สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 72-78

 บทที่ 72 คืนเงียบสงัด (6)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในที่สุด ไรอันก็หาตัวเอลลีเจอท่ามกลางคนพลุกพล่านในงานปาร์ตี้


เธอถือกระป๋องเบียร์เล็กๆ พิงรั้วระเบียงอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไรแล้ว ไรอันคิดว่าตอนนี้ตนเองควรเดินเข้าไปหาได้สักที…แต่เขากลับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงทำได้แค่ยั้งฝีเท้าของตนเองเอาไว้ก่อน


เพราะอีกด้านหนึ่ง…กลอเรียกำลังสาวเท้าเดินไปทางเอลลีอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งประดับรอยยิ้มบางๆ ดูงดงามเป็นอย่างมาก


พวกเธอจะคุยอะไรกัน? แต่โอกาสแบบนี้…ถึงแม้ตั้งใจฟังไปก็ไม่ได้ยินอยู่ดี เห็นก็แต่กลอเรียคว้ามือเอลลีขึ้นมาด้วยท่าทางสนิทสนม น่าจะกำลังพูดเรื่องน่ายินดีกันอยู่ล่ะมั้ง?


“เอลลี!”


กลอเรียคว้ามือเอลลีขึ้นมาอย่างสนิทสนม จากนั้นก็ดึงมาวางไว้บนมือตนเอง แล้วพิงระเบียงแบบเดียวกับเธอ


“มีเรื่องอะไรเหรอ? ดูเธอมีความสุขมากเลย” เอลลีแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง


“ฉันคบกับเลห์แมนแล้วนะ เมื่อกี้นี้เอง!” กลอเรียยังไม่หุบยิ้ม แล้วกะพริบตาปริบๆ “เลห์แมนเซ็กซี่มากจริงๆ โอ้ พระเจ้า ตอนนี้หัวใจของฉันยังเต้นแรงอยู่เลย”


“งั้นเหรอ…ยินดีด้วยนะ” เอลลีแสดงความยินดีกับเธอด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย


แล้วกลอเรียก็คว้าทั้งสองมือของเอลลีไว้ ก่อนพูดเบาๆ ว่า “เธอคงอวยพรให้พวกเราสินะ! ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่!”


ในชั่วขณะหนึ่ง เอลลีคิดอยากจะชักมือกลับมาจริงๆ…เธอคิดจะทำแบบนี้กี่ครั้งแล้วนะ?


แน่นอนว่าตั้งแต่ตอนที่กลอเรียจับมือของเธอไว้ แล้วพูดว่า ‘พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ!’


สมัยเด็กๆ เธอเคยแบ่งคุกกี้ที่แม่ทำเองให้คนอื่น…เห็นๆ อยู่ว่าเธอยังชิมไปได้ไม่เท่าไร แต่กลับแบ่งไปให้คนอื่นซะเยอะ


“ออกไปเดินเล่นด้วยกันเถอะ!”


“อืม…เอาสิ”


เห็นๆ อยู่ว่าเธอยังเหลือการบ้านอีกเยอะ


“โอ๊ย…ใช้เงินค่าขนมเดือนนี้หมดอีกแล้ว เอลลี…”


“อืม…ฉันพอมีอยู่นิดหน่อย เดือนหน้าเธอค่อยมาคืนฉันก็ได้”


เห็นๆ อยู่ว่าเธอมีของที่อยากซื้อเหมือนกัน คงได้แต่รอเดือนหน้าแล้วล่ะมั้ง


“ว้าว! ชุดนี้เก๋มากเลย! ฉันชอบ…อืม! ชุดนี้เหมาะกับเธอมากเลยนะ ชอบไหม? ฉันให้เธอแล้วกัน!”


“อืม…ดูดีมากเลย”


จริงๆ แล้วฉันไม่ชอบตัวนี้เลย…แต่ฉันชอบตัวที่เธอถืออยู่ต่างหาก


“อืม…ยินดีกับพวกเธอด้วยนะ”


จริงๆ แล้วฉันก็….ชอบเขาเหมือนกัน




ในที่สุด กลอเรียก็เห็นเอลลีหยุดเดินกะทันหัน เธอจึงรีบคว้าแขนเอลลีไว้ “เป็นไงบ้าง! เธอหาวิธีได้แล้วใช่ไหม?”


ในความคิดของเธอ เอลลีเป็นเด็กสาวที่กล้าหาญ และเข้าใจความต้องการของเธอเป็นอย่างดี


หลายปีมานี้ เธอรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนสนิทอย่างเอลลี


แล้วกลอเรียก็เห็นเอลลีพยักหน้าเล็กน้อย แล้วมองมาทางเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  ก่อนถามเธอว่า “กลอเรีย เธออยากช่วยเลห์แมนจริงๆ ใช่ไหม?”


กลอเรียรีบพยักหน้า


“ถ้างั้น ก่อนอื่นพวกเราต้องรู้สถานการณ์ข้างในให้แน่ชัดก่อน…พวกเราแค่ดูแวบหนึ่ง! ดูแค่แวบเดียวเท่านั้น! ถ้าเกิดมีอันตรายละก็ พวกเราต้องวิ่งหนีทันที เข้าใจไหม?”


กลอเรียลังเลอยู่พักหนึ่ง… ด้านหลังประตูห้องนี้ จะเป็นยังไงกันแน่? ถึงแม้เสียงจะเงียบหายไปแล้วก็ตาม…แต่เลห์แมนกับไรอันคงไม่เป็นไรสินะ?


เธอยังกระสับกระส่ายอยากรู้…ถ้าได้เห็นแค่แวบเดียวละก็


พวกเธอจึงเปิดประตูห้องแง้มเป็นช่องเล็กๆ แล้วมองผ่านช่องประตูเข้าไปพร้อมกัน ก่อนพยายามมองดูสถานการณ์ในห้องด้วยความตื่นเต้นสุดขีด


ทันใดนั้น กลอเรียก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เหงื่อแตกท่วมตัว เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแทบจะถูกสูบไปจนสิ้น


ภายในห้อง…กระเป๋าหนังใบนั้นกำลังกลืนแขนของไรอันเข้าไปทีละนิด ส่วนเลห์แมนก็นอนสลบอยู่ข้างๆ


แม้ว่าแขนข้างนั้นจะถูก ‘กลืนเข้าไป’ ในกระเป๋าทีละนิดๆ แต่ไรอันก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เลย!


กลอเรียใช้มือข้างเดียวปิดปากยังไม่พอ เธอยังต้องใช้ฝ่ามืออีกข้างอุดปากของตัวเองไว้แน่น แล้วเธอก็เริ่มหายใจถี่รัวเสียจนหากเธอไม่ใช้ปากช่วยหายใจ เธอคงขาดอากาศหายใจตาย อย่างกับว่าเธอเพิ่งผ่านการวิ่งพุ่งออกไปสุดตัวสี่ร้อยเมตรมา


ตอนนี้กลอเรียสั่นไปทั้งตัว แผ่นหลังอิงแนบไปกับผนังห้องข้างๆ ประตู แม้แต่ขายังแข็งจนก้าวไม่ออก ราวกับถูกแช่ด้วยปรอทห้าสิบกิโลกรัม


“ทำไง…ทำยังไงดี…เอลลี เอลลี…ฉัน ฉันไม่อยากตาย…”


เธอออกแรงคว้าแขนเอลลีราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้าย สีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก “ฉันขยับตัวไม่ได้เลย…เอลลี…เธอจะไม่ทิ้งฉันใช่ไหม เธอจะไม่ทิ้งฉันใช่ไหม? พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ!”


“เลห์แมนกับไรอัน…ตายแล้ว” เอลลีก้มหน้าลงพูดความจริง


จู่ๆ กลอเรียก็เห็นภาพสีหน้าของเอลลีเบลอไปหมด พอเธอได้ฟังเรื่องน่าหวาดกลัวนี้อีกครั้ง เธอก็สั่นกลัวจนเกือบจะร้องไห้ออกมา “ฉันรู้ ฉันเห็นแล้ว…ไม่ต้องพูดแล้ว…น่ากลัวเหลือเกิน”


“ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย?” เอลลีงึมงำเบาๆ


“เอลลี…เอลลี…เธอ เธอเป็นอะไรไป?”


“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอคนเดียว”


เอลลีเงยหน้าขึ้น ทั้งผมที่ปรกหน้าปิดดวงตาทั้งสองไว้ แต่กลับเห็นว่าเธอกำลังเบิกตากว้างดุร้ายผิดปกติ ก่อนยื่นมือทั้งสองข้างไปบีบคอกลอเรียทันที


บีบแรงเกินไปแล้วนะ! บีบแรงเกินไปแล้วจริงๆ!


ทันใดนั้นกลอเรียก็รู้สึกเหมือนคอใกล้จะหักเต็มทน ความตื่นกลัวและความเจ็บปวดทรมานเพิ่มมากขึ้นจนเธอรู้สึกย่ำแย่ ในชั่วขณะนั้น  เธอได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอน


ราวกับกำลังถามว่า ‘ทำไม’


“ไม่มีเธอจะดีแค่ไหนนะ…ถ้าเธอไม่เสนอให้ออกมาเที่ยว มันจะดีแค่ไหนนะ! ฉันตั้งใจเรียนแบบเดิมก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ ตอนนี้ฉันน่าจะ…ทุกอย่างมันเป็นเพราะเธอ!!”


กลอเรียเจ็บจนแทบทนไม่ไหว


เนื่องจากหายใจไม่ออกจนแทบขาดใจ ทำให้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดในตัวเธอก็ถูกปลุกขึ้นมา เธอจึงถีบไปที่ท้องของเอลลีทีหนึ่งทันที เอลลีถึงได้คลายมือจากคอเธอ


แต่ว่าเอลลีกลับเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว เธอพุ่งกระโจนมาหากลอเรียอีกครั้ง!


ต่างฝ่ายต่างบีบคอกันพัลวัน จนตัวกระแทกเข้ากับประตูห้องโดยไม่ทันรู้ตัว!


จากนั้นทั้งสองก็ล้มกลิ้งลงไปบนพื้นพร้อมกัน!


กลอเรียหอบหายใจแรง แล้วดวงตาของเธอก็หันไปมองข้างหน้าทันที…ตอนนี้กระเป๋าใบใหญ่ใบนั้น…มีแขนหลายข้างยื่นออกมาเหมือนปีศาจแมงมุม แล้วค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาพวกเธอคนทั้งสอง


 “เอล เอล เอลลี…” กลอเรียรีบตีตัวเอลลีอย่างบ้าคลั่ง หวังว่าเธอจะสังเกตเห็นถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา


แต่ดูเหมือนว่าทำแบบนี้ก็ไม่อาจช่วยให้เอลลีที่กำลังบ้าคลั่งรู้สึกตัวเลย กลอเรียจึงต้องถีบอีกฝ่ายให้กระเด็นไปอย่างแรงอีกครั้ง!


วินาทีที่คนทั้งสองแยกออกจากกัน กลอเรียก็ลุกขึ้นมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็พุ่งตัวเปิดประตูออกไปอีกครั้ง


เธอกลัวมากเหลือเกิน ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือก เธอจึงปิดประตูห้องอีกครั้ง


กลอเรียดึงลูกบิดอย่างสุดแรง จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนดังออกมาจากในห้องไม่หยุด เอลลีเอาแต่ตะโกนอยู่ว่า ‘กลอเรีย! กลอเรีย!! กลอเรีย!!’


ใช่แล้ว ตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยเสียงแหลมบ้าคลั่ง


กลอเรียอุดปากตัวเองไว้ ทั้งที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาจากความตื่นกลัว จนกระทั่งเสียงในห้องเงียบไป กลอเรียถึงได้เรียกสติคืนมาทันที


คราวนี้เธอไม่กล้าเปิดประตูห้องอีกครั้ง และเหมือนกลัวจนล้มลุกคลุกคลาน เธอคิดจะหนีไปจากที่นี่ ในที่สุดเธอก็ยันตัวเองไปข้างหน้า คลำตามกำแพงมาจนถึงหน้าบันได แล้วก็ค่อยๆ ประคองตัวลงบันไดไป


ในห้องรับแขก แสงโคมไฟอบอุ่นละมุน


เจ้าของบ้านพักแห่งนี้ คุณสาวใช้ที่ทำงานที่นี่ อเล็กซ์นักเดินทางแปลกๆ ที่มาเยือนโดยไม่คาดคิด รวมทั้งสาวน้อยลีน่า กำลังนั่งล้อมโต๊ะชาในห้องรับแขกอยู่ในตอนนี้


พวกเขากำลังมองดูเธอ…มองดูเธอที่ค่อยๆ ก้าวขาอันสั่นเทาเดินลงมา


 “รีบหนีออกไปจากที่นี่!”


กลอเรียพุ่งลงบันไดมา ท่าทางของเธอสะเปะสะปะ จนเกือบจะเหยียบบันไดพลาดแล้ว แต่ในที่สุดเธอก็เดินลงมาได้สำเร็จ แล้ววิ่งพุ่งไปที่พวกเขา


 “รีบหนีสิ! เร็วเข้า!! มีปีศาจ!!” กลอเรียชี้ไปชั้นบนอย่างตื่นกลัว


 “ไปสิ!” กลอเรียคว้าแขนลั่วชิวอย่างรีบร้อน ด้วยคิดอยากจะดึงตัวเขาขึ้นมาจากเก้าอี้


ลั่วชิวปล่อยให้เธอดึงตัวเขาขึ้นมา แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ไม่ทราบว่า…ตอนนี้คุณเป็นใครครับ?”


กลอเรียอึ้งไป


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “เลห์แมน? ไรอัน? กลอเรีย? หรือว่าเอลลีครับ?”


 “คุณพูดอะไรน่ะ?” กลอเรียปล่อยแขนลั่วชิว “ฉันคือกลอเรียน่ะสิ! ฉัน…ฉันคือกลอเรีย? ไม่ใช่ ฉัน…ฉันคือ…ฉันคือ…”


เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา แล้วย้อนถามตัวเอง “…ฉันเป็นใคร?”



เธอมองดูเหตุการณ์ตรงหน้านี้


แล้วก็เห็นสาวน้อยยืดคอไปกระซิบข้างหูโยวเย่ แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พี่โยวเย่คะ ทำไมพี่เอลลีถึงเอาแต่พูดกับตัวเองมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะคะ? แปลกจังเลยค่ะ”


บทที่ 73 คืนเงียบสงัด (7)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เอลลียืนกระสับกระส่ายอยู่ในห้องพักอาจารย์เกือบสิบนาทีได้แล้ว แต่อาจารย์กลับไม่เอ่ยปากพูดสักคำ เพียงแค่ก้มหน้ามองกระดาษ A4 พับหนึ่งในมือ


‘นี่คือการออกแบบหลักสูตรของเธอเหรอ’


เธอรู้สึกได้รางๆ ว่าอาจารย์จะพูดแบบนั้นกับเธอ


เป็นไปตามคาด อาจารย์ดันแว่นตาที่อยู่บนดั้งจมูก “อืม เอลลี เธอคงตั้งใจออกแบบหลักสูตรชุดนี้มากสินะ คงใช้เวลาไปไม่น้อยเลยล่ะสิ?”


“ใช่ค่ะศาสตราจารย์ หนูเตรียมเกือบห้าสัปดาห์เลยค่ะ” เอลลีรีบตอบ


“ห้าสัปดาห์เหรอ…อืม ไม่น้อยเลยจริงๆ” อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย แล้ววางบทความในมือลง ก่อนมองเอลลีอย่างผิดหวัง “ในเมื่อมีเวลาตั้งห้าสัปดาห์ ทำไมเนื้อหาส่วนสุดท้ายถึงไม่ละเอียดเหมือนส่วนแรกล่ะ? เธอรู้ไหมว่ามันทำลายความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเธอเลยนะ”


“หนู…”


เอลลีพูดความจริงไม่ได้…ว่าเธอเพิ่งเริ่มทำตอนตีสี่ อีกทั้งความคิดบางอย่างยังรบกวนสมาธิของเธออย่างจัง…ขนาดเธอย้อนกลับมาอ่านเองยังคิดว่าเนื้อหาช่วงสุดท้ายผสมกันมั่วจริงๆ


“เมื่อคืนเธอไปเที่ยวมาใช่ไหม?” อาจารย์ส่ายหน้าพูด “สีหน้าเธอดูไม่ดีเลยนะ ถึงจะไปเปลี่ยนชุดมา แต่เมคอัพหลุดออกหมดแล้ว เธอไม่รู้ตัวเหรอ? แล้วยังกลิ่นเหล้าหึ่งนี่อีก”


“ศาสตราจารย์คะ หนูขอเวลาแก้ไขส่วนสุดท้ายใหม่ได้ไหมคะ? หนูจะทำให้เสร็จวันพรุ่งนี้ค่ะ” เอลลีพูดวิงวอน


ทว่าอาจารย์กลับส่ายหน้าพูดว่า “ขอโทษนะ นักศึกษาเอลลี ตอนแรกอาจารย์ตั้งใจจะส่งผลงานเด่นจากการบ้านครั้งนี้ไปเข้าแข่งขัน อาจารย์อุตส่าห์ให้โอกาสครั้งนี้กับเธอ แต่น่าเสียดาย เธอทำให้อาจารย์ผิดหวังจริงๆ”


“ศาสตราจารย์คะ! เห็นแก่ความขยันที่ผ่านมา ให้โอกาสหนูอีกสักครั้งไม่ได้เหรอคะ? ครึ่งวัน! หนูขอแค่ครึ่งวันค่ะ!”


อาจารย์ยังคงส่ายหน้าตอบว่า “อาจารย์ไม่สนว่าเธอจะมีเหตุผลอะไร แต่ว่า…โอกาสมีเท่าเทียมกัน นักศึกษาคนอื่นก็มีเวลาเท่ากับเธอ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มาขอยืดเวลา เอลลี เธอลองไปคิดดูแล้วกัน ออกไปได้แล้ว เดี๋ยวอาจารย์มีสอนต่อ ต้องเตรียมของแล้ว”


“ศาสตราจารย์คะ รอเดี๋ยวค่ะ! หนู…”


“นักศึกษาเอลลี อาจารย์ชื่นชมสปิริตของเธอนะ แต่ก่อนหน้านั้น เธอลองกลับไปคิดให้ดี ถ้าเธอคิดว่าการบ้านชิ้นนี้สำคัญกับเธอมาก ทำไมถึงเลือกไปเที่ยวในคืนสุดท้ายล่ะ?”


อาจารย์ถอนหายใจ แล้วลุกยืนขึ้น “แน่นอนว่า อาจารย์ยังเชื่อใจเธออยู่นะ แต่อาจารย์ก็หวังว่า นักศึกษาของอาจารย์จะเป็นคนรู้จักยับยั้งชั่งใจตัวเอง”


เอลลีเห็นอาจารย์โบกมือปฏิเสธแบบสุภาพผิดปกติ แล้วชี้ไปที่ประตูห้อง เธอจึงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมา แล้วเดินออกประตูไปเงียบๆ


เธอรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ได้แต่เดินเหม่อลอยอยู่บนระเบียงทางเดินเพียงลำพัง


“เอลลี เอล เอลลี…”


จู่ๆ ก็มีคนตบบ่าเธอ เอลลีจึงเงยหน้าขึ้นมามองแวบหนึ่ง…เขาเอง ไรอัน


แล้วไรอันก็ถามด้วยท่าทางเป็นห่วง “เธอเป็นอะไรไป? ทำไมสีหน้าแย่แบบนี้? แล้วนี่…เธอยังไม่ได้นอนใช่ไหม?”


“ฉันไม่เป็นไร ขอฉันอยู่เงียบๆ คนเดียวได้ไหม?” เอลลีพูดอย่างเฉยเมย


“แต่เอลลี พวกเรา…” ไรอันคิดจะพูดอะไรบางอย่าง


แต่เอลลีกลับพูดขัดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องเมื่อคืน…ลืมมันไปเถอะ พวกเราโตกันแล้ว เรื่องแบบนั้นช่างมันเถอะ”


เมื่อคืนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ไม่นึกเลยว่าเธอจะรีบให้ไรอันพากลับ แต่ดันไม่ได้กลับไปที่หอพักทันที ทว่าเริ่มดื่มเหล้าด้วยกันสองคนที่สวนสาธารณะใกล้ๆ


พอตื่นขึ้นมาอีกที ทั้งสองก็นอนกอดกันกลม…เธอรู้สึกว่าร่างกายส่วนล่างแปลกๆ เล็กน้อย จึงรู้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรหลังจากเมาหลับไป


ไรอันมองเอลลีจากไป  ก็ยังอดกลุ้มใจไปไม่ได้



“บ๊ายบาย ที่รัก”


กลอเรียกับเลห์แมนจูบกันอย่างดูดดื่ม ในขณะที่เอลลีกับไรอันที่ดูปกติอย่างเห็นได้ชัด


“งั้น…เจอกันพรุ่งนี้”


“อืม เจอกันพรุ่งนี้”


เอลลีกับไรอันแค่ก้มหัวให้กันเล็กน้อย แล้วแยกกันที่ใต้ตึกหอพัก


หลังจากกลอเรียเห็นท่าทางของทั้งสองแล้ว เธอก็เอาหน้าไปซุกไว้บนบ่าของเอลลี แล้วถามทันทีว่า “เธอเย็นชากับไรอันเกินไปหรือเปล่า? ดูไม่เหมือนคู่รักเลยสักนิด หลังจากปาร์ตี้ครั้งที่แล้ว ก็ใกล้จะเดือนหนึ่งแล้ว วันนั้นอยู่ๆ เธอก็มาบอกฉันว่าคบกับไรอันแล้ว ฉันก็นึกว่าเธอจะเริ่มสนใจเรื่องพวกนี้แล้วซะอีก”


“ไม่ใช่ทุกคนจะร้อนแรงได้อย่างเธอนี่” เอลลีพูดอย่างเฉยเมยว่า “แล้วไรอันก็ไม่ใช่เลห์แมน เร่าร้อนเกินไปก็ไม่ใช่เขา เธอไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”


กลอเรียกลับไม่ได้โต้แย้งเรื่องนี้ “ก็จริง แต่…ไรอันดูน่าสงสารมากๆ เลยนะ เอลลี เพื่อนรักของฉัน ฉันขอแนะนำเธอหน่อยแล้วกัน ถ้าเย็นชามากเกินไป ความรักที่เธอเก็บเกี่ยวมาได้ยากก็จะหลุดลอยไปนะ”


“ขึ้นตึกกันเถอะ ฉันอยากอาบน้ำ” เอลลีพูดขัด เพราะไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก


“อ้อ เธอขึ้นไปก่อนเลย ฉันเพิ่งนึกได้ว่าลืมซื้อของนิดหน่อย”


เอลลีไม่ได้ใส่ใจ แต่กลับลากสังขารที่เหนื่อยล้ากลับไปยังห้องพัก เธอนั่งลงพลางคิดว่า คะแนนช่วงนี้เหมือนจะน้อยลงเรื่อยๆ


เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?


เธอเกาหัว ไม่สบายใจอยู่พักหนึ่ง…แต่ไม่นานเธอก็สูดลมหายใจลึกๆ ให้ตัวเองใจเย็นลง แล้วย้ำเตือนตัวเองว่า เธอจะเป็นแบบนี้ต่อไปได้แล้ว


“เรียน”


เอลลีพึมพำเบาๆ คำหนึ่ง แล้วจึงเปิดหนังสือเรียนบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว…แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนขาดบางอย่างไป


“สมุดจดบันทึก…สมุดจดบันทึกที่ให้กลอเรียยืมไปเมื่อวาน” เอลลีส่ายหน้า แล้วรีบโทรหากลอเรีย


“มีอะไรเหรอที่รัก?”


“สมุดจดที่ฉันให้เธอยืมเมื่อวานล่ะ ฉันจะใช้แล้ว”


“เอ่อ…ขอฉันคิดแป๊บนะ เหมือนจะวางไว้ในลิ้นชักอันแรกทางด้านซ้าย…เดี๋ยว ฉันจำผิด ไม่ได้อยู่ในลิ้นชัก แต่อยู่ในกระเป๋าหนังสือของฉัน เธอรอฉันกลับไปก่อนนะ ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ อย่าเพิ่งเปิด……”


“ฉันเห็นสมุดจดแล้วก็…”


“เธอ เธอเห็นอะไร?” เสียงกลอเรียเริ่มตื่นตระหนก


“จดหมายแจ้งเข้ารอบการแข่งออกแบบหลักสูตรครั้งที่แล้ว ทำไมไม่บอกฉัน?”


“เอลลี ฟังฉันก่อนนะ ฉันไม่รู้ว่าศาสตราจารย์จะเลือกผลงานของฉัน…ฉันไม่รู้เบื้องหลังการออกแบบหลักสูตรครั้งนี้มาก่อนว่าจะ…อีกอย่าง ฉันก็แค่เข้ารอบเท่านั้น ยังไม่ได้รางวัลสักหน่อย…” กลอเรียพูดอย่างขัดเคือง


“เธอคิดว่าฉันจะเศร้าเหรอ?” เอลลีพูดด้วยน้ำเสียงสบายใจเป็นพิเศษ “โง่จริงๆ เธอเข้ารอบได้ ฉันก็ต้องดีใจแทนเธอสิ! รีบกลับมาเถอะ!”


“จริงเหรอ? โอ้! เอลลีฉันรู้ว่าเธอเป็นเพื่อนรักของฉัน! รอแป๊บนะ ฉันจะซื้อเบียร์กลับไปสักหน่อย แล้วพวกเรามาฉลองกัน โอเคไหม?” กลอเรียพูดอย่างโล่งอก “เธอไม่รู้หรอก หลายวันมานี้ฉันหลับไม่สนิทเลย ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้กับเธอยังไง! ตอนนี้โอเคแล้ว! เธอรอหน่อยนะ! ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้!”


“โอเค…ที่รัก”


ตู๊ด!


เอลลียิ้มค้างพร้อมกับวางหูโทรศัพท์ จากนั้นก็วางซองจดหมายกลับเข้าไปในลิ้นชัก ทั้งที่ยังยิ้มค้าง แล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง


ทันใดนั้น เธอก็ปัดทุกอย่างบนโต๊ะลงพื้นทันที จากนั้นก็กรีดร้องเสียงแหลม ใช้มือทั้งสองข้างดึงผมตัวเองแรงๆ


แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลอาบแก้ม




“ฉันเป็นใคร…ฉันเป็นใคร…ฉันเป็นใคร?”


เธอกัดนิ้วของตัวเองราวกับตึงเครียดอย่างมาก แล้วเดินเซไปเซมา ทั้งดวงตายังเบิกกว้างอยู่ภายใต้ผมอันยุ่งเหยิง


ทันใดนั้นเธอก็หันหน้ามาพร้อมกับดวงตาเบิกกว้าง แล้วมองไปทางลั่วชิว “ฉันคือกลอเรีย…เมื่อกี้ เมื่อกี้นี้ เอลลีจะฆ่าฉัน! เธอจะฆ่าฉัน!”


เธอรีบเดินเข้าไปข้างตัวลั่วชิว แล้วออกแรงดึงแขนของเขาไว้แน่น “เธอบีบคอฉัน! คุณดูสิ!”


เธอดึงคอเสื้อของตัวเองให้เปิดออกอย่างแรง จนเห็นรอยนิ้วชัดเจนรอบคอ


“บีบแรงจริงๆ ด้วย”


ที่เห็นไม่ได้มีแค่ลั่วชิว แน่นอนว่ายังมีอเล็กซ์ รวมถึงโยวเย่ที่กำลังอยู่เป็นเพื่อนสาวน้อยด้วย  อเล็กซ์เห็นภาพนี้ก็เดินเข้ามาคล้ายจะดูให้ชัดเจนพ


เธอมองเห็นอเล็กซ์ใกล้เข้ามา ก็รีบถอยหลังอย่างตื่นกลัวไปสองก้าวทันที แล้วชี้นิ้วไปทางอเล็กซ์ พร้อมพูดอย่างสติแตก “เป็นเขา! ที่ฆ่าคนไป! ฆ่าคนแล้ว! ไรอันตกลงไปในหลุม! ตอนที่ผมจะดึงเขาก็เจอศพของคุณนายแม็กกี้! อยู่ๆ เขากับคุณนายแม็กกี้ก็หายไปกะทันหัน! จากนั้นก็…ต้องเป็นเขาแน่ๆ! ต้องเป็นเขาแน่ๆ!”


“ตอนนี้คุณคือเลห์แมนเหรอครับ?” ลั่วชิวเอ่ยถามอีกครั้ง


เธออึ้งไป แล้วส่ายหัวปฏิเสธ “แต่…ผมตกลงไปในหลุม แล้วเจอศพคุณนายแม็กกี้! เลห์แมนคิดจะดึงผมขึ้นมา! เขายังหาว่าผมซื่อบื้อด้วย! เขากล้าหาญมาก แต่ก็ตกใจไปเพราะผมแล้ว!”


อเล็กซ์หรี่ตาลง “แต่เมื่อกี้นี้คุณ…บอกว่าตัวเองเป็นกลอเรียไม่ใช่เหรอครับ?”


“กลอเรีย…กลอเรีย…” เธอร้องเสียงแหลมอีกครั้ง ก่อนดึงผมตัวเอง แล้วพูดด้วยท่าทางตกใจยิ่ง “กลอเรีย! เมื่อกี้นี้กลอเรียจะฆ่าฉัน! เธอบีบคอฉัน! พวกคุณดูสิ! พวกคุณดู!”


“เมื่อกี้นี้คุณไม่ได้บอกว่า เอลลีคิดจะฆ่าคุณเหรอครับ?”


“เอลลี…เอลลี…ใช่ เธอคิดจะฆ่าฉัน…” เธอพูดอย่างเซ่อซ่า ทันใดนั้นเอง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปดูเจ็บปวดทันที แล้วฉับพลันก็พูดอย่างตกใจกลัวสุดขีด “รีบไป! รีบหนีไป! เอลลี!  รีบหนีไป! กลอเรีย! รีบหนีไป!!”


เธอปัดป่ายมือไปมา แล้วตะโกนร้องอีกครั้ง “กระโดดลงไป! พวกเรากระโดดลงไปจากตรงนี้…เร็ว!!”


แล้วเธอก็ตะโกนร้องอีก “ไม่ได้…ฉันกลัว! ฉันกระโดดไม่ได้!”


ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นร้องตกใจ “อ๊า! มันตามมาแล้ว!!”


“มันคือตัวอะไร”


“กระเป๋าหนัง! กระเป๋าหนังใบใหญ่!! มือ! มือยื่นออกมาจากข้างในแล้ว! ปีศาจ! ดวงตา! ฉันเห็นตาของมัน! แขน! แขนสองข้าง…ไม่ สามข้าง! มัน… มันกินแขนของไรอันเข้าไปแล้ว!”


“กระเป๋าหนังวางอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เหรอครับ? คุณผู้หญิง?”


“กระเป๋าหนัง…”


เธอมองไปตรงมุมห้องทันที แล้วก็ปล่อยมือที่จับผมเอาไว้ ก่อนพึมพำกับตัวเองว่า “ทำไมมันยังอยู่ตรงนี้…ทำไมมันยังอยู่ตรงนี้…”


เธอก้าวถอยหลังไปทีละก้าว แล้วก็เห็นลั่วชิว อเล็กซ์ โยวเย่และยังมีเด็กน้อยลีน่าตรงหน้ามองเธอด้วยท่าทางแปลกๆ


พวกคุณ…ทันใดนั้นเธอก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะพวกเขาที่อยู่หน้าเธอตอนนี้ตาขาวหายไปหมดแล้ว เหมือนซากศพแห้งๆ  พวกเขา…


“คุณเป็นใคร?”


“คุณเป็นใคร?”


“คุณเป็นใคร?”


“คุณเป็นใคร?”


พวกเขากำลังถามเธอไม่หยุด


บทที่ 74 สนทนาหลังเที่ยงคืน (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เดี๋ยวหัวเราะร่าเริง เดี๋ยวตกใจกลัว เดี๋ยวสายตาเลื่อนลอย เดี๋ยวสายตาว่อกแว่ก แต่สติกลับดูไม่อยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นใคร เดี๋ยวก็คิดว่าตัวเองเป็นอีกคน


ในที่สุดเธอก็ยืนนิ่งตรงนั้นราวกับรูปปั้น แล้วยังรู้สึกอีกว่า ‘ให้เธอยืนตรงนี้ต่อไปก็ไม่มีปัญหา’


สาวน้อยเห็นภาพนี้ก็หวาดกลัวทันที รีบยืนแนบชิดไปกับขาของพี่สาว ทั้งยังคว้ากระโปรงของพี่สาวคนสวยเอาไว้ด้วย


เย็นเฉียบเสียจน…แทบจะรู้สึกเย็นยะเยือก


ตอนนี้อเล็กซ์ค่อยๆ หลับตาลง สีหน้าคล้ายกำลังฟังอะไรอย่างเพลิดเพลิน…แล้วเขาฟังอะไรกันแน่นะ?


ลั่วชิวอยากรู้เหลือเกิน


ฉับพลันเขาก็เริ่มรู้สึกว่า อเล็กซ์ก็เหมือนกระจกเงาสะท้อนให้เขาเห็นท่าทีของตัวเองในบางครั้ง


จริงสิ นี่เหมือนตอนที่เขาได้เห็นสีสันอันงดงาม และเป็นอีกครั้งที่เขาหักห้ามความอยากรู้ไม่ได้ เหมือนกับตอนที่เขาเดินเข้าไปในสมาคมครั้งแรก


เขาก็ค่อยๆ หลับตาลงเช่นกัน เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาอยากฟัง เขาก็จะได้ยินเหมือนกัน


 “ขัดจังหวะความสุขของคนอื่น เป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาทมากเลยนะครับ”


นั่นเป็นเสียงของอเล็กซ์ “ถึงแม้คุณจะมีพลังแข็งแกร่งมาก จนขนาดทำให้ผมไม่สามารถหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้ อีกอย่างผมคิดว่า คุณจะไม่สนเรื่องพวกนี้เหมือนเจ้าของสมาคมคนก่อนเสียอีก”


ลั่วชิวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับยิ้มน้อยๆ เขามองเธอที่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงแวบหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงอีกครั้งแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ แสดงท่าทางให้ ‘นั่ง’


สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมามองแวบหนึ่ง แต่เธอก็รู้สึกง่วงงัวเงียฉับพลัน จากนั้นก็ผล็อยหลับไป


“ในที่สุดก็ได้คุยกันเต็มที่สักหน่อย แต่ว่าก่อนหน้านั้น ได้โปรดให้ผมรับประทานอาหารก่อนได้หรือเปล่าครับ?”


“เชิญครับ”


พอเห็นอเล็กซ์เดินไปตรงหน้าเธอที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้น ดวงตาของเขาก็มีลำแสงเล็กๆ สีม่วงฉายออกมาอย่างน่าประหลาด


ดูเหมือนว่าเขากำลังกลืนกินอะไรบางอย่างจากตัวเด็กสาวคนนี้ นี่ทำให้ลั่วชิวยิ่งอยากรู้มากกว่าเดิม…สิ่งที่กลืนกินนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กสาวเลย แต่กลับเป็นบางสิ่งที่ไม่ดีต่อตัวเธอต่างหาก


อเล็กซ์กำลังกลืนกินความฝันของอีกฝ่าย หรือก็คือ ฝันร้าย


“ร่างเดิมอเล็กซ์คือบากุ*ปีศาจกินฝันร้ายค่ะ เกรงว่าจะเป็นปีศาจบากุตัวสุดท้ายที่เหลือรอดอยู่ล่ะมั้งคะ” คุณสาวใช้กระซิบเบาๆ ข้างหูเจ้าของร้านลั่ว


ก็เหมือนโบโลดอฟ ลั่วชิวไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโยวเย่ถึงรู้เรื่องพวกนี้ นั่นก็เพราะเขาเคยเป็นลูกค้าของสมาคมมาก่อน


คาดไม่ถึงว่าในตอนนี้เองอเล็กซ์จะหันมาพูดตรงๆ ต่อหน้าว่า “ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวหรอกครับคุณโยวเย่ ผมไม่ใช่ตัวสุดท้าย ควรพูดว่าเป็นตัวสุดท้ายกับอีกครึ่งต่างหาก เพราะผมกำลังพยายามเก็บออมค่าธรรมเนียมเพื่อหาเพื่อนร่วมทางสักคนจากสมาคม ในเมื่อผมคิดแบบนี้ ก็แสดงว่าบนโลกใบนี้มีอีกครึ่งตัวไม่ใช่เหรอครับ?”


…คุณเป็นลูกค้า คุณมีความสุขก็ดีแล้ว


ลั่วชิวแอบคิด


เพียงแต่


ปีศาจบากุดูดกินฝันร้ายของพวกมนุษย์โดยเฉพาะ แล้วก็เหลือไว้แต่ฝันดี…งั้นเหรอ?


บนใบหน้าของเธอค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนหลับตาลงช้าๆ ด้วยสีหน้าสบายใจ แล้วล้มตัวลงไปในอ้อมแขนของอเล็กซ์




หลังจากอเล็กซ์วางเด็กสาวลงบนโซฟา และปล่อยให้นอนหลับอย่างสงบสุขแบบนี้แล้ว เขาถึงได้นั่งลงตรงหน้าลั่วชิว


ใบหน้าของเขายังเหลือร่องรอยความพึงพอใจหลังมื้ออาหารอันโอชะ


แล้วเขาก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงล้วงซองสีดำซองหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “จริงสิ นี่ถือเป็นค่าตอบแทนของผม ยังไงผมก็สัญญากับคุณสาวใช้คนสวยแล้วว่าจะจ่ายค่าตอบแทนให้”


คุณสาวใช้รับซองมาจากมืออเล็กซ์ แล้วก็ยื่นไปตรงหน้านายท่านของตัวเอง ลั่วชิวไม่ได้รับมา หลังจากเขามองดูมันแวบหนึ่ง ก็มองอเล็กซ์อีกครั้งแล้วพูดว่า “พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยนี่ครับ”


“แต่ก็ทำไปแล้วนี่ครับ”


อเล็กซ์ยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ขอเพียงสถานที่นั้นมีเจ้าของสมาคมอยู่ด้วย ก็เป็นเหมือนกระจกเงาส่องให้เห็นความปรารถนาและความชั่วร้ายภายในจิตใจของคน แม้ว่าเจ้าของร้านลั่วไม่ได้ทำอะไรเลยก็จริง แต่แค่อยู่ใกล้ๆ คุณ ก็ลดเรื่องยุ่งยากของผมไปได้พอสมควรเลยนะครับ”


ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย “เพราะงั้นคุณถึงได้ตั้งใจพาคุณผู้หญิงคนนี้มาถึงที่นี่…แล้วยืมพลังของผม?”


“นายท่านคะ เมื่อก่อนเวลาคุณอเล็กซ์หิวแต่ไม่อยากลงมือเอง เขาก็มักจะส่งคนมาอยู่ใกล้ๆ กับพวกเราค่ะ แน่นอนว่าคุณอเล็กซ์จะจ่ายค่าตอบแทนให้ทุกครั้ง” โยวเย่พูดอธิบายเสียงเบา


ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้านี่เป็นแขกที่เอาวัตถุดิบมาเอง แล้วกลายเป็นผู้ช่วยเชฟคอยใส่วัตถุดิบอาหารเองเลยล่ะ?


อเล็กซ์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “คุณผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นเหตุบังเอิญน่ะครับ ผมเจอระหว่างทาง…และใกล้ถึงเวลาที่ผมต้องรับประทานอาหารพอดี ความจริงแล้ว ตอนแรกผมแค่จะส่งข่าวมาให้เจ้าของร้านลั่วเท่านั้นครับ”


“ข่าว?” ลั่วชิวได้ยินก็อึ้งไป


เป็นไปไม่ได้ที่คนข้างกายของเขาจะฝากข่าวผ่านมาทางอเล็กซ์ แน่นอนว่าที่พูดนั้นหมายถึงในฐานะที่เขาเป็นลั่วชิว


งั้นก็หมายความว่าเกี่ยวข้องกับอีกบทบาทหนึ่งของเขา


“ใครครับ?”


“เจ้าของร้านคนก่อนของคุณครับ”


“ลองว่ามาสิครับ”


แล้วอเล็กซ์ก็พูดเป็นเชิงชื่นชม “เจ้าของร้านลั่วใจเย็นกว่าที่ผมคิดไว้อีกนะครับ ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะตกใจกว่านี้เสียอีก”


ลั่วชิวกลับพูดอย่างนิ่งเฉย “ตอนที่ผมยังอยู่มอสโก ก็บังเอิญเจอลูกค้าเก่าของสมาคมคนหนึ่ง เขาเป็นคนมอบบ้านพักริมทะเลสาบหลังนี้ให้ แม้ว่าจะมอบให้ในนามโยวเย่ก็ตาม แต่…”


ลั่วชิวมองโยวเย่แวบหนึ่ง “ที่จริงผมคิดว่าที่นี่ออกจะเงียบสงบเกินไป คงมีแค่เจ้าของร้านคนก่อนถึงจะอยู่ที่นี่โดยสงบใจได้ แล้วที่ลูกค้าคนนั้นมอบบ้านพักหลังนี้ให้เขา…บางที พวกเขาคงเคยคุยกันก่อนที่ผมจะมา เกรงว่าคุณผู้ชายคนนั้นคงแอบจำเอาไว้…แต่ที่จริงก็ใช้เวลาเตรียมการอยู่นานมากเลยครับ”


ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดอีกว่า “เวลาผ่านไปไม่นานเหมือนลางสังหรณ์ของผมจะชัดเจนขึ้นทุกวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าของร้านคนก่อนที่ดำรงตำแหน่งนี้มานานกว่าผม ผมคิดว่าเขาก็น่าจะมีลางสังหรณ์บางอย่างเหมือนกัน…ในเมื่อเขารู้ล่วงหน้าว่าผมจะมาถึงที่นี่ อย่างนั้นเขาจะวานให้ใครมาส่งข่าวกับผมก็ไม่น่าตกใจอะไรนี่ครับ จะว่าไปแล้ว….”


ลั่วชิวบอกว่า “ในเมื่อคุณอเล็กซ์มาส่งข่าวให้ผมถึงที่นี่ได้ ก็น่าจะมีคนบอกที่อยู่ของผมกับคุณไม่ใช่เหรอครับ?”


อเล็กซ์นิ่งฟังจนจบ เขาไม่ยอมรับ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูด “พวกเราคุยส่วนตัวกันสักครู่ได้ไหมครับ?”


“เป็นความต้องการของคุณลูกค้าเหรอครับ?” ลั่วชิวเอ่ยถามด้วยท่าทางเฉยเมย


“เปล่าครับ…” อเล็กซ์หรี่ตาพูด “ผมแค่คิดว่าแบบนี้คงดีกว่าน่ะครับ หรือเจ้าของร้านลั่วไม่คิดว่า เราควรคุยกันเป็นการส่วนตัวหรือครับ?”


“นายท่านคะ ฉันไปเตรียมที่นอนให้ก่อนนะคะ” คุณสาวใช้กระซิบบอกเบาๆ ข้างหูลั่วชิว


“ไม่ต้องหรอก” ลั่วชิวส่ายหน้า “ไม่มีอะไรที่เธอรู้ไม่ได้ อีกอย่างเขาคงไม่ได้คิดจะให้เธอปลีกตัวออกไปจริงๆ หรอก”


“เฮ้อ…” ตอนนี้อเล็กซ์ถอนหายใจ แล้วพูดอย่างจนใจว่า “เพราะงั้นผมเลยไม่ค่อยอยากมาติดต่อกับเจ้าของสมาคม เพราะถึงแม้พวกเราเป็นลูกค้า แต่ก็ปิดบังความลับกับเจ้าของร้านไม่ได้เลย”


อเล็กซ์พูดถึงตรงนี้แล้ว ก็เขยิบตัวเข้ามาใกล้ทันที เขาพิจารณาลั่วชิวอย่างละเอียดพร้อมถามว่า “แบบนี้ไม่คิดว่าหมดสนุกเหรอครับ? ผมหมายถึงคุณเล่นรู้ทุกอย่างที่อยากรู้ไปซะหมดน่ะ”


“เจ้าของร้านคนก่อนอยากบอกอะไรผมครับ?” ลั่วชิวไม่ตอบคำถาม


“อย่างแรกคือส่งจดหมายฉบับนี้ให้คุณ” อเล็กซ์ยิ้มแล้วพูดอีกว่า “ดังนั้นค่าธรรมที่ผมจะจ่าย ก็คือค่าตอบแทนที่ผมจะได้รับจากการส่งจดหมายให้คุณครั้งนี้ เจ้าของร้านลั่วคงไม่ถือสาใช่ไหมครับ?”


เจ้าของร้านลั่วพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร…ความจริงเจ้านี่ไม่ถึงกับต้องจ่ายค่าธรรมเนียเลยด้วยซ้ำ เพราะขั้นตอนทั้งหมดนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในกฎการแลกเปลี่ยนที่สมาคมกำหนดไว้


“อย่างที่สอง เขาบอกว่า…” อเล็กซ์ทำท่านึกย้อน และมีท่าทีลังเล


แล้วเขาก็พูดขึ้นช้าๆ ว่า “…อย่าคิดจะดูอนาคต”


อย่า…ดูอนาคต?



หลังจากลั่วชิวนิ่งเงียบไปพักหนึ่งถึงได้พยักหน้าเล็กน้อย


เขาไม่ได้แสดงความเห็นต่อข้อความจากเจ้าของร้านคนก่อนเลย แค่รับซองสีดำนั้นมาไว้ในมือแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ซองนี่ ผมขอรับไว้แล้วกันนะครับ”


“อีกอย่างครับ”


ลั่วชิวพูดต่อว่า “คุณไปเจอเขาที่ไหนเหรอครับ?”


“เจอกันที่รัฐวาติกันครับ” อเล็กซ์ยักไหล่ตอบ “แต่ผมคิดว่าเขารอผมอยู่ที่นั่นมากกว่า แล้วก็ไหว้วานเรื่องนี้กับผม เพียงแต่ว่า ผมคิดว่าถึงคุณจะไปวาติกัน ก็คงจะหาเขาไม่พบแล้ว”


ลั่วชิวไม่มีทางหาตัวเจ้าของร้านคนก่อนเจอได้ง่ายอยู่แล้ว


ก็เหมือนที่เขาเคยเห็นตัวหนังสือในห้องเจ้าของร้านคนก่อน เหมือนว่าค่าธรรมเนียมที่ต้องแลกกับข้อมูลทั้งหมดจะสูงลิ่วอย่างไม่สมเหตุสมผล ข้อมูลใดๆ ที่ดูมีส่วนเกี่ยวกับเจ้าของร้านคนก่อนก็ถือเป็นค่าใช้ไปอย่างคาดไม่ถึง


นอกจากได้ยินเรื่องราวของเจ้าของร้านคนก่อนจากปากโยวเย่มาบ้างแล้ว ดูเหมือนว่าเขาคงเข้าใจเรื่องของเจ้าของร้านคนก่อนไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว


“เขายังสบายดีไหมครับ?”


ลั่วชิวคิดว่าบางทีเจ้าของร้านคนก่อนก็เข้าใจสถานการณ์ และดูเหมือนตั้งใจทิ้งปริศนาลับนี้ไว้ให้เขา เขาจึงแอบตั้งตารออยู่บ้าง


หากเขาไม่พึ่งพาข้อมูลจากสมาคม แต่กลับหาตัวเจ้าของร้านคนก่อนเจอในสักวัน  แบบนั้นจะเกิดอะไรขึ้นนะ?


“เขาแก่แล้วครับ”


อเล็กซ์หลับตาลง “ถึงแม้จะยืนตรงหน้าผม พูดคุยกับผม แต่เวลาของเขาก็ลดลงไปทุกนาที ทุกวินาที  ความชรา ความอ่อนแอ ใกล้ตาย ดับสูญ…”


จู่ๆ อเล็กซ์ก็ลืมตาขึ้นแล้วยิ้ม


พอเขาลุกขึ้นยืน ก็เก็บหมวกขึ้นมาสวมอีกครั้ง แล้วเดินไปสะพายกระเป๋าหนังใบใหญ่ของเขาขึ้นมา


เขาไม่ได้ขอบคุณโอเวอร์เหมือนตอนแรกที่เขาเข้ามา แต่กลับพูดช้าๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้น ขอบพระคุณเจ้าของร้านสำหรับการดูแลต้อนรับในค่ำคืนนี้นะครับ ผมจะกลับไปในที่ของผมอีกครั้ง แต่หวังว่าเจอกันครั้งหน้า ผมจะได้แลกเปลี่ยนกับคุณบ้างนะครับ”


*บากุ เป็นปีศาจในความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นปีศาจที่คอยกินฝันร้ายของผู้คน มีรูปร่างคล้ายหมี และมีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิด เช่น มีหน้าผากมีนอคล้ายแรด มีจมูกเป็นงวงคล้ายช้าง มีเท้าเหมือนเสือ มีหางเหมือนวัว


บทที่ 75 สนทนาหลังเที่ยงคืน (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่อเล็กซ์หันตัวกำลังจะเดินออกไป ลั่วชิวก็ได้เห็นบางอย่างกับตาตัวเอง


ที่แท้…ตัวจริงของปีศาจบากุก็คือสมเสร็จสินะ? ตอนนี้ตัวของอเล็กซ์เหมือนจะพองใหญ่ขึ้น


สองมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาเริ่มเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้า และจมูกก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังสั้นกว่าจมูกของช้างอยู่มากนัก


ลั่วชิวได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ มองดูร่างของอเล็กซ์กลับคืนสู่สภาพปกติ แล้วเขาก็เปิดประตูออกไปโดยไม่คิดจะหันกลับมาอีก


เขาทำภารกิจส่งข้อความให้เจ้าของคนใหม่สำเร็จแล้ว ทั้งยังบังเอิญได้กินมื้ออาหารอันโอชะอีกด้วย


ตอนนี้เขาคงอารมณ์ดีเลยสินะ แต่ออกไปแบบนี้ก็เหมือนทิ้งปัญหาให้คนเบื้องหลังจัดการต่อไม่ใช่เหรอ?


“ลูกค้าเก่ามีแต่พวกเอาแต่ใจทั้งนั้นเหรอ?” ลั่วชิวเริ่มถามอย่างสงสัย


คุณสาวใช้ไม่ได้คิดจะให้ร้ายลูกค้า แต่เธอพยายามจะพูดจากมุมมองบุคคลที่สาม “คุณอเล็กซ์ค่อนข้างพิเศษกว่าลูกค้าท่านอื่นค่ะ เขาจะไม่อยู่ที่เดิมนาน แต่จะเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ค่ะ”


แล้วลั่วชิวก็มองไปทางหญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟาทันที หลังจากอเล็กซ์กินฝันร้ายของเธอ ตอนนี้เธอก็ได้นอนสงบสักที


จากนั้นคุณสาวใช้ก็โพล่งพูดอีกว่า “แต่ถึงแม้บากุจะกินฝันร้ายไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฝันดีนะคะ”


ลั่วชิวได้แต่มองคุณสาวใช้ด้วยหน้าตาสงสัย


“เขากินแค่ความฝันส่วนนี้ ก็จะทำให้คนที่ถูกกินฝันคิดว่า ‘จะไม่ฝันเรื่องขึ้นอีก’ ดังนั้นสิ่งที่บากุกินไปอาจจะเป็นแค่ ‘หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก’ แต่ฝันร้ายก็ยังหลงเหลืออยู่ในส่วนลึกของผู้ฝันค่ะ”


พอคุณสาวใช้เห็นนายท่านเหมือนยังไม่เข้าใจ เธอจึงอธิบายเพิ่มอีก “ยกตัวอย่างเช่น เวลาปลูกต้นผลไม้ ทุกครั้งที่มันออกผลก็จะไปเก็บมาใช่ไหมคะ แต่ถึงอย่างนั้นต้นไม้ก็ยังออกผลเรื่อยๆ…หรือว่าโยวเย่ยกตัวอย่างไม่ดีหรือเปล่าคะ?”


ลั่วชิวส่ายหน้า “เปล่าหรอก ฉันแค่คิดว่าเธอรู้ไปซะทุกเรื่องเลย…หืม เธอตื่นขึ้นมาแล้ว”



ถึงแม้เธอจะถูกกินฝันร้ายไปแล้ว ทว่ากลับไม่ได้ดูสดชื่นนัก…เธอนวดคลึงขมับตัวเองเบาๆ พร้อมกับมองไปรอบห้อง


เจ้าของบ้าน คุณสาวใช้ และสาวน้อยลีน่าที่ยังหลับสนิทอยู่พร้อมหน้ากันในห้องรับแขก จริงสิ ยังมีกลอเรียนอนอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามด้วย


“เผลอหลับไปเหรอเนี่ย…” เอลลีลูบหัวตัวเองเบาๆ “สงสัยฉันคงฝันไป มันค่อนข้าง…”


เธอเริ่มมึนงงเล็กน้อย


แล้วลั่วชิวก็เอ่ยปากถามเธอว่า “มันค่อนข้างอะไรครับ?”


“ค่อนข้าง…” เอลลีขมวดคิ้วครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหัว “ไม่มีอะไรค่ะ…แล้วเลห์แมนกับคนอื่นยังไม่กลับมาอีกเหรอคะ?”


ลั่วชิวส่ายหน้า “ที่จริงผมยังไม่เคยเห็นคุณเลห์แมนกับคุณไรอันเลยนะครับ”


“งั้นเหรอคะ…”


เธอเข้าใจเอาเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหมายถึง เลห์แมนกับไรอันยังไม่กลับมา…บางทีที่ฟังดูแปลกอาจเพราะชาวตะวันออกไม่คุ้นเคยกับไวยากรณ์ภาษารัสเซียก็ได้


แม้ว่าเธอจะตกใจกับสำเนียงเหมือนคนรัสเซียของเจ้าของบ้านก็ตาม


“จริงสิ ฉันหลับไปตั้งแต่เมื่อไรคะ?” เอลลีพยายามนึกย้อน “จะว่าไป เมื่อกี้คุณถามอะไรฉันหรือเปล่าคะ?”


“คุณคือ…คุณเอลลีใช่ไหมครับ?” ลั่วชิวถามคำถามกะทันหัน


“ฉันก็แนะนำตัวไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ?” เอลลีทำหน้าประหลาดใจ แล้วส่ายหัว “คุณถามแปลกจริงๆ”


ลั่วชิวกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ คิดซะว่าผมติดโรคนี้เป็นนิสัยแล้วกันครับ ผมมักจะถามคำถามลูกค้าบ่อยๆ…อืม งานให้คำปรึกษาน่ะครับ ส่วนมากลูกค้าของผมมีความต้องการบางอย่าง แต่พวกเขาไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆ”


เอลลีทำท่าครุ่นคิด “แต่ก็ยังไม่แน่ว่าสิ่งที่คุณโน้มน้าวพวกเขาจะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ นี่คะ…แบบนี้ไม่ใช่ว่าคุณคิดไปเองเหรอ?”


“ผู้มองมักเห็นบางอย่างชัดกว่าเจ้าตัวนะครับ” แล้วลั่วชิวก็พูดต่ออย่างนิ่มนวล “แต่คุณเอลลีก็พูดถูกนะครับ บางทีผมอาจจะยืนยันไม่ได้ ยังไงตัวลูกค้าเองก็รู้มันดีที่สุด”


“หรือว่าคุณ…เป็นนักจิตวิทยาเหรอคะ?” เอลลียิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันรู้สึกแบบนั้นจากตัวคุณน่ะค่ะ แน่นอน ฉันไม่ได้พูดเล่นนะคะ ที่จริงฉันสนุกมากที่ได้พูดคุยกับคุณค่ะ”


“ขอบคุณครับ”


เอลลียืดบิดขี้เกียจเล็กน้อย คล้ายว่าเริ่มได้สติกลับมาบ้างแล้ว “เหมือนที่เลห์แมนพูดไว้เลย โลกตะวันออกลึกลับจริงๆ พวกคุณเหมือนไม่ใช่คนธรรมดาเลยล่ะค่ะ”


คำพูดนี้เหมือนพูดเล่นๆ…สำหรับเอลลีแล้ว เธอก็แค่พูดให้บรรยากาศผ่อนคลายเท่านั้น


ลั่วชิวมองออกไปนอกหน้าต่างห้องรับแขก ก่อนหันกลับมามองเอลลีแล้วพูดว่า “หรือว่า…พวกเราขายทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการจะดูธรรมดางั้นเหรอครับ?”


“ทุกอย่าง…” เอลลีอ้าปากค้าง คล้ายพยายามคิดว่า ‘ทุกอย่าง’ นี่มันมากขนาดไหนกันแน่


“ใช่ครับ พวกเราขายทุกอย่าง ตราบเท่าที่ลูกค้าจะจินตนาการได้และจ่ายค่าตอบแทนได้ครับ แน่นอนว่าลูกค้าเลือกจะไม่ซื้อก็ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับลูกค้าครับ”


เอลลีกะพริบตาปริบๆ ก่อนเริ่มกัดเล็บมือตัวเอง “เอ่อ…พูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ อย่างเช่น ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกจะซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าก็ได้…แต่ถ้าลูกค้าหาซื้อสินค้านั้นที่อื่นไม่ได้แล้วล่ะคะ? อืม ในกรณีแบบนี้ ถึงแม้พวกเขาจะมีสิทธิ์เลือก แต่สุดท้ายก็เหมือนไม่มีทางเลือกอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ยังไงถ้าพวกเขาต้องการมันจริงๆ สุดท้ายก็ต้องซื้ออยู่ดีไม่ใช่เหรอคะ? ยังไงก็เหมือนการค้าผูกขาดดีๆ นี่เอง”


เธอเป็นลูกค้าคนแรกที่มานั่งถกเรื่องนี้กับเจ้าของร้านลั่วอย่างจริงจัง


…เปิดโหมดเด็กหัวกะทิหรือไง?


เอลลียิ้มแล้วพูดต่อ “ก็หมายความว่าคุณขายทุกอย่างไม่ได้หรอกค่ะ มันดูจะโอเวอร์ไปนะคะ ถ้าพูดให้ถูก คุณจะขายของที่ลูกค้าจ่ายคุณได้ แต่ถ้าพวกเขาจ่ายคุณไม่ได้ งั้นมันก็จะไม่มีอยู่…เพราะฉะนั้น ที่คุณบอกว่า ‘ขายทุกอย่าง’ ก็เป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นค่ะ”


“พวกเราขายทุกอย่างจริงๆ นะครับ” แล้วลั่วชิวก็ค่อยๆ พูดต่อ “ลูกค้าทุกคนมีกำลังซื้อต่างกัน แต่สำหรับพวกเราที่เป็นคนจัดหาสินค้ากลับไม่เคยมีความคิดที่ว่า ‘ไม่มี’ เลยนะครับ อย่างน้อยจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนั้นครับ”


“พูดเหมือนจริงเลยนะคะเนี่ย” เอลลีส่ายหัวก่อนพูดขอไปที “ถ้าฉันคิดว่าชีวิตฉันมันห่วยแตก แล้วคุณจะขายชีวิตดีๆ ให้ฉันได้ไหมล่ะคะ? แล้วฉันต้องจ่ายมันในราคาเท่าไร? ถ้าชีวิตตีค่าเป็นเงินได้ แล้วฉันยังมีกำลังซื้อมันด้วย งั้นทำไมฉันต้องซื้อจากคุณด้วยล่ะ?”


“เรื่องพวกนี้” ลั่วชิวคลี่ยิ้มน้อยๆ “พวกเราไม่รับเป็นเงินหรอกครับ”


“ไม่รับเงิน?” เอลลีทำหน้าสงสัย “แล้วคุณจะเอากำไรมาจากไหนล่ะคะ?”


“สุขภาพ สติปัญญา มิตรภาพ ความรัก…” แล้วลั่วชิวก็พูดเนิบช้าลง “แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็เป็นกำไรทั้งนั้นครับ”


ฉับพลันนั้นเอลลีก็เสียวสันหลังวาบ


เธอรู้สึกชาไปทั้งตัว ตั้งแต่ขา น่อง ผิวหนังใต้เสื้อผ้า หน้าผาก ไปจนถึงแก้ม


ทันใดนั้นเธอก็คิดว่ามันอาจเป็นเรื่องจริง แต่ไม่นานเสียงเคาะประตูถี่รัวก็ดังขึ้น


เอลลีรีบลุกขึ้นทันที “ต้องเป็นพวกเลห์แมนแน่ๆ พวกเขากลับมาแล้ว! ฉันไปเปิดประตูก่อนนะคะ”




“เลห์แมน…” ทันทีที่เอลลีเปิดประตู เธอก็ต้องชะงักกึก


คนที่เธอเห็นตรงหน้าไม่ใช่พวกเลห์แมน แต่เป็นนายตำรวจในชุดเครื่องแบบสองนาย…พอพวกเขาเห็นเอลลีก็รีบกดตัวเธอลงกับพื้น พร้อมทั้งใส่กุญแจมือบนข้อมือทั้งสองข้างของเธอ


“ในที่สุดก็จับโรคจิตนี่ได้สักที” นายตำรวจคนหนึ่งถอนใจโล่งอกทันที


บทที่ 76 ปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เอลลีถูกตำรวจทั้งสองคนจับใส่กุญแจมือเอาไว้ อีกทั้งยังถูกเอาผ้ายัดปากไว้ด้วย ตำรวจคนหนึ่งจับมือของเธอไปไพล่หลัง เพื่อป้องกันเธอหนี


เห็นได้ว่าในดวงตาของเอลลีเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความไม่สบายใจ และน้ำตายังคลอเต็มเบ้า


แล้วตำรวจอีกคนก็หันหน้าออกไปมองนอกประตูบ้านพัก แล้วตะโกนลั่นว่า “จับผู้ป่วยได้แล้ว คุณนาย คุณผู้ชายครับ พวกคุณเข้ามาหาลูกสาวพวกคุณได้แล้วครับ”


พูดจบ เงาคนเงาหนึ่งก็พุ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว


 นั่นคือคุณนายแม็กกี้


 คุณนายแม็กกี้รีบวิ่งเข้ามาในบ้านพักอย่างทุลักทุเล ตอนที่เธอเห็นลูกสาวของตัวเองหลับสนิทอยู่บนโซฟา ถึงได้ถอนหายใจ รีบเดินไปข้างตัวลูกสาวอย่างรวดเร็ว แล้วกระชับเธอไว้ในอ้อมอก


“คุณแม่…” สาวน้อยลีน่าขยี้ตาตื่นขึ้นมา พอเห็นแม่ของตัวเอง ก็ร้องเรียกอย่างดีใจ ในขณะเดียวกันสาวน้อยก็ได้ยินเสียงอีกคนหนึ่ง


 เสียงของคุณพ่อเธอนั่นเอง “คุณพ่อคะ!”


 “ลีน่า!”


เงาคนอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกบ้านพัก คนคนนี้เป็นพ่อของเด็กสาวที่ลั่วชิวเห็นบนรถไฟ บนใบหน้าของเขามีรอยแผลมากมาย เหมือนถูกของบางอย่างบาดผิวหนังมาอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งหน้าผากของเขายังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ พร้อมรอยเลือดซึมออกมาเล็กน้อย


แล้วยังเนื้อตัวมอมแมมเหมือนไปคลุกดินคลุกทรายมา


เขาเดินมาตรงหน้าแม่และลูกสาวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างโอบกอดทั้งคู่ไว้ แล้วพูดอย่างปลิ้มปริ่ม “ดีเหลือเกิน! ดีเหลือเกิน! พ่อยังกลัวว่าพวกเธอจะเป็นอะไรไป! ดีเหลือเกิน!”


ดวงตาของสามีคุณนายแม็กกี้เริ่มมีน้ำตารื้นอยู่น้อยๆ


 “อย่าขยับ!” ตำรวจที่จับเอลลีเอาไว้ตะโกนใส่เธอ “เธอจะสร้างเรื่องเดือดร้อนให้คนอื่นอีกใช่ไหม?”


 เอลลีกลับดิ้นแรงขึ้น และด้วยเธอถูกอุดปากไว้จึงทำได้แค่ส่งเสียงฮือๆๆ เท่านั้น


“ใครช่วยอธิบายให้ผมฟังได้บ้างครับ?” ลั่วชิวเออ่ยปากถามเบาๆ


แล้วตำรวจอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามามอง “คุณเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้?”


ลั่วชิวพยักหน้าไปตามน้ำ


ตำรวจคนนั้นชี้ไปทางเอลลีที่ถูกจับตัวไว้แล้วพูดว่า “หนึ่งปีก่อนจู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นบ้า ใช้มีดแทงเพื่อนหลายคนบาดเจ็บ ก็เลยถูกจับครับ ต่อมาถูกวินิจฉัยว่ามีแนวโน้มใช้ความรุนแรง และมีปัญหาทางสภาพจิตใจขั้นร้ายแรง เธอพยายามหนีออกมาจากโรงพยาบาลหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็เหมือนกันครับ”


ลั่วชิวพยักหน้ารับรู้


จากนั้นตำรวจก็ดูเวลาบนข้อมือ “อืม เมื่อวานตอนบ่าย ผู้หญิงคนนี้แอบหนีออกมาได้อีกครั้ง พอทำให้คนขับที่เติมน้ำมันในปั๊มใกล้ๆ สลบไปแล้ว เธอก็ขโมยรถอีกฝ่ายขับหนีมา หลังจากพวกเราได้รับแจ้ง ก็รีบตามตำแหน่งของรถยนต์มาตลอดทางจนเจอที่นี่ครับ แล้วก็บังเอิญเจอคุณมาร์กซ์คนนี้ด้วยครับ”


ตำรวจยักไหล่พูด “คุณมาร์กซ์น่าสงสารมากนะครับ ตอนที่เขาทำธุระส่วนตัวดันไปเจอผู้หญิงที่หนีมาคนนี้เข้า จากนั้นก็ถูกอีกฝ่ายทำร้ายจนสลบไป แต่คุณต้องรู้นะครับ ผู้หญิงคนนี้มีพฤติกรรมผิดปกติจากปัญหาทางจิตร้ายแรง ถึงจะฟ้องร้องไป ก็คงไม่มีผลอะไร”


 “ไม่เป็นไรครับ…ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วครับ” คุณมาร์กซ์ส่ายหน้า เขามองเอลลีแวบหนึ่ง ก่อนถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้ก็น่าสงสาร ผมคงไม่สืบสาวเอาความหรอกครับ”


“ครับ ขอบคุณสำหรับความใจกว้างนะครับ” ตำรวจแย้มยิ้มเล็กน้อย


ยังไงก็ต้องยิ้ม…เพราะไม่สืบสาวเอาความก็เท่ากับลดปริมาณงานของเขาลง จะไม่ให้ดีใจได้ยังไงล่ะ


มาร์กซ์ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่สางผมลูกสาวด้วยความรักใคร่ ด้วยกลัวเธอจะขวัญหนีดีฝ่อ


แล้วคุณนายแม็กกี้ก็มองไปรอบๆ เล็กน้อย แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “จริงสิ คุณอเล็กซ์ล่ะ? เมื่อกี้นี้ตอนที่ฉันออกไปหาสามีกับเขา ฉันเผลอตกลงไปในหลุมจนเท้าเจ็บ ยังดีที่เจอตำรวจสองคนตามรอยมาถึงที่นี่ พวกเราคุยกันเล็กน้อย ถึงได้รู้ว่าที่จริง…คุณเอลลีคนนี้เป็นผู้ป่วย”


ตำรวจทั้งสองกลัวว่าการบุกเข้ามาตรงๆ จะทำให้เอลลีหนีไป จึงขอให้อเล็กซ์กลับมาดูสถานการณ์ก่อน …แต่รอนานแล้วกลับไม่ได้รับข่าวอะไรเลย


ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องพาสามีภรรยากลับเข้ามาเงียบๆ


ตำรวจสองคนซุ่มอยู่ด้านนอกหน้าต่างบ้านพัก พอแอบสอดแนมเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่ง พวกเขาก็เห็น เอลลีกำลังคุยกับเจ้าของบ้านด้วยท่าทางใจเย็น จึงตัดสินใจผลักประตูเข้ามาจับตัว



“คุณตำรวจ ผมกับภรรยาพาลูกสาวกลับมาเยี่ยมคุณย่าในวันหยุดครั้งนี้ ผมไม่อยากให้เสียเวลา…”


มาร์กซ์ถอนหายใจแล้วพูดอีกว่า “แล้วผมก็ไม่อยากเอาความเรื่องนี้แล้ว ยังไงเธอก็เป็นแค่ผู้ป่วย น่าจะไม่ต้องตรวจร่างกายก็ได้ใช่ไหมครับ? แล้วผมลงบันทึกที่นี่ได้ใช่ไหมครับ? ผมไม่อยากไปสถานีตำรวจเท่าไร เกรงว่ากลับไปกลับมาแบบนี้คงจะเสียวันหยุดไปเปล่าๆ น่ะครับ”


ตำรวจใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ได้ครับ แต่คุณต้องเขียนจดหมายรับประกันฉบับหนึ่งว่าคุณยินยอมเอง พวกเราก็ไม่อยากให้คุณผู้ชายมีปัญหาภายหลังแล้วมาโทษว่าพวกเราไม่รับผิดชอบ เพราะนี่เป็นสิ่งที่คุณยินยอมเอง ได้หรือเปล่าครับ?”


หลังมาร์กซ์คิดอยู่สักพัก ก็พยักหน้าเบาๆ


“งั้นมาเริ่มลงบันทึกกันเถอะครับ” ตำรวจหยิบกระดาษกับปากกาออกมา นอกจากนี้ยังมีปากกาบันทึกเสียง “คุณช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เจอมาอีกครั้งนะครับ”


มาร์กซ์จึงเริ่มเล่าเรื่องช้าๆ “ที่กลางป่าริมถนน ตอนนั้นพระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว ผมเพิ่งคิดจะทำธุระ…แต่อยู่ๆ ก็เห็นเงาคนคนหนึ่งแวบผ่านไป ตอนนั้นผมก็ตกใจอยู่เหมือนกัน นึกว่าโดนอะไรเข้าแล้ว แต่หลังจากมองชัดๆ ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนั้นผมแปลกใจมาก เพราะเธอเดินท่าทางล่องลอยมาก…สรุปก็คือเป็นท่าทางทีชวนให้รู้สึกแย่แบบนั้นน่ะครับ ผมก็เลยลองเรียกเธอไปสองครั้ง แต่เธอก็ไม่ตอบโต้เลย ผมเลยเดินเข้าไปหา คิดไม่ถึงว่า …”


มาร์กซ์คลำบาดแผลตรงหน้าผาก “จู่ๆ เธอก็พุ่งเข้ามาหาผมอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างการต่อสู้ ผมถูกเธอใช้หินทุบตรงนี้จนบาดเจ็บ จากนั้นก็สลบไปเลยครับ”


ตำรวจพยักหน้า พร้อมกับจดบันทึกอย่างตั้งใจ


“ตำรวจครับ ช่วยเอาผ้ายัดปากของคุณเอลลีออกได้ไหมครับ? ผมว่าเธอคงอยากพูดอะไรบางอย่าง” ลั่วชิวพูดพร้อมกับมองเอลลี


ทว่าตำรวจกลับพูดขอไปที “อย่าเลยครับ ถ้าเธอกัดลิ้นตัวเองไปจะทำยังไงครับ? โรงพยาบาลบอกว่า เธอมีพฤติกรรมจะฆ่าตัวตายมาหลายครั้งแล้ว อีกอย่างถ้าเป็นผู้ป่วยทางจิต ถึงพูดไปก็ไม่มีผลทางกฎหมายอยู่ดีครับ”


ตำรวจไม่ได้พูดผิดเลยแม้แต่น้อย


ทันใดนั้น เอลลีก็ดิ้นหลุดจากมือของตำรวจอีกคนที่จับเธอไว้ แล้วก็ทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้แต่กลับทรงพลังอย่างมากออกมา มือทั้งสองของเธอถูกใส่กุญแจไพล่หลังไว้ แต่เธอกลับยังใช้ร่างกายของตัวเองกระแทกประตูอย่างบ้าบิ่น


เธอคงอยากจะพูดอะไร แต่กลับไม่มีใครฟังเข้าใจ เพราะก้อนผ้าในปากได้ปิดกั้นการสื่อสารของเธอไปแล้ว


เนื่องจากเธอทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก ไม่นานก็ถูกตำรวจสองคนกดลงไปกับพื้นอีกครั้ง


เอลลีดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่งบนพื้น ก่อนเงยหน้าขึ้นมาพยายามออกแรงกัดผ้าในปากอย่างแรง ทั้งยังถลึงตาโตจนลูกตาแทบจะทะลักออกมาจากเบ้า ซ้ำการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งยังทำให้ใบหน้าของเธอเห่อแดงไปด้วย


ตอนนี้เธอกำลังจ้องลั่วชิวตาเขม็ง


ในดวงตาฉายแวววิงวองอย่างไร้ที่สิ้นสุด


เธอเบิกตาอยู่แบบนี้ตลอด แม้ว่าเธอจะถูกตำรวจสองคนลากไปแล้ว แต่เธอก็ยังถลึงตาโตจ้องมองมา…จนกระทั่งเธอถูกลากออกไปจากประตูบ้านนี้


“ลงบันทึกเสร็จแล้วครับคุณมาร์กซ์ หวังว่าคุณจะเปิดมือถือไว้ตลอดนะครับ มีเรื่องอะไรพวกเราจะติดต่อคุณไป” ตำรวจคนหนึ่งหันหน้ากลับมาพูดอีก “ตอนนี้พวกเราจะพาผู้ป่วยกลับไปก่อน แล้วเดี๋ยวจะนำรถที่สูญหายคันนี้ส่งคืนเจ้าของรถครับ ขอให้พวกคุณมีความสุขในวันหยุดนะครับ คุณมาร์กซ์”


วินาทีที่เอลลีถูกผลักขึ้นรถตำรวจ เธอก็เอาหัวกระแทกกับหน้าต่างรถทันที …ราวกับว่าอยากพุ่งหนีออกไปจากทางหน้าต่างนี้ให้ได้


ตอนนี้ดวงตาของเธอก็ยังเบิกกว้างอยู่ …จนกระทั่งรถแล่นจากไปไกล จนมองไม่เห็นอีกเลย


จากนั้นคุณสาวใช้ก็ปิดประตูเบาๆ ภายนอกมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากในบ้านส่องไปที่ลานสนามหญ้านอกบ้านเป็นแสงสลัวๆ จึงพอมองเห็นสีเขียวเข้มในความมืดได้เล็กน้อย


 …


“คาดไม่ถึงว่าจะเจอคุณที่นี่”


หลังจากผ่านไปสักพัก มาร์กซ์สามีของคุณนายแม็กกี้ถึงพูดยิ้มพูดทำลายความเงียบ “ตอนแรกพวกเราควรจะผ่านถนนเส้นนี้ไปเลย คาดไม่ถึงว่าจะต้องมาหยุดกลางคันแบบนี้”


ตอนนี้พอคุณนายแม็กกี้เห็นบาดแผลของสามี ก็รีบพูดขัดก่อน“ ขอโทษนะคะ ที่นี่มีกล่องยาไหมคะ? ฉันคิดว่าสามีของฉันต้องทำความสะอาดบาดแผลพวกนี้ก่อน อีกอย่าง…คืนนี้พวกเราคงต้องขออาศัยที่นี่แล้วล่ะค่ะ พวกเราไม่เป็นอะไร แต่ว่า …”


เธอมองลูกสาวของตัวเองแวบหนึ่ง เด็กขนาดนี้เกรงว่าคงตกใจแย่เลย เธอผู้เป็นแม่ ต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบมาปลอบโยนลูกสาวของของเธอให้เต็มที่สักหน่อย


“ฉันไปลองหากล่องยานะคะ” โยวเย่ยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินจากไป


แล้วมาร์กซ์ก็รู้สึกได้ว่าเจ้าของบ้านพักเหมือนมองเขาอยู่ตลอด แต่พอเขามองใบหน้าลั่วชิวกลับต้องชะงักไป


นี่ทำให้เขาตกใจจริงๆ …ตอนที่ถูกสายตาแปลกๆ จ้องมองพร้อมกับรอยยิ้มคลุมเครือแบบนี้ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจพิลึก


“ขอโทษนะครับ…ผมขอยืมใช้ห้องน้ำที่นี่ได้ไหมครับ?” มาร์กซ์ใช้มือดึงคอเสื้อของตัวเอง “ผมอยากทำความสะอาดตัวสักหน่อยน่ะครับ”


ลั่วชิวคลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วยื่นมือชี้ไปทางหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “ทางนั้นครับ…ผมจะให้คนเตรียมผ้าขนหนูให้คุณนะครับ”


มาร์กซ์พยักหน้า


เขาไม่อยากอยู่ตรงหน้าวัยรุ่นชาวตะวันออกคนนี้นานนัก …เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เลยได้แต่เดินก้มหน้าไปตามทางที่ลั่วชิวชี้อย่างรวดเร็ว


 “แม็กกี้ คุณก็มาอาบน้ำสักหน่อยสิ พาลีน่ามาด้วยล่ะ” เขาหันหน้ากลับมาพูด


ตอนที่ห้องรับแขกเหลือเพียงลั่วชิว เขาจึงนั่งลงไปอีกครั้ง  แล้วฉีกเปิดซองจดหมายสีดำที่อเล็กซ์ทิ้งไว้ให้ซองนั้น


ลั่วชิวหยิบการ์ดสีดำขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือใบหนึ่งออกมา


มุมด้านหนึ่งของการ์ดดำตั้งอยู่กลางฝ่ามือของลั่วชิว แล้วเริ่มหมุนช้าๆ …พอมองมัน ลั่วชิวก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในห้วงความคิด


ทันใดนั้นเอง สายตาของเจ้าของร้านลั่วก็ดุดันขึ้นมา


ผิวของการ์ดดำที่เคลือบสีดำเอาไว้ลอกออกจนหมด เผยให้เห็นการ์ดสีทองเงินวิบวับข้างใน…


“ใบที่สอง”




พอรถตำรวจที่ขับอยู่ข้างหน้าหยุดลง ตำรวจที่ขับรถของกลางอยู่ด้านหลังก็จอดตาม


แล้วตำรวจที่อยู่ข้างหน้าก็พาตัวเอลลีลงมาจากที่นั่งด้านหลัง


ส่วนตำรวจจากคันหลังก็ลงจากรถเดินมาข้างหน้า


ที่นี่เงียบสงบไร้ผู้คน สองข้างทางเป็นขอบหน้าผาที่ถูกความมืดกลืนกิน มองไม่เห็นปลายทาง แต่พวกเขาก็ยังเห็นสภาพรอบด้าน


ตอนนี้ตำรวจข้างหน้าหัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนมองคู่หูของตัวเอง แล้วคู่หูก็พยักหน้า


ทั้งสองลากเธอเข้าไปในป่าโดยไม่สนการดิ้นรนของหญิงสาวคนนี้ แล้วก็ล็อกมือทั้งสองของเธอไว้กับต้นไม้


หนึ่งในนั้นเริ่มถอดกางเกงของตัวเอง ส่วนอีกคนก็คอยปลดเสื้อผ้าบนตัวเอลลีออก…แต่เขาปลดไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ยั้งมือ “รอเดี๋ยว…”


“อะไรนะ? ผมถอดกางเกงขนาดนี้แล้ว คุณจะบอกให้ผมหยุด? คุณอยากจัดการก่อนหรือไง?” ตำรวจอีกคนพูดอย่างไม่พอใจ


“ไม่ใช่…คุณดูสภาพเธอสิ มันผิดปกติไปบ้างหรือเปล่า?”


ตั้งแต่เมื่อกี้นี้…หรือพูดให้ถูกก็คือ ตั้งแต่ล็อกตัวเธอไว้กับต้นไม้ หญิงสาวคนนี้ก็ไม่ขัดขืนอีกเลย


ตาของเธอนิ่งค้างและเบิกกว้าง จนเหมือนกะพริบตาไม่เป็นไปแล้ว


“ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ผมว่ามีบางอย่างแปลกๆ…” คนที่ยั้งมือไว้ขมวดคิ้ว “ผู้หญิงคนนี้จ้องผมจนเริ่มอึดอัดแล้วสิ”


คนที่ถอดกางเกงออกมาได้ยิน ก็เอากางเกงไปพันรอบตาทั้งสองของเธอทันที แล้วยังยื่นมือไปตบใบหน้าของหญิงสาวอีก ก่อนแสยะยิ้มพูดว่า “แค่นี้ก็โอเคแล้ว? รีบหน่อย เสร็จแล้วยังต้องทำความสะอาดก่อนเอาตัวกลับไปอีกนะเว้ย! วางใจได้ นี่ก็แค่ผู้ป่วยโรคจิต ไม่ว่าเธอพูดอะไรก็ไม่มีคนเชื่อหรอก”


พูดจบเขาก็เข้าไปแนบชิดตัวเอลลี แล้วเริ่มขบเม้มต้นคอขาว …จนความรู้สึกสุขสมมาเยือน


แล้วจึงเริ่มลูบไล้ไปจนสัมผัสเข้ากับบริเวณกลีบอ่อน ฉับพลันก็ยิ่งรู้สึกถึง


ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวมาจากใบหูของเขา!


อ๊า!


เขาร้องเสียงแหลม จากนั้นก็ร้องโอดครวญเป็นระยะ พร้อมจับหูของตัวเองอย่างทรมาน ตอนนี้ใบหูของเขาถูกกัดจนขาดแล้ว เลือดสดๆ ไหลนองเต็มครึ่งใบหน้าของเขา


“อ๊า!!”


ไม่รู้ว่าผ้าที่ยัดอยู่ในปากของหญิงสาวถูกคลายออกมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ทว่าปากของเธออาบไปด้วยเลือดสีแดงสดแล้ว …เธอ


เธอกำลังเคี้ยวหูส่วนที่ขาดไปข้างนั้น


กุญแจมือที่ล็อกเธออยู่ก็ขาดแล้วเช่นกัน หญิงสาวใช้มือฉีกกางเกงบนใบหน้าออก เผยให้เห็นดวงตาสีแดงฉาน…พร้อมทั้งเบ้าตาที่กำลังปริออก


ดวงตาแดงฉาน …อีกทั้งปากยังฉีกออกจากกัน


“ปี…ปีศาจ!”


พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อ ล้มหงายพับอยู่กับพื้นทันที พร้อมทั้งถีบขาของตัวเองอย่างหวาดกลัว ด้วยคิดจะถอยหนี


แต่เธอก็พุ่งเข้ามาก่อน ทั้งสองมือแทรกเข้าไปกลางอกของหนึ่งคนในนั้น แล้วฉีกมันออกจากกัน


ส่วนตำรวจอีกคนที่เหลือก็กลัวมากเกินไป จนเขาไม่อาจคิดใคร่ครวญทุกอย่างได้ …และไม่ทันสังเกตเห็นว่า ด้านหลังของหญิงสาวที่กลายร่างเป็นปีศาจคนนี้ มีม้วนหนังแกะโบราณม้วนหนึ่งแผ่กว้างออกมา


จริงๆ เขาอาจจะมองไม่เห็นเลยก็ได้


เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขามองเห็นได้


ยามนี้ท้องฟ้ากำลังมืดมิดลงเสียแล้ว


บทที่ 77 ในใจทุกคนมีปีศาจทั้งนั้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

อยู่ๆ ก็มีเสียงกระซิบข้างหู ‘ฆ่าเธอ’


ตอนรุ่งสาง เอลลีก็รู้สึกหนาววูบ เธอจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา ที่แท้กลอเรียเปิดหน้าต่างหอพักให้ลมเย็นพัดเข้ามา


แล้วกลอเรียก็หยิบเสื้อตัวหนึ่งมาคลุมไว้บนตัวเอลลี พร้อมพูดอย่างตกใจ “สวรรค์ เธออดนอนมาทั้งคืนเลยเหรอ!”


เอลลีกระชับเสื้อที่อยู่บนตัวไว้แน่นทันที แล้วถามกลับไปว่า “เธอ…ไม่ได้ยินเสียงอะไรเหรอ?”


“เสียงเหรอ? เสียงอะไร?” กลอเรียถามด้วยสีหน้างงงัน


เอลลีได้ยินก็ตะลึงไป ก่อนส่ายหน้าเหมือนไม่มีอะไร จากนั้นมองกระจกด้านข้างอย่างเผลอไผล ก็เห็นว่าสีหน้าของเธอในกระจกดูซูบเซียวไปมาก ฉับพลันก็เหลือบไปมองกลอเรียข้างๆ อีกครั้ง


สาวงามสดใสชวนให้หวั่นไหว


“เอลลี? เธอไม่สบายหรือเปล่า?” กลอเรียถามอย่างกังวล “บอกฉันมาเถอะ เธอไม่สบายตรงไหน?”


“เปล่าหรอก” เอลลีจำใจส่ายหน้าจริงใจ


“เธอมีเรื่องในใจหรือเปล่า?” กลอเรียจับบ่าเอลลีเบาๆ แล้วก้มหน้าลงมาพูด “ไข้ใจเหรอ? เกี่ยวกับไรอัน? เธอบอกฉันได้นะ พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่”


“เพื่อนสนิท…” เอลลีพึมพำเบาๆ หนึ่งคำ พร้อมกับมองตัวเองและกลอเรียในกระจก


ตอนที่ใบหน้าทั้งสองแนบชิดกัน เธอก็รู้สึกว่าใบหน้าของกลอเรียดูผิดปกติไป…เธอรู้ดีว่ากลอเรียไม่ได้แปลกไปตรงไหน แต่ทำไมกลอเรียที่เธอเห็นในกระจกถึงน่ากลัวแบบนี้?


เหมือนปีศาจ?


“กลอเรีย…ถ้า ถ้าหากวันหนึ่ง ฉันทำร้ายเธอ เธอจะว่ายังไง?” เอลลีโพล่งถามตรงๆ


ทว่ากลอเรียกลับยักไหล่ พร้อมพูดอย่างมั่นใจ “แล้วทำไมเธอต้องทำร้ายฉันด้วยล่ะ?”


ในใจฉันมี…ปีศาจสิงอยู่ไงล่ะ



ตอนนี้แยกแยะไม่ออกแล้ว จินตนาการกับความจริง อันไหนเป็นเรื่องจริงกันแน่


ที่นี่คือที่ไหน? คับแคบ มืดสนิท…พอตื่นขึ้นมาอีกทีกลางดึก ตัวเองก็มาอยู่ในที่แบบนี้แล้ว


พวกเขาบอกว่า มอบพื้นที่นี้ให้กับโรงพยาบาล จริงสิ บนกำแพงบุผ้านวมนุ่มๆ ไว้เต็มเลย เอลลีลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนมองเสื้อผ้าตัวเองด้วยแววตาสงสัย


ทำไมถึงเป็นชุดแบบผูกล่ะ?


จริงสิ ที่นี่เป็นโรงพยาบาลจิตเวชนี่นา


เธอลืมไปแล้วว่าตัวเองเข้ามาอยู่ที่นี่นานเท่าไร…แล้วเข้ามาอยู่ตั้งแต่เมื่อไรกันแน่? เธอลืมไปหมดแล้ว


แม้ว่าจะนึกเรื่องก่อนหน้านี้ออกบางครั้ง แต่เธอก็แยกไม่ออกว่า…นั่นเป็นความฝัน จินตนาการ หรือว่าเกิดขึ้นจริงกันแน่


บางครั้ง ผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าหมอก็จะเข้ามาพูดคุยกับเธอ ผู้ชายคนนั้นบอกว่า ในใจคนทุกคนมีปีศาจอยู่ทั้งนั้น แต่ว่าปีศาจไม่ได้น่ากลัว แต่ถ้าคุณยิ่งวิ่งหนีมัน มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น


สุดท้ายวันหนึ่ง มันจะกลืนกินตัวคุณไปโดยสิ้นเชิง


เป็นแบบนี้งั้นเหรอ? เวลาที่อยู่ในห้องเงียบๆ เอลลีจะชอบเงยหน้ามองหน้าต่างเหล็กบานเล็กๆ บานหนึ่ง พร้อมกับพึมพำว่า เป็นแบบนี้งั้นเหรอ


จริงสิ นี่คือที่ไหน? กลอเรีย? ไรอัน…เลห์แมน…พวกเธออยู่ที่ไหน?


ภายในห้องแคบๆ เอลลีได้แต่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง พร้อมมองภาพหลอนของไรอัน เลห์แมน และกลอเรียที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาคนแล้วคนเล่า…กลายเป็นปีศาจล้อมรอบตัวเธอ


“ออกไป!”




ในใจคนทุกคนมีปีศาจอยู่ทั้งนั้น


เงาต้นไม้นอกหน้าต่างรถผ่านไปอย่างรวดเร็ว…มันมืดมาก มืดจนเหมือนผ้าสีดำผืนหนึ่งต่อกันเป็นทางยาว


ที่นี่คือ…บนรถ?


ไม่ใช่ที่แคบๆ นั่นเหรอ?


เอลลีพิงหน้าต่างรถอยู่เงียบๆ ในใจรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเป็นเหมือนน้ำเสียในท่อระบายน้ำ ทั้งยุ่งเหยิง…แล้วยังห่วยแตกอีกต่างหาก


เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่บนรถนี้ได้อย่างไร…แต่ดูจากเครื่องแบบของคนขับรถแล้ว นี่คงจะเป็นรถตำรวจสินะ


ในใจคนทุกคนมีปีศาจอยู่ทั้งนั้นเหรอ?


น่ารังเกียจ


ขณะที่เอลลีถูกมัดไว้กับต้นไม้…เธอก็รู้ว่าตำรวจสองคนนี้คิดจะทำอะไรกับเธอ แต่…นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ?


หรือว่าเป็นแค่ฝันร้ายตื่นหนึ่ง?


เธอแยกไม่ออกอีกแล้วว่านี่เป็นเพียงจินตนาการของตัวเอง หรือตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จริงๆ กันแน่ อยู่ที่นี่เหรอ? ไม่ได้อยู่ในห้องแคบๆ นั้นเหรอ?


แต่แล้วก็สัมผัสได้ว่านี่เป็นความจริง


พวกน่ารังเกียจ…ปิดตาแล้วจะรู้สึกดีขึ้นเหรอ?


อ๊า เกลียด…ไม่ชอบแบบนี้!


ในใจคนทุกคนมีปีศาจอยู่ทั้งนั้น…ปีศาจหน้าตาอัปลักษณ์…ได้โปรดกลืนกินฉันเถอะ อะไรจริงเท็จไม่อยากรู้อีกต่อไปแล้ว


ปล่อยให้ปีศาจ กลืนกินฉันทีเถอะ


เธอเงียบสงบคล้ายไม่รู้สึกแม้กระทั่งการกระทำรุ่มร่ามของตำรวจ…แต่เธอกลับกรีดร้องอยู่ภายในใจ


เนื่องด้วยอาการของโรคฮิสทีเรีย


‘สุขภาพ สติปัญญา มิตรภาพ ความรัก…แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็เป็นกำไรทั้งนั้นครับ’


คำพูดนี้เอาแต่วนอยู่ในหัวของตัวเธอ เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหน…ใช่แล้ว เธอเคยเจอคนแปลกๆ ที่พูดเรื่องพิลึกแบบนี้เอาไว้


เป็นความจริงใช่ไหม…แต่ไม่ว่าเป็นความจริงหรือไม่ นาทีนี้…


ออกไป! จากตัวฉัน! อย่ามาโดนตัวฉัน!


ในใจคนทุกคนมีปีศาจอยู่ทั้งนั้น อัปลักษณ์…อัปลักษณ์


ได้โปรดให้ฉันกลายเป็นปีศาจที


แบบนี้ฉันก็ไม่ต้องแยกแยะความจริงกับจินตนาการอีกแล้วใช่ไหม?


ก็เหมือนกับปีศาจไร้หัวใจในนิทานเรื่องนั้น…หากไม่มีหัวใจ ทุกคนก็จะกลายเป็นปีศาจ


‘ได้ลิ้มรสเลือดสดๆ แล้ว’


พอได้เห็นตำรวจสองนายนี้หวาดกลัวจนหนีกระเจิง…ว้าว นี่คงเป็นเรื่องจริงสินะ?


แต่ช่างมันเถอะ


เพราะ…ฉันกลายเป็นปีศาจไปแล้ว


เลือดอุ่นๆ ราวกับสายน้ำไหลเวียนลงมาถึงฝ่ามือ จากนั้นเธอก็ค่อยๆ ประทับมือเปื้อนเลือดไปบนม้วนหนังแกะที่กำลังออกช้าๆ ผืนนี้




“เจ้าของบ้านพักนี้เป็นคนดีจริงๆ”


มาร์กซ์มองดูภรรยาที่กล่อมลูกสาวตัวน้อยให้หลับไป แล้วเดินเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย พร้อมกับโอบไหล่ของภรรยา แล้วพูดเสียงเบาว่า “ลำบากคุณแล้ว”


คุณนายแม็กกี้ทำท่าห้ามส่งเสียง จากนั้นก็ออกจากห้องไปพร้อมสามี คุณนายแม็กกี้รู้สึกขนลุกอยู่บ้าง เธอกอดแขนตัวเองแล้วพูดเบาๆ ว่า “พอฟ้าสว่าง พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ…อยู่ที่นี่แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยค่ะ”


มาร์กซ์พยักหน้า “ผมก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะพูดยังไง สร้างบ้านพักตากอากาศในที่แบบนี้…อืม เด็กวัยรุ่นคู่นี้ชวนให้รู้สึกแปลกๆ ตลอดเวลาเลย”


“แผลของคุณหายหรือยังคะ?” คุณนายแม็กกี้ยื่นมือไปสัมผัสบาดแผลบนหน้าผากสามีเบาๆ แล้วพูดตำหนิ “คุณก็จริงๆ เลย ตอนที่ถูกทำร้าย จะร้องเสียงดังหน่อยไม่ได้หรือไงคะ? ถ้าฉันได้ยินละก็ คุณคงไม่ถูกตีสลบ แล้วทิ้งไว้ในหลุมแบบนั้นหรอก”


มาร์กซ์ยักไหล่ตอบกลับไป “ในสถานการณ์แบบนั้น ผมต้องนึกถึงความปลอดภัยของลีน่าก่อน หรือว่าไม่จริง? ใครจะรู้ว่าเธอมีพวกมาอีกหรือเปล่า? ถ้าคุณลงรถมาด้วย แล้วเหลือลีน่าอยู่บนรถคนเดียว ถึงตอนนั้นคง…”


“ก็จริงค่ะ” คุณนายแม็กกี้พยักหน้าจนใจ “เอาล่ะ ช่างเถอะค่ะ คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ คืนนี้ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนลีน่า…”


สีหน้าของคุณนายแม็กกี้เปลี่ยนไป คล้ายกำลังตกใจกับบางอย่าง จนเธอถอยกรูดไปติดกำแพง


“เป็นอะไรไป?”


มาร์กซ์เห็นท่าทางแปลกๆ ของภรรยาก็รีบถามด้วยความตกใจ


คุณนายแม็กกี้กลับค่อยๆ ยกแขนสั่นระริก แล้วชี้ไปที่หน้าต่างของระเบียงทางเดิน พร้อมกับพูดด้วยความตกใจและลังเลว่า “เมื่อกี้นี้…มีอะไรเดินผ่านไปหรือเปล่าคะ?”


มาร์กซ์หันหลังกลับไปมองนอกหน้าอันมืดสนิท “ไม่เห็นมีอะไรเลย คุณเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า หรือว่าตาฝาด? สงสัยคงเป็นเงาของใบไม้ล่ะมั้ง”


“ก็จริงค่ะ” คุณนายแม็กกี้นวดหว่างคิ้ว ก่อนดันสามีของตัวเองเบาๆ “คุณไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ตื่นมายังต้องขับรถอีก”


มาร์กซ์มองคุณนายแม็กกี้เดินเข้าห้องไปนอนเป็นเพื่อนลูกสาว ก่อนเอียงคอเพื่อคลายความปวดเมื่อย แล้วเดินกลับห้องที่ห่างกันเพียงกำแพงกั้นเท่านั้น


หลังจากปิดประตูเข้ามาในห้องแล้ว มาร์กซ์ถึงได้ขมวดคิ้วแน่น กัดฟันพร้อมกับสูดอากาศเย็นๆ เดินไปหน้ากระจกเนิบช้า ก่อนเลิกเสื้อขึ้น แล้วถกกางเกงลงมาเล็กน้อย


“ยัยผู้หญิงบ้านี่”


เห็นเป็นบาดแผลสีแดงเข้มหลายรอยบริเวณใต้ท้องลงมาหลายนิ้ว เหมือนถูกอะไรขุดออกมาอย่างไรอย่างนั้น


มาร์กซ์ก้มหน้า ก่อนใช้นิ้วมือแตะไปบนรอยแผลเบาๆ สังเกตรอยลึกของพวกมัน แต่กลับไม่ได้สังเกตในกระจกเลยว่า


ด้านหลังเขา…มีดวงตาสีแดงดุดันคู่หนึ่งจ้องมองมา


บทที่ 78 ในตัวคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“…ขอบคุณคำชี้แนะของอาจารย์ค่ะ และแน่นอนว่ายังมีเอลลีเพื่อนรักของฉันด้วย! เธอให้คำแนะนำฉันเยอะเลย…แล้วฉันก็ขอขอบคุณ…”


กลอเรียลุกขึ้นยืน พร้อมเสียงปรบมือล้นหลามในชั้นเรียน แน่นอนว่าก็เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกชื่อเธอด้วยเช่นกัน


ในที่สุดรางวัลที่หนึ่งจากการออกแบบหลักสูตร ก็ได้ผลสรุปหลังจากเลือกสรรมาสองเดือนกว่า


เอลลีได้แต่มองกลอเรียเดินขึ้นเวทีไปรับรางวัลแห่งเกียรติยศนี้จากมืออาจารย์ที่ปรึกษา พร้อมกับเผยรอยยิ้มน้อยๆ


แต่สายตาของเธอกลับมองต่ำลงมา


ในมือถือปากกาขีดลงบนเก้าอี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว จนเก้าอี้เกิดเป็นรอยลึก


ฉับพลันเอลลีก็หลับตาลง…เหมือนว่าตัวเองหลุดไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง โลกซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษากำลังเรียกเธอด้วยเสียงดังก้อง ‘ยินดีด้วยนะเอลลี! ขึ้นมาสิ เอลลีที่รัก เธอต้องอยากแบ่งปันความยินดีกับทุกคนแน่เลย”


แล้วเธอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเหม่อลอย ก่อนเดินมาหน้าแท่นเวทีท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย จากนั้นยิ้มน้อยๆ มองกลอเรีย “ก่อนอื่น ต้องขอบคุณเพื่อนสนิทที่เคียงข้างฉันมาตลอด…”



นับวันเอลลีก็ยิ่งรู้สึกชัดว่าในตัวเธอยังมีอีกตัวตนหนึ่งอยู่ด้วย


ตัวตนที่เห็นแก่ตัว ขี้อิจฉา โมโหง่าย และหมองใจอยู่ตลอด


เธอคนนั้นชอบพูดข้างหูเอลลีว่า ‘นี่มันเพื่อนประสาอะไร เธอคิดว่ากลอเรียดีจริงๆ เหรอ? หล่อนก็แค่อยากอยู่เหนือเธอเท่านั้นแหละ แล้วหล่อนก็ยังโดดเด่นกว่าเธอทุกอย่าง’


ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย


เธอคนนั้นยังบอกกับเอลลีอีกว่า ‘ลองดูสิ หล่อนได้ชื่อเสียงเกียรติยศ ได้รับความรัก แล้วยังเกิดมาพร้อมกับความร่ำรวยอีก ยังไม่พอ หล่อนยังฉลาดอีกด้วย เรื่องที่หล่อนทำได้สบายๆ แต่เธอกลับต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะได้มา ถ้าหล่อนยังอยู่ เธอก็เป็นได้แค่เครื่องประดับส่งให้หล่อนเด่นขึ้นเท่านั้นแหละ’


ไม่…ไม่ใช่แบบนั้น


แต่เธอคนนั้นก็ยังไม่ยอมหยุดพูด ‘หรือว่าไม่จริง? ตอนแรกเธอคิดว่าเลห์แมนสนใจเธอจริงๆ เหรอ? ตื่นได้แล้วนะ เขาสนใจแค่กลอเรียเท่านั้นแหละ เขามาคุยกับเธอก็แค่อยากรู้เรื่องกลอเรียมากขึ้น เธอก็รู้เรื่องพวกนี้ดีนี่ แต่ยังเพ้อว่าเขาชอบเธออยู่อีก ก็เห็นอยู่ว่าเขาเอาแต่พูดเรื่องกลอเรียทั้งนั้น แต่เธอก็ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอยู่เรื่อย’


ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่…แบบนั้น


เธอคนนั้นพูดเยาะเย้ยต่อ ‘ทำไมเธอถึงคบกับไรอันล่ะ? ต้องการหาคนปลอบใจ? หรือที่จริงแล้วฐานะครอบครัวของไรอันดีกว่าเลห์แมน? เพราะผลการเรียนดีกว่าเลห์แมน? เพราะถึงเขาจะดูซื่อบื้อแค่ไหน แต่นอกนั้นก็เหนือกว่าเลห์แมนทุกอย่าง? เพราะเธออยากอวดว่ามีแฟนเพอร์เฟกต์กว่ากลอเรีย? หรือยอมขึ้นเตียงกับไรอันเพราะอารมณ์ไม่ดี และยอมแพ้กับทุกอย่าง’


ไม่ใช่แบบนั้น!!


ในที่สุด เธอคนนั้นก็ยิ้มเยาะพลางพูดว่า ‘เธอน่ารังเกียจจริงๆ เอลลี น่ารังเกียจมาก’


 “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ บอกว่าไม่ใช่ไง!!” ในที่สุดเอลลีก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ไม่ใช่แบบนั้น!!!!”


เธออ้าปากหอบหายใจเฮือกใหญ่ แล้วตัวตนอีกร่างของเธอก็หายไป ไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญพวกนั้นแล้ว แต่ทำไม…


แต่ทำไม…


ฉันถึงใช้มีดแทงท้องกลอเรียล่ะ?


เลือดสีแดงเข้มค่อยๆ ซึมมาปกคลุมชุดเดรสสีฟ้าขาวของเธอ จากนั้นเอลลีก็รีบดึงมีดในมือออกทันที เธอมองดูกลอเรียกุมท้องตนเอง พร้อมมองเธอด้วยแววตาตกใจ


ไม่ใช่แบบนี้


เธอเริ่มมองไปรอบข้างอย่างสับสน แล้วก็เห็นแววตาตกตะลึงของไรอันกับเลห์แมนเช่นกัน…ทันใดนั้นก็สะดุ้งเฮือก


ไม่…ไม่ใช่แบบนี้


ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่!!


ไม่ใช่แบบนี้!!!


เธอกรีดร้องเสียงแหลมแสบแก้วหู




อ๊า!


มาร์กซ์ร้องเสียงหลงด้วยทั้งตกใจ ร้อนรน และหวาดกลัว เพราะวินาทีหลังจากที่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเลื่อนสายตาจากบาดแผลที่ท้องไปมองบนกระจก


เขารีบหันตัวกลับไปมอง จากนั้นความรู้สึกเย็นวาบจากปลายเท้าเหมือนพุ่งปรี๊ดขึ้นมาถึงหนังศีรษะ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว


ตั้งแต่ใบหน้า ลำคอ หน้าอก และแขน


 “เธอ…เธอเอง!”


ถึงแม้ดวงตาเป็นสีแดงฉาน และปากฉีกออกเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมราวกับสัตว์ป่า แต่ก็ยังเหลือเค้าร่างให้เขาจำได้ นี่คือเอลลีผู้ป่วยทางจิตที่พบข้างทาง!


ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้…นี่มันเหมือนปีศาจแล้ว! ไม่สิ…เป็นปีศาจจริงๆ ต่างหาก!


 “เธอ…เธอคิดจะทำอะไร!!” มาร์กซ์ตกใจกลัวมาก เขาถอยกรูดไปตามสัญชาตญาณ ไม่ทันไรก็ชนเข้ากับผนังห้อง


‘ไม่มีทางให้หนีแล้ว’


 “อย่าเข้ามานะ! อย่าเข้า…”มาร์กซ์ตกใจกลัวจนเผลอกัดลิ้นของตัวเอง


แต่เธอกลับเข้ามาใกล้หน้ามาร์กซ์เรื่อยๆ เมื่อความหวาดกลัวคืบคลานเข้ามา ก็ทำให้เขาใจกล้าบ้าบิ่น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้หมด มาร์กซ์ยื่นสองมือออกมาพร้อมกันราวกับเป็นบ้า แล้วรุดเข้าไปบีบคอปีศาจสาวที่ทำให้เขาตกใจจนสติกระเจิงทันที!


เขาบีบคอปีศาจสาวไว้แน่น แล้วก็ผลักออกไปด้วยความเดือดดาลสุดขีด จนอีกฝ่ายล้มไปกองบนพื้น! ก่อนที่มาร์กซ์นั่งคร่อมบนตัวปีศาจสาว และบีบคอของอีกฝ่ายไว้


ผมของเขาร่วงลงมาพร้อมกับเหงื่อกาฬไหลเต็มหัว ดวงตาโกรธแค้นดุร้ายเบิกกว้างสุดขีด “เธอยังกลับมาทำอะไรอีก! ฉันไม่เอาเรื่องกับเธอแล้ว!! ฉันปล่อยเธอไปแล้วนี่!! เธอยังกลับมาทำอะไรอีก!! แก้แค้นฉันเหรอ? ฉันก็แค่เกิดอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นเอง! แค่อารมณ์ชั่ววูบจริงๆ ! แล้วเธอก็ฟาดฉันสลบไปแล้ว!! เธอยังจะเอาอะไรจากฉันอีก!! เธอถูกพาตัวไปไม่ดีหรือไง!! กลับไปอยู่เงียบๆ ที่โรงพยาบาลก็ดีไม่ใช่เหรอ!! เธอจะมาถือสาสัญชาตญาณชั่ววูบให้มันได้อะไร!! ยัยบ้าเอ๊ย!! ยัยนี่!! แก…ขำอะไรวะ!”


ฉับพลันมาร์กซ์ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ แล้วร่างกายก็เริ่มแข็งทื่อเป็นหิน ราวกับมีบางอย่างกำลังจะลากตัวเขาไป


ก่อนมองรอยยิ้มแสยะบนใบหน้าของเธอ


“เธอยิ้มทำไม! ยิ้มอะไร! ยิ้มหา…”


ฉับพลันนั้น…เสียงเปิดประตูก็ดังส่งมา เป็นเสียงของบานพับประตูที่ฝืดจากสนิมเขรอะ


เขาจึงหันหน้าไปมองทันที แล้วก็เห็นภรรยาของตัวเอง แม็กกี้!


“ฉัน…ได้ยินเสียงบางอย่าง” คุณนายแม็กกี้พูดอธิบาย


เธอเห็นผู้หญิงที่สามีเธอนั่งคร่อมบีบคออยู่ไม่ชัดนัก แต่เธอจำชุดที่หล่อนสวมได้


แค่เห็นภาพตรงหน้านี้ก็มากพอให้เธอว้าวุ่นใจแล้ว…แล้วไหนจะเรื่องที่มาร์กซ์เพิ่งพูดไปเมื่อกี้นี้อีก


อารมณ์ชั่ววูบ…


อารมณ์ชั่ววูบแบบไหนกันแน่?


ในหัวคุณนายแม็กกี้มีแต่คำนี้วนเวียนเต็มไปหมด จนเธอไม่ทันได้คิดว่าทำไมผู้ป่วยที่ถูกจับไปแล้วถึงมาอยู่ที่นี่


“แม็กกี้ คุณฟังผมก่อน…ผู้หญิง ผู้หญิงคนนี้เป็นปีศาจ!” มาร์กซ์รีบขอความช่วยเหลือ “มาเร็ว! ช่วยผมหน่อย!”


“อะไรที่ว่า…อารมณ์ชั่ววูบ?”


คาดไม่ถึงว่าคุณนายแม็กกี้จะหลุดคำถามแบบนี้ออกมา ราวกับสติล่องลอยหายไป


“คุณฟังผิดไปแน่ๆ! รีบมาเร็ว! ผมจะกดตัวเธอไว้ไม่ไหวแล้ว!! นี่มันปีศาจนะ!!”


“ทำไมคุณไม่เอาเรื่อง! เพราะอะไร?” คุณนายแม็กกี้มองมาร์กซ์ด้วยสายตาแปลกใจและไม่คุ้นเคย “ฉันรู้จักนิสัยคุณดี…คุณไม่ชอบให้ตัวเองเสียเปรียบ ถึงแม้จะเรียกหาความรับผิดชอบทางกฎหมายจากผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ แต่ก็รับค่าชดเชยจากคนในครอบครัวเธอได้เหมือนกัน นี่แม้แต่เธอมีครอบครัวหรือเปล่าคุณก็ไม่ถาม…แปลกมากจริงๆ คุณ…คุณจะทำอะไรกับเด็กสาวคนนี้กันแน่”


“เปล่า!! รีบมานี่ ช่วยผมหน่อย!!” มาร์กซ์ตะโกนเรียก “ยัยนี่เป็นปีศาจ! เธอจะทำร้ายพวกเรานะ! มาเร็ว!!”


คุณ…คุณต่างหาก” คุณนายแม็กกี้พยายามข่มความเสียใจที่ประดังประเดเข้ามา “คุณต่างหาก…ที่ฉันเห็นคือคุณต่างหาก! ปีศาจอะไร! คนที่คิดจะฆ่าคนคือคุณต่างหาก! ฉัน…ทำไมสามีของฉันเป็นคนแบบนี้ไปได้! ฉันผิดหวังจริงๆ มาร์กซ์!”


เด็กสาวถูกกดไว้แนบกับพื้น สองมือของมาร์กซ์ยังบีบคอเธอเอาไว้…ใครคิดจะฆ่าใครกันแน่?


“หยุดนะ! มาร์กซ์!” คุณนายแม็กกี้พูดด้วยตาแดงก่ำ “คุณไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเด็กคนนี้อีก!”


มาร์กซ์ชะงักมองดูสีหน้าของภรรยา ทันใดนั้นเอง…เขาก็เข้าใจว่าทำไมเมื่อครู่ปีศาจสาวตนนี้ถึงแสยะยิ้ม


เธอกำลังเยาะเย้ยเขา!!


“ปล่อยเธอนะ!  คุณทำแบบนี้ได้ฆ่าเธอจริงๆ หรอก! นี่คุณทำผิดกฎหมายอยู่นะ! คุณรู้ตัวหรือเปล่า มาร์กซ์!! ได้สติสักทีสิ!” คุณนายแม็กกี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้หนีกลับมาอีกทำไม แต่ฉันเชื่อว่าตำรวจสองคนนั้นน่าจะยังไปไม่ไกล…มาร์กซ์ ฉันไม่อยากเป็นพยานชี้ตัวคุณนะ คุณไม่คิดถึงลีน่าบ้าเหรอ หยุดสักทีเถอะ!”


“ลีน่า…ลีน่า…ใช่ ลีน่า…ไม่!!”


เขาใจลอยไปชั่วขณะ แต่ไม่ทันไรก็กลับมาคลั่งอีกครั้ง ดูเหมือนว่ารอยยิ้มเยาะเย้ยของเด็กสาว…ของปีศาจสาวจะยั่วโมโหเขาอีกครั้ง ทำให้ภรรยาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาเอง เขายิ่งเหมือนถูกกลั่นแกล้ง


ภาพลักษณ์สามีที่ดีตลอดมานี้ พลันอันตรธานหายไปเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น


“ฟังนะ!” มาร์กซ์หันกลับมา พร้อมหอบหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาเบิกกว้างยามพูด “ฉันไม่สนว่าเธอจะเป็นบ้าหรือเป็นปีศาจ! ฉันจะกำจัดเธอ เธอทำอะไรลงไปรู้ไหม? เธอทำลายครอบครัวฉัน! เธอรู้ไหม? ฉันจะไม่ ฉันจะไม่ปล่อยเธอไว้…ไม่มีทาง…”


ภายในห้อง ดูเหมือนว่าความชั่วร้ายจะถูกปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดสุดแล้ว


เหมือนน้ำวน ไหลเร็วและแรง ผลักคนเข้าไปใจกลางวังน้ำวน!


“เธอไม่น่ากลับมาอีกเลย!!!!” มาร์กซ์ใช้แรงทั้งหมดเท่าที่มีบีบคอเธอแน่น!


“มาร์กซ์! หยุดนะ!” คุณนายแม็กกี้เห็นสามีเสียสติโดยสิ้นเชิงแล้ว จึงได้แต่รีบวิ่งมาคว้าแขนเขาเอาไว้อย่างลนลาน ด้วยคิดจะหยุดเรื่องทั้งหมดนี้!


ทันใดนั้นเองมาร์กซ์ก็หยุดชะงัก ก่อนสำลักพ่นเลือดออกมาจากปาก


ไม่รู้ว่าแขนของปีศาจสาวทะลุหน้าอกของมาร์กซ์ไปตั้งแต่เมื่อไร ฝ่ามือที่ชุ่มเลือดอย่างกับกรงเล็บ กำลังกรีดนิ้วไปมาอย่างช้าๆ กลางอากาศ


อ๊า!


คุณนายแม็กกี้ร้องตกใจ หวาดผวาสุดขีดจนล้มพับไปนั่งนิ่งบนพื้น


แล้วเธอก็เห็นเด็กสาวชักแขนออกมา พร้อมสะบัดตัวมาร์กซ์ลอยกระเด็นไปชนมุมกำแพง


จากนั้นเธอถึงได้มองเห็นหน้าตาของเด็กสาวคนนี้เต็มตา!


คุณนายแม็กกี้จึงรีบเหลือบดูตัวชุ่มเลือดของมาร์กซ์ตรงมุมห้อง แล้วร้องไห้คร่ำครวญน่าเวทนา…จากนั้นปีศาจสาวก็เดินเข้ามาหาเธอทีละก้าว ทีละก้าว


“อย่านะ…” คุณนายแม็กกี้ส่ายหัวไร้ทางสู้ พลางก้มหัวพูดวิงวอนว่า “อย่าเข้ามานะ! อ๊า!!”


“คุณแม่ ทำอะไรกันอยู่คะ?”


หนูน้อยยืนมองอยู่หน้าประตู


เธอยืนกอดหมอนในชุดนอนสะอาด แต่เห็นได้ว่ามีรอยย่นเล็กน้อยด้วยเข้านอนมาสักพักแล้ว


หนูน้อยลีน่าขยี้ตาตัวเองแรงๆ มองภาพตรงหน้าคล้ายฝันไป


ทันใดนั้นเอง ปีศาจสาวหันตัวพุ่งไปที่หนูน้อยทันที


ลีน่าเห็นก็ตกใจ เธอมองปีศาจสาวหน้าตาดุร้ายน่ากลัวตนนี้ สองมือกอดหมอนตัวเองไว้แน่น ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ยอมขยับ


“ไม่! อย่านะ! หยุดเดี๋ยวนี้!” คุณนายแม็กกี้กึ่งกลิ้งกึ่งคลานลุกขึ้นมาทันที สองมือโอบรั้งเอวด้านหลังของปีศาจสาวไว้ “อย่านะ! อย่าทำลูกสาวฉัน! พอที!”


แต่พลังของปีศาจสาวมีมากล้น ไม่ว่าเธอจะดึงหรือเหนี่ยวรั้งไว้อย่างไร ก็ไม่อาจหยุดฝีเท้าของปีศาจสาวไว้ได้


จากนั้นปีศาจสาวก็ปัดแขนไปทางด้านหลังทันที แล้วคุณนายแม็กกี้ก็ลอยกระเด็นไปล้มพับอยู่สุดมุมห้อง


ในที่สุด ปีศาจสาวก็เดินมาถึงตรงหน้าลีน่า พร้อมกับยื่นมือออกมาดึงคอลีน่าไว้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม