อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 718-724

 ตอนที่ 718 หากคุณตาย ฉันจะติดตามไป (1)

โดย

Ink Stone_Romance

“ดูเหมือนว่าคุณไป๋จะจำได้แล้ว”


ไฟเรนเซ่มองเธอด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เรียกให้ไป๋ซู่เย่ขนลุกวาบ


คนคนนี้เธอเคยรู้จัก


สิบปีก่อนเย่เซียวเคยให้เธอดูรูปถ่ายของเธอ เธอในรูปเมื่อนั้นยังเป็นผู้หญิงที่เพิ่งแต่งงานคลอดลูก ไม่ได้ดูโทรมและมีอายุเท่าตอนนี้


 “คุณไฟ ถ้าคุณฆ่าเธอ เย่เซียวไม่ปล่อยคุณไว้แน่!”


 “เย่เซียว? ผมเป็นคนเลี้ยงเย่เซียวมาเอง ต่อให้ผมหันปลายกระบอกปืนไปที่เขา ต่อยตีเขาจนตัวน่วม เขาอาจจะไม่ทำอะไรผมด้วยซ้ำ!”


สองมือของไป๋ซู่เย่ข้างลำตัวกำแน่นกว่าเดิม คุณแม่เขานับได้ว่าเป็นคนในครอบครัวที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของเย่เซียว พอจะคิดได้ว่ามีความสำคัญต่อเขามากขนาดไหน


เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ “คุณพูดเงื่อนไขมาเลยดีกว่า ในเมื่อคุณเอาเธอมาตรงหน้าฉัน ให้ฉันเห็น ก็ต้องมีเรื่องเจรจากับฉัน”


ไฟเรนเซ่ระเบิดเสียงหัวเราะและยกปืนออก ใช้ผ้าสีเหลืองหนึ่งผืนเช็ดเบาๆ “ผมชอบคุยกับคนฉลาด คุณไป๋ ผมมีเงื่อนไขเดียว ความอยู่ความตายของคุณแม่เย่เซียวก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะ”


 “ว่ามาได้เลย!”


 “จากนี้อย่าปรากฏต่อหน้าเย่เซียวอีก!” ไฟเรนเซ่บอกข้อแม้ของตนมาด้วยสีหน้าที่เย็นชาดุดันมากกว่าเดิม เขาหยุดท่าเช็ดปืน จู่ๆ ก็จ้องไป๋ซู่เย่ด้วยแววตาเย็นยะเยือก “ผมไม่ชอบให้คุณเข้าใกล้ลูกชายผม ถ้าทำได้ คุณแม่ของเขาก็มีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าทำไม่ได้ คุณกับเย่เซียวก็มาเก็บศพด้วยกันเถอะ!”


สิ้นคำของเขา ไป๋ซู่เย่ที่แต่เดิมยังตึงเครียดอยู่ก็ผ่อนคลายลงมากโข


อารมณ์เธอค่อยๆ คงที่ แย้มปากหัวเราะ “ฉันคิดว่าคุณไฟจะออกโจทย์ยากอะไรให้ฉันซะอีก ที่แท้ก็แค่นี้เอง”


พูดถึงนี่เธอหยุดชะงัก แม้กำลังระงับอารมณ์อยู่อย่างสุดความสามารถแต่น้ำเสียงก็แฝงด้วยความเศร้าอย่างปิดไม่มิด “คุณไฟไม่ต้องต้องทำขนาดนี้ด้วยซ้ำ ฉันกับเย่เซียว…ไม่เคยคิดจะเจอกันอยู่แล้ว…”


ไฟเรนเซ่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ผมเชื่อว่าคุณไป๋ต้องเป็นคนที่พูดได้ทำได้”


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้พูดอะไรอีก เสียงประกาศให้ขึ้นเครื่องดังขึ้นข้างหู เธอก้มตัวหยิบกระเป๋าเดินทางซึ่งปลายนิ้วกำแน่นจนขาวซีด “คุณไฟ ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ฉันขอตัวไปก่อน…”


เสียงเบาหวิวและล่อยลอย


ไฟเรนเซ่หยักหน้า “ไปเถอะ”


………………


ไป๋ซู่เย่ถือกระเป๋าเดินทางเดินออกจากห้องรับรอง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเหยียบอยู่บนก้อนเมฆที่ตัวล่อง ลอยไม่มีเรี่ยวแรง


ขณะเดินผ่านห้องรับรองผู้โดยสารห้องอื่นได้ยินเสียงดีใจปนตื่นเต้นของหญิงสาวดังแว่วมา “ถ่ายทอดสดมาแล้ว!พิธีหมั้นเริ่มแล้ว!”


 “โรแมนติกจังเลย!”


 “อ๊าก เย่เซียวหล่อจัง!”


 “ภรรยาของเขาก็สวยมาก!ได้ยินว่าพวกเขาอายุห่างกันมากล่ะ ห่างตั้งสิบกว่าปีแหนะ!เท่มากเลย!”


 “แต่ทำไมว่าที่เจ้าบ่าวถึงดูไม่มีความสุขเลยสักนิด เธอดูสิ สีหน้าเขาดูแย่มาก”


 “เธอจะรู้อะไรล่ะ นี่เรียกว่าเย็นชาต่างหาก ท่านเย่เซียวก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เทพบุตรผู้นิ่งขรึม!อยากรู้จริงๆ ว่าตอนที่เขากับภรรยาตัวน้อยของเขาอยู่บนเตียงด้วยกัน ก็เท่ขนาดนี้หรือเปล่า”


ไป๋ซู่เย่คอยฟังโดยไม่กล้าหันกลับมาได้แต่สับเท้าเดินเร็วๆ ยิ่งเดินยิ่งเร็วราวกับมีสัตว์ดุร้ายกำลังวิ่งไล่ตามหลังตัวเอง เธอคิดว่าตนจะทำใจรับทุกอย่างได้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ขณะที่ก้าวโต้ลมขึ้นบันไดเครื่องบิน น้ำตาอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่


ลมพัดพาน้ำตาให้เหือดแห้งอย่างรวดเร็ว แต่ทำไมถึงไม่พัดเอาความเจ็บปวดรวดร้าวของเธอไปด้วย…


…………………………


อีกฟากหนึ่ง


พอหน้าจอมืดลงไฟเรนเซ่เก็บปืน


เขาพยุงหญิงวัยกลางคนที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้าขึ้นด้วยตัวเอง


อีกฝ่ายตกใจเพราะเขาเลยตัวสั่นระริกคอยหลบเขา เฉิงหมิงคอยแตะไหล่เธออยู่ข้างๆ เป็นการปลอบประโลม กล่าว “คุณผู้หญิง คุณไม่ต้องกลัว คุณไฟไม่มีทางทำร้ายคุณจริงๆ”


 “ใช่ คุณเป็นแม่แท้ๆ ของลูกชายสุดที่รักของฉัน ถ้าฉันกล้ายิงคุณ เย่เซียวก็คงสู้กับผมอย่างไม่คิดชีวิต” ไฟเรนเซ่หัวเราะพลางแกะเชือกตรงมือให้ผู้หญิง


เฉิงหมิงรีบกล่าวขึ้น “คุณไฟ งานแบบนี้ให้เฉิงหมิงทำเถอะ”


 “ฉันต้องแกะเอง พวกแกก็นะ ทำไมมัดแน่นขนาดนี้?” ไฟเรนเซ่ขมวดคิ้วตำหนิไปที


เฉิงหมิงโค้งตัวเล็กน้อย “ลูกน้องไม่รู้หนักเบา เดี๋ยวผมจะพาไปขอโทษคุณผู้หญิง ให้คุณผู้หญิงตัดสินใจว่าจะทำโทษยังไง”


ดวงตาหญิงวัยกลางคนที่ดูมีอายุหันมองนั่นทีมองนี่ที สุดท้ายกลีบปากสั่นระริกไม่กล้าออกเสียงเพราะยังไม่ได้สติดีนัก


 “พอแล้ว พาคุณผู้หญิงไปอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนชุดให้เหมาะสมเดี๋ยวเตรียมตัวเซอร์ไพรส์ลูกชายฉัน” ไฟเรนเซ่สั่งให้คนพาอีกคนจากไป จากนั้นมองเฉิงหมิงด้วยแววตาล้ำลึกแวบหนึ่ง “ให้คนติดตามให้ดี อย่าให้เธอมีโอกาสออกไปจากเรือนหลัก”


 “ท่านวางใจได้ ผมจัดการไว้หมดแล้ว” เฉิงหมิงตอบกลับ


ไฟเรนเซ่พยักหน้าและพรูลมหายใจยาว ครุ่นคิดบางอย่าง


เฉิงหมิงเข้าใจเขาเลยพูดปลอบอยู่ข้างๆ “คุณไฟไม่ต้องร้อนใจนัก ผมเชื่อว่านายน้อยต้องเข้าใจความทุ่มเทของท่านแน่ๆ”


 “เข้าใจ? เขาจะเข้าใจบ้าอะไร” ไฟเรนเซ่แค่นหัวเราะ “เจ้าหมอนั่นคงคิดว่าฉันกำลังระแวงเขาอยู่!รอฉันตาย ของพวกนี้ก็เป็นของเขาทั้งหมด ฉันจะระแวงเขาไปทำบ้าอะไร!ในเมื่อเขาเป็นผู้สืบทอดที่ฉันเลือกไว้ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือต้องยิ่งใหญ่กว่านี้ ยิ่งใหญ่จนไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะไม่ถูกใครข่มขู่ ตอนนี้ตัวเขาเต็มไปด้วยจุดอ่อน จะยิ่งใหญ่ยังไง?”


 “จุดอ่อนของนายน้อยท่านช่วยจัดการไปแล้วไม่ใช่หรือครับ? คุณไป๋กับนายน้อยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก แถมตอนนี้นายน้อยก็หมั้นกับคุณน่าหลันไปแล้ว ต่อให้อนาคตจะมีการปะทะ คนนอกก็มีแต่จะพุ่งเป้ามาที่คู่หมั้นของเขาอย่างคุณน่าหลัน ไม่มีทางไปหาคุณไป๋ได้ ส่วนคุณผู้หญิง…ท่านคอยให้การปกป้องเป็นอย่างดี ต้องไม่มีใครกล้าคิดตุกติกกับเธออยู่แล้ว”


ไฟเรนเซ่แค่นเสียงที “หวังว่าเจ้าหมอนี่จะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง—ถ้าเขากล้าหวั่นไหวอีก แกฆ่าคุณไป๋นั่นแทนฉันซะ ให้เขาได้รู้ว่าคนที่ทำงานอย่างเรา อย่าคิดจะมีความรักเหมือนคนอื่น!”


พูดถึงประโยคสุดท้ายสีหน้าไฟเรนเซ่ดูซึมลงไปเล็กน้อย


เมื่อนั้นในตอนที่เขายังวัยรุ่นอยู่ ถูกคนข่มขู่โดยการลักพาตัวหญิงที่ตนรัก ลูกน้องมากมายกำลังมองอยู่ หากเขาลังเลเพียงนิดก็ไม่มีทางก้าวมาสู่จุดนี้ได้


เมื่อนั้นเขาเลือกที่จะฆ่าคนรักของตนเองกับมืออย่างไม่ลังเล เด็ดขาดและโหดเหี้ยม ไม่เคยเหลือทางถอยให้ตัวเองสักนิด


แต่ก็เพราะเหตุนี้ทำให้เขาไม่มีจุดอ่อนอีกต่อไป ในสนามรบแข็งแกร่งไม่มีใครเทียบเทียม ไม่มีใครกล้าท้าทายเขา สิ่งที่เขาต้องการจึงเป็นผู้สืบทอดที่จะเด็ดเดี่ยวเหี้ยมโหดไม่มีช่องโหว่ใดๆ เหมือนเขา


…………………………


ตอนที่ 719 หากคุณตาย ฉันจะติดตามไป (2)

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่พิธีหมั้นของเย่เซียวกำลังดำเนินไป๋ซู่เย่ก็บินทะยานอยู่บนฟ้าไกล


หลังกลับประเทศวันที่สองรองปลัดพาไป๋หลางกลับมา หลังจากนั้นไป๋หลางก็ไม่เคยปริปากเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก แต่บางครั้งเธอยังได้เห็นงานหมั้นที่ยิ่งใหญ่จากข่าวต่างประเทศบ้าง


บทความสื่อถูกส่งจากประเทศ T มายังประเทศ S ไม่สิ น่าจะบอกว่าไปถึงทั่วโลก


“เธอว่าเย่เซียวอยากจะป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าเขามีคู่หมั้นที่สวยงามแล้วเขาก็รักเธอ รักจนถึงขั้นต้องบอกให้โลกรู้ขนาดนี้เชียวเหรอ?” ช่วงมื้อกลางวันเพื่อนร่วมงานที่นั่งตรงข้ามเธอกำลังพูดถึงข่าวของเย่เซียว


ไป๋หลางแทบจะหันมาดูสีหน้าของเธอทันที เห็นเธอไม่มีสีหน้าอะไรมากแม้จะโล่งอกแต่ยังพูดกับเพื่อนร่วมงานตรงข้ามว่า “เรื่องผ่านไปนานขนาดนี้แล้วพวกคุณยังคุยถึงอยู่อีก คุยเรื่องภารกิจที่ช่วงนี้ต้องทำบ้างดีกว่าไหม?”


 “ไม่ใช่ว่าเราอยากคุยแต่เย่เซียวจัดหนักจัดเต็มจริงๆ ผ่านไปตั้งหลายวันแล้วสื่อยังเล่นข่าวนี้อยู่เลย”


ไป๋ซู่เย่หลุบตามองหนังสือพิมพ์ข้างๆ แวบหนึ่ง


เย่เซียวไม่ใช่คนโอ้อวดแบบนั้นอีกทั้งเขาเองก็รู้ว่าข่าวนี้ถูกปล่อยเมื่อไร สำหรับน่าหลันแล้วบอกได้เลยว่าเป็นดั่งภัยพิบัติ มีคนมากมายกำลังจดจ้องเย่เซียวอยากหาช่องโหว่ในการต่อสู้ ตอนนี้มีข่าวนี้เท่ากับว่าผลักน่าหลันเป็นเป้าแทน หลายคนที่ทำอะไรเย่เซียวไม่ได้จากนี้ไปเกรงว่าจะเร้นหาทุกวิถีทางที่จะหันเป้าไปทางน่าหลันแทน


เย่เซียวก็ทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ฉะนั้นคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือไฟเรนเซ่ แต่ไฟเรนเซ่เป็นคนคาดเดาความคิดยากมาโดยตลอด ดังนั้นคิดว่าไม่มีใครรู้จุดประสงค์ของเขาได้อย่างถ่องแท้


ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอแม้แต่นิดเดียว…


ไป๋ซู่เย่ทานอาหารเงียบๆ เมนูอาหารที่ดูน่าทานแต่พอเข้าปากแล้วกลับฝาดขมราวกับกำลังเคี้ยวขี้ผึ้ง…


……………………


วันที่สิบยังคงนอนหลับยากเหมือนเดิม


ไป๋ซู่เย่พิงอ่างอาบน้ำเปิดม่านพลางใช้สายตาว่างเปล่ามองไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่างที่เริ่มสว่างขึ้น เมืองนี้หิมะเริ่มตกแล้ว ข้างนอกขาวโพลนไปทั่วทุกหนแห่งที่แค่มองก็รู้สึกหนาวเข้ากระดูก


ในเมืองเยียว ณ ประเทศ T ในอีกฟากหนึ่งตอนนี้หิมะเริ่มตกแล้วหรือยัง? พลุดอกไม้ที่เมืองนั้นยังถูกจุดตามเวลาเดิมหรือไม่? โรงแรมแห่งนั้น ห้องนั้น เปลี่ยนเป็นใครกับใคร?


คิดถึงนี่หัวใจก็บีบรัด


ทันใดนั้นเองเสียงดังของโทรศัพท์ก็ดึงสติเธอกลับมา


เธอลุกยืนจากอ่างอาบน้ำใช้ผ้าขนหนูพันตัวก่อนกดรับสาย ปลัดกระทรวงเป็นคนโทรมาและแค่ประโยคสั้นๆ “ประชุมด่วน รีบมาที่กระทรวงเดี๋ยวนี้”


ไป๋ซู่เย่ดูเวลาแวบหนึ่ง นี่เพิ่งเช้าเจ็ดโมงครึ่ง ดูเหมือนจะเป็นภารกิจเร่งด่วนมาก


ไม่รอช้ารีบเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบเกล้าผมขึ้น ขับรถฝ่าหิมะไปยังกระทรวงความมั่นคง


การประชุมครั้งนี้เคร่งเครียดอย่างมาก


 “ตอนนี้สถานการณ์คับขันมาก เพราะครั้งนี้เยียวหมิงลักพาตัวไปที่สถานที่พิเศษอย่างทะเลทรายซ่าเหยียน ไม่สามารถส่งกองทัพรัฐบาลบุกเข้าไปโดยตรง ดังนั้นเรื่องนี้เลยตกมาที่กระทรวงความมั่นคงของเรา ครั้งนี้นอกจากจะมีทหารรับจ้างที่เก่งกาจยี่สิบนายมาช่วยสนับสนุนเราแล้ว ยังมีสปายของเราช่วยประสาน ส่วนตอนนี้เราต้องเลือกคนหนึ่งเป็นผู้นำหน่วยอำพรางตัวของเราเข้าไปที่ทะเลซ่าเหยียน ทุกท่านที่นั่งอยู่มีใครยอมอาสาเป็นคนนำในครั้งนี้บ้าง?”


ปลัดกวาดมองทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้รอบหนึ่ง


จากนั้นเสียงใสหนึ่งดังขึ้น “ฉันไปเอง”


สายตาทุกคนหันไปทางผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้


ไป๋หลางเบนหน้าไปพูดเสียงเบา “ช่วงนี้คุณดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ภารกิจครั้งนี้อันตรายมาก!”


 “อันตรายแค่ไหนก็ต้องมึคนไป ไม่ใช่ฉันก็เป็นคนอื่น”


 “แต่…”


ไป๋หลางยังอยากจะพูดบางอย่างแต่ปลัดได้เอ่ยเสียงขัดพวกเขาก่อน “รัฐมนตรีไป๋ คุณคิดดีแล้วเหรอ? เรื่องนี้ความอันตรายสูงมาก!ในมือเยียวหมิงมีอาวุธที่ทันสมัยมากมาย อีกทั้งครั้งนี้พวกเขาอยู่ที่ทะเลทราย ภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวย สถานการณ์ซับซ้อน”


 “ค่ะ ฉันคิดดีแล้ว” น้ำเสียงเธอแน่วแน่ไม่ลังเลสักนิด


 “รัฐมนตรี!” ไป๋หลางเรียกเสียงเบา “คุณเป็นผู้หญิงนะ!”


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้สนใจเขา แค่ลุกยืนตะเบะอย่างจริงจัง“ขอให้ปลัดช่วยอนุญาตด้วย”


 “ได้ ผมเชื่อในความสามารถคุณเสมอมา” สบสายตาแข็งขันของเธอแล้วพยักหน้า “ถ้างั้นสองวันนี้ให้รวบรวมคน รีบหาเวลาวิเคราะห์การแบ่งทีมให้ดี จะช้าไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปต้องรับรองความปลอดภัยของตัวประกัน!”


 “รับทราบ!”


…………………………


คืนก่อนออกปฏับัติการภารกิจหลังไป๋ซู่เย่เตรียมของเสร็จทุกอย่างก็หลับไปด้วยยานอนหลับ


ครั้งนี้มีความอันตรายสูงมากซึ่งใจเธอรู้ดี กลุ่มติดอาวุธเหล่านั้นแต่ละคนไม่ใช่คนธรรมดา แต่ชีวิตย่อมมีเกิดมีตาย หากได้ล้มตายไปในสงครามตามหน้าที่ก็ไม่พ้นเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยนี่ก็เป็นเหตุผลของการมีชีวิตของเธอ


วันรุ่งขึ้นไป๋ซู่เย่ในชุดทหารที่เตรียมพร้อมครบครัน พากลุ่มคนของพวกเขาก้าวขึ้นเฮลิคอปเตอร์มุ่งสู่ทะเลทรายซ่าเหยียนอย่างเด็ดขาดแน่วแน่


……………………


สองวันที่ทีมเฝ้าติดตามในประเทศไม่ได้รับข่าวใดๆ


ไป๋หลางรอมาสองวันเต็ม รอถึงวันที่สามก็พุ่งเข้าไปในห้องปฏิบัติการชั่วคราวอย่างหมดความอดทน


 “สถานการณ์เป็นยังไงบ้างแล้ว? ตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้าง? ตัวประกันได้รับการช่วยเหลือหรือยัง? รัฐมนตรีของเราล่ะ?”



“ไป๋หลาง คุณอดทนรอหน่อย พวกเขาเพิ่งได้เข้าไปในถิ่นของคู่กรณี ข้างในนั้นถูกบล็อกสัญญาไว้หมด เลยหาทางติดต่อกับเราโดยตรงไม่ได้”


 “ผมจะอดทนได้ยังไง? นี่เป็นเรื่องที่พร้อมจะเอาชีวิตไปได้ทุกเมื่อเลยนะ” ไป๋หลางร้อนใจจนยากจะอยู่นิ่งเฉย ความจริงภารกิจแบบนี้พวกเขาออกปฏิบัติการบ่อยครั้งซึ่งเขาก็ชินแล้ว แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน


เขาไม่ไปไหนพลางลากเก้าอี้นั่งในห้องปฏิบัติการ เขาเปิดกล่องบุหรี่ดึงออกมามวนหนึ่ง ไม่นานควันบุหรี่ก็ลอยโขมงเต็มห้องปฏิบัติการ


ผู้บัญชาการฝ่ายปฏิบัติการถีบเขาที “จะสูบก็ออกไปสูบข้างนอก สำลักจะตายแล้ว”


 “เป็นยังไงบ้าง? ได้ข่าวอะไรบ้างไหม?” ไป๋หลางดับไฟบุหรี่ เงยหน้ามองนาฬิกาข้างกำแพงวูบหนึ่ง กลับพบว่านั่งในนี้มาสองชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว มิน่าถึงรู้สึกยาวนานนัก


ถูกเขาซักถามเช่นนี้ผู้บัญชาการฝ่ายปฏิบัติการก็เกิดความรำคาญอยากจะจับตัวเขาโยนออกไป แต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็ได้ยินเสียงร้องขึ้นมา “ผู้บัญชาการ มีข่าวมาแล้ว!ข่าวดี!”


ไป๋หลางตาวาว รีบถามต่อก่อนหน้าผู้บัญชาการด้วยความร้อนรน “ช่วยตัวประกันได้สำเร็จใช่ไหม?”


 “ใช่ เมื่อกี้เพิ่งได้รับการรายงานว่าตัวประกันทุกคนปลอดภัยดีและถูกส่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์กำลังบินไปยังจุดปลอดภัย”


 “เยี่ยมไปเลย!!” ผู้บัญชาการทั้งตกใจทั้งดีใจ ตัวประกันปลอดภัยเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด “ผมจะรีบโทรรายงานปลัดกระทรวงเดี๋ยวนี้!”


ไป๋หลางเองก็พรูลมหายใจยาวโล่งอกเช่นกัน


แต่ยังไม่หมดลมดี วินาทีต่อจากนั้นก็ตะลึงนิ่งค้างอยู่กับที่เพราะประโยคต่อมา


 “แต่…” สีหน้าอีกฝ่ายหนักอึ้งน้อยๆ


……………………………………


ตอนที่ 720 หากคุณตาย ฉันจะติดตามไป (3)

โดย

Ink Stone_Romance

“แต่อะไร? คุณพูดทีเดียวให้จบ!” ไป๋หลางตะคอกเสียงต่ำอย่างหมดความอดทน


ผู้บัญชาการฝ่ายปฏิบัติการก็ชะงักท่าที่กำลังจะโทรศัพท์ เหลือบมองไป๋หลางแวบหนึ่ง “คุณอย่าใจร้อนขนาดนั้น อารมณ์ร้อนอย่างนี้คนเขาจะพูดดีๆ ยังไง?”


แล้วหันไปบอกลูกน้องตัวเองอีกที “คุณพูดช้าๆ พูดให้เข้าใจ!”


 “ในการต่อสู้ได้สูญเสียทหารไปหลายนายแล้วยังมีอีกหลายนายที่บาดเจ็บ ส่วนรัฐมนตรีไป๋ที่นำทีมไป…เพื่อช่วยตัวประกันได้แผลถูกยิงมา คลาดกับหน่วยปฏิบัติการในระหว่างการต่อสู้ จนตอนนี้…”


 “ตอนนี้ทำไม?!” ไป๋หลางแหวเสียงต่ำ


 “ไม่รู้ข่าวคราว…”


 “บัดซบ!” ไป๋หลางสบถหยาบทีแล้วเตะเก้าอี้แรงๆ จนเกิดเสียงดัง ‘ปึง’


ผู้บัญชาการฝ่ายปฏิบัติการได้ยินเข้าเลยไม่รอช้ารีบโทรไปที่กระทรวงความมั่นคงแล้วส่งต่อไปยังทำเนียบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีจะมาด้วยตัวเองเพื่อสอบถามเรื่องนี้ ทุกคนจึงรีบเริ่มวางแผนการตามหา


แต่ทะเลทรายซ่าเหยียนดันเป็นทะเลทรายที่ไม่ธรรมดา ทะเลทรายซ่าเหยียนนอกจากไม่ได้อยู่ในเขตการดูแลของรัฐบาลใดแล้วทั้งผืนดินแผ่นนั้นยังมีกลุ่มติดอาวุธไม่น้อยต่างต่อสู้เพื่อแข่งขันกันเลยตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย แต่หากรัฐบาลใดคิดจะนำกองทัพที่ติดธงประเทศบุกโจมตี จะประสบพบเจอการขัดขืนอย่างรุนแรงของการรวมตัวของกลุ่มติดอาวุธ นำไปสู่ผลที่ไม่คาดคิด


อีกทั้งเพิ่งจะส่งตัวทหารรับจ้างอำพรางตัวเข้าไปก็ได้กระเทือนกลุ่มติดอาวุธทั้งหมดในทะเลทรายแล้ว จนบัดนี้พวกเขาได้เพิ่มความระมัดระวัง อยากจะบุกเข้าไปอีกครั้งในระยะสั้นมันยากยิ่งกว่าเหาะขึ้นฟ้าเสียอีก


 “ท่านประธานาธิบดี ตอนนี้…คิดว่าน่าจะต้องไปหาผู้ไกล่เกลี่ยแล้ว ถ้าคนของเราถูกกลุ่มติดอาวุธที่เราอำพรางตัวไปเจอตัว เราจะพากลับมาอย่างสุดความสามารถ” ปลัดกระทรวงความมั่นคงเอ่ยปาก


 “หาผู้ไกล่เกลี่ย ต้องใช้เวลาอีกวัน?” ท่านประธานาธิบดีขมวดคิ้วอย่างหนักใจ


 “จากวางแผนจนถึงติดต่อ คิดว่าอย่างน้อยน่าจะต้องใช้เวลาสองวัน”


 “หลังติดต่อพวกเขาได้ยังต้องตามหา—ทะเลทรายอุณหภูมิต่างกันมาก ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ คนที่บาดเจ็บหนักจะทนอยู่ได้ไม่กี่วัน”


ไป๋หลางนึกบางอย่างออกจู่ๆ ก็ลุกขึ้นโค้งคำนับให้ไป๋เย่ฉิงที “ท่านประธานาธิบดี ผมมีเรื่องสำคัญมากๆ ที่ต้องขอตัวไปก่อน ขอโทษครับ!ถ้ากลับมาแล้วคุณยังอยู่ ผมค่อยอธิบายให้คุณ!”


ท่านประธานาธิบดีมองเขาแวบหนึ่ง สายตาทั้งสองคนสื่อหากันทำให้ไป๋หลางรู้ว่าเขาน่าจะรู้ทันความคิดตนแล้ว ท่านประธานาธิบดีพยักหน้า ไป๋หลางรีบพุ่งตัวออกไปข้างนอกอย่างไม่รอช้า


……………………


ถังซ่งกำลังขังตัวเองอยู่ในห้องทดลองเพื่อทำการจำลองผ่าตัดหัวใจมนุษย์ แม้ตอนนี้เย่เซียวจะตายใจไปแล้ว ไม่สนใจชีวิตของตัวเองแต่เขาสนใจไง  ในฐานะเพื่อนที่เปรียบดั่งพี่น้องคงให้ทนดูเขาถูกลูกกระสุนขนาดเล็กพรากชีวิตไปไม่ได้หรอกนะ


ขณะที่กำลังจดจ่อสมาธิอยู่ก็ได้ยินเพียง ‘พลั่ก–’ ดังสนั่น ประตูถูกคนเอาเก้าอี้พังเข้ามา


ถังซ่งตกใจจนมือสั่นทำให้มีดผ่าตัดกรีดโดนเส้นเลือด เลือดสีสดไหลทะลักออกมาราวกับก๊อกน้ำแตก


 “บัดซบ!ใครมันกล้าพังประตูฉัน?!” ถังซ่งตะโกนเสียงด่าอย่างคุกรุ่น หากไม่ถูกรบกวนก็ใกล้ผ่าตัดสำเร็จแล้ว!


 “คุณหมอถัง ผมเอง” ไป๋หลางยังยกเก้าอี้อยู่ในมือ


ถังซ่งถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “นายเป็นใครเนี่ย? นาย!ประตูของฉันนายยังกล้าพัง ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไง! ”


ไป๋หลางรีบวางเก้าอี้ในมือลง เวลานี้ก็ไม่คิดจะขอโทษแล้ว กล่าวเพียง“ผมมีเรื่องเร่งด่วนหาคุณจริงๆ ผู้ช่วยคุณไม่ยอมให้กุญแจผมสักที ผมไม่มีวิธีอื่น…”


 “ฉันต้องสนใจว่านายมีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือไง เราสองคนรู้จักกันเหรอ?!”


 “คุณหมอถัง ผมรู้ว่าคุณต้องติดต่อเย่เซียวได้แน่ๆ ขอร้องคุณล่ะ ช่วยติดต่อเขาให้ผมที ตอนนี้รัฐมนตรีของเราตกอยู่ในอันตราย คิดว่าน่าจะมีแค่เขาที่เข้าไปช่วยได้ทันแล้ว!”


ถังซ่งแต่แรกยังจะบอกให้ไป๋หลางรีบไสหัวออกไปแต่พอฟังถึงข้างหลังหัวคิ้วเขาก็ย่นเข้าหากัน“อะไรนะ? เมื่อกี้นายบอกว่ารัฐมนตรีของพวกนายกำลังตกอยู่ในอันตราย? รัฐมนตรีไป๋ ไป๋ซู่เย่?”


 “ครับ”


ถังซ่งกวาดตามองประเมินเขาหลายทีถึงจำได้ว่าเขาเคยเห็นคนนี้อยู่ข้างไป๋ซู่เย่เมื่อก่อน เขาเคยเจอมาก่อน


 “เกิดอะไรขึ้น นายพูดให้รู้เรื่อง”


ไป๋หลางมีเรื่องต้องขอร้องเขาเลยจำต้องเล่าทุกอย่างให้ถังซ่ง


ถังซ่งได้ยินสถานการณ์นี้ก็รู้ว่าเรื่องราวมันยากเย็นขนาดไหน ไม่กล้าชักช้า “ฉันจะรีบโทรหาเย่เซียว นายรอก่อน!”


 “ครับ”


……………………


ประเทศ T


เมืองเยียว


เย่เซียวเตรียมจะไปสัมมนาที่ประเทศ M ครั้งนี้มีคววมร่วมมือกับประเทศ M มูลค่าหลายร้อยล้าน ต้องเจรจาให้ได้


 “เย่เซียว ให้ฉันช่วยจัดกระเป๋าให้คุณเถอะ” น่าหลันเดินเข้าห้องพร่ำขอได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อเขาบ้าง


 “ไม่จำเป็น คนรับใช้จัดเสร็จแล้ว” เย่เซียวปฏิเสธเธอด้วยท่าทีเรียบเฉย


น่าหลันทำหน้าปวดใจวูบหนึ่ง หากจะบอกว่าเมื่อก่อนเย่เซียวถือว่าอ่อนโยนและมีความอดทนต่อเธอพอสมควร ตั้งแต่เจอไป๋ซู่เย่ที่ประเทศ S เขาก็เย็นชาขึ้นมาก


เดิมทีเธอคิดว่าหลังพวกเขาหมั้นหมายความสัมพันธ์อาจจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่ขณะนี้เธอพบความจริงที่แสนน่าเศร้าว่าระหว่างพวกเขานอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้ว เย่เซียวกลับมีท่าทีเย็นชาต่อเธอขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งกันเธอให้อยู่ไกลออกไป


ต่อให้เป็นเรื่องเล็กอย่างเก็บสัมภาระ ก็ยอมให้คนรับใช้ช่วยไม่ยอมให้เธอแตะต้อง


 “นายท่าน สายของคุณ คุณชายถังโทรมา ท่าทางรีบร้อนมาก” ทันใดนั้นเองหยูอันก็เดินเข้ามาจากข้างนอก


 “มาให้ฉันเถอะ” เย่เซียวไม่ได้มองน่าหลันที่อยู่ข้างๆ อีกแม้แต่แวบเดียว รับโทรศัพท์จากหยูอันแล้วเดินไปที่ระเบียงนอก


——


 “นายพูดอะไรนะ? นายพูดอีกทีสิ!พูดให้รู้เรื่อง!”


คนที่อยู่ข้างนอกจู่ๆ ได้ยินเสียงตะโกน หยูอันและน่าหลันหันไปมองที่ระเบียงด้วยความสงสัย


 “กระทรวงความมั่นคงเก่งจริงๆ ที่กล้าให้เธอไปทะเลทรายซ่าเหยียน!” สถานที่นั่นมันเป็นที่ที่กินคนเป็นทั้งกระดูกด้วยซ้ำ!มีคนตายอยู่ที่นั่นไปตั้งมากเท่าไร?


ตามหา? ถ้าถูกใครจับได้ ตายแล้วใช่ว่าจะได้เจอเถ้ากระดูก!


 “ความจริง รัฐมนตรีไป๋เป็นคนอาสาไปเอง” ไป๋หลางที่อยู่ทางนั้นพูดอ้ำๆ อึ้งๆ บัดซบเอ้ย!คนกระทรวงความมั่นคงอย่างเขากลับถูกทหารรับจ้างคนหนึ่งตะคอกเสียงใส่รัวๆ


 “เธอจะไป นายก็ปล่อยให้เธอไปน่ะเหรอ?!” เสียงตะคอกที่ไม่ได้กดเสียงไว้ ทั่วทั้งห้องได้ยินด้วยกันอย่างชัดเจน


หนูอันคิดว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่อะไรแน่ๆ เย่เซียวเป็นคนควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอ น้อยครั้งที่จะเกิดปฏิกิริยาแบบนี้


ไม่นานเห็นเย่เซียวกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปน โทรศัพท์ในมือแทบจะถูกเขาบีบแหลกคามือ ท่าทางแบบนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน


 “รีบเตรียมเฮลิคอปเตอร์ให้ฉัน!”


 “ตอนนี้?”


 “ฉันจะบินไปที่ทะเลทรายซ่าเหยียน”


หยูอันชะงักงัน “แต่ที่จะเจรจาค้าขายอาวุธกับประเทศ M…”


 “ตอนนี้!เดี๋ยวนี้!ฉันไม่อยากพูดเป็นครั้งที่สอง!” เย่เซียวแทบกัดฟันกรอด ความถมึงทึงเข้าปกคลุมทั้งร่าง ตอนนี้ใครจะมีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องค้าขายอะไรอีก?


…………………………


ตอนที่ 721 หากคุณตาย ฉันจะติดตามไป (4)

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนนี้ใครจะมีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องค้าขายอะไรอีก?


ไป๋ซู่เย่ ทางที่ดีคุณอย่าได้เป็นอะไรไป!


ถ้าเธอกล้าตายล่ะก็ เขาจะตามไปยันนรกแน่!


ในนรก เขาก็จะไม่มีวันปล่อยเธอ!


เขาเปิดประตูห้องลับ ห้องลับค่อยๆ สว่างขึ้น เขาถอดชุดสูทออกเปลี่ยนเป็นเสื้อลายทหารกับเสื้อกันกระสุน สวมรองเท้าคอนแบทสลัดคราบนักธุรกิจในชุดสูทเมื่อกี้จนหมดสิ้น แบกปืนใส่บ่า


น่าหลันเห็นท่าทางนี้ก็รู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้น เธอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวขวางทางเย่เซียวไว้ “เย่เซียว คุณจะไปไหน?”


 “หลีกไป!”


 “ฉันไม่สนว่าคุณจะไปไหน ฉันไม่อยากให้คุณไปเสี่ยง!” น่าหลันพูดแล้วขอบตาแดงก่ำ สองมือกอดเขา แม้เธอจะอายุน้อยแต่จากปฏิกิริยาของเย่เซียวแล้วเธอพอจะรู้ได้ว่านี่ต้องไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงมากด้วยซ้ำ


ใบหน้าเย่เซียวเยือกเย็นจนเหมือนมีน้ำแข็งเคลือบอยู่ แค่เค้นเสียงแข็งกระด้างออกจากปาก “ปล่อย!”


คำนี้น่าเกรงขามจนน่าหลันใจสั่นวูบ


เงยหน้ามองสีหน้าเขาอย่างระแวงแวบหนึ่ง กัดปากก่อนจะค่อยๆ ผละตัวออกมาด้วยความหวาดกลัว แต่ชั่วขณะที่ปล่อยมือเธอก็เสียใจทีหลังอยากจะยกมือไปขวางเขาอีกครั้ง เขากลับก้าวขายาวเดินจากไปไม่หันกลับมาอีก


………………


 “นายท่าน หรือว่าคุณคิดจะไปทะเลทรายซ่าเหยียนคนเดียว?” รอเย่เซียวเข้าไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับ หยูอันรีบห้ามเขาไว้


เย่เซียวใช้ดวงตาเรียบนิ่งมองเขาแวบหนึ่ง “ฉันไม่อยากปิดบังแก ครั้งนี้ไปเพื่อช่วยไป๋ซู่เย่ แก รวมถึงลูกน้องคนอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม!”


ความจริงหยูอันเดาได้ตั้งนานแล้ว


การเจรจาการค้าที่มูลค่านับหลายร้อยล้านก็ล้มเหลวโดยไม่แม้แต่จะชั่งใจสักนิด ทั้งยังไปสถานที่อันตรายโดยไม่ลังเล สิ่งที่ทำให้เย่เซียวเป็นได้ขนาดนี้ก็มีแค่ไป๋ซู่เย่คนเดียว


หยูอันยื่นมือจับราวกระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ “ผมไปกับคุณ”


 “แกลงมา!” เย่เซียวตวาด


หยูอันเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ “เพิ่มคนหนึ่ง โอกาสที่จะช่วยเธอได้ก็เพิ่มขึ้นมาก”


 “แกคิดให้ดีนะ ไปครั้งนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย ถ้าคนของเยียวหมิงรู้ว่าเราอยู่ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปแน่!” หนำซ้ำถ้าผู้หญิงโง่นั่นตายที่นั่น เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้มีชีวิตก้าวเดินออกจากทะเลทราย


หยูอันปิดประตูห้องนักบินสวมหูฟัง “คุณทำเพื่อเธอ แต่ผมทำเพื่อนายท่าน”


เย่เซียวจ้องมองเขาชั่วขณะ สุดท้ายเข้าไปนั่งตำแหน่งข้างคนขับ


——————


ทะเลทรายอุณหภูมิต่างกันมาก กลางวันร้อนระอุแทบมอดไหม้ ตกดึกกลับหนาวจนตัวสั่น


ไป๋ซู่เย่แค่หลบอยู่ในผืนทะเลทรายนี้แต่เพราะขาดน้ำจากอากาศที่ร้อนระอุเมื่อช่วงกลางวัน กลีบปากแตกแห้ง เธอพยายามอุดแผลตรงแขนที่โดนยิงไว้ แม้จะทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นแล้วแต่ตอนนี้ยังเจ็บมากอยู่


ถ้ากระสุนนัดนี้ยังฝังอยู่ในร่างไม่ถูกขจัดออก เจอสภาพอากาศย่ำแย่นี้เข้าจนแผลของเธอติดเชื้อ ต่อให้ไม่มีคนของเยียวหมิงติดตามมาเธอก็ตายอย่างไม่ต้องสงสัย


เธอไม่กล้าหลับตา ทิ้งตัวนอนบนทะเลทรายในสภาพร่อแร่ แหงนหน้าเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า


ภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวระยิบระยับยากนักที่จะได้เห็นจากในเมือง เธอมองเหม่อ หัวใจที่ตึงเครียดในตอนแรกผ่อนคลายลงชั่วขณะ


เธอนอนอยู่นั่นและมองเหม่อพาลนึกถึงตัวประกันที่ได้รับการช่วยเหลือจากเธอ นึกถึงครอบครัว ตามด้วยนึกถึงเย่เซียว…


หากว่า…


หากว่าวันนี้เธอตายอยู่กลางทะเลทรายเช่นนี้ ในอนาคตที่ยาวไกลเย่เซียวจะลืม…ลืมว่าชีวิตเขาเคยมีผู้หญิงที่น่าแค้นใจคนนี้ปรากฏอยู่?


บางทีอาจจะลืมสินะ


ในเมื่ออนาคตเขาต้องสร้างครอบครัวกับน่าหลัน พวกเขาจะมีอนาคตที่แสนสุข มีลูกที่แสนจะน่ารัก…


พอคิดภาพที่ครอบครัวสามคนของพวกเขาจูงมือกัน ไป๋ซู่เย่ก็รู้สึกเจ็บตรงหัวใจอย่างแรง ในกลางทะเลทรายที่อ้างว้างและหนาวเหน็บนี้ ทุกหยาดอารมณ์ขมขื่นของเธอกำลังค่อยๆ จับจองพื้นที่หัวใจเธออย่างไม่คิดปิดบังอีก…


เธอใกล้จะหลับไปเพราะอาการเสียเลือดมาก แต่เพราะอุณหภูมิที่ต่ำเกินไปก็สะดุ้งตื่นเพราะความหนาว ซ้ำไปซ้ำมาตลอดคืนชวนให้เธอทรมานอย่างถึงที่สุด


ฟ้าสว่างแสงตะวันที่ร้อนระอุฝ่ากลุ่มเมฆลงมา เริ่มจากแต่แรกที่เธอรู้สึกอบอุ่นไปถึงร้อนจนยากจะทนไหว เริ่มเข้าสู่สภาพขาดน้ำอีกแล้ว


เธอต้องออกไปจากที่นี่ ต้องหาโอเอซิสให้เจอ ขณะนี้หากอยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออย่างน้อยต้องยืดเวลาให้เธอได้มีชีวิตนานกว่านี้


ไป๋ซู่เย่ขบฟันแน่นเหยียดตัวจากกองทราย ความทรมานที่ได้รับมาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนทำให้เรี่ยวแรงเธอแทบหมดไป ปืนที่แบกบนไหล่กินแรงเธอในทุกย่างก้าว เธออดทนอย่างยากลำบากและเดินไปยังทิศทางที่น่าจะมีโอเอซิส—สถานที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร มีพืชพันธุ์ที่ขึ้นกลางทะเลทราย เธอมั่นใจว่าต้องมีโอเอซิสอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น


แต่ในขณะที่เธอใกล้จะไปถึงโอเอซิสตรงหน้าก็ได้ยินเสียงปืนกลดังกระหึ่ม


จากนั้นเป็นภาษาที่เธอไม่คุ้นเคย เธอหันกลับมามองด้วยความระแวงก็เห็นชายที่มีหนวดเคราหลายคนแบกปืนสอดส่องตามมาทางนี้


ใจกระตุก


แทบจะหมุนตัวไปหลบอยู่หลังต้นไม้ทันที ใช้แรงที่เหลืออยู่เฮือกสุดท้ายยกปืนขึ้น


ต่อให้เธอไหวพริบดีแต่อีกฝ่ายก็เจอเธอเข้าแล้วตะโกนเรียกทีหนึ่ง ลูกระสุนถูกยิงมาทางเธอ ผ่านข้างหูเธอนัดแล้วนัดเล่า


เธอกลั้นหายใจและฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายเปลี่ยนซองกระสุน โผล่หัวออกไปยิงจัดการทีละคนๆ


แต่ว่า…


 “ให้ตายสิ!” หลังจากห้าคนล้มลงไป ปืนเธอไม่มีกระสุนเหลืออยู่แล้ว


ส่วนคนเหล่านั้นน่าจะสังเกตได้เลยรีบสับเท้าพุ่งตัวมาที่เธอ ไป๋ซู่เย่ทิ้งปืนลงหลับตาหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ข้างเอวมากำไว้ แม้ว่าตอนนี้น่าจะไม่มีการต่อสู้ตัวต่อตัวแต่ท่วงท่าเหล่านี้ล้วนเป็นไปตามกระบวนการฝึกฝนด้วยสัญชาตญาณ


เธอคิดว่าวันนี้เธอต้องตายอยู่ภายใต้การยิงกราดนี้แล้ว…


 “อยู่ตรงนี้!” ผู้ชายที่นวดครึ้มตะโกนบอกเพราะเห็นเธอที่หลบอยู่หลังต้นไม้ อีกฝ่ายยกปืนกำลังจะยิงกราด


เธอหลับตาทำใจจะเผชิญหน้ากับความตาย


แต่…


 “ปัง–” เสียงยิงปืนดังขึ้นฉับพลัน ร่างเธอสะท้านรุนแรงแต่บนตัวกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บ กลับเป็นผู้ชายตรงหน้าครางเสียงต่ำทีแล้วล้มลงกับพื้นทันที


 “มีลอบโจมตี!”


“เร็ว!อยู่ข้างบน!”


เสียงกระหึ่มของเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่เหนือศีรษะ ผู้ชายหนวดเฟิ้มยกปืนยิงกราดไปบนฟ้า


ไป๋ซู่เย่แหงนหน้ามองไปเห็นเพียงเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งวาดเส้นสวยงามกลางอากาศเพื่อหลบกระสุน ส่วนชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาที่กำลังใช้ปืนเล็งเป้ายิงผู้ชายบนพื้นอย่างแม่นยำ ทำให้หัวใจที่ระทึกของเธอในตอนแรกผ่อนคลายลงในพริบตา


…………………………


ตอนที่ 722 ไม่ทอดทิ้งกัน (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ให้หัวใจที่ระทึกของเธอในตอนแรกผ่อนคลายลงในพริบตา


เธอคิด…


ถ้าตนตายตรงนี้ในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องเสียดายอีก…


เย่เซียว…


ไม่เจอกันนาน…


หลังเสียงปืนดังหลายครั้งจนผู้ชายนวดเฟิ้มรอบพื้นที่ล้มตัวแน่นิ่ง


เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ ลดตัวลง เย่เซียวเหยียบรองเท้าคอนแบทมาทางเธอนิ่งๆ ทีละก้าว แสงอาทิตย์เหนือศีรษะแยงตาปกคลุมตัวเขาให้เกิดแสงสีทองรอบตัว แต่กลับมีความเยือกเย็นน่าขนลุกแผ่ออกมาจากตัวเขา


ตลอดทางที่เดินมาสายตาของเขาถลึงตาจ้องเธออย่างดุดันไม่เคยหันหนี คล้ายจะถลกหนังเธอให้ได้


ไป๋ซู่เย่กังวลใจนักว่าวินาทีต่อจากนี้เขาจะยกปืนฆ่าเธอหรือเปล่า


ไม่ต่างจากที่คิดเมื่อเย่เซียวเข้าใกล้เธอก็สะบัดตัวเธอใส่ลำต้นไม้ด้านหลังแรงๆ ร่างเขากักตัวเธอไว้แน่นกดทับเธอจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้หายใจ “ไป๋ซู่เย่ คุณอยากตายขนาดนั้นเลยเหรอ? คุณรู้ไหมว่าถ้าเมื่อกี้ผมมาช้าก้าวเดียว ตอนนี้คุณตัวพรุนไปแล้ว!”


เสียงซักถามของเขาเย็นชาเข้ากระดูก เส้นเสียงกลับเปลี่ยนโทนและแหบเล็กน้อย


ในแววตาแหลมคมที่เขาใช้จ้องเธอ ไล่ตั้งแต่ความหงุดหงิดเกลียดชัง โกรธเคือง เผยให้เห็นความหวาดกลัวขวัญเสียช้าๆ


ไป๋ซู่เย่ใช้สายตาสงสัยมองเขา หัวใจสั่นไหว


หวาดกลัว?


เย่เซียวถูกฝึกอย่างโหดเหี้ยมมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยแสดงท่าทีหวาดกลัวเมื่อตนเผชิญหน้ากับความตาย ภาพอย่างวันนี้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับเขาที่ผ่านสนามรบมามาก


แต่ว่า…


ณ เวลานี้ดวงตาเขากลับฉายแววหวาดกลัวอย่างชัดเจน เป็นความหวาดกลัวอย่างสุดหัวใจ


เขากำลังกลัวอะไร?


 “เย่เซียว คุณกลัวอะไรอยู่?”


ตัวเย่เซียวสะท้านอย่างแรง


จู่ๆ ใช้มือข้างที่ว่างจับปลายคางเธอ กระชากตัวเธอเข้าไปหาด้วยการกระทำที่ดิบเถื่อน


ใบหน้าทั้งคู่ห่างกันเพียงคืบ เธอถูกเขาเชิดใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นและซีดเซียวไร้สีเลือดฝากขึ้น—เธอไม่เคยตกอยู่ในสภาพโทรมขนาดนี้มาก่อน!


เย่เซียวจดจ่อสายตามองพลางรู้สึกแค่หัวใจวูบไหว นึกถึงภาพเสี่ยงอันตรายเมื่อกี้ขอบตาก็แดงก่ำ จากนั้นเขาโน้มหน้ากัดปากเธอแรงๆ เขาเกลียดนักเลยใช้แรงมากกว่าปกติ เธอเจ็บจนหอบหายใจเผลอกอดแขนเขาไว้ พึมพำเสียงด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้ “เย่เซียว…”


เดิมทีคิดว่าเขาจะกัดปากจนแผลปริถึงยอมรามือ แต่กับผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าอย่างไรเย่เซียวก็ทำโหดไม่ลง ครู่นานที่กว่าจะผละใบหน้าออกจากกัน พูดเสียงทุ้มต่ำอย่างนึกโกรธทั้งที่ยังแนบปากเธออยู่ “คราวหลังถ้าคุณยังกล้ารับภารกิจที่ไม่เจียมตัวแบบนี้อีก ต่อให้พวกเขาไม่ฆ่าคุณ ผมก็จะเอาคุณให้ตาย!”


สิ้นเสียงเขาภาพตรงหน้าไป๋ซู่เย่พร่ามัว เธอเงยหน้ามองเขาทั้งอย่างนั้น น้ำตาร่วงเผาะลงมาอย่างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า


น้ำตาหยดนั้นทำให้เย่เซียวสะท้านตัวเฮือก


เขามองนิ่งๆ เริ่มทำตัวไม่ถูก


ชั่วขณะหนึ่งเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อน กลับไปเมื่อที่ไป๋ซู่เย่จะอ้อนเขา เผยมุมที่อ่อนแอร้องไห้ต่อหน้าเขา…


แต่เขากลับลืมว่าต้องปลอบผู้หญิงที่ร้องไห้อย่างไร สิบปีแล้ว ในสิบปีนี้เขาไม่เคยมอบความอ่อนโยน การปลอบโยนของเขาให้ผู้หญิงคนใดนอกจากเธอมาก่อน ดังนั้นพอไม่คุ้นเคยก็ควรได้รับการให้อภัยใช่ไหม?


“ร้องทำไม?” เย่เซียวดึงสติกลับมาถามเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นมาก แต่ก็ยังหน้าตึงเหมือนเดิม


ไป๋ซู่เย่อยากกลั้นน้ำตาไหวแต่ตอนนี้น้ำตาเหมือนก๊อกน้ำที่แตก พอได้เผยด้านที่อ่อนแอต่อหน้าเขาก็เสแสร้งเข้มแข็งไม่ได้อีก อย่างน้อยเธอในตอนนี้ทำไม่ได้…


เย่เซียวพบว่าตนยังเหมือนสิบปีก่อนที่ทนดูเธอร้องไห้ไม่ได้—อดีตเขาเคยหวังให้ผู้หญิงคนนี้ยอมอ่อนโอนต่อเขา ร้องไห้ในอ้อมกอดเขา แต่พอน้ำตาเธอไหลจริงๆ เขากลับพบว่าตัวเขาสนใจน้ำตาเธอมากกว่าที่คิด


ทำตัวไม่ถูก ลนลาน เขาตัดสินใจโอบแขนรั้งเธอมากอดไว้แน่น


 “กลัวใช่ไหม?” เขากดเสียงต่ำ ปลายคางวางซ้อนเหนือศีรษะเธอ “ตอนนี้มีผมอยู่ คุณไม่ต้องกลัว ต่อให้ตาย คุณก็ไม่มีทางไปอย่างโดดเดี่ยว”


เขาไม่พูดยังดีพอเขาพูดเข้าไป๋ซู่เย่กลับร้องไห้หนักกว่าเดิม สองมือกำเสื้อทหารบนตัวเขาแน่น น้ำตาชุ่มไปทั้งแผ่นอกเขา เพราะอารมณ์ตื่นตระหนกเกินไปเลยตัวสั่นระริกอย่างรุนแรง


 “เย่เซียว คุณจะมาที่นี่ทำไม?”


 “คุณถามผม? ถ้าจะถามก็น่าจะเป็นผมถามคุณ!” เย่เซียวนึกโกรธ “ไม่อยู่ประเทศ S ดีๆ คุณมารนหาที่ตายที่นี่!”


 “ใช่ ทั้งที่คุณรู้ว่าที่นี่อันตรายขนาดไหน ทั้งที่รู้ว่าคุณมาแล้วเราอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปทั้งหมด คุณจะมาทำไม?” ไป๋ซู่เย่เริ่มรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตนแต่แรก ถ้าเธอรู้ว่าเย่เซียวจะมาที่นี่ เธอไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองต้องไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด


คำถามของเธอทำให้เย่เซียวเงียบไป ปากบางเม้มแน่นไม่พูด


 “ทำไมคุณโง่ขนาดนี้?” ไป๋ซู่เย่ยังพึมพำไม่หยุด แอ่นตัวโดยสองมือจับเสื้อเขาแน่น แขนเปียกเพราะน้ำตา ไม่อาจหักห้ามและควบคุมอารมณ์ได้เลย


 “ใช่ ผมมันโง่แบบนี้แหละ!ผู้หญิงที่ปั่นหัวผมเหมือนคนโง่เมื่อสิบปีก่อนตอนนี้ใกล้ตายแล้ว ผมไม่ได้จุดพลุฉลองแต่ยังมารนหาที่ตายกับเธอ ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโง่สิ้นดี!แต่ว่า…” เย่เซียวหยุดชะงักไปอึดใจเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สายตาก้มมองเธอนิ่ง กัดฟันพูด “ถ้าคุณกล้าตาย ผมจะพังนรกให้หมด!”


ไป๋ซู่เย่อ้าแขนกอดเขาแน่น


เธอไม่ควรมาเลย…


ไม่ควรเป็นภาระเขา…


เย่เซียว เจ้าโง่!!


……………………


หยูอันยืนอยู่ข้างเฮลิคอปเตอร์มองสองคนที่กอดกันอยู่ไม่ไกลนัก ชั่วขณะก็ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรดี


ความจริงเขารู้ดีกว่าใครเรื่องความรักที่เย่เซียวมีต่อเธอ แต่ชีวิตยี่สิบห้าชีวิตในอดีตใครก็ไม่สามารถมองข้ามมันไปได้ อีกทั้งต่อให้เวลานี้แล้วเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องระแวงไป๋ซู่เย่ไว้ด้วย


ผู้หญิงที่เก่งเรื่องการแสดงและเก่งเรื่องโกหกเรื่องความรัก สิ่งที่เธอเคยหลอกลวงมาไม่เพียงแค่เย่เซียวแต่รวมถึงกลุ่มคนอย่างพวกเขาที่เห็นเธอเป็นเพื่อนจริงๆ!


ขณะที่เขาเผลอเหม่อลอยได้ยินเสียงเคลื่อนไหว หยูอันหันกลับไปมองแวบหนึ่งก็รีบตะโกนขัดพวกเขา“นายท่าน ต้องรีบไปแล้ว!คนของเยียวหมิงตามมาแล้ว!”


เย่เซียวหันไปมองตามแวบหนึ่งด้วยสีหน้าจริงจัง


เขาก้มมองหญิงสาวที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าในอ้อมแขนวูบหนึ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงพลางช้อนตัวเธอขึ้นมาทันที อกแกร่งของชายหนุ่มคล้ายเป็นที่ที่เธอรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด ไป๋ซู่เย่โอบลำคอเขาไว้ด้วยสัญชาตญาณ ปล่อยให้เขาอุ้มเธออยู่อย่างนั้น


………………………


ตอนที่ 723 ไม่ทอดทิ้งกัน (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เขาก้มมองหญิงสาวที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าในอ้อมแขนวูบหนึ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงพลางช้อนตัวเธอขึ้นมาทันที อกแกร่งของชายหนุ่มคล้ายเป็นที่ที่เธอรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด ความหวาดกลัว สิ้นหวังในใจยามเผชิญหน้ากับความตายนั้นได้มลายหายไปจนหมดสิ้น ไป๋ซู่เย่โอบลำคอเขาไว้ด้วยสัญชาตญาณ ปล่อยให้เขาอุ้มอยู่อย่างนั้น หลังดิ้นรนมาตลอดคืนกระทั่งตอนนี้เจ้าตัวถึงได้รู้สึกผ่อนคลายชั่วขณะ


ทั้งสามคนก้าวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปตามๆ กัน


ใบพัดเริ่มทำงานทะยานสู่ท้องฟ้า


ไป๋ซู่เย่นั่งในห้องผู้โดยสารโดยมีเย่เซียวนั่งขนาบข้างเธอ ตอนนี้เธอหยุดร้องไห้ไปแล้ว เก้อเขินหน่อยๆ เมื่อนึกถึงอารมณ์ที่หลุดการควบคุมของตนเมื่อกี้นี้


 “มือ ให้ผมดูหน่อย!” เย่เซียวสังเกตเห็นแผลบนแขนเธอนานแล้ว หากไม่พูดถึงเธอยังพอจะเพิกเฉยต่อมันได้ พอเขาเอ่ยถึงเธอกลับรู้สึกเจ็บขึ้นมาดื้อๆ


เย่เซียวยกแขนเธอพลางกระชากผ้าที่เธอพันไว้ลวกๆ ออก ใต้ผ้าพันแผลมีแผลที่ยังไม่ได้รับการปฐมพยาบาลซึ่งเริ่มขึ้นสีขาวเพราะติดเชื้อ


ไป๋ซู่เย่มองแวบหนึ่งแล้วเบี่ยงหน้าหันหนี เย่เซียวหายใจหนักอึ้งขึ้น เชยตามองเธอนิ่งๆ แวบหนึ่ง “ผมจะทำแผลให้คุณก่อน”


 “…อืม”


 “ไม่มียาชา อดทนหน่อย”


ไป๋ซู่เย่พยักหน้า “ไม่เป็นไร”


 “นายท่าน น้ำมันใกล้หมดแล้ว เราต้องหาที่ลงจอดก่อน” หยูอันหันมาบอกพวกเขา


เย่เซียวขมวดคิ้วและยื่นศีรษะมองลงไปข้างล่างทีก่อนจะรีบออกคำสั่ง “ทิศทางแปดนาฬิกา มีรถบ้านที่ถูกทิ้งอยู่ เราไปหลบที่นั่นก่อนชั่วคราว”


หยูอันพยักหน้ารับก่อนจะลงจอดเฮลิคอปเตอร์อย่างแม่นยำ


เย่เซียวพยุงไป๋ซู่เย่กระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ “คุณเข้าไปก่อน ผมกับหยูอันต้องวางแผนปฏิบัติการง่ายๆ ก่อน”


 “ฉันอยู่ช่วยพวกคุณได้”


 “ตอนนี้คุณใกล้จะหมดแรงแล้วยังช่วยอะไรอีก? เข้าไปซะ!” เย่เซียวไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดไปมากกว่านี้ก็ปฏิเสธความต้องการเธอทันที


ไป๋ซู่เย่กลัวว่าตนอยู่ต่อไปจะทำให้เขาไม่มีสมาธิเลยตัดสินใจไปสำรวจรถบ้านก่อน รถคันนี้เห็นได้ชัดว่าถูกทอดทิ้งไว้เป็นเวลานานและทรายกลบยางล้อรถจนมิด ตัวรถเองก็มีแต่เม็ดทราย เธอเปิดประตูเข้าไปก็ไอรัวๆ เพราะสำลักฝุ่นทราย


ไม่สนใจว่าบนเก้าอี้จะมีฝุ่นทราย เธอทิ้งตัวนั่งลงอย่างหมดแรงพิงพนักทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกเย่เซียวกับหยูอันกำลังฝังระเบิดที่ไกลจากตรงนี้ไปประมาณสิบเมตร


เธอมองแผ่นหลังเย่เซียวฉับพลันหลากหลายความรู้สึกก็โหมกระหน่ำมาในใจ ทั้งปวดใจแต่ไม่ได้ขมขื่นอย่างที่เคย ตอนนี้กลับรู้สึกหวานชื่นหน่อยๆ…


เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะมา…


ในช่วงเวลาที่เธอแทบหมดหวังและรอความตาย ผู้ชายคนนี้เหมือนเทวดาที่ทำทุกอย่างได้ ปรากฏต่อหน้าตัวเองอย่างไม่คิดชีวิต


แต่ว่า…


ท่ามกลางความหวานชื่นนี้กลับแฝงด้วยความกังวลปนลำบากใจที่มากกว่านั้น


ทะเลทรายผืนนี้เต็มไปด้วยกลุ่มติดอาวุธ แค่พวกเขาสามคนอย่าคิดว่าจะรอดพ้นไปจากที่นี้ได้อย่างปลอดภัยเลย ต่อให้อาวุธของพวกเขาจะพอขับไล่คนบางกลุ่มไปได้บ้างแต่การไม่มีกำลังเสริม ติดอยู่ที่นี่หลายวันพวกเขาคงไม่พ้นขาดน้ำตายก็หิวตาย


ขณะที่กำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยประตูรถบ้านก็ถูกผลักเข้ามาจากข้างนอก ตัวเย่เซียวสูงใหญ่ต้องโค้งตัวถึงเข้ามาได้ พื้นที่ข้างในเดิมทีไม่ได้กว้างใหญ่อยู่แล้วพอเขาเข้ามาก็ยิ่งคับแคบเข้าไปกว่าเดิม


เขาเปิดฝากระบอกน้ำยื่นให้เธอ “ดื่มสักหน่อย”


ไป๋ซู่เย่หยิบมาแต่แค่จิบน้ำเบาๆ อย่างหักห้ามใจ


 “ดื่มอีกสักหน่อย” เย่เซียวกลัวเธอจะขาดน้ำ


 “ไม่ล่ะ” ต่อให้เธอไม่ได้ดื่มน้ำมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแต่เธอรู้ว่าท่ามกลางทะเลทรายนี้ทรัพยากรน้ำสำคัญมากขนาดไหน


 “คุณจะดื่มเองหรือให้ผมป้อน?” เย่เซียวเพิกเฉยคำพูดเธอไปโดยตรง


 “ไม่ต้องแล้วจริงๆ ฉันยังพอทนได้”


เย่เซียวแย่งกระบอกน้ำจากมือเธอบิดฝาออกดื่มอึกใหญ่ สบโอกาสที่ไป๋ซู่เย่ยังนิ่งค้างอยู่นั้นคว้าร่างเธอเข้าไปก่อนจะโน้มหน้าประกบปากเธอส่งต่อน้ำในปากไปให้เธออย่างไม่ลังเล


อื้อ ผู้ชายเอาแต่ใจคนนี้!


แต่การเอาแต่ใจแบบนี้ของเขาสร้างความหวั่นไหว เรียกให้เธอหลงใหลและยากจะถอนตัวได้เสมอ


 “กลืนลงไป ห้ามฟุ่มเฟือยแม้แต่หยดเดียว!” เย่เซียวผละจากเธอ


ไป๋ซู่เย่จำต้องกลืนน้ำลงท้อง ของเหลวไหลผ่านลำคอไปถึงทำให้เธอรู้สึกสบายขึ้นหน่อย บนริมฝีปากคล้ายยังมีไออุ่นของเขาหลงเหลืออยู่ ทำเอาเธอใจสั่นรัว


เย่เซียวถึงค่อยพอใจ ทิ้งสายตาที่ปากเธอชั่ววูบก่อนจะหันหนีอย่างรวดเร็ว


 “ยกแขนขึ้น ผมทำแผลให้คุณก่อน” เขาวางกระบอกน้ำลง


ไป๋ซู่เย่ถึงยื่นแขนให้เขาตามคำสั่ง เขามองเธอนิ่งแวบหนึ่ง สายตานั่นแน่วแน่แต่ก็เต็มไปด้วยกำลังใจคล้ายปลอบโยนเธอทั้งมอบพลังให้เธอยืนหยัดต่อไป ไป๋ซู่เย่กระตุกปากยิ้ม “คุณทำเถอะ ฉันทนไหว”


สีหน้าเย่เซียวหนักอึ้งหยิบกรรไกลจากกล่องปฐมพยาบาลอกมาตัดแขนเสื้อบนแขนเธอก่อน จากนั้นค่อยหยิบแอลกอฮอล์ล้างแผลมา


หยุดชะงัก


มองเธอ


 “เดี๋ยวจะเจ็บมาก ทนหน่อยนะ”


ไป๋ซู่เย่หยักหน้า


เธอหันหน้าหนีไม่มอง เย่เซียวเห็นใบหน้ามุมข้างที่อดทนรวมถึงฝุ่นควันยังบดบังความงดงามของเธอไม่ได้ หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาเสียดื้อๆ


นี่แหละผู้หญิงที่เขาต้องการ—ไม่อ่อนแออ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิงคนอื่นและไม่เคยเผยมุมอ่อนแอต่อหน้าเขา แต่ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ เสน่ห์ล้นเหลือเหล่านี้เทียบเท่ากับดอกไม้ที่ผลิบานกลางทะเลทราย


เย่เซียวกัดฟันแน่นเทแอลกอฮอล์ใส่แผลเธอ


 “อึก…” ความแสบร้อนตรงปากแผลทำให้ตัวเธอสั่นระริก ปากที่แตกแห้งเป็นทุนเดิมถูกเธอกัดจนเลือดซิบ


เธอเผลอถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว


เย่เซียวชะงักท่าที่กำลังเทแอลกอฮอล์ เห็นเธอเจ็บขนาดนี้หัวใจเขารู้สึกเจ็บเหมือนถูกคนจ้วงแทง


วางแอลกอฮอล์ลงมองเธอโดยที่ไม่ได้ทำขั้นตอนต่อไปพักใหญ่


รอความเจ็บที่ค่อยๆ บรรเทาลง ไป๋ซู่เย่หันหน้ามาเอ่ยปากกล่าวอย่างอ่อนแรง “ฉันไม่เป็นไร…คุณต่อเลย”


เสียงของเธอเบาหวิวคล้ายกลุ่มควันที่พร้อมจะสลายหายไปทุกเมื่อ


เย่เซียวหยิบมีดผ่าตัดและคีมหนีบที่ผ่านการฆ่าเชื้อออกมาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง มือหนึ่งตะครุบแขนเธอไว้แน่น สองตามองเธอไม่ห่าง มีดสัมผัสผิวเธอทำให้ขนตาเธอสั่นไหวรุนแรง แต่ว่า…


มือของเย่เซียวก็แอบสั่นน้อยๆ จนกำมีดไม่อยู่


เขาได้เตรียมใจมากพอแล้วแต่สุดท้าย…


 “หยูอัน แกมาทำ!” เขาโยนมีดผ่าตัดทิ้ง ล้มเลิกความคิด


หากแผลนี้อยู่บนตัวเขา มันเป็นเรื่องสบายมากที่เขาจะต้องกรีดมีดลงบนตัว สามารถลงมือกระทำอย่างไม่ออมมือ แต่จะให้กรีดบนตัวเธอนั้นให้ตายอย่างไรเขาก็ทำไม่ได้!


หยูอันที่กำลังเดินสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้างอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงเรียกเลยแบกปืนเข้ามาถาม “นายท่าน ทำไมเหรอ?”


 “แกมาทำ!”


เขาลุกยืนย้ายตำแหน่งที่เดิมให้หยูอัน


ส่วนตัวเขาได้เบี่ยงตัวไปนั่งข้างๆ ไป๋ซู่เย่


 “ผมเหรอ?” หยูอันชี้มาที่ตัวเอง


เย่เซียวพยักหน้าหนักแน่น


…………………………


ตอนที่ 724 ไม่ทอดทิ้งกัน (3)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวพยักหน้าแรงๆ จากนั้นใช้แขนข้างเดียวรั้งตัวหญิงสาวข้างกายมาในอ้อมอกตัวเอง


ถูกเขากอดอยู่แบบนี้ ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าความเจ็บบนตัวคลายลงไม่น้อย เธอทิ้งตัวให้พิงอยู่ที่อกเขา


หยูอันวางปืนลงมองทั้งสองคน สุดท้ายหยิบมีดผ่าตัดขึ้นมา ไป๋ซู่เย่เผลอหันไปมองแวบหนึ่งแต่เย่เซียวใช้มือข้างที่ว่างปิดตาเธอจับหน้าเธอให้หันไป “ไม่ต้องดู มองผมให้ดี!”


ไป๋ซู่เย่คว้าจับมือเขาที่ปิดตาตัวเองลงมาแล้วช้อนตามองเขา ระยะห่างที่ใกล้นี้มองเห็นองค์ประกอบบนใบหน้าเขาได้ชัดเจนทุกระเบียดนิ้ว ยังคงเย็นชา คมเข้มเหมือนเดิม


แต่เธอ…


 “ตอนนี้ฉันน่าเกลียดมากเลยใช่ไหม?” เกลือกกลิ้งในทะเลทรายมาตลอดวัน คงดูดีอย่างเดิมไม่ได้


เย่เซียวเขี่ยผมปรกข้างแก้มเธอออก ก้มมองเธอด้วยแววตาที่จดจ่อและตั้งใจ เดิมทีไป๋ซู่เย่แค่อยากหาหัวข้อที่จะช่วยให้ผ่อนคลายลงกับเขาแต่กลับไม่คิดว่าเขาจะจ้องตัวเองเช่นนี้ กลับทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินขึ้นมานิดๆ สภาพทรุดโทรมของเธอ เธอไม่อยากให้เขาเห็นให้ชัดเลยจริงๆ


เธอใช้มือปิดตาเขา


 “ไม่ต้องดูแล้ว…” เธอถูกเขามองจนหัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เสียงอ่อนลงเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว


เย่เซียวจับมือเธอลงมากุมเอง กุมแน่นไม่ปล่อย สักพักถึงพ่นคำหนึ่งออกมาจากปาก “น่าเกลียด”


แม้ปากจะว่าอย่างนั้นแต่สายตากลับจดจ้องใบหน้าเธออย่างเร่าร้อนคล้ายมองอย่างไรก็มองไม่พอ


ไป๋ซู่เย่ไม่มีมือที่มากพอจะปิดตาเขาอีกได้แต่เบี่ยงหน้าหันหนีสายตาที่รุกล้ำและคลุมเครือของเขา พูดเสียงเบา “บนตัวคุณก็มีแต่ทราย ไม่ได้ดีไปกว่าฉันเท่าไหร่หรอก”


 “อะแฮ่มๆ” หลังหยูอันลังเลอยู่อึดใจจำต้องพูดขัดพวกเขา “เอ่อ…ผมจะเริ่มแล้วนะ”


 “…” ไป๋ซู่เย่มุ่นคิ้ว


ต่อมา…


แขนถูกมีดคมกรีดเป็นแนวยาวทั้งอย่างนั้น เธอเจ็บจนสูดปากเห็นว่าฟันขาวสะอาดจะกัดปากตัวเองอย่างอัตโนมัติเย่เซียวที่ไหวตัวเร็วกว่าเธอรีบเอานิ้วมือไปสอดช่องฟันเธออย่างรวดเร็ว “ห้ามกัด!”


ไป๋ซู่เย่เจ็บจนเหงื่อซึมทั่วหน้า เธอไม่อาจพูดอะไรออกมาได้แต่กลับพยายามหักห้ามไม่ให้กัดนิ้วเขาเป็นแผล


เย่เซียวจับหน้าเธอให้ซุกบนไหล่ตัวเอง “กัดผม!ห้ามกัดตัวเองเป็นแผล!”


ไป๋ซู่เย่ไม่ยอม ยังคงทนไว้


 “เด็กดี” เย่เซียวตบหลังเธอเบาๆ


อีกฟากหนึ่งกรีดมีดลงมาอีกทีสร้างความเจ็บปวดแก่เธอให้ร้องครางออกเสียง กัดเสื้อบนไหล่เขา เย่เซียวรีบกอดเธอแน่นกว่าเดิมและรู้สึกได้ว่าตัวเธอสั่นเทิ้มอย่างชัดเจน เขาก้มมองหยูอันแวบหนึ่ง “เร็วหน่อย!”


 “ครับ นายท่าน”


ตัวเธอในอ้อมอกเย่เซียวตัวเกร็งแข็งเหมือนกับหินก็ไม่ปาน มือใหญ่ของเขาลูบหลังเธออย่างปวดใจ “ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว”


 “…อืม” ไป๋ซู่เย่รับคำอย่างอ่อนแอ อีกมือกอดเอวเขาไว้ น้ำตาเธอไหลรินอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป


 “…” เย่เซียวปวดใจ เสียงแหบลงไม่น้อย “คุณไม่ชอบร้องไห้ไม่ใช่เหรอ วันนี้คิดจะร้องไห้ให้น้ำตาหมดตัวหรือไง?”


 “ใครว่าฉันไม่ชอบร้องไห้? เมื่อก่อนฉัน…ร้องไห้บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ?” ไป๋ซู่เย่พูดเสียงสั่นน้อยๆ


เมื่อก่อน…


เอ่ยถึงอดีตเย่เซียวก็แสดงสีหน้าซับซ้อนหน่อยๆ “ตั้งแต่ได้เจอคุณอีกครั้ง ก่อนวันนี้ ผมไม่เคยเห็นน้ำตาคุณ”


เธอกัดเสื้อเขาอ้าปากที่สั่นระริกพูดเสียงอุดอู้ “นั่นเป็นเพราะว่า…ร้องไห้ไม่ได้…”


ผู้หญิงที่ฉลาดมีแต่จะยอมร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายที่ยอมให้อภัยตัวเอง รักตัวเองและสงสารตัวเอง เย่เซียวในสิบปีหลังมาพร้อมกับการแก้แค้นและเหยียดหยาม เธอย่อมต้องสวมชุดเกราะให้ตัวเองไม่ให้ตกเป็นรองอีกฝ่าย


สายตาที่เย่เซียวใช้มองเธอนั้นทั้งล้ำลึกและซับซ้อน เขาถามเสียงต่ำ “ในเมื่อร้องไห้ไม่ได้ ตอนนี้…ทำไมถึงร้องล่ะ?”


 “…” ไป๋ซู่เย่อยากพูดบางอย่างแต่ความเจ็บที่รุนแรงกว่าระลอกก่อนถาโถมเข้ามา เธอครางเสียงฮึมทีหนึ่งจากนั้นก็เป็นลมหมดสติไปเพราะความเจ็บทันที


 “ซู่ซู่!”


สติเธอเลือนรางนัก ได้ยินเสียงเย่เซียวที่พร่ำเรียกเธออยู่ข้างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ซู่ซู่…


ซู่ซู่…


เธอยกยิ้มมุมปาก ความมืดหม่นที่สุมอยู่ในอกมานาน ค่อยๆ สลายไปท่ามกลางความเจ็บจากร่างกาย…


……………………


รอเธอฟื้นมาอีกที ลูกกระสุนที่ฝังอยู่ในแขนก็ถูกผ่าออกมาเรียบร้อยและใส่ยาเสร็จสรรพ ผ้าพันแผลพันรอบแขนด้วยวิธีทำแผลที่ถูกต้องอย่างเชี่ยวชาญ


เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ตรงหน้ามืดสนิท


ฟ้ามืดแล้ว


กวาดมองรอบข้าง ไม่ได้ยินเสียงหายใจของใคร


ใจเธอหวาดระแวงชั่วขณะ


 “เย่เซียว!”


เผลอเรียกชื่อเขาโดยไม่รู้ตัว ลุกจากเตียงจนเสื้อบนตัวตกลงมา เธอรู้ว่าเป็นเสื้อกันหนาวลายทหารของเขา


แต่ตัวเขาล่ะ?


 “ผมอยู่นี่” ประตูรถบ้านถูกเปิดเข้ามาจากข้างนอก เย่เซียวที่มามาพร้อมกับแสงดาวข้างนอกยืนมองเธออยู่ตรงหน้าประตู


ไป๋ซู่เย่เบาใจลง


ใบหน้าก็ผ่อนคลายลง


ดีที่เขาไม่เป็นอะไร


“ฉันไม่คิดว่าฉันจะหลับไปนานขนาดนี้” ไป๋ซู่เย่ลุกขึ้นนั่ง


อุณหภูมิที่แตกต่างกันเกินไปทำให้เธอรู้สึกเย็นเล็กน้อย


“คุณอดนอนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วยังบาดเจ็บ ต้องนอนเยอะหน่อยอยู่แล้ว”


ไป๋ซู่เย่รู้ว่าเหตุผลหนึ่งที่เธอหลับได้นานขนาดนี้เป็นเพราะจิตสำนึกเธอรู้ว่าเย่เซียวอยู่ มีเขาอยู่ เธอเลยมีที่คุ้มกันความปลอดภัยชั้นบางๆ ไปโดยปริยาย


 “คุณใส่เสื้อก่อน ข้างนอกลมแรง” ไป๋ซู่เย่ยื่นเสื้อกันหนาวให้เขา


เย่เซียวรับไปแต่กลับมาสวมให้เธอแทนพร้อมพูดสั่ง “ใส่ดีๆ”


 “เย่เซียว…” เธอระอาหน่อยๆ


 “เร็ว”


คำพูดของเขาไม่เคยเปิดช่องให้ใครปฏิเสธอยู่แล้ว ไป๋ซู่เย่เถียงเขาไม่ไหวเลยสวมใส่เสื้อของเขาอย่างเชื่อฟัง


 “หยูอันยังอยู่ข้างนอกเหรอ?”


 “อืม”


 “คนของเยียวหมิงเจอตัวเราไหม?”


 “ยังไม่มีใครมาชั่วคราว”


 “ฉันอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย” ไป๋ซู่เย่ลุกจากเตียง


 “มาสิ” เย่เซียวยื่นมือให้เธออย่างเป็นธรรมชาติ เธอก้มหน้ามองมือของเขา แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างกระทบบนฝ่ามือเขา ใจเธอสั่นไหวชั่ววูบจากนั้นจึงวางมือบนมือเขา


ฝ่ามือเขาอบอุ่นกว้างหนา มือของเธอที่ถูกเขากอบกุมอยู่นั้นเหมือนมือของเด็กน้อยคนหนึ่ง


ความสว่างในรถบ้านไม่เท่ากับข้างนอก เย่เซียวเดินนำเธอลงจากรถโดยมีไป๋ซู่เย่ตามหลัง รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก


 “นายท่าน” หยูอันเห็นพวกเขาสองคนออกมาเลยหันมาทักทายทีหนึ่ง


ไป๋ซู่เย่เดินไปข้างหยูอัน มองเขาแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงเบา “ขอบคุณ”


…………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม