แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 718-724
บทที่ 718 ทำความเข้าใจใหม่ : ตกแมงกะพรุน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อะไรนะ! แค่ฉันกับนาย?” มู่เฉินอึ้ง นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ!
ถ้าหลิงม่อรนหาที่ตายคนเดียวก็แล้วไป แต่นี่ยังต้องเอาเขาไปตายเป็นเพื่อนอีก!
ไม่ได้ ไม่ได้หรอก…
“ฉันขอค้าน!” มู่เฉินพูดเสียงแข็ง
“คำค้านเป็นโมฆะ” หลิงม่อเหลือบมองเขา
“เชี่ย!” มู่เฉินหงุดหงิด “ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องบอกเหตุผลกันบ้างรึเปล่า? สวี่ซูหานไม่เข้าไปก็ไม่เป็นไร…แต่พวกเธอล่ะ?”
พอได้ยินมู่เฉินพูดถึงตัวเอง สีหน้าของสวี่ซูหานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
สภาวะของเธอในตอนนี้ ไม่เหมาะกับการแฝงตัวเข้าไปในสำนักงานใหญ่จริงๆ เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับกระโดดเข้ากองไฟเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่คนของสำนักงานใหญ่จับได้ว่าเธอติดเชื้อไวรัสแล้ว แต่ยังคงสติของมนุษย์ไว้ได้ เกรงว่าสิ่งแรกที่ทำคงไม่ใช่ฆ่าเธอ แต่จะจับเธอไปวิจัยมากกว่า
นอกเหนือจากวิธีนี้ สวี่ซูหานก็ไม่เห็นความเป็นไปได้อื่นอีกเลย
ชักจูงเธอ? เกลี้ยกล่อมเธอให้เข้าไปอยู่ในสำนักงานใหญ่งั้นหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร?
คนปกติที่ไหนจะอยากอยู่ร่วมกับสัตว์ประหลาดมนุษย์กึ่งซอมบี้อย่างเธอ สภาวะในตอนนี้ เธอไม่ใช่เพื่อนมนุษย์ในสายตาของพวกเขาอีกแล้ว…
กระทั่งมนุษย์อย่างหลิงม่อหากถูกจับได้ขึ้นมาล่ะก็…สวี่ซูหานอดเหลือบมองหลิงม่อไม่ได้
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ร่วงรู้ความลับของหลิงม่อ เมื่อวิวัฒนาการของเธอสูงขึ้น ความรู้ความเข้าใจที่เธอมีต่อพลังของพวกเย่เลี่ยนก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
พวกเธอเป็นซอมบี้ระดับสูงที่มีพลังความสามารถอันแข็งแกร่ง สายตาที่ซอมบี้ประเภทนี้มองมนุษย์ ไม่ต่างอะไรจากสายตาที่มนุษย์มองมดตัวเล็กๆ เลย
นี่ไม่ใช่ความเย่อหยิ่งหรือทะยง แต่ตัดสินจากลักษณะเด่นของเผ่าพันธุ์
สามารถทำให้ซอมบี้ระดับสูงเหล่านี้อยู่ใกล้ตัว แล้วยังมีสัมพันธ์อันแนบชิดกับพวกเธอ กระทั่งทำให้พวกเธอปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน…นี่มันความสามารถประเภทไหนกันแน่?
เธอรู้เพียงว่าหลิงม่อเป็นผู้มีพลังจิต แต่วิธีการต่อสู้ของเขาส่วนมากดูเหมือนจะอาศัยการแปลงพลังจิตเป็นสสารที่จับต้องได้เพื่อโจมตี นอกเหนือจากนี้เธอก็ดูอะไรไม่ออกอีก
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ถึงแม้เธอจะรู้ตัวตนของพวกเย่เลี่ยนแล้ว แต่กลับไม่รู้อยู่ดีว่าพวกเธอมาอยู่กับหลิงม่อได้อย่างไร…
ไม่แปลกที่สวี่ซูหานจะนึกไม่ถึงพลังควบคุม ก็พวกเย่เลี่ยนเป็นถึงซอมบี้ระดับสูง…
และปกติเวลาอยู่ด้วยกัน หลิงม่อก็ไม่เคยเผยให้เห็นเงื่อนงำที่จะทำให้สามารถสาวไปถึงพลังควบคุมได้เลย
ซอมบี้สาวสามตัวนี้มักทำท่าจะกัดเขาอยู่เรื่อย บางครั้งเกิดคึกขึ้นมาก็กระโจนใส่ตัวเขาบ้างอะไรบ้าง แบบนี้มันเหมือนถูกควบคุมที่ไหนกัน…
ทว่ายิ่งเธอไม่รู้ว่าพลังของหลิงม่อคืออะไร สวี่ซูหานยิ่งรู้สึกว่า หากหลิงม่อถูกคนของนิพพานสำนักงานใหญ่ขับได้ ไม่ใช่แค่เพียงพวกเย่เลี่ยนเท่านั้นที่จะเจอกับโชคร้าย แต่เกรงว่าเขาเองก็อาจถูกเค้นถามด้วยทุกวิถีทาง…
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สามารถทำให้ซอมบี้พูดได้ แค่ความสามารถที่เขาทำให้สวี่ซูหานหยุดอยู่ระหว่างการกลายพันธุ์อย่างนี้ ก็ทำให้เขาได้รับความสำคัญจากนิพพานสำนักงานใหญ่แล้ว
แล้วหลิงม่อก็ดูไม่เหมือนคนที่จะเปิดปากบอกความลับของตัวเองให้ใครรู้ง่ายๆ…
“ใช่ นายกับมู่เฉินเข้าไปกันแค่สองคน มันอันตรายเกินไป” สวี่ซูหานพูดอย่างจริงใจ
หลิงม่อทำท่าจนใจเล็กน้อย การตัดสินใจครั้งนี้ของเขาได้ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างละเอียดแล้ว
ถ้าหากนิพพานสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในตึกสูงเสียดฟ้าบางแห่ง หลิงม่อก็อาจจัดการได้ง่ายกว่านี้มาก
แต่ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนอย่างนี้ แถมสถานที่ที่เคร่งในอ่อนนอกอย่างนี้ ทันทีที่เกิดปัญหาอะไร จะหนีออกมาก็เป็นเรื่องยากแล้ว
หลิงม่อไม่ได้มีความเข้าใจต่อเรื่ององศาการยิงปืนมากนัก แต่แค่เห็นทิศทางที่ปากปืนเล็งไป เขาก็พอเดาได้แล้วว่ามันสามารถสาดห่ากระสุนคลอบคลุมทั่วตาข่ายเหล็กได้อย่างแน่นอน
คิดจะหนีออกมาจากสถานการณ์อย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
แต่ถ้าหากมีการรับช่วงต่อจากด้านนอก เรื่องก็จะต่างออกไป
อีกอย่างการเหลือคนไว้ข้างนอก จะทำให้การสำรวจของหลิงม่อสะดวกขึ้นมาก
เพราะถึงอย่างไรสำนักงานใหญ่กับกรงสัตว์ก็ไม่ได้อยู่ในโซนเดียวกัน อาศัยแค่เขากับมู่เฉินคงยากที่จะรับรู้สถานการณ์ทั้งหมดโดยไม่ถูกใครสังเกตเห็น
ทว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุด ก็คือวันนี้หลิงม่อเห็นซอมบี้สุนัข
ซอมบี้ที่มีประสาทรับกลิ่นร้ายกาจอย่างนี้ เป็นไปได้มากว่ามันอาจได้กลิ่นเชื้อไวรัสจากตัวพวกเย่เลี่ยน และถึงแม้จะหลบเลี่ยงพวกมันได้ แต่ใครจะรู้ล่ะว่านิพพานสำนักงานใหญ่สร้างสัตว์ประหลาดอะไรขึ้นมาอีก…
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร เขาจะปล่อยให้พวกเย่เลี่ยนเข้าเสี่ยงอันตรายส่งเดชไม่ได้
“ฉันกับมู่เฉินเข้าไปแค่สองคนจะกลายเป็นเป้าเล็ก สังเกตเห็นได้ยาก หากมีเรื่องอะไร ก็ง่ายต่อการรับมือทั้งจากข้างในและข้างนอกไปพร้อมกัน” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วให้คำตอบง่ายๆ
“แต่พวกเราแค่สองคนมีกำลังไม่พอหรอกน่า!” มู่เฉินบอก
เขาถือว่ายอมรับในพลังต่อสู้ของพวกเย่เลี่ยนอย่างแท้จริง ในสายตาเขาพวกเธอเป็นเหมือนปีศาจในร่างคน!
โดยเฉพาะตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้ แม้แต่หลิงม่อก็ยังสู้เด็กสาวสามคนนี้ไม่ได้
แต่มู่เฉินไม่รู้เลยว่า ตัวตนของเด็กสาวสามคนนี้ คือส่วนหนึ่งของพลังของหลิงม่อ…
“หารือกันเสร็จแล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างนี้แหละ…” หลิงม่อเมินมู่เฉิน แล้วพูดขึ้น
“เฮ้ย อย่างน้อยก็เอาซย่า…ไม่ไม่ เอาเย่เลี่ยนไปด้วยสิ!…นายไม่กลัวต้องอยู่เดียวดายในค่ำคืนอันยาวนานหรอ!” มู่เฉินถลึงตาจ้องแผ่นหลังหลิงม่ออย่างโมโห เจ้าบ้านั้น วิ่งเข้าห้องไปแล้ว…
พวกเย่เลี่ยนเพียงมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
โดยเฉพาะซย่าน่า เธอรู้ดีที่สุดว่าหลิงม่อเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ไปเพื่ออะไร แต่พวกเธอแตกต่างจากมู่เฉิน
ในเมื่อหลิงม่อวางแผนไว้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็ทำได้เพียงทำตามหน้าที่ที่เขามอบหมายให้แต่โดยดี เพื่อเป็นการสนับสนุนอย่างเต็มที่ …
“ฟู่ว…การพูดจาเฉไฉช่างเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ”
หลิงม่อนั่งลงบนโซฟาที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เขาเอนหลังพิงลงไปอย่างเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาสลับมุมมองสายตาไปๆ มาๆ ไม่หยุด ทำให้สูญเสียพลังจิตไปไม่น้อย
ความจริงแค่สับเปลี่ยนมุมมองสายตานั้นไม่เท่าไหร่ แต่ประเด็นคือเขาต้องเข้าไปอยู่ในโลกแห่งดวงจิตของเสี่ยวป๋าย แล้วเห็นในสิ่งที่มันเห็น ฟังในสิ่งที่มันได้ยิน ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ค่อนข้างเหนื่อยเอาเรื่อง
โดนเฉพาะความรู้สึกผิดที่ผิดทางที่เกิดขึ้นขณะดึงมุมมองสายตากลับมา ซึ่งทำให้รู้สึกเวียนหัวได้ง่ายๆ
“ความจริง เข้าไปกันแค่ 2 คนก็เหมือนลูกแกะเดินเข้าปากเสือจริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงจะเป็นแกะ เราก็จะไม่กลายเป็นก้อนเนื้อที่รอให้พวกนั้นมากิน พวกนั้นเลี้ยงสัตว์ประหลาดเอาไว้ตั้งมากมาย ถือเป็นโอกาสดีสำหรับเราแล้ว…”
การสำรวจครั้งนี้ ทำให้หลิงม่อได้ข้อมูลมากพอที่จะตัดสินใจ แต่ไพ่ตายที่หลิงม่อเตรียมไว้ไม่ได้มีเพียงเท่านี้
“ผ่านมาหลายวันแล้ว เจ้าแมงกะพรุนคงจะวิวัฒนาการเสร็จแล้วล่ะมั้ง?”
หลิงม่อดึงกระเป๋าเป้เข้ามา จากนั้นก็ล้วงกระเป๋าผ้าห่อหนึ่งออกมาจากข้างใน
นับตั้งแต่ที่ดูดกินเลือดและเชื้อไวรัสเหลวจำนวนมากของเจ้า “วิกผม” เข้าไป เจ้าแมงกะพรุนก็เอาแต่ “หลับใหล” มาโดยตลอด
สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนี้ไม่เพียงมีขนาดเล็ก แต่รูปลักษณ์ภายนอกยังชวนให้สับสนมากอีกด้วย
เวลาที่มันอยู่นิ่งๆ ก็ไม่มีใครดูออกเลยว่ามันคือสิ่งมีชีวิต…
ถึงแม้จะสังเกตดูอย่างละเอียด ก็ไม่มีทางดูออก
ทว่าหลิงม่อไม่รู้ว่าหลังจากวิวัฒนาการเสร็จมันจะยังเป็นอย่างนี้อยู่ไหม …
ไม่แน่เขาอาจต้องทำความเข้าใจใหม่อีกครั้งก็ได้…
โชคดีที่ตอนนี้หลิงม่อมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ประหลาดๆ แล้ว ดังนั้นเขาจึงเปิดกระเป๋าผ้าดูอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
แต่เพิ่งจะมองเข้าไปข้างน หลิงม่อก็ช็อกไปทันที
“เอ๊ะ? แล้วแมงกะพรุนล่ะ!”
หลิงม่อรีบยื่นมือเข้าไปล้วงในกระเป๋าผ้าทันที แต่ยิ่งล้วงสีหน้าของเขาก็ยิ่งดูตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
คงไม่ใช่ว่าหนีไปแล้วหรอกนะ?
เป็นไปไม่ได้…ถึงอย่างไรก็เป็นกระเป๋าเป้ที่เขาสะพายเอง มันจะหนีไปได้ง่ายๆ ขนาดนั้นได้ยังไงกัน…
ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งวิวัฒนาการขึ้นมา จะรู้จักการหลบหนีได้อย่างไร…
“เอ๋?”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ มือของหลิงม่อก็สัมผัสโดนวัตถุที่ยืดหยุ่นมาก
แต่พอเขายื่นมือไปจับ เจ้าสิ่งนั้นก็หายไปแล้ว
แต่หลิงม่อกลับเข้าใจแล้ว เจ้าแมงกะพรุนอยู่ในนี้ แต่ดูเหมือน…มันเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นมาก!
หลิงม่อประหลาดใจมาก แต่ก็ดีใจมากด้วยเช่นกัน!
ตอนที่แมงกะพรุนเพิ่งเริ่มใช้เส้นหนวดวิ่งไปวิ่งมา แค่ซอมบี้ธรรมดาตัวหนึ่งยกเท้าขึ้นเหยียบก็เหยียบโดนอย่างง่ายดายแล้ว
และเจ้า “วิกผม” ที่มันกลืนกินเข้าไปปกติจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า มีเพียงตอนระเบิดพลังในพริบตาเท่านั้นที่จะเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น
ความจริงหากไม่ใช่เพราะอย่างนี้ เจ้า “วิกผม” ก็คงไม่ต้องเสียเวลาทำตัวเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์แล้ว และยิ่งไม่ต้องถูกหลิงม่อฆ่าตายด้วย…
แต่คิดไม่ถึงว่าแมงกะพรุนจะสามารถวิวัฒนาการความเร็วในการเคลื่อนที่และความสามารถในการโฉบหลบขึ้นมาได้จากสิ่งนั้น…
หลิงม่อลองไล่จับมันดูหลายครั้งติดๆ กัน แต่ก็จับเจ้าแมงกะพรุนไม่ได้ซักครั้ง เขากำลังคิดจะกลับด้านในกระเป๋าออกมา แต่จู่ๆ กลับคิดวิธีดีๆ ออก
หนวดสัมผัสทางจิตเส้นหนึ่งถูกแผ่ออกมาเงียบๆ จากนั้นก็แกว่งไปแกว่งมาอยู่บนปากกระเป๋าผ้าเหมือนเหยื่อตกปลา
“เคยตกปลามาแล้ว แต่ไม่เคยตกแมงกะพรุนเลยซักครั้ง…”
“สวบ!”
ทันใดนั้น เงาสีแดงเลือดเงาหนึ่งพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่มันกลับถูกหลิงม่อจับไว้ได้ก่อน
เสี้ยววินาทีที่มันสัมผัสโดนหนวดสัมผัส หลิงม่อก็รับรู้ได้ทันที
ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย แต่หลิงม่อมีการตอบสนองทางจิตที่รวดเร็ว จะจับมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ทว่าพอได้มองเห็นเจ้าแมงกะพรุนในมือชัดๆ หลิงม่อก็ต้องอึ้งไปอีกครั้ง
แมงกะพรุนสีแดงตัวนี้กำลังพยายามบิดม้วนตัวเพื่อหนีออกจากฝ่ามือของหลิงม่อ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็นสำคัญคือ…
“ทำไมแกตัวเล็กลงขนาดนี้!”
—————————————————————————–
บทที่ 719 ต้องพูดตรงขนาดนั้นเลยหรอ
โดย
Ink Stone_Fantasy
สิ่งที่ไม่เหมือนเฮยซือคือ การหดตัวของแมงกะพรุนไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
ขนาดตัวของมันเล็กลงถึง 2 ใน 3 จากตอนแรก
ขนาดเล็กเท่านี้ ถึงแม้จะยัดเข้าไปในกระเป๋าก็ไม่มีใครดูออกแน่นอน
นอกเหนือจากนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของเจ้าแมงกะพรุนคือผิวของมัน
เมื่อก่อนมันเป็นสีใสปลอดโปร่ง แต่ตอนนี้กลับมีสีแดงโลหิตชวนมองส่องประกายออกมาจากด้านใน ราวกับแค่บีบเบาๆ เลือดก็จะไหลออกมาจากตัวมันอย่างไรอย่างนั้น
“ดูจากสภาพ เหมือนมันยังดูดกลืนไม่หมดสินะ…”
ก็จริง ด้วยขนาดตัวของมัน การจะย่อยสลายเลือดมากมายขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หลังจากสำรวจดูหนึ่งรอบ หลิงม่อก็ตัดสินได้ว่า แมงกะพรุนไม่ได้มีอวัยวะย่อยอาหารแยกออกมาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการดูดกลืนเลือกหรือพลังงานทางจิต ล้วนอาศัยร่างกายของมันในการย่อย
ทว่าดูดกลืนเลือดนั้นหลิงม่อยังพอเข้าใจ แต่พลังจิตจะมีประโยชน์อะไรกับเจ้าแมงกะพรุนล่ะ?
“ช่างเถอะ ให้อาหารแกก่อนแล้วกัน…เอ๋?”
หนวดสัมผัสสีเลือดเส้นนั้นเพิ่งจะถูกแมงกะพรุนกลืนกินไปได้นิดเดียว แต่หลิงม่อกลับมองเห็นบางสิ่งที่เหนือความคาดหมาย
ภายในร่างกายของมันกำลังเรืองแสงสีแดงออกมาเหมือนกับแมงกะพรุนจริงๆ ยิ่งเมื่อแสงนั้นส่องสะท้อนออกมาจากผิวกายสีแดงโลหิต มันก็ยิ่งดูงดงามมากขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงม่อประหลาดใจจริงๆ ก็คือร่างกายของมันที่กำลังพองขึ้นเรื่อยๆ…
เหมือนกับลูกโป่งที่ดูเหมือนจะเล็กมาก แต่พอเป่าแล้วกลับพบว่ามันสามารถจุลมได้เยอะมาก
“น่าสนใจมาก ลักษณะเด่นที่วิวัฒนาการขึ้นเพื่อกลายเป็นราชากระเพาะใหญ่งั้นหรอ…ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเพิ่งเริ่มวิวัฒนาการด้านนี้หลังจากที่อยู่กับฉันสินะ…” หลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็แผ่หนวดสัมผัสออกมาอีกเส้น
ขอเพียงไม่ทำให้ดวงแสงแห่งจิตได้รับบาดเจ็บ พลังงานทางจิตเหล่านี้แม้ใช้ไปแล้วก็ยังสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ หลิงม่อจึงไม่ค่อยใส่ใจนัก
ความจริงเรื่องนี้ก็เหมือนกับผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ที่ขอเพียงร่างกายไม่บาดเจ็บ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าขนาดไหนก็ยังฟื้นกำลังกลับมาได้
เจ้าแมงกะพรุนกินหนวดสัมผัสไปสองเส้นติดกัน ตอนนี้ร่างกายของมันจุพลังงานทางจิตไว้ไม่น้อยแล้ว มันดูเหมือนโคมไฟใหญ่ๆ ดวงหนึ่งที่กำลังส่องแสงสีแดงสว่างไสว
ร่างกายของมันเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าจนพองโตและกลมดิ๊ก แต่ก็ยังคงมีขนาดตัวเล็กกว่าเมื่อก่อนมาก
ทว่าความเร็วในการดูดกลืนของมันไม่ได้เร็วมากนัก พลังงานทางจิตส่วนมากเพียงถูกกักเก็บไว้ในร่างกายของมัน
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงม่อผิดคาดคือ มันกลับมีความสามารถที่ทำให้พลังงานทางจิตหดตัวได้ด้วย
หลังจากพองโตขึ้น ร่างกายของมันก็ค่อยๆ หดเล็กลงอีกครั้ง แต่พลังงานทางจิตเหล่านั้นยังคงถูกกักเก็บไว้ในร่างกายของมัน เพียงแต่ตัวมันสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายมันก็กลายเป็นเหมือนลูกบอลสีเพลิงไปแล้ว
ทว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่ผู้มีพลังจิตเท่านั้นที่จะมองเห็นได้ หากเป็นคนอื่น คงเห็นมันเป็นเหมือนแค่ลูกโป่งเท่านั้น
เดิมหลิงม่อนึกว่าเมื่อมันไม่อาจดูดกลืนพลังงานทางจิตเหล่านั้นได้ ไม่นานมันก็จะสลายหายไป แต่คิดไม่ถึงว่าขนาดผ่านไป 10 นาทีเต็มแล้ว พลังงานทางจิตเหล่านั้นกลับยังอยู่ในร่างกายของมันเหมือนเดิม
“ไม่ล้นออกมาด้วยแฮะ…ที่ผ่านมาเขานึกว่ามีแค่ดวงแสงแห่งจิตเท่านั้นที่สามารถใช้บรรจุพลังจิตได้ เหมือนกับที่เรี่ยวแรงที่สามารถอยู่ได้แค่ในร่างกายเท่านั้น…แต่รูปร่างหลังวิวัฒนาการของมัน กลับเหมือนกับดวงแสงแห่งจิตที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เดาว่าที่มันดูดกลืนเลือดและเชื้อไวรัวเข้าไปก็เพื่ออย่างนี้สินะ…” หลิงม่อยิ่งมองก็ยิ่งสนใจ เขาครุ่นคิด แล้วจู่ก็ยกนิ้วขึ้นจิ้มตัวเจ้าแมงกะพรุนหนึ่งที
“จึ๊ก!”
พลังงานทางจิตบางส่วนทะลักออกมา และสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“คายออกมาได้จริงๆ ด้วย…” หลิงม่อนึกสนุกขึ้นมา จึงบีบตัวเจ้าแมงกะพรุนเพื่อปล่อยพลังงานทางจิตทั้งหมดออกมา
“หากกำหนดให้พลังงานทางจิตที่ให้มันกลืนกินเท่ากับ 10 ส่วนล่ะก็ มันกลืนกินได้มากสุดไม่ถึง 1 ส่วนด้วยซ้ำ ดูจากสภาวะของมันในตอนนี้ ถึงจะเพิ่มจาก 10 ส่วนเป็น100 ส่วน มันก็จะดูดกลืนทันทีเพียง 1 ส่วนเท่านั้น…”
“ดวงตาของหลิงม่อเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวเล็กนี่…เป็นคลังเก็บพลังจิตชั้นยอดเลย!
เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยรูปร่างของมันในตอนนี้ จะสามารถกักเก็บพลังจิตได้มากน้อยเท่าไหร่!
หลังจากไม่มียากเพิ่มพลังจิต หลิงม่อก็รู้สึกไม่สะดวกสบายมาโดยตลอด
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ตอนที่อยู่ในอำเภอซินหลานและเมืองชุ่ยเหอ เขาคงไม่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายติดๆ กันหลายครั้งแล้ว
สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ สิ่งที่อันตรายที่สุดคือการที่ต้องต่อสู้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยอันตรายทุกหนแห่ง การต่อสู้ก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ยากจะเลี่ยงได้
ความเร็วในการฟื้นตัวของมนุษย์จากการเผาผลาญพลังงานและความเหน็ดเหนื่อยระหว่างต่อสู้ ช้ากว่าซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์หลายเท่า
ไม่ว่าจะมีพลังจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่หากเรี่ยวแรงและพลังจิตถูกใช้ไปจนหมด คนคนนั้นก็จะอ่อนแอยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก
ถึงแม้หลิงม่อจะมีสาวๆ ซอมบี้คอยช่วยเหลือ ศักยภาพร่างกายของเขาก็กำลังอัพเกรดอย่างต่อเนื่อง จนแทบจะเติมเต็มจุดอ่อนนี้ได้สมบูรณ์แล้ว แต่มันก็ยังคงไม่พอ
อย่างเช่นตอนที่เหล่าซอมบี้สาวอยู่ในระหว่างอัพเกรดและต้องการให้เขาปกป้อง เมื่อนั้นพลังต่อสู้เฉพาะตัวของเขาก็จะมีบทบาทสำคัญขึ้นมาทันที
หรืออย่างตอนที่ต้องแยกตัวออกเป็นสองกลุ่มในเมืองชุ่ยเหอ ถ้าหากเขาสามารถฟื้นพลังกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เขาก็คงไม่ต้องวางแผนหนีจากเงื้อมมือเจ้าหัวโตอย่างนั้น
หลิงม่อเริ่มรู้สึกได้รางๆ แล้วว่ายิ่งวิวัฒนาการของซอมบี้สูงขึ้นเท่าไหร่ ความอาฆาตมาดร้ายของซอมบี้ระดับสูงที่มีต่อพวกเดียวกันระดับสูงตัวอื่นก็ยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ก้อนเหนียวหนืดธรรมดาไม่อาจเติมเต็มความต้องการด้านวิวัฒนาการของพวกมันได้ ดังนั้นพวกมันจึงเปลี่ยนเหยื่อเป็นเหยื่อระดับสูงขึ้นไปอีก
เมื่อเป็นอย่างนี้ถึงแม้จำนวนซอมบี้ระดับสูงจะลดน้อยลง แต่ความจริงในฝูงซอมบี้ระดับล่างก็จะมีซอมบี้ระดับสูงตัวใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาอีกเรื่อยๆ
หากเทียบกับตอนที่เพิ่งเกิดภัยพิบัติ จำนวนโดยรวมของซอมบี้ถือว่าลดลงไปมากจริงๆ แต่จำนวนของมนุษย์กลับลดลงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า และกำลังดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเป็นอย่างนี้ สำหรับมนุษย์แล้ว ซอมบี้ก็ยังคงถือว่ามีเยอะมากอยู่ดี…
อีกอย่าง ซอมบี้ระดับที่สูงยิ่งกว่าก็กำลังปรากฏตัวขึ้นเรื่อยๆ
การแข่งขันอันดุเดือดท่ามกลางฝูงซอมบี้ ได้เร่งการถือกำเนิดขึ้นของซอมบี้กลายร่างและซอมบี้ระดับสูงมากมาย…
สถานการณ์อย่างนี้สำหรับหลิงม่อที่เป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ยิ่งสำหรับพวกเย่เลี่ยนยิ่งไม่ใช่เรื่องดี
นอกจากว่าจะคอยเก็บซ่อนกลิ่นอายอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นหากตัวตนซอมบี้ระดับสูงของพวกเธอถูกเปิดเผยในระหว่างที่อยู่ในเมืองอย่างนี้ ไม่แน่ว่าพวกเธออาจถูกซอมบี้สัตว์ป่าระดับสูงไล่ล่าอีกครั้งก็เป็นได้
เมืองชุ่ยเหอเป็นกรณีพิเศษ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าที่อื่นจะไม่มีซอมบี้ราชา หรือซอมบี้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอยู่
บางทีที่อื่นอาจจะยังมีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อย่างเจ้า “วิกผม” อยู่ด้วยก็ได้!
“เมื่อเจอสถานการณ์ลำบาก แมงกะพรุนที่สามารถกักเก็บพลังจิตตัวหนึ่งสามารถช่วยชีวิตในยามคับขันได้เลยทีเดียว ถ้าอย่างนั้นพลังจิต 1 ส่วนนั่นก็ถือเป็นค่าตอบแทนแล้วกัน การจะสร้างหนวดสัมผัสที่บางและเล็กที่สุดขึ้นมาได้ ต้องใช้พลังจิตมากกว่า 5 เท่า ดังนั้นก็ยังถือว่าคุ้มค่าอยู่…” หลิงม่อคิดอย่างพึงพอใจ
หนวดสัมผัสทางจิตใช้พลังน้อยกว่าหนวดสัมผัสรูปสสารหลายเท่า ความจริงพลังจิตที่หลิงม่อถ่ายเทให้เจ้าแมงกะพรุนเมื่อกี้ยังไม่มากพอที่จะสร้างหนวดสัมผัสรูปสสารเส้นหนึ่งขึ้นมาได้ ทว่าถึงแม้ตอนนี้ปริมาณในการกักเก็บพลังงานของเจ้าแมงกะพรุนจะยังไม่มากนักก็ไม่เป็นไร หากวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ ปริมาณกักเก็บของมันก็คงเพิ่มขึ้นเอง แน่นอนว่าต้องเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นด้วย
ถ้าหากบวกรวมกับยาฟื้นพลังตัวใหม่ ความสามารถในการสู้อย่างต่อเนื่องของหลิงม่อก็คงจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า
หลิงม่อยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น เขาแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมา เพื่อป้อนอาหารให้เจ้าแมงกะพรุนต่อ
เขาอยากรู้ว่าขีดจำกัดของเจ้าแมงกะพรุนอยู่ตรงไหน และพลังงานทางจิตที่กักเก็บไว้นี่ ก็จะเป็นหนึ่งในแผนรับมือที่เขาเตรียมพร้อมไว้ก่อนที่จะแฝงตัวเข้าไปในนิพพาน
บวกกับความสามารถในการกลืนกินพลังงานทางจิตของสิ่งมีชีวิตเป็นๆ ของเจ้าแมงกะพรุน ตัวมันจึงถือได้ว่าเป็นลูกระเบิดเล็กๆ ที่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง
“เมื่อเป็นอย่างนี้ แม้ว่าในนิพพานสำนักงานใหญ่จะอันตรายแค่ไหน เราก็ยังมีพลังป้องกันตัวเองที่แข็งแกร่งไม่แพ้กัน พอพวกเราเข้าไป นิพพานสำนักงานใหญ่จะต้องส่งคนไปที่เมืองตงหมิง…หรือร้ายสุดพวกเขาก็อาจส่งคนออกไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเวลาที่เหลือก็มีมากแล้ว” หลิงม่อสร้างหนวดสัมผัสรูปสสารขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พลางครุ่นคิดในใจไปด้วย…
………..
“คือว่า…พวกเธอเห็นด้วยกับการที่จะให้เขาเข้าไปกับมู่เฉินแค่สองคนจริงๆ หรอ?” สวี่ซูหานเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเย่เลี่ยน อีกฝ่ายที่เธอมองหน้าเวลาพูดคือซย่าน่า แต่ตัวเธอกลับยืนหลบอยู่ด้านหลังเย่เลี่ยน
ถึงแม้ตอนที่อยู่ในห้างฯ เธอจะเห็นฉากนองเลือดเวลาไม่ใช้ปืนเย่เลี่ยนแล้ว แต่ต้องบอกว่า ถึงแม้เธออาจเป็นซอมบี้ตัวที่แกร่งที่สุดในสามตัวนี้ แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาที่ดูเหม่อๆ ซื่อๆ ของเธอ สวี่ซูหานก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า เธอเป็นเพียงเด็กสาวมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ให้ความรู้สึกน่าใกล้ชิดกว่า
แต่ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินนั้นต่างออกไป พวกเธอสองคนมักทำให้สวี่ซูหานรู้สึกกังวลตลอดเวลา…
โดยเฉพาะซย่าน่า พอนึกถึงสิ่งที่เธอพูดในตอนนั้น สวี่ซูหานก็รู้สึกหนังศีรษะชา
ถึงจะรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดล้วนเป็นความจริง แต่…ต้องพูดตรงขนาดนั้นเลยหรอ…
“ก็ไหนบอกว่านิพพานสำนักงานใหญ่กำลังทำการวิจัยมาโดยตลอด? ถ้าพวกเราเข้าไปกลับจะยิ่งทำให้พี่หลิงห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะมัวแต่กลัวว่าตัวตนของพวกเราจะถูกเปิดเผยมากกว่า…”
ซย่าน่ากระพริบตาปริบๆ สวี่ซูหานเพียงรู้สึกภาพตรงหน้าเบลอไปชั่วขณะ แล้วจู่ๆ ซอมบี้สาวน้อยตัวนี้ก็มาโผล่อยู่ในจุดที่ห่างจากเธอไม่ถึง 10 เซนติเมตร
“นี่ เธอชอบพี่หลิงใช่ไหมล่ะ?”
—————————————————————————–
บทที่ 720 เครื่องกักเก็บพลังงาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
จู่ๆ ก็อยู่ใกล้กันขนาดนี้ สวี่ซูหานถึงกับเกร็งไปทั้งตัวทันที
ไม่รู้เป็นเพราะสายตาของตัวเองได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสหรือเปล่า สวี่ซูหานรู้สึกเหมือนแม้ในเวลาปกติ เธอก็ยังเห็นความแตกต่างเล็กๆ ของดวงตาทั้งสองข้างนั้นอยู่ดี
ดวงตาข้างหนึ่งดำลึกล้ำ ในขณะที่ดวงตาอีกข้างกำลังสะท้อนสีแดงอ่อนๆ อยู่
โดยเฉพาะความกระหายเลือดและความคลุ้มคลั่งของซอมบี้ ท่ะท้อนเลือนรางอยู่ในดวงตาสีแดงอ่อนๆ นั่น
ถึงแม้สัญชาตญาณของซอมบี้จะถูกกดข่มไว้แล้ว แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับร่างกายกลับไม่มีทางหายไปง่ายๆ
ทว่าถึงอย่างนั้น แค่ยากที่จะถูกแยกแยะออกในเวลาปกติ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ด้วยนิสัยส่วนตัวของซย่าน่า ก็ไม่มีใครกล้าขยับเข้ามาจ้องตาเธอใกล้ขนาดนี้อยู่แล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้สวี่ซูหานใจเต้นแรงจริงๆ กลับเป็นเสียงพูดเบาๆ นั่นของซย่าน่าที่เหมือนเธอมากระซิบอยู่ข้างหูสวี่ซูหาน
“เธอชอบพี่หลิงล่ะสิ?”
สวี่ซูหานนิ่งอึ้งไป 3 วินาที แล้วจึงค่อยโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “พูดอะไรน่ะ! จะเป็นไปได้ไงกัน! ฉัน…ฉันแค่กลัวว่าเขาจะทำล้มเหลว…ไม่ใช่ ฉันแค่ไม่อยากกลายเป็นซอมบี้เต็มตัว…เอาเป็นว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอพูดหรอก…”
ตอนแรกเธอพูดเสียงสูงเล็กน้อย แต่ยิ่งพูด เสียงของเธอก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ
ไม่ต้องส่องกระจก เธอก็รู้ว่าตัวเองกำลังหน้าแดงอยู่แน่นอน
ความรู้สึกร้อนผ่าวนั่น ทำให้เธออยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
ควรบอกว่าไม่เสียแรงที่เป็นซอมบี้ไหมนะ…ทั้งที่เป็นแฟนหลิงม่อแต่กลับถามคำถามประเภทนี้ออกมาได้ตรงขนาดนั้น…
แถมหลังจากถามเสร็จ เธอกลับจ้องสวี่ซูหานด้วยสายตาล้อเลียนสุดๆ อีกด้วย!
ถ้าแค่เธอคนเดียวก็แล้วไป แม้แต่หลี่ย่าหลินกับเย่เลี่ยนก็ยังเอาแต่จ้องหน้าเธออย่างสงสัยด้วย!
อุณหภูมิบนใบหน้าของสวี่ซูหานเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้เธอจะอธิบายไปแล้ว แต่การต้องอยู่ท่ามกลางวงล้อมสายตาของซอมบี้สาวสามตัว ขนาดตัวเธอยังรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองช่างฟังไม่ขึ้นเอาซะเลย!
“ฉันไม่ได้…”
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…” ในที่สุดซย่าน่าก็พยักหน้า
แต่เพิ่งจะถอนหายใจโล่งอกไม่นาน สวี่ซูหานก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏอยู่บนใบหน้าเด็กสาว
จิตใจที่เพิ่งจะสงบลงเมื่อกี้จึงเริ่มลนลานขึ้นมาอีกครั้ง…
สวี่ซูหานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองบานประตูห้องนอนที่อยู่ไม่ไกลบานนั้น หลิงม่อคงไม่คิดแบบนี้ด้วยหรอกนะ?
ถ้าหากเขารู้เข้า สวี่ซูหานคงจะแทรกแผ่นเดินหนีจริงๆ
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ถูกมู่เฉินที่ทำหน้าที่เฝ้ายามตรงหน้าต่างเห็นเข้าเต็มๆ ตอนนี้เขากำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้รำไร “เห็นฉันเป็นอากาศธาตุหรือไง…”
หมับ!
เจ้าแมงกะพรุนที่ขนาดตัวหดเล็กลงอีกครั้งถูกหลิงม่อรับไว้ในมือ สีหน้าของเขาซีดเผือด หน้าผากเต็มไปด้วยชั้นเหงื่อบางๆ แต่ท่าทางเขากลับดูค่อนข้างพึงพอใจ
กว่าจะรู้ว่าขีดจำกัดของเจ้าแมงกะพรุนอยู่ตรงไหน เขาก็ได้ถ่ายเทพลังจิตของตัวเองไปกักเก็บไว้ในร่างแมงกะพรุนถึง 1 ใน 3 ส่วนแล้ว
ทว่าหลังจากที่พลังจิตล้นออกมาเล็กน้อย มันก็รีบทำให้พลังงานทางจิตหดตัวอีกครั้ง
และเมื่อรูปร่างของมันกลับมาเป็นเหมือนเดิม พลังงานทางจิตในร่างกายของมันก็ได้ถูกบีบรัดจนถึงที่สุด และกลายเป็นเหมือนเปลวเพลิงเล็กๆ ที่กำลังเผาไหม้ด้วยความร้อนสูง
พลังงานกลุ่มนี้มีขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ แต่ถ้าหากนำมาแปลงเป็นหนวดสัมผัสรูปสสาร มันกลับสามารถสังหารซอมบี้ได้เป็นร้อยตัวเลยทีเดียว
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาอย่างหนึ่ง เมื่ออยู่ในการต่อสู้ที่แท้จริง อ้างอิงจากสถานการณ์ที่แตกต่างกัน พลังงานทางจิตที่หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งต้องใช้ก็ย่อมต้องแตกต่างกันไปด้วย
ถึงแม้อย่างนั้น มันก็มากพอที่จะบ่งบอกได้แล้วว่าพลังจิตที่ถูกกักเก็บไว้ในนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน
ถ้าหากสามารถนำสิ่งนี้มาใช้ในเวลาที่สูญเสียพลังจิตไปจนหมด สำหรับหลิงม่อก็เหมือนได้ชาร์จแบตฯ ให้ตัวเองอีกครั้ง
“เจ้าแมงกะพรุนดูดดกลืนพลังจิตจำนวนน้อยทุกวัน แต่ปริมาณพลังจิตเพียงเท่านี้ก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตที่พอรับได้ ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพดีกว่ายาฟื้นพลัง แต่จุดเสียคือไม่อาจเพิ่มพลังกายได้…ถือเป็นการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินไปก่อนแล้วกัน อย่างไรก็ต้องหายามาเพิ่มอยู่ดี” หลิงม่อคิดในใจ จากนั้นก็ยัดเจ้าแมงกะพรุนใส่กระเป๋าด้านในเสื้อตัวเอง และรูปซิปขึ้น
ถึงจะมีคนเห็น แต่ดูแค่ภายนอกก็ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต
แต่ถ้าหากเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก
ดังนั้นแทนที่จะเอามันเก็บไว้ในกระเป๋าเป้เพื่อเป็นเป้าล่อเหล่าผู้มีพลังจิต สู้เขาเอาเก็บไว้แนบกายจะดีกว่า…
เวลาเที่ยงวันของวันถัดมา ในที่สุดฝนก็หยุดตกแล้ว
แสงอาทิตย์เจิดจ้าแผ่ปกคลุมเมืองเฮยสุ่ย และในบ้านเรือนธรรมดาที่ดูไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อยหลังหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมวงกันอยู่ในนั้น
หลิงม่อกับมู่เฉินแบกกระเป๋าเป้คนละใบ บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบโคลนและรอยเลือด บวกกับสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ดูแวบแรกเหมือนคนที่เพิ่งมาถึงเมืองเฮยสุ่ยอย่างตรากระกำลำบากมากจริงๆ
โดยเฉพาะหลิงม่อ เขาจงใจสวมหมวกแก็ปเพื่อปิดบังดวงตาที่เป็นประกายลึกล้ำของตัวเองเกือบครึ่งส่วน นอกจากรูปร่างสูงโปร่ง ดูผิวเผินก็ไม่ต่างจากผู้รอดชีวิตธรรมดาเลย กระทั่งดูไม่น่ามีแรงคุกคามเท่ามู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยซ้ำ
มู่เฉินเหน็บมีดพกเล่มนั้นไว้ที่เอว ด้ามจับและตัวมีดที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรังดูน่ากลัวไม่น้อย
นี่ก็เป็นความคิดของหลิงม่อเช่นกัน หากไม่มีพลังความสามารถอยู่บ้าง ก็ไม่มีวันเดินทางจากเมืองตงหมิงมายังเมืองเฮยสุ่ยได้อย่างแน่นอน
ถ้าหากจะบอกว่าเดินอ้อมมาโดยใช้เส้นทางเล็กๆ พวกเขาก็เดินทางมาถึงเร็วไปหน่อย
ต้องทำให้มู่เฉินดูร้ายกาจขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนหลิงม่อนั้นปกปิดความสามารถของตัวเองไว้อย่างมิดชิด แสร้งปลอมเป็นผู้มีพลังจิตที่ขาดศักยภาพด้านร่างกายธรรมดาคนหนึ่ง
“ฉันไปแล้วนะ ถ้ามีเรื่องอะไรฉันจะส่งสัญญาณมาบอก” หลิงม่อพูดขึ้น
มู่เฉินมองหน้าเขาอย่างสงสัย แต่กำลังคิดจะอ้าปากถาม ก็ถูกซย่าน่าถลึงตาจ้องแรง
“บ้าจริง ฉันไม่ถามก็ได้ พอใจรึยังล่ะ…” มู่เฉินบ่นอย่างหงุดหงิด
แต่จะว่าไปแล้วอย่างไรหลิงม่อก็เป็นผู้มีพลังจิตนี่นา เขาอาจมีวิธีของเขาจริงๆ ก็ได้
พอคิดได้อย่างนี้เขาก็อุ่นใจขึ้นมาก ถ้าหากว่าพวกเขาสองคนผลีผลามเข้าไปในถ้ำเสือส่งเดช คงเป็นการท้าทายเกินไป…
สวี่ซูหานยืนอยู่ข้างหลังอย่างคนมีชนักติดหลัง ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าพวกหลิงม่อมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ช่วงที่ผ่านมา เธอเองก็เหมือนจะรู้สึกได้รางๆ ว่าพวกเขาอาจมีวิธีพิเศษที่ใช้ติดต่อกัน
แต่สิ่งที่เธอรู้มีน้อยเกินไป ทำให้คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
แต่ที่มั่นใจได้ก็คือวิธีนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับพลังจิตของหลิงม่อ เธอกระทั่งคิดไปถึงว่ามันจะเป็นวิธีประเภทสะกดจิตหรือเปล่า…
“แต่พวกเย่เลี่ยนก็ไม่เห็นเหมือนถูกสะกดจิตเลยนี่นา…หรือจะถูกล้างสมองกันนะ…อ๊ะ! หรือโดนวางยา? ไม่หรอกๆ…ถ้าอย่างนั้นบางทีอาจเป็น…”
ในขณะที่ความคิดของสวี่ซูหานเริ่มเบนไปในทิศทางที่ฟังดูบ้าขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ เธอกลับได้ยินเสียงหลิงม่อดังขึ้นมา
“สวี่ซูหาน หลายวันนี้เธอก็ทำใจให้สงบแล้วกันนะ ฉันเอายาให้ซย่าน่าไว้แล้ว ซย่าน่าจะเอายาให้เธอกินตรงเวลาเอง” หลิงม่อพูดพลางมองเธอ
สวี่ซูหานชะงัก เธอไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไรดี โดยเฉพาะเมื่อสายตาของพวกเย่เลี่ยนพุ่งเป้ามาทางเธออย่างพร้อมเพรียง
ความรู้สึกตอนนี้น่าอับอายยิ่งกว่าเมื่อวานหลายเท่า แต่ถูกหลิงม่อมองอยู่อย่างนี้ เธอจะยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อย่างนี้ต่อไปไม่ได้
“ฉัน…ฉันรู้แล้วล่ะ…” เสียงของสวี่ซูหานตอบกลับเบายิ่งกว่าเสียงมด
หลิงม่อมองหน้าเธออย่างนึกสงสัยเล็กน้อย พอเห็นท่าทางเธอเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงยื่นมือไปตบไหล่เธอเบาๆ แล้วบอกว่า “อย่ากังวล ฉันจะหาวิธีให้ได้เอง”
“อ๊ะ…” จู่ๆ ก็ถูกหลิงม่อแตะไหล่ในสถานการณ์อย่างนี้ ทำเอาสวี่ซูหานเกือบกระโดดโหยงขึ้นมา
เธอพยักหน้าอย่างตื่นๆ แต่ในใจกลับรู้สึกซาบซึ้ง “เข้าใจแล้ว…”
“จำไว้ว่าอย่าให้ถูกใครจับได้ ในเมืองเฮยสุ่ยนอกจากสมาชิกของนิพพาน เดาว่าคงไม่มีผู้รอดชีวิตคนอื่นแล้วล่ะ ถ้าหากถูกจับได้ก็จะแย่ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ…” หลิงม่อส่งยิ้มบางให้พวกเย่เลี่ยน
ความจริงเขาอยากสวมกอดพวกเธอแต่ละคนแน่นๆ ทว่าการแฝงตัวเข้าไปในครั้งนี้เขามีความมั่นใจสูงมาก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องร่ำลากันเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีก
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีสายสัมพันธ์ทางจิตอยู่ ถ้าหากจู่ๆ เขาทำตัวอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา กลับจะทำให้คนอื่นเป็นห่วงมาก
มู่เฉินเองก็ยืนด้วยความกังวลอยู่อีกฝั่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่มแรงกดดันให้เขาดีกว่า
“เดี๋ยวก่อน…” พอเห็นหลิงม่อหันหน้ากลับมา แล้วมองเธอด้วยสีหน้าซักถาม สวี่ซูหานก็พูดเสียงเบาขึ้นมาว่า “อย่า…อย่าฝืนเกินไป ถ้าทำไม่ได้…ก็ช่างมันไม่เป็นไร”
เห็นชัดว่าเธอต้องใช้ความกล้าขนาดไหนกว่าจะพูดออกมาได้ เพราะถึงอย่างไรความหมายของคำว่าช่างมันที่เธอหมายถึง ก็คือความหวังสุดท้ายที่เธอมีอยู่
แต่ถ้าหากไม่พูดตอนนี้ สวี่ซูหานก็จะรู้สึกไม่สบายใจมากอย่างนี้ต่อไป…
แต่เธอก็รู้ดีแก่ใจ ว่าหลิงม่อไม่ได้ทำเพื่อเธอคนเดียว…
“โอเค ฉันรู้แล้ว” หลิงม่อชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้ายิ้มบาง
“เธอพร้อมที่จะกลายเป็นซอมบี้จริงๆ แล้วหรอ?” ซย่าน่าโบกมือให้หลิงม่อไปพลาง หันมาพูดกับเธอไปพลาง
สวี่ซูหานเงยหน้ามองเธอ จากนั้นก็เขี่ยนิ้วมือไปมา
“ฉันเองก็ไม่รู้…”
เห็นแผ่นหลังของหลิงม่อและมู่เฉินเดินห่างออกไปเรื่อยๆ สวี่ซูหานบอกไม่ถูกว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่
รอให้หลิงม่อกลับมา เธอคงจะรู้เอง ว่าโชคชะตาของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป…
—————————————————————————–
บทที่ 721 เข้าถ้ำเสือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แสงแดดยามบ่ายแรงมาก ถนนหลวงถูกแดดส่องจนแห้งไปนานแล้ว ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นแปลกๆ ลอยคละคลุ้งเต็มไปหมด
“นี่มันกลิ่นอะไรเนี่ย?” มู่เฉินสูดหายใจ แล้วรีบยกมือปิดจมูกด้วยสีหน้าเบี้ยวบูด
“เชื้อไวรัส” หลิงม่อพูดลอยๆ
“เชี่ย…” มู่เฉินขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรใหญ่โตนัก
เชื้อไวรัสที่ยังไม่ผ่านการกลายพันธุ์ไม่สามารถติดเชื้อผ่านระบบทางเดินหายใจได้ ถึงแม้จะเป็นเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่เจ้า “วิกผม” หลั่งออกมาเอง ก็ยังต้องใช้เวลานานมากกว่าจะทำให้ร่างกายคนเกิดอาการติดเชื้อได้
และในเมือง การที่มีกลิ่นแปลกๆ หลังจากฝนตกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ศพบวมอืด เลือดมากมายที่ไหลรวมกับน้ำ เนื้อเน่าเฟะที่กระเด็นกระดอนออกมาจากซอกหลืบอาคาร แล้วยังมีเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบของเหลวประหลาดอีกมากมาย…
เมื่อถูกแสงแดดสาดส่อง ไม่ว่ากลิ่นอะไรก็ลอยคลุ้งขึ้นมาหมด
และสาเหตุที่ที่นี่มีกลิ่นฉุน ต้องเป็นเพราะนิพพานสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
แถวๆ นี้มีซอมบี้ไม่เยอะ เห็นได้ชัดว่าเคยผ่านการเคลียร์เส้นทางมาก่อนแล้ว แต่จำนวนซอมบี้ที่ตายในนิพพานสำนักงานใหญ่กลับไม่ใช่จำนวนที่น้อยอย่างแน่นอน
หลิงม่อทอดมองไปยังมหาลัยแพทย์ ด้านในรั้วล้อมเต็มไปด้วยพื้นชนิดต่างๆ กิ่งก้านหงิกงอบางส่วนแทรกตัวออกมาจากรอยแยกบนรั้ว ดูราวกับมือของศพแห้งกรังที่พยายามกระชากร่างคนที่เดินผ่านขึ้นไปบนรั้วอย่างไรอย่างนั้น หากมาเห็นเข้าในเวลากลางคืน คงจะต้องสะดุ้งตกใจเป็นแน่
สาเหตุที่พืชชนิดต่างๆ เจริญเติบโตจนมีรูปร่างอย่างนี้ เห็นชัดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ
ทันทีที่ฝนตก รากของพวกมันก็จะถูกแช่ในน้ำผสมเชื้อไวรัส ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเกิดการกลายพันธุ์…
“แม้แต่สถานที่อย่างฟอลคอน ปลูกพืชผักจะกินได้รึเปล่ายังไม่รู้ แต่ถ้าหากสามารถเติมท้องให้อิ่ม แล้วยังไม่ทำให้กลายพันธุ์ทันที เหล่าผู้รอดชีวิตก็น่าจะรับได้อยู่…” ความคิดหลิงม่อลอยไปไกลชั่วขณะ
“สถานที่อย่างนี้…คงยากที่พวกเราจะลงมือใช่ไหม?” จู่ๆ มู่เฉินก็ถามขึ้น
ความจริง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่มั่นใจว่านิพพานสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่จริงๆ แต่พอถึงตาพวกเย่เลี่ยนเฝ้ายาม ซย่าน่าก็บอกว่าเห็นคนเดินออกมาจากตรงนั้น
หลิงม่อไม่ถามอะไรมากความ วันที่สองก็ตัดสินใจแฝงตัวเข้ามาทันที
มู่เฉินเองก็หมดหนทางกับเรื่องนี้ เรื่องที่หลิงม่อตัดสินใจแล้ว ถึงเขาจะเสนอความคิดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
โชคดีที่ถึงแม้การตัดสินใจหลายๆ ครั้งของหลิงม่อจะเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ แต่สุดท้ายหลิงม่อก็ยังนำพาพวกเขาให้มีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้
แต่เมื่อมันเป็นเรื่องใหญ่อย่างการแฝงตัวเข้ามาในนิพพานสำนักงานใหญ่ อย่างไรมู่เฉินก็ยังคงอดกังวลใจไม่ได้
นี่มันนิพพานสำนักงานใหญ่เชียวนะ…เขาไม่เหมือนกับหลิงม่อ เขาเคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่มามาก จึงทำให้หวาดกลัวที่นี่มาก
“อืม ยากมาก” หลิงม่อพยักหน้า
แค่ดูจากแนวกันภัยห่ากระสุนด้านนอกก็รู้แล้วว่าการรักษาความปลอดภัยด้านในจะสูงขนาดไหน บวกกับทั้งสองเป็นผู้รอดชีวิต จึงเป็นที่สะดุดตาง่ายมาก แค่เคลื่อนไหวธรรมดาก็ยากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะทำอย่างอื่นเลย…
“เชี่ย…” นายก็ซื่อสัตย์เกินไปนะ! อ้อมค้อมหน่อยก็ได้!
มู่เฉินครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็พูดเสียงเบาขึ้นว่า “ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคน มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถามนายมาตลอด…”
“อย่าลีลา ถามตรงๆ เถอะ” หลิงม่อลอบถอยห่างเงียบๆ
อยากหลีกเลี่ยงการถูกก่อกวน ต้องอยู่ให้ห่างจากตัวตลก…
น่าเสียดายที่หลิงม่อต้องร่วมทางกับเขา เดาว่าเขาคงจะต้องก่อกวนไปตลอดทางแน่นอน
หลิงม่อเองก็ไม่คิดจะเข้าไปในนิพพานสำนักงานใหญ่ทันที อย่างไรก็เดินสำรวจบริเวณรอบๆ ก่อนดีกว่า
เพราะถึงอย่างไรการมองสถานที่ผ่านมุมมองสายตาของเสี่ยวป๋ายก็มีขีดจำกัด สู้มองด้วยตาตัวเองดีกว่า
“นายสนใจซอมบี้มากขนาดนี้เพราะอะไรกันแน่?” มู่เฉินขมวดคิ้วถาม “นายยืนกรานจะเข้าไปในนิพพานสาขาใหญ่ให้ได้ เรื่องช่วยสวี่ซูหานเป็นแค่หนึ่งในเหตุผลของนายใช่ไหมล่ะ?”
พูดจบ เขาก็ลอบสังเกตสีหน้าของหลิงม่อ พร้อมทำสายตาประมาณว่า “ฉันจับไต๋นายได้แล้ว”
หลิงม่อกลอกตาใส่เขา นายนี่มันเจ้าทึ่มปากมากจริงๆ เลย!
เห็นหลิงม่อเพียงเหลือบมองตัวเองด้วยหางตา และไม่คิดจะตอบคำถาม มู่เฉินก็หัวเราะคิกคัก “ฉันเดาถูกใช่ไหมล่ะ? แต่นายกำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่กันแน่? หรือว่าอยากได้พลังของซอมบี้เหมือนกับนิพพานสำนักงานใหญ่?”
เขาคิดไปคิดมา ก็มีแค่ความเป็นไปได้นี้เท่านั้น และนับตั้งแต่ที่เห็นหลิงม่อทำให้สวี่ซูหานประคองสติปัญญาไว้ได้ เขาก็มักรู้สึกว่าความจริงหลิงม่อมีความรู้ความเข้าใจต่อเชื้อไวรัสอย่างลึกซึ้งทีเดียว…
ถ้าหากเขาเองก็มีทฤษฎีความรู้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นการที่เขาจะสนใจการวิจัยของนิพพานสำนักงานใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“หุบปากเถอะน่า” หลิงม่อว่าเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ฮ่าฮ่า ถูกจับได้แล้วทำเป็นเคือง!” มู่เฉินหัวเราะชอบใจ
“เพิ่งหนีจากความยากลำบากมานายจะทำท่าทางดีใจอะไรนักหนัก แสร้งทำเป็นอมทุกข์หน่อยไม่ได้หรือไง” หลิงม่อบอก
“นายอย่าเรื่องมากน่า…โอ๊ยย เชี่ยย…หลิงม่อนาย…”
มู่เฉินกุมท้อง สีหน้าเหมือนเจ็บจุกสุดๆ
จางเหยียนโชคร้ายมาก เมื่อวานตากฝนมาทั้งวันแล้ว ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาก็ยังต้องมาเข้าเวร
ซอมบี้สุนัขที่ถูกล่ามโซ่คลานกับพื้นไปข้างหน้าช้าๆ แต่นั่นกลับทำให้เขาหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
มองดูต้นคอของเจ้าซอมบี้สุนัข จางเหยียนรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาอีกครั้ง
โซ่เหล็กเส้นนี้ผูกไว้กับคอของซอมบี้สุนัขโดยตรง ผิวหนังที่ถูกไฟฟ้าช็อตจนไหม้สมานตัวกันเรียบร้อยแล้ว แต่มันกับสมานเข้ากับโซ่เหล็กเส้นนี้ด้วย
มองแค่แวบเดียวยังรู้สึกเสียสายตาขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต้องมองอย่างนี้ไปตลอดเลย
“กลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว แต่ยังรูปร่างเหมือนคนอีก น่าเกลียดจริงๆ”
จางเหยียนเพิ่งจะบ่นพึมพำไม่กี่คำ จู่ๆ เจ้าซอมบี้สุนัขก็เงยหน้าขึ้น
มันจ้องมองไปข้างหน้า ปากที่ถูกเลาะฟันออกจนหมดเปล่งเสียงครางหงิงๆ เบาๆ
“อะไรอีกแล้ววะ!”
จางเหยียนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเต็มที่ แต่เขาก็ยังคงชักมีดสั้นออกมาแล้วตั้งท่าระวังตัว
ถึงแม้ภารกิจที่รับมาจะเป็นระดับล่างสุด แต่ร้ายดีอย่างไรเขาก็เป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ถ้าหากมีซอมบี้หลุดเข้ามา 1 – 2 ตัว เขาก็จัดการทิ้งได้ง่ายๆ
“เมื่อวานก็เอาแต่ดมอยู่ได้ วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม…”
จางเหยียนเพิ่งจะบ่นได้สองสามคำ จู่ๆ เจ้าซอมบี้สุนัขก็กระโจนออกไปข้างหน้าจนโซ่เหล็กเกือบหลุดจากมือของเขา
“เชี่ยย!”
จางเหยียนพยายามดึงซอมบี้สุนัขให้หยุด พร้อมกับกดปล่อยกระแสไฟสองครั้ง
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากที่ใกล้ๆ
“มีคน?”
แถวๆ นี้มีประตูข้างของมหาลัยแพทย์อยู่บานหนึ่ง บางครั้งสมาชิกของนิพพานมักจะเข้าออกโดยใช้ประตูบานนี้
ในเมื่อมีเสียงฝีเท้า ก็แสดงว่าต้องไม่ใช่ซอมบี้แน่นอน
จางเหยียนเก็บมีด แล้วกระชากซอมบี้สุนัขเดินเข้าไป
เพิ่งจะเดินเลี้ยว เขาก็มองเห็นเงาร่างของคนสองคนเดินเข้ามาจากที่ไกลๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ สองคนนั้นเพียงทอดมองไปทางมหาลัยแพทย์ แล้วก็เดินหน้าต่อไป เหมือนไม่ได้คิดจะเข้ามาทางประตูข้าง
“เฮ้!”
จางเหยียนนึกสงสัยในใจ แต่ปากกลับตะโกนเรียกสองคนนั้นไว้ก่อน
ในเมื่อเป็นผู้รอดชีวิตที่ปรากฏตัวในเมืองเฮยสุ่ย ก็แสดงว่าต้องเป็นคนของนิพพานสาขาใหญ่แน่นอน จางเหยียนปักใจเชื่ออย่างนั้น
เพียงแต่สภาพของสองคนนั้นดูค่อนข้างงย่ำแย่ ฝีเท้าก็ดูหนักอึ้ง แล้วยังเนื้อตัวสกปรกมอมแมมอีก
กระเป๋าเป้ของพวกเขาไม่ได้ตุงมาก ดูไม่เหมือนคนที่ออกไปทำภารกิจ
ทั้งสองคนชะงักหยุดพร้อมกัน จากนั้นก็หันมามองทางจางเหยียน
จางเหยียนจูงซอมบี้สุนัขเดินออกมาจากพุ่มหญ้า “ทางนี้!”
“มีคนอยู่…”
“หรือว่าหาเจอแล้ว?”
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สองคนนั้นกลับผงะถอยไปสองก้าว
จางเหยียนได้ยินสองคนนั้นคุยกันแว่วๆ แล้วนึกโมโหขึ้นมา
บ้าชิบ เห็นฉันเป็นอากาศรึไงล่ะ!
ทว่าถ้าหากสองคนนี้ออกไปทำภารกิจค้นหาทรัพยากร ก็แสดงว่าระดับสมาชิกสูงกว่าเขา…
พอคิดถึงตรงนี้ จางเหยียนก็เปลี่ยนสีหน้าทันที “ฉันชื่อจางเหยียนเป็นสมาชิกระดับห้า รทำหน้าที่เดินลาดตระเวน ทางนี้ใกล้กว่านะ พวกนายสองคนจะเข้าทางประตูใหญ่หรือไง?”
น้ำเสียงเขาไม่ได้แสดงออกถึงความเกรงอกเกรงใจมากนัก แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาเกรงใจแล้ว
เจ้าซอมบี้สุนัขดิ้นพล่านสุดแรง แค่ดึงมันไว้เขาก็ต้องใช้แรงเยอะมากแล้ว
“นั่นตัวอะไรน่ะ?” หลิงม่อแสร้งตกใจ แต่มู่เฉินกลับตะลึงไปจริงๆ แล้วหันมาถามหลิงม่อเสียงเบา
“ตัวทดลองมั้ง น่าจะเหมือนกับหมายเลข 1” หลิงม่อเห็นเจ้าซอมบี้สุนัขมีปฏิกิริยารุนแรง ในใจก็ลอบลนลานไปด้วย
ดูเหมือนจะมีแต่เสี่ยวป๋ายเท่านั้นที่จะรอดพ้นจากจมูกของเจ้าซอมบี้สุนัขไปได้…
เขาสัมผัสได้ว่าเจ้าซอมบี้สุนัขกำลังจ้องตัวเองอยู่ เห็นได้ชัดว่ากลิ่นเฉพาะตัวของเขาทำให้มันกคลุ้มคลั่ง…
“โว๊ยย น่ารำคาญจริง…” จางเหยียนช็อตไฟใส่ซอมบี้สุนัขอีกครั้ง มันกรีดร้องเจ็บปวด สุดท้ายก็หมดแรงหมอบลงกับพื้น แต่ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่หลิงม่ออย่างไม่ยอมละสายตาออกไป
ท่าทางของหลิงม่อและมู่เฉินอาจดูเหมือนประหลาดใจกับการปรากฏตัวของจางเหยียน แต่ความจริงหลิงม่อสำรวจพบก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เดินมาทางนี้
ผลีผลามเข้ามาในมหาลัยแพทย์ อาจถูกสงสัยได้ แต่ถ้าหากใช้พลังสำรวจตามหาเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนก่อน ทุกอย่างก็จะดูแนบเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้น
“นี่ พวกนายสองคนเป็นใบ้รึไง?” จางเหยียนลอบหงุดหงิด รู้อย่างนี้ไม่น่าสนใจพวกนั้นตั้งแต่แรกเลย…
“คือว่า…ขอถามหน่อยนะ นายเป็นสมาชิกของนิพพานสำนักงานใหญ่หรือเปล่า?” มู่เฉินถูกหลิงม่อถลึงตามองแรง จึงทำได้เพียงก้าวออกไปแล้วเปิดปากถาม
พอหลุดคำถามนี้ออกไป ขนาดตัวเขายังอยากตบตัวเองแรงๆ ซักป๊าบ ดูจงใจถามเกินไปแล้ว!
—————————————————————————–
บทที่ 722 ตกอกตกใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยมีประสบการณ์ในการแสดงละครมาแล้ว แต่นับตั้งแต่ที่ถูกหลิงม่อตลบหลัง มู่เฉินก็ค่อนข้างฝังใจกับเรื่องนี้!
ทว่าแววตาเลิ่กลั่กของเขากลับเหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้พอดี เพราะถึงอย่างไรเจ้าซอมบี้สุนัขก็ดูน่าแขยงอยู่เล็กน้อย
จางเหยียนกลับชะงักไปเล็กน้อย แล้วถามกลับว่า “แล้วพวกนายไม่ใช่คนของสำนักงานใหญ่หรอ?”
พอถามเสร็จ เขาเองก็อยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ ซักครั้ง
ชัดขนาดนี้ ยังจะต้องถามอีก!
เขากระชับมีดที่ตอนแรกเก็บเข้าที่ไปเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง จากนั้นก็มองหลิงม่อกับมู่เฉินอย่างระมัดระวัง “พวกนายมาจากไหน?”
ถ้ามาจากสาขาย่อย ก็ต้องมีคนนำทางมาถึงจะถูก…แต่สองคนนี้ท่าทางเหมือนเดินหลงเข้ามาชัดๆ
เมืองเฮยสุ่ยไม่ได้กว้างมาก จุดศูนย์กลางของเมืองก็มีแต่ซอมบี้เต็มไปหมด ถ้าหากต้องการเดินอ้อมรอบนอกเพื่อหลีกเลี่ยงซอมบี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมาถึงที่นี่ได้
แต่ผู้รอดชีวิตที่ไหนกัน มีเวลาว่างวิ่งไปทั่วอย่างนี้ได้…
“สำนักงานใหญ่จริงๆ ด้วย…คือว่า…พวกเราเป็นคนของสาขาย่อยเมืองตงหมิง ฉันชื่อมู่เฉิน เป็นสมาชิกระดับสูงของสาขาเมืองตงหมิง สำนักงานใหญ่อาจมีบันทึกรายชื่ออยู่…” มู่เฉินรีบพูดขึ้น
ความจริงถึงแม้จะไม่มีบันทึกรายชื่อก็ไม่เป็นไร เพราะมู่เฉินเป็นสมาชิกระดับสูงของสาขาย่อยเมืองตงหมิง อย่างน้อยเขาก็รู้เรื่องของผู้รับผิดชอบดูแลสาขาอย่างอ้ายเฟิงดี
พอถึงเวลานั้นหากถูกตรวจสอบความถูกต้อง ก็ไม่ยากที่จะยืนยันตัวตนของเขา
จางเหยียนดูเหมือนจะตั้งตัวไม่ค่อยติด เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “สาขาย่อยเมืองตงหมิงมาทำอะไรที่นี่ท”
“คือว่านะ…เรื่องมันค่อนข้างใหญ่” มู่เฉินกันกลับไปมองมู่เฉิน จากนั้นก็หันกลับมาบอก
ไม่ใช่แค่เรื่องใหญ่ธรรมดา แต่เรื่องนี้จะต้องทำให้นิพพานสาขาใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่วแน่นอน
และเจ้าหนุ่มที่เดินตามหลังเขาอยู่ตอนนี้ ก็คือผู้สร้างวีรกรรมดังกล่าวขึ้นมา…
สิ่งที่ทำให้มู่เฉินเหนือคาดมากก็คือ ดวงตาลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ใต้ปีกหมวกคู่นั้น กลับดูสงบนิ่งและไม่สั่นไหวต่อสิ่งใด
แล้วพอนึกถึงสีหน้าท่าทางเมื่อกี้ของเขา…
“เชี่ยย เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งเกินไปแล้ว!” มู่เฉินคิดอย่างโมโห ช่วยไม่ได้ ก็เขาอดนึกย้อนไปถึงตอนที่ถูกหมอนั่นตลบหลังไม่ได้นี่…
………..
“ทางนี้”
จางเหยียนที่นำทางอยู่ข้างหน้าหันกลับมาเหล่มองเป็นบางครั้ง ในใจก็นึกขำ
“เจ้างั่งสองตัว ตกใจกลัวซอมบี้สุนัขจนมีสภาพอย่างนี้…”
พอได้เห็นท่าทางของหลิงม่อและมู่เฉินที่พยายามรักษาระยะห่าง จางเหยียนก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
แม้แต่ซอมบี้สุนัขที่เขารังเกียจนักหนา ตอนนี้ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดขนาดนั้นแล้ว
ทว่านอกจากความย่ามใจ จางเหยียนกลับไม่สังเกตเห็นเลยว่า เจ้าซอมบี้สุนัขเองก็เอาแต่หันกลับไปจ้องหนึ่งในสองคนนั้นด้วยสายตาเขม็งตลอด…
“สัตว์ประหลาดตัวนั้นน่ากลัวชะมัด นายเห็นไหมมันเอาแต่จ้องฉันตลอดเลย?” มู่เฉินถามเสียงเบา
“อืม มันน่าจะชอบนายเข้าแล้วล่ะ” หลิงม่อยังคงทำสีหน้าจริงจังเหมือนเดิม แต่คำพูดของเขากลับทำให้มู่เฉินเกือบสะดุดล้มหน้าทิ่ม
“ชิบ! นั่นมันตัวผู้เหอะ!” ตอนแรกมู่เฉินยังคิดจะจิกกัดคืนซักสองสามคำ แต่พอนึกถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อคืน เขาก็อดถอนหายใจขึ้นมาไม่ได้
ไม่ยุติธรรมเลย…
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ พวกเขาได้เดินตามถนนหลักจนมาถึงด้านนอกรั้วเหล็กของสำนักงานใหญ่แล้ว
ระหว่างทางหากเดินผ่านอาคารก่อสร้างเมื่อไหร่ หลิงม่อก็จะใช้พลังสัมผัสรู้ถึงการมีอยู่ของซอมบี้ แต่สุดท้ายก็ไม่เจอเลย
ดูเหมือนตึกหมายเลข 1, 2, 3 นั่นคงไม่ได้หาเจอกันง่ายๆ เหมือนกันสินะ…
พอมีคนนำทาง เขาก็ไม่สามาถเดินไปดูตึกที่เสี่ยวป๋ายเจอเมื่อวานอีก
หลังจากเดินมาถึงบริเวณสนาม เขาจึงดึงความสนใจทั้งหมดกลับมา แล้วหันไปมองเจ้าซอมบี้สุนัข
สภาพดวงแสงแห่งจิตของเจ้าซอมบี้สุนัขตัวนี้ยุ่งเหยิงมาก ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าหมายเลข 1 เสียอีก
แต่ดูจากสภาพดวงแสงแห่งจิตอย่างเดียว อย่างมากเจ้าซอมบี้สุนัขก็อยู่ในระดับวิวัฒนาการของซอมบี้ธรรมดาเท่านั้น
หลิงม่อรู้ดีว่าหากไม่ฉวยโอกาสสำรวจให้ละเอียดตอนนี้ หลังจากเข้าไปในสำนักงานใหญ่ เขาก็ไม่อาจใช้พลังจิตส่งเดชได้อีกแล้ว
“รอเดี๋ยวล่ะ…” จางเหยียนพูดเรียบๆ จากนั้นก็จูงซอมบี้สุนัขเดินไป
ยามเฝ้าประตูสองคนนั้นถูกสับเปลี่ยนแล้ว พอเห็นเจ้าซอมบี้สุนัขเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาก็ขมวดคิ้วอย่างนึกรังเกียจ
ทั้งสามคนพูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นยามสองคนนั้นก็ชะโงกออกมาดูหลิงม่อกับมู่เฉิน
“มานี่เถอะ” จางเหยียนกวักมือเรียก
เจ้าหน้าที่เฝ้ายามคนหนึ่งเดินออกมาสองก้าว แล้วบอกว่า “กฎของที่นี่ ต้องถูกค้นตัวทุกครั้งที่เข้าออก”
ส่วนเจ้าหน้าที่ยามอีกคนก็เดินไปหยุดอยู่หลังปืนกล เห็นชัดว่าเตรียมพร้อมสาดกระสุนทุกเมื่อ
“ระบบป้องกันเข้มงวดมากตามคาด…” หลิงม่อคิดในใจ
แต่ค้นตัวก็ไม่เป็นไร เพราะตอนที่หลิงม่อกับมู่เฉินออกมาพวกเขาพกแค่ของจำเป็นเท่านั้น
“เอาอาวุธออกมาให้หมด อีกเดี๋ยวฉันจะเอาไปลงทะเบียนให้พวกนายเอง” เจ้าหน้าที่ยามที่บอกว่าจะค้นตัวไม่ได้รีบเข้ามาใกล้ แต่กลับรักษาระยะห่างไว้ก่อน
สำหรับคนแปลกหน้า พวกเขาแสดงออกถึงความระมัดระวังรอบคอบมาก…
ดูจากท่าทีของเจ้าหน้าที่ยามก็พอเดาสถานการณ์หลังจากเข้าไปข้างในออกแล้ว ทว่าหลิงม่อกับมู่เฉินกลับไม่ได้ประหลาดใจมากนัก
“เมื่ออยู่ในสำนักงานใหญ่ มีแค่เวลาที่ต้องออกไปทำภารกิจเท่านั้นถึงจะสามารถไปเอาอาวุธที่จุดลงทะเบียนได้” จางเหยียนช่วยไขข้อข้องใจ แต่จากน้ำเสียงของเขาฟังออกชัดเจนว่า เขาไม่ได้อยากช่วย เพียงแต่อยู่ว่างจนเบื่อมากกว่า
หลิงม่อดึงเหล็กเส้นสนิมเขรอะเส้นหนึ่งออกมา จากนั้นก็ยื่นให้เขา
มู่เฉินเองก็ยื่นมีดพกของตัวเองให้เจ้าหน้าที่ยาม เจ้าหน้าที่ยามมองทุกการกระทำของพวกเขาอย่างระมัดระวัง
หลังยึดอาวุธของทั้งสองคนเสร็จ เจ้าหน้าที่ยามก็ดูผ่อนคลายลงมาก
“เปิดกระเป๋า ยืนนิ่งๆ ห้ามขยับ” เจ้าหน้าที่ยามพูดขึ้นอีกครั้ง
“ทำอย่างกับตำรวจค้นตัวอย่างนั้นแหละ…” มู่เฉินเม้มปากอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
เจ้าหน้าที่ยามคนนั้นยกมือตบๆ ตามร่างกายของหลิงม่ออย่างระมัดระวัง แล้วจู่ๆ ก็หยุดมองที่เสื้อของเขา “ในกระเป๋ามีอะไรอยู่?”
มู่เฉินที่เพิ่งถูกค้นตัวเสร็จพลันตระหนกขึ้นมาทันที เขารู้ว่าหลิงม่อพกของอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ไม่แน่เขาอาจเอาอะไรที่ไม่ควรเอามาด้วย…
แต่คิดดูอีกทีหลิงม่อคงไม่ประมาทขนาดนั้น แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดีแหละน่า
สัญชาตญาณการอ่านสีหน้าของเจ้าหน้าที่ยามร้ายกาจมาก เขาเหลือบเห็นสีหน้าของมู่เฉินทันที เขาจึงชักปืนออกมาแล้วบอกว่า “เอาออกมา”
หลิงม่อรู้สึกเอือมเล็กน้อย เขาเคยรู้จักกับนายทหารอย่างโทมัสมาก่อน จึงไม่ค่อยรู้สึกแปลกใหม่กับพฤติกรรมและท่าทางของเจ้าหน้าที่ยามคนนี้นัก
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่ยามสองคนนี้ เป็นทหาร
“ลูกพี่ของที่นี่ใหญ่จริงๆ เอาทหารมาเฝ้าประตูก็ได้ด้วย…”
หลิงม่อคิด พลางล้วงเจ้าแมงกะพรุนออกมาอย่างสง่าผ่าเผย
เจ้าหน้าที่ยามมองด้วยความสงสัย แล้วยื่นมือออกไปหมายจะหยิบมาสำรวจดู
“จึ๊ก!”
หลิงม่อรีบบีบเจ้าแมงกะพรุนทันที เจ้าหน้าที่ยามเห็นหลิงม่อเคลื่อนไหว พลันเกร็งร่างกาย และชักปืนออกมาในแทบจะทันที
เจ้าหน้าที่ยามอีกคนก็รีบคร่อมปืนกล แล้วตะโกนเสียงดัง “ทำอะไรน่ะ!”
แม้แต่จางเหยียนก็ยังหัวใจเต้น “ตึกตัก” เขาถอยกรูดโดยอัตโนมัติ และเกือบปล่อยเจ้าซอมบี้สุนัขหลุดมือไปแล้ว
ทว่าผ่านไปหนึ่งวินาที พวกเขากลับเห็นหลิงม่อเพียงแบมือออก และเจ้าแมงกะพรุนก็ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ในฝ่ามือของเขาเหมือนเดิม
“ของเล่นชิ้นเล็กๆ เท่านั้น เป็นของแทนใจบางอย่างน่ะ” หลิงม่อพูดเสียงเรียบ
ตามคาด พอบอกว่าเป็นของแทนใจ เจ้าหน้าที่ยามที่ตอนแรกเบิกตากว้างก็ทำหน้าประมาณว่า “อย่างนี้นี่เอง”
ทว่าทั้งสามคนมีปฏิกิริยาใหญ่โตขนาดนั้น ผลปรากฏว่ากลับเป็นเพราะของเล่นชิ่นเล็กๆ ชิ้นเดียว ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาจึงดูเคอะเขินเล็กน้อย
หลิงม่อลอบขำในใจ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวนิพพานสำนักงานใหญ่อย่างรุนแรงขึ้นมาด้วย
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างสงบสุข พวกเขากลับสามารถทำให้คนเหล่านี้รักษาท่าทีระมัดระวังได้อย่างเคร่งครัดขนาดนี้ นี่เป็นผลพวงจากความสามารถของผู้นำอย่างแน่นอน
ความจริงมู่เฉินเองก็สะดุ้งด้วยเหมือนกัน ก็ช่วยไม่ได้ เขามักจะเห็นหลิงม่อขยับมือทีไรก็มักจะมีซอมบี้วิ่งตามมาเป็นฝูงอยู่บ่อยๆ
จนกระทั้งตอนที่หลิงม่อแบมือออก เขาจึงได้สติอีกครั้ง
หลิงม่อตั้งใจจะแฝงตัวเข้าไป ถ้าเขาฆ่าคนทันทีที่มาถึงจะเรียกว่าแฝงตัวไหมล่ะ…
“อะแฮ่ม…ถ้าอย่างนั้นพวกนายตามฉันมา” เจ้าหน้าที่ยามคนนั้นหน้าแดงเล็กน้อย ท่าทีของเขาดีขึ้นกว่าเมื่อกี้มากทีเดียว
จางเหยียนเองก็กระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน หลังจากมองหลิงม่อกับมู่เฉินแวบหนึ่ง ก็จูงซอมบี้สุนัขเดินจากไป
“หงิง หงิง~~~~…” เจ้าซอมบี้สุนัขตัวนั้นยังคงจ้องหลิงม่อและอ้าปากที่ไร้ฟันร้องครางเสียงแปลก แต่กลับถูกจางเหยียนกระชากให้เดินตามไปอย่างแรง
“ร้องหาพระแสงอะไรวะ!” จางเหยียนอารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว…
เจ้าหน้าที่ยามถืออาวุธของหลิงม่อกับมู่เฉินไว้ แล้วพาพวกเขาเดินลัดลานกว้างหน้าอาคาร
ขณะที่กำลังเดินผ่าน หลิงม่อก็รู้สึกได้ทันทีว่ากำลังมีสายตาสองสามคู่กำลังจ้องพวกเขาอยู่
ไม่ต้องเดาก็รู้ ปากปืนพวกนั้นแน่นอน…
ที่นี่มีสมาชิกใหม่น้อยมาก ยิ่งผู้รอดชีวิตอย่างหลิงม่อกับมู่เฉินที่ไม่ได้มาพร้อมกับสมาชิกเก่า ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
หลิงม่อกระทั่งรู้สึกเหมือนมีพลังงานทางจิตบางเบากลุ่มหนึ่งเฉียดผ่านร่างกายเขาไป แถมยังหยุดอยู่ที่ตัวเขาชั่วขณะอีกด้วย
นั่นทำให้เขาขมวดคิ้วเบาๆ การตรวจสแกนและค้นตัวประเภทนี้ ย่อมทำให้เขาซึ่งเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตเหมือนกันรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย
คนที่ตรวจสแกน ช่างไม่รู้จักเกรงกลัวสิ่งใด…
หลิงม่อลอบมองไปตามทิศที่พลังจิตสำรวจถูกสิ่งมาอย่างเงียบๆ แล้วเขาก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งทันที
—————————————————————————–
บทที่ 723 ใครใช้ให้พวกนายไม่มองฉัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หื้ม?”
ด้านหลังหน้าต่างของชั้น 3 เงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังจ้องลงไปที่ลานจัตตุรัสด้านล่าง
พอชายหนุ่มที่สวมหมวกแก็ปคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองกะทันหัน เงาร่างนี้ก็ชะงักไป
“ไม่ใช่มั้ง แป๊บเดียวก็หาฉันเจอแล้ว? ช่างเป็นพลังสัมผัสรู้ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ…”
แอบมองแล้วยังถูกเขาจับได้อีก เงาร่างรู้สึกอับอายเล็กน้อย จึงรีบหมุนตัวและเดินจากไป
“มีอะไรหรอ?” มู่เฉินเห็นหลิงม่อเงยหน้า จึงถาม พลางมองตามสายตาของเขาขึ้นไป
ทว่าตอนที่เขามองไปที่หน้าต่างบานนั้น ที่นั้นกลับว่างเปล่าไร้เงาคนแล้ว
“ไม่มีอะไร” หลิงม่อละสายตา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ผู้มีความสามารถพิเศษที่นี่มีเยอะมากจริงๆ พวกเราต้องระวังตัวให้มาก”
“นี่นายรู้ด้วยหรอว่าต้องระวังตัวน่ะ…” มู่เฉินพูดพลางกลอกตาขาว
เรื่องอย่างนี้หมอนี่กลับเพิ่งมาพูดเตือนเอาป่านนี้ นี่มันความรู้ทั่วไปที่ใครก็รู้อยู่แล้วเถอะ!
ยิ่งเข้าใกล้ประตูใหญ่ มู่เฉินก็ยิ่งตื่นตระหนก
ด้านหลังบานกระจกที่อยู่ข้างหน้านั่น มีเจ้าหน้าที่ยามยืนอยู่อีกตั้งสี่คน แต่ละคนมีทั้งปืนและระเบิดติดตัว
ถูกปากปืนดำๆ จ่ออย่างนี้ จะไม่ให้กดดันก็คงยาก
เขาแอบชำเลืองมองหลิงม่อ แล้วก็พบว่าหลิงม่อยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อกี้เลย
“ไหนบอกว่าต้องระวังไง! อย่างน้อยก็ช่วยกังวลให้ฉันเห็นหน่อยเซ่!”
มู่เฉินลอบด่าเขาว่า “หน้าตาย” ในใจ ขณะเดียวกันก็สูดหายใจลึกๆ
ใจเย็นไว้ ต้องใจเย็นไว้…
นับจากที่ก้าวเข้ามาในตาข่ายเหล็ก พวกเขาก็ไม่มีทางหันหลังกลับได้อีกต่อไป…
เขาก้าวขึ้นเรือโจรแล้ว แถมยังเป็นเรือโจรที่มีแต่รูโหล่เต็มไปหมดด้วย
นอกจากต้องจ้ำพายไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
เจ้าหน้าที่ยามที่นำทางอยู่ข้างหน้าได้ยินเสียงหายใจของมู่เฉิน ก็เหลือบมองเขาด้วยหางตา ขณะที่มุมปากกลับกระตุกยิ้มอย่างย่ามใจ
“สถานที่เล็กๆ อย่างสาขาย่อยเมืองตงหมิง ห่างชั้นกับสำนักงานใหญ่มาก แค่ระบบป้องกันอันแน่นหนาเท่านี้ ก็ทำให้พวกนั้นตกใจจนหน้าซีดแล้วสินะ…”
ทว่าคิดก็ส่วนคิด แต่เขากลับไม่ได้พูดออกมา
สำหรับคนที่เพิ่งตกใจของเล่นชิ้นเล็กๆ จนชักปืนออกมา ตอนนี้เขาไม่มีหน้าไปยืดอกโชว์ความภูมิใจกับใครจริงๆ…
“เจ้าหนุ่มที่ใส่หมวกนั่นดูร้ายกาจไม่เบา ตอนที่ถูกปืนจ่อไม่เห็นว่าสีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปเลย แต่ดูจากศักยภาพด้านร่างกายของเขาไม่น่าไหวนะ สายพลังจิต? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าแปลกแล้วล่ะ ก็ผู้มีพลังจิตมักจิตแข็งกันนี่…
เจ้าหน้าที่ยามคิดในใจ แต่ฝีเท้ากลับไม่ได้ช้าลง ไม่นานเขาก็พาหลิงม่อกับมู่เฉินเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่
หลังจากส่งมอบอาวุธให้เจ้าหน้าที่ยามหนึ่งในนั้นเสร็จ เจาก็แนะนำความเป็นมาของพวกเขาให้เจ้าหน้าที่ยามฟังคร่าวๆ จากนั้นก็กลับไปยืนประจำตำแหน่งของตัวเอง
ขณะที่เดินผ่านหลิงม่อ เจ้าหน้าที่ยามคนนี้กลับดึงหน้าเคร่งเครียดไม่เหล่มอง กระทั่งเร่งฝีเท้าเดินออกไปเร็วๆ ด้วยซ้ำ…
“ต้องขนาดนั้นไหม…” หลิงม่อลอบหัวเราะในใจ
“ตามฉันมา ฉันจะพาพวกนายไปลงทะเบียน” เจ้าหน้าที่ยามที่รับช่วงต่อเป็นชายวัยกลางคน ร่างกายของเขากำยำบึกบึน เสียงพูดแหบทุ้มน่าเกรงขาม
“เขาเป็นผู้มีความสามารถพิเสษด้านศักยภาพร่างกาย” มู่เฉินพูดเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
แค่เฝ้าประตู ถึงขนาดต้องใช้ผู้มีความสามารถพิเศษด้วยหรอเนี่ย…
สำนักงานใหญ่ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว…
ทว่าหลิงม่อกลับสังเกตเห็น เมื่อกี้ตอนที่เจ้าหน้าที่ยามคนแรกคุยกับชายวัยกลางคนอย่างสุภาพและค่อนข้างให้เกียร์ติ เดาว่าเขาน่าจะเป็นหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยอะไรทำนองนั้น
นิพพานสำนักงานใหญ่จุผู้มีความสามารถพิเศษรวมถึงเก็บซ่อนความลับไว้มากมายขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะลงทุนลงแรงกับเรื่องความปลอดภัยมากขนาดนี้
จัดสรรให้ผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งมานำทีมรักษาความปลอดภัย ไม่ถือเป็นการสิ้นเปลือง…
ชายวัยกลางคนคนนี้เดินนำหลิงม่อกับมู่เฉินเข้าไปในห้องโถงรับรอบ จากนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้า
หลิงม่ออาศัยการปิดบังจากหมวดแก็ป ลอบสังเกตสถานการณ์รอบข้างอย่างละเอียด
เป็นไปตามที่คาดไว้ ในห้องโถงรับรองยังมีเจ้าหน้าที่ยามอีกหลายคน สองในสี่ยืนเฝ้าโถงทางเดินเส้นหนึ่ง ส่วนอีกสองคนที่เหลือดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่เดินตรวจตรา
“ไม่รู้ว่าทางเดินเส้นนั้นทะลุไปที่ไหน…แต่การรักษาความปลอดภัยแน่นหนาขนาดนี้ จะต้องรับมือได้ยากมากแน่ๆ”
หลิงม่อคิดในใจ
มู่เฉินกลับตื่นตระหนกไปหมด สาขาย่อยเมืองตงหมิงถือว่าตั้งอยู่ในที่ที่ค่อนข้างลับตาคนเท่านั้น แต่เรื่องการรักษาความปลอดภัยกลับเทียบนิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ติดเลยแม้แต่น้อย
หากจะขโมยข้อมูลไปจากที่นี่ ก็ไม่ต่างอะไรจากยื่นมือไปดึงเขี้ยวราชสีห์เลย
แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินเข้ามาในปากราชสีห์เสียแล้ว ได้แต่ภาวนาว่าหลิงม่อจะมีแผนการที่รัดกุมมากพอ…
“นี่…” มู่เฉินชะลอฝีเท้าเล็กน้อย เพื่อเดินข้างหลิงม่อ เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “นายเห็นว่าไงบ้าง?”
“อะไรเห็นว่าไง?” หลิงม่อถามกลับ
มู่เฉินลนลาน “แล้วนายคิดว่าอะไรเล่า!”
เขาไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ แม้ชายวัยกลางคนจะเอาแต่จ้ำอ้าวไปข้างหน้า แต่ใครจะรู้ว่าเขามีความสามารถพิเศษอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
“เรื่องนั้น…รับมือไปตามสถานการณ์แล้วกัน” หลิงม่อตอบกำกวม
“ชะ…ชิบบ!” มู่เฉินสติหลุด ที่แท้เจ้านี่ไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น!
แต่คิดดูอีกทีมันก็ถูกของเขา อย่างไรก็ต้องเข้ามาสังเกตสภาพแวดล้อมก่อน ถึงจะสามารถวางแผนได้…
“เอาน่ะ นายใจเย็นหน่อย” หลิงม่อถอนหายใจ พลางพูดขึ้น
มู่เฉินก็รู้ตัวว่าตัวเองลนลานไปแล้วจริงๆ ในเมื่อไม่มีทางให้ถอยแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแสดงละครให้เนียนต่อไป เพื่อไม่ให้ถูกจับได้
จุดรับช่วงต่อที่ว่า ความจริงก็คือห้องทำงานขนาดใหญ่ห้องหนึ่งที่หันหน้าไปทางประตูใหญ่
เดาว่าเมื่อก่อนที่นี่คงจะเคยเป็นที่จ่ายค่าเทอมอะไรทำนองนั้น เพราะดูแวบแรกก็ไม่ต่างอะไรจากเคาน์เตอร์ในธนาคารเลย เพียงแต่ไม่มียานกระจกกั้นไว้เท่านั้น
เจ้าหน้าที่สองสามคนตรงจุดรับช่วงต่อกำลังยุ่งหัวหมุน แล้วยังมีสมาชิก 5 – 6 คนของนิพพานสำนักงานใหญ่ที่กำลังรวมกลุ่มกันอยู่ใกล้เคาน์เตอร์
นับตั้งแต่ที่หลิงม่อกับมู่เฉินเข้ามา คนพวกนั้นก็หันมามองพวกเขาเป็ฯตาเดียว
ทว่าสองคนในกลุ่มนั้นเพียงหันมามองแวบเดียวก็หันกลับไปแล้ว แต่อีกสามคนกลับเอาแต่มองพวกเขาหัวจรดเท้าอย่างไม่เกรงกลัวอะไร
ไม่ว่าใครหากถูกจ้องอย่างนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจทั้งนั้น โดยเฉพาะสายตาของหนึ่งในนั้น ทั้งเย็นชาโหดเหี้ยม จ้องจนทำเอาขนลุกไปทั้งตัว เหมือนโดนงูพิษจ้องอย่างไรอย่างนั้น
แต่เทียบกับซอมบี้ สายตาคู่นี้ยังอ่อนไปนิดหนึ่ง
อย่าว่าแต่หลิงม่อไม่มีปฏิกิริยาเลย แม้แต่มู่เฉินก็ยังไม่รู้สึกอะไรมาก
สายตาน่ากลัวของคุณผู้ชายท่านนี้ จะไปสู้ซย่าน่าได้ยังไงกัน…
พอรู้สึกตัวว่าถูกพวกเขาจ้อง หลิงม่อกับมู่เฉินก็หันไปมองพวกเขาแวบหนึ่ง
แต่พอเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่คิดจะเข้ามาคุยด้วย พวกเขาจึงเงียบ และเดินตามชายวัยกลางคนต่อไป
คุณลุงสายตาน่ากลัวคนนั้นกลับไม่แสดงสีหน้าอะไร แต่อีกสองคนที่เหลือกลับขมวดคิ้ว แล้วหันหน้ามองตามไป หญิงสาวหนึ่งในนั้นที่แต่งตัววับๆ แวบๆ พลันสะบัดเสียงอย่างไม่สบอารมณ์
เธอลดส้นรองเท้าหนาๆ ที่เขย่งขึ้นชะเง้อมองลงกับพื้น และเก็บต้นขาที่จงใจโชว์ให้เห็นกลับมา
“ทำเป็นมองไม่เห็นฉัน” หญิงสาวพึมพำ
ชายอีกคนชายตามองเธอผ่านๆ แล้วหัวเราะบอกว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหิวจนกินไม่เลือกนี่นา”
“นายอยากตายนักใช่ไหม!” หญิงสาวตะคอกเสียงแข็ง
“ก็ได้ๆ ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน ใครใช้ให้เธอทำตัวน่าเกลียดกันล่ะ…” ชายคนนั้นส่ายหน้า แล้วพูดเบาๆ ว่า “แต่สองคนนั้นเป็นใครกันนะ…”
“หลี่เสียง ลงทะเบียนให้พวกเขาหน่อย พวกเขามาจากสาขาย่อยเมืองตงหมิง”
ชายวัยกลางคนเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ แล้ววางอาวุธลงบนนั้น
“เคร้งคร้าง!”
เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้น ดึงดูดสายตาของผู้คนรอบข้างเข้ามาทันที สองคนนั้นก็ละสายตาจากตัวหลิงม่อและมู่เฉินไปมองบนเคาน์เตอร์
“ที่แท้ก็สาขาย่อยเมืองตงหมิง…”
“อ๋อ ที่นั่นเองหรอ…คราวที่แล้วมีคนบอกว่าที่นั่นจะถูกสั่งปิดแล้วไม่ใช่หรอ?”
ทว่าพอเห็นของที่อยู่บนนั้น หญิงสาวคนเดิมก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ได้ยินเสียงหัวเราะ หลิงม่อกับมู่เฉินก็รีบหันไปมอง
คนที่หัวเราะคือผู้หญิงอายุราว 27 – 28 ปี เส้นผมครึ่งหนึ่งของเธอถูกถักเปียเป็นเส้นเล็กๆ หลายเส้น อีกครึ่งที่เหลือปล่อยลงมาบดบังดวงตาข้างหนึ่งและดวงหน้าเล็กๆ ครึ่งหนึ่ง เธอทาลิปสติกสีเข้มจนเกือบดำ เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นเสื้อผ้ารัดรูปที่เปิดเผยให้เห็นสัดส่วนร่างกายไม่น้อย เมื่อกี้คนที่สะบัดเสียง ก็คือเธอ
ทว่าถึงแม้เมื่อกี้หลิงม่อจะมองเห็นเธอแล้ว แต่กลับไม่ได้สังเกตอะไรมาก ส่วนมู่เฉินก็ไม่มีเวลาสังเกตอะไรมากนัก เพราะกำลังเครียดบวกกับกังวลอยุ่
อย่าว่าแต่ผู้หญิงคนนี้ใส่เสื้อผ้าวับๆ แวมๆ เลย ถึงแม้จะไม่ใส่เสื้อผ้าซักชิ้น…เอ่อ ถ้าไม่ใส่เลยก็อาจจะมองซักนานสองนานล่ะนะ…มู่เฉินคิดในใจ
“น่าขำไปไหม สาขาย่อยใช้ของแบบนี้กันหรอ? เหล็กเส้นเนี่ยนะ…อาวุธดีๆ ซักชิ้นก็ยังไม่มี คือไม่กล้าออกไปหาหรือหาไม่ได้กันล่ะนั่น?”
หญิงสาวคนนั้นหัวเราะเสียดสีอย่างไม่ไว้หน้า คนอื่นๆ ถึงแม้ไม่มีใครสมทบ แต่ล้วนทำท่าทางเหมือนกำลังดูเรื่องสนุก
สีหน้าของมู่เฉินตึงขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้นานแล้วว่าคนในสำนักงานใหญ่มักดูถูกคนของสาขาย่อย แต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้หรือเปล่า…
หญิงสาวเห็นหลิงม่อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ซ้ำดวงตาใต้ปีกหมวกนั่นก็ยังกวาดมองเธอขึ้นลงผ่านๆ เธอก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันที
“ใช่ไหมล่ะ?” เธอถามคนข้างๆ
คนพวกนั้นไม่มีใครตอบ แต่กลับเผยรอยยิ้มหยันเบาๆ
—————————————————————————–
บทที่ 724 พนันกันหน่อยจะเป็นไรไป!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ลงทะเบียนกันเถอะ”
หลิงม่อขมวดคิ้วเบาๆ แต่กลับไม่สนใจผู้หญิงคนนั้นต่อ
จากที่เจ้าหน้าที่ยามเมื่อกี้บอก คนพวกนี้น่าจะมารอเบิกอาวุธเพื่อออกไปทำภารกิจที่นี่
พอพวกเขากลับมา ไม่แน่ว่ามู่เฉินกับตนเองอาจไปจากที่นี่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปมีเรื่องกับพวกเขา
พูดแล้วมีความสุขนัก ก็ปล่อยให้เธอพูดไปแล้วกัน…
ไม่คิดว่าการกระทำของหลิงม่อกลับเรียกเสียงผิวปากดังระงม ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวหัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “เหอหงเยี่ยน ไม่คิดว่าเธอจะมีวันที่ถูกใครเมินอย่างนี้ด้วย จุ๊จุ๊…” เขาพูด พลางเลื่อนสายตาไปมองต้นขาของเหอหงเยี่ยน เพื่อสื่อเป็นนัยให้เข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร
“เหอหงเยี่ยนชอบปั่นหัวผู้ชายเล่นนัก แล้วยังชอบหาเรื่องสมาชิกระดับล่าง ทั้งหมดนี้ฉันเคยเห็นมาแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าสองคนนั้นจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย…”
“เจ๋งง เหอหงเยี่ยนต้องโกรธจนอกแตกตายแน่ๆ…”
แม้แต่ชายเจ้าของสายตาเย็นชาก็ยังหันมา และมองหลิงม่ออย่างประหลาดใจเล็กน้อย
สมัยนี้ไม่ว่าใครต่างก็ดิ้นรนเอาชีวิตรอดบนความเป็นความตาย แม้จะเป็นสมาชิกของนิพพานก็ไม่เว้น
เมื่อความกดดันในการดิ้นรนเอาชีวิตรอดสะสมเป็นเวลานาน นิสัยใจคอของคนมากมายก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้ในนิพพานสำนักงานใหญ่มีกฎห้ามฆ่าคน แต่กลับมีเรื่องขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้เกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ
บางคนถึงขั้นจงใจหาเรื่องคนอื่น เพียงเพื่อปลดปล่อยความเครียดของตัวเองเท่านั้น
คนที่ความประพฤติดีหน่อยก็มีไม่น้อย แต่คนพวกนี้ถึงแม้ไม่ได้หาเรื่องคนอื่นด้วยตัวเอง แต่หากเจอเรื่องประเภทนี้พวกเขาก็จะเข้าไปมุงดูอย่างคึกคัก
ในคนกลุ่มนี้ มากกว่าครึ่งเป็นคนประเภทนั้น พวกเขาแสดงออกชัดว่าจะไม่เข้ามาร่วมด้วย แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาห้ามปรามแต่อย่างใด
ถ้าสองคนนั้นมีท่าทางเหมือนกลัวก็แล้วไป แต่เจ้าหนุ่มที่ใส่หมวกแก๊ปนั่นกลับทำหน้านิ่งๆ น้ำเสียงเรียบเฉยอย่างนั้น เห็นชัดว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย!
ส่วนผู้ชายอีกคน ถึงเขาจะจ้องเหอหงเยี่ยนอยู่ แต่เขาไม่ได้จ้องส่วนที่วับๆ แวมๆ ออกมานอกเสื้อผ้าอาภรณ์ของเธอแต่อย่างใด ตรงกันข้าม สีหน้าของเขากลับเหมือนไม่ชอบใจ…
“นายหุบปากไปเลยนะ” เหอหงเยี่ยนถลึงตาใส่สชายที่ยืนอยู่ข้างตัวเธอ พลางตวาดด่า
เธอเลียริมฝีปาก แล้วแสยะยิ้มมองไปทางหลิงม่อ “พวกนายนี่อวดดีมากนะ เพิ่งจะมาจากสาขาย่อยแท้ๆ คิดว่าพอได้เป็นคนของสำนักงานใหญ่แล้วจะยกหางชี้ขึ้นฟ้าได้งั้นหรอ? ไม่แน่อาจตายตั้งแต่ทำภารกิจครั้งแรกเลยก็ได้” เธอเบะปาก แล้วเหลือบมองหลิงม่อด้วยหางตา “ยังจะคิดว่าตัวเองดีเด่อะไรนักหนา”
หลิงม่อขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “แปลกคนจริงๆ”
ผู้หญิงคนนี้จงใจหาเรื่องก็แล้วไป แต่ถึงกับต้องใช้คำพูดร้ายกาจขนาดนี้ หลิงม่อเริ่มรู้สึกรำคาญใจขึ้นมา
มู่เฉินเองก็สีหน้าบึ้งตึง ในใจคิดว่า “อะไรของหล่อน ‘พวกนาย’ งั้นหรอ? ฉันยังไม่ได้พูดไม่ได้ทำอะไรเลยนะโว้ย!”
“นายว่าไงนะ?” เหอหงเยี่ยนเบิกตากว้าง หุนหันทำท่าจะเดินเข้ามา “อวดดีมาก อวดดีนักใช่ไหม! มาเดิมพันระดับผลงานกันไหมล่ะ?”
“มาแล้วๆ หล่อนชอบใช้ไม้นี้แหละ”
“เธอมีอาหลงอยู่ด้วย สองคนนั้นต้องแพ้แน่ๆ…”
เหล่าคนชอบมุงไม่สนใจอยู่แล้วว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตอย่างไร พอได้ยินเหอหงเยี่ยนท้าทาย ก็ต่างพากันตื่นเต้นขึ้นมา
“แต่สองคนนั้นคงไม่รับคำท้าหรอกมั้ง ยังไม่ทันได้เข้าร่วมสำนักงานใหญ่อย่างเป็นทางการเลยนี่”
“ตามกฎ สมาชิกใหม่ต้องออกไปทำภารกิจภายใน 3 วัน สิ่งที่เหอหงเยี่ยนหมายตา ต้องเป็นระดับผลงานแน่นอน”
หลิงม่อมองเหอหงเยี่ยนที่ทำท่าโกรธขึงขังเหมือนจะกินคน ขณะเดียวกันก็อาศัยความสามารถในการฟังที่ผ่านการอัพเกรดมาแล้ว แอบฟังเสียงถกเถียงกันของคนที่มุงดูอยู่รอบๆ
เดิมทีคนเหล่านี้เพียงแค่พูดเบาลงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลิงม่อได้ยินที่พวกเขาคุยกันอย่างชัดเจน ไม่เหมือนมู่เฉินที่ฟังออกแค่คร่าวๆ
“ว่าแล้วเชียว ที่แท้ก็จงใจสินะ…แต่ผู้หญิงคนนั้นก็คงชอบหาเรื่องอยู่แล้ว…” หลิงม่อทำหน้าเอือมระอาทันที พวกเขามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกพวกนี้อยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าสมาชิกของสำนักงานใหญ่จะเย่อหยิ่งและชอบอวดตัวขนาดนี้ ชายวันกลางคนคนนั้นเริ่มวางท่าตีตัวออกห่าง และไม่คิดจะเข้ามายุ่งตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“ดูท่า กระแสรังแกสมาชิกใหม่คงจะเป็นที่นิยมกันที่นี่สินะ…” หลิงม่อพอจะเข้าใจบรรยากาศในนิพพานสำนักงานใหญ่ระดับหนึ่ง สมาชิกเหล่านี้มีความสัมพันธ์แบบแข่งขันกันเองอยู่แล้ว แต่ดูจากกลุ่มของเหอหงเยี่ยน เหมือนพวกเขาจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องสู้เพียงลำพัง ในอีกด้าน นี่ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของคนที่นี่แย่มาก ถึงขนาดต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนจึงจะอยู่รอด
เพราะฉะนั้น ถึงจะไม่เจอเหอหงเยี่ยน อย่างไรก็ต้องมีคนเข้ามาหาเรื่องพวกหลิงม่ออยู่ดี
“ต้องออกไปทำภารกิจภายใน 3 วัน แต่หลังจากที่พวกเขารู้เรื่องของสาขาย่อยเมืองตงหมิงแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังให้เรากับมู่เฉิน…” หลิงม่อคิดในใจ
“ไม่กล้า?” เหอหงเยี่ยนทำหน้าดูแคลน “ถ้านายไม่กล้าก็ไม่เป็นไร แต่…”
เธอกำลังเตรียมสรรหาคำพูดร้ายกาจเพื่อพยายามกระตุ้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงม่อจะอ้าปากตัดบทเธอ “พวกเรารับคำท้า”
คำพูดเสียดสีของเหอหงเยี่ยนเพิ่งจะมาถึงริมฝีปากก็ต้องถูกกลืนลงไปทันที
เธออ้าปากค้างมองหลิงม่ออยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงเพิ่งได้สติ “อวดดีตามคาด ได้ ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันเมื่อถึงเวลานั้น มาเดิมพันกันว่าระดับภารกิจของใครจะสูงกว่า บอกพวกนายไว้ก่อน ภารกิจของพวกเราในครั้งนี้เป็นภารกิจระดับ A”
“โว้วว รับคำท้าแล้วจริงๆ…”
“ระดับ A! เจ้าสองคนนั้นแพ้แน่นอน”
หลิงม่อสีหน้าเรียบเฉย ผู้หญิงคนนี้ช่างทำให้คนรำคาญเก่งนัก ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็เอาแต่ว่าเขาว่าอวดดี
ระดับความสามารถในด้านการหาเรื่องคนอื่นของผู้หญิงคนนี้ สูงกว่าความสามารถในการแต่งตัววับๆ แวมๆ ของเธอหลายเท่า
หลิงม่อขี้เกียจถือสาเธอ สำหรับสมาชิกของนิพพานสำนักงานใหญ่เหล่านี้ ระดับผลงานหมายถึงระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัย แต่สำหรับหลิงม่อมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย…
พอเห็นหลิงม่อยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร คราวนี้ไม่ใช่แค่เหอหงเยี่ยนเท่านั้นที่เดือดดาล แม้แต่ชายเจ้าของสายตาเย็นชาก็ยังหันมามองหลิงม่อด้วย
“หึหึ นายคงไม่เข้าใจคุณค่าและความยากของระดับผลงานสินะ? บอกให้เอาบุญ ระดับผลงานไม่เพียงสามารถแลกได้ทุกอย่าง แต่ยังสามารถเอามาแลกระยะเวลาที่จะได้อยู่ในสำนักงานใหญ่ด้วย หรือแม้แต่แลกผู้หญิงก็ยังได้” สีหน้าของเหอหงเยี่ยนขณะพูดเรื่องเหล่านี้ดูเรียบเฉย กระทั่งแฝงแววเหยียดหยาม “ระดับความยากของภารกิจน่ะ ระดับ S พวกนายคงไม่ต้องฝันถึง เพราะแค่ระดับ A ก็ส่งพวกนายไปตายได้แล้ว”
คำก็ไปตาย สองคำก็ไปตาย หลิงม่อได้ยินก็เริ่มขมวดคิ้วแน่น
สีหน้าของมู่เฉินก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าหลิงม่อ ยัยนั่นเป็นโรคเจ้าหญิงชัดๆ คิดว่าคนอื่นต้องตามใจตัวเองทุกคนหรือไง…มีเจ้าหญิงที่ไหนแต่งตัวสไตล์ร็อคด้วยหรอ? (โรคเจ้าหญิง หรือ 公主病 เป็นคำแสลงจีน แปลว่าผู้หญิงที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตัวเองเหมือนเจ้าหญิง)
สำหรับเรื่องระดับผลงานและระดับภารกิจ หลิงม่อเคยเห็นในสมุดโน้ตที่ได้มาจากตอนนั้น แต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขามาก เขาจึงแค่อ่านผ่านๆ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ในนิพพานสำนักงานใหญ่คร่าวๆ เท่านั้น
“เธอยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เหอหงเยี่ยนสะอึกไปอีกครั้ง เธอกัดฟันกรอดมองดูหลิงม่อหันหลังกลับไป สายตาเธอฉายแววเคียดแค้น “ฉันจะรอดูว่านายจะตายอย่างไร”
ชายวัยกลางคนและเหล่าพนักงานที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ต้อนรับต่างพากันจ้องหลิงม่ออย่างผิดคาด จนกระทั่งหลิงม่อหันกลับมา พวกเขาก็ยังไม่ละสายตาออกไป
“ลงทะเบียนต่อได้แล้วใช่ไหม?” หลิงม่อมองชายวัยกลางคน แล้วถาม
“แน่นอน” ชายวัยกลางคนได้สติ แล้วพูดขึ้น “หลี่หยาง เอาแบบฟอร์มลงทะเบียนมา”
“อ้อ ได้ครับ” หลี่หยางนำอาวุธอัปลักษณ์สองชิ้นนั้นไปเก็บ แต่กลับอดเหลือบมองหลิงม่อไม่ได้
แม้แต่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังเหลือบมองมาเป็นพักๆ ถึงแม้หลิงม่อจะรับรู้ได้ แต่สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนไป
“อยู่ที่นี่แล้วไม่มีเรื่อง คงจะยาก! จะถอย ก็ยิ่งยาก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ สู้รับคำท้าไปเลยซะดีกว่า จะได้หลีกเลี่ยงคนมาก”
สภาพแวดล้อมอย่างนี้ส่งผลต่อแผนการของหลิงม่อมาก แต่ก็เหมือนกับที่หลิงม่อบอกก่อนหน้านี้ ในเมื่อมาแล้ว ก็คงทำได้แค่รับมือไปตามสถานการณ์เท่านั้น
“ทีมหลงเยี่ยน มารับของ” พนักงานต้อนรับอีกคนยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมา แล้วตะโกนเรียก
เหอหงเยี่ยนเดินเข้ามา พร้อมรูดซิปเปิด เผยให้เห็นกระบอกปืนและกระสุนสีเหลืองอร่ามสะดุดตาจำนวนหนึ่งในกระเป๋า
เธอเชิดคางขึ้น แล้วมองหลิงม่ออย่างท้าทาย จากนั้นก็กระชากกระเป๋าเดินกลับไป
หลิงม่อเหลือบมองตามเล็กน้อย และเห็นสามคนนั้นเดินไปด้วยกันตามคาด
“ที่แท้ก็ไม่ใช่แค่สามารถรวมกลุ่มกันได้ แต่ยังตั้งทีมตามชื่อได้ด้วย…” หลิงม่อครุ่นคิด
คนอื่นๆ พอเห็นว่าเรื่องสนุกผ่านพ้นไปแล้ว ต่างพากันเงียบลง ทว่ายังคงมีคนหันมามองหลิงม่อเป็นพักๆ
หลิงม่อมองข้ามสายตาเหล่านั้นไป แต่มู่เฉินกลับอดกังวลขึ้นมาไม่ได้
สถานการณ์อย่างนี้ ถือเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปสำหรับพวกเขา…
“ต้องรับภารกิจที่นี่ไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อคิด แล้วถามขึ้น
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า แล้วบอกว่า “รับที่ห้องโถงชั้นบน ทุกวันจะมีภารกิจถูกติดไว้ที่นั่น อยากรับภารกิจไหนก็ไปดูเองได้เลย”
เขาเหมือนไม่อยากพูดอะไรมากนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หลิงม่อลองนึกย้อนไป เขาจำได้ว่าวิธีการรับภารกิจของคนเหล่านี้แตกต่างจากสมาชิกธรรมดา
เมื่อไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน ท่าทีย่อมเมินเฉยต่อกัน
หลังจากได้แบบฟอร์มลงทะเบียนมา ชายวัยกลางคนก็ดันมาตรงหน้าหลิงม่อ แล้วหันไปมองมู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างหลัง “พวกนายกรอกซะ เสร็จแล้วฉันจะพาขึ้นไปข้างบน”
ปากบอกว่าเป็นแบบฟอร์มลงทะเบียน แต่ความจริงมันคือสมุดเล่มเล็กต่างหาก
ตรงหน้าปกมีช่องว่างให้เติมชื่อแซ่ แต่ในสถานที่อย่างนี้ เขียนฉายาลงไปแทนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
พอเปิดออกดู ข้างในเป็นเหมือนแบบฟอร์มประวัติส่วนตัว แต่ที่หลิงม่อแปลกใจก็คือ ตัวหนังสือเหล่านี้ล้วนถูกพิมพ์ขึ้นมา
“ไม่ธรรมดาจริงๆ…” หลิงม่อคิดในใจ พลางเลื่อนสายตาอ่านลงไปทีละบรรทัด
“อื่ม…สาขาที่จากมา…อายุ…เพศ…เอ๋ ความสามารถพิเศษ?”
พอเลื่อนอ่านมาถึงคำว่า “ความสามารถพิเศษ” สายตาของหลิงม่อก็ฉายแววแปลกไป
เขามองไปที่ชั้นวางหนังสือด้านหลังเคาน์เตอร์ เมื่อกี้ดูเหมือนแบบฟอร์มลงทะเบียนฉบับใหม่นี่จะมาจากตรงนั้น…
“แบบฟอร์มลงทะเบียนของทุกคนน่าจะอยู่ตรงนั้นสินะ ไม่รู้ว่าของสมาชิกกลุ่มวิจัยจะอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า…ถ้าหากรู้จักพวกนั้นก่อน โอกาสทำภารกิจสำเร็จน่าจะมีมากขึ้น…”
หลิงม่อคิด แล้วหันไปมองชายวัยกลางคน
“ที่นี่หันหน้าไปทางประตูใหญ่ เปอร์เซ็นต์ที่จะขโมยแบบฟอร์มลงทะเบียนสำเร็จมีน้อยเกินไป ดูท่าคงต้องสังเกตการณ์ไปอีกซักพัก”
เขามองมู่เฉิน แล้วเห็นว่ามู่เฉินเริ่มถือปากกากรอกแบบฟอร์มแล้ว
พอเห็นเขามองมา มู่เฉินก็รีบยกมือขึ้นบังอย่างตกใจ “อย่าแอบดูเซ่”
“ก็แค่ลายมือไก่เขี่ย…” หลิงม่อเหล่มองเขาหางตา จากนั้นก็ขีดเขียนตัวอักษรสองตัวใหญ่ๆ ไว้บนหน้าปกสมุด : หลิงเกอ
มู่เฉินชะโงกหน้าเข้ามาดูอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ปรากฏว่าเขาเกือบสำลักออกมา “เชี่ย…”
—————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น