อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 711-717

 ตอนที่ 711 เจอกันในที่ที่เคยใช้ชีวิตมา (3)

โดย

Ink Stone_Romance

ไป๋ซู่เย่รู้สึกแค่เหมือนมีก้อนสำลีอุดตรงลำคอให้พูดไม่ออก


เย่เซียวไม่ได้พูดอะไรอีก หันหลังหยิบหูโทรศัพท์ไร้สายในห้องกดไปยังเบอร์หน้าเคาน์เตอร์


 “เอายาขึ้นมาหนึ่งหลอด…แก้อักเสบ อืม ชั้นบนสุด ห้อง 8801”


พูดจบก็วางสาย


ไป๋ซู่เย่ยืนนิ่งตรงนั้นคอยฟังเสียงทุ้มต่ำของเขา อยากถามอะไรแต่ก็ดันพูดอะไรไม่ออก


เย่เซียววางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนสายตาจะหยุดชะงักเมื่อเห็นยานอนหลับที่เธอวางไว้บนโต๊ะ ไป๋ซู่เย่หวั่นใจรีบวางแก้วไวน์คว้ายามาไว้ในมือ เธอเปิดกระเป๋าเดินทางหมายจะยัดยาเข้าไปแต่เพิ่งรูดซิปฝั่งหนึ่งได้ อาจเป็นเพราะใจร้อนเกินไปเลยทำให้ยาขวดอื่นๆ ที่มากกว่ากลิ้งออกมา


เธอลนรีบนั่งยองจะเก็บขวดยาขึ้นมาแต่มีสองสามขวดที่กลิ้งไปข้างเท้าของเย่เซียว


มือใหญ่ของชายหนุ่มก้มเก็บขวดยาก่อนเธอหนึ่งก้าว


ในมือนอกจากเป็นยานอนหลับยังมียาต้านโรคซึมเศร้า


เย่เซียวมองนิ่งๆ ลมหายใจเริ่มติดขัด


 “คุณเอายาคืนฉันมา” ไป๋ซู่เย่เดินไปตรงหน้าเขาขณะที่เธอยืนเท้าเปลือยบนพรม เขากลับสวมรองเท้าบูธหนังยิ่งขับให้เจ้าตัวสูงกว่าเดิม พอทั้งสองคนประชันหน้ากันท่าทางเธอเลยดูอ่อนกว่าเขาเมื่อเทียบกันแล้ว


 “คุณยังกินยาพวกนี้อยู่?” เย่เซียวถามเสียงเย็นชา คืนนั้นที่เคยนอนค้างห้องเธอนั้นเคยเห็นยาพวกนี้ในกล่องยาเธอ แม้เธอจะปากแข็งแต่เขาพอเดาได้ว่าปกติเธอต้องกินยาพวกนี้ไปไม่น้อย


 “บางครั้ง”


 “ถ้าแค่บางครั้ง ออกนอกบ้านทีคุณจำเป็นต้องพกยามาปริมาณมากขนาดนี้เลยเหรอ?”


ไป๋ซู่เย่ไม่รู้ควรแก้ตัวกับเขาอย่างไรแต่แค่ช่วงนี้กินมากกว่าปกติเท่านั้น เธอได้แต่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “คุณคืนฉันเถอะ ฉันกลัวนอนไม่หลับถ้านอนบนเตียงแปลกที่ เลยพกยาพวกนี้ไว้เผื่อได้ใช้”


 “เตียงแปลกที่?” เย่เซียวเลิกคิ้วหันมามองเตียงในห้องแวบหนึ่งด้วยแววตาเย็นชา “ห้องนี้ เตียงนี้ คุณน่าจะเคยนอนได้หลายสิบครั้งแล้วสินะ? แปลกที่จริงๆ หรือความจริงคุณแค่ลืมไปแล้วเท่านั้น?”


ไป๋ซู่เย่เหมือนโดนทิ่มแทงที่หัวใจ


ที่แท้…เขาเองก็จำได้…


พวกเขาต่างไม่เคยลืมเลือน


ไป๋ซู่เย่กำลังจะพูดบางอย่างจู่ๆ เย่เซียวกลับหันหลังหยิบยาเดินเข้าไปทางห้องน้ำ เธอเดิมตามไปโดยอัตโนมัติ เย่เซียวเปิดฝาขวดยานอนหลับแล้วเทเม็ดยาสีขาวลงชักโครกทั้งหมดก่อนจะกดน้ำชักโครกอย่างไม่ลังเล


 “เย่เซียว!”


 “นอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอน คุณชอบเหม่อมองวิวตรงริมหน้าต่างนี้มากไม่ใช่เหรอ? ก็อยู่ดูทั้งคืนก็ไม่มีอะไรเสียหาย” เย่เซียวคืนขวดยาเปล่าให้เธอด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง


ยาเหล่านี้หากใช้ขนาดเกินมันมีผลข้างเคียงรุนแรงมาก ในอดีตเขาเคยมีลูกน้องที่พึ่งยานอนหลับในปริมาณเกินขนาดจนสุดท้ายควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เกรี้ยวกราด ซึมเศร้าแล้วยิงตัวตาย


คนที่พึ่งยาเหล่านี้ไม่มีใครมีจุดจบที่สวยสักคน


เย่เซียวปรายสายตาเรียบนิ่งมองเธอ “เดี๋ยวผมจะให้คนเอาตั๋วเครื่องบินมาให้คุณ พรุ่งนี้เช้าหยิบตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ S ถ้าแปลกที่ อยากกลับไปนอนยังไงก็นอนอย่างนั้น”


ไป๋ซู่เย่น้ำตาเอ่อคลอ


เธอมองเย่เซียว “เย่เซียว พรุ่งนี้เป็นวันหมั้นของคุณ…”


เย่เซียวขมวดคิ้วแน่นใช้สายตาเย็นชามองเธอ “แล้วยังไง? เกี่ยวอะไรกับคุณ?”


ไป๋ซู่เย่เข้าใจทันที บัตรเชิญนั่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา


 “ไฟเรนเซ่เอาบัตรเชิญมาให้ฉันกับคนในกระทรวง ดังนั้น…”


เย่เซียวหัวคิ้วกระตุกแล้วพูดต่อเธอ“ดังนั้นที่วันนี้คุณปรากฏตัวที่เมืองเยียว เป็นเพราะ…คุณคิดจะมาร่วมงานหมั้นของผม?”


ผู้หญิงคนนี้!


พูดคำยินดีกับเขาในโทรศัพท์ไม่พอยังคิดจะมาแสดงความยินดีกับเขาต่อหน้าอีกใช่ไหม?


 “…ตัดสินใจว่าอย่างนั้น”


เย่เซียวแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะกัดฟันพูดออกมาทุกคำ “ผมไม่อยากเห็นคุณในงานหมั้นผม!พรุ่งนี้เช้าคุณรีบไปจากที่นี่!”


ใจเขารู้ดีถึงความหมายที่ทำไมไฟเรนเซ่ถึงเอาบัตรเชิญให้เธอ!เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในงานหมั้น ดังนั้นเอาคุณแม่มาข่มขู่เขาไม่พอยังดึงตัวเธอมา พอมีจุดอ่อนตกอยู่ในมือเขาทั้งสอง เขามั่นใจว่าเย่เซียวไม่กล้าทำอะไรอุกอาจ!


และมีอีกเหตุผลหนึ่ง…


ไฟเรนเซ่อยากให้เธอเห็นเขาหมั้นกับผู้หญิงอีกคนเองกับตา ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้เด็ดขาด!


ถ้อยคำของเย่เซียวรุนแรง


รุนแรงราวกับหินก้อนใหญ่กระแทกใจเธอ


 “คุณเป็นคนหมั้น ในเมื่อคุณไม่ต้อนรับฉันงั้นฉันจะไม่ไป” เสียงของเธอเบาหวิวฟังดูอ่อนแรงลอยไปตามลม คล้ายหมอกควันชั้นบางๆ เธอเงยหน้ามองเย่เซียวแวบหนึ่ง “แต่ในเมื่อเราเจอกันแล้ว ฉันก็อยากบอกคุณต่อหน้า…”


 “ไป๋ซู่เย่ ทางที่ดีคุณหุบปากซะ!” เขาพูดขัดเธออย่างนึกโกรธ แทบมีเปลวไฟพ่นจากสองตา


คำแสดงความยินดีบ้าอะไร!ไปให้พ้น!


เธอรู้นิสัยเขาดี มองใบหน้าเย็นชาดุดันของเขาทำให้เธอกลืนคำพูดที่จะพูดกลับเข้าไป คำพูดที่สวนทางกับหัวใจเหล่านั้นเดิมทีก็เจ็บปวดมากพอถ้าได้พูดจริงๆ ในเมื่อเขาไม่อยากฟังเธอจะไม่ทรมานตัวเอง


เย่เซียวถลึงตาใส่เธอวูบหนึ่ง ปากบางเซ็กซี่เม้มแน่นหันหลังก้าวขายาวเดินไปที่ประตูโดยไม่พูดอะไร ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังแสนเย็นชา


ไป๋ซู่เย่กำขวดเปล่ายืนอยู่ตรงนั้น มองแผ่นหลังของเขาที่จากไปอย่างเหม่อลอยพร้อมหัวใจว่างเปล่าที่ปวดหนึบ…


เย่เซียว…


เธอพึมพำอย่างไม่รู้ตัวทีราวกับต้องมนต์ ยกขาก้าวตามไปหนึ่งก้าว


เขาเดินไวมาก


เขากลัวว่าถ้าเดินช้ากว่านี้อีกนิดตัวเขาจะอดหันกลับมาจัดการเธอไม่ได้


หัวใจของเธอแข็งขนาดไหนกัน ใจร้ายขนาดไหน? ที่จะมาร่วมงานหมั้นของเขาหลังได้รับบัตรเชิญได้อย่างหน้าตาเฉย!อีกทั้งไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย แล้วยังจะแสดงความยินดีกับเขาอย่างใจกว้าง!


นี่คงเป็นแฟนเก่าที่ใจกว้างที่สุดแล้วสินะ—ถ้า เธอนับว่าเธอเป็นแฟนเก่าของเขาล่ะก็!


เย่เซียวกำหมัดแน่นทุกย่างก้าวที่เดินออกไปด้วยความเร็วนั้นหนักหน่วง ชั่วขณะที่ประตูถูกเขากระชากเปิด เขารู้สึกเจ็บจี๊ดตรงอก


เขาครางฮึมยกมือกุมหน้าอกไว้แรงๆ


สูดหายใจ ความเจ็บนั่นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาแทบยืนตัวไม่ตรง


 “เย่เซียว!” เสียงเป็นห่วงของไป๋ซู่เย่ดังขึ้นข้างหู เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ใบหน้าเล็กที่แสดงความห่วงใยของเธอตรงหน้าเริ่มพร่ามัว


ไป๋ซู่เย่ได้ยื่นมือกอดเขาไว้ “เจ็บมากใช่ไหม? คุณพิงฉันก่อน ฉันจะพยุงคุณไปนอนลง!”


เขาหลุบตามองต่ำ


ในโพรงจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นหลังอาบน้ำของเธอ


เขาซบหน้าตรงไหล่เธอให้หน้าแนบผิวตรงลำคอเธอ พลันรู้สึกความเจ็บตรงหน้าอกบรรเทาลงไม่น้อย


เขาตัวใหญ่และหนักมาก ทำให้เกิดความยากลำบากอย่างมากเมื่อไป๋ซู่เย่จะประคองร่างเขา ตัวเอียงไปเอียงมา ใช้แรงทั้งหมดไปถึงจะพาเขามาบนเตียงได้


…………………………………


ตอนที่ 712 เจอกันในที่ที่เคยใช้ชีวิตมา (4)

โดย

Ink Stone_Romance

เขาตัวใหญ่และหนักมาก ทำให้เกิดความยากลำบากอย่างมากเมื่อไป๋ซู่เย่จะประคองร่างเขา ตัวเอียงไปเอียงมา ใช้แรงทั้งหมดไปถึงจะพาเขามาบนเตียงได้


เธอก้มหน้าเช็คร่างกายของเย่เซียว เห็นแค่ใบหน้าเขาขาวซีด ดวงหน้าเย็นชาหล่อเหลานั่นมีเหงื่อซึมเป็นชั้นๆ เพราะเจ็บเกินไปเลยกัดฟันแน่นไม่ยอมปล่อยให้เสียงหลุดออกมา


ผู้ชายคนนี้ก็ดื้อรั้นเหมือนกัน!


 “คุณทนหน่อย ฉันจะไปโทรเรียกหมอตอนนี้เลย”


เธอลุกจากเตียงกำลังจะไปหยิบโทรศัพท์แต่ข้อมือถูกคว้าจับไว้ อาจเป็นเพราะเจ็บเกินไปฝ่ามือเขาเลยเต็มไปด้วยเหงื่อ รู้สึกได้ว่ากำลังสั่นเทาน้อยๆ ยามจับมือเธอ


 “ใช้โทรศัพท์ผม…” เสียงเย่เซียวแหบพร่า “โทรหาถังซ่ง เขาอยู่โรงแรม…”


เสียงเขาสั่นเครือแต่ไป๋ซู่เย่ก็ฟังออก รีบคลานตัวลงล้วงกระเป๋ากางเกงเขาแต่เพราะรีบร้อนเกินไปมือเลยจับลูบต้นขาใหญ่ที่แน่นกระชับและเซ็กซี่ของเขาไปมาทั่วทุกซอกมุมแต่ก็ไม่เจออะไร


เย่เซียวหลุดเสียงครางฮึมก่อนจะตะครุบมือที่ปัดป่ายไปทั่วของเธอไว้ ลืมตาใช้ดวงตาที่รื้นด้วยน้ำใสจ้องมองเธอ “ลูบอะไร?”


เสียงหายใจเขาปนหอบ


ไป๋ซู่เย่ก้มมอง เขา…ระหว่างขาเขากลับเริ่มมีปฏิกิริยาเพราะท่วงท่าของเธอ


เธอถึงรู้ตัวว่าเมื่อกี้การกระทำของเธอนั้นดู…ลามกขนาดไหน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเหลวไหล เธอเชยตามองเขา “โทรศัพท์ไม่ได้อยู่ในกระเป๋ากางเกง”


 “อยู่ในกระเป๋าเสื้อ…”


ไป๋ซู่เย่ถึงลูบจับตรงหน้าอกเขาอีกทียิ่งทำให้เย่เซียวหายใจหอบหนักกว่าเดิมโดยที่เธอคล้ายไม่รู้ตัวสักนิด แค่กึ่งคุกเข่าบนเตียงทัดปรอยผมที่ปรกมาข้างหน้าไว้หลังหู เผยให้เห็นติ่งหูขาว แสงไฟสะท้อนมาดูดีเหมือนคริสตัล


เย่เซียวจ้องใบหน้ามุมข้างเธอ ต่อให้เจ็บขนาดไหนก็ไม่เคยหลับตา


……………………


ถังซ่งในขณะนี้กำลังอาบน้ำ โทรศัพท์กลับดังแผดเสียงไม่หยุดหย่อนราวกับมนต์สะกดจิต


เขาเริ่มหงุดหงิดจึงเอาผ้าขนหนูพันตัวออกมาจากห้องอาบน้ำ พอเห็นชื่อบนหน้าจอก็เช็ดมือรีบกดรับสาย


 “ทำไม? พรุ่งนี้ใกล้จะมีเจ้าของแล้ว วันนี้เลยอยากมาเล่นสนุกถือเป็นการส่งท้าย…”


 “ถังซ่ง รีบมาห้อง 8801 เร็ว!”


ถังซ่งกะพริบตาปริบรู้สึกเหมือนตัวเองหูแว่วไป เขาหยิบโทรศัพท์ห่างจากหูเล็กน้อยแล้วอ่านดูอย่างจริงจังอีกที ไม่ผิดนี่!นี่เบอร์เย่เซียว!แต่ทำไม…


 “คุณฟังอยู่หรือเปล่า? ตอนนี้อาการหัวใจทำงานผิดปกติของเย่เซียวกำเริบ คุณรีบเอายามา!!”


 “บัดซบ!นี่พวกคุณสองคนไปกกอยู่ด้วยกันอีกแล้ว!” ถังซ่งสบถหยาบทีแล้ววางสายไปทันที จากนั้นไม่คิดจะใส่เสื้อผ้าแค่ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำพุ่งตัวไปข้างนอกด้วยเท้าเปล่า


ห้อง 8801


เย่เซียวกำลังนอนบนเตียงโดยมีไป๋ซู่เย่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำคุกเข่าอยู่ข้างตัวเขา มือของเขายังกำข้อมือเธอไม่ปล่อย ไป๋ซู่เย่ก็ไม่ได้ขืนมือออกพลางโน้มตัวลงหน่อยๆ ใช้มืออีกข้างลูบหน้าอกเขาอย่างอ่อนโยน


ผมยาวนุ่มม้วนอยู่บนอกเขา ใบหน้าเล็กนอกจากจะฉายแววเป็นห่วงแล้วอ่อนโยนยังปิดไม่มิด


ถังซ่งยืนมองฉากนี้ตรงประตูห้องที่ถูกเปิดทิ้งไว้จนเผลอเหม่อไปชั่วขณะ สองคนนี้…พอมาดูอย่างนี้แล้วกลับให้ความรู้สึกสงบสุขอีกแบบหนึ่ง หากสงบสุขแบบนี้ไปตลอดคงดีไม่น้อย


แค่เสียดาย…


นั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา


ระหว่างพวกเขา มีภาระที่หนักหน่วงขวางกั้นไว้อยู่…


 “เป็นยังไงบ้าง?” แม้จะไม่อยากแต่เพื่อรักษาชีวิตเขาไว้ถังซ่งจำต้องพูดทำลายบรรยากาศ


ไป๋ซู่เย่เงยหน้า“คุณมาดูหน่อย เขาเจ็บมาก”


 “คุณไปเทน้ำมาสักแก้ว เดี๋ยวให้เขากินยา ผมจะช่วยปฐมพยาบาลง่ายๆ ให้เขาก่อน คืนนี้ไม่มียากล่อมประสาท และไม่มียาแก้ปวด คงต้องทนสักหน่อยแล้ว”


 “แล้วต้องเจ็บแบบนี้ไปนานเท่าไหร่?”


 “ไม่แน่นอน อาจจะแป๊บเดียว หรืออาจจะเจ็บไปทั้งคืน”


ไป๋ซู่เย่ย่นคิ้ว สุดท้ายก็ลงจากเตียงไปเทน้ำร้อนมาหนึ่งแก้ว


กลับเข้ามาในห้องนอนถังซ่งได้ช่วยรักษาอาการให้เขาเสร็จแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าความเจ็บของเขายังไม่บรรเทาลงทั้งหมด หัวคิ้วขมวดไม่คลายเลยตั้งแต่ต้น


 “ป้อนยาเขาเถอะ” ถังซ่งแกะยามาวางบนมือไป๋ซู่เย่


ไป๋ซู่เย่พยักหน้า


 “คืนนี้เกรงว่าเขาต้องนอนที่ห้องคุณสักคืนแล้ว ตอนนี้จะขยับตัวเขาตามใจไม่ได้”


 “อืม”


ไป๋ซู่เย่เงียบไปอึดใจ มองถังซ่งแวบหนึ่ง “งั้น…คืนนี้คุณนอนนี้เถอะ ฉันไปเปิดห้องใหม่อีกห้อง”


พรุ่งนี้เป็นวันหมั้นของเย่เซียว…


ก่อนงานหมั้นพวกเขาสองคนกลับมาอยู่ในห้องเดียวกัน


เพิ่งสิ้นเสียงเธอ หัวคิ้วเย่เซียวย่นเข้าหากันคล้ายกำลังพยายามจะหยัดตัวขึ้น


ไป๋ซู่เย่ใจบีบรัดรีบกดตัวเขาไว้ “เย่เซียว คุณอย่าขยับ!”


 “หลีกไป!” เขาปัดมือเธอทิ้งด้วยความเย็นชา พูดลอดไรฟันทุกคำ แข็งกระด้างปานหิน


พอเย่เซียวหยัดตัวลุกอย่างดื้อดึงที่ช้างก็ฉุดไม่อยู่ เจ็บขนาดนี้แล้วยังยืนยันจะลุกนั่งบนเตียงให้ได้


 “เย่เซียว นายอย่าทำบ้าๆ นะ!ตอนนี้กระสุนในตัวนายยังไม่นิ่ง ถ้าตอนนี้ขยับมั่วๆ เกิดทะลุขึ้นมานายเตรียมตัวตายได้เลย” ถังซ่งโกรธจนแทบจะกระทืบเท้า


เย่เซียวกัดปากจนซีดเซียวแต่ก็จะนั่งให้ได้ ถังซ่งอยากกดเขาให้นอนลงอย่างป่าเถื่อนแต่กลัวเขาจะขัดขืนจะยิ่งเป็นการเคลื่อนไหวรุนแรงอีก


ไป๋ซู่เย่ใจเด็ด อยู่ๆ ก็ก้าวขาเรียวยาวนั่งควบบนหน้าขาเขา จากนั้นสองมือผลักเขาให้นอนติดเตียงทีเดียว


ตัวเธอแทบจะควบขี่บนเอวชายหนุ่มรอมร่อ


ปลายผมยาวนุ่มปรกมาสัมผัสหน้าเขา ปาดผ่านปลายจมูกให้รู้สึกจักจี้


ดวงตาพร่าเบลอของเขาเต็มไปด้วยใบหน้าของเธอ สัมผัสจักจี้ตรงปลายจมูกนั่นเหมือนแผ่ซ่านไปทุกอณูของผิว แผ่ไปถึงหัวใจของเขา…


เขาหรี่ตามองเธออยู่ครู่ใหญ่โดยไม่ขยับตัว


คล้ายเพิ่งรู้ตัวทีหลังว่าการกระทำนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ไป๋ซู่เย่มองเขาแวบหนึ่งด้วยลมหายใจที่เริ่มผิดจังหวะ แต่กลับแสร้งพูดเรียบนิ่งหนึ่งประโยค “เย่เซียว คุณอย่าขยับอีก…”


ถังซ่งที่อยู่ข้างๆ ไอเสียงดัง“สมกับเป็นวีรสตรีของประเทศจริงๆ ฝีมือล้มผู้ชายนี่ก็สุดยอดไปเลย”


 “คุณกลับไปเถอะ ฉันจะอยู่ดูแลเขาเอง” ไป๋ซู่เย่ไม่กล้าหันไปดูสีหน้าถังซ่งด้วยซ้ำ


ถังซ่งหาววอด “เราสองคนยินดีจะตาย ถ้าคุณดูแลเขา เขาจะต้องหายไวแน่ๆ แน่นอนว่าถ้าใช้วิธีนี้ของคุณดูทั้งกายและใจของเขาได้ ต้องได้ผลมากกว่าที่ทุ่มแรงไปแน่”


 “…” ไป๋ซู่เย่เขิน “คุณรีบไปเถอะ!”


ถังซ่งถือของรีบเผ่นหนี ก่อนจะจากไปยังปิดประตูให้พวกเขาอย่างดี


พอถังซ่งไปไป๋ซู่เย่สบตาเย่เซียวแวบหนึ่ง จากนั้นรีบลุกออกจากตัวเขาฉับพลันแต่กลับมีแรงกอดกระชับตรงเอว…


……………………………


ตอนที่ 713 ชีวิตนี้ยาวไกล แต่กลับลืมคุณได้ยาก (1)

โดย

Ink Stone_Romance

มือของเย่เซียวจับเอวเธอไว้อย่างเอาแต่ใจและแข็งกร้าว


เขาเจ็บมากแต่ก็ไม่ยอมละมือสักที ไป๋ซู่เย่ใส่ชุดกระโปรงนอนที่ไม่นับว่าบางแต่ความอุ่นจากฝ่ามือยังแผ่ส่งมาที่ผิวเธอได้ไม่ขาด แผ่ไปถึงขั้วหัวใจเธอ…


เธอหลุบตาสายตาลงประสานกับเขา แววตาต่างดูลึกล้ำซับซ้อนและประทับอยู่บนตัวอีกฝ่ายไม่อาจละสายตาได้พักใหญ่ ลมหายใจคลอเคล้ากันและเริ่มร้อนระอุเรื่อยๆ


สายตาเย่เซียวดำหม่นส่อให้ดูอันตรายวูบหนึ่ง เลื่อนสายตาลงทิ้งไว้ที่ริมฝีปากแดงของเธอ


ปากของเธออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขา สูดหายใจแผ่วก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ยั่วยวนใจ กระตุ้นความต้องการจากส่วนลึกของหัวใจเขา…


เดิมทีเขาคิดว่าวันนั้นที่ภูเขามู่เจี้ยก็คือการลาจากกัน


พวกเขาไม่ควรกลับมาเจอกันอีก…สำหรับเขาแล้วเธอเป็นเหมือนพิษที่กลืนกินตัวเขา


เย่เซียวหายใจรุนแรงยกมืออีกข้างขึ้นสอดนิ้วกับกลุ่มผมเธอ ประคองหลังศีรษะเธอไว้และขณะที่กำลังจะต่อ ได้ยินเพียง ‘ติ๊ง–’ เสียงกริ่งประตูดังอย่างฉับพลัน


เสียงนี้เหมือนถังน้ำเย็นที่ราดหัว


ทั้งคู่ชะงักไปชั่ววูบ


จากนั้น…


สติเริ่มเข้ามาแทนที่ความหวั่นไหวชั่ววูบนั่น


เย่เซียวขมวดคิ้ว มือใหญ่เลื่อนลงจากกลุ่มผมเธอ ไป๋ซู่เย่เองก็เก็บความผิดหวังในใจไว้ มองเขาแวบหนึ่งพูดเสียงต่ำ “ฉันไปเปิดประตูก่อน”


 “…อืม”


เขารับคำเสียงต่ำ อีกมือก็เลื่อนออกจากเอวเธอ


ความร้อนผ่าวกระจายหายไป


ไป๋ซู่เย่มองเขาอีกแวบถึงพลิกตัวลงจากเตียง ข้างนอกเป็นพนักงานที่เอายาแก้อักเสบที่เย่เซียวขอไปก่อนหน้ามาให้


เธอก้มมองยาหลอดนนั้นแล้วมองชายหนุ่มที่นอนบนเตียงโดยมีประตูกั้นวูบหนึ่ง ความรู้สึกหลากหลายซัดโครมเข้ามาในใจอย่างพร้อมเพรียง ผ่านคืนนี้ไป ตั้งแต่พรุ่งนี้…ผู้ชายคนนี้…ก็จะกลายเป็นของผู้หญิงอีกคนโดยสมบูรณ์…


เธอสูดจมูกทอดสายตาไปนอกหน้าต่างไกลๆ ให้อารมณ์สงบลงเธอถึงเดินเข้าห้องนอนอีกครั้ง


เย่เซียวสวมเสื้อนอนบนเตียง


วันนี้เขามาในชุดดำทั้งตัว แจ็กเก็ตสีดำ กางเกงขายาวสีเข้มซึ่งดูต่างไปจากเขาที่ปกติจะใส่ชุดสูทเป็นทางการ ท่าทางที่ใช้วางแผนในแวดวงธุรกิจถูกเก็บไว้ เขาในค่ำคืนนี้เปรียบดั่งเจ้าแห่งรัตติกาลมากกว่า เย็นชาน่าเกรงขาม ต่อให้เวลานี้ถูกความเจ็บปวดเล่นงานสีหน้ายังอดทนแข็งขืน ไม่ปล่อยให้ดูสภาพแย่สักนิด


ผู้ชายแบบนี้ น่าหลงใหลที่สุด…


คล้ายท้องฟ้าไม่มีวันพังทลาย ขอแค่มีเขาอยู่ข้างกายไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องพูดอะไร ก็รู้สึกปลอดภัยพอแล้ว


ไป๋ซู่เย่มองเขาอย่างหลงใหลเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่อิจฉาน่าหลันมากขนาดนั้น…


มีเขาอยู่ในครอบครอง เป็นเรื่องที่เธอโชคดีที่สุดในชีวิต แต่น่าเสียดาย จากนี้ไป…ชีวิตยังอีกยาวไกล แต่กลับลืมเขาได้ยากเย็น…


“เย่เซียว” ไม่ได้สนแผลตรงหน้าผากของตัวเอง เธอนั่งบริเวณหัวเตียงตบไหล่เขาเบาๆ “ฉันจะพยุงคุณลุกขึ้นมากินยาก่อน น้ำเย็นแล้ว”


เย่เซียวชอบเธอที่คุยกับตนแบบนี้ เสียงเบาอ่อนโยน เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันเมื่อดังขึ้นข้างหู


เมื่อก่อนตอนที่เขาคิดถึงเธอแทบจะบ้า ฝันถึงเธอเกือบทุกวัน แต่พอหลับสนิทไปอย่างยากลำบาก เธอกลับใจร้ายไม่ยอมมาเข้าฝันเขาสักครั้ง


เย่เซียวไม่ได้ขยับแค่ปล่อยให้เธอจัดท่าให้เขาอย่างระมัดระวัง แก้วน้ำถูกเธอส่งมาชิดปากเพื่อให้เขากลืนยาลงไป


 “โอเค คุณนอนได้แล้ว”


ไป๋ซู่เย่วางตัวเขานอนราบลงอีกทีอย่างระมัดระวัง มืออีกข้างวางแก้วน้ำลง


เขาเหงื่อซึมอยู่มาก เธอลงจากเตียงแต่ถูกเขาคว้ามือไว้อย่างสะลือสะลือ หัวใจเธอสั่นไหวรุนแรงแค่กุมมือเขาตอบ “ฉันไม่ไปไหน แค่ไปเอาผ้าขนหนูมาช่วยเช็ดเหงื่อให้คุณที่ห้องน้ำ”


แรงของมือเขาถึงคลายลง


ไป๋ซู่เย่หมุนตัวไปที่ห้องน้ำ


ขณะออกมาเห็นเพียงเขากำลังกัดฟันปลดเสื้อเชิ้ตบนตัว นอนทั้งอย่างนั้นย่อมรู้สึกไม่สบายตัวอีกทั้งหน้าอกเหมือนมีเข็มเป็นร้อยเป็นพันแท่งกำลังทิ่มแทงไม่ปล่อยให้ได้พักหายใจสักช่วง


 “เย่เซียว คุณอย่าขยับ ฉันทำเอง”


ไป๋ซู่เย่รีบทิ้งผ้าขนหนูไว้ข้างๆ ถลาเข้าไปหาอย่างไม่กล้ารอช้า แจ็กเก็ตสีดำบนตัวเขาถูกเขาทอดออกทิ้งพื้นไปแล้ว นิ้วยาวของเขากำลังดึงทึ้งกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างหงุดหงิด กระดุมสามเม็ดบนถูกเขากระชากออกมาโดยแรงและไม่รู้ว่ากระเด็นหายไปมุมซอกไหนเสียแล้ว


หน้าอกกว้างเผยออกมาครึ่งเดียว กล้ามหน้าอกที่งดงามไร้ที่ติแผ่ฮอร์โมนชายเรียกให้คนมองเห็นเลือดสูบฉีด เพราะอาการปวดรุนแรงหน้าอกจึงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนัก เหงื่อชื้นตรงหน้าอกยิ่งเพิ่มความเซ็กซี่ให้เขามากกว่าเดิมนัก


ไป๋ซู่เย่มองแวบหนึ่งก็รู้สึกแค่ลำคอแห้งผาก เธอไม่กล้ามองไปมากกว่านี้ แค่เริ่มลงมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้เขาทีละเม็ดๆ เขาเหมือนหาว่าเธอชักช้า สองเม็ดสุดท้ายเลยกระชากเอง


ตามด้วยนิ้วมือสวยได้ปลดกระดุมกางเกงขายาวแล้ว


ไป๋ซู่เย่ใจเต้นยากจะบรรยาย กดมือเขาไว้ “เย่เซียว คุณ…”


 “มือ เอาออก”


เขาไม่ชอบใส่เสื้อผ้านอน!ผู้ชายนี่นาก็ไม่ถือสาแบบนี้แหละ ใครไม่ใส่แค่กางเกงชั้นในนอนบ้าง? มีคนนอนตัวเปลือยมากกว่าอีก


 “…” ไป๋ซู่เย่รู้ความเคยชินของเขา แต่มือก็ไม่ได้ผละออกทันที


เย่เซียวเปิดเปลือกตาหนักอึ้ง มองเธอผ่านความพร่ามัว “ผมไม่ได้ถอดกางเกงคุณสักหน่อย คุณตื่นเต้นอะไร?”


เสียงปนหอบและติดแหบเพราะความเจ็บปวด


พอพูดออกมาแบบนี้ยิ่งสร้างบรรยากาศคลุมเครือกว่าเดิม


ไป๋ซู่เย่ถูกเขาว่าใส่จนหน้าแดง และเพื่อเป็นการกลบเกลื่อนความอึดอัดปนตื่นเต้นในใจ แสร้งถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ “สภาพคุณในตอนนี้เนี่ยนะ อย่าว่าฉันเลย กางเกงตัวเองก็ถอดไม่ได้หรอก”


สายตาเย่เซียวล้ำลึกขึ้นอีกนิด “ก็ไม่แน่…”


ประโยคนี้เหมือนแฝงด้วยหลายความหมาย


ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่กำลังยั่วเธอชัดๆ ยั่วให้หัวใจเธอเต้นแรง นิ้วมือสั่นระริก


เธอเชยตามองเขาวูบหนึ่ง สุดท้ายได้แต่กล่าวอย่างระอา “ฉันทำเอง คุณนอนไปอย่าขยับ”


เย่เซียวแค่พ่นลมจากจมูกตอบรับทีก็หลับตานอนไปจริงๆ ไป๋ซู่เย่เริ่มลงมือปลดกางเกงให้เขา


เธอพยายามไม่ให้สายตาตัวเองกวาดผ่านตัวเขา แต่บางจุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้


รูปร่างของเย่เซียว ดีมากจริงๆ


ขนาดตัวสัดส่วนทองคำ—สะโพกแคบ ขายาว กล้าม v-shape แล้วก็…


จุดบางอย่างที่มีขนาดใหญ่ เฉิดฉายความเป็นชายตรงระหว่างขา


ภาพนี้หากมองมากไปต้องเลือดกำเดาไหลแน่ๆ


ไป๋ซู่เย่ระงับอารมณ์ให้สงบนิ่งไม่ให้เกิดความคิดวุ่นวาย ยิ่งไม่ให้ตนคิดเหลวไหล แต่เพิ่งถอดกางเกงขายาวของเขาพาดไว้บนโซฟาข้างๆ ก็รู้สึกถึงความอุ่นร้อนตรงเอว


แขนยาวของชายหนุ่มโอบเอวเธอไว้จากข้างหลัง ออกแรงยกตัวเธอมาไว้บนเตียงแล้วรั้งเข้ามาในอ้อมอกเขา


ได้อยู่ในอ้อมแขนแกร่งกว้างขวางของผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ล้วนกลายเป็นผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่เธอ!


…………………………


ตอนที่ 714 ชีวิตนี้ยาวไกล แต่กลับลืมคุณได้ยาก (2)

โดย

Ink Stone_Romance

ได้อยู่ในอ้อมแขนแกร่งกว้างขวางของผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ล้วนกลายเป็นผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่เธอ!


เย่เซียวกอดเธอจากข้างหลัง แผ่นหลังผอมบางของเธอแนบติดหน้าอกเขา


ไออุ่นและกลิ่นฮอร์โมนรุนแรงของชายหนุ่มทำให้เธอเกร็งไปทั้งตัว แม้แต่ลมหายใจก็เริ่มติดขัด


เธอไม่รู้ว่าเขาอยากทำอะไร


แต่ถัดจากนั้นมือของเย่เซียวก็เริ่มซุกซน


ไป๋ซู่เย่หายใจขาดห้วง ใบหน้าแดงระเรื่อ


เจ้าหมอนี่ หรือว่าจะพิสูจน์คำที่บอกไว้เมื่อกี้ว่า ‘ไม่แน่?’


 “เย่เซียว…” เธออยากห้ามเขาไม่ให้ทำมากกว่าไปนี้ แต่เสียงที่หลุดออกมากลับกระเส้าเสียจนเธอยังอึ้ง


พระเจ้า!


นี่เป็นเสียงปฏิเสธที่ไหนกันล่ะ? นี่มันยิ่งดูเหมือนกำลังเชื้อเชิญแต่แสร้งเป็นปฏิเสธมากกว่า


 “ชู่ว…คุณไม่ต้องพูด…” เสียงทุ้มต่ำแต่แฝงด้วยความเจ็บปวดของเย่เซียวพูดขัดเธอ


ความเจ็บนั่นเธอกลับแยกไม่ออกว่ามาจากสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ หรือมาจากส่วนลึกของหัวใจ…


ราวกับทะลุผ่านอกของกันและกัน กระเทือนถึงหัวใจเธอให้เจ็บตามไปด้วย…


เธอสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความต้องการที่มาจากเขา มาจากตน—นั่นเป็นความต้องการที่อดใจรอดวงวิญญาณสอดประสานกับบุคคลที่รักสุดหัวใจแทบไม่ไหว ความต้องการที่ต้องการหลอมรวมทั้งกายและใจเป็นหนึ่งเดียว


หากคืนนี้เขาทำอะไรเธอจริงๆ ต่อให้พรุ่งนี้เขาจะหมั้นกับผู้หญิงคนอื่น เธอในตอนนี้ก็ไม่อยากห้ามเขาอีก


เธอรู้สึกว่าชั่ววินาทีนี้เธอเหมือนคนที่กำลังยืนเท้าเปล่าเผชิญหน้ากับความตายอยู่บนหน้าผาสูง คว้าเส้นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายบนหน้าผาในสภาพที่ทรุดโทรมแต่สิ้นหวัง ลุ่มหลงไปกับความอบอุ่นที่ขโมยมาชั่วคราวอย่างหน้าไม่อาย


ใช่ ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นในคืนนี้หรือความเร่าร้อนในชั่วขณะนี้ ล้วนขโมยมาจากผู้หญิงอีกคน…


จากนี้ไปทุกสิ่งอย่างนี้จะกลายเป็นของหญิงสาวผู้นั้น…


นึกได้เช่นนี้ก็ปวดใจ น้ำตาไหลรินเงียบๆ จนปลอกหมอนเปียก เธอกัดปากล่างไว้อย่างแรง กัดจนปากล่างขาวซีดถึงจะไม่ปล่อยโฮออกมาในสภาพที่ดูไม่ได้


เย่เซียวกอดเธอรุนแรงราวกับต้องมนต์


เขาหลับตาครางฮึมในลำคออย่างกล้ำกลืนและอดกลั้น ร่างกายร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ความโศกเศร้าในใจของไป๋ซู่เย่ทยอยถูกแทนที่ด้วยความต้องการ เธอกุมมือเขาที่ประทับไว้ตรงอกเธออย่างไร้ที่จับพิง


สุดท้าย…


ความจริงพวกเขาไม่ได้ทำถึงขั้นตอนสุดท้าย


เขาใช้ร่างกายเสียดสีกันด้วยสัญชาตญาณ เกิดภาพจินตนาการที่งดงามในหัวให้ร่างกายปลดปล่อยออกมาจนเปียกไปยันกางเกงชั้นใน


เขากอดเธอในเวลานี้ไม่ได้…


เธอทั้งดื้อดึงทั้งหัวรั้น แล้วจะยินยอมฝืนใจมอบตัวเธอให้เขาคืนก่อนวันหมั้นของเขาได้อย่างไร?


ไป๋ซู่เย่กัดปากเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังค่อยๆ หยุด ความต้องการในใจเบาบางลง สิ่งที่โหมกระหน่ำเข้ามากลับเป็นความเปล่าเปลี่ยวที่กลบเธอให้มิด…


โดยปกติเขาไม่เคยควบคุมตัวเองในเรื่องนี้ได้ แต่คืนนี้…


ฉะนั้น เขากำลังรักษาเส้นพรมแดนสุดท้ายเพื่อคู่หมั้นของเขา?


น้ำตาเธอไหลทะลัก ยิ่งรู้สึกว่าความคาดหวังเมื่อสักครู่ของเธอหน้าไม่อายมาก


แต่เขากลับไม่ได้ปล่อยเธออยู่ดีกลับยิ่งกอดเธอแน่นกว่าเดิม ริมฝีปากร้อนผ่าวแนบหลังท้ายทอยเธอ


ท่วงท่านี้ของสองคนคล้ายคู่รักที่กำลังอยู่ในช่วงรักใหม่ๆ …


 “ซู่ซู่…” จู่ๆ เขาเรียกชื่อเธอเสียงต่ำ


นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เขาเรียกเธอในตอนที่มีสติ


ไป๋ซู่เย่ใจสั่นสะเทือน ปลายนิ้วอ่อนนุ่มเกี่ยวนิ้วเขาไว้แน่น เขาดังผ้าห่มมาคลุมทั้งสองคนไว้ใต้ผืนผ้าเดียวกัน ใกล้ขนาดนั้น แนบชิดกันขนาดนั้น…


เธอเกิดอารมณ์ชั่ววูบอย่างรุนแรง อยากหันกลับไปกอดเขาดีๆ แต่เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นข้างหูเธอต่อ “พรุ่งนี้ เป็นเด็กดี ไปจากที่นี้ซะ…”


ทุกอารมณ์ชั่ววูบหยุดชะงักเพียงเพราะประโยคนี้ของเขาหลุดมา


เธอ ถูกตีกลับร่างเดิม ถูกผลักเข้าหุบเหวลึกที่เจ็บปวดกว่าเดิมอีกครั้ง เหมือนโครงกระดูกยังถูกเขาซัดกระหน่ำจนแหลกละเอียด…


นานโขกว่าจะกลั้นน้ำตาไว้ ตอบรับเสียงอุดอู้ “ฉันจะทำตามที่คุณบอก…”


ไป๋ซู่เย่คุดคู้ตัวกอดตัวเองแน่นยิ่งกว่าเดิม


เขาอยู่ข้างตนแต่เธอกลับรู้สึกว่าหนาวจับใจ หนาวเย็นขนาดนั้น…


มีเพียงตัวเองที่กอดเพิ่มความอุ่นให้ตัวเองได้…


………………………………


ท้องฟ้ายามค่ำคืนสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ


ไป๋ซู่เย่พิงอกเย่เซียว ต่อให้หัวใจเจ็บปวดแต่เพราะมีผู้ชายคนนี้อยู่เธอเลยนอนง่ายกว่าปกติมากนัก เหนื่อยล้าเกินไป ความเหนื่อยชนิดนี้มันเกิดจากความเหนื่อยของหัวใจ–สุดท้ายเธอผล็อยหลับไปแต่หางตายังเปียกชื้น


……


กลางดึก


เย่เซียวกลับยังไม่นอน


หลังหน้าอกเริ่มหายเจ็บ เขาเปิดไฟหัวเตียงอย่างระมัดระวัง แสงไฟสลัวปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง


เขาเงยหน้าดูเวลาแวบหนึ่ง ตีสาม


เธอในอ้อมอกหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทรา


ภายใต้แสงไฟ ใบหน้าดื้อรั้นและงดงามนั่น ยามนี้กลับดูเหน็ดเหนื่อยปนไม่สบายใจ


เธอผอมไปมากทีเดียว…


แม้กระทั่งเอวคอดในมือเขายิ่งอยู่ยิ่งผอมบางลง ราวกับออกแรงมากหน่อยก็จะหักเอวเธอได้


ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เธอ…สบายดีไหม?


เขาปล่อยเธอไป ให้เธอได้ใช้ชีวิตที่สงบสุข เธอควรผ่อนคลายลงแล้วถึงจะถูกแต่ว่า…ทำไมเธอถึงผอมเร็วขนาดนี้? แล้วทำไมถึงไปใช้ยานอนหลับเหล่านั้นได้?


เย่เซียวพลิกตัวเธอมาเบาๆ ใช้ปลายนิ้วไล้ผ่านกรอบหน้าเธอ ทัดผมยาวยุ่งไม่เป็นทรงของเธอไปหลังหู ปลายนิ้วบีบคลึงติ่งหูขาวเนียนของเธอเล่น สายตาล้ำลึกจดจ่อใบหน้าเธอไม่ละสายตาสักวินาทีเดียว


คงมีแค่เวลานี้เท่านั้นที่จะได้มองหน้าเธอดีๆ แบบนี้


จูบเธออย่างอดใจไม่ไหว เธอไม่ตื่นและหลับตาสนิทเหมือนเดิม เขาจึงปล่อยตัวจูบแนบแน่นกว่าทีแรก


………………………


ตอนที่ 715 ชีวิตนี้ยาวไกล แต่กลับลืมคุณได้ยาก (3)

โดย

Ink Stone_Romance

จูบเธออย่างอดใจไม่ไหว เธอไม่ตื่นและหลับตาสนิทเหมือนเดิม เขาจึงปล่อยตัวจูบแนบแน่นกว่าทีแรก


จูบจนหายใจหอบฮัก จูบจนใกล้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ อยากจะกลืนกินเธอให้รู้แล้วรู้รอด เขารีบปล่อยเธอ


พลิกตัวลงจากเตียงใส่เสื้อเดินออกไปจากห้อง


ชั่ววินาทีที่ประตูถูกปิดลง เธอที่แต่แรกไม่มีปฏิกิริยาใดๆ บนเตียงค่อยๆ ลืมตา…


จ้องไปยังทิศทางที่เขาจากไปด้วยแววตาเรียบนิ่งแต่ว่างเปล่าครู่ใหญ่…


…………………………


ถังซ่งพลิกตัวขยี้ตาสะลือสะลือ จู่ๆ เห็นเงามืดตะคุ่มปรากฏในความมืด สบถหยาบทีด้วยความตกใจก่อนจะลุกจากเตียงอย่างระแวง


 “บ้าอะไรเนี่ย?!” เหงื่อชื้นไปทั้งแผ่นหลัง


 “ฉันเอง”


คำสั้นๆ ที่ทำให้เขากอบโกยอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ เจ้าบ้า!ตกใจแทบตายเพราะคนเนี่ยนะ?!


ผ้าห่มบนตัวถูกเลิกออกทีเดียว ถังซ่งอ้าปากด่ากราดเพราะความหนาว “เฮ้ย นายไม่ถึงกับต้องวิ่งโร่มาข่มขืนฉันกลางดึกแบบนี้หรือเปล่า?!รสนิยมทางเพศฉันปกตินะ!”


 “ลุกขึ้น มาดื่มเป็นเพื่อนฉัน!” เย่เซียวเลิกผ้าห่มบนตัวเขา ‘พรึ่บ’ ทีเดียวเปิดไฟทั้งห้องให้สว่าง


ถังซ่งนอนไม่พอแถมยังโดนแสงไฟแยงตาจนเขาลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่ใช้มือบังขณะที่ก็ก่นด่าเพราะความหงุดหงิดไปด้วย “นายอยู่ไม่สุขก็มาทรมานฉันให้ฉันอยู่ไม่สุขด้วย ใช่ไหม?นี่มันเวลาไหนแล้วดื่มบ้าอะไร? อีกอย่างไม่ดูสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ของตัวเองเลย!”


เย่เซียวเพิกเฉยต่อคำพูดของเขาไปโดยปริยาย


เดินไปที่ตู้เก็บเหล้า เปิดขวดเหล้าอย่างคล่องมือก่อนจะเทสองแก้ว เหล้าสีเหลืองอำพันที่มีดีกรีสูง


ถังซ่งเห็นว่าเขาคิดจะเอาจริงเลยค่อนข้างปวดศีรษะ “นายเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง?”


 “นายว่าไงล่ะ?” เขาเป็นเจ้านายของที่นี่ มีการ์ดสำรอง อยากเข้าห้องไหนก็ล้วนไม่ใช่ปัญหา


 “ฉันจะฟ้อง!มีเจ้านายอย่างนี้ที่ไหนกัน? มาบุกรุกคนอื่นกลางดึก!”


เย่เซียวไม่สนใจเขา


ยกแก้วเหล้ายืนริมหน้าต่างมองไปข้างนอกนิ่งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ บนผืนทะเลในเวลานี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกชั้นบางๆ แสงดวงดาวกะพริบทอแสงให้เห็นวับๆ แวมๆ


เขานึกถึงพลุดอกไม้เมื่อปีนั้น…


หลังจากปีนั้น ความสว่างไสวนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองอีก


 “เย่เซียว หน้านายเขียนไว้ว่ามีความต้องการนะ” ถังซ่งระอา ยกแก้วเหล้าเดินมาใช้สองตาเหลือบมองเขาไป “นายคิดยังไง คนสวยอยู่ในอ้อมกอดนายไม่กอดเธอดีๆ สักคืน วิ่งแจ้นมาห้องฉันแล้วแกล้งทำเป็นขรึม? คงไม่ใช่เพราะ…ถูกเธอไล่ออกมาหรอกนะ?”


เย่เซียวแค่นหัวเราะตัวเองที “ถ้าอยู่ต่อ ฉันกลัวฉันจะข่มขืนเธอจริงๆ”


 “หึ ถือว่านายยังคิดได้บ้าง ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานจริงๆ”


เย่เซียวแค่นหัวเราะที ยกแก้วเหล้าดื่มรวดเดียว


ถังซ่งขมวดคิ้ว “นายอย่าดื่มเยอะขนาดนั้น ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พร้อมจะสูญเสียชีวิตได้เสมอเลยนะ”


 “ชีวิต?” เย่เซียวย้ำคำนี้อย่างนึกขันก่อนเทเหล้าให้ตัวเองอีกแก้ว เขาก้มมองของเหลวสีเหลืองอำพันในแก้วด้วยแววตาเย็นชา “ถ้าสูญเสียชีวิตในตอนนี้ได้จริงๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร…”


อย่างน้อย…


ก่อนที่จะหลับตาไปชั่วชีวิตยังได้เห็นผู้หญิงที่นอนอีกห้องคนนั้นสักหน่อย


อีกทั้ง…


 “ทุกวันนี้ฉันกลับคิดว่าตัวเองดวงแข็งเกินไป มีชีวิตอยู่นานเกินไป” แววตาเขาหม่นแสง


ชีวิตที่เหลืออันยาวนานและโดดเดี่ยว มีชีวิตอยู่หนึ่งวันล้วนเป็นความทรมาน…


ถังซ่งใจกระตุก “นายพูดบ้าอะไร!ชีวิตของนายเป็นเพราะฉันทุ่มแรงสุดตัวถึงลากนายกลับมาจากหน้าประตูนรก นายกล้าไม่รักษา ฉันเอานายตายแน่!”


เย่เซียวไม่ตอบและไม่สนเขาที่กำลังเดือดอยู่ สายตาทอดมองไปบนผิวน้ำทะเลที่มืดสนิท


ถังซ่งไม่ชอบเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ หน้าอกก็อึดอัดแทบตายเลยเทเหล้าให้ตัวเองอีกแก้วหลังตัดสินใจยกดื่มทีเดียวหมดไป


แอลกอฮอล์เย็นฉ่ำไหลผ่านลำคอลงไปสู่กระเพาะ อารมณ์ที่หงุดหงิดของเขาถึงได้ระบายลงหน่อย หันข้างมองเย่เซียวแวบหนึ่งด้วยแววตาที่นิ่งขึ้น “นายคิดจะหมั้นกับน่าหลันจริงๆ?”


 “อืม” เขาไม่ลังเล อนาคตที่มืดมนและไม่มีจุดสิ้นสุดที่ไม่มีผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้วย จะใช้ชีวิตกับใครก็เหมือนกัน


ถังซ่งไม่พูด


 “เป็นไปตามที่นายหวังที่สุดไม่ใช่เหรอ?”


 “ฉันก็แค่พูดเท่านั้นเพราะมั่นใจว่านายไม่มีทางแต่งงานกับเธอ ใครจะรู้…” ถังซ่งกล่าวอีก “แต่ว่ายายนั่นชอบนายจริงๆ”


 “ศัลยกรรมให้เหมือนเธอแล้วมาหาฉัน ชอบจริงๆ หรือเสแสร้ง?” เย่เซียวพ่นลมที “แต่จะจริงหรือเสแสร้ง ก็ไม่เกี่ยวกับฉัน”


ถังซ่งตกใจเล็กน้อย “นายรู้ว่าเธอศัลยกรรม?”


“นายคิดว่าในโลกนี้จะมีสองคนที่หน้าตาคล้ายกันไม่พอ แต่งานอดิเรกความชอบทุกอย่างก็คล้ายกันด้วยเหรอ?”


 “หน้าเธอเคยผ่านมีดหมอมาบ้างจริงๆ แต่ฉันกลัวนายผิดหวังเลยไม่เคยบอก อีกอย่างในเมื่อนายไม่ได้คิดจริงจังกับเธอก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่ต้องบอก แต่ในเมื่อนายรู้ความจริงแล้วทำไมยังเก็บเธอไว้ข้างกาย?”


 “เธอเป็นคนของพ่อบุญธรรมฉัน”


ถังซ่งกลับไม่สงสัย “ไฟเรนเซ่ขี้สงสัยเป็นทุนเดิม ตอนนี้นายกำลังได้ดิบได้ดี เขาจะระวังนายไว้ก็ไม่แปลก”


เย่เซียวไม่ตอบอีก เขาไม่อยากทำการวิเคราะเรื่องไฟเรนเซ่กับคนอื่นมาก คนคนนั้นช่วยทำให้เขาเกิดใจศรัทธาใหม่หลังเขารู้สึกสิ้นหวังเต็มทีกับคำว่า ‘คุณพ่อ’ในวัยเด็ก อารมณ์ที่หวั่นเกรงเขานั้นทั้งซับซ้อนและยากจะทำลาย


เพียงแต่หลังปีกที่ถูกเขาฝึกฝนจนแข็งกล้า กรงเล็บก็ย่อมแหลมคมไปตามๆ กัน


สิ่งที่ไฟเรนเซ่ไม่กล้ามั่นใจก็คือ กรงเล็บของเขาจะหันปลายมาทางพ่อบุญธรรมอย่างเขาในสักวันหรือไม่


 “เย่เซียว ถ้านายหมั้นกับน่าหลัน…ไป๋ซู่เย่ทำไงล่ะ?” ถังซ่งอดถามไม่ได้


 “เธอจะทำยังไง?” เย่เซียวถามซ้ำคล้ายรู้สึกว่าคำถามนี้ของถังซ่งค่อนข้างน่าขำ เขาดื่มอีกอึก รสแอลกอฮอล์ร้อนผ่าวแผดเผาทุกส่วนในร่างกายเขาให้แสบร้อน“นายถามผิดแล้ว ที่นายควรถามคือ หลังจากนี้ฉันควรทำยังไง?”


ถังซ่งสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “สิบปีก่อน ฉันแค่คิดว่าความเจ็บปวดของนายมาจากการตายของพี่น้องเรา ความไม่ปล่อยวางของนายที่ผ่านมาสิบปี ฉันเองก็คิดว่าเพราะนายไม่พอใจ แต่ตอนนี้มาดูแล้วเหมือนฉันจะเข้าใจผิดไป”


 “ฉันก็คิดว่าไม่พอใจ มันตลกสิ้นดี เย่เซียวที่ฆ่าคนเหมือนผักปลา กลับถูกเด็กผู้หญิงอายุสิบแปดคนหนึ่งหลอกเข้า” เย่เซียวเอ่ยปากพูดอย่างขมขื่น


อาจเป็นเพราะดื่มเหล้าหรือเพราะอัดอั้นใจเกินไปจนเขาต้องการระบายความเจ็บนั่นเช่นเดียวกัน


มีบางอย่างที่หากเก็บในใจต่อ เขากลัวตัวเองจะอึดอัดจนตาย


 “สิบปีนี้ฉันเคยคิดหาวิธีที่จะทรมานเธอเป็นพันเป็นหมื่นวิธี หรือเคยคิดจะใช้วิธีเดียวกับที่เธอเคยใช้เมื่อสิบปีก่อน รอเธอหลงรักฉัน พึ่งพาฉัน ฉันค่อยทอดทิ้งเธอไปอย่างโหดร้าย ให้เธอได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทั้งหมดที่ฉันเคยโดนมาตลอดสิบปี แต่ว่าสิ่งที่น่าขำคือ…เมื่อได้เจอเธออีกทีหลังสิบปี หลายครั้งฉันโกรธจนขาดสติ ทำไมต้องเป็นฉันที่คอยจดจำเธออยู่เสมอ ลืมไม่ลง แต่เธอกลับมีท่าทีเฉยเมยกับฉันมาโดยตลอดแล้วยังระวังแล้วระวังอีก? ทำไมฉันมีชีวิตที่อยู่ไม่สุข แต่เธอกลับสงบดีเสมอมา”


……………………………


ตอนที่ 716 ชีวิตนี้ยาวไกล แต่กลับลืมคุณได้ยาก (4)

โดย

Ink Stone_Romance

เสียงของเย่เซียวแหบพร่า “สิบปีก่อนฉันพ่ายแพ้เธอจนสูญเสียทุกสิ่ง สิบปีหลังฉันยังคงพ่ายแพ้ให้เหมือนเดิม…เหมือนที่นายบอก ฉันสู้เธอไม่ได้”


ใครรักใครก่อนคนนั้นแพ้


ในสงครามความรักกับเธอครั้งนี้เขาแพ้ราบคาบมาตั้งนานแล้ว สิบปีหลังก็เป็นแค่การขัดขืนที่ยิ่งซ้ำเติมความเจ็บปวดเท่านั้น


ถังซ่งพูดไม่ออกสักคำ


เขาไม่เคยพบเจอความรักที่ดูดพลังชีวิตขนาดนี้มาก่อน แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดลึกๆ ในใจของเย่เซียวได้เป็นอย่างดี


ผู้ชายที่พูดน้อยเงียบขรึม ปกติต่อให้รู้สึกแย่ขนาดไหนก็ไม่บอกให้รู้สักคำ ต่อให้เมาก็ยังเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง แต่คืนนี้เขากลับต่างไปจากเดิมมาก


เขารู้ว่านี่ถึงขีดจำกัดของความอัดอั้นที่เขาจะรับไหวแล้ว…


……


ผู้ชายสองคนเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ถังซ่งคิดคำปลอบโยนไม่ออกส่วนเย่เซียวไม่ใช่คนที่ต้องการการปลอบโยนคนหนึ่ง โดยเฉพาะเวลานี้นอกจากไป๋ซู่เย่ ใครเล่าจะช่วยปลอบเขาได้จริงๆ?


ผ่านไปพักใหญ่เย่เซียวก้มมองเวลาแวบหนึ่ง ตีสี่แล้ว


เขาวางแก้วเหล้าลงถามถังซ่ง “อยากดูพลุดอกไม้ไหม?”


 “พลุดอกไม้อะไร? นี่มันกี่โมงแล้วจะมีพลุดอกไม้มาจากไหน?” ถังซ่งงุนงง


เย่เซียวล้วงมือในกระเป๋าสองข้างและมองไปตรงหน้านิ่ง จู่ๆ เกิดเสียง ‘ปัง–’ เมื่อพลุดอกไม้แตกออกมาเหนือทะเลที่มืดมิด ไร้การบอกกล่าวล่วงหน้าในเวลาดึกดื่นแบบนี้


ถังซ่งนิ่งอึ้ง


นี่เรื่องอะไร?


ตามด้วย…


พลุดอกไม้ระยิบระยับพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า จุดประกายแสงสว่างให้กับคืนรัตติกาล


ดวงตาเย่เซียวเริ่มล่องลอย


ข้างหูราวกับมีเสียงสดใสและซุกซนเมื่อสิบปีก่อนดังขึ้น


–“เย่เซียว คุณรีบมา!พลุดอกไม้ใกล้เริ่มแล้ว!”


–“ผมจะไปอาบน้ำ” เขาไม่รู้สึกสนใจ เทียบกับพลุดอกไม้แล้วความจริงเขาชอบนอนกอดเธอมากกว่า


–“คุณไม่ต้องอาบน้ำแล้ว จะไม่ทันดูแล้ว!” เธอดึงเขาไว้ไม่ปล่อยให้เขาไป


–“ดูทุกสัปดาห์ แล้วยังเหมือนกันทุกครั้ง คุณไม่เบื่อหรือไง?”


–“ไม่เคยได้ยินประโยคหนึ่งบอกหรือว่าอยู่ด้วยกันกับคนที่ตัวเองชอบ ทำอะไรก็สนุกไปหมดแหละ!” จู่ๆ เธอก็ถลึงตาจ้องเขา “เย่เซียว คุณเบื่อแล้วเหรอ?”


เมื่อนั้นเขาตอบกลับเธออย่างไรกันนะ?


เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้ตอบ แต่ในใจกลับบอกชัดเจนว่าเบื่อการดูพลุดอกไม้จริงๆ แต่ไม่มีวันที่เบื่อในการมองเธอ…


แต่ภายหลังถึงรู้ว่าระหว่างพวกเขา ที่แท้ไม่มี ‘ตลอดไป’…


เย่เซียวดูพลุดอกไม้ ถังซ่งมองเย่เซียวโดยมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก


เจ้าหมอนี่จุดพลุดอกไม้ให้ตัวเองดูตอนดึกดื่น? แล้วยังใช้สีหน้าโศกเศร้าปนหนักใจนั่นอีก นี่กำลังเล่นอะไรอยู่?


สิ่งที่เขาไม่รู้ว่าอีกห้องที่ห่างออกไปหลายกำแพง หญิงสาวที่นอนฟุบอยู่ริมหน้าต่างติดพื้นนิ่ง สีหน้าแตกสลายไม่ต่างจากเย่เซียว…


พลุดอกไม้บนทะเลจะเริ่มในเวลาหนึ่งทุ่มของทุกวันเสาร์


วันนี้กลับเป็นเวลาตีสี่ของวันพุธ…


ชัดเจนว่ามาจากการวางแผนที่เร่งด่วน


แต่ว่า…


พลุดอกไม้ของวันนี้แตกกระจายบนท้องฟ้า สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นเพียงสีขาวดำไร้สีสัน


ยิ่งคล้าย…


เป็นการไว้อาลัย แก่พวกเขาที่จะต้องจากกันไปชั่วนิรันตร์…


…………………………


วันรุ่งขึ้น


ไป๋ซู่เย่สวมแว่นกันแดดนั่งเก็บกระเป๋าเดินทางบนพื้น


ไป๋หลางมาเคาะประตู เห็นเธอสวมแว่นกัดแดดเลยทำหน้าไม่เข้าใจ “ใส่แว่นกันแดดแต่เช้าทำไม?”


 “ไม่สบายที่ตานิดหน่อย” เธออธิบายเงียบง่าย


ไป๋หลางมองดูเธอเก็บกระเป๋าเดินทาง ใช้สายตาประเมินเธออยู่ครู่ใหญ่ถึงถามประโยคหนึ่ง “คุณ…คงไม่ได้ร้องไห้จนตาแดงหรอกนะ?”


 “…” มือของไป๋ซู่เย่ที่กำลังเก็บกระเป๋ากระตุกสั่นทีหนึ่ง


 “คุณร้องไห้ทั้งคืน?”


 “ใช่สิ ฉันร้องไห้ทั้งคืน คนที่บอกฉันว่าเมื่อวานจะเอาอาหารเย็นมาให้แต่รอถึงเที่ยงคืนก็ไม่เห็นนาย นายว่าฉันควรร้องไห้ทั้งคืนไหมล่ะ?”


 “อา เมื่อคืนผมมาถึงโรงแรมก็หลับไปเลย แต่กลางดึกมีคนจุดพลุดอกไม้ด้วย ทำเอาผมตื่นเลย ดีที่พลุดอกไม้นั่นสวยดี รัฐมนตรี คุณเห็นไหม?”


 “…ไม่”


“งั้นก็น่าเสียดาย ได้ยินว่าพลุดอกไม้นั่นเป็นคำขอเร่งด่วนของคนอื่น ไม่แน่อาจจะใช้ขอแต่งงานก็ได้สินะ? แต่มาขอแต่งงานตอนตีสี่ก็ลำบากน่าดู ผมเดาว่าว่าที่เจ้าสาวก็ไม่น่าจะดีใจอะไรหรอกนะ?”


 “ไป๋หลาง ทำไมนายทั้งพูดมากทั้งสอดรู้ขนาดนี้?” ไป๋ซู่เย่หมดความอดทน


ไป๋หลางเห็นเธออารมณ์ไม่ดีจริงๆ ถึงได้เงียบเสียงไป ขณะนั้นเองกริ่งประตูดังขึ้นฉับพลัน ไป๋ซู่เย่มองไป๋หลางแวบหนึ่ง ไป๋หลางรีบเด้งตัวลุก “ผมไปเปิดประตูเอง”


ไม่นานไป๋หลางก็พาพนักงานเข้ามาข้างใน


 “มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”


“คุณไป๋ นี่เป็นตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ S ในอีกสักครู่ของคุณ ตอนนี้คุณน่าจะต้องออกเดินทางแล้ว ข้างล่างมีรถเตรียมไว้ให้คุณแล้ว”


ไป๋ซู่เย่รับตั๋วมาเปิดดูทีหนึ่ง


เขาต้องการให้เธอจากไปอย่างอดใจรอไม่ไหวจริงๆ สินะ…


จองเที่ยวบินแรกเสียด้วย


ไป๋หลางหยิบตั๋วเครื่องบินไปดูวูบหนึ่งแล้วมุ่นคิ้ว “ทำไมถึงไปล่ะ? ตั๋วเครื่องบินที่เราจองไว้ไม่ใช่เวลานี้นี่”


 “พวกนายไปร่วมงานหมั้นเถอะ ฉันกลับไปก่อน”


 “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ?”


 “ไม่มีอะไร แค่กระทรวงงานยุ่งเฉยๆ” เธอพยายามพูดให้ง่ายดายที่สุด


 “งั้นผมกลับไปพร้อมกับคุณ” ไป๋หลางกล่าว “ยังไงซะผมก็ตามคุณมา”


 “เงื่อนไขคือนายต้องมั่นใจก่อนว่ายังมีตั๋วเครื่องบินเที่ยวบินเดียวกันเหลืออยู่” ไป๋ซู่เย่เก็บตั๋วเครื่องบินใส่กระเป๋า ถือกระเป๋าเดินทางเดินออกไปจากห้อง ไป๋หลางกำลังโทรจองตั๋วเครื่องบินอยู่ทางนั้นแต่เป็นไปตามที่คิดเลยว่าเที่ยวบินแรกถูกจองเต็มหมดแล้ว


………………


ไป๋ซู่เย่นั่งอยู่บนรถที่เย่เซียวเตรียมไว้ให้มุ่งหน้าสู่สนามบินเพียงลำพัง


ภาพทิวทัศน์ของเมืองเยียวเลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ออกมาจากโรงแรมตามข้างถนนระยะหนึ่งที่ติดธงสีชมพูยาวและปลูกดอกไม้สดสีขาวตามทาง


วิทยุของเมืองเยียวกำลังรายงานเกี่ยวกับงานหมั้นที่ยิ่งใหญ่ของวันนี้ ไป๋ซู่เย่ตั้งใจฟังไปและน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ยังดีที่แว่นกันแดดช่วยบดบังดวงตาเปื้อนน้ำตาของเธอ


ระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงที่นั่งรถมาถึงสนามบิน


ข้างกายมีผู้คนขวักไขว่ไปมา มีเพียงเธอที่จัดการเช็คอินอย่างคล่องแคล่ว เข้าด่านตรวจสัมภาระก่อนจะเข้าไปนั่งรอในห้องพักผ่อนเพียงลำพัง


อาจเป็นเพราะเมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนเลยรู้สึกมึนหัวหน่อยๆ ขณะที่เธอกำลังเหม่อลอยโทรศัพท์ก็แผดเสียงในทันที


เธอสะดุ้งหลุดจากภวังค์


ล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ามา บนหน้าจอเป็นเบอร์เลขรวน


หัวใจสั่นไหว


จ้องหน้าจอนั่นนิ่งและเผลอกลั้นหายใจ


เขาหรือ?


แต่ตอนนี้เขาควร…เตรียมตัวเพื่อพิธีหมั้นของเขาต่อจากนี้ไม่ใช่หรือ?


……………………………


ตอนที่ 717 ชีวิตนี้ยาวไกล แต่กลับลืมคุณได้ยาก (5)

โดย

Ink Stone_Romance

แต่ตอนนี้เขาควร…เตรียมตัวเพื่อพิธีหมั้นของเขาต่อจากนี้ไม่ใช่หรือ?


ไป๋ซู่เย่มองเบอร์เลขรวนที่ฉายบนหน้าจอนิ่ง สูดหายใจเข้าลึกรอผ่านไปพักใหญ่ถึงยกขึ้นแนบหู


มีช่วงระยะหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กัน


เธอไม่ได้พูด


อีกฝ่ายก็เงียบสงัดมีเพียงเสียงหายใจที่หนักอึ้ง


การรักคนคนหนึ่งคงจะเป็นแบบนี้—เขาไม่จำเป็นต้องพูดประโยคไหน แค่จากเสียงหายใจนี้เธอก็สามารถตัดสินได้ว่าอีกฝ่ายก็คือเย่เซียว…


เธอกำโทรศัพท์คอยฟังเสียงหายใจของเขาอย่างหลงใหล รู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ บัดนี้ต่อให้แค่ฟังเสียงหายใจของเขาผ่านโทรศัพท์ก็กลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก


 “…ถึงสนามบินหรือยัง?” เงียบไปนาน นานเสียจนไป๋ซู่เย่คิดว่าระหว่างพวกเขาไม่น่าจะมีบทสนทนาเกิดขึ้นแล้วในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก เสียงเหนื่อยอ่อนติดแหบเล็กน้อย เรียกให้คนฟังรู้สึกปวดใจ


 “เพิ่งถึงแป๊บหนึ่ง…” เธอพยายามให้เสียงตัวเองคงที่ให้มากที่สุด อย่างน้อยก็เสียง…


สายตามองไกลไปยังลานลงจอดเครื่องบินนอกหน้าต่างบานใหญ่ ในวันฤดูหนาวที่แสนหนาวเหน็บ ภาพทุกอย่างที่เห็นกับตาช่างดูจืดชืด


ดั่งหัวใจของเธอในเวลานี้…


เย่เซียวไม่พูดอีก ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครู่ใหญ่


ไป๋ซู่เย่หายใจเข้าลึก เค้นเสียงออกมา “หัวใจของคุณ…ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”


 “อืม ไม่เป็นไร”


 “…”


 “…”


 “นายน้อย พิธีใกล้เริ่มแล้ว ท่านจะเปลี่ยนชุดก่อนหรือเปล่าครับ?” อีกทางเสียงนอบน้อมดังลอดมาจากโทรศัพท์


ไป๋ซู่เย่เจ็บใจจนชาวาบ เย่เซียวรับคำสั้นๆ ในลำคอโดยไม่แฝงด้วยอารมณ์ใด สักพักถึงยกโทรศัพท์แนบหูอีกครั้ง


แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากเธอก็ชิงพูดก่อน “งั้นคุณทำธุระต่อเถอะ ฉันก็ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว”


ไม่รอเย่เซียวได้พูดอะไรอีกเธอก็ชิงวางสายไปก่อน เธออยากให้ตัวเองเหมือนไม่เป็นไร แต่สุดท้ายเธอก็คาดหวังกับตัวเองสูงไปสักหน่อย เธอไม่สามารถทำเป็นใจเย็นไม่สนใจได้ขนาดนั้น เธอกลัวว่าถ้าวางสายช้ากว่านี้บางทีเธอจะเผลอพูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไป…


หลังไป๋ซู่เย่วางสายอย่างรีบร้อนเจ้าตัวแทบนั่งในสภาพตัวอ่อนปวกเปียกบนโซฟา หอบหายใจหนักๆ หลายครั้งถึงจะหายใจได้คล่องเสียหน่อย แต่ใบหน้ากลับขาวซีดปานกระดาษสีขาวอยู่นานโข


ขณะที่เธอยังตั้งสติไม่ได้กลับไม่ทันสังเกตว่าคนในห้องพักกำลังถูกเจ้าหน้าที่สนามบินกว้านออกไปเงียบๆ


เมื่อพนักงานวัยสาวคนหนึ่งเดินเข้าใกล้เธอ เธอถึงเปิดเปลือกตา น้ำใสที่เอ่อคลอถูกเธอกลั้นกลับสู่อย่างเดิมอย่างรวดเร็วที่สุด ถามเสียงเรียบ “มีอะไรเหรอ?”


 “คุณคือคุณไป๋เหรอคะ?”


 “ค่ะ” ได้ยินอีกฝ่ายบอกนามสกุลตนมา ไป๋ซู่เย่ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นและอดระแวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”


 “คุณไฟต้องการคุยกับคุณ”


ไป๋ซู่เย่เข้าใจทันที คิ้วสวยย่นเข้าหากัน “ไฟเรนเซ่?”


อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างไม่ปฏิเสธ จากนั้นกดเปิดหน้าจอโทรทัศน์ตรงข้ามไป๋ซู่เย่ตามที่ได้ฝึกฝนมาจนคล่องมือ ภายใต้สถานการณ์ที่เธอยังงุนงงอยู่นั้นอีกคนก็ได้หยิบรีโมทมาเชื่อมอินเตอร์เน็ตอย่างคล่องแคล่ว


หน้าจอมีแสงสีฟ้าขาวกะพริบหลายที ใบหน้าที่เธอไม่เคยเจอด้วยตัวเองแต่กลับคุ้นเคยอย่างมากปรากฏในจออย่างกะทันหัน


วันนี้ไฟเรนเซ่ดูอารมณ์ดีมากและมีชีวิตชีวา ผมสีเงินถูกปาดไปด้านหลังทำให้ดูสดชื่นแข็งแรง บนตัวสวมชุดทักซิโด้สีดำและผูกเนกไทบนคอ เจ้าตัวยังคงนั่งบนเก้าอี้เข็นดังเดิมโดยสองมือวางประสานไว้บนหัวมังกรที่มีไพลินสีมรกตประดับอยู่ของไม้เท้า ใบหน้าจุดยิ้มอย่างเป็นมิตรอยู่หน้าจอ


หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าไฟเรนเซ่เป็นคนอย่างไรไป๋ซู่เย่คงคิดแค่ว่าคนตรงหน้าเป็นสุภาพบุรุษสูงวัยแสนสง่าคนหนึ่ง


 “คุณไป๋ สวัสดี” ไฟเรนเซ่กลับทักทายเธอก่อน


ไป๋ซู่เย่เหยียดหลังตรงน้อยๆ ยิ้มตอบจางๆ “สวัสดีค่ะ”


ใจเธอกำลังชั่งใจถึงเหตุผลที่ไฟเรนเซ่ตามหาเธอในเวลานี้


 “ได้ยินว่าลูกชายผมส่งตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ S ให้คุณถึงโรงแรมตั้งแต่เช้า”


 “ว่ากันว่าคุณไฟล่วงรู้ทุกอย่าง ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรปิดบังคุณได้จริงๆ”


 “คุณไป๋เองก็เป็นคนฉลาด ลองมาเดาดูสิว่าวันนี้ผมมาหาคุณด้วยเรื่องอะไร” ไฟเรนเซ่ไม่ได้หุบยิ้มแต่กลับฉายแววเย็นชาและอันตรายเหมือนเดิม


หากบอกว่าเย่เซียวเป็นดั่งราชสีห์เสือดาวป่าของทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ถ้าอย่างนั้นไฟเรนเซ่คนตรงหน้าที่ผ่านสงครามมามากมายนี้ต้องเปรียบเป็นนายพรานผู้ที่อำพรางตัวได้ดีที่สุดของทุ่งหญ้านี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเข้ามาจู่โจมถึงแก่ชีวิตคุณเมื่อไร


ไป๋ซู่เย่ยกชาร้อนข้างๆ มาจิบเบาๆ อึกหนึ่งโดยสายตาจดจ่อกับชายสูงวัยบนหน้าจอนิ่งไร้ท่าทีหวาดกลัวสักนิด “คุณไฟชมฉันขนาดนี้ ให้บัตรเชิญฉัน คิดว่าคงอยากให้ฉันตัดขาดความสัมพันธ์กับเย่เซียวสินะคะ?”


 “คุณไป๋เป็นคนฉลาดจริงๆ ด้วย แต่ในเมื่อลูกชายผมไม่อยากให้คุณมาร่วมงานหมั้นของเขา งั้นผมก็จะไม่บังคับ แต่สิ่งที่ควรคุยก็ต้องคุยให้รู้เรื่อง” ไฟเรนเซ่กล่าวถึงตรงนี้พลางหันกลับไปมองชายวัยกลางคนที่ยืนตัวตรงข้างๆ แวบหนึ่ง พูดสั่ง “เฉิงหมิง พาเข้ามา”


ไป๋ซู่เย่นึกสงสัยในใจแต่แค่รออย่างมีความอดทน เธออยากรู้ว่าไฟเรนเซ่กำลังวางแผนจะทำอะไร


ไม่นานจากนั้นรอบข้างก็มีการเคลื่อนไหวเสียงดัง


เฉิงหมิงเข้ามาในภาพอีกครั้ง “คุณไฟ พาเข้ามาแล้ว”


 “อืม”


ไฟเรนเซ่พาใครเข้ามากันแน่?


ขณะที่ไป๋ซู่เย่กำลังฉงนกล้องหน้าจอถูกปรับมุมจากนั้นเธอก็เห็นข้างๆ ไฟเรนเซ่มีคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่


เป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูโทรมคนหนึ่ง


มีผ้ามัดปากอย่างแรงให้พูดอะไรไม่ออก สองมือของเธอถูกมัดไขว้หลัง ผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงและแทบปิดไปครึ่งใบหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาน่าสงสารที่น้ำตาคลอหน่วย


ไป๋ซู่เย่รู้สึกเพียงว่าดวงตาคู่นี้ดูคุ้นๆ ตา แต่ก็นึกไม่ออกในทันทีว่าเคยเจอที่ไหน


 “คุณไฟ ให้อภัยกับความโง่ของฉันด้วย แต่ดูไม่ออกจริงๆ ว่าคุณหมายความว่ายังไง” ไป๋ซู่เย่กล่าวอย่างไม่รีบร้อนและใจเย็นไม่เปลี่ยน


ไฟเรนเซ่ยื่นมือไปข้างๆ พร้อมกับปืนหนึ่งกระบอกในมือเขา


ผู้หญิงที่แต่เดิมคุกเข่าอยู่จู่ๆ ก็ดิ้นรนอย่างแรง ปากส่งเสียงอื้ออึง ดวงตาที่น้ำตาคลอเบ้าฉายแววตระหนกปนตกใจ


ไป๋ซู่เย่ขมวดคิ้วแน่น เห็นเพียงไฟเรนเซ่เหนี่ยวไกเล็งปลายกระบอกปืนไปตรงหัวของผู้หญิง ปลายกระบอกปืนเสยผมของหญิงวัยกลางคนขึ้นช้าๆ


ทีนี้ก็ได้เห็นใบหน้านี้ชัดเจนเสียที


ไป๋ซู่เย่ลุกพรวดจากเก้าอี้ ตะคอกใส่ “หยุดนะ!คุณจะยิงไม่ได้!”


………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม