แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 711-717

 บทที่ 711 ไอ้น้องชาย พวกเราช่างมีวาสนาต่อกัน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หมายความว่า นายอยากเป็นอย่างนี้เองงั้นหรอ?” หลิงม่อถามหยั่งเชิง


เสียงพูดของเขากลบเสียง “แกร๊ก” ไว้ได้พอดี มือจับประตูหยุดหมุนแล้ว ในขณะเดียวกันบานประตูก็แง้มเปิดเป็นช่องเล็กๆ ไม่สะดุดตาอย่างเงียบเชียบ


แต่หลิงม่อกลับไม่ได้รีบหนีไปทันที เจ้าซอมบี้ตัวนี้มองเขาเป็นหนูที่จะฆ่าเมื่อไหร่ก็ได้ มันไม่ลงมือทันทีแน่ ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสนี้ ล้วงข้อมูลจากปากของมันซักหน่อย


เจ้าหัวโตกลับตอบว่า “หึหึ ยังต้องถามอีกหรอ? หรือแกเคยเห็นซอมบี้ตัวไหนรูปร่างเหมือนกันรึไง? แต่จากความทรงจำของฉัน มนุษย์อย่างพวกแกต่างก็อยากจะกลายเป็นเหมือนฉันใช่ไหมล่ะ เป็นไง เมื่อกี้แกก็คงตะลึงกับความงดงามของฉันไปเลยใช่ไหมล่ะ?”


“ใช่ ตะลึงแทบตาย…” มุมปากของหลิงม่อกระตุกยิกๆ เขาไม่ได้โกหก แต่พูดจากใจจริงเลยว่าตกใจมากจริงๆ


แต่ว่า…มนุษย์คนไหนที่อยากกลายเป็นอย่างนี้กัน!


“ฮ่าๆๆๆ…” เจ้าหัวโตหัวเราะอย่างได้ใจ สายตาที่มันมองหลิงม่อเหมือนกำลังมองมดตัวหนึ่ง แต่เจ้ามดตัวนี้กลับน่าสนใจมาก ทำให้มันไม่คิดจะเหยียบหลิงม่อให้ตายในทันที


“ถ้าอย่างนั้นซอมบี้ทุกตัวเป็นเหมือนกับนายหรือเปล่า?” หลิงม่อถามขึ้นอีกครั้ง


สายตาอย่างนั้นย่อมทำให้หลิงม่อรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ถึงขั้นต้องโมโหกับเรื่องแค่นี้


เจ้าหัวโตยิ่งรู้สึกว่าหลิงม่อน่าสนใจมากกว่าเดิม ไม่คิดเลยว่าเจ้ามนุษย์คนนี้จะกล้าถามคำถามกับมันด้วย!


ความจริง เจ้าหัวโตเคยบังเอิญเจอมนุษย์ผู้รอดชีวิตมาแล้ว แต่มนุษย์พวกนั้นพอเห็นมัน ก็พากันกลัวหัวหดทันที ยิ่งพอได้ยินมันเปิดปากพูด พวกนั้นก็จะทำสายตาที่ทั้งหวาดผวาปนเกลียดชัง แล้วตะโกนด่าด้วยคำว่า “ตัวประหลาด” อะไรทำนองนั้น


ทว่าเจ้ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้านี้ นอกจากสีหน้าตะลึงตอนที่เพิ่งเห็นรูปร่างมันแล้ว ก็แทบไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาเป็นพิเศษเลย


สติปัญญาของเจ้าหัวโตสูงมาก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งบ่งบอกว่ามันอันตรายกว่าซอมบี้ทั่วไป แต่ขณะเดียวกันมันก็จะมีความขี้สงสัยและความต้องการแสดงออกมากกว่าด้วยเช่นกัน


ถึงแม้ซอมบี้นกจะเป็นคู่ครองของมัน…แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้หลิงม่อรู้สึกว่าเจ้าซอมบี้ตัวนี้มีเพศสภาพที่ไม่แน่ชัด…แต่เจ้าซอมบี้นกมีสติปัญญาไม่มากพอ จึงไม่สามารถพูดคุยกับหลิงม่อจริงๆ อย่างนี้ได้…


“หึหึ มนุษย์ แกนี่คำถามเยอะเหมือนกันนะ แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เจ้าโง่คู่ครองของฉันมันไม่เคยคุยกับฉันเลย แล้วก็ไม่สนใจเรื่องของมนุษย์ด้วย รู้จักแต่กิน…เฮ้อ” มันแสร้งทำเป็นส่ายหัวและถอนหายใจในตอนท้าย


หลิงม่อเบิกตากว้าง ในใจพลางก่นด่า มาทำเป็นเหมือนกำลังบ่นเรื่องชีวิตคู่ที่ล้มเหลว! แกเป็นคนฆ่าเขานะโว้ย…แถมยังกินเขาอีกต่างหาก! แล้วยังกล้าพูดว่าเขารู้จักแต่กินอีก…ถ้าเจ้าซอมบี้นกได้ยินเข้าคงฟื้นขึ้นมาด้วยความโกรธแน่ๆ!


“แล้วตกลงใช่หรือเปล่าล่ะ?” หลิงม่อจ่อถาม


เขาไม่มีเวลามานั่งคุยเรื่องปัญหาในครอบครัวกับมันหรอกนะ!


ไม่เห็นน่าประทับใจตรงไหน ตรงกันข้ามกลับฟังดูน่าสยองซะมากกว่า…


“ช่างเป็นมนุษย์ที่ใจร้อน…” เจ้าหัวโตเหลือบมองหลิงม่อด้วยหางตาอย่างเอือมระอา พอมันหรี่ตาเล็กๆ คู่นั้น พร้อมทิ่มแทงหลิงม่อด้วยสายตาไม่พอใจ หลิงม่อก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัวจนเกือบคิดจะวิ่งหนีไปแล้ว…


“ความจริงก็น่าจะใช่ล่ะนะ…ถ้าพูดเหมือนมนุษย์อย่างพวกแก ก็เรียกว่าผลกระทบจากจิตใต้สำนึกล่ะมั้ง” เจ้าหัวโตวางมาดขึ้นมาอีกครั้ง มันหรี่ตาแล้วรอดูปฏิกิริยาตอบสนองของหลิงม่ออย่างคาดหวัง


มนุษย์คนหนึ่งมาขอคำชี้แนะจากมัน ถึงมันจะดูถูกมนุษย์ แต่เจ้าหัวโตก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย


หลิงม่อใจเต้นตึกตัก ที่แท้ก็จิตใต้สำนึก…


ถ้าอย่างนั้น ความคิดของซอมบี้แต่ละตัวก็รวมตัวอยู่กับเชื้อไวรัสเหมือนกันน่ะสิ


เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้เลย…


“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…” หลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด


“หึหึ ถ้าพูดเหมือนมนุษย์อย่างพวกแกก็ต้องบอกว่า ไอ้น้องชาย ความจริงเรามีวาสนาต่อกันนะ” จู่ๆ เจ้าหัวโตก็พูดโพล่งขึ้นมา


หลิงม่อเกือบล้มหน้าทิ่ม จากคำพูดของเจ้าหัวโตหลิงม่อก็พอจะเข้าใจแล้วว่า เจ้าซอมบี้ตัวนี้ตั้งใจตามพวกเขามา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาเพื่อแก้แค้นให้เจ้าซอมบี้นก แต่มันมาเพราะจุดประสงค์เดียวกันกับเจ้านั่น แล้วมันก็โลภกว่าเจ้าซอมบี้นกด้วย เพราะมันไม่เพียงคิดจะกินพวกหลิงม่อ แต่ยังหมายตาเจ้า “วิกผม” อีกด้วย


นี่มันไม่ใช่วาสนา แต่เรียกว่าสตอล์คเกอร์! ถ้ำมอง! ลอบทำร้ายต่างหากเล่า!


“แกไม่เชื่อหรอ? มนุษย์ ดูเหมือนแกจะอยากรู้เรื่องของพวกฉันมาก ฉันเองก็สงสัยเรื่องมนุษย์มากเหมือนกัน อย่างนี้เขาเรียกว่าอุดมการณ์เดียวกันหรือเปล่า? ฮ่าๆๆๆ…” เจ้าหัวโตตบมือหัวเราะชอบใจ แต่จู่ๆ สายตาของเจ้าหัวโตก็เย็นเยียบไปทันที “เรื่องที่ทำให้ฉันสงสัยเกี่ยวกับตัวแกมากที่สุดก็คือ…ทำไมแกถึงอยู่กับพวกเดียวกันของฉันได้? มีพวกเดียวกันแล้วยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ด้วย…”


ยิ่งพูด สีดวงตาของเจ้าหัวโตก็ยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆ “ถ้ามีแกอยู่ ฉันก็คงมีอาหารชั้นสูงเข้ามาให้กินอยู่เรื่อยๆ เหมือนเจ้าไม้กวาดสินะ?”


“ไม้กวาด?”


หลิงม่อเข้าใจทันทีว่ามันพูดถึงเจ้า “วิกผม”


แต่สิ่งที่มันพูดกลับทำให้หลิงม่อขนทุกไปทั้งตัว ไม่น่าล่ะมันถึงได้ไม่ลงมือซักที ที่แท้ก็ตั้งใจไว้แบบนี้นี่เอง!


มันเห็นหลิงม่อเป็นเครื่องผลิตอาหารประสิทธิภาพสูงซะแล้ว!


“ซอมบี้เรียนรู้ที่จะจับมนุษย์ไปเป็นทาสแล้ว…แต่แกคิดผิดมหันต์แล้วล่ะ…”


แววตาของหลิงม่อดูเคร่งเครียดขึ้นทีละนิด


ตอนแรกเขานึกว่าเจ้าซอมบี้ตัวนี้ได้กลิ่นของ “วิกผม” จึงมาหาเขาถึงที่นี่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันวางแผน “จับหัวหน้าโจร” ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว (擒王 จับหัวหน้าโจร มาจากคำว่า擒贼擒王 จับโจรให้จับหัวหน้าโจรก่อน) แถมไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหากตกไปอยู่ในกำมือของมันจะต้องเลวร้ายยิ่งกว่าตายแน่นอน แล้วพวกเย่เลี่ยนก็จะกลายเป็น “อาหารชั้นสูง” กลุ่มแรกของมัน


ซอมบี้ตัวนี้ไม่เพียงเป็นซอมบี้ที่มีสติปัญญาสูงที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา แต่ยังเป็นซอมบี้ที่ความคิดรอบคอบและโหดร้ายที่สุดด้วย!


“เข้ามาหาฉันซะดีๆ เถอะ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะเริ่มกินแกตั้งแต่นิ้วเท้าขึ้นไป หากทำอย่างนั้นมันคงทรมานมากสำหรับมนุษย์ใช่ไหมล่ะ? ฮ่าๆๆ…”


เจ้าหัวโตกระดิกนิ้วเรียกหลิงม่อ พร้อมพูดขู่


เดาว่ามันคงเห็นท่าทางอย่างนี้มาจากในความทรงจำของตัวเองเหมือนกัน แต่เลียนแบบได้เหมือนมากจริงๆ…


“อยากกินฉัน? แกต้องมีปัญญาก่อนถึงจะกินฉันได้…”


หลิงม่อยังพูดไม่ทันจบประโยค ทันใดนั้น บานประตูก็ถูกผลักออก พร้อมกับที่ร่างกายของหลิงม่อลอยออกไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ราวกับมีเชือกผูกเอาไว้


เจ้าหัวโตมีการตอบสนองที่รวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด แต่ในเสี้ยววินาทีที่เพิ่งจะขยับตัว มันก็โดนพลังงานกลุ่มหนึ่งโจมตีที่คอของมันทันที


เจ้าหัวโตปล่อยตัวตามสบายขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างที่พูดคุยกับหลิงม่อ พอโดนแรงนี้กระทำจึงส่งผลให้หงายหลังไปทันที


“มนุษย์!” เจ้าหัวโตตวาดลั่นด้วยความเกรี้ยวโกรธ


เสี้ยววินาทีที่หลิงม่อลอยออกจากห้องน้ำ หลิงม่อรู้สึกสมองขาวโพลนไปชั่วขณะ


ทว่าเขายังคงกัดฟันอดทน และถ่ายทอดคำสั่ง 2 คำสั่งผ่านกระแสจิต


“พี่หลิงม่อบอกว่าเคลื่อนไหวได้แล้ว!” ซย่าน่าดวงตาเป็นประกาย พลางพูดขึ้น


เดิมหลังจากที่จัดการซอมบี้พวกนั้นเสร็จ พวกเธอตั้งใจจะไปหาหลิงม่อ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงม่อจะถ่ายทอดคำสั่ง “รอคำสั่งอยู่ที่เดิม” มาให้ก่อน


ถึงจะไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่พวกเย่เลี่ยนก็ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด


และในตอนนี้ พวกเธอก็ได้รับคำสั่งถัดมาของหลิงม่อในที่สุด


เจ้าหัวโตถูกหลิงม่อใช้แผนลวง กว่ามันจะกระโดดขึ้นมาอีกครั้ง หลิงม่อก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำแล้ว


แต่ในตอนที่เพิ่งจะกระโจนเข้าไปด้วยสายตาขุ่นแค้น มันกลับได้ยินเสียง “ฉึบ” ดังขึ้น จากนั้นก็เห็นหลิงม่อโยนไฟแช็กเข้ามาหนึ่งอันด้วยสีหน้าเคลือบรอยยิ้มเย็นชา


“หืม?”


เจ้าหัวโตชะงักไปชั่วขณะ มันเพิ่งจะสังเกตเห็นตอนนี้ว่าบนพื้นเปียกชื้นไปหมด!


กลิ่นของแอลกอฮอร์ถูกกลิ่นเหม็นไหม้ก่อนหน้านี้กลบจนหมด ระหว่างที่หลิงม่อลอยถอยหลังไป เขายังเทแอลกอฮอร์ไปด้วยตลอดทาง!


ไฟดวงเล็กๆ ที่ถูกจุดขึ้นหล่นลงบนพื้นเคลือบแอลกอฮอร์ แล้วเปลวเพลิงก็ลุก “พรึ่บ” ขึ้นมาขวางตรงกลางระหว่างเจ้าหัวโตกับหลิงม่อ


หลิงม่อกลับไม่รอดูไปมากกว่านี้ เขารีบหมุนตัวออกวิ่งเข้าไปในห้างฯ ทันที


เปลวเพลิงเล็กๆ แค่นี้ แถมยังไม่ได้ถูกจุดบนตัวเจ้าหัวโตโดยตรง ยากที่จะทำให้มันได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ


ก่อนหน้านี้พอได้ยินว่าแม้แต่เจ้านกซอมบี้ก็ยังสามารถรอดชีวิตจากทะเลเพลิงไปได้ หลิงม่อก็กระจ่างต่อพลังป้องกันของผิวหนังซอมบี้ราชาในระดับหนึ่งแล้ว


เขาไม่หวังว่าจะสามารถเผาให้เจ้าซอมบี้ตัวนี้ให้มีสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายได้ แค่หวังว่าอย่างน้อยจะถ่วงเวลาได้ซักเล็กน้อย…


“โอ๊ยๆๆๆๆๆ!”


เสียงเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ และเสียงคำรามเดือดดาลของเจ้าหัวโตไล่ตามหลังมา “ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิดเดียว! ไอ้มนุษย์เลว! ฉันล่ะปวดใจจริงๆ!!!”


“งั้นก็ขอให้ปวดจนตายไปเลย…” หลิงม่อวิ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีโดยไม่หันกลับไปมอง


พอเปลวไฟลูกพรึ่บ เจ้าหัวโตก็สะดุ้งตกใจ แล้วกระโดดเต้นเร่าๆ อย่างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ


สภาพย่ำแย่ของซอมบี้นกยังเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของมัน ดังนั้นตอนนี้ความรู้ความเข้าใจของมันที่มีต่อเปลวไฟจึงได้เปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความหวาดกลัว


ทว่าระหว่างแหกปากด่าเสียงดังลั่น ไม่นานมันก็พบว่าไฟไม่ได้ลุกลามใหญ่โตแต่อย่างใดเลย…


เปลวไฟสีฟ้านั่นไหม้ไปตามแนวเส้นบนพื้นเพียงเส้นเดียว แล้วก็ไม่ได้ลุกลามออกนอกเส้นด้วย…


และนอกจากถูกไฟลวกเท้าเล็กน้อยแล้ว เปลวเพลิงก็ไม่ได้ไหม้ลามขึ้นมาบนตัวของมันเลย


เปลวเพลิงเล็กๆ แค่นั้น แม้แต่ผิวของมันก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำให้มันบาดเจ็บได้หรือเปล่า


มีเพียงรอยไหม้เป็นวงกว้างตรงขอบกางเกง และความโกรธแค้นจากการถูกหลอก ที่ทำให้เจ้าหัวโตคลุ้มคลั่ง


“มนุษย์!!!”


—————————————————————————–


บทที่ 712 เอากับดักเชือกไปกิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิงม่อทิ้งเสียงคำรามด้วยความแค้นของเจ้าหัวโตไว้เบื้องหลัง แล้ววิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต


เขากลัวว่าเจ้านั่นจะเลิกไล่ตามกลางคัน จึงวิ่งไปพลาง ตะโกนเย้ยหยันไปพลาง “ความจริงแกก็แค่ดื่มสารเมลามีนมากเกินไปใช่ไหมล่ะ? แล้วหลังจากเมลามีนไปรวมตัวกับเชื้อไวรัสเลยเกิดผลข้างเคียงจนมีสภาพอย่างนี้ แต่เพื่อทำให้ตัวเองดูแตกต่างจากคนอื่น เลยหาเหตุผลดูดีมาพูด…”


“เหลวไหล!” เจ้าหัวโตโกรธขึ้งทันที ในฐานะซอมบี้ที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมาก ที่ผ่านมาทันทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องทิศทางวิวัฒนาการและกลายพันธุ์ไปตั้งเท่าไหร่! กว่าจะได้หัวโตๆ แบบนี้มาลำบากแทบตาย แต่เจ้ามนุษย์น่าตายนี่กลับมาบอกว่าเป็นผลข้างเคียงจากสารเมลามีน!


“รอให้ฉันจับแกได้ก่อนเถอะ จะหักแขนหักขาแกออกมากินซะ!” เจ้าหัวโตตะคอกเสียงเหว


“แกนี่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์เอาซะเลย…”


ตอนนี้หลิงม่อทำเต็มที่แล้ว ความจริงเขายังสามารถใช้หนวดสัมผัสอีก 1 – 2 เส้น ทว่าเขากลับไม่สามารถใช้สุ่มสี่สุ่มห้าได้ หากเทียบกันเรื่องความเร็ว เขาไม่มีทางชนะซอมบี้ราชาตัวนี้ได้แน่นอน แม้ว่ามันจะเป็นซอมบี้ราชาที่มีข้อได้เปรียบเรื่องสติปัญญาก็ตาม


เกิดถ้ามันไล่ตามมาทัน เขายังสามารถใช้หนวดสัมผัสถ่วงเวลาได้ซักเดี๋ยว


นอกจากนี้ ซอมบี้ตัวนี้ยังมีความสามารถในการกล่อมประสาทด้วย เขาต้องระวังตัวให้ดี


หลิงม่อเดาว่าเจ้าหัวโตน่าจะเหมือนกับเจ้า “วิกผม” ที่ใช้ความสามารถชนิดนี้ผ่านการคายเชื้อไวรัสออกมา


จะเปิดโอกาสให้มันไม่ได้!


เจ้าหัวโตหงุดหงิด มันไม่เคยถูกมนุษย์ด่าอย่างนี้มาก่อน!


มนุษย์พวกนั้นแค่เห็นมันก็พากันติดอ่างไปหมดแล้ว ไม่มีใครหน้าไหนกล้าเยาะเย้ยมันอย่างนี้…


อีกอย่าง…ทั้งที่ดูอ่อนแรงขนาดนั้น แต่ทำไมถึงได้วิ่งเก่งนักล่ะ!


เจ้าหัวโตไม่รู้ว่าตอนนี้หลิงม่อกำลังอ่อนแอแค่ด้านพลังจิตเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับด้านร่างกาย


ร่างกายเขาแทบไม่ได้ใช้แรงอะไรเลย เพียงแต่สภาพจิตเหนื่อยล้ามากไป ส่งผลให้ควบคุมร่างกายไม่ไหวเท่านั้น


แต่หลังจากที่พลังจิตฟื้นกลับมาได้บางส่วน เขาก็ถือว่าฟื้นตัวเต็มที่แล้ว…


แต่ว่า เจ้ามนุษย์นั่นไม่มีทางวิ่งได้เร็วกว่ามันแน่!


เจ้าหัวโตคิดอย่างแค้นเคือง แต่มันไม่คิดเลยว่าในเสี้ยววินาทีที่วิ่งเลี้ยว จู่ๆ ขาของมันจะสะดุดเข้ากับบางอย่างจนล้มหน้าคะมำไปข้างหน้า


หลิงม่อหน้าซีดเผือด แต่เขาก็ยังฝืนหัวเราะลั่น “เจ้างั่ง นั่นเขาเรียกว่ากับดักเชือกไงล่ะ!”


เจ้าหัวไม่ได้ล้มลงกับพื้น แต่เพราะไม่ได้เตรียมตัวมันเลยพุ่งชนกำแพงตรงหน้าเข้าอย่างจัง เสียงเจ้าหัวโตกระแทกเข้ากับกำแพงดัง “โครม” ไปทั่วบริเวณ


ผงปูนมากมายร่วงลงมาอาบศีรษะของเจ้าหัวโตดัง “ซ่า”


“ว๊ากกกก!”


เจ้าหัวโตระเบิดโทสะ เจ้ามนุษย์คนนี้น่าชังที่สุด!


ไม่ว่าจะสู้กับมนุษย์หรือพวกเดียวกัน มันก็ไม่เคยถูกปั่นหัวขนาดนี้มาก่อน!


ตอนนี้มันยังมีเวลาคายสารกล่อมประสาทออกมา…


เมื่อรู้สึกได้ว่าเจ้าหัวโตกำลังวิ่งพุ่งเข้ามาอย่างเดือดดาล หลิงม่อก็เตรียมพร้อมรับมืออย่างระมัดระวัง


ซอมบี้ตัวนี้สติปัญญาสูง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นคำพูดดูถูกของหลิงม่อจึงใช้ได้ผลกับมันขนาดนี้


ทว่าความแตกต่างเรื่องพลังความสามารถกลับไม่สามารถทดแทนกันได้ สิ่งที่หลิงม่อเก่งที่สุดคือพลังจิต แต่ตอนนี้พลังจิตของเขากลับอยู่ในสภาวะแห้งเหือด


แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา…


“มนุษย์!” เจ้าหัวโตอยู่ห่างจากหลิงม่อไม่ถึง 10 เมตรแล้ว ระยะห่างเพียงเท่านี้เพียงพริบตาเดียวก็ตามทันแล้ว


“ระวังหัว!” หลิงม่อตะโกน


เจ้าหัวโตมัวแต่ระวังเท้าตลอด จู่ๆ พอได้ยินหลิงม่อตะโกนอย่างนี้ มันจึงเงยหน้ามองเพดานโดยอัตโนมัติ


“พลั่ก!”


คราวนี้มันล้มคว่ำลงไปกับพื้นจริงๆ เพราะขณะเดียวกับที่เงยหน้า ขาของมันก็สะดุดเข้าจังๆ อีกครั้ง ไม่ล้มก็แปลกแล้ว


หลิงม่อสีหน้าซีดเผือด เขาหัวเราะร่วนและวิ่งทิ้งระยะห่างไปอีกช่วง


เสี้ยววินาทีที่เจ้าหัวโตล้มมันใช้ฝ่ามือยันตัวขึ้นทันที มันรู้สึกว่าตัวเองถูกยั่วโมโหจนสัญชาตญาณในตัวแทบจะปลุกตื่นอยู่แล้ว


เหมือนที่หลิงม่อคิดไม่มีผิด ยิ่งเป็นซอมบี้ที่ฉลาดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งถูกยั่วโมโหได้ง่ายเท่านั้น


ความจริงซอมบี้ทั่วไปไม่ได้คิดเยอะเหมือนเจ้าหัวโต และยิ่งไม่มีทางรู้สึกว่าตัวเองถูกมองเป็นคนโง่


เพราะพวกมันโง่อยู่แล้ว…


“ฉันจะกินแกซะ! ฉันจะกินแกกก! ว๊ากกกก!”


ลูกตาของเจ้าหัวโตแทบจะถลนออกมานอกเบ้าแล้ว มันจ้องไปที่ห้องบันไดเบื้องหน้า แล้วสายตาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที


เจ้ามนุษย์คนนี้ยังคิดจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมสายพันธุ์พวกนั้นอีก มันไม่มีทางเปิดโอกาสให้เขาแน่


ขอเพียงจับเจ้ามนุษย์นี้ไว้ได้ เพื่อนร่วมสายพันธุ์พวกนั้นก็จะวิ่งมาให้มันจับเอง


ดังนั้นมันจึงได้คิดว่า แผนการของตัวเองดีกว่าวิธีการล่าอย่างตรงไปตรงมาของเจ้าซอมบี้นกมาก และประหยัดแรงกว่ามากด้วย


แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ามนุษย์นี่จะจัดการยากขนาดนี้!


รู้อย่างนี้ไม่น่าคุยกับเขาตั้งแต่แรก!


ตอนนี้เจ้าหัวโตทั้งโกรธแค้นทั้งเสียใจ มนุษย์เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!


“ยอมแพ้ซะเถอะ! ฉันไม่มีทาง…”


เจ้าหัวโตยังพูดไม่ทันจบ แต่ทันใดนั้นเงาร่างของหลิงม่อก็ไหววูบ และหายไป!


มันวิ่งมาถึงตำแหน่งที่หลิงม่ออยู่เมื่อกี้ แต่กลับมองเห็นประตูเหล็กบานหนึ่งกำลังล้มมาตัวเองพอดี


“โครม!”


เป้าหมายของหลิงม่อไม่ใช่ห้องบันได แต่กลับเป็นห้องเก็บของห้องนี้


ประตูนิรภัยแบบนี้ไม่สามารถขวางเจ้าหัวโตได้อยู่แล้ว มันยกเท้าถีบประตูปลิวออกไปทันที


ทว่าในเวลาเพียง 1 วินาที หลิงม่อกลับหนีออกไปจากห้องนี้แล้ว


เจ้าหัวโตเหลือบเห็นหน้าต่างบานนั้นตั้งแต่แวบแรก มันหรี่ตาเล็ก


“คิดว่าจะหนีพ้นหรอ? ฉันจำกลิ่นของแกได้แล้ว…เมื่อกี้แกทิ้งกลิ่นไว้ในที่เกิดเหตุ…”


“ทางนี้!” ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังมาจากนอกหน้าต่าง


“เกลียดนัก! ฉันรู้แล้วโว้ย!” เจ้าหัวโตโกรธจัด เจ้ามนุษย์นี่ชักจะอวดเก่งเกินไปแล้ว!


มันกระโดดขึ้นไปบนหน้าต่างด้วยความโกรธแค้น แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น มันกลับรู้สึกได้ถึงอันตราย


เหมือน…มีบางอย่างกำลังเล็งเป้ามาทางมัน!


แต่ตอนนี้มันไม่มีที่ให้หลบ เจ้าหัวโตเพิ่งจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทันใดนั้น มันก็รู้สึกได้ถึงแรงโจมตีตรงหน้าท้อง


“โครม!”


มันกระเด็นถอยหลัง แล้วกระแทกกับพื้นอย่างแรงทันที


พอยกมือลูบท้องดู กลับพบว่าหน้าท้องเป็นแผลเหวะหวะ และมีรอยไหม้เกรียมสีดำ


หลิงม่อเงยหน้ามองไปยังจุดที่มีประกายไฟ แล้วกระดกยิ้มมุมปาก


เมื่อกี้ที่เขาตะโกนว่า “ทางนี้” เขาไม่ได้ตะโกนเรียกเจ้าหัวโตอย่างเดียว แต่ตะโกนเพื่อส่งสัญญาณให้เย่เลี่ยนด้วย


เมื่อเย่เลี่ยนใช้ดวงตาทั้งสองข้างที่กลายพันธุ์จนเกิดความสามารถพิเศษเหมือน “กล้องสลับลาย” กับการยิงปืน ผลที่ได้จึงน่าทึ่งมาก แม้จะเป็นซอมบี้ราชา แต่พอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว และติดอยู่กับช่องหน้าต่าง ก็ทำได้เพียงต้านรับกระสุนลูกนี้เท่านั้น


“อ๊ากกก!”


ถึงแม้กระสุนลูกนี้จะมีอานุภาพโจมตีแรง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต


เจ้าหัวโตคำรามเดือด แต่กลับไม่ได้ผลีผลามพุ่งออกมานอกหน้าต่าง


ตอนนี้มันนึกถึงความสามารถในการกล่อมประสาทขึ้นมาได้แล้ว แต่ใช้ที่นี่ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?


ระหว่างที่เจ้ามนุษย์คนนี้วิ่งหนี เพื่อนร่วมสายพันธุ์พวกนั้นได้แอบย่องหนีไปอย่างเงียบเชียบแล้ว


มันนึกว่าเจ้ามนุษย์คนนี้จะวิ่งไปรวมตัวกับพวกนั้น ถึงได้พุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่เจ้ามนุษย์!


เจ้าเล่ห์นัก! ร้ายกาจนักนะ!


เจ้าหัวโตหมายจะลุกขึ้นยืน แต่ทันใดนั้นกลิ่นอายแห่งอันตรายก็ได้แผ่ปกคลุมศีรษะของมันอีกครั้ง


มันหดตัวลงข้างล่างโดยอัตโนมัติ แล้วเสียง “โครม” ก็ดังมาจากด้านหลังของมันทันที


เจ้าหัวโตหดหัวมองไปข้างหลัง บนผนังถูกระเบิดจนเป็นรูใหญ่ เศษปูนมากมายกำลังร่วงลงมาพร้อมกับเศษฝุ่นผงสีขาวที่คลุ้งไปทั่ว


“เกลียดนัก!”


เจ้าหัวโตสบถดังลั่น แต่กลับพบว่า ข้างนอกดูเหมือนจะเงียบไปแล้ว…


มันลังเลไปชั่วขณะ จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นหัวออกไปดู


เอ๋ ไม่มีใครโจมตีมันแล้ว…


“กลิ่นยังอยู่แถวๆ นี้อยู่เลย…”


เจ้าหัวโตงุนงง มันถูกหลอกติดต่อกันหลายครั้ง ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดก็คืออยู่นิ่งๆ แล้วสร้างภาพหลอนขึ้นมา…


แต่เจ้ามนุษย์นั่นจะจุดไฟเผามันรึเปล่า?


มันเห็นสภาพน่าอนาถของซอมบี้นกที่ถูกเผากับตาตัวเอง แล้วยังเห็นเจ้า “วิกผม” ถูกเผาไปด้วยอีกตัว ซ้ำตัวเองก็เกือบถูกเผาแล้วด้วย…ตอนนี้เรื่องไฟจึงกลายเป็นปมในใจของมันไปแล้ว


ทว่ามันไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ของมันกับซอมบี้นกนั้นต่างกัน เพราะที่นี่ไม่เหมาะกับการจุดไฟเลยแม้แต่น้อย


ท่ามกลางความลังเล เจ้าหัวโตเดินช้าๆ ไปที่ด้านล่างของหน้าต่าง


มันสูดดม 2 – 3 ที และมั่นใจว่าหลิงม่ออยู่ข้างนอกนั่นแน่นอน


แต่มันไม่กล้าโผล่หัวออกไปอีก หลังครุ่นคิด มันก็ตัดสินใจว่าจะแอบออกไปจากที่นี่เงียบๆ ก่อน แล้วค่อยไปตามหาเจ้ามนุษย์ข้างนอก


วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ชาญฉลาดมาก แต่มันลืมไปแล้ว ว่าเป็นตัวมันเองที่เปิดเผยแผนการและสติปัญญาของตัวเองให้หลิงม่อรู้ทั้งหมด…


มันเพิ่งจะค่อมเอวแล้ววิ่งออกนอกห้องกลับไปยังทางเดิน ทันใดนั้น เสียง “โครม” ก็ดังขึ้นที่ด้านบนหัวของมัน


ชิ้นส่วนวัสดุก่อสร้างมากมายกำลังตกลงมา เจ้าหัวโตรีบกระโดดหลบไปอีกทาง


แต่มันกลับไม่ทันสังเกตเห็นว่าพอกระโดดหลบ มันก็กลับไปยืนอยู่หน้าห้องอีกครั้ง…


“ฉึบ!”


แรงโจมตีปะทะเข้ากับแผ่นหลังของมันอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้าหัวโตกระเด็นไปติดกำแพงเลยทีเดียว


ทั้งข้างหน้าและข้างหลังมีแต่แผลเหวอะหวะ บวกกับแรงกระแทก เจ้าหัวโตบาดเจ็บจนแทบจะกระอักเลือดออกมา


ถึงแม้ว่าพลังป้องกันของซอมบี้ราชาจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีอย่างต่อเนื่องอย่างนี้ได้!


และตั้งแต่ที่หลิงม่อกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง มันก็ไม่เห็นเงาศัตรูอีกเลย!


เจ้ามนุษย์คนนี้ เหมือนไม่ได้คิดจะให้เพื่อนร่วมสายพันธุ์กลุ่มนั้นต่อสู้ระยะประชิดกับมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว กระทั่งไม่เข้าใกล้จุดประสงค์ของมันเลยแม้แต่น้อย!


คนที่ระเบิดเพดานอยู่ในอาณาเขตที่มันสามารถใช้ความสามารถกล่อมประสาทได้ แต่การจะคายเชื้อไวรัสออกมาก็ต้องใช้เวลาเหมือนกันนะ!


แล้วพอถูกยิงครั้งนี้ เชื้อไวรัสกล่อมประสาทที่เพิ่งจะไหลขึ้นมาถึงคอก็ถูกกลืนลงท้องไปอีกครั้ง…


—————————————————————————–


บทที่ 713 ถูกเล่นงานตายทั้งเป็น

โดย

Ink Stone_Fantasy

10 นาที…


ครึ่งชั่วโมง…


เจ้าหัวโตกระโดดเร่าๆ ด้วยความโกรธ และระหว่างที่มันโกรธสภาพของมันก็อนาถขึ้นเรื่อยๆ…


มันคิดว่าตัวเองวางแผนรอบคอบมากแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะยังมีเรื่องที่มันคาดไม่ถึงอยู่อีก


อย่างเช่น ความสามัคคีของซอมบี้พวกนี้!


ทั้งที่มีซอมบี้ 2 – 3 ตัว แต่พอเริ่มเคลื่อนไหวกลับเหมือนมีซอมบี้เพียงตัวเดียว!


พอมันหันไปสนใจซอมบี้ตัวใดตัวหนึ่งในนั้น การโจมของอีกตัวก็พุ่งมาถึงตัวแล้ว


ไม่มีเวลาพักหายใจ กระทั่งไม่มีโอกาสในการโต้กลับเลยด้วยซ้ำ!


สิ่งที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ มันไม่มีแม้แต่โอกาสในการแสดงพลังกล่อมประสาทเลยแม้แต่น้อย!


เหล่าพวกเดียวกันที่ระดับต่ำกว่ามัน กลับร่วมมือกันเล่นงานมันอย่างสามัคคี!


ศักยภาพร่างกายของมันเหนือกว่าพวกเดียวกันกลุ่มนี้มาก ดังนั้นพวกเธอจึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ระยะประชิด


ซอมบี้ 2 – 3 ตัวก่อกวนมันอยู่ในระยะใกล้ๆ ส่วนอีกตัวหนึ่งก็ใช้อาวุธของมนุษย์โจมตีมันจากที่ไกลๆ


นี่มันไม่ใช่วิธีการต่อสู้ของซอมบี้ซักนิด! ไหนล่ะความเป็นซอมบี้ของพวกแก!


มันมีความสามารถในการกล่อมประสาท แต่ซอมบี้พวกนี้กลับเล่นงานมันอยู่นอกพื้นที่นั้น!


ก่อนหน้านี้ ตอนที่มันทดสอบพวกหลิงม่อ หลิงม่อได้คำนวณพื้นที่ที่ฤทธิ์กล่อมประสาทมีผลแล้ว


หากเป็นคนทั่วไปอาจยากที่จะคำนวณระยะทางนี้ได้ แต่สำหรับเหล่าซอมบี้ที่สามารถอาศัยสายสัมพันธ์ทางจิตของหลิงม่อมันกลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก…


ในด้านความอัปยศที่ได้รับในระหว่างการต่อสู้ เจ้าหัวโตถือว่าน่าอนาถกว่าเจ้าซอมบี้นกมาก


ซอมบี้นกยังสามารถทรมานหุ่นซอมบี้ที่หลิงม่อควบคุมได้ แต่เจ้าหัวโตกลับไม่มีโอกาสเข้าใกล้พวกหลิงม่อได้เลยแม้แต่นิดเดียว…


“ยิ่งเป็นซอมบี้กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่มีจุดเด่นในด้านใดด้านหนึ่งชัดเจน จุดอ่อนของมันก็จะยิ่งชัดเจนด้วย ถ้าเป็นอย่างเจ้าซอมบี้นกกลับรับมือยากกว่าหน่อย…” หลิงม่อพักฟื้นพลังจิตอยู่อีกทางหนึ่ง พลางวิเคราะห์ไปด้วย


การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีสำหรับเหล่าสาวๆ ซอมบี้ที่เพิ่งผ่านการอัพเกรดพลังมาหมาดๆ


และสำหรับหลิงม่อ เขาก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยเหมือนกัน


ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้า “วิกผม” เจ้าซอมบี้นกและเจ้าหัวโตฝืนอัพเกรดด้วยการเพาะเลี้ยง พลังระดับซอมบี้ราชาในตัวพวกมัน อาจเป็นไปได้มากกว่าจะสู้พวกเย่เลี่ยนที่เพิ่งก้าวข้ามมา


แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ถือว่ามันมีประโยชน์ในด้านตัวอย่างเปรียบเทียบมากทีเดียว


หลิงม่อค้นพบแล้วว่า การอัพเกรดด้านศักยภาพด้านร่างกายของซอมบี้ราชา หลักๆ แล้วคือพลังป้องกันอันแข็งแกร่ง ส่วนเรื่องความเร็วและพละกำลังนั้นเป็นเรื่องรองลงมา ลักษณะเด่นสำคัญอีกเรื่องก็คือ การกลายพันธุ์ที่ชัดเจนขึ้น


เหมือน “กล้องสลับลาย” ของเย่เลี่ยน ตอนนี้อาจยังไม่เป็นรูปเป็นร่างมากนัก แต่เมื่อถึงระดับซอมบี้ราชาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเกิดขึ้นกับเธอแน่ๆ


ดังนั้นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซอมบี้ราชา จึงอยู่ที่ความสามารถกลายพันธุ์ของพวกมัน


ทว่าความสามารถนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่างเจ้าหัวโต ความจริงความสามารถในการกล่อมประสาทของมันแกร่งมาก แต่จุดอ่อนของมันก็ชัดมากเช่นเดียวกัน ความสามารถกลายพันธุ์อย่างนี้ความจริงเหมือนซี่โครงไก่ (鸡肋 ซี่โครงไก่ เปรียบเทียบบางสิ่งที่ครึ่งๆ กลางๆ เหมือนซี่โครงไก่ที่จะกินก็มีเนื้อน้อย จะทิ้งก็เสียดาย)


แม้จะเป็นความสามารถกลายพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่หากเอาออกมาใช้ไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์!


แต่ในด้านพลัง หากเหล่าซอมบี้สาวแยกตัวกัน พวกเธอล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหัวโต


แต่เมื่อพวกเธอรวมตัวกันและต่อสู้ไปด้วยกัน เจ้าหัวโตก็ต้องพบกับความลำบาก


เพราะมันไม่เคยถูกรุมอย่างนี้มาก่อน!


และเมื่อพวกเธอร่วมมือกัน ความแตกต่างเรื่องพลังก็ลดลงทันที!


สิ่งที่ตัวหลิงม่อเก่งที่สุด คือเรื่องพลังจิต


แต่สิ่งที่เป็นไม้ตายสุดยอดของเขา คือพลังควบคุมหุ่น!


เมื่อมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง การเคลื่อนไหวของเหล่าซอมบี้สาวก็จะเป็นหนึ่งเดียว ราวกับว่าพวกเธอได้กลายเป็นคนคนเดียวกัน


จำนวนคน การร่วมมือกัน เมื่อสองสิ่งนี้รวมกัน เจ้าหัวโตจึงถูกกำราบไว้ได้อย่างสมบูรณ์!


ทว่าหากมีแต่การโจมตีจากพวกเดียวกัน เจ้าหัวโตก็ยังอดทนไปได้อีกนาน ไม่แน่อาจหาโอกาสหนีได้ด้วย


แต่หลังจากที่หลิงม่อพักฟื้นเพียงครู่เดียว เขากลับวิ่งมาร่วมวงทันที!


พอเจ้าหัวโตได้กลิ่นหลิงม่อกำลังใกล้เข้ามา ก็สติแตกทันที


เจ้ามนุษย์สารเลวนั่นยังกล้าเข้ามาอีก!


แต่เห็นชัดว่าหลิงม่อไม่ได้คิดจะเข้ามาใกล้ พอเขาหาดวงแสงแห่งจิตของเจ้าหัวโตเจอ เขาก็หยุดอยู่กับที่


กลับเป็นเจ้าหัวโตที่เผยช่องโหว่เพราะการปรากฏตัวของหลิงม่อ จนถูกยิงเข้าที่ขาอีกครั้ง


พอเห็นเจ้าหัวโตได้รับบาดเจ็บ หลิงม่อรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ทันที


พลังบีบรัดดวงจิต!


ถ้าหากอยู่ในสภาวะปกติ การโจมตีด้วยพลังจิตของหลิงม่อต้องใช้ไม่ได้ผลกับซอมบี้ราชาแน่นอน


ส่วนเรื่องคิดจะควบคุมมัน ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเลย


แต่ในสภาวะบาเจ็บ คลื่นดวงจิตของเจ้าหัวโตจะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้พลังบีบรัดของหลิงม่อมีประสิทธิภาพที่ไม่เลว


มันร้องครวญครางเสียงดัง และเกิดอาการหน้ามืดไปชั่วขณะ


และภายใต้สถานการณ์ที่เหล่าซอมบี้สาวกำลังจับจ้องมันอยู่ ช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนี้ก็มากพอที่จะทำให้มันถูกรุมโจมตีอีกครั้ง…


เมื่อมันได้รับบาดเจ็บ หลิงม่อก็สร้างหนวดสัมผัสทางจิตขึ้นมาได้ทันใช้พลังบีบรัดเป็นครั้งที่ 2 พอดี…


พอมีหลิงม่อเข้ามาร่วมด้วย แก๊งค์ซอมบี้ก็เหมือนมีจุดศูนย์กลางที่ทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


และสิ่งที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ก็คือระดับความน่าอนาถของเจ้าหัวโต


“ซอมบี้ราชาฆ่ายากเหมือนที่คิดไว้จริงๆ แผลถูกยิงแผลแรกเริ่มสมานตัวกันแล้ว เลือดบนบาดแผลที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บก็หยุดไหลแล้ว…”


ตามหลักแล้วหากได้รับบาดเจ็บมากขนาดนี้ แค่เสียเลือดมากก็ตายได้แล้ว แต่พลังฟื้นตัวอันยอดเยี่ยมของซอมบี้ราชา กลับทำให้เจ้าหัวโตยังสามารถดิ้นรนมีชีวิตรอดต่อไปได้


แต่หลิงม่อก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่ามันทั้งอย่างนี้อยู่แล้ว…


“โครม!”


เมื่อเจ้าหัวโตถูกยิงอีกครั้งจนล้มลงบนพื้น หลิงม่อที่เหงื่อไหลท่วมหน้าผากก็รีบฉวยโอกาสลงมือทันที


หลังใช้พลังบีบรัดดวงจิต หนวดสัมผัสอีกเส้นก็พุ่งตามออกไป


จังหวะที่คลื่นดวงจิตของเจ้าหัวโตเกิดความผิดปกติ หนวดสัมผัสเส้นนี้ก็พุ่งแทงเข้าไปในดวงแสงแห่งจิตของมัน


คลื่นดวงจิตอันรุนแรงทำให้หลิงม่อรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด แต่ที่เขาทำมาทั้งหมด ก็เพื่อรอเวลานี้!


กลืนกิน!


การถูกดูดกลืนพลังจิตออกไปทั้งเป็น ทำให้เจ้าหัวโตเบิกตาโพลง และกรีดร้องอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส


ความทรมานที่มาจากด้านดวงจิต แม้แต่สัญชาตญาณกระหายเลือดและบ้าคลั่งของซอมบี้ก็ไม่อาจต้านทานได้


ท่ามกลางความทรมาน สัญชาตญาณต่อต้านของเจ้าหัวโตก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า ขณะเดียวกันภาพมากมายก็ได้ไหลผ่านสมองของหลิงม่ออย่างต่อเนื่อง…


พลังงานทางจิตของซอมบี้ตัวนี้มากกว่าซอมบี้ส่วนใหญ่จริงๆ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลหลักที่หลิงม่อต้องการกลืนกินมัน เหตุผลที่แท้จริงก็คือ หลิงม่ออยากทำความเข้าใจให้แน่ชัด ว่าจะสามารถควบคุมทิศทางในการกลายพันธุ์ของซอมบี้ได้อย่างไร…


เขาถามได้ความคร่าวๆ แล้ว แต่ก็ไม่อาจพลาดรายละเอียดเล็กๆ ไปได้เหมือนกัน


สิ่งที่เห็นในความทรงจำระหว่างใช้พลังกลืนกิน อาจไม่ใช่ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่อาจเป็นภาพเหตุการณ์ที่ทำให้สะอิดสะเอียนและชวนคลื่นไส้เสียมากกว่า


โดยเฉพาะซอมบี้สัตว์ป่าที่ผ่านการฆ่ามานับครั้งไม่ถ้วน เวลาใช้พลังกลืนกินกับมันย่อมรู้สึกไม่ค่อยดีนัก


แต่ขอแค่มีโอกาสแม้เพียงน้อยนิด หลิงม่อก็จะไม่มีทางปล่อยผ่านเด็ดขาด…


ในเขนพื้นที่สีเขียว เย่เลี่ยนลงปืนลง


เธอหันกลับไปมองสวี่ซูหาน แล้วก็พบว่าเธอกำลังยกมือปิดปากอยู่ ดูเหมือนว่าจะตกใจกับเสียงกรีดร้องของเจ้าหัวโต


“ไม่…มีซอมบี้…ถูกดึงดูดมาหรอก” เย่เลี่ยนบอก


“ฉันไม่ได้กลัวเรื่องนั้น…” สวี่ซูหานส่านหัว สีหน้ายังคงตื่นตะลึง


ซอมบี้กรีดร้องอย่างนี้เป็นด้วยหรอ?


พวกมันไม่เกรงกลัวสิ่งใดไม่ใช่หรอ…


หรือเสียงนั้น เกิดจากฝีมือของหลิงม่อ?


สำหรับสวี่ซูหาน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มีแต่ปริศนาลึกลับ


แต่มีเรื่องหนึ่งที่เธอรู้ดี คือเรื่องที่ว่าหลิงม่อเป็นคนทำให้พวกเธอหลุดจากสถานการณ์ลำบาก และก็เป็นเพราะหลิงม่อ เธอถึงยังไม่กลายร่างเป็นซอมบี้โดยสมบูรณ์…


ไม่ว่าหลิงม่อจะทำอย่างนั้นได้ด้วยวิธีไหน เธอรู้ว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่นอน…


เมื่อกลืนกินไปเรื่อยๆ พลังจิตที่สูญเสียไปของหลิงม่อก็เริ่มได้รับการเต็มเต็ม เจ้าหัวโตก็เริ่มสงบนิ่งไม่ดิ้นพล่านอีกต่อไป ดวงตาสีม่วงจ้องมองเพดานอย่างเลื่อนลอย ร่างกายกระตุกสั่นเป็นพักๆ


ในที่สุด ซอมบี้ราชาที่เห็นหลิงม่อเป็นหนูก็ถูกเล่นงานจนตายทั้งเป็น


“พรึ่บ!”


ซย่าน่ายกเคียวดาบขึ้นและฟันลงไป แล้ววัตถุประกายสีม่วงก็ร่วงลงกลางฝ่ามือของเธอ


“นี่คือไวรัสนางพญาของซอมบี้ราชา…”


หลิงม่อยัดไวรัสนางพญาสีม่วงก้อนนี้ใส่ถุงถนอมอาหารทันทีที่รับมาจากมือซย่าน่า


หากกลิ่นนี้กระจายออกไป เหล่าซอมบี้ที่เดิมไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะหวาดกลัวพวกนั้นอาจถูกดึงดูดเข้ามา


ทว่าแม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที หลิงม่อก็ยังได้กลิ่นหอมหวนของเชื้อไวรัสเข้มข้นนั่น


เขาเอาไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ก้อนนั้นออกมา แล้วยกขึ้นไว้ข้างๆ กันเพื่อเปรียบเทียบ


นางพญาสองก้อนนี้ มีสิ่งที่แตกต่างจากนางพญาที่หลิงม่อเคยได้เมื่อก่อนอย่างชัดเจน


โดยเฉพาะนางพญาของซอมบี้ราชาที่มีสีม่วงแปลกตาทั่วทั้งก้อนอย่างนี้ ถึงแม้ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก แต่มันกลับเหมือนอัญมณีบริสุทธิ์ที่แท้จริง ที่สามารถเปล่งประกายได้เมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์


“เจ้าหัวโตเพิ่งจะกินไวรัสนางพญาของเจ้าซอมบี้นก ดังนั้นนางพญาของมันก้อนนี้ก็เพิ่งผ่านการอัพเกรดมา ประสิทธิภาพต้องดีกว่าไวรัสนาพญาของพวกมันแยกกันแน่นอน…”


หลิงม่ออดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ คราวนี้ได้กำไรงามแล้ว…


ได้ไวรัสนางพญาระดับซอมบี้ราชาที่แตกต่างกันมาสองก้อน แล้วยังได้ข้อมูลลับเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของซอมบี้อีก…


—————————————————————————–


บทที่ 714 คำบางคำใช้มั่วๆ ไม่ได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

กลางดึก ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองชุ่ยหู


ณ ห้องนอนห้องหนึ่งในชั้นสอง เงาร่างของคนสองคนกำลังนั่งอยู่คนละฟากของห้อง


สวี่ซูหานกำลังขดตัวกอดผ้าห่มอยู่ตรงมุมห้อง เธอกำลังหลับตาพักงีบ


ตอนนี้เธอถือว่าเป็นซอมบี้ไปครึ่งตัวแล้ว เธอสามารถอาศัยเชื้อไวรัสในร่างกายเพื่อฟื้นกำลังได้โดยหลับแค่วันละ 2 – 3 ชั่วโมงต่อวันก็พอ


ส่วนมู่เฉินกำลังนั่งพิงขอบหน้าต่าง เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วจ้องไปบนถนนด้านนอก


ที่นี่แทบไม่มีซอมบี้เลย แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงคำรามเสียดแทงแก้วหูดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เป็นบางครั้ง


พอนึกถึงภาพศพที่นอนเกลื่อนอยู่เต็มพื้นในห้างฯ สวี่ซูหานก็นอนขดตัวเป็นวงกลมอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้


คืนนี้ ที่นั่นจะต้องกลายเป็นงานเลี้ยงนองเลือดแน่ๆ…


แต่เทียบกับสวี่ซูหานแล้ว สีหน้าของมู่เฉินชัดเจนกว่ามาก


เขากำลังหงุดหงิด!


มู่เฉินอดหงุดหงิดไม่ได้…เขาอุตส่าห์ฟื้นขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่ปรากฏว่าพอลืมตาก็เห็นตัวเองถูกลากมาอยู่ในที่แบบนี้แล้ว เขาไม่รู้เลยว่าช่วงเวลาที่เขาหลับไปเกิดอะไรขึ้นบ้างกันแน่ เมื่อกี้พอไปเซ้าซี้ถามจากหลิงม่อ ก็ถูกสั่งให้มาเฝ้ายามอยู่ที่แทน…


เฝ้ายามตอนดึกไม่เท่าไหร่ แต่ยังต้องรับผิดชอบดูแลสวี่ซูหานด้วยนี่สิ


ชีวิตเขาไม่ดูสับสนงุนงงเกินไปหน่อยหรือ!


“สวี่…”


“หุบปาก” สวี่ซูหานตัดบทมู่เฉินทันที


“ชิบ พวกเธอใจร้ายเกินไปแล้วนะ!” มู่เฉินพูดอย่างโมโห


สวี่ซูหานกลับเม้มปากอย่างไม่สบอารมณ์ เธอใจร้ายงั้นหรอ? เธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันนั่นแหละ!


จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่หลิงม่อยืนกรานจะมาเมืองชุ่ยเหอให้ได้ เธอก็เริ่มสงสัยแล้ว


หาของเพิ่ม? ของอะไรกันที่ต้องอ้อมมาหาถึงเมืองชุ่ยเหอ? ที่นี่ไม่มีคลังแสงเก็บอาวุธหรืออะไรทำนองนั้นเสียหน่อย…


ตอนที่พวกเขาเพิ่งมาถึงพื้นที่จุดศูนย์กลางของเมืองชุ่ยเหอก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกะทันหัน หากจะบอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน สวี่ซูหานไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด


และสิ่งที่พวกหลิงม่อทำต่อจากนั้น คือจงใจสั่งให้เธอไปอยู่นอกที่เกิดเหตุ แน่นอนด้านหนึ่งก็เพื่อปกป้องเธอ แต่ในอีกด้าน ก็เพื่อกันเธอออกมาให้ห่าง


พอกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลิงม่อกลับตอบเฉไฉไปมา บอกว่าไม่มีเรื่องอะไรน่าห่วง…


ไม่มีอะไรแล้วนายจะหัวเราะดีใจปานนั้นทำไม!


พอมาถึงที่นี่ หลิงม่อก็เร่งรีบพาสามสาวซอมบี้ขึ้นไปข้างบนอย่างไม่รีรออีก…


สวี่ซูหานเงยหน้ามองเพดานอย่างหงุดหงิด พวกหลิงม่อทำอะไรกันอยู่ข้างบนนั้นกันแน่นะ?


การกระทำพวกนั้นของหลิงม่อ คงจะมีเหตุผลสินะ…


“อันนี้ ของซย่าน่า”


หลิงม่อส่งไวรัสนางพญาของเจ้าหัวโตให้ซย่าน่าก่อน เมื่อ “อัญมณีสีม่วง” อันสุกสกาวก้อนนั้นถึงมือ ซย่าน่าก็อดเผยสีหน้าตื่นเต้นไม่ได้


สำหรับซอมบี้ตัวหนึ่งที่ถูกสัญชาตญาณขับเคลื่อนให้ไขว่คว้าการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องนั้น ไวรัสนางพญาของซอมบี้ระดับสูงเป็นเหมือนของล้ำค่าที่ดึงดูดใจที่สุด ถึงแม้จะเอาไปแกว่งข้างนอกแค่ครู่เดียว ก็อาจดึงดูดซอมบี้ของเมืองชุ่ยเหอมาได้ถึงครึ่งเมืองเลยทีเดียว


ถึงแม้ซอมบี้ระดับต่ำจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะกลืนกิน แต่พวกมันก็จะยังคงกระโจนเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต


ความต้องการต่อเชื้อไวรัสของซอมบี้ก็เหมือนกับการหายใจ มันเกิดขึ้นเองโดยสัญชาตญาณ


ถึงแม้พวกเย่เลี่ยนจะติดตามหลิงม่อ แต่สัญชาตญาณของซอมบี้กลับไม่ได้ถูกทำลายลงเพราะเรื่องนี้ เพียงแต่พวกเธอได้รับอิทธิพลจากหลิงม่อและการควบคุมในระยะแรกอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้พวกเธอมีความสามารถในการกดข่มสัญชาตญาณไว้ได้เท่านั้นเอง


แต่ตอนนี้เมื่อเห็นไวรัสนางพญาของซอมบี้ราชาอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แค่ซย่าน่า เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินเองก็กำลังจ้องอย่างไม่ละสายตา จนถึงขนาดที่ดวงตาเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละน้อย


“ถ้าหากไม่ใช่ว่าเราสามัคคีกัน ก็คงไม่ได้ไวรัสนางพญาก้อนนี้มา แต่ดูจากสถานการณ์การวิวัฒนาการของเจ้าหัวโตแล้ว เจ้าก้อนนี้เหมาะกับซย่าน่าที่สุด ตอนนี้ซย่าน่ามีทิศทางกลายพันธุ์แล้ว แต่ผลการกลายพันธุ์ในตอนสุดท้ายยังเป็นเรื่องที่ยากจะเดาได้ ถึงเจ้าหัวโตจะบอกว่าทิศทางกลายพันธุ์ต้องอาศัยจิตใต้สำนึก แต่ความจริงเชื้อไวรัสที่กินเข้าไปก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันเหมือนกัน…”


หลิงม่อพูด จากนั้นก็ล้วงไวรัสนางพญาของเจ้า “วิกผม” ออกมา


ถึงแม้ไวรัสนางพญาของส่งมีชีวิตกลายพันธุ์จะอยู่ในระดับราชาแล้ว แต่สีก็ยังไม่เปลี่ยน ทว่าความล้ำค่าของไวรัสนางพญาสองก้อนนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน


“สำหรับรุ่นพี่ สิ่งที่เหมาะสมที่สุดก็คือไวรัสนางพญาของงูกลายพันธุ์ แต่สัตว์กลายพันธุ์หายากมาก ดังนั้นใช้ไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทดแทนก่อนก็ได้ ถึงแม้มันจะเหมาะกับเฮยซือและเสี่ยวป๋ายด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าหากเฮยซือวิวัฒนาการเร็วเกินไปจะทำให้ฉันควบคุมลำบาก ส่วนเสี่ยวป๋าย…ทิศทางในการกลายพันธุ์ของมันยังไม่แสดงออกมา ฉันกลัวว่าถ้ามันกินเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรแปลกๆ ขึ้นมา…”


หลิงม่อลูบจมูกเบาๆ จากนั้นก็ยื่นไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ให้หลี่ย่าหลิน “เพราะฉะนั้นก้อนนี้ให้รุ่นพี่กินแล้วกัน เจ้า “วิกผม” เป็นซอมบี้ประเภทที่สามารถคายเชื้อไวรัสได้ ซอมบี้ราชาหนึ่งในสองตัวที่ถือกำเนิดขึ้นจากผลกระทบของมัน ก็มีตัวหนึ่งเป็นแบบเดียวกันนี้…”


หลี่ย่าหลินจ้องไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ แล้วแลบลิ้นออกมาเลียปากเบา “ถ้าอย่างนั้น บางทีสิ่งที่ฉันหลั่งออกมาจากตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง…อาจกลายเป็นน้ำจุดจุดจุดที่มีประสิทธิภาพในด้านต่างๆ ได้น่ะสิ…”


“อย่าใช้จุดจุดจุดในประโยคแบบนี้ได้ไหม มันฟังดูแปลกๆ…” หลิงม่อหางตากระตุก


“น้ำ X ?…” ซย่าน่าเสนอ


“ไม่ได้ดีขึ้นเลย…” หลิงม่อรู้สึกเหมือนบรรยากาศตึงเครียดที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อกี้มลายหายไปในพริบตา การอยู่ร่วมกับซอมบี้ไม่มีทางทำตัวจริงจังได้เลยจริงๆ!


ทว่าหลังจากที่ซย่าน่าเปิดถุงถนอมอาหารแล้วดมกลิ่นดู เธอกลับบอกว่า “กินหมดในครั้งเดียวไม่ได้ ความจริงเจ้าก้อนนี้ต้องกินหลังก้าวข้ามถึงระดับเจ้าเมืองถึงจะได้ผลดีกว่า และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า แต่ถ้าหากจะกินเพื่อให้ก้าวข้ามเป็นซอมบี้เจ้าเมือง ก็ต้องค่อยๆ กินทีละนิดเป็นเวลานาน”


ในเมื่อซย่าน่าพูดอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าหลี่ย่าหลินก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน


หลิงม่อพยักหน้า หากกินเข้าไปส่งเดช สมดุลเชื้อไวรัสในร่างกายอาจถูกทำลายและอาจส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บได้


ซอมบี้ก็ยังติดเชื้อได้เหมือนกัน เหมือนอย่างซอมบี้ที่สภาพร่างกายกลายร่างไป หรือซอมบี้ที่ต้านรับเชื้อไวรัสไม่ไหวจนร่างกายเกิดการเน่าเปื่อยขึ้นเป็นต้น…


หลังจากมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง ตัวซอมบี้ก็จะมีความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกกินที่เหมาะสม ไม่ละโมบโลภมากหรือกินส่งเดชอีกต่อไป


เปรียบเทียบกันแล้ว การอัพเกรดพลังของมนุษย์ผู้มีความสามารถพิเศษก็ได้แต่อาศัยความพยายามของตัวเองเพื่อก้าวหน้าเช่นกัน แทบไม่ต่างอะไรกับวิวัฒนาการของซอมบี้เลย


“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็นอนกันเถอะ พรุ่งนี้พวกเราจะไปเมืองเฮยสุ่ยกัน ดูจากบันทึกการใช้แอพฯ นำทาง นิพพานสาขาใหญ่น่าจะอยู่แถวๆ นั้น…”


………..


ณ เมืองเฮยสุ่ย


ในฐานะมณฑลที่ใหญ่อันดับ 1 ในบรรดาเมืองประตูสู่ทิศตะวันตก ประชากรในนครระดับจังหวัดแห่งนี้มีมากถึง 1 ใน 2 ของเมือง X แต่พื้นที่ของเมืองแห่งนี้กลับใหญ่แค่ 1 ใน 4 ของเมือง X เท่านั้น


การต้องจุประชากรมากขนาดนั้นด้วยพื้นที่เล็กๆ ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองใหญ่ที่ทันสมัยและคึกคักอย่างยิ่งก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติขึ้น


แต่พอถึงตอนนี้ จำนวนประชากรมากก็เท่ากับจำนวนซอมบี้ที่มากเหมือนกัน


สถานที่อย่างเมืองเฮยสุ่ย ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ที่อันตรายมากแห่งหนึ่ง


ทว่าพื้นที่อุตสาหกรรมมากมายที่ถูกสร้างขึ้นโดยรอบกลับทำให้เมืองเฮยสุ่ยเต็มไปด้วยทรัพยากร ฉายาศูนย์กลางการขนส่งแห่งเมืองตะวันตกกลางก็ได้แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรและความสะดวกสบายในด้านการขนส่ง


ทว่าเส้นทางหลักๆ ที่ใช้ขับเข้าเมือง อย่างเช่นทางด่วน กลับไม่สามารถใช้ได้ในตอนนี้ ที่ใช้ได้ กลับเป็นเหล่าถนนหลวงเก่าที่ถูกทิ้งให้หลงลืมเนื่องจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นในเมือง


ถนนหลวงอย่างนี้มักพบเห็นได้บ่อยในประเทศจีน และมักจะเป็นถนนที่เชื่อมโยงถึงกันได้ทุกที่


แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหากใช้ถนนหลวงเก่าแล้วจะไม่เจอซอมบี้ ความจริงรถที่แล่นบนถนนเก่าก็มีไม่น้อยเหมือนกัน บวกกับข้างถนนยังมีอาคารก่อสร้างอยู่จำนวนมาก อย่างไรจำนวนซอมบี้ก็ไม่มีทางน้อยอย่างแน่นอน


ทว่าสำหรับผู้รอดชีวิต เส้นทางไหนเดินแล้วมีเปอร์เซ็นต์รอดชีวิตสูงกว่า ย่อมดูออกในแวบแรก


เวลานี้ บนถนนหลวงเก่าสู่เมืองเฮยสุ่ยเส้นหนึ่ง เงาสีขาวเงาหนึ่งกำลังวิ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


ซอมบี้ข้างทางคำรามเสียงดังและพุ่งตัวเข้ามา แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกเส้นไหมสีเงินพุ่งเข้ารัดตัว และเหวี่ยงออกไปอย่างแรง


ส่วนซอมบี้ตัวที่เพิ่งจะกระโดดเข้ามาจากด้านหน้า ก็ถูกกรงเล็บแหลมคมขนาดใหญ่ตะปบจนร่างกระแทกพื้นอย่างแรง


“แกร๊ก!”


เสียงกระดูกหักดังลั่น พร้อมกับที่ซอมบี้ตัวนั้นเลือดเนื้อกระจุยกระจาย เหมือนกระสอบทรายขาดๆ ที่ถูกเหยียบจนแหลก …


“ไม่คิดเลยว่าใช้ถนนเส้นนี้แล้วจะสบายขนาดนี้”


คนที่พูดคือมู่เฉิน ตั้งแต่ออกจากเมืองชุ่ยเหอเขาก็เก็บความหงุดหงิดมาตลอดทาง แต่เพราะความผ่อนคลายในการเดินทางทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย


ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลา เท่านี้ก็ทำให้เขาดีใจเหลือเกินแล้ว


สวี่ซูหานเองถึงแม้จะกลอกตาใส่ขาว แต่ก็ดูอารมณ์ดีไม่เลวเหมือนกัน


หากต้องอยู่ในการต่อสู้นองเลือด เธออาจสติหลุดง่ายยิ่งกว่า…


หลิงม่อมองออกไปยังที่ไกลๆ เขาเองก็รู้สึกพอใจเหมือนกัน


หลังจากที่เสี่ยวป๋านและเฮยซือวิวัฒนาการ พลังของพวกมันก็เพิ่มขึ้นมาก


เวลาอย่างนี้ก็ต้องพึ่งพาพวกมันให้ช่วยเปิดทางให้ ดีกว่าปล่อยให้ตามอยู่ข้างหลังอย่างเปล่าประโยชน์


โดยเฉพาะเสี่ยวป๋าย ภายใต้สถานการณ์ที่ขนาดร่างกายสามารถขยายตัวได้ในพริบตา ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้จำนวนมาก มันก็จัดการได้อย่างสบายๆ


หลิงม่อเดาว่าพลังของมันน่าจะเทียบเท่าได้กับซอมบี้ชนชั้นสูงในระยะท้ายแล้ว ทว่าชนิดของสัตว์กลายพันธุ์ที่แตกต่างกัน พลังต่อสู้ก็จะไม่เหมือนกันด้วย จึงยากที่จะมั่นใจได้ว่าอยู่ในระดับไหนกันแน่


—————————————————————————–


บทที่ 715 แฝงตัวเข้าไปในสำนักงานใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซ่า~


สายฝนสาดกระหน่ำใส่ป้ายบอกทางสนิมเขรอะ ตัวอักษรกระดำกระด่าง 3 ตัวที่เขียนว่า “เมืองเฮยสุ่ย” ก็ดูเหมือนจะเลือนรางลงไปด้วย…


หมอกสีขาวแผ่ปกคลุมท้องฟ้าเมืองเฮยสุ่ย น้ำฝนขุ่นมัวหลายสายไหลตามขอบทางระดับต่ำลงไปในท่อน้ำ


ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่าเมืองทั้งเมืองหลงเหลืออยู่แต่เพียงเสียงสายฝน


ภาพท้องถนนท่ามกลางสายฝนกลับมีดูเลือนรางไม่ชัดเจน มองไปแวบแรก เหมือนจะเห็นเงาร่างผู้คนจำนวนหนึ่ง


ณ ถนนกว้างใหญ่เส้นหนึ่งบนทางเหนือของเมืองเฮยสุ่ย จู่ๆ เงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ทางเลี้ยว


ทว่าพวกเขาเพียงมองเข้าไปข้างในจากที่ไกลๆ จากนั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายฝน


สิบกว่านาทีผ่านไป เงาร่างของคนกลุ่มนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในตัวอาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากถนนเส้นนั้นหลายร้อยเมตร


“มั่นใจหรอว่าที่นั่นคือนิพพานสำนักงานใหญ่?” มู่เฉินแหวกม่านออกเป็นช่องเล็กๆ แล้วถามขึ้น เมื่อกี้เขาช่วยจัดการซอมบี้ในอาคาร และย้ายศพไปกองรวมกันในห้องห้องหนึ่ง เขาจึงดูค่อนข้างเหนื่อยล้า


ทว่าพอพูดถึงนิพพานสำนักงานใหญ่ขึ้นมา สายตาของเขาก็ประกายแววตื่นเต้นขึ้นมา


ข้างหลังเขา หลิงม่อกำลังกางแผนที่ของเมืองแห่งนี้ดูอยู่


“ไม่แน่ใจ แต่จะวู่วามเข้าใกล้ก็ไม่ได้ ถึงแม้เราตั้งใจจะไปพึ่งพิงพวกเขาอยู่แล้ว แต่ก่อนจะเข้าไป พวกเราต้องสังเกตการณ์และทำความเข้าใจก่อน” หลิงม่อบอก


หลังจากเข้ามาในเมืองเฮยสุ่ย สิ่งแรกที่หลิงม่อทำ คือเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง แล้วหยิบแผนที่อย่างละเอียดแผ่นนี้ออกมา


ในบันทึกการใช้งานแอพฯ นำทางในมือถือของเฉินเล่อ เมืองเฮยสุ่ยคือสถานีที่ 1


แต่ที่นี่จะใช่ที่ตั้งของนิพพานสำนักงานใหญ่หรือไม่นั้น แค่ดูจากบันทึกการใช้งานในมือถือคงไม่อาจมั่นใจได้


นอกจากนี้แผนที่ในแอพฯ นำทางก็ไม่ละเอียดมากพอ ทำให้ขาดข้อมูลในหลายด้าน


จนกระทั่งได้มาเห็นแผนที่ หลิงม่อจึงรู้สึกมั่นใจในที่สุด—


เมืองรอบข้างล้วนไม่คึกคักเท่าเมืองเฮยสุ่ย ระยะทางก็ไกลมากด้วย นอกเสียจากว่านิพพานสำนักงานใหญ่ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกตั้งสำนักงานใหญ่ในที่แบบนั้นแน่นอน


ไม่ใช่แค่ยุ่งยากเรื่องการหาเสบียงอาวุธ แต่การเดินทางก็ยังไม่สะดวกอีกด้วย…


ถึงแม้พวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องหาเสบียงและอาวุธได้ แต่ทั้งที่อยู่ไกลขนาดนั้นเฉินเล่อกลับไม่เปิดแอพฯ นำทาง กลับมาเลือกเปิดตอนที่อยู่เมืองเฮยสุ่ย ฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก


อีกอย่าง หากจุดเริ่มต้นคือเมืองเล็กๆ เหล่านั้นจริงๆ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องวิ่งมาถึงเมืองเฮยสุ่ย


เพราะถึงอย่างไรผู้รอดชีวิตที่มักวิ่งเข้าใส่เมืองที่มีซอมบี้ชุกชุมอย่างหลิงม่อ ก็มีไม่มาก…


ทว่าถึงแม้จะมั่นใจแล้วว่าเป็นเมืองเฮยสุ่ย แต่ถึงอย่างนั้น การตามหาตำแหน่งของนิพพานสำนักงานใหญ่ในเมืองกว้างใหญ่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย


หากบินว่อนตามหาไปทั่วเหมือนแมลงมันไร้หัว บางทีหลายวันผ่านไปก็ยังหาไม่เจอ…


ถึงแม้พวกหลิงม่อจะเสียเวลาอยู่ในเมืองชุ่ยเหอไป 2 วัน แต่พวกเขาก็ถือว่าเดินทางได้เร็วจนน่าเหลือเชื่อแล้ว แต่ถ้าหากยังเสียเวลาต่อไป ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่านิพพานสำนักงานใหญ่จะไม่มีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมาเสียก่อน อย่างการส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ที่เมืองตงหมิงเป็นต้น


ถึงแม้กว่าคนที่พวกเขาส่งออกไปจะนำข่าวกลับมารายงานต้องใช้เวลาหลายวัน แต่สำหรับหลิงม่อ หากเขามีเวลาอยู่ในนิพพานสำนักงานใหญ่เพิ่มขึ้นหนึ่งวัน นั่นแสดงถึงว่าเขาจะมีเวลาได้รับข่าวสารข้อมูลเพิ่มขึ้น


“แต่ซอมบี้แถวๆ นี้…ก็มีเยอะมากนะ…” สวี่ซูหานพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ


ในความคิดของเธอ เธอคิดว่านิพพานสำนักงานใหญ่น่าจะถูกสร้างในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้


ถึงแม้สาขาย่อยในเมืองตงหมิงเองก็ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ที่นั่นถูกอำพรางไว้อย่างมิดชิด


ถนนเส้นนี้ดูสะดุดตาเกินไป…


“นิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ใช่ค่ายผู้รอดชีวิตทั่วไป ความปลอดภัยไม่น่าจะมาเป็นอันดับแรก พวกเขามีองค์ประกอบพิเศษอย่างกลุ่มวิจัยอยู่ด้วย ดังนั้นพวกเขาต้องพิถีพิถันเรื่องการเลือกตำแหน่งและสภาพแวดล้อมมาก”


หลิงม่อพูดอย่างใจเย็น “อันดับแรก ตัดพื้นที่อุตสาหกรรมแถบชานเมืองไปได้เลย กลุ่มนักวิจัยต้องใช้อุปกรณ์และสภาพแวดล้อมสำหรับการทำวิจับโดยเฉพาะ ในพื้นที่อุตสาหกรรมไม่มีโรงงานไหนสามารถตอบโจทก์ข้อนี้ได้เลยซักที่”


“อันดับต่อมา หนูทดลองที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้อย่างขาดไม่ได้เลย คือซอมบี้ จำนวนและระดับของซอมบี้ในแถบชานเมืองสู้ซอมบี้ในตัวเมืองไม่ได้เลย ซอมบี้ในเมืองเฮยสุ่ยไม่ได้มีการลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นเหมือนกับเมืองตงหมิงมาก”


“ทว่าเมืองตงหมิงนั้นใช้ทั้งเมืองเป็นสนามทดลอง แต่ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่ใช้เลี้ยงซอมบี้แบบปล่อยเท่านั้น แน่นอน การจะจัดการซอมบี้หลายล้านตัวเป็นงานที่ใหญ่เกินไป ฉันเดาว่าพวกเขาก็คงไม่มีปัญญาทำอย่างนั้นเหมือนกัน”


หลิงม่อพูด พร้อมกับกางแผนที่ออก แล้ววางบนโต๊ะชาด้านหลัง “บนถนนเส้นนี้ มีมหาลัยแพทย์เฮยสุ่ยตั้งอยู่ ข้างกันยังมีโรงพยาบาลในเครืออยู่อีกหนึ่งแห่ง…ทั่วเมืองเฮยสุ่ย ไม่มีที่ไหนเหมาะสมกว่าที่นี่อีกแล้ว…”


สวี่ซูหานและมู่เฉินมองหน้ากัน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นสมาชิกของนิพพาน แต่ก็เคยได้ยินเรื่องของนิพพานสำนักงานใหญ่มาไม่มาก แต่หลิงม่อเพียงคาดเดาตามความเข้าใจบางอย่าง ก็สามารถวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตั้งของนิพพานสำนักงานใหญ่ออกมาได้แล้ว…


ร้ายกาจตามคาด!


แต่หลิงม่อไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ หลังจากที่พลังจิตของเขาอัพเกรด ถึงแม้มันจะไม่ทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะในทันที แต่ความสามารถในการจดจำกลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเขาก็สังเกตเห็น เมื่อนำมาปรับใช้กับเรื่องที่ทำได้เพียงต้องวิเคราะห์อย่างนี้ ถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีไม่น้อย…


ปากบอกว่าจะคอยสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ แต่ในขณะที่พูดอย่างนั้น หลิงม่อกลับสลับมุมมองสายตาไปยังเสี่ยวป๋ายเรียบร้อยแล้ว


เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมืออวี๋ซือหรานกับเฮยซือ แค่เสี่ยวป๋ายก็เอาอยู่แล้ว


ในฐานะสัตว์กลายพันธุ์ ความสามารถในการแฝงตัวของเสี่ยวป๋ายแกร่งกว่าซอมบี้ระดับหนึ่งด้วยซ้ำ


ถึงแม้มันจะมีขนาดตัวใหญ่ แต่เมื่อวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง สีขนของมันก็ได้เปลี่ยนไปเป็นสีป้องกันตัวที่เหมาะแก่การอาศัยอยู่ในตัวเมือง


ขณะเดียวกับที่พวกหลิงม่อตามหาสถานที่ที่เหมาะแก่การพัก เสี่ยวป๋ายก็ได้พุ่งตัวออกจากที่ซ่อน อาศัยการอำพรางจากสายฝนกระโดดเข้าไปในกำแพงของมหาลัยแพทย์อย่างรวดเร็ว


แม้มหาลัยแพทย์แห่งนี้จะไม่ใช่มหาลัยที่มีชื่อเสียง แต่กลับมีพื้นที่กว้างและอาคารมากมาย


พื้นที่สีเขียวในมหาลัยมีเยอะมาก หลังจากผ่านการเจริญเติบโตอย่างบ้าคลั่งในช่วงเกิดภัยพิบัติ สภาพในมหาลัยก็ไม่ได้แตกต่างจากป่าทึบด้านนอกมากนัก


แม้แต่เสี่ยวป๋ายที่มีขนาดตัวใหญ่โตนี้ พอกระโดดเข้าไปในพุ่มหญ้ากลับสามารถซ่อนตัวได้อย่างไร้ร่องรอย…


สายฝนสามารถใช้อำพรางได้ แต่มันก็ส่งผลกระทบต่อการได้ยินรวมไปถึงการรับกลิ่นของของซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์มากเช่นกัน


ทว่าเสี่ยวป๋ายกลับสามารถใช้อุ้งเท้าสัมผัสการสั่นสะเทือนของผิวดิน เพื่อดูว่ามีคนเดินอยู่ใกล้ๆ หรือไม่


“ถ้าหากเป็นที่นี่จริงๆ เดาว่าพวกเขาก็คงจะเลือกอาคาร 2 – 3 หลังมาทำเป็นตึกสำนักงานใหญ่ ถ้าหากไม่ใช่ที่นี่ ก็ลองไปดูที่โรงพยาบาลอีกที…”


ถึงแม้หลิงม่อจะเชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของตัวเองมาก แต่หลังจากที่เสี่ยวป๋ายเข้าไปในมหาลัยแพทย์แล้ว เขาก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้


ถ้าไม่เจอนิพพานสำนักงานใหญ่ที่นี่ ก็แสดงว่าทิศทางในการวิเคราะห์ของเขาผิด หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาจต้องเสียเวลาในการวิเคราะห์ใหม่อีกนาน…


“พี่หลี่ รอเดี๋ยว…”


ทันใดนั้น เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางสายฝน หลิงม่อใจกระตุกวูบ เขารีบสั่งให้เสี่ยวป๋ายซ่อนตัวทันที


ตอนนี้เสี่ยวป๋ายเพิ่งมาถึงด้านล่างตึกวิจัยหลังหนึ่ง พอได้ยินเสียงมันก็รีบกระโดดเข้าไปในพื้นที่สีเขียวที่อยู่ข้างๆ


ชายสวมเสื้อกันฝน 2 คนเดินตามกันออกมาจากในอาคาร คนที่ส่งเสียงเรียกคือคนที่อยู่ข้างหลัง


สองคนนั้นเริ่มเดินและพูดคุยไปด้วย “พี่หลี่ พี่เลือกภารกิจอะไร?”


“ภารกิจทั่วไป…ค้นหายาบางประเภท แต่น่าเสียดายที่หาในเมืองไม่ได้” ชายที่ถูกเรียกว่าพี่หลี่ตอบ


เสียงของเขาเบากว่ามาก เสี่ยวป๋ายต้องคลานเข้าไปชิดขอบพื้นที่สีเขียว ถึงจะได้ยินชัดขึ้นมาบ้าง


“ภารกิจ…เป็นนิพพานสำนักงานใหญ่จริงๆ ด้วย!” หลิงม่อคลายใจทันที


สมาชิกของนิพพานสำนักงานใหญ่ล้วนต้องพึ่งการทำภารกิจเพื่อให้ได้รับการถูกปฏิบัติที่ดีขึ้นและเพื่อเสบียงอาวุธ สองคนนี้ดูก็รู้แล้วว่าเป็นสมาชิกธรรมดาที่อาศัยการรับภารกิจเพื่อเลี้ยงปากท้องเท่านั้น


ทว่าถึงจะเป็นระดับ “ธรรมดา” แต่มาอยู่ที่นี่ได้ก็แสดงว่าต้องเป็นผู้มีความสามารถพิเศษแน่นอน


หลิงม่อคิดไม่ถึงว่านิพพานสำนักงานใหญ่จะมีเวรยามคอยเฝ้าด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้ระวังตัวและสั่งให้เสี่ยวป๋ายวิ่งไปไกลถึงตรงนั้น


เมื่อเห็นว่าสองคนนั้นเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลิงม่อรีบสั่งให้เสี่ยวป๋ายถอยหลังเงียบๆ


ถึงแม้เสี่ยวป๋ายตัวใหญ่ แต่เมื่อมันเริ่มเคลื่อนไหวกลับเบายิ่งกว่าเสือชีต้าเสียอีก


แต่ในขณะที่เสี่ยวป๋ายเริ่มถอยห่างออกมาได้ระยะหนึ่ง ชายแซ่หลี่คนนั้นกลับหันขวับทางมัน


หลิงม่อใจเต้น “ตึกตัก” เขารีบสั่งให้เสี่ยวป๋ายหยุดเคลื่อนไหวทันที


หลิงม่อมองลอดต้นหญ้ารกไปยังชายแซ่หลี่คนนั้นผ่านมุมมองสายตาของเสี่ยวป๋าย


สายพลังจิต?


เสี่ยวป๋ายหยุดนิ่งอยู่กับที่ กักเก็บกลิ่นอาย แต่ขณะเดียวกัน มันก็เตรียมตัววิ่งทันทีหากถูกจับได้


ถึงแม้นิพพานสำนักงานใหญ่จะต่างจากที่หลิงม่อคิดไว้มาก แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้คือที่นี่จะต้องมีผู้มีความสามารถพิเศษอยู่เยอะมากแน่นอน


พลังของผู้มีความสามารถพิเศษเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย หากเริ่มปะทะกันกะทันหันจะต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ๆ


“พี่หลี่ มีอะไรหรือ?” ชายคนนั้นยังคงพูดจ้อไม่หยุด แต่จู่ๆ เห็นชายแซ่หลี่ชะงักไป จึงถามอย่างสงสัย พลางมองตามสายตาของเขา


หลิงม่อเกร็งไปทั้งร่าง ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา


—————————————————————————–


บทที่ 716 ‘ซอมบี้’ คลานพื้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชายสองคนที่ปรากฏตัวนี้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษอย่างเห็นได้ชัด จู่ๆ พวกเขาก็เดินออกมาจากในตึก ถ้าไม่ใช่ว่าตอนเดินออกมาพวกเขากำลังคุยกัน เดาว่าคงจะต้องอาศัยการมองเห็นอย่างเดียวถึงจะรู้ว่าพวกเขาเดินออกมาแล้ว


ขณะที่จ้องอีกฝ่าย หลิงม่อก็เฝ้าระวังไปด้วย


ด้านหนึ่ง เตรียมตัวหนีให้พร้อม ในอีกด้าน ก็ลอบต่อว่าตัวเองที่ประมาทเลินเล่อ


เขาไม่ได้พุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่เสี่ยวป๋ายตลอดเวลา ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวป๋ายจะเข้าไปใกล้ตัวอาคารขนาดนั้น สถานการณ์อย่างนี้ ยิ่งไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าอยู่ด้วย…


แต่ถึงอย่างไร การค้นหาประเภทนี้ก็เป็นเรื่องถนัดของเสี่ยวป๋าย…


อย่างน้อยเสี่ยวป๋ายก็ตามหามนุษย์เจออย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นหุ่นซอมบี้ที่หลิงม่อควบคุม คงทำได้เพียงค่อยๆ เข้าไปใกล้ทีนิดๆ


ฝนตกทำให้ความสามารถของเสี่ยวป๋ายอ่อนลง สำหรับซอมบี้ธรรมดายิ่งร้ายแรงกว่านั้น


ในสภาพแวดล้อมกว้างใหญ่แบบนี้ ซอมบี้ธรรมดาตัวหนึ่งทำได้เพียงเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเท่านั้น


ตอนนี้ ชายสองคนนั้นกำลังยืนมองเสี่ยวป๋ายอยู่นอกพุ่มหญ้า ชายแซ่หลี่คนนั้นทำหน้าตาสงสัย เหมือนพร้อมจะเดินเข้ามาเช็กได้ทุกเมื่อ


ทว่ารออยู่หลายนาทีก็ไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไร สุดท้ายเขาก็หันกลับไปบอกว่า “ไม่มีอะไร อาจเพราะความรู้สึกอ่อนไหวเกิน…เมื่อกี้ดันรู้สึกว่าถูกคนจ้องซะได้”


คนคนนี้มีสัมผัสต่ออันตรายที่ร้ายกาจไม่เบา!


หลิงม่อนึกว่าอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเสี่ยวป๋าย แต่ตอนนี้ดูเหมือนสาเหตุจะเป็นเพราะสายตา…


“หึหึ…” ชายอีกคนหัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก เขาบอกว่า “ถ้าหากเป็นซอมบี้คงพุ่งออกมาจากพุ่มหญ้านานแล้ว…พูดถึงซอมบี้ สามวันก่อนมีซอมบี้ตัวหนึ่งโผล่มาที่แถวๆ ตึก 3 แม่งน่าขำสิ้นดี…”


“วิ่งไปถึงตึก 3 เลยหรอ? ถูกฆ่าไปแล้วสินะ…”


“ยังต้องถามอีกหรือ? น่าตลกสิ้นดี…”


เสียงพูดคุยลอยห่างออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับที่หัวใจของหลิงม่อกลับมาเต้นเป็นปกติ


โชคดี ที่ความสามาถในการอำพรางกายของเสี่ยวป๋ายยอดเยี่ยมดังคาด…


สาเหตุที่ให้เสี่ยวป๋ายมาทำหน้าที่นี้ แทนที่จะเลือกควบคุมหุ่นซอมบี้มามั่วๆ เพราะหลิงม่อมีเหตุผล…


ที่นี่มีผู้มีความสามารถพิเศษรวมตัวกันอยู่มากมาย ยากที่จะรับประกันได้ว่าไม่มีผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งรวมอยู่ด้วย


หากถูกจับได้ คนคนนั้นอาจมองเห็นสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับหุ่นซอมบี้ได้ทันที


ในทางกลับกัน เสี่ยวป๋ายที่เก่งเรื่องอำพรางกาย และเคลื่อนไหวรวดเร็ว ถึงแม้จะถูกจับได้มันก็ยังวิ่งหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว


ถึงแม้จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ก็ไม่มีทางไล่ตามหมีแพนด้ากลายพันธุ์ได้ทันแน่นอน


สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ สีขนของมันเป็นสีป้องกันตัวเอง ทำให้มันลักลอบเข้าไปใกล้ได้มากพอ…


แต่ว่า…เกิดอะไรขึ้นกับนิพพานสำนักงานใหญ่ ทำไมถึงได้มีซอมบี้โผล่มาได้ล่ะ?



“เมื่อกี้ สมาชิกชายคนนั้นบอกว่าตึกหมายเลข 3…ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ามีตึกหมายเลข 1 และตึกหมายเลข 2 ด้วยน่ะสิ?


เรื่องนี้ไม่ต่างจากที่หลิงม่อคาดเดาไว้มาก มหาลัยแพทย์แห่งนี้มีอาคารก่อสร้างครบครันหลายหลัง ไม่ว่าสมาชิกนิพพานจะมีมากขนาดไหน ก็คงมากไม่เกินกว่าจำนวนคนที่มหาลัยแห่งหนึ่งจะสามารถจุได้ในสมัยก่อน


ลักษณะของที่นี่แตกต่างจากฟอลคอนที่เปิดรับผู้รอดชีวิตที่มาจากทุกทิศ…


หลังฟังการพูดคุยไม่กี่ประโยค ถึงแม้หลิงม่อจะได้ข้อมูลมาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี


ซอมบี้เข้าออกได้ตามใจชอบ นี่มันดูไม่เหมือนสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเลย…


“สมาชิกของที่นี่ดูเหมือนจะเดินเพ่นพ่านไปทั่วนะ แค่แป๊บเดียวก็เจอตั้ง 2 คนแล้ว…แต่ถึงอย่างไรฝนก็กำลังตกอยู่ จำนวนคนจะต้องน้อยกว่าเวลาปกติแน่ๆ หากไม่ฉวยโอกาสนี้สำรวจให้ดี อีกหน่อยก็คงหาโอกาสอย่างนี้ยากแล้ว พอตกกลางคืน ไม่แน่ว่าเวรยามอาจแน่นหนากว่าเดิม พอถึงตอนนี้อาจไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็ได้…”


หลิงม่อไม่คิดจะลักลอบเข้าไปในตึกกลางดึก ใครจะไปรู้ว่าในตึกมีอะไรอยู่ ผลีผลามไปก็มีแต่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก


ครั้งนี้พอมีประสบการณ์ หลิงม่อจึงสั่งให้เสี่ยวป๋ายออกห่างตึกอาคารเหล่านั้น และเคลื่อนไหวในพื้นที่สีเขียวเท่านั้น


รอให้เห็นมนุษย์ก่อน แล้วค่อยหาจังหวะเข้าไปแอบฟังใกล้ๆ ก็พอแล้ว…


ทว่า ในหนึ่งชั่วโมงต่อมา มันกลับไม่พบเจอมนุษย์อีกเลย


หลังจากเดินผ่านสนามแห่งหนึ่งมา จู่ๆ ข้างหน้าก็มีลานกว้างรูปครึ่งวงกลมอยู่


และหลังจากแหวกหญ้าเพื่อมองออกไปข้างนอก หลิงม่อถึงได้เข้าใจทันทีว่า ที่แท้ที่นี่ต่างหากที่เป็นศูนย์กลาง!


ตึกอาคารที่ตั้งติดกันเป็นแถวอยู่ในลานกว้าง ก็คือนิพพานสำนักงานใหญ่ที่แท้จริง


และเมื่อมาถึงที่นี่ เสี่ยวป๋ายก็ยากที่จะเข้าไปใกล้ๆ โดยไม่ส่งเสียงอีกต่อไป


ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหญ้าแล้วมองออกไปข้างนอก มองเห็นเพียงตาข่ายเหล็กที่มักใช้ล้อมรั้วสนามบาสฯ ถูกนำมาล้อมลานกว้างแห่งนั้นจนทั่ว ทางเข้าออกเดียวที่มีก็มียามเฝ้าอยู่ 2 คน ด้านข้างยังมีเฮลิคอปเตอร์จอดไว้อีกหนึ่งลำ


และด้านในลานกว้างนั้น ตรงบานหน้าต่างที่อยู่แถบหน้าสุด มีจุดสีดำอยู่หนึ่งจุด เห็นชัดว่าเป็นจุดยิงปืน


ตำแหน่งอื่นๆ ไม่อาจมองเห็นผ่านมุมมองสายตาของเสี่ยวป๋ายได้ แต่ก็มั่นใจได้ว่าจะต้องมีเวรยามเฝ้าทุกทิศอย่างแน่นอน


ดูตากรูปการ “ตึก 3” ที่ชายคนนั้นพูดถึง ก็ต้องหมายถึงอาคารที่ถูกจัดอยู่นอกตาข่ายเล็กโดยไร้การคุ้มกันใดๆ


“ทำไมต้องระบุหมายเลขตึกที่อยู่นอกสำนักงานใหญ่ด้วยล่ะ…” หลิงม่อไม่เข้าใจ จึงปล่อยผ่านไปก่อน กว่าจะตามหานิพพานสำนักงานใหญ่เจอไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาจะต้องถือโอกาสนี้สังเกตการให้ดี


ตึกเหล่านั้นล้วนถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยทางเดินเชื่อมระหว่างอาคาร สไตล์ตึกทันสมัยมาก ทว่าความจริงระยะห่างของแต่ละตึกถือว่าค่อนข้างไกล


หากเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าสภาพแวดล้อมด้านในจะต้องซับซ้อนมากอย่างแน่นอน…


“ช่างเถอะ รู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องยาก ตอนนี้ก็แค่ดูยากกว่าเดิมนิดหน่อยเท่านั้น อีกอย่างสภาพแวดล้อมซับซ้อนก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องร้ายเสมอไป ตรงกันข้าม เรากลับจะสามารถแยกย้ายกันไป อาจทำให้เคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นก็ได้”


หลิงม่อมองไปยังอาคารสีแดงที่สูงที่สุดอยู่ครู่หนึ่ง ตึกนั่นเป็นใจกลางของระบบป้องกันตาข่ายเหล็ก ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดของนิพพานสำนักงานใหญ่ก็ได้…


แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อกลับรู้สึกเหมือนคลื่นดวงจิตของเสี่ยวป๋ายรุนแรงขึ้นชั่วขณะ


จู่ๆ มารุนแรงขึ้นในเวลาอย่างนี้ ต้องไม่ใช่เพราะเห็นอะไรแน่นอน แต่เป็นเพราะ…


ข้างหลังมีอะไรบางอย่างอยู่!


ไม่ต้องรอให้หลิงม่อออกคำสั่ง เสี่ยวป๋ายรีบวิ่งเข้าไปยังส่วนลึกของดงหญ้าอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็หันไปมองตรงนั้นช้าๆ


เหลือบมองแวบแรก หลิงม่อก็รู้สึกหนังศีรษะชาไปทันที


ซอมบี้ตัวหนึ่งที่เดินด้วยแขนขาทั้งสี่ข้าง ดวงตาเป็นสีแดงเลือด กำลังถูกชายคนหนึ่งจูงด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก มันกำลังค่อยๆ คลานเหมือนหมาอยู่ท่ามกลางพุ่มหญ้า


มันสูดจมูกฟุดฟิดเป็นบางครั้ง เหมือนกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่


“น่ารำคาญ…ที่นี่มันสำนักงานใหญ่แล้วนะ จะไปมีอะไรที่ไหนล่ะ…ซวยชิบเป๋ง อุตส่าห์ได้มาสำนักงานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยังได้เป็นแค่ตัวสำรอง…ตัวสำรองแม่แกน่ะสิ…”


ชายคนนั้นอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด เขาสะบัดโซ่เหล็กในมือหนึ่งครั้ง แล้วซอมบี้ตัวนั้นก็อ้าปากร้องครวญครางทันที


หลิงม่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกด้านหนึ่งของโซ่เหล็กเป็นที่จับแบบพิเศษ ฟังจากเสียงกระแสไฟที่ดังเมื่อกี้ เดาว่านั่นคงจะเป็นเครื่องปล่อยกระแสไฟ…


เอาของอย่างนี้มาทรมานซอมบี้ ได้ผลไม่เลวอย่างเห็นได้ชัด


แต่ซอมบี้ที่คลานอยู่กับพื้นตัวนั้นดูไม่เหมือนซอมบี้จริงๆ ด้วยระดับของมันยังไม่น่าจะมีปฏิกิริยากับความรู้สึกเจ็บปวดมากนัก…


แต่ในเสี้ยววินาทีที่ซอมบี้ตัวนั้นอ้าปากหลิงม่อก็มองเห็นอะไรบางอย่างเข้า ในปากของมัน มีเพียงลิ้น ไม่มีฟัน…


“เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันกัดคนงั้นหรอ? ดูจากรูปการ นิพพานสำนักงานใหญ่คงจะใช้ซอมบี้ที่คลานกับพื้นเป็นสุนัขยามสินะ…”


หลิงม่อขมวดคิ้วทันที ถึงแม้ซอมบี้กับมนุษย์จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แต่การวิจัยของนิพพานกลับไม่ละเว้นทั้งกับมนุษย์และซอมบี้ พวกเขาไม่มีทางรู้วิธีทำให้ซอมบี้สัตว์เชื่อฟังอย่างแน่นอน ซอมบี้คลานพื้นประเภทนี้ ไม่แน่ว่าอาจถูกสร้างขึ้นมาจากมนุษย์ก็เป็นได้…


“จำนวนมนุษย์มีไม่มากอยู่แล้ว พวกเขาสนใจแค่ความเป็นความตายของคนกลุ่มน้อย…ถ้าหากทำเพื่ออยู่รอดอย่างเดียวก็แล้วไป แต่นี่พวกเขาทำเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองชัดๆ…”


หลิงม่อรู้ดีถึงเหตุผลที่นิพพานสำนักงานใหญ่ทำวิจัยเหล่านี้ ไม่ว่าผู้มีความสามารถพิเศษจะแกร่งอีกซักแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซอมบี้ก็กลายเป็นมนุษย์ผู้อ่อนแออยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้ฝูงใหญ่ มนุษย์ยิ่งกลายเป็นผู้อ่อนแอหนักกว่าเดิม


แม้จะเป็นค่ายกึ่งกองกำลังทหารอย่างฟอลคอน เมื่อต้องต่อสู้กับซอมบี้ฝูงใหญ่ก็ยังต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียครั้งใหญ่อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าก่อนสู้ พวกเขาจะต้องเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบขนาดไหน…


เป็นค่ายผู้รอดชีวิตขนาดใหญ่เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่หลิงม่อจะไม่เอาฟอลคอนกับนิพพานสำนักงานใหญ่มาเปรียบเทียบกัน


ถึงแม้พื้นฐานจะแตกต่างกัน แต่ท้ายที่สุดพวกเขาต่างทำไปเพื่อมีชีวิตรอด


ทว่านิพพานสำนักงานใหญ่ กลับดูมีปัญหาในด้านนี้…


เสี่ยวป๋ายซ่อนตัวอย่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ น้ำฝนสามารถกลบกลิ่นของมันได้ และมันก็เก็บซ่อนกลิ่นอายไว้อย่างมิดชิด ถึงจะอยู่ในระยะห่างไม่ถึง 20 เมตร หากอีกฝ่ายยังมองไม่เห็นตัวมัน ก็ไม่มีทางที่จะสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้


ตรงกันข้าม กลับเป็นเสี่ยวป๋ายที่สามารถกระโจนออกไปได้ทุกเมื่อ แค่แพนด้ากระโดดทับกระบวนท่าเดียว ก็มากพอที่จะฆ่าหนึ่งคนหนึ่งซอมบี้ให้ตายคาที่ได้


เจ้าซอมบี้คลานพื้นตัวนั้นยังไม่ก้าวข้ามระดับธรรมดา ชายคนที่อยู่ข้างหลังนั่นก็ดูไม่ได้มีพลังแกร่งกล้าอะไร


ถ้าแกร่งคงไม่ต้องมาทำหน้าที่จูงสุนัขเฝ้าเวรยามอย่างนี้แล้ว แถมยังในวันที่ฝนตกอย่างนี้อีก…


ไม่แปลกที่สมาชิกคนนี้จะอารมณ์เสีย เป็นใครก็คงอารมณ์เสียกันทั้งนั้น…


—————————————————————————–


บทที่ 717 กรงสัตว์

โดย

Ink Stone_Fantasy

จางเหยียนอารมณ์เสียมาก เขาเพิ่งไต่เต้าจากสาขาย่อยมาอยู่สำนักงานใหญ่ได้ไม่นานนัก


ระดับสมาชิกต่ำเกินไป ภารกิจที่กล้ารับก็มีแต่ภารกิจที่ไม่ได้ทำให้ก้าวหน้าขึ้นเลย


อย่างการเลี้ยงดูซอมบี้สุนัขประเภทนี้ และการพามันเดินลาดตระเวนในมหาลัยแพทย์อันกว้างขวางก็เป็นภารกิจประเภทที่อยู่ระดับต่ำที่สุด


ถึงแม้พอเห็นซอมบี้สุนัขแล้วจะทำให้เขาอยากอ้วก ทว่าภารกิจเดินลาดตระเวนนั้นทั้งสบายและปลอดภัย


โชคไม่ดีหน่อย ก็เจอซอมบี้ 1 – 2 ตัววิ่งเข้ามาอย่างกะทันหันบ้างเป็นบางครั้ง


แต่มีซอมบี้สุนัขอยู่ อย่างไรเขาก็หาพวกมันเจอก่อน


แต่ถ้าเกิดจางเหยียนปล่อยให้ซอมบี้หลุดเข้ามาถึงบริเวณนี้ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางจริงๆ เขาก็คงต้องพบกับโชคร้ายแล้ว


ไม่กี่วันก่อนมีซอมบี้โผล่มาที่ตึก 3…


นิพพานสำนักงานใหญ่ใช้ระบบสะสมคะแนนจากการทำภารกิจ หากอยากได้ทรัพยากรส่วนแบ่ง ก็ต้องมีคะแนนจากการทำภารกิจก่อน


แต่สำนักงานใหญ่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อระดับความสำเร็จของภารกิจ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นทางสำนักงานใหญ่ก็อาจหักทรัพยากรบางส่วนไว้


สรุปก็คือ การใช้ชีวิตอยู่ในสำนักงายใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องคอยหวาดกลัวตัวสั่นอยู่ข้างนอกตัวคนเดียวตลอดเวลา


แต่ถึงอย่างนั้น จางเหยียนก็ยังหงุดหงิดมากอยู่ดี


“เชี่ย ฝนตกยังต้องออกมาลาดตระเวนอีก…” จางเหยียนก่นด่าเป็นวรรคเป็นเวร พลางฉุดกระชากเจ้าซอมบี้สุนัขไปด้วย “ถ้าไม่ใช่เพราะมีสัตว์ประหลาดตัวเหม็นอย่างเจ้านี่คอยเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว จะมีซอมบี้ถูกดึงดูดเข้ามาได้อย่างไร…น่าตลกสิ้นดี ไม่คิดเลยว่าของอย่างนี้จะตามหาซอมบี้เจอด้วย…”


ซอมบี้สุนัขกำลังดมพื้นดินที่ห่างจากตัวเสี่ยวป๋ายไม่ถึง 20 เมตร สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างภายนอกเป็นคนอย่างมันคอยหมอบคลานกับพื้น แล้วไล่ดมกลิ่นไปทั่วเหมือนหมา เห็นแล้วรู้สึกประหลาดบอกไม่ถูก


ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างกังวลของหลิงม่อ ในที่สุดซอมบี้สุนัขก็หันหน้าไปทางอื่น


เพราะมีน้ำฝนคอยปกปิด บวกกับความสามารถในการอำพรางกายของหลิงม่อ ดังนั้นซอมบี้สุนัขจึงไม่เจอตัวมัน…


ทว่าถึงแม้เป็นอย่างนั้น การที่ซอมบี้สุนัขสัมผัสได้ถึงเบาะแสบางอย่าง ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าประสาทรับกลิ่นของมันร้ายกาจขนาดไหน


“ในเมื่อถูกตั้งชื่อว่าซอมบี้สุนัข ก็แสดงว่าประสาทรับกลิ่นคือทิศทางหลักในการวิวัฒนาการของมันสินะ…แต่ถึงแม้จะไม่มีฟันแล้ว แขนขาก็ยังอยู่ครบ แบบนี้ยังจะมัดด้วยโซ่เหล็กได้หรอ?”


หลิงม่อสงสัยเรื่องนี้มาก แต่คิดไปคิดมา ก็ทำได้เพียงคาดเดาว่าซอมบี้สนุขตัวนี้ไม่มีความสามารถในการโจมตี


ถ้าไม่อย่างถึงแม้จะเป็นซอมบี้ทั่วไป เครื่องปล่อยกระแสไฟนั่นก็ใช้ไม่ได้ผลหรอก…


“ไอ้โง่แกจะดมหาอะไรอีกวะ! ฝนตกอยู่เนี่ยเห็นไหม กลิ่นอะไรก็มาหมดแหละ…ฉันเลยต้องซวยมายืนตากฝนกับแก…”


จางเหยียนกางร่มไว้ในมือ แต่พอลมพัดมาน้ำฝนก็สาดใส่ตัวเขา โดยที่ร่มไม่ได้ช่วยบังอะไรเลย


เขาช็อตเจ้าซอมบี้สุนัขอย่างหงุดหงิดไปอีกสองครั้ง สุนัขซอมบี้กรีดร้องอย่างเจ็บปวดจนมันเริ่มมึนงงไม่ค่อยได้สติ


ดูจากท่าทางของจางเหยียนเดิมเขายังอยากจช็อตมันอีกครั้ง แต่ถ้าซอมบี้สุนัขตายเขาก็จบไม่สวยเช่นกัน เขาจึงทำได้เพียงแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นซอมบี้ยังมีสภาพอย่างนี้ โง่เง่าสิ้นดี…อย่างแกเนี่ยนะอยู่ตึก 2 อย่างมากก็ถือว่าเป็นแค่หนูทอดลองระยะแรกของตึก 3 เท่านั้นแหละ…แม่งเอ๊ย ซวยชิบ…”


เขาฉุดกระชากลากถูเจ้าซอมบี้สุนัข และเดินจากไปพร้อมกับเสียงบ่นกระปอดกระแปด


เห็นได้ชัดว่าภารกิจนี้ได้ทำให้เขาสะสมความโกรธไว้มากมาย และเขาก็ใช้เจ้าซอมบี้สุนัขเป็นทางระบายอารมณ์ กระทั่งเดินออกไปไกลนอกรัศมี 10 เมตรแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงบ่นด่าของเขาอยู่เลย…


ทว่าจนกระทั่งเดินลับหายเข้าไปในทางเลี้ยวของอาคาร จางเหยียนก็ยังไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าในพุ่มหญ้ารกร้างเมื่อกี้ มีดวงตาคู้หนึ่งกำลังจับจ้องพวกเขาอยู่ตลอดเวลา…


การได้ยินของเสี่ยวป๋ายดีกว่าซอมบี้ทั่วไปมาก ถึงแม้มีเสียงฝนตกคอยรบกวน แต่อยู่ในระยะใกล้ขนาดนี้ ทุกคพูดของจางเหยียนลอยเข้าหูของหลิงม่ออย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว


“ที่แท้อาคาร 2 – 3 หลังนั่นก็มีไว้เพื่อให้หนูทดลองอย่างซอมบี้สุนัขอยู่นี่เอง…เหมือนกรงสัตว์? ก็คงใช่ ถ้าหากปล่อยให้พวกมันอยู่กับมนุษย์ ก็คงไม่มีใครรับได้…ปล่อยไว้ไกลตัวขนาดนั้น ก็เพื่อรับประกันความปลอดภัยด้วยสินะ…”


แม้แต่หลิงม่อที่อยู่กับซอมบี้สาวตลอดเวลา ก็ยังรู้สึกแบ่งแยกกับสิ่งมีชีวิตหน้าตาบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นจากการทดลองอย่างเจ้าซอมบี้สุนัข แค่เห็นก็ขนลุกแล้ว อย่าให้พูดเลยหากต้องอยู่ใกล้กันทุกวันจะเป็นยังไง…


ที่จางเหยียนบ่นมากมายขนาดนั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติ


ไม่รู้ว่าคนในกลุ่มวิจัยของนิพพานสำนักงานใหญ่เป็นคนแบบไหนกันบ้าง ทำไมถึงได้สร้างของแบบนี้ออกมาได้…


แต่พอนึกถึงพลังของหมายเลข 1 และหมายเลข 0 หลิงม่อก็พอเข้าใจว่าทำไมนิพพานสำนักงานใหญ่ถึงได้ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยกับการทดลองกับสิ่งมีชีวิตประเภทนี้


เปรียบเทียบกับซอมบี้ จำนวนของมนุษย์มีน้อยเกินไป ถึงจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ แต่เมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางฝูงซอมบี้ก็กลายเป็นแค่ตัวตลอกเท่านั้น ทันทีที่ถูกรุมโจมตีก็มีสิทธิ์ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย


แต่หากเป็นซอมบี้ก็จะแตกต่างออกไป ขอเพียงไม่ถูกซอมบี้ตัวอื่นหมายตาเป็นเหยื่อ ก็สามารถเดินเข้าออกฝูงซอมบี้ได้อย่างอิสระ


ถึงแม้จะยังมีอันตรายอยู่ แต่อัตราการตายก็ลดต่ำลงมาก


ถ้าหากสามารถเรียกใช้ซอมบี้พวกนี้ได้เหมือนสัตว์เลี้ยงในบ้าน สำหรับผู้รอดชีวิตนั่นคงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย


พอนึกถึงพลังที่ตัวเองมีหลังจากถูกปลุกตื่น กลับต้องถูกทดลองเมื่ออยู่ในนิพพานสำนักงานใหญ่ กระทั่งพอทดลองเสร็จก็กลายเป็นแค่ของกึ่งสำเร็จรูป แถมยังไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งมนุษย์อีก หลิงม่อก็รู้สึกสลดใจเล็กน้อย


แต่เขาไม่ได้มองพลังของตัวเองเป็นเพียงพลังควบคุมหุ่นเท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนพลังจิตที่ใช้ควบคุมพวกเย่เลี่ยนอยู่มาควบคุมซอมบี้ธรรมดา ยางทีเขาอาจควบคุมได้มากถึง 100 กว่าตัวด้วยซ้ำ!


แต่จำนวนก็ส่วนจำนวน หากจะใช้ซอมบี้ 100 กว่าตัวให้เกิดประโยชน์ หลิงม่อก็ต้องแบ่งสมาธิควบคุมการเคลื่อนไหวของซอมบี้แต่ละตัว ถ้าไม่อย่างนั้นควบคุมมากไปก็ไม่มีความหมายอะไร


หุ่นไม้แข็งทื่อที่ขยับเขยื้อนไม่เป็นจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?


ส่วนพวกเย่เลี่ยนแม้จะไม่ได้ถูกหลิงม่อมองเป็นหุ่นซอมบี้ แต่กลับอยู่อย่างอิสระ พวกเธอแต่ละตัวล้วนมีพลังของซอมบี้ระดับสูงกันทั้งนั้น


พอเปรียบเทียบกันแล้ว หลิงม่อคิดว่าตัวเองเลือกได้ถูกต้องแล้ว


สิ่งที่สำคัญก็คือ เพราะการเลือกที่ถูกต้องในตอนแรกนั้น เขาจึงไม่ได้ตกไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเหล่าซอมบี้ที่ได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร…


“ไม่รู้ว่านิพพานสำนักงานใหญ่มีหนูทดลองกี่ตัว…ถ้าหากยังมีหนูทดลองพลังจิตสูงอย่างหมายเลข 0 ล่ะก็ เรากลืนกินเข้าไปคงจะเพิ่มพลังจิตได้ไม่น้อย ถ้าเป็นอย่างนั้นพอซย่าน่ากับรุ่นพี่ก้าวข้าม เราก็จะมั่นใจได้ว่าสายสัมพันธ์ทางจิตจะไม่ถูกตัดขาด…ควบคุมซอมบี้เจ้าเมืองพร้อมกันทีเดียว 3 ตัว แล้วยังมีอีกสองตัวที่กำลังเข้าใกล้ระดับเจ้าเมือง ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเรา…ถ้าหากมีซอมบี้สุนัขที่ระดับสูงกว่านี้ล่ะก็…ก้อนเหนียวหนืดของพวกมันมีประโยชน์กับเสี่ยวป๋ายและเฮยซือมาก…”


หลิงม่อลอบดีใจที่วันนี้เขาไม่ได้ควบคุมซอมบี้ให้ลอบเข้าไป ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ได้เข้าไปไกลถึงสถานที่อย่างนั้น


มีเพียงเสี่ยวป๋ายที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาทั้งหมดเท่านั้น จึงจะสามารถวิ่งไปถึงหน้าประตูสำนักงานใหญ่ได้


“ถือว่ามีความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่เพิ่มขึ้นบางส่วนแล้ว โดยเฉพาะรู้แล้วว่าอาคาร 2 – 3 หลังนั้นมีไว้เพื่ออะไร จอเพียงระบุตำแหน่งชัดเจน และสังเกตเวลาในการเดินลาดตระเวนของพวกเขา ก็จะสามารถหาโอกาสเข้าใกล้ได้…”


หลิงม่อคิดในใจ แต่จู่ๆ กลับได้ยินเสียงคนกระซิบข้างหู


“หัวหน้า นายจะเข้าไปตรวจสอบยังไง?” มู่เฉินรื้อกระป๋องแก๊สออกมาเพื่อจัดการต้มน้ำร้อน พลางหันมาถามหลิงม่อ


เขานึกว่าหลิงม่อยังคงดูแผนที่อยู่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงม่อกำลังทำสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และตอนนี้เขาก็ไปนิพพานสำนักงานใหญ่มาแล้วหนึ่งครั้ง…


“หา?” ตอนแรกหลิงม่อก็แค่หาข้ออ้างไปเท่านั้น ตอนนี้เขาทำได้แค่กระแอมเบาๆ “อยู่ตรงนี้ไม่สามารถมองเห็นมุมหนึ่งของที่นั่นได้หรอ? ถ้าหากเห็นเงาร่างคน ก็แสดงว่าสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรอ?”


มู่เฉินเงยหน้าขึ้น และทำหน้าเหมือนพูดไม่ออกทันที “ล้อฉันเล่นใช่ไหม?”


ทว่าก่อนจะแฝงตัวเข้าไป หลิงม่อต้องเตรียมการบางอย่างเสียก่อน


“ฉันคิดดีแล้ว ฉันกับมู่เฉินจะเข้าไป พวกเธออยู่ข้างนอกก็พอ” หลิงม่อวางแผนที่ลง แล้วพูดขึ้น


กลุ่มเด็กสาวนั่งอยู่ในห้องกันทุกคน พอได้ยินเข้าต่างก็มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน


เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินพากันทำหน้างุนงง ส่วนซย่าน่านั้นขมวดคิ้วเบาๆ


มีเพียงสวี่ซูหานที่กระเด้งตัวขึ้นมา “ได้ไงกัน!”


ซอมบี้ตัวทดลองเพียงตัวเดียวที่นิพพานสำนักงานใหญ่ปล่อยออกมายังสามารถทำร้ายเธอจนมีสภาพอย่างนี้ แล้วนี่หลิงม่อกับมู่เฉินจะเข้าไปกันแค่สองคน…


สวี่ซูหานรู้ดีว่าหลิงม่อต้องมีแผนฉวยประโยชน์จากนิพพานสำนักงานใหญ่แน่นอน แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติ นิพพานสำนักงานใหญ่รวบรวมทรัพยากรที่สาขาย่อยหลายสาขาหามาได้ ความจริงนั่นก็เท่ากับการรวบรวมเอาทรัพยากรจากเมืองต่างๆ มาไว้ที่เดียวกันนั่นเอง แม้ผู้รอดชีวิตจะสามารถออกไปค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ แต่การจะหาสิ่งที่เหมาะสมได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ


ทุกครั้งที่ต้องตามหาทรัพยากรประเภทหนึ่ง พวกเขาก็ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวง


แต่เมื่ออยู่ในนิพพานสำนักงานใหญ่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ถึงแม้ยังต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ แต่เสี่ยงชีวิตหนึ่งครั้งก็ได้สิ่งตอบแทนกลับมามากมาย…


เมื่อก่อนสวี่ซูหานไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหลิงม่อถึงได้สนใจกลุ่มวิจัยนัก แต่หลังจากรู้ตัวตนของพวกเย่เลี่ยน เธอก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมารางๆ แล้ว…


—————————————————————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม