วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 712-718

ตอนที่ 712 หนิงของฉันน่าอัศจรรย์ที่สุด!

 

ศิลปินหนุ่มชื่อดังถูกรับเชิญมาให้เป็นพรีเซนเตอร์ของอีเวนต์ดังกล่าว เมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวบนพรมแดง แฟนคลับจำนวนหนึ่งก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นตามที่คาดไว้ แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าน้ำหอมยี่ห้อดังเจ้านี้มีคู่ค้าคนสำคัญอย่างถังซื่อกรุป


 


 


ดังนั้นร่างงามร่างหนึ่งจึงมาปรากฏตัวต่อหน้าสื่อมวลชนและสาธารณชนในเวลาต่อมา ทีแรกทุกคนพากันตกตะลึงแต่ก็ตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการถ่ายภาพด้วยกล้องของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง


 


 


“ทำไมถังหนิงถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ เขาลือกันไม่ใช่เหรอว่าเธอถูกทั้งวงการแบน เธอได้รับอนุญาตให้มาที่นี่ได้ยังไงกัน”


 


 


“ข่าวลือน่ะเชื่อถือไม่ได้หรอก ดูจากสีหน้าของถังหนิงแล้ว เธอไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยนะเนี่ย”


 


 


“ถังหนิงต้องมาที่นี่เพื่อขจัดข่าวลือแน่ๆ”


 


 


“ถังหนิง มองมาทางนี้แล้วยิ้มให้พวกเราหน่อยครับ!”


 


 


“ถังหนิง…”


 


 



 


 


ไม่มีใครคาดคิดว่าถังหนิงจะมาปรากฏตัว และเนื่องจากไม่ได้เห็นเธอมาสักพักแล้ว พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะไล่ตามเธอ ทุกคนอยากได้ยินจากปากของหญิงสาวว่าข่าวลือในช่วงนี้นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่


 


 


โลกอินเทอร์เน็ตตามข่าวนี้กันอย่างรวดเร็ว พวกเขาถึงกับโพสต์ภาพถังหนิงที่โพสท่าได้อย่างสมบูรณ์แบบในชุดเดรสยาวสีชมพู


 


 


แน่นอนว่าซ่งซินตาโตเมื่อได้เห็นข่าวนั้น หลังจากที่แน่ใจแล้วว่านั่นคือถังหนิงจริงๆ เธอจึงโทรหาต้วนจิ่งหง “เธอได้ข่าวหรือยัง วันนี้ถังหนิงไปร่วมงานเปิดตัวสินค้าของน้ำหอมยี่ห้อดังแบรนด์หนึ่ง ยังมีใครกล้าเชิญมันอีกได้ยังไงเนี่ย”


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่รู้เหตุผลนั้นเช่นกัน เธอเพียงแต่เชื่อในความสามารถของถังหนิง


 


 


“ไม่ ฉันจะไม่ปล่อยให้นังสารเลวนั่นได้คืนวงการอย่างรวดเร็วแบบนี้!”


 


 


เมื่อเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวศัตรูของซ่งซิน ต้วนจิ่งหงก็นิ่งเงียบ เธอเชื่อว่าถังหนิงนั้นกล้าหาญและไม่มีอะไรต้องกลัว


 


 


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เป็นไปได้ยังไง ฉันจะไปถามคุณปู่!”


 


 


ขณะเดียวกัน ถังหนิงกำลังให้สัมภาษณ์อยู่


 


 


“คุณถังครับ พักนี้มีข่าวลือกันว่าคุณไปลบหลู่ข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่งและต้องเผชิญกับวิกฤตทางอาชีพครั้งใหญ่ นั่นเป็นเรื่องจริงไหมครับ”


 


 


“ขอโทษด้วยค่ะ แต่วันนี้ฉันไม่ได้มาร่วมงานในฐานะนักแสดงหรือศิลปิน อย่าลืมสิคะว่าฉันยังเป็นประธานบริษัทถังซื่อกรุป ฉันมาร่วมงานในวันนี้เพียงเพราะแบรนด์แบรนด์นี้เป็นคู่ค้าของถังซื่อกรุปเท่านั้นค่ะ ดังนั้นฉันจึงควรแสดงการสนับสนุนสักหน่อย…”


 


 


ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เธอมาที่นี่ใฐานะประธานบริษัทของถังซื่อกรุป ไม่ใช่ในฐานะนักแสดงของไห่รุ่ย!


 


 


มันอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับซ่งซินที่จะข่มเหงถังหนิงที่เป็นนักแสดง แต่หากเธอต้องการจะข่มเหงถังหนิงที่เป็นประธานบริษัทละก็ เธออาจจะต้องติดสินบนข้าราชการหลายๆ คนที่ประจำอยู่ในกรมเศรษฐกิจ


 


 


ขณะที่ซ่งซินดูฉากนี้บนแท็บเล็ตของเธอ หญิงสาวก็อยากจะขว้างมันลงกับพื้นจนแทบขาดใจ


 


 


ถังหนิง แกนี่มันร้ายจริงๆ!


 


 


“แปลว่าจากนี้ไปคุณจะเข้าร่วมอีเวนต์ต่างๆ ในฐานะประธานบริษัทถังซื่อกรุปใช่ไหมครับ” ในเมื่อถังหนิงเปลี่ยนเรื่อง เหล่านักข่าวก็ปรับเปลี่ยนคำถามของพวกเขาเช่นกัน ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการจะรู้ก็คือถังหนิงได้ไปลบหลู่ข้าราชการระดับสูงคนหนึ่งจริงๆ หรือไม่


 


 


“อย่างน้อยก็งานนี้นั่นล่ะค่ะ” ถังหนิงเลี่ยงตอบคำถาม หญิงสาวไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธว่าตัวเองถูกข่มเหง และนั่นทิ้งหลายสิ่งให้เหล่านักข่าวเก็บเอาไปคิด “ในฐานะประธานบริษัทถังซื่อกรุป ฉันยังสามารถรับใช้ทุกคนได้อยู่ค่ะ”


 


 


หลังจากนั้น ถังหนิงก็ออกจากบริเวณให้สัมภาษณ์และก้าวเข้าไปในสถานที่จัดงานอย่างรวดเร็ว


 


 


แน่นอนว่าการปรากฏตัวของถังหนิงนั้นมอบความมั่นใจให้เหล่าแฟนคลับของเธอได้มากมาย มันเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นเธอปลอดภัย เพราะถึงอย่างไร ข่าวลือเหล่านั้นก็น่ากลัวเกินไปจริงๆ


 


 


[หนิงของฉันปลอดภัยล่ะ…]


 


 


[โชคร้ายที่เธอไม่สามารถชี้แจงได้ว่าเธอถูกรังแกหรือเปล่า ศัตรูคงไม่ได้คิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าถึงถังหนิงจะไม่ใช่นางแบบหรือนักแสดง เธอก็ยังเป็นประธานบริษัทอยู่]


 


 


[ฉันคิดว่าหนิงของฉันกำลังถูกรังแกนะ ไม่อย่างนั้นเธอจะพูดเรื่องตัวตนในฐานะนักแสดงอย่างชัดเจนทำไมล่ะ]


 


 


[อันที่จริงมันไม่แย่เลยนะที่หนิงของฉันจะเป็นประธานบริษัท ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไร เธอก็ยังเป็นหนิงของฉันอยู่!]


 


 


[หนิงของฉันน่าอัศจรรย์ที่สุดเลย!]


 


 


[ที่พูดๆ ว่าเธอถูกข่มเหงและกักตัวไว้มันอะไรกัน หนิงของฉันกำลังไปได้ดีกับการเป็นประธานบริษัทต่างหากล่ะ]


 


 


 


 


ไม่ว่าในกรณีไหน การปรากฏตัวของถังหนิงก็ทำให้เหล่าแฟนคลับสงบสติลงอย่างรวดเร็วและเลิกคาดเดาไปเรื่อยว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายหรือไม่


 


 


ที่สำคัญที่สุด ต้วนจิ่งหงสัมผัสได้ว่าถังหนิงกำลังประกาศสงครามกับซ่งซินผ่านจอภาพ หากซ่งซินต้องการข่มเหงเธอ มันก็เห็นได้ชัดแล้วว่าตระกูลซ่งยังไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น


 


 


ด้วยเหตุนี้ ต้วนจิ่งหงจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้


 


 


ผู้หญิงคนนี้คือถังหนิงจริงๆ ไม่มีใครสามารถบดบังรัศมีอันเจิดจ้าของเธอได้ เธอทำให้ผู้คนทั้งอิจฉาและเลื่อมใสเธอได้ในเวลาเดียวกัน


 


 


ผู้อาวุโสซ่งรู้สึกโกรธกับอีเวนต์ในวันนั้น ดังนั้นชายชราจึงโทรหาชายคนหนึ่งที่ทำงานให้เขา


 


 


แต่ชายคนนั้นกลับตอบมาเพียงว่า “นอกเหนือจากการเป็นนางแบบหรือนักแสดงแล้ว ถังหนิงมีตัวตนอื่นๆ อีกมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือประธานบริษัทถังซื่อกรุป”


 


 


เขาสามารถควบคุมการกระทำของถังหนิงในวงการบันเทิงได้ แต่เขาไม่สามารถจำกัดอิสรภาพของเธอ เขาไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น


 


 


“พูดอีกอย่างก็คือ จากนี้ไปคุณไม่สามารถควบคุมการไปร่วมอีเวนต์ต่างๆ ของถังหนิงในฐานะที่เป็นประธานบริษัทถังซื่อกรุปได้อย่างนั้นหรือ”


 


 


“ท่านครับ อย่าบังคับให้ผมทำสิ่งที่อยู่เหนืออำนาจของผมเลย ผมมีเบอร์โทรศัพท์ของคนที่ท่านควรจะคุยด้วยอยู่ ลองโทรหาเขาแล้วดูว่าเขายินดีที่จะทำลายบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งให้ท่านหรือเปล่า ขอผมเตือนท่านหน่อยนะครับว่าถังซื่อกรุปน่ะเป็นอาณาจักรน้ำหอมที่อยู่มานานนับศตวรรษและบริจาคเงินจำนวนมากให้กรุงปักกิ่ง…”


 


 


ผู้อาวุโสซ่งรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง เขาสิ้นท่าให้กับนักแสดงเพียงคนเดียวได้อย่างไร และเขาจะอธิบายสถานการณ์นี้กับซ่งซินอย่างไร


 


 


“ยัยถังหนิงนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ”


 


 


อย่างไรก็ตาม ชายชราไม่คิดเลยว่าคนที่เจ้าเล่ห์จริงๆ นั้นคือหลานสาวของเขาเอง


 


 


ลูกตบของถังหนิงนั้นกระแทกเข้าที่หน้าของชายชราอย่างจัง เพราะถึงอย่างไรชายชราก็ไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับหลานสาวของเขาได้ ทีนี้ความภาคภูมิใจของเขาจะเป็นอย่างไรกันล่ะ


 


 


แน่นอนว่านี่คือผลลัพธ์ที่โม่ถิงและถังหนิงอยากให้เกิดขึ้น ถังหนิงคือคนที่โดนข่มเหงได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ น่าขำสิ้นดี!


 


 


ทว่าหากซ่งซินคิดว่าทุกอย่างจบลงอย่างเรียบง่ายเช่นนั้น ศัตรูของเธอก็คงจะไม่ใช่ถังหนิง ถังหนิงตัวจริงนั้นกำลังจะทำให้ซ่งซินได้ชดใช้ให้กับการตัดสินใจอันโง่เง่าของตัวเอง!


 


 


ถังหนิงกำลังจะคลอดลูก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะลาจากวงการบังเทิง แต่…เธอยังมีตัวเลือกในการทำให้ต้วนจิ่งหงมีชื่อเสียงขึ้นมา


 


 


ซ่งซินจะรู้สึกอย่างไรหากผู้จัดการของเธอประสบความสำเร็จมากกว่าตัวเอง


 


 


นี่เป็นบางสิ่งที่ต้วนจิ่งหงเองก็ไม่ได้คาดคิดเอาไว้เช่นกัน หญิงสาวไม่เคยคิดเลยว่าถังหนิงจะเสนอสิ่งที่กล้าและบ้าบิ่นเช่นนี้


 


 


“ไปคิดมาแล้วให้คำตอบกับฉันนะ”


 


 


“แต่ทุกคนในวงการนี้ต่างก็มีจุดแข็งเป็นของตัวเองนะ ฉันจะไปเดบิวต์ได้ยังไงล่ะ” ต้วนจิ่งหงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อีกอย่าง ถ้าคุณทำให้ฉันมีชื่อเสียง คุณจะปล่อยให้ฉันก้าวข้ามคุณไปด้วยอย่างงั้นเหรอ”


 


 


“ถ้าเธอมีความสามารถ ฉันก็ไม่กลัวการถูกก้าวข้ามหรอกนะ” ถังหนิงตอบ “เธอไม่จำเป็นต้องมาห่วงฉันหรอก เมื่อถึงเวลาที่ฉันได้กลับไป ฉันก็จะกลับ!” 

 

 


ตอนที่ 713 รอคลอด

 

คำถามคือ หากคนธรรมดาคนหนึ่งได้รับโอกาสให้กลายเป็นคนร่ำรวยและมีชื่อเสียง คนคนนั้นจะปฏิเสธมันหรือไม่


 


 


แน่นอนว่าไม่!


 


 


แม้ต้วนจิ่งหงจะอยู่ในวงการเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เธอก็ได้เห็นความดึงดูดใจและความน่าตื่นเต้นของมันมาประมาณหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่หญิงสาวจะยอมรับสภาพของตัวเองในปัจจุบัน หากถังหนิงยินดีที่จะมอบโอกาสให้เธอก้าวข้ามซ่งซินและได้รับชื่อเสียงเงินทองไปพร้อมๆ กัน แม้แต่คนที่โง่เขลาที่สุดก็คงไม่มีวันทิ้งโอกาสอันดีนี้ไป ไม่ต้องพูดถึงคนอย่างต้วนจิ่งหงผู้ถูกซ่งซินกวนใจมาเสมอเลย


 


 


“ฉะ…ฉันต้องทำยังไงบ้าง” ต้วนจิ่งหงประหม่ามากเสียจนพูดไม่ออก


 


 


สำหรับถังหนิงแล้ว นี่อาจเป็นเพียงการตัดสินใจธรรมดาๆ แต่สำหรับต้วนจิ่งหง มันมากพอที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอได้เลย


 


 


“ฉันต้องใช้เวลาสักพักเพื่อวางแผนอย่างเหมาะสม” ถังหนิงกล่าวก่อนจะกดวางสายแล้วหันไปมองหน้าโม่ถิง


 


 


ชายคนนี้ดูจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่เขาเข้าใจแผนการของถังหนิงเสมอ เพราะถึงอย่างไร การข่มเหงในครั้งนี้ก็ได้จุดประกายความคิดในใจของถังหนิงได้มากมาย


 


 


การพาต้วนจิ่งหงเข้าวงการบันเทิงนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ซ่งซินเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด และในเวลาเดียวกัน มันจะช่วยปกป้องท้องของถังหนิงจากแผนการชั่วร้ายด้วยการดึงความสนใจของซ่งซินไปที่อื่น


 


 


ส่วนผู้อาวุโสซ่งนั้น พวกเขาจะจัดการกับเขาหลังจากที่เด็กเกิดมาแล้ว


 


 


สำหรับตอนนี้ ถังหนิงจะรอคลอดลูกด้วยความอดทน


 


 


เช้าวันถัดมา โม่ถิงสั่งให้ลู่เช่อไปหาข้อมูลเกี่ยวกับต้วนจิ่งหงมาเพื่อดูว่าเธอมีอะไรที่น่าสนใจหรือไม่ หากเธอมีความสามารถอยู่บ้าง พวกเขาก็สามารถเซ็นสัญญาให้เธอเป็นเด็กฝึกงานที่ไห่รุ่ยได้ทันที หากเธอไม่มีความสามารถอะไรเลย พวกเขาก็สามารถหาผู้เชี่ยวชาญสักคนมาช่วยเธอและลองดูสักตั้ง จากข้อมูลที่พวกเขาค้นพบ การทำให้ต้วนจิ่งหงโด่งดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย


 


 


“ต้วนจิ่งหงคนนี้มีหน้าตาและพื้นหลังครอบครัวที่อยู่ในระดับกลางๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรให้ขายเยอะนักยกเว้นเรื่องที่ว่า…เธอเต้นเก่งมาก! ถ้าเราเดบิวต์เธอในวงเกิร์ลกรุป เธอต้องทำได้ดีแน่นอนครับ”


 


 


“งั้นก็เอาแบบนั้นแหละ บอกให้ฟังอวี้เตรียมการและปฏิบัติกับเธอเหมือนเด็กฝึกงานคนอื่น หากเธอล้มเหลวไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตาม ไล่เธอออกได้เลย!”


 


 


ลู่เช่อรู้สึกสับสน ต้วนจิ่งหงเป็นศัตรูของคุณผู้หญิงไม่ใช่หรือ ถึงอย่างนั้นโม่ถิงกลับไม่ได้สนับสนุนเธอเพียงอย่างเดียว แต่ยังวางแผนที่จะทำให้เธอมีชื่อเสียงอีกด้วย


 


 


โม่ถิงเข้าใจความสับสนของลู่เช่อ ดังนั้นเขาจึงตอบอย่างเยือกเย็นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาว่า “เพราะความผิดที่ผ่านมา ตอนนี้เธอถึงต้องทำตัวเป็นโล่ยังไงล่ะ”


 


 


“ทำไมเราถึงไม่จัดการกับซ่งซินโดยตรงไปเลยล่ะครับ”


 


 


“นับจากซ่งซินไปจนถึงตระกูลซ่งและความสัมพันธ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียว” พูดอีกความหมายหนึ่งก็คือ เด็กน้อยผู้ล้ำค่าของตระกูลโม่กำลังจะลืมตาดูโลกและชายหนุ่มก็ไม่มีเวลาไปจัดการกับคนเหล่านี้ ไม่ว่าปัญหานั้นจะสำคัญแค่ไหน ก็ต้องรอจนกว่าลูกของเขาจะเกิดมา


 


 


“รับทราบแล้วครับ!” ลู่เช่อเปล่งเสียงออกมาอย่างหนักแน่น ตามนิสัยของโม่ถิงแล้ว เขามักจะเป็นคนที่หาทางแก้แค้นในที่ที ทว่าสิ่งนี้ก็ได้อธิบายว่าทำไมเขาถึงจงใจฝึกฝนต้วนจิ่งหงให้ไปแตกหักกับซ่งซิน


 


 


เพราะเด็กน้อยผู้ล้ำค่าของตระกูลโม่กำลังจะลืมตาดูโลก!


 


 


“ท่านประธานคงจะกังวลใจมากเลยสินะครับ”


 


 


โม่ถิงไม่ตอบ ชายหนุ่มเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาชำเลืองมองลู่เช่ออย่างเยือกเย็น เขาพูดไม่ชัดพอหรือไงนะ ไม่ว่าโม่ถิงจะสงบนิ่งแค่ไหน หญิงผู้เป็นที่รักของเขาก็กำลังจะมอบชีวิตให้กับลูกน้อยที่ล้ำค่าของเขา มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ชายหนุ่มจะกังวล


 


 


“จดจ่อกับสิ่งที่นายต้องทำเถอะ อีกอย่าง ช่วยฉันเตรียมนัดกับเจ้าหน้าที่เหลิ่งจากกรมวัฒนธรรมด้วย…”


 


 


“ท่านประธานโม่วางแผนจะพบเขาเป็นการส่วนตัวหรือครับ”


 


 


โม่ถิงไม่ตอบอะไร ทว่าลู่เช่อเข้าใจคำสั่งแล้วรีบถอยออกไปจากห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านายอย่างรวดเร็ว


 


 


ถังหนิงกำลังจะคลอด ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะป้องกันไม่ให้ข่าวใดๆ ก็ตามแพร่ออกไป ในเมื่อซ่งซินชอบการแข่งขันนัก เขาก็จะให้เธอได้แข่งกับเพื่อนรักของตัวเอง


 


 


แน่นอนว่าต้วนจิ่งหงไม่สมควรได้รับความสงสาร ตอนที่ถังหนิงยื่นข้อเสนอให้เธอเป็นครั้งแรก ถังหนิงไม่เคยบังคับให้ต้วนจิ่งหงตกลงยอมรับมันเลย ต้วนจิ่งหงมีทางเลือกที่จะปฏิเสธเสมอ ทว่าหญิงสาวก็ยังเลือกที่จะเดินบนเส้นทางนี้ ดังนั้นจากนี้ไป เธอจึงต้องรับมือกับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง


 


 


ไม่ช้าต้วนจิ่งหงก็ได้รับเอกสารสัญญาจากไห่รุ่ย แม้มันจะระบุเอาไว้ว่าเธอเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานและสามารถถูกไล่ออกได้ทุกเมื่อ เธอก็ยังเห็นคุณค่าของโอกาสนี้


 


 


หญิงสาวอยากจะเห็นเหลือเกินว่าซ่งซินจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อรู้เข้า


 


 


แน่นอนว่าในระหว่างนี้ซ่งซินเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เธอฟ้องร้องไห่รุ่ยและเรียกร้องให้พวกเขายกเลิกสัญญากับเธอ ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวยังเรียกร้องค่าชดเชยอีกด้วย


 


 


ซ่งซินกล้าพอจะทำเช่นนี้เพราะเธอมีทั้งเซียวอวี่เหอและตระกูลซ่งคอยหนุนหลังอยู่


 


 


ในขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสซ่งก็ไม่สามารถสั่งให้ซ่งซินทำตามที่สัญญาเอาไว้กับเขาได้ เพราะชายชรายังไม่ได้ทำตามข้อตกลงของตัวเองเช่นกัน ซ่งซินรู้ว่าคุณปู่ของเธอติดค้างสัญญาของเขาอยู่ ดังนั้นเธอจึงแสร้งเป็นไม่รู้ไม่ชี้และไปพบกับเซียวอวี่เหออยู่เรื่อยๆ เพื่อเตรียมที่จะเริ่มต้นใหม่ในเอเจนซี่ของเขาหลังจากที่ยกเลิกสัญญากับไห่รุ่ยได้แล้ว


 


 


ทางด้าน ‘คนรักที่สาบสูญ’ ขั้นตอนการตรวจสอบนั้นใช้เวลาไม่นานนักก็ได้รับอนุญาตให้กลับมาฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง แม้จะไม่น่าตื่นเต้นเหมือนเมื่อก่อน แต่สาธารณชนก็ยังประทับใจกับการแสดงของถังหนิงอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


แม้ว่าเหล่าแฟนคลับจะไม่พอใจ พวกเขาก็ไม่ได้ไม่พอใจเพราะนักแสดงหรือตัวภาพยนตร์เอง และแม้ว่ายอดขายตั๋วจะไม่ได้สูงเหมือนช่วงที่ภาพยนตร์ออกมาในตอนแรก มันก็ยังข่มภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่ฉายอยู่ในตอนนั้นได้มากพอควร


 


 


ซ่งซินสรุปเอาว่าศึกระหว่างเธอกับถังหนิงนั้นสร้างความเสียหายให้ทั้งสองฝ่าย แม้เธอจะไม่ได้กำไรจากมันเลย แต่ถังหนิงเองก็ไม่ได้อะไรเช่นเดียวกัน สถานการณ์ในขณะนี้เพียงแค่ดูไม่สู้ดีนัก


 


 


แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะของขวัญชิ้นใหญ่ที่ถังหนิงเตรียมเอาไว้ให้ซ่งซินนั้นยังไม่ถูกจัดส่ง


 


 


ระหว่างที่ซ่งซินและไห่รุ่ยกำลังสู้กันอยู่ในชั้นศาล ถังหนิงก็ได้ย้ายเข้าไปในแผนกผดุงครรภ์ของโรงพยาบาลแล้ว ลูกคนแรกของเธอและโม่ถิงกำลังจะออกมาลืมตาดูโลกใบนี้! ทว่าเหล่าสื่อมวลชนไม่ได้ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้เพราะโม่ถิงปิดข่าวเอาไว้อย่างแน่นหนา และเพราะการต่อสู้ในชั้นศาลของซ่งซิน ความสนใจของเหล่าสื่อมวลชนจึงไปอยู่ที่อื่นโดยสมบูรณ์จนลืมเรื่องที่ถังหนิงกำลังจะคลอดลูกไปชั่วคราว


 


 


ไป๋ลี่หวาและซย่าอวี้หลิงทิ้งทุกอย่างที่บริษัทเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนถังหนิงที่โรงพยาบาล ผู้หญิงทั้งสองคนนี้มีสามีที่ห่วยแตกด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นพวกเขาจึงสนิทกันอย่างรวดเร็วราวกับพี่สาวน้องสาวและรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้พบกันให้เร็วกว่านี้


 


 


ถังจิ้งเซวียนยังเชิญสวี่ชิงเหยียนมาเหมือนทุกครั้งและตั้งตารอการมาถึงของหลานชายหรือหลานสาวของเขา ทว่าเจ้ามนุษย์ตัวน้อยกลับไม่ยอมออกมา


 


 


เป่ยเฉินตงเองก็ถูกหันซินเอ๋อร์ลากมาที่โรงพยาบาลด้วยเช่นกัน หลังจากที่เหลือบมองท้องของถังหนิงอย่างไวๆ แล้ว ชายหนุ่มก็พูดเย้ยหยันว่า “เราสองคนไม่ต้องมีลูกกันเถอะ”


 


 


หันซินเอ๋อร์สวนกลับอย่างรวดเร็ว “ใครจะไปอยากมีลูกกับนาย”


 


 


“ฉันรับพวกคนอ้วนไม่ไหวน่ะ เป็นแบบที่เธอเป็นตอนนี้นั่นละดีแล้ว…”


 


 


ถังหนิงหัวเราะลั่นกับคำพูดของเป่ยเฉินตงพลางถามหันซินเอ๋อร์ว่า “ตานี่เลิกนิสัยขี้เกียจหรือยัง”


 


 


“ฉันไม่คาดหวังกับเขาหรอกค่ะ!” หันซินเอ๋อร์ยักไหล่


 


 


การตอบโต้ของโม่ถิงงั้นหรือ ชายหนุ่มรีบไล่เป่ยเฉนตงออกจากห้องอย่างรวดเร็วแล้วอธิบายว่า “ผมไม่อยากให้เขามาส่งผลกระทบต่อกรรมพันธุ์อันสมบูรณ์แบบของลูกผมน่ะ”


 


 


หลังจากนั้นเฉินซิงเหยียนก็เข้ามาเยี่ยมเช่นกัน แม้ว่าเธอจะยังเขินอายเวลาอยู่ใกล้โม่ถิง หญิงสาวก็ทักทายเขาว่า ‘พี่ใหญ่’ เธอไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อตัวเองแต่เพื่ออันจื่อเฮ่า โม่ถิงจะได้เลิกทำให้ชายหนุ่มต้องลำบากเสียที… 

 

 


ตอนที่ 714 การโจมตีที่ดีที่สุด

 

คืนนั้น ตอนที่แขกทุกคนไปจากโรงพยาบาลและทุกอย่างสงบลง ถังหนิงก็สังเกตเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของโม่ถิงในที่สุด


 


 


“นอนพักสักหน่อยเถอะค่ะ ถ้าคุณยังไม่ยอมนอนอยู่แบบนี้ คุณจะหมดแรงก่อนที่ลูกจะเกิดอีกนะคะ” หัวใจถังหนิงปวดร้าวขณะที่พูดกับโม่ถิง “ฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้นค่ะ”


 


 


“ผมอยากจะเห็นลูกทันทีที่เขาเกิดมาครับ” โม่ถิงเอาหลังมือของถังหนิงมาถูแก้มของเขา “อีกอย่าง ผมสังเกตเห็นว่าคุณเจ็บท้องมาสักพักแล้ว แต่ผมไม่สามารถทำอะไรให้คุณได้เลย ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกผิดจนนอนไม่หลับครับ”


 


 


“ฉันยินดีเสียยิ่งกว่ายินดีที่จะทำสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นะคะ การมอบลูกให้กับคนที่ฉันรักน่ะ” ถังหนิงตอบซึ้งๆ “ขึ้นมานอนกับฉันบนนี้สักพักสิ”


 


 


“ผมกลัวว่าผมจะเบียดคุณ”


 


 


เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ถังหนิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นี่มันเตียงคู่นะคะ…”


 


 


ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนก็ไม่พยายามหาข่าวเกี่ยวกับถังหนิง มีเพียงซ่งซินเท่านั้นที่ใช้ทุกวิถีทางสืบหาเรื่องราวเกี่ยวกับเธออยู่ภายในวงการ โชคร้ายที่นอกเหนือจากกลุ่มคนที่สนิทกับถังหนิงแล้ว ก็ไม่มีใครรู้สถานการณ์ในปัจจุบันของเธอเลย และคนจากไห่รุ่ยนั้นก็ปิดปากเงียบกันหมด


 


 


ซ่งซินรับไม่ได้กับเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจจ้างนักสืบเอกชนคนหนึ่ง ถึงอย่างนั้น โม่ถิงก็ได้เตรียมบอดีการ์ดจำนวนมากให้เฝ้าห้องไว้ จึงยากมากที่จะได้เห็นถังหนิง ไม่ต้องพูดถึงสืบข้อมูลอะไรเลย


 


 


โม่ถิงรู้เรื่องนักสืบเอกชนคนนี้ผ่านเหล่าบอดี้การ์ด ในช่วงที่ชายหนุ่มว่า เขาถามลู่เช่อว่า “ต้วนจิ่งหงเป็นยังไงบ้าง”


 


 


“ขาของเธอหายดีมานานแล้วครับ แม้เราจะบังคับให้เธอไปอยู่วงเกิร์ลกรุป แต่เธอก็ทำงานอย่างหนักและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ หากเราเร่งเธออีกสักหน่อย เธอก็จะสามารถเดบิวต์พร้อมกับคนอื่นๆ ในวงได้ครับ” ลู่เช่ออธิบาย


 


 


“งั้นก็ถึงเวลาที่จะทำให้ซ่งซินต้องเป็นทุกข์แล้วล่ะ…”


 


 


“เข้าใจแล้วครับ”


 


 


ด้วยนิสัยของซ่งซินแล้ว ลู่เช่อก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าซ่งซินจะรู้สึกอย่างไรและท่าทีของเธอจะน่าสนใจแค่ไหนหากเธอรู้เรื่องที่ผู้เป็นเพื่อนรักอย่างต้วนจิ่งหงได้เดบิวต์กลายเป็นศิลปินที่มีอนาคตไกลยิ่งกว่าเธอ


 


 


ทว่าซ่งซินไม่ได้ล่วงรู้เรื่องนี้เลย


 


 


หญิงสาวพยายามติดต่อต้วนจิ่งหงดังปกติแต่เธอกลับหาตัวเธอไม่พบ นี่เป็นเพราะต้วนจิ่งหงกำลังอาศัยอยูที่หอพักที่ไห่รุ่ยจัดเตรียมเอาไว้ให้ อย่างไรก็ตาม ซ่งซินนั้นคิดเพียงแค่ว่าต้วนจิ่งหงกลับไปที่บ้านเกิดเพื่อพักรักษาตัว


 


 


“จิ่งหง ตอนนี้ขาของเธอหายดีมาสักพักแล้วนะ เมื่อไหร่เธอจะกลับมาอยู่เคียงข้างฉันงั้นเหรอ เรายังคืนวงการได้อยู่นะ เมื่อเวลานั้นมาถึง เธอก็สามารถกลับมาเป็นผู้จัดการยอดฝีมือของฉันได้”


 


 


ผู้จัดการ?


 


 


ต้วนจิ่งหงอดหัวเราะเยาะไม่ได้ ซ่งซินจะแค่ขอให้เธอลงมือทำตามแผนชั่วของตัวเองไม่ใช่หรือ


 


 


“ได้สิ ฉันเตรียมตัวแล้วล่ะ เราจะได้พบกันในเร็วๆ นี้แน่”


 


 


“งั้นตกลงตามนี้นะ ฉันจะได้ยกเลิกสัญญากับไห่รุ่ยในเร็วๆ นี้แหละ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราก็สามารถกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นได้…”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ต้วนจิ่งหงก็อดรู้สึกขยะแขยงไม่ได้ หญิงสาววางโทรศัพท์ลงข้างๆ ปล่อยให้ซ่งซินหวนนึกถึงอดีตอยู่กับตัวเอง คนเราควรจะมองไปยังอนาคตข้างหน้า ในเมื่อต้วนจิ่งหงเคยถูกซ่งซินทำร้ายอย่างแสนสาหัสมาก่อน ไม่ว่าเธอจะโง่แค่ไหน เธอก็ไม่มีวันเป็นผู้ติดตามของซ่งซินอีก เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีเส้นทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงรอเธออยู่


 


 


หญิงสาวผ่านอุปสรรคมากมายที่ไห่รุ่ยมอบไห่เธอมาแล้ว แม้จะยังขาดหลายๆ สิ่งอยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องเต้นแล้วล่ะก็ แม้แต่สมาชิกคนอื่นๆ ในวงก็ยังต้องยกนิ้วโป้งให้เธออย่างยอมรับ


 


 


“จิ้งหง ทำไมเธอไม่พูดอะไรเลยล่ะ”


 


 


“สัญญาณที่นี่ไม่ค่อยดีน่ะ” ต้วนจิ่งหงตะโกนกลับไปที่โทรศัพท์พลางนวดขาไปด้วย


 


 


“อ้อใช่ ตอนนี้เธออยู่ที่ชนบทใช่ไหม ถ้างั้นมาเจอกันหน่อยนะถ้าเธอกลับมาแล้ว”


 


 


“ได้สิ” พูดจบต้วนจิ่งหงก็กดวางสาย เธอเริ่มเหนื่อยกับการเล่นละครกับซ่งซินแล้ว


 


 


อันที่จริง หญิงสาวเข้าใจความสำคัญของเธอที่มีต่อถังหนิงดี ถังหนิงกำลังรอคลอดลูกอยู่แต่ซ่งซินกลับตามสืบเรื่องของเธอไปทั่ว ดังนั้นบทบาทของต้วนจิ่งหงก็คือโจมตีซ่งซินซึ่งๆ หน้าเพื่อที่ซ่งซินจะได้ตื่นตกใจและหันเหความสนใจไปที่อื่น


 


 


นี่คือสิ่งที่เธอติดค้างฮั่วจิงจิงและถังหนิง หากมันคือสิ่งที่เธอต้องยอมสละเพื่อมีชื่อเสียงโด่งดัง หญิงสาวก็ยินดีจะแบกรับมัน


 


 


อีกอย่าง เธอจะปกป้องถังหนิงเพราะมันเป็นเพียงหนทางเดียวที่เธอจะไถ่บาปของตัวเองได้


 


 



 


 


ไม่กี่วันต่อมา เกิร์ลกรุปเอเชียวงใหม่ก็ประกาศการเดบิวต์ของพวกเขาในประเทศเกาหลีใต้ ไห่รุ่ยนั้นฉลาดในแง่มุมนี้ พวกเขาให้เด็กสาวทั้งสี่ไปเก็บเกี่ยวความนิยมและทำความคุ้นเคยกับเวทีที่ประเทศเกาหลีใต้ก่อน ไห่รุ่ยยังให้พวกเขาเทียบเคียงกับวงเกิร์ลกรุปของเกาหลีเพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถเกาะกระแสเกาหลีก่อนจะกลับมายังประเทศจีนพร้อมกับประสบการณ์ที่เก็บสะสมไว้


 


 


ดังนั้น ต้วนจิ่งหงจึงบินไปที่ประเทศเกาหลีใต้ในอีกหนึ่งวันหลังจากที่คุยกับซ่งซินผ่านทางโทรศัพท์…


 


 


วงเกิร์ลกรุปนี้มีสมาชิกทั้งหมดสี่คน และแต่ละคนก็มีจุดแข็งเป็นของตัวเอง แรกเริ่มเดิมทีสมาชิกคนอื่นๆ ในวงนั้นไม่ยอมรับต้วนจิ่งหง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ต้องตะลึงและถูกตบเข้าที่หน้าด้วยการเต้นอันน่าประทับใจของเธอ


 


 


ซ่งซินไม่ได้เตรียมใจไว้สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้เลย


 


 


อันที่จริง ในการโทรคุยกับต้วนจิ่งหงครั้งสุดท้าย หญิงสาวนั้นยังคงตื่นเต้นสุดตัว “จิ่งหง ฉันกำลังจะฟ้องชนะไห่รุ่ยแล้วนะ!”


 


 


ในตอนนั้น ต้วนจิ่งหงคิดกับตัวเองว่า “เธอไม่ได้กำลังจะชนะหรอก แต่หลังจากที่ยื้อเธอเอาไว้มานาน ก็ถึงเวลาแล้วที่ไห่รุ่ยจะมอบการโจมตีครั้งต่อไปให้เธอ”


 


 


“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเหรอ”


 


 


ซ่งซินไม่รอคำตอบของต้วนจิ่งหงพลางใส่ความตื่นเต้นเข้าไปอีก


 


 


“ต่างประเทศน่ะ”


 


 


“ทำไมไปต่างประเทศล่ะ” ซ่งซินหงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่รู้ว่าต้วนจิ่งหงอยู่ที่ไหน


 


 


“ฉันกำลังพยายามลดรอยแผลเป็นที่ขาน่ะ ขอบคุณสำหรับบัตรธนาคารของเธอนะ ฉันหาทางรักษามันได้ดีทีเดียวเลย”


 


 


“ถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะเจอกันได้เมื่อไหร่ล่ะ” ก่อนตอบคำถามของซ่งซิน ต้วนจิ่งหงหันไปถามกับกัปตันวงของเธอ


 


 


กัปตันวงกำลังทำท่าฉีกขาอยู่ เมื่อเห็นต้วนจิ่งหงจ้องมาทางเธอ หญิงสาวจึงหัวเราะอย่างรวดเร็ว “เราจะกลับไฟลต์เช้าในอีกสองวันข้างหน้าน่ะ…”


 


 


“อีกสองวันนะ!” ต้วนจิ่งหงตอบซ่งซิน


 


 


“เยี่ยม บอกเลขเที่ยวบินของเธอมาแล้วฉันจะไปรับเธอ”


 


 


“เอาสิ” ต้วนจิ่งหงพยักหน้า


 


 


หลังจากวางสาย ต้วนจิ่งหงก็มองหน้าสมาชิกวงทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลังเธอแล้วยักไหล่ เด็กสาวทั้งสาวได้ยินเรื่องซ่งซินมาไม่มากก็น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงอดหัวเราะไม่ได้ “พอถึงเวลาแล้วอย่าทำให้เราต้องอับอายล่ะ”


 


 


“เธอคืออาวุธลับที่เอาไว้โจมตีซ่งซินนะ ทำให้ดีที่สุดล่ะ ฉันศรัทธาในตัวเธอ! ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่หล่อนกล้าจะฟ้องไห่รุ่ยแล้ว แทงหล่อนให้ตายไปเลย!”


 


 


“ว่ากันตามตรงแล้ว ฉันก็เป็นแฟนคลับของถังหนิงนะ ฉันมาที่ไห่รุ่ยก็เพราะพี่หนิง แต่คุณซ่งกลับลงเอยด้วยการใช้ลูกไม้สกปรกมากมาย สารเลวจริงๆ! ฉันอยากตบหน้าหล่อนในนามของถังหนิงมานานแล้ว ต้องขออภัยให้กับความก้าวร้าวของฉันด้วยนะ” กัปตันวงกล่าวก่อนจะปิดปากด้วยความอับอาย


 


 


“ถ้าเธอทำให้ซ่งซินสิ้นท่าได้ ฉันจะเลี้ยงอาหารทะเลเธอเดือนนึงเลย!”


 


 


สมาชิกทั้งสาวแสดงการสนับสนุนให้ต้วนจิ่งหง แต่พวกเขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ฉันสงสัยจังว่าถังหนิงคลอดหรือยัง เด็กคนนั้นจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันนะ เมื่อหนิงของเราหายดีแล้ว ซ่งซินจะถูกบังคับให้ต้องเริ่มจากก้นหลุมอีกครั้งอย่างแน่นอน!”


 


 



 


 


ทุกคนกำลังรอให้ลูกของโม่ถิงและถังหนิงเกิดมา ทว่าเด็กกลับไม่ยอมออกมาแม้ว่าจะเลยกำหนดคลอดไปแล้วก็ตาม


 


 


หมอหลายคนเข้ามาตรวจร่างกายถังหนิง ทุกอย่างปกติดี ดังนั้นพวกเขาจึงแนะนำให้เธอรอต่อไป ถังหนิงไม่พูด แต่โม่ถิงนั้นกลัดกลุ้มยิ่งกว่าภรรยาที่ตั้งท้องของเขาเสียอีก เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่ายิ่งเด็กอยู่ในท้องของถังหนิงนานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งต้องเจ็บปวดนานขึ้นเท่านั้น… 

 

 


ตอนที่ 715 ของขวัญชิ้นใหญ่

 

เนื่องจากต้วนจิ่งหงต้องพบซ่งซินหลังจากกลับมาถึงเมืองจีน เธอจึงกลับมาเพียงลำพังด้วยเครื่องบินคนละลำกับสมาชิกวงที่เหลือ


 


 


ซ่งซินบอกว่าจะมาต้อนรับเธอกลับบ้าน ดังนั้นหญิงสาวจึงรออยู่ที่สนามบินตามสัญญา ทว่าหลังจากที่ต้วนจิ่งหงไปถึง หญิงสาวเดินไปตรงหน้าซ่งซินแต่ซ่งซินกลับจำเธอไม่ได้


 


 


ในอดีต ต้วนจิ่งหงใส่แต่เสื้อออกกำลังกายหรือเสื้อผ้าที่สวมได้ทั้งสองเพศเท่านั้น เมื่อไหร่กันล่ะที่เธอเคยสวมกางเกงยีน โค้ตตัวยาวและรองเท้าส้นสูง


 


 


ที่สำคัญที่สุด จู่ๆ ต้วนจิ่งหงก็มีออร่าที่โดดเด่นขึ้นมา เมื่อเทียบกันแล้ว ซ่งซินในชุดลำลองนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ช่วยของต้วนจิ่งหงเลยทีเดียว


 


 


“ทำไมอยู่ๆ เธอถึงมีสไตล์ขึ้นมาล่ะ” ซ่งซินไม่ได้สังเกต แต่คำพูดของเธอเปี่ยมไปด้วยร่องรอยของความอิจฉาอย่างไม่รู้ตัว


 


 


“เมื่อก่อนฉันไม่รู้จักจัดระเบียบตัวเองให้ดี ในเมื่อฉันไปถึงเกาหลีใต้แล้ว ฉันก็คิดว่าฉันจะเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้จากที่นั่นกลับมาสักอย่างสองอย่าง ดูไม่แย่ใช่ไหม” ต้วนจิ่งหงเอ่ยถามพลางกลั้นยิ้ม


 


 


“ฉันชินกับลุกของเธอเมื่อก่อนมากกว่า” ซ่งซินพูดไม่ได้ว่าต้วนจิ่งหงไม่ได้รับอนุญาตให้สวยกว่าเธอ ดังนั้นหญิงสาวจึงทำได้แค่บอกใบ้ว่าเสื้อพวกนี้ไม่เข้ากับต้วนจิ่งหง


 


 


ต้วนจิ่งหงเข้าใจว่าซ่งซินกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจพลางเปิดประตูรถและนั่งลงข้างๆ เธอ “ตอนนี้เราจะไปที่ไหนกันเหรอ”


 


 


“พักหลังมานี้ฉันไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับถังหนิงเลย เธอได้ยินอะไรมาบ้างไหม” ซ่งซินถามเรื่องถังหนิงจากต้วนจิ่งหงทันทีที่มีโอกาส แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องถามต้วนจิ่งหงก็ตาม เพราะถึงอย่างไร หญิงสาวก็รู้ดีว่าต้วนจิ่งหงไม่มีทางรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น บางทีอาจเป็นเพราะหญิงสาวรู้สึกสิ้นหวังกับการหาความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงนี้ของถังหนิง


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ต้วนจิ่งหงรู้ แต่เธอบอกซ่งซินไม่ได้


 


 


“เธอรู้ดีกว่าฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงมาถามฉันล่ะ”


 


 


“ก็แค่ถามดูน่ะ” แม้แต่ซ่งซินเองก็รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระอยู่เล็กน้อย “อีกอย่างหนึ่ง วันนี้ฉันได้รับคำตัดสินของคดีกับไห่รุ่ย ถึงจะสูญเสียไปบ้าง แต่ฉันก็หาทางเป็นอิสระจากพวกเขาได้ กลับไปดื่มฉลองให้กับอิสรภาพของฉันกันเถอะ!”


 


 


“เอาสิ” ต้วนจิ่งหงตอบอย่างสบายๆ


 


 


แต่ในช่วงเวลาเดือนหรือสองเดือนสั้นๆ นี้ โลกได้เปลี่ยนไปมาก ต้วนจิ่งหงไม่ใช่ผู้จัดการตัวเล็กๆ ที่ต้องคอยสนองความต้องการของซ่งซินอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอได้เดบิวต์ในฐานะสมาชิกวงเกิร์ลกรุปของไห่รุ่ยที่สะดุดตาที่สุด


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะเครื่องแต่งกายของต้วนจิ่งหงหรืออาจเป็นเพราะออร่าของเธอ ทันทีที่หญิงสาวทั้งสองก้าวเข้าไปในบาร์ร้านประจำที่ปลอดภัย ผู้ชายจำนวนมากพบว่าตัวเองมองไปทางเธอและไม่สนใจซ่งซิน


 


 


“เธอจะเด่นเกินไปแล้วนะ ทำไมถึงไม่เปลี่ยนไปแต่งลุกเดิมล่ะ ถ้าผู้คนรู้ว่าฉันมาที่บาร์นี้ ฉันอาจจะได้ขึ้นพาดหัวข่าวอีกก็ได้” ซ่งซินไม่พอใจเลย เธอรู้สึกไม่สบายใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อจู่ๆ ผู้ติดตามคนเดิมของเธอกลายเป็นคนที่น่าดึงดูดกว่าตัวเธอเอง ความไม่พอใจนั้นรู้สึกเหมือนกับมีมดเป็นพันๆ ตัวกำลังกัดแผ่นหลังของเธออยู่


 


 


แต่เธอคิดว่าต้วนจิ่งหงเป็นใครกัน กี่ปีมาแล้วที่หญิงสาวติดตามเธอ ต้วนจิ่งหงจะไม่รู้หรือว่าจริงๆ แล้วเธอกำลังคิดอะไรอยู่


 


 


ดังนั้นต้วนจิ่งหงจึงแอบยิ้ม “นี่คือชุดที่ธรรมดาที่สุดของฉันแล้วนะ งั้นเราไปดื่มกันที่บ้านของเธอแทนไหมล่ะ”


 


 


ซ่งซินไม่ต้องการถูกเปรียบเทียบกับต้วนจิ่งหงไปมากกว่านี้ ดังนั้นหญิงสาวจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ตกลง คุณปู่ของฉันไม่ได้เจอเธอมานานแล้วด้วย”


 


 


จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ออกจากบาร์แห่งนั้นและมุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลซ่ง


 


 


ขณะที่พวกเขากำลังเข้าไปในบ้าน รอยยิ้มอันมั่นใจของซ่งซินก็กลับมาปรากฏบนใบหน้าของเธออีกครั้ง แม้ต้วนจิ่งหงจะหน้าตาสะสวยกว่าเธอ แต่ต้วนจิ่งหงก็ยังไม่มีคุณปู่ที่เล่นการเมืองหรือมีพื้นหลังครอบครัวที่น่าประทับใจ


 


 


สองสาวก้าวไปในห้องนอนของซ่งซินดังปกติและซ่งซินก็รีบตรงไปที่ตู้เก็บของเพื่อหยิบไวน์แดงออกมาหนึ่งขวด ขณะที่หญิงสาวรินไวน์ให้ต้วนจิ่งหง เธอก็ร้องออกมาว่า “ฉันดีใจจริงๆ นะที่เรากลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อน!”


 


 


ต้วนจิ่งหงรับแก้วไวน์มาจากซ่งซินแล้วชนแก้วกับเธอ ทว่าหลังจากที่ดื่มกันไปสักพัก ซ่งซินก็พลันลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่มาเยอะเลย แถมพวกแฟนคลับก็ส่งมาให้เพิ่มอีก ฉันใส่คนเดียวไม่หมดแน่ งั้นเธอเอากลับบ้านไปบางส่วนซะนะ”


 


 


ต้วนจิ่งหงมองซ่งซินที่ค้นห้องของเธออย่างขวักไขว่ ตอนนั้นเองที่ต้วนจิ่งหงตระหนักว่าตลอดหลายปีมานี้ซ่งซินทำให้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่าอย่างไร ผู้หญิงคนนี้ทำเหมือนเธอเป็นกิจการกุศล


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่ตอบโต้ในทันที หญิงสาวเพียงแต่เชิดหน้าขึ้นแล้วพูดกับซ่งซินว่า “วางไว้อย่างนั้นแหละ ฉันจะเอาไปด้วยตอนฉันกลับ”


 


 


เมื่อเห็นว่าท่าทางของต้วนจิ่งหงยังคงเหมือนในอดีต ซ่งซินก็ผ่อนคลายลงในที่สุดแล้วกลับไปอยู่ข้างๆ เธอ “เซียวอวี่เหอกำลังจะเปิดสตูดิโอให้ฉัน เราจะมีอิสระกันเยอะขึ้นมากเลยล่ะหลังจากนั้น”


 


 


“นั่นก็ไม่เลวนะ” ต้วนจิ่งหงพยักหน้า


 


 


“ยังไงก็เถอะ ยินดีต้อนรับกลับมานะต้วนจิ่งหง!” ซ่งซินดึงต้วนจิ่งหงเข้าไปกอด “ฉันต้องการเธอมากจริงๆ หวังว่าเราสองคนจะต่อต้านไห่รุ่ยไปด้วยกันและมิตรภาพของเราจะคงอยู่ตลอดไปนะ น่าเสียดายที่เราไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับถังหนิงเลย นังสารเลวนั่นคงจะคลอดลูกในเร็วๆ นี้แหละ”


 


 


“ท้ายที่สุดแล้วเธอจะได้รู้เรื่องเขาเองนั่นละ” ต้วนจิ่งหงจิบไวน์ แววตาหนึ่งที่ซ่งซินไม่เข้าใจได้วาบผ่านดวงตาของต้วนจิ่งหงไป


 


 


“ไม่สำคัญหรอก นังโสเภณีนั่นถูกกดขี่อยู่และไม่นานก็จะตกยุคไปเอง เธอรู้หรือยังว่าเมื่อเร็วๆ นี้ไห่รุ่ยเพิ่งตั้งวงเกิร์ลกรุปใหม่ขึ้นมา…”


 


 


รู้หรือยัง


 


 


ต้วนจิ่งหงแอบเยาะเย้ยในใจ เธอไม่ได้แค่รู้เรื่องเพียงอย่างเดียวหรอกนะ แต่เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเลยละ!


 


 


ซ่งซินพูดเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในปักกิ่งต่อ ทว่าต้วนจิ่งหงรู้ทุกอย่างหมดแล้ว


 


 


ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวทั้งสองจึงนั่งคุยกันตั้งแต่เช้าจนบ่าย เดิมทีซ่งซินวางแผนจะขับรถไปส่งต้วนจิ่งหงที่บ้านหลังจากเสร็จธุระกันแล้ว ทว่าต้วนจิ่งหงปฏิเสธข้อเสนอนั้น “ฉันลืมบอกเธอไปน่ะว่าฉันย้ายที่อยู่แล้ว ขอฉันจัดบ้านก่อนสักหน่อยแล้วฉันจะบอกที่อยู่เธออีกทีนะ”


 


 


แม้ซ่งซินจะค่อนข้างสับสน หญิงสาวก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เธอเพียงแต่ยื่นเสื้อผ้าที่ตัวเองไม่ต้องการให้ต้วนจิ่งหงและมองเพื่อนสาวออกจากบ้านไป…


 


 


ทว่าต้วนจิ่งหงกลับโยนเสื้อผ้าอันหรูหราเหล่านั้นลงถังขยะที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของซ่งซินก่อนจะโทรหาเอเจนซี่ของเธอ ครู่ต่อมารถตู้ของบริษัทก็มาถึงและพาต้วนจิ่งหงกลับไปยังอะพาร์ตเม้นต์ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้เธอ


 


 


ทันทีที่ถึงบ้าน สมาชิกวงคนอื่นๆ ก็พากันล้อมเข้ามาหาหญิงสาวอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถามว่า “นังนั่นพูดว่าไงบ้าง”


 


 


“ทำไมฉันถึงไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลยว่าหล่อนน่ารังเกียจแค่ไหน”


 


 


“เมื่อก่อนใครใช้ให้เธอทำตัวน่ารังเกียจแบบมันล่ะ ดีแล้วที่เธอเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น มาเตรียมมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้นังสารเลวนั่นกันเถอะ!”


 


 


ต้วนจิ่งหงพยักหน้าและรู้สึกตลกเล็กน้อย “พวกเธอรู้ไหม แค่เพราะฉันเปลี่ยนภาพลักษณ์ไปนิดหน่อย ซ่งซินถึงกับรู้สึกว่าฉันขโมยความโดดเด่นไปจากหล่อน และขอให้ฉันกลับไปใส่เสื้อผ้าเหมือนเดิมเลยนะ และเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าใครใหญ่ หล่อนเอาเสื้อผ้าที่ตัวเองไม่อยากได้มาให้ฉันเพียบเลย!”


 


 


“อย่าใส่ใจหล่อนเลย ตอนนี้อนาคตของเธอเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดนะ! หล่อนไม่มีทางเทียบติดหรอก!”


 


 


“เตรียมตัวเอาไว้ได้เลย การแสดงในปักกิ่งไม่หวานหมูแน่ๆ เพื่อทำให้คุณซ่งต้องกระอักเลือดด้วยความโกรธ พวกเราต้องทำออกมาให้ดีที่สุด!” กัปตันวงพูดปลุกใจ


 


 


“เธอพูดถูก มาซ้อมกันเถอะ…!” 

 

 


ตอนที่ 716 เด็ก

 

ณ โรงพยาบาลในขณะเดียวกันนั้น ถังหนิงยังไม่คลอดเด็กออกมา ดังนั้นห้องของเธอจึงยังถูกคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา


 


 


โดยปกติแล้ว เมื่อการตั้งครรภ์เกินวันที่คาดไว้ไปสองสัปดาห์ เด็กในท้องจะเป็นอันตรายยิ่งขึ้น ไป๋ลี่หวารู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นเธอจึงกระซิบบอกโม่ถิงอย่างเงียบๆ ว่า “พวกเราควรเตรียมยาเร่งคลอดนะ ไม่อย่างนั้นแล้ว ยิ่งยืดการตั้งท้องไปเท่าไร เด็กในท้องก็ยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่ถิงจึงหันไปมองถังหนิงผู้กำลังนอนอยู่บนเตียงและไม่พูดอะไร


 


 


หากชายหนุ่มรู้ว่าถังหนิงจะต้องตกอยู่ในอันตรายและได้รับความเจ็บปวดมากมายเช่นนี้ เขาก็คงไม่อยากได้ลูกตั้งแต่แรก ตัวเขาเองก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ในตอนนี้เช่นเดียวกัน การที่เขากังวลเรื่องถังหนิงอย่างมากนั้นทำให้ชายหนุ่มกระสับกระส่ายเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ทว่าถังหนิงไม่ได้หลับอยู่ หลังจากที่แอบได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่และลูกชาย หญิงสาวก็บังคับตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “ทำแบบที่แม่เสนอเถอะค่ะ ฉันรับมือไหว”


 


 


แต่ยิ่งถังหนิงพยายามจะเข้มแข็งเท่าไหร่ โม่ถิงก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปเท่านั้น


 


 


ตอนนั้นเองที่ถังหนิงส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นให้ชายหนุ่มดังเคย รอยยิ้มของเธอนั้นคือรูปแบบการปลอบโยนที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้


 


 


โม่ถิงสงบลงแล้วพยักหน้า “เดี๋ยวผมจะไปคุยกับคุณหมอครับ”


 


 


หลังจากได้ยินคำขอของโม่ถิง คุณหมอก็ยิ้มแล้วอธิบายว่า “ทางเราจะเฝ้าระวังอาการของคุณนายโม่เพื่อประเมินว่าเธอต้องการยาเร่งคลอดหรือไม่ อย่าห่วงเลยค่ะคุณโม่ พวกเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าคุณนายโม่และเด็กในท้องจะมีสุขภาพดีด้วยกันทั้งคู่”


 


 


ทว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้นตราบใดที่ยังมีความเสี่ยง โม่ถิงก็อดกังวลไม่ได้


 


 


“ถิงคะ คุณไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะคะ ฉันก็แค่คลอดลูกเท่านั้นเอง ไม่ได้อันตรายอย่างที่คุณคิดหรอก…”


 


 


กลางดึกคืนนั้นภายในห้องพักของโรงพยาบาล ใต้แสงไฟสีเหลืองนวล โม่ถิงกุมมือถังหนิงเอาไว้อย่างแนบแน่น “หลังจากเด็กคนนี้เกิดมา ผมจะไม่ใจดีกับเขาแน่ กล้าดียังไงถึงอยู่ในท้องของคุณนานขนาดนี้และไม่ยอมออกมาสักที!”


 


 


“เด็กคนนี้อาจรู้ว่าคุณจะแย่งความอบอุ่นไปจากเขาทันทีที่เขาเกิดมา ดังนั้นเขาก็เลยตัดสินใจจะอยู่ในท้องของฉันให้นานขึ้นอีกหน่อยมั้งคะ”


 


 


โม่ถิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพลันเอ่ยขึ้นมาว่า “แม่บอกผมว่าคุณเองก็เสี่ยงอันตรายเหมือนกัน ดังนั้นสองสามวันที่ผ่านมาผมจึงเอาแต่คิดว่าผมจะทำยังไงถ้ามีอะไรเกิดอะไรขึ้นกับคุณ


 


 


แต่ไม่ว่าผมจะคิดเท่าไหร่ ผมก็หาคำตอบไม่ได้เลย สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกคือความหวาดกลัว ความกลัวที่ผมไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน”


 


 


“อย่ากลัวไปเลยค่ะ ลูกกับฉันจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ เราสองคนจะไม่ไปไหน” ถังหนิงพูดให้โม่ถิงหยุดกังวล “เราสองคนจะอยู่เคียงข้างคุณไปจนแก่เฒ่า”


 


 


คืนนั้น ถังหนิงนอนไม่หลับ รู้สึกได้ว่าโม่ถิงหลับอย่างระมัดระวังอยู่ในอ้อมแขนของเธอ หญิงสาวไม่เคยเห็นโม่ถิงในมุมนี้มาก่อน เขาคือราชาแห่งวงการบันเทิงและไร้เทียมทานในทุกสิ่งที่ทำมาเสมอ ทว่าในเวลาเช่นนี้ ชายหนุ่มกลับเป็นดั่งชิ้นแก้วอันแสนบอบบาง


 


 


ถังหนิงเจ็บปวดหัวใจ ดังนั้นหญิงสาวจึงภาวนาให้ลูกของเธอคลอดออกมาเร็วๆ เพื่อที่พ่อของเขาจะได้สบายใจเสียที


 


 


วันถัดมา คุณหมอเข้าตรวจร่างกายถังหนิงแล้วยืนยันว่าเธอสามารถใช้ยาเร่งคลอดได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงปลอบโม่ถิงและบอกให้เขาไม่ต้องกังวล


 


 


ขณะที่ถังหนิงรออยู่ในห้องคลอด โม่ถิงอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเธอด้วยทว่าถังหนิงเข้าใจนิสัยของชายหนุ่มดีเกินไป หากเขาเห็นเธอเจ็บปวด เขาจะชอกช้ำใจเพราะภาพนั้นตลอดไป ดังนั้นถังหนิงจึงปฏิเสธไม่ให้เขาอยู่เป็นเพื่อนเธอ


 


 


ครู่ต่อมา ความเจ็บปวดก็มาถึง ถังหนิงรู้สึกได้ว่าปอดของเธอบีบตัวและเริ่มหายใจยากขึ้น


 


 


ที่ด้านนอกห้องคลอด ทุกคนรอด้วยความกระวนกระวายในขณะที่โม่ถิงนั่งเงียบๆ อยู่บนม้านั่ง ชายหนุ่มดูเครียดเป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเพิกเฉยการมีตัวตนอยู่ของเขา


 


 


ในอดีต ถังหนิงเคยผ่านเรื่องยากลำบากมาทุกรูปแบบแล้ว การให้กำเนิดลูกสักคนให้กับชายที่เธอรักนั้นจะถือเป็นความท้าทายขนาดนั้นเชียวหรือ


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ ถังหนิงรู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอพลันเปี่ยมไปด้วยพลัง


 


 


“คุณถังหนิง เบ่งเรื่อยๆ เลยนะครับ หมอเห็นหัวเด็กแล้ว”


 


 


ภายในห้องคลอด ถังหนิงกำลังได้สัมผัสการทรมานอันแสนสาหัส ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงเสียจนเธอเกือบจะเป็นลม


 


 


ด้านนอกห้องคลอดในขณะเดียวกันนั้น ทุกคนล้วนเห็นความทรมานที่โม่ถิงกำลังประสบ


 


 


“ทำไมไอ้เจ้านี่ถึงต้องเจอเรื่องลำบากมากมายขนาดนี้กันด้วยนะ” ผู้เฒ่าถังถอนหายใจ


 


 


ครู่ต่อมา นางพยาบาลคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากห้องคลอดแล้วจับมือผู้เฒ่าถัง “คุณเป็นสมาชิกครอบครัวของคุณถังหนิงหรือเปล่าคะ”


 


 


“ชะ…ใช่ครับ”


 


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ คุณถังหนิงคลอดเด็กออกมาแล้วและปลอดภัยดี อีกเดี๋ยวพยาบาลอีกคนจะออกมาคุยกับพวกคุณ อย่าห่วงไปเลยนะคะ คุณถังหนิงปลอดภัยค่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวคลอดเด็กออกมาแล้ว ทุกคนก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนนั้นเองที่นางพยาบาลเอ่ยถามว่า “คนไหนคือสามีของเธอคะ”


 


 


ทุกคนมองไปยังโม่ถิงขณะที่เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปหานางพยาบาลคนนั้น


 


 


“ฉันดูออกเลยค่ะว่าคุณรักภรรยาของคุณมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นผู้หญิงสักคนคลอดลูกอย่างเข้มแข็งและกล้าหาญเพื่อที่คนเป็นสามีจะได้ไม่ได้เป็นห่วงเธอ พวกคุณทั้งคู่น่ารักมากค่ะ ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะ”


 


 


“ผมเข้าไปได้หรือยังครับ” น้ำเสียงโม่ถิงนั้นไม่ได้เยือกเย็นเหมือนดังเคย อันที่จริง…มันเป็นเสียงที่แหบแห้งและสั่นเครือ ชายหนุ่มหวาดกลัวจนไม่ได้ตระหนักว่าตัวเองได้กลายเป็นพ่อคนแล้ว สิ่งเดียวที่เขานึกถึงคือถังหนิง คนรักของเขา


 


 


“ได้ค่ะ เชิญเลย” ทันทีที่นางพยาบาลเอ่ยเช่นนั้น โม่ถิงก็พุ่งตัวเข้าไปในห้องคลอด เมื่อเห็นว่าถังหนิงเหงื่อท่วมตัว เขาก็รีบก้าวเข้าไปหาแล้วกุมมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ…มันจบแล้ว”


 


 


ถังหนิงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว หยาดน้ำตาไหลพรากจากดวงตาทั้งสองของเธออย่างควบคุมไม่ได้


 


 


เพราะเมื่อครู่ก่อน หญิงสาวพนันกับพยาบาลสาวคนนั้นไว้


 


 


โดยส่วนมากแล้วผู้เป็นสามีมักจะจดจ่ออยู่กับลูกของพวกเขาทันทีที่ภรรยาคลอดเด็กออกมา มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไปดูอาการของภรรยาก่อน มีหลายกรณีที่ผู้เป็นสามีหนีไปทันทีที่พบว่าลูกของพวกเขาเป็นเด็กผู้หญิง


 


 


แต่ถังหนิงมั่นใจว่าสามีของเธอจะไม่เป็นเช่นนั้น


 


 


ในหัวใจเขา เธอเป็นที่หนึ่งเสมอ


 


 


ดังนั้นนางพยาบาลจึงชื่นชมความสัมพันธ์ของพวกเขาและแสดงความยินดีกับถังหนิง


 


 


“คุณเจอลูกของเราหรือยังคะ”


 


 


โม่ถิงส่ายหน้า ชายหนุ่มอยากกอดถังหนิงแต่เขาไม่อยากเคลื่อนไหวอย่างประมาท


 


 


“คุณกังวลแค่เรื่องฉันเหรอคะ”


 


 


“อือฮึ” เสียงโม่ถิงยังคงสั่นเครือ


 


 



 


 


ด้านนอกห้องคลอด ทุกคนยังเฝ้ารออยู่ ไม่นานนัก นางพยาบาลคนหนึ่งก็อุ้มเด็กที่ถังหนิงเพิ่งคลอดออกมาเพื่อให้คนในครอบครัวได้เห็นเจ้าตัวเล็ก


 


 


ทว่าทุกคนต้องประหลาดใจเมื่อนางพยาบาลคนนั้นอุ้มเด็กหนึ่งคนที่แขนแต่ละข้าง…


 


 


“พวกคุณไม่รู้เหรอคะ คุณนายโม่คลอดเด็กแฝดออกมา เป็นผู้ชายทั้งคู่เลยค่ะ!”


 


 


แฝด…ชาย!


 


 


“โม่ถิง เจ้านั่นนี่โชคดีจริงๆ” เป่ยเฉินตงถอนหายใจ ทว่าน้ำเสียงของเขามีร่องรอยของความชื่นชมอยู่เล็กน้อย


 


 


ขณะที่สมาชิกครอบครัวมองเด็กน้อยผู้บริสุทธิ์และไร้เดียงสาทั้งสองที่อยู่ในอ้อมแขนของนางพยาบาล พวกเขาก็พลันรู้สึกตื่นเต้น


 


 


“พี่น้องแฝดชาย ยอดเยี่ยมจริง…”


 


 


บางทีในตอนนี้ แม้แต่ตัวถังหนิงเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอให้กำเนิดเด็กแฝด ระหว่างการตรวจ หญิงสาวจดจ่ออยู่กับสุขภาพของลูกเท่านั้นและบอกให้คุณหมอเก็บเรื่องอื่นๆ เอาไว้เป็นความลับ ส่วนตอนที่อยู่ในห้องคลอด สิ่งเดียวที่เธอจดจ่อก็คือความเจ็บปวด หลังจากที่ความเจ็บปวดนั้นทุเลาลง หญิงสาวก็จำอะไรไม่ได้อีก… 

 

 


ตอนที่ 717 ออกลูกเป็นสัตว์ประหลาด

 

หลังจากนั้น ถังหนิงก็ถูกส่งตัวไปยังห้องพักฟื้น ตอนนั้นเองที่ซย่าอวี้หลิงเดินเข้ามาในห้องพร้อมเด็กสองคนและให้ถังหนิงดูพวกเขา “ลูกมีลูกชายสองคนแน่ะ”


 


 


ถังหนิงมองไปที่เด็กทั้งสองแล้วตัวแข็งทื่อด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเช่นนี้ ซย่าอวี้หลิงก็หัวเราะ “ลูกไม่รู้เหรอว่าคลอดออกมากี่คน”


 


 


ถังหนิงส่ายหน้าแล้วมองไปที่โม่ถิง ชายหนุ่มเองก็ยังไม่ได้เห็นเด็กๆ เช่นกัน นี่คือการพบกันครั้งแรกของพวกเขา


 


 


“อยากอุ้มพวกเขาไหม” ซย่าอวี้หลิงเอ่ยถามโม่ถิง


 


 


โม่ถิงนั่งนิ่ง ชายหนุ่มยังไม่ได้ปรับตัวให้เข้ากับตัวตนใหม่ในฐานะพ่อคน มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่เขาตระหนักว่าตัวเองมีความรับผิดชอบมากมายแค่ไหนในฐานะพ่อของเด็กสองคนนี้


 


 


จากนี้ไป เด็กสองคนนี้จะพึ่งพาเขาและถังหนิงเพื่อมีชีวิตรอด


 


 


แม้ชายหนุ่มจะเตรียมตัวสำหรับช่วงเวลานี้มาแล้ว การได้เจอเด็กๆ เป็นครั้งแรกนั้นก็ยังทำให้เขาตื่นตกใจ


 


 


ซย่าอวี้หลิงสังเกตเห็นความวิตกกังวลบนใบหน้าโม่ถิง ดังนั้นเธอจึงทำท่าบอกให้เขายกแขนขึ้นและทำตามสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ จากนั้นเธอก็วางเด็กทั้งสองลงในอ้อมแขนของเขาอย่างช้าๆ


 


 


เด็กๆ ดูตัวเล็กจ้อยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของโม่ถิง อย่างไรก็ตาม พวกเขากำลังหลับสบายด้วยความรู้สึกปลอดภัยอย่างเต็มที่


 


 


“นี่พวกเธอ ดูคุณพ่อที่กำลังอุ้มลูกแฝดอยู่สิ พวกเขาไม่ร้องไห้ด้วยล่ะ” นางพยาบาลพากันหัวเราะเมื่อได้เห็นภาพนั้น “เด็กๆ กับพ่อของพวกเขาจะต้องเข้ากันได้ดีแน่ๆ”


 


 


ถังหนิงมองท่าทีอันระมัดระวังของโม่ถิงแล้วลุกขึ้นมาจับแก้มของเด็กๆ ขณะที่รอยยิ้มอันพึงพอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ…


 


 



 


 


คืนนั้น โรงพยาบาลเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ถังหนิงตื่นจากการหลับใหล พบว่าโม่ถิงยังคงนั่งอยู่ข้างๆ เตียงของเธอ หัวใจหญิงสาวปวดร้าวเมื่อมองไปที่เขา “เด็กๆ เกิดมาแล้วและฉันก็สบายดีค่ะ คุณไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วนะคะ อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงสิ”


 


 


โม่ถิงเงยหน้าขึ้นมามองถังหนิง หลังจากเหลือบมองเธออย่างเร็วๆ ชายหนุ่มก็พยักหน้า “ครับ”


 


 


จากนั้นชายหนุ่มก็เดินอ้อมไปที่อีกด้านหนึ่งของเตียงและนอนลงข้างๆ เธอ


 


 


ถังหนิงหยุดเขาไว้อย่างรวดเร็ว “อย่ามานอนตรงนี้สิคะ ฉันเพิ่งจะคลอดลูกมา ตัวฉันไม่สะอาด”


 


 


โม่ถิงยืดแขนออกมากอดถังหนิงไว้แล้วเอาหัวเธอแนบกับอกของเขา “คุณมอบชีวิตให้กับลูกอันเป็นที่รักทั้งสองคนของผมนะครับ ผมไม่เคยรังเกียจคุณเลย ดังนั้นทำไมคุณถึงต้องรังเกียจตัวเองล่ะ”


 


 


“ฉันตัวเหม็นค่ะ…”


 


 


“ผมไม่รังเกียจ” โม่ถิงกล่าวอย่างอ่อนโยนพลางกอดเธออย่างแนบแน่นต่อไป “ขอบคุณนะครับคุณภรรยา”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาถังหนิงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ตราบใดที่ชายคนนี้รับรู้ถึงความทุกข์และสามารถเข้าใจความเจ็บปวดของเธอได้ งั้นทุกอย่างที่เธอต้องผ่านมานั้นก็คุ้มค่าแล้ว


 


 


“คุณไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกค่ะ”


 


 


ตอนนั้นเองที่โม่ถิงพลันเริ่มบทสนทนาใหม่ขึ้นมาขณะที่เกยคางบนศีรษะของหญิงสาว “โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แต่พอมีคุณกับลูกๆ ผมก็ซาบซึ้งและพอใจมากแล้วครับ”


 


 


หยาดน้ำตาไหลซึมออกมาจากมุมตาของถังหนิง ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของโม่ถิง หญิงสาวก็พลันหัวเราะ “ด้วยความยินดีค่ะคุณชายโม่ นี่คือเครื่องพิสูจน์ความรักที่ฉันมีต่อคุณ”


 


 


ไม่ว่าจะเมื่อไหร่และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรักที่คู่รักคู่นี้มอบให้แก่กันและกันนั้นก็ยังคงรุ่มร้อนและลึกซึ้งดังเช่นเคย


 


 


โม่ถิงนึกสงสัยอยู่บ่อยๆ ว่าจะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่รู้สึกขอบคุณคนรักของตัวเอง


 


 


โดยเฉพาะในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบนโลกนี้ถึงมีผู้คนมากมายที่โกรธหรือทำร้ายคนรักของตัวเองได้อย่างแสนสาหัส เพราะสำหรับเขา แค่ความคิดที่ว่าถังหนิงไม่ได้อยู่เคียงข้างกันก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดแล้ว ดังนั้นแม้ถังหนิงจะทำบางสิ่งที่เกินเลยไปเป็นอย่างยิ่งในอนาคต ตราบใดที่เธออยู่เคียงข้างเขา นั่นก็เพียงพอแล้ว


 


 


“ลูกๆ อยู่ที่ไหนคะ”


 


 


“หลับอยู่ครับ” โม่ถิงตอบ


 


 


“แล้ว…คุณได้ตั้งชื่อให้พวกเขาหรือยังคะ” ถังหนิงเอ่ยถาม


 


 


“คนโตให้ชื่อว่าโม่จื่อเฉิน ส่วนคนเล็กให้ชื่อว่าโม่จื่อซี คุณคิดชื่อเล่นให้พวกเขาได้เลยครับ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังหนิงก็นิ่งเงียบไป โม่ถิงรออย่างอดทน ในตอนที่ชายหนุ่มคิดว่าหญิงสาวผล็อยหลับไปแล้ว เธอก็พลันพูดขึ้นมาว่า “เราเรียกพวกเขาว่าถังถังกับกั่วกั่วดีไหมคะ”


 


 


“พอลูกโตขึ้น พวกเขาได้เกลียดคุณแน่ครับ” โม่ถิงหัวเราะ


 


 


ถังหนิงเองก็หัวเราะเช่นกัน “คนเฒ่าคนแก่บอกเอาไว้ว่าควรตั้งชื่อเล่นให้เชยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยวิธีนี้ เด็กจะดูแลได้ง่าย พวกเขาควรจะดีใจที่ฉันไม่ได้ตั้งชื่อพวกเขาว่าหวังไฉ่หรืออาฟู่นะคะ”


 


 


เดิมที่คู่รักพูดว่าพวกเขาจะพักผ่อนกัน ทว่าทั้งคู่ก็ไขว้เขวไปเพราะบทสนทนาอันไม่มีที่สิ้นสุด


 


 


เพราะถึงอย่างไร หญิงอันเป็นที่รักของโม่ถิงก็ได้ให้กำเนิดเด็กแฝดผู้น่ารักน่าชังทั้งสอง ชายหนุ่มจะไม่ลืมวันนี้ไปอีกตลอดชีวิต


 


 


งั้น…สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้ให้กำเนิดเด็กชายถึงสองคน


 


 


ยอดเยี่ยม! จากนี้ไป บ้านหลังนี้จะมีผู้ชายมาช่วยเขาปกป้องถังหนิงเพิ่มอีกสองคน!


 


 



 


 


วันถัดมา ต้วนจิ่งหงได้ข่าวว่าถังหนิงคลอดเด็กออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว อันที่จริง เธอให้กำเนิดเด็กแฝดเลยด้วย


 


 


หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเพิ่งทำการแสดงไปเมื่อคืนที่ผ่านมา หญิงสาวก็คงจะเปิดแชมเปญดื่มฉลองกับสมาชิกในวงของเธอไปแล้ว


 


 


“ก่อนหน้านี้ฮว่าเหวินเฟิ่งเพิ่งจะปล่อยข่าวลือที่น่าขนลุกเกี่ยวกับหนิงของฉันออกมา ประมาณว่าเด็กคนนี้เป็นลูกสาวที่มีความพิกลพิการ แต่ดูผลลัพธ์สิ หนิงของฉันคลอดเด็กที่สุขภาพแข็งแรงออกมาตั้งสองคน”


 


 


“โว้ว พอพวกเขาโตขึ้น สาวๆ ได้หลงกันตรึมแน่!”


 


 


“แต่ก่อนอื่นเลย ฉันสงสัยจริงๆ ว่าขาของพวกเขาจะยาวแค่ไหน…”


 


 


ต้วนจิ่งหงมองดูสมาชิกวงของเธอพูดคุยกันเรื่องข่าวนี้อย่างตื่นเต้น พวกเขาดูมีวามสุขยิ่งกว่าได้คลอดลูกเองเสียอีก ทว่ามุมปากของหญิงสาวเองก็โค้งขึ้นเช่นกัน นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆ แล้ว การได้ทราบข่าวนี้ก็ทำให้เธอมีความสุขด้วยเช่นกัน


 


 


ปัญหาเดียวก็คือซ่งซินผู้ยังอยากรู้อยากเห็นเรื่องถังหนิงและยังมีเจตนาที่จะทำร้ายเธอ


 


 


ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นยังไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนของเธอ…


 


 


…คืนนี้พวกเขาก็จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้


 


 


กัปตันวงดูเหมือนจะเข้าใจความกังวลของต้วนจิ่งหง ดังนั้นเธอจึงตบบ่าของหญิงสาว “คืนนี้ทำให้เต็มที่นะ เธอคืออาวุธลับของพวกเรา”


 


 


ต้วนจิ่งหงพยักหน้า “อย่าห่วงเลย ฉันรู้ว่าต้องทำอะไร”


 


 


“เร็วเข้า มาส่งตั๋วเข้าชมการแสดงสดไปให้เธอสักสองใบกันเถอะ แบบนั้นจะได้ยิ่งน่าตื่นเต้นไง…”


 


 


ต้วนจิ่งหงรู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ เธอเชื่อมั่นว่าไห่รุ่ยได้เตรียมการทุกอย่างที่จำเป็นเอาไว้แล้ว แต่ว่ากันจริงๆ คือด้วยนิสัยของซ่งซินนั้น แม้จะไม่มีใครขุดหลุมให้เธอตกลงไป หญิงสาวก็จะกระโจนเข้าไปในหลุมสักแห่งด้วยตนเอง


 


 


ดังนั้นจึงเป็นไปตามคาด ไม่ช้าต้วนจิ่งหงก็ได้รับสายจากซ่งซิน “จิ่งหง คืนนี้เธอยุ่งอะไรไหม”


 


 


“มีอะไรเหรอ”


 


 


“ฉันอยากไปดูการแสดงของวงเกิร์ลกรุปวงใหม่ของไห่รุ่ยน่ะ ฉันอยากเห็นว่าพวกมันมีดีแค่ไหนและทำไมไห่รุ่ยถึงได้พยายามปั้นพวกมันนัก”


 


 


“คืนนี้ฉันต้องไปทานข้าวกับพ่อแม่น่ะ ชวนท่านประธานเซียวให้ไปเป็นเพื่อนแทนสิ” ต้วนจิ่งหงตอบอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งที่ความจริงแล้วหัวใจของเธอเต้นตุบตับด้วยความประหม่า


 


 


“ก็ได้ ฉันจะโทรหาเซียวอวี่เหอละกัน” ซ่งวินกล่าวก่อนจะวางสายไป


 


 


ต้วนจิ่งหงวางโทรศัพท์ลงแล้วหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น ถึงเวลาแล้วที่ซ่งซินจะได้รับของขวัญจากเธอ


 


 


ซ่งซินไม่ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเธอเลย ใจของหญิงสาวนึกถึงแต่ความเกลียดชังตอนที่เธอโทรหาเซียวอวี่เหอ เซียวอวี่เหอเข้าใจความหยิ่งผยองของเธอดี ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “แล้วต้วนจิ่งหงล่ะ ทำไมเธอไม่ไปกับคุณ”


 


 


“เธอต้องอยู่กับพ่อแม่น่ะ” ซ่งซินตอบ


 


 


“ได้ครับ งันคืนนี้ผมจะไปกับคุณเอง”


 


 


“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณได้ข่าวเรื่องถังหนิงมาบ้างหรือยังคะ”


 


 


“ไม่เลยครับ”


 


 


“นังนั่นออกลูกเป็นสัตว์ประหลาดหรือไง เพราะงั้นหล่อนถึงไม่เอาออกมาโชว์ใครสักทีสินะ” ซ่งซินเยาะเย้ย 

 

 


ตอนที่ 718 กล้าดียังไงถึงทรยศฉันแบบนี้!

 

“อย่าพูดจารุนแรงนักสิครับ” เซียวอวี่เหอเตือนหญิงสาวอย่างเสียมิได้


 


 


“นี่คุณเพิ่งเจอฉันวันแรกงั้นเหรอ ใช่ว่าคุณเคยไม่รู้มาก่อนว่าฉันเป็นแบบนี้นี่” ซ่งซินตอบอย่างไม่สนใจ


 


 


เธอพูดถูก เซียวอวี่เหอนั้นรู้อยู่แก่ใจ เขารู้ว่าเธอเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะทุ่มเทให้เธอโดยไม่เสียใจ


 


 



 


 


อันที่จริง เหตุผลหนึ่งที่ซ่งซินไม่ได้ยืนกรานให้ต้วนจิ่งหงไปกับเธอนั้นเป็นเพราะต้วนจิ่งหงไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของเธอมานานแล้ว ทว่าอีกเหตุผลหนึ่งก็คือหญิงสาวรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่คิดถึงภาพลักษณ์ใหม่อันน่าประทับใจของต้วนจิ่งหงหลังจากกลับมาที่บ้าน


 


 


เธอทนไม่ได้กับความจริงที่ว่าจู่ๆ ‘ผู้ติดตาม’ ของเธอก็น่าดึงดูดและตราตรึงใจมากกว่าตัวเอง


 


 


ดังนั้นถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดูปกติจากภายนอก หญิงสาวทั้งสองต่างก็รู้ดีว่าหลายๆ สิ่งได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ


 


 


เวลาหกโมงเย็น เซียวอวี่เหอมารับซ่งซินไปที่อีเวนต์นั้น อย่างไรก็ตาม ซ่งซินก็อดถามขึ้นมาระหว่างทางไม่ได้ว่า “คุณได้สังเกตไหมคะว่าพักหลังมานี้ต้วนจิ่งหงสวยขึ้น”


 


 


“นิดหน่อยครับ” เซียวอวี่เหอตอบ “เธอมีสไตล์ขึ้นมากกว่าแต่ก่อน”


 


 


“ฉันไม่ชอบเลยค่ะ ฉันไม่ชอบที่ผู้จัดการของฉันแต่งหน้าหนาๆ ลุกสะอาดๆ ดูดีกว่า” ซ่งซินแสดงความไม่พอใจ ความหยิ่งยโสกำลังเข้าครอบงำเธอ


 


 


“เป็นเพื่อนคุณนี่เหนื่อยแย่เลยนะครับ ห้ามแม้แต่จะโดดเด่นกว่าคุณเนี่ย” เซียวอวี่เหอยิ้มอย่างช่วยไม่ได้


 


 


“อะไรกัน ฉันมีสิทธิ์เลือกคบเพื่อนนะคะ!”


 


 


เซียวอวี่เหอไม่ตอบพลางจดจ่ออยู่กับการขับรถ


 


 


วงเกิร์ลกรุปของต้วนจิ่งหงมีชื่อว่าเอโอบี (AOB) ทั้งวงมีสมาชิกจำนวนสี่คนและแต่ละคนก็มีจุดแข็งเป็นของตัวเอง หญิงสาวทั้งสี่คนนี้มีความสามารถมาก


 


 


ด้วยความที่เพิ่งจะเดบิวต์เสร็จมาหมาดๆ พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์จัดคอนเสิร์ตของตัวเอง ดังนั้นอีเวนต์ในค่ำคืนนี้จึงถูกจัดขึ้นโดยบรรดารุ่นพี่ในไห่รุ่ยเพื่อแสดงการสนับสนุนเด็กหน้าใหม่ที่มีอนาคตไกลทั้งหลายและเอโอบีก็ได้รับเชิญให้มาทำการแสดงด้วย


 


 


ที่ด้านหลังของเวทีคอนเสิร์ต ต้วนจิ่งหงและสมาชิกวงของเธอกำลังแต่งหน้ากันอยู่ ตอนนั้นเองที่กัปตันวงเอ่ยถามต้วนจิ่งหงว่า “นังชั่วนั่นมาถึงหรือยัง”


 


 


ต้วนจิ่งหงหันกลับไปหากัปตันวงแล้วพยักหน้า “อื้ม มาถึงแล้วล่ะ”


 


 


“ดี มาแสดงให้หล่อนเห็นกันเถอะว่าพวกเราเจ๋งแค่ไหน…”


 


 



 


 


คอนเสิร์ตนั้นอัดแน่นไปด้วยคนนับหมื่นและแฟนคลับจำนวนมากปะปนอยู่ในหมู่ผู้ชม ดังนั้นวิสัยทัศน์ของเวทีจึงมีจำกัดและบรรยากาศในงานจึงค่อนข้างเสียงดังโหวกเหวก ทว่าซ่งซินมีตั๋ววีไอพี ดังนั้นหญิงสาวจึงได้นั่งด้านหน้าสุดซึ่งอยู่ห่างกับผู้ทำการแสดงเพียงนิดเดียวโดยมีทางเดินเล็กๆ กั้นอยู่ระหว่างเธอกับเวที


 


 


ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว…


 


 


เวลาหนึ่งทุ่ม คอนเสิร์ตได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ซ่งซินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ศิลปินบนเวทีนั้นได้รับการฝึกฝนมาจากไห่รุ่ยจริงๆ การขับร้อง การเต้นและตำแหน่งบนเวทีของพวกเขานั้นเกือบจะสมบูรณ์แบบ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักร้องของไห่รุ่ยถึงได้เป็นที่นิยมนัก


 


 


เสียงร้องเชียร์ดึงขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่าจนซ่งซินเริ่มรู้สึกหูชา ทว่าการแสดงที่เธอกำลังรออยู่นั้นยังมาไม่ถึง


 


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนจิ่งหงกลับได้เฝ้าดูซ่งซินจากด้านหลังเวทีอย่างชัดเจนเสียแล้ว


 


 


เธอรอเห็นปฏิกิริยาของซ่งซินแทบไม่ไหว


 


 


ด้านบนเวที ในที่สุดพิธีกรก็เตรียมให้ผู้ชมได้พบกับการแสดงของวงเอโอบีแม้เหล่าแฟนคลับจะไม่เคยได้ยินชื่อวงนี้มาก่อน แต่การที่ได้รู้ว่าไอดอลของพวกเขาเชิญคนกลุ่มนี้มาเป็นแขกรับเชิญนั้นก็ทำให้พวกเขารู้สึกเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ดังนั้นพวกเขาจึงปรบมือเสียงดังสนั่น


 


 


“เตรียมพร้อมนะ ถึงเวลาขึ้นเวทีแล้ว” กัปตันวงเตือนต้วนจิ่งหง “อย่ากลัวล่ะ ตอนนั้นเธอก็แค่ต้องแสดงเสน่ห์ที่เธอมีมาโดยตลอด เธอไม่เคยด้อยกว่าใครเลยนะ”


 


 


หลังจากที่ได้รับคำให้กำลังใจ ต้วนจิ่งหงก็พยักหน้าแล้วยิ้มอย่างสงบนิ่งให้กับกัปตันวง


 


 


ไม่นานนักแสงไฟบนเวทีก็เริ่มเปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสถานที่จัดงานมืดสนิท ถึงเวลาที่ต้วนจิ่งหงและสมาชิกวงของเธอต้องขึ้นไปปรากฏตัวบนเวทีแล้ว ไม่กี่วินาทีต่อมา แสงไปบนเวทีก็เริ่มสว่างขึ้นและเผยให้เห็นหญิงสาวทั้งสี่ที่พร้อมอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง เมื่อเพลงขึ้น พวกเขาก็เริ่มขยับร่างอันบอบบางไปตามจังหวะของมันและเหล่าผู้ชมก็ปรบมือเสียงดังอีกครั้ง


 


 


หญิงสาวทั้งสี่ดูเท่และเป็นธรรมชาติในขณะที่พวกเขาร้องและเต้น ความยากของท่าเต้นของพวกเขานั้นน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ทีแรกซ่งซินไม่ได้สังเกตเห็นว่าต้วนจิ่งหงอยู่ท่ามกลางหญิงสาวกลุ่มนั้นเพราะเสื้อผ้าและการแต่งหน้าของเธอ แต่เมื่อกล้องหลายๆ ตัวจับภาพไปที่ต้วนจิ่งหงและใบหน้าของหญิงสาวขึ้นไปปรากฏบนจอภาพขนาดยักษ์ ท่าทีของซ่งซินก็เปลี่ยนไป เธอหันไปถามเซียวอวี่เหอทันทีว่า “นั่นจิ่งหงเหรอ ฉันเห็นภาพหลอนอยู่หรือเปล่าคะ”


 


 


ขณะที่สาวๆ เปลี่ยนตำแหน่งกันไปมา เซียวอวี่เหอเองก็มองเห็นไม่ชัดเช่นกัน “แค่คล้ายๆ น่ะครับ จิ่งหงจะมาที่นี่ทำไมกันล่ะ”


 


 


สัญชาตญาณของซ่งซินบอกเธอว่าเธอไม่ได้พลาด ดังนั้นหญิงสาวจึงจ้องไปที่หญิงสาวคนนั้นต่อ ยิ่งซ่งซินมองผู้หญิงคนนี้เท่าไหร่ หล่อนก็ยิ่งดูคุ้นหน้าและดูเหมือนต้วนจิ่งหงมากขึ้นเท่านั้น


 


 


สุดท้ายเพลงก็จบลงและสาวๆ กลุ่มนี้ก็จบท่าเต้นของพวกเธอได้อย่างน่าประทับใจ ตอนนั้นเองที่ไฟทุกดวงสว่างขึ้นและพิธีกรเดินเข้าไปหาพวกเขา ชายหนุ่มพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม “มาครับ แนะนำตัวเองและทักทายเหล่าแฟนคลับกันสักหน่อย”


 


 


ซ่งซินมองหญิงสาวที่ดูคล้ายคลึงกับต้วนจิ่งหงด้วยความหวาดระแวงขณะที่เธอรับไมโครโฟนมาจากพิธีกรหนุ่ม


 


 


“สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อจิ่งหงค่ะ”


 


 


จิ่งหง!


 


 


เป็นต้วนจิ่งหงจริงๆ!


 


 


ซ่งซินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นก็หวังเหลือเกินว่าตัวเองแค่หูแว่วไปเอง


 


 


เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปได้ยังไง


 


 


จิ่งหงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ยังไง เธอกลายมาเป็นสมาชิกวงเอโอบีได้ยังไง


 


 


หลังจากตระหนักแล้วว่าตัวเองถูกหลอก ใจของซ่งซินก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ต้วนจิ่งหงโกหกเธอจริงๆ กล้าดีอย่างไรถึงมาโกหกเธอ


 


 


เซียวอวี่เหอหันไปมองซ่งซินอย่างไม่รู้ตัวและสังเกตเห็นสีหน้าอันสับสนบนใบหน้าของเธอ…


 


 


ในที่สุดซ่งซินก็ได้ลิ้มรสว่าความรู้สึกของการโดนเพื่อนสนิททรยศนั้นเป็นอย่างไร


 


 


“สมาชิกทั้งสี่คนอายุยังน้อยกันอยู่เลยนะครับ ลือกันว่าเอโอบีเป็นวงเกิร์ลกรุปที่น่าจับตามองที่สุดในปีนี้ พอได้เห็นการแสดงของพวกคุณแล้ว ผมต้องขอพูดเลยล่ะครับว่าพวกคุณทุกคนทั้งสาว ทั้งสวยและเปี่ยมไปด้วยพลัง ท่านประธานโม่มีสายตาเฉียบแหลมในการมองคนจริงๆ ครับ” พิธีกรหนุ่มเอ่ยชม “อีกอย่าง ผมได้ยินมาว่าคุณจิ่งหงเพิ่งได้รับบาดเจ็บและเข้าร่วมวงมาได้ไม่นาน แต่ดูจากการแสดงของคุณแล้ว มันช่างสมบูรณ์แบบและคุณก็มีความสามารถจริงๆ ครับ”


 


 


“ขอบคุณค่ะ” ต้วนจิ่งหงโค้งให้พิธีกรด้วยความขอบคุณ หลังจากนั้นหญิงสาวก็ยืนตัวตรงและมองไปยังซ่งซินที่อยู่ด้านล่างเวที


 


 


มันคือสายตาอันยั่วยุ อันที่จริง มีความเยาะเย้ยเจืออยู่อีกด้วย ดูเหมือนว่าเธอกำลังเยาะเย้ยให้กับความโง่เง่าและมั่นใจในตัวเองมากเกินไปของซ่งซิน


 


 


แน่นอนว่าถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ในอีเวนต์ที่มีคนจำนวนมากถึงหนึ่งหมื่นคน ซ่งซินคงได้วิ่งขึ้นไปบนเวทีและฉีกต้วนจิ่งหงของเป็นสองซีกแล้ว เธอทำเช่นนี้ได้ยังไง


 


 


เธอเป็นแค่ผู้จัดการคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรไปเป็นศิลปิน


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงคนนี้ต้องการมีชื่อเสียงมากกว่าเธอเสียอีก


 


 


ตอนนั้นเองที่ใจซ่งซินปะทุไปด้วยความโกรธเกรี้ยว


 


 


เซียวอวี่เหอเหมือนจะสังเกตเห็น ดังนั้นเขาจึงเสนอแนะว่า “ทำไมไม่ไปถามเธอที่ด้านหลังเวทีล่ะครับ”


 


 


“ถึงคุณไม่บอก ฉันก็จะไปอยู่แล้วค่ะ” ซ่งซินกล่าวพลางกัดฟันกรอด “ฉันอยากถามหล่อนว่าหล่อนมีความมั่นใจมาทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ได้ยังไง ฉันดีกับหล่อนมาโดยตลอด กล้าดียังไงถึงทรยศฉันแบบนี้! หล่อนประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยแล้ว!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม