จารใจรัก 72-76.2

ตอนที่ 72 สังหารในครั้งเดียว

 

           ลูกตาของฉางเฟิงเบิกตามองเซี่ยฟางหวาด้วยความหวาดกลัว 


 


 


           “นี่เป็น…เป็น…เคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผี…เจ้าใช้มันได้ด้วยรึ” 


 


 


           ประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อ นึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่เขาต้องการ ตอนนี้กลับถูกเซี่ยฟางหวานำมาใช้กับตนเองเสียอย่างนั้น 


 


 


           เขาใช้ตาข่ายใหญ่จับกุมนาง ภายใต้ความลำพองใจจึงไม่คาดคิดถึง เดิมนางตกอยู่ในความควบคุมของตน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าตนตกอยู่ในกำมือนางเพียงชั่วพริบตา ทั้งยังไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน 


 


 


           เขาทั้งตกใจทั้งโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองฉางเฟิง ริมฝีปากแย้มยิ้มขึ้นเล็กน้อย แสงสีดำใต้ฝ่ามือกลับไม่โอนอ่อนผ่อนตามแม้แต่นิดเดียว แสงสีดำทุกรัศมีดั่งดาบอันดุดัน จ้องจะสังหารฉางเฟิงทุกเมื่อ นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ปรมาจารย์ฉางเฟิง ท่านว่าวันนี้เป็นท่านสังหารข้า หรือข้าสังหารท่านกันแน่” 


 


 


           “เจ้ากล้ารึ!” ฉางเฟิงขึ้นเสียงดัง เพราะแสงสีดำรัดลำคอแน่น น้ำเสียงจึงหาได้เย็นชาแบบก่อนหน้านี้ หากแต่กลายเป็นเสียงแหลมฝืดไม่น่าฟัง 


 


 


           “ข้ากล้า!” เซี่ยฟางหวายืนยัน 


 


 


           “ปู่ของเจ้า ลุงของเจ้า ตระกูลเซี่ยของเจ้า…ไม่ไยดีแล้วรึ” ฉางเฟิงแม้ตกใจและโกรธแค้น แต่ยามนี้ก็มิได้แสดงความหวาดกลัวจนเกินเหตุ ราวกับมั่นใจนักหนาว่าเซี่ยฟางหวาจะไม่สังหารเขา “หากเจ้าสังหารข้า ย่อมมีคนอื่นไปสังหารคนเหล่านี้แทน” 


 


 


           “ในเมื่อข้ากล้าสังหารท่าน ย่อมมีความสามารถปกป้องพวกเขาได้ ผู้ที่จะตายที่นี่คือท่าน ที่อื่นจะเป็นใครไปคนผู้นั้นก็จะตายแบบเดียวกัน” เซี่ยฟางหวาแสยะยิ้มเย็น  


 


 


           “สตรีอย่างเจ้าช่างพูดจาอวดดีนัก เจ้า…รู้หรือไม่ว่าผู้ที่จะสังหารปู่เจ้าเป็นใคร” ฉางเฟิงพลันหัวเราะเสียงดังยกใหญ่ 


 


 


           “ท่านบอกข้าได้!” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           “ฝันไปเถอะ!” ฉางเฟิงมองนางด้วยแววตาดุดัน 


 


 


           “ช้าเร็วข้าก็สืบเจออยู่ดี ในเมื่อท่านปรมาจารย์ไม่บอกก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี หลังท่านตายไปแล้ว ข้าจะช่วยเผาศพท่านให้ ระหว่างทางไปยมโลก ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ” เซี่ยฟางหวาพลันหมุนข้อมือ แสงสีดำนำมาซึ่งจิตสังหารทันที จิตสังหารนี้แม้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความใจดีดุจดาบอ่อนโยน ราวคมดาบเคลื่อนไหวตัดตามร่างของฉางเฟิง 


 


 


           ฉางเฟิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเซี่ยฟางหวาทั่วร่าง นางต้องการสังหารเขาจริงๆ ในที่สุดนัยน์ตาเขาก็สะท้อนความหวาดกลัวออกมา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาคิดในใจว่า ที่แท้ศพแข็งทื่อระดับสูงในเขาไร้นามก็กลัวตายเช่นกัน 


 


 


           “หยุดเดี๋ยวนี้!” ฉางเฟิงตะโกนด้วยความเจ็บปวด “หากเจ้าไม่สังหารข้า ข้าจะบอกเจ้า…” 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาหวิว “สายไปแล้ว”  


 


 


           สิ้นเสียงก็มิให้โอกาสเขาอีกแล้ว แสงสีดำกลายเป็นใบมีดนับพันหมื่นร่ายรำรอบตัวเขา เส้นเลือด เอ็น และกระดูกทั้งหมดในตัวเขาถูกตัดขาดทีละจุด ไม่เกินหนึ่งถ้วยชา ฉางเฟิงก็กลายเป็นมนุษย์เลือด นัยน์ตาที่เคยแสดงความหวาดกลัวนั้นแปรเปลี่ยนเป็นดำสนิทและสิ้นหวัง สุดท้ายก็หลับตาลง 


 


 


           หมดลมหายใจโดยสิ้นเชิง! 


 


 


           เซี่ยฟางหวาถอนมือกลับมาเชื่องช้า ร่างฉางเฟิงล้มลงบนพื้น ชั่วพริบตาบนพื้นก็เจิ่งนองด้วยกองเลือด 


 


 


           นางไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา ร่างกายอ่อนยวบ ฝ่ามือตกลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยกมือผิวปากเสียงเบา นกตัวหนึ่งบินออกมาหานางจากผืนป่าชั้นใน นางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “ไปเรียกพวกซื่อฮว่าทั้งแปดมา” 


 


 


           นกตัวนั้นฟังภาษามนุษย์เข้าใจ รีบสยายปีกบินออกไปทันที 


 


 


           หนึ่งก้านธูปถัดมา ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ควบม้าห้อตะบึงมา เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาติดอยู่ในตาข่ายใหญ่กับมนุษย์เลือดที่จมอยู่ในกองเลือดตรงหน้านางจนแยกแยะรูปร่างไม่ออกก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป รีบลงจากม้าแล้วส่งเสียงเรียกด้วยความร้อนรน “คุณหนู!” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาลืมตาขึ้น สื่อให้พวกนางช่วยแก้ตาข่ายนี้ออก 


 


 


           พวกซื่อฮว่ารีบลงมือแก้ เชือกตาข่ายแม้ถักได้อย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่คณามือเมื่อหลายคนช่วยกันแก้ ใช้เวลาไม่นานก็ช่วยเซี่ยฟางหวาออกมาจากตาข่ายได้ ม้าใต้ร่างก็ได้รับการช่วยเหลือในเวลาเดียวกัน มันลุกขึ้นยืน เตะขาไปมา ก่อนไปจากที่ตรงนั้นอย่างไม่ชอบใจนัก ถอยห่างออกจากศพฉางเฟิงไปค่อนข้างไกล 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไร้เรี่ยวแรง ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยุงนาง พบว่าใบหน้านางขาวซีด ทั้งร่างกายราวกับอ่อนแอยิ่ง สภาพพร้อมที่จะล้มหมดสติไปได้ทุกเมื่อ พวกนางตกใจ รีบเอ่ยขึ้น “คุณหนู ท่านเป็นเช่นไรบ้าง ท่านอย่าทำให้พวกบ่าวตกใจ!” 


 


 


           “ข้าแค่เสียแรงมากเกินไป ไม่เป็นไรหรอก พักสักครู่ก็ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องกังวล” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           “จริงหรือเจ้าคะ” ซื่อฮว่ารีบถาม 


 


 


           “จริงสิ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าก่อนชี้ไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล “พยุงข้าไปนั่งตรงนั้น แล้วพวกเจ้าช่วยกันค้นตัวศพผู้นี้ ดูว่าบนตัวเขานำสิ่งใดมาด้วยบ้าง หลังค้นหาเสร็จแล้วก็จัดการเผาศพด้วย” 


 


 


           “คุณหนู คนผู้นี้เป็นใครหรือ” ซื่อฮว่าถาม 


 


 


           “ฉางเฟิง หนึ่งในสามปรมาจารย์เขาไร้นาม” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           พวกซื่อฮว่าได้ยินคำตอบก็ตกใจใหญ่ พวกนางได้ยินกิตติศัพท์ของปรมาจารย์เขาไร้นามว่าร้ายกาจยิ่ง มีวิทยายุทธ์เข้าขั้นบรรลุ นึกไม่ถึงเลยว่าคุณหนูจะสังหารคนผู้นี้ตายแล้ว มิน่ายามนี้ถึงได้หมดเรี่ยวแรงเช่นนี้ คิดว่าส่วนที่พวกนางมองไม่เห็นคงอันตรายถึงชีวิตแน่นอน จึงรีบพยุงเซี่ยฟางหวาไปนั่งพักใต้ต้นไม้ต้นนั้น 


 


 


           หลังเซี่ยฟางหวาได้นั่งพิงต้นไม้แล้วก็หลับตาลง เอ่ยบอกทุกคนด้วยความอ่อนแรง “ไปเถอะ ระวังตัวด้วย แม้เขาตายไปแล้ว แต่บนตัวอาจมีหนอนพิษหรือยาพิษอยู่ อย่าได้บาดเจ็บเข้า” 


 


 


           “เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านเดินกลับไปด้วยกัน 


 


 


           พวกผิ่นจู๋สี่คนอยู่กับเซี่ยฟางหวา 


 


 


           ผิ่นจู๋เห็นว่านางทรมานอย่างยิ่ง จึงกล่าวเสียงเบา “คุณหนู บ่าวถ่ายทอดพลังภายในให้ท่านดีกว่า” 


 


 


           “ไม่ใช่เรื่องของพลังภายใน ตอนนี้พลังภายในไร้ประโยชน์สำหรับข้า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           “เช่นนั้นท่านใช้สิ่งใดสังหารฉางเฟิงหรือ” ผิ่นจู๋ไม่เข้าใจ 


 


 


           “เคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผี” เซี่ยฟางหวาอ่อนล้ายิ่ง “สิ่งที่สูญเสียไปไม่ใช่พลังภายใน แต่เป็นเลือด” 


 


 


           “คุณหนู แล้วทำเช่นไรดีเล่า เลือดของท่านแค่มองดูก็รู้แล้วว่าสูญเสียไปเยอะมาก จะฟื้นฟูกลับมาอย่างไร” ผิ่นจู๋ได้ยินคำว่าเลือดก็ตกใจจนหน้าถอดสี 


 


 


           “รอจัดการตรงนี้ให้เรียบร้อยแล้วหาที่พักก่อน วันนี้เดินทางต่อไม่ได้แล้ว ข้าจะใช้ลมปราณภายในฟื้นฟูกลับมา คืนหนึ่งคงดีขึ้นเจ็ดแปดส่วน” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           “ฟื้นฟูได้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋เบาใจขึ้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้ม ไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           อีกฝั่ง พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อสี่คนใช้ปลายกระบี่เขี่ยผ้าคลุมหน้าฉางเฟิงออกก่อน เผยให้เห็นใบหน้าหวาดกลัวแต่ไม่ยินยอมอันเรียบนิ่ง หน้าตาธรรมดาสามัญ หากอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ไม่มีใครแยกออก ทั้งสี่มองหน้ากัน ก่อนใช้กระบี่แหวกเสื้อคลุมตัวนอกออก เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีของมีพิษจึงใช้กระบวนท่าที่ฝึกขึ้นเฉพาะค้นตัวเขา  


 


 


           พักใหญ่ต่อมาก็ค้นหาสิ่งของในอกเสื้อเขามาได้กองหนึ่ง 


 


 


           มีขวดกระเบื้องหลายใบ กระบอกไม้ไผ่สองลำ ขลุ่ยไม้หนึ่งเลา ยังมีสมุดบันทึกสีดำหนึ่งเล่ม รวมถึงกระดาษหนังวัวหนึ่งม้วน 


 


 


           ซื่อฮว่าหอบของพวกนี้เดินไปหาเซี่ยฟางหวา 


 


 


           ซื่อม่อ ซื่อหว่าน และซื่อหลานใช้หินเหล็กไฟเผาศพฉางเฟิง ทันทีที่ศพเริ่มเผาไหม้ก็ส่งเสียงแตกร้าวขึ้น 


 


 


           ซื่อฮว่าเดินมาหาเซี่ยฟางหวา วางของทั้งหมดลงแล้วกล่าวเสียงเบา “คุณหนู พบของพวกนี้บนตัวเขา” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ลืมตาขึ้น ก่อนยื่นมือหยิบมาดูทีละชิ้นเชื่องช้า 


 


 


           สิ่งที่บรรจุในขวดหลายใบคือยา มีทั้งยาพิษและยาวิเศษ ด้วยวิชาแพทย์ของเซี่ยฟางหวาย่อมแยกแยะได้ง่ายมาก 


 


 


           กระบอกไม้ไผ่สองลำถูกปิดสนิท ข้างในเลี้ยงหนอนตัวเล็กไว้สองคู่ คู่หนึ่งสีแดง คู่หนึ่งสีดำ ส่วนขลุ่ยไม้เลานั้นน่าจะใช้เป่าบรรเลงเพื่อควบคุมหนอนในกระบอกไม้ไผ่ 


 


 


           สมุดบันทึกสีดำเล่มนั้นเขียนด้วยอักษรสันสกฤตผี สิ่งที่เขียนไว้เป็นชื่อคนทั้งหมด บางชื่อถูกขีดฆ่าออกไปแล้ว บางชื่อใช้ลายมือต่างกันในการเขียน นางเห็นชื่อของหมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานถูกขีดฆ่าไปแล้ว ยังมีตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางที่ถูกขีดฆ่าทิ้งไปแล้วด้วยเช่นกัน เหนือจากนี้ นอกจากชื่อขุนนางหรือคนตระกูลใหญ่ในหนานฉิน นึกไม่ถึงว่ายังมีชื่อคนในเป่ยฉี หนึ่งในชื่อที่สะดุดตามากที่สุดคือชื่อของเหยียนเฉินซึ่งถูกเขียนไว้เป็นอันดับแรก และยังไม่ถูกขีดฆ่า 


 


 


           นี่หมายถึงคนที่ต้องสังหารใช่หรือไม่ 


 


 


           หรือว่าลายมือเขียนชื่อต่างกันมีวัตถุประสงค์ต่างออกไป 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพลิกสมุดอ่านดูพักหนึ่งแล้ววางลง ทั้งหยิบม้วนกระดาษหนังวัวมาคลี่ออก พบว่าข้างในว่างเปล่า นางยื่นมือลูบคลำกระดาษ พักต่อมาก็กล่าวกับซื่อฮวา “นำหินเหล็กไฟมาให้ข้า” 


 


 


           ซื่อฮว่าส่งหินเหล็กไฟให้นาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาจุดไฟเผาม้วนกระดาษหนังวัว สักพักใหญ่มุมทั้งสี่ก็เกิดการเผาไหม้ มีกระดาษบางแผ่นหนึ่งลอดออกมาจากข้างใน 


 


 


           เป็นแผนที่แผ่นหนึ่ง 


 


 


           เซี่ยฟางหวานิ่งมองพักหนึ่ง ก่อนวางลงด้วยความอ่อนล้า เอ่ยบอกซื่อฮว่า “เก็บของพวกนี้ไว้ให้ข้าก่อน” 


 


 


           ซื่อฮว่ารับคำ รีบเก็บของพวกนี้อย่างว่องไว 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ไกลกันนั้น กลิ่นเผาไหม้จากศพก็โชยมา ไม่น่าพิสมัยอย่างยิ่ง 


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมา ศพถูกเผาจนเหลือเพียงขี้เถ้า พวกซื่อม่อสามคนกลับมาบอกเซี่ยฟางหวา “คุณหนู เผาศพฉางเฟิงเรียบร้อยแล้ว บนพื้นเหลือเพียงเถ้ากระดูก…” 


 


 


           “ลมพัดมาก็สลายหายไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาลืมตาแล้วสั่งงาน “หาที่พักไกลจากตรงนี้หน่อย เลือกเป็นสถานที่ในป่าค่อนข้างลึก ข้าจะพักฟื้นร่างกายที่นั่น” 


 


 


           ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยุงเซี่ยฟางหวาขึ้นม้า มุ่งหน้าไปยังหุบเขาลึกเบื้องหน้า 


 


 


           เดินทางไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามก็หยุดลงในป่าลึก ซื่อฮว่าถามเสียงเบา “คุณหนู ตรงนี้เป็นเช่นไร” 


 


 


           “ตรงนี้แล้วกัน!” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ตอบอย่างอ่อนแรง 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยุงเซี่ยฟางหวาลงมา พวกผิ่นจู๋รีบไปหาพื้นที่ที่เหมาะสม เก็บกวาดพื้นที่โล่งให้สะอาด ทั้งเก็บหญ้าแห้งมาจำนวนหนึ่งเพื่อปูรองพื้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวานั่งขัดสมาธิบนหญ้าแห้ง เริ่มถ่ายพลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเชื่องช้า ฟื้นฟูกำลังและเลือดที่สูญเสียไปกลับมา 


 


 


           ฉางเฟิงมีวิทยายุทธ์สูงเกินไป แรกเริ่มนางไม่อยากสังหารเขาในทันที คิดอยากล้วงข้อมูลอันมีค่าจากปากเขามาให้ได้มากกว่านี้ ทว่าต่อมาก็พบว่าประสิทธิภาพในวิชาภูตผีของนางกำลังลดต่ำลง หากยังถ่วงเวลานานไปกว่านี้ นางเดิมทีติดอยู่ในตาข่ายนั้นย่อมไม่มีหนทางสังหารฉางเฟิงได้ หากผิดพลาดขึ้นมา ซ้ำเขายังชุบชีวิตให้ฟื้นจากความตายกลับมาได้ เช่นนั้นนางต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน 


 


 


           ดังนั้นนางถึงบอกว่า ‘สายไปแล้ว’ และไม่ให้โอกาสเขาอีกต่อไป จากนั้นก็ลงมือสังหารเขาในครั้งเดียว 


 


 


           สังหารปรมาจารย์เขาไร้นามไปหนึ่งคน ทำให้เสียพลังที่เดิมมีอยู่ไม่มากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน 


 


 


           สำหรับเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีนั้น ตั้งแต่วันที่นางได้มันมา ก้นบึ้งหัวใจก็เกิดการรังเกียจและขัดแย้งกันตลอดมา ดังนั้นแม้ร่ำเรียนไปแล้ว แต่ก็มิได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง เพียงอาศัยเลือดในร่างกายตนเอง ความได้เปรียบที่มีมาแต่กำเนิด เรียนรู้เองโดยไร้อาจารย์กำกับดูแลจนทำได้สามส่วน 


 


 


           สามส่วนนี้นำมาใช้สังหารคนผู้หนึ่ง ยิ่งเป็นปรมาจารย์เขาไร้นาม ย่อมลำบากอย่างยิ่ง 


 


 


           ดูท่าถึงนางไม่อยากเรียนก็ต้องเรียนแล้ว 


 


 


           วันนี้หากมิใช่ฉางเฟิงลำพองใจ นางเข้าใกล้ตัวเขามิได้ ด้วยเคล็ดวิชาลับที่นางรู้เพียงน้อยนิด ไม่แน่ว่าจะทำอันใดเขาได้  

 

 


ตอนที่ 73-1 แกะรอยตามมา

 

  เซี่ยฟางหวายับยั้งความรู้สึกนึกคิดในสมองไม่ให้คิดไปมากกว่านี้ ก่อนค่อยๆ จมดิ่งเข้าสู่ฌาน


 


 


           ไม่นานบริเวณพื้นที่ที่นางนั่งก็มีกลุ่มหมอกสีดำค่อยๆ รวมตัวกันชั้นหนึ่ง หมอกสีดำนั้นดูจางบางเบาอย่างมาก หากไม่สังเกตให้ละเอียดก็แทบมองไม่เห็น เทียบกับหมอกหนาทึบที่ใช้สังหารฉางเฟิงแล้วบางเบากว่าตั้งไม่รู้เท่าไร


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อรายล้อมเซี่ยฟางหวา ไม่กล้ารบกวนนาง


 


 


           กระทั่งฟ้าค่อยๆ มืดลง เสียงสัตว์ป่าดังแว่วขึ้นจากป่าเขาโดยรอบ


 


 


           “เราแปดคนตั้งค่ายกลตรงนี้กันดีกว่า หากมีใครมารบกวนคุณหนู ค่ายกลยังพอสกัดได้บ้าง ถึงอย่างไรคุณหนูก็สังหารฉางเฟิงผู้นั้นแล้ว ยามนี้แม้ห่างจากที่เกิดเหตุค่อนข้างไกล แต่มิรับประกันว่ายังมีใครตามมาอีกหรือไม่” ซื่อฮว่ากวักมือเรียกอีกเจ็ดคนที่เหลือเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม


 


 


           ทั้งเจ็ดคิดว่ามีเหตุผลจึงพยักหน้าเห็นด้วย


 


 


           ทั้งแปดล้อมวงปรึกษาเรื่องค่ายกล เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงล้อมรอบเซี่ยฟางหวาเพื่อเริ่มตั้งค่ายกล


 


 


           หนึ่งชั่วยามถัดมา เมื่อทั้งแปดตั้งค่ายกลเสร็จแล้วก็กระโดดเข้ามาข้างในด้วยกัน แต่ละคนยืนตามตำแหน่งทิศทั้งแปดคือทิศตะวันออก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงเหนือ


 


 


           เซี่ยฟางหวาจมดิ่งอยู่ในเคล็ดวิชาลับแล้ว ไม่รับรู้การเคลื่อนไหวใดๆ ของทั้งแปด หมอกสีดำรอบกายก็ค่อยๆ รวมตัวกันฝึกเคล็ดวิชาลับตามนาง จากหมอกสีอ่อนเบาบางกลายเป็นหมอกสีเข้มหนาทึบ


 


 


           กระทั่งถึงช่วงค่ำ หมอกรอบกายเซี่ยฟางหวาก็ปกคลุมตัวนางจนมิด แม้พวกซื่อฮว่าแปดคนอยู่ไม่ไกลจากนาง ทว่าก็เริ่มมองนางไม่เห็นแล้ว


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อยิ่งแปลกใจมากขึ้น คิดในใจว่าเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีช่างลึกลับและมหัศจรรย์สมคำร่ำลือ มิน่ามนุษย์บนโลกถึงได้ปกปิดเผ่าภูตผีเป็นความลับ


 


 


           ยามจื่อ*[1] เสียงกีบเท้าม้าพลันดังขึ้นจากนอกค่ายกล


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อตื่นตัวทันที เฝ้าระวังโดยพร้อมเพรียงกัน


 


 


           ไม่นานกีบเท้าม้าก็เข้ามาใกล้จนเหลือระยะห่างไม่ไกลนัก มีคนเอ่ยขึ้น “คุณชาย ร่องรอยหายไปตรงนี้”


 


 


           มีคนตอบรับ


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อฟังเสียงออกว่าผู้ที่เพิ่งตอบรับเมื่อครู่คือหลี่มู่ชิง จึงพากันแสดงความแปลกใจ ลอบคิดว่าคุณหนูปฏิเสธคุณชายหลี่มิให้เขาตามมาแล้ว หรือว่าเขาไม่ฟังสิ่งที่คุณหนูบอก รั้นจะตามมาให้ได้?


 


 


           แม้จำได้ว่าเป็นหลี่มู่ชิง แต่มีค่ายกลกำบังอยู่ ทั้งแปดกลั้นหายใจตั้งสมาธิ ไม่มีใครกล้าออกไป และยิ่งไม่ส่งเสียงใดตอบโต้


 


 


           “น่าแปลก ร่องรอยมาถึงตรงนี้แล้วหายไป ป่าเขารกร้างเช่นนี้หน้าไม่มีหมู่บ้านหลังไม่มีร้านค้า**[2] แล้วพวกนางมาทำอันใดที่นี่” คนที่เอ่ยขึ้นเมื่อครู่กล่าวด้วยความสงสัย “คุณชาย ท่านคาดการณ์ผิดหรือไม่ขอรับ”


 


 


           หลี่มู่ชิงส่ายหน้าก่อนออกคำสั่ง “ส่งคบไฟมาให้ข้า”


 


 


           คนผู้นั้นส่งคบไฟให้เขา


 


 


           หลี่มู่ชิงพลิกกายลงจากม้า ถือคบไฟเดินขึ้นมาหลายก้าว สายตาจับจ้องบริเวณที่พวกซื่อฮว่าตั้งค่ายกลในฉับพลัน ตรงนั้นเป็นป่าลึกพร้อมด้วยหมอกลงจัด เขาเม้มปาก เดินขึ้นมาหยุดนอกค่ายกลแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอบอุ่น “ฟางหวา เจ้าอยู่ในค่ายกลหรือไม่”


 


 


           เซี่ยฟางหวาจมดิ่งอยู่ในเคล็ดวิชาลับ ย่อมไม่ได้ยินเสียงเขา


 


 


           “ซื่อฮว่า เจ้าอยู่หรือไม่” หลี่มู่ชิงกล่าวอีก


 


 


           ซื่อฮว่าไม่ขานตอบ


 


 


           “ซื่อม่อเล่า มีใครอยู่หรือไม่” หลี่มู่ชิงถามอีก


 


 


           ทว่ายังไร้เสียงตอบรับอยู่ดี


 


 


           “คุณชาย ในเมื่อไม่มีใครขานตอบก็ทำลายค่ายกลดูเถิด” มีคนเดินมาหาหลี่มู่ชิง เอ่ยขึ้นด้วยความกระตือรือร้นอยากลองวิชา “หากท่านคร้านจะลงมือ ให้ข้าน้อยลองดูเถอะ ค่ายกลนี้ดูแล้วประณีตยิ่ง เมื่อครู่ข้าน้อยมิทันสังเกต”


 


 


           “อย่าก่อเรื่อง” หลี่มู่ชิงยกมือห้าม


 


 


           “ไม่แน่ว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน ท่านตะโกนเรียกสองสามครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีใครขานตอบ” คนผู้นั้นกล่าว


 


 


           “การตั้งค่ายกลนี้คลับคล้ายคลับคลาเหมือนของพี่จื่อกุย ดังนั้นข้าเดาว่า ค่ายกลนี้ไม่ใช่ฟางหวาเป็นคนตั้ง แต่การตั้งค่ายกลของพี่จื่อกุยนั้นค่อนข้างต้องใช้ความประณีตมาก ดังนั้นจึงเดาว่าผู้ที่ตั้งค่ายกลนี้คือสาวใช้ที่พี่จื่อกุยอบรมสั่งสอนมาให้รับใช้ฟางหวา คงเป็นสาวใช้ประจำตัวทั้งแปดของฟางหวาถึงจะตั้งค่ายกลแปดทิศนี้ได้ ดังนั้นฟางหวาต้องอยู่ตรงนี้แน่นอน” หลี่มู่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอบอุ่น


 


 


           ทั้งแปดในค่ายกลมองหน้ากัน ไม่มีใครเอ่ยขึ้นมา


 


 


           “ข้าคิดว่าฟางหวาต้องเป็นอะไรแน่นอน จึงหยุดพักตรงนี้เพื่อรักษาบาดแผล มู่ชิงมิได้มีเจตนาร้าย หากแม่นางคนใดได้ยิน โปรดขานตอบด้วย” หลี่มู่ชิงกล่าวขึ้นอีก


 


 


           ยังไม่มีผู้ใดขานตอบกลับมา


 


 


           “ในเมื่อไม่มีใครขานตอบ คิดว่าสถานการณ์คงค่อนข้างร้ายแรง อภัยให้ข้าด้วยที่เป็นกังวล ขอทำลายค่ายกลเข้าไปแทน” หลี่มู่ชิงส่งคบไฟให้คนข้างกาย เตรียมจะทำลายค่ายกล


 


 


           พวกซื่อฮว่าเห็นว่าในเมื่อเขามองออกว่าเป็นค่ายกลที่เซี่ยม่อหานสอนให้แก่พวกนาง ค่ายกลนี้ย่อมต้านเขาไม่อยู่ ทั้งหมดมองหน้ากัน ซื่อฮว่ากับซื่อม่อออกจากตำแหน่งพร้อมกัน กระโดดออกมานอกค่ายกล ก่อนประสานมือคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน “คุณชายหลี่”


 


 


           “กะแล้วว่าต้องเป็นพวกเจ้า” หลี่มู่ชิงแย้มยิ้มบาง


 


 


           “คุณชายหลี่โปรดอย่าถือสา คุณหนูของเราได้รับบาดเจ็บภายในจริง ตอนนี้กำลังถ่ายพลังฟื้นฟูลมปราณอยู่ มิอาจรบกวนได้ เมื่อครู่พวกบ่าวไม่กล้ารีบออกมา” ซื่อฮว่ากล่าวด้วยความเคารพ


 


 


           “นางบาดเจ็บภายในร้ายแรงหรือไม่” หลี่มู่ชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “มีใครรักษานางให้นางอยู่บ้าง ต้องใช้พลังภายในของข้าช่วยนางหรือไม่”


 


 


           “คุณหนูถ่ายพลังฟื้นฟูลมปราณให้ตัวเอง บอกว่าเราช่วยมิได้ พลังภายในของนางพิเศษ มีแต่ตัวเองที่จะรักษาตัวเองได้ เกรงว่าท่านเองก็ช่วยมิได้เช่นกัน” ซื่อฮว่าส่ายหน้า


 


 


           “นางเจ็บหนักเลยหรือ” หลี่มู่ชิงรีบถาม


 


 


           “สถานการณ์วันนี้เลวร้ายมาก เพิ่งมาพักตรงนี้เมื่อครู่นี้เอง ต้องดูพรุ่งนี้ว่าคุณหนูฟื้นฟูพลังกลับมาได้เจ็ดแปดส่วนหรือไม่” ซื่อฮว่าตอบ “มิฉะนั้นคงยังรีบเดินทางเลยมิได้”


 


 


           หลี่มู่ชิงพยักหน้า มองค่ายกลตรงหน้าแวบหนึ่ง หมอกทึบลอยวนเป็นเกลียวจนมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเอ่ยถาม “ข้าแกะรอยตามมา เห็นร่องรอยบางอย่างตรงป่าทึบข้างหลังห่างสิบลี้ จึงเดาว่าพวกเจ้าคงไปได้ไม่ไกลนัก ด้วยเหตุนี้จึงแกะรอยตามมาหา ตอนพวกเจ้าอยู่ตรงนั้นเจอกับอันตรายใด นึกไม่ถึงเลยว่าฟางหวาจะเจ็บหนักเช่นนี้”


 


 


           ซื่อฮว่าลังเลครู่หนึ่ง คิดในใจว่าคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาท่านนี้ต่อดีคุณหนูเสมอมา คุณหนูเองก็ไว้วางใจเขามากด้วยเช่นกัน น่าจะเชื่อถือได้ จึงกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เราพบกับปรมาจารย์ฉางเฟิง หนึ่งในสามปรมาจารย์เขาไร้นาม”


 


 


           “เป็นเขาไปได้อย่างไร” หลี่มู่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไป


 


 


           “ตอนนั้นคุณหนูให้พวกเรารออยู่ข้างนอก เรามิได้เห็นเหตุการณ์ตอนนั้นกับตาตัวเอง กระทั่งคุณหนูเรียกเราไปหา พบว่าคุณหนูก็ติดอยู่ในตาข่ายจักจั่นทอง มีมนุษย์เลือดนอนอยู่บนพื้น เป็นปรมาจารย์ฉางเฟิงที่คุณหนูสังหารไป” ซื่อฮว่าตอบ “ตอนนั้นคุณหนูได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบไม่เหลือพลังเลย”


 


 


           “มิน่าถึงเจ็บหนักเช่นนี้ เดินทางต่อไม่ได้ ต้องหาที่พักเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ที่แท้ก็พบกับปรมาจารย์เขาไร้นามที่ยังไม่ตายนี่เอง หากไม่ได้เสียเวลากับเรื่องนี้ ตอนนี้ข้าเองก็คงยังตามพวกเจ้าไม่ทัน” หลี่มู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


           “ไฉนคุณชายหลี่ถึงมิย้อนกลับเมือง คุณหนูให้คนส่งจดหมายบอกท่านแล้วมิใช่หรือ ขอให้ท่านกลับเมืองไป” ซื่อฮว่าข้องใจ


 


 


           “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางออกมาเพียงลำพังข้าก็ไม่ค่อยสบายใจนัก พี่ฉินเจิงออกจากเมืองไม่ได้ ข้าจึงออกมาแทนเขา แม้คุณหนูของเจ้ากลัวว่าจะพัวพันมาถึงข้า แต่ข้าไม่ใช่คนที่จะกลัวเรื่องพวกนั้น ที่แกะรอยตามมาก็เพราะหนึ่งกลัวว่าเกิดเรื่องกับนาง สองอยากดูว่าพอจะช่วยนางแก้ไขเรื่องพวกนี้ได้หรือไม่ สามข้าอยากทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนางกับพี่ฉินเจิงกันแน่” หลี่มู่ชิงยิ้ม


 


 


           “เราเองก็มิทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นระหว่างคุณหนูกับท่านอ๋องน้อย เดิมยังดีๆ กันอยู่แท้ๆ ทว่าจู่ๆ ก็ทะเลาะกัน คุณหนูพรวดพราดออกจากจวน ฟังว่าตอนเราออกมา ท่านอ๋องน้อยสลบไปด้วย” ซื่อฮว่าได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า


 


 


           หลี่มู่ชิงเห็นว่าซื่อฮว่าไม่คล้ายโกหกจึงพยักหน้ารับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รอให้คุณหนูของเจ้าฟื้นฟูลมปราณเสร็จก่อนค่อยว่ากันเถอะ” พูดจบก็ออกคำสั่งกับคนข้างหลัง “ทุกคนคงเหนื่อยแล้ว หาที่พักผ่อนตรงนี้ก่อนแล้วกัน”


 


 


           คนผู้นั้นยกมือส่งสัญญาณ ผู้คุ้มกันพร้อมใจกันลงจากม้า ต่างเลือกหาที่พักผ่อน


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อทราบว่าในเมื่อหลี่มู่ชิงตามมาเช่นนี้แล้วย่อมไม่ยอมกลับจึงไม่พูดมากความ ทำความเคารพแล้วกลับเข้าไปในค่ายกล


 


 


           ภายในค่ายกล เซี่ยฟางหวายังคงอยู่ท่ามกลางหมอกทึบล้อมกาย ไม่รู้เรื่องราวใดทั้งสิ้น


 


 


           หลี่มู่ชิงมุ่งหน้าเดินทางมาตั้งแต่ภูเขาเก้าวงแหวนทั้งวันทั้งคืนจนเหนื่อยแล้วเช่นกัน จึงหาที่พักผ่อนด้วย


 


 


 


 


[1] *ยามจื่อ คือ ช่วงเวลา 23:00 น. – 01.00 น.


 


 


[2] **หน้าไม่มีหมู่บ้านหลังไม่มีร้านค้า อุปมาว่า อยู่ห่างไกลความเจริญ ไม่มีที่ให้หยุดแวะพัก 

 

 


ตอนที่ 73-2 แกะรอยตามมา

 

เมื่อฟ้าสว่างเต็มที่ หมอกทึบรอบกายเซี่ยฟางหวาก็ค่อยๆ จางลง ดวงตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นเชื่องช้า


 


 


           พวกซื่อฮว่าเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของนางตลอดเวลา เมื่อเห็นว่านางเก็บพลังก็รีบเข้ามาหาแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนู เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”


 


 


           สีหน้าเซี่ยฟางหวายังมิได้ดีมาก แต่เทียบกับหลังจากสังหารฉางเฟิงเมื่อวานย่อมดีขึ้นกว่ามากนัก แม้ยังไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่ไม่ถึงกับเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงเวลาพูดแล้ว นางพยักหน้ารับ “ดีขึ้นมากแล้ว ฟื้นฟูได้สามสี่ส่วน”


 


 


           “ไฉนถึงฟื้นฟูมาได้สามสี่ส่วนเล่า” ผิ่นจู๋ชะงัก “ท่านบอกว่าเจ็ดแปดส่วนมิใช่หรือ”


 


 


           “ข้าประเมินตัวเองสูงไปว่าควบคุมพลังจากเคล็ดวิชาลับได้ และประเมินความเสียหายของร่างกายต่ำไป” เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา “แต่เรื่องเดินทางน่าจะไม่เป็นปัญหาแล้ว”


 


 


           “เดินทางได้จริงหรือเจ้าคะ” ผิ่นจู๋กล่าวเสียงเบา “สิ่งใดมิสำคัญเท่าร่างกายท่าน หากเดินทางไม่ไหวก็พักผ่อนอีกสักวันเถิด”


 


 


           “ข้าพักผ่อนได้ แต่เมืองหลินอันทำไม่ได้” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นเชื่องช้า


 


 


           “คุณหนู ยามจื่อเมื่อคืนคุณชายหลี่แกะรอยตามมาจนถึงที่นี่ ตอนนี้อยู่นอกค่ายกล” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงทุ้ม “เขามิได้ฟังท่านว่าให้เดินทางกลับเมือง”


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ก็อยู่ในกการคาดการณ์ หลี่มู่ชิงไม่ใช่คนที่จะยอมกลับง่ายๆ เพียงเพราะข้าพูดประโยคเดียว” พูดจบนางก็ยกมือสั่ง “คลายค่ายกลแล้วออกไปกันเถอะ”


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้าพร้อมกัน


 


 


           เซี่ยฟางหวาค่อยๆ เดินออกมาจากค่ายกล


 


 


           หลังนางออกมาจากค่ายกลก็เห็นหลี่มู่ชิงกำลังพิงต้นไม้แห้งอยู่ไม่ไกล ลมภูเขายามรุ่งสางหอบเอาความหนาวเย็นมาด้วย หมอกลงค่อนข้างหนา เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีดำเข้ม แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกเนื่องจากถูกหมอกลางคืนและลมภูเขาเกาะกุม เพราะเดินทางตามมา แม้หยุดพักครึ่งคืน แต่สีหน้ายังคลับคล้ายคลับคลาว่าเหนื่อยล้าและย่ำแย่เล็กน้อย


 


 


           คุณชายแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา มีฐานะสูงส่ง เดิมไม่ควรต้องมาเผชิญความลำบากในป่าเขาเช่นนี้


 


 


           นางหยุดเท้ามองเขา


 


 


           เดิมทีหลี่มู่ชิงกำลังมองไปยังจุดอื่น เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หันมามอง เห็นว่าเป็นเซี่ยฟางหวาเดินออกมาจากค่ายกลแล้วหยุดมองเขาจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหา “เป็นเช่นไรบ้าง ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้แล้วหรือ”


 


 


           “แค่ไม่กี่ส่วนเท่านั้น” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “ได้ยินความร้ายกาจของปรมาจารย์เขาไร้นามตลอดมา เจ้าสังหารเขาได้ ทั้งยังปกป้องตัวเองกลับมาได้อีก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” หลี่มู่ชิงตำหนิตัวเอง “หากข้าตามมาเร็วกว่านี้ก็คงดี เพียงแต่ถูกค่ายกลที่เจ้าตั้งไว้ที่ภูเขาเก้าวงแหวนขัดขวาง ไม่มีทางเร่งเดินทางได้”


 


 


           “ค่ายกลนั้นเดิมตั้งเพื่อขัดขวางพระชายา นึกไม่ถึงเลยว่าจะขัดขวางเจ้าด้วย” เซี่ยฟางหวายิ้ม “ลำบากตามมาทำไมกัน ข้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”


 


 


           “ยังพูดว่าไม่เป็นอะไรอีก ดูสีหน้าเจ้าสิ เห็นชัดว่าย่ำแย่มาก ต้องถ่ายพลังตลอดคืนกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้สามส่วน” หลี่มู่ชิงย่นหัวคิ้ว “อย่างนี้ดีหรือไม่ แค่ถ่ายพลังฟื้นฟูลมปราณคงไม่พอ ยี่สิบลี้ข้างหน้าเป็นตำบล เราเข้าเมืองแล้วหาที่ตั้งร้านยา เจ้าจำต้องกินยาถึงจะช่วยฟื้นฟูพลังภายในได้”


 


 


           “ไม่ต้อง ข้านำยาติดมาด้วย เราหาอาหารป่ามาย่างกิน เสร็จแล้วก็เดินทางต่อ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “จะไปเมืองหลินอันหรือ” หลี่มู่ชิงย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ร่างกายเจ้าสำคัญกว่า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนประเดี๋ยวนี้หรอก ถึงอย่างไรรัชทายาทกับพี่จื่อกุยต่างอยู่ที่นั่นด้วย”


 


 


           “เพราะท่านพี่อยู่ที่หลินอัน ข้าถึงไม่วางใจ” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           หลี่มู่ชิงเห็นนางยืนกรานก็ถามขึ้นอย่างจนปัญญา “ร่างกายไม่เป็นไรจริงหรือ เดินทางต่อได้หรือ”


 


 


           “ได้ วางใจเถอะ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           หลี่มู่ชิงไม่พูดมากความอีก ยกมือออกคำสั่งกับคนข้างหลัง มีคนรีบวิ่งไปล่าสัตว์ป่ามาทำอาหาร


 


 


           หลังพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อคลายค่ายกลก็ไปหาน้ำพุที่อยู่ไม่ไกล ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ หลังล่ากระต่ายป่ามาได้แล้วนำไปล้างทำความสะอาด รวมถึงพวกไก่ป่าด้วย ก็เริ่มก่อไฟย่างเนื้อ


 


 


           “ระหว่างเจ้ากับพี่ฉินเจิงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนถึงทะเลาะกันใหญ่โตจนมาถึงขั้นนี้ได้” หลี่มู่ชิงถือโอกาสนี้ถามเซี่ยฟางหวา


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า


 


 


           “กับข้าก็ยังจะปิดบังหรือ บนโลกนี้ไม่มีปัญหาใดแก้ไขมิได้ กว่าพวกเจ้าจะได้สมรสกันไม่ง่ายเลย ไฉนถึงบุ่มบ่ามแล้วทอดทิ้งกัน ตอนนี้ใต้หล้าต่างรู้เรื่องประกาศหย่าร้างแล้ว เจ้าเข้าใจดีใช่ไหมว่าหลังจากนี้พวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ฟางหวา นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย” หลี่มู่ชิงเห็นว่านางไม่คิดจะตอบก็กังวลใจอยู่บ้าง


 


 


           เซี่ยฟางหวาหลับตาลง “ข้าไม่ได้อยากปิดบังเจ้า เพียงแต่พูดยากเท่านั้น เรื่องบางเรื่องหาคำอธิบายไม่ได้” หยุดชั่วครู่แล้วพยักหน้า “ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”


 


 


           “หมายความว่าเจ้าตัดสินใจทำลงไปด้วยสติครบถ้วน ข้าได้ยินพี่ฉินเจิงบอกว่าเป็นการตัดสินใจของเจ้า เพราะเหตุใด” หลี่มู่ชิงมองนางด้วยความมึนงง


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ไม่อยากพูดถึงอีก


 


 


           หลี่มู่ชิงเห็นใบหน้านางเยือกเย็นลง ยามนี้เป็นเพราะคำพูดของเขาทำให้นางมีสีหน้าย่ำแย่ลงกว่าตอนที่ออกมาจากค่ายกลเมื่อก่อนหน้านี้ เขากลุ้มใจไม่น้อย ลังเลพักหนึ่งก็กล่าวเสียงเบา “หลังเจ้าออกจากเมืองมา จวนอิงชินอ๋องตามหมอหลวงมาที่จวน ตามมาด้วยฝ่าบาททรงออกพระราชโองการหย่าร้าง หลังจากนั้นพี่ฉินเจิงก็ทำลายพระราชโองการทิ้งแล้วบุกเข้าวังหลวง ตอนนั้นฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ปิดวังสามวัน มิขอพบผู้ใดทั้งนั้น แต่พี่ฉินเจิงยิงธนูใส่หัวหน้าองครักษ์จนบาดเจ็บก่อนจะบุกเข้าวังหลวงไป ต่อมาเมื่อออกจากวัง ข้าดักรอเขาระหว่างทาง เขาได้พูดประโยคหนึ่งกับข้า”


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           หลี่มู่ชิงไตร่ตรอง ก่อนเล่าเหตุการณ์ตอนที่เข้าไปขวางฉินเจิงและบทสนทนาระหว่างพวกขาให้ฟังรอบหนึ่ง เมื่อเล่าถึงท่อนที่ฉินเจิงบอกว่าหากพบหลี่หรูปี้อีกครั้งจะสังหารนางอย่างแน่นอน เขามองเซี่ยฟางหวาพลางพูดเสียงทุ้มต่ำ “ระหว่างพวกเจ้า เพราะน้องสาวข้าจึงเกิดความเข้าใจผิดหรือไม่ ช่วงนี้นางอยู่สวดมนต์กินเจกับแม่ข้าที่จวนตลอดเวลา ข้าไม่เห็นว่านางได้ทำสิ่งใดลงไป หรือว่านางได้แอบกระทำสิ่งใดลับหลังข้ากับท่านพ่อ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักอยู่กับที่


 


 


           หลี่มู่ชิงมองนาง รอให้นางพูดขึ้น


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยฟางหวาก้มหน้ามองพื้น ยามรุ่งสางที่ตะวันยังไม่โผล่พ้นเหนือขอบฟ้า บนต้นไม้ใบหญ้าในป่าเขาต่างมีน้ำค้างเกาะ สร้างความเย็นสบายไม่น้อย นางนิ่งเงียบเนิ่นนานถึงเอ่ยขึ้น “ข้าไม่นึกว่าเขาจะทำเช่นนี้กับคุณหนูหลี่ ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางเลย”


 


 


           หลี่มู่ชิงไม่เข้าใจ


 


 


           “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะให้คนส่งข่าวกลับเมืองหลวง บอกเขาว่าอย่าทำเช่นนี้ คุณหนูหลี่ควรเป็นเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น อย่าทำให้นางต้องไร้ที่ยืนเพราะข้าเลย มิฉะนั้นคงเป็นความผิดของข้า” เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           หลี่มู่ชิงมองนาง


 


 


           เซี่ยฟางหวาถอนหายใจก่อนหันหลังเดินไปหาพวกซื่อฮว่า ไม่สนทนากับเขาอีก


 


 


           หลี่มู่ชิงเห็นนางเดินหนีไปก็ทราบดีว่าถามสิ่งใดไม่ได้อีกแล้ว ได้แต่ยอมเลิกรา


 


 


           เมื่อทานอาหารป่าเสร็จแล้ว ทั้งหมดก็เดินทางต่อ


 


 


           เพราะเซี่ยฟางหวาบาดเจ็บภายในยังไม่หายดี การเดินทางจึงไม่เร็วนัก เมื่อถึงยามซื่อ***[1]ก็เพิ่งมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง ทุกคนไม่จำเป็นต้องพักผ่อนจึงเดินทางต่อไป


 


 


           เซี่ยฟางหวาสวมผ้าคลุมหน้า หลี่มู่ชิงเองก็ซื้อหมวกงอบมาปิดบังใบหน้าเช่นกัน


 


 


           เดินทางเข้าแล้วออกเมืองได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค


 


 


           แม้ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว แต่ประเด็นร้อนเกี่ยวกับประกาศหย่าร้างยังไม่ซาลง ยังได้ยินเสียงวิจารณ์จากคนสัญจรเดินผ่านอยู่บ้าง


 


 


           ตอนบ่าย ทั้งหมดหยุดพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เดินทางต่อ


 


 


           ช่วงหัวค่ำ ยังเหลือระยะห่างจากเมืองหลินอันหนึ่งร้อยลี้


 


 


           หลี่มู่ชิงเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว มองไปเบื้องหน้าแวบหนึ่งแล้วกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “เดินทางมาทั้งวันแล้ว ร่างกายเจ้ารับไม่ไหวหรอก พักผ่อนสักหน่อยเถอะ ครึ่งคืนก็ยังดี”


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นทุกคนต่างแสดงความเหนื่อยล้าจึงพยักหน้า


 


 


           หลี่มู่ชิงนำเซี่ยฟางหวาเข้าไปในโรงเตี๊ยยมภายใต้ชื่อของตนเอง เปิดเรือนเดี่ยวแยกต่างหากให้ทุกคนได้เข้าพักผ่อน


 


 


           กลางดึกหลังพักผ่อนมาได้ครึ่งคืนแล้ว ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อ พลันมีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินวนบนท้องฟ้าเหนือตัวเรือนครู่หนึ่งก่อนบินโฉบเข้ามาใน ร่อนเกาะลงบนไหล่เซี่ยฟางหวา


 


 


           เซี่ยฟางหวาจำได้ว่าเป็นเหยี่ยวส่งข่าวของเหยียนเฉิน นางรีบแกะเชือกผูกขาเหยี่ยวนำจดหมายออกมา


 


 


           จดหมายถูกคลี่ออก บนนั้นเขียนไว้เพียงบรรทัดหนึ่งว่า ‘รีบมาหลินอัน’


 


 


           เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว น้อยครั้งที่เหยียนเฉินจะส่งจดหมายสั้นถึงเพียงนี้มาให้นาง ทั้งยังไม่เอ่ยถึงเหตุผลให้ชัดเจน ลายมือคล้ายกับรีบเขียนแล้วนำส่ง แสดงให้เห็นว่าตอนเขาเขียนจดหมายฉบับนี้คงไม่มีเวลามากพอจะอธิบายให้นางฟัง


 


 


           เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ให้นางรีบไปหลินอันหรือ


 


 


           เซี่ยฟางหวามองจดหมายเนิ่นนางพลางคาดการณ์ในใจ


 


 


           “คุณหนู เตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ ออกเดินทางเลยหรือไม่” ซื่อฮว่าเอ่ยถามเสียงเบาจากข้างนอก


 


 


           เซี่ยฟางหวาทำลายจดหมายทิ้ง เงียบลงพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “บอกคุณชายหลี่ว่าข้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมาฉับพลัน คืนนี้คงเดินทางต่อไม่ได้แล้ว”


 


 


 


 


[1] ***ยามซื่อ คือ ช่วงเวลา 9:00 น. – 11:00 น. 

 

 


ตอนที่ 74 มิทราบร่องรอย

 

          ซื่อฮว่าชะงัก รีบผลักประตูเดินเข้ามาทันที มองเซี่ยฟางหวาด้วยความวิตกกังวล “คุณหนู ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ ร้ายแรงหรือไม่”


 


 


           “ไม่ร้ายแรง แค่รู้สึกเจ็บหน้าอก ร่างกายอ่อยแอ ไม่ค่อยสบายตัวก็เท่านั้น เป็นไปได้ว่าเมื่อครู่ลุกเร็วไปหน่อย คงเพราะอ่อนแอมากเกินไป เจ้าออกไปบอกคุณชายหลี่ว่าข้านอนพักอีกสักงีบก็คงดีขึ้น” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           ซื่อฮว่าได้ยินเช่นนี้ก็เบาใจลง ก่อนเดินออกไป


 


 


           หลี่มู่ชิงเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางต่อ เมื่อเห็นซื่อฮว่าเข้ามารายงานก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมาเช่นกัน “นางต้องเขียนใบสั่งยาหรือไม่ ข้าเห็นควรว่าต้มยาดื่มสักหน่อยน่าจะดีกว่า”


 


 


           “บ่าวเองก็คิดว่าต้องดื่มยาเช่นกัน ทว่าคุณหนูไม่ฟัง” ซื่อฮว่าพยักหน้า


 


 


           “ข้าจะลองไปพูดกับนางดู” หลี่มู่ชิงเดินออกไป มายังหน้าประตูห้องเซี่ยฟางหวาแล้วยกมือเคาะ


 


 


           เซี่ยฟางหวาเอ่ยเสียงเบา “เข้ามา”


 


 


           หลี่มู่ชิงผลักประตูเข้ามา พบว่าเซี่ยฟางหวาคล้ายกับจะกลับไปนอนบนเตียงอีกรอบ แต่เมื่อเห็นตนเดินเข้ามาก็หันหลังกลับมามอง จึงรีบเอ่ยขึ้น “ข้าเพิ่งได้ยินซื่อฮว่าบอกว่าเจ้าไม่สบายจึงมาดูสักหน่อย”


 


 


           “ไม่ใช่เรื่องใหญ่” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “อย่าละเลยกับสุขภาพของตัวเองเลย ต้มยาดื่มฟื้นฟูร่างกายดีกว่า เอาอย่างนี้ เจ้าเขียนใบสั่งยาให้ตัวเองมา ที่เมืองแห่งนี้มีร้านยาในชื่อข้าอยู่ ข้าจะให้คนไปซื้อสมุนไพรกลับมาให้” หลี่มู่ชิงยืนกราน “ฟังข้าเถอะ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ก็ได้” พูดจบก็เดินไปที่หน้าโต๊ะ หยิบพู่กันมาเขียนใบสั่งยาส่งให้หลี่มู่ชิง


 


 


           “เจ้าพักผ่อนก่อน พอต้มยาเสร็จแล้ว ข้าจะให้ซื่อฮว่านำเข้ามาให้” หลี่มู่ชิงยื่นมือรับแล้วพูดกับนาง


 


 


           “รบกวนแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “กับข้าไม่ต้องพูดเช่นนี้ ข้าแค่อยากเห็นเจ้าแข็งแรงดี” หลี่มู่ชิงพูดจบก็หันหลังเดินออกไป


 


 


           เมื่อประตูปิดลง ภายในห้องก็เงียบสงบขึ้นมาทันตา เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงหลี่มู่ชิงกำลังสั่งคนไปซื้อสมุนไพรข้างนอก นางหันหลังเดินกลับไปนอนบนเตียง


 


 


           หนึ่งชั่วยามถัดมา ซื่อฮว่าก็เคาะประตูเรียก “คุณหนู”


 


 


           ไม่มีเสียงขานตอบจากในห้อง


 


 


           ซื่อฮว่าตะโกนเรียกอีกครั้งหนึ่ง ทว่ายังคงเงียบกริบ


 


 


           ซื่อฮว่าเริ่มกังวลใจ ยื่นมือผลักประตูออกพบว่าข้างในมืดสนิท นางเดินคลำทางไปยังหน้าโต๊ะเพื่อจุดตะเกียง ทว่าเมื่อหันหลังเดินไปที่เตียงพลางจะส่งเสียงเรียกก็พลันชะงัก รีบยื่นมือแหวกม่านเตียงออกทันที


 


 


           ภายในม่านไม่พบผู้ใด


 


 


           “คุณหนู” ซื่อฮว่าหันหลังแล้วตะโกนขึ้น


 


 


           ทั้งห้องเงียบกริบ


 


 


           ซื่อฮว่าหาทั่วห้องก่อนรอบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “คุณชายหลี่ ซื่อม่อ ใครก็ได้”


 


 


           ซื่อม่อได้ยินก็รีบรุดเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยพวกหลี่มู่ชิงก็รีบเข้ามาเช่นกัน


 


 


           “มีอะไรหรือ” ซื่อม่อรีบถาม “เกิดอะไรขึ้น” พูดจบนางก็ตกใจ “คุณหนูเล่า”


 


 


           “คุณหนูหายไปแล้ว” ซื่อฮว่าส่ายหน้า


 


 


           “คุณหนูจะหายไปได้อย่างไร” ซื่อม่อแปลกใจ


 


 


           “หายไปตั้งแต่ตอนไหน” หลี่มู่ชิงเดินมาที่หน้าเตียง พบว่าในม่านยังทิ้งรอยยุบจากการนอนอยู่ ลองยื่นมือสัมผัสดูพบว่าฟูกนอนเย็นเยียบ เขาหันกลับมากวาดตามองทั่วห้อง ไร้ซึ่งความผิดปกติใด เขาหยุดสายตาลงบนหน้าต่าง หน้าต่างก็ยังปิดเอาไว้อย่างดีเช่นเดิม


 


 


           “เมื่อครู่บ่าวนำยาเข้ามาให้ เรียกคุณหนูสองรอบก็ไม่มีเสียงตอบรับ ถึงได้พบว่าคุณหนูหายไปแล้ว” ซื่อฮว่ากล่าวด้วยความร้อนใจแกมเคียดแค้น “เราอยู่ในเรือนตลอดเวลา ผู้ใดลักพาตัวคุณหนูไปกันแน่ ไฉนพวกเราถึงมิได้ยินเสียงใดเลย”


 


 


           “นั่นสิ” ซื่อม่อเองก็ร้อนใจ “ใช่ปรมาจารย์เขาไร้นามมาอีกแล้วหรือไม่ ปรมาจารย์มีวิทยายุทธ์สูงถึงเพียงนั้น หากลักพาตัวคุณหนูไปอย่างไร้สุ้มเสียง เราซึ่งมีวิทยายุทธ์ค่อนข้างต่ำย่อมไม่รู้สึกตัว”


 


 


           “ทำเช่นไรดี” พวกผิ่นจู๋ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีด


 


 


           หลี่มู่ชิงเดินสำรวจรอบห้องก่อนหยุดเท้าลงที่บานหน้าต่าง เขายื่นมือเปิดมันแล้วปิดลงเชื่องช้า พักต่อมาก็เอ่ยขึ้น “ฟางหวาน่าจะเป็นคนออกไปเอง”


 


 


           “อะไรนะ” พวกซื่อฮว่าชะงัก


 


 


           “คุณหนูได้รับบาดเจ็บสาหัส เคลื่อนไหวไม่สะดวก นางจะออกไปเองได้อย่างไร” ผิ่นจู๋รีบกล่าว


 


 


           หลี่มู่ชิงเม้มปาก “นางน่าจะออกไปทางหน้าต่าง หน้าต่างบานนี้เวลาเปิดไร้เสียง เวลาปิดก็เช่นเดียวกัน แม้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ฟื้นฟูกลับมาได้สามส่วนแล้ว หากต้องการเลี่ยงพวกเราแล้วออกไปเพียงลำพังระหว่างที่เราไม่ทันสังเกตย่อมเป็นไปได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ในเรือนหลังนี้นอกจากผู้คุ้มกันของข้า ตอนนี้ก็สัมผัสถึงลมปราณของเหล่าสายลับที่คอยติดตามคุณหนูของพวกเจ้าในที่ลับตลอดเวลาไม่ได้แล้ว น่าจะติดตามนางไปด้วย”


 


 


           “ไฉนคุณหนูถึงทิ้งพวกเราไว้” ซื่อฮว่ากระวนกระวาย “พวกบ่าวทำสิ่งใดผิดไปหรือ”


 


 


           หลี่มู่ชิงหันกลับมามองทั้งแปด พบว่าแต่ละคนนอกจากใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจแล้วยังมีนัยน์ตาแดงก่ำ เขาถอนหายใจออกมา “พวกเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด น่าจะเป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อน ข้ารั้นจะตามมา นางไม่อยากให้ข้าตามมาด้วย จึงหนีข้าออกไปเพียงลำพัง”


 


 


           พวกซื่อฮว่าได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่ามีเหตุผล ดวงตาแปดคู่มองมายังหลี่มู่ชิงด้วยความตำหนิ


 


 


           “คุณชายหลี่ ในเมื่อเป็นเพราะท่านทำให้คุณหนูหนีไป ท่านต้องรีบช่วยเราตามหาคุณหนูด้วย คุณหนูบาดเจ็บสาหัส เพิ่งฟื้นฟูพลังกลับมาได้ไม่กี่ส่วนก็ออกไปเพียงลำพัง พวกเราเป็นห่วงอย่างยิ่ง หากเผชิญอันตรายจะทำเช่นไร” ผิ่นจู๋ไม่พอใจอย่างยิ่ง


 


 


           “ถูกต้อง หากพบปรมาจารย์เขาไร้นามอีกเล่า ถึงตายไปแล้วหนึ่งท่าน แต่ก็ยังเหลืออีกสองท่านนะ” ผิ่นเซวียนสมทบ


 


 


           “ใช่แล้ว ปรมาจารย์เขาไร้นามจับตามองคุณหนูอยู่ คิดจะสังหารคุณหนูตลอดเวลา คุณหนูเคยวางเพลิงเผาฉือเฟิ่ง คืนก่อนก็สังหารฉางเฟิงในครั้งเดียว ยังเหลือปรมาจารย์อีกหนึ่งท่าน” ซื่อหลานกล่าว


 


 


           “เกรงว่าไม่ใช่แค่ปรมาจารย์เขาไร้นามที่คิดสังหารคุณหนู” ซื่อหว่านกังวล


 


 


           ทั้งแปดพยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นก็มองหลี่มู่ชิง


 


 


           “พวกเจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนก นางมีสายลับคอยคุ้มกันอยู่ ทั้งระวังตัวตลอดเวลา ในเวลาอันสั้นคงไม่เกิดเรื่องใดขึ้น ข้าจะให้คนออกตามหา ดูว่านางมุ่งหน้าไปที่ใด” หลี่มู่ชิงนวดหว่างคิ้ว มองทั้งแปดแล้วกล่าวขึ้น


 


 


           “คุณหนูอยากไปให้ถึงเมืองหลินอันตลอดมา” ซื่อฮว่ารีบกล่าว


 


 


           “ข้าคิดว่าเราควรรีบเดินทางไปยังเมืองหลินอัน คุณหนูออกไปไม่เกินหนึ่งชั่วยาม หากเรารีบตามไปอาจยังไล่ทัน” ซื่อม่อพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ


 


 


           “กลัวก็แต่ไม่ได้ไปหลินอันน่ะสิ” หลี่มู่ชิงบอก


 


 


           ทั้งแปดมองไปหาเขาพร้อมกัน


 


 


           หลี่มู่ชิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นอีก “ยังไม่แน่นอน หลินอันเกิดโรคห่าระบาด นางรีบไปก็มีเหตุผล” พูดจบก็ตะโกนเรียกหาคนข้างนอก


 


 


           “คุณชาย” มีคนขานรับแล้วปรากฏตัวขึ้น


 


 


           “ไปตรวจสอบดู คุณหนูฟางหวาออกจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร คืนนี้มีคนออกจากเมืองหรือไม่ ดูว่ามีร่องรอยให้ตามหาที่อยู่ของนางบ้างหรือไม่” หลี่มู่ชิงสั่งงาน


 


 


           “ขอรับ” มีคนขานรับแล้วออกไป


 


 


           หลี่มู่ชิงหันมาบอกกับพวกซื่อฮว่าทั้งแปด “พวกเจ้าจะไปหลินอันก่อน หรืออยู่รอข่าวคราวที่นี่กับข้า”


 


 


           พวกซื่อฮว่ามองหน้ากัน ตัดสินใจไม่ถูกชั่วเวลาหนึ่ง


 


 


           “หากพวกเจ้าไปหลินอันก่อน พอข้าทราบข่าวจะรีบบอกพวกเจ้าทันที แต่หากพวกเจ้ารออยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็ช่วยกันตามหาที่อยู่และจุดหมายปลายทางของนาง” หลี่มู่ชิงบอก


 


 


           ซื่อฮว่าครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “คุณชายหลี่ ขอเราปรึกษากันสักครู่”        


 


 


           “ได้” หลี่มู่ชิงหันหลังเดินออกไปนอกห้อง


 


 


           ซื่อฮว่ามองทั้งเจ็ดแล้วออกความเห็น “คุณหนูไม่อยากให้คุณชายหลี่ตามมา ไม่มีเหตุผลที่นางออกไปเพียงลำพังแล้วพวกเรากลับยังอยู่กับคุณชายหลี่ ข้าคิดว่าเราไปหลินอันกันก่อน ระหว่างทางก็หาคุณหนูไปด้วย นอกจากนี้ท่านโหวก็อยู่ที่หลินอัน เราจะได้ขอให้ท่านโหวตัดสินใจที่นั่น พวกเจ้าว่าอย่างไร”


 


 


           “ข้าเห็นด้วยกับที่เจ้าว่า” ซื่อม่อผงกศีรษะ


 


 


           “มีเหตุผล” พวกผิ่นจู๋ก็พยักหน้าตาม


 


 


           เมื่อทั้งแปดหารือกันลงตัวแล้วก็ออกมาลาหลี่มู่ชิง


 


 


           หลี่มู่ชิงราวกับเดาได้ก่อนแล้ว เขาพยักหน้ารับแล้วกำชับให้ทั้งแปดระวังตัวด้วย


 


 


           ทั้งแปดออกมาจากเรือน ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทันที


 


 


           เนื่องจากเป็นยามไฮ่*[1]ประตูเมืองจึงปิดสนิท แต่พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อย่อมมีวิธี ไม่นานก็ออกไปจากเมือง


 


 


           หลี่มู่ชิงรอจนทั้งแปดออกไปแล้วก็ยืนอยู่ในเรือนเนิ่นนาน กระทั่งมีคนปรากฏตัวขึ้นข้างหลังแล้วกล่าวรายงาน “คุณชาย แปลกมากขอรับ”


 


 


           “แปลกอะไร พูดมาสิ” หลี่มู่ชิงหันมามองแวบหนึ่ง


 


 


           “เรือนทั้งหลังไม่พบร่องรอยของคุณหนูฟางหวาเลย ในเมืองก็ไร้ข่าวคราว นอกเมืองก็ไม่พบร่องรอยเช่นกัน ตรวจสอบไม่เจอสิ่งใดเลยขอรับ มิทราบว่าคุณหนูฟางหวาหายไปไหน” คนผู้นั้นตอบ


 


 


           “ระดับพวกเจ้าก็ยังตรวจสอบไม่พบหรือ” หลี่มู่ชิงขมวดคิ้ว


 


 


           “ตอนนี้ยังไม่พบเลยขอรับ” คนผู้นั้นพยักหน้า


 


 


           “พวกเจ้าโตมากับข้าตั้งแต่เด็ก ผ่านการอบรมจากข้า ในเมื่อหาไม่เจอก็แปลว่าหาไม่เจอ” หลี่มู่ชิงยกมือนวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจยาวเหยียดแล้วกล่าวขึ้น “นางไม่ไว้ใจข้าหรือกลัวพัวพันมาถึงข้ากันแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าไปโดยไม่บอกลา หนีออกไปเพียงลำพังเช่นนี้”


 


 


           “คุณหนูฟางหวาหนีไปแล้วจริงหรือขอรับ แต่เหตุใดพวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลากลับไม่เห็นนางออกไปเลย” คนผู้นั้นสงสัย


 


 


           หลี่มู่ชิงกวาดตามองให้ทั่ว คล้ายนับถือคล้ายทอดถอนใจ “ด้วยความสามารถของนางหากไปจากที่นี่โดยไม่ให้ข้ารู้ตัว ย่อมเป็นไปได้อยู่แล้ว ถึงอย่างไร…” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงฉับพลัน เงียบพักหนึ่งแล้วยกมือไล่ “ค้นหาต่อไป หาไม่เจอคืนนี้ พรุ่งนี้ฟ้าสว่างแล้วต้องมีร่องรอยให้ตามแน่”


 


 


           “ขอรับ” คนผู้นั้นกลับออกไป


 


 


           หลี่มู่ชิงยืนนิ่งกลางลานต่ออีกพักหนึ่งก่อนกลับเข้าห้อง


 


 


           หลังจากพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อออกจากเมืองก็ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองหลินอัน ตลอดทางก็หาร่องรอยเซี่ยฟางหวาไปด้วย เมื่อเดินทางมาได้หนึ่งร้อยลี้จนเห็นเมืองหลินอันอยู่ในระยะสายตา ทว่าก็ไม่พบร่องรอยเซี่ยฟางหวาเลย


 


 


           ก่อนฟ้าสว่าง ทั้งแปดก็มาถึงเขตเมืองหลินอัน


 


 


           ประตูเมืองปิดสนิท ทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบสงัดท่ามกลางราตรี กลิ่นไม่น่าพิสมัยคละคลุ้งปะปนกับอากาศ


 


 


           “ปิดปากกับจมูก” ซื่อฮว่าเตือนทุกคน


 


 


           ทั้งเจ็ดก็ตื่นตัวขึ้นมาเช่นกัน นึกขึ้นได้ว่าเมืองหลินอันกำลังเกิดโรคห่าระบาดจึงรีบหยิบผ้าคลุมหน้าออกมาปิดปากและจมูกเอาไว้


 


 


           “เปิดประตู” ซื่อฮว่าตะโกนเสียงดัง


 


 


           ทหารรักษาเมืองนายหนึ่งชะโงกหน้ามาจากกำแพงเมืองด้านบน พบว่าเป็นสตรีแปดคนก็รีบถาม “ผู้ใด องค์รัชทายาททรงมีพระบัญชาให้ปิดเมืองสิบวัน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกเมือง รีบกลับไปเถอะ”


 


 


           “พวกเราเป็นสาวใช้จวนจงหย่งโหว ต้องการพบท่านโหวเซี่ย” ซื่อฮว่ารีบบอก


 


 


           ทหารรักษาเมืองได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นพวกเจ้ารอสักครู่ ขอข้าไปรายงานก่อน”


 


 


           “ขอบคุณมาก” ซื่อฮว่าประสานมือตอบ


 


 


           ทหารรักษาเมืองรีบออกไป


 


 


           รอประมาณสองก้านธูป ทหารรักษาเมืองคนเดิมก็กลับมา ยกมือสั่งให้คนเปิดประตูเมือง


 


 


           “ท่านโหวเซี่ยอยู่ที่ใด รบกวนบอกด้วย” พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเข้ามาในเมืองแล้วเอ่ยถาม


 


 


           “ข้าน้อยนำทางให้แม่นางทุกท่านเอง” คนผู้นั้นรีบกล่าว


 


 


           พวกซื่อฮว่ากล่าวขอบคุณ ตามคนผู้นั้นเข้าเมืองแล้วมุ่งไปยังเมืองชั้นใน


 


 


           ถนนในเมืองสะอาด มิได้ยินเสียงหมาเห่าสักตัว เงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง แต่ในอากาศมีกลิ่นผิดปกติปะปนอยู่ เป็นกลิ่นราและกลิ่นไม่น่าพิสมัยฉุนจมูก


 


 


           ทหารรักษาเมืองนำทั้งหมดมายังศาลาว่าการ ก่อนประสานมือคำนับกับพวกซื่อฮว่า “แม่นางเข้าไปเถิด ท่านโหวเซี่ยอยู่ที่นี่”


 


 


           พวกซื่อฮว่ารีบเดินเข้าไปข้างใน


 


 


           “พระชายาน้อยมาแล้วใช่หรือไม่” เพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นทิงเหยียนวิ่งหน้าตั้งออกมาพร้อมกล่าวด้วยความรีบร้อน


 


 


           พวกซื่อฮว่าเห็นทิงเหยียน ทั้งได้ยินสิ่งที่เขาพูด หัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน คิดในใจว่าคุณชายหลี่เดาถูกแล้วว่าคุณหนูมิได้มาที่หลินอัน พวกนางส่ายหน้าตอบ


 


 


           “พระชายาน้อยไม่มา” ทิงเหยียนเห็นทุกคนส่ายหน้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง มองทุกคนด้วยความไม่เข้าใจ “แล้วไฉนพวกเจ้าถึง…”


 


 


           “ไม่มีอะไร” ซื่อฮว่าตอบ “ท่านโหวเล่า”


 


 


           “อยู่ในห้อง” ทิงเหยียนหลีกทางให้


 


 


           พวกซื่อฮว่ารีบเดินไปยังหน้าประตูแล้วย่อเข่าทำความเคารพ “ท่านโหว”


 


 


           “เข้ามาพูดข้างใน” เสียงของเซี่ยม่อหานดังขึ้น


 


 


           พวกซื่อฮว่าเข้ามาข้างในด้วยกัน พบว่าเซี่ยม่อหานนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวคล้ายป่วยหนัก ทั้งแปดพากันตกใจ “ท่านโหว ท่านเป็นอะไรหรือ”


 


 


           “น้องหายไปไหนเล่า ไฉนถึงไม่มากับพวกเจ้าด้วย” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า ไม่ตอบกลับถามขึ้น


 


 


           ซื่อฮว่ารีบเล่าเหตุการณ์หลังเซี่ยฟางหวาออกจากเมืองให้ฟัง เล่าจนถึงนางออกไปเพียงลำพังในคืนนี้ พวกนางไร้หนทางจึงมาตามหาที่นี่ เล่าจบแล้วก็คุกเข่าบนพื้นขอรับโทษ “ท่านโหว พวกเราไร้ประโยชน์ มิได้ดูแลคุณหนูให้ดี ยามนี้นางออกไปเพียงลำพัง เราเองยังไม่รู้ตัว ท่านโหวโปรดลงโทษด้วย”


 


 


           “ท่านโหวโปรดลงโทษด้วย” พวกซื่อม่อก็คุกเข่าขอรับโทษด้วยเช่นกัน


 


 


           หลังเซี่ยม่อหานได้ยินว่าเซี่ยฟางหวาสังหารฉางเฟิงไปก็เงียบลงครู่หนึ่ง โบกมือปัดไม่ถือสา กล่าวด้วยความอ่อนแรง “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ ฟางหวาออกไปเพียงลำพังต้องมีเหตุผลเป็นแน่ ไม่โทษพวกเจ้า”


 


 


           “เป็นเพราะเรามีวิทยายุทธ์ต่ำ ไร้ประโยชน์” พวกซื่อฮว่าไม่ยอมลุกขึ้น


 


 


           “นางตั้งใจหนีพวกเจ้าไปเพียงลำพัง ถึงพวกเจ้ามีวิทยายุทธ์สูงก็เกรงว่าทำอะไรไม่ได้เช่นกัน น้องมู่ชิงก็มีวิทยายุทธ์สูงไม่เบา มีหรือจะไม่รู้สึกตัวด้วยว่านางออกไปเพียงลำพัง” เซี่ยม่อหานไอ ก่อนกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ลุกขึ้นเถอะ”


 


 


           พวกซื่อฮว่ามองหน้ากันก่อนลุกขึ้นยืน


 


 


           “ท่านโหว ท่านป่วยเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” ผิ่นจู๋มองเซี่ยม่อหานแล้วถามด้วยความร้อนใจ


 


 


           “ตากลมหนาว ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” เซี่ยม่อหานตอบ


 


 


           “แค่ตากลมหนาวจริงหรือเจ้าคะ” ซื่อหว่านมองเขา เอ่ยขึ้นด้วยความระวัง “ตอนเข้าเมืองมาสัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลกๆ ในอากาศ โรคห่าร้ายแรงมากหรือไม่ ท่านใช่…” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “แล้วคุณชายเหยียนเฉินเล่า”


 


 


           “ข้าแค่ตากลมหนาว ไม่ได้ติดโรคห่ามาด้วย หลายวันก่อนไปขุดลอกคูคลองกับรัชทายาท และด้วยโรคห่าระบาดขึ้น ร่างกายข้าทนงานหนักไม่ไหวจึงล้มป่วยลง ตอนนี้คนที่ติดโรคห่าถูกรัชทายาทกักตัวไว้แล้ว


 


 


เหยียนเฉินกำลังศึกษาหายารักษาโรคห่าอยู่” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า


 


 


           ทั้งแปดได้ยินเช่นนั้นก็พากันโล่งใจ


 


 


           “พวกเจ้ารีบเดินทางมาที่นี่คงเหนื่อยแย่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องฟางหวา ไปพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยว


 


 


เหยียนเฉินกลับมาข้าค่อยหารือกับเขา ดูว่าฟางหวาพอจะไปที่ใดได้บ้าง” เซี่ยม่อหานครุ่นคิดแล้วยกมือไล่ทั้งแปด


 


 


           ทั้งแปดพยักหน้ารับ เมื่อได้เจอเซี่ยม่อหานก็เสมือนมีเสาหลัก ไม่พูดมากความเป็นการกระทบกับอาการป่วยของเขา ต่างกลับออกไปพร้อมกัน


 


 


 


 


[1] *ยามไฮ่ คือ ช่วงเวลา 21:00 น.-23:00 น. 

 

 


ตอนที่ 75 เจ้าของเฟิ่งหลวน

 

       หลังจากพวกซื่อฮว่าแปดคนออกไป ใบหน้าเซี่ยม่อหานก็ฉายความกังวล


 


 


           เมื่อฟ้าสว่างเต็มที่ เหยียนเฉินกลับมาจากข้างนอกในสภาพเหนื่อยล้า ตรงมาที่ห้องของเซี่ยม่อหาน


 


 


           “เป็นเช่นไรบ้าง หาวิธีควบคุมโรคห่าระบาดลุกลามได้หรือยัง” เซี่ยม่อหานเห็นเขากลับมาก็รีบถาม


 


 


           “หาวิธีได้แล้ว เพียงแต่ขาดสมุนไพรตัวหนึ่ง” เหยียนเฉินพยักหน้า


 


 


           “สมุนไพรใด” เซี่ยม่อหานรีบถาม


 


 


           “สมุนไพรดำม่วง” เหยียนเฉินตอบ


 


 


           “สมุนไพรชนิดนี้หายากมากเลยหรือ” เซี่ยม่อหานถาม


 


 


           “ไม่ใช่ว่าสมุนไพรชนิดนี้หายากหรอก เพียงแต่คล้ายกับถูกคนกว้านซื้อไปก่อนแล้ว อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ภายในรัศมีห้าร้อยลี้จากเมืองหลินอันก็หาสมุนไพรชนิดนี้ไม่ได้” เหยียนเฉินส่ายหน้าตอบ


 


 


           “ผู้ใดกว้านซื้อมันไปก่อน” เซี่ยม่อหานสีหน้าเปลี่ยนไป


 


 


           “ฉินอวี้กำลังส่งคนไปตรวจสอบ” เหยียนเฉินส่ายหน้า


 


 


           “เจ้าเพิ่งศึกษาได้ว่าจำต้องใช้สมุนไพรดำม่วง แต่เหตุใดถึงมีคนกว้านซื้อมันไปก่อนล่วงหน้าก้าวหนึ่ง” เซี่ยม่อหานข้องใจ เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “หรือว่าโรคห่าที่นี่เกิดขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ มีแค่สมุนไพรดำม่วงเท่านั้นหรือที่รักษาได้”


 


 


           “ถึงแม้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ แต่ก็มีคนคิดอยากทำลายเมืองหลินอัน พูดอีกอย่างคืออยากกำจัดผู้คนที่อาศัยในเมืองหลินอันแห่งนี้” เหยียนเฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้อยู่เบื้องหลังต้องมีแพทย์ระดับสูงอยู่ข้างกายแน่นอน น่าจะมีวิชาแพทย์สูงกว่าข้าด้วย ข้าใช้เวลาศึกษาสองวันกว่าจะคิดได้ว่าต้องใช้สมุนไพรดำม่วง แต่ก็สายไปก้าวหนึ่ง สมุนไพรดำม่วงถูกคนกว้านซื้อไปก่อนแล้ว”


 


 


           “รัศมีห้าร้อยลี้ไม่มีสมุนไพรชนิดนี้” เซี่ยม่อหานกังวล “สถานการณ์ในเมืองยังต้านได้อีกกี่วัน”


 


 


           “มากสุดสามวัน” เหยียนเฉินตอบ


 


 


           “เวลาสามวันน้อยเกินไป ตอนนี้ในรัศมีห้าร้อยลี้ไม่มีสมุนไพรดำม่วง จำต้องหามันมาให้ได้โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นแสนกว่าชีวิตในหลินอันต้องเผชิญอันตราย หลินอันจะกลายเป็นเมืองแห่งซากกระดูก” เซี่ยม่อหานไอขึ้นมา


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า


 


 


           “เป็นผู้ใดกันแน่” เซี่ยม่อหานแค้นเคือง “ถึงแม้พุ่งเป้ามาที่องค์รัชทายาท พุ่งเป้ามาที่ตระกูลเซี่ยของข้า แต่ก็ไม่ควรนำแสนกว่าชีวิตเข้ามาพัวพันกับเราด้วย ช่างมีจิตใจโหดเ**้ยมยิ่งนัก อุบายร้ายกาจยิ่ง ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษเลยรึ”


 


 


           “หากไร้สัญญาณชีวิต มีหรือจะกลัวสวรรค์ลงโทษ” เหยียนเฉินเม้มปากแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ข้าได้ยินว่าสาวใช้ทั้งแปดของฟางหวาเร่งเดินทางมาตลอดคืน พวกนางนำถ้อยคำใดมาด้วยหรือไม่”


 


 


           “พูดถึงเรื่องนี้ ถ้าเจ้ายังไม่กลับมา พอฟ้าสว่างแล้วข้าว่าจะส่งคนไปตามเจ้าพอดี จำต้องคุยกับเจ้าเรื่องนี้” เซี่ยม่อหานระงับโทสะ เอ่ยขึ้นด้วยความกลุ้มใจ “เดิมทีฟางหวาอยู่ห่างแค่ร้อยลี้แล้ว กลางดึกเมื่อคืนเตรียมออกเดินทางต่อ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ก็หนีออกไปเพียงลำพังแล้วทิ้งพวกซื่อฮว่าแปดคนไว้ พวกซื่อฮว่าเดาว่าเพราะหลี่มู่ชิงตามมาด้วย นางไม่อยากให้เขาตามมา เพราะปฏิเสธไม่ได้ จึงได้แต่ทิ้งพวกนางแล้วหนีไป”


 


 


           เหยียนเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรอง


 


 


           เซี่ยม่อหานเล่าเรื่องที่พวกซื่อฮว่าเล่าให้ตนฟังอีกรอบหนึ่ง พูดจบก็ถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ประกาศหย่าร้างเผยแพร่ไปทั่วหนานฉิน เรื่องพระราชโองการหย่าร้างเป็นที่รู้กันทั่วใต้หล้าแล้ว สถานการณ์เป็นที่แน่นอน ชวนให้เกิดความสับสนยิ่งนัก ข้าส่งจดหมายไปหาฉินเจิงแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับการตอบกลับ เดิมคิดว่าเมื่อฟางหวามาถึงแล้วค่อยถามนาง ตอนนี้นางกลับฝืนอาการบาดเจ็บจากไปเพียงลำพัง น่าเป็นห่วงยิ่งนัก”


 


 


           “ฟางหวามีความคิดเป็นของตัวเอง เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก รักษาตัวให้หายดีเถอะ” เหยียนเฉินบอก


 


 


           “เจ้ามีวิธีติดต่อกับนางไหม” เซี่ยม่อหานมองเหยียนเฉิน เดิมเขาเป็นคนมีความคิดความอ่านฉลาด เห็นเหยียนเฉินได้ยินเรื่องนี้ก็หาได้แสดงความกระสับกระส่ายแบบเขาไม่ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า “แต่ในเวลาอันสั้นคงใช้ไม่ได้”


 


 


           เซี่ยม่อหานมองเขา


 


 


           “หลินอันอันตราย รอบกายเรายิ่งอันตรายเป็นเท่าตัว นางไม่มาหลินอันก็ดีเหมือนกัน” เหยียนเฉินกล่าวเสียงทุ่มต่ำ


 


 


           “ก็จริง” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


           ทั้งสองเพิ่งสนทนาจบ พลันมีคนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก ตะโกนเสียงดังด้วยความรีบร้อน “คุณชาย


 


 


เหยียนเฉิน เร็ว เร็วเถิด แย่แล้วขอรับ!”


 


 


           เหยียนเฉินมองไปข้างนอก ขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นเดินมาที่ประตูแล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องใด”


 


 


           “เกิดการก่อจลาจล คนที่ถูกกักเพราะติดโรคห่าหลุดออกมา คนพวกนั้นบุกออกมา หนึ่งในนั้นข่วนทำร้ายองค์รัชทายาท คุณชายชูฉือไม่อยู่ ออกนอกเมืองไปตามหาสมุนไพร ตอนนี้มีแค่ท่านที่อยู่ด้วย รีบไปดูเถิด” คนผู้นั้นรีบกล่าว


 


 


           เหยียนเฉินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าทันที รีบเดินออกไปข้างนอก


 


 


           เซี่ยม่อหานเองก็นั่งไม่ติดเช่นกัน รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วตะโกนขึ้น “ใครก็ได้”


 


 


           “ท่านโหว” ทิงเหยียนรีบวิ่งมาหา


 


 


           “ช่วยข้าแต่งตัว แล้วตามข้าไปหาองค์รัชทายาท” เซี่ยม่อหานสั่งงาน


 


 


           “ท่านโหว ร่างกายท่านยังไม่หายดี แม้อาการป่วยก่อนหน้านี้หายดีแล้ว แต่ร่างกายฝืนทำงานหนักตลอดมา ยังไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ตอนนี้ข้างนอกอันตรายยิ่ง ในเมื่อมีการก่อจลาจล ท่านอย่าเพิ่งออกไปจะดีกว่า หากท่านติดโรคห่าไปด้วยอีกคน ไหนเลยจะต้านทานไหว ท่านไม่เห็นพวกชายชาตรีติดโรคห่าแล้วตายไปเพราะต้านทานไม่ไหวหรือ” ทิงเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยนัก


 


 


           “รัชทายาทเกี่ยวพันกับความปลอดภัยของเมืองนี้ เขาเป็นอะไรไปในยามนี้ไม่ได้ หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา อย่าว่าแต่ข้าตายเพราะติดโรคห่าเลย นี่ยังเป็นแค่เรื่องเล็ก ทุกคนในเมืองนี้ตายกันหมดต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า


 


 


           “ร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ทิงเหยียนสะดุ้งตกใจ พึมพำเสียงเบา


 


 


           “ร่างกายข้าไม่เคยทนรับความลำบาก แค่ตากลมหนาวนานไปจึงล้มป่วย สำหรับโรคห่าระบาดในหลินอันตอนนี้เรียกได้ว่าสังขารไม่อำนวย สิ่งที่พอทำได้มีจำกัด ยังต้องพึ่งพารัชทายาท หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา ผู้ใดจะช่วยประชาชนในหลินอัน” เซี่ยม่อหานตีหน้านิ่งขรึม ตำหนิทิงเหยียน “ยังไม่รีบอีก”


 


 


           ทิงเหยียนเงียบเสียงทันที รีบมาช่วยเขาแต่งตัว จากนั้นก็พยุงเขาออกจากห้อง


 


 


           เมื่อออกจากจวนศาลาว่าการหลินอัน ทั้งสองก็ขึ้นรถม้า เดินทางผ่านถนนสองสายก็เห็นสถานการณ์ความวุ่นวายหน้าจวนเบื้องหน้า ทหารหลายคนคุมตัวลากคนที่ดิ้นทุรนทุรายพลางแหกปากร้องออกไป บนพื้นปรากฏคราบเลือดจากการต่อสู้กองใหญ่ แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์เมื่อก่อนหน้านี้ว่าเลวร้ายเพียงใด


 


 


           เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวมาหยุดหน้าประตู เหล่าทหารก็นำตัวคนและศพที่ก่อเรื่องออกไปแล้ว


 


 


           หลังจากเซี่ยม่อหานลงจากรถม้า เหล่าทหารต่างรู้จักฐานะของเขาดี รีบทำความเคารพพร้อมทั้งหลีกทางให้เพื่อเชิญเขาเข้าไปข้างใน


 


 


           เซี่ยม่อหานตรงไปยังจวนชั้นใน เมื่อมาถึงห้องหลักและเข้าไปในห้องก็พบว่าฉินอวี้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ ข้อมือถูกข่วนทำร้ายจนเกิดบาดแผลหลายแห่ง เหยียนเฉินกำลังทำแผลให้ เขาดูเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง สีหน้าย่ำแย่ถึงที่สุด เม้มปากปล่อยให้เหยียนเฉินตรวจดูอาการ


 


 


           “รัชทายาท ไฉนถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” เซี่ยม่อหานสาวเท้าเดินเข้ามาแล้วเอ่ยถาม


 


 


           “ม่อหาน เจ้ายังไม่หายดี ไฉนถึงมาที่นี่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ฉินอวี้เห็นเขามาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


           “ฟังว่าเกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่สบายใจจึงตามมาดู” เซี่ยม่อหานคำนับฉินอวี้ลวกๆ ก่อนเดินมาดูบาดแผลที่ข้อมือเขาแล้วเอ่ยถามเหยียนเฉิน “เป็นเช่นไรบ้าง มีปัญหาหรือไม่”


 


 


           “ตอนนี้ยังตอบไม่ได้” เหยียนเฉินตอบ “ต้องสังเกตอาการสักครึ่งวัน”


 


 


           “รัชทายาทมิใช่มีวิทยายุทธ์หรือ ข้างกายก็มีผู้คุ้มกันฝีมือดี ไฉนถึงปล่อยให้มีคนเข้าประชิดตัวได้ง่ายๆ ทั้งยังข่วนทำร้ายท่านอีก” เซี่ยม่อหานย่นหัวคิ้วพลางมองฉินอวี้


 


 


           ฉินอวี้เผยสีหน้าเยือกเย็นเล็กน้อย “คนผู้นั้นฝีมือดีมาก” หยุดเว้นช่วงแล้วถอนหายใจออกมา “เจ้าก็รู้ว่าตั้งแต่เยว่ลั่วกับชิงเหยียนสับเปลี่ยนกัน ข้างกายข้านอกจากคนของฉินเจิงแล้วก็ไม่มีสายลับราชสำนักอยู่ อีกอย่างก่อนหน้านี้พี่เหยียนเฉินก็เพิ่งศึกษาหาวิธีปรุงยาควบคุมโรคห่าได้ แต่ขาดสมุนไพรดำม่วง ข้าจึงส่ง


 


 


ชิงเหยียนกับคนอื่นออกไป พวกเขาเพิ่งออกไปไม่นาน นึกไม่ถึงเลยว่าผู้อยู่เบื้องหลังก็ทราบข่าวแล้ว”


 


 


           “กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าผู้อยู่เบื้องหลังอยู่ในเมือง” เซี่ยม่อหานมีสีหน้าเปลี่ยนไป


 


 


           “ไม่ใช่ในเมืองก็คงอยู่นอกเมืองไม่ไกลนัก มิฉะนั้นข้าส่งคนไปหาสมุนไพรดำม่วงยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี พลันเกิดการก่อจลาจลขึ้นแล้ว โอกาสประจวบเหมาะกันยิ่งนัก” ฉินอวี้ไม่แสดงความเห็น


 


 


           “คนที่ข่วนทำร้ายท่านเล่า” เซี่ยม่อหานถาม


 


 


           “สังหารไปแล้ว” ฉินอวี้ตอบ


 


 


           “ถูกท่านสังหารหรือ” เซี่ยม่อหานมองเขา “ไฉนถึงไม่เก็บพยานไว้”


 


 


           “อืม คนผู้นั้นมีวิทยายุทธ์สูงมาก ตอนนั้นสถานการณ์บีบบังคับ หากไม่สังหารเขา ข้าคงรักษาชีวิตกลับมาไม่ได้” ฉินอวี้ตอบ “ได้แต่ต้องสังหารเขา นอกจากนี้เขาก็เป็นคนที่ติดโรคห่าด้วย ต้องสังหารทิ้งเท่านั้น”


 


 


           “คนที่ถูกสังหารเล่า ตอนนี้อยู่ที่ใด” เซี่ยม่อหานถาม “บางทีอาจหาเบาะแสจากศพได้บ้าง”


 


 


           “ถูกข้าสั่งคนไปเก็บกวาดก่อนแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าใกล้ พี่เหยียนเฉินเป็นหมอ ประเดี๋ยวลองไปตรวจสอบดูเถอะ” ฉินอวี้ตอบ


 


 


           “รัชทายาทไว้วางใจข้าก็ดี” เหยียนเฉินทายาบนข้อมือให้ฉินอวี้


 


 


           “แม้เจ้าเป็นพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี แต่เนื่องด้วยมีความเกี่ยวข้องกับฟางหวา พักอยู่ที่หนานฉินตลอดมาเพื่อคอยช่วยเหลือนาง ตอนนี้ตัวข้าผูกติดอยู่กับหลินอัน พี่จื่อกุยก็ยังไม่แข็งแรงดี ถึงแม้ข้าไม่ชอบหน้าเจ้า แต่ก็ปล่อยให้พี่จื่อกุยเป็นอะไรไปไม่ได้เช่นกัน มิฉะนั้นคงทำให้นางผิดหวัง ข้าย่อมไว้ใจเจ้า จงไปตรวจสอบเสีย” ฉินอวี้แย้มยิ้มบาง


 


 


           เหยียนเฉินตวัดตามองฉินอวี้ ยอมรับคำพูดเขาโดยนัย รีบทำแผลให้เขาเสร็จแล้วก็เดินออกไป


 


 


           “โชคดีที่มีเหยียนเฉิน” เซี่ยม่อหานเห็นเหยียนเฉินเดินออกไปแล้วก็เอ่ยขึ้น


 


 


           “แน่นอนว่าโชคดีที่มีเขา มิฉะนั้นนางคงไม่สบายใจที่ปล่อยให้ท่านอยู่ที่นี่ และไม่รีบร้อนเดินทางมา กลับไปทำเรื่องอื่นก่อน” ฉินอวี้ยิ้มพลางพยักหน้า


 


 


           “รัชทายาทหมายถึงสิ่งใด” เซี่ยม่อหานมึนงง


 


 


           “พี่จื่อกุย ท่านฉลาดขนาดนี้ ไฉนถึงไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดหมายถึงอะไร” ฉินอวี้มองไปยังนอกหน้าต่าง “ความปลอดภัยของเมืองหลินอัน หนทางช่วยปลดทุกข์ ไม่ใช่อยู่ในหลินอัน หากแต่อยู่ข้างนอก ถึงแม้นางมาหลินอัน แต่หากไม่มีสมุนไพรดำม่วงก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่ติดอยู่ในตาข่ายนี้เหมือนอย่างพวกเรา ดังนั้นมิสู้ไม่มา”


 


 


           “เจ้าหมายถึง นางไม่มาที่นี่ เพราะเหยียนเฉิน…” เซี่ยม่อหานมองเขา


 


 


           ฉินอวี้ไม่ตอบคำถาม หากแต่ยิ้มกล่าว “ตอนนี้ทุกหนแห่งต่างมีประกาศพระราชโองการหย่าร้างติดอยู่ทั่วหนานฉิน ฉินเจิงกับฟางหวามิใช่สามีภรรยากันอีกแล้ว และไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก” หยุดชั่วครู่แล้วหันมามองเซี่ยม่อหาน “พี่จื่อกุย อ้อมไปอ้อมมา ใช่อธิบายว่านางกับฉินเจิงไร้วาสนาต่อกันหรือไม่”


 


 


           เซี่ยม่อหานมองฉินอวี้ ไม่ส่งเสียงใด


 


 


           ฉินอวี้เองก็หาได้สนใจกับการเงียบตอบของเขา กล่าวต่อว่า “บางทีข้าอาจมีวาสนากับนางก็เป็นได้”


 


 


           “รัชทายาท แม้ตอนนี้น้องฉินเจิงกับน้องสาวข้ามาถึงขั้นนี้แล้ว แต่เบื้องลึกเบื้องหลังเป็นเช่นไรกันแน่นั้นยังมิทราบ ยิ่งไปกว่านั้น น้องสาวข้าก็เป็นสตรีที่เคยออกเรือนมาแล้ว ถึงแม้ตอนนี้นางกับน้องฉินเจิงไม่ใช่สามีภรรยากันอีก แต่ก็ไม่เหมาะสมกับองค์รัชทายาท ท่านอย่าได้คิดเช่นนี้อีกเลย คู่หมั้นและชายาที่ถูกกำหนดไว้แล้วคือคุณหนูหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ตอนนี้ในเมืองวุ่นวายอย่างยิ่ง หากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาล่วงรู้ความคิดของท่าน ถึงอย่างไรเสนาบดีฝ่ายขวาก็อยู่ในราชสำนักมานาน หากท้อแท้หมดกำลังใจ เช่นนั้นสถานการณ์ในราชสำนักก็ยิ่งเลวร้ายจนนึกภาพไม่ออก” หัวใจของเซี่ยม่อหานเต้นตึกตัก รีบสวนกลับทันที


 


 


           “พี่จื่อกุย ขนาดข้ายังไม่กลัว แล้วท่านกลัวสิ่งใด” ฉินอวี้หลุดยิ้ม


 


 


           “บ้านเมืองหนานฉิน ราษฎรนับล้าน รัชทายาทต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน อย่าได้…” เซี่ยม่อรีบตอบ


 


 


           “พอแล้ว พอแล้ว พี่จื่อกุย ท่านกับข้าอายุเท่ากัน ยังอายุน้อยอยู่แท้ๆ ไฉนถึงได้เหมือนตาแก่พวกนั้นในราชสำนัก เอาแต่พูดถึงราชสำนัก หนีไม่พ้นจากบ้านเมือง ไม่พ้นจากหนานฉิน” ฉินอวี้ยกมือปรามเซี่ยม่อหานอย่างเอือมระอา


 


 


           เซี่ยม่อหานชะงัก ได้แต่เงียบเสียงลง ทว่ายังมองฉินอวี้ด้วยแววตาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง


 


 


           “หนานฉินเจริญรุ่งเรืองมาเกือบสามร้อยปีแล้ว จะรุ่งเรืองต่อไปหรือล่มสลายลงก็ต้องดูสถานการณ์ปัจจุบัน ราชวงศ์หนึ่งสืบทอดมาจนถึงตอนนี้ได้ ภายใต้ความยิ่งใหญ่นั้น บรรพบุรุษหลายรุ่นต้องกลบเกลื่อนความสกปรกและความล้าสมัยมากน้อย หากไม่บูรณะอย่างเด็ดขาด ถอนบางสิ่งทิ้งไป กำจัดมอดให้สิ้น เช่นนั้นแผ่นดินต้องสิ้น บ้านเมืองต้องล้มเหลว แต่จะทำเช่นไรถึงจะกำจัดความล้าสมัยนี้ไปได้ เอาแต่ยับยั้งไว้อย่างเดียวหรือ พอจะสร้างความคิดใหม่ได้หรือไม่” ฉินอวี้ยกยิ้มมุมปาก พลันหัวเราะเยาะขึ้น


 


 


           เซี่ยม่อหานเม้มปาก พิจารณาตามเงียบๆ


 


 


           ฉินอวี้ส่ายหน้า “หยุดยั้งและควบคุมเป็นนโยบายของเสด็จปู่ กระทั่งมาถึงรุ่นของเสด็จพ่อก็กลายเป็นว่าควบคุมไม่อยู่แล้ว คนบางกลุ่ม ของบางสิ่ง ต่างอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่เสด็จพ่อทรงอายุมากขึ้นแล้วเลย ทั้งยังทรงประชวรหนัก แม้มีใจทว่าสังขารไม่อำนวยแล้ว” พูดจบก็กล่าวต่อ “จนถึงรุ่นข้า ตอนนี้ข้าเป็นเพียงรัชทายาท ยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่ง พูดได้ว่าห่างจากบ้านเมืองเพียงก้าวเดียว แต่ก็เหมือนห่างอีกหมื่นก้าว”


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้า


 


 


           “สิ่งที่ข้าคิดคือ ต้องขุดสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นขึ้นมาทั้งหมด ถึงไม่สำเร็จก็ต้องพลีชีพ” ฉินอวี้พูดชัดเจน


 


 


           “รัชทายาทพูดถูกแล้ว ในเมื่อคุกคามบ้านเมืองจนควบคุมไม่อยู่ มิสู้กำจัดทิ้ง ในเมื่อหมายกำจัดทิ้งก็ย่อมไม่ให้เหลือทางหนีทีไล่” เซี่ยม่อหานเข้าใจดี เงียบลงพักหนึ่งแล้วผงกศีรษะ


 


 


           “ดังนั้นบางทีชีวิตนี้ข้าอาจไม่ได้ออกจากหลินอันแล้ว อาจตายอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ เช่นนั้นในเมื่อชีวิตสั้นถึงเพียงนี้ ผู้ใดตอบได้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป ในเมื่อฟางหวาไม่ใช่สามีภรรยากับฉินเจิงแล้ว ข้าต้องการฟางหวา มีหรือจะทำไม่ได้” ฉินอวี้เปลี่ยนเรื่องกลับมาอีกครั้ง “บางทีเราอาจถูกกำหนดมาให้เป็นสามีภรรยากันก็ได้”


 


 


           เซี่ยม่อหานมองฉินอวี้อย่างหมดคำพูด


 


 


           “พี่จื่อกุย ท่านรู้หรือไม่ว่าหลังจากไต้ซือผู่อวิ๋นวัดฝ่าฝอซื่อเคยทำนายชะตาชีวิตให้ข้ากับฉินเจิง เขายังเคยทำนายซ้ำอีกครั้งด้วย” ฉินอวี้พลันคลี่ยิ้มมีเลศนัยต่อเขา


 


 


           “ทำนายซ้ำอย่างไร” เซี่ยม่อหานสงสัย


 


 


           “หลังเขาทำนายชะตาเสร็จแล้ว ก็ทำนายซ้ำอีกครั้ง” ฉินอวี้ยิ้มกล่าว “ตอนนั้นฉินเจิงกลับไปด้วยความฉุนเฉียว ท่านก็รู้จักนิสัยเขาดี เขาไม่ชอบพุทธศาสนา แม้เชื่อคำทำนายนี้ แต่ก็ไม่ถูกชะตากับผู้ทำนายดวงชะตา แต่ข้ายังอยู่ต่อ และขอให้ไต้ซือผู่อวิ๋นทำนายอนาคตซ้ำอีกครั้ง”


 


 


           “มิเคยได้ยินเรื่องนี้” เซี่ยม่อหานแปลกใจ


 


 


           “เพราะการทำนายครั้งนี้มีเพียงข้ากับผู่อวิ๋นที่ทราบ ย่อมไม่มีผู้อื่นทราบเรื่องนี้ และไม่เคยหลุดแพร่งพรายออกไป ท่านย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน” ฉินอวี้มองเขา “ผลการทำนายซ้ำบอกว่า เจ้าของเฟิ่งหลวนเป็นสตรีจากตระกูลเซี่ย” 

 

 


ตอนที่ 76-1 สาบานเป็นตายร่วมกัน

 

     เจ้าของเฟิ่งหลวนเป็นสตรีจากตระกูลเซี่ย 


 


 


           เฟิ่งหลวน หรืออีกชื่อหนึ่งคือตำหนักเฟิ่งหลวน หรือที่ประทับของฮองเฮาในวัง หรือก็คือตำแหน่งพระมารดาแห่งแผ่นดิน 


 


 


           สตรีจากตระกูลเซี่ย ในหนานฉินมีสตรีตระกูลเซี่ยอยู่มากมาย แต่ผู้ที่พอจะได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูตระกูลเซี่ยอย่างแท้จริงมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น คือเซี่ยฟางหวา 


 


 


           ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังถ้อยคำนี้แล้วก็พอจะเข้าใจความหมายได้ทันที 


 


 


           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตกใจ อย่างไรก็ไม่เคยนึกถึงว่ามีการทำนายซ้ำเช่นนี้ด้วย เขามองฉินอวี้ กล่าวคำใดไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง 


 


 


           “แต่ท้ายสุดยังมีคำทำนายเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่ง ไต้ซือผู่อวิ๋นบอกว่า สวรรค์เป็นผู้ลิขิต เหมือนข้าเหมือนเขา” ฉินอวี้พูดจบก็แย้มยิ้มออกมา 


 


 


           “หมายความว่าอย่างไร” เซี่ยม่อหานไตร่ตรองถี่ถ้วน ทว่าก็ไม่เข้าใจความหมายจึงถามด้วยความสงสัย 


 


 


           “ตอนนั้นข้าเองก็ไม่เข้าใจจึงถามไต้ซือผู่อวิ๋นว่าหมายความว่าอย่างไร เขาตอบว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน บอกกับข้าว่าบางทีเมื่อถึงเวลาข้าคงเข้าใจเอง” ฉินอวี้หลับตาลง เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนล้า “ตอนนี้ข้าว่าข้าพอเข้าใจบ้างแล้ว” 


 


 


           “คือสถานการณ์ตอนนี้หรือ” เซี่ยม่อหานมองฉินอวี้แล้วหยั่งเชิงถาม  


 


 


           “หมายถึงสวรรค์ลิขิตต่างหาก” ฉินอวี้หัวเราะ 


 


 


           เซี่ยม่อหานไตร่ตรองพักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจดังเดิม 


 


 


           ฉินอวี้กลับไม่พูดมากความ หลับตาพักผ่อนแทน 


 


 


           เซี่ยม่อหานทราบดีว่าตั้งแต่เขาออกมาจากเมืองหลวง ตลอดทางต้องขุดลอกคูคลอง หลังมาถึงเมืองหลินอันก็เกิดโรคห่าระเบิดขึ้นอีก ยังไม่ได้พักผ่อนให้เต็มที่ตลอดมา เช้านี้ต้องวิ่งวุ่นไปมาคงอ่อนล้าไม่เบาจึงไม่อยู่รบกวนเขาอีก พลันลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก 


 


 


           เมื่อมาถึงหน้าทางเข้า เหยียนเฉินก็เดินออกมาจากห้องลับพอดี 


 


 


           “พิสูจน์เสร็จแล้วหรือ” เซี่ยม่อหานถามเสียงต่ำ 


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า 


 


 


           “เป็นเช่นไรบ้าง” เซี่ยม่อหานถาม 


 


 


           “คนผู้นั้นติดโรคห่าจริง ป่วยมาได้สองวันแล้ว นอกจากถูกรัชทายาทใช้กระบี่ปลิดชีวิตก็ตรวจสอบไม่พบสิ่งอื่นใดเลย ทั่วร่างไม่พบสิ่งใด” เหยียนเฉินส่ายหน้า  


 


 


           “ฐานะของคนผู้นี้เล่า” เซี่ยม่อหานบอก 


 


 


           “เรื่องนี้ต้องให้รัชทายาทออกคำสั่งตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ในหลินอิน” เหยียนเฉินตอบ “นอกจากนี้ ข้าแนะนำว่าควรรีบเผาศพที่ติดโรคห่าและศพที่ตายจากการจลาจลเช้านี้ ส่วนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อจลาจลเช้านี้ให้แยกออกมากักขังไว้ มิฉะนั้นหากทั้งเมืองติดโรคห่ากันหมด ถึงแม้จะได้สมุนไพรดำม่วงมาในสามวันก็เกรงว่าจะไม่ทันกาล” 


 


 


           “รัชทายาทเหนื่อยมากแล้ว เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” เซี่ยม่อหานบอก 


 


 


           “ท่านโหวยิ่งต้องรักษาสุขภาพให้ดี เมื่อครู่ยังเพิ่งไปหารัชทายาทมา ประเดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนใบสั่งยาให้ใหม่ จำต้องรีบต้มยาดื่มดักไว้ก่อน หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา ข้าคงอธิบายกับฟางหวาไม่ได้ อย่าว่าแต่หลินอันเมืองเดียวเลย ต่อให้เป็นหลินอันสิบเมืองก็ยังสำคัญไม่เท่าชีวิตท่าน หลายปีนี้นางต้องลำบากตรากตรำ ทั้งหมดก็เพื่อโหวเหยผู้เฒ่ากับท่าน” เหยียนเฉินมองเขาแวบหนึ่ง  


 


 


           “ข้ารู้แล้ว” เซี่ยม่อหานผงกศีรษะ 


 


 


           เหยียนเฉินเดินออกไป 


 


 


           “เจ้าไปตามข้าราชการทั้งหมดในศาลาว่าการและหน่วยงานส่วนกลางเมืองหลินอันมาพร้อมกันที่โถงประชุมของรัชทายาท” เซี่ยม่อหานสั่งงานทิงเหยียน 


 


 


           ทิงเหยียนแม้ไม่ค่อยพอใจนักที่เขาต้องทำงานหนัก แต่ก็รีบทำตามคำสั่ง 


 


 


           เซี่ยม่อหานเดินไปยังโถงประชุม 


 


 


           “เซี่ยม่อหาน” เขาเพิ่งเดินไปไม่ไกล ฉินเหลียนก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นเขาก็ตะโกนเรียกอย่างเหนื่อยหอบ  


 


 


           “ท่านหญิงเหลียน เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่ในเรือน มาที่นี่ทำไมกัน” เซี่ยม่อหานหยุดเท้า หันกลับไปมองพบว่าเป็นฉินเหลียนจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย  


 


 


           “ข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องกับพี่ฉินอวี้ ข้าไม่สบายใจ” ฉินเหลียนร้อนใจ “เขาเป็นเช่นไรบ้าง บาดเจ็บสาหัสหรือไม่” 


 


 


           “ไม่ค่อยสาหัสนัก แต่เพราะถูกคนติดโรคห่าข่วนทำร้าย จำต้องสังเกตดูอาการครึ่งวัน” เซี่ยม่อหานตอบอย่างคลุมเครือ 


 


 


           “ตอนนี้พี่ฉินอวี้อยู่ที่ไหน” ฉินเหลียนมีสีหน้าเปลี่ยนไป 


 


 


           “อยู่ในห้อง แต่เจ้าอย่าเข้าไปจะดีกว่า พี่ชายเจ้าบอกให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี ตอนนี้เมืองหลินอันเกิดโรคห่าระบาด หากไม่ระวังแล้วติดเข้า…” เซี่ยม่อหานตอบ  


 


 


           เขายังพูดไม่ทันจบฉินเหลียนก็ยกมือห้าม รอฟังเขาพูดจนจบไม่ไหวก็วิ่งไปที่ห้องฉินอวี้ 


 


 


           เซี่ยม่อหานส่งเสียงเรียก แต่ฉินเหลียนแสร้งหูทวนลม ตรงไปที่ห้องอย่างเดียว 


 


 


           เซี่ยม่อหานนวดคลึงหน้าผาก ทราบดีว่าห้ามไม่ได้จึงปล่อยเลยตามเลย ก่อนเดินไปที่โถงประชุมต่อ 


 


 


           ฉินเหลียนถลันเข้ามาในห้อง พบว่าฉินอวี้นอนอยู่บนตั่ง เปลือกตาปิดสนิทคล้ายกำลังหลับอยู่ นางผลักประตูห้องเข้าไปเสียงดัง ทว่ายังไม่ทำให้เขาตื่น คำพูดที่นางคิดจะเอ่ยออกไปพลันหยุดชะงัก ผ่อนฝีเท้าเบาลง เดินไปข้างใน 


 


 


           แขนของฉินอวี้วางแนบข้างตั่ง บริเวณที่พันด้วยผ้าพันแผลมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย 


 


 


           ฉินเหลียนย่นหัวคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังเดินออกไป พร้อมปิดประตูห้องเสียงเบา 


 


 


           “ท่านโหวไปไหนแล้ว” ฉินเหลียนเดินออกมา ไม่พบเซี่ยม่อหานก็ถามคนผู้หนึ่ง 


 


 


           “ไปที่โถงประชุมแล้วขอรับ” ผู้นั้นตอบ 


 


 


           ฉินเหลียนรีบวิ่งไปยังโถงประชุม 


 


 


           เมื่อมาถึงโถงประชุม พบว่าเซี่ยม่อหานอยู่เพียงลำพัง ทิงเหยียนยังไม่กลับจากการไปตามคนอื่นๆ นางจึงกล่าวกับเซี่ยม่อหาน “ข้าไม่อยากอยู่แต่ในเรือนแล้ว ข้าจะช่วยพวกเจ้าแก้ไขปัญหา” 


 


 


           “เจ้ามีศักดิ์เป็นท่านหญิง ทั้งเป็นสตรี มีฐานะสูงศักดิ์ ไม่ควรให้เจ้าเข้ามามีส่วนทำงานหนักในเรื่องพวกนี้ กลับไปพักผ่อนเถอะ หากเจ้าเบื่อ สาวใช้แปดคนของฟางหวาเพิ่งมาถึงเมื่อคืน เจ้าให้พวกนางมาอยู่กับเจ้าได้” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า  


 


 


           “พี่สะใภ้ก็เป็นสตรี ไฉนนางถึงเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ข้าซึ่งเป็นท่านหญิงไม่ได้มีฐานะสูงศักดิ์ไปกว่าคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวเช่นนาง ไฉนถึงทำไม่ได้” ฉินเหลียนถลึงตามอง “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าป่วยไม่ใช่หรือ พี่ฉินอวี้บอกให้เจ้ารักษาตัวให้ดี ไฉนเจ้าถึงไม่ฟัง กลับออกมาทำงานหนัก” 


 


 


           “ฟางหวาจะเทียบกับเจ้าได้อย่างไร ข้ากับเจ้าเหมือนกันที่ไหน” เซี่ยม่อหานปวดหัว 


 


 


           “ข้าไม่สน เจ้าอย่าดูถูกข้า ข้าโตมาในวังหลวง ไม่ใช่สตรีไม่รู้ความ ตอนนี้เมืองหลินอันเลวร้ายยิ่ง ข้าพอช่วยได้เท่าไรก็เท่านั้น” ฉินเหลียนดื้อรั้น “บอกเจ้าให้ ถึงไล่ข้าก็ไม่ยอมกลับ” 


 


 


           “ข้ายอมให้เจ้าช่วยข้าที่นี่ก็ได้ แต่หากข้าไม่อนุญาต ห้ามเจ้ากระทำการใดโดยพลการ มิฉะนั้นหลังเมืองหลินอันพ้นเคราะห์แล้ว ข้าจะขอให้รัชทายาทนำเจ้ากลับเมือง ไม่อนุญาตให้เจ้าตามข้าไปม่อเป่ยอีก” เซี่ยม่อหานมองนางอย่างจนปัญญา ทำได้ปล่อยเลยตามเลย 


 


 


           “ได้” ฉินเหลียนรีบรับคำ 


 


 


           สองสองถ้วยชาถัดมา ข้าราชการในหลินอันทุกภาคส่วนก็ทยอยมายังโถงประชุม 


 


 


           ครึ่งวันให้หลัง เหยียนเฉินก็กลับมาที่ห้องฉินอวี้อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าบริเวณหว่างคิ้วและท่อนแขนปรากฏรอยสีดำจางๆ ก็เม้มปากเล็กน้อย 


 


 


           “ข้ามีแนวโน้มว่าจะติดโรคห่าใช่ไหม” ฉินอวี้ตื่นแล้ว เมื่อเห็นเขาก็เอ่ยถาม  


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า 


 


 


           “ดูท่าคงอยากสังหารข้า” ฉินอวี้มองข้อมือแล้วเม้มปาก ทันใดนั้นก็หัวเราะแผ่วเบา  


 


 


           เหยียนเฉินเงียบ 


 


 


           ฉินอวี้บอกให้เขานั่งลงก่อนชวนสนทนาด้วยใบหน้าปกติ “เจ้าว่าจากมุมมองคนนอกแล้ว หากหนานฉินไม่มีข้า ผู้ใดจะสืบทอดรากฐานบ้านเมืองต่อไปได้” 


 


 


           “นอกจากองค์ชายแปด องค์ชายคนอื่นต่างไร้ความสามารถ แต่องค์ชายแปดยังเด็กอยู่ รับผิดชอบภาระอันใหญ่หลวงไม่ได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในหนานฉินตอนนี้คงรอให้เขาเติบโตไม่ไหว” เหยียนเฉินมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนตอบเสียงเรียบ  


 


 


           “ในเมื่อองค์ชายไร้ความสามารถ แล้วราชนิกุลเล่า” ฉินอวี้ผงกศีรษะ 


 


 


           เหยียนเฉินเลิกคิ้ว 


 


 


           “อย่างเช่นฉินเจิง” ฉินอวี้มองเขา 


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า กล่าวโดยไม่แฝงอารมณ์ใด “ในบรรดาลูกหลานราชนิกุลหนานฉิน ฉินเจิงนับว่าโดดเด่นเหนือกว่าใคร ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงเขาได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวเสริม “แต่ก็ต้องดูว่าเขาต้องการราชบัลลังก์หรือไม่” 


 


 


           ฉินอวี้พลันส่งเสียงหัวเราะออกมา 


 


 


           เหยียนเฉินมองเขา ไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           ฉินอวี้หัวเราะอยู่พักหนึ่งก่อนสำรวมลง ส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ถึงแม้เขาไม่ต้องการบ้านเมือง แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยทอดทิ้งบ้านเมืองหนานฉินไปได้” หยุดเว้นช่วง เขาราวกับกล่าวโดยแฝงอารมณ์บางอย่าง “ข้าเกลียดจุดนี้ของเขามากที่สุด เห็นชัดว่าหาได้แยแสตำแหน่งจักรพรรดิไม่ กลับยังปกป้องไม่ให้มันล่มสลายลง เห็นชัดว่าเกลียดชาติกำเนิดที่เกิดมาในจวนอิงชินอ๋อง กลับรับผิดชอบต่อสิ่งที่ไทเฮาและท่านลุงคาดหวังให้ทำ เห็นชัดว่าไม่ชอบที่ข้าเสแสร้งแกล้งทำตามกฎเกณฑ์ แต่เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญ เขากลับรักษากฎเกณฑ์ยิ่งกว่าใคร ตั้งแต่เล็กจนโต คนอื่นเห็นเขาเพียงภายนอก แต่ข้าเห็นจากภายใน ยิ่งเห็นก็ยิ่งรังเกียจนัก” 


 


 


           เหยียนเฉินไม่แสดงความเห็น ไม่มีส่วนร่วมวิพากษ์วิจารณ์ด้วย 


 


 


           “ข้ามีฐานะเป็นองค์ชายย่อมทำในสิ่งที่องค์ชายควรทำ เขาไม่ใช่องค์ชาย กลับทำในสิ่งที่ข้าควรทำ เจ้าว่าข้าจะถูกชะตากับเขาได้หรือ” ฉินอวี้พูดจบ เห็นว่าเหยียนเฉินยังเงียบ พลันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ฟังว่า 


 


 


พระมาตุลาแห่งเป่ยฉีใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมาหลายปี แม้อยู่ห่างจากเป่ยฉีและตระกูลอวี้ แต่อำนาจของตระกูลอวี้ทั้งหมดกลับถูกควบคุมโดยเจ้าอย่างลับๆ ด้วยความสามารถของพระมาตุลาแล้ว เห็นชัดว่าชอบฟางหวา เหตุใดถึงไม่พยายามช่วงชิงมา” 


 


 


           “รัชทายาทเป็นห่วงเรื่องที่ตัวเองติดโรคห่าดีกว่า หากพรุ่งนี้เช้ายังไม่มียารักษา ท่านจำต้องนอนติดเตียง ปากพูดไม่ได้ หูไม่ได้ยิน เหมือนกับคนที่ติดโรคห่าพวกนั้น รักษาไม่หาย ทำได้เพียงแค่รอความตายเท่านั้น เมื่อเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีคำว่ารัชทายาท ไม่มีคำว่าประชาชนคนยากจน ทุกคนต่างเท่าเทียมกัน” เหยียนเฉินผุดลุกขึ้นยืนทันที เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา  


 


 


           พูดจบเขาก็เดินออกไปข้างนอก ม่านประตูส่งเสียงดังตามการเคลื่อนไหวที่เขาจากไป 


 


 


           ฉินอวี้แย้มยิ้ม  

 

 


ตอนที่ 76-2 สาบานเป็นตายร่วมกัน

 

เหยียนเฉินเดินออกไป ประจวบเหมาะกับที่เซี่ยม่อหานและฉินเหลียนมาถึงพอดี 


 


 


           “พี่ฉินอวี้ของข้าเป็นเช่นไรบ้าง” ฉินเหลียนรีบถามเหยียนเฉิน 


 


 


           เหยียนเฉินมองนางแวบหนึ่ง ไม่ตอบคำถาม แต่กล่าวกับเซี่ยม่อหาน “รัชทายาทติดโรคห่า ประเดี๋ยวถ้าท่านจะคุยกับเขา ทางที่ดีควรยืนคุยนอกประตู รักษาระยะห่างจากเขาหน่อยก็ดี หากท่านติดโรคห่าไปด้วยอีกคน เช่นนั้นเมืองหลินอันแห่งนี้คงไม่มีใครช่วยได้แล้ว” พูดจบก็ยกเท้าเดินออกไป 


 


 


           เซี่ยม่อหานมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที 


 


 


           “เจ้า…เจ้าพูดอะไร พี่ฉินอวี้…เขาคิดโรคห่า” ฉินเหลียนตกใจ รีบก้าวขึ้นมาขวางเหยียนเฉินไว้  


 


 


           “ทางที่ดีท่านหญิงก็ไม่ควรเข้าใกล้รัชทายาทด้วยเช่นกัน ตอนนี้รัศมีห้าร้อยลี้จากเมืองหลินอันไม่มีสมุนไพรดำม่วง รัชทายาทติดโรคห่าก็เหมือนกับคนทั่วไป ไม่มียาก็รักษาไม่ได้ เจ้าเองก็เช่นกัน” เหยียนเฉินเตือนด้วยใบหน้าบึ้งตึง 


 


 


           “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร พี่ฉินอวี้มีวิทยายุทธ์สูงถึงเพียงนั้น…” ฉินเหลียนหน้าซีดในทันที 


 


 


           “วิทยายุทธ์ต้านโรคห่าไม่ได้” เหยียนเฉินตวัดมือผลักนางออกแล้วเดินจากไป 


 


 


           ฉินเหลียนตัวเซ แทบทรงตัวไม่อยู่ 


 


 


           เซี่ยม่อหานยกมือประคองนาง สีหน้าย่ำแย่มากเช่นกัน “เราเข้าไปข้างในกันก่อน ต้องมีทางรักษาแน่” 


 


 


           ฉินเหลียนพยักหน้า 


 


 


           ทั้งสองเข้ามาในห้องแล้วเดินทะลุห้องรับรองเข้าไป เมื่อมาถึงประตูห้องชั้นในก็ไม่มีใครหยุดเท้า ตรงไปเลิกม่านออกแล้วเดินเข้าไปข้างใน 


 


 


           “หยุดตรงนั้น อย่าเข้ามา” ฉินอวี้เอ่ยห้าม 


 


 


           “พี่ฉินอวี้” ฉินเหลียนตาแดงก่ำทันที 


 


 


           “รัชทายาท” เซี่ยม่อหานหยุดเท้า มองไปยังฉินอวี้  


 


 


           “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือ” ฉินอวี้ถามเซี่ยม่อหาน 


 


 


           “สิ่งที่ควรจัดการก็จัดการหมดแล้ว เพียงแต่มีทหารบางนายติดโรคห่าด้วยเช่นกัน ตอนนี้ทุกคนต่างหวาดกลัว ข้าสั่งให้คนเพิ่มกำลังเฝ้าประตูเมืองแล้ว เพื่อไม่ประชาชนในเมืองถูกผู้ไม่หวังดีปลุกปั่นก่อจลาจลฝ่าออกจากเมืองอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นคงเรื่องใหญ่” เซี่ยม่อหานพยักหน้า 


 


 


           ฉินอวี้พิจารณาพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ม่อหาน เจ้าไปที่ประตูเมือง ประกาศเรื่องที่ข้าติดโรคห่าออกไป” 


 


 


           เซี่ยม่อหานตกใจ 


 


 


           “มีคนส่งนักรบเดนตายมีวิทยายุทธ์สูงที่ติดโรคห่ามาทำร้ายข้าได้ แสดงว่าอยากให้ข้าติดโรคห่า ยิ่งปิดบังอาการป่วยของข้าก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายลงมือหนักยิ่งขึ้น มิสู้ประกาศออกไป บอกว่าหมอเทวดาหาทางรักษาโรคห่าได้แล้ว เพียงแต่ขาดสมุนไพรชนิดหนึ่ง ในรัศมีห้าร้อยลี้ไม่มีสมุนไพรชนิดนี้ ข้าได้ส่งคนออกไปตามหาแล้ว จะต้องได้มาอย่างแน่นอน ขอให้ทุกคนอย่าเพิ่งกระวนกระวายใจ ข้าจะเป็นตายร่วมกับเมืองหลินอัน” ฉินอวี้กล่าว  


 


 


           “คงได้แต่ทำเช่นนี้ ผู้อยู่เบื้องหลังวางแผนครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงป้องกันอย่างไรก็ไม่ครอบคลุมรอบด้าน” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ผงกศีรษะรับ 


 


 


           “เพราะป้องกันอย่างไรก็ไม่ครอบคลุม ดังนั้นจึงต้องเป็นฝ่ายโจมตีก่อน อุดช่องโหว่ทุกแผนการที่พอจะเป็นไปได้” ฉินอวี้ยกมือไล่ “เหลียนเอ๋อร์ก็ไปกับม่อหานด้วย” 


 


 


           ฉินเหลียนครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ฉินอวี้ ข้าก็อยากออกไปหายารักษาด้วย”  


 


 


           “ไม่ได้” ฉินอวี้ไม่อนุญาต 


 


 


           “เรารออยู่ที่นี่ก็เท่ากับถูกขังอยู่ในกรง ไม่ออกไปหายารักษา หรือจะรอความตาย” ฉินเหลียนบอก 


 


 


           “มีคนออกไปตามหายารักษาแล้ว ไม่ต้องลำบากเจ้า” ฉินอวี้มองฉินเหลียน กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เจ้าอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังเถอะ ตอนนี้ข้าส่งคนข้างกายออกไปหมดแล้ว ตัวข้าคิดโรคห่า ม่อหานก็ยังป่วยอยู่ เจ้าอยู่ที่นี่คอยช่วยสะสางปัญหาที่เกิดขึ้น มีประโยชน์กว่าออกไปหายารักษาเป็นไหนๆ” 


 


 


           “กล่าวเช่นนี้ ท่านจะไม่ขังข้าไว้ในเรือนแล้ว ยอมให้ข้าช่วยแก้ไขปัญหาด้วยแล้วหรือ” ฉินเหลียนได้ยินเช่นนี้ก็รีบกล่าวทันที 


 


 


           “ตอนนี้สถานการณ์อันตราย ไม่มีใครให้ใช้งานแล้ว” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา 


 


 


           ฉินเหลียนไม่พอใจ เดิมอยากตำหนิเขาสักหน่อย แต่เห็นแก่ที่เขาติดโรคห่า หากไม่มีสมุนไพรดำม่วงก็จะเป็นอันตรายต่อชีวิต นางได้แต่เงียบเสียงลง หันมาเร่งเซี่ยม่อหานแทน “เราไปกันเถอะ” 


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้า ออกจากเรือนไปพร้อมฉินเหลียน 


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมา ข่าวรัชทายาทถูกลอบทำร้ายและติดโรคห่าก็กระจายทั่วเมืองหลินอัน 


 


 


           ประชาชนทราบข่าวก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ทุกคนต่างหวาดกลัว 


 


 


           หลังจากเซี่ยม่อหานออกไปประกาศข่าวทั้งที่ยังป่วยอยู่แล้วก็พูดตามที่ฉินอวี้บอกทุกคำ ถ่ายทอดข้อความ ‘สาบานว่าจะเป็นตายร่วมกับเมืองหลินอัน’ ของเขาด้วยเสียงดังกังวานเปี่ยมด้วยพลัง ขณะเดียวกันก็สาบานตนกับท่านหญิงเหลียน รัชทายาท รวมถึงประชาชนในหลินอันด้วยว่า “สาบานว่าจะเป็นตายร่วมกับเมืองหลินอัน หากรักษาโรคห่าไม่ได้ก็จะไม่ไปจากหลินอันโดยเด็ดขาด” 


 


 


           ถ้อยคำสิ้นสุดลง ประชาชนในเมืองหลินอันก็สงบลงทันที 


 


 


           องค์รัชทายาทผู้มีเกียรติสูงศักดิ์ที่สุดในหนานฉิน ท่านโหวเซี่ยผู้สืบทอดจวนจงหย่งโหวอันมีเกียรติรวมถึงท่านหญิงเหลียนผู้สูงส่ง สาบานว่าจะเป็นตายร่วมกับพวกเขา 


 


 


           โรคห่าระบาดกับเมฆครึ้มปกคลุมเหนือท้องฟ้าในเมืองหลินอัน รวมถึงกลิ่นแปลกๆ ที่ยังปะปนในอากาศและผู้คนที่ถูกคุมขังเนื่องจากติดโรคห่าราวกับไม่น่ากลัวถึงเพียงนั้นแล้ว 


 


 


           เซี่ยม่อหานสั่งวางกำลังทหารในเมืองหลินอันอีกครั้ง จากนั้นก็กลับไปพักด้วยความเหนื่อยล้า 


 


 


           ฉินเหลียนกระตือรือร้นอย่างยิ่ง นางนำข้าราชการในหลินอันกลุ่มหนึ่งออกลาดตระเวนตรวจตราในเมือง นับจากนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้สถานที่ใดเกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นอีก 


 


 


           ฉินเหลียนเติบโตมาในวังหลวงอย่างลำบาก แม้ขี้เล่นซุกซน มีนิสัยค่อนข้างหัวแข็ง แต่หลังก้าวเท้าออกจากเมืองหลวง ติดตามออกมากับเซี่ยม่อหาน ขณะที่เมืองหลินอันเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ผ่านการขัดเกลาครั้งหนึ่ง ระหว่างที่ฉินอวี้ติดโรคห่า เซี่ยม่อหานกำลังป่วยหนัก นางก็ช่วยพวกเขาประคับประคองเมืองหลินอันอย่างเต็มที่ ชั่วเวลาหนึ่งก็รักษาความเป็นระเบียบในเมืองหลินอันได้อย่างยอดเยี่ยม 


 


 


           วันที่สอง เรื่องที่ในรัศมีห้าร้อยลี้จากเมืองหลินอันไม่มีสมุนไพรดำม่วงและข่าวรัชทายาทติดโรคห่าก็แพร่มาถึงเมืองหลวงหนานฉิน 


 


 


           เมืองหลวงหนานฉินแตกตื่นขึ้นมาทันที 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงปิดราชสำนักได้สองวันแล้ว ในสองวันนี้ประกาศพระราชโองการหย่าร้างถูกติดทั่วทั้งหนานฉิน ตั้งแต่เมืองหลวงไปจนถึงมณฑลต่างๆ ทั้งหนานฉินต่างมีข่าวลือว่าเกิดโรคห่าระบาดที่หลินอันแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน 


 


 


           ยามนี้ข่าวโรคห่าที่หลินอันพลันเสมือนอัสนีบาตในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น 


 


 


           ทั้งราชสำนักและประชาชนในเมืองต่างหวาดกลัวอย่างยิ่ง 


 


 


           ตอนรุ่งสาง อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหว และขุนนางเล็กใหญ่ในราชสำนักทั้งหมดต่างมารวมตัวกันที่หน้าประตูวัง 


 


 


           หลินอันตกอยู่ในอันตราย จำต้องรีบหาทางช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงปิดราชสำนักมาได้สองวันแล้ว ต่อให้เรื่องพระราชโองการหย่าร้างแพร่กระจายไปทั่วข้างนอก ใต้หล้าต่างรู้โดยทั่วกัน ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่วังหลวงในเมืองหลวงหนานฉินนั้นกลับไม่ได้ยินเสียงวิจารณ์เหล่านั้น พระกรรณของฮ่องเต้สงบเงียบอย่างยิ่ง หลังปิดประตูวังแล้ว นอกจากวันแรกที่ฉินเจิง อิงชินอ๋อง และพระชายาบุกเข้ามา ก็ไม่มีผู้ใดมารบกวนอีกเลย 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงทราบวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันและฉินอวี้ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ด้วยความร้อนพระทัยจึงมีพระบัญชาให้เปิดประตูวัง หารือราชการยามเช้าโดยเร่งด่วน 


 


 


           บนตำหนักจินหลวนเต็มไปด้วยเหล่าขุนนาง 


 


 


           “ฝ่าบาท เรื่องด่วนที่สุดตอนนี้คือต้องรีบให้คนนำสมุนไพรดำม่วงไปส่งที่เมืองหลินอัน การช่วย 


 


 


รัชทายาทกับประชาชนในหลินอันสำคัญที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอขึ้น  


 


 


           “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาก้าวออกจากแถว 


 


 


           “พวกกระหม่อมก็เห็นด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” อิงชินอ๋อง หย่งคังโหว และคนอื่นๆ ก็เอ่ยขึ้นตาม 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงอนุญาต รีบออกพระราชโองการให้คนไปนำสมุนไพรดำม่วงจากท้องพระคลัง ขณะเดียวกันก็มีพระบัญชาให้ส่งคนไปนำสมุนไพรดำม่วงจากร้านยาใหญ่ทุกแห่งในเมืองหลวงมา 


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมา ขุนนางดูแลคลังยาหลวงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดฝาด ขอรับโทษด้วยเนื้อตัวสั่นเทาเพราะหวาดกลัว “ฝ่าบาท สมุนไพรดำม่วงที่ตุนสำรองไว้ในคลังยาหลวงมิทราบว่า…มิทราบว่าหายไปไหนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ไม่รู้หายไปไหนแล้ว เจ้าดูแลคลังยาหลวงอย่างไร” ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนักจนทุบที่วางพระหัตถ์ของพระเก้าอี้ทองคำ ตรัสด้วยโทสะ  


 


 


           “ข้าน้อยเพิ่งตรวจสอบยาทุกชนิดเมื่อสองวันก่อน สมุนไพรดำม่วงยังอยู่ สองวันนี้ข้าน้อยอยู่ที่คลังยาหลวงตลอดเวลา…ความจริงแล้วมิทราบว่าสมุนไพรดำม่วงหายไปตั้งแต่เมื่อไร…” ขุนนางท่านนั้นรีบทูลตอบ  


 


 


           “ใครก็ได้ นำเขาไปประหาร” ฮ่องเต้ทรงรับสั่งด้วยความโกรธเกรี้ยว 


 


 


           “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย” คนผู้นั้นหน้าซีด รีบตะโกนเสียงดัง 


 


 


           มีคนก้าวขึ้นมาคุมตัวเขาลากออกไป 


 


 


           ขุนนางกลุ่มหนึ่งในราชสำนัก อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวาผู้ซึ่งทนเห็นความเป็นความตายมิได้ ในยามนี้ก็มิได้ขอความเมตตาให้คนผู้นั้นด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรรัชทายาทติดโรคห่า แสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันต่างตกอยู่ในอันตราย แม้แต่สมุนไพรดำม่วงในคลังยาหลวงแห่งวังหลวงยังไม่มี เช่นนั้นก็พอเดาได้ว่าตอนนี้ในหนานฉินยังหาสมุนไพรดำม่วงได้อีกหรือไม่ 


 


 


           ดังที่คาดไว้ หลังคนผู้นั้นถูกลากออกไป ผู้ถูกส่งไปหาสมุนไพรดำม่วงที่ร้านยาใหญ่ในเมืองหลวงก็กลับมา ต่างรายงานเป็นเสียงเดียวกันว่า ร้านยาใหญ่ในเมืองหลวงทั้งหมดต่างไม่มีสมุนไพรดำม่วงเลย 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม