับโจรสลัดจอมอำมหิตร้อยเล่ห์ เวลาเพียงสองปี เขาก็เอาชนะโจรสลัดที่กดขี่ชาวประมงตลอดแนวชายฝั่งเหนือจรดใต้ได้สำเร็จ จนพวกมันต้องหนีไปซ่อนตัวที่เกาะร้าง เขาใช้เวลาสองปีแทรกตัวเข้าไปมีอำนาจเหนือทหารเรือแสนนายที่เดิมควรจะเป็นของสกุลซูแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น และขึ้นแท่นเป็นแม่ทัพหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดในราชสำนักซีเยว่ตอนนั้น
ช่วงนั้นเรื่องที่ชาวบ้านพากันซุบซิบมากที่สุดก็คือสตรีผู้พิทักษ์พรมแดนกับแม่ทัพหนุ่มแน่น คุณชายชิงสุ่ยผู้กวาดล้างท้องน้ำนำความผาสุขมาคืนสู่ชาวบ้าน
เขากับฉู่สวินหยางในตอนนั้น คนหนึ่งอยู่ตะวันออก คนหนึ่งอยู่ตอนใต้ ทั้งยังไม่ค่อยได้กลับเมืองหลวง ต่างคนจึงไม่เคยพบหน้ากัน แต่อาจเพราะเป็นความเลื่อมใสที่มีต่ออีกฝ่าย ฉู่สวินหยางเคยสั่งให้คนไปสืบหาข้อมูลทั้งหมดของเขา ศึกษาทุกๆ สนามรบน้อยใหญ่ที่เขาเคยข้ามผ่าน สุดท้ายก็พอจะสรุปได้ว่า…
คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะด้านการทหารสมคำร่ำลือ
แน่นอน หลังจากเหตุการณ์พลิกหมุนไปมา คงจะไม่เกินไปหากเรียกเขาว่า ผู้ปราดเปรื่องเรื่องการเล่นเล่ห์เพทุบาย
เพราะหลังจากสร้างความชอบที่เป่ยเจียงและได้กุมอำนาจทหารเรือแล้ว เหมือนว่าความทะเยอทะยานของเขาจะยิ่งโหมกล้า หรือไม่อาจแค่ต้องการจะก้าวหน้าเติบใหญ่ในดินแดนอื่น ต้องการแสดงให้เห็นว่าความสามารถทางการทหารของเขายอดเยี่ยมเพียงใด ไม่นานเขาก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ค่ายทหารเมืองฉู่ซึ่งนางประจำอยู่ ถวายฎีกาหลายต่อหลายครั้ง อ้างเหตุผลว่านางคุมทัพไร้ความคืบหน้า และเสนอตัวมาทำหน้าที่แทนนาง
อำนาจทางการทหารที่เมืองฉู่มีความหมายต่อวังบูรพามาก นางย่อมไม่ยอมปล่อยมือ ดังนั้น แม้ทั้งสองจะไม่เคยพบหน้าอย่างเป็นทางการ แต่ก็ปะทะกันหลายครั้งทั้งต่อหน้าและลับหลังผ่านระยะทางนับพันลี้ แค่ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายก็เหมือนเผชิญกับศึกใหญ่ กัดกันไม่ยอมปล่อยเสียที
เขาใช้ลูกไม้แพรวพราว ทำทุกอย่างเพื่อบีบนางให้ลงจากตำแหน่ง
นางพลิกแผนรับมือ ขวางทุกทางไม่ให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการไป
ตอนนั้น ซูชิงสุ่ยดื้อดึงนัก อย่างไรก็จะยึดอำนาจทหารเมืองฉู่ให้จงได้!
หากว่าเขาโอหังอวดดีอยากจะลองแก่งแย่งชิงดีกันสักตั้งก็แล้วไปเถอะ แต่ถ้าเขามีเป้าหมายอยู่ที่ตำแหน่งกับสิ่งที่จะได้ตามมา…
ที่แห่งนั้นเป็นพรมแดนของซีเยว่กับหนานฮวา เป็นชัยภูมิที่สำคัญที่สุดในการปกป้องอธิปไตยของแว่นแคว้น!
อาจเพราะเคยลงมือกันแรงๆ กับคุณชายชิงสุ่ยผู้เคยได้ยินเพียงชื่อ บัดนี้ได้บังเอิญมาพบกัน ฉู่สวินหยางจึงอดจะระแวงเขาไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าชาตินี้เขาจะมีความคิดอะไรอีก หากยังยึดติดกับอำนาจทหารเมืองฉู่ไม่ยอมปล่อย นั่นย่อมเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฉู่ฉีเฟิง
พอนึกถึงคนผู้นี้ ฉู่สวินหยางก็รู้สึกปวดหัวตุบๆ ตอนที่กำลังใจลอย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังลอยมาจากนอกห้อง ไม่นานก็เห็นเหยียนหลิงจวินผลักประตูเดินเข้ามา
เวลานี้ฉู่สวินหยางนั่งอยู่หน้าหน้าต่าง เหม่อมองใบไม้สีทองที่ถูกแสงแดดส่งกระทบอย่างไม่เข้าใจ
ตอนที่เหยียนหลิงจวินเห็นนาง เป็นครั้งแรกที่สายตาของเขาไม่วนเวียนอยู่แต่ที่ดวงหน้าของนาง แต่กลับทอประกายวาบ แล้วตวัดผ่านใบไม้สีทองในมือนางอย่างรวดเร็วทีหนึ่ง
เขางับประตูปิด จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “รีบร้อนเรียกข้ามา มีเรื่องอะไรรึ?”
“อืม มีเรื่องขอให้เจ้าช่วย!” ฉู่สวินหยางตอบ น้ำเสียงล้อเล่นแฝงกระเซ้า “เจ้ารักษาความลับได้ดี คิดว่าวิธีสืบข่าวของเจ้าคงไม่ด้อยไปกว่ากัน”
สายตาของเหยียนหลิงจวินตวัดผ่านใบไม้สีทองในมือนางอีกครั้ง จากนั้นก็เดินไปตรงหน้านางแล้วสะบัดชายเสื้อทิ้งตัวลงนั่ง เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ และเรียบเฉยดังเก่า “แล้ว?”
“แล้ว…” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ทำนิ้วมือเลียนแบบท่าทางตอนที่ซูอี้ใช้ใบไม้สีทองข่มขู่ซูหลินในคืนนั้น สองนิ้วคีบใบไม้ส่งไปเบื้องหน้าของเหยียนหลิงจวินอย่างช้าๆ เอ่ยเน้นทีละคำว่า “ข้าอยากให้เจ้า…ช่วยข้าสืบเรื่อง…คนผู้นี้!”
——————————————-
[1] เป่ยเจียง หมายถึง พรมแดนทางเหนือ
ตอนที่ 81 ผูกคอตาย? (1)
มือที่กำลังรินน้ำชาของเหยียนหลิงจวินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
“ทำไมเล่า?” เขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าเป็นปกติ
“ก็แค่อยากรู้!” ฉู่สวินหยางเบะปาก มือก็เล่นใบไม้ต่อไป “ช่วงเวลาที่เขาปรากฏตัวมันประจวบเหมาะเกินไป เรื่องที่ทำก็ไม่สมเหตุสมผล ทำให้ข้าคิดอะไรได้บางอย่างน่ะ!”
เหยียนหลิงจวินฟังออกว่าวาจาของนางมีความนัย อดจะยิ้มๆ ไม่ได้ “เจ้าสงสัยอะไรเขาล่ะ?”
“ก็จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร เขามาถึงสกุลซูทันห้ามไม่ให้ซูหลินยกเลิกงานแต่งพอดี เห็นชัดว่ามีการวางแผนมาล่วงหน้า” ฉู่สวินหยางเอ่ย กระพริบตา มองเขาผ่านโต๊ะที่กั้นอยู่ตรงกลาง
อาจเพราะมีชนักติดหลัง เหยียนหลิงจวินถูกสายตาของนางจับจ้องจนรู้สึกขยุบขยิบในใจ แต่พยายามรักษาความสุขุมไว้สุดความสามารถ ไม่ให้ตัวเองหลุดอาการอะไรออกไป แล้วส่งรอยยิ้มน้อยๆ ให้นาง
ฉู่สวินหยางโยนใบไม้สีทองลงตรงหน้าเขา จากนั้นก็ถอนมือแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นางเบือนหน้าออกไปมองแสงจ้าแสบตาด้านนอก ก่อนจะเปิดปากช้าๆ ด้วยความจริงจังเคร่งเครียด
“เขาเป็นคนของจวนอ๋องฉางซุ่น!” ฉู่สวินหยางกล่าว ไม่มีท่าทางหยั่งเชิงหรือลังเล มีแต่น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ตอบกลับ นางหาได้สนใจแล้วเอ่ยต่อไปว่า “เขาต้องการปกป้องสกุลซู ไม่มีทางที่จะทำไปโดยไร้เหตุผล สองสามวันมานี้ข้าพลิกหาข้อมูลของจวนอ๋องฉางซุ่นจนหมด ซูหังที่เป็นอ๋องฉางซุ่นคนปัจจุบันแม้จะเป็นบุตรชายสายหลักของซูจิ่นรั่ง แต่ว่าเขาไม่ใช่บุตรชายคนโต บุตรชายคนโตของสกุลซูชื่อว่าซูไหวตายอยู่กลางสนามรบตั้งแต่สิบสี่ปีก่อน ตัวเขาทิ้งทายาทเอาไว้สองคน ก็คือคุณชายสองซูอี้กับคุณชายสามซูฉี ตอนนั้นซูจิ่นรั่งฝากความหวังทั้งหมดไว้กับบ้านใหญ่ ทั้งยังสั่งสอนเลี้ยงดูเด็กทั้งสองด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น ข้าจึงลองไปถามท่านพ่อดู ปีนั้นซูจิ่นรั่งเคยยื่นฎีกาขอให้แต่งตั้งซูฉีเป็นซื่อจื่อผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์จริงๆ ได้ยินว่าเด็กคนนั้นเฉลียวฉลาด ความจำเป็นเลิศ ซูจิ่นรั่งจึงกำหนดตัวให้เขาเป็นผู้รับช่วงต่อคนต่อไปของจวนอ๋องฉางซุ่น แต่เพราะเขาไม่ใช่หลานคนโต ฝ่าบาทถึงชะลอเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ตรัสว่าสักสองสามปีค่อยว่ากันใหม่ แต่หลังจากนั้นสองปี หรือก็คือปีที่สามของรัชสมัยกวงตี้ เด็กคนนั้นก็บังเอิญป่วยหนักจนเสียชีวิตไป อาจเพราะหมดกำลังใจตายอยาก ซูจิ่นรั่งจึงยอมเขียนฎีกาให้แต่งตั้งลูกชายคนรองซูหังเป็นผู้สืบทอดแทน”
ซูหลินเป็นบุตรชายสายหลักของลูกคนรอง และซูหว่านก็คือน้องสาวแท้ๆ ของเขา เรื่องพวกนี้มิได้เป็นความลับอะไรในราชสำนัก ว่ากันตามหลักแล้ว เมื่อซูไหวตายไป การที่ตำแหน่งผู้สืบทอดจะตกไปอยู่ที่ลูกคนรองก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามธรรมเนียม แต่ภายในกลับมีเรื่องลับซุกซ่อนอยู่…
นั่นก็คือ เรื่องที่อ๋องฉางซุ่นคนเก่า ซูจิ่นรั่งผู้นั้นเคยถวายฎีกาขอให้แต่งตั้งหลานชายคนเล็กเป็นผู้สืบทอด
แต่เพราะข่าวไม่ได้ถูกแพร่ออกไปในวงกว้าง ภายหลังถึงค่อยๆ เงียบหายไป
ฉู่สวินหยางเล่าเรื่องในวันวานอย่างเชื่องช้าทว่าหนักแน่น ส่วนเหยียนหลิงจวินก็จิบชาเงียบๆ นั่งฟังด้วยสีหน้านิ่งขรึม ไม่ได้ขัดจังหวะนาง
ความคิดของฉู่สวินหยางล่องลอยไปไกล สายตาทอดมองนอกหน้าต่างไม่ได้หันกลับมา เงียบไปพักหนึ่งถึงได้เล่าต่อว่า “คงเพราะเขาคาดหวังกับเด็กคนนั้นมากเกินไป ตอนที่ซูฉีจากไป ซูจิ่นรั่งก็ล้มป่วย นอนซมอยู่บนเตียงได้สองเดือนก็ลาจากโลกนี้ตามไปด้วย ดังนั้น ซูหังที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งซื่อจื่อก็กลายเป็นอ๋องฉางซุ่นรุ่นที่สองอย่างถูกต้องเหมาะสม ซูหลินได้รับตำแหน่งซื่อจื่อในอ๋องฉางซุ่นเป็นลำดับถัดไป”
เหยียนหลิงจวินไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
เกี่ยวกับเรื่องซูอี้ เขารู้มันทั้งหมด ฝ่ายหนึ่งคือสหายสนิท ฝ่ายหนึ่งคือนาง…
เขาไม่อยากมีความลับกับนางแม้แต่ประโยคเดียว ด้วยความลำบากใจ จึงทำได้เพียงปิดปากแล้วนั่งฟังเท่านั้น
ในที่สุดฉู่สวินหยางก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของเขา จึงดึงสายตากลับจากด้านนอก นางคิ้วเลิกสูง ส่งสายตาตั้งคำถามไปให้เขา
เหยียนหลิงจวินถูกนางจ้องจนอึดอัด ด้วยจนปัญญา ถึงได้ถอนหายใจเบาๆ อย่างหมดหวัง “ได้ยินว่าตอนนั้นผู้เฒ่าอ๋องฉางซุ่นก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ตัวเขาก็มีโรคภัยรุมเร้าจากการทำศึกมานาน หลานชายที่รักจากไปอย่างกะทันหัน เขารับความกระทบกระเทือนไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติ ซูหังผู้นั้น แม้จะถือว่าเจ้าเล่ห์มากแผนการเมื่อเทียบกับซูหลิน แต่ถ้าจะบอกว่าเขาสังหารบิดาตัวเอง? การเชื่อมโยงนี้ออกจะเกินเลยไปหน่อย!”
หากจะบอกว่าซูหังทำบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนั้น ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตกใจ แต่ว่าปัญญาของซูจิ่นรั่งนั้นสูงส่งระดับใด ฝีมือของเขาก็ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยม ประเมินจากสถานการณ์ตรงหน้า ซูหังคงไม่ถึงขนาดทำร้ายบิดาของตนด้วยตัวเอง
อย่างไรก็เป็นเรื่องตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ทั้งยังเกิดทางตอนใต้ที่ห่างออกไปนับพันลี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนเลือนรางจนแทบไม่เหลือ ฉู่สวินหยางก็คร้านจะเปลืองสมองไปขบคิด จึงตอบกลับไปว่ารับรู้แล้ว
นัยน์ตาของนางทอแสงวาบ วางมือลงบนโต๊ะแล้วลุกยืนขึ้น โน้มกายข้ามโต๊ะเข้าประชิดใบหน้าของเหยียนหลิงจวิน เอ่ยอย่างมั่นใจว่า “แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น คุณชายรองซูอี้ผู้นั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นในจวนสกุลซูอีกต่อไป เรื่องนี้ คงจะบังเอิญมากไปหน่อยกระมัง?”
ทันทีที่ซูจิ่นรั่งตายไป ไม่แปลกหากจวนของสกุลซูจะสั่นคลอน เพียงแต่สถานที่ที่ซูอี้หายไปนั้นช่างน่าสงสัยเหลือเกิน
ราวกับว่าภายในคืนเดียว สกุลซูทั้งหมดก็ทำเหมือนคนผู้นี้ไม่เคยมีตัวตน ไม่มีใครกล่าวถึงเขาอีก บอกกับคนภายนอกว่าร่างกายของเขาไม่ดี จึงส่งไปรักษาตัวที่จวนนอกเมืองแล้ว
หลานชายของบ้านหลักที่ได้ชื่อว่าตัดสัมพันธ์กับสกุลซูมาสิบกว่าปี บัดนี้กลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่ อาศัยฐานะของคนนอกเข้ามาแทรกแซงเรื่องของสกุลซู?
จะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง?
ใครเขาจะเชื่อ?
ดวงตาของฉู่สวินหยางสว่างวาบ การมองเขาจากมุมสูงเช่นนี้ แม้จะไม่มีเจตนาจะบังคับเค้นคอ แต่ก็ทำให้เหยียนหลิงจวินรู้สึกประหม่า
“อะแฮ่ม…” เขากระแอมเบาๆ เบือนสายตาหนีไปด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นก็จับมือนาง แล้วดึงให้มานั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ ตน สมองแล่นอย่างว่องไวแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสงสัยเขาก็ถูกแล้ว แต่อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อ เขาเองก็ได้ชื่อว่าแซ่ซู หากเมื่อใดที่สกุลซูเจอกับหายนะเขาก็ต้องถูกลากไปเกี่ยวด้วย”
“เขาไม่ไปคุยเรื่องนี้กับซูหลินเป็นการส่วนตัว นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาไม่อาจมองหน้าผู้คุมหางเสือได้อย่างสนิทใจ?” สมองของฉู่สวินหยางค่อยๆ ไตร่ตรอง แล้วจึงถามออกมา
ความลับของซูอี้เขาไม่อาจเผย ดังนั้นประเด็นที่เกี่ยวกับซูอี้ เหยียนหลิงจวินได้แต่หลบเลี่ยงไปอย่างแนบเนียนว่า “เพราะอย่างนี้ เจ้าจึงกังวลว่าเขาจะเข้ามาขวางแผนการของฉู่ฉีเหยียน?”
“แล้วมันเป็นไปไม่ได้หรือ?” ฉู่สวินหยางย้อนถามกลับไป “เขาเคยทำครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องมีครั้งที่สองเป็นธรรมดา!”
คิ้วของเหยียนหลิงจวินพันกันเล็กน้อย
เกี่ยวกับแผนการที่ฉู่ฉีเหยียนมีต่อสกุลซู ความจริงฉู่สวินหยางก็เห็นดีเห็นชอบ หากว่าซูอี้คิดจะเข้ามาขวางกลางจริงๆ…
เด็กคนนี้อาจจะลงมือทำอะไรอีกก็เป็นได้!
เหยียนหลิงจวินรู้สึกว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยต้องลังเลเช่นนี้มาก่อน เพราะแค่เรื่องเล็กๆ เป็นเมล็ดงาเช่นนี้ เขากลับไม่รู้จะจัดการอย่างไร
ใช้สมองอยู่สักพัก เขาจึงเปิดปาก “เจ้าคิดจะทำอะไร? หยุดเขา?”
การต่อสู้ระหว่างฉู่ฉีเหยียนกับซูหลินพี่น้องเกิดขึ้นตรงหน้า ตอนนี้ฉู่สวินหยางกับซูอี้ยังจะเข้าไปร่วมวงด้วยอีก?
เหยียนหลิงจวินรู้สึกปวดหัวอยู่รางๆ
ฉู่สวินหยางแย่งถ้วยชาจากมือเขา ประคองมันไว้ในมือแล้วสังเกตดอกไม้สีอ่อนที่ลอยอยู่ในนั้น ผ่านไปสักพักถึงกล่าวว่า “ตรงกันข้าม ข้ากลับคิดว่าควรตอบแทนน้ำใจเขาจะเป็นการดีกว่า”
เหยียนหลิงจวินตะลึงไป พลันรู้สึกว่าไล่ตามความคิดของนางไม่ค่อยทัน
ฉู่สวินหยางหรี่ตาลง เก็บใบไม้สีทองที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาเปล่งแสงเจ้าเล่ห์ “ในเมื่อเขาไม่ออกไปพบกับซูหลินซึ่งๆ หน้า ก็หมายความว่าระหว่างกลางมีแค้นเก่าที่ติดค้าง สิ่งที่เขาอยากปกป้อง…ความจริงก็แค่จวนอ๋องฉางซุ่นกระมัง? พอดีเลย ข้าก็ไม่ได้พิศวาสซูหลินสองพี่น้องนั่นนัก หากว่าอนาคตจวนอ๋องฉางซุ่นจะเปลี่ยนให้คุณชายรองผู้นี้มาเป็นหัวเรือแทน ไม่แน่ข้าอาจจะพลอยได้ประโยชน์ไปด้วย!”
เพราะว่าเรื่องราวเกี่ยวพันถึงชะตาของวังบูรพาในภายภาคหน้า ดังนั้นการตัดสินใจทุกอย่างของฉู่สวินหยางจึงรอบคอบและระมัดระวังเป็นที่สุด แต่ครั้งนี้แม้แต่คำทักทายสักคำยังไม่เคยได้เอ่ยกับซูอี้ นางก็เลือกที่จะเดินทางสายนี้แล้ว ดูท่า…
การตัดสินใจครั้งนี้ ออกจะทำได้ลวกๆ ไปหน่อย!
เหยียนหลิงจวินมองหน้านางด้วยความสงสัยอย่างลึกซึ้ง
ฉู่สวินหยางฉีกยิ้มให้ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพ่อกับพี่รองทางนั้นมีเรื่องอื่นให้วุ่นวายมากพอแล้ว ข้าไม่อยากเพิ่มปัญหาให้พวกเขาน่ะ เรื่องนี้เจ้าก็ช่วยข้าสืบหน่อยเถอะ อย่างน้อยที่สุดข้าก็อยากรู้ว่าในมือของคุณชายรองคนนั้นมีหมากอยู่มากน้อยเท่าไร จะคุ้มค่าพอให้ข้าวางเดิมพันข้างเขาได้หรือไม่อย่างไรเล่า!”
ซูอี้กับสกุลซูตอนนี้ยืนอยู่คนละฝั่งกัน เรื่องนี้นางมั่นใจได้แล้ว ซูอี้ผู้นี้มากความสามารถด้านการศึก เมื่อชาติก่อนเขาก็เก็บตัวคอยบงการอยู่เบื้องหลัง ถึงขนาดราดไฟใส่น้ำมัน ยืนมองสกุลซูถูกยึดอำนาจทางทหารไปเพราะทำให้สงครามชายทะเลต้องเสียเปรียบ จากนั้นค่อยพลิกมือรวบเอากำลังทหารส่วนนั้นมากุมไว้เสียเอง เห็นชัดๆ ว่าเขาคิดจะแก่งแย่งและกดซูหังพ่อลูกให้ตกต่ำ ชิงคมดาบในมือสกุลซูกลับคืนสู่มือตัวเอง ตอนที่ฉู่เพ่ยคุมอำนาจเขาอาจเป็นได้แค่สัตว์ที่จำศีล แต่ตอนนี้ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ไม่ถึงสามปีห้าปี รอให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาแค่อาศัยความดีความชอบในสนามศึก เบียดแทรกคนแซ่ซูพ่อลูกขึ้นรับตำแหน่งแทน นั่นก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
แน่นอนว่า เหตุและผลเหล่านี้ นางไม่อาจพูดให้เหยียนหลิงจวินฟังได้
โชคดีที่เหยียนหลิงจวินไม่ได้ซักไซ้ เพียงหยุดคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ก็ได้ อีกสองสามวันข้าจะส่งข่าวให้เจ้า!”
พอจบประเด็นนี้ได้ หัวใจของเหยียนหลิงจวินก็เบาลงทันที เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านนอกทีหนึ่ง ก่อนจะหันมาหาฉู่สวินหยาง เห็นว่านางชุดที่นางใส่ยังเป็นชุดเดียวกับที่เจอเมื่อช่วงเช้า ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้ากลับไปแล้วก็ออกมาเลยรึ?”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางดื่มน้ำชาอย่างไม่ใส่ใจ “เดิมต้องไปอารามเมตตากับพี่รอง แต่วันนี้ข้าไม่อยากไปจริงๆ เลยมารอเขาอยู่ที่นี่!”
ตอนที่ 81 ผูกคอตาย? (2)
ท่าทีที่นางมีต่อคนแซ่ฟาง เหยียนหลิงจวินไม่ค่อยเข้าใจนัก ตามหลักแล้ว ต่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองจะห่างเหินเพียงใด อย่างไรก็คือแม่ลูกแท้ๆ แต่พอเอ่ยถึงสตรีผู้นั้น ฉู่สวินหยางกลับเย็นชาใส่ตั้งแต่ภายในจนถึงภายนอก อารมณ์เจ็บปวดผิดหวังเสียใจ ก็หาได้มีให้เห็นสักนิด
เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางก็ไม่เซ้าซี้อีก เพียงขมวดคิ้วพลางถามว่า “เจ้าทานมื้อกลางวันหรือยัง?”
ถ้วยชาในมือฉู่สวินหยางชะงัก เพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
เหยียนหลิงจวินเห็นปฏิกิริยาของนางก็รู้ว่าตัวเองเดาถูก ทำหน้าจนปัญญา ตะโกนออกไปด้านนอกว่า “ใครอยู่บ้าง?”
เหยียนหลิงจวินไม่ได้เรียกหาอิ้งจื่อตรงๆ คนที่ผลักประตูเข้ามาก็คืออิ้งจื่อกับชิงหลัว
เหยียนหลิงจวินหันไปสั่งชิงหลัวทันทีว่า “ไปดูที่โรงครัว เจ้านายเจ้าชอบทานอะไร ก็ให้พวกนั้นรีบเตรียมขึ้นมาเถอะ!”
ตอนแรกชิงหลัวก็งุนงงกับคำสั่งเสียงแข็งทื่อของเขา แต่พอเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ก็รีบรับคำแล้วเดินออกไป
เวลาไม่นาน สาวใช้สองคนก็ประคองกับข้าวที่ดูพิถีพิถันสองสามอย่างมาให้
ฉู่สวินหยางไม่ได้เกรงใจ คว้าตะเกียบแล้วตั้งอกตั้งใจทานข้าว เหยียนหลิงจวินมองอยู่ข้างๆ ไม่ได้ทานด้วย คอยสังเกตว่านางชอบจานไหน จากนั้นก็ช่วยคีบมาใส่จานน้อยตรงหน้านาง ท่วงท่ายังคงสง่างามน่ามองดังเก่า แม้แต่ตำหนิสักจุดก็มองหาไม่เจอ
ฉู่สวินหยางทานไปเล็กน้อยก็วางตะเกียบลง
เหยียนหลิงจวินมองข้าวที่เหลือครึ่งถ้วยของนางแล้วมุ่นคิ้วอีกครั้ง ไม่รอให้เขาถาม ฉู่สวินหยางก็รีบชิงพูดก่อน “อีกเดี๋ยวก็ต้องกลับไปรับมื้อเย็นที่จวนแล้ว”
ฉู่อี้อันมักคอยจับตาดูนางบนโต๊ะอาหาร หากมื้อใดทานน้อย เขาก็ไม่เปิดปากพูด แต่จะเอาแต่ขมวดคิ้วจนนางรู้สึกผิด
เหยียนหลิงจวินฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไร เพียงเรียกคนให้เข้ามาเก็บโต๊ะ
นั่งไปสักพัก ด้านนอกเฉี่ยนลวี่ก็รีบร้อนมาตาม บอกว่าหรงเฟยในวังเกิดเจ็บป่วยกะทันหัน หมอหลวงหลายคนรวมหัวกันแล้วก็ยังแก้ไม่ตก ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เรียกตัวเหยียนหลิงจวินเข้าวังด่วน
“เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ!” ฉู่สวินหยางบอก
เหยียนหลิงจวินมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง รู้สึกไม่ค่อยวางใจนัก “ข้าทิ้งอิ้งจื่อไว้กับเจ้าที่นี่!”
“ไม่ต้องหรอก!” ฉู่สวินหยางรีบบอกปัด แล้วเอ่ยเสริมว่า “อีกสักพักพี่รองก็มาแล้ว เดี๋ยวข้าต้องหาคำอธิบายให้เขาอีก ข้ามีชิงหลัวแล้ว อีกอย่างไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรหรอก”
“เอาแบบนั้นก็ได้!” เหยียนหลิงจวินหยุดคิด แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก หมุนกายเดินไปทางประตูได้สองก้าว พลันนึกบางอย่างออก เลยร้องเรียกอิ้งจื่อ “อิ้งจื่อ”
อิ้งจื่อตะลึงไป ตอนที่ได้สติถึงเพิ่งเข้าใจความหมาย รีบควักถุงหอมสีมรกตออกมาจากอก แล้วส่งไปที่เบื้องหน้าฉู่สวินหยาง “สิ่งนี้เป็นของที่ท่านหญิงสี่ทำหายเมื่อครั้งก่อน สิ่งสกปรกด้านในบ่าวทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“หากวันนี้เจ้าไม่พูดข้าก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย” ฉู่สวินหยางยักคิ้วให้เหยียนหลิงจวิน “เรื่องวันนั้น อย่างไรก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วย”
เหยียนหลิงจวินไม่ชอบให้นางเกรงใจกับตน แต่ตอนนี้สายตากลับจ้องถุงหอมที่นางถือเอาไว้ในมืออย่างไม่สนใจทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ เมื่อนึกบางอย่างออก “พูดกันว่า บุญคุณยิ่งใหญ่ไม่อาจทดแทนด้วยวาจาขอบคุณ เจ้าลองไปคิดมาเถอะ ว่าสมควรจะตอบแทนข้าอย่างไร!”
เห็นว่าท้องฟ้าไม่เช้าแล้ว เขาไม่อาจชักช้า เอ่ยจบก็พาสาวใช้ทั้งสองลาจากไป
ฉู่สวินหยางหาได้นำคำเขามาใส่ใจ เพียงเก็บถุงหอมเข้าแขนไปก็เท่านั้น
ฉู่ฉีเฟิงเดินทางจากนอกเมืองมาถึงที่นี่ก็ค่ำแล้ว ฉู่สวินหยางมองรถม้าของเขาผ่านประตูเมืองเข้ามาแต่ไกลๆ นางออกมารออยู่ด้านหน้า ก่อนจะขึ้นรถกลับไปกับเขา
วันนี้ฉู่อี้อันติดงานเลี้ยง ฉู่สวินหยางจึงทานมื้อเย็นกับฉู่ฉีเฟิงที่เรือนจิ่นฮว่า
เพราะว่าเป็นมื้อเย็น สองพี่น้องจึงทานไม่มาก ฉู่ฉีเฟิงนั่งอยู่สักพักก็ขอตัวกลับ รุ่งเช้าวันถัดไปก็กะเวลาตื่นของฉู่สวินหยางแล้วมาหาใหม่ สองพี่น้องฝึกดาบออกกระบวนท่ากันอยู่ครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาทานมื้อเช้าด้วยกัน
ตอนที่นั่งจิบชาหลังจบมื้ออาหาร ฉู่ฉีเฟิงพลันเหลือบไปเห็นสะดึงดอกไม้ที่ฉู่สวินหยางทิ้งเอาไว้บนตั่งตัวยาว เขาหลุดหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “ก็ว่าทำไมตอนที่ข้าซ้อมดาบกับเจ้าถึงรู้สึกว่าเจ้าฝีมือตก อยู่ดีๆ ทำไมนิสัยถึงเปลี่ยนไปได้เสียเล่า!”
“ใช่ที่ไหน? เพราะฝีมือดาบของพี่ดีขึ้นมากต่างหากล่ะ!” ฉู่สวินหยางกลอกตามองเขา ก่อนจะคว้าสะดึงดอกไม้มาแล้วโยนทิ้งข้างๆ ไป
ฝีมือดาบของนางถดถอยไปจริงๆ นั่นเพราะว่างเว้นไม่ได้ฝึกฝนมาหกปี ตอนนี้ทำอย่างไรก็ไม่ชินมือเสียแล้ว
สองพี่น้องนั่งคุยสัพเพเหระอยู่สักพัก จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาแจ้งว่าฮูหยินใหญ่มาเยี่ยมเยียน
ฉู่สวินหยางออกจะประหลาดใจเล็กน้อย “เชิญฮูหยินใหญ่เข้ามาเถอะ!”
สาวใช้รับคำแล้วเดินออกไป
ฉู่ฉีเฟิงวางถ้วยน้ำชาแล้วลุกขึ้น
“งั้นข้าไปก่อนแล้วกัน ต้องไปจัดการธุระอีกนิดหน่อย ตอนเย็นค่อยมาหาเจ้าใหม่”
“อืม!” ฉู่สวินหยางไม่รั้งไว้ เดินไปส่งเขาที่ประตู ก็เจอกับหรูโม่ที่พยุงฮูหยินใหญ่เข้ามาจากด้านนอกพอดี
“ท่านชาย!” เจอฉู่ฉีเฟิง ฮูหยินใหญ่ย่อกายคารวะอย่างรู้สึกผิด เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้ารู้แต่แรกว่าท่านชายอยู่ที่นี่ ข้าคงจะมาให้เย็นสักหน่อย”
“ไม่เป็นไร ข้ามาคุยเรื่อยเปื่อยกับฉู่สวินหยาง กำลังจะกลับพอดี” ฉู่ฉีเฟิงตอบ พยักหน้าให้เบาๆ ก่อนจะสาวเท้ายาวจากไป
ฉู่สวินหยางหมุนกาย พาฮูหยินใหญ่เดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะสั่งให้สาวใช้ยกชาเข้ามา
ฮูหยินใหญ่เป็นคนอ่อนน้อม หลายปีมานี้ก็เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในเรือนหย่าถิง น้อยครั้งที่จะออกมา การมาเยือนฉู่สวินหยางถึงหน้าประตูเช่นนี้นับเป็นครั้งแรก
“เหตุใดจู่ๆ ฮูหยินใหญ่จึงมาถึงนี่ได้เล่า?” ฉู่สวินหยางเอ่ยถาม
“อ้อ ข้าควรจะมาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว แต่คิดว่าไม่ค่อยเหมาะสมจึงไม่ได้เดินมาเสียที” ฮูหยินใหญ่ตอบด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “เรื่องของหนิงเอ๋อร์หลายวันก่อน ไม่มีโอกาสได้ขอบคุณท่านหญิงอย่างเป็นทางการเสียที ขอท่านหญิงอย่าได้ถือโทษ”
“ฮูหยินใหญ่อย่าได้เกรงใจ ข้ากับน้องสี่เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ตอนนั้นลากนางออกมาก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร ข้ารับความขอบคุณของเจ้าไม่ไหวหรอก” ฉู่สวินหยางตอบ แอบส่งสายตาให้ชิงเถิงทีหนึ่ง
ชิงเถิงหมุนกายเดินหายไปข้างใน ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับถุงหอม ส่งมันให้ฮูหยินใหญ่
“นี่เป็นของใช้ติดตัวน้องสี่ ในเมื่อฮูหยินใหญ่มาพอดี ก็นำกลับไปเลยเถอะ ประหยัดเวลาข้าเดินไปอีกรอบ” ฉู่สวินหยางตอบ ยิ้มให้เล็กๆ
ฮูหยินใหญ่รับถุงหอมมาถือไว้ในมือ พลันอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นก็รีบตั้งสติ “อืม กลับไปข้าจะคืนให้นางเอง”
ฉู่สวินหยางเผยยิ้ม ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แล้วเปลี่ยนเรื่องไป “พูดกันว่า หากไม่มีเรื่องเดือดร้อนก็คงไม่มาหา วันนี้ฮูหยินใหญ่มาหาข้า คงไม่ใช่แค่มากล่าวคำขอบคุณกระมัง?”
“ไม่มีเรื่องใดปิดบังท่านหญิงได้จริงๆ!” ฮูหยินใหญ่ไม่อ้อมค้อม เอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “เกี่ยวกับเรื่องในจวน ตอนนี้นายท่านยกเลิกการลงโทษชายารองแล้ว ตัวนางก็กลับมาแล้วเช่นนั้น กิจธุระในจวนที่อยู่ในมือข้าก่อนหน้านี้คิดว่าสมควรมอบคืนกลับไปจะดีกว่า หลายวันนี้นายท่านยุ่งๆ อยู่ ข้าจึงลองมาถามความเห็นของท่านหญิงก่อน”
ตำแหน่งของชายารองยังคงอยู่ ก่อนหน้านี้นางถูกขังไว้ก็แล้วไปเถอะ ตอนนี้ได้รับการปล่อยตัวแล้ว หากว่าอำนาจในจวนยังมีฮูหยินใหญ่คอยคุมอยู่ คงยากจะเลี่ยงเป็นที่นินทาครหา เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อฉู่อี้อัน
ฉู่สวินหยางไม่รู้สึกว่าฮูหยินใหญ่หวาดกลัวชายารอง ที่นางเสนอให้คืนอำนาจกลับไป คงเพราะคำนึงถึงชื่อเสียงภายนอกจวนมากกว่า
ฉู่สวินหยางหัวเราะ ก่อนจะจิบชาอย่างไม่ค่อยแยแส เอ่ยว่า “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ส่งคืนไปคืนมามีแต่จะยุ่งยาก ข้าเห็นว่าสองเดือนมานี้ฮูหยินใหญ่ก็จัดการเรื่องราวได้เรียบร้อยดี ในเมื่อท่านพ่อไม่ว่ากระไร เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก”
“แต่ว่าชายารองเหลยทางนั้น…” ฮูหยินใหญ่ยังรู้สึกว่าไม่เหมาะนัก
“มิใช่ว่าช่วงนี้นางต้องคอยอบรมกฎระเบียบให้น้องห้ารึ? จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการสั่งสอนให้บุตรสาวดูแลครอบครัวอีก?” ฉู่สวินหยางแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยวาจาที่คล้ายจะแฝงความนัยว่า “งานแต่งน้องสี่ผ่านปีใหม่ไปก็ต้องเริ่มเตรียมแล้ว คิดว่าฮูหยินใหญ่คงหวังให้นางแต่งออกไปอย่างสมเกียรติเช่นกัน!”
ฮูหยินใหญ่อึ้งไป ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองฉู่สวินหยางอย่างไม่อาจทำใจเชื่อ
ฉู่สวินหยางพูดต่อไปด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งเศษเสี้ยวความใยดี “พวกเราล้วนเป็นบุตรสาวของท่านพ่อ งานพี่ใหญ่คราวก่อนก็ทำงามหน้าไว้ แต่ต่างกรรมต่างวาระไม่อาจเทียบกันได้ พ้นปีใหม่ไปก็ต้องจัดเตรียมงานแต่งน้องสี่แล้ว หากมอบให้คนอื่นไปจัดการ ฮูหยินใหญ่คงจะวางใจไม่ลงกระมัง? ดังนั้นข้าเห็นว่า ผู้ใดมีความสามารถก็ต้องทำงานหนักกว่าผู้อื่น ช่วยแบ่งเบากิจของจวนในช่วงนี้ไปก่อน”
ตอนที่ 81 ผูกคอตาย? (3)
งานแต่งของฉู่เยว่หนิงกำหนดแล้ว วันเวลาที่ประมาณการไว้คร่าวๆ ก็คือช่วงเดือนห้าของปีถัดไป
สำหรับฮูหยินใหญ่ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าบุตรสาวของตนอีกแล้ว
ปีนั้น ฉู่เยว่เหยาทำเรื่องฉาวโฉ่ ฉู่อี้อันไม่พอใจหนัก ไม่ว่าสินเจ้าสาวหรืองานแต่งก็ทำไปอย่างถูๆ ไถๆ ตอนนี้มาถึงคราวของบุตรสาวตัวเอง ฮูหยินใหญ่ไม่อยากให้ฉู่เยว่หนิงต้องถูกทำร้ายจากประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยอีก
คำพูดของฉู่สวินหยาง แม้จะสงบนิ่งเรียบ แต่ก็ทิ่มแทงนางถึงเจ็ดส่วน
ฮูหยินใหญ่มองนาง นัยน์ตาสุขุมเปลี่ยนอารมณ์ไปมาหลากหลาย สุดท้ายก็หัวเราะขื่น เอ่ยด้วยสีหน้าดังเดิมว่า “มิผิด งานแต่งของหนิงเอ๋อร์ ข้าคงต้องจัดเองเองถึงจะวางใจ ในเมื่อท่านหญิงพูดถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็จะไม่บ่ายเบี่ยงอีก”
“เช่นนั้นก็ลำบากฮูหยินใหญ่แล้ว” ฉู่สวินหยางยิ้มให้บางๆ
“มิกล้า!” ฮูหยินใหญ่ตอบ พูดอะไรอีกสองประโยคแล้วก็ขอตัวกลับไป
ฉู่สวินหยางยังอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ มีเพียงชิงหลัวที่ออกไปส่ง
ชิงเถิงเดินเข้ามาเก็บถ้วยชา พลางหันหน้าไปมองแผ่นหลังของฮูหยินใหญ่ที่ลานด้านนอก เอ่ยว่า “ท่านหญิง ท่านจะใช้ฮูหยินใหญ่ไปงัดข้อกับชายารองเหลยหรือเจ้าคะ?”
ชายารองเหลยเพิ่งออกมาได้ก็หาเรื่องพิพาทกับฮูหยินใหญ่แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้ฉู่เยว่เหยียนทำให้ฉู่อี้อันไม่พอใจ นางจึงยังไม่อยากซวยไปด้วย หากว่าฮูหยินใหญ่มอบอำนาจการจัดการในมือคืนกลับไป สองฝ่ายก็คงจะยุติความขัดแย้งได้
“หญิงสาวบางคน หากว่าไม่แก่งแย่งชิงดีกับใครเลย ก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร” ฉู่สวินหยางเอ่ย ก้มหน้ามองนิ้วมือของตัวเอง มุมปากกดยิ้มบางๆ “ฝีมืออย่างฮูหยินใหญ่ จะกดคนแซ่เหลยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ข้าเองก็คร้านจะไปยุ่งเกี่ยวกับสตรีพวกนั้น ยกให้นางจัดการไปดีกว่า ขอเพียงนางยอมออกแรง คนแซ่เหลยดิ้นไปไหนไม่หลุดหรอก”
ชิงเถิงแลบลิ้นใส่ “แบบนั้น ฮูหยินใหญ่อาจจะแค้นใจท่านก็ได้นะเจ้าคะ!”
“ไม่หรอก นางเป็นคนฉลาด!” ฉู่สวินหยางส่ายหน้าหัวเราะ จับกระโปรงให้เรียบร้อยแล้วลุกเดินเข้าไปด้านใน ตอนที่ผ่านตั่งนอนตัวยาว ก็หยิบเอาผ้าปักบุบผาที่อยู่ในสะดึงมาพิจารณาอย่างละเอียด พลางเอ่ยว่า “เรื่องนี้นางวางแผนเอาไว้เพื่อบุตรสาวตั้งแต่ทีแรกแล้ว ข้าก็แค่อำนวยความสะดวกให้นิดหน่อย หากว่านางไม่แยกแยะถูกผิด นางก็คงไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้ว”
ชิงเถิงไม่รู้สึกระแวงฮูหยินใหญ่เลย แต่ฟังที่ฉู่สวินหยางพูดก็มีเหตุผล จึงไม่เอ่ยมากความอีก
ระหว่างทางที่กลับเรือนหย่าถิง พอเดินไปถึงจุดที่ไร้ผู้คน หรูโม่ก็กดเสียงต่ำเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ “คุณหนู ท่านก็รู้ว่าท่านหญิงสวินหยางคิดยืมมือท่าน ใช้ท่านไปต่อกรกับชายารองเหลย หากว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป กลัวว่าสุดท้ายจะเป็นปัญหานะเจ้าคะ”
หรูโม่เป็นสาวใช้ที่ติดตามฮูหยินใหญ่มาแต่จวนเก่า สองคนโตมาด้วยกัน ดังนั้นคำเรียกขานจึงใช้เหมือนแต่ก่อนที่คุ้นเคย
ฮูหยินใหญ่ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขื่น เอ่ยว่า “หาใช่หลอกใช้หรือไม่หลอกใช้อะไรหรอก เดิมก็เป็นความตั้งใจของข้า ต่อให้นางไม่อนุญาต เรื่องงานแต่งของหนิงเอ๋อร์อย่างไรข้าก็ต้องหาวิธีเลี่ยงลูกไม้ของผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้ไม่ใช่นางหลอกใช้ข้า เป็นข้าต่างหากที่ได้รับความเมตตาจากนาง”
หรูโม่ขบคิด ยังกังวลใจอยู่ “แต่ชายารองเหลยคงไม่เลิกราง่ายๆ คุณหนูอดทนอย่างยากลำบากมาหลายปี วันนี้จะต้อง…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” ฮูหยินใหญ่ตัดบทนางเบาๆ กลางหว่างคิ้วยังมีความสุขุมดังเก่า “ตั้งแต่แรกที่ข้าตัดสินใจแต่งให้เขา ภายในเรือนหลังแห่งนี้ ข้าก็รู้ดีว่าไม่อาจวางตัวเหนือเรื่องราวไปได้ตลอด อีกอย่างนี่ก็เพื่อหนิงเอ๋อร์ คงต้องเป็นเช่นนี้แหละ!”
นิสัยอย่างฮูหยินใหญ่ พูดไว้อย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น
หรูโม่เห็นว่านางตั้งใจแน่วแน่แล้ว ก็ไม่พูดอะไรต่อ
เมื่อประชุมเช้าที่ท้องพระโรงจบลง ทุกฝ่ายในวังหลวงก็ได้รับข่าวดีที่น่าสะเทือนเลือนลั่น…
หรงเฟย ชายาคนโปรดองค์ใหม่ของฮ่องเต้ตั้งครรภ์แล้ว
ฮ่องเต้อายุมากขึ้น เกือบสิบปีที่ผ่านมาในวังมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นน้อยยิ่งกว่าน้อย แม้จะมีสนมโชคดีตั้งครรภ์บ้าง แต่ก็ล้วนแท้งครรภ์ หรือไม่เด็กก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังแบเบาะ
ฮ่องเต้เข้าสู่วัยชราแล้ว จึงเห็นความสำคัญกับข่าวนี้มากเป็นพิเศษ ได้ทราบเรื่องก็ดีอกดีใจ พระราชทานรางวัลชั้นดี ข้าวของมากมายต่างหลั่งไหลไปทางตำหนักของหรงเฟยอย่างไม่ขาดสาย
ฮองเฮาผู้เป็นประมุขในวังหลัง รวมถึงชายาสนมทุกผู้ทุกนามต่างก็แห่กันไปเยี่ยมดู วังหลวงเหมือนหม้อที่ถูกระเบิดออก ครื้นเครงอย่างผิดหูผิดตา ราวกับจัดงานปีใหม่ล่วงหน้าอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่ข่าวนี้แพร่ไปทั่ววังหลวง ฉู่สวินหยางไม่ได้อยู่ด้วย นางพาชิงหลัวออกไปดื่มชาที่หอยลนทีเพียงลำพัง
ฉู่สวินหยางหายไปครึ่งวัน ตอนที่กลับถึงจวนฟ้าก็มืดแล้ว
ชิงเถิงมารอคนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่นานแล้ว จึงรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังทันที
“จริงรึ?” ฉู่สวินหยางฟังแล้วก็แค่ยิ้มๆ “ฮูหยินใหญ่รู้หรือยัง? หรงเฟยตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องประเสริฐใหญ่หลวง ของขวัญจากทุกฝ่ายต้องครบพร้อม วังบูรพาของพวกเราก็อย่าได้ชักช้า ให้ฮูหยินใหญ่จัดการให้เรียบร้อยด้วย!”
“ฮูหยินใหญ่เป็นคนรอบคอบ คิดว่าคงจะเตรียมการไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงเถิงคล้ายมีเรื่องในใจ เอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย
ฉู่สวินหยางหัวเราะ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง “ใช่สิ ฮูหยินใหญ่เป็นคนรอบคอบ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง!”
พูดจบก็เดินเข้าเรือนไปทันที ทิ้งสาวใช้ทั้งสองคนไว้ตรงนั้นอย่างไม่ใยดี
ไม่ว่าสมัยใด เหล่าสตรีในวังหลังล้วนมีแต่ความขัดแย้ง ยิ่งวังหลังของฮ่องเต้ที่สงบจนน่ากลัวมานานจะมีสมาชิกคนใหม่มาเพิ่ม หากว่าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ออกจะทำให้คนไม่เชื่อนัก
หลายวันต่อมา บรรยากาศในเมืองหลวงต่างอบอวลด้วยความเปรมปรีดิ์ ทุกบ้านเรือนไม่ว่ายากดีมีจนต่างก็เตรียมของข้ามปีกันอย่างเป็นสุข
หลังจากที่คนแซ่เหลยถูกกักอยู่ในห้องพระนานถึงสองเดือน ออกมาครานี้จึงดูแก่ลงไปมาก น้อยครั้งที่จะออกไปอวดตัวด้านนอก เอาแต่เก็บตัวอยู่ที่เรือนจิ่นซิ่วของตน เพียงแต่คนนอกไม่รู้ว่าคนข้างกายนางล้วนคอยรับใช้อย่างระมัดระวัง เพราะ…
นายหญิงนับวันยิ่งอารมณ์รุนแรง ยิ่งเอาใจยากมากขึ้นทุกที
วันนี้หลังจบมื้อเช้า ฉู่เยว่เหยียนก็วิ่งมาโวยวายไปรอบหนึ่ง สองสามวันมานี้ นางจะมาร้องงอแงที่นี่ทุกวัน คนแซ่เหลยเห็นแล้วก็ให้หงุดหงิด จึงสั่งให้คนกักนางไว้ด้านนอกไม่ยอมให้พบ
“นายหญิง ท่านหญิงห้าวันนี้มาเป็นรอบที่สองแล้ว ท่านให้นางเข้าพบสักครั้งไหมเพคะ?” แม่นมกุ้ยประคองเม็ดบัวต้มน้ำขิงเข้ามา ทางหนึ่งก็ลอบสังเกตสีหน้าของชายารองเหลย อีกทางก็หยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง
“พบแล้วอย่างไร? ตัวข้าเองทุกวันนี้ยังแทบไม่รอด นางไม่เพียงไม่รู้จักเข้าใจสถานการณ์ที่ข้าเป็นอยู่ ยังมาก่อเรื่องอีก?” ชายารองเหลยยกถ้วยไว้ในมือ ได้ฟังดังนั้นก็กระแทกถ้วยลงบนโต๊ะดังเคร้ง เพราะออกแรงมากไปหน่อย น้ำแกงจึงกระฉอกออกมาด้านนอก
แม่นมกุ้ยรีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้นาง
ชายารองเหลยปัดมือนางออกอย่างไม่สบอารมณ์ หันไปมองนอกหน้าต่างอย่างว้าวุ่นใจ
“นายท่านยังไม่มีคำสั่งอะไรอีกหรือ?”
ที่นางถาม ย่อมหมายถึงเรื่องกิจธุระในจวน
แม่นมกุ้ยปวดหัวใจ แต่ไม่อาจแสดงออกไปให้นางเห็น เพียงเอ่ยว่า “งานถวายพระพรของเหล่าขุนนาง แล้วยังงานเลี้ยงในวังหลวง ล้วนมีนายท่านเป็นคนจัดการทั้งสิ้น คงจะไม่ทันนึกถึงเรื่องนี้นะเจ้าคะ!”
“เรื่องที่จัดการได้แค่เพียงประโยคเดียว มันยากอะไรนักหนา?” ชายารองเหลยไม่พอใจ ยกถ้วยกระเบื้องขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ให้อนุคนหนึ่งมาถือกุญแจห้องเสบียง หากคนนอกรู้เข้า เขาจะพูดกันอย่างไร?”
แม่นมกุ้ยไม่ปริปาก แต่ในใจกลับคร่ำครวญไม่หยุด…
นายหญิงของตนจนวันนี้ก็ยังไม่เข้าในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ อนุรึ? ตัวนางเองต่างกันตรงไหน ก็แค่มีชื่อชายารองประดับให้ฟังเพราะหูเท่านั้น อีกอย่างจวนนี้ก็ไม่มีชายาเอก ความจริงนายท่านจะเชิดชูใครออกหน้าก็แล้วตามใจท่าน มีแต่นายหญิงของตนนี่แหละที่ไม่เข้าใจอะไรๆ เอาเสียบ้าง
เพราะว่าชายารองเหลยไม่ยอมออกมาเสียที ฉู่เยว่เหยียนจึงไม่มีที่ระบายอารมณ์ นางโวยวายยิ่งกว่าเก่า โหวกเหวกจนหน้าประตูชุลมุนวุ่นวายไปหมด
แม่นมกุ้ยเห็นว่าปล่อยไปแบบนี้ไม่เข้าที จึงเอ่ยเป็นนัยว่า “นายหญิง ให้ท่านหญิงห้าเข้ามาคุยข้างในเถอะเจ้าค่ะ หากนางส่งเสียงดังไม่หยุด เรื่องจะไปถึงหูนายท่าน และนายหญิงก็จะลำบากไปด้วย”
ชายารองเหลยครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะโบกมือให้อย่างรำคาญ “ให้นางเข้ามา!”
แม่นมกุ้ยถอนหายใจเฮือก รีบนำคำไปบอกที่หน้าประตู วินาทีต่อมาฉู่เยว่เหยียนก็ยกประโปรงวิ่งข้ามประตูมา พุ่งไปคุกเข่าอยู่แทบเท้าชายารองเหลย เงยหน้ามองนางเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านต้องช่วยข้า ข้าไม่อยากแต่งให้เหลยซวี่ ข้าไม่อยากแต่ง!”
ชายารองเหลยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ออกแรงจิกขอบโต๊ะไว้แน่น เค้นเสียงเย็นออกมาว่า “ท่านพ่อของเจ้าจนตอนนี้ยังไม่ยอมพบหน้าข้า เจ้ามาคร่ำครวญที่นี่จะมีประโยชน์อะไร?”
“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร?” อยู่ดีๆ ฉู่เยว่เหยียนก็กรีดร้องออกมา นางเด้งตัวขึ้น เดินไปรอบห้องเหมือนหนูติดจั่น หลังจากวนได้ครบสองรอบแล้วก็โถมตัวมาเกาะแขนชายารองเหลยเอาไว้ คร่ำครวญว่า “ท่านแม่ แม้แต่ท่านยังไม่สนใจข้า หรือท่านอยากเห็นข้าตายไปเลยใช่ไหม?”
ชายารองเหลยรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนซึ่งนางบีบอยู่
แม่นมกุ้ยรีบมาแยกนางออกไป รีบชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยกับฉู่เยว่เหยียนด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ว่า “ท่านหญิงห้า ไม่ใช่นายหญิงไม่ช่วยท่าน แต่ท่านก็เห็นอยู่ว่าตอนนี้นายหญิงตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน แม้นางจะอยากช่วยแต่ก็จนปัญญา แม้ตอนนี้นายหญิงจะถูกปล่อยตัวแล้ว แต่ก็ถูกนายท่านยึดอำนาจไป ตอนนี้…”
“เฮ้อ!” แม่นมกุ้ยพูดไปพลางถอนหายใจหนักหน่วงทีหนึ่ง “ต่อให้นางอยากจะช่วย เกรงว่าจะมีเพียงใจแต่ไร้กำลังแล้ว” ฉู่เยว่เหยียนตะลึงไป ทิ้งก้นกระแทกตั่งอย่างหมดแรง ฟุบหน้าบนโต๊ะข้างแล้วร้องไห้โฮ
นัยน์ตาของชายารองเหลยสว่างวาบ พลันเงยหน้าส่งสายตาเป็นนัยให้แม่นมกุ้ยทีหนึ่ง
แม่นมกุ้ยพยักหน้าให้นางเบาๆ นายบ่าวสองคนผละสายตาหนีอย่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องป่าวประกาศ
ฉู่เยว่เหยียนไปโวยวายกับรองชายาเหลยรอบหนึ่งแต่ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ได้แต่กลับเรือนของตนไปอย่างโกรธแค้น
ตอนที่ 81 ผูกคอตาย? (4)
เช้าวันถัดมา ฉู่สวินหยางกำลังรับอาหารเช้า ก็เห็นชิงเถิงสาวเท้าฉับๆ เข้ามา ก่อนจะรายงานอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่า “ท่านหญิง ท่านหญิงห้าแขวนคอตายแล้วเจ้าค่ะ!”
ฉู่สวินหยางกำลังละเลียดเกี๊ยวน้ำร้อนกรุ่น ตอนได้ฟังยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองสักนิด
ชิงเถิงรู้ว่าลีลาท่ามากก็ไม่มีประโยชน์ จึงพูดต่อไปเองว่า “ตั้งแต่เช้านางก็วิ่งไปโหวกเหวกที่เรือนฮูหยินใหญ่ โทษว่าฮูหยินใหญ่ลำเอียง รังแกนาง อาศัยว่ามีอำนาจในมือ เอ่ยคำยุยุงต่อหน้านายท่าน เลือกเจ้าบ่าวให้นางลวกๆ โวยวายจะให้ฮูหยินใหญ่ออกหน้าไปยกเลิกงานแต่งกับสกุลเหลยให้จงได้!”
“นางไปหาเรื่องฮูหยินใหญ่รึ?” ฉู่สวินหยางร้องเหอะทีหนึ่ง “ใครเป็นคนชี้โพรงให้กระรอก นางคิดเองไม่ได้หรอก”
“งานแต่งของนางเป็นคำสั่งของนายท่าน ไปโหวกเหวกใส่ฮูหยินใหญ่แล้วจะได้อะไร? แต่ก็คงจะเพิ่มความยุ่งยากให้ฮูหยินใหญ่ได้อยู่หรอก” ชิงหลัวกล่าว แล้วทำเสียงดูถูกเย้ยหยันว่า “อย่างน้อยๆ ก็ช่วยเอาคืนแทนชายารองเหลยได้บ้าง!”
“ก็ใช่น่ะสิ!” ชิงเถิงว่า คล้ายว่ายินดีกับความทุกข์ของผู้อื่น “ฮูหยินใหญ่เป็นคนใจเย็น กล่อมนางเสียงหวานอยู่ครึ่งชั่วยาม สุดท้ายบอกว่าสัญญาไม่อาจคืนคำ ใครจะคิดว่าพอนางออกมา ก็เที่ยวหาเชือกมาผูกกับต้นจันทร์อบเชยกลางลานเรือนฮูหยินใหญ่ บอกใครๆ ว่าฮูหยินใหญ่บีบบังคับนาง”
“คนตายแล้วรึ?” ฉู่เยว่เหยียนจะก่อเรื่องอย่างไร ฉู่สวินหยางหาได้สนใจใคร่รู้ เพียงถามเบาๆ ออกมาประโยคหนึ่ง
“ยังเจ้าค่ะ คนถูกช่วยลงมาแล้ว แต่ว่าเรื่องราวลุกลามใหญ่โต ตอนนี้…” ชิงเถิงกล่าว ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าด้านนอกทีหนึ่ง “ชายารองเหลยคงรู้ข่าวแล้ว น่าจะกำลังตามไป!”
“อยู่ดีๆ วิ่งไปแขวนคอตัวเองที่หน้าเรือนผู้อื่น? ไม่ว่าเป็นใครก็คงถูกครหาไปด้วย” ชิงหลัวกล่าว
ฉู่สวินหยางไม่ปริปาก เอาแต่จัดการอาหารเช้าของตนอย่างขะมักเขม้น
ชิงเถิงเริ่มทนไม่ไหว เอ่ยว่า “ท่านหญิง ชายารองเหลยคงคิดจะก่อเรื่องเป็นแน่ เกรงว่าสุดท้ายก็ต้องเป็นท่านออกหน้าจัดการกับนางให้อยู่หมัด!”
ไม่ใช่ว่าฮูหยินใหญ่ไร้ความสามารถ แต่ฐานะของนางยังไม่สูงพอ
“ไม่รีบ!” ฉู่สวินหยางตอบ ยกชามโจ๊กขึ้นมาดื่มอย่างสบายอารมณ์ “ปล่อยให้วุ่นวายไปก่อน พวกนั้นมีคนเบื่อจะหายใจ รีบร้อนอยากแขวนคอตายใจจะขาด แต่ท่านหญิงของพวกเจ้ายังไม่อยากหิวตาย”
ดวงตาของชิงเถิงกลอกไปมา เห็นว่านางคงมีแผนเตรียมไว้อยู่แล้ว ก็หัวเราะร่า “ดีสิเจ้าคะ เช่นนั้นเชิญท่านรับมื้อเช้าต่อ บ่าวจะคอยจับตาดูทางนั้นเอาไว้ให้เอง!”
ชิงเถิงหมุนกายจากไป ฉู่สวินหยางถึงได้เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะแล้วส่งสายตาให้ชิงหลัวทีหนึ่ง
ชิงหลัวผงกศีรษะ หมุนตัวเดินออกไปที่ลานแล้วเรียกสาวใช้มาสองสามคน สั่งให้ไปเรือนฝั่งขวาแล้วขนของขวัญเล็กใหญ่มากองหนึ่ง แล้วรออยู่ที่ลานเรือน
ใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าที่ฉู่สวินหยางจะเรื่อยเฉื่อยจนทานอาหารเรียบร้อย พอบ้วนปากเสร็จ ก็เดินผ่านสาวใช้ที่ยืนคอยอยู่กลางลานแล้วออกนอกประตูไป
ชิงหลัวพาสาวใช้ที่ประคองของขวัญอยู่ในมือตามไปติดๆ
คนทางนี้กำลังเคลื่อนขบวนไปอย่างเอ้อระเหย ตอนที่ลอยชายไปถึงเรือนหย่าถิง มองแต่ไกลๆ ก็เห็นศีรษะคนยุบยับ เอะอะกันให้มั่วไปหมด
“โอ๊ะ! ครึกครื้นกันดีจัง!” ฉู่สวินหยางทำหน้ายิ้มแย้ม พลางส่งเสียงหัวเราะเบาๆ
สถานการณ์ตรงนั้นพลันชะงักกึก กลุ่มบ่าวที่มุงดูอยู่รอบๆ พากันก้มหน้างุดๆ หลีกทางให้
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปหาอย่างโอหัง
ท่ามกลางกลุ่มคน ฮูหยินใหญ่ยืนหน้าเครียดอยู่หน้าเรือนของตน ชายารองเหลยหน้าตาเกรี้ยวกราดตั้งท่าจะเอาเรื่องนางเต็มที่ ส่วนฉู่เยว่เหยียนที่ถูกช่วยไว้ก็ยังไม่ถูกส่งออกไป มีคนยกเก้าอี้มาให้ สาวใช้ประคองนางให้นั่งพิงไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง
ฉู่สวินหยางจงใจเหลือบมองลำคอของนางแวบหนึ่ง เห็นว่ามีรอยแดงเป็นเส้นสะดุดตา เหมือนผิวจะถลอก แสดงว่าเด็กคนนี้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วจริงๆ
สายตาของฉู่เยว่เหยียนประทะกับนางพอดี ยังคงไม่ลืมจิกตาใส่นางอย่างเกลียดชังทีหนึ่ง
“ท่านหญิง…” ฮูหยินใหญ่ก้าวขึ้นมาหา กำลังจะเอ่ยปาก ชายารองเหลยกลัวนางลงมือก่อน รีบก้าวขาแทรกเข้ามาขวางด้านหน้า พลางเอ่ยว่า “คนแซ่เหยา วันนี้เจ้าต้องให้คำอธิบายแก่ข้า สิบกว่าปีที่ผ่านมาทุกคนต่างอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข แต่วันนี้เจ้ากลับบีบคั้นจะเอาชีวิตลูกสาวข้า หากว่าไม่มีเหตุผลดีๆ ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า!”
“วาจาของชายารองเหลยช่างน่าขันเสียจริง!” ฮูหยินใหญ่หัวเราะ แต่สีหน้ายังคงสุภาพอ่อนโยนอย่างเช่นวันเก่า “ท่านหญิงห้าเป็นบุตรสาวของท่าน เหตุใดท่านไม่ดูแลนางให้ดี? ตอนนี้กลับมาถามความกับอนุอย่างข้า? ข้าเป็นคนเลือกสถานที่ให้นางแขวนคอหรือไง? ข้าเป็นคนสั่งให้ผูกเชือกอย่างนั้นรึ? ปีใหม่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ข้ายังไม่ทันตำหนินางที่นำเคราะห์ร้ายมาสู่หน้าเรือนข้า ท่านกลับจะให้ข้ารับผิดชอบ? ต้องโทษที่อนุคนนี้โง่เขลา ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านต้องการให้ข้ารับผิดชอบอย่างไร?”
แต่ก่อนฮูหยินใหญ่ไม่เคยทำให้ใครลำบาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางแข็งข้อต่อหน้าธารกำนัล เพียงวาจาไม่กี่ประโยคก็อุดปากชายารองเหลยให้เงียบได้
ฉู่เยว่เหยียนไม่พอใจเรื่องงานแต่งงาน แล้วงานแต่งนี้ก็ใช่ว่าฮูหยินใหญ่เป็นคนกำหนด นางมาก่อเรื่องวุ่นวาย เดิมก็เป็นการกระทำอันไร้เหตุผล
วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว หากฮูหยินใหญ่อ่อนปวกเปียกเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วไปเถอะ แต่ไฉนคนกลับเปลี่ยนนิสัยไปเสียนี่
ชายารองเหลยตะลึงอยู่ครึ่งวัน ตอนที่รู้ตัวก็คิดว่าจะยอมแพ้อย่างนี้ไม่ได้ เอ่ยเสียงกร้าวว่า “ข้าไม่สน เกิดเรื่องเช่นนี้กับบุตรสาวข้าหน้าเรือนของเจ้า คนในเรือนเจ้าตายไปหมดแล้วหรือไง? ไม่รู้จักห้ามนางรึ? ตอนนี้ยังมีหน้ามาพูดจาปัดความรับผิดชอบ? มองคนที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ สินะ สตรีเช่นเจ้า จิตใจอำมหิตไร้เมตตา!”
ฮูหยินใหญ่ไม่ต่อปากต่อคำกับนาง ตวัดสายตาไปมองพวกหรูโม่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เอ่ยตำหนิว่า “ท่านหญิงห้าคิดสั้น พวกเจ้าไม่เห็นรึ?
“เปล่านะเจ้าคะ พวกบ่าวห้ามแล้ว แต่ท่านหญิงห้าไม่ฟัง ยังฟาดแส้ใส่อีก บอกว่าใครขวางจะฆ่าให้ตาย!” บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งคุกเข่าลงทันที ถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นผิวที่ถลอกเป็นรอยแส้
สายตาเย็นเยือกของฮูหยินใหญ่กวาดไปทางชายารองเหลยทีหนึ่ง
ชายารองเหลยหน้าแดงก่ำ โบกมือไหวๆ เอ่ยว่า “อย่างไรเรื่องนี้ข้าก็ไม่ยอมจบง่ายๆ แน่ พวกเจ้า พาเหยียนเอ๋อร์ไปหานายท่าน จะเรื่องใดก็ให้นายท่านตัดสิน!”
แม่นมกุ้ยจะพาคนเข้าไปพยุงฉู่เยว่เหยียน
ฉู่สวินหยางที่ยืนดูอยู่ข้างๆ มานานพลันยื่นแขนออกมากั้น แล้วเดินออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ชายารองยังไม่ต้องรีบร้อนไป!” ฉู่สวินหยางกล่าว ขยับไปยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของฉู่เยว่เหยียน เอ่ยเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “ได้ยินว่าน้องห้าแขวนคอตัวเอง ข้าเลยนำยาบำรุงมาให้ ชายารองเหลยก็อยู่พอดี หากไม่รอดูด้วยกัน ก็คงสิ้นเปลืองน้ำใจของข้ายิ่งนัก!”
ฉู่สวินหยางพูดยังไม่ทันจบดีก็ยกมือส่งสัญญาณ ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ปฏิเสธ
ชิงหลัวก้าวออกมาด้านหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ไล่เปิดกล่องของขวัญน้อยใหญ่เจ็ดแปดชิ้นที่อยู่ในมือของสาวใช้ทุกคนจนครบ จากนั้นก็นำโสม หลินจือ ไข่มุก ผ้าพับและของดีอื่นๆ ที่อยู่ด้านในเทลงบนพื้นทีละกล่องๆ
สิ่งของเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับหรือยาบำรุง ทุกชิ้นล้วนมีมูลค่าเป็นพันชั่ง นับเจ็ดแปดกล่องรวมๆ กัน ก็คงจะถึงหมื่นตำลังอยู่ ทว่าตอนนี้มันกลับกระจายอยู่เต็มพื้น ของบางชิ้นที่บอบบางหน่อยอย่างเช่นเครื่องหยก บัดนี้ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปทั่วทุกทิศแล้ว
ข้ารับใช้ที่อยู่ตรงนั้นต่างตาพร่าลายไปหมด เสียงสูดหายใจเข้าลึกดังอยู่ทุกที่ จ้องมองอย่างตั้งอกตั้งใจ
ชายารองเหลยเบิกตากว้าง เห็นการกระทำของฉู่สวินหยางก็กำลังจะร้องโวยวาย แต่พอมองข้าวของที่อยู่บนพื้นชัดๆ แล้ว ดวงหน้าพลันซีดเผือดไร้เลือด คล้ายกับคนตายอย่างไรอย่างนั้น
“เป็นอย่างไร? ของเหล่านี้เป็นของชั้นเยี่ยมทั้งนั้น เป็นเพราะน้องห้าเลยนะ ถ้าเป็นคนอื่นข้าคงตัดใจหยิบออกมาใช้ไม่ลงหรอก” ฉู่สวินหยางไม่สนสีหน้าของนาง ยกเท้าบดขยี้เศษหยกหรูอี้ที่อยู่ตกอยู่ข้างเท้าออกเป็นสองท่อน เอ่ยว่า “ในเมื่อน้องห้าอุตส่าห์รอดตายมาได้อย่างยากลำบาก เช่นนั้นก็นำของบำรุงพวกนี้ไปเถอะ คาดว่าคงรักษาให้หายขาดได้เลยเชียว!”
พูดแล้วก็เลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าของชายารองเหลยอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
ดวงหน้าของชายารองเหลยกลายเป็นสีเขียวคล้ำ
ฮูหยินใหญ่มองของที่กองอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มเย็นชา…
ไม่ต้องเปลืองแรงแล้ว เห็นทีฉู่สวินหยางคงไม่ให้โอกาสชายารองเหลยได้พลิกตัวอีก
“กลับกันไปได้แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่วันนี้ ใครกล้าพูดออกไปแม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะขายมันออกไปทั้งตระกูล!” ฮูหยินใหญ่สูดลมหายใจลึก ก่อนจะออกคำสั่งเสียงน่ากลัว
กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกต่างรีบรับคำ แล้วพากันแยกย้ายจากไป
ผ่านไปพริบตาเดียว ตรงนั้นก็เหลือเพียงเจ้านายทั้งสี่ กับสาวใช้ที่ติดตามข้างกายของแต่ละคน
ชายารองเหลยขบฟันแน่น ไม่พูดอะไรสักแอะ
ฉู่สวินหยางมองข้าวของที่อยู่บนพื้น จากนั้นก็หัวเราะเสียงหยัน ตวาดเสียงกร้าวว่า “คนแซ่เหลย เจ้าช่างบังอาจนัก!”
————————————————————————
บทที่ 82 ขับไล่ (1)
ฉู่สวินหยางเปลี่ยนหน้าเร็วเกินไป ชายารองเหลยถูกเสียงนางทำให้ตกใจ จากนั้นขาพลันอ่อนยวบ ต้องออกแรงฝืนไว้ไม่ให้เข่าของตนกระแทกลงพื้น
นางหน้าซีดขาว มองฉู่สวินหยางอย่างตื่นตระหนก
ฉู่สวินหยางหัวเราะเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะตวาดอีกครั้งว่า “กล้าเล่นตุกติกกับของที่จะส่งเข้าวังหลวง เจ้ามีหัวกี่หัวกันน่ะ?”
หัวใจของชายารองเหลยกระตุกวูบ
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างหันมามองนางเป็นตาเดียว
แม้จำนวนคนไม่มาก แต่ว่าสายตาก็ต่างออกไปหลายหลาก ทั้งยังรู้สึกว่ามีคนมองอย่างทิ่มแทงอยู่เบื้องหลัง
ชายารองเหลยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว หลุดปากออกมาว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร ข้าเปล่า…”
“เจ้าเปล่า?” ฉู่สวินหยางแสยะยิ้ม หรี่ตากวาดมองข้าวของที่กองอยู่บนพื้น “เจ้ากล้าบอกว่าเปล่า? เจ้าสาบานกับสวรรค์ต่อหน้าของพวกนี้ บอกข้าสิ ว่าเจ้าไม่ได้เล่นลูกไม้อะไร? ไม่ได้มีเจตนาชั่วช้า?”
“ข้า…” ชายารองเหลยร้อนรน สายตาเลิ่กลั่กมองไปทั่ว คล้ายกำลังต่อสู้กับตัวเองว่าควรจะสาบานดีหรือไม่
แต่ฉู่สวินหยางไม่รอให้นางคิดออกก็ใช้เท้าถีบเข้าที่ผัาพับจนกระเด็น มันลอยลิ่วออกไปก่อนจะตกคลุมร่างของชายารองเหลยพอดี
ชายารองเหลยยกมือดึงทึ้งอย่างลนลาน
ฉู่สวินหยางถอยหลังไปสองก้าวอย่างใจเย็น เดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าฉู่เยว่เหยียนที่หายใจรวยริน ยิ้มให้น้อยๆ พลางเอ่ยเป็นเชิงหารือว่า “น้องห้า ในเมื่อเจ้าหายใจคล่องแล้ว ก็ขยับไปทางอื่นก่อนเถอะ ให้ข้านั่งบ้าง?”
ฉู่เยว่เหยียนกำลังถูกคำพูดอุกอาจที่นางตวาดใส่ชายารองเหลยทำเอาตกใจจนอ้าปากค้าง ตอนนี้มาเจอรอยยิ้มของนาง พลันรู้สึกจุกในอก เกือบจะสำลักอากาศหายใจ
“เจ้า…” ฉู่เยว่เหยียนอับอายจนกลายเป็นโกรธ เสียงแหบแห้งผ่านลำคอมาได้ครึ่งคำ จนใจที่คอนางเจ็บจนแสบร้อน จึงได้หยุดพูด แต่เพราะความอัดอั้นจึงกระโจนเข้าใส่ฉู่สวินหยางด้วยร่างที่โอนเอน
และปฏิกิริยาของนางก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ฉู่สวินหยางยกมือขึ้นเล็กน้อย คว้าข้อมือของนาง แล้วกระชากไปด้านข้าง
ชิงหลัวคอยรับอยู่ พลิกมือตบเข้าให้อีกที ผลักฉู่เยว่เหยียนไปใส่อ้อมแขนของสองสาวใช้ข้างกายนาง
ทั้งคู่ใจหายแวบ รีบเข้าไปรับฉู่เยว่เหยียนไว้
แม้จะแค่ละครฉากหนึ่ง แต่ฉู่เยว่เหยียนก็บาดเจ็บไม่น้อย ทั่วร่างอ่อนยวบไร้แรง แทบจะทิ้งตัวใส่แขนของสองสาวใช้
ฉู่สวินหยางไม่มีกะใจจะสนใจนาง เพียงสะบัดกระโปรงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นอย่างสง่าผ่าเผย
ทางด้านชายารองเหลยก็กระชากผ้าปักออกแล้วโยนลงพื้น กำลังจะอาละวาด ฉู่สวินหยางก็ตวาดใส่ทันทีว่า “ลอบทำร้ายราชนิกุล! คนแซ่เหลย เจ้ามีหัวกี่หัวกันล่ะ?”
ชายารองเหลยได้ฟัง สมองก็โง่เขลาทันที พลันรู้สึกว่างเปล่าทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่
ทันทีที่นางลังเล คนก็มองออกแล้วว่านางมีชนักติดหลัง
ชิงหลัวไม่รอให้ฉู่สวินหยางสั่ง ก็ก้าวขึ้นไปขาหนึ่ง ถีบเข้าที่ข้อพับของชายารองเหลย
ชายารองเหลยไม่ทันตั้งตัว สองเข่ากระแทกตึงลงพื้น ร้องเจ็บออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนจะหันมาตะคอกใส่ “นังบ่าวชั้นต่ำ กล้าดียังไง…”
“พวกเจ้าบังอาจ กล้าปฏิบัตต่อชายารอง…” แม่นมกุ้ยร้องเสียงหลงพุ่งตัวเข้ามาปกป้อง แต่กลับถูกชิงหลัวคว้าหมับที่แขน แล้วถีบลงไปกองกับพื้น ได้ยินเป็นเสียงโอดครวญเหมือนหมูที่ถูกเชือด
ฉู่สวินหยางหมุนสายตาไปรอบๆ ก่อนที่นัยน์ตาจะสว่างวาบ
หัวใจของแม่นมกุ้ยแทบจะหยุดเต้น เสียงกรีดร้องติดอยู่ที่ลำคอ
“ฉู่สวินหยาง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” ชายารองเหลยตะคอกถามอย่างไม่ยอมแพ้
ฉู่สวินหยางกวาดตามองเศษเล็กเศษน้อยที่กระจายอยู่เต็มพื้น ร้องเหอะทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ชายารองอธิบายให้ข้าฟังก่อนดีกว่าไหมว่าของพวกนี้ใช้ทำอะไร?”
ชายารองเหลยมองตามไป ได้แต่กลืนน้ำลายแห้งผาก ยังฝืนหยัดหลังตรง เอ่ยว่า “ใครจะไปรู้ว่าเจ้าเอาของพวกนี้มากจากไหน ข้าไม่เคยเห็นเสียด้วยซ้ำ เจ้าจะให้ข้าอธิบายอะไร?”
“ไม่เคยเห็น?” ฉู่สวินหยางไม่ต่อปากกับนาง เพียงเหลือบตาไปมองแม่นมกุ้ยทีหนึ่ง “เจ้านายของเจ้าไม่รู้จัก แล้วแม่นมกุ้ยรู้จักหรือไม่เล่า?”
แม่นมกุ้ยพยายามกดศีรษะให้ต่ำ ไม่กล้าหายใจแรง เพียงใช้หางตาเหล่มองชายารองเหลย
ชายาเหลยเห็นว่านางมองมาก็ยิ่งร้อนรน ตะคอกว่า “นางถามความเจ้า เจ้ามามองข้าทำไม?”
แม่นมกุ้ยหัวไว รีบตอบว่า “บ่าว… บ่าวก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน!”
ฉู่สวินหยางได้ฟัง ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เอ่ยว่า “ดูท่าความจำของพวกเจ้านายบ่าวจะไม่ดีเอาเสียเลย เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะจำได้เองแหละ!”
ทำไมอยู่ดีๆ นางถึงคุยง่ายขึ้นเป็นกองเช่นนี้?
ชายารองลอบสงสัยในใจ ระแวดระวังตัว
ฉู่สวินหยางพูดต่อไปว่า “ชิงเถิง ไม่ใช่ว่าสองวันนี้มีเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้นในวังรึ? ชายารองถูกขังไว้นานเลยตกข่าวไปบ้าง ถือโอกาสว่าตรงนี้มีแต่คนกันเอง เล่าให้นางฟังคลายเหงาสักหน่อยสิ!”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงเถิงรับคำยิ้มๆ ก้าวออกมาข้างหน้าชายารองเหลยก่อนจะเริ่มเล่าด้วยเสียงดังฟังชัด “สามวันก่อน นางกำนัลข้างกายหรงเฟยสังเกตเห็นว่ายาบำรุงครรภ์มีรสแปลกๆ สืบเจอว่า บ่าวที่รับผิดชอบต้มยาที่โรงครัวสะเพร่า ลืมใส่สมุนไพรไปสองชนิด ตอนนี้บ่าวผู้นั้นถูกโบยจนตายทั้งเป็น บ่าวไพร่คนอื่นๆ ในโรงครัวก็ถูกจับขังคุกทั้งหมด วันรุ่งขึ้น ตอนที่หมอหลวงไปจับชีพจรหรงเฟย ก็พบโดยบังเอิญอีกว่ารูปสลักหยกกวนอิมม่วงไม่ปกติ พอตรวจดูก็พบว่าฐานล่างกลวงโล่ง มีคนยัดกลิ่นชะมดกับผงดอกกระดังงาใส่ไว้ด้านใน สืบแล้วพบว่า วันที่รู้ข่าวการตั้งครรภ์ของหรงเฟย โจวกุ้ยเฟยได้นำมามอบให้และวางบนโต๊ะบูชาให้ด้วยตัวเอง ฝ่าบาททราบเรื่องเข้าก็พิโรธหนัก ประทานโทษตายแก่ทุกคนในวังหลิวอวิ๋นอย่างไม่มียกเว้น องค์ชายสี่เร่งเดินทางกลับทั้งคืนเพื่อมาขอความเมตตา แต่ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า โจวกุ้ยเฟยตอนนี้ถูกส่งเข้าวังเย็น ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่น ทั้งไม่อนุญาตให้ออกมาตลอดชีวิต โจวเชียนขุนนางกรมพิธีการก็ถูกปลดจากตำแหน่ง ส่วนเรื่องล่าสุดนั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคืน และบ่าวเพิ่งได้รับข่าวตอนเช้านี้เองว่านางกำนัลของหรงเฟยที่อยู่เวรกลางดึกออกมาเข้าห้องน้ำ ด้วยความเลินเล่อจึงปิดประตูไม่สนิท จนมีแมวป่าแอบหนีเข้าไป ทำเอาหรงเฟยตกใจขวัญหนี หัวของนางกำนัลคนนั้นตอนนี้ถูกแขวนประจานไว้ที่หน้าประตูวัง ชายารองสนใจไปชมดูหรือไม่เจ้าคะ?”
ผู้อื่นนั้นยังไม่เอ่ยถึง แต่โจวกุ้ยเฟยผู้นั้น นางติดตามฮ่องเต้มานานสามสิบกว่าปีจนคนแก่เฒ่าแล้ว เบื้องหลังยังมีองค์ชายสี่คอยหนุนหลัง วันนี้จะบอกว่าปลดก็ปลดได้ง่ายๆ เลยงั้นรึ?
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสตรีต่างเผ่าหนึ่งคนกับเด็กในครรภ์ที่ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นชายหรือหญิง
เรื่องราวเหล่านี้ แน่นอนว่าชายารองเหลยได้ยินเป็นครั้งแรก ที่ฉู่สวินหยางกล้าเล่าออกมา แสดงว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่จริง
แม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับตน แต่พอได้ฟัง นางก็อดจะมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาไม่ได้
ฉู่เยว่เหยียนหาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ด้วยถูกท่าทางของฉู่สวินหยางยั่วให้โมโหสุดๆ แต่เพราะเจ็บคอพูดจาไม่สะดวก จึงทำได้เพียงถลึงตามองนางอย่างเกรี้ยวกราด หวังจะให้ร่างนางพรุนไปทั้งตัว
ชายารองเหลยยังตกอยู่ในอาการตะลึง จู่ๆ ก็รู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา อารมณ์บนใบหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางถึงได้รับช่วงต่อ เอ่ยว่า “กุ้ยเฟยที่เคียงข้างฝ่าบาทมานับสิบปียังต้องมีจุดจบเช่นนี้ คนแซ่เหลย เจ้าว่าหากข้าวของที่เจ้าเตรียมเอาไว้ถูกส่งไปอยู่เบื้องหน้าหรงเฟย เจ้าในตอนนี้จะมีชะตากรรมอย่างไร?”
“ของพวกนี้เกี่ยวอะไรกับข้า?” รองชายาเหลยเปิดปาก หัวคิ้วขมวดกันยุ่งเหยิง
“ของพวกนี้ ฮูหยินใหญ่เตรียมไว้เพื่อจะส่งเข้าวังหลังจากที่รู้ว่าหรงเฟยตั้งครรภ์ ภายหลังตรวจพบว่ามีคนเล่นตุกติก ทำให้ของพวกนี้สกปรกเสียแล้ว” ฉู่สวินหยางตอบ ขณะพูดก็โน้มตัวไปข้างหน้า จ้องตาชายารองเหลยเขม็ง “คนแซ่เหลย เจ้ากล้าพูดไหมว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า?”
อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณ ชายารองเหลยจึงเลี่ยงที่จะสบตากับนาง
ตอนที่มึนงง ปฏิกิริยาแรกที่นางแสดงออกจึงดูเหมือนคนที่ถูกจับได้ แต่พอมีสติขึ้นมาก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ตวาดกลับไปทันที “เจ้าว่าไงนะ? เจ้าจะบอกว่าข้าวางแผนทำร้ายราชนิกุลงั้นรึ? บ้าน่ะสิ โจวกุ้ยเฟยพวกนั้นทำเพราะแย่งชิงความโปรดปราน แล้วข้าจะทำไปทำไม? เจ้าใส่ร้ายผู้อื่นนี่!”
ฉู่สวินหยางกระตุกยิ้ม แต่ไม่พูดว่าอะไร
“เจ้าใส่ความข้า!” ชายารองเหลยโกรธจัด ตอนที่กำลังจะเถียง ในสมองพลันมีความคิดบางอย่างแวบผ่าน
ทันใดนั้นเอง นางเลิกสนใจฉู่สวินหยาง สะบัดหน้าไปมองฮูหยินใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เอ่ยว่า “นังสารเลว เป็นเจ้า! เจ้าใส่ร้ายข้า!”
ฮูหยินใหญ่มองนางนิ่งๆ ด้วยแววตาอ่อนโยน มุ่นคิ้วเบาๆ เอ่ยว่า “วาจาเช่นนี้ของชายารองมาจากไหนกัน? ท่านก็รู้นี่ว่าของพวกนี้จะต้องถูกส่งเข้าวังเพื่อให้หรงเฟยใช้บำรุงครรภ์ ในเมื่อนายท่านวางใจให้ข้าคอยดูแลกิจในเรือนไปชั่วคราว ข้าน้อยย่อมทุ่มเทจิตใจจัดการดูแล เมื่อตรวจพบว่าสิ่งของพวกนี้ผิดปกติ ข้าจะกล้าส่งเข้าวังไปอีกหรือ? หากเวลานั้นเกิดเรื่องขึ้นมา คงต้องพบกับหายนะกันหมดแน่”
“ของผิดปกติ?” ชายารองเหลยกัดฟันกรอด กล้ามเนื้อข้างแก้มกระตุกไม่หยุด เอ่ยเสียงน่ากลัวว่า “ต่อให้มันผิดปกติจริง จะมีใครกล้ารับประกันว่าเจ้าไม่ใช่โจรที่ร้องให้ผู้อื่นจับโจรเล่า?”
“ของพวกนั้นข้าจัดเองกับมือ หากว่ามีของสกปรกส่งเข้าวังไป ข้าย่อมเป็นคนแรกที่ถูกผลักออกไปรับผิด” ฮูหยินใหญ่กล่าว หว่างคิ้วเริ่มมีริ้วความโกรธขึ้นมาบ้าง “ชายารอง ข้ารู้ว่าเพราะเรื่องที่นายท่านให้เกียรติข้า ทำเอาหลายวันนี้ท่านหงุดหงิดใจ แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพี่น้องเรือนหลัง เพื่อจะยัดเยียดความผิดฐานบกพร่องในหน้าที่ให้กับข้า แม้แต่ชีวิตของนายท่านกับหลายร้อยคนในจวนท่านก็ไม่ไยดีแล้วรึ? วิธีการเช่นนี้… ออกจะเสียสติเกินไปหรือไม่?”
“เจ้าว่าไงนะ?” ชายารองเหลยถูกนางชี้จมูกด่าให้ยกหนึ่ง ดวงตาพลันเบิกโต “เจ้ากล้าสั่งสอนข้า? เมื่อใดกันที่สตรีต่ำช้าเหมือนสุนัขแอบอ้างบารมีนายอย่างเจ้ามีสิทธิ์มาติติงข้า”
“ข้าน้อยแค่กล่าวตามจริง” ฮูหยินใหญ่ไม่ยอมอ่อนข้อ “สิ่งของเหล่านี้เตรียมเอาไว้ตั้งแต่บ่ายวันเดียวกับที่ข่าวดีประกาศออกมา มันถูกเก็บไว้ที่ห้องเสบียงชั่วคราวเพื่อรอส่งเข้าวังในเช้าวันถัดไป คืนนั้นนอกจากแม่นมกุ้ยข้างกายท่านที่เรียกร้องจะเอาผ้าพับสองผืนให้จงได้ ก็ไม่มีใครอื่นเข้าใกล้ห้องเสบียงอีก หรือข้าน้อยจะปั้นน้ำเป็นตัวใส่ร้ายท่านได้งั้นรึ?”
คำพูดของฮูหยินใหญ่ครบพร้อมด้วยเหตุและผล ชายารองเหลยรู้ว่าเรื่องใหญ่ตึงมือ เหงื่อจึงผุดเต็มหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ฉู่เยว่เหยียนเดิมทีก็โกรธแค้นแทนนาง แต่พอเห็นนางทำท่าทางเช่นนั้นก็ไม่กล้าเปิดปากอีก เพราะชายารองเหลยหรือมารดาที่ตนรู้จักนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะใช้อุบายชั่วช้าเพื่อใส่ร้ายฮูหยินใหญ่จริงๆ
แม่นมกุ้ยเหมือนหัวใจถูกไฟแผดเผา ร้องเสียงดังว่า “บ่าวแค่ไปหยิบผ้าเท่านั้น จะเอาไปตัดชุดเพื่อใช้วันงานปีใหม่ รับรองว่าไม่ได้แตะต้องของพวกนั้นเลยสักนิด บ่าวกล้าสาบานต่อสวรรค์ บ่าวไม่ได้แตะต้องของพวกนั้นเลย!”
“งั้นก็ดี!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้เบาๆ อย่างสงบ “ข้าได้ยินว่าหลานชายคนโตของแม่นมกุ้ยน่ารักเฉลียวฉลาด อายุยังน้อย แต่อ่านหนังสือมากนัก ไม่แน่ภายภาคหน้าอาจได้รับราชการนำเกียรติยศมาสู่ครอบครัว ในเมื่อแม่นมกุ้ยบริสุทธิ์ใจ มิสู้สาบานด้วยอนาคตของเขา ข้าไม่เพียงจะลืมเรื่องเก่าๆ ทั้งหมด แต่จะขอโทษนายของเจ้าต่อหน้าทุกคนอีกด้วย!”
แม่นมกุ้ยออกแรงทั้งหมดจิกเล็บใส่ฝ่ามือ แม้ว่าชายารองเหลยจะแอบส่งสายตาให้อย่างไร นางก็เอาแต่หลบเลี่ยง อ้ำอึ้งอยู่ครึ่งวันแต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงหลุดออกมา
เห็นท่าเช่นนี้ ใครๆ ล้วนมองออก แม่นมกุ้ยหาได้บริสุทธิ์ใจตามที่กล่าวอ้าง
———————————————————–
บทที่ 82 ขับไล่ (2)
ชายารองเหลยรู้ว่าหลานชายคนนี้เป็นจุดอ่อนของแม่นมกุ้ย จึงไม่คิดบีบบังคับนาง ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์อาจตาลปัตร ทำความสัมพันธ์นายบ่าวขาดสะบั้นลง
ในสถานการณ์ที่ไร้ทางออก นางได้แต่เถียงฉู่สวินหยางคอเป็นเอ็นว่า “ข้าบอกว่าไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ ข้าไม่พอใจสตรีชั้นต่ำแซ่เหยานั่นอยู่ แต่คงไม่ไร้สมองถึงขนาดทำเรื่องที่ทำร้ายตัวเองหรอก”
“เจ้าไม่ยอมรับ?” ฉู่สวินหยางกำลังเล่นแหวนนิ้วหัวแม่มือสีหยกที่เพิ่งเก็บขึ้นมาจากข้างเท้า ยกมันขึ้นส่องกับแสงเพื่อตรวจสอบคุณภาพอย่างไม่รีบร้อน
ท่าทางเย็นชาและเรียบง่าย มองแล้วให้รู้สึกสบายใจยิ่งนัก คล้ายว่าบรรยากาศตึงเครียดไม่อาจสัมผัสถึงตัวนางได้เลย
ยิ่งชายารองเหลยเห็นท่าทางเช่นนั้นของนาง ในใจก็ยิ่งร้อนรนไม่เป็นสุข
“ข้าพูดมากกับเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ทุกเรื่องล้วนมีนายท่านเป็นคนตัดสิน อย่าว่าแต่เรื่องที่ข้าไม่ได้ทำเลย ต่อให้มีเรื่องที่ข้าผิดจริง มันก็ไม่ใช่หน้าที่ที่คนรุ่นหลานอย่างเจ้าจะมาตั้งศาลเตี้ยสอบสวนข้า!” ชายารองเหลยตวาดก้อง เห็นชัดว่าหายใจไม่ทัน พูดจบแล้วก็สะบัดตัวเดินหนี
ชิงหลัวยืนอยู่ด้านหลังนาง ยื่นมือข้างหนึ่งมากดไหล่ของนางไว้ ไม่ยอมให้นางขยับตัว
บุกไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ ความสุขุมที่ฝืนมาครึ่งวันพลันทะลายครืนในชั่วพริบตา
“เจ้าจะเอายังไงกันแน่?” ชายารองเหลยเหมือนสติขาดผึง ตวาดเสียงแหลมสูงดังก้องไปทั่ว
“ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ในเมื่อเจ้ากล้าทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ ก็ควรยอมรับผลที่ตามมา” ฉู่สวินหยางเอ่ย สายตาเอาแต่มองแหวนนิ้วหัวแม่มือ คล้ายว่าของไม่ถูกใจนัก
นางโยนของเล่นชิ้นนั้นทิ้งไปง่ายๆ
จากนั้นฉู่สวินหยางก็ปัดมือไปมา “เรื่องในวันนี้ข้าจะปิดเอาไว้ก่อน แต่การที่คนนอกไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น สตรีเช่นเจ้า…ห้องพระของวังบูรพาคงจะเล็กเกินไป”
“เจ้า…เจ้าหมายความว่าอะไร?” ชายารองเหลยเสียงสั่น แม้แต่ความกล้าหาญที่จะแผดเสียงก็หายไปสิ้น รู้สึกถึงความหายนะที่กำลังจะเกิด
“จากสภาพของน้องห้า คาดว่างานเลี้ยงปีใหม่ในวังคงเข้าร่วมไม่ได้แล้ว รั้งตัวอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะให้เป็นที่นินทา” ฉู่สวินหยางเอ่ย หยุดใช้ความคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองชิงหลัว สั่งว่า “เจ้าไปแจ้งกับพ่อบ้านเฉิง ให้เขาเตรียมรถม้า ส่งชายารองกับน้องห้าออกไปเสียตอนนี้เลย สภาพของน้องห้าต้องการการพักฟื้น มีชายารองคอยดูแลข้างกาย ท่านพ่อก็จะได้ไม่เป็นห่วง จวนนอกเมืองหลังนั้นก็ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมไว้นานแล้วนี่?”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงหลัวรับคำทันใด หมุนกายไปทันที
หัวคิ้วของฮูหยินใหญ่พันกันเล็กๆ
คนแซ่เหลยแม่ลูกทำหน้าโง่งม
ผ่านไปพักหนึ่ง ชายารองเหลยถึงได้สติกลับมา
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองฉู่สวินหยางอย่างไม่อยากจะเชื่อ กระซิบเสียงแผ่วว่า “เจ้าไล่ข้าออกจากจวน?”
“วังบูรพาของข้าไม่มีทางเก็บตัวหายนะไม่รู้จักหนักเบาทั้งยังอาจหาญเทียมฟ้าเอาไว้แน่!” ฉู่สวินหยางเอาชนะด้วยรอยยิ้มบางๆ เท่านั้น
“เหอะ…” ชายาเหลยหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ รอยยิ้มสาวงามที่มาพร้อมกับหยดน้ำตาที่พรั่งพรู
จู่ๆ นางก็หยุดหัวเราะเอาดื้อๆ ราวกับถูกใครบีบคอเอาไว้ สายตาเหี้ยมโหดเกลียดชังตวัดมองฉู่สวินหยาง เค้นเสียงลอดฟันออกมาว่า “ข้าคือชายารองที่แต่งเข้ามาอย่างสมเกียรติ เจ้านับเป็นตัวอะไร? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไล่ข้าออกจากจวน?”
“ข้านับเป็นตัวอะไร?” ฉู่สวินหยางไม่โกรธ ยังคงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่ทุกข์ร้อน สายตาที่มองนางก็ราบเรียบ “ขออภัยทีเถอะ คนแซ่เหลย ปีนั้นเจ้าเข้าจวนมาอย่างยิ่งใหญ่เพียงใด ข้าไม่มีวาสนาได้ชื่นชม แล้วก็ไม่ได้อยากจะ
รับรู้ด้วย ข้ารู้เพียงว่าเจ้าเป็นอนุคนหนึ่งในเรือนหลังของท่านพ่อที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ วันนี้ยังทำความผิดร้ายแรง การที่ข้าลงโทษเจ้าแทนท่านพ่อเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน”
นางจงใจย้ำเสียง ‘อนุ’ สองพยางค์ให้ชัดเจน
สิ่งที่เรียกว่าอนุ หากไม่นับตามลำดับขั้น พูดตามภาษาชาวบ้านก็ถือเป็นเมียน้อยชั้นสูง มีฐานะเป็นเจ้านายอยู่ครึ่งหนึ่ง
ชายารองเหลยเริ่มเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ สีแดงก่ำเรื่อหน้า ริมฝีปากสั่นระริก กำลังจะอ้าปาก แต่ฉู่สวินหยางไม่เปิดโอกาสให้นาง
นางลุกขึ้น ก้าวขาไปด้านข้างเท้าหนึ่ง ใช้สายตาเย็นชาจดจ้องชายารองเหลย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า
“อย่าคิดใช้ความอาวุโสมากดทับข้า! เจ้าไม่คู่ควร! ข้าหาใช่เป็นคนสามัญ ที่นี่คือวังบูรพา เป็นราชสกุล! ต่อให้สกุลของเจ้าจะได้อยู่ในผังราชวงศ์เพราะท่านพ่อ แต่เอาเข้าจริง ข้าเป็นท่านหญิง เจ้าเป็นอนุ หรือจะเรียกสามัญชนก็ยังได้ พฤติกรรมของเจ้าก็เห็นๆ อยู่ วันนี้ยังสร้างเรื่องสร้างราว ที่ข้าลงโทษเจ้าย่อมเป็นสิ่งถูกทำนองคลองธรรม!”
ครอบครัวของขุนนางทั่วไป ต่อให้เป็นบุตรธิดาของบ้านใหญ่ก็ยังต้องให้เกียรติแม่รองอยู่หลายส่วน
แต่เมื่อเป็นราชสกุล ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
สายโลหิตสูงส่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น!
ต่อให้ลำดับศักดิ์ของชายารองจะพอสูสีกับฉู่สวินหยาง แต่ถ้าพูดกับตรงๆ ฉู่สวินหยางเป็นราชนิกุลหญิงที่มีสายเลือด ขัตติยวงศ์ ทั้งปีนั้นยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ ชายารองเหลยกับนางจึงห่างชั้นกันอย่างไม่ต้องเปรียบ
ชายารองเหลยเบื้อใบ้ ได้แต่มองนางอย่างตกตะลึง
เรื่องอื่นๆ นางยังพอดันทุรังเถียงต่อได้ มีเพียงกฎของราชวงศ์เท่านั้นที่นางจนปัญญาจริงๆ
ฉู่สวินหยางเหลือบมองนางทีหนึ่ง แล้วโบกมือส่งให้ เอ่ยว่า “แยกย้ายกันไปเสีย ชิงเถิง ตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ด้านนอกคนมากวุ่นวาย บอกพ่อบ้านเฉิงว่าไม่ต้องตระหนี่ ส่งคนคุ้มกันตามไปมากหน่อย อย่างไรก็ต้องส่งชายารองกับน้องห้าไปให้ถึงจวนนอกเมืองอย่างปลอดภัย”
ปากบอกว่าคนคุ้มกัน แต่ความจริงคือผู้คุม นี่คือการตัดความหวังที่พวกนางจะร้องขอความช่วยเหลือจากจวนสกุลเหลย
ชายารองเหลยถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าจนสีหน้างุนงง รับมือไม่ไหว ตัวคนคล้ายจะสติหลุดไปแล้ว ยืนโง่งมแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
ฮูหยินใหญ่ส่งสายตาให้ทีหนึ่ง หรูโม่รีบออกไปนอกเรือน ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับสาวใช้รุ่นใหญ่ตัวบึกบึน
“ชายารองเหลยกับท่านหญิงห้ามีฐานะสูงส่ง แม้ว่าจะอยู่ด้านนอกแต่ก็ไม่อาจให้เสียเกียรติ” ฮูหยินใหญ่เอ่ย “พวกเจ้าทั้งหมดติดตามไปรับใช้ อย่าได้อิดออดเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
ชายารองเหลยกับฉู่เยว่เหยียนจะออกจากจวน สาวใช้ประจำกายสองคนอย่างไรก็ต้องพาไปด้วย แต่ว่าคนอื่นๆ มิอาจให้พวกนางเลือกสรรได้ตามใจ
สาวใช้รุ่นใหญ่พวกนี้ล้วนแต่ทำงานหยาบอยู่นอกจวน ก่อนนั้นที่ชายารองเหลยมีอำนาจก็ไม่เคยเห็นหัว ไม่เคยมองหน้าพวกเขาเสียด้วยซ้ำ ภายภาคหน้าจะลำเลิกทวงบุญคุณต่อกันย่อมเป็นไปไม่ได้
“ตอนนี้ฟ้ายังไม่ทันมืด รีบไปเสียเถอะ!” ฉู่สวินหยางกล่าวจบก็หมุนกายเดินหนี เห็นชัดว่าไม่สนใจเรื่องต่อจากนี้แล้ว
สาวใช้รุ่นใหญ่เดินออกมา พยายามจะลากชายารองเหลยแม่ลูกออกไป
ฉู่เยว่เหยียนที่อึ้งอยู่นานเพิ่งจะได้สติ รู้ว่าชายารองเหลยยังเอาตัวไม่รอดจึงไม่ฝากความหวังไว้อีก ไม่รู้ว่านางเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ผลักสาวใช้รุ่นใหญ่ที่กำลังดึงนางอยู่จนล้ม สับขาวิ่งตามฉู่สวินหยางไปทันที
“พี่สาม!” สายตาชิงชังโกรธแค้นก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปทันที นางกระโจนเข้าไปกอดขาฉู่สวินหยาง แหกปากคร่ำครวญว่า “ข้าผิดไปแล้ว เป็นข้าที่โง่เขลา วันนี้ข้าไม่ควรมาก่อกวนฮูหยินใหญ่! พี่สาม ข้าไม่อยากไปจากจวน เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ แล้วข้าจะไปสารภาพผิดกับท่านพ่อ ขอร้องล่ะ อย่าส่งข้าออกจากจวนเลย!”
หากออกไปแล้ว นางคงไม่มีหวัง กลัวว่าการกลับมาครั้งต่อไปก็คงถูกหามแต่งเข้าจวนสกุลเหลยเลย
เพราะว่าลำคอได้รับความบาดเจ็บ เสียงของนางจึงแหบและต่ำ ฟังคล้ายเครื่องอัดลมเก่าๆ ตัวหนึ่ง
และมีเพียงฉู่เยว่เหยียนที่เข้าใจ ว่าทุกคำที่ตนเอ่ยออกไปคล้ายมีน้ำมันร้อนๆ ลวกลำคอ ทรมานอย่างสาหัส
ทางเดินของฉู่สวินหยางถูกนางขวางไว้ มองจากด้านบนเห็นดวงหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาไปหมด
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ฉู่เยว่เหยียนยอมรับผิด แม้น้ำเสียงท่าทางจะฟังจริงใจไม่เลว แต่จากที่นางเห็น กลับน่าขบขันยิ่งนัก
“น้องห้า สันดรขุดได้ สันดานขุดยาก เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าวิ่งมายอมรับผิดกับข้า แล้วข้าจะเชื่อเจ้ารึ?” ฉู่สวินหยางยิ้ม ดวงตากระจ่างใสแฝงความเย้ยหยันที่ไม่คิดจะปิดบัง
นางโน้มตัวลงไป ปัดมือของฉู่เยว่เหยียนที่ดึงชายกระโปรงของนางเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้คลื่นลม “เจ้าลืมไปแล้วหรือไง? พวกเรายังมีบัญชีแค้นเก่าอีก? แค่ให้เจ้าแต่งกับเหลยซวี่ ถือว่าข้าเมตตามากแล้ว”
ฉู่เยว่เหยียนถูกนางผลักออก ร่างกายเอนไปอีกทาง ตกตะลึงไม่ขยับเขยื้อน
หญิงผู้นี้ จะไม้อ่อนหรือไม่แข็งก็ใช้ไม่ได้ผล!
นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมก้มศีรษะ ขอร้องผู้อื่นเสียงอ่อนเสียงหวาน สุดท้ายกลับได้มาเพียงวาจาเหยียบหยันให้อับอาย
ฉู่สวินหยางคร้านจะเปลืองน้ำลายกับนาง จึงเดินอ้อมตัวนาง มุ่งหน้าไปทางเรือนจิ่นฮว่า
ด้านหลัง ชายารองเหลยกับลูกสาวต่างก็ยื้อยุดอย่างไม่ยินยอม เสียงโหวกเหวกดังไปทั่วบริเวณ ฉู่สวินหยางทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน
กลับมาถึงเรือนจิ่นฮว่า ชิงหลัวรินน้ำชาให้นางจิบดับกระหาย ทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ท่านหญิง ในเมื่อจวนเรามีตัวปัญหาอย่างชายารองเหลยกับลูกสาวลดไปสองคน ต่อไปเรื่องวุ่นวายคงจะหายไปมาก แต่ว่าส่งชายารองเหลยออกไปเช่นนี้ ต่อไปฮูหยินใหญ่จะไม่มีอำนาจเด็ดขาดอยู่ผู้เดียวหรือเจ้าคะ?”
“ขอเพียงนางรู้ขอบเขตของตัวเอง จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จก็ไม่เป็นไร” ฉู่สวินหยางเอ่ยต่อว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้รึว่านางอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? ที่ช้ายอมเล่นละครเรื่องเดียวกับนาง หนึ่งเพราะให้นางติดค้างน้ำใจข้า สองคือ… ข้าก็อยากจะหาเหตุผลส่งผู้หญิงไร้สมองอย่างชายารองออกไปให้ไกลๆ ในจวนนี้ไม่มีนางมาวุ่นวาย คงจะสงบขึ้นมาก”
ชิงเถิงเก็บของอยู่ด้านข้าง ได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ หันหน้ามามอง เอ่ยว่า “ท่านหญิงหมายถึง เรื่องนี้… ความจริงแล้วเป็นฮูหยินใหญ่ที่ใส่ร้ายชายารองเหลย?”
ฮูหยินใหญ่นั้นมองดูใจดีไร้พิษสง แต่ถึงคราจะยืมดาบฆ่าคน…
คิดแล้วก็ชวนให้ตื่นตะลึงในใจ
“ทำไมล่ะ? เจ้ารู้สึกว่าชายารองเหลยถูกกระทำ? สงสารรึ?” ฉู่สวินหยางยังมีท่าทีไม่ใยดีแยแส ทั้งยังมีอารมณ์มาเอ่ยกระเซ้าอีก
“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ…” ชิงเถิงกล่าว หัวคิ้วมุ่นเบาๆ อารมณ์บนหน้าพันกันยุ่งเหยิง “ชายารองเหลยก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ว่า…”
“ครั้งนี้นางพลาดท่าเสียที แต่หากนับจริงๆ ก็ไม่ถือว่าถูกกระทำทั้งหมด” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ไม่ต้องการฟังนางพูดต่อไปอีก นางหลุบตาจิบชา รอยยิ้มในดวงตาจางจืดไป ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ชายารองเหลยสายตาตื้นเขินอยู่บ้าง แต่นางไม่โง่ขนาดไปงัดข้อกับฮูหยินใหญ่ทั้งที่ตนมีความผิดฐานทำร้ายราชนิกุล ก็จริงตามที่นางพูด ต่อให้นางเกลียดชังฮูหยินใหญ่เพียงใด ก็คงไม่ลงทุนใช้ตัวเองเพื่อกำจัดอีกฝ่ายหรอก”
“เช่นนั้น…” ชิงเถิงอ้าปากอ้าง สายตาที่มองฉู่สวินหยางพลันเปลี่ยนเป็นความซับซ้อน
ฉู่สวินหยางไม่เคยใช้อุบายชั่วช้าเช่นนี้ไปทำร้ายผู้คน เว้นแต่จะเจอคนที่ไม้รู้จักประเมินตนมารนหาที่ตาย
แต่ถ้าครั้งนี้นางช่วยฮูหยินใหญ่ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าชายารองเหลยไม่ได้มีความผิด…
ฉู่สวินหยางเข้าใจว่านางคิดอะไรอยู่ แต่ก็เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฮูหยินใหญ่มิใช่คนปั้นน้ำเป็นตัว ปฏิกิริยาก่อนหน้านั้นของชายารองเหลยกับแม่นมกุ้ย ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่นางคิดเป็นความจริง ชายาเหลยจะต้องทำอะไรบางอย่างกับข้าวของเหล่านั้นแน่ เพียงแต่เป้าหมายคือฮูหยินใหญ่เพียงคนเดียว หาได้ร้ายแรงอย่างที่ฮูหยินใหญ่พูดไว้ จะว่าไปแล้ว กำจัดชายารองเหลยไปได้ ก็ไม่ใช่ว่าข้าใส่ร้ายนางทั้งหมด”
“นางจะทำอะไรได้หรือเจ้าคะ?” ชิงเถิงมักจะสนใจข่าวตบตีแย่งชิงของเรือนหลังอยู่เสนอ ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องทันควัน
“ข้าไม่รู้หรอก” ฉู่สวินหยางถอนหายใจยาว บิดตัวแก้เมื่อยแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง “ต้องไปถามฮูหยินใหญ่เจ้าตัวเอาเอง”
———————————————————–
บทที่ 82 ขับไล่ (3)
เวลาเดียวกันที่เรือนหย่าถิง ฮูหยินใหญ่นั่งดื่มชาอยู่ในเรือนเงียบๆ
หรูโม่ออกไปจัดการธุระพักหนึ่ง รอจนส่งชายารองเหลยกับลูกสาวขึ้นรถเรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมา
“เรียบร้อยดีไหม?” ฮูหยินใหญ่ถาม
“เจ้าค่ะ!” หรูโม่พยักหน้า “คุณหนูสบายใจได้ บ่าวเห็นกับตาว่ารถเคลื่อนออกจากตรอกไปแล้ว พ่อบ้านเฉิงส่งผู้คุ้มกันไปด้วยสิบหกคน บ่าวรุ่นใหญ่ที่ตามไปก็จัดการดีแล้ว ครั้งนี้คนแซ่เหลยแม่ลูกคงจะได้อยู่ที่จวนนอกเมืองอย่างสงบจนกว่าท่านหญิงห้าจะออกเรือนเลย”
“อืม!” ฮูหยินใหญ่ยิ้มเล็กๆ ทว่าหาได้มีความยินดีแฝงอยู่สักเท่าไร ไม่นานก็ส่ายหน้ายิ้มขื่น “เดิมทีข้าคิดจะยืมมือเด็กคนนั้นกักบริเวณนาง ให้นางก่อเรื่องวุ่นวายให้น้อยหน่อย คิดไม่ถึงว่านางจะถอนรากถอนโคน ตัดปัญหาที่จะตามมาเสีย!”
แผนการของฉู่สวินหยาง ยากที่ใครจะคาดเดา
“ความจริงส่งนางออกไปก็เป็นเรื่องดีกับคุณหนูนะเจ้าคะ!” หรูโม่เอ่ย หลุบตาต่ำเล็กน้อย
ฮูหยินใหญ่มองนางทีหนึ่ง ยกมือขึ้นตบหลังมือของนาง “เจ้าพูดจาปากไม่ตรงกับใจเพื่อปลอบโยนข้า เด็กคนนั้นฉลาดเพียงใด มีหรือจะไม่รู้ว่าข้าจงใจยืมมือนาง แค่นางไม่เปิดโปงข้าเท่านั้นเอง หลังจากนี้ก็อยู่เงียบๆ ไปก่อนเถอะ หากว่าเอะอะเกินไปคงไม่ใช่เรื่องดี”
หรูโม่คิดเล็กน้อย แต่ก็อดจะเปิดปากถามไม่ได้ “ความจริงเรื่องนี้คุณหนูสามารถบอกท่านหญิงสวินหยางไว้ล่วงหน้า อย่างไรชายารองเหลยก็คิดไม่ซื่อ เป็นคนคิดร้ายกับคุณหนูก่อน”
“บอกแล้วอย่างไร? เจ้าคิดว่าเพราะคนแซ่เหลยคิดร้ายต่อข้า นางถึงร่วมมือกับข้าจัดการคนแซ่เหลยอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังรึ?” ฮูหยินใหญ่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่เห็นด้วย นางลุกขึ้นเดินไปข้างห้อง มองต้นเหมันต์เขียวเตี้ยๆ ที่ตัดแต่งเองกับมือซึ่งวางอยู่บนชั้น เอ่ยว่า “เอาเข้าจริง นางก็ไม่ใช่ลูกสาวข้า ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยข้าเดินหมาก วันนี้นางยอมหลับตาข้างหนึ่งผสมโรงกับข้า นั่นเพราะนางเองก็ต้องการเช่นนี้ ทั้งเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงโดยรวม ตอนนี้ในจวนบนๆ ล่างๆ นอกจากนายท่านกับคังจวิ้นอ๋อง ยากนักที่ใครจะคิดหาเรื่องเอาเปรียบนางด้วยมือเปล่าได้? ”
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว หรูโม่ก็ใจสั่นไปหมด
นางเดินออกไปหน้าประตูชะเง้อมองซ้ายมองขวา เสร็จแล้วก็งับปิดอย่างระมัดระวัง เดินกลับมาที่ข้างกายฮูหยินใหญ่ เอ่ยว่า “คุณหนู ท่านไม่ได้บอกว่าที่คังจวิ้นอ๋องกลับจวนอย่างกะทันหันเป็นเพราะได้รับการชี้แนะลับๆ จากนายท่านหรือเจ้าคะ? ท่านคิดว่า… ท่านอ๋องจะทอดทิ้งท่านจ่างซุนแล้วมาสนับสนุนให้คังจวิ้นอ๋องขึ้นรับตำแหน่งแทน?”
“ไม่ใช่ข้าคิด เป็นฉู่สวินหยางต่างหาก” ฮูหยินใหญ่เอ่ย “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่พวกเขาไปเมืองฉู่ครั้งก่อน แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ตั้งแต่กลับมาจากเมืองฉู่ เด็กสวินหยางนั่นก็มีท่าทีต่อคนแซ่เหลยต่างไปจากเดิม อย่าคิดว่านายท่านแค่รักนางมากกว่าใครๆ หลายปีก่อนท่านพ่อเคยบอกกับข้าว่า ภายภาคหน้านายท่านจะผลักดันใครรับตำแหน่ง หาได้มองว่าใครเก่งกล้ากว่าใคร สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือจะต้องคิดและสามารถปูทางให้กับอนาคตของฉู่สวินหยางได้ แต่ก่อนท่านจ่างซุนกับ
สวินหยางก็แค่ไม่สนิทกัน แต่ว่าบัดนี้เขาเลอะเลือนถึงขั้นยินยอมและยังยั่วยุให้คนนอกเข้ามาทำร้ายนาง จากจุดนี้ เส้นทางการขึ้นเป็นผู้สืบทอดของเขาคงจบสิ้นแล้ว หากนายท่านทอดทิ้งเขา อนาคตเขายังจะมีอะไรเหลืออีก?”
น้อยครั้งที่ฮูหยินใหญ่จะเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ แม้ว่าหรูโม่จะพอเดาในสิ่งที่นางคิดออก แต่พอได้ฟังแล้วก็อดจะหวั่นในใจมิได้
“คุณหนูจะบอกว่า…ท่านผู้เฒ่ามองออกแต่แรกแล้ว ว่าต่อไปข้างหน้านายท่านจะเลือกผู้สืบทอดตามความต้องการของท่านหญิงสวินหยาง?”
ฉู่อี้อันคือรัชทายาท ผู้สืบทอดของเขาหาใช่ตำแหน่งสามัญ นั่นคือผู้นำแคว้นเหนือเหนือประชานับหมื่นแสนในอนาคต
ต่อให้เขารักบุตรสาวมากเพียงใด แต่บ้านเมืองหาใช่ละครฉากหนึ่ง จะตัดสินใจเลือกผู้สืบทอดจากคนที่บุตรสาวพอใจได้อย่างนั้นรึ?
คิดถึงเรื่องนี้ ฮูหยินใหญ่ก็นวดหว่างคิ้วอย่างเหน็ดเหนื่อย “นั่นสิ ตอนแรกข้านึกว่านายท่านแค่รักสวินหยางมากกว่าคนอื่นๆ ก็เท่านั้น แต่ดูจากตอนนี้ มันเกินไปไกลกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก”
หรูโม่ถอนหายใจซ้ำ อารมณ์ร้อยพันตีกันไม่หยุด สุดท้ายก็อดจะเอ่ยออกมาไม่ได้ “ปีนั้นใครๆ ก็พูดว่านายท่านมัวเมาด้วยเพราะคนแซ่ฟางเลอโฉม แต่เพราะถูกบีบคั้นจากฮองเฮาและขุนนางในราชสำนัก แม้จะยอมส่งคนออกไปแต่หัวใจของนายท่านก็ยังลืมนางไม่ลง หรือเพราะสาเหตุนี้ เขาถึงได้ให้ความสำคัญกับท่านหญิงสวินหยางมากกว่าใครๆ”
“ใครจะรู้เล่า?” ฮูหยินใหญ่ยิ้ม ทว่ามีรอยขมขื่นให้เห็นอย่างชัดเจน
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ในฐานะที่นางเป็นผู้เกี่ยวข้องย่อมต้องกระจ่างแจ้งแก่ใจดี
ปีนั้นที่ฉู่อี้อันยินยอมรับอนุอย่างพวกนางให้แต่งเข้าจวน เจตนาเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของฮองเฮา เพราะตอนแรกเขาดึงดันทำทุกทางเพื่อจะตั้งคนแซ่ฟางขึ้นเป็นเมียใหญ่ ฮองเฮาจึงเริ่มไม่พอใจเขา ทว่าเขากลับไม่ยอมถอย ตอนที่ฮ่องเต้ประทานความเมตตา เขาก็ยอมเปลี่ยนท่าที สุดท้ายฝืนใจยอมรับ ทำตามสิ่งที่ฮ่องเต้จัดสรรไว้ให้ แต่งตั้งคนแซ่เหลยเป็นชายารอง ทั้งรับอนุอย่างพวกนางอีกสามคน
เมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้สุด คนที่ควรหลงก็หลง คนที่ควรยกย่องก็ยกย่อง จากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครานั้น เหล่าขุนนางก็หุบปากกันสนิท หากวันนี้มีใครเอ่ยถึง ก็จะเล่าว่าเขาในวัยหนุ่มยังไม่รู้ความ และเรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อตำแหน่งของเขาในราชสำนัก
ในใจของฮูหยินใหญ่รู้ดีกว่าอะไรทั้งหมด แม้จะเพียงในนาม แต่เขาก็ยังเก็บตำแหน่งชายาเอกเอาไว้หลายปีเพื่อคนแซ่ฟางผู้นั้น ทว่านางเริ่มสัมผัสถึงบางสิ่งได้อย่างชัดเจน…
ไม่ว่าคนภายนอกจะมองว่าเขายังฝังใจกับคนแซ่ฟางเพียงไร แต่ความจริง ฐานะของคนแซ่ฟางในใจเขาคงจะไม่หนักแน่นและลึกซึ้งไปกว่าฐานะที่เขาครอบครองอยู่ในตอนนี้
ดีไม่ดี…
เขาอาจจะมั่นใจมากพอว่าตนมีวิธีการที่จะคว้าทั้งสองอย่างมาครอบครอง
“ช่างเถอะ!” ทิ้งเรื่องราวน่าปวดใจเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง ฮูหยินใหญ่ยกมือโบกไปมา เอ่ยว่า “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ท่านพ่อเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักหลายสิบปี การแก่งแย่งชิงดี กลอุบายมากเล่ห์พวกนี้ล้วนถูกมองออกจนทะลุปรุโปร่ง หากเขาพูดมาเช่นนี้แปดส่วนคงไม่ผิดเป็นแน่ ข้าอาศัยอยู่จวนนี้มาก็เกือบยี่สิบปีแล้ว มีอะไรที่ปลงไม่ลงอีก ก่อนหน้านี้เคยอยู่อย่างไร ต่อไปก็อยู่เช่นนั้นแหละ”
หรูโม่มองรอยยิ้มสงบนิ่งของนาง ในใจก็พลันเจ็บปวด
แค่ความรู้สึกระหว่างชายหญิง ทว่าไม่อาจทำทุกอย่างได้ตามใจหวัง ทั้งยังล่วงเลยผ่านมานับหลายปีแล้ว
“จดหมายฉบับนั้นของชายารองเหลย…” เมื่อตั้งสติได้ หรูโม่ก็เอ่ยถามว่า “ยังต้องเก็บไว้ไหมเจ้าคะ?”
“ไม่จำเป็นหรอก” ฮูหยินใหญ่ตอบ “ของไร้ค่าเช่นนั้น เด็กสวินหยางนั่นคงไม่เห็นในสายตา เผาทิ้งเสีย หากว่าวันข้างหน้าเกิดหลุดออกไปเดี๋ยวได้เป็นเรื่องอีก นิสัยของฮองเฮาเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้”
“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว!” หรูโม่พยักหน้ารับ เดินเข้าไปด้านในห้อง หยิบแผ่นคล้องเคลือบทองออกมาจากช่องลับที่โต๊ะเครื่องแป้งของฮูหยินใหญ่ แผ่นคล้องนั้นตีออกมาได้อย่างประณีต ตัวเกี่ยวสองฝั่งติดสลับกัน พอเลื่อนออกก็จะกลายเป็นสองแผ่น
แผ่นคล้องเช่นนี้ยากจะพบเห็น แต่เหล่าฮูหยินสกุลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงจะคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นเครื่องรางที่พระอาจารย์ชื่อดังในวิหารหลวงทำขึ้น ด้านในสามารถแกะออกแล้วใส่กระดาษลงไปได้ ใช้เพื่ออธิฐานขอพร เล่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
เครื่องรางชิ้นนี้ฮูหยินใหญ่ไปขอมาให้ฉู่เยว่หนิงตั้งแต่สองเดือนก่อน คิดจะให้เป็นสินเจ้าสาวเพื่อความเป็นสิริมงคล ต่อมาหรงเฟยตั้งครรภ์พอดี เพื่อแสดงความจริงใจ ถึงได้นำออกมาเตรียมจะส่งเป็นของขวัญเข้าวัง
ฉู่สวินหยางเดาเอาไว้ไม่ผิด ชายารองเหลยไม่ได้โง่งมถึงขนาดทำให้ตัวเองต้องโทษคิดร้ายต่อราชวงศ์ นางแค่สั่งให้แม่นมกุ้ยเข้าไปในห้องเสบียง ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครคอยระวังสับเปลี่ยนจดหมายในแผ่นคล้องนั้นเสีย
จากเครื่องรางอวยพรธรรมดา กลายเป็นจดหมายที่ฮูหยินใหญ่เขียนเองกับมือ ว่าต้องการดึงนางมาเป็นพวก เหมือนกับสารผูกมิตรที่ส่งให้กับศัตรูอย่างไรอย่างนั้น
ปีนี้ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ไม่ค่อยจะใส่ใจกับเหล่าสตรีในวังหลังเหมือนในอดีต แต่หลังจากทั่วป๋าหรงเหยาเข้าวังไป คล้ายว่าพระองค์จะกลับมาลุ่มหลงกิจธุระระหว่างชายหญิงอีกครั้ง ระยะนี้ก็ค้างที่ตำหนักของนางแทบทุกคืน จนวันนี้นางตั้งครรภ์แล้ว…
แม้ฮองเฮาจะไม่พูดอะไร แต่ข้างในคงเห็นนางเป็นตะปูตำเท้า
ถึงข้าวของจะส่งไปให้ทั่วป๋าหรงเหยาทางนั้น แต่ใครๆ ก็รู้กันทั่วว่าหลัวฮองเฮาใช้วิธีใดในการปกครองวังหลัง ไม่มีเรื่องใดสามารถเล็ดลอดสายตาหลัวฮองเฮาไปได้ นั่นเท่ากับว่าฮูหยินใหญ่เดินมาชนปากกระบอกปืนของนางเอง แส่หาเรื่องตายชัดๆ!
การยืมดาบฆ่าคนเช่นนี้ ถือว่าชายารองเหลยทำได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เพียงมองทะลุถึงนิสัยของนาง ทั้งยังคำนวณแผนการที่หลัวฮองเฮาใช้ปกครองวังหลังได้อย่างไม่ตกหล่น
แต่นางคงจะคิดไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่ที่ไม่เคยมีบทบาทอะไรจะระวังตัวถึงเพียงนี้ พอรู้ว่าแม่นมกุ้ยเข้าไปที่ห้องเสบียง ก็สั่งคนให้ตรวจสอบของทั้งหมดที่จะส่งเข้าวังอีกรอบหนึ่ง จนค้นเจอจดหมายฉบับนั้นเข้าโดยบังเอิญ
ทว่ายังมีเรื่องที่เหนือชั้นยิ่งกว่า ฮูหยินใหญ่เรียกคนมาจัดการกับข้าวของ ใส่สิ่งที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอซูบผอมเพิ่มไปด้วย จากนั้นก็ค่อยแอบมาฟ้องฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางเก็บของเอาไว้ ยังไม่เคลื่อนไหวชั่วขณะ ประจวบกับวันนี้ที่ฉู่เยว่เหยียนมาก่อเรื่องถึงได้คิดออกกะทันหัน ทำเอาชายารองเหลยไม่อาจตั้งรับได้ทัน
หรูโม่หยิบเอากระบอกจุดไฟขึ้นมา แล้วเผาจดหมายทิ้ง
แซ่เหลยสองแม่ลูกถูกส่งออกไปแล้ว วังบูรพาสงบขึ้นมาก ฮูหยินรองเพิ่งจะถูกปล่อยออกมาจากห้องพระ วันๆ ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือน ไม่โผล่หน้าออกไปไหน ฮูหยินสามนั้นแม้แต่ลมหายใจยังไม่กล้าปล่อยแรง หลบอยู่มุมห้องเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบๆ
วุ่นวายกับการตระเตรียมงานใหญ่ พริบตาเดียวก็ถึงวันสุดท้ายของปีแล้ว
เช้าตรู่วันนี้ ขุนนางในเมืองหลวงตั้งแต่ขั้นห้าขึ้นไปและเหล่าชายาที่ได้รับราชโองการแต่งตั้งตั้งแต่ขั้นสี่จะต้องสวมชุดทางการเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในวังหลวง
ฮ่องเต้และฮองเฮาอยู่ในชุดเต็มยศสีเหลืองทองหรูหราเปี่ยมบารมี ขณะนี้กำลังประทับอยู่บนบัลลังก์ประธาน ก้มมองเหล่าขุนนางที่มารวมกันเต็มท้องพระโรงด้วยสีหน้าเมตตาอบอุ่น ทุกคนจะถูกเรียกเข้าไปด้านในเพื่อถวายพระพรตามลำดับบรรดาศักดิ์สูงต่ำ เหมือนกับสายน้ำที่ไหลเข้าออกไม่ขาดสาย วนไปวนมาเช่นนี้จนใกล้เที่ยงถึงเป็นอันเสร็จครบจบพิธี
งานเลี้ยงในวังจะจัดขึ้นตอนบ่ายยามเว่ย[1] เมื่อพิธีถวายพระพรสิ้นสุดแล้ว ฮ่องเต้กับฮองเฮาจะเสด็จกลับไปเปลี่ยนฉลองพระองค์ที่ตำหนัก คนอื่นอยู่ว่างๆ ก็ได้แต่เดินเล่นในอุทยานหรือตามตำหนักสามสี่แห่งที่จัดเตรียมเอาไว้ให้
ฉู่สวินหยางไม่พิศวาสงานเลี้ยงเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าครั้งนี้กลับต่างไปจากเดิม นางอยู่ร่วมวงกับพวกฉู่เยว่หนิงกล่าวทักทายพูดคุยเหล่าชายาและคุณหนูที่มาร่วมงาน ทว่าสายตาก็คอยสังเกตุการณ์เคลื่อนไหวของคนรอบด้าน วนเวียนอยู่หลายทีจนพบคนที่นางสนใจในที่สุด
นางหันไปมอง คล้ายว่าคนผู้นั้นจะรู้สึกตัว จึงขมวดคิ้วมองกลับมา
ฉู่สวินหยางยิ้มบางๆ ก่อนจะหาข้ออ้างผละตัวออกจากกลุ่มคนแล้วเดินไปนอกตำหนัก
คนผู้นั้นตะลึง ดวงตาเคร่งขรึมมองตามแผ่นหลังของนางไป จากนั้นก็ตัดสินใจเดินตามออกไปทันที
———————————————————–
[1] ยามเว่ย คือช่วงเวลาประมาณ 11.00-13.00น.
บทที่ 83 ลอบสังหาร (1)
ฉู่สวินหยางเดินออกมาจากตำหนัก และเลี้ยวหายไปตรงสุดระเบียงทางเดิน
ฉู่ฉีเหยียนที่เดินตามมาและมองตรงมาอย่างแน่วแน่กลับหยุดอยู่เพียงหัวโค้งนั้น แล้วหันไปมองกิ่งดอกเหมยในแปลงดอกไม้ด้านล่าง
“เจ้าจงใจเรียกข้าออกมา มีธุระกับข้ารึ?” ฉู่ฉีเหยียนถามเสียงเรียบจนฟังเหมือนทุ้มต่ำอยู่ในทีอย่างตรงไปตรงมา
หากมองจากมุมของแขกที่เดินเข้าออกตำหนักอยู่ไกลๆ นั้น จะเห็นเขากำลังชมวิวทิวทัศน์อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครมารบกวนเขา
ฉู่สวินหยางยืนอยู่อีกด้านของกำแพงและไม่ได้หันกลับมามองเขาเช่นกัน เพียงถามกลับว่า “ข้านึกว่าเจ้ามีเรื่องจะบอกข้าเสียอีก!”
ฉู่ฉีเหยียนยืนนิ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงชั่วครู่ก็เดินจากไปเอง
เขานั้นมุ่งมั่นและอดทนมาโดยตลอด แค่โดนเด็กคนเดียวยั่วยุไม่ทำให้เขาตีตนไปก่อนไข้หรอก
ถ้าหากเป็นคนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เหมือนเขา อย่างไรก็คงอดทนไม่ไหวแน่ ยังดีที่รู้สึกได้ถึงแผนการอันแยบยลที่ฉู่สวินหยางปิดบังเขาไว้ จึงเอ่ยปากถามไปในทันใดว่า “ได้ยินว่า…สนมของซื่อจื่ออ๋องฉางซุ่นป่วย!”
สายตาของฉู่ฉีเหยียนนั้นเหมือนมีแสงส่องสว่างท่ามกลางความมืดอย่างที่คาดไว้ หลังจากนั้นเขาก็หยุดแล้วหันมาบอกเสียงเรียบว่า “คงไม่ต้องให้ท่านหญิงสวินหยางเป็นกังวลให้เหนื่อยอีกต่อไปแล้ว สองวันก่อนซื่อจื่อซูพบคังจวิ้นอ๋องระหว่างทางกลับวัง ‘โดยบังเอิญ’ 2-3 วันมานี้เปลี่ยนทั้งหมอและยา ได้ยินมาว่าอาการดีขึ้นมากทีเดียว!”
ซูหว่านนั้นยังไม่รู้ประสา เพียงแค่พี่น้องฉู่หลิงอวิ้นแกล้งแสดงความเห็นอกเห็นใจ อีกทั้งนางเองก็อยากจะประจบประแจงฉู่ฉีเหยียน วันนั้นได้จึงวางยาลงในอาหารของฉู่หลิงซิ่ว
แต่เรื่องนี้จะว่าซูหลินโง่เกินไปก็ไม่ได้ ตั้งแต่ซูอี้ได้เตือนเขาตอนนั้นก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า อันที่จริงเขาไม่ได้อยากลงมือจัดการฉู่หลิงซิ่วในช่วงนี้ เพียงแค่รอโอกาสในภายภาคหน้าเท่านั้น
ทว่า เขาโกรธจนปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ ดังนั้นพอได้ยินว่าฉู่หลิงซิ่วล้มป่วย และยังไม่ได้สืบสาวราวเรื่องอย่างจริงจังก็จำต้องเล่นตามน้ำไปก่อน…
อย่างไรเสียสตรีนางนี้ก็ต้องตรอมใจจนป่วยตาย ต่อให้ถึงตอนนั้นฮ่องเต้ต้องการสืบหาความจริงก็ไม่มีทางสืบไปถึงตระกูลซูของเขาแน่
เดิมทีแผนการดำเนินไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ 2 วันก่อนที่ฉู่หลิงซิ่วใกล้ตาย ซูหลินดันเจอฉู่ฉีเฟิงระหว่างทางกลับวังโดยบังเอิญพอดี
ฉู่ฉีเฟิงเตือนเขาอย่างคลุมเครือ 2-3 ประโยค ทีแรกเขาก็ไม่ได้เชื่อคำพูดของฉู่ฉีเฟิงทั้งหมด แต่ถือว่ากันไว้ก่อนจึงให้คนไปเชิญหมอหลวงที่ไว้ใจได้ไปตรวจและพบร่องรอยผู้ก่อเหตุอย่างที่คาดไว้
ซูหลินตกใจจนเหงื่อเย็นไหลทั้งตัวทันที และพอดูตามหลักฐานที่พบแล้วก็อยากจะลากตัวซูหว่านมาสั่งสอนเองสักที
ด้วยเหตุนี้น้องชายและน้องสาวทั้งสองคนเจอกันก็เหมือนเจอศัตรู เห็นฝ่ายตรงข้ามขัดหูขัดตาไปเสียหมด
แผนร้ายของฉู่ฉีเหยียนคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง แต่เขากลับยังไม่ถอดใจ เวลาที่เจอพี่น้องของฉู่สวินหยางก็ทำตัวปกติ ไม่แสดงท่าทางเคียดแค้นหรืออาฆาตแม้แต่น้อย
ฉู่สวินหยางหันมามองใบหน้าด้านข้างของเขาที่รู้เรื่องดีทุกอย่างแต่สีหน้ากลับไม่ยินดียินร้ายอย่างสนใจ และยังเน้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ตามที่ข้ารู้มา ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีการเปลี่ยนตัวให้คนในตระกูลซูรับผิดชอบดูแลยาของชายาซื่อจื่อโดยเฉพาะด้วยนี่!”
ขณะนั้นนัยน์ตาที่ทอดมองอย่างนิ่งเฉยราวกับซ่อนความนัยบางอย่างไว้ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหันกลับไปมองนางจนได้
“แน่นอนว่าซูหว่านก็เป็นคนจัดการเรื่องนางในคนใหม่ด้วย!” ฉู่สวินหยางกล่าวพร้อมกับสบตาเขาโดยตรง “ถึงซูหว่านเป็นคนทำเรื่องนี้ทั้งหมด ต่อให้หลังจากนี้จะมีคนสืบหาความจริง คนของตระกูลซูที่มีส่วนพัวพันก็ต้องรับผิดชอบเอง เพียงแต่ว่าท่านหญิงซูเกี่ยวพันกับเรื่องนี้… อย่างลึกซึ้งมากจริงๆ!”
“เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่?” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าจะมาพูดเรื่องไร้สาระกับข้าล่ะก็ บอกเลยว่าไม่จำเป็นสักนิด!”
“ข้าแค่อยากจะเตือนเจ้าเอาไว้สักเล็กน้อย! ซื่อจื่อวางหมากเอาไว้ตั้งมากมาย คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการเผยจุดอ่อนและปิดช่องโหว่ได้ และนั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่” ฉู่สวินหยางเอ่ย มุมปากยกยิ้มเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังเยาะเย้ย
เดิมทีฉู่ฉีเหยียนเดินกลับไปแล้ว แต่พอได้ยินที่คำพูดเหล่านั้นก็เกิดลังเลขึ้นมาจึงหยุดเดินทันใด
เขาหันกลับมาแล้วทอดสายตามองฉู่สวินหยางอย่างท้าทาย และถามกลับว่า “แล้วเหยียนหลิงจวินเล่า? เขาถือว่าเป็นจุดอ่อนและช่องโหว่ของเจ้าหรือไม่?”
ถึงแม้อาการป่วยของฉู่หลิงซิ่วจะไม่ดีขึ้น แต่ไม่ว่าซูหว่านจะทำร้ายยังไงก็ตามกลับไม่ได้ทำให้อาการป่วยทรุดลงอีกเลยเช่นกัน
ระหว่างซูหลินกับเหยียนหลิงจวินมีความบาดหมางกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญเขาไปตรวจที่จวนอ๋องฉางซุ่น แต่จากสถานการณ์ตอนนี้…
ทั้งสำนักหมอหลวงตกอยู่ใต้อำนาจของเหยียนหลิงจวิน จะมีหมอคนไหนหนีการควบคุมของเขาไปได้?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่ฉู่หลิงซิ่วสามารถอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ต้องเป็นฝีมือของคนคนนี้แน่นอน!
น้ำเสียงของฉู่ฉีเหยียนไม่ดีนัก แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของฉู่สวินหยาง
นางเอียงศีรษะไปเผยใบหน้าให้เขาเห็นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าหากเจ้ามีฝีมือก็ลากตัวเขาออกมาให้ได้ก็พอแล้ว ข้าจะตั้งตาคอย”
ฉู่ฉีเหยียนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ความอึดอัดคับข้องใจอัดแน่นอยู่เต็มอก
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าการปรากฏตัวของเหยียนหลิงจวินพอเหมาะพอเจาะเกินไป และต่างรู้สึกว่าคนๆ นี้ลึกลับจนยากจะคาดเดา เบื้องหลังต้องมีไพ่ตายที่ไม่ให้ใครรู้อีกแน่ แต่สืบสวนไปก็ไม่ได้เบาะแสอันใด
ฉู่สวินหยางพูดมาแบบนี้แสดงว่ามีที่พึ่งพิงจึงไร้ซึ่งความหวาดกลัว เห็นทีว่าเรื่องคราวนี้เขาคงยื่นมือไปช่วยไม่ได้แน่
“อย่างที่เจ้าว่ามา ยังไงหมาจิ้งจอกก็ต้องโผล่หางออกมาสักวัน เช่นนั้นพวกเราคอยดูแล้วกัน!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว แม้สีหน้าจะแสดงออกอย่างเย็นชา แต่กลับมีรอยยิ้มนิ่งขรึมปรากฏออกมา
เขามองฉู่สวินหยางเพียงครั้งเดียว แล้วเลิกชายเสื้อขึ้นและหันตัวเดินกลับเข้าตำหนักไป
ฉู่สวินหยางยังคงยืนอยู่ตรงกำแพงอีกด้านที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แสงบริเวณนี้ค่อนข้างมืดสลัว ทำให้กว่าครึ่งใบหน้าของนางซ่อนอยู่ในเงาของกำแพงจึงมองเห็นไม่ชัดนัก
จนกระทั่งเงาของฉู่ฉีเหยียนออกห่างไปไกลแล้ว จึงมีคนรูปร่างเตี้ยเดินฝ่าดอกไม้ที่บานสะพรั่งออกมาจากหลังดงต้นเหมยที่อยู่ตรงหน้าฉู่สวินหยางพอดี
ฉู่สวินหยางยังคงยืนอยู่บนระเบียงทางเดินนั้นไม่ขยับเขยื้อน
เหยียนหลิงจวินก็ไม่ได้จะปีนรั้วขึ้นไป เพียงแค่ยืนอยู่ในแปลงดอกไม้ด้านล่างเท่านั้น แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองนางเล็กน้อย สีหน้าครุ่นคิดบางอย่างแล้วเอ่ยว่า “เป็นอย่างไร? ได้อะไรบ้างหรือไม่?”
“จะเป็นไปได้ยังไง?” ฉู่สวินหยางส่ายหัว น้ำเสียงเจือความผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าข้าหาเบาะแสเจอง่ายขนาดนั้น เขาก็คงไม่ใช่ฉู่ฉีเหยียนแล้ว!”
เหยียนหลิงจวินหัวเราะและเอ่ยปลอบใจว่า “เช่นนั้นก็คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว วางใจเถอะ ถึงจะมีอะไรเกิดขึ้น วันนี้เขาก็คงไม่มีกะจิตกะใจมาจัดการท่านหญิงแล้ว!”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าแล้วยิ้ม “งั้นคงต้องรบกวนคนมีความสามารถอย่างใต้เท้าเหยียนหลิงให้ลงมือแล้ว”
เหยียนหลิงจวินเห็นนางยังมีอารมณ์หยอกล้อได้ก็เบาใจ เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งกำลังจะพูดบางอย่างก็เห็นคนเดินมาจากอีกฝั่งของระเบียงอย่างรวดเร็ว
ฉู่ฉีเฟิงนั่นเอง
เหยียนหลิงจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย หยุดฝีเท้าไว้เพียงเท่านั้น และกล่าวอย่างจำใจว่า “ข้าคงต้องขอตัวก่อน!”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าและไม่ได้รั้งเขาไว้ พอเห็นเขาหมุนตัวจากไป พลันนึกถึงคำพูดของฉู่ฉีเหยียนเมื่อครู่ขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ
“เหยียนหลิง!” โดยลืมสนใจเสียงฝีเท้าของฉู่ฉีเฟิงที่กำลังเข้ามาใกล้ทางด้านหลังไปชั่วขณะ ฉู่สวินหยางก็ตะโกนเรียกเขาขึ้นมา
เหยียนหลิงจวินหยุดอยู่กับที่ แล้วหันมามองด้วยแววตาสงสัย
ฉู่สวินหยางมองไปที่เขา สีหน้าคล้ายกำลังลังเลอย่างหนักอยู่ชั่วอึดใจ ถึงจะกล่าวออกมาว่า “เจ้า…ระวังตัวด้วย!”
เหยียนหลิงจวินอึ้งไปแล้วก็มีรอยยิ้มแต่งแต้มมุมปากตามมา “ขอรับ งั้นอีกสักครู่พวกเราค่อยเจอกันในงานเลี้ยง!”
ฉู่สวินหยางก็ยิ้มตามไปด้วยและมองส่งเขาจากไป
เพียงชั่วพริบตาฉู่ฉีเฟิงก็เดินมาจากด้านหลัง สายตาเหลือบมองตามเงาคนไกลตรงนั้นอย่างมีเลศนัย แต่แล้วก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“มายืนอึ้งอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ?” ฉู่ฉีเฟิงถามและตบลงบนบ่าของฉู่สวินหยางเบาๆ “ต้องไปฝ่ายหน้าแล้ว อีกหนึ่งเค่อ[1]งานเลี้ยงก็จะเริ่มแล้ว”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางหันกลับมายิ้มให้เขา “ไปกันเถอะ!”
พี่ชายและน้องสาวเดินกลับไป แต่ฉู่สวินหยางก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองอีกรอบ สถานที่ๆ คนนั้นเคยยืนอยู่เมื่อครู่เหลือเพียงความงดงามของเงาดอกไม้ใต้แสงแดดเท่านั้น
ผู้คนต่างมุ่งหน้าไปตำหนักเจาเต๋อที่อยู่ข้างหน้า ขณะนั้นรถม้าของฮ่องเต้และเหล่าสนมแห่งวังหลังยังไม่เสด็จ ทุกคนต่างทยอยเข้าสู่งานเลี้ยงตามการชี้นำของนางในและขันที
จนกระทั่งจัดการที่นั่งด้านนี้ค่อนข้างเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยินเสียงขันทีด้านนอกประกาศว่า “ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ!”
ทุกคนที่เพิ่งนั่งลงรีบลุกขึ้นในทันใด และต่างคุกเข่ารอรับเสด็จอยู่ข้างเก้าอี้ตนเอง
ส่วนเหล่าองค์ชายที่นำโดยฉู่อี้อันนั้นได้ออกไปรับเสด็จตั้งแต่นอกตำหนัก หลังจากแสดงความเคารพแล้วก็เชิญฮ่องเต้เข้ามา
ฮ่องเต้ประทับเป็นองค์ประธานอยู่บนบัลลังก์สูงในห้องอุ่นด้านในสุด ส่วนสนมอื่นๆ ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงก็นั่งเรียงตามลำดับยศศักดิ์
————————————————————————
[1] 1 หนึ่งเค่อ = 15 นาที
บทที่ 83 ลอบสังหาร (2)
ตำแหน่งสี่ชายาเอกแห่งวังหลังของฮ่องเต้นั้นครบแล้ว แน่นอนว่าผู้เป็นที่โปรดปรานมากที่สุดต้องเป็นคนที่เพิ่งเข้าวังมาเช่นทั่วป๋าหรงเหยาอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงอย่างนั้นฮ่องเต้ก็ทรงเคารพกฎของฝ่ายในมาโดยตลอด ไม่เคยเลื่อนขั้นให้ใครเป็นพิเศษเพราะโปรดปรานมากกว่าผู้อื่น เช่น ตำแหน่งแรกทางซ้ายมือของเขายังคงต้องยกให้ฉีเต๋อเฟย1ที่มีฐานะรองจากฮองเฮาเพียงเท่านั้น
ทั่วป๋าหรงเหยาจึงทำได้แค่ยอมรับตำแหน่งสนมขั้นที่สามเท่านั้น
การจัดงานเลี้ยงวันส่งท้ายปีเก่าในราชสำนักเป็นขนบธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณ แท้จริงแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ ทุกอย่างเพียงแค่จัดไปตามประเพณีอย่างที่เคยทำกันมา ท่านหญิงทุกคนต่างเข้าร่วมงานและรับคำอวยพรจากฮ่องเต้ จากนั้นจึงเริ่มงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ
ทุกคนในงานเลี้ยงต่างรับประทานอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าไม่กี่จานไปตามหน้าที่ เพียงแค่ตอนที่ฮ่องเต้ตรัสถึงเรื่องใดขึ้นมา เหล่าขุนนางและท่านหญิงที่ตำแหน่งค่อนข้างสูงก็จะเออออตามไปด้วยและกล่าวคำที่เป็นสิริมงคล อันที่จริงงานเลี้ยงที่หรูหราตระการตานี้ก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่ให้คนมาสรรเสริญเยินยอเท่านั้น
ทุกคนต่างใช้เวลาร่วมกันในงานอย่างเพลิดเพลิน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข โดยเฉพาะในห้องอุ่นด้านในสุด ฮ่องเต้ราวกับอารมณ์ดีไม่น้อย บางครั้งยังได้ยินเสียงทรงพระสรวล ขุนนางที่รายล้อมจึงได้ผ่อนคลายไปด้วย
งานเลี้ยงดำเนินไปได้ราวครึ่งทาง พอหลัวฮองเฮาเตือนฮ่องเต้จึงทรงนึกขึ้นได้และโบกพระหัตถ์เรียก “ให้นางรำ…”
ทว่ายังพูดไม่ทันจบ เต๋อเฟยที่อยู่ด้านข้างก็ยกสองมือขึ้นปิดปากไว้ แล้วลุกออกจากที่นั่งและร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก
เสียงร้องที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนั้นดึงดูดสายตาทุกคู่จากทั่วทั้งงานให้หันเหความสนใจไปที่ห้องนั้นโดยทันที
หลัวฮองเฮาได้ยินเต๋อเฟยร้องเสียงดัง คราแรกตั้งใจว่าจะต่อว่า แต่สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นหน้าดำคร่ำเครียดในชั่วพริบตา เต๋อเฟยชี้ไปที่มือขวาที่ยังไม่ได้วางลงของฮ่องเต้ด้วยความหวาดกลัว ละล่ำละลักเอ่ยว่า “ฝ่า…ฝ่าบาท พระหัตถ์ของพระองค์…”
ฮ่องเต้ถึงได้หันไปมองมือของตนเอง
ทันทีที่ตั้งสติได้เต๋อเฟยก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น รีบคว้าแขนของฮ่องเต้มาแล้วดึงแขนเสื้อขึ้นให้พ้นข้อศอกทันที
ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ผิวกายหย่อนยาน มีรอยกระมากมาย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นด้านในแขนของพระองค์ก็ยังปรากฏเส้นเลือดสีคล้ำอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เส้นเลือดที่ข้อมือขึ้นไปถึงด้านในข้อศอก ขณะนั้นราวกับมีบรรยากาศอึมครึมแผ่กระจายออกมาจากมือขวาของพระองค์อย่างเบาบาง
“เอ่อ…” หลัวฮองเฮาตกใจจนหน้าซีด เกือบจะตะโกนออกมาเช่นเดียวกันแล้ว แต่ดีที่พระองค์คุ้นชินกับงานใหญ่โตแบบนี้จึงรีบยับยั้งอารมณ์ทันที เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนกจนเกิดความวุ่นวาย
1 เต๋อเฟย 1 ใน 4 ตำแหน่งชายาเอกของฮ่องเต้ที่มีฐานะรองจากฮองเฮา ประกอบด้วย กุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟย เสียนเฟย
พอเห็นฮ่องเต้เป็นเช่นนั้นทั้งฝ่ายในก็เกิดความโกลาหลขึ้นในชั่วพริบตา แต่คนอย่างเต๋อเฟยกลับไม่ได้หวาดวิตกมากขนาดนั้น
หลิวเฟยเป็นคนแรกที่ร้องตะโกนจนเสียงหาย “ยาพิษ! เหมือนถูกพิษเลย! เข้ามา เร็วเข้า! หมอเซวียน!”
เพียงประโยคนี้หลุดออกไป ด้านล่างก็เกิดความวุ่นวายดังที่คาดไว้
หลัวฮองเฮาอยากจะควบคุมสถานการณ์แต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่ตำหนิเสียงเย็นเยียบว่า “ต่อหน้าพระพักตร์ ส่งเสียงหนวกหูอะไรกัน?”
พูดไปก็ประคองฮ่องเต้ไปด้วยความกังวลใจ แล้วตรัสว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันจะประคองไปให้หมอฉวนตรวจด้านหลังก่อนเพคะ!”
ฮ่องเต้ทอดมองด้วยสายตาลุ่มลึก ทั้งที่เกิดเรื่องเช่นนี้ได้ครู่หนึ่งแล้ว แต่พระองค์กลับไม่ได้ตรัสอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แถมยังปัดมือที่ยื่นมาจะช่วยประคองของหลัวฮองเฮาออก แล้วจึงตรัสอย่างเย็นชาว่า “ปิดทางเข้าออกตำหนัก กักตัวคนที่เข้าออกวันนี้ทั้งหมดไว้ก่อน”
ปฏิกิริยาแรกของพระองค์…
กลับเป็นการควบคุมทางเข้าออก ไม่ให้นักฆ่ามีโอกาสหลบหนีไปได้
เพียงตรัสออกมาเพียงประโยคเดียวก็รู้สึกเวียนหัว สีหน้าคล้ายจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำขึ้น
ระหว่างที่พูดอยู่นั้นเหยียนหลิงจวินก็รีบพาหมอหลวงกลุ่มใหญ่เข้ามา
สำนักหมอหลวงในทุกวันนี้อยู่ในความดูแลของเขา หมออาวุโสคังทำท่าจะรีบเข้าไปตรวจชีพจรของฮ่องเต้ คาดว่าคงอยากจะได้ความดีความชอบ
ฉู่สวินหยางมองอยู่ไม่ไกล ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เหยียนหลิงจวินยังคงรักษาท่าทีสงบปากสงบคำ เพียงแค่แอบดึงแขนเสื้อเขาไว้แล้วสะบัดไปด้านหลังเบาๆก็ทำให้แทบทรงตัวไม่อยู่แล้ว กว่าเขาจะทรงตัวได้ เหยียนหลิงจวินก็ไปถึงหน้าพระพักตร์ก่อนแล้ว
เขาไม่ได้จับชีพจรก่อน แต่สอดส่ายสายตาอย่างไว ทันใดนั้นก็หยิบปิ่นปักผมฝังมุกสองอันมาจากนางในข้างๆ
ปิ่นปักผมอันนั้นเล็กนิดเดียว แม้จะไม่งดงามปราณีตเหมือนเข็มที่ใช้ฝังเข็ม แต่ก็ใช้ได้ไม่ต่างกันมากนัก
เขาลงมือไวมาก อันดับแรกปักปลายปิ่นเรียวบางสกัดจุดตรงเส้นเลือดใหญ่ 2 จุดใหญ่บนแขนฮ่องเต้ แล้วใช้หัวแม่มือนวดหว่างคิ้วและขมับครู่หนึ่ง
ปกติเวลาหมอคนอื่นจะวินิจฉัยโรคต้องตรวจชีพจรก่อน เขานั้นอายุยังน้อย เดิมทีนั้นหลัวฮองเฮาเห็นเขาเป็นพวกสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองด้วยวิธีการสกปรก ทีแรกจึงตั้งใจว่าจะตำหนิ แต่หลังจากเขาใช้ฝีมือกดจุดให้ฮ่องเต้ได้อย่างแม่นยำแล้ว อาการตาพร่าของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างกับปาฏิหาริย์ ส่งเสียงต่ำ “อือ” และไม่สลบไปอย่างไม่น่าเชื่อ
“เมื่อครู่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน กระหม่อมล่วงเกินไป ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ” ในที่สุดเหยียนหลิงจวินก็พูดออกมาและหันไปคารวะฮ่องเต้
ฮ่องเต้หรี่ตามองแขนตนเองอีกครั้ง ไม่มีใครดูออกว่าสีหน้าท่าทางของพระองค์สื่อถึงอะไรกันแน่ หลังจากนั้นก็มองไปที่เหยียนหลิงจวินแล้วตรัสถามว่า “ข้าถูกพิษรึ?”
“พะยะค่ะ!” เหยียนหลิงจวินตอบ โดยระหว่างที่ตอบนั้นไม่ได้มองฮ่องเต้แม้แต่น้อย แต่กวาดสายตาอันเฉียบแหลมมองคนรอบตัวอย่างไว พร้อมกับอธิบายว่า “พิษชนิดนี้ไม่ได้แพร่ผ่านอาหาร ฝ่าบาทน่าจะทรงสัมผัสพิษผ่านพวกภาชนะถ้วยแก้วโดยบังเอิญ ปกติแล้วพิษชนิดนี้กระจายเร็วมาก แต่ดีที่โดนเพียงผิวภายนอกพิษจึงไม่ได้ซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพราะหากออกฤทธิ์ขึ้นมาจริงๆ จะยื้อเวลาได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ดังนั้นดูจากอาการถูกพิษของฝ่าบาทในตอนนี้คงอีกสักครู่ ผู้ที่วางยาน่าจะยังอยู่ในตำหนักนี้แน่!”
ระหว่างที่พูดนั้นท่าทางของเขาไร้ซึ่งความเคารพโดยสิ้นเชิง มองซ้ายมองขวาตลอด ไม่ได้สนใจฮ่องเต้แม้สักนิด
ข้างกายนั้นหมอคังที่โดนเขาตัดหน้าคล้ายจะระเบิดโทสะออกมา แต่กลับเห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วชี้ไปที่นางในหน้าตาขี้เหร่ที่อยู่หลังทั่วป๋าหรงเหยาแล้วเอ่ยว่า “ค้นตัวนาง!”
เขาเป็นคนทำตามใจตัวเองมาตลอด ทำให้คนมองแล้วไม่รู้สึกว่าน่าเกรงขามสักเท่าไหร่ ต่อให้พูดจาแบบนี้ก็ไม่รู้สึกว่าเกรี้ยวกราดตรงไหน ท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่เมื่อครู่ตกใจว่าฮ่องเต้ถูกวางยาและรวมตัวมาคุ้มกันก็มีคนได้สติไปลากตัวนางในที่มีท่าทีกลัวจนหัวหดคนนั้นออกมา
“พวกเจ้าจะทำอะไร?” ทั่วป๋าหรงเหยาตกใจจนรีบถามออกมาเสียงดัง
ตัวฮ่องเต้เองนั้นถูกพิษยังจะจัดการคนอื่นยังไงไหว พอได้ยินที่เหยียนหลิงจวินพูดก็ตรัสไปทันทีว่า “ค้น!”
องครักษ์ผลักตัวนางในคนนั้นลงบนพื้นจะถอดเสื้อผ้าของนางออก
นางในผู้นั้นเงยหน้ามองอย่างตื่นกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นเองทุกคนถึงพบว่าใบหน้าของนางเป็นสีคล้ำเหมือนฮ่องเต้ไม่มีผิด เป็นร่องรอยของการถูกพิษชนิดเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด
พลันสายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่จุดเดียวในทันใด
เหยียนหลิงจวินยืนสังเกตนางในคนนั้นอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ตลอด สายตาจับจ้องไปที่ของที่นางกำไว้แน่นในมือขวาและชี้นิ้วพูดว่า “ยาถอนพิษอยู่ในมือนาง!”
พอองครักษ์ได้ยินดังนั้นจึงรีบแกะมือของนางทันที
นางในคนนั้นทีแรกเพียงแค่ตื่นตระหนกที่เขามาค้นตัวนางตามใจชอบ ตอนนี้กลับดิ้นรนต่อสู้สุดกำลัง
แต่เดิมทีนางเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอและยังถูกพิษ ไหนเลยจะมีแรงสู้องครักษ์ที่ร่างกายแข็งแรงได้?
องครักษ์นายนั้นแย่งยาเม็ดสีน้ำเงินเข้มมาจากมือนางได้อย่างง่ายดาย และส่งไปให้เหยียนหลิงจวินตรวจดูก่อนอย่างสงสัยใคร่รู้
หลังจากนั้นทั้งหน้าของนางในคนนั้นก็ยิ่งดำคล้ำขึ้นอย่างชัดเจน นอนมือเท้าเกร็งอยู่บนพื้น สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่กลับมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังออกมาจากลำคอ ทั้งที่ไม่มีแม้แต่เสียงจะร้องขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ
ฮ่องเต้ทอดมองผ่านไปและสั่งหมอหลวงที่มัวแต่ยืนอึ้งอยู่ว่า “ยังไม่ไปดูอีก?”
ถ้าหากคนนี้เป็นผู้ลงมือ เช่นนั้นก็ต้องเก็บไว้เป็นพยาน
แต่ดูจากรูปการณ์ตอนนี้เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้
ด้านหนึ่งเหยียนหลิงจวินทดสอบตัวยาอย่างรวดเร็วและสั่งให้คนไปเตรียมน้ำมาให้ฮ่องเต้
ฮ่องเต้นั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนขี้ระแวง แต่ครั้งนี้กลับกลืนยาตามน้ำที่หลี่รุ่ยเสียงยกมาไปทันที โดยลืมให้คนชิมยาก่อนเหมือนเช่นเคย ครั้งนี้น่าจะเพราะทรงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายจึงพยายามทุกวิธีทางที่จะเอาชีวิตรอดไปได้
พระองค์หลับตาลงผ่อนคลายครู่หนึ่ง ทางด้านหมอคังคุกเข่ารายงานอย่างตื่นตระหนกว่า “ฝ่าบาท นางในคนนี้ตายด้วยยาพิษแล้วพะยะค่ะ กระหม่อมละอายใจยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง
เหยียนหลิงจวินยิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วก้าวเข้าไปดูศพของนางในคนนั้นและกล่าวว่า “ตอนถวายยาพิษให้ถึงมือฝ่าบาทน่าจะไม่ทันระวังจึงโดนพิษไปด้วย พิษชนิดนี้ร้ายแรงนัก ถ้าไม่รักษาก็อาจถึงตายได้อย่างที่คิดไว้ ไม่ได้เป็นความผิดของหมอคังหรือผู้ใดหรอกพะยะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย”
——————————————————————
บทที่ 83 ลอบสังหาร (3)
ตอนนั้นเองทั่วป๋าหรงเหยาที่อึ้งไปนานจึงถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าหมายความว่าหรงเอียนวางยาลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้งั้นรึ?”
เหยียนหลิงจวินมองสายตาที่จ้องมาอย่างประสงค์ร้ายของนางแล้วยังคงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “พระสนมได้โปรดสงบใจก่อน ข้าน้อยเป็นเพียงหมอที่มีหน้าที่รักษาผู้ป่วยเท่านั้น มิได้รับผิดชอบการสอบสวน”
อยู่ๆ สาวใช้ของทั่วป๋าหรงเหยาก็มาตายอย่างอนาถตรงหน้าจึงกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้ความคิดตีกันสับสนวุ่นวายจนไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีในเวลานี้
พอกล่าวออกไปแล้ว นางอึกอักถามฮ่องเต้อย่างไม่สบายใจว่า “ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่สนใจ
ทางด้านหลัวฮองเฮาตรัสอย่างรวดเร็วว่า “ของที่ฝ่าบาททรงหยิบจับตรงนี้เมื่อสักครู่ก็มีไม่กี่ชิ้น ใต้เท้าเหยียนหลิง ท่านช่วยตรวจดูให้ละเอียดหน่อย มันผิดพลาดตรงไหนกันแน่?”
“พะยะค่ะ ฮองเฮา!” เหยียนหลิงจวินรับคำสั่ง แล้วตรวจสอบสิ่งของที่จัดวางอยู่บนโต๊ะหน้าฮ่องเต้ทั้งหมด ท้ายที่สุดเหลือเพียงจานผลไม้มรกตแล้วกล่าวว่า “เครื่องเงินที่ใช้เสวยคงลงมือได้ยาก ปัญหาจึงตกอยู่ที่จานผลไม้ใบนี้ คาดว่าฝ่าบาทคงสัมผัสขอบจานที่อาบยาพิษไว้!”
เพียงเท่านั้นทั่วป๋าหรงเหยาก็หน้าซีดเผือดไปทันที และตะโกนเสียงดังว่า “เป็นไปไม่ได้!”
นัยน์ตาของฮองเฮาทอประกายดุดันแล้วเอ่ยว่า “เพราะหรงเฟยชอบกินลิ้นจี่มาก ฝ่าบาทจึงทรงให้สาวใช้ของนางนำไปแบ่งให้นางครึ่งหนึ่ง!”
ตรัสมาได้เพียงครึ่งเดียวก็เบี่ยงประเด็นไปชี้หน้าทั่วป๋าหรงเหยาว่า “หรงเฟย เจ้ากล้ามาก กล้าสั่งให้คนของเจ้าวางยาฝ่าบาท!”
“หม่อมฉันไม่ได้ทำนะเพคะ!” ทั่วป๋าหรงเหยาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หลี่รุ่ยเสียงที่ยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้เดินถือแส้หางม้าออกไปตรวจดูมือทั้งสองข้างของหรงเอียนที่บวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด ด้วยถูกพิษร้ายแรงจนแทบจะแตกต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง
“ฝ่าบาท” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย “ถ้าหากกระหม่อมเดาไม่ผิด นางในคนนี้คงทายาพิษไว้ที่มือตนเอง แล้วพยายามทุกวิถีทางทายาพิษที่เครื่องใช้ใกล้พระหัตถ์ฝ่าบาทให้ได้ หลังจากนั้นใต้เท้าเหยียนหลิงมาพบได้ทันเวลา ทำให้นางไม่สามารถกินยาถอนพิษได้ทันจนตายในที่สุด”
ของที่ห้องเครื่องส่งมาทั้งหมดนั้นต้องผ่านการตรวจสอบนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าอยากวางยาก็คงไม่ง่ายนัก และงานเลี้ยงในตำหนักนี้ก็มีสายตาจับจ้องอยู่มากมาย หากมีใครสักคนทำอะไรผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยจะดึงความสนใจจากคนอื่นได้ง่ายมาก ดังนั้นการวางยาลงในอาหารและใช้อาวุธลอบสังหารอย่างโจ่งแจ้งจึงทำได้ยาก
ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ใช้สองมือของตนเองสัมผัสพิษโดยตรง ถือว่ารนหาที่ตายแท้ๆ
สีหน้าของฮ่องเต้กลับเย็นชาและไร้ซึ่งโทสะ แต่ทว่าราวกับมีเมฆหมอกบดบังสายตาคู่นั้น เพียงทอดมองมาทั่วป๋าหรงเหยาก็สั่นไปทั้งตัว
“หรงเฟย อธิบายมา!” ฮ่องเต้ตรัสเพียงเท่านั้น
ทั่วป๋าหรงเฟยเบิกตาโตและตอบไปอย่างหวาดหวั่นว่า “ฝ่าบาท พระองค์ก็สงสัยหม่อมฉันเหมือนกันงั้นรึเพคะ? หม่อมฉัน…”
“นางเป็นสาวใช้ของเจ้า!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชาทุกถ้อยคำ
ทั่วป๋าหรงเฟยรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว สมองตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงส่ายหัวอย่างร้อนรนแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ได้ทำ ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าเรื่องมันเป็นมายังไง หม่อมฉัน…”
“เจ้าไม่ได้ทำ? งั้นใครทำ?” ฮ่องเต้ตรัสแทรกเสียงเย็น ไม่รู้ว่าคิดอะไรจึงทอดมองด้านล่าง
จิตใจของเหล่าขุนนางและท่านหญิงที่หวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรด้านล่างพร้อมใจกันหนาวสะท้าน
ในที่สุดสายตาของฮ่องเต้กลับไปหยุดอยู่ที่พี่น้องทั่วป๋าไหวอัน
มุมปากของพระองค์ยกยิ้ม แต่กลับแสดงอารมณ์ขัดกับรอยยิ้มโดยสิ้นเชิง เพียงตรัสอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นพี่ชายของนาง นางอธิบายไม่ได้ งั้นเจ้าพูดมา! ดูสิ่งที่คนโม่เป่ยอย่างเจ้าทำลงไป นางบอกว่านางไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือจะเป็นฝีมือเจ้างั้นรึ?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้าย!” ทั่วป๋าไหวอันหน้าเขียว รีบคุกเข่าลงกลางตำหนักทันที
ทั่วป๋าอวิ๋นจีก็ลุกออกมาคุกเข่าอยู่ข้างเขาอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน
ทั่วป๋าไหวอันกระวนกระวายใจเพราะคำถามของฮ่องเต้ แต่เทียบกับทั่วป๋าหรงเหยาแล้ว สถานการณ์ของเขายังถือว่าดีกว่ามาก ดังนั้นจึงรีบตั้งสติแล้วกล่าวอย่างจริงใจว่า “กระหม่อมมาด้วยพระบรมราชโองการของราชาแห่งโม่เป่ย มาพร้อมด้วยความจริงใจที่อยากจะเป็นทองแผ่นเดียวกันกับฝ่าบาทอย่างมากล้น อีกทั้งยังได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากฝ่าบาท กระหม่อมซาบซึ้งยิ่งนัก ไม่มีทางที่จะทำเรื่องทรยศเช่นนี้เด็ดขาด ขอฝ่าบาทโปรดสอบสวนโดยละเอียดและให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมด้วยพะยะค่ะ”
“ความเป็นธรรม!” ฮ่องเต้ยิ้มเย็นยะเยือก “แขกผู้มาเยือนจากโม่เป่ยอย่างเจ้ากล้าลงมือลอบสังหารข้าอย่างโจ่งแจ้งในงานเลี้ยงราชสำนักท่ามกลางคนมากมายในวันแบบนี้ เจ้ายังกล้ามาขอความเป็นธรรมจากข้าอีกรึ?”
“เอ่อ…” ทั่วป๋าไหวอันร้อนใจ
คนใกล้ชิดรอบกายทั่วป๋าหรงเหยาหลายคนไม่เพียงเป็นคนที่พามาจากโม่เป่ยเท่านั้น แต่ทุกคนยังเป็นคนเก่าแก่ที่ติดตามรับใช้นางมาหลายปี เวลานี้มีคนลงมือกับฮ่องเต้ในงานเลี้ยงอย่างโจ่งแจ้ง ความจริงข้อนี้ยากที่จะอธิบายอย่างชัดเจนจนพ้นข้อกล่าวหาได้
“ฝ่าบาท แต่อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ที่นี่ผู้คนมากมาย ก็ไม่แน่ว่าหรงเอียนอาจจะโดนซื้อตัวและใช้เป็นเครื่องมือไปแล้วก็เป็นได้พะยะค่ะ” ทั่วป๋าไหวอันตั้งสติตอบไป
“ซื้อตัว?” ไม่ต้องรอให้ฮ่องเต้เอ่ยปาก ซูหลินเหน็บแนมว่า “ทั่วป๋าไหวอัน ข้าว่าที่เจ้าพูดแบบนี้เพราะคนตายไปแล้วยังไงก็ฟื้นมาให้การไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจะใส่ร้ายหรือบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็ได้!”
ทุกวันนี้เขาเกลียดฉู่หลิงอวิ้นเข้ากระดูกดำ พอลองคิดดูอีกที ถ้าทั่วป๋าไหวอันไม่เข้ามาวุ่นวายตั้งแต่แรกล่ะก็ เขาคงไม่โดนบังคับให้ขอแต่งงานกับจวนอ๋องหนานเหอต่อหน้าธารกำนัล จนเกิดจนเรื่องฉาวโฉ่แบบนี้ขึ้นมาได้
ครั้งนี้ทั่วป๋าไหวอันเข้าไปพัวพันกับแผนการลอบปลงพระชนม์ เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ฉวยโอกาสนี้ซ้ำเติม
ทั่วป๋าไหวอันรู้ดีว่าเขาไร้มารยาท แต่สถานการณ์ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะตอบโต้ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการเลิกชายเสื้อขึ้นและคารวะฮ่องเต้อีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ตามที่ซื่อจื่ออ๋องฉางซุ่นกล่าวมา เรื่องในวันนี้คนตายไปแล้วก็พูดอะไรไม่ได้ นางคนนี้มาจากราชสำนักโม่เป่ย เรื่องนี้กระหม่อมปฏิเสธไม่ได้ แต่ไม่ควรให้เรื่องนี้กระทบความสัมพันธ์จนทำลายความปรารถนาดีที่ราชาของกระหม่อมมีต่อพระองค์ ฝ่าบาทเป็นผู้มีปรีชาสามารถ ได้โปรดตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวดด้วยพะยะค่ะ ยังไงความจริงก็ต้องปรากฏ หาตัวฆาตกรที่แท้จริง ล้างมลทินให้กระหม่อมและชาวโม่เป่ยด้วยพะยะค่ะ”
“ในเมื่อองค์ชายห้าพูดมาเช่นนี้ และที่นี่ก็เป็นสถานที่สำคัญของฝ่ายในราชสำนักซีเยว่ของข้า สิบกว่าปีมานี้ไม่เคยเกิดเรื่องราวเลวร้ายแบบนี้มาก่อน แต่หลังจากที่ชาวโม่เป่ยถวายตัวเข้าวังก็เกิดเหตุใหญ่โตเช่นลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทอย่างโจ่งแจ้ง…” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างเฉื่อยชาราวกับพูดลอยๆ แต่กระแสเสียงกลับไม่ได้มีความหวังดีแม้แต่น้อย
คนที่พูดคือ ฉู่อี้เจี่ยน
ถ้าจะเทียบเรื่องความเด็ดขาดและเข้มงวดกับคนอื่นแล้ว เขากลับเป็นคนสบายๆ ไม่เคร่งเครียด
ทุกคนต่างรู้ว่าองค์ชายเจี่ยนผู้นี้ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับขาจึงไม่ได้อยู่เมืองหลวงมานาน มีนิสัยเอาแต่ใจตน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าน้ำเสียงที่ตนเองพูดนั้นจะมีปัญหาตรงไหน
คำพูดที่คลุมเครือเช่นนี้ทำให้ทั่วป๋าไหวอันรู้สึกหวั่นเกรงอย่างรุนแรงในทันที…
และเพราะคำพูดที่คล้ายซ่อนยาพิษไว้นี้ทำให้ทุกอย่างพุ่งเป้ากลับไปที่ทั่วป๋าหรงเหยาอีกครั้ง
ทั่วป๋าหรงเหยารับได้แค่ไหน เขารู้ดีแก่ใจ ถ้าคนพวกนี้พุ่งเป้ามาที่เขาคนเดียว เขายังพอรับมือได้บ้าง…
แต่ทั่วป๋าหรงเหยานั้นไม่แน่
ฉู่อี้เจี่ยนยังพูดไม่จบ องค์ชายสี่ฉู่อี้ชิงรีบเอ่ยปากต่อทันทีว่า “อย่างนี้เรียกว่าอะไรนะ? คนต่างถิ่นไว้ใจไม่ได้! คนรอบตัวเสด็จพ่ออยากเข้าใกล้ยังทำได้ยาก และหลายปีมานี้ก็อยู่อย่างสงบสุขกันมาตลอด ตอนนี้มีมือสังหารโผล่ที่ตำหนักของหรงเฟย ทั้งยังเป็นคนที่เจ้าพามาจากโม่เป่ย เจ้ากลับพูดอยู่คำเดียวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับทางโม่เป่ยงั้นรึ? ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับโม่เป่ย งั้นจะเป็นฝีมือใครได้อีกเล่า? นอกจากคนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้าแล้ว ใครจะมีแรงจูงใจก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก?”
ไม่เหมือนกับฉู่อี้เจี่ยนที่พูดจาอ้อมค้อม เขาคนนี้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย
คนอื่นฟังแล้วทำเพียงแค่มองแต่ไม่พูดอะไรสักคำ…
โจวกุ้ยเฟยมารดาของฉู่อี้ชิงถูกถอดยศก็เพราะหรงเฟย เขาจะแค้นใจก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
“แค่เพราะข้าเป็นคนต่างถิ่น พวกเจ้าก็เชื่อสนิทใจว่าข้าจะทำร้ายฝ่าบาทงั้นรึ?” ทั่วป๋าหรงเหยาอดรนทนไม่ไหวจนโต้แย้งเสียงดัง
“ไม่มีใครบอกว่าเจ้าทำ!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่สบอารมณ์
ถึงเขาจะมีนิสัยร้ายลึกอยู่บ้าง แต่เวลาปกติที่ไม่ฉุนเฉียวก็มี อย่างวันนี้ถูกลอบปลงพระชนม์อย่างโจ่งแจ้ง ตัวพระองค์เองก็เดือดดาลมากพออยู่แล้ว ตรัสเพียงแค่ประโยคเดียว ถึงแม้ไม่รุนแรง แต่ก็ทำให้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงใจสั่นโดยพร้อมเพรียง
ทว่าเทียบกับเมื่อครู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าท่าทีที่พระองค์มีต่อทั่วป๋าหรงเหยาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
…………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น