วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 719-725

ตอนที่ 719 ต้วนจิ่งหงปะทะซ่งซิน

 

ต้วนจิ่งหงคิดไว้แล้วว่าซ่งซินจะเข้ามาที่ด้านหลังเวที ดังนั้นสมาชิกวงคนอื่นๆ จึงยังไม่ไปเช็ดเครื่องสำอางเพื่อแสดงสปิริตของทีม พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ต้วนจิ่งหงต้องเผชิญหน้ากับซ่งซินเพียงลำพัง


 


 


ไม่…


 


 


…หากว่ากันตามตรง พวกเขารอโอกาสที่จะฉีกซ่งซินเป็นชิ้นๆ มานานแล้ว


 


 


ไม่นานนักก็เกิดความโกลาหลที่ด้านนอกประตูห้องพักศิลปิน เห็นได้ชัดว่าสตาฟประจำคอนเสิร์ตกำลังขวางไม่ให้ซ่งซินเข้ามา


 


 


หญิงสาวทุกคนมองหน้ากัน กัปตันวงคือคนที่กล้าหาญที่สุด เธอจึงลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งของตัวเองแล้วเดินตรงไปที่ประตูทันทีก่อนจะพูดกับสาวๆ ที่เหลือว่า “ฉันเปิดประตูให้เอง”


 


 


ต้วนจิ่งหงยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของเธอ ทว่าทันทีที่ประตูเปิดออก ซ่งซินก็เงื้อมือจะตบเข้าที่หน้าของกัปตันวงทันทีโดยไม่ดูก่อนว่าเธอกำลังตบใคร


 


 


ดูเหมือนหญิงสาวจะคิดว่าคนที่มาเปิดประตูคือต้วนจิ่งหง!


 


 


กัปตันวงเดาะลิ้นอย่างเวทนาแล้วจับข้อมือของซ่งซินเอาไว้ “คุณซ่งเจ้าแม่เซเลบนี่แตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ด้วย ดูเหมือนจะดังเรื่องอารมณ์ร้ายนะคะเนี่ย”


 


 


“พวกแกทุกคนออกไปให้หมด! ฉันมีเรื่องจะพูดกับต้วนจิ่งหง”


 


 


เมื่อได้ยินน้ำเสียงของซ่งซิน สาวๆ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ออกคำสั่งใส่ใครเหรอคะคุณซ่ง พวกเรารู้ว่าปู่ของคุณเป็นข้าราชการอาวุโสนะคะ แต่ต้องขออภัยด้วยค่ะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะกลัวคุณ!”


 


 


“แก…”


 


 


“กัปตันคะ คุณกับสาวๆ ไปรอข้างนอกก่อนก็ได้ค่ะ” ต้วนจิ่งหงรู้ดีว่าหากสาวๆ ยังอยู่ต่อ ซ่งซินก็จะก่อความวุ่นวายต่อไป ต้วนจิงหงรังเกียจมัน ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจว่าจะเป็นการดีที่สุดหากเธอทำให้เรื่องนี้จบๆ ไปเสีย เช่นนั้นแล้ว หญิงสาวก็ไม่จำเป็นต้องมาเห็นใบหน้าอันป่วนจิตนี้อีก


 


 


กัปตันวงและสาวๆ มองหน้ากัน หลังจากเงียบไปชั่วขณะ พวกเขาก็พยักหน้า “พวกเราจะรออยู่ข้างนอกนะ ถ้าหล่อนทำอะไรรุนแรงอีก เรียกพวกเราได้เลย”


 


 


“โอเคค่ะ” ต้วนจิ่งหงมองหน้ากัปตันวงอย่างขอบคุณและทำท่าบอกให้เธอไม่ต้องกังวล


 


 


ไม่นานห้องนั้นก็เหลือเพียงแค่หญิงสาวสองคนเท่านั้น ต้วนจิ่งหงนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งขณะที่ซ่งซินก้าวเข้าไปหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าการไปเกาหลีแค่ครั้งเดียวจะทำให้ฉันดีไม่พอสำหรับเธอขึ้นมา!”


 


 


“และต่อจากนี้เธอก็จะมีค่าน้อยลงไปอีก!” ต้วนจิ่งหงหัวเราะ


 


 


“ทำไมกัน”


 


 


ต้วนจิ่งหงเข้าใจว่าซ่งซินกำลังพยายามจะถามอะไร หญิงสาวหยิบสำลีขึ้นมาแล้วหนึ่งแผ่นเทน้ำยาลบเครื่องสำอางลงไปพลางตอบว่า “เธอจะถามฉันจริงๆ เหรอว่าทำไม น่าขำสิ้นดี! ซ่งซิน เธอคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงที่โลกหมุนอยู่รอบตัวเหรอ คิดว่าเพียงเพราะพื้นหลังครอบครัวฉันไม่ได้ดีอย่างเธอแล้วฉันจะถูกลิขิตให้เป็นผู้ติดตามของเธออย่างนั้นเหรอ ถามฉันใช่ไหมว่าทำไม ทำไมเธอไม่ถามตัวเองล่ะว่าเธอทำอะไรกับฉันเอาไว้บ้าง


 


 


“ฉันเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อทำร้ายฮั่วจิงจิงให้เธอ ฉันเสี่ยงชีวิตตัวเองยุยงฮว่าเหวินเฟิ่งให้เธอ ฉันถึงกับแอบเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธานโม่เพื่อขโมยรายงานประเมินของถังหนิงกับเธอ แต่ปฏิกิริยาแรกของเธอเป็นยังไงเหรอตอนที่ฉันถูกป้ายสีว่าเป็นขโมย เธอจำได้ไหมว่าตัวเองดูเป็นยังไงตอนที่โยนบัตรธนาคารใบนั้นใส่ฉัน


 


 


“แต่เธอก็ยังมีความกล้าที่จะมาถามฉันว่าทำไม”


 


 


หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ซ่งซินก็อยากเถียงกลับและแก้เผ็ดต้วนจิ่งหง ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่เธอทำ “ฉันดีกับเธอมาโดยตลอดนะ ฉันดูแลเธอระหว่างที่พวกเราเรียนมหาลัยด้วยกัน!”


 


 


“ใครต้องการการดูแลจากเธอ ใครจะไปอยากได้การดูแลจากเธอ” ต้วนจิ่งหงหัวเราะดังเสียยิ่งกว่าเดิม “ถึงพื้นหลังครอบครัวของฉันจะไม่ดีเท่าเธอ แต่ก็ยังดีกว่าคนทั่วๆ ไป ฉันเพียงแค่ต้องการพิสูจน์ว่าฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ ดังนั้นฉันจึงทุ่มเทหัวใจและจิตวิญญาณไปกับการช่วยเหลือเธอยังไงล่ะ มันไม่เกี่ยวกับของแพงๆ ที่เธอให้ฉันเลย!


 


 


“อย่าทำให้การกุศลอันไม่บริสุทธิ์ใจของเธอมันฟังดูดีหน่อยเลย…


 


 


“ต่อหน้าฉันเธอยังทำให้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่าไม่พออีกงั้นเหรอ”


 


 


“ในเมื่อเธอรู้ว่าพื้นหลังครอบครัวของฉันดีกว่า กล้าดียังไงถึงมาเป็นศิลปินล่ะ เธอมีสิทธิ์อะไรกัน” ซ่งซินเยาะเย้ยอย่างไม่อดทน “เธอคิดจริงๆ เหรอว่าเธอมีความสามารถที่จะมีชื่อเสียงมากกว่าฉันและได้อะไรๆ จากวงการนี้มากกว่าที่ฉันได้”


 


 


“แน่นอนว่าฉันทำได้ดีกว่าเธอและจะได้อะไรมากกว่าเธอ เพราะถังหนิงยินดีที่จะสนับสนุนฉัน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของฉัน ถังหนิงคือคนที่มอบความหวังให้ ในช่วงที่ฉันอ่อนแอมากที่สุด ศัตรูของฉันให้โอกาสฉันได้เริ่มต้นใหม่อย่างสวยงาม


 


 


“แต่ในฐานะเพื่อนน่ะ เธอมันน่ารังเกียจยิ่งกว่าของเน่าเสียอีก!”


 


 


“ถังหนิงสนับสนุนเธอ? หยุดเพ้อฝันได้แล้ว…หล่อนก็แค่ใช้เธอเป็นเครื่องมือในการรักษาตำแหน่งของตัวเองเท่านั้น”


 


 


“ไม่สำคัญหรอก อย่างน้อยที่สุดฉันก็ได้เดบิวต์” ต้วนจิ่งหงอ้าแขนออกเพื่อให้ซ่งซินได้มองเห็นเธอชัดๆ “ตอนนี้ฉันมีงานที่ประเมินค่าไม่ได้อยู่ในมือมากมาย ไห่รุ่ยจะไม่มองข้ามฉันโดยไม่มีเหตุผลแน่ พวกเขาจะไม่ระวังฉันเหมือนที่พวกเขาระวังเธอ ซ่งซิน ฉันรู้ว่าเธอโหดเ**้ยมแค่ไหน ฉันมีความลับของเธออยู่ในมือมากมาย ฉันอาจไม่มีโอกาสมากนักหากสู้กับเธอเพียงลำพัง แต่อย่าลืมซะล่ะว่าตอนนี้ฉันมีถังหนิงคอยหนุนหลังอยู่!


 


 


“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้มองฉันสูงส่งนัก แต่ฉันจะพัฒนาต่อไปอีก ในขณะที่เธอย่ำอยู่ที่เดิมพร้อมกับความหยิ่งยโสของเธอยังไงล่ะ


 


 


“อีกอย่าง อย่าหาว่าฉันไม่ได้เตือนนะ เมื่อไม่นานมานี้คุณปู่ของเธอเพิ่งจะทำร้ายถังหนิงไป แต่ท่านประธานโม่ไม่ตอบโต้เพราะเขามัวแต่คิดเรื่องการตั้งท้องของถังหนิง ถ้าเขากลับมามีสติเมื่อไหร่ เธอกับคุณปู่ของเธอได้ตายอย่างเจ็บปวดแน่นอน”


 


 


ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ร่างซ่งซินก็เริ่มสั่นเทาไปด้วยความโกรธ เธออยากกระโจนใส่ต้วนจิ่งหงแล้วฉีกอดีตเพื่อนรักคนนี้ออกเป็นชิ้นๆ จนแทบขาดใจ


 


 


ต้วนจิ่งหงมองหน้าซ่งซินผ่านกระจกแล้วหัวเราะออกมา “อย่าแม้แต่จะคิดแตะต้องตัวฉันเลยนะ เธอคิดว่าเธอมีโอกาสที่จะชนะฉันมากแค่ไหนกัน”


 


 


“ฉันไม่ปล่อยให้แกหนีไปจากเรื่องนี้แน่”


 


 


“ไม่ปล่อยแล้วจะยังไงล่ะ อนาคตของเธอก็ยังไม่ได้สดใสเหมือนอนาคตของฉันนี่” ต้วนจิ่งหงไม่สะทกสะท้าน


 


 


“จะดีที่สุดถ้าเธอระวังคำพูดและการกระทำของตัวเองนะ ไม่อย่างนั้นแล้ว ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะใช้วิธีการที่โหดเ**้ยมที่สุดกับเธอ”


 


 


เมื่อได้ยินคำเตือนของซ่งซิน ต้วนจิ่งหงก็มองเข้าไปในกระจก ความเกลียดชังในดวงตาของหญิงสาวลุกโชน เธอตอกกลับซ่งซินไปว่า “ถังหนิงฝากฉันมาบอกเธอว่า ผู้ที่ฝักใฝ่ความชั่วร้ายนั้นจะนำความหายนะมาสู่ตนเอง”


 


 


ซ่งซินยิ้มเยาะพลางผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินปึงปังจากไป


 


 


หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น สมาชิกคนอื่นๆ ของวงเอโอบีก็ผิวปากแล้วกู่ร้อง เห็นได้ชัดว่าต้วนจิ่งหงมีชัยในศึกครั้งนี้


 


 


เมื่อเห็นเช่นนั้น เซียวอวี่เหอก็เดินปรี่เข้ามาในห้องแล้วเอ่ยว่า “ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแม้แต่คุณก็หักหลังเธอ”


 


 


“ก็เขาหักหลังฉันก่อนนี่คะ” ต้วนจิ่งหงตอบ


 


 


“พา ‘เทพธิดาซ่ง’ ของคุณกลับไปซะเถอะค่ะ!” สมาชิกคนอื่นๆ ของวงผลักชายหนุ่มออกไปจากห้อง พวกเขาไม่สนใจว่าชายคนนี้คือทายาทของเครือโรงภาพยนตร์ไคหวง พวกเขาไม่ได้เป็นนักแสดง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีอะไรต้องกลัว


 


 


หลังจากนั้น ต้วนจิ่งหงก็ผ่อนคลายลงแล้วมองหน้ากัปตันวงของเธอ “ตอนนี้ฉันตระหนักแล้วว่าฉันเกลียดผู้หญิงคนนั้นแค่ไหน แต่ฉันก็ยังไม่ใช่คนที่เกลียดเธอที่สุดหรอก”


 


 


กลุ่มสาวๆ ตบบ่าต้วนจิ้งด้วยความเข้าอกเข้าใจ “พอแล้วล่ะ เธอทำได้สุดยอดมากแล้ว…เธอไม่ได้ทำให้หนิงของเราผิดหวังหรอก”

 

 

 


ตอนที่ 720 นกกระจอกก็คือนกกระจอกอยู่ว...

 

ระหว่างทางกลับบ้าน ซ่งซินไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธของเธอเอาไว้ได้ หญิงสาวบังคับให้เซียวอวี่เหอหยุดรถแล้ววิ่งลงไปทำลายแปลงดอกไม้ที่อยู่ข้างถนน


 


 


เซียวอวี่เหอเดินตามหญิงสาวไป เมื่อเห็นเธอกำลังบันดาลโทสะใส่ดอกไม้เหล่านั้น เขาจึงเข้าไปหยุดเธอไว้ “อย่าเป็นแบบนี้เลยครับ…”


 


 


“ฉันไม่มีสิทธิ์ระบายความโกรธของฉันเหรอคะ ผู้จัดการและเพื่อนสนิทที่สุดของฉันแอบไปเดบิวต์ลับหลังฉันและอนาคตของหล่อนก็สดใสกว่าอนาคตของฉันนะคะ ขอระบายสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ” ซ่งซินหมุนตัวกลับไปทุบอกเซียวอวี่เหอ “ฉันรู้ว่าถังหนิงวางแผนเรื่องทั้งหมดนี่ มันอยากให้พวกเราหันมาสู้กันเองในขณะที่มันนั่งรับผลประโยชน์อยู่เฉยๆ แต่นังสารเลวต้วนจิ่งหงก็ยังตัดสินใจที่จะไว้ใจมัน!”


 


 


“ไม่ว่าจะทางไหน ต้วนจิ่งหงก็เดบิวต์ไปแล้วนะครับ ทำไมคุณถึงทำใจยอมรับมันไม่ได้ล่ะ”


 


 


“ฉันจะยอมรับมันได้ยังไงล่ะคะ จู่ๆ เงาที่ติดตามฉันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็กลับมีชื่อเสียงมากกว่าฉันขึ้นมา จะให้ฉันยอมรับได้ยังไง” ซ่งซินโอดครวญ


 


 


เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาเห็นเข้า เซียวอวี่เหอแสดงความเข้าใจแล้วพยุงซ่งซินกลับเข้าไปในรถก่อนจะพาเธอไปส่งที่บ้าน


 


 


ทว่าหลังจากที่ซ่งซินกลับถึงบ้านแล้ว หญิงสาวก็ยังคงเหวี่ยงอารมณ์โกรธใส่คนอื่นไปทั่ว อันที่จริง เธอหยาบคายแม้กระทั่งกับผู้อาวุโสซ่ง


 


 


“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” ผู้อาวุโสซ่งเอ่ยถาม


 


 


เซียวอวี่เหอถอนหายใจแล้วอธิบายไปแค่ว่าซ่งซินกำลังอารมณ์ไม่ดี


 


 


ชายชราพยักหน้าแล้วโบกมือใส่เซียวอวี่เหออย่างสบายๆ “ฉันชินแล้วล่ะ ไม่ต้องแก้ตัวแทนเธอหรอก”


 


 


ชายทั้งสองเข้าใจนิสัยของซ่งซินดี เธอจะไม่มีวันปล่อยให้ใครทำเธอเจ็บปวดเพราะเธอไม่เคยคิดถึงและอดทนกับคนอื่นๆ


 


 


ดังนั้นเธอจะไปยอมรับเรื่องที่ต้วนจิ่งหงเดบิวต์แล้วได้อย่างไร


 


 


หลังจากผ่านไปสักพัก เซียวอวี่เหอก็อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้ผู้อาวุโสซ่งอย่างละเอียด ดังนั้นหลังจากที่ชายชราได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็ยิ้มเยาะ “ไม่เคยคิดเลยว่าจิ้งหงจะเป็นคนที่ทะเยอทะยานเช่นนี้ ดูเหมือนว่าปู่จะต้องสั่งสอนบทเรียนแบบเดียวกับถังหนิงให้แก่เด็กคนนี้เสียแล้ว”


 


 


เซียวอวี่เหอไม่ตอบ ผู้อาวุโสซ่งสามารถสร้างผลกระทบต่อภาพยนตร์ของถังหนิงได้ แต่เขาจะสร้างผลกระทบต่ออัลบั้มของต้วนจิ่งหงอย่างไรกันล่ะ ผู้หญิงสองคนนี้อยู่คนละวงการกันโดยสิ้นเชิง


 


 


อีกอย่าง เหล่าคนที่เคยช่วยผู้อาวุโสซ่งนั้นก็ดูไม่เต็มใจจะเสี่ยงอีกครั้งเท่าไหร่


 


 


“สยายปีกอย่างเต็มที่แล้วสินะ แต่อย่าลืมสิว่านกกระจอกก็คือนกกระจอกอยู่วันยังค่ำ! ถึงจะเปลี่ยนลักษณะภายนอกไป เธอก็ไม่มีวันได้เป็นหงส์หรอก!”


 


 


จากคำพูดของผู้อาวุโสซ่งแล้ว เซียวอวี่เหอนั้นดูออกว่าเขาจะไม่ปล่อยต้วนจิ่งหงไป แต่อีกปัญหาหนึ่งก็คือ ต้วนจิ่งหงรู้ความลับของซ่งซินเยอะเกินไป


 


 


หากชายชราลงมือกดดันต้วนจิ่งหงจนเกินพอดี คนที่จะเจ็บปวดก็คือซ่งซิน


 


 


อันที่จริง ผู้อาวุโสซ่งยังไม่รู้เรื่องกรรมชั่วของซ่งซิน เขายังคงสันนิษฐานว่าหลานสาวของตัวเองถูกคนในวงการรังแกอย่างไม่หยุดหย่อน ทว่าชายชราไม่เคยพินิจเลยว่าด้วยอารมณ์ของซ่งซินแล้ว มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย


 


 


ทว่าเซียวอวี่เหอกลับไม่พูดอะไร…


 


 


การแสดงของวงเอโอบีนั้นคือความสำเร็จครั้งใหญ่ เป็นผลให้สาวๆ ได้แสดงความสามารถของพวกเขาให้คนทั้งประเทศได้เห็น เพราะถึงอย่างไร ไห่รุ่ยก็ทุ่มเทไปมากกับการฝึกเด็กหน้าใหม่และใช้ทรัพยากรทั้งหมดของพวกเขาอย่างไม่มีกั๊ก


 


 


ดังนั้นต้วนจิ่งหงจึงได้ลิ้มรสชาติของชื่อเสียงและไม่มีเหตุผลที่จะยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อกลับไปมีชีวิตเหมือนเมื่อก่อน แม้ซ่งซินจะกำลังหาทางชำระแค้น เธอก็จะสู้ด้วยทั้งชีวิตของเธอ


 


 



 


 


คืนนั้นต้วนจิ่งหงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ถังหนิงฟังผ่านทางโทรศัพท์ หญิงสาวเพิ่งจะพาเด็กแฝดทั้งสองเข้านอน หลังจากได้ฟังต้วนจิ่งหงแล้ว เธอก็ตอบกลับไปอย่างนิ่งๆ ว่า “ฉันรู้แล้วล่ะว่าวันนี้เธอทำได้ดีมาก”


 


 


“ซ่งซินดูโกรธมาก ฉันมั่นใจว่าเธอจะหาทางชำระแค้นแน่ๆ”


 


 


“อย่าห่วงเลย ตอนนี้เธอคือศิลปินของไห่รุ่ยแล้ว ไห่รุ่ยจะปกป้องเธอเอง” ถังหนิงตอบนิ่งๆ “เธอไม่ต้องทำอะไรเลย สนใจแค่การแสดงของตัวเองก็พอ นั่นคือการโจมตีซ่งซินที่ดีที่สุดแล้วล่ะ


 


 


“เพราะถึงยังไง ผู้หญิงคนนั้นก็ทนไม่ได้เวลามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเธอ ไม่มีทางเลยที่หล่อนจะรับมือการข่มเหงจากเธอได้!”


 


 


“แล้วคุณล่ะคะ คุณจะปล่อยเธอไปทั้งแบบนี้เหรอ” ต้วนจิ่งหงเอ่ยถาม ตอนนี้ถังหนิงเป็นแม่คนแล้ว เธอจะไม่แยแสต่อปัญหานี้ไหมนะ


 


 


“ทุกครั้งที่ฉันมองดูลูกๆ ทั้งสองคน ฉันก็คิดอยู่ตลอดว่าพวกเขาเกือบจะไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลกนี้เพราะอะไร”


 


 


ถังหนิงจำความแค้นนี้ได้เสมอ


 


 


“แต่เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเธอ ทำตามที่ฉันบอกแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง อีกอย่าง ในเมื่อเธอตัดสินใจจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นแล้ว ก็อย่ามีความคิดร้ายๆ ขึ้นมาเชียวล่ะ อย่าใช้วิธีการสกปรกที่เคยใช้มาก่อนแม้ว่าเธอจะกำลังรับมือกับซ่งซินอยู่ มันไม่ง่ายเลยที่เธอจะฉีกตัวออกมาจากการควบคุมของซ่งซินได้ อย่าทำพลาดซ้ำสอง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้”


 


 


“รับทราบค่ะ!” ต้วนจิ่งหงจะจดจำสิ่งนี้เอาไว้เสมอ “ฉันไม่ได้โง่นะคะ ฉันจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีก อย่าห่วงเลยค่ะ เมื่อเทียบกับการใช้วิธีการอันโหดเ**้ยมและมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวแล้ว ฉันพอใจที่จะมีชีวิตในแบบตอนนี้มากกว่า!”


 


 


ถังหนิงไม่ต้องการให้ต้วนจิ่งหงเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะการมีอยู่ของต้วนจิ่งหงนั้นก็มาพอที่จะกระตุ้นและเยาะเย้ยซ่งซินได้แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นที่หญิงสาวจะต้องมาเสียเวลากับศัตรูของเธอ


 


 


แม้ต้วนจิ่งหงจะไม่ทำอะไรเลย แต่ตราบใดที่เธอเป็นที่นิยมมากกว่า ซ่งซินก็เจ็บปวดแล้ว


 


 


ครู่ต่อมา ถังหนิงวางสายแล้วหันกลับไปมองโม่ถิง ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มกำลังอุ้มลูกคนหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วปลอบโยนเขา


 


 


“นี่ฉันกวนลูกหรือเปล่าคะ”


 


 


“ไม่เป็นไรครับ กล่อมเขาอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” โม่ถิงตอบนิ่งๆ แม้ว่าเขาเพิ่งจะเป็นพ่อคนได้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ชายหนุ่มก็ได้รับประสบการณ์มามากมายแล้ว


 


 


แน่นอนว่าในฐานะนายใหญ่แห่งเอเจนซี่ระดับโลก ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะเข้าใจอารมณ์ของเด็กน้อยทั้งสอง ดังนั้นโม่ถิงจึงเข้าใจอารมณ์และนิสัยการเข้านอนของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มทำให้ถังหนิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชื่นชมในความสามารถของเขา


 


 


เมื่อเห็นวิธีที่โม่ถิงอุ้มลูกของพวกเขา ถังหนิงก็อยากจะเอาตัวเข้าไปซุกใกล้ๆ ด้วยเหลือเกิน ภาพตรงหน้านี้มันสมบูรณ์แบบมากเกินไป


 


 


อันที่จริง หญิงสาวสามารถจินตนาการภาพที่เด็กๆ วิ่งรอบตัวโม่ถิงหลังจากที่พวกเขาโตจนเดินได้กันแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ภาพที่ว่าคงดูอบอุ่นไม่น้อยเลย


 


 


“ซ่งซินได้รับของขวัญแล้ว…ถึงเวลาที่ตระกูลซ่งจะได้รับของขวัญบ้างแล้วล่ะครับ”


 


 


“อ่อนโยนกว่านี้อีกหน่อยสิคะ ถึงยังไงคุณก็เริ่มอายุเยอะแล้ว และพวกเราก็ไม่รู้ว่าคุณจะรับมือกับเรื่องดราม่าได้อีกมากแค่ไหนนะ!” ถังหนิงพูดกับโม่ถิงพลางลูบแก้มของลูกน้อยอย่างอ่อนโยน


 


 


“ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ครับ” โม่ถิงกล่าวพลางวางลูกน้อยลงในเปลแล้วดึงตัวถังหนิงมาไว้ในอ้อมแขน “ในอีกสองสามวันต่อจากนี้ ผมจะพาคุณทั้งสามคนกลับบ้านครับ


 


 


“ในเมื่อมีโชว์ให้ดู จะสนุกกว่าถ้าได้ดูกับตาตัวเองนะ”


 


 


“ฉันรอแทบไม่ไหวเลยค่ะ” ถังหนิงตอบอย่างจริงจังพลางซบลงที่แผ่นอกของโม่ถิง


 


 


มีบางสิ่งที่หญิงสาวจะยอมปล่อยผ่าน แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่เธอจะไม่มีวันปล่อยไป แม้พวกเขาจะลงหลุมไปแล้วก็ตาม!


 


 


ในขณะเดียวกันนั้น สิ่งเดียวที่หญิงสาวทำได้ก็คือรอดูโชว์ดีๆ 

 

 


ตอนที่ 721 คุณหรือผู้หญิงคนนั้นจะเป็น...

 

“นายดูดีแล้วแน่นะ” โม่ถิงถามลู่เช่อขณะมองออกไปนอกบานกระจกที่สูงจรดเพดานของไห่รุ่ย


 


 


“ครับ ผมแน่ใจ” ลู่เช่อตอบ “ในสายตาของผู้อาวุโสซ่ง ซ่งซินเป็นหลานสาวที่เขาเชื่อว่าเขาควรภูมิใจ สำหรับเขาแล้ว เธอเป็นเด็กมีพรสวรรค์และมีจิตใจดีมาก ถึงเขาจะต่อต้านเธอไม่ให้ทำงานในวงการบันเทิง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารักเธอน้อยลงเลย”


 


 


“ตาแก่นั่นไม่รู้เลยหรือไงว่าหลานสาวตัวเองชั่วร้ายขนาดไหน”


 


 


“ซ่งซินไม่เคยให้เขารู้ครับ” ลู่เช่อหัวเราะ


 


 


“ช่วยส่งคำเชิญไปที ฉันอยากพบกับตาแก่นั่น” โม่ถิงกล่าว ก่อนหันกลับมาจดจ้องไปยังกองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะของเขา “อีกอย่าง ตั้งแต่นี้ไป ถ้าไม่ใช่ปัญหาสำคัญ ให้ส่งให้ฟังอวี้จัดการ”


 


 


“รับทราบครับ”


 


 


โม่ถิงต้องการพบกับผู้อาวุโสซ่งเป็นการส่วนตัว!


 


 


ส่วนตัว!


 


 


แม้ลู่เช่อจะไม่รู้ว่าโม่ถิงต้องการทำอะไรกันแน่ จากดูจากนิสัยของเขาแล้ว ชะตากรรมของชายชราดูไม่น่าจะดีนัก


 


 



 


 


ผู้อาวุโสซ่งไม่คาดคิดว่าโม่ถิงจะส่งคำเชิญมาถึงเขา หลังได้ยินว่าโม่ถิงต้องการพบ เขาก็หันไปหาเลขาส่วนตัวและหัวเราะออกมา “เจ้าโม่ถิงนี่มันก็แค่นายใหญ่ของบริษัทหนึ่งในวงการบันเทิง สำหรับคนแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่ามันต้องรอคิวอีกนานแค่ไหนถึงจะได้เจอฉัน ฉันไม่ไปเจอมันหรอก!”


 


 


“ท่านรัฐมนตรีครับ ผมเกรงว่าท่านจะไม่สามารถปฏิเสธคำเชิญนี้ได้” เลขาของเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้และกระซิบที่ข้างหูชายชรา เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายชราทุบมือลงบนโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยว


 


 


“กล้าดียังไง!”


 


 


“เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ท่านควรไปพบโม่ถิงจะดีกว่านะครับ ท่านเกษียณอายุแล้วและทำหน้าที่เป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น หลายสิ่งไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่เคยอีกแล้ว อย่าเสี่ยงดีกว่านะครับ”


 


 


ผู้อาวุโสซ่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ท้ายที่สุดเขาได้พยักหน้า “จัดการมาก็แล้วกัน”


 


 


ผู้อาวุโสซ่งใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตอยู่ในแวดวงการเมือง ดังนั้นเขาจึงทั้งหยิ่งผยองและทระนง แต่โม่ถิงเข้าใจธรรมชาติของคนแบบนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงบอกลู่เช่อให้ส่งต่อข้อความง่ายๆ เพียงประโยคเดียวมาถึงผู้อาวุโส


 


 


“ก่อนหน้านี้ ผมยุ่งอยู่กับการดูแลภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ทำให้ผมไม่ได้พบกับผู้อาวุโสซ่ง ตอนนี้ผมพอมีเวลาแล้วจึงเป็นเรื่องสมควรที่ผมจะพบคุณ อย่างน้อยผมก็จำเป็นต้องรู้ว่าศัตรูของผมนั่นดีหรือเลวแค่ไหน”


 


 


ผู้อาวุโสซ่งจดจำความหยิ่งยโสของโม่ถิงและวางแผนจะสั่งสอนอีกฝ่าย


 


 


โชคไม่ดีที่เขาจะไม่มีโอกาสนั้น


 


 


คืนนั้นเอง พายุรุนแรงได้พัดเข้าสู่ปักกิ่ง ผุ้อาวุโสซ่งเดินทางมาถึงสถานที่นัดหมายด้วยรถส่วนตัวของเขาและเดินตามเลขาเข้าไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง แต่เขามาถึงช้ากว่ากำหนดไปครึ่งชั่วโมง


 


 


เดิมทีเขาคิดว่าโม่ถิงจะกำลังรอตนเองอยู่ภายในห้อง ทว่าเมื่อเข้ามาภายใน โม่ถิงกลับไม่อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นสิบนาทีเขาจึงเดินทางมาถึง


 


 


ผู้อาวุโสซ่งนั่งลงบนเก้าอี้ ตามองไปที่ชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้ม “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอเด็กที่เชิญผู้ใหญ่มาแต่ตัวเองกลับเป็นฝ่ายมาถึงช้ากว่าผู้ใหญ่”


 


 


โม่ถิงจัดระเบียบชุดสูทของเขาและปัดหยดน้ำฝนออกจากร่างกายก่อนที่เขาจะนั่งลงและตอบ “อย่าถือสากับการมาช้าของผมเลยครับ เพราะผมเพิ่งจะกลายเป็นพ่อและชีวิตก็ยุ่งๆ นิดหน่อย เลยกินเวลาไปบ้าง”


 


 


“เจ้าหนุ่ม แกนี่มันจองหองจริงๆ แกคิดว่าเชิญฉันมาแบบนี้แล้วพูดกดดันอะไรฉันนิดหน่อย แล้วแกจะสามารถเปลี่ยนอะไรต่ออะไรได้หรือยังไง ไร้เดียงสาจริงๆ แกควรรู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คนคนหนึ่งอยู่ในจุดที่มีอำนาจ มันจะมีสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย ภาพในวันนี้ฉันเคยเจอมาทั้งชีวิตแล้ว!” ผู้อาวุโสซ่งพยายามจะข่มขู่โม่ถิงด้วยสถานะทางการเมืองของเขา


 


 


“ผู้อาวุโสซ่งคิดว่าผมเชิญคุณมาวันนี้เพื่ออะไรงั้นหรือครับ” โม่ถิงนั่งลงตรงข้ามชายชราโดยไม่ไหวเอนไปกับคำพูดเยาะเย้ยของอีกฝ่าย


 


 


“จะมีอะไรเสียอีกล่ะ แกไม่ได้มาที่นี่เพราะเมียของแกหรือไง จากที่ฉันเห็น ถังหนิงเป็นแค่ดาราธรรมดา ถ้าวงการตัดสินใจจะแบนมัน ก็ต้องเป็นแบบนั้น แกจะสนับสนุนคนอื่นและทำให้คนพวกนั้นดังได้อยู่แล้วนี่ กับอีแค่ผู้หญิงธรรมดาคนเดียวมันมีค่าขนาดนั้นเลยหรือไง”


 


 


โม่ถิงมองไปที่ชายชรา ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ เขาก็เข้าใจได้ว่าซ่งซินเติบโตมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร


 


 


“ผมไม่ได้มาที่นี่เพราะถังหนิง และไม่ได้มีเจตนาจะมากดดันคุณ ผมแค่ต้องการแสดงอะไรบางอย่างให้คุณดู” พูดจบ โม่ถิงก็หยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาและเปิดคลิปที่ต้วนจิ่งหงได้เตรียมไว้


 


 


“จนถึงตอนนี้ ซ่งซินเป็นคนสั่งให้ฉันทำเรื่องเลวร้ายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันอยากพูดถึงสองเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เหตุการณ์แรก เธอสั่งให้ฉันลงมือจัดการให้ฮั่วจิงจิงโดนหมากัด เหตุการณ์ที่สองคือเธอสั่งให้ฉันไปปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่งให้โจมตีถังหนิง ทำให้ถังหนิงเกือบแท้งลูก ฉันมีหลักฐานสำคัญอยู่ในมือ


 


 


“ซ่งซินไม่เคยเป็นคนดีเลย ตั้งแต่ตอนที่เป็นนักเรียน เธอใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เช่นเพื่อให้เธอได้มาถึงโรงเรียนเป็นคนแรกตลอดทั้งปี เธอทำร้ายคู่แข่งจนบาดเจ็บเพื่อที่คนพวกนั้นจะได้มาร่วมงานรับรางวัลไม่ได้ หลังจากนั้นเธอข่มขู่คนพวกนั้นไม่ให้พูดอะไร ไม่เช่นนั้นเธอจะให้ปู่ของเธอทำให้ครอบครัวของเด็กพวกนั้นต้องตกงาน


 


 


“ทันทีที่ถังหนิงขอให้ฉันยอมมอบตัวกับตำรวจ ฉันจะรีบบอกความจริงทั้งหมดกับตำรวจทันที ฉันมั่นใจว่าหลังจากตำรวจแน่ใจในสิ่งที่ฉันพูด พวกเขาจะสามารถเข้าจับกุมตัวซ่งซินได้โดยตรง…


 


 


“ซ่งซินแสดงละครเก่ง แต่เธอมีความผิดในหลายคดีที่เลวร้ายอย่างที่สุดจริงและเธอไม่เคยรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำไปเลยสักนิด”


 


 


หลังจากคลิปดังกล่าวจบลง โม่ถิงเก็บโทรศัพท์ของตนเองและมองไปที่ชายชราที่กำลังอยู่ในความตกตะลึง “คุณคิดว่าประธานที่ทรงอำนาจของบริษัทระดับโลกคนหนึ่งจะมาเสียเวลาใส่ร้ายหลานสาว ‘แสนดี’ ของคุณไหมครับ”


 


 


ผู้อาวุโสซ่งเอื้อมมือออกไปหวังจะคว้าโทรศัพท์จากมือของโม่ถิงแต่โม่ถิงหลบหลีกเขาได้อย่างรวดเร็ว “ต้วนจิ่งหงเป็นเพื่อนที่ดีกับซ่งซินมาตั้งแต่สมัยเรียน หลังจากเรียนจบทั้งสองคนก็ยังทำงานด้วยกัน ต้วนจิ่งหงรู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าแท้จริงแล้วซ่งซินเป็นคนแบบไหนและรู้ทุกอย่างที่ซ่งซินทำด้วย”


 


 


“เป็นไปไม่ได้ หลานของฉันกำลังถูกใส่ความ!” ผู้อาวุโสซ่งร้องตะโกนออกมา


 


 


“เราจะได้รู้ว่ากันเป็นการใส่ความหรือเปล่าหลังจากเราโทรหาตำรวจ ต้วนจิ่งหงพร้อมที่จะมอบตัวทุกเมื่อ” โม่ถิงหัวเราะ “ต้วนจิ่งหงต้องมีเรื่องอยากพูดมากมายแน่ๆ ปล่อยให้ตำรวจเป็นคนถามเธอเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็แล้วกัน คนที่เสียหายจะได้ไม่เสียเปล่า”


 


 


ท่าทีของผู้อาวุโสซ่งตึงเครียดขึ้นขณะที่เขาวิเคราะห์ใบหน้าของโม่ถิง เขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปและเข้าใจหลักสงครามจิตวิทยาเป็นอย่างดี


 


 


แต่ชายชราไม่อาจอ่านอะไรจากใบหน้าของโม่ถิงได้เลย โม่ถิงเพียงแค่ดูไร้ความเกรงกลัวเท่านั้น


 


 


นั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ความมั่นใจของโม่ถิง


 


 


ชายหนุ่มไม่ได้กำลังกุเรื่อง


 


 


“ฮึ่ม ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง แกคงโทรหาตำรวจไปแล้ว ทำไมถึงมาหาฉัน” ผู้อาวุโสซ่งพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง


 


 


“ผมเป็นคนมีคุณธรรมนะ ก่อนที่ผมจะโทรหาตำรวจ ผมคิดว่าผมควรบอกให้คุณรู้เสียก่อนว่าหลานสาวคุณแท้จริงเป็นคนยังไงกันแน่และช่วยให้คุณหูตาสว่างเสียที อย่างที่เห็นว่าผู้อาวุโสซ่งค่อนข้างเป็นคนยุติธรรมและต้องการจะลงโทษคนในครอบครัวของตัวเอง ในเมื่อคุณรอให้ผมโทรหาตำรวจไม่ไหว ผมก็จะสนองให้ตามนั้น”


 


 


หลังพูดจบ โม่ถิงก็โทรหาตำรวจ แต่ในขณะที่ตำรวจรับสาย ชายชรารีบความโทรศัพท์ไปจากมืออีกฝ่ายและกดวางสายทันที “อย่าทำอะไรหุนหันสิ”


 


 


โม่ถิงมองดูชายชราด้วยรอยยิ้มขบขัน เขาไม่พูดอะไรและไม่ได้โกรธด้วย


 


 


กระนั้น ผู้อาวุโสซ่งก็ยังสัมผัสได้ถึงท่าทีราวราชันของโม่ถิง


 


 


“แกต้องการอะไร” 

 

 


ตอนที่ 722 ผู้อาวุโสซ่งยังโอเคอยู่ไหม

 

“ง่ายมาก แค่คุณติดต่อไปหาทุกคนที่คุณสั่งให้แบนถังหนิงแล้วยกเลิกคำสั่งแบนทั้งหมดของเธอ” โม่ถิงตอบอย่างตรงไปตรงมา เผยวัตถุประสงค์ของเขาอย่างไม่ลังเล


 


 


“แกกำลังจะบอกให้ฉันกลับคำพูดตัวเองอย่างนั้นเรอะ”


 


 


“นั่นเป็นปัญหาของคุณ” น้ำเสียงของโม่ถิงค่อยๆ เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าคุณไม่รู้สึกผิดกับทุกสิ่งที่หลานสาวของคุณได้ทำลงไป งั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องใส่ใจกับศักดิ์ศรีของคุณ ผมแค่ต้องการเห็นคุณตบหน้าตัวเองเท่านั้นเอง”


 


 


ผู้อาวุโสซ่งเบือนหน้าหนี ไม่อยากยอมรับชะตากรรมตัวเอง


 


 


“อะไรกัน เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกไม่ให้ผมทำตัวจองหองเองไม่ใช่เหรอ ท่าทีพวกนั้นหายไปไหนหมดล่ะ


 


 


“ผู้อาวุโสซ่ง ผมเกือบลืมบอกคุณไป หากคุณไม่จัดการสิ่งต่างๆ ที่หลานสาวของคุณทำในวันนี้ ผมจะจัดการเอาคืนกับเธอโดยตรง หลานสาวของคุณทำให้ภรรยาและลูกชายสองคนของผมเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากคุณเป็นผม คุณจะเอาคืนเรื่องนี้ยังไงครับ”


 


 


ผู้อาวุโสซ่งอ้าปากแต่ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมา


 


 


ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถพูดออกมาได้…


 


 


“คนเราทำอะไรไว้ก็ต้องชดใช้ไม่ช้าก็เร็ว คุณจะชดใช้หรือผมหรือจะให้หลานของคุณเป็นคนชดใช้ล่ะ”


 


 


ผู้อาวุโสซ่งไม่เคยเสียหน้าเช่นนี้มาก่อน เขาไม่เคยถูกคนอ่อนวัยกว่าต้อนจนพูดอะไรแบบนี้


 


 


“ในสายตาคุณ ชีวิตคนคนหนึ่งมีค่าแค่น้อยนิดงั้นเหรอครับ”


 


 


เมื่อได้ยินคำถามนี้ ผู้อาวุโสซ่งก็สงบลงและคิดถึงสิ่งต่างๆ อย่างถี่ถ้วน เขาเข้าใจดีว่าการกระทำของโม่ถิงนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง การปกป้องภรรยาของตัวเองเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ เช่นเดียวกับคำถามของโม่ถิงเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิตคนคนหนึ่ง…


 


 


…มันจะไม่มีค่าได้อย่างไรกัน


 


 


กระนั้นเขาไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะเป็นคนอ่อนแอในสายตาของหลานสาวตัวเอง


 


 


“เพราะวิธีที่คุณตามใจเธอทำให้ซ่งซินทำสิ่งต่างๆ โดยไม่ยั้งคิด คุณไม่คิดว่าเธอควรรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำบ้างหรือไง”


 


 


ชายชรายังคงนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึก “ว่ามา… แกต้องการอะไรอีก”


 


 


เมื่อเห็นว่าชายชราเริ่มประนีประนอมมากขึ้น โม่ถิงจึงเอนหลังพิงเก้าอี้และหัวเราะ “คุณกำลังถามว่าผมต้องการอะไรอย่างงั้นเหรอ ผมกำลังรอให้ผู้อาวุโสซ่งเสนอแนวทางแก้ไขที่น่าพอใจอยู่


 


 


“นอกจากเรื่องที่ผมเรียกร้องไปก่อนหน้านี้ ผมกำลังรอให้ผู้อาวุโสซ่งแสดงให้ผมเห็นว่าเขาสามารถทำอะไรได้อีก ผมจะให้เวลาคุณหนึ่งวันกลับไปคิดให้ดี ถ้าผมไม่เห็นความคืบหน้าอะไรภายในหนึ่งวัน ผมคงต้องโทรหาตำรวจ…”


 


 


ใบหน้าชายชราเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่ง เขาโกรธจัดจนพูดอะไรไม่ออก ขณะที่เขาลุกจากเก้าอี้ ชายชราเกือบจะหมดสติเพราะความดันที่พุ่งสูงขึ้นจนโม่ถิงต้องเรียกเลขาของเขาให้มาช่วยพาเขาออกไป


 


 


ถ้านี่ไม่เป็นเพราะผู้อาวุโสซ่งไม่สามารถแยกแยะผิดถูกได้ โม่ถิงคนไม่ต้องทำเรื่องยุ่งยากให้กับชายชราเช่นนี้


 


 


แต่เมื่อผู้สูงวัยไม่สมควรได้รับการเคารพ พวกเขาก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ


 


 


นอกจากเรียกร้องให้ผู้อาวุโสซ่งถอนคำสั่งแบนถังหนิงแล้ว โม่ถิงไม่ได้ขออะไรอย่างอ่านอีก กลับกัน เขาได้บังคับให้ผู้อาวุโสซ่งคิดอย่างถี่ถ้วนและเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


เขาต้องการดูว่าชายชราตั้งใจจะสละอะไรเพื่อปกป้องหลานสาวของตัวเอง


 


 


เขายังอยากเห็นแนวทางแก้ไขที่ชายแก่คนนั้นจะทำด้วย


 


 



 


 


ซ่งซินไม่รู้ตัวสักนิดเลยว่าผู้อาวุโสซ่งได้ล่วงรู้ถึงการกระทำอันชั่วร้ายต่างๆ ของเธอแล้ว หลังจากกลับมาที่บ้านและเห็นชายชรากำลังนั่งอยู่ที่โซฟา เดิมทีเธออยากกจะใช้อำนาจของเขาอีกครั้ง แต่ผู้อาวุโสซ่งจ้องเขม็งมาที่เธออย่างเย็นชาและออกคำสั่ง “มานี่”


 


 


“คะคุณปู่” ซ่งซินดูประหลาดใจ


 


 


“ปู่บอกให้มานี่!” ชายชราย้ำด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


 


ซ่งซินเดินตรงไปหาชายชราด้วยความสงสัยและระแวดระวัง จากนั้นเธอสัมผัสได้ถึงความแสบร้อนบนแก้มขวาของเธอที่มาพร้อมกับเสียงดัง เพียะ!


 


 


“คุณปู่…”


 


 


“ปู่ต้องการให้หลานไปคุกเข่าต่อหน้าบรรพบุรุษคืนนี้ทั้งคืน ถ้าปู่ไม่บอกให้ลุก อย่าริอาจลุกขึ้นมาเชียว พ่อบ้าน จับตาดูเธอเอาไว้” ชายแก่ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ ที่ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวพลางชี้ไปทางแท่นบูชาบรรพบุรุษ


 


 


“ทำไมคะคุณปู่” ซ่งซินปฏิเสธที่จะทำตามพลางกุมแก้มของตัวเอง “หนูไปทำอะไรให้คุณปู่โกรธนักหนา”


 


 


“เดี๋ยวพรุ่งนี้หลานก็จะรู้” ผู้อาวุโสซ่งสงบสติลง เขาคิดเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว แม้เขาจะไม่ชอบวิธีการของโม่ถิง แต่เขาก็เข้าใจดีว่าโม่ถิงทำไปเพื่อภรรยาของตัวเอง และต่อให้ถังหนิงไม่มีความหมายอะไรกับโม่ถิง ก็ยังมีลูกๆ ของเขาอีกสองคน เด็กพวกนั้นเกือบต้องตายด้วยน้ำมือของหลานสาวของเขา หากเขาอยู่ในจุดเดียวกับโม่ถิง เขาคงควักปืนออกมายิงตัวต้นตอให้ตายไปแล้ว


 


 


แต่สิ่งที่ทำร้ายจิตใจเขามากที่สุดคือความจริงที่ซ่งซินใช้เขาและเอาตำแหน่งหน้าที่ของเขามาใช้ฉวยโอกาสให้กับตัวของเธอเองและบรรลุสิ่งที่เธอต้องการ ขณะทำตัวราวกับเป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ ต่อหน้าเขา


 


 


เขาเป็นเครื่องมือให้หลานสาวของตัวเองก่อเรื่องต่างๆ!


 


 


หลังพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดผู้อาวุโสซ่งก็เลือกที่จะลากซ่งซินไปยังไห่รุ่ยในวันต่อมาเพื่อให้โม่ถิงจัดการลงโทษ เขาจะปล่อยให้โม่ถิงทำในสิ่งที่ต้องการ


 


 


เป็นเพราะซ่งซิน ทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่อาจแยกแยะผิดชอบชั่วดี นั่นเป็นสิ่งที่เขายากจะยอมรับได้


 


 



 


 


คืนนั้น โม่ถิงกลับไปที่บ้าน พบว่าถังหนิงกำลังกล่อมลูกทั้งสองคนให้หลับ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปช่วยเธอ


 


 


แม้พ่อลูกจะเพิ่งได้มีปฏิสัมพันธ์กันมาเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เด็กทั้งสองต่างคุ้นเคยกับอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ เด็กๆ ต้องการสัมผัสถึงไออุ่นของเขาจึงจะยอมหลับ


 


 


หลังจากนั้น คู่รักก็วางลูกทั้งสองลงในเปลนอนของพวกเขาก่อนเดินเข้าไปยังห้องเสื้อผ้า หลังจากช่วยโม่ถิงถอดสูทแจ็กเกตออก ถังหนิงเอ่ยถามขึ้น “วันนี้คุณได้เจอคนคนนั้นหรือเปล่า”


 


 


“ไปพักที่เตียงเถอะ ทำไมคนที่เพิ่งคลอดลูกถึงไม่ดูแลตัวเองนะ” โม่ถิงกล่าวพลางอุ้มถังหนิงไว้ในอ้อมแขน


 


 


“ฉันสบายดี ฉันไม่เชื่อธรรมเนียมเก่าๆ ที่ต้องพักอยู่ไฟทั้งเดือนหลังจากคลอดหรอกนะคะ” ถังหนิงหัวเราะ


 


 


“ผมสั่งให้เขาหาแนวทางที่น่าพอใจให้เรา” โม่ถิงอธิบายพลางวางถังหนิงลงบนเตียง


 


 


“ผู้อาวุโสซ่งยังโอเคอยู่ไหมคะ”


 


 


“ตอนแรกเขาก็โกรธ แต่หลังจากคิดดีๆ ผมแน่ใจว่ามันต้องเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะยอมรับเรื่องนี้”


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ใครจะไปรู้สึกดีที่ถูกหลานสาวตัวเองใช้เป็นเครื่องมือกันล่ะ” ถังหนิงยิ้ม “เราแค่ต้องรอแล้วดูความจริงใจของผู้อาวุโสซ่ง ถิง ขอบคุณนะคะที่ช่วยเรื่องจิ่งหง”


 


 


“มันไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องการขอบคุณผมหรอกครับ มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณที่ต้องมาขอบคุณผม” โม่ถิงกล่าวก่อนพยายามกล่อมถังหนิงให้เข้านอน “นอนพักก่อนเถอะ ผมจะไปอาบน้ำหน่อย”


 


 


“ไม่ ฉันจะรอคุณ ไม่งั้นลูกๆ จะร้อง”


 


 


“อ้อใช่ นั่นสิ ผมไม่มีนมให้พวกเขานี่นะ!”


 


 


ถังหนิงหัวเราะพลางต่อยเข้าที่แผ่นอกของโม่ถิงอย่างหยอกเย้าและพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ”


 


 


ในความเป็นจริง ต้วนจิ่งหงไม่ได้มีหลักฐานอะไรในมือ ต่อให้เธอไปหาตำรวจ เธอก็ทำได้ใส่ร้ายซ่งซิน ท้ายที่สุดจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น


 


 


แต่ถึงเป็นเช่นนั้น ซ่งซินจะปล่อยให้ตำรวจหาหลักฐานได้อย่างนั้นหรือ


 


 


เธอมีความผิดมากเกินกว่าจะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนั้น


 


 


ที่จริง ผู้อาวุโสซ่งนั้นไม่อาจดูถูกได้ แม้สัญชาตญาณของเขาจะไม่เฉียบคมเหมือนแต่ก่อนและมีแนวโน้มที่จะถูกซ่งซินเป่าหู เขาก็ยังคงเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถนำจุดจบมาสู่ซ่งซินได้


 


 


ดังนั้น ในวันพรุ่งนี้ ทุกคนจะต้องรอดูว่าผู้อาวุโสซ่งวางแผนอะไรไว้


 


 


หลังคิดเช่นนั้น ถังหนิงก็ชำเลืองตามองไปยังลูกทั้งสองของเธอ ผู้อาวุโสจากตระกูลโม่และตระกูลถังต่างพากันอุ้มพวกเขาไปมาทั้งวันโดยไม่มีใครยอมปล่อยมือเลย!


 


 


นี่หมายความว่านับจากนี้ไป เธอจะแทบไม่มีโอกาสได้อุ้มลูกทั้งสองเลยอย่างนั้นหรือ 

 

 


ตอนที่ 723 สามคดีใหญ่ของไห่รุ่ย

 

กลางดึกคืนนั้น คู่รักทั้งสองกำลังหลับสนิทก่อนที่ทันใดนั้นเสียงร้องไห้จะปลุกให้ถังหนิงตื่นจากการหลับใหล เมื่อรู้ว่าหนึ่งในลูกทั้งสองของเธอกำลังร้องไห้ ถังหนังเตรียมตัวลุกจากเตียงแต่ชายที่อยู่ข้างเธอกลับรีบวิ่งไปอุ้มกั่วกั่วไว้ในอ้อมแขน


 


 


โม่ถิงสัมผัสหน้าผากเด็กน้อยและขมวดคิ้ว “ตัวร้อน เขาต้องมีไข้แน่…”


 


 


หลังได้ยินเช่นนั้น ถังหนิงก็รีบลุกจากเตียงทันที “คุณหมอบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะมีภูมิคุ้มกันต่ำ เธอสอนวิธีลดไข้ให้ฉันนิดหน่อยและบอกเราว่าอย่าตื่นตระหนก”


 


 


“คุณอยู่ที่เตียงเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” โม่ถิงกล่าวก่อนจะหยิบที่วัดไข้ออกมาแล้วพากั่วกั่วไปยังห้องน้ำ คุณหมอได้สอนพวกเขาให้อาบน้ำอุ่นให้กับเด็กเพื่อช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย


 


 


เด็กน้อยอีกคนที่ยังอยู่ในเปลคือแฝดผู้พี่ ขณะที่เด็กคนที่กำลังป่วยคือแฝดผู้น้องที่ร่างกายบอบบางกว่า ขณะที่โม่ถิงกำลังอาบน้ำให้กั่วกั่ว ถังหนิงได้โทรหาคุณหมอ แม้จะเป็นเวลากลางดึกแล้วแต่คุณหมอก็ยังตอบคำถามคนไข้ของเธออย่างใจเย็น


 


 


ที่จริงนับตั้งแต่เมื่อถังหนิงเริ่มตั้งท้อง หมอหลายคนก็ไม่ได้สังเกตว่าเธอกำลังอุ้มท้องแฝดเพราะแฝดผู้น้องมีพัฒนาการช้ากว่าแฝดผู้พี่ ส่งผลให้แฝดผู้น้องนั้นมีสุขภาพที่อ่อนแอกว่า


 


 


“จะเป็นการดีถ้าคุณไม่เลี้ยงดูเขาเป็นพิเศษ อย่าสร้างนิสัยเลือกปฏิบัติให้เขาตั้งแต่เด็ก ไม่เช่นนั้นแฝดผู้พี่จะสัมผัสได้ถึงความไม่เท่าเทียม”


 


 


หลังได้ยินคำแนะนำของหมอ ทำให้ความกังวลใจของถังหนิงลดลง จากนั้นเธอจึงเดินตามเข้าไปยังห้องน้ำอย่างช้าๆ และเห็นโม่ถิงกำลังเช็ดตัวให้เด็กน้อยภายใต้แสงไฟอบอุ่น ความจริงจังของเขาดูทรงเสน่ห์อย่างมาก


 


 


คำว่า ‘ปะป๊า’ พลันผุดขึ้นมาในใจของถังหนิง


 


 


อาจเป็นเพราะถังหนิงไม่เคยได้สัมผัสความรักของผู้เป็นพ่อมาก่อนในชีวิต การได้เห็นโม่ถิงที่กำลังจริงจังทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ…


 


 


เธอไม่รู้ว่าคนอื่นๆ เป็นอย่างไร เธอรู้เพียงแค่ว่าโม่ถิงจะต้องเป็นพ่อที่ดีแน่นอน!


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน ซ่งซินคุกเข่าด้วยความสับสนอยู่ต่อหน้าบรรพบุรุษของเธอตลอดทั้งคืน เดิมทีเธออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากพ่อบ้าน แต่พ่อบ้านเองก็ไม่รู้ว่าทำไมผู้อาวุโสซ่งถึงโกรธถึงขนาดนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้อาวุโสซ่งยังสั่งให้เขาคอยควบคุมการลงโทษซ่งซินอย่างเข้มงวดอีกด้วย หากชายชราจับได้ว่าพ่อบ้านโอนอ่อนให้ซ่งซิน เขาจะถูกลงโทษเป็นสองเท่า


 


 


เช้าวันต่อมา ทันทีที่แสงอาทิตย์สาดส่อง ซ่งซินถูกผู้อาวุโสซ่งลากขึ้นรถก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งตัว เธอไม่รู้เลยว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปนที่ไหน


 


 


“คุณปู่… อย่างน้อยช่วยบอกหนูหน่อยเถอะว่าทำไมหนูถึงต้องคุกเข่าต่อหน้าบรรพบุรุษตลอดทั้งคืนแบบนี้”


 


 


“หลานจะรู้เมื่อเราไปถึงที่หมาย” ผู้อาวุโสซ่งคำราม


 


 


“คุณปู่ไม่เคยทำกับหนูแบบนี้ คุณปู่กำลังรักแกหนูเพราะหนูไม่มีพ่อแม่หรือใครให้พึ่งใช่ไหม”


 


 


“ไม่มีใครให้พึ่งงั้นเรอะ” ผู้อาวุโสยกมือขึ้นอีกครั้งและพร้อมที่จะตบหน้าซ่งซิน แต่ซ่งซินพลันยืนหน้าและร้องตะโกน “ตบหนูเท่าที่คุณปู่ต้องการเลย หนูไม่สามารถหนีไปไหนได้อยู่แล้ว”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสซ่งกลับใจเย็นลงอย่างคาดไม่ถึง ขณะที่เขาลดมือลงนั้น เขาหยิบมวนบุหรี่ขึ้นจุดและสูบเฮือกใหญ่ “ซินซิน เราสองคนใช้ชีวิตด้วยกันมานานหลายปีและปู่ให้ทุกอย่างที่หลานต้องการมาตลอด แต่หมู่นี่ปู่เริ่มรู้สึกราวกับหลานเป็นคนแปลกหน้า หลานซ่อนอะไรไม่ให้ปู่รู้อยู่หรือเปล่า”


 


 


ซ่งซินพลันตัวแข็งทื่อด้วยความรู้สึกผิดแต่แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรผิดปกติ “คุณปู่ไปได้ยินข่าวลือมั่วๆ มาจากไหนเหรอคะ”


 


 


“หลานเคยสั่งให้ต้วนจิ่งหงไปทำอะไรที่เป็นอันตรายกับคนอื่นหรือเปล่า” ผู้อาวุโสซ่งถามพลางมองดูซ่งซินด้วยความจริงจัง


 


 


“คุณปู่… จะเป็นไปได้ยังไงกัน หนูเป็นผู้บริสุทธิ์นะ!”


 


 


“แต่ต้วนจิ่งหงมีหลักฐานว่าหลานทำร้ายฮั่วจิงจิงกับลูกของถังหนิง!”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น อุ้งมือทั้งสองข้างของซ่งซินเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อขณะที่เธอตกอยู่ในความหวาดวิตก แต่หลังจากคิดถึงสิ่งต่างๆ อย่างเงียบๆ เธอจำได้ว่าเธอแทบไม่เคยออกปากสั่งต้วนจิ่งหงเลย แล้วผู้หญิงคนนั้นจะมีหลักฐานได้อย่างไร


 


 


นี่มันกับดักของถังหนิงไม่ใช่หรือ


 


 


ดังนั้นเธอจึงหันกลับไปอีกด้านและพยายามเปิดประตูรถ “เปิดประตูนะ ฉันจะออกไป!”


 


 


“วันนี้หลานจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”


 


 


“คุณปู่ไปเชื่อคำพูดของถังหนิงได้ยังไง หนูจะไปทำอะไรอย่างที่มันพูดได้ยังไงกัน ถังหนิงได้เอาหลักฐานให้คุณปู่ดูหรือเปล่า คุณปู่ไปเชื่อมันทั้งอย่างนั้นได้ยังไง ถ้าหนูบอกว่าหนูไม่ได้ทำก็คือหนูไม่ได้ทำ” ซ่งซินโต้แย้ง จากนั้นเธอลุกขึ้นจากที่นั่งด้านหลังและเข้าขัดขวางการขับรถของคนขับรถ


 


 


คนขับรถตกใจและเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน แต่สายเกินไป…


 


 


รถของพวกเขาได้ชนเข้ากับราวกันของสะพานหินที่กำลังขับผ่านและเกือบจะตกลงจากสะพาน


 


 


ซ่งซินปลอดภัยเพราะการปกป้องของผู้อาวุโสซ่ง แต่ศีรษะของผู้อาวุโสซ่งกระแทกเข้ากับกระจกรถและชุ่มโชกไปด้วยเลือด


 


 


“คุณปู่… คุณปู่คะ…”


 


 


ผู้อาวุโสซ่งถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ซ่งซินทั้งโกรธและหงุดหงิด เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องผ่าตัด หลังพิจารณาตัวเลือกทั้งหมดที่เธอมี เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาเซียวอวี่เหอ “ฉันมีอะไรจะบอก…”


 


 


แม้เธอจะถูกต้วนจิ่งหงแทงข้างหลัง เธอก็ยังเป็นคนระแวดระวังเสมอ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เธอจะปล่อยให้ต้วนจิ่งหงมีหลักฐานใดๆ ในมือ


 


 


ดังนั้นเธอจึงมั่นใจว่าไห่รุ่ยไม่น่าสร้างหลักฐานอะไรขึ้นมาได้ คนพวกนั้นใช้อุบายหลอกชายชราให้ยอมประนีประนอมด้วย เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจที่สุด!


 


 


ในเมื่อถังหนิงหน้าด้านและทำให้ชีวิตปู่ของเธอต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย เธอก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องออมมือเช่นกัน


 


 



 


 


[ข่าวด่วน เวลาแปดนาฬิกาเช้าวันนี้ ได้รับรายงานอุบัติเหตุทางรถยนต์บริเวณสะพานหินใกล้ถนนจงหวน ผู้สื่อข่าวของเราได้รับการยืนยันว่าผู้ประสบเหตุดังกล่าวคือซ่งซินที่กำลังโด่งดังในขณะนี้และสมาชิกในครอบครัวของเธอ ผู้สื่อข่าวยังยืนยันอีกด้วยว่าปู่ของซ่งซินและคนขับกำลังอยู่ระหว่างการผ่าตัดอยู่ในห้องผ่าตัด ขณะที่ซ่งซินรอดมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน]


 


 


[นักข่าวของเราได้สัมภาษณ์ซ่งซินหลังอุบัติเหตุในครั้งนี้ แต่เขาต้องประหลาดใจเมื่อซ่งซินไม่ได้พูดถึงความช็อคของเธอแต่กลับพูดถึงความไม่พอใจที่เธอมีต่อคนคนหนึ่ง หากคุณต้องการทราบความจริง กรุณาติดตามการรายงานจากนักข่าวของเราหลังจากนี้]


 


 


[ซ่งซิน นักแต่งเพลงและนักเขียนชื่อดัง กล่าวว่าเหตุการณ์อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะไห่รุ่ย!]


 


 


“ทุกท่านทราบดีเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันระหว่างฉันกับไห่รุ่ย หลังจากขั้นตอนทางกฎหมายสิ้นสุดลง ตอนแรกฉันคิดว่าหากฉันอดทนอีกสักหน่อยทุกอย่างคงจะสิ้นสุดลง เพราะฉันจะไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนั้นอีก แต่ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าไห่รุ่ยจะทำถึงขนาดทำร้ายสมาชิกในครอบครัวของฉัน!


 


 


“ตอนนี้ฉันต้องการฟ้องร้องไห่รุ่ยในสามข้อหาหลัก หนึ่ง พวกเขาบีบบังคับศิลปินเพื่อรับประกันตำแหน่งของถังหนิงให้อยู่ในจุดสูงสุด สอง ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุการณ์ของผู้อาวุโสอู๋ แต่หลังจากใครบางคนโยนความผิดและทำให้ฉันตกเป็นผู้ต้องสงสัย ไห่รุ่ยไม่ได้ออกมาชี้แจงข้ออ้างต่างๆ พวกเขากดดันฉันเพราะต้วนจิ่งหงถูกจับได้ว่าเป็นขโมย แต่พวกเขากลับเบี่ยงเบนและช่วยให้ต้วนจิ่งหงได้เดบิวต์เป็นศิลปินในค่าย ใช่ค่ะจิ้งหงแห่งวงเอโอบีเป็นอดีตผู้จัดการของฉันเอง!


 


 


“และตอนนี้สิ่งที่รับไม่ได้ยิ่งกว่าคือพวกเขาสร้างเรื่องโกหกมาเป่าหูคุณปู่ของฉันให้เป็นปรปักษ์กับฉัน ทำให้เขาต้องประสบอุบัติเหตุ ฉันขอเตือนคุณนะโม่ถิง ฉันจะไม่ยอมจบเรื่องนี้แน่!” 

 

 


ตอนที่ 724 มอบตัว!

 

“แต่ในโลกออนไลน์ผู้คนต่างพูดกันว่าภาพยนตร์ของถังหนิงถูกบีบให้ต้องปรับแก้และถังหนิงเองก็ถูกแบนอย่างลับๆ เพราะคุณปู่ของคุณใช้เส้นสายในเรื่องนี้” นักข่าวขุดหลุมรอให้ซ่งซินตกหลุมพราง เพราะตอนนี้ซ่งซินกำลังตามืดบอดด้วยความโกรธ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่เธอจะหลุดปากพูดออกมา


 


 


“ถ้าคุณปู่ของฉันทำได้ขนาดนั้น ฉันจะยังถูกไห่รุ่ยรังแกอยู่แบบนี้เหรอคะ” ซ่งซินตอบอย่างเหยียดหยันพลางใช้หางตามองไปยังนักข่าวคนนั้น


 


 


“ถ้าอย่างนั้น ต้วนจิ่งหงที่ถูกจับได้ว่าเป็นขโมยเป็นคนเดียวกับจิ่งหงที่ตอนนี้อยู่ในวงเอโอบีจริงเหรอครับ” นักข่าวถาม


 


 


“คุณจะรู้เรื่องนี้ทันทีที่คุณเห็นภาพที่กำลังอยู่ในโลกออนไลน์ เธอแอบเข้าไปในห้องทำงานของโม่ถิงและถูกหมากัด หลังจากนั้นด้วยวิธีการบางอย่าง เธอก็ได้แปลงโฉมและเดบิวต์เป็นศิลปินคนหนึ่งของค่าย ถึงเหตุการณ์นั้นจะผ่านมาสองเดือนแล้ว ฉันก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า ฉันไม่อยากเชื่อว่าเธอจะเป็นอดีตผู้จัดการของฉัน ไร้ยางอายสิ้นดี!”


 


 


“แล้วอุบัติเหตุในวันนี้ล่ะครับ คุณอธิบายรายละเอียดได้ไหม”


 


 



 


 


สาธารณะได้รับรู้ข้อโต้แย้งในวงการบันเทิงมามากพอแล้ว


 


 


ทุกคนมักอ้างว่าตนเองเป็นเหยื่อเสมอ แต่เมื่อใดก็ตามที่คนเหล่านั้นถูกเปิดโปง พวกเขาจะพูดไร้ยางอายอย่างที่สุด


 


 


เรื่องส่วนใหญ่ไห่รุ่ยไม่จำเป็นต้องออกมาอธิบายเพราะมันเป็นเรื่องไร้สาระทั่วไป แต่เมื่อเป็นเรื่องของต้วนจิ่งหง ประชาชนกลับมองไห่รุ่ยต่างออกไป


 


 


หากต้วนจิ่งหงเป็นคนเดียวกันกับต้วนจิ่งหงที่เคยพยายามขโมยของจากไห่รุ่ยจริง ทำไมการตอบสนองในของไห่รุ่ยถึงแปลกนัก


 


 


ถ้าหัวขโมยกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ นั่นหมายความว่าไห่รุ่ยกำลังสร้างภาพลักษณ์แบบไหนสู่สาธารณะกันล่ะ


 


 


ความจริงนั้น ไห่รุ่ยได้จัดการเรื่องนี้อย่างลับๆ เมื่อโม่ถิงต้องการให้ต้วนจิ่งหงเดบิวต์ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องเตรียมการสิ่งสำคัญต่างๆ เอาไว้แล้ว ส่งผลให้ไม่มีใครสามารถหารูปของต้วนจิ่งหงนับจากตอนที่เธอถูกจับได้ว่าเป็นขโมยและถูกสุนัขกัดได้เลย ดังนั้นด้วยรูปโฉมที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงของต้วนจิ่งหง ตราบใดที่ทีมประชาสัมพันธ์ของไห่รุ่ยยืนกรานว่าทั้งสองไม่ใช่คนคนเดียวกัน ก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่มีใครสามารถหาอะไรมาเปรียบเทียบคนทั้งสองได้


 


 


หลังได้เห็นข่าวดังกล่าว ถังหนิงโทรหาต้วนจิ่งหง “ไม่ต้องห่วง ทำหน้าที่ของเธอต่อไปเถอะ ไม่มีใครสามารถยืนยันตัวตนของเธอได้แน่นอน”


 


 


แม้ต้วนจิ่งหงจะรู้ดีว่าไห่รุ่ยนั้นทรงอำนาจมากแค่ไหน แต่ทันทีที่เธอได้ยินคำว่า ‘ขโมย’ เธอก็ไม่อาจควบคุมความกังวลได้ เพราะถึงอย่างไรเธอก็คือต้วนจิ่งหง ต้วนจิ่งหงคนที่ถูกสุนัขกัดหลังจากแอบลักลอบเข้าไปภายในห้องทำงานของโม่ถิง


 


 


ก่อนหน้านี้เธอพึ่งพาโชคมาตลอด เธอคิดว่าเธอหากเธอไม่เปิดโปงซ่งซิน ซ่งซินก็จะไม่เที่ยวป่าวประกาศเรื่องของเธอ แต่…


 


 


…คนอย่างซ่งซินนั้น…


 


 


…ไร้หัวใจ!


 


 


เพราะเธอคิดเอาเองว่าต้วนจิ่งหงไม่มีหลักฐานอะไรในมือ


 


 


“ถังหนิง…”


 


 


“จ๊ะ” ก่อนที่ถังหนิงจะทันได้วางสาย ต้วนจิ่งหงเรียกเธอเอาไว้ “ที่จริงฉันคิดว่ามันน่าจะพอแล้วละมั้ง”


 


 


“อะไรพองั้นเหรอ”


 


 


“ฉันได้ลิ้มรสความสำเร็จแล้ว แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ฉันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในที่สุดฉันก็เชื่อในสิ่งที่คุณพูดเรื่องที่ว่าท้ายที่สุดคนที่ติดค้างและคนที่ทำผิดจะต้องชดใช้ ดังนั้นฉันไม่อยากจะหลบซ่อนตัวอีกแล้ว!” ต้วนจิ่งหงกล่าวหลังจากรวบรวมความกล้า “ฉันอยากจะขอให้ท่านประธานไม่ต้องเตรียมแผนประชาสัมพันธ์อะไรให้ฉันอีก ถึงฉันจะรู้ว่าเส้นทางไปสู่การเป็นดาราของฉันจะปราศจากปัญหาหลังจากไห่รุ่ยใช้เวทมนตร์วิเศษก็ตามที แต่ฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีชนักติดหลัง


 


 


“ถังหนิง ฉันขอโทษด้วยที่ก่อนหน้านี้เคยทำอะไรคุณและเพื่อนของคุณ ฉันขอโทษจริงๆ


 


 


“ฉันไม่รู้จะชดใช้ตราบาปของตัวเองและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณได้ยังไง”


 


 


ณ ปลายสายอีกด้านหนึ่ง ถังหนิงยังคงเงียบอีกชั่วครู่ก่อนในที่สุดเธอจะเอ่ยขึ้น “เธอคิดเรื่องนี้ดีแล้วใช่ไหม”


 


 


“ฉันไม่เคยแน่ใจเท่านี้มาก่อนเลย” ต้วนจิ่งหงยิ้ม “หลังจากที่ฉันก้าวออกไป ฉันอาจจะพังยับเยินแต่ฉันคิดจะใช้ชีวิตที่ซื่อตรงมากกว่านี้ ถังหนิง ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่คุณทำให้ฉันนะ”


 


 


ถังหนิงไม่ห้ามต้วนจิ่งหง เพราะต่อให้อีกฝ่ายกำลังจะสูญเสียทุกอย่าง เธอก็กำลังจะเป็นอิสระทางใจเช่นกัน


 


 


“เธอวางแผนจะทำอะไรล่ะ”


 


 


“ฉันจะโจมตีผู้หญิงคนนั้นแบบซึ่งๆ หน้า” ถังหนิงหัวเราะ “ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ฉันแค่หวังว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน คุณจะช่วยดูแลพ่อแม่ของฉันแทนฉันด้วย พวกท่านเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้โลภมากเหมือนฉัน”


 


 


“ไม่ต้องห่วง!”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ต้วนจิ่งหงยิ้มให้ถังหนิงและกล่าวคำอำลา


 


 


ครั้งหนึ่งถังหนิงเคยให้คำมั่นกับเธอว่าต่อให้ซ่งซินถูกเปิดโปง เธอก็จะไม่ถูกประณามไปด้วย ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่าถังหนิงกำลังหลอกล่อเธออยู่ แต่ตอนนี้เธอกลับต้องการที่จะถูกประณาม ด้วยวิธีนี้เธอจะไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป ถังหนิงสามารถรักษาคำพูดของตัวเองได้แน่แต่ต้วนจิ่งหงไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว…


 


 


[ไห่รุ่ยเงียบมาตลอดเลย ทำไมแผนกประชาสัมพันธ์ถึงไม่ทำอะไรสักอย่าง]


 


 


[ฉันพยายามหารูปของต้วนจิ่งหงแต่เจอแต่รูปเบลอๆ ที่ไม่เห็นเหมือนอย่างที่ซ่งซินพูดเลย]


 


 


[ซ่งซินไม่เห็นอธิบายเรื่องอุบัติเหตุให้ชัดเจนเลย ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าใครเป็นคนผิดกันแน่]


 


 


[ถังหนิง ออกมาพูดอะไรสักอย่างสิ อย่าช่วยให้หัวขโมยกลายเป็นดารานะ]


 


 


[ทุกอย่างที่ฉันเห็นในโลกออนไลน์มีแต่ความไม่พอใจของซ่งซินทั้งนั้น ไห่รุ่ยไม่เห็นออกมาโต้ตอบอะไรเลยสักคำ ฉันสงสัยจริงว่าความจริงคืออะไรกันแน่ ฉันรู้สึกว่ามันต้องมีความลับใหญ่บางอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องทั้งหมดแน่]


 


 


[ฉันก็คิดเหมือนกัน!]


 


 


[ฉันด้วย +1]


 


 


ท้ายที่สุด ไห่รุ่ยยังคงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับอุบัติเหตุในครั้งนี้ขณะที่ความไม่พอใจของซ่งซินกระจายไปทั่วทุกหัวระแหงให้ทุกคนได้สนุกกับมันอีกหน่อย


 


 


ในที่สุดผู้อาวุโสซ่งและคนขับรถได้ออกจากห้องผ่าตัดราวห้าถึงหกชั่วโมงหลังจากนั้น เนื่องจากผู้อาวุโสซ่งมีอายุมากแล้วทำให้เขายังคงไม่ได้สติ ในขณะที่คนขับรถฟื้นคืนสติเป็นคนแรก


 


 


ซ่งซินยืนดูแลอยู่ข้างเตียงของคนขับรถ ทันทีที่เขาได้สติ เธอรีบพุ่งตัวเข้าหาเขาและถาม “ลุงเฉิน เป็นยังไงบ้าง”


 


 


“คุณหนู…”


 


 


“ลุงยังจำได้ไหมว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ยังไง” ซ่งซินถามทันทีที่เธอเห็นเขาเริ่มได้สติ


 


 


“ผมจำได้ว่าเป็นคุณหนูที่…”


 


 


“ไม่ใช่! ไม่ใช่ฉัน… ฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยทั้งนั้น” ซ่งซินกล่าวก่อนจะโน้มตัวไปใกล้อีกฝ่ายและข่มขู่ “ถ้าลุงกล้าบอกสื่อว่าฉันเป็นคนทำให้เกิดอุบัติเหตุละก็ ระวังครอบครัวของลุงเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”


 


 


ดวงตาลุงเฉินเบิกโพลง แต่เขาไม่พูดอะไรอีก


 


 


ซ่งซินสรุปเอาเองว่าลุงเฉินได้ยอมรับคำขู่ของเธอและจะไม่พูดอะไร ดังนั้นเธอจึงกล่าว “ลุงเฉิน พักผ่อนเถอะนะ ฉันจะไปดูคุณปู่สักหน่อย”


 


 


ลุงเฉินกะพริบตาปริบๆ ขณะที่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อสิ่งที่เขาพูดมาเคลื่อนมาถึงปาก เขาก็กลืนมันกลับไปจนหมด


 


 


เขาเป็นคนมีศีลธรรมมาตลอดชีวิต ใครจะไปคิดว่าทันทีที่เขาประสบอุบัติเหตุ เขาจะถูกข่มขู่เช่นนี้


 


 


เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความผิดของซ่งซิน…


 


 


ลุงเฉินรู้ดีว่าเขาจะทำอะไร เขารู้ดีว่าคำบางคำจะมีค่าก็ต่อเมื่อถูกพูดโดยคนที่มีอำนาจเท่านั้น


 


 


แต่ซ่งซินไม่รู้ตัวเลยว่าครั้งนี้เธอได้ขุดหลุมฝังตัวเองเสียแล้ว…


 


 


หากซ่งซินไม่ได้หุนหันพลันแล่นไปเรียกร้องให้ไห่รุ่ยออกมาเคลื่อนไหว เธอก็คงไม่ได้กระตุ้นต่อมของต้วนจิ่งหง…


 


 


เพราะในขณะที่ซ่งซินนั้นกล้าเพียงแค่แสดงท่าทีผยองต่อหน้าสื่อ…


 


 


…ต้วนจิ่งหงได้เข้ามอบตัวกับตำรวจด้วยตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว! 

 

 


ตอนที่ 725 ใครจะไปพิสูจน์อะไรได้

 

ขณะที่ซ่งซินกำลังแสดงความไม่พอใจต่อไห่รุ่ยให้โลกรู้ ต้วนจิ่งหงได้เดินทางไปถึงสถานีตำรวจด้วยตัวเองและบอกพวกเขาว่าเธอต้องการแจ้งความ


 


 


เมื่อเจ้าพนักงานถามว่าเธอต้องการแจ้งความเรื่องอะไร เธอเพียงแค่กล่าวอย่างกล้าหาญว่าเธอต้องการมอบตัว


 


 


ตำรวจเริ่มดำเนินการสอบสวนและต้วนจิ่งหงใช้เวลาทั้งบ่ายในการอธิบายว่าเธอจัดการสร้างสถานการณ์ในการทำร้ายขาของฮั่วจิงจิงอย่างไรและเธอปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่งให้คุกคามถังหนิงอย่างไร เธอไม่พยายามปิดบังความจริงเลยแม้แต่น้อย


 


 


“คุณครับ ถ้าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริงแล้วละก็ อ้างอิงจากกฎหมาย คนอื่นที่คุณต้องการจะกล่าวหาจะไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในคดีพวกนี้ คุณรู้เรื่องนี้หรือเปล่า พูดง่ายๆ คือถ้านี่เป็นเรื่องจริง คุณจะเป็นผู้ต้องหาหลักและผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น คุณเข้าใจใช่ไหม”


 


 


“ค่ะ ฉันเข้าใจ” ต้วนจิ่งหงพยักหน้าอย่างรู้ความ “ฉันก่อเหตุต่างๆ แต่คนที่สั่งให้ฉันทำเป็นอีกคนหนึ่ง คนคนนั้นคือซ่งซิน ฉันแค่รื้อฟื้นความจริงและข้อเท็จจริงต่างๆ เท่านั้น ส่วนผลที่ตามมา ฉันจะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและศาลเป็นผู้ตัดสิน ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ฉันก็สมควรได้รับเช่นนั้น”


 


 


หลังได้ยินคำตอบของต้วนจิ่งหง เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างพยักหน้า “ดีครับ คุณตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ได้ดี ในเมื่อเนื้อคดีพวกนี้มีความร้ายแรง เราจะทำการสืบสวนให้กระจ่าง ไม่เช่นนั้นความโสมมในวงการบันเทิงคงได้แพร่ไปถึงทะเลที่ขั้วโลกแน่!”


 


 


ต้วนจิ่งหงยังคงสงบนิ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่เธอได้พูดความจริงออกมา เธอไม่มีภาระใดๆ ต้องแบกหรือมีพันธนาการใดๆ มาเหนี่ยวรั้งเธอไว้อีกแล้ว ดังนั้นในที่สุดเธอก็รู้สึกโล่งใจ…


 


 


บรรดาสื่อทราบข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นที่สถานีตำรวจอย่างรวดเร็วและพากันมารายล้อมรอบสถานที่แห่งนั้น เพราะต้วนจิ่งหงเป็นฝ่ายเข้ามอบตัวเองและให้ความร่วมมืออย่างดี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคุ้มครองเธอและไม่อนุญาตให้สื่อได้มีโอกาสเข้าใกล้เธอเลย


 


 


ถึงกระนั้นสื่อก็ยังคงป่าวประกาศเรื่องการมอบตัวของต้วนจิ่งหง…


 


 


เธอเป็นสมาชิกของวงเอโอบีจริงและเป็นคนเดียวกับต้วนจิ่งหงที่เคยพยายามจะขโมยของจากห้องทำงานของโม่ถิง ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นอดีตผู้จัดการของซ่งซินอีกด้วย เธออธิบายวิธีการที่เธอทำร้ายฮั่วจิงจิงและเกือบทำให้ถังหนิงต้องแท้งลูก รวมถึงยอมรับว่าเธอก่อเหตุทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่คนสั่งให้เธอทำเรื่องทั้งหมดคือซ่งซิน!


 


 


จากนั้นโลกอินเทอร์เน็ตได้เต็มไปด้วยความคิดเห็นมากมาย!


 


 


โม่ถิงได้ส่งคนสองคนไปดูแลความปลอดภัยของต้วนจิ่งหงด้วย ปรากฏว่าไห่รุ่ยให้การสนับสนุนการตัดสินใจของต้วนจิ่งหงเป็นอย่างมาก


 


 


[ฉันไม่เคยว่าการบาดเจ็บของฮั่วจิงจิงจะมีอะไรมากกว่านั้นเลยนะ ต้วนจิ่งหงสมควรถูกเกลียดแล้วละ แต่ซ่งซินนั่นมันโรคจิตชัดๆ!]


 


 


[ต้วนจิ่งหงยอมมอบตัวกับตำรวจด้วยตัวเอง ถึงเธอจะทำเรื่องเลวร้ายมากมาย เธอก็ยังกล้ายอมรับความผิดถือว่าน่าชื่นชมมากนะ]


 


 


[ไม่อยากเชื่อว่าซ่งซินจะพยายามกล่าวหาว่าไห่รุ่ยเป็นคนทำร้ายปู่ของเธอทั้งที่ตัวเองแอบทำเรื่องไร้ยางอายมากมายแท้ๆ น่ารังเกียจจริงๆ!]


 


 



 


 


“นังสารเลวเอย!” ซ่งซินแทบจะเสียสติหลังได้เห็นข่าวเรื่องต้วนจิ่งหงเข้ามอบตัว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าเธอจะได้รับความเห็นใจโดยการใช้การบาดเจ็บของปู่ตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่เธอไม่เคยคาดคิดว่าต้วนจิ่งหงคนนั้นจะยอมเข้ามอบตัวกับตำรวจ “ไม่มีหลักฐานแบบนี้นังสารเลวนั่นรู้ตัวหรือเปล่าว่าสุดท้ายมันนั่นแหละจะเจ็บตัว”


 


 


ในความเป็นจริง คำกล่าวหานี้กับคำกล่าวหาที่เธอใส่ความไห่รุ่ยนั้นไม่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครสามารถแสดงหลักฐานที่ชัดเจนได้ ทั้งหมดเป็นเพียงคำพูดและการกระทำเท่านั้น


 


 


แต่ความจริงที่ต้วนจิ่งหงเป็นฝ่ายเข้าไปที่สถานีตำรวจด้วยตัวเองทำให้ความจริงใจและคำพูดของเธอดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ดังนั้นความเห็นของประชาชนจึงเทมาอยู่ข้างเธออย่างฉับพลัน


 


 


“ฉันทนนั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก ฉันต้องโต้ตอบ!” หลังพูดจบซ่งซินโทรหาเซียวอวี่เหอ “ฉันต้องการฟ้องร้องต้วนจิ่งหงข้อหาหมิ่นประมาท ไปแจ้งความจับมันที่สถานีเดียวกันกับที่มันอยู่เลย!”


 


 


เซียวอวี่เหอไม่เก่งเรื่องการรับมือกับปัญหา ดังนั้นเขาจึงเห็นด้วยว่าวิธีนี้จะเป็นการเอาคืนต้วนจิ่งหงที่ดีที่สุดและพาซ่งซินตรงไปยังสถานีตำรวจเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแบบซึ่งหน้า


 


 


ส่งผลให้สถานีตำรวจดังกล่าวแน่นขนัดไปด้วยผู้คน!


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่คิดว่าซ่งซินจะปรากฏตัวที่สถานีตำรวจเดียวกัน และไม่คาดคิดว่าซ่งซินจะฟ้องร้องเธอในข้อหาหมิ่นประมาทต่อหน้าต่อตาเธอแบบนี้


 


 


บรรดาสื่อต่างกระหายที่จะหาข้อมูลไปเขียนข่าวแต่ตำรวจได้เตรียมการระวังไว้หมดแล้ว


 


 


ส่งผลให้ผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองฝ่ายสามารถปรากฏตัวที่สถานที่เดียวกันได้


 


 


เมื่อศัตรูเผชิญหน้ากัน ดวงตาของพวกเธอสุมไปด้วยไฟแค้น แต่ซ่งซินตระหนักดีว่าการกระทำของต้วนจิ่งหงในวันนี้มีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับทั้งสองฝ่ายและไม่เกิดผลดีใดๆ


 


 


“แค่เธอทำร้ายชื่อเสียงของตัวเองก็แย่พอแล้ว ยังมาพยายามลากฉันไปด้วยอีก พอใจกับผลลัพธ์ตอนนี้ไหมล่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินคำถามของซ่งซิน สายตาต้วนจิ่งหงนั้นทั้งเยือกเย็นและสงบนิ่ง “เธอหนีไม่พ้นหรอก”


 


 


“เธอมีหลักฐานอะไร” ซ่งซินถามพลางยักไหล่ทั้งสองข้าง “ในเมื่อเธอเดบิวต์ไปแล้ว เธอก็ควรจะมุ่งมั่นกับการเป็นดาราของเธอไปสิ ทำไมถึงได้มาทำลายตัวเองด้วยวิธีนี้”


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่พูดอะไรขณะที่เธอหลับตาลง


 


 


เห็นเช่นนั้น ซ่งซินอยากจะขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น แต่คนของไห่รุ่ยรีบเข้ามาขวาง “ถอยไป!”


 


 


“นี่ถึงขนาดมีบอดีการ์ดเลยเหรอ”


 


 


“ผมบอกให้คุณถอยไป ไม่ได้ยินหรือไง” คนของไห่รุ่ยผลักซ่งซินออกไป


 


 


“พวกแกไม่ได้ดูหรือไงว่ากำลังปกป้องใครอยู่ นังนั่นมันก็แค่เด็กหน้าใหม่ สมควรให้คนอย่างพวกแกมาดูแลหรือไง”


 


 


“อย่างน้อยเธอก็มีเกียรติ คุณมีแค่หัวใจที่ต่ำช้า” หลังพูดจบ บอดีการ์ดเตือนไม่ให้ซ่งซินเข้ามาใกล้อีกแม้แต่ก้าวเดียว


 


 


จากนั้น อ้างอิงจากสิ่งที่ต้วนจิ่งหงกล่าว ตำรวจได้ทำการค้นบ้านของเธอแต่ไม่พบหลักฐานใดๆ ส่งผลให้ไม่สามารถยอมรับการมอบตัวของเธอได้เช่นกัน


 


 


“จากการสืบสวนของตำรวจ ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ระบุว่าคุณทั้งทั้งสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสองเหตุการณ์ ดังนั้นตำรวจจึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะจับกุมพวกคุณ พวกคุณทั้งสองคนควรกลับบ้านได้แล้ว เราจะติดต่อคุณเมื่อมีความคืบหน้าอะไรเกิดขึ้น”


 


 


หลังได้ยินสิ่งที่เจ้าหน้าที่กล่าว ซ่งซินระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น “ต้วนจิ่งหง นี่ไงผลของการมอบตัวของแก!”


 


 


หลังจากนั้น เธอหันไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจและร้องตะโกนขึ้น “ฉันต้องการฟ้องร้องต้วนจิ่งหงในข้อหาหมิ่นประมาท!”


 


 


เจ้าหน้าที่จ้องมองไปที่ซ่งซินและกล่าวกับเธอด้วยท่าทีรำคาญ “เราเพียงแค่ยังไม่พบหลักฐาน คุณจะอวดดีไปทำไม ก่อนที่เราจะปิดคดีนี้ คุณยังคงเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่นะ!”


 


 


“พวกทนายของฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง”


 


 


ซ่งซินพูดจบ ก็เดินดุ่มๆ ออกจากสถานีตำรวจด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ต้วนจิ่งหงยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม “คุณได้ตรวจสอบของที่ฉันบอกคุณหรือเปล่าคะ พวกคุณไม่พบอะไรเลยงั้นเหรอ”


 


 


“คุณผู้หญิง ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ ผมรู้ว่าคุณต้องการให้ตัวการได้รับความผิด แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะหาหลักฐานให้กับเหตุการณ์แบบนี้ ทางที่ดีตอนนี้คุณกลับบ้านไปก่อนเถอะ”


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่ยอมรับผลที่ออกมาและต้องการถามเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่านั้นแต่คนของไห่รุ่ยบอกกับเธอว่า “กลับกันก่อนเถอะครับ ไม่มีความจำเป็นต้องร้อนรน”


 


 


“ฉันโกรธที่ฉันทำได้แค่มองซ่งซินแต่ทำอะไรผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เลย!”


 


 


“การแก้แค้นมันช้าแต่แน่นอนนะครับ คนบางคนจะต้องได้รับผลกรรมในที่สุด”


 


 


การที่ตำรวจไม่พบหลักฐานใดๆ นั้นเป็นไปตามที่ซ่งซินคาดคิด เพราะเธอเพียงแค่สั่งด้วยปากเปล่าเท่านั้น ใครจะไปพิสูจน์อะไรได้


 


 


ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะแสดงท่าทีอวดดี


 


 


ผลที่ได้คือทันทีที่เธอก้าวออกมาจากสถานีตำรวจ เธอกล่าวกับสื่อโดยตรง “เกี่ยวกับเรื่องที่ต้วนจิ่งหงเข้ามอบตัว ฉันจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเองผ่านช่องทางทางกฎหมาย ฉันไม่เคยนึกเลยว่าฉันจะถูกเพื่อนรักของตัวเองแทงข้างหลังแบบนี้น นับจากวันนี้ไปฉันจะไม่มีเพื่อนแบบนี้อีก ยิ่งกว่านั้นฉันต้องการให้ต้วนจิ่งหงชดใช้อย่างสาสมกับสิ่งที่ได้ทำลงไป!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม