ชายาเคียงหทัย 72.3-74.3

ตอนที่ 72-3 ตำหนักเหยาหวาไฟไหม้

 

“ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง! ไม่ดีแล้ว…” ในตำหนักติ้งอ๋อง หัวหน้าพ่อบ้านม่อที่ขึ้นชื่อว่าสุขุมเยือกเย็นมาตลอด มาตอนนี้กลับกำลังวิ่งขาขวิดไปทางห้องหนังสือของเรือนข้างที่อยู่ในเขตเรือนประมุข


 


 


           เฟิ่งจือเหยานั่งเอนไปข้างหนึ่งอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมหนึ่งของห้องหนังสือด้วยสีหน้าประหนึ่งรอคอยดูเรื่องสนุก เขายิ้มอย่างเกียจคร้านแล้วกล่าวว่า “อาเหยา หากทำให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อตกใจได้ถึงเพียงนี้ ดูท่าจะเป็นเรื่องไม่ดีจริงๆ เสียแล้ว…” เขายังไม่ทันพูดจบดี หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็วิ่งมาถึงที่หน้าประตูเสียแล้วพร้อมพูดกับม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าซีดขาวว่า “ท่านอ๋อง พระชายา…พระชายาหายตัวไปจากในวังพ่ะย่ะค่ะ!” เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป รีบกระโดดลุกขึ้นร้องถามว่า “เป็นไปได้อย่างไร อยู่ดีๆ จะหายตัวไปจากในวังได้อย่างไร” ทั้งสองต่างหันหน้าไปทางม่อซิวเหยาพร้อมกัน ม่อซิวเหยาดูจะตกใจจนสติหลุดไป จนเมื่อทั้งสองหันมามองตนแล้วจึงได้ค่อยๆ วางหนังสือกลับลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “เกิดอันใดขึ้น” หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยเสียงสั่นว่า “พระชายาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ตอนออกมาเยี่ยเจาอี๋ที่อยู่ตำหนักเหยาหวาก็ให้คนมาเชิญพระชายาไปพบพ่ะย่ะค่ะ บอกว่ามีเรื่องจะขอให้ช่วย แต่ตอนที่องครักษ์ลับไปถึงในวัง ตำหนักเหยาหวาก็ไฟลุกท่วมเสียแล้ว เยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายตายเสียในกองไฟ ส่วนพระชายา…พระชายาหายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           ม่อซิวเหยาเอนหลังพิงเก้าอี้รถเข็น หลับตาลงเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ชิงหลวนกับชิงอวี้ไปอยู่ที่ไหนเสีย”


 


 


           “ชิงหลวนกับชิงอวี้ก็ไม่รู้หายไปไหนพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยตอบเสียงขรึม “ชิงหลวนกับชิงอวี้ไม่ได้ตามพระชายาเข้าไปในตำหนักเหยาหวาด้วย แต่ว่า…องครักษ์ลับในวังหาพวกนางไม่พบพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “ดีมาก” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงต่ำ โดยไม่เจือแววโกรธ แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกหนาวสั่น ห้องหนังสือทั้งห้องประหนึ่งถูกอาบไปด้วยน้ำแข็ง เย็นเยียบไปถึงกระดูก “พระชายาหายตัวไป สาวใช้สองคนก็ไม่รู้หายไปไหน องครักษ์ลับในวังก็ไม่มีใครรู้เรื่องเลยสักคน ดีจริงๆ…ข้าควรชื่นชมว่าองครักษ์นี้ยึดมั่นในหน้าที่ของตนได้ดีจริงๆ สินะ”


 


 


           “ท่านอ๋องโปรดใจเย็นก่อน” สีหน้าเฟิ่งจือเหยาและหัวหน้าพ่อบ้านม่อต่างเปลี่ยนไป พร้อมกับคุกเข่าลงขออภัยอยู่ที่พื้น


 


 


           ม่อซิวเหยาไม่แม้แต่จะมองทั้งสองคน เพียงโบกมือเรียบๆ “ไปเตรียมตัวที ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้ เฟิ่งจือเหยา ลอบปิดทางออกจากเมืองหลวงทั้งหมดไว้ ข้าไม่อยากเห็นใครก็ตามที่น่าสงสัยออกไปจากเมืองหลวง” เฟิ่งจือเหยาลุกขึ้น “ข้าน้อยรับคำสั่ง” หัวหน้าพ่อบ้านม่อลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋อง สุขภาพของท่านตอนนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะ…” เขายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกม่อซิวเหยาปรายตามองมาทันที แววตาดุคมประหนึ่งคมมีดนั้น ทำให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อสะดุ้งไปทันที คำพูดที่เหลือจึงติดอยู่เพียงในลำคอ เฟิ่งจือเหยามือไว รีบดึงหัวหน้าพ่อบ้านม่อให้เดินออกไปด้านนอกทันที หัวหน้าพ่อบ้านม่อขมวดคิ้วไตร่ตรองไปมา ก่อนเอ่ยว่า “สุขภาพของท่านอ๋องตอนนี้จะให้รับความลำบากไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…นี่…” เรื่องที่พระชายาหายตัวไปเป็นเรื่องด่วนก็จริง แต่หากท่านอ๋องล้มไปอีกคน เช่นนั้นตำหนักติ้งอ๋องคงไม่ต้องรอให้ใครมาเล่นงานแล้ว คงได้จบสิ้นลงโดยเร็ว เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “นิสัยของท่านอ๋องเจ้าก็รู้ดี ตอนนี้พูดอันใดไปก็ไม่มีประโยชน์ รีบไปเชิญท่านเสิ่นมาเร็วเข้า ให้ดีให้ท่านเสิ่นตามท่านอ๋องเข้าวังไปด้วย”


 


 


           หัวหน้าพ่อบ้านม่อเองก็รู้ดีว่าที่เฟิ่งจือเหยาพูดมามีเหตุผล จึงได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วรีบเดินไปยังเรือนแขกที่ตอนนี้เสิ่นหยางอาศัยอยู่ชั่วคราว เฟิ่งจือเหยาหันกลับไปมองห้องหนังสือที่เงียบสงบไร้เสียงใดๆ ด้วยสายตาเป็นกังวล แต่ก็ได้แต่นึกทอดถอนใจและหวังว่าเยี่ยหลีจะปลอดภัยดี


 


 


           ในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยานั่งก้มหน้ามองมือทั้งสองที่วางอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้รถเข็นนิ่งอยู่ ด้วยเพราะเขาป่วยอยู่นาน ทำให้หลังมือที่ขาวซีดทั้งสองข้างมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่เป็นชั้นบางๆ ม่อซิวเหยามองมือตัวเองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ประหนึ่งไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของมือทั้งสองข้างของตน แล้วเกล็ดน้ำแข็งบนมือนั้น ก็ค่อยๆ ละลายกลายเป็นหยดน้ำ แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นควันอุ่นๆ ที่ลอยหายไปในอากาศของห้องหนังสือ เลือดสีเข้มค่อยๆ ไหลลงมาตามมุมปากของม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาก้มลงมองหยดเลือดที่หยดลงบนชุดสีฟ้าอ่อนของตน ก่อนค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวประดุจหิมะออกมาจากแขนเสื้อ แล้วค่อยๆ เช็ดเลือดออกจากมุมปาก “ม่อจิ่งฉี…เจ้า รน หา ที่ ตาย แล้ว!”


 


 


           ในวังตอนนี้ต่างต่างวุ่นวายกันยกใหญ่ ม่อจิ่งฉีสีหน้าบึ้งตึง มองทุกคนด้วยสายตาบ้าคลั่งที่เต็มไปด้วยความระแวงสงสัยและน่าสยดสยอง เยี่ยเย่ว์กับพระโอรสที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่วันถูกไฟคลอกตายนั้น เขาจะไม่สนใจก็ได้ แต่หากหนึ่งในนั้นมีชายาติ้งอ๋องอยู่ด้วยอีกคน เขาคงไม่สามารถอยู่เฉยได้ ม่อจิ่งฉีคาดไม่ถึงมาก่อนว่า ในวังของตนจะถูกคนเจาะเข้ามาได้ ถูกต้อง ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น สิ่งแรกที่เขาคิดคือมันจะต้องไม่ใช่การไฟไหม้จากอุบัติเหตุธรรมดาทั่วไป แต่เรื่องนี้จะต้องเป็นการวางแผนเพื่อเล่นงานตนอย่างแน่นอน หากชายาติ้งอ๋องเสียชีวิตอยู่ในวัง ทั้งยังเป็นตอนที่ตนเรียกให้เข้าเฝ้าด้วยแล้ว…ม่อจิ่งฉีไม่กล้าคิดเลยว่า หากกองทัพตระกูลม่อกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเกิดลุกฮือขึ้นมาด้วยเพราะเหตุผลนี้ จะมีคลื่นลูกใหญ่เพียงใดเกิดขึ้น ถึงแม้เขาให้คนที่ตนไว้ใจไปเตือนองครักษ์ที่ในเมืองหลวงไว้ตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่ในใจก็ยังคงว้าวุ่น ไม่สามารถทำให้สงบลงได้


 


 


           เมื่อมองเรื่อยไปถึงไทเฮาที่นั่งอยู่อีกด้าน สายตาของม่อจิ่งฉียิ่งดูซับซ้อนขึ้น หากถามว่าม่อจิ่งฉีนึกสงสัยใคร คนแรกที่เขานึกสงสัยก็คือเสด็จแม่ของตนเอง เขาเติบโตมาข้างกายไทเฮา เขาย่อมรู้นิสัยของนางดีว่าเสด็จแม่คนนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายแล้ว นางยอมทำทุกวิถีทาง ความรู้สึกของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนที่เคารพเลื่อมใส แต่ในตอนนี้กลับยากที่จะทานทน ม่อจิ่งฉีไม่อยากที่จะยอมรับว่า ตอนนี้เขายังนึกเกรงกลัวไทเฮาอยู่ด้วย


 


 


           เมื่อมองเลยไปยังม่อจิ่งหลีที่นั่งเฉยอยู่ประหนึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน ความโกรธในแววตาของม่อจิ่งฉีก็ค่อยๆ หายไป ตอนนี้เขาไม่อาจทำให้จิตใจของตนว้าวุ่นได้ เพราะหลังจากนี้ยังมีคนที่ยากจะรับมือด้วยยิ่งกว่าอยู่อีก แต่เขา…เป็นฮ่องเต้ เขาไม่อาจถอยหนีได้


 


 


           “ติ้งอ๋องขอเข้าเฝ้า!”


 


 


           ทุกคนในที่นั้น ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้พบม่อซิวเหยาเป็นช่วงเดือนหกปีที่แล้ว ซึ่งในตอนนั้นนอกจากเขาไม่สามารถลุกเดินได้แล้ว ม่อซิวเหยาดูเหมือนคนปกติทั่วไปทุกอย่าง ทำให้คนจำนวนไม่น้อยนึกเป็นกังวล แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน ก็มีข่าวว่าติ้งอ๋องป่วยหนัก และตำหนักติ้งอ๋องก็กลับไปปิดประตูตำหนักไม่ต้อนรับแขกดังเช่นที่ผ่านมา ซึ่งทำให้คนที่นึกหนักใจค่อยๆ วางใจลงได้ มาตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ช่วยต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศในเมืองหลวงยังมีลมเย็นพัดอยู่ ม่อซิวเหยานั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีอาจิ่นเป็นคนเข็นเข้ามา บนตัวมีเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนลายเมฆสีเงินห่มคลุมตัวมาด้วย บริเวณคอเสื้อที่โผล่พ้นออกมานั้นเห็นเป็นสีขาวปักลายมังกรสีเงิน เป็นชุดราชการของผู้มียศเป็นชินอ๋อง ถึงแม้ใบหน้าจะถูกหน้ากากบดบังไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงดูออกว่าสีหน้าของม่อซิวเหยาไม่สู้ดีนัก สีผิวที่ซีดขาวกว่าคนปกติทำให้ดูออกว่าเขายังป่วยอยู่


 


 


           “กระหม่อมติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยาถวายพระพรฝ่าบาท ฮองเฮา ถวายพระพรไทเฮา” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้


 


 


           บรรยากาศในตำหนักเป็นไปอย่างเคร่งขรึม ม่อจิ่งฉีปรับสีหน้าให้อ่อนลง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงดังกังวานว่า “ติ้งอ๋องไม่ต้องมากพิธี”


 


 


           ม่อซิวเหยาพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขออภัยที่กระหม่อมเสียมารยาท แต่กระหม่อมขอถามว่าชายาของกระหม่อมอยู่ที่ใด”


 


 


           ทุกคนในท้องพระโรงต่างหันมองหน้ากัน ม่อจิ่งฉีกวาดตามองไปทางไทเฮาและม่อจิ่งหลีที่สีหน้ายังคงคงเดิมและดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ แล้วแววตาเขาก็ขรึมลง แล้วจึงหันไปมองฮองเฮา ฮองเฮาหันมาสบตาม่อจิ่งฉีนิ่งๆ ก่อนจะนึกถอนใจในใจ แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ติ้งอ๋อง ตอนนั้นชายาติ้งอ๋องก็อยู่ในตำหนักเหยาหวาด้วยเช่นกัน เกรงว่าจะ…ขอท่านอ๋องอย่าได้เสียใจไป”


 


 


           “อย่าได้เสียใจหรือพ่ะย่ะค่ะ” ม่อซิวเหยากวาดตามองทุกคนในท้องพระโรงนิ่งๆ ก่อนเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ชายาของกระหม่อมรับพระบัญชาให้เข้าเฝ้า ตอนนี้ตัวนางหายไปไหนไม่รู้แต่พวกท่านมาบอกให้หระหม่อมอย่าเสียใจอย่างนั้นหรือ”


 


 


           “ตำหนักเหยาหวาเกิดไฟไหม้ เยี่ยเจาอี๋ องค์ชายหก และนางในของตำหนักเหยาหวาเราต่างก็พบศพกันหมดแล้ว ขาดก็เพียงชายาติ้งอ๋องเท่านั้น ติ้งอ๋องพูดถูก บางทีชายาติ้งอ๋องอาจจะโชคดีหนีไปได้ก็เป็นได้” ไทเฮาประทับยืนขึ้น ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เพียงแต่ตอนนี้…ชายาติ้งอ๋องหากยังมีชีวิตอยู่ก็ยังไม่พบตัว หากเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังไม่พบศพ ที่เกิดไฟไหม้ที่ตำหนักเหยาหวาคราวนี้…ดูแปลกอยู่มากจริงๆ”


 


 


           เยี่ยอิ๋งนั่งอยู่ข้างม่อจิ่งหลี นางร้องไห้จนตาแดงไปหมดเสียนานแล้ว ที่นางรู้สึกริษยาเยี่ยเย่ว์และเกลียดเยี่ยหลีนั้นเป็นความจริง แต่ไม่เคยคิดเลยว่า จู่ๆ จะต้องมาเสียพี่สาวทั้งสองคนไปพร้อมๆ กันเช่นนี้ อีกทั้ง เมื่อครั้งยังอยู่บ้านท่านแม่ เยี่ยเย่ว์ก็ดีกับนางมาก และครึ่งปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเยี่ยหลีก็ดีขึ้นไม่น้อย ชีวิตชายาในตำหนักหลีอ๋องนั้นทำให้นางได้เข้าใจอันใดที่หวังซื่อไม่เคยสอนอีกมากมาย ดังนั้น นางจึงรู้ดีว่า การเสียชีวิตของเยี่ยเย่ว์และเยี่ยหลีนั้นไม่เป็นผลดีกับนางเลย “ไทเฮา ฝ่าบาท ตำหนักเหยาหวาของพี่รองเหตุใดจึงได้เกิดไฟไหม้ขึ้นได้เพคะ แล้วเหตุใดพี่สามจึงบังเอิญไปอยู่ที่นั่นได้ ขอให้ไทเฮาและฝ่าบาทช่วยออกหน้าจัดการเรื่องนี้ให้พี่สาวทั้งสองด้วยเถิดเพคะ”


 


 


           ม่อจิ่งหลีปรายตามองเยี่ยหลี ก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ “จะโทษก็ต้องโทษที่เยี่ยหลีดวงไม่ดีเอง อยู่ในตำหนักอ๋องดีๆ ไม่ชอบ ดันออกมาเกะกะไปทั่ว ก็คงได้ฝังไปพร้อมกับเยี่ยเจาอี๋และองค์ชายหกพอดีมิใช่หรือ”


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างม่อจิ่งฉี เมื่อได้ยินม่อจิ่งหลีพูดจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “ความหมายของหลีอ๋องคือ มีคนต้องการทำร้ายเยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายหก ส่วนชายาติ้งอ๋องนั้นเพียงตกกระไดพลอยโจรไปด้วยอย่างนั้นหรือ” ม่อจิ่งหลียิ้มเยาะ “นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ ใครจะใจกล้าและมีความสามารถที่จะวางเพลิงฆ่าคนในวังได้ ทั้งยังทำให้เยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายหกเสียชีวิตคากองเพลิงไปได้อีก ใครจะไปรู้ เยี่ยหลีอาจไปเห็นอันใดเข้าแล้วอาจถูกฆ่าปิดปากไปด้วยก็เป็นได้มิใช่หรือ หากนางไม่ถูกไฟคลอกตาย ตอนนี้ก็น่าจะยังอยู่ในวังมิใช่หรือ”


 


 


           ม่อจิ่งฉีหรี่ตาลงจ้องม่อจิ่งหลี “หลีอ๋องมีความเห็นเช่นไร”


 


 


           ม่อจิ่งหลีหัวเราะ “กระหม่อมไม่มีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังหาทั้งตัวคนหรือศพของชายาติ้งอ๋องไม่พบ พวกเราก็ควรต้องอธิบายเรื่องนี้กับบรรดาขุนนางและประชาชนให้รู้ คงไม่อาจพูดได้ว่าชายาติ้งอ๋องหายตัวไปจากในวังเช่นนี้กระมัง หากทำเช่นนั้น อีกหน่อยจะมีภรรยาของขุนนางในราชสำนักคนใดกล้าเข้าวังอีกหรือ” ฮองเฮาขมวดคิ้ว “เช่นนั้นความหมายของหลีอ๋องคือ”


 


 


           “ทูลฮองเฮา ความหมายของกระหม่อมคือ ดีที่สุดคือให้เราลองหาในวังให้ทั่วก่อน หากชายาติ้งอ๋องยังมีชีวิตอยู่จริง ไม่แน่ว่าอาจจับมือคนวางเพลิงได้ด้วยอีกคนก็เป็นได้ คนของเรามีมากเช่นนี้ หากนั่งอยู่เฉยๆ มือวางเพลิงคงไม่ออกมาหาพวกเราหรอกจริงไหมพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าติ้งอ๋องคงคิดเห็นเช่นเดียวกับข้า ม่อซิวเหยาเจ้าว่าจริงหรือไม่”


 


 


           แน่นอนว่าม่อจิ่งฉีไม่นึกอยากให้ค้นวังหลังของตน แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เอ่ยเสนออย่างจริงจังของม่อจิ่งหลี กับสีหน้านิ่งเฉยอย่างเห็นด้วยของม่อซิวเหยาแล้ว ก็ทำให้เขาไม่อาจไม่เห็นด้วยได้ เขาคาดเดาได้เลยว่า ไม่ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ เรื่องนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องน่าขันที่กระจายไปทั่วต้าฉู่อย่างแน่นอน ม่อจิ่งฉีลอบนึกแค้นใจ น้องชายที่เขาโปรดปรานที่สุดมาตั้งแต่เล็กๆ มาตอนนี้กลับมาทำให้เขาไม่พอใจทุกครั้งที่มีโอกาส


 


 


           ม่อซิวเหยาไม่ได้ร่วมเข้าค้นหากับคนอื่นๆ ด้วย แต่ใช้เหตุผลที่ว่าตนสุขภาพไม่แข็งแรงขอพักอยู่ในตำหนักข้าง ในใจเขารู้ดีว่า คำว่าค้นหาของม่อจิ่งหลีนั้น ไม่มีทางหาเบาะแสอันใดที่เป็นประโยชน์เจออย่างแน่นอน แต่ที่ค้นออกมาได้คงมีแต่เรื่องเน่าเฟะภายในวังหลังของม่อจิ่งฉีอย่างแน่นอน หากเป็นเวลาปกติ เขาคงไม่รังเกียจที่จะตามไปดูด้วย แต่ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ที่ฝืนข่มทำอารมณ์เย็นพูดคุยกับคนพวกนั้นไม่กี่ประโยคก็ถือว่าเป็นขีดสุดของเขาแล้ว


 


 


           “ท่านอ๋อง สุขภาพของท่าน…” เสิ่นหยางและหัวหน้าพ่อบ้านม่อยืนอยู่ข้างหลังเขาซ้ายขวาคนละฝั่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยความกังวล


 


 


           ม่อซิวเหยายกมือขึ้นห้าม ก่อนส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร ไปบอกเฟิ่งจือเหยาให้เลิกค้นหาในวัง อาหลีไม่ได้อยู่ที่นี่”


 


 


           เสิ่นหยางเลิกคิ้วขึ้นถามว่า “ท่านอ๋องมั่นใจว่าพระชายายังมีชีวิตอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “ในเมื่ออาหลีเข้าไปพบเยี่ยเจาอี๋ ตอนนี้ก็ควรอยู่กับเยี่ยเจาอี๋ด้วย แม้แต่เถ้ากระดูกขององค์ชายหกยังหาพบแล้ว แต่อาหลีกลับหายไป…ด้วยฝีมือของอาหลีไม่มีทางที่จะหนีออกจากตำหนักเหยาหวาไม่ได้ เช่นนั้น…” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วใคร่ครวญ ตำหนักเหยาหวาเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ เผาทุกอย่างเสียจนราบคาบไปหมด ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอเงื่อนงำอันใด องครักษ์ลับไปถึงหน้าตำหนักเหยาหวาตั้งแต่ไฟเริ่มไหม้ แต่กลับไม่เห็นอาหลีออกมา อีกอย่าง ไฟที่ไหม้ตำหนักเหยาหวาลุกลามเร็วเกินไป…


 


 


           “ใครก็ได้”


 


 


           “ท่านอ๋อง” ประตูด้านข้างที่ไม่สะดุดตาของตำหนักข้าง มีขันทีอาวุโสคนนั้นที่หน้าตาท่าทางธรรมดาๆ ดูไม่มีอันใดผิดปกติปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู ยืนรอรับคำสั่งม่อซิวเหยาด้วยความเคารพ


 


 


           ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไปดูที ตำหนักเหยาหวามีทางลับหรือค่ายกลห้องลับอันใดหรือไม่ อีกอย่าง ก่อนที่เยี่ยเจาอี๋จะเสียชีวิต นางใกล้ชิดกับใครบ้าง สุดท้าย…ให้คนที่รู้เรื่องการแพทย์ไปดูศพของเยี่ยเจาอี๋และองค์ชายหกด้วย”


 


 


           ขันทีอาวุโสดูจะไม่แปลกใจกับคำสั่งของม่อซิวเหยาเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นยังคงราบเรียบ ก่อนเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยรับคำสั่ง จะทำตามคำสั่งท่านอ๋องไม่ให้ตกหล่นพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           ม่อซิวเหยาส่งเสียเหอะเล็กน้อย ก่อนพูดเรียบๆ ว่า “ครั้งนี้ข้าจะไม่สืบสาวหาความต่อ แต่หากเรื่องที่เหลือยังทำได้ไม่ดีล่ะก็ พวกเจ้าก็ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”


 


 


           “ขอบคุณท่านอ๋อง ข้าน้อยขอตัวก่อน”


 


 


           อาหลี ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร…ไม่มีทางเป็นอะไร! 

 

 


ตอนที่ 73-1 ชีวิตนักโทษที่แสนสบาย

 

        เยี่ยหลีรู้สึกตัวขึ้นในความมืด รู้สึกเพียงหน้าผากที่ปวดตุบๆ เยี่ยหลีอดยิ้มขื่นๆ ออกมาไม่ได้ นางประมาทเอง ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าม่อจิ่งฉีเกรงกลัวตำหนักติ้งอ๋อง แต่ยังมั่นใจว่าเขาไม่มีทางทำอันใดชายาติ้งอ๋องในเขตวังหลวงอย่างแน่นอน แต่ที่นางคิดไม่ถึงคือ เยี่ยเย่ว์จะลงมือกับนาง เยี่ยหลีไม่ได้ลืมตาขึ้นในทันที นางนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงสักพัก เมื่อแน่ใจว่ารอบกายตนเองไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น


 


 


           ดูเหมือนสถานการณ์จะดีกว่าที่คาดเดาไว้มากนัก อย่างน้อยนางก็ไม่ได้ถูกขังอยู่ในห้องขังที่มืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่กลับได้มาอยู่ในห้องที่ดูไปแล้วตกแต่งได้ไม่เลวทีเดียว ภายในห้องตกแต่งตามแบบฉบับที่คุณหนูในเมืองหลวงชื่นชอบ ของที่วางประดับอยู่ภายในห้องก็ล้วนเป็นของมีราคาดูหรูหรา แม้แต่ผ้าโปร่งที่ติดไว้ตรงหน้าต่างยังเป็นผ้าโปร่งเยียนหลัวที่บรรดาคุณหนูในเมืองหลวงชื่นชอบเป็นที่สุด เยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งพิงเสาเตียงแล้วได้แต่ยิ้มขื่นๆ นางรู้สึกว่าร่างกายตนเบาโหวง ดูท่า เยี่ยเย่ว์คงใส่ยาพิษที่มีฤทธิ์รุนแรงลงไป ถึงว่าอีกฝ่ายกล้าจับตัวนางมาอยู่ในห้องที่ไม่มีการคุ้มกันใดๆ เลย แม้แต่ผู้คุมสักคนก็ยังไม่มี คงมั่นใจว่าตอนนี้ร่างกายของนางจะไร้เรี่ยวแรง เกรงว่าแค่จะเดินไปให้ถึงประตูยังจะลำบากเลยกระมัง


 


 


           มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นด้านหลังม่านบังตา ก่อนที่ประตูจะถูกคนผลักออก พร้อมกับเด็กสาวในชุดสีเขียวยกบางอย่างเข้ามาข้างใน เมื่อเห็นเยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งอยู่ที่ขอบเตียง นางจึงยิ้มอย่างยินดี “แม่นาง ท่านฟื้นเสียที”


 


 


           เยี่ยหลีมองนาง ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่นี่คือที่ใดกัน ข้าหลับไปนานเท่าไร”


 


 


           เด็กสาวในชุดสีเขียววางของในมือลงบนโต๊ะด้านข้าง นางยิ้มและพูดว่า “แม่นางมาที่นี่ก็หลับไปได้สองวันกว่าแล้ว แม่นางไม่มีอาหารตกถึงท้องมาสองวันคงจะหิวแล้วเป็นแน่ เสี่ยวอวิ๋นเตรียมโจ๊กไว้ให้ แม่นางจะรับก่อนหรือไม่” เยี่ยหลีมองเด็กสาวยกโจ๊กที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ มาไว้ตรงหน้าเยี่ยหลีนิ่งๆ เยี่ยหลีพยายามยกมือพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “ข้าเป็นเช่นนี้จะกินได้อย่างไร” ที่ตอนนี้นางสามารถนั่งอยู่ได้ด้วยเพราะอาศัยว่านั่งพิงเสาอยู่ แม้แต่แรงที่จะยกมือยังรู้สึกว่าต้องใช้กำลังอย่างมาก แล้วจะมือหนึ่งถือถ้วยมือหนึ่งกินไปได้อย่างไร เด็กสาวในชุดสีเขียวยิ้มให้เยี่ยหลีอย่างรู้สึกผิด “เสี่ยวอวิ๋นลืมไป เสี่ยวอวิ๋นป้อนแม่นางก็แล้วกัน”


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เช่นนั้นรบกวนแม่นางแล้ว”


 


 


           “เสี่ยวอวิ๋นเป็นเพียงสาวใช้ที่ไว้คอยเรียกใช้งานเท่านั้น แม่นางไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้หรอก” สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวอวิ๋นหัวเราะได้อย่างน่าเอ็นดู นางนั่งอยู่ข้างเตียวแล้วยกถ้วยโจ๊กขึ้นป้อนเยี่ยหลีด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้เยี่ยหลีจะไม่ชอบใจที่ตนถูกดูแลประหนึ่งคนป่วยหนัก แต่นางจะไม่มีทางทรมานเองเด็ดขาด หิวมาสองวันแต่ไม่ยอมกินข้าวด้วยเพราะกลัวเสียหน้านั้น ถือเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ส่วนสาวใช้ที่บอกว่าตนเองเป็นสาวใช้ที่ไว้คอยเรียกใช้คนนี้ หากนางเชื่อว่านางเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาๆ นางคงซื่อบื้อเต็มทน


 


 


           เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว พละกำลังของเยี่ยหลียังคงไม่กลับมา เสี่ยวอวิ๋นเรียกสาวใช้อีกคนให้เข้ามาเก็บชามกับตะเกียบออกไป ส่วนตนเองกลับเดินไปเดินมาทำนั่นทำนี่อยู่ในห้อง เยี่ยหลีมองท่าทางเหมือนยุ่งวุ่นวายแต่จริงๆ แล้วไม่ได้ทำอันใดของนางแล้วจึงได้พูดขึ้นเรียบๆ ว่า “หากเจ้าไม่รู้จะทำอันใดจะหาที่นั่งนั่งลงก็ได้นะ เจ้าเดินไปเดินมาเช่นนี้ข้าเวียนหัวไปหมด” เสี่ยวอวิ๋นไม่มีท่าทีประดักประเดิดที่ตนถูกจับได้เลยแม้แต่น้อย นางหัวเราะแหะๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายของพวกเรากลัวว่าแม่นางอยู่คนเดียวแล้วจะเบื่อ เลยอยากให้เสี่ยวอวิ๋นมาอยู่เป็นเพื่อน” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “คุณชายของพวกเจ้ามีน้ำใจแล้ว ฝากขอบคุณเขาแทนข้าด้วย” เสี่ยวอวิ๋น พยักหน้า ก่อนกะพริบตาปริบๆ อย่างขี้เล่น “ได้ยินคุณหนูพูดเช่นนี้ คุณชายจะต้องดีใจมากแน่ๆ”


 


 


           เยี่ยหลีเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอันใด นางนั่งพิงหัวเตียงอยู่เงียบๆ ฟังเสี่ยวอวิ๋นพูดนั่นเล่านี่ให้ฟังโดยไม่ได้เอ่ยขัด สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวอวิ๋นคนนี้คงได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเป็นแน่ หากคิดจะเค้นอันใดออกจากปากนางคงเป็นไปได้ยาก และมีแต่จะทำให้นางนึกระวังตัวขึ้น ในเมื่อตอนนี้นางยังไม่มีแรงที่จะขยับร่างกาย เยี่ยหลีจึงไม่คิดที่จะเหนื่อยทำเช่นนั้น


 


 


           นางอยู่ในห้องอย่างสงบเรียบร้อยมาอีกสองวัน แววตาระแวดระวังและป้องกันตัวที่หลบซ่อนอยู่ในสายตาที่แม่นางเสี่ยวอวิ๋นมองเยี่ยหลีก็เริ่มหายไปทีละน้อย เมื่อกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างใจลอยว่า “ข้าอยากออกไปเดินเล่นเสียหน่อย ได้หรือไม่ ข้านอนมาสองวันจนรู้สึกว่าร่างกายจะแข็งเป็นหินอยู่แล้ว”


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนตอบตกลง เรียกสาวใช้สองคนให้เข้ามาช่วยประคองเยี่ยหลีออกไปเดินวนอยู่ในสวน


 


 


           หลังจากผ่านไปสองวัน ในที่สุดเยี่ยหลีก็ได้ก้าวออกจากห้องเสียที จึงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับอากาศใหม่ๆ จากเดิมที่นึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก็รู้สึกดีขึ้นมากทันที ปล่อยให้สาวใช้ทั้งสองคนประคองตนเดินเล่นในสวนดอกไม้เล็กๆ เยี่ยหลีมองสำรวจเรือนหลังนี้ไปเรื่อยเปื่อย เรือนหลังนี้ไม่ใหญ่นัก นางมองเห็นกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาที่ดูจะเพิ่งแตกหน่อใหม่ เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พยุงข้าไปนั่งในสวนหน่อยเถิด คุณชายของพวกเจ้าตอนนี้ไม่อยู่หรือ” เยี่ยหลีชี้ไปยังโต๊ะม้าหินที่อยู่ด้านหน้า สาวใช้ทั้งสองดูจะได้รับการกำชับมาก่อนแล้ว พวกนางตอบรับสัญญาณมือของเยี่ยหลี ก่อนจะพยุงนางไปนั่งลงข้างโต๊ะม้าหิน แต่ไม่ยอมเปิดปากตอบคำถามนาง ซึ่งเยี่ยหลีไม่ได้สนใจ นางเอนตัวพิงเข้ากับโต๊ะแล้วกวาดตามองสำรวจต้นไม้ต่างๆ ภายในสวน


 


 


           ตอนนี้เพิ่งเข้าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิจึงยังไม่มีภาพดอกไม้ที่แข่งกันอวดโฉมจนบานสะพรั่งไปทั่ว พื้นที่ทางตอนเหนือหนาวเย็นกว่าพื้นที่ทางตอนใต้ ต้นไม้หลายชนิดเพิ่งกำลังจะแตกหน่อ เยี่ยหลีทำทีเป็นสนใจดอกไม้เล็กๆ ที่เหลืองกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในแปลงดอกไม้และอยู่ใกล้กับตัวนางที่สุด นางโน้มตัวลงยื่นมือจะไปเด็ด ก็มีมือเรียวที่เย็นเล็กน้อยยื่นมาคว้ามือนางไว้ เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นเสี่ยวอวิ๋นที่จู่ๆ นางก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เสี่ยวอวิ๋นหัวเราะ “แม่นาง ดอกไม้เล็กๆ พวกนี้ดูสวยงามก็จริง แต่พวกมันมีพิษ ดังนั้นถ้าจะให้ดีท่านอย่าไปแตะต้องพวกมันเลย”


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว มองดอกเล็กๆ ที่อยู่กันเป็นกลุ่ม “ข้าเห็นว่าทั้งสวนดอกไม้นี้มีเพียงดอกนี้ที่บานแล้ว ถึงแม้จะดูไม่สะดุดตาแต่กลับดูงดงามนัก ไม่คิดว่ามันจะมีพิษ”


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นพูดด้วยท่าทีภาคภูมิใจว่า “บางครั้งดอกไม้ที่ดูไม่สะดุดตา ก็ยิ่งมีพิษที่รุนแรง เทียบกับดอกไม้ที่สีสันสวยสดสะดุดตา แค่มองก็ทำให้คนรู้สึกระแวดระวังตัวแล้วนั้น ดอกไม้ที่ไม่สะดุดตาประเภทนี้ต่างหาก ถึงจะเป็นลูกรักที่แท้จริง” เยี่ยหลีอมยิ่มพร้อมส่ายหน้า “ดอกไม้ที่มีพิษจะถือว่าเป็นลูกรักได้อย่างไร หากแม่นางเสี่ยวอวิ๋นชื่นชอบดอกไม้ ที่ตำหนักของข้ามีปลูกดอกหลันพันธุ์ดีไว้สามสี่กระถาง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกไม้บานพอดี ไว้ข้าจะยกให้เสี่ยวอวิ๋นกระถางหนึ่ง” ดวงตาของเสี่ยวอวิ๋นมีประกายตาแปลกๆ ขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “เสี่ยวอวิ๋นลืมไปเลย ฐานะของแม่นางสูงศักดิ์ ย่อมไม่นึกชอบของที่ไม่สะดุดตาพวกนี้ เพียงแต่ดอกไม้ทั้งหลายที่อยู่ในสวนนี้ล้วนมีอันตราย หากแม่นางชอบ พรุ่งนี้เสี่ยวอวิ๋นจะให้คนมาเปลี่ยนดอกไม้ในสวนให้เป็นดอกไม้ที่แม่นางชอบแทน”


 


 


           เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมส่ายหน้า “เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ดอกไม้ดอกหญ้าที่แปลกตา ก็มีความสวยงามเฉพาะตัวของมัน ดอกไม้ดอกหญ้าทั่วไปก็มีความธรรมดาในแบบของมัน” อีกอย่างข้าก็ไม่ได้คิดที่จะอยู่ที่นี่นานอยู่แล้ว ดังนั้นคงไม่ต้องลำบากเจ้าให้ต้องรื้อสวนดอกไม้นี่ใหม่หรอก”


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นยิ้ม “คุณชายได้สั่งไว้ว่าให้พวกบ่าวดูแลแม่นางให้ดี แม่นางชื่นชอบสิ่งใดบอกเสี่ยวอวิ๋นมาได้เลย หากให้คุณชายรู้ว่าแม่นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไม่สะดวกไม่สบายแล้ว บ่าวคงแย่แน่”


 


 


           ดวงตาคู่งามของเยี่ยหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะยังไม่เคยพบคุณชายของเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณเขา ถ้าเช่นนั้น…เดิมทีข้ามีนัดกับ…สามีของข้าว่าปีนี้จะไปดูดอกเถาด้วยกัน ตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่ได้ไปแน่แล้ว ข้ารบกวนแม่นางหน่อยได้หรือไม่ หากดอกเถาเริ่มบานสะพรั่งแล้ว แม่นางช่วยเด็ดกลับมาให้ข้าสักสามสี่ดอกได้หรือไม่” เสี่ยวอวิ๋นดูจะคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เยี่ยหลีร้องขอจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ เช่นนั้น จึงยิ้มรับอย่างใจกว้าง “ย่อมได้สิ เสี่ยวอวิ๋นรับประกันว่าแม่นางจะต้องได้ดูดอกเถาที่บานเป็นดอกแรกของปีนี้อย่างแน่นอน แม่นางอยากได้อันใดอีก เสี่ยวอวิ๋นจะให้คนนำกลับมาให้พร้อมกันเลย” เมื่อเห็นเสี่ยวอวิ๋นรับปากในสิ่งที่นางขอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีจึงดูจริงใจขึ้นมาก “หากเป็นไปได้ช่วยข้านำแป้งกลับมาได้ด้วยหรือไม่ ข้าอยากได้แป้งจากร้านที่ดีที่สุด แป้งที่มีกลิ่นดอกม่อลี่ก็แล้วกัน”


 


 


           “ดอกม่อลี่หรือ” เสี่ยวอวิ๋นอึ้งไป เยี่ยหลีจึงหัวเราะอย่างรู้สึกผิด “ดอกไม้ประเภทนี้ค่อนข้างธรรมดา แต่ข้าชอบกลิ่นหอมประเภทนี้ รบกวนแม่นางเสี่ยวอวิ๋นแล้ว”


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่หรอก หากเป็นของที่แม่นางต้องการ เสี่ยวอวิ๋นจะหากลับมาให้แม่นางให้ได้”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “เช่นนั้นรบกวนแม่นางด้วย”


 


 


           เมื่อมองส่งเสี่ยวอวิ๋นไปแล้ว เยี่ยหลีจึงนั่งพิงโต๊ะหินสบายๆ สูดหายใจเข้าออกรับอากาศบริสุทธิ์ ในดวงตาที่มีรอยยิ้ม ค่อยๆ เลื่อนไปยังดอกไม้ดอกหญ้าในแปลงดอกไม้ที่ดูน่าหดหู่พวกนั้น แล้วรอยยิ้มในแววตาของนางก็ยิ่งมีความยินดีมากขึ้น 

 

 


ตอนที่ 73-2 ชีวิตนักโทษที่แสนสบาย

 

ในห้องหนังสือตำหนักติ้งอ๋อง


 


 


           ม่อซิวเหยามองม้วนกระดาษที่กางอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเงยหน้าขึ้นถามเฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งว่า “ในวังมีข่าวอันใดหรือไม่”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนในวังได้ลองสืบค้นในตำหนักเหยาหวาดูแล้ว ตำหนักเหยาหวาเป็นตำหนักที่เพิ่งสร้างใหม่ในสมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน ไม่มีทางลับใดๆ แต่สระบัวในตำหนักเหยาหวาไม่ใช่สระบัวที่ขุดขึ้น มีทางเชื่อมกับแม่น้ำในวัง องครักษ์ลับสงสัยว่าพระชายาจะถูกพาตัวไปทางน้ำ อีกอย่าง…น่าจะเป็นก่อนที่ตำหนักเหยาหวาจะเกิดไฟไหม้ขึ้น”


 


 


           “มีอีกหรือไม่”


 


 


           “เรื่องศพของเยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายหก ถึงแม้ร่างจะโดนเผาไปจนไม่เหลือใบหน้าแล้ว แต่องครักษ์ที่ลอบเข้าไปตรวจดูยืนยันว่าศพของผู้หญิงนั่นไม่ใช่เยี่ยเจาอี๋ ส่วนองค์ชายหก…หากเยี่ยเจาอี๋เป็นตัวปลอม องค์ชายหกก็น่าจะมีโอกาสมีชีวิตอยู่กว่าครึ่ง”


 


 


           ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงเย็น “ดีมาก ในวังมีคนตายสองคน หายตัวไปห้าคนรวมถึงเยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายหกด้วย แต่องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องกลับไม่รู้อันใดเลย”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาได้แต่ลอบถอนใจ ตั้งแต่ที่พระชายาหายตัวไป สีหน้าท่าทางของท่านอ๋องก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปทุกที เพียงแค่คำพูดเรียบๆ ไม่กี่ประโยค ที่ไม่เจือแววโกรธเอาเสียเลยนั้น แต่เมื่อฟังดูแล้วกลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง มิน่าคนอื่นจึงไม่ยอมเข้ามากัน เอาแต่ดันเขาให้เข้ามารับโทษตายอยู่คนเดียว “ในเมืองหลวงคนพวกนั้นมีความเคลื่อนไหวอันใดหรือไม่”


 


 


           “ม่อจิ่งฉีให้คนออกไปลอบค้นหาไปทั่ว คิดว่าเขาก็คงไม่รู้ว่าพระชายาไปอยู่ที่ใดเช่นกัน ส่วนม่อจิ่งหลี่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งนั้น วันนั้นพอออกจากวังมาก็ตรงกลับตำหนักทันที หลายวันนี้ทุกอย่างเป็นปกติ อันใดที่ควรทำก็ทำ ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน ช่วงนี้ทั้งในและนอกเมืองหลวงต่างก็ไม่มีคนน่าสงสัยเข้าออก” เยี่ยหลีประหนึ่งหายตัวไปในอากาศ ไม่พบร่องรอยอันใดเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งจือเหยาก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนใจกล้าขนาดวางเพลิงตำหนักในวัง และจับตัวชายาติ้งอ๋องไป เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เมื่อตอนที่พวกเขาคิดจะหาเบาะแสอันใด เบาะแสทั้งหมดก็หายไปเสียแล้ว


 


 


           ”หากเยี่ยเย่ว์ยังไม่ตาย จะต้องยังอยู่ในวังแน่นอน ข้าจะต้องเจอนางภายในสามวัน จะซ่อนผู่ใหญ่สักคนไว้ในวังอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่กับเด็กทารกที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว คงไม่ง่ายเช่นนั้น” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึมขึ้น


 


 


           “น้อมรับคำสั่ง” เพิ่งจือเหยารับคำสั่งไปด้วยความเคารพ เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…องครักษ์ข้างกายพระชายา องครักษ์ลับหนึ่ง สอง สาม และสี่ต่างหายตัวไปกันหมด”


 


 


           ม่อซิวเหยาอึ้งไป “หายตัวไปหรือ”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “เพิ่งเกิดเมื่อสองวันนี้ หลังจากพระชายาหายตัวไปพวกเขาไปขอรับโทษจากหัวหน้าองครักษ์ลับ แต่เพราะยังหาตัวพระชายาไม่เจอ ตอนนี้จึงได้รั้งรอไว้ก่อน แต่เช้ามาวันนี้กลับพบว่าพวกเขาทั้งสี่คนหายตัวไปแล้ว” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่างเรื่องพวกเขาไปก่อน”


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


 


 


           ณ สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งนอกเมืองหลวงต้าฉู่


 


 


           เยี่ยหลีนั่งเบื่อจ้องมองต้นเถาที่เพิ่งปลูกใหม่อยู่ในแปลงดอกไม้อย่างเหม่อลอย ทุกวันนางอยู่แต่กับสาวใช้ที่เหมือนเป็นใบ้ไม่พูดไม่จา คอยยืนรอรับคำสั่งของนางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เยี่ยหลียื่นมืออกไปเด็ดดอกไม้ที่ยังไม่บานออกมาจากต้นเถา นางเบ้ปากพร้อมดึงดอกหญ้าข้างๆ เล่น นางมาอยู่ที่นี่ได้ห้าวันแล้ว และเป็นดังเช่นที่เสี่ยวอวิ๋นได้เคยพูดไว้ว่า นางจะได้รับการดูแลอย่างดี นอกเสียจากเรื่องที่ว่า สาวใช้เสี่ยวอวิ๋นนั้นใส่ยาให้นางในอาหารอยู่ทุกวันไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ การที่นางจะต้องใส่ยาในอาหารทุกมื้อนั้น หมายความว่าฤทธิ์ยานั้นอยู่ได้ไม่นานนัก แต่สิ่งที่สาวใช้เสี่ยวอวิ๋นที่เชี่ยวชาญเรื่องยายังไม่รู้นั่นคือมีบางคนที่มีความสามารถในการต้านฤทธิ์ยาที่น่าตกใจ บางทีนางอาจจะรู้ แต่นางอาจไม่คิดว่าเยี่ยหลีจะเป็นหนึ่งในนั้น ถึงแม้ร่างกายเยี่ยหลีในตอนนี้จะไม่เหมือนแต่ก่อนที่ผ่านการฝึกต้านฤทธิ์ยาพิษโดยเฉพาะมา แต่ตั้งแต่ที่นางรู้ว่าจะต้องแต่งงานเข้าตำหนักอ๋อง นางก็ได้ฝึกฝนและดูแลเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นและนายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังนางดูจะไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายนางจริงๆ ดังนั้นยาที่ใส่ให้นางกินจึงเป็นยาที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่นั่นก็หมายความว่าความคงทนของฤทธิ์ยาและผลของมันอาจไม่ดีเท่าไรนัก แต่สำหรับคนทำธรรมดาทั่วไปก็ถือว่ามากพอแล้ว ตอนนี้ความห่างระหว่างช่วงเวลาที่เสี่ยวอวิ๋นใส่ยาให้นางนั้น นางสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม แต่ว่าเยี่ยหลีไม่ได้รีบร้อนที่จะหนีออกไป เพราะถึงแม้ตามปกตินางจะเห็นเพียงเสี่ยวอวิ๋นกับสาวใช้ที่ไม่ยอมพูดยอมจาสองสามคน แต่นางยังรู้สึกได้ว่ายังมีอีกหลายคนที่จับจ้องนางอยู่ หากนางที่เพิ่งฟื้นจากฤทธิ์ยาแล้วคิดจะหนีออกไปทันที คงเป็นเรื่องยากไม่น้อย


 


 


           “แม่นาง ได้ยินว่าวันนี้ไม่ได้กินอันใดเลยหรือ เป็นเพราะพวกบ่าวทำไม่ถูกปากแม่นางหรือเปล่า” เสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวขึ้นที่สวนดอกไม้ นางมองเยี่ยหลีที่กำลังเด็ดหญ้าต้นเล็กๆ ออกพร้อมหางตาที่กระตุกเล็กน้อย “แม่นาง เรื่องนั้น…” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น ชูต้นหญ้าในมือขึ้นให้นางดู “เจ้าพูดถึงเจ้าพวกนี้หรือ พวกมันมาโตที่นี่เดี๋ยวจะทำให้ต้นเถาโตช้า ข้าจึงมาดึงออกให้เรียบร้อย ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ว่างๆ อยู่แล้ว แม่นางเสี่ยวอวิ๋นมีเรื่องอันใดหรือเปล่า”


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นมองต้นหญ้าที่ถูกเยี่ยหลีดึงออกมากองไว้ที่พื้นอย่างไม่สนใจไยดีด้วยความเสียดาย นางฝืนยิ้ม “หากแม่นางไม่ชอบข้าให้คนมาจัดการให้ก็ได้ จะให้แม่นางลงมือทำด้วยตัวเองได้อย่างไร เสี่ยวอวิ๋นให้คนทำขนมมาให้ แม่นางอยากลองสักหน่อยหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ที่นี่น่าเบื่อไม่น้อยจริงๆ วันวันหนึ่งข้าไม่ได้ทำอันใดเลยจะกินอันใดลงได้อย่างไร กลับไปรายงานคุณชายของเจ้าทีได้หรือไม่ว่า ว่าข้ารบกวนมานานแล้ว ควรถึงเวลาต้องบอกลาเสียที”


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “ตอนนี้คุณชายไม่อยู่ที่จวน ต่อให้เสี่ยวอวิ๋นใจกล้าเพียงใดก็คงไม่อาจปล่อยแขกของคุณชายไปโดยพลการได้ ดังนั้นหากแม่นางต้องการที่จะบอกลา เกรงว่าคงต้องรอให้คุณชายกลับมาก่อน”


 


 


           “ข้ารู้แล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ “สองสามวันนี้ข้าไม่ค่อยอยากกินอันใดเท่าไร ขนมนั่นข้าก็คงไม่กิน แม่นางเสี่ยวอวิ๋นท่านไปทำงานอย่างอื่นเถิด”


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นมองเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ ประหนึ่งกำลังใคร่ครวญว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงหรือไม่ สุดท้ายนางก็พยักหน้า “ถ้าเช่นนี้ หากแม่นางหิวแล้วข้าค่อยให้คนนำเข้ามาให้ก็แล้วกัน หากคุณชายกลับมาแล้ว ข้าจะรีบเชิญคุณชายให้มาพบท่านทันที” เสี่ยวอวิ๋นโค้งตัวก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป เยี่ยหลีมองตามร่างที่เดินจากไปของนาง ในดวงตาปรากฏแววประกายเย็นขึ้นแวบหนึ่ง มือที่เด็ดดึงหญ้าอยู่ยิ่งเด็ดเร็วขึ้นไปอีก


 


 


           ในขณะที่เยี่ยหลีดึงหญ้าจนโกร๋นไปได้ครึ่งสวนนั้น เสี่ยวอวิ๋นก็เข้ามาเชิญเยี่ยหลีให้ไปพบคุณชายของตนด้วยใบหน้าที่ยิ้มไม่ออก เยี่ยหลีทิ้งหญ้าในมือลงทันที พร้อมปัดเศษดินที่ติดมืออยู่ออก ก่อนให้สาวใช้ทั้งสองเข้ามาพยุงนางเดินตามหลังเสี่ยวอวิ๋นไป เยี่ยหลีถูกพยุงมายังห้องอันว่างเปล่าที่ห่างจากห้องของนางไปไม่ไกลนัก เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นเงาคนรูปร่างใหญ่โตกำลังนั่งอยู่หลังม่านบังตาที่โปร่งแสงเล็กน้อย สาวใช้ทั้งสองพยุงนางมานั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะล่าถอยออกไปอย่างนอบน้อม เสี่ยวอวิ๋นตวัดสายตาโกรธๆ ใส่เยี่ยหลีทีหนึ่งก่อนจะล่าถอยออกไปอีกคน ก่อนออกไปยังไม่ลืมที่จะปิดประตูลงด้วย เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นางเดาว่าสาวใช้เสี่ยวอวิ๋นนั่นคงทนนางไปได้อีกไม่นาน เพราะหากให้เวลานางอีกสองวัน นางคงได้ถอนหญ้าแสนรักของนางจนหมดสวนเป็นแน่


 


 


           “มีอันใดน่าขันหรือ” มีเสียงต่ำๆ ของชายหนุ่มดังลอยมาจากหลังม่านบังตา


 


 


           เยี่ยหลีนั่งพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมองเงาของชายหนุ่มที่เห็นเพียงลางๆ “อารมณ์ดีจึงอยากหัวเราะ”


 


 


           “อารมณ์ดีหรือ เจ้าไม่นึกกังวลเลยหรือ หรือว่าเจ้าไม่อยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “หากคิดจะฆ่าข้าคงฆ่าไปนานแล้ว เหตุใดจะต้องให้เสียเวลากันทั้งสองฝ่ายด้วยเล่า ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่…จะว่าไป การที่ท่านสามารถนำตัวข้าออกมาจากวังได้โดยไม่มีผีสางเทวดาเห็นเลยนั้น แสดงว่าท่านคงมีฝีมือไม่น้อย” ชายหนุ่มผู้นั้นก็ดูอารมณ์ดีไม่น้อย เขาหัวเราะเบาๆ “เอาตัวเจ้าออกมาจากวังนั่นไม่ท่าไร นี่ก็ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว เจ้ายังอยู่ใกล้เมืองหลวงเพียงแค่นี้ แต่…ไม่ว่าจะเป็นสามีไร้สมรรถภาพของเจ้าหรือท่านผู้สูงส่งในวังนั้น ก็ยังหาเจ้าไม่พบแม้แต่ชายเสื้อเลยมิใช่หรือ” เยี่ยหลียักไหล่ “เอาเถิด หากพูดเรื่องนี้ท่านก็มีความสามารถจริงๆ แต่เรื่องที่ท่านสามารถทำให้เยี่ยเย่ว์เล่นงานข้าลับๆ ได้ ครั้งนี้ข้าเดาว่าคงไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด”


 


 


           ชายผู้นั้นส่งเสียงเหอะเบาๆ “บุตรสาวตระกูลเยี่ยไม่ว่าดูภายนอกจะฉลาดหรือโง่ ต่างก็ชอบคิดเองเออเองกันทั้งนั้น เรื่องที่อยากให้นางช่วยนั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงอันใดเลย เยี่ยหลี เจ้าลองเดาดูสิว่าตำหนักติ้งอ๋องจะประกาศข่าวการตายของเจ้าเมื่อไร”


 


 


           “หากไม่เจอศพของข้า ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีทางประกาศว่าข้าตายแล้วอย่างแน่นอน” เยี่ยหลีเอ่ย


 


 


           “เจ้าก็แค่คิดเองเออเอง! เจ้าคิดว่าม่อซิวเหยาเห็นเจ้าสำคัญเพียงใดหรือ” น้ำเสียงของชายหนุ่มเจือแววขุ่นเคือง


 


 


           เยี่ยหลีไม่ได้โกรธตาม ในเสียงหัวเราะมีแววขบขัน “ม่อซิวเหยาจะเห็นว่าข้าสำคัญหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับท่านด้วย ไม่คิดจะออกมาพบหน้ากันหน่อยจริงๆ หรือ หรือว่า…ท่านเสียโฉมไปเสียแล้ว ม่อจิ่งหลี” 

 

 


ตอนที่ 73-3 ชีวิตนักโทษที่แสนสบาย

 

ดูเหมือนคนหลังม่านบังตาจะอึ้งไป ภายในห้องเงียบไปอยู่พักใหญ่ แล้วจึงมีเสียงหัวเราะอย่างได้ใจดังขึ้น ชายหนุ่มหลังม่านบังตาลุกยืนขึ้น พร้อมหัวเราะเสียงดัง “เยี่ยหลี ข้าประมินเจ้าต่ำไปจริงๆ” ชายหนุ่มที่เดินออกมาจากหลังม่านบังตารูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าอันหล่อเหลาถึงแม้จะยิ้มแต่กลับให้ความรู้สึกเลือดเย็น หากไม่ใช่ม่อจิ่งหลีแล้วจะเป็นใครไปได้อีก


 


 


           เยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองม่อจิ่งหลีนิ่ง “คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงต่างก็ประเมินท่านอ๋องต่ำไปเช่นกันมิใช่หรือ”


 


 


           ม่อจิ่งหลีหัวเราะเยาะ “เจ้าดูจะไม่ตกใจเอาเสียเลย ดูท่าเจ้าคงจะไม่ใช่หนึ่งในนั้น” เยี่ยหลีได้แต่ย่นคิ้ว มองหน้าม่อจิ่งหลี “ดูแล้วข้าก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน หากไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้ข้าคงไม่ทำให้ท่านอ๋องโกรธหรอก และคงไม่…ตกอยู่ในสภาพนี้” ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเยาะหยัน เดินมาหยุดตรงหน้าเยี่ยหลีก่อนกดสายตาลงจ้องมองนาง “เจ้านึกเสียใจแล้วหรือ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เป็นอริกับข้าไม่มีทางมีจุดจบที่ดีไปได้ ม่อซิวเหยาก็ช่วยเจ้าไม่ได้เช่นกัน”


 


 


           “ท่านอ๋องเคยให้โอกาสข้าเลือกหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ในความคิดของท่าน การที่ท่านยกเลิกงานแต่งงานและทำลายชื่อเสียงของข้าถือเป็นบัญชาจากฟ้าดิน แต่การที่ข้าได้พบกับสิ่งที่ดีกว่า นั่นถือเป็นการตบหน้าท่านหรือ หลีอ๋อง…ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร”


 


 


           “เหอะ!” ม่อจิ่งหลีสะบัดแขนเสื้อก่อนถอยออกไป สายตาที่จ้องมองเยี่ยหลีเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและลุแก่อำนาจ “เยี่ยหลี เจ้ายั่วโมโหข้าเก่งจริงนะ!”


 


 


           เยี่ยหลีถอนหายใจ ยกมือที่อ่อนแรงขึ้น “ท่านอ๋องทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้มานานแล้ว ตอนนี้บอกข้าได้หรือยังว่าจับข้ามาด้วยเหตุใด”


 


 


           “เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครตั้งแต่เมื่อใด” ม่อจิ่งหลีไม่ตอบคำถาม แต่ถามนางกลับแทน


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “เรื่องนี้หรือ…ในเมืองหลวงคนที่มีความแค้นกับข้ามีไม่มากนัก คนที่มีความแค้นกลับข้าซ้ำยังกล้าจับคนจากในวัง ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ แต่เขายังยอมที่จะเสี่ยงและยังทำสำเร็จด้วยนั้น ข้าคิดไปคิดมาก็ดูเหมือนจะมีแต่ท่านอ๋องเพียงคนเดียว” ม่อจิ่งหลีดูจะไม่อารมณ์ร้อนและโกรธง่ายเหมือนในเวลาปกติ เมื่อได้ยินที่เยี่ยหลีพูดเขากลับเดินไปนั่งลงอีกด้านหนึ่ง แล้วหันมองเยี่ยหลีด้วยท่าทีสบายๆ “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้ายอมที่จะเสี่ยง” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ “เกิดเรื่องกับชายาติ้งอ๋องตอนอยู่ในวัง ไม่ว่าฮ่องเต้จะเป็นคนทำหรือไม่ แต่อย่างไรก็ถือเป็นความรับผิดชอบของพระองค์ ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องไม่ไปหาเรื่องฮ่องเต้ แต่เกรงว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักและประชาชนคงจะต้องมองฝ่าบาทเปลี่ยนไป มิใช่หรือ”


 


 


           ม่อจิ่งหลีอารมณ์ดีขึ้นอีกมาก เขาเลิกคิ้วกล่าวว่า “ไม่เลว คราวนี้เสด็จพี่คงเสียหน้าไปหมดแล้ว เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าม่อซิวเหยาต้องการให้ข้ากับเสด็จพี่ต่อสู้กันเพื่อที่เขาจะเป็นคนได้ประโยชน์ แต่ข้าจะให้เขาโผล่หัวออกมาก่อน ชายาติ้งอ๋องหายตัวไปจากในวัง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยังนั่งเฉยอยู่ได้! เจ้าดูสิ…หลายวันนี้เขาสร้างเรื่องให้ฮ่องเต้ไม่น้อยเลยนะ”


 


 


           “ท่านอ๋องยินดีมากหรือ”


 


 


           “หรือว่าข้าไม่ควรยินดี” ม่อจิ่งหลีปรายตามองเยี่ยหลี “ม่อซิวเหยาคิดว่าข้าจะเป็นเด็กโง่ที่ให้เขาคอยกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ เหมือนตอนเด็กๆ ไปตลอดหรือ ตอนนี้ต่อให้เขารู้ว่าเสด็จพี่ไม่ได้เป็นคนทำแล้วเขาจะทำอันใดได้ ไม่ว่าจะเพื่อชื่อเสียงหรือหน้าตาของติ้งอ๋อง อย่างไรเขาก็ต้องหาเรื่องเสด็จพี่แทนข้า” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “หากเขารู้ว่าท่านอ๋องเป็นคนทำเล่า”


 


 


           “เจ้าคิดว่าข้าจะให้โอกาสนั้นแกเขาหรือ”


 


 


           ข้าคิดว่าตอนนี้เขาคงเริ่มสงสัยเจ้าแล้วต่างหาก เยี่ยหลีตอบในใจ


 


 


           “ดูเหมือนเจ้าจะไม่อยากรู้เลยนะว่าข้าคิดจะทำเช่นไรกับเจ้า” ม่อจิ่งหลีมองสำรวจเยี่ยหลีแล้วขมวดคิ้ว เยี่ยหลีเลื่อนสายตาขึ้นมองเขา “ใช้ข้าข่มขู่ม่อซิวเหยาหรือ ข้าคิดว่า…ข้ายังไม่สำคัญขนาดนั้น” ม่อจิ่งหลีมองสำรวจนางอีกครั้ง ก่อนพยักหน้า “พูดตามจริง ข้าเองก็ยังนึกสงสัยว่าเจ้ามีคุณค่าในใจม่อซิวเหยาเพียงไร ดังนั้น ข้าคงยังไม่เอาตัวประกันไปแลกเปลี่ยนกับม่อซิวเหยา อีกอย่าง…ข้าเพิ่งนึกวิธีที่น่าสนุกกว่านั้นขึ้นมาได้”


 


 


           “ข้ารอฟังอยู่” เยี่ยหลีมองเขาด้วยท่าทีเฉยเมย


 


 


           ท่าทีเฉยเมยของเยี่ยหลีไม่ได้ทำให้ความตื่นเต้นของม่อจิ่งหลีลดลง สายตาของเขากวาดไปทั่วร่างเยี่ยหลีด้วยความพอใจ ม่อจิ่งหลีหรี่ตาลงพูดว่า “คราวที่แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบสาวงาม ข้ายังจำทุกอย่างได้ชัดเจน อันที่จริงตอนนั้นข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น แต่ตอนนี้…จู่ๆ ข้าก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย หากวันหนึ่งคนทั้งใต้หล้าได้รู้ว่าชายาของม่อซิวเหยากลายเป็นผู้หญิงของข้า…เจ้าว่าจะเกิดอันใดขึ้น” เขาหัวเราะขึ้นอย่างได้ใจ ประหนึ่งจินตนาการเห็นภาพในอนาคตที่สวยงาม


 


 


           ถึงตอนนั้นคนปัญญาอ่อนอย่างเจ้าคงได้ถูกม่อซิวเหยาฆ่าตาย…


 


 


           เยี่ยหลีไม่นึกสงสัยเลยว่า ม่อซิวเหยาสามารถนำเลือดของศัตรูมาล้างมลทินทั้งหลายบนตัวนางออกไปได้อย่างสะอาดหมดจดแน่นอน หากคนคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพอย่างม่อซิวเหยา ทั้งยังเคยผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายเช่นนั้นมาแล้วยังสามารถยืนหยัดโดยไม่ล้มลงได้ ทั้งยังสามารถลอบวางแผนยุทธศาสตร์ได้อย่างนั้นแล้ว เช่นนั้นเขาต้องสามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการทุกอย่างได้อย่างแน่นอน คนประเภทนี้ต่างหากถึงจะเป็นศัตรูที่น่ากลัว


 


 


           “เยี่ยหลี เจ้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ไม่เลวหรือไม่” สายตาที่ม่อจิ่งหลีมองเยี่ยหลีมีแววขบขัน ประหนึ่งกำลังมองแมวตัวหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในกรงอย่างไรอย่างนั้น “จะว่าไปที่ข้ายกเจ้าให้ม่อซิวเหยาข้าเองก็นึกเสียใจไม่น้อย แต่นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ดีเอง หากเจ้าไม่ตั้งใจแกล้งทำเป็นคนธรรมดาทั่วไปเพื่อหลอกข้าแล้ว ข้าจะตัดใจทิ้งเจ้าแล้วไปแต่งงานกับเยี่ยอิ๋งที่ไม่ได้เรื่องได้ราวนั้นทำไม ตอนนี้แบบนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ทุกอย่างก็เป็นเหมือนก่อนหน้านี้ เจ้ายังคงเป็นของข้าได้อยู่” ระหว่างที่พูดนั้น ร่างของม่อจิ่งหลีก็ค่อยเอนเข้าหาตัวเยี่ยหลี ร่างกายอันใหญ่โตของเขายิ่งทำให้เยี่ยหลีดูอ่อนระโหยโรยแรงยิ่งขึ้นไปอีก


 


 


           “ท่านอ๋อง ข้าไม่แนะนำให้ท่านทำเช่นนี้” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเสียงเบาด้วยเสียงใสอย่างไพเราะ ม่อจิ่งหลีหัวเราะเสียงต่ำ “ข้าไม่ต้องการความเห็นของเจ้า เจ้าแค่เชื่อฟังข้าก็พอแล้ว เยี่ยหลี ถึงแม้เจ้าจะทำให้ข้าไม่พอใจมาโดยตลอด แต่ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง จะไม่ถือโทษเจ้า” เยี่ยหลียิ้มเย็น ก่อนค่อยๆ ยกมือขึ้นวางลงบนไหล่ของม่อจิ่งหลี มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ หายใจออกเบาๆ “จริงหรือ ถ้าเช่นนั้น…หากข้ากรีดลงไปเช่นนี้ท่านอ๋องก็จะไม่โทษข้าใช่หรือไม่”


 


 


           มือเย็นน้อยๆ ค่อยๆ วางลงบนคอของม่อจิ่งหลี มองจากภายนอกดูเหมือนเยี่ยหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วยื่นมือออกไปโอบกอดลำคอของม่อจิ่งหลีไว้ เพียงแต่ตอนนี้ที่ควรเป็นฉากพลอดรักหวานชื่นกลับทำให้คนรู้สึกถึงแรงอาฆาต ม่อจิ่งหลีรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า มีของมีคมบางอย่างกำลังจ่ออยู่ที่ลำคอของเขา ออกแรงเพียงนิดเดียวก็สามารถแทงทะลุลงไปได้ทันที เยี่ยหลียิ้ม “ข้าขอเตือนท่านว่าอย่าได้ผลีผลาม เมื่อครู่ข้าเพิ่งใช้เวลาดึงดอกไม้ดอกหญ้าในสวนไปพอสมควร หากข้าเกิดแทงทะลุลำคออันสูงส่งของท่านเข้า ไม่รู้ว่าแม่นางเสี่ยวอวิ๋นนั้นจะมาช่วยท่านอ๋องถอนพิษทันหรือไม่”


 


 


           “เยี่ยหลี!” ม่อจิ่งหลีกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำในลำคอ


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วใส่เขา ก่อนยกมือข้างที่ว่างอยู่มาโบกไปมาตรงหน้าเขา เล็บยาวและแข็งแรงที่ได้รับการดูแลมาอย่างดี ในซอกเล็บมีน้ำจากดอกเฟิ่งเซียนทาอยู่บางๆ แต่สิ่งที่ยื่นออกมาจากขอบเล็บนั่นต่างหากที่ทำให้คนรู้สึกตัวชา “เยี่ยหลี ต่อให้เจ้าทำรายข้า เจ้าก็หนีออกไปไม่ได้” ม่อจิ่งหลีข่มความโกรธในใจลง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เยี่ยหลีได้แต่ถอนหายใจ “ท่านพูดเหมือนกับว่า หากข้าไม่ทำร้ายท่านแล้วท่านจะปล่อยข้าไปอย่างนั้น”


 


 


           “เยี่ยหลี หากตอนนี้เจ้าปล่อยข้า ข้าจะไม่ถือสาเจ้า!” ม่อจิ่งหลีเอ่ยเตือนเสียงขรึม


 


 


           นิ้วเรียวที่กดอยู่บนคอลงน้ำหนักเพิ่มอีกเล็กน้อย ซึ่งสามารถทำให้ม่อจิ่งหลีหุบปากลงได้ เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ท่านอ๋อง ข้าล่ะเกลียดความคิดเองเออเองของท่านเช่นนี้เสียจริง หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พูดคุยกัน”


 


 


           “เจ้าฝันไปเถิด!” ม่อจิ่งหลียิ้มเยาะ


 


 


           “อย่าโง่ไปหน่อยเลย หากเป็นคนอื่นอาจคิดพนันกับข้าว่าใครมือไวกว่ากัน แต่ข้าคิดว่าท่านคงไม่พนันกับข้าหรอก เพราะท่าน…ไม่อยากตาย ท่านยังอยากมีชีวิตอยู่เพื่อให้แผนคิดการณ์ใหญ่ของเจ้านั้นสำเร็จ มิใช่หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ


 


 


           ม่อจิ่งหลีถอนหายใจยาวๆ กดข่มความโกรธในใจลง “เจ้าจะเอาอย่างไร”


 


 


           “ไม่เอาอย่างไร” เยี่ยหลียังคงยิ้มน้อยๆ มือที่ว่างอยู่ยกขึ้นดีดนิ้ว “องค์รักษ์ลับหนึ่ง สอง สาม สี่”


 


 


           “ข้าน้อยคารวะพระชายา”


 


 


           ประตูถูกคนเปิดออก ร่างๆ หนึ่งวูบเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูลงอีกครั้ง ร่างอีกร่างหนึ่งค่อยๆ ลอยลงมาจากเพดานห้อง เข้ามาล้อมม่อจิ่งหลีไว้ซ้ายขวาคนละด้าน “องครักษ์ลับหนึ่ง องครักษ์ลับสาม คารวะพระชายา”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างพอใจ “อีกสองคนเล่า”


 


 


           องครักษ์ลับสามตอบว่า “อาสองกับอาสามอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “หาข้าพบตั้งแต่เมื่อไร” เยี่ยหลีถาม


 


 


           “เมื่อวานตอนบ่ายพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           องค์รักษ์ลับหนึ่งกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “พระชายา ท่าน…ปล่อยหลีอ๋องก่อนดีหรือไม่” องครักษ์ลับสามเงยหน้าขึ้นมองเพดาน เขาไม่เห็นภาพที่พระชายากับหลีอ๋องที่อยู่กันอย่างใกล้ชิดเช่นนี้


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “ท่านอ๋อง”


 


 


           ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเยาะหยัน “ปล่อย”


 


 


           เยี่ยหลีปล่อยมือ มีกระบี่สองอันเล็งอยู่ทางด้านหลัง เชื่อว่าหากม่อจิ่งหลียังไม่ได้บ้าก็คงรู้ว่าจะต้องเลือกทำเช่นไร ทันทีที่เยี่ยหลีเอามือออกจากท้ายทอยเขา ม่อจิ่งหลีก็ยืนขึ้นก่อนถอยไปจ้องหน้าองครักษ์หนึ่งและสาม “พวกเจ้าเข้ามาได้อย่างไร”


 


 


           “เดินเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามตอบด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


           ม่อจิ่งหลีหรี่ตาลง ในใจนึกประเมินความสามารถขององครักษ์ลับทั้งสองคนนี้ใหม่ องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องเขาพอรู้อยู่บ้าง แน่นอนว่าย่อมเป็นคนที่มีฝีมือเก่งกาจ แต่ที่เรือนนี้เขาวางกำลังคอยดูแลไว้อย่างแน่นหนา พวกมันมีกันเพียงแค่สี่คนแต่กลับลอบเข้ามาได้โดยไม่มีเสียงใดๆ เลย


 


 


           “พระชายา ตอนนี้…” องครักษ์หนึ่งเหลือบตามองพี่น้องที่พึ่งพาไม่ได้ของตน ก่อนเดินหน้ามาถามขึ้น


 


 


           เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น บิดตัวไปมา “บอกองครักษ์สองและสี่ เราไปกันได้แล้ว อ้อใช่สิ รบกวนท่านอ๋องไปส่งพวกเราด้วยก็แล้วกัน”


 


 


           “ยาของเสี่ยวอวิ๋นไม่ออกฤทธิ์กับเจ้าหรือ” ม่อจิ่งหลีจ้องมองนาง เยี่ยหลีส่ายหน้า “ออกฤทธิ์สิ แต่นี่เลยช่วงเวลาออกฤทธิ์มาแล้ว” แต่นางจะไม่บอกเขาว่า ตนได้ใช้หญ้าที่ดึงออกมาจากในสวนมาทำยาถอนพิษหรอกนะ ถึงแม้จะไม่ถูกกับพิษที่นางโดนสักเท่าไร แต่ยาสลายกล้ามเนื้ออ่อนแรงก็คงไม่ต่างกันมากนัก


 


 


           “เมื่อครู่…”


 


 


           เยี่ยหลีแย้มยิ้ม มองม่อจิ่งหลีอย่างอารมณ์ดี “หากเมื่อครู่ท่านผลีผลามทำอันใดเข้า ข้าคงจะตัดแขนทั้งสองข้างของท่านทิ้ง ส่วนนี่…ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไป บนมือข้าไม่มียาพิษ คิดว่าข้าไม่กลัวจะทำตัวเองเป็นแผลหรือ”


 


 


           ม่อจิ่งหลีนิ่งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็กัดฟันพูดว่า “ครั้งนี้ถือว่าข้าแพ้!”


 


 


           “อันที่จริงท่านอ๋องไม่ต้องรีบร้อนบอกว่าตนเองแพ้หรอก เพราะข้าก็ยังไม่ชนะ ส่วนตอนนี้ เชิญท่านอ๋อง”


 


 


           “เหอะ!” 

 

 


ตอนที่ 74-1 รอดพ้นจากอันตราย คุณชายจว...

 

     ตอนที่องครักษ์หนึ่งและสามเดินขนาบข้างหลีอ๋องออกมาจากในห้องนั้น แม่นางเสี่ยวอวิ๋นก็รีบวิ่งมาถึงหน้าห้องทันทีเช่นกัน ดวงตาคู่งามเป็นประกายมองจ้องเยี่ยหลีที่เดินตามออกมาข้างหลังเขม็งจนแทบจะมีไฟลุกออกมา “ปล่อยคุณชายเดี๋ยวนี้นะ!” ด้านหลังนาง มีองครักษ์สองและสี่กระโดดลงมาจากกำแพงเงียบๆ “คารวะพระชายา” 


 


 


           เยี่ยหลีโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องมากพิธี ก่อนหันไปยิ้มตาหยีใส่เสี่ยวอวิ๋น “แม่นางเสี่ยวอวิ๋น หลายวันนี้ลำบากท่านคอยดูแลข้าแล้ว” เสี่ยวอวิ๋นถลึงตาใส่นาง ก่อนกัดฟันพูดว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร ปล่อยท่านอ๋องเสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!” เยี่ยหลีทำทีเป็นหลบอยู่ข้างหลังม่อจิ่งหลีด้วยความกลัว “ตายจริง แม่นางเสี่ยวอวิ๋นอย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ข้าใจเสาะมากเลยนะ ดังนั้น…ทางที่ดีแม่นางเสี่ยวอวิ๋นเก็บของอันตรายนั้นไว้เสียดีกว่า หากข้าไม่ระวังเพียงนิดเดียว…” เยี่ยหลียกมือขึ้นใช้เล็บที่คมกริบกรีดลงบนคอม่อซิวเหยาจนเห็นเป็นรอยเลือด แล้วกะพริบตาใส่เสี่ยวอวิ๋นด้วยท่าทีใสซื่อ “เช่นนี้ หากข้าไม่ระวังกรีดคอท่านอ๋องจนเป็นรู แล้วแม่นางเสี่ยวอวิ๋นจะทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือ” 


 


 


           “เจ้า!” เมื่อเสี่ยวอวิ๋นเห็นเยี่ยหลีที่แย้มยิ้มอย่างงดงามพร้อมกับเช็ดคราบเลือดที่เล็บมือกับชุดม่อจิ่งหลี ก็ทำให้นางโกรธจนใบหน้าเรียวแดงไปหมด แต่นางก็สามารถกลับมาเยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว แล้วยกยิ้มใส่ซื่อน่ารักให้เยี่ยหลี “แม่นาง ท่านอ๋องมีน้ำใจเชิญท่านมาเป็นแขก ท่านอยากจะไปก็ไปเสียอย่าได้จับตัวท่านอ๋องไว้เช่นนี้ นี่ถือเป็นมารยาทของคนที่เป็นแขกหรือ” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ไม่คิดเลยว่าแม่นางเสี่ยวอวิ๋นไม่เพียงหน้าตาท่าทางน่ารักเท่านั้น แต่ยังรู้จักขนบธรรมเนียมของภาคกลางดีอีกด้วย แต่การใส่ยาสลายกำลังลงในกับข้าวให้แขกกินทุกวัน ก็ไม่ใช่ธรรมเนียมในการรับแขกเช่นกันกระมัง” นางตั้งใจเติมคำว่าขนมธรรมเนียมของภาคกลางลงไปซึ่งทำให้สีหน้าเสี่ยวอวิ๋นเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางหันไปมองม่อจิ่งหลีด้วยความเคยชินโดยไม่รู้ตัว 


 


 


           เยี่ยหลีไม่คิดจะให้นางถ่วงเวลาไว้จึงส่งยิ้มอย่างเยือกเย็นไปให้เสี่ยวอวิ๋น “รบกวนแม่นางเสี่ยวอวิ๋นช่วยเตรียมม้าเร็วให้สักสามสี่ตัว แล้วก็ได้ยินว่าสาวใช้ของข้าสองคนหายตัวไป รบกวนส่งตัวพวกนางกลับมาให้ด้วย มิเช่นนั้น…ข้าคงไม่กล้ารับประกันว่าท่านอ๋องจะได้กลับมาครบสามสิบสอง” ในที่สุดเสี่ยวอวิ๋นก็หุบรอยยิ้มบนในหน้าลง ใบหน้าเรียวงามเต็มไปด้วยแววมาดร้าย “ท่านอ๋องเป็นถึงหลีอ๋องแห่งต้าฉู่ หากบาดเจ็บไปเจ้าก็อย่าหวังจะรอดไปได้เลย” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “เจ้าพูดอย่างกับว่าเจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นพระชายาของติ้งอ๋องแห่งต้าฉู่กระนั้น ที่ลักพาตัวข้ามา ต่อให้เป็นหลีอ๋องของเจ้าก็คงไม่รอดเช่นกัน หากเจ้าฉลาดพอก็รีบไปทำตามคำสั่งของข้าเสีย มิเช่นนั้น…ต่อให้ข้าหนีไปไม่ได้ ข้าก็ขอรับประกันว่าหลีอ๋องของเจ้าจะได้ตายอย่างทรมานเป็นแน่ องครักษ์ลับสาม หากมีใครกล้าทำอะไรผลีผลาม เจ้าจัดการหลีอ๋องได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้ารับผิดชอบเอง” 


 


 


           องครักษ์ลับสามตอบรับเสียงใสอย่างกระตือรือร้น “ข้าน้อยรับบัญชา” 


 


 


           ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเยาะหยัน “เจ้าไม่ต้องขู่ข้า เสี่ยวอวิ๋น ให้คนถอยไปแล้วทำตามที่นางสั่ง ข้าจะไปส่งพวกมันด้วยตนเอง” 


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นมีท่าทีลังเล นึกอยากปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นประกายเย็นวาบของกริชที่องครักษ์สามจ่อไว้ที่เอวของม่อจิ่งหลี สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจกลืนทุกอย่างลงคอไป นางจ้องเยี่ยหลีก่อนเอ่ยเตือนว่า “หากเกิดอันใดขึ้นกับท่านอ๋อง ต่อให้ข้าต้องเดินทางไปสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้า” เยี่ยหลียิ้ม “วางใจได้ ข้าไม่สนใจในตัวท่านอ๋องของเจ้าหรอก ส่วนเจ้านั้น…ระวังตัวหน่อยนะ อย่าให้ข้าต้องเห็นหน้าเจ้าอีก” 


 


 


           องครักษ์ลับสามพาตัวม่อจิ่งหลีที่ถูกสกัดจุดไว้ออกมา ส่วนอีกสามคนยืนอารักขาอยู่ข้างๆ เยี่ยหลี พร้อมเดินออกจากเรือนหลังนี้ ก่อนหน้านี้ทั้งสี่คนได้จัดการผู้คุมอย่างเงียบๆ ไปจำนวนไม่น้อย ตอนนี้เมื่อพวกเขาเดินอย่างองอาจออกมาจึงไม่มีใครออกมาขวางหูขวางตาอีก เมื่อออกจากประตูใหญ่มาได้ ที่หน้าประตูมีม้ายืนอยู่สามสี่ตัว องครักษ์หนึ่งและสองเดินเข้าไปสำรวจความปลอดภัยก่อนหันมาพยักหน้าให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีเอ่ยสั่งว่า “องครักษ์ลับสามพาตัวหลีอ๋องไป พวกเราไปกันเถิด” 


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นที่เดินตามพวกนางออกมารีบเดินเข้าถามถามว่า “ม้าข้าก็เตรียมให้พวกเจ้าแล้ว เหตุใดจึงไม่ปล่อยตัวท่านอ๋องอีก” 


 


 


           องครักษ์สามยิ้ม “เจ้าคิดว่าพวกเราโง่หรือ หากปล่อยตัวหลีอ๋องตอนนี้ แล้วพวกเจ้าถือโอกาสเข้ามาจับพวกเราจะทำอย่างไร” พูดจบก็หันไปโยนหลีอ๋องที่ไม่สามารถขยับตัวได้ขึ้นบนหลังม้า แล้วองครักษ์สามก็หมุนตัวกระโดดขึ้นหลังม้าตามไป เยี่ยหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้าหันมายิ้มให้เสี่ยวอวิ๋น “เจ้าวางใจได้ ข้ารับประกันว่าจะให้ท่านอ๋องของเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย เพียงแต่…หากข้ารู้ว่ามีใครที่ไม่ควรตามมาตามมาแล้วล่ะก็ ทุกครั้งที่พบข้าจะให้คนแทงเข้าที่หลังหลีอ๋องหนึ่งครั้ง” 


 


 


           เสี่ยวอวิ๋นกัดฟัน ตอนนี้ม่อจิ่งหลีอยู่ในมือเยี่ยหลีนางก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่พูดด้วยความแค้นว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่ได้ใครตามพวกเจ้าไปแน่ หวังว่าคำพูดของชายาติ้งอ๋องจะเชื่อถือได้” 


 


 


           “เช่นกัน” 


 


 


           ม้าทั้งห้าตัวออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวิ่งไปได้ประมาณยี่สิบลี้จึงค่อยผ่อนฝีเท้าลง องครักษ์หนึ่งหันไปมองทางที่ตนวิ่งมา “ดูท่าอีกฝ่ายจะรักษาคำพูด ไม่ได้ส่งใครตามมา” องครักษ์ลับสามส่งเสียงเหอะๆ “หากพวกมันอยากเห็นหลีอ๋องเป็นรูทั้งตัวล่ะก็ รีบตามมาเสียก็หมดเรื่อง” ม่อจิ่งหลีที่ถูกพาดอยู่บนหลังม้าเลือดลงหัวจนหน้าดำไปหมดแล้ว สายตาที่เขาจ้องมองเยี่ยหลีดูเคียดแค้นจนแทบจะอยากจับนางมากินเสียให้ได้ น่าเสียดายที่ไม่ว่าแววตาของเขาจะรุนแรงเพียงใด เยี่ยหลีก็เลือกที่จะทำให้มองไม่เห็น 


 


 


           “พระชายา ตอนนี้กลับตำหนักเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเป็นห่วงความปลอดภัยของพระชายามากนะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเสียงขรึม 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่กลับ” 


 


 


           สายตาของหนึ่ง สอง สามและสีหันมองไปทางเยี่ยหลีพร้อมๆ กัน เยี่ยหลียิ้มตาหยีมองหน้าม่อจิ่งหลีที่ไร้สีเลือด “นานๆ หลีอ๋องจะลำบากลักพาตัวข้าสักที จะให้ปล่อยไปเช่นนี้ก็คงกระไรอยู่” 


 


 


           ม่อจิ่งหลีจ้องเตือนเยี่ยหลี “เจ้าคิดจะทำอะไร” 


 


 


           เยี่ยหลีหัวเราะเสียงใสอย่างไร้พิษสง “ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร แต่ต่อให้…ข้าคิดจะทำอะไรก็ไม่มีทางบอกท่านอ๋องหรอก!” นางโค้งตัวลงพร้อมยกมือขึ้น ก่อนสับมือลงไปที่ท้ายทอยของของม่อจิ่งหลี จากเดิมที่มึนหัวมากอยู่แล้วจึงสลบลงไปทันที 


 


 


           องครักษ์ลับทั้งสี่ต่างไม่รู้ว่าเยี่ยหลีคิดจะทำสิ่งใด จึงหันไปมองเยี่ยหลีหวังว่าพระชายาจะช่วยอธิบายอะไรบ้าง เยี่ยหลีหัวเราะ “หาที่เหมาะๆ แล้วจับหลีอ๋องโยนลงไปเสีย พวกเราเปลี่ยนม้าแล้วไปเปลี่ยนที่เล่นสนุกกัน” 


 


 


           “พระชายา ท่านอ๋อง…” ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งพระชายาแต่เพียงผู้เดียว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเอ่ยเตือนพระชายาว่าท่านอ๋องกำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของนางอยู่ 


 


 


           เยี่ยหลีเอียงหัวคิดเล็กน้อย “ตอนนี้ก็ฤดูใบไม้ผลิแล้ว สุขภาพของเขาคงไม่เป็นอะไรชั่วคราว องครักษ์ลับสาม ถ้าจัดการม่อจิ่งหลีเรียบร้อยแล้ว ก็หาทางส่งข่าวบอกท่านอ๋องหน่อยก็แล้วกัน พวกเราคงกลับไปช้าหน่อย” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ พระชายา” องครักษ์สามยิ้ม เข้ารู้สึกว่าการติดตามเป็นองครักษ์ให้พระชายานั้นมีแต่เรื่องน่าสนุก เทียบกับองครักษ์คนอื่นๆ ที่ต้องอยู่ประจำหน่วยและคอยเฝ้ายามเป็นกะที่แสนจะน่าเบื่อนั่น แบบนี้สนุกกว่ากันเยอะเลย 


 


 


           “ไม่ต้องเรียกพระชายาแล้ว เรียกคุณชายฉู่” 


 


 


           “ขอรับ คุณชาย” 


 


 


           องครักษ์สามไปจัดการเรื่องม่อซิวเหยาและส่งจดหมาย องครักษ์สองและสามไปจัดการเรื่องม้าและลบร่องรอยตามทางที่พวกเขาเดินทางมา องครักษ์ลับหนึ่งเดินตามเยี่ยหลีที่เดินอ้อยอิ่งไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างที่เดินไป เยี่ยหลีก็ไม่ลืมที่จะถามเรื่องราวของสองสามวันที่ผ่านมา เรื่องที่ชิงหลวนและชิงอวี้หายตัวไปทำให้นางเป็นห่วงมาก “ชิงอวี้กับชิงหลวนรออยู่ที่หน้าตำหนักเหยาหวา พวกนางคงถูกจับไปตอนที่ไฟเริ่มลุกแล้วและคิดจะบุกเข้าไปข้างใน ม่อจิ่งหลีจับตัวสาวใช้ทั้งสองคนไปทำไม ไม่สิ…หากม่อจิ่งหลีต้องการจะพาคนหลายคนเช่นนั้นออกไปจากวังหลวงโดยไม่ให้ใครรู้คงไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้น ชิงอวี้กับชิงหลวนน่าจะยังอยู่ในวัง” 


 


 


           “พระชายา” องครักษ์หนึ่งรู้สึกเลื่อมใสเจ้านายที่ตนเพิ่งมารับใช้ได้ไม่นานคนนี้มาก หากไม่ใช่เพราะครึ่งปีมานี้ พราชายาคอยลอบสอนและแนะนำทักษะต่างๆ ให้พวกเขาทั้งสี่คน ครั้งนี้พวกเขาคงไม่เจอร่องรอยที่พระชายาทิ้งไว้จนสามารถหาบ้านลึกลับที่อยู่นอกเขตเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้นเป็นแน่ 


 


 


           “พระชายาเป็นห่วงแม่นางชิงอวี้กับแม่นางชิงหลวนหรือพ่ะย่ะค่ะ หากแม่นางทั้งสองยังอยู่ในวังจริง ท่านอ๋องจะต้องมีวิธีหาตัวพวกนางจนพบได้แน่ พระชายาไม่ต้องเป็นห่วง” 


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วน้อยๆ นึกถอนใจในใจเบาๆ “หากพวกนางเพียงถูกจับขังไว้ยังพอว่า กลัวก็แต่…” 


 


 


           “หากองครักษ์ลับของท่านอ๋องที่อยู่ในวังยังหาตัวพวกนางไม่พบ พวกเรามาร้อนใจกันอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ เชื่อว่าแม่นางทั้งสองเป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง ไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แต่หากแม่นางทั้งสองยังอยู่ในมือหลีอ๋อง เพื่อความปลอดภัยของหลีอ๋อง เชื่อว่าพวกมันจะต้องส่งตัวพวกนางกลับมาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอให้เป็นเช่นนั้น ไปกันเถิด พวกเรายังต้องอยู่ในเมืองหลวงกันอีกครึ่งเดือน ช่วงนี้เจ้าให้องครักษ์ลับสามกับสี่หาทางเข้าวังไปดูว่าพอมีเบาะแสอะไรหรือไม่” 


 


 


          องครักษ์ลับหนึ่งอึ้งไป ก่อนรีบเดินตามเข้ามาถามว่า “พ่ะย่ะค่ะ พระชายา…พวกเราจะไปจากเมืองหลวงหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ใช่แล้ว”  

 

 


ตอนที่ 74-2 รอดพ้นจากอันตราย คุณชายจว...

 

ในเรือนหลังเล็กนิรนาม ณ ที่ใดที่หนึ่งนอกเมืองหลวง ตอนนี้คนที่เคยอยู่ที่นี่ต่างไปกันหมดแล้ว ไม่เหลือใครอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นเจ้าของนั่นไปด้วยความรีบร้อน แม้แต่ภาพวาดและภาพเขียนอักษรโบราณที่มีมูลค่ายังไม่ทันได้เก็บไปด้วย ม่อซิวเหยานั่งอยู่ในสวนดอกไม้มองต้นเถาในแปลงดอกไม้ที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งปลูกใหม่ๆ กับดอกไม้และดอกหญ้ามีพิษที่มีอยู่เต็มแปลงดอกไม้ เสิ่นหยางที่อยู่ด้านหลังม่อซิวเหยาส่งเสียงในลำคอด้วยความแปลกใจ การจะนำดอกไม้ดอกหญ้าที่มีพิษมาปลูกรวมกันไว้เช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เป็นหมอธรรมดาๆ จะทำได้ อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนที่ชำนาญการใช้พิษอย่างช่ำชองแน่นอน เสิ่นหยางยังค้นพบความน่ายินดีในแปลงดอกไม้นั้น มีหลายต้นที่เป็นต้นไม้มีพิษเล็กน้อยที่เขาเพียรหาเท่าไรก็หาไม่พบจึงรีบดึงต้นไม้ที่มีพิษทั้งหลายที่มีประโยชน์ขึ้นมาทั้งรากที่ติดดินนั้นอย่างระมัดระวัง เพื่อเตรียมนำกลับไปปลูกยังทุ่งยาของเขา โดยไม่สนใจผู้อื่น 


 


 


           “ท่านอ๋อง พวกเรามาช้าไปก้าวหนึ่ง พวกมันไปกันหมดแล้ว” เฟิ่งจือเหยาเดินออกมาจากในห้อง ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งยื่นให้ม่อซิวเหยา “พระชายาเคยอยู่ที่นี่จริงๆ นี่คงเป็นของที่พระชายาทิ้งไว้” 


 


 


           ม่อซิวเหยารับหน้าสือไปเปิดออกดู เป็นหนังสือรวมกลอนธรรมดาทั่วไป ในนั้นมีกระดาษยาวๆ แผ่นหนึ่งเสียบอยู่ ไม่รู้ว่านางใช้อะไรเขียนตัวหนังสือสีแดงอ่อนๆ ที่อยู่บนกระดาษ ‘ปลอดภัยไม่ต้องห่วง’ 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาเหลือบมองสีหน้าของม่อซิวเหยา ก่อนพูดต่อว่า “จุดลับตาในเรือนหลายแห่ง มีร่องรอยของการต่อสู้ รวมถึงกลิ่นคาวเลือด ถ่านในครัวก็ยังอุ่นอยู่ คิดว่าน่าจะยังไปได้ไม่ไกล เท่าที่ข้าน้อยเห็น น่าจะเป็นองครักษ์ลับข้างกายพระชายาที่หาพระชายาเจอได้ก่อน” เฟิ่งจือเหยานึกต่อว่าในใจ องครักษ์ลับพวกนั้นหาพระชายาเจอแล้วเหตุใดจึงไม่บอกพวกเขาให้มาช่วยพระชายาออกไปพร้อมกัน เท่านี้ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย ตอนนี้คนหายกันไปหมดแล้วรู้แต่เพียงเคยเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่ แต่ช่วยพระชายาออกมาได้หรือไม่ พวกเขาไม่มีทางรู้ เมื่อได้มองสีหน้าของม่อซิวเหยาที่นิ่งขรึมไปกว่าเดิมแล้ว เฟิ่งจือเหยาก็เริ่มนึกอิจฉาเหลิ่งฮ่าวอวี่ที่ไปอยู่ไกลถึงทางใต้เสียแล้ว 


 


 


           “ม่อจิ่งหลีเล่า” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครพบม่อจิ่งหลี แต่ว่า…เขาเป็นหลีอ๋อง ไม่มีทางหายหน้าไปนานได้ เพียงแต่ เราจับเขาไม่ได้คาหนังคาเขา และยังหาพระชายาไม่พบ จึงไม่มีหลักฐานพอที่ชี้ตัวว่าเขาเป็นคนทำได้” เฟิ่งจือเหยาต้องยอมรับว่าเขาประเมินม่อจิ่งหลีต่ำเกินไปมาโดยตลอด ในเรือนหลังนี้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับม่อจิ่งหลีอยู่เลย อีกทั้งเจ้าของเรือนแห่งนี้ก็เป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีความเกี่ยวข้องและไม่รู้ว่าเป็นใครอีกด้วย ตอนนี้ที่พวกเขารู้ก็เพียงว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้เป็นเวลานาน แต่เรื่องฐานะ อายุ หรือรูปร่างหน้าตาของนางเป็นอย่างไรนั้น เขาตอบไม่ได้ 


 


 


           เสิ่นหยางที่นั่งยองๆ จัดการตัวยาอยู่ตรงแปลงดอกไม้พูดขึ้นว่า “หญิงสาวที่เคยอยู่ที่นี่น่าจะเป็นหญิงสาวจากทางใต้” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น “ท่านเสิ่นรู้ได้อย่างไร” 


 


 


           เสิ่นหยางชี้ไปทางแปลงดอกไม้ “ในสวนดอกไม้นี้นอกจากต้นเถาฮวานั่นแล้ว ต้นอื่นล้วนเป็นยาพิษ ซึ่งหลายอย่างในนั้นเป็นต้นหญ้ามีพิษที่มีเฉพาะทางชายแดนทางใต้ อย่าว่าแต่คนต้าฉู่อย่างพวกเราเลย แม้แต่คนทางชายแดนใต้เองหากไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญศาสตร์ด้านยาพิษแล้วก็ไม่แน่ว่าจะรู้จัก อีกอย่าง…เจ้านี่…”เสิ่นหยางหยิบของเล็กๆ เป็นประกายชิ้นหนึ่งออกมาจากดินโคลนใต้ต้นเถามาโยนส่งให้เฟิ่งจือเหยา เฟิ่งจือเหยาลองชั่งน้ำหนักบนมือ “นี่คือของเล่นอะไรหรือ ดูเหมือนของที่อยู่ในเครื่องประดับของเด็กหญิง” 


 


 


           ม่อซิวเหยากวาดตามองรอบหนึ่ง ก่อนพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “นั่นเป็นของที่ใช้เป็นเครื่องประดับศีรษะของเด็กสาวทางชายแดนใต้ อีกอย่าง…น่าจะเป็นของที่เด็กสาวชนชั้นสูงที่ยังไม่แต่งงานใช้ ด้านหลังหินหลันเป่าน่าจะมีสลักไว้ นั่นน่าจะเป็นตราประจำชนเผ่าของชนชั้นสูง เดี๋ยวให้ใครไปลองสืบดู” เฟิ่งจือเหยาลองพลิกดูทางด้านหลังของหินหลันเป่าที่ใช้ทำเครื่องประดับดู มองอยู่เป็นนานจึงได้เห็นว่าในมุมลับตามุมหนึ่งมีรอยสลักเล็กๆ ดูไม่ค่อยชัดอยู่จริง หากม่อซิวเหยาไม่พูดขึ้นมา เกรงว่าจะเห็นว่ามันเป็นรอยตำหนิของเครื่องประดับเสียมากกว่า หรืออาจไม่สังเกตเห็นเลยจนปล่อยผ่านไปก็เป็นได้ “ตราประจำชนเผ่าหรือ คนทางชายแดนใต้นิยมแกะสลักตราชนเผ่าไว้บนเครื่องประดับหรือ” 


 


 


           เสิ่นหยางส่ายหน้า “ในชายแดนใต้ตราประจำชนเผ่าถือเป็นเครื่องหมายแทนฐานะและความรุ่งเรือง ไม่เพียงบนเครื่องประดับเท่านั้น แต่บนเสื้อผ้าพวกเขาก็นิยมที่จะประทับตราประจำชนเผ่าลงไป ในชายแดนทางใต้ คนทั่วไปโดยมากมักรู้จักตราประจำชนเผ่าของชนเผ่าใหญ่ๆ ดี หากชาวบ้านทั่วไปเห็นพวกเขาก็มักจะหลีกทางให้ 


 


 


           “อาหลีไม่มีทางเอาของที่ไม่มีประโยชน์มาฝังไว้ที่นี่” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ข้าว่าอาหลีคงหนีไปแล้ว” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า เก็บหินของเครื่องประดับนั่นไว้เสีย “เอาเถิด ข้าจะส่งคนไปสืบดู” 


 


 


           “ท่านอ๋อง” องครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือถือจดหมายมาฉบับหนึ่ง “เราเพิ่งพบสิ่งนี้ที่หน้าประตูพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           ม่อซิวเหยารับจดหมายมาเปิดอ่าน คิ้วคมค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน “ท่านอ๋อง” 


 


 


           ม่อซิวเหยาพับจดหมายกลับเหมือนเดิม พร้อมเก็บเข้าแขนเสื้อ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับเฟิ่งจือเหยาว่า “กลับเมืองหลวง” 


 


 


           “เช่นนั้นพระชายา…” 


 


 


           “นั่นเป็นจดหมายที่องครักษ์ข้างกายอาหลีส่งมา อาหลีพ้นจากอันตรายแล้ว ส่วนม่อจิ่งหลี…เจ้าให้คนไปดูที่ชายป่าห่างไปทางตะวันตกประมาณห้าลี้ หากเจอม่อจิ่งหลีก็ให้นำตัวเขากลับเมืองหลวง จำไว้ให้ดี ข้าต้องการให้เขากลับถึงตำหนักหลีอ๋องอย่างปลอดภัย อย่าได้ทำให้ใครแตกตื่น” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “พระชายากลับไปแล้วหรือ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาเหลือบตามองเขา “ชายาตำหนักติ้งอ๋องหายตัวไป คนตำหนักติ้งอ๋องหยุดงานทั้งหมดลง เพื่อออกตามหาร่องรอยของพระชายา” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าม่อซิวเหยาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีนัก จึงกลืนคำถามในใจลงไปอย่างรู้งาน “พ่ะย่ะค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ พวกองครักษ์สามติดตามพระชายามาได้ครึ่งปี ฝีมือดูจะก้าวหน้าไปไม่น้อย จนเกือบจะไปไหนมาไหนได้โดยไม่มีใครรู้” เฟิ่งจือเหยาบ่นไปพลางก็รีบออกไปสั่งให้คนไปทำงานไปด้วย ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดี อย่าเพิ่งไปทำให้ท่านโกรธจะดีกว่า แต่ดูท่า…หลายวันมานี้ความอดทนที่เก็บกดไว้คงจะใกล้ระเบิดเต็มทีแล้วกระมัง 


 


 


           บนถนนใหญ่ในเมืองหลวง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถือพัดเดินอ้อยอิ่งอยู่บนถนน เด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งหยก แววตาใสเป็นประกาย ถึงแม้ดูแล้วจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยละอ่อน แต่เชื่อได้ว่าหากโตอีกหน่อย ความหล่อเหลาและมีเสน่ห์ของเขาจะไม่แพ้คุณชายเจ้าเสน่ห์คนใดในเมืองหลวงอย่างแน่นอน ด้านหลังเด็กหนุ่มมีองครักษ์ร่างกำยำสองคนเดินตามมา ทำให้คนที่เดินไปเดินมาอดไม่ได้ที่จะหันมอง พร้อมเกิดความคิดขึ้นในใจว่า คุณชายของตระกูลใด พาองครักษ์ออกมาเที่ยวเช่นนี้ 


 


 


           องครักษ์ลับสามยืนอยู่กลางถนนอย่างทำตัวไม่ถูก หันมองคุณชายข้างหน้าที่เดินเล่นดูข้าวของสารพัดอย่างริมถนนแล้วลอบใช้หัวไหล่สะกิดองครักษ์ลับสี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ “เจ้าว่าพระ…คุณชายคิดจะทำอันใดหรือ” องครักษ์สี่ปรายตามองเขา ก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ “คุณชายก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่ารอข่าวใหญ่” 


 


 


           “รอข่าวใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องมาเดินเอ้อระเหยอยู่บนถนนเช่นนี้กระมัง หากถูกคนที่ตำหนักจับได้เข้า…” เมื่อคิดถึงว่านายของตนที่เมื่อพ้นจากอันตรายมาได้แล้วกลับไม่ยอมกลับตำหนัก องครักษ์สามก็พอจะนึกสีหน้าของท่านอ๋องออกว่าจะเป็นเช่นไร พระชายานั่นไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเขาเป็นองครักษ์ลับจะต้องซวยมากแน่ๆ 


 


 


           มุมปากขององครักษ์ลับสี่กระตุกเล็กน้อย กวาดตามองคุณชายในชุดขาวข้างหน้าทีหนึ่ง “สภาพเช่นนั้น หากเจ้าไม่รู้มาก่อน แล้วพระชายามายืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเจ้าจะดูออกหรือ” ฝีมือการปลอมตัวของเจ้านายพวกเขาเทียบไม่ได้เลยกับคุณหนูชนชั้นสูงที่ลอบหนีออกจากบ้านมาเดินเล่นข้างนอก พวกนั้นแค่มองก็ดูออกแล้วว่าเป็นใคร ตั้งแต่เรื่องความสูงและรูปร่าง รูปคิ้วไปจนถึงดวงตา แม้แต่น้ำเสียงหรือท่าทางการเดินล้วนเปลี่ยนไปทั้งหมด ที่สำคัญที่สุดคือ ต่อให้นักแปลงโฉมฝีมีดีมายืนตรงหน้านางก็ยังดูไม่ออก เพราะนางไม่ได้ใช้อุปกรณ์ใดๆ หรือหน้ากากหนังคนในการแปลงโฉมเลย หากตอนนี้มีใครกล้าออกมายืนชี้ว่าคุณชายคนผู้นี้เป็นผู้หญิง คงได้ถูกคนทั้งถนนมองด้วยสายตารังเกียจเป็นแน่ นี่คือเหตุผลที่ทำไมพระชายาจึงกล้าที่จะออกมาเดินเอ้อระเหยอยู่บนถนน 


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในเมืองหลวงนี้มีคนรู้จักพระชายาอยู่น้อยมาก หากนางอยู่ในสภาพนี้แล้วยังมีคนจำได้ เช่นนั้นก็คงดูจะไม่สมเหตุสมผล เพียงแต่…พวกเขามีหน้าที่เป็นองครักษ์ลับ จะให้มายืนเล่นเดินเล่นอยู่บนถนนกลางวันแสกๆ ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้ พวกเขาไม่ชินเอาเสียเลย องครักษ์ลับสี่ตีองครักษ์ลับสามที่มัวแต่ยืนเหม่อเข้าให้ทีหนึ่ง “ยังไม่ไปอีก แค่เจ้าไม่ทำท่ามีพิรุธเช่นนั้น องครักษ์ลับของตำหนักก็มองพวกเราไม่ออกหรอก อย่าลืมที่คุณชายเคยพูดไว้” องครักษ์ลับสามพยักหน้า ก่อนเขากับองครักษ์ลับสี่จะรีบเดินตามคุณชายในชุดขาวที่เดินห่างไปไกลแล้วไป พระชายาพูดไว้แล้วว่า นางไม่ต้องการองครักษ์ลับทีคุ้มกันนางได้จากในที่ลับเพียงอย่างเดียว แต่ที่นางต้องการคือคนที่สามารถยืนอยู่ข้างนางและพร้อมให้ความช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และสามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆ ให้สำเร็จไปด้วยกันได้ 


 


 


           เมื่อเยี่ยหลีเดินเที่ยวเล่นเสร็จจึงเดินกลับไปยังห้องพักหมายเลขหนึ่งของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่เป็นที่พักในเมืองหลวงชั่วคราว องครักษ์ลับหนึ่งและสองรออยู่ที่ห้องก่อนแล้ว 


 


 


           องครักษ์ลับหนึ่งหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา “จดหมายจากใต้เท้าสวีถึงคุณชายขอรับ เชิญคุณชายให้ไปพบกันพรุ่งนี้ที่วัดจิ้งหลิงนอกเมือง พรุ่งนี้ใต้เท้าสวีกับสวีฮูหยิมรวมถึงคุณชายตระกูลสวีทุกท่านจะไปไหว้พระขอพรให้พระชายาที่วัดจิ้งหลิงขอรับ” เยี่ยหลีพยักหน้า ในหัวคิดหนักว่าพรุ่งนี้จะอธิบายกับท่านลุงรองอย่างไรเรื่องที่ผ่านมานานแล้วแต่นางยังไม่ยอมกลับตำหนักจนทำให้พวกท่านเป็นกังวล รวมถึงแผนการณ์ต่อไปของนางด้วย นางนวดหน้าผากเบาๆ ก่อนหันมองไปทางองครักษัลับสอง “มีข่าวของชิงหลวนกับชิงอวี้หรือยัง” องครักษ์ลับสองพยักหน้า “เมื่อคืนวานท่านอ๋องได้ให้คนไปพาตัวชิงหลวนกับชิงอวี้กลับมาที่ตำหนักแล้วขอรับ เพียงแต่…” องครักษ์ลับสองขมวดคิ้วมองหน้าเยี่ยหลี “ดูเหมือนพวกนางจะสูญเสียความทรงจำไปขอรับ พวกนางจำไม่ได้เลยว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง ดูเหมือนองครักษ์ลับจะพบตัวพวกนางที่ตำหนักเย็นขอรับ” 


 


 


           “สูญเสียความทรงจำหรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ”ท่านอ๋องว่าอย่างไร” 


 


 


           “ท่านอ๋องให้พวกนางพักรักษาตัวอยู่ในตำหนัก ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตเข้าใกล้พวกนางโดยพลการ แล้วยังได้ให้ท่านเสิ่นช่วยรักษาพวกนางด้วยขอรับ ในตำหนักวางกำลังคุ้มกันไว้แน่นหนามาก ถึงพวกข้าน้อยจะคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้มานัก ดังนั้นจึงไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียดขอรับ” องครักษ์ลับสองพูดด้วยความรู้สึกผิด 


 


 


           “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” องครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องเป็นอย่างไร เยี่ยหลีรู้ดีอยู่แก่ใจ องครักษ์ลับสองสามารถลอบเข้าไปโดยไม่ทำให้ใครแตกตื่นและสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่ม่อซิวเหยาให้ชิงอวี้และชิงหลวนแยกตัวออกมาจากคนอื่น ดูเผินๆ เหมือนจะให้พวกนางสามารถรักษาตัวได้อย่างสงบ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าจะไม่นึกสงสัยในตัวพวกนาง เกือบหนึ่งปีที่ได้เรียนรู้กันนั้น เมื่อเทียบกับชิงสยาที่เป็นคนใช้ข้างกายของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อนและชิงซวงที่อายุค่อนข้างน้อยและค่อนข้างกระโดกกระเดกแล้ว ตามปกตินางจะเชื่อใจชิงหลวนและชิงอวี้มากกว่าเล็กน้อย ด้วยเพราะนางเชื่อใจในท่านลุงและท่านตา เยี่ยหลีจึงไม่เคยคิดว่าชิงหลวนและชิงอวี้จะทรยศนาง เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจว่าตอนนี้นางจะยังไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ชั่วคราว นางกำลังจะไปจากเมืองหลวง และเดิมทีนางก็ไม่ได้คิดที่จะเอาสาวใช้เหล่านั้นไปด้วยอยู่แล้ว ม่อซิวเหยาเองก็คงไม่จัดการกับคนข้างกายนางตามอำเภอใจ เช่นนั้น…ก็ให้ม่อซิวเหยาลองดูแล้วกันว่าพวกนางจะไว้ใจได้หรือไม่  

 

 


ตอนที่ 74-3 รอดพ้นจากอันตราย คุณชายจว...

 

วันต่อมาเมื่อขึ้นไปถวายรายงานในตอนเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ตรวจการสวีได้พาฮูหยินและลูกๆ หลานๆ ออกนอกเมืองเพื่อไปจุดธุปไหว้พระที่วัดจิ้งหลิง ซึ่งเวลานี้ไม่เป็นที่สนใจของผู้คนสักเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไร เรื่องที่หลานสาวคนนี้เป็นที่รักของตระกูลสวีนั้น ผู้คนในเมืองต่างก็รู้กันดีแก่ใจและเคยเห็นกับตามาแล้ว ตั้งแต่เรื่องที่ผู้ตรวจการสวีช่วยออกหน้าแทนหลานสาวจนยอมขัดแย้งกับจวนเจ้ากรมและหลีอ๋องอย่างไม่ลังเล ต่อมาในงานแต่งงานชายาติ้งอ๋อง คุณชายตระกูลสวีทุกคนต่างร่วมขบวนส่งตัวเจ้าสาวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มาตอนนี้ชายาติ้งอ๋องหายตัวไปท่ามกลางกองเพลิง เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้ การที่ตระกูลสวีเดินทางไปจุดธูปไหว้พระขอพรให้ชายาติ้งอ๋องที่วัดจึงดูเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่ควรจะสนใจอย่างฮ่องเต้หรือหลีอ๋องนั้น หลายวันนี้ก็ปวดหัวจนแทบจะระเบิดด้วยเพราะคลื่นในราชสำนักที่เกิดจากการที่ชายาติ้งอ๋องหายตัวไป จึงย่อมไม่มีเวลามาสนใจว่าขุนนางของตน เมื่อเสร็จจากการถวายรายงานแล้วจะกลับจวนไปพักหรือจะไปจุดธูปที่วัด 


 


 


           ฉินเจิงที่เป็นเพื่อนสนิทของเยี่ยหลี และกำลังจะเป็นฮูหยินเล็กรองของตระกูลสวีในอนาคต นางจึงได้ติดตามสวีฮูหยินไปด้วย นางเป็นห่วงเพื่อนรักที่หายตัวไปของนางด้วยใจจริง เมื่อเข้าไปในวัดจิ้งหลิง นางได้เข้าไปไหว้พระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ภายในวัดเป็นเพื่อนสวีฮูหยิน สวีฮูหยินเมื่อเห็นลูกสะใภ้ในอนาคตที่เรียบร้อยน่ารักก็ยิ่งรู้สึกพอใจเข้าไปใหญ่ เมื่อไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวีฮูหยินจึงไปนั่งพักอยู่ที่ห้องด้านข้าง ฉินเจิงโบกมือให้สาวใช้ของตนออกไป ก่อนจะนั่งสวดมนต์อยู่ภายในอุโบสถเงียบๆ คนเดียว แต่นางกลับได้ยินเสียงใสดังขึ้นที่ข้างหู จนนางถึงกับสะดุ้ง “คุณหนูฉิน” 


 


 


           ฉินเจิงนึกสะดุ้งในใจ เมื่อหันไปมองก็เห็นมีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอยู่ในชุดสีขาวนวลมายืนอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ฉินเจิงขมวดคิ้ว เพียงรู้สึกว่าชายหนุ่มที่ยืนยิ้มน้อยๆ ให้นางตรงหน้านี้ มองดูคุ้นตาแปลกๆ แต่นางก็มั่นใจว่าตนไม่เคยรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อน “ไม่ทราบว่าคุณชายเป็นใครหรือ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ฉินเจิงลุกยืนขึ้น จ้องเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาระแวดระวัง ก่อนค่อยๆ ก้าวถอยไปอีกฝั่งหนึ่งทีละน้อย เยี่ยหลีมองเห็นท่าทางของนางทั้งหมด นึกยิ้มในใจแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ก่อนสะบัดเสื้อคุกเข่าลงบนฐานรองเข่าหน้าพระพุทธรูป เลียนแบบท่าทางสวดมนต์ของฉินเจิง แล้วจึงหันหน้าไปยิ้มให้กับฉินเจิงที่กำลังมองนางอยู่ “มาที่นี่ก็ย่อมมาเพื่อขอพรสิ คุณหนูฉิน ไม่ต้องตื่นเต้นไป ข้าน้อยกับคุณชายรองสวีนั้นเคยรู้จักกันมานาน รบกวนท่านช่วยบอกคุณชายรองสวีที ข้าน้อยแซ่ฉู่ นามฉู่จวินเหวย” ฉินเจิงอึ้งไปเล็กน้อย ดูจะพอเข้าใจอะไรขึ้นมา จึงพยักหน้าให้เยี่ยหลีอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปบอกคุณชายให้เอง” 


 


 


           “เช่นนั้น ขอบคุณคุณหนูฉินมาก” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ 


 


 


           เยี่ยหลีนั่งพักอยู่ในห้องทางด้านหลังอุโบสถ ที่นี่คือวัดจิ้งหลิง เป็นวัดที่มีคนไปใครมาน้อย ด้วยเพราะตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนัก นอกจากนักบวชที่คอยออกมาปัดกวาดแล้ว ปกติจึงน้อยนักที่จะมีใครมาที่นี่ 


 


 


           “หลีเอ๋อร์หรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีลืมตาพร้อมลุกยืนขึ้น ก็เห็นสวีหงเยี่ยนและสวีชิงเจ๋อยืนอยู่ที่หน้าประตูขมวดคิ้วมองมาที่นาง เยี่ยหลีจึงยิ้มขึ้นทันที “ท่านลุงรอง พี่รอง จำข้าไม่ได้แล้วหรือ” สวีหงเยี่ยนมองสำรวจนางอยู่นาน ก่อนจะส่ายหน้า “เจ้าเด็กนี่นะ เมื่อกี้ที่เจอกับข้าตอนอยู่ข้างนอกข้าจำไม่ได้จริงๆ” ใบหน้าที่เยือกเย็นอยู่เป็นนิจของสวีชิงเจ๋อดูอบอุ่นกว่าปกติขึ้นหลายส่วน เขาพยักหน้าเงียบๆ เป็นการบอกว่าตนก็จำไมได้เช่นเดียวกัน เยี่ยหลียิ้มอย่างรู้สึกผิด “ข้าเหมือนเห็นท่านลุงรองกำลังคุยกับท่านเจ้าอาวาสอยู่ จึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปพบ จึงต้องเชิญท่านลุงรองกับพี่รองให้มาหาที่นี่” 


 


 


           ทั้งสองคนนั่งลง สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้วมองนางที่แต่งตัวเป็นชาย แล้วจึงพูดเสียงดังขึ้นว่า “เจ้าเด็กนี่ ในเมื่อพ้นจากอันตรายแล้วเหตุใดจึงไม่กลับตำหนัก หากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องให้คนส่งจดหมายไปบอกว่าเจ้าไม่เป็นอะไร จดหมายคงได้ส่งออกไปยังอวิ๋นโจวแล้ว เจ้าคิดจะทำให้ท่านตาของเจ้าร้อนใจตายหรือ” 


 


 


           เมื่อเห็นท่านลุงรองโกรธจนไฟแทบลุก ในใจเยี่ยหลีก็รู้สึกผิดขึ้นมาก นางกะพริบตาปริบๆ พร้อมมองเขาอย่างน่าสงสาร “ท่านลุงรอง หลีเอ๋อร์รู้ตัวว่าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่…หากหลีเอ๋อร์กลับไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ครั้งนี้พวกเขาทำไม่สำเร็จ ย่อมวางแผนเล่นงานครั้งต่อไปอย่างแน่นอน แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ ข้าอยู่ในที่ลับ พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง คอยดูว่าใครจะเล่นงานใคร” 


 


 


           สวีหงเยี่ยนถลึงตาใส่นาง “เจ้าวางแผนได้ดีนักล่ะ ตอนนี้คนทั้งเมืองต่างพูดกันว่าติ้งอ๋องนำความโชคร้ายมาให้ภรรยา” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “นั่นก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรมิใช่หรือเจ้าคะ ต่อให้ข้าไม่อยู่ม่อซิวเหยาก็คงแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้แล้ว” 


 


 


           สวีชิงเจ๋อนั่งเงียบอยู่ข้างๆ ฟังพวกเขาคุยกัน ก่อนขมวดคิ้วมองเยี่ยหลีแล้วถามขึ้นว่า “หลีเอ๋อร์ยังมีแผนการอื่นอีกหรือไม่” ชายาติ้งอ๋องไม่อาจปลอมตัวเป็นชายอยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้นานๆ ได้ หากใกล้ชิดกับพวกเขามาเกินไป ถึงอย่างไรวันหนึ่งก็ต้องมีคนรู้ เยี่ยหลีหุบยิ้มบนใบหน้าลงทันที มองหน้าท่านลุงและพี่ชายด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเตรียมตัวจะไปชายแดนใต้” 


 


 


           “ไร้สาระ!” สวีหงเยี่ยนพูดเสียงดังขึ้นด้วยความโกรธ 


 


 


           “ท่านลุงรอง…” เยี่ยหลีได้แต่มองหน้าสวีหงเยี่ยน ในขณะเดียวกันก็ใช้สายตาส่งสัญญาณให้สวีชิงเจ๋อช่วยพูดแทนนาง น่าเสียดายที่สวีชิงเจ๋อกับขมวดคิ้วมองนางด้วยสายตาไม่เห็นด้วยเช่นกัน สวีหงเยี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หากเจ้าไม่อยากทนอยู่ในเมืองหลวง ก็ไปอวิ๋นโจวเสีย เจ้าก็ไม่ได้เจอท่านตาเจ้ามาหลายปีพอดีด้วย” 


 


 


           “ท่านลุง…” เยี่ยหลีมองการแต่งกายของตน ช่างไม่เหมาะกับท่าทางอ้อนวอนอย่างหญิงสาวเอาเสียเลย จึงได้แต่มองท่านลุงรองด้วยสีหน้าใสซื่อ “พี่ใหญ่ก็อยู่ที่นั่น ท่านลุงรองไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของข้าหรอกเจ้าค่ะ” 


 


 


           “ติ้งอ๋องรู้ถึงแผนการของเจ้าหรือไม่” สวีหงเยี่ยเอ่ยถาม 


 


 


           เยี่ยหลีรู้สึกผิดในใจ นางยังไม่ได้พบหน้าม่อซิวเหยาเลยด้วยซ้ำ 


 


 


           “หลีเอ๋อร์คิดจะไปทำอันใดที่ชายแดนใต้หรือ” สวีชิงเจ๋อมองหน้าเยี่ยหลีแล้วเอ่ยถามขึ้นตรงๆ 


 


 


           เยี่ยหลีปรายสายตาโอดครวญไปทางเขา แล้วจึงได้ตอบตามความเป็นจริงว่า “ตอนนี้สถานการณ์ทางชายแดนใต้เลวร้ายเสียยิ่งกว่าในเมืองหลวง พี่ใหญ่ไปอยู่ที่ชายแดนใต้คนเดียวข้าไม่วางใจ พอดีกับที่ช่วงนี้ข้าไม่จำเป็นต้องออกไปให้ผู้คนในเมืองหลวงพบหน้าพอดี ข้าจึงอยากลองไปที่ชายแดนใต้ดู” สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่เจ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ทำอะไรตามแต่ความสามารถ เจ้าเป็นลูกผู้หญิงไปแล้วจะช่วยอันใดได้ ส่วนในเมืองหลวง…ติ้งอ๋องคิดจะใช้เรื่องที่เจ้าหายตัวไปมาทำให้ฮ่องเต้กับไทเฮาขัดแย้งกันหรือ” 


 


 


           “พวกเขาขัดแย้งกันมามากอยู่ก่อนแล้ว แต่พวกเขาไม่ควรที่จะดึงตำหนักติ้งอ๋องเข้าไปร่วมด้วย” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีทางที่จะนั่งรอให้คนอื่นมาเล่นงานตลอดไป ท่านลุงคงรู้ว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงต้องไปที่ชายแดนใต้ หากสถานการณ์ชายแดนใต้ไม่นิ่ง ทั้งแผ่นดินต้าฉู่ก็มีโอกาสที่จะต้องตกอยู่ในภาวะสงคราม ในเมื่อหลีเอ๋อร์แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องแล้ว จุดยืนของตำหนักติ้งอ๋องก็คือจุดยืนของหลีเอ๋อร์ ข้าไม่อาจเป็นดังเช่นท่านผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เอาแต่นั่งอยู่แต่ในห้องไม่สนใจเรื่องราวอะไร เป็นคนอื่นก็คงไม่อาจเปิดโอกาสให้ข้าได้ทำเช่นนี้ จริงหรือไม่เจ้าคะ” สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้ว “เจ้า…จัดการเรื่องในตำหนักให้ดี ให้ท่านอ๋องไม่ต้องมีห่วงก็ถือว่าเจ้าได้ทำหน้าที่ของพระชายาอย่างเต็มความสามารถแล้ว” 


 


 


           “ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ย่อมต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ท่านอ๋องสุขภาพไม่อำนวยไม่อาจเดินทางไกลได้ เรื่องที่เขาทำไม่ได้แล้วให้ข้าทำแทนเหตุใดจึงไม่ได้เล่าเจ้าคะ” เยี่ยหลีพูดด้วยความแน่วแน่ เมื่อเยี่ยหลีนึกไปถึงสิ่งที่ม่อซิวเหยาเคยพูดทำให้ใจนางรู้สึกไม่สบายใจ หากสถานการณ์ทางชายแดนใต้ไม่อาจควบคุมได้ จนลุกลามกลายเป็นอย่างที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ ม่อซิวเหยาย่อมนำทหารออกไปรบด้วยตนเองโดยไม่คิดถึงสุขภาพของตนเป็นแน่ เยี่ยหลีไม่กล้าคิดเลยว่า ด้วยสุขภาพของม่อซิวเหยาหากเขาออกไปรบด้วยตนเองจริงๆ เขาจะยังมีชีวิตกลับมาหรือไม่ แล้วยังสวีชิงเฉินอีกคน คุณชายชิงเฉินมีทั้งความรู้และความสามารถก็จริง แต่ตระกูลสวีถึงแม้จะเป็นตระกูลใหญ่ที่อยู่มาเป็นร้อยปี แต่ในเรื่องศิลปะการป้องกันตัวนั้นยังเทียบไม่ได้กับขุนพลมือฉมังของราชสำนักและตำหนักอ๋องอย่างแน่นอน และเยี่ยหลีรู้ดีว่า สวีชิงเฉินเป็นคุณชายสายบุ๋นผู้อ่อนแอและไม่ถนัดการต่อสู้ 


 


 


           เยี่ยหลีมองสวีหงเยี่ยนด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านลุงรอง หลีเอ๋อร์รู้ว่าต้องทำเช่นไร จะไม่ให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” 


 


 


           เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของหลานสาวแล้ว สวีหงเยี่ยนจึงได้แต่ทอดถอนใจ “หลีเอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องเอาภาระอันใดมาแบกใส่หลังไว้ ไม่ว่าจะเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าหรือจะเป็นติ้งอ๋อง เรื่องของพวกเขาไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ข้ารู้ หากว่าหลีเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องอะไรและทำอะไรไม่เป็น ย่อมสบายใจที่จะอยู่ในที่ปลอดภัยคอยให้คนมาคุ้มกัน แต่ในเมื่อข้าพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง เหตุใดจึงต้องให้พี่ใหญ่ออกไปเสี่ยงตามลำพังเล่าเจ้าคะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ พี่รอง พี่สาม กับพี่สี่และน้องห้าต่างก็อยากไปช่วงพี่ใหญ่ที่ชายแดนใต้กันทุกคน เพียงแต่ปลีกตัวไปไม่ได้เท่านั้น ตอนนี้ข้าอาศัยช่วงที่ข้ายังหายตัวไป ออกไปช่วยพี่ใหญ่ก็น่าจะทำให้ท่านตาและท่านลุงวางใจมิใช่หรือเจ้าคะ” 


 


 


           สวีหงเยี่ยนถลึงตาใส่นางอย่างไม่เห็นขันด้วย “วางใจหรือ วางใจได้หรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีกะพริบตา “ท่านลุงรอง ท่านควรยอมรับว่าข้าเก่งกว่าพี่สามเสียอีก ท่านยังวางใจให้พี่สามไปเข้าค่ายทหารได้ เหตุใดจึงไม่วางใจในตัวข้าเล่า” 


 


 


           “เขาเป็นชาย ตรงไหนหักตรงไหนเจ็บก็ยังไม่เป็นไร แต่เจ้าไหวหรือ” สวีหงเยี่ยนเอ่ย แต่เยี่ยหลีกลับเห็นรอยหวั่นไหวในแววตาของเขา จึงรีบเอ่ยโน้มน้าวต่อว่า “ข้าไม่ได้ไปคนเดียวเสียหน่อย องครักษ์ลับข้างกายข้าก็จะไปกับข้าด้วย ท่านลุงรอง…” 


 


 


           สวีหงเยี่ยนไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่พูดว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็ออกเรือนไปแล้ว เจ้าไปถามติ้งอ๋องก็แล้วกัน หากติ้งอ๋องไม่เห็นด้วย เจ้าจะพูดกับข้าอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์” 


 


 


           “ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ” เยี่ยหลียินดีเป็นอย่างยิ่ง สำหรับนางแล้ว การพูดให้ท่านลุงยอมนั้นยากกว่าพูดให้ม่อซิวเหยายอมเป็นไหนๆ 


 


 


           เมื่อสวีหงเยี่ยนเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยความยินดีของนางแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ลูกผู้หญิงอ่อนแอเกินไปนักก็ไม่ดี ก็เหมือนกับน้องสาวของเขา มารดาของเยี่ยหลี แต่หากเข้มแข็งและฉลาดเกินไปก็ยิ่งไม่ดีใหญ่ ก็เหมือนกับหลานสาวคนนี้ เขาได้แต่หวังว่า ติ้งอ๋องจะสามารถจัดการให้นางยอมเชื่อฟังและยอมอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่ก็กลับอวิ๋นโจวไปได้ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม