เล่ห์รักกลกาล 71-100

 ตอนที่ 71

 

ฮองเฮาตรัสเช่นนี้ ยามนี้ซือถูจ้าวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ


 


 


เขาหน้าขรึมมองฮองเฮา ”หวังว่าท่านจะจดจำคำพูดของตัวเองในวันนี้ พวกเราเป็นพี่น้อง ข้าก็ไม่หวังจะผิดใจกันเพราะเรื่องแบบนี้”


 


 


ฮองเฮาฟังแล้ว ก็เตือนซือถูจ้าวบ้าง “หวังว่าท่านพี่จะเข้าใจชัดเจน หากท่านสนับสนุนองค์ชายรองหรือองค์ชายสาม สุดท้ายแล้วสิ่งที่ท่านจะได้รับก็ไม่มากเท่าสนับสนุนเสียงเอ๋อ อย่างไรเสียท่านลุงกับคนนอกก็ไม่เหมือนกัน”


 


 


ซือถูจ้าวพยักหน้า แค่นเสียงตอบ “ข้าเข้าใจชัดเจน ไม่ต้องให้ท่านเอ่ยมากความ ข้าขอตัวก่อนแล้ว”


 


 


 “เชิญท่านพี่” ฮองเฮาพยักหน้าเกรงใจ


 


 


หลังจากซือถูจ้าวออกจากประตูไป ฮองเฮาสีหน้าเปลี่ยนทันที แผดเสียงสูง “ใครก็ได้”


 


 


สิ้นเสียงนาง นางกำนัลเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก้มหน้าค้อมเอวกล่าว “ฮองเฮา”


 


 


ฮองเฮาพระพักตร์เขียวคล้ำ มองนางกำนัล “ไปตรวจสอบให้ข้า สืบว่านางสารเลวนั่นคือใคร มาจากไหน มีฐานะอะไร ไฉนถึงปรากฎตัวข้างกายองค์ชายสี่ นางมีเป้าหมายอะไร ตรวจสอบมาให้ชัดเจนทั้งหมด ข้าอยากรู้นักว่าเป็นแมงเม่าจากไหนกัน ถึงทำลายแผนการใหญ่ของข้า”


 


 


นางกำนัลไม่เคยเห็นฮองเฮาพิโรธเช่นนี้มาก่อน ยามนี้ยิ่งแตกตื่นตกใจ รีบรับคำสั่ง “เพคะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”


 


 


นางกำนัลเอ่ยจบ ก็รีบออกไปทันที


 


 


มือของฮองเฮากำหมัดแน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “นางสารเลวที่ทำลายเรื่องของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยนางไปแน่”


 


 


   ……


 


 


 “พี่ชาย พวกเขายังไล่ตามมาอีกหรือเปล่า” ซือถูเฉียงมองไปด้านหลังด้วยความหวาดกลัว


 


 


ซือถูเฟิงแบกนางหนีเอาชีวิดรอด


 


 


หน้าผากของผู้เป็นพี่มีเหงื่อซึม เสียงต่ำเอ่ยว่า “คำสั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเขาไม่กล้าไม่ตาม แค้นก็แต่ตอนนั้นข้าไม่ฆ่าสตรีนางนั้นทิ้งเสีย ช่าง…”


 


 


ซือถูเฟิงเอ่ยถึงบัดนี้ ก็กัดฟันกรอด


 


 


นี่กลับดึงความสงสัยของซือถูเฉียงขึ้นมา ซือถูเฉียงมองเขาด้วยความแปลกใจ “ท่านไม่อาจฆ่าสตรีนางนั้น? ตอนนั้นท่านมีโอกาสฆ่านาง?”


 


 


ซือถูเฟิงสูดลมหายใจลึก คิดถึงความอัปยศที่ข้างริมแม่น้ำในวันนั้น กัดฟันเอ่ยว่า “ข้างกายนางมียอดฝีมือ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา เพียงแต่วรยุทธ์ของเด็กหนุ่มนั่น รวดเร็วมากจนน่าแปลกใจ วรยุทธ์สายนี้ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเขาคือนักฆ่า”


 


 


เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา พลันฉุกคิดได้


 


 


เขาอึ้งไปชั่วขณะ ย่นคิ้วเอ่ย “หรือว่าเป็นนักฆ่าจริง? อายุของเขา และวรยุทธ์…”


 


 


ซือถูเฟิงคิดถึงตอนนี้ สีหน้าซีดไปหลายส่วน วรยุทธ์ของตัวเองเขามีความมั่นใจมาก ต่อให้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพ คิดเอาชนะเขาง่ายๆ ก็ไม่มีทาง เช่นนั้นก็มีแต่…


 


 


ถึงซือถูเฉียงเอาแต่ใจ แต่ก็หาใช่คุณหนูอยู่แต่ในห้องหอไม่รู้เรื่องรู้ราว ใบหน้านางซีดขาวลงชั่วขณะ “ท่านบอกว่าบุรุษหนุ่ม? วรยุทธ์สูงกว่าท่าน ไม่แน่อาจเป็น…จิ่วหุน?”


 


 


 “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเป็นเขา ไม่เช่นนั้นการลงมือรวดเร็วขนาดนั้น ยากอธิบายได้” ซือถูเฟิงเอ่ยปาก


 


 


ซือถูเฉียงฟังแล้ว แววตาทอประกายเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย


 


 


นางก้มหน้า ขบริมฝีปาก กดเสียงต่ำลง “พี่ชาย ข้ารู้แล้วว่าจะต่อกรกับนางสารเลวนั่นอย่างไร”


 


 


 “อ้อ?” ซือถูเฟิงกลับชะงักไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจว่าคำพูดเขาจุดประกายอะไรให้นาง ทำให้นางหาหนทางต่อกรกับเยี่ยเม่ย


 


 


ซือถูเฉียงเสนอว่า “ท่านคิดดูนะพี่ชาย หากคนผู้นั้นคือจิ่วหุนจริงๆ…จิ่วหุนคือใคร? เขาคือนักฆ่า ทั้งยังเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งในยุทธภพ เขาฆ่าคนไปเท่าไหร่ มีศัตรูคู่แค้นกี่คน หากทำให้คนเหล่านั้นรู้ว่าข้างกายของนางคือจิ่วหุน ท่านว่าทุกคนจะทำอย่างไร”


 


 


นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ ซือถูเฟิงพลันรู้สึกหูตาสว่างขึ้น


 


 


เขารีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่แค่ศัตรูคู่แค้นไล่ตาม ฝ่ายธรรมะในยุทธภพก็ไม่มีทางปล่อยเขาไว้ เมื่อวานข้าได้รับข่าว ยามนี้เขาอยู่ที่ชายแดน…หากเรื่องนี้ป่าวประกาศออกไป ฐานะของนางสารเลวนั่น ต้องอึดอัดเป็นอย่างมาก จะตัดสินใจอย่างไรก็ลำบาก”


 


 


มุมปากซือถูเฉียงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้าย “เช่นนั้นนางก็ต้องสังหารจิ่วหุนเพื่อชื่อเสียงของตนเอง แสดงว่าตนหาได้รับคนชั่วไว้เป็นพรรคพวก ถึงอยู่ในค่ายทหารต่อไปได้ ถึงมีอนาคตร่วมกับพี่เยี่ยน หากไม่เช่นนั้น…”


 


 


 “อย่างนั้นต้องตกตายไปตามจิ่วหุน ถูกฝ่ายธรรมะรวมถึงราชสำนักไล่สังหาร” ซือถูเฟิงรับคำต่ออย่างรวดเร็ว


 


 


ไม่ช้าไม่ต้องรอให้ซือถูเฉียงเอ่ยอะไรอีก สายตาซือถูเฟิงพลันปรากฎแววหนักแน่นและอำมหิต “ถึงล่วงเกินจิ่วหุน มีอันตราย ทำให้อีกฝ่ายแก้แค้น แต่เรื่องมาถึงจุดนี้ ก็ไม่อาจใคร่ครวญมากความแล้ว เจ้าเป็นน้องสาวคนเดียวของข้า โทสะนี้ข้าต้องช่วยเจ้าระบายออกไปให้ได้”


 


 


ซือถูเฉียงรีบพยักหน้า “ขอบคุณพี่ชาย”


 


 


สิ้นเสียงพวกเขา ทหารกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกทหารไล่ตามมาอีกแล้ว


 


 


ซือถูเฟิงตื่นตัว เตือนว่า “จับแน่นๆ”


 


 


ซือถูเฉียงรีบกอดคอพี่ชายแน่น ซือถูเฟิงแบกนางโจนทะยานหนีจากไป…


 


 


   ……


 


 


วันรุ่งขึ้น


 


 


เช้าตรู่วันถัดมา เยี่ยเม่ยล้างหน้าแต่งตัวเรียบร้อย ออกจากห้อง


 


 


หลูเซียงฮั่วพาคนและเสบียงมารอหน้าประตู


 


 


ที่น่าแปลกคือซือหม่าหรุ่ยกับสตรีแปลกหน้านางหนึ่งมาอยู่ด้วย


 


 


เยี่ยเม่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากตัวนางออกจากประดู สายตาของสตรีนางนั้นก็เริ่มมองนาง สำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ความร้อนแรงในสายตานั้นทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกไม่กระสับกระส่าย


 


 


นางอดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นใคร มีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนได้สติขึ้นมาจากประเมินท่าทางของเยี่ยเม่ย คลี่ยิ้ม รีบถอนสายตาร้อนแรงของตนกลับมา เอ่ยปาก “ไม่ ไม่มีอะไร เพียงได้ยินว่าวันนี้เจ้าจะไปตกลงเงื่อนไขกับต้ามั่ว ข้าค่อนข้างสนใจ จึงอยากไปเปิดหูเปิดตากับเจ้าด้วย”


 


 


เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบก้าวออกมาอธิบาย “แม่นางเยี่ยเม่ย สหายของข้าคนนี้เป็นยอดฝีมือในยุทธจักร หากนางไปด้วยบางทีอาจช่วยแม่นางได้ ซือหม่าหรุ่ยรับรองว่า นางไม่ก่อเรื่องอะไรขึ้นแน่ ทั้งไม่สร้างความยุ่งยากให้แม่นางเยี่ยเม่ย”


 


 


ใบหน้าหน้าของแม่ทัพหลูแสดงความไม่เห็นด้วย “แม่นางเยี่ยเม่ย การทหารเป็นเรื่องใหญ่ ข้าเห็นว่าไม่ควรให้คนในยุทธภพเข้ามาเกี่ยวข้อง”


 


 


เยี่ยเม่ยเข้าใจความกังวลของเขา นางมองซินเยว่เยี่ยน เอ่ยปากเสียงเย็นว่า “แม่นางท่านนี้ เจ้าลองเดินให้ข้าดูสักก้าวสองก้าวจะถือสาหรือไม่”


 


 


 “เอ๋?” ซินเยว่เยี่ยนงงงุน


 


 


แต่ก็เชื่อฟังเยี่ยเม่ย เดินหลายก้าวอย่างเป็นธรรมชาติ


 


 


ไม่ช้าเยี่ยเม่ยก็ถอนสายตากลับ มองซือหม่าหรุ่ย น้ำเสียงยังเย็นชาดั่งเดิม “ได้ ข้าพานางไปด้วย”


 


 


แม่ทัพหลูรีบแสดงความไม่เห็นด้วยกับเยี่ยเม่ยทันที ขมวดคิ้วเอ่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย นี่…”


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ฟังเขาพูดจบ ก็กอดอกเดินจากไป


 


 


นางไม่ห้ามซินเยว่เยี่ยน ตอบแม่ทัพหลูกลับด้วยเสียงเย็นชา “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร เมื่อครู่นางเดินให้ข้าดูแล้ว จากท่วงท่าและลักษณะ ข้าประเมินแล้วว่า ความสามารถของนางไม่เลว แต่อยู่ในขอบเขตที่ข้าควบคุมได้ ดังนั้นต่อให้นางคิดไม่ซื่อ ก่อเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าก็สามารถควบคุมนางได้ทันที ไม่ต้องกังวล”


 


 


คำพูดนี้เป็นการอธิบายอย่างชัดเจนถึงเหตุผลที่พาคนไป


 


 


ทั้งนับเป็นการเตือนซินเยว่เยี่ยน บอกอีกฝ่ายว่าตนรู้ตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย ทั้งยังมีความมั่นใจว่าเอาชนะได้ ขอให้อีกฝ่ายระวังการกระทำให้ดี


 


 


นี่กลับทำให้ซินเยว่เยี่ยนหัวเราะเสียงเย็น สายตาส่อแววไม่ยินยอม ทั้งยังเจือแววชื่นชม


 


 


ช่างเป็นสตรีทีคลุ้มคลั่งนัก นิสัยนี้เข้ากับอู๋เหินได้พอดี เพียงแต่ความสามารถมีเท่าไหร่กันเชียว?

 

 

 


ตอนที่ 72

 

หลูเซียงฮั่วเห็นเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ ก็ไม่กังวลใจอีก


 


 


คนทั้งกลุ่มออกเดินทางอย่างรวดเร็ว


 


 


   ……


 


 


บนกำแพงเมือง เซี่ยโหวเฉินมองส่งพวกเขาจากไปไกล


 


 


ด้านหลังเข้ามีองครักษ์นายหนึ่ง “ท่านอ๋อง แผนการขององค์ชายใหญ่ครั้งนี้ โอกาสสำเร็จมีกี่ส่วน”


 


 


 “สามส่วน”เซี่ยโหวเฉินตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว


 


 


องครักษ์นายนั้นตะลึง มองใบหน้าด้านข้างของเซี่ยโหวเฉินด้วยความแปลกใจ “แค่สามส่วนเท่านั้น ท่านยังให้องค์ชายใหญ่ทำ?”


 


 


สายตาเซี่ยโหวเฉินยากคาดเดา มองแผ่นหลังเยี่ยเม่ย เสียงขรึมเอ่ย “ข้าให้เป่ยเฉินเสียงลงมือ เป้าหมายเดิมก็แค่อยากรู้ความตื้นลึกหนาบางของสตรีนางนี้ วันนี้นางเป็นพวกเดียวกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่รู้เพราะอะไร ข้ามักรู้สึกว่า เทียบกับเป่ยเฉินอี้แล้ว การดำรงอยู่ของนางยังอันตรายกับข้ามากกว่า”


 


 


 “อี้อ๋อง?” องครักษ์มองเซี่ยโหวเฉินด้วยความแปลกใจ “ถึงเขาจะเหนือกว่าท่าน ได้รับขนานนามว่าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งของแผ่นดิน ตั้งแต่จงเจิ้งซีตายจากไป ก็ล้มไม่เป็นท่า ไฉนท่านถึงรับรู้ถึงความคุกคามของเขาอีก”


 


 


ท่านอ๋องเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งราชสำนักเป่ยเฉิน ส่วนอี้อ๋องเป่ยเฉินอี้ได้รับการยกย่องให้เป็นปราญช์อันดับหนึ่งของแผ่นดินมานานแล้ว


 


 


แต่คนผู้นั้น…


 


 


กลายเป็นคนพิการไปนานแล้วมิใช่หรือ


 


 


เซี่ยโหวเฉินชะงักไปชั่วครู่ พลันแค่นเสียงออกมา “สัญชาตญาณ”


 


 


เพราะเขาเห็นความไม่ยินยอมและความเจ็บแค้นในสายตาของเป่ยเฉินอี้ สัญชาตญาณบอกเขาว่า เป่ยเฉินอี้เป็นคนที่อยากเป็นฮ่องเต้มากที่สุดในบรรดาทุกคน


 


 


องครักษ์ได้ยินเขา เลิกถกเรื่องเป่ยเฉินอี้ กลับถามว่า “แต่แม่นางผู้นี้ หาใช่คนของตระกูลอ๋อง ไม่เป็นแม้แต่ชนชั้นสูง ท่านจะใส่ใจทำไม”


 


 


 “บางทีนางอาจช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแย่งชิงบัลลังก์” สีหน้าเซี่ยโหวเฉิน พลันหนักอึ้งลง “นี่ถึงเป็นเรื่องที่ข้ากังวลใจ”


 


 


สตรีนางนี้ปรากฎตัวไม่กี่วัน ก็ล่วงเกินคนไปไม่น้อย คนของเป่ยเฉินกับต้ามั่วต่างถูกนางล่วงเกินไปทั่ว


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้ความสำคัญและใส่ใจนางเช่นนี้ ยากรับประกันว่าเขาจะไม่ชิงอำนาจเพื่อปกป้องนาง


 


 


คิดถึงตรงนี้ เซี่ยโหวเฉินยื่นมือออกไป นวดเรียวคิ้วที่ปวดตุบ “ข้าพบว่าไม่มีเรื่องเป็นไปดั่งใจเลยสักเรื่อง เป่ยเฉินเสียงไม่รู้จักเก็บอารมณ์ ยังมีเป่ยเฉินอี้คอยดูอยู่ข้างๆ ตอนนี้ยังมีสตรีผู้นี้โผล่ออกมา…”


 


 


องครักษ์กดเสียงต่ำ “แต่อย่างนี้องค์ชายใหญ่ยังเชื่อใจท่าน เขาเป็นคนออกหน้าที่ไม่เลว ช่วยพวกเราป้องกันอันตรายได้มาก”


 


 


อย่างเช่นเรื่องลงมือกับข้าวสาร ก็เป็นสิ่งที่องค์ชายใหญ่กระทำ ต่อให้เกิดเรื่อง ความรับผิดชอบก็เป็นขององค์ชายใหญ่


 


 


เซี่ยโหวเฉินแค่นเสียงเบาๆ “เรื่องราวหาได้ง่ายดายเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียงไม่รู้ว่าข้าหลอกใช้เขา แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอาจรู้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่แน่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะปล่อยข้า เจ้ากลับไปเก็บของซะ หากสถานการณ์ไม่ดี พวกเราก็จากไป”


 


 


องครักษ์ฟังแล้วรีบพยักหน้า “ขอรับ”


 


 


ในช่วงเวลาสำคัญ ยังใช้สามสิบหกกลยุทธ์ หนีก่อนเป็นต่อ


 


 


   ……


 


 


เนินเขาดินแดนต้ามั่ว


 


 


เซียวชินพาคนมารออยู่ก่อนแล้ว


 


 


ใบหน้าของเซียวชินสวมหน้ากาก สายตาคมกริบราวมีด ไม่ไกลออกไป คือลู่หวานหว่านที่ถูกคุมตัว


 


 


ดวงตาของนางคลอน้ำตา มองเซียวชิน ถามเสียงอ่อนโยน “จั่วอี้อ๋อง ท่านมั่นใจว่าหวานหว่านจะปลอดภัยไร้เรื่องราวหรือไม่”


 


 


ขณะที่เอ่ย นางจงใจโน้มกาย เผยหน้าอกของตนให้เซียวชิน ใช้ความงามเข้าหลอกล่อเพื่อให้เซียวชินสงสารและเห็นความสำคัญของนาง


 


 


ช่วงที่เซียวชินหันหน้ากลับ ก็เห็นการกระทำเย้ายวนของนาง


 


 


เขาขมวดคิ้วแน่น ขณะนั้นเข้าใจว่าสตรีนางนี้ต้องการยั่วยวนเขา น้ำเสียงเขาเย็นเยียบ “แต่งตัวให้ดี ลูกไม้ต่ำทราม ไม่เหมาะมาแสดงกับข้า”


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เหล่าทหารด้านข้างพลันหัวเราะเป็นเสียงเดียว


 


 


ความจริงคนทั้งหมดเห็นกิริยาพราวเสน่ห์เมื่อครู่ ในใจไม่ใช่ไม่หวั่นไหว สมองยังคิดว่าจั่วอี้อ๋องช่างมีวาสนานัก เช้าตรู่ก็ได้เห็นภาพสวยงามแบบนี้ อย่างไรเสียร่างกายของลู่หวานหว่านก็ไม่เลวร้ายจริงๆ


 


 


ทว่าคิดไม่ถึง…


 


 


จั่วอี้อ๋องตรงไปตรงมาถึงขั้นนี้


 


 


สีหน้าลู่หวานหว่านบัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวเขียว คำพูดเดิมของเซียวชินก็มากพอให้ทำให้นางละอายเสียหน้า คิดไม่ถึงว่าพวกทหารทั้งหมดยังหัวเราะออกมา


 


 


มือของนางกำแน่น แต่ยังปิดบังความแค้นเคืองในสายตาไว้ นางจนปัญญาเอ่ยวาจาต่อไปอีก


 


 


นางแอบสาบานอยู่ในใจ หากตนเองผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ ภายหน้าอยู่เคียงข้างราชาต้ามั่ว นางไม่มีทางปล่อยเซียวชินไปแน่ มีสักวันที่เขาต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง


 


 


ในขณะที่นางกำลังใช้ความคิด เยี่ยเม่ยพาคนมาถึงแล้ว


 


 


เซียวชินลุกขึ้น มองเยี่ยเม่ยที่อยู่ไม่ไกลออกไป


 


 


เยี่ยเม่ยสองมือกอดอก เดินสีหน้าเย็นชาเข้ามา ดวงเนตรกวาดมองไปที่เซียวชิน บุรุษท่วงท่าสูงสง่า มีอำนาจกดดัน ใบหน้าสวมหน้ากาก ทำให้คนไม่อาจเห็นรูปโฉมที่แท้จริง


 


 


แต่แค่มองแวบเดียว นางก็สรุปได้ว่า คนผู้นี้หาใช่คนที่รับมือได้ง่าย มีความสามารถมากกว่าโย่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วที่นางเคยพบมากนัก


 


 


คนของทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน เซียวชินอยู่ห่างจากเยี่ยเม่ยไม่เกินสามเมตร


 


 


 “ในที่สุดก็มาแล้ว” แม่ทัพนายหนึ่งของต้ามั่วเอ่ย ยามนี้ชักดาบเหล็กออกมากำแน่น ท่าทางดุร้ายชี้เยี่ยเม่ย 


 


 


เขาเพิ่งแสดงท่าทางดุร้ายข่มขวัญ จิ่วหุนขยับร่าง พริบตาก็ปรากฎเบื้องหน้าเขา


 


 


สายลมในที่นั้นพัดเส้นผมดำของจิ่วหุนไสว แผ่นหลังของบุรุษหนุ่มน่ามองเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เยี่ยเม่ยมองไปก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย


 


 


ภายใต้แผ่นหลังนี้ ไอสังหารของจิ่วหุนกลับแผ่พุ่ง เอ่ยเสียงต่ำกับแม่ทัพผู้นั้น “เจ้าชักดาบต่อหน้านาง เป็นกระทำที่โง่เขลานัก ข้าขอให้เจ้าเก็บมัน”


 


 


เวลานี้แม่ทัพผู้นั้นนิ่งอึ้ง ยังมองไม่ชัดว่าอีกฝ่ายมาปรากฎตัวตรงหน้าเขาได้อย่างไร ไอสังหารก็พุ่งปะทะใบหน้าแล้ว


 


 


เซียวชินก็มองแม่ทัพผู้นั้น “เก็บดาบก่อน”


 


 


 “ขอรับ” แม่ทัพตัดสินใจเด็ดขาด รีบเก็บดาบลงทันที เข้าใจว่าหากตนยังชักช้าอีกก้าวเดียว ศีรษะของเขาอาจถูกบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าบั่นลงมาได้


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตาให้จิ่วหุน หัวเราะออกมา เสียงเย็นชาเอ่ยว่า “เจ้าหนูจิ่ว พวกเราอย่าทำให้พวกเขาตกใจ เจ้ากลับมาก่อน”


 


 


เจ้าหนูจิ่ว?


 


 


คำเรียกขานเช่นนี้ ใบหน้าของจิ่วหุนแดงเรื่อ ทว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ร่างเขาไหววูบทีหนึ่ง มายืนอยู่ด้านหลังเยี่ยเม่ย สายตากลับมีแววตักเตือนมองไปที่คนทั้งหมด สีหน้าแสดงออกว่า ‘ใครกล้าชักดาบต่อหน้าเยี่ยเม่ย คนผู้นั้นสมควรตาย’          


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกลับมองจิ่วหุนทีหนึ่ง อดมองเยี่ยเม่ยอีกทีหนึ่งไม่ได้ ยอดฝีมือเช่นนี้ยินยอมรับใช้เยี่ยเม่ย เกรงว่าสตรีนางนี้คงไม่ธรรมดาจริงๆ 


 


 


เซียวชินมองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง จากนั้นก็มองรถเสบียงหลายคันด้านหลังนาง เห็นได้ชัดว่าบรรจุเสบียงอาหารทั้งหมด รวมไปถึงทหารกล้ารอบข้างพวกเขา


 


 


เซียวชินหันกลับมองลู่หวานหว่านทีหนึ่ง เอ่ยกับเยี่ยเม่ยอย่างเย็นชาว่า “นี่คือคนที่เจ้าต้องการ พวกเราทำการแลกเปลี่ยนกันตอนนี้เลยหรือไม่”


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ย่อมต้องแลกเปลี่ยนกันตอนนี้ ทำไมกัน หรือเจ้าทำใจยกนางให้ข้าไม่ได้ หรือเห็นรูปโฉมของข้าแล้ว คิดอยากสนทนาด้วยอีกสักหลายประโยค”


 


 


ยามที่ลู่หวานหว่านเห็นเยี่ยเม่ยก็เกิดโทสะ ตอนนี้ส่งเสียงก่นด่าเยี่ยเม่ย “เจ้ามันนางสารเลว ข้าล่วงเกินเจ้าเมื่อไหร่กัน เจ้าต้องไม่ได้ตายดี…”

 

 

 


ตอนที่ 73

 

ยังไม่ทันสิ้นเสียงนาง มีดของจิ่วหุนถูกล้วงออกมา 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังเสียงการเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว หันกลับไปส่งสายตาให้จิ่วหุน กล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ให้นางด่าไป คนปกติที่ไม่มีความสามารถต่อกรกับผู้อื่น ถึงเลือกเพียงวิธีการด่าว่าเท่านั้น ส่วนพวกเขาไม่เข้าใจว่า ในสายตาคนมีความสามารถแท้จริง คำพูดเป็นสิ่งที่ไร้ค่ามากที่สุด” 


 


 


เยี่ยเม่ยพบว่านับตั้งแต่รู้จักเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เหมือนนางจะเรียนเหตุผลบิดเบี้ยวของอีกฝ่ายมาไม่น้อย  


 


 


คราวนี้เซียวชินและซินเยว่เยี่ยนอดไม่ไหวมองเยี่ยเม่ย  


 


 


คำพูดนี้ฟังไปแล้วคล้ายมีที่ไหนไม่ถูกต้อง ทว่าไม่รู้ว่าผิดตรงไหน อย่างไรลู่หวานหว่านที่ด่าว่าเยี่ยเม่ยในเวลานี้ก็ไม่มีปัญญาทำร้ายเยี่ยเม่ยได้จริงๆ 


 


 


ยามนี้สีหน้าลู่หวานหว่านเขียวคล้ำ จ้องเยี่ยเม่ยเขม็ง “นางสารเลว ข้าขอบอกเจ้าไว้ ต่อให้เป็นผีข้าก็ไม่ปล่อยเจ้า” 


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยฟังแล้ว เพียงแค่ทวีความเย็นชา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าก็คงมีความสามารถแค่เป็นผีมาหลอกข้า อย่างไรเสียยามเจ้าเป็นคนก็ไม่มีความสามารถนี้แล้ว อีกอย่างเจ้ากำลังจะถูกข้าทรมานในไม่ช้า” 


 


 


สีหน้าลู่หวานหว่านพลันสับสนอลม่าน ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


คนทั้งหมดมองเยี่ยเม่ยด้วยสายตาเลื่อมใส สตรีนางนี้ช่าง…วาจาไม่หยาบคายสักคำเดียว สีหน้าก็ไม่แสดงความเหยียดหยาม ก็ทำให้คนโมโหถึงขั้นนี้ นี่ก็.. นี่ก็นับเป็นความสามารถเช่นกัน 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่มองลู่หวานหว่านอีก มองเซียวชินตรงๆ “ว่ามา ท่านจะแลกเปลี่ยนอย่างไร” 


 


 


เซียวชินมองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง จากนั้นใช้สายตาตักเตือนลู่หวานหว่านอีกครั้ง เอ่ยปาก “เจ้าขนเสบียงมาทางนี้ ข้าให้คนนำตัวนางส่งไป ลงมือพร้อมกัน” 


 


 


 “ได้” เยี่ยเม่ยพยักหน้า 


 


 


จากนั้นนางหันกลับมองหลูเซียงฮั่ว พยักหน้าให้เขา 


 


 


หลูเซียงฮั่วสีหน้าไม่ยินดี ไม่พอใจ ขนข้าวสารด้วยความไม่ยินยอมไปยังเส้นทางใหญ่ 


 


 


เซียวชินกวาดตามองแม่ทัพที่ติดตามหลังตนทีหนึ่ง แม่ทัพรีบก้าวออกมา กุมตัวลู่หวานหว่านเดินไปทางเยี่ยเม่ย  


 


 


บรรยากาศทั้งสองฝ่ายตึงเครียด 


 


 


กระทั่งเสบียงอยู่ต่อหน้าเซียวชิน แม่ทัพก็แทบส่งลู่หวานหว่านไปถึงหน้าเยี่ยเม่ยแล้ว จู่ๆ แม่ทัพผู้นั้นพลันเปลี่ยนสีหน้า จับลู่หวานหว่านวิ่งกลับหลัง เซียวชินก็แทบลงมือในเวลาเดียวกัน แส้ในมือสะบัดใส่แม่ทัพผู้นั้นกับลู่หวานหว่าน  


 


 


แส้ม้าตวัดเข้าเอวลู่หวานหว่านกับแม่ทัพ ดึงพวกเขากลับมา  


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเห็นเป็นเช่นนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไปก็ล้วงผ้าแพรยาวออกจากแขนเสื้อ คิดแย่งคนกลับไป ทว่าในเสี้ยวเวลาชั่ววูบนั้น ก็รู้สึกว่าเยี่ยเม่ยจับข้อมือนางอย่างไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง 


 


 


ความเร็วของเยี่ยเม่ยเร็วถึงกระทั่งศัตรูไม่พบเห็น หลังจากหยุดยั้งการกระทำของซินเยว่เยี่ยน ก็รีบชักมือกลับ นี่ทำให้ซินเยว่เยี่ยนตะลึงค้างไป  


 


 


วรยุทธ์ของนาง อยู่ในยุทธภพไม่นับว่าเป็นที่หนึ่งที่สอง แต่ก็เป็นยอดฝีมือ ทว่าสตรีนางถึงกับว่องไวปานนี้… 


 


 


เมื่อสะกดความแตกตื่นในใจ ก็มองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง ยิ่งทวีความแปลกใจ เยี่ยเม่ยคิดเล่นลูกไม้อะไร ถึงไม่ยอมให้ตนเองช่วย 


 


 


เยี่ยเม่ยรีบแสดงสีหน้าเดือดดาลเป็นการใหญ่ คล้ายกับถูกเซียวชินทำให้โมโห นางชี้เซียวชิน “เจ้า…เจ้าถึงกับกลับคำ….” 


 


 


พวกหลูเซียงฮั่วก็หน้าตาเดือดดาล 


 


 


ในเวลานี้เอง เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้น ทหารต้ามั่วหลายพันโอบมาด้วยความรวดเร็ว ล้อมพวกเยี่ยเม่ยเอาไว้ 


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นสถานการณ์ อารมณ์เดือดดาลพลันสงบลง มองเซียวชิน เอ่ยเสียงเย็นชา “นี่คือแผนของเจ้า?” 


 


 


ใบหน้านอกเหนือหน้ากากของเขา มีแววเย็นชา “การศึกไม่หน่ายกลวิธี หากมิใช่แผนการของพวกเราสำเร็จบางทีผู้ที่ดำเนินแผนการสำเร็จก็คือพวกเจ้า” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองจำนวนทหารที่ล้อมไว้คราหนึ่ง สูดลมหายใจ จ้องเซียวชิน “เจ้าคาดว่าอาศัยคนเหล่านี้ ก็สังหารพวกข้าได้หรือ” 


 


 


 “ไม่อย่างนั้นเล่า” แม่ทัพด้านหลังเซียวชินตอบอย่างได้ใจ 


 


 


จิ่วหุนชักกระบี่ยาวข้างเอวออกมาอย่างเงียบเชียบ มองเซียวชิน กดเสียงต่ำว่า “ฆ่าคนหรือถูกฆ่า บางทีพวกเจ้าต้องถามกระบี่ข้าก่อน”  


 


 


เซียวชินมองจิ่วหุนทีหนึ่ง จากนั้นมองเยี่ยเม่ย ถึงกระทั่งซินเยว่เยี่ยนที่อยู่ด้านหลังเยี่ยเม่ย หันหน้ากลับมาใช้สายตาตักเตือนไม่ให้แม่ทัพด้านหลังตนปากมากอีก 


 


 


ทันใดนั้นเขามองเยี่ยเม่ย เอ่ยตรงไปตรงมา “เจ้าเป็นยอดฝีมือ ข้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเจ้า ข้างกายเจ้ายังมียอดฝีมืออีกสองคน หากต่อสู้กันจริงๆ ใครก็ไม่ได้เปรียบ ข้าไม่มีเจตนาประมือกับพวกเจ้า ไม่สู้พวกเจ้าปล่อยพวกเราจากไป” 


 


 


 “เหอะ น่าขัน” เยี่ยเม่ยเดือดดาลจนทนไม่ไหว ล้วงมีดสั้นออกมา พุ่งเข้าหาเซียวชิน  


 


 


เวลานี้เซียวชินกวาดสายตามองคนทั้งหมด ตวาดเสียงเย็นชาว่า “ปล่อยได้” 


 


 


สิ้นเสียงเขา ทหารต้ามั่วกว่าพันนาย สาดผงพิษใส่เยี่ยเม่ยและทหารด้านหลังนาง 


 


 


เสี้ยวขณะนี้สายตาเยี่ยเม่ยวาวโรจน์ ไม่สนใจจู่โจมเซียวชิน ล้วงพัดข้างเอว พัดของนางลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว ขวางผงพิษจำนวนมากที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 


 


 


ฝีมือเช่นนี้ เซียวชินและซินเยว่เยี่ยนสีหน้าพลันนิ่งไป 


 


 


ส่วนเซียวชินก็รู้ว่าโอกาสได้เปรียบมีไม่มาก เป้าหมายของเขาคือหนีไปให้ได้ รีบสั่งการว่า “ไป” 


 


 


สิ้นเสียงเซียวชิน เขารีบพาคนต้ามั่วจากไปอยางรวดเร็ว 


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยป้องกันผงพิษทั้งหมด พวกเซียวชินก็หนีจากไปไกลแล้ว 


 


 


จิ่วหุนยกกระบี่เตรียมไล่ตาม เยี่ยเม่ยขวางเขาไว้ สีหน้าสงบ สายตามีแววยินดีที่แผนการสำเร็จ เอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่ต้องตาม เป้าหมายของข้าบรรลุแล้ว”  


 


 


จิ่วหุนมองเยี่ยเม่ยครั้งหนึ่ง ดวงหน้างดงามมีแววยึดมั่นอยู่หลายส่วน “ข้าจะไปฆ่านาง” 


 


 


 “ใคร” เยี่ยเม่ยตะลึง 


 


 


จิ่วหุนไม่ตอบ เค้นคำพูดสามคำออกมา “นางด่าเจ้า” 


 


 


เยี่ยเม่ยพลันเข้าใจ คนที่เขาเอ่ยคือลู่หวานหว่าน  


 


 


เยี่ยเม่ยยักไหล่ไม่สนใจ กล่าว “ไม่เป็นไร นางเกลียดข้า ด่าข้าก็เป็นเรื่องปกติ คนประเภทนี้ไม่มีน้ำหนักในใจข้า ข้าคร้านจะใส่ใจสักน้อย เจ้าไม่ต้องไป อีกอย่างจั่วอี้อ๋องผู้นั้นไม่ใช่รับมือได้ง่าย อันตรายมาก” 


 


 


 “เขาไม่ใช่คู่มือข้า” จิ่วหุนโพล่งออกอย่างรวดเร็ว แสดงออกว่าตนเองไม่กังวลเรื่องเซียวชิน 


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดตามองเขา “แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเสี่ยงอันตราย เพื่อเรื่องและคนที่ไม่สำคัญเสี่ยงอันตรายไม่คุ้มค่า เป้าหมายของข้าเดิมก็ไม่ใช่ลู่หวานหว่าน ถึงที่สุดแล้วข้ายังต้องขอบคุณนางที่ทำให้ข้ามีเหตุผลมากพอ ทำแผนการนี้ได้ราบรื่นถึงขั้นนี้ อีกอย่างอีกไม่ช้าแผนการของพวกเราจะยิ่งราบรื่นไปอีก เพราะการช่วยนางกลับไปได้สำเร็จในยามนี้” 


 


 


ระหว่างที่พูดนั้น พวกเซียวชินก็จากไปไกลแล้ว 


 


 


จิ่วหุนพลันชะงักนิ่งไป เพราะนางเอ่ยว่าไม่อยากให้เขาไปเสี่ยงหัวใจเขาเต้นเป็นลิงโลด เพียงแต่ใบหน้ายังไร้อารมณ์ ถอยไปอยู่หลังเยี่ยเม่ย  


 


 


หลูเซียงฮั่วมองเยี่ยเม่ย เอ่ยถาม “แม่นางเยี่ยเม่ย แผนของพวกเราเช่นนี้ก็สำเร็จแล้วเหรอ ท่านว่าพวกเขาจะดูพิรุธออกหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยเสียงเย็นชา “หากลูกไม้เช่นนี้ พวกเขายังดูออกว่ามีปัญหา อย่างนั้นก็ถือว่าข้าลงมือเปล่าประโยชน์ กลับไปจัดทัพเถอะ เตรียมตัวออกรบ ให้หน่วยสอดแนมเฝ้าดูพวกเขาไว้ มีสถานการณ์อะไรรายงานได้ทุกเมื่อ คืนนี้ไม่ก็วันพรุ่งพวกเราเตรียมเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ได้แล้ว”  


 


 


 “ดูท่าจะมีละครฉากสนุกให้ชม?” ซินเยว่เยี่ยนที่อยู่ด้านข้างอดไม่ไหวถามขึ้น 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ตอบ “ทั้งยังมีสีสันมากด้วย” 

 

 

 


ตอนที่ 74

 

    ซินเยว่เยี่ยนพลันเกิดความสนใจ แล้วมองเยี่ยเม่ย เอ่ยชื่นชมว่า “ความสามารถของเจ้าเหนือกว่าข้า ” 


 


 


นางคือหัวหน้าสี่ผู้อาวุโสของหมู่ตึกกูเยว่ ตำแหน่งรองจากกูเยว่อู๋เหินมาเป็นอันดับหนึ่ง คนผู้นั้นก็คือนางซินเยว่เยี่ยน กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้ยังไม่ทันลงมือก็ ถูกสตรีนางนี้ควบคุมไว้ได้ แค่ก ๆ…  


 


 


วรยุทธ์เช่นนี้ สามารถแบกรับตำแหน่งนายหญิงของหมู่ตึกกูเยว่เอาไว้ได้ 


 


 


ถึงแม้นางไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยคิดทำอะไร เตรียมการจัดการต้ามั่วเมื่อไหร่ ทว่าสัญชาตญาณบอกว่านางต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของซินเยว่เยี่ยน ใบหน้าไม่มีความแตกตื่นยินดีที่ได้รับคำชมเลยสักน้อย เพียงกวาดสายตามองอีกฝ่าย เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เรื่องที่ความสามารถของข้าเหนือกว่าเจ้า ข้าหลงคิดว่าเจ้ามองออกตั้งแต่แรกแล้ว”  


 


 


ซินเยว่เยี่ยน “…” 


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยรู้จักคำว่าถ่อมตนบ้างหรือเปล่า ไม่ไว้หน้านางซินเยว่เยี่ยนสักนิดเชียวหรือ เอ๊ะ? นางเป็นถึงหัวหน้าสี่ผู้อาวุโสหมู่ตึกกูเยว่ นางต้องรักษาหน้าเข้าใจไหม 


 


 


ช่างเถอะ เพื่อน้องสะใภ้ ศักดิ์ศรีหน้าตาคืออะไรกัน นางซินเยว่เยี่ยนไม่เคยได้ยินมาก่อน 


 


 


นางมองเยี่ยเม่ยเอ่ยจบแล้วหันไปสั่งคนทั้งหมดว่า “ไปเถอะ” 


 


 


เยี่ยเม่ยนำคนทั้งหมดจากไป ซินเยว่เยี่ยนก็รีบติดตาม เดินอาดๆ อยู่หลังเยี่ยเม่ย เอ่ยปากสืบความ “เจ้าบอกได้หรือเปล่า เจ้าเตรียมแผนอะไรไว้จัดการกับชาวต้ามั่ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับมามองนาง เสียงเย็นชา “บางทีเจ้าสมควรบอกฐานะของตนมาก่อน?” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกระพริบตาปริบ เอ่ยปากว่า “ข้าเหรอ ข้าคือคู่หมั้นของราชาดาบเซียวเซ่อหยาง ซินเยว่เยี่ยนแห่งหมู่ตึกกูเยว่ หากเจ้าไม่พอใจอะไรในตัวข้าก็คิดบัญชีไว้ที่เซียวเซ่อหยาง เขายินยอมแบกหม้อก้นดำแทนข้า[1]” 


 


 


นางเอ่ยออกมาเช่นนี้ บุรุษไม่น้อยในที่แห่งนี้ล้วนหันหน้ามองนาง 


 


 


ชื่อซินเยว่เยี่ยนพวกเขาเคยได้ยินมา โดยเฉพาะหมู่ตึกกูเยว่ยิ่งไม่อาจไม่รู้จัก แต่ว่าคำพูดอย่างโจ่งแจ้งที่ให้ผู้อื่นเอาความไม่พอใจทั้งหมดไปลงที่คู่หมั้นของตนนั้นเป็นการกระทำประเภทไหน 


 


 


พวกเขาพลันรู้สึกเห็นใจเซียวเซ่อหยาง  


 


 


คิดไม่ถึงว่าซินเยว่เยี่ยนเอ่ยเช่นนี้กลับได้รับความเห็นด้วยจากเยี่ยเม่ย 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงเรียบว่า “บุรุษแบกรับความผิดแทนคู่หมั้น เป็นหน้าที่และเกียรติของพวกเขา” 


 


 


บุรุษทั้งหลายในที่นี้ “…” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยประโยคนี้ สายตาวาวโรจน์ในฉับพลัน รู้สึกอย่างสุดซึ้งว่าตนพบผู้รู้ใจแล้ว ภายหน้ามีน้องสะใภ้เช่นนี้ วันเวลาในหมู่ตึกกูเยว่ของตนก็ไม่น่าเบื่อหน่ายอีก นี่ทำให้นางสะกดความรู้สึกดีที่มีต่อเยี่ยเม่ยไว้ไม่ได้ 


 


 


นางเดินมาเบื้องหน้าเยี่ยเม่ยอีกครั้ง คล้ายถามออกไปด้วยความประจบสอพลอ “เจ้าเข้าใจกำลังภายในไหม” 


 


 


คราวนี้กลายเป็นเยี่ยเม่ยที่สายตาทอประกาย หันกลับมองอีกฝ่าย เห็นว่าใบหน้าฝั่งตรงข้ามไม่มีเจตนาร้าย ก็คลายการป้องกันลง เอ่ยว่า “ไม่เข้าใจ ทำไมหรือ” 


 


 


ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องปิดบัง อีกอย่างนางมั่นใจว่าคนที่ใช้กำลังภายในได้ไม่กี่คนเท่านั้นที่ร้ายกาจกว่านาง 


 


 


เมื่อนางตอบว่าไม่เข้าใจ เวลานั้นซินเยว่เยี่ยนก็รู้สึกว่าตนมีตัวตนขึ้นมา 


 


 


นางกระตือรือร้น เอ่ยปากว่า “ข้ามีเคล็ดวิชาเล่มหนึ่ง เป็นของอาจารย์อาข้า หากเจ้าฝึกแล้วล่ะก็ ต้องสำเร็จยอดวิชาอย่างแน่นอน” 


 


 


 “เอ๋?” คราวนี้เยี่ยเม่ยพลันสนใจบ้าง นางอยากเรียนกำลังภายในจริงๆ เพียงแต่… 


 


 


นางมองซินเยว่เยี่ยน ถามว่า “ในเมื่อเป็นเคล็ดวิชาลับของเขา ไฉนถึงให้ข้าเรียนได้ง่ายๆ โดยไร้เหตุผลเล่า” 


 


 


อย่างโยว่อี้อ๋องแห่งต้ามั่วเพื่อเคล็ดวิชาลับของราชาดาบ ก็ลอบทำร้ายราชาดาบจนเป็นตายไม่รู้ชัด เห็นได้ชัดว่าคนในยุคสมัยนี้หาได้เปิดเผยเคล็ดวิชาลับของตน 


 


 


 “เจ้าพูดไม่ผิด แต่เราสองคนนับว่ามีวาสนา ข้าอยากเป็นสหายกับเจ้า สหายชนิดที่สนิทแน่นแฟ้นมาก คบหากันด้วยชีวิตถึงเป็นเป้าหมายของข้า” ซินเยว่เยี่ยนพูดไปพลาง พยักหน้าไปพลาง แสดงออกว่าตนพูดความจริง 


 


 


เยี่ยเม่ยถามอย่างเย็นชา “จากนั้นเล่า” 


 


 


 “จากนั้น” ซินเยว่เยี่ยนสีหน้าจริงจัง “จากนั้นข้าก็มอบเคล็ดวิชาลับให้เจ้า ข้ารู้สึกว่าความสามารถของเจ้า มีคุณสมบัติครอบครองมัน แต่ภายหน้าเจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง” 


 


 


 “เงื่อนไขที่ไม่ผิดต่อมโนธรรม คุณธรรม ไม่ผิดต่อหลักการในใจของข้า ข้าสามารถรับปากได้” เยี่ยเม่ยเอ่ยข้อเสนอของตน 


 


 


ไม่เพียงแค่คุณธรรม สิ่งที่ขัดใจตน นางก็ไม่อยากทำ 


 


 


เอ่ยจบแล้ว เยี่ยเม่ยเสริมต่อว่า “แน่นอนว่า เคล็ดวิชาของเจ้าก็ต้องมีค่าพอ” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนครุ่นคิดชั่วครู่ พยักหน้า “ได้” อย่างไรหากอีกฝ่ายไม่อยากแต่งานกับอู๋เหิน ตนฝืนก็ไม่มีความสุข ดังนั้นไม่ขัดต่อใจนาง เรื่องนี้รับปากได้ 


 


 


หลังจากตกลงแล้ว ซินเยว่เยี่ยนยิ้มร่ากล่าวว่า “วางใจเถอะ เคล็ดวิชาลับของอาจารย์อาข้า ไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน” 


 


 


คำพูดสองสามประโยคนี้ สองคนก็ตกปากรับคำกันแล้ว ส่วนผู้ชมด้านข้างทั้งหลายพากันตกตะลึงกันไปหมด 


 


 


ใครๆ ก็รู้ อาจารย์อาของซินเยว่เยี่ยนคือใคร เคล็ดวิชาลับของคนผู้นั้นจะไม่มีค่าได้อย่างไร ทุกคนล้วนรู้สึกว่าซินเยว่เยี่ยนจงใจล้างผลาญอาจารย์อาชัดๆ   


 


 


ซินเยว่เยี่ยนมีเวลามาใส่ใจความคิดผู้อื่นที่ไหน นางรีบล้วงชายเสื้อเอาเคล็ดวิชาลับออกมา มอบให้เยี่ยเม่ยตรงๆ นางไม่ปกปิดใคร อย่างไรเสียของของอาจารย์อา นอกจากนางซินเยว่เยี่ยนกล้าขโมยวิชาเขาแล้ว ใครก็ไม่กล้าแย่งไปง่ายๆ 


 


 


เยี่ยเม่ยเองก็เปิดออกโดยไม่ปิดบัง พลิกดูทีหนึ่ง มุมปากเยี่ยเม่ยกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าแรก 


 


 


มือข้างหนึ่งวางลงไป ชี้ตัวอักษรด้านบน ถามว่า “เคล็ดวิชาลับเสี่ยวเถียนไช่[2]?” 


 


 


ทันทีที่เห็นชื่อนี้ รู้สึกว่านี่เป็นเหมือนหลุมพราง 


 


 


แม่นางซินเยว่เยี่ยน เจ้ามั่นใจว่าอาจารย์อาของเจ้าเป็นยอดคนจริงๆ ไม่ใช่ตัวตลก? อีกอย่างเคล็ดวิชาลับเล่มนี้จะฝึกฝนจนเป็นวรยุทธ์ล้ำเลิศได้ ไม่ใช่เอามาเป็นเรื่องล้อเล่นหรอกนะ 


 


 


คนในที่นี้ได้ฟัง มุมปากกระตุกเล็กน้อย พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า คนผู้นั้นถึงกับตั้งชื่อประเภทนี้ให้กับเคล็ดวิชาลับตัวเอง” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนก็เคยดูเคล็ดวิชาไปหลายครั้ง แต่ไม่ได้อ่านหน้าแรก ดังนั้นตอนได้ยินคำพูดเยี่ยเม่ย หางตานางยังกระตุกขึ้น 


 


 


จากนั้นนางถามเยี่ยเม่ยอย่างงุนงงว่า “หรือเจ้าไม่เคยได้ยินชื่ออาจารย์อาของข้า อาจารย์อาของข้า เป็นอาจารย์ของกู่เยว่อู๋เหิน ฉายาในยุทธภพคือ…เสี่ยวเถียนไช่?” 


 


 


เยี่ยเม่ย “…?” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยายามบังคับให้ตนสงบลง เพียงเพราะชื่อ อย่าได้ตัดสินใจคืนเคล็ดวิชาให้ซินเยว่เยี่ยน นางพลิกอ่านไปหลายหน้า  


 


 


ไม่ช้านางก็มองเคล็ดลับด้านในออก ถึงแม้นางไม่เข้าใจกำลังภายใน แต่ว่าเลียนอย่างข้อความที่เขียนไว้ เพ่งไปที่จุดตันเถียน รับรู้ถึงพลังขุมหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ภายในจริงๆ  


 


 


นี่ทำให้นางรู้สึกมั่นใจในเคล็ดวิชาเล่มนี้ขึ้นหลายส่วน 


 


 


ด้วยเหตุนี้นางบังคับตนเอง ไม่ใส่ใจว่าเคล็ดวิชาเล่มนี้เรียกว่าอะไร ถามขึ้นว่า “ดังนั้นอาจารย์อาของเจ้า เป็นเด็กสาวไร้เดียงสาช่างฝันคนหนึ่ง หรือว่าเป็นคนอายุมากแล้วแต่ยังมีจิตใจเด็กอยู่” 


 


 


หากเป็นเช่นนี้ นางก็ยังเกลี้ยกล่อมตัวเองได้บ้าง อีกฝ่ายชื่อเสี่ยวเถียนไช่ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม 


 


 


จากนั้นซินเยว่เยี่ยนหางตากระตุก จากการแสดงออกของเยี่ยเม่ย นางดูออกแล้วว่าอีกฝ่ายไม่เคยได้ยินชื่ออาจารย์อามาก่อน 


 


 


คราวนี้ซินเยว่เยี่ยนฟังคำถามของเยี่ยเม่ย  นางพลันรู้สึกจนปัญญาจะพูดถึงอาจารย์อาตัวเอง นางปาดเหงื่อบนหน้าผากออก “ไม่ใช่ อาจารย์อาของข้าเป็นตาแก่อายุเจ็ดแปดสิบแล้ว”  


 


 


เยี่ยเม่ย “…” 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย กล่าว “คิดเสียว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้ถาม” นางไม่อยากถกเรื่องผู้เฒ่าเถียนไช่ที่ตั้งชื่อตนด้วยความพิเศษเกินเหตุแล้ว 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนในยามนี้เหงื่อไหลทะลัก มองเยี่ยเม่ยอย่างระวัง “หากเจ้าเรียนวิชาอาจารย์อาข้าได้สำเร็จ บางทีเขาอาจมาหาเจ้า ไม่แน่ว่าจะบีบบังคับรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่เจ้าอย่าได้ดูแคลนอาจารย์อาเชียว ไม่เพียงอู๋เหินเป็นลูกศิษย์เขา ฮ่องเต้องค์หนึ่งจากดินแดนเสวียนอวี้ ก็เป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นของอาจารย์อาข้า” 


 


 


เยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจปัญหาข้อนี้มากนัก หลายวันที่ผ่านมานางเข้าใจแล้วว่า ในยุคสมัยนี้แบ่งแผ่นดินออกเป็นห้าส่วน ที่นี่เป็นแค่หนี่งในห้าเท่านั้น ดินแดนเสวียนอวี้ก็เป็นแผ่นดินอีกผืนหนึ่ง 


 


 


นางได้แต่ตอบรับ“อืม” 


 


 


คนทั้งสองเพิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้ ไม่ห่างออกไปเห็นคนกลุ่มหนึ่ง เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตมุ่งตรงมายังทิศที่พวกนางอยู่ เตรียมเข้ามาโอบล้อม  


 


 


เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว กวาดสายตามองพวกเขา 


 


 


 


 


 


[1] รับผิดแทน 


 


 


[2] บีตรูต 

 

 

 


ตอนที่ 75

 

เห็นคนกลุ่มนี้ท่าทางเหมือนผู้ไม่มีเจตนาดี เยี่ยเม่ยพลันตระหนักได้ถึงปัญหา 


 


 


นางไม่รอให้คนกลุ่มนั้นมาถึงเบื้องหน้า รีบหันหลังกลับ มองคนทั้งหมดด้านหลังตน “จัดกระบวนทัพ ” 


 


 


อย่างไรหลูเซียงฮั่วก็เป็นแม่ทัพกรำศึกมานับร้อย เขาตวาดเสียงดังทันที “ตั้งโล่ เรียงแถว” 


 


 


สิ้นเสียง คนกลุ่มนั้นพุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าแล้ว 


 


 


ผู้นำคนกลุ่มนั้นไม่คุ้นหน้าเลย เยี่ยเม่ยมั่นใจว่าหลายวันที่อยู่ในเมืองไม่เคยพบเขามาก่อน พวกเขาสวมชุดธรรมดา หลังจากพุ่งเข้ามาแล้ว จ้องเยี่ยเม่ย “สังหารสตรีนางนั้น” 


 


 


สิ้นเสียงเขา คนกลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาฆ่าแทบไม่ทัน พวกหลูเซียงฮั่วจัดทัพไว้พร้อม ทหารนับพันล้อมปกป้องเยี่ยเม่ยไว้ตรงกลาง 


 


 


เยี่ยเม่ยมองหัวหน้าศัตรูทีหนึ่ง ถามเสียงเย็น “พวกเจ้าคือใคร” 


 


 


หลายวันที่ผ่านมานี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกคนล้อม แต่นางยังแปลกใจว่า นี่เป็นคนของใครอีกแล้ว 


 


 


 “พวกเราเป็นใคร หรือในใจเจ้ายังคาดเดาไม่ได้” ผู้เป็นหัวหน้ากล่าว ถลึงตาใส่เยี่ยเม่ยอย่างดุร้าย 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยตรงไปตรงมาเสียงเย็นเยียบ “ข้าล่วงเกินคนตั้งมากมาย คนที่คิดสังหารข้าในยามนี้ยังต้องเรียงแถวเข้ามาตามลำดับ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าเป็นคนกลุ่มไหน” 


 


 


คำพูดนี้ของนางเอ่ยออกมา คนไม่น้อยต่างหันหน้ามองเยี่ยเม่ย  


 


 


ไฉนพวกเขาถึงรู้สึกว่า สตรีนางนี้พูดออกมาได้ภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน? 


 


 


หัวหน้าศัตรูมุมปากกระตุก จ้องเยี่ยเม่ยอย่างดุร้ายเอ่ยว่า “ทำไมกัน คนตั้งมากมายคิดฆ่าเจ้า สำหรับเจ้าแล้วเป็นเรื่องน่าภูมิใจมากนักหรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียง ตอบกลับไปว่า “ข้าเข้าใจว่าเป็นการพิสูจน์ถึงความสำคัญของตัวข้า และความสามารถของข้า” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกลับพยักหน้าเป็นคนแรก ไม่ถูกเหรอไง คนมากมายคิดฆ่าเจ้า ความสำคัญย่อมไม่ผิดน้อย คนตั้งมากมายยังฆ่าไม่ได้ ความสามารถก็ไม่ด้อย 


 


 


คนผู้นั้นฟังจนถึงบัดนี้ พลันเข้าใจว่า สตรีเบื้องหน้าตนนางนี้ หาได้เห็นว่าการล่วงเกินผู้อื่นและการไม่รู้จักวางตัวของนางเป็นจุดอ่อนเลยสักน้อย  


 


 


เขาเอ่ยตรงๆ ว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จริงๆ ข้าก็ไม่ขอปิดบัง ให้เจ้าตายอย่างรู้แจ้ง พวกเราคือคนขององค์ชายใหญ่ นางสารเลว เจ้าพูดความจริงมา เช้าวันนี้เป็นเจ้าใช่ไหมที่เล่นตุกติกกับอาหารเช้าขององค์ชายใหญ่” 


 


 


 “อะไรนะ” พวกหลูเซียงฮั่วมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา 


 


 


เมื่อหัวหน้าศัตรูเห็นสถานการณ์ ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น กล่าวต่อ “เจ้าเป็นสตรีที่มาไม่แน่ชัด องค์ชายสี่มอบตราพยัคฆ์ให้เจ้าเพราะความเชื่อใจ แต่เจ้าไม่เพียงไม่สำนึกในบุญคุณ ยังลงมือวางยาพิษองค์ชายแห่งราชวงศ์เป่ยเฉิน เจ้ามีเป้าหมายใดกันแน่” 


 


 


วางยาองค์ชาย มีโทษถึงตาย 


 


 


หากเยี่ยเม่ยทำเช่นนี้จริงๆ ก็ทำให้คนทั้งหลายชิงชัง 


 


 


แม้กระทั่งหลูเซียงฮั่ว เวลานี้สายตาที่เขามองเยี่ยเม่ยยังมีความเคลือบแคลงอยู่หลายส่วน สถานการณ์ในยามนี้คล้ายกับกำลังจะตีกันเอง 


 


 


จิ่วหุนไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์ผิดปกติ ก็วางมือไว้บนด้านกระบี่ เตรียมตัวลงมือทุกเมื่อ 


 


 


ทุกคนเข้าใจว่าโทษวางยาพิษทำร้ายองค์ชายมีคิดไม่ซื่อ เยี่ยเม่ยย่อมไม่รับ ฝ่ายตรงข้ามเตรียมใจไว้แล้วว่าถึงตายเยี่ยเม่ยก็ไม่ยอมรับอย่างแน่นนอน 


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยฟังจบ นางกลับสงบมาก 


 


 


 “ความหมายของเจ้าคือ…” เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา แล้วเอ่ยปากว่า “เช้าวันนี้เขากินข้าวแล้วก็ถูกพิษจริงๆ?” 


 


 


คำพูดของนาง ก็เท่ากับยอมรับว่า นางรู้เรื่อง 


 


 


พวกหลูเซียงฮั่วเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อทันที ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะรู้สึกดีกับแม่นางผู้นี้ขึ้นมาบ้าง เชื่อว่าอีกฝ่ายตั้งใจช่วยพวกเขาอย่างแท้จริง คิดไม่ถึงว่านางถึงกับวางยาทำร้ายองค์ชายใหญ่?  


 


 


คนของศัตรูเองก็ตะลึงไปเช่นกัน 


 


 


ไม่ช้าหลังจากสิ้นเสียงนาง ในกองหทารก็มีบุรุษก้าวออกมา นั่นคือองครักษ์ที่มักติดตามข้างกายเป่ยเฉินเสียง  


 


 


องครักษ์ผู้นั้นก้าวออกมา ตวัดสายตาของเยี่ยเม่ย “ดังนั้นเจ้าก็ยอมรับแล้ว ว่าอาหารพวกนั้นเป็นเจ้าลงมือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว กลับไม่คัดค้าน เพียงเอ่ยช้าๆ ว่า “นั่นไม่ใช่ข้าวที่เมื่อคืนองค์ชายใหญ่ของพวกเจ้าสับเปลี่ยนกับข้าวที่พวกเราเตรียมไว้แลกกับต้ามั่วในวันนี้หรอกหรือ เขาต้องการทำลายแผนการของข้า ถึงได้รับกรรมตามสนอง ถูกพิษแล้วใช่ไหม”  


 


 


คราวนี้คนทั้งหมดล้วนสับสนอลหม่าน 


 


 


องครักษ์เบื้องหน้าพลันหน้าเขียวคล้ำ เมื่อคืนคนที่วางแผนลงมือกับข้าวสารคือองค์ชายใหญ่ไม่ผิด แต่เขามั่นใจว่าเยี่ยเม่ยไม่มีหลักฐานในมือ ดังนั้นเขาคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่า เยี่ยเม่ยที่ไม่มีหลักฐานก็เปิดโปงเรื่องนี้ได้ 


 


 


ส่วนหลูเซียงฮั่วที่ในตอนแรกสีหน้าไม่เห็นด้วย เคลือบแคลงสงสัยถึงกระทั่งมีใจสังหารเยี่ยเม่ยได้ฟังก็ขมวดคิ้วแน่นเป็นคนแรก 


 


 


สายตาที่มองเยี่ยเม่ยค่อยๆอ่อนลง “ความหมายของแม่นางคือ เมื่อคืนที่องค์ชายสี่ให้พวกเรานำข้าวเปลี่ยนออกมาก่อน ก็เพราะว่ารู้แต่แรกแล้วว่าองค์ชายใหญ่จะลงมือ”? 


 


 


 “อืม” เป่ยเฉินเสียงส่งคนมาสังหารนาง แน่นอนว่านางรู้อะไรก็ต้องตามไปตามนั้น 


 


 


เมื่อสิ้นเสียงเยี่ยเม่ย สีหน้าหลูเซียงฮั่วเขียวคล้ำทันที เหล่าทหารที่ตอนแรกมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่ยินดี พลันหันไปกวาดตามองคนกลุ่มนั้นอย่างไม่พอใจ 


 


 


หลูเซียงฮั่วจ้ององครักษ์ผู้นั้นกล่าว “เพราะอะไรองค์ชายใหญ่ถึงคิดทำลายแผนการต่อกรกับต้ามั่ว หากแผนของเขาสำเร็จ สุดท้ายคนที่แพ้ศึกคือฝ่ายพวกเราเป่ยเฉิน จะทำให้ทหารจำนวนเท่าไหร่ล้มตาย หรือองค์ชายใหญ่หาได้คิดถึงผลลัพธ์เหล่านี้บ้าง” 


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ไป เหล่าทหารรู้สึกไม่ยินดี อารมณ์ปะทุขึ้นถึงขีดสุด 


 


 


ถึงทุกคนจะกลัวองค์ชายสี่ ถึงขั้นเห็นดีกับการที่องค์ชายใหญ่เป็นฮ่องเต้ในอนาคต ทว่าทุกคนก็รู้จักแยกแยะผิดถูก 


 


 


รองแม่ทัพหลังหลูเซียงฮั่วนายหนึ่ง ก้าวออกมาเช่นกัน เขาเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หากองค์ชายใหญ่ทำเช่นนี้จริง นั่นก็เท่ากับทำไปเพื่อการส่วนตัว ไม่ใส่ใจความปลอดภัยของชาติบ้านเมือง ราชสำนักเป่ยเฉินของพวกเราไฉนถึงมีองค์ชายเยี่ยงนี้ได้” 


 


 


เดิมทีเป็นสถานการณ์ที่เตรียมจะลงมือกับเยี่ยเม่ยที่คิดไม่ซื่อ วางแผนทำร้ายองค์ชาย ไพร่พลทั้งสองฝ่ายเตรียมการสังหารเยี่ยเม่ย  


 


 


ที่คิดไม่ถึงเลยก็คือ สตรีนางนี้เอ่ยไม่กี่คำ องค์ชายใหญ่ก็กลายเป็นหัวข้อหลักของปัญหา ทำให้ทหารทั้งหลายเริ่มเคียดแค้นองค์ชายใหญ่  


 


 


คนของศัตรูเก็บกดความเดือดดาลไว้ในใจ 


 


 


องครักษ์ของเป่ยเฉินเสียงมองเยี่ยเม่ย แผดเสียงสูงว่า “นางสารเลว เจ้าไม่มีหลักฐาน ก็ใส่ความคน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า เรื่องส่งคนไปวางยาในโรงคลังเป็นองค์ชายใหญ่สั่งการ เจ้ามีหลักฐานหรือ”  


 


 


 “อ้อ? ส่งคนไปวางยาที่โรงคลัง?” เยี่ยเม่ยแสร้งกวาดตามองเขา สีหน้าเย็นชาดังเดิม 


 


 


นางเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “ข้าเพิ่งบอกว่าองค์ชายใหญ่ของเจ้าคิดก่อกวนแผนการข้า ตัวเจ้าเองกลับรับสารภาพว่าวางยาพิษ คิดว่าองค์ชายใหญ่ของเจ้าทำอะไร เขาถูกปรักปรำหรือไม่ ในใจเจ้าคงรู้ชัด” 


 


 


    นางเอ่ยเช่นนี้ออกไป สีหน้าขององครักษ์ผู้นั้นเดี๋ยวซีดขาวเดี๋ยวดำคล้ำ 


 


 


เขารีบร้อนไปจึงพูดออกไปตรงๆ รู้ที่ไหนกันว่าเมื่อเอ่ยออกก็เท่ากับสารภาพออกมา 


 


 


ต้องโทษที่สตรีนางนี้ดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกิน ทำให้เขาสับสน 


 


 


เยี่ยเม่ยจงใจทำท่าทางมั่นใจอย่างมาก เช่นนี้ถึงเป็นสงครามทางจิตวิทยา ทำให้อีกฝ่ายเผยพิรุธได้ง่าย  


 


 


เยี่ยเม่ยมองหลูเซียงฮั่วทีหนึ่ง “พวกเจ้าก็ได้ยินแล้ว องค์ชายใหญ่ของพวกเจ้าไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของชาติบ้านเมือง ยังคิดสังหารข้าอีก นี่ไม่ใช่ปัญหาของข้าแล้ว ”  


 


 


หลูเซียงฮั่วรีบตอบ “แม่นางวางใจ ข้าสาบานว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยของแม่นาง ทั้งจะถวายฎีกาเอาผิดองค์ชายใหญ่กับฝ่าบาท” 


 


 


องครักษ์ของเป่ยเฉินเสียงเห็นเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ ก็รู้ว่าไม่อาจย้อนกลับแล้ว รีบหัวเราะเย็นชา “ช่างเถอะ พวกเจ้ารู้ก็รู้แล้ว อย่างนั้นก็ขอให้พวกเจ้าตายอยู่ที่นี่แล้วกัน”  


 


 


เยี่ยเม่ยฟังจบก็ล้วงพัดออกมา ซัดใส่องครักษ์ผู้นั้น นัยน์ตาของนางแผ่ไอสังหาร พุ่งตัวเข้าหาพวกเขา พลังนั้นทำให้ฝ่ายศัตรูจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่สงบ 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องมองพวกเขา เสียงเย็นชาตวาดว่า “วันนี้ข้าจะสอนให้พวกเจ้ารู้ว่าเป็นคนต้องทำตัวอย่างไร” 

 

 

 


ตอนที่ 76

 

ท่วงท่าดุดันของนาง ทำให้เหล่าทหารศัตรูหนังศีรษะชาวาบในทันที 


 


 


แต่เมื่อทหารศัตรูมองพวกของตน แล้วมองคนของเยี่ยเม่ย พวกเขาพาคนมาสามพัน ส่วนฝั่งตรงข้ามมีแค่พันกว่าเท่านั้น ใช้จำนวนคนเข้ากดดัน ไม่น่าพ่ายแพ้ 


 


 


เมื่อมีความคิดเช่นนี้ พวกเขาก็ปลุกความมั่นใจได้มากพอ 


 


 


องครักษ์ประจำกายเป่ยเฉินเสียงมองเยี่ยเม่ย เขารู้ดีว่าวรยุทธเยี่ยเม่ยไม่ต่ำต้อย ถึงแม้หัวใจจะเต้นระส่ำ แต่ก็รู้ว่ายามนี้ตัวเองไม่อาจเผยความขลาดกลัว 


 


 


เขาฝืนบังคับตนให้สงบลง เอ่ยปาก “นางสารเลว เลิกข่มขู่คนเสียที ไม่ช้าข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า…” 


 


 


 “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้ข่มขู่เจ้า “ เยี่ยเม่ยตอบรับประโยคเขาด้วยเสียงเย็นชา  


 


 


จากนั้น ช่วงเวลาที่ทุกคนยังไม่ทันได้สติ เยี่ยเม่ยดีดกายขึ้น พัดในมือนางยามนี้กางออก หยกขาวแตกกระจายออกไปในอากาศ 


 


 


ริมฝีปากบางของนางเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ “ร้อยอิง ทะลวง” 


 


 


 “ฉึก” 


 


 


 “ตึ่ง” 


 


 


 “อ๊าก” 


 


 


เมื่อสิ้นเสียง ร่างขององครักษ์ในเวลานี้ถูกเกล็ดพัดจำนวนนับไม่ถ้วนของเยี่ยเม่ยถูกซัดออกไป ชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ดูแล้วไม่มีแรงทำลายล้างทะลุผ่านร่างเขา ทั่วร่างถูกกระบวนท่านี้ของเยี่ยเม่ยทำให้เกิดรูนับร้อย ล้วนเป็นแผลจากการถูกแทงทะลุ เลือดไหลโทรมไปทุกส่วน 


 


 


ฝีมือโหดเ**้ยมนี้ทำให้บุรุษจำนวนไม่น้อยรู้สึกหนังศีรษะชาวาบอย่างอดไม่อยู่ 


 


 


 


 


 


 


 


 


ใครต่างก็คิดไม่ถึง แม่นางผู้นี้ร้ายกาจก็จริง แต่ถึงกับมีความสามารถระดับนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ นางเข่นฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาเลยสักนิด เมื่อยื่นมือรับ พัดก็กลับมาอยู่ในมือนาง สีหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเดิม คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


ส่วนองครักษ์ประจำกายเป่ยเฉินเสียงยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น พลันรู้สึกว่าตนเจ็บปวดไปทั่วร่าง เขาก้มมองร่างของตนท่ามกลางความงุนงง ทุกหนแห่งกลายเป็นรู แม้กระทั่งร้องยังไม่ทันร้องออกมา  


 


 


           ร่างเขาโน้มเอียงไปด้านหลัง หงายหลังล้มลง ดวงตาเบิกกว้าง ตายตาไม่หลับ ถึงตายแล้ว เขายังไม่อยากเชื่อว่า สตรีผู้นี้มีความสามารถถึงขั้นนี้  


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ยเห็นฉากนี้ สีหน้าไม่มีความเมตตาสักน้อย 


 


 


นางใช้สายตาเย็นเฉียบกวาดมองคนทั้งหลาย เอ่ยด้วยความยโสลำพองว่า “พวกเจ้ามีความกล้าหาญที่จะโอ้อวด ข้าก็มีความสามารถสอนให้พวกเจ้ารู้จักการปฏิบัติตัว ข้าขอย้ำอีกครั้ง ข้าไม่ชอบให้คนด่าว่านางสารเลว ทั้งไม่ใจกว้างกับคนที่คิดฆ่าข้า พวกเจ้าใครอยากทดสอบพัดเล่มนี้ ก็เข้ามาได้เลย”  


 


 


ท่าทางโอหังของนาง ทำให้ทุกคนต่างสงบปาก 


 


 


แต่ใครๆ ล้วนเข้าใจ นางมีคุณสมบัติจะโอหัง 


 


 


เยี่ยเม่ยถูกคนกลุ่มนี้ทำให้หงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ อยากด่านางก็ด่า อยากฆ่านางก็พาคนมาฆ่า คิดว่านางไม่มีความรู้สึกหรือไง 


 


 


อยากส่งพวกเขาไปศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเสียเหลือเกิน ฟังดูเสียบ้างว่า ในยุคสมัยนั้นมีใครกล้าหาเรื่องนางบ้าง คนโบราณพวกนี้ไม่รู้จักความร้ายกาจและนิสัยของนาง อย่างนั้นนางก็ต้องแสดงออกสักหน่อย เพื่อลดระดับความยุ่งยากในภายหน้า ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่รู้ว่านางเป็นคนอย่างไร  


 


 


คนที่เป็นหัวหน้าศัตรู เห็นองครักษ์ของเป่ยเฉินเสียงตกตายอย่างโชกเลือดเบื้องหน้า พลันตกใจเสียจนตัวสั่น  


 


 


แข้งขาสั่นงก คิดถึงคำพูดเยี่ยเม่ยก่อนหน้านี้ ไม่ชอบคนด่านางว่าเป็นนางสารเลว ส่วนตนเมื่อเอ่ยปากก็ด่าอีกฝ่ายว่านางสารเลว ตอนนี้ใจเขาเต้นระส่ำคล้ายรัวกลอง กลัวเสียเหลือเกินว่าศพที่จะล้มลงต่อไปจะเป็นตนเอง 


 


 


ทว่าเขายังฝืนสงบนิ่งได้ มองเยี่ยเม่ย “เจ้าถึงกับกล้าสังหารเขา? เขาเป็นคนโปรดขององค์ชายใหญ่ เขา…” 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่รอให้เขาเอ่ยจบ ก็ใช้เสียงเย็นเยียบตอกกลับ “ข้าไม่เพียงแต่ฆ่าเขา ไม่ช้าก็จะไปคิดบัญชีกับองค์ชายใหญ่ของพวกเจ้าด้วย ก่อนหน้าวางยาก็เพื่อตักเตือนเขาเท่านั้น ทว่าเขาไม่เข้าใจในความใจกว้างของข้า ช่วงนี้ข้าคงดูอ่อนโยนมากหรือไง”   


 


 


เยี่ยเม่ยพูดไปพลาง มือขวาถือพัดเคาะลงที่กลางมือซ้ายเบาๆ ทว่าสายตาจับจ้องทุกการกระทำของกลุ่มคนเบื้องหน้า ไม่ให้พวกเขามีโอกาสขยับสักน้อย 


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ ต่อให้เป็นหลูเซียงฮั่วยังอดกลืนน้ำลายไม่ได้ 


 


 


ความจริงเขาอยากบอกว่า แม่นางเยี่ยเม่ย หลายวันที่ผ่านมานี้ไม่ว่าพบท่านตอนไหน ท่านล้วนหน้าตาเย็นชา ก็ไม่รู้ว่าท่านหน้าตาเย็นชาเช่นนี้มาตั้งแต่เกิดหรือไม่ ความหมายของข้าคือ ไม่ว่าจะพบท่านในเวลาไหนก็ตาม ดูไปแล้วไม่มีความอ่อนโยนเลย 


 


 


ดังนั้นคำพูดของท่าน…ที่ว่าช่วงนี้ท่านดูอ่อนโยน…อ่อนโยน? ไม่มีอยู่แน่นอน… 


 


 


หัวหน้าศัตรูพลันไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี เดิมคิดว่าเยี่ยเม่ยโหดเ**้ยม ใช้ชื่อองค์ชายใหญ่เพื่อข่มขวัญอีกฝ่าย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่เห็นองค์ชายใหญ่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ 


 


 


เขาฝืนสงบนิ่ง หันหน้ากลับไปมองคนด้านหลังตน “บุก” 


 


 


คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้จบ คนทั้งหมดด้านหลังเขามองศพองครักษ์ประจำกายเป่ยเฉินเสียง จากนั้นก็มองเยี่ยเม่ยที่ท่าทางไม่เป็นมิตร ต่อให้พวกเขาทางนี้มีจำนวนคนมากกว่า แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือก่อนเลยสักคน 


 


 


สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว วิธีฆ่าคนเช่นนี้ ทั้งร้ายกาจ ทั้งโชกเลือด น่ากลัวจริง 


 


 


อารมณ์ของพวกเขาในขณะนี้ คือความหวาดกลัว เป็นแบบเดียวกันกับยามที่คนของเป่ยเฉินทั้งหมดพบหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดสายตามองเหล่าศัตรู สีหน้าเย็นชาไม่เปลี่ยน จ้องตัวหัวหน้า “ข้าว่าพวกเขาคงไม่กล้าเข้ามาแล้ว เจ้าจะเข้ามาเองไหม จะได้คิดบัญชีที่เมื่อครู่เจ้าด่าข้าเป็นนางสารเลวไปเลย” 


 


 


 “ข้า…” หัวหน้าศัตรูตกใจจนหน้าซีด 


 


 


หันกลับไปถลึงตาใส่คนด้านหลังตน ตวาดว่า “พวกเจ้ารีบเข้าไปเร็ว พวกเจ้าขัดคำสั่ง หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว พวกเจ้า…” 


 


 


คำพูดของเขา มีผลกระตุ้นกับคนด้านหลังอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


ถึงใบหน้าของคนพวกนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ยามนี้ยังต้องฝืน เตรียมบุกเข้าไป ช่วยไม่ได้ คำสั่งอยู่เบื้องหน้า ต่อให้รู้ว่าเข้าไปตาย พวกเขาก็ต้องบุกเข้าไป 


 


 


หลูเซียงฮั่วรีบโบกมือ สั่งให้เหล่าทหารเตรียมพร้อม 


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดตามองศัตรู น้ำเสียงเย็นชาถามว่า “พวกเจ้าก็เป็นทหารหรือ” 


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ ฝ่ายศัตรูที่เดิมปลุกปลอบความกล้า เตรียมเสี่ยงชีวิตเข้าไปโจมตีเยี่ยเม่ยพลันชะงักไป 


 


 


หลูเซียงฮั่วหันกลับมามองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา  


 


 


คนตรงหน้าเป็นทหาร? พวกเขาสวมชุดธรรมดานี่ แม่นางเยี่ยเม่ยดูออกได้อย่างไร 


 


 


ไม่ช้า เยี่ยเม่ยก็คลายความสงสัยของเขา 


 


 


นางมองศัตรูด้วยแววตาเย็นชา เอ่ยว่า “ท่าทางของพวกเจ้าพร้อมเพรียง ตัวตรง เดินเท้าเป็นระเบียบ นี่คือคนที่ได้รับการฝึกทหารมาก่อนถึงมีท่าทางเช่นนี้ ถึงพวกเจ้าจะสวมชุดธรรมดา แต่ข้าก็ดูออก” 


 


 


หัวหน้าศัตรูพลันลนลาน หลบสายตา “เจ้าพูดอะไร พวกเราไม่ใช่…” 


 


 


 “ไม่ใช่?” เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว อธิบาย “ตอนที่องค์ชายใหญ่เดินทางมาชายแดน ข้าบังเอิญพบเขาระหว่างทาง เขาไม่ได้พาคนรับใช้มามาก คำอธิบายเดียวก็คือทหารเท่านั้น บอกมาพวกเจ้าเป็นทหารประจำการที่ไหน ทหารของชายแดนหรือ ตราพยัคฆ์ของทหารชายแดนอยู่กับข้า ใครอนุญาตให้พวกเจ้ามากัน” 


 


 


เมื่อหัวข้อเปลี่ยนไป เยี่ยเม่ยแผดเสียงสูงขึ้นอีกครั้ง “หรือพวกเจ้าเป็นทหารในบริเวณใกล้เคียง ใครกันที่อนุญาตให้พวกเจ้าละเลยหน้าที่ รุดมาทำร้ายผู้นำทัพทหารชายแดน ชีวิตของคนแก่เด็กเล็กในครอบครัว พวกเจ้าล้วนไม่ต้องการแล้วใช่ไหม” 


 


 


สิ้นเสียงนาง คนของศัตรูสีหน้าซีดขาวในฉับพลัน 


 


 


พวกเขารับคำสั่งทหารมา แต่ใครจะรู้ว่าคำสั่งทหารนั้นเป็นองค์ชายใหญ่สั่งการเพราะเรื่องส่วนตัว หากฐานะของพวกเขาถูกเปิดเผย องค์ชายใหญ่เองก็ไม่อาจหลุดพ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดตามองพวกเขา คำพูดเป็นมิตรมากขึ้น แต่เส้นเสียงยังคงเย็นชา “ดูพวกเจ้าแต่ละคน ถูกข้าทำให้ตกใจเสียหมดแล้ว เดิมทีเห็นความสามารถข้าก็ไม่กล้าเข้ามาต่อสู้แล้ว ยามนี้ยังถูกเปิดโปงฐานะอีก พวกเจ้าลองคิดดู หากพวกเจ้ายอมสยบ หรือว่า…” 


 


 


คำพูดนี้ยิ่งกระแทกใจพวกเขา พวกเขาเห็นฝีมือของเยี่ยเม่ย ก็ไม่กล้าขยับแล้ว? หากไม่คิดถึงคำสั่ง คงหนีไปแต่แรก 


 


 


ศัตรูพลันคุกเข่าเสียงดัง ‘ ตึ่ง’ ‘ ตึ่ง’ “พวกเราผิดไปแล้ว พวกเรายอมแพ้” 


 


 


นางไม่ต้องเสียแรง ไม่เสียทหารสักคน คำพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้ทหารทัพใหญ่จำนวนมากนั้นคุกเข่ายอมแพ้ พวกหลูเซียงฮั่วที่ยืนมอง แต่ละคนอยู่ในอารามตกตะลึง เลื่อมใสนับถือเยี่ยเม่ยจากใจ  


 


 


ถัดมา สายตาเยี่ยเม่ยกวาดมองหัวหน้าศัตรูอีกครั้ง กล่าวว่า “เจ้าเล่า คุกเข่าขอโทษ ยอมรับความผิดจากใจ หรือยังฝืนดื้อดึงให้ถึงที่สุด” 

 

 

 


ตอนที่ 77

 

หัวหน้าศัตรูได้ฟัง พลันรู้สึกว่าตนเองขาอ่อน  


 


 


ตัวสั่นเทิ้มสักครู่ เห็นสถานการณ์ดังนี้ เตรียมคุกเข่ายอมแพ้ จิ่วหุนพลันปรากฏกาย ร่างเขาขยับไหววูบ ตวัดกระบี่ยาวครั้งเดียว 


 


 


เวลาเสี้ยววินาที จิ่วหุนตัดคอศัตรูตกจากร่าง  


 


 


เมื่อทุกอย่างจบลง เขากลับไปอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ตลอดการกระทำเขาไม่บอกเยี่ยเม่ย ไม่ขอความเห็นนางเลย 


 


 


ภาพเหตุการณ์เลือดอาบเช่นนี้ คนจำนวนไม่น้อยในที่นี้ตัวสั่นเทาไม่หยุด คนทั้งหมดอดส่งสายมองบุรุษหนุ่มชุดขาวผู้นั้นไม่ได้ 


 


 


เขาสวมชุดสีขาว บนผมดำขลับมีผ้าผูกสีแดง อีกทั้งมีใบหน้างดงาม ยิ่งเพิ่มความสง่ายากอธิบายได้ขึ้นไปอีก เรียกได้ว่างดงามไร้มลทิน แต่ใครก็คิดไม่ถึง เขาลงมือฆ่าคนได้หมดจดถึงเพียงนี้….  


 


 


ลงมืออย่างไร้น้ำใจถึงเพียงนี้ ถึงกระทั่งไม่ลังเลเลยสักเล็กน้อย 


 


 


ศีรษะหัวหน้าศัตรูร่วงหล่น บนพื้นนองไปด้วยเลือดน่าอนาถ ฝีมือเช่นนี้ อายุเท่านี้ ทุกคนต่างแตกตื่นในความสามารถของเขา  


 


 


เยี่ยเม่ยหันมองจิ่วหุน ถามนิ่งๆ ว่า “ฆ่าเขาทำไม” 


 


 


ใบหน้างดงามของจิ่วหุนไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ สายตากลับทอแววเข้มแข็งและดื้อดึง กดเสียงต่ำ “คนที่ด่าเจ้า ไม่มีคุณสมบัติรับผิดหรือขอโทษ”  


 


 


พวกเขามีแต่ต้องตายเท่านั้น  


 


 


เขาเอ่ยคำนี้ออกมา ซินเยว่เยี่ยนอดใจไม่ไหวหันไปเหม่อมองเขาอยู่นาน 


 


 


การปกป้องเช่นนี้ ดูถ้าหากอู๋เหินชอบเยี่ยเม่ย เจ้าหนุ่มนี้ต้องเป็นศัตรูหัวใจไม่ผิดแน่ 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเขาสักพัก ถอนใจ “เจ้ามีจิตสังหารรุนแรงนัก” 


 


 


เจ้าหนุ่มนี่ จิตสังหารแรงกว่านาง แบบนี้อันตรายเกินไป นิสัยนางก็ถูกเรียกว่าเป็นโรคจิตแล้ว เขายังรุนแรงกว่านางอีก… 


 


 


จิ่วหุนฟังแล้ว กลับเงยหน้ามองนาง สายตายังคงแข็งขืนดังเดิม ทว่าน้ำเสียงอ่อนลง “สำหรับเรื่องอื่น ข้าใจกว้างมาก” 


 


 


คำพูดนี้ก็บอกชัดเจนแล้ว 


 


 


เรื่องอื่น เขาไม่คิดสังหารคน ปกติที่รับเงินเอาชีวิตคนนั่นก็คืองาน มีแต่ยามปกป้องนางเท่านั้น ที่เขาเป็นเช่นนี้ 


 


 


เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก ไม่รู้จะเอ่ยอะไรสักครู่ เพียงพยักหน้า “ดูท่าเมื่อครู่ที่เจ้าเชื่อฟังข้า ไม่ไปสังหารลู่หวานหว่าน ก็ถือว่าไว้หน้าข้ามากแล้ว” 


 


 


ไม่เช่นนั้นคงเป็นดังตอนนี้ เขาไม่พูดไม่จาสักคำ ก็พุ่งไปฆ่าคนแล้วเหรอ 


 


 


จิ่วหุนหน้าแดง รู้ว่าเยี่ยเม่ยกำลังหยอกล้อตน ก้มหน้าเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร…ใครก็ห้ามรังแกเจ้า” 


 


 


เสียงของเขาเบามาก มีเพียงตัวเองที่ได้ยิน 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ได้ยิน และก็ไม่ถกปัญหาเรื่องการฆ่าคนกับเขาอีก 


 


 


นางหมุนกายกลับ มองบรรดาคนที่ตกอยู่ในอารามหวาดกลัว น้ำเสียงเย็นชากล่าว “พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ข้าผู้นี้อ่อนโยนมาก ใจกว้างมาก” 


 


 


นางเอ่ยถึงตรงนี้ คนทั้งหมดอดไม่ไหว มอง องครักษ์ของเป่ยเฉินเสียงที่ตายด้วยน้ำมือเยี่ยเม่ย ศพเป็นรูพรุนบนพื้น  


 


 


คนถูกฆ่าถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะอ่อนโยน…ใจกว้างอีก? 


 


 


เพราะความหวาดกลัวเยี่ยเม่ย คนกลุ่มนี้ยังคงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง “ขอรับ แม่นางเยี่ยเม่ยอ่อนโยนใจกว้าง พวกเราอาบรัศมีเกียรติยศของแม่นาง ทั้งซาบซึ้งและสำนึกเป็นอย่างมาก” 


 


 


พวกเขาเป็นทหารในยุคโบราณ ส่วนมากตั้งแต่เล็กก็เป็นคนหยาบกระด้างไม่เคยร่ำเรียน แต่ความหวาดกลัวเยี่ยเม่ยในเวลานี้ พวกเขาแทบระดมใช้ความคิดทั้งหมด งัดเอาคำศัพท์ทุกคำที่มีอยู่ในสมอง มาร้อยเรียงเป็นคำประจบประแจง 


 


 


คำประเภทอาบรัศมีเกียรติยศ สำนึก ซาบซึ้ง 


 


 


พวกเขาพูดคำพวกนี้ออกไปก็เพื่อตัวเอง ยกระดับภาษาของตนก็เพื่อยกยอเยี่ยเม่ย พวกเขาขุดความสามารถด้านภาษาที่อยู่ลึกๆ ออกมาเพื่อตัวเองอีกครั้ง ซ้ำยังอยากร้องไห้ฟูมฟายอย่างเจ็บปวด 


 


 


เยี่ยเม่ยพึงพอใจกับการกระทำของพวกเขา จากนั้นมองศพหัวหน้าศัตรู เอ่ยว่า “แต่พวกเจ้าก็ต้องเข้าใจ ถึงข้าจะใจกว้าง แต่คนข้างกายข้า โดยเฉพาะเจ้าหนูจิ่ว อารมณ์ของเขาไม่สู้ดีนัก ดังนั้นหวังว่าหลังจากพวกเจ้ากลับไปแล้ว ก็ช่วยป่าวประกาศออกไปให้ที เพื่อความปลอดภัยของทุกคน บอกให้ทุกคนไม่ต้องมาหาเรื่องข้าแล้ว เข้าใจไหม” 


 


 


ประโยคนี้ น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยเรียกได้ว่ามีเมตตาแล้ว 


 


 


นั่นก็เพราะนางกลัดกลุ้มจริงๆ คนมีเรื่องไม่มีเรื่องก็มาหาเรื่องนาง หากทำให้คนพวกนี้ตกใจหนีไปได้หมดในครั้งเดียว ก็ดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว 


 


 


คนพวกนั้นรีบพยักหน้า ตอบว่า “พวกเราทราบแล้ว พวกเราทุกคนรู้แล้ว ขอให้แม่นางวางใจ หลังจากกลับไป ต้องทำให้ทุกคนรู้ว่าแม่นางไม่อาจหาเรื่องได้ง่าย” 


 


 


 “อืม? พวกเจ้าพูดอะไร ข้าอารมณ์แย่มาก?” เยี่ยเม่ยพลันเอ่ยเสียงสูง  


 


 


คนพวกนั้นรีบตอบสนองทันที พากันส่ายหน้า เอ่ยต่อ “ไม่ไม่ไม่ ความหมายของพวกเราคือ ถึงแม้แม่นางเยี่ยเม่ยจะใจกว้างมาก อ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำเป็นสตรีที่รูปโฉมงดงาม มีเมตตามาก ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดมีเมตตาที่สุด เป็นศัตรูกับแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง  เพราะต่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ลงมือ คนข้างกายแม่นาง ก็อดผดุงความยุติธรรม สังหารพวกต่ำต้อยไม่รู้ความคิดทำร้ายแม่นางเยี่ยเม่ยผู้มีเมตตา” 


 


 


พวกเขาพูดไป น้ำตาไหลนองหน้าแล้ว 


 


 


ตามจริงแล้ว ชั่วชีวิตนี้พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า พวกตนเองมีความสามารถประจบประแจงได้ถึงขั้นนี้ พูดจาไหลลื่น แทบไม่ต้องหยุดชะงัก อีกทั้งคนกลุ่มนี้จิตใจตรงกัน ประจบประแจงโดยพร้อมเพรียง คล้ายกับเคยฝึกฝนมาก่อนก็ไม่ปาน 


 


 


หลูเซียงฮั่วปาดเหงื่อบนใบหน้า ทหารด้านหลังเขาก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากเช่นกัน ต่างก็ถอนใจมองเยี่ยเม่ย แทบมองเยี่ยเม่ยด้วยความตกใจพร้อมกัน  


 


 


สตรีนางนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว…พวกเขาเองก็เป็นทหาร รู้อย่างลึกซึ้งว่าตนเองคิดประจบเช่นนี้ ต้องใช้พละกำลังขนาดไหน แสดงความรู้มากมายเช่นนี้ออกไป ดูเยี่ยเม่ยทำคนกลุ่มนี้ตกใจเสียจนเป็นตัวอะไรไปแล้ว… 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าด้วยความพอใจ นางชื่นชอบคำพูดของพวกเขามาก ส่งสายตาเย็นชามอง “กลับไปเถอะ กลับไปประจำการเมืองของพวกเจ้าให้ดี ไม่ต้องออกมาทำเรื่องราวที่ทำให้ฮ่องเต้ของพวกเจ้าสิ้นหวังอีก” 


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ กลับทำให้ ซินเยว่เยี่ยนฟังพิรุธบางอย่างออก หันมองเยี่ยเม่ย      


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ของพวกเจ้า” ความหมายคือ ฮ่องเต้ของราชสำนักเป่ยเฉิน ไม่ใช่ของนาง? หรือว่าเยี่ยเม่ย เป็นสหายของอาหรุ่ยผู้นั้น เป็นจงเจิ้งซีจริงๆ 


 


 


เวลานี้ไม่มีใครสังเกตปฏิกิริยาของซินเยว่เยี่ยน  


 


 


ศัตรูฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย เมื่อได้รับการปล่อยตัวก็รีบลุกขึ้น ตะเกียกตะกายจากไป “พวกเราขอตัวก่อน” 


 


 


พวกเขารีบวิ่งไปอย่างว่องไว ในใจยังตักเตือนตัว ภายหน้าหากมีเรื่องที่เกี่ยวกับแม่นางผู้นี้อีก พวกเขาไม่มีทางเข้าร่วมด้วยอีกแล้ว ถึงแม่นางลงมือสังหารคนด้วยตนเองไปแค่ผู้เดียว แต่ระดับความหวาดกลัวของพวกเขา ไม่ต่ำไปกว่าองค์ชายสี่ปีศาจของพวกเขาแล้ว 


 


 


เหลือบมองเงาหลังของพวกเขาเตลิดไป เยี่ยเม่ยแค่นหัวเราะเย็น หันกลับไปมองหลูเซียงฮั่วทีหนึ่ง “แม่ทัพหลู ท่านรู้หรือไม่ว่าคนกลุ่มนี้ล้อมสังหารข้า เรื่องนี้สมควรใช้ประโยชน์อย่างไร”  


 


 


หลูเซียงฮั่วชะงักไปชั่วขณะ ถามด้วยความฉงน “ท่านหมายถึงทางฝั่งต้ามั่ว…” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ไม่ผิด เชื่อว่าเจ้าคงรู้ว่าสมควรทำอย่างไรสินะ” 


 


 


หลูเซียงฮั่วสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที ความฉลาดรวมถึงความรวดเร็วในการรับสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของเยี่ยเม่ย ทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสขึ้นหลายส่วน ประสานหมัดเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แม่นางวางใจ หลังจากกลับเมืองแล้ว ข้าจะรีบจัดการทันที” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างพอใจ ก้าวนำออกไป “ไปเถอะ กลับเมือง ข้าไปแสดงความห่วงใยองค์ชายใหญ่ของพวกเจ้าสักหน่อย” 

 

 

 


ตอนที่ 78

 

หลูเซียงฮั่วกลืนน้ำลายเฮือก ปาดเหงื่อเย็นแทนองค์ชายใหญ่


 


 


เห็นเงาหลังเยี่ยเม่ยจากไป คนทั้งหมดก็รีบติดตาม


 


 


   ……


 


 


หน้าประตูค่ายทหารต้ามั่ว


 


 


เซียวชินนำทหารใต้บัญชา รวมถึงลู่หวานหว่านเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว


 


 


ลู่หวานหว่านในยามนี้ ยังอยู่ในอาการไม่อาจสงบสติได้ จนกระทั่งมองเห็นกระโจมของราชาต้ามั่ว นางถึงค่อยวางใจ และสงบลง เกือบจะร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ


 


 


ส่วนเซียวชินกลับไม่มีความคิดไปสนใจอารมณ์ความคิดของอีกฝ่าย เมื่อถึงหน้ากระโจมราชาต้ามั่ว กวาดตามองทหารหน้ากระโจม “ไปรายงาน”


 


 


 “ขอรับ” องครักษ์รีบหมุนกาย เข้ากระโจมไป


 


 


สักพัก ทหารองครักษ์ออกมา เอ่ยว่า “จั่วอี้อ๋อง ท่านข่านเชิญท่านเข้าไปด้านใน”


 


 


เซียวชินสาวเท้ากว้างเข้ากระโจมราชาต้ามั่ว


 


 


ลู่หวานหว่านยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก็ติดตามเข้าไปด้วย


 


 


หลังจากเข้าไปแล้ว ราชาต้ามั่วเห็นลู่หวานหว่านกลับมาด้วย สายตาปรากฎแววยินดีสายหนึ่ง สายตาที่มองเซียวชินทวีความพอใจขึ้น “ขุนนางรัก ทุกอย่างราบรื่นดีหรือไม่”


 


 


 “ราบรื่น” เซียวชินผงกหัว แต่สีหน้ายังระแวงดังเดิม ประสานมือ “เพียงแต่ท่านข่าน เรื่องนี้ออกจะราบรื่นเกินไป ยิ่งทำให้กระหม่อมไม่สงบ”


 


 


ความจริงเขามองพิรุธอะไรไม่ออกเลย ทว่าสัญชาตญาณทหารของเขา ยังทำให้เขาไม่วางใจอยู่บ้าง


 


 


ราชาต้ามั่วนิ่งไปชั่วครู่ มองเซียวชินอย่างใช้ความคิด ไม่เอ่ยวาจาออกมา


 


 


กลับเป็นลู่หวานหว่านที่ลอดพ้นจากวิบากกรรม เวลานี้ลำพองใจจนเกินเหตุ เดินมาข้างกายราชาต้ามั่ว เอ่ยปากว่า “ข้าน้อยกลับคิดว่า ความกังวลของท่านข่านและจั่วอี้อ๋อง มีมากเกินไป อย่างไรเสียสตรีนางนั้นไม่ว่าจะเก่งกาจแค่ไหน ก็เป็นเพียงสตรีที่ไม่เคยนำทัพมาก่อน คนทั่วหล้ายังไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของนางด้วยซ้ำ นางแค่ต้องการแก้แค้นส่วนตัว หาเรื่องจับข้าไปแก้แค้น นางจะมีความสามารถวางแผนการต่อกรกับจั่วอี้อ๋องได้ที่ไหนกัน”   


 


 


ในขณะที่ลู่หวานหว่านเอ่ยคำนี้ สายตาของนางชม้ายมองเซียวชิน


 


 


สตรีในยุคโบราณตกหลุมรักวีรบุรุษได้ง่าย ความร้ายกาจของเซียวชินเช่นนี้ เขาสามารถช่วยเหลือตนกลับมาโดยไม่บาดเจ็บเลยสักน้อย ในใจลู่หวานหว่านย่อมเกิดความรู้สึกดีกับเขา ดังนั้นต่อให้เซียวชินแสดงท่าทีไม่ดีกับนาง แต่นางในเวลานี้อยู่ในอารมณ์ยินดีที่หนีมาได้ เรื่องในอดีตๆ ไม่ซักไซ้เอาความอีกก็ได้   


 


 


เดิมที เซียวชินก็คร้านจะมองนาง สำหรับคำพูดนี้เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง


 


 


ราชาต้ามั่วฟังจบแล้ว กลับรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง กวาดตามองเซียวชิน “คำพูดนี้ก็หาใช่ไร้เหตุผล นางพูดไม่ผิด สตรีนางนั้นต่อให้ร้ายกาจอีกเพียงใด ก็เป็นแค่สตรี หากมีเพียงวรยุทธ์ ความจริงก็ไม่น่ากังวล”


 


 


 “แต่นี่ก็คือจุดที่กระหม่อมไม่วางใจ” เซียวชินประสานมือ เอ่ยต่อว่า “วรยุทธ์ของนางสูงมากกระหม่อมชื่นชมกำลังควบคุมพัดนั้น เสียทีที่ไม่อาจมีความสามารถเท่านาง สตรีที่มีความสามารถขั้นนี้ ต่อให้ฉลาดไม่มากพอ ก็ไม่ถึงขั้นโง่เขลา ดังนั้นกระหม่อมคิดว่า เรื่องนี้ไม่อาจชะล่าใจ”


 


 


เมื่อคิดถึงฝีมือของเยี่ยเม่ย เซียวชินไม่วางใจจริงๆ 


 


 


ราชาต้ามั่วพยักหน้า “เจ้าก็พูดไม่ผิด ในโลกนี้ถึงจะมีพวกมีแต่วรยุทธ์ เป็นยอดฝีมือไร้สมองก็จริง แต่ก็ไม่มากนัก ข้าวสารพวกนั้นตรวจสอบแล้วหรือยัง”


 


 


 “ยัง” เซียวชินส่ายหน้า “พวกเรารีบออกมาก่อน ระหว่างทางก็มิได้ตรวจสอบ พวกเขาเดือดดาลเป็นการณ์ใหญ่ ทว่าไม่ได้ติดตาม บางทีพวกเขาคงเข้าใจว่า คนของพวกเรามีจำนวนมากกว่ามาก หากติดตามมา พวกเขาไม่น่าได้เปรียบอะไร”


 


 


ราชาต้ามั่วพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ตรวจสอบดูเสียหน่อย ดูว่ามีปัญหาหรือไม่”


 


 


 “รับบัญชา”


 


 


   ……


 


 


ชายแดนเป่ยเฉิน


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสองมือหนุนหลังคอ นอนสบายอารมณ์บนหลังคา ฟังอวี้เหว่ยรายงาน


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ยปาก “เตี้ยนเซี่ย เมื่อเช้าอาหารพวกนั้นส่งไปถึงองค์ชายใหญ่แล้ว องค์ชายใหญ่ไม่พบพิรุธอะไรทั้งนั้น อาจเรียกว่าไม่สงสัยเลยสักน้อย กินไปแล้ว”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า กลับรู้สึกแปลกใจ “ความโง่งมของเขาครั้งนี้ เหนือกว่าความคาดเดาของข้านัก”


 


 


อวี้เหว่ยมุมปากกระตุกอย่างอดไม่ได้ ความจริงก็เป็นเช่นนี้ องค์ชายใหญ่มีนิสัยเจ้าเล่ห์ คนเช่นนี้ทำอะไรก็ระมัดระวังมาก แต่ครั้งนี้องค์ชายใหญ่ไม่ทดสอบพิษในอาหาร ช่างทำให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ


 


 


อวี้เหว่ยใช้ความคิด เสนอว่า “หากมิใช่เพราะองค์ชายใหญ่หลงคิดว่าแผนการเมื่อคืนสำเร็จ ลำพองใจ ลืมตัวไปชั่วครู่ หลังจากยินดีในความสำเร็จแล้ว ก็ถูกพิษ?”


 


 


นี่ดูจะเป็นเหตุผลที่เหมาะสมเพียงข้อเดียว


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคัดค้าน ใช้น้ำเสียงน่าฟัง ถามอย่างสบายอารมณ์ว่า “ตายแล้วหรือยัง”


 


 


อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก “ไม่ตาย ตามหมอมาช่วยได้ทัน กอรปกับองค์ชายใหญ่รู้ตัวว่าถูกพิษอะไร ในมือมียาแก้พิษอยู่แล้ว ดังนั้นจึงถอนพิษได้ทัน แต่สุดท้ายร่างกายได้รับความเสียหาย นอนอยู่บนเตียง เคราะห์ดีที่ก่อนออกจากวัง ฝ่าบาททรงให้หมอหลวงที่เก่งกาจที่สุดติดตามมาด้วย”


 


 


 “อืม” เรื่องนี้ไม่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถึงเป่ยเฉินเสียงจะมีความสามารถไม่พอ และก็ไม่นับว่าฉลาด แต่ว่าคนข้างกายที่ปกป้องชีวิตเขาได้มีไม่น้อย


 


 


อย่างเสียเป่ยเฉินเสียงก็เป็นผู้สืบทอดที่เสด็จพ่อเสด็จแม่ทรงให้ความสำคัญที่สุด เป่ยเฉินเสียเยี่ยนวิจารณ์ว่า “เขามีชีวิตมาได้ถึงวันนี้ ล้วนเพราะเสด็จพ่อเสด็จแม่ตาบอด”


 


 


อวี้เหว่ยกระตุกมุมปาก เห็นด้วยจากใจ หากมิใช่เพราะฮ่องเต้กับฮองเฮาตาบอด ให้ความสำคัญกับองค์ชายใหญ่ ปกป้องเขา องค์ชายใหญ่ยังจะมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้หรือ


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ยต่อ “แต่มีเรื่องน่าแปลกเรื่องหนึ่ง ท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวเก็บข้าวของกลับเมืองหลวงไปแต่เช้าตรู่แล้ว ได้ยินว่าไปอย่างรีบร้อน ไม่แม้กระทั่งบอกกล่าวองค์ชายใหญ่”


 


 


เซี่ยโหวเฉินคอยติดตามอยู่ข้างหลังองค์ชายใหญ่ตลอด ทว่าองค์ชายใหญ่โง่งมปานนั้น ย่อมเห็นอีกฝ่ายเป็นสุนัขรับใช้ ทว่าคนฉลาดกลับมองออกว่า เซี่ยโหวเฉินกำลังหลอกใช้องค์ชายใหญ่อยู่ต่างหาก


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ชื่นชมช้าๆ ว่า “รักษาชีวิตไว้ นับว่าเป็นคนฉลาด”


 


 


พูดถึงตรงนี้ พลันมีคนชุดดำก้าวเท้ากว้างๆเข้ามา


 


 


เมื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สีหน้าร้อนรน คุกเข่าเอ่ยว่า “องค์ชายสี่ ไม่ดีแล้ว”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง เลิกคิ้วขึ้นสูง เอ่ยถามเนิบๆ ว่า “มีเรื่องไม่ดีอันใดกัน เสด็จพี่ใหญ่รวบรวมกำลังทหารในละแวกใกล้เคียง มาแก้แค้นข้า? เสด็จพ่อสั่งให้ทหารไล่สังหารข้า? ซือถูเฟิงหนีกลับไปเมืองหลวงร้องเรียนข้าแล้ว? หรือว่าทหารชายแดนรวมกลุ่มกันก่อกบฏ?”


 


 


อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก “เตี้ยนเซี่ย ดูท่าท่านเข้าใจตัวเองดีเหลือเกิน”


 


 


ด้วยความอาจหาญและการกระทำของเตี้ยนเซี่ย เรื่องที่เตี้ยนเซี่ยเอ่ยถึงเหล่านี้ ถึงไม่เกิดขึ้น แต่ว่าทุกเรื่องก็ล้วนมีโอกาสเกิดขึ้นได้มาก


 


 


เพียงแต่เตี้ยนเซี่ยหาได้ใส่ใจ คนพวกนี้ก็ไม่มีความสามารถทำอะไรเตี้ยนเซี่ยได้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่คัดค้านเลยสักน้อย เอ่ยว่า “อวี้เหว่ย เจ้าเห็นแล้ว เรื่องนี้พิสูจน์ว่าเยี่ยนโดดเดี่ยวแค่ไหน ใครๆ ก็คิดรังแก เจ้าว่าหากเยี่ยนกลัดกลุ้มกังวล อ่อนแอ ฟ้องแม่นางเยี่ยเม่ย นางจะสงสารเยี่ยน ให้ความสำคัญกับเยี่ยนมากขึ้นไหม”


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ไป ดวงตาทอประกาย


 


 


อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก ขอทีเถอะ ต่อให้คนพวกนี้มารวมกัน ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรท่านได้ ยังจะบอกว่าโดดเดี่ยว ใครๆ ก็รังแกอีก


 


 


แต่อวี้เหว่ยลูบคาง “แสร้งทำตัวน่าสงสารก็ได้ ท่านน่าลองดูจริงๆ”


 


 


คนชุดดำยืนปาดเหงื่ออยู่ด้านข้าง มองพวกเขาสองคนทำเหมือนไม่มีตนอยู่ ทว่าในใจเขารู้ว่า หากเรื่องราวเป็นไปดั่งที่เตี้ยนเซี่ยคาดเดา เตี่ยนเซี่ยก็คงไม่ใส่ใจ ก็เป็นเรื่องปกติ


 


 


แต่ความจริงคือ…


 


 


เขาเอ่ยอย่างใจกล้า “เตี้ยนเซี่ย คือว่า พวกเราได้รับข่าวว่า องค์ชายใหญ่รวบรวมทหาร ไปสังหารแม่นางเยี่ยเม่ย”

 

 

 


ตอนที่ 79

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว หว่างคิ้วปรากฎโทสะยากปิดบัง


 


 


ยังมีความกระหายเลือด เขากวาดตามองชายชุดดำ ถามอ่อนโยน “คนที่เขาส่งไป ออกเดินทางแล้วหรือยัง”


 


 


ชายชุดดำรีบตอบ “ทูลเตี้ยนเซี่ย เนื่องจากองค์ชายใหญ่เคลื่อนย้ายกำลังพลจากค่ายทหารอื่น เคลื่อนไหวอย่างลับๆ ดังนั้นหลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว พวกข้าถึงค่อยรับทราบ”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง ในดวงตาสีเขียวฉายลำแสงมารสีแดงออกมา ชวนให้คนหวาดกลัวอย่างมาก


 


 


คนชุดดำมองสีหน้าของเขาไม่ปกติ รีบรายงานต่อว่า “แต่ว่าคนพวกนั้นทำอะไรแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ได้ หลังจากพวกเขาล้อมแม่นางเยี่ยเม่ยไว้ ก็ถูกแม่นางเยี่ยเม่ย…ทำให้ตกใจหนีไปแล้ว?”


 


 


จะนับว่าตกใจจจนหนีไปก็ไม่ผิดกระมัง?


 


 


สังหารคนไปสองคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ล้วนหนีไปจนหมดสิ้น ทั้งแต่ละคนอยู่ในอาการเหมือนปวดเบามากจนอั้นไม่อยู่ พร้อมปล่อยราดออกมาในระหว่างทางได้ทุกเมื่อ


 


 


อวี้เหว่ยกลับไม่แปลกใจเลยสักน้อย กล่าว “เตี้ยนเซี่ย ความจริงท่านไม่ต้องกังวล ความสามารถของแม่นางท่านนั้น ยากที่จะเสียเปรียบ”


 


 


เมื่อคิดถึงว่าหลังจากที่พวกเขาพบเยี่ยเม่ย สตรีนางนั้นทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง


 


 


ทำร้ายท่านหญิง หนีออกจากทัพทหารพันคน ช่วยชีวิตเด็กหลายคน สังหารคนสี่คน ซ้ำยังถล่มที่ว่าการอำเภอ บุกค่ายทหารต้ามั่วสังหารคน แต่ละเรื่องดูอย่างไรก็ไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งนั้น


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำพูดของอวี้เหว่ย กลับรู้สึกเห็นด้วยมาก เขากวาดตามองอวี้เหว่ย ค่อยๆ กล่าวว่า “เจ้าพูดก็ถูก ความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ดาษดื่น ไม่เป็นรองใคร คนธรรมดาไม่อาจทำร้ายนางได้แน่นอน ยามนี้องค์ชายใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง เยี่ยนคิดไปแสดงความห่วงใยเขาสักหน่อย”


 


 


อวี้เหว่ยรีบเอ่ยทันที “องค์ชายใหญ่ถูกพิษ ยังนอนอยู่ในห้อง”


 


 


พูดจบแล้ว อวี้เหว่ยชะงักไปเล็กน้อย กล่าวต่อ “จริงสิเตี้ยนเซี่ย ยามนี้แม่นางผู้นั้นไม่อยู่ ท่านไม่ต้องคอยประจบอยู่ตลอดเวลา สอพลอไปนางก็ไม่ได้ยิน”


 


 


ยังบอกว่าความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ดาษดื่น ไม่เป็นรองใคร?


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว เดินมุ่งไปยังห้องของเป่ยเฉินเสียง เขาเอ่ยด้วยเสียงน่าฟัง “ใครบอกเจ้าว่าข้ากำลังประจบ นี่คือคำชื่นชมจากใจของเยี่ยน มีเพียงเยี่ยนคอยชื่นชมแม่นางเยี่ยเม่ยอยู่ทุกเวลา นางถึงเข้าใจความจริงใจ ความสัตย์จริง ไม่เสแสร้ง ไม่หลอกลวงของเยี่ยน เข้าใจว่าเยี่ยนเป็นบุรุษรูปงามที่คู่ควรให้เชื่อถือ เป็นสามีดีที่หาได้ยาก”


 


 


อวี้เหว่ย “…”


 


 


แล้วแต่ท่านเลย


 


 


อวี้เหว่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินไปทางห้องของเป่ยเฉินเสียง ก็ไม่พูดอะไรอีก รีบติดตามไป…


 


 


   ……


 


 


ในห้องเป่ยเฉินเสียง


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด นับตั้งแต่ได้ฟังว่าเซี่ยโหวเฉินจากไปโดยไม่ลาเขาสักคำเลย ในใจเขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี คล้ายมีเมฆครึ้มปกคลุม


 


 


เรื่องนี้ทำให้เขาประหวั่นหวาดไม่สงบ


 


 


ในขณะนี้เอง พลันมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากภายนอก


 


 


ไม่ช้า องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน เอ่ยปากรายงาน “องค์ชายใหญ่ ไม่ดีแล้ว องค์ชายสี่มา”


 


 


เขายังพูดไม่ทันจบ รองเท้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ก้าวเข้ามาในห้องเป่ยเฉินเสียงแล้ว


 


 


เป่ยเฉินเสียงเงยหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


ส่วนในเวลานี้ มุมปากของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอมยิ้มด้วยท่าทางน่ามองราวกับแมวเปอร์เซีย ตวัดสายตามององครักษ์ข้างกายเป่ยเฉินเสียง เขายกมือขึ้น กำลังภายในในมือก่อตัว เกิดแรงดึงดูดมหาศาล ดึงคอของอีกฝ่ายเข้ามาในมือ


 


 


ต่อหน้าเป่ยเฉินเสียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามองครักษ์ผู้นั้นเสียงอ่อนโยน “ไม่ดีแล้ว? เยี่ยนเป็นน้องชาย มาเยี่ยมแสดงความห่วงใยเสด็จพี่ใหญ่ ไฉนเจ้าถึงบอกว่าไม่ดีแล้ว เจ้าใช้จิตใจมืดมิดของเจ้า ประเมินเยี่ยนไปในทางเลวร้าย?”


 


 


ยามนี้คอขององครักษ์อยู่ในมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เดิมทีเขาก็กลัวแทบตายอยู่แล้ว เวลานี้ได้ฟังคำพูดอีกฝ่าย ก็ยิ่งตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม


 


 


องครักษ์เอ่ยเสียงสั่น “คือ…ข้าน้อยพลั้งปากไปแล้ว องค์ชายสี่โปรดอภัยด้วย ข้าน้อย…ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ข้าน้อย…”


 


 


เป่ยเฉินเสียงเห็นเหตุการณ์ เกิดโทสะอย่างถึงที่สุด


 


 


เขาจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กัดฟันเอ่ย “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ เขาเป็นองครักษ์ของข้า เจ้าไม่อาจวางอำนาจในที่ของข้า บังอาจนัก เจ้าอย่าลืมว่า ข้าเป็นพี่ชายเจ้า”


 


 


เป่ยเฉินเสียงหาได้ใส่ใจความเป็นตายขององครักษ์ผู้นั้นอย่างแน่นอน ที่เขาใส่ใจคือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลั่นแกล้งองครักษ์ต่อหน้าเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ไว้หน้าเขาเลยสักน้อย เขาย่อมเดือดดาล  


 


 


เมื่อเป่ยเฉินเสียงเอ่ยคำพูดนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับกวาดตามองเขาอย่างสนใจ 


 


 


ไม่ช้า องค์ชายสี่มององครักษ์ของเป่ยเฉินเสียงอีก เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เจ้าได้ยินหรือไม่ เสด็จพี่ใหญ่กำลังขอร้องแทนเจ้า ดูท่าเขาจะห่วงใยเจ้ามาก เห็นแก่หน้าเสด็จพี่ใหญ่ เยี่ยนจะสั่งสอนเจ้าสถานเบา แล้วปล่อยเจ้าไป”


 


 


เขาพูดจบ ออกแรง. คอขององครักษ์บิด สิ้นลมไปในบัดดล


 


 


ทันทีที่ลงมือก็สังหารคน การกระทำเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังกล้าบอกว่าสั่งสอนสถานเบาอีก? ไม่ใช่ว่ายังเห็นแก่หน้าเสด็จพี่ของตนหรือไง


 


 


เป่ยเฉินเสียงโมโหจนตัวสั่น ชี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงดังสนั่นเอ่ยขึ้น “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้ารังแกคนมากไปแล้ว”


 


 


สิ้นเสียงของเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลายมือออก ศพขององครักษ์ตกลงพื้น จากนั้นเขาเดินเข้าหา เป่ยเฉินเสียงอย่างช้าๆ


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายเจือรอยยิ้มจาง เอ่ยเนิบๆ “รังแกคนเกินไปหรือ ในโลกนี้ผู้เข้มแข็งถึงมีสิทธิ์พูด คนอ่อนแอไม่เพียงแต่ถูกเหยียบย่ำได้อย่างง่ายดายแล้ว มักกลายเป็นเครื่องสังเวยในการแสดงความสามารถที่แท้จริงของผู้เข้มแข็ง เสด็จพี่ใหญ่ ท่านเห็นว่าอย่างไร”


 


 


เป่ยเฉินเสียงฟังความหมายแฝงในคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกทันที ยามนี้เขาหน้าซีดขาว สายตาสับสน “เจ้าพูดอะไร ข้า…ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”


 


 


 “ไม่เข้าใจ?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ย เดินไปถึงเบื้องหน้าเป่ยเฉินเสียง 


 


 


เป่ยเฉินเสียงฝืนตัว ลุกขึ้นจากเตียง


 


 


คนทั้งสองมองหน้ากัน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มอ่อนโยน เอ่ยช้าๆ “เสด็จพี่ใหญ่สั่งให้ทหารลงมือกับแม่นางเยี่ยเม่ย ก็มิใช่เพราะต้องการแสดงความสามารถหรอกหรือ หากนางกับองครักษ์ของท่านไร้ความสามารถเช่นเดียวกัน ยามนี้นางคงกลายเป็นศพนอนอยู่ข้างทางไปแล้ว เสด็จพี่ใหญ่ ท่านว่าไม่ใช่หรือ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงสายตาเลิ่กลั่ก ไม่กล้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพูดไม่ผิด เขาคิดฆ่าเยี่ยเม่ย ทางหนึ่งก็เพราะเขาโมโห อีกทางหนึ่งก็เพื่อสั่งสอนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ให้น้องชายที่ไม่รู้จักฟ้าดินผู้นี้รู้จักนิสัยของเขาบ้าง


 


 


ที่คิดไม่ถึงคือ เรื่องนี้ถูกอีกฝ่ายพบได้ไวเหลือเกิน


 


 


เขาหน้าคล้ำ กัดฟันเอ่ย “ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ไม่ต้องเสแสร้งอีก เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าจะเอายังไง เจ้ามาพูดมา”


 


 


อย่างไรเรื่องนี้คิดจะหลบเลี่ยงก็เป็นไปไม่ได้แล้ว อย่างนั้นไม่สู้รับไว้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะกล้าทำอะไรเขา


 


 


จากนั้น


 


 


สิ้นเสียงเขา ก็เห็น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมือ แสงสีแดงเปล่งประกายออกมา


 


 


ถัดมา เป่ยเฉินเสียงรู้สึกถึงแรงดูด ยึดร่างเขาไว้อย่างแรง ร่างเขาถูกพลังนั้นยกขึ้นกระแทกคานห้อง จากนั้นตกกระแทกพื้น กระอักเลือดออกมา


 


 


เป่ยเฉินเสียงเงยหน้า มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างระแวง “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไรกัน”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้าวเข้าประชิดทีละก้าว น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างมาก อ่อนโยนเป็นพิเศษ สีหน้ากลับชั่วร้ายราวปีศาจ “เยี่ยนคิดทำอะไร เยี่ยนเพียงหวังจะเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเสด็จพี่ เสด็จพี่จะได้ไม่รังแกเยี่ยนอีก สัญญากับเยี่ยนได้ไหม”


 


 


      เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยออกไป ก็ยกมือขึ้น ร่างของเป่ยเฉินเสียงถูกพลังของเขายึดกุม กระแทกคานห้องอีกครั้ง  

 

 

 


ตอนที่ 80

 

“ตึง” ร่างของเป่ยเฉินเสียงตกกระแทกพื้นอีกครั้ง จากนั้นเขากระอักเลือดออกมา  


 


 


เป่ยเฉินเสียงมองหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างดุร้าย จ้องปีศาจตนนี้  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้ามาก็สังหารคนผู้หนึ่ง 


 


 


แล้งยังฟาดตัวเขากระแทกพื้น กระอักเลือดออกมาสองครั้ง ยังมีหน้าบอกว่า มาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเขาอีก? 


 


 


เมื่อครู่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพิ่งพูดอะไรออกมานะ 


 


 


บอกว่าตนเองรังแกเขา? ยามนี้เป่ยเฉินเสียงกระอักเลือดออกมาอีก จู่ๆ ก็ถูกยั่วโมโหจนสำรอกเลือดออกมาเต็มพื้น  


 


 


ในระหว่างที่เขาโมโหจนแทบทนไม่ไหวนั้น 


 


 


เขายังเห็นปีศาจตนนั้น หันหน้ามองอวี้เหว่ยคล้ายกลัดกลุ้มมาก เอ่ยว่า “อวี้เหว่ยเจ้าก็เห็นแล้ว ร่างกายของเสด็จพี่แข็งแรงปานนี้ ตกลงมากระแทกพื้นสองครั้งยังยืนหยัดไม่ตาย เห็นแล้วว่าเขาแข็งแกร่งมาก แต่ทำไมเขาต้องรังแกเยี่ยนที่อ่อนแอเสมอ ซ้ำยังรังแกแม่นางเยี่ยเม่ยข้างกายเยี่ยนด้วยเล่า” 


 


 


เป่ยเฉินเสียง “…?” เขารู้สึกว่าตนอยากกระอักเลือดอีกแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียงถูกทำร้ายสองครั้งยังไม่ตาย ก็พิสูจน์ว่าตัวเขาแข็งแกร่งแข็งแรง? ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เข้าประตูมาก็สังหารคนไปหนึ่ง แล้วยังทำร้ายเขาด้วยกลับเป็นคนอ่อนแอแล้ว? ในโลกนี้ยังมีเหตุผลอีกหรือไม่  


 


 


ถึงอวี้เหว่ยอยู่ฝั่งเดียวกับองค์ชายสี่ แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้ยังเบือนหน้าหนีไม่อยากมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สายตาเขามองขึ้นไปด้านบนเพดานห้อง “อย่าถามข้าน้อยเลย ข้าน้อยไม่รู้อะไรทั้งนั้น ท่านยินดีก็พอ”   


 


 


ไม่รู้ว่าทุกครั้งที่เตี้ยนเซี่ยเอ่ยวาจาผีสางเช่นนี้ เตี้ยนเซี่ยหลอกตัวเองได้ก่อนใช่หรือเปล่า 


 


 


สำหรับปฏิกิริยาของอวี้เหว่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักน้อย 


 


 


เขาสาวเท้ากว้างเข้าหาผู้เป็นพี่ชาย เป่ยเฉินเสียงตระหนักได้ขดตัวร่นถอยหลังไป จิตใจยิ่งสับสนวุ่นวาย ตามจริงแล้วเป่ยเฉินเสียงหาใช่คู่ต่อสู้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ไม่มีแรงลงมือตอบโต้กลับได้ นั่นก็เพราะในอาหารเช้ามียาพิษา  ทำให้พลังกายของเขาได้รับความเสียหาย ดังนั้นในยามนี้ถึงได้ถูกสยบเอาไว้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นท่าทางหวาดกลัวของเขา ยื่นมือออกไปพยุงเป่ยเฉินเสียง ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เสด็จพี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป ไฉนต้องกระอักเลือด”  


 


 


เป่ยเฉินเสียง “…?” นั่นไม่ใช่เพราะเจ้าหรือไง ยังแกล้งโง่อะไรอีก 


 


 


ในขณะที่เขาเดือดดาลอยู่ในใจ ก็ได้ยินเสียงปีศาจตรงหน้า เอ่ยช้าๆ ว่า “เสด็จพี่กำลังละอายใจใช่หรือไม่ ในฐานะที่เป็นพี่รังแกน้องชาย รังแกน้องสะใภ้ในอนาคตเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะสำนึกละอาย ถึงได้กระอักเลือดใช่หรือไม่” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงหน้าเขียวคล้ำ ยังไม่ทันเอ่ยอะไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เมื่อครู่พยุงเขาอย่างอ่อนโยน พลันออกแรง กดร่างเขากระแทกพื้นอย่างแรง 


 


 


เป่ยเฉินเสียงถูกกดไว้หน้าแนบพื้น นอนราบอยู่บนพื้น เลือดไหลออกจากจมูก ภายใต้ความเจ็บปวด เขาสงสัยว่าดั้งจมูกของตัวเองคงหักแล้ว 


 


 


เสี้ยวเวลาที่ร่างกายรวมถึงสติของเขาได้รับความกระทบกระเทือนทั้งคู่ ซ้ำยังได้ยินน้ำเสียงแกมหัวเราะของปีศาจตนนั้นดังขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อเสด็จพี่ทำไปเพราะความละอายใจ ปฏิเสธการพยุงของเยี่ยน หมอบลงกับพื้น ซ้ำยังเอาหน้าแนบลงไป เพราะไม่อาจสู้หน้าเยี่ยนอีก” 


 


 


เขาเอ่ยออกไปเช่นนี้ อวี้เหว่ยทนไม่ไหวมองเป่ยเฉินเสียงถูกตีเสียชวนให้คนทนดูไม่ไหว เขาหมุนกายมองออกไปข้างนอก 


 


 


เป่ยเฉินเสียงโมโหจนแทบจะกระอักเลือดอีกครั้ง 


 


 


ความจริงแล้วตัวเขามีฐานะเป็นองค์ชาย ถูกตามใจจนเคยชิน ทว่าสำหรับเขาความเจ็บปวดทางกายไม่นับว่าเป็นอะไร สิ่งที่ทำให้เขาเดือดดาลที่สุดคือคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในยามนี้ แต่ละคำๆ ล้วนเป็นคำที่ผู้เข้มแข็งลบหลู่ผู้อ่อนแอ 


 


 


ยามนี้เขาอดแค้นตัวเองไม่ได้ ไฉนความสามารถถึงห่างชั้นกับฝ่ายตรงข้ามนัก 


 


 


ในระหว่างที่จิตใจทุกข์ทรมานเป็นพันเท่า น้ำเสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “ให้เยี่ยนพยุงเสด็จพี่ขึ้นเถอะ”  


 


 


เป่ยเฉินเสียงคิดถึงตอนที่เขาพยุงตนเองเมื่อครู่ คงจะได้รับเคราะห์อีก กัดฟันตอบว่า “ไสหัวไป เจ้าไม่ต้องพยุงข้า” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง คล้ายถูกทำร้ายอย่างรุนแรง น้ำเสียงเปลี่ยนไปน่าสงสาร กล่าวด้วยความเสียใจ “เสด็จพี่ใหญ่ ท่านทอดทิ้งเยี่ยนเช่นนี้หรือ แม้แต่ให้เยี่ยนพยุงท่าน ท่านยังไม่ยินยอมเลย ข้าน่ารังเกียจขนาดนั้นเชียวหรือ ท่านไม่มีความสงสารหรือห่วงใยน้องชายของตัวเองสักนิดเลยหรือ”  


 


 


ระหว่างที่เขาเอ่ย ก็ยกมือขึ้น กำลังภายในยกโต๊ะที่ไม่ห่างออกไปฟาดลงไปที่แผ่นหลังของเป่ยเฉินเสียง โต๊ะแตะออกเป็นเสี่ยงๆ ทำร้ายเป่ยเฉินเสียงสำเร็จไปอีกหนึ่งครั้ง  


 


 


เป่ยเฉินเสียงถูกทำร้ายจนเจ็บปวดทั้วร่าง ทั้งยังฟังคำพูดผีสางของน้องชายอีก เวลานี้โมโหเสียจนเลือดขึ้นสมอง รู้สึกลึกๆ อีกครั้งว่า เลือดสดๆ ทะลักขึ้นมาติดอยู่ที่คอ จวนจะพุ่งออกมาอีกแล้ว  


 


 


เขากัดฟันเอ่ย “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้า…” 


 


 


เขายังไม่ทันเอ่ยจบ ปีศาจตนนั้นนั่งยองลง ไม่สนใจการดิ้นรนของเป่ยเฉินเสียง เขาฝืนพยุงเป่ยเฉินเสียงขึ้นมาอีกครั้ง ลูบหลังให้เขาหายใจได้ง่ายขึ้น เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เสด็จพี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องโมโหไป ถึงท่านปฏิเสธการช่วยเหลือของเยี่ยนอย่างไร้หัวใจ เนื่องจากความรักฉันท์พี่น้อง เยี่ยนยังคงเป็นห่วงท่านเหมือนเดิม รักปกป้องท่าน เหมือนมือเท้าของตัวเองก็ไม่ปาน” 


 


 


เขาเอ่ยจบ ล้วงขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกจากแขนเสื้อ 


 


 


เป่ยเฉินเสียงมองขวดกระเบื้องในมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความตระหนก เสียงสั่นเอ่ยว่า “นี่คืออะไร”  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองขวดกระเบื้องในมือ สีหน้าสบายอารมณ์ เอ่ยช้าๆ ว่า “นี่คือยาพิษที่ทำจากหนอนพิษ ขอเพียงเสด็จพี่ใหญ่กินเข้าไป นับจากนี้ทุกคืนจะรับรู้ถึงความสนุกสนานที่ถูกหนอนกัดกินอวัยวะภายใน ของดีๆ เช่นนี้ เยี่ยนอยากแบ่งปันกับเสด็จพี่จนแทบทนไม่ไหวแล้ว” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงโมโหเสียจนแทบเอ่ยปากด่าคน 


 


 


ถูกหนอนกัดกินอวัยวะทุกคืน ยังเรียกว่าเสพสุขอีกหรือ ตอนเด็ก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้เรียนหนังสือหรือไง คนผู้นั้นไม่สอนการใช้คำศัพท์ให้เขาบ้างหรือ 


 


 


ยังมีอีกเมื่อครู่เขาพูดว่าอะไร เป็นห่วงตน? รักปกป้องตน? เหมือนกับมือเท้าตัวเอง? 


 


 


สรุปแล้วใครมันโรคจิต ปฏิบัติกับมือเท้าตนแบบนี้บ้าง ? 


 


 


 “อย่า…” ในขณะที่เป่ยเฉินเสียงโมโหถึงขีดสุด ก็เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปิดขวดออก เทยาพิษเม็ดสีดำด้านในออกมา 


 


 


เป่ยเฉินเสียงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี เขาไม่อนุญาตให้ตนเองคุกเข่าอ้อนวอน เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยิ่งไม่ยอมเอ่ยคำพูดอ่อนข้อให้ จึงได้แต่มองปีศาจตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว 


 


 


 “อย่า?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว หันกลับมองเขาด้วยสายตาแปลกใจ ถามว่า “อย่าอะไร เสด็จพี่ใหญ่อยากพูดอะไร ก็พูดออกมาตามตรง ความจริงเยี่ยนพูดจากจิตใจดีงามของตัวเอง เยี่ยนเคารพเลื่อมใสเสด็จพี่มาก อยากเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกับเสด็จพี่ใหญ่” 


 


 


อวี้เหว่ยที่อยู่ด้านข้าง อดทนไม่ไหวสอดขึ้นมา “เตี้ยนเซี่ย ยามที่ท่านเอ่ยจากจิตใจอันดีงามของตน ท่านไม่รู้สึกเจ็บหัวใจบ้างหรือ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองอวี้เหว่ย กล่าวว่า “เจ็บบ้างเล็กน้อย” 


 


 


สิ้นคำ เขามองเป่ยเฉินเสียงที่โมโหจนแทบกระอักเลือดอีกครั้ง เอ่ยช้าๆ ว่า “เสด็จพี่ใหญ่ เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ไม่สู้ท่านเอ่ยป่าวประกาศออกไปตามจริง เอ่ยตามความสัตย์ว่า เยี่ยนคือคนวางยาพิษท่าน ลงมือกับท่าน ยังทำให้ท่านอยู่ไม่สู้ตาย ท่านถึงยอมปล่อยวางความคิดปองร้าย เป็นพี่น้องที่ดีกับเยี่ยน”   

 

 

 


ตอนที่ 81

 

เป่ยเฉินเสียงสีหน้าเขียวคล้ำ “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป็นเพราะข้าลงมือกับเยี่ยเม่ยไม่ใช่หรือไง คนของข้ายังไม่ได้แตะต้องนางเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังตายไปสอง ไฉนเจ้าถึงไม่ยอมจบสักที” 


 


 


ยังบอกว่าเป็นพี่น้องกับเขา เป็นพี่น้องประสาอะไรกัน เพราะเหตุใดต้องเอ่ยว่าวาจาเหลวไหลเหมือนเป็นจริงเป็นจังเหล่านี้ด้วย 


 


 


ระหว่างที่เขาเอ่ย ก็มองเม็ดยาพิษเบื้องหน้าตนอย่างกังวล กลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะบ้าดีเดือดบังคับให้เขากินลงไปจริงๆ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับยิ้มออก ค่อยๆ มองเขาทีหนึ่ง “ดังนั้นความหมายของเสด็จพี่ใหญ่คือ รังเกียจที่น้องสะใภ้ในอนาคต กระทำเรื่องเลวร้ายน้อยไปอย่างนั้นหรือ” 


 


 


 “ข้า…” เป่ยเฉินเสียงพูดไม่ออก เสียงดังเอ่ยว่า “ข้าหาได้พูดเช่นนั้น แต่ที่เจ้าบอกว่าน้องสะใภ้ นางเป็นน้องสะใภ้ในอนาคตของข้าจริงๆ หรือ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงเอ่ยไป ใช้สายตาดุร้ายมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


หลายวันมานี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เขาเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยายามเอาใจเยี่ยเม่ย ทว่านางไม่สนใจเขา เรื่องเหล่านี้เขาล้วนมองอยู่ในสายตา  


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคลี่ยิ้ม รอยยิ้มอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “ในเวลาเช่นนี้ เสด็จพี่ใหญ่ยังไม่รู้จักเอ่ยคำพูดให้ข้าอารมณ์ดีสักหลายคำ เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์ของตน พอให้เห็นได้ว่าเสด็จพี่มีอารมณ์และสติปัญญาต่ำจนน่าหดหู่นัก” 


 


 


สิ้นเสียง เขาออกแรงบีบคอเป่ยเฉินเสียง 


 


 


ภายใต้การดิ้นรนของเป่ยเฉินเสียง เขาเอายาพิษยัดใส่ปากเป่ยเฉินเสียงด้วยท่าทางน่ามอง เอ่ยช้าๆ ว่า “ปล่อยให้เสด็จพี่ตายเช่นนี้ ท่านก็จะสบายเกินไปแล้ว ดังนั้นเยี่ยนคิดว่า ท่านกลืนยาพิษนี้ลงไปเถอะ เสพสุขช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตให้ดี ถึงจะเหมาะสม” 


 


 


เขาเอ่ยจบก็ปล่อยเป่ยเฉินเสียง 


 


 


เป่ยเฉินเสียงอยู่ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัว กุมคอตัวเองไว้ บีบไม่หยุด หวังจะคายยาพิษออกมา 


 


 


หลังจากเขาบีบคอตนเองไปได้สักพักหนึ่งก็ยังไม่สำเร็จ เขาใช้มือดึงลิ้นของตน หวังให้จะอาเจียนยาพิษออกมาอีกครั้ง เขาดึงอยู่นาน ยังเป็นการกระทำที่เสียแรงเปล่า 


 


 


ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดง ภายในคือความเดือดดาลที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาจ้องมองน้องชายตาเขม็ง คล้ายกำลังจ้องมองศัตรูชั่วชีวิตของตน  


 


 


ในเวลานี้ พวกเยี่ยเม่ยเข้ามาถึงแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยเดินเข้าประตูใหญ่ เห็นเป่ยเฉินเสียงนอนบนพื้น สีหน้าเจ็บปวด ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนอยู่ด้วนข้าง มุมปากอมรอยยิ้มชวนมอง  


 


 


เยี่ยเม่ยย่นคิ้ว ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น เป่ยเฉินเสียงก็ล่วงเกินท่านหรือ” 


 


 


นางยังไม่ทันคิดบัญชีกับเป่ยเฉินเสียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับลงมือล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว แววตาเผยรอยยิ้มมองเยี่ยเม่ย ใบหน้าหล่อเหลาเจือรอยยิ้มที่ยากปกปิด เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ถูกแล้ว เยี่ยนได้ยินว่าเขาเหิมเกริม สั่งให้ทหารไปทำร้ายแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนอดรนทนไม่ไหว จึงลงมือ แสดงความห่วงใยพี่ชายของตนสักหน่อย” 


 


 


ที่แท้ก็ทำเพื่อนาง เยี่ยเม่ยพยักหน้า ในใจรู้สึกว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้ไม่เลวเลย นางมองเป่ยเฉินเสียงทีหนึ่ง 


 


 


ทั่วร่างมีแต่เลือด นอนสภาพน่าอนาถบนพื้น มุมปากรวมถึงจมูกล้วนมีเลือดไหล สภาพน่าสงสารถึงที่สุด ลำคอยังเขียวช้ำ เขาบีบคอตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายต้องการอาเจียนอะไรออกมา  


 


 


ท่าทางเช่นนี้… 


 


 


ยังดูน่าสงสารอย่างแปลกประหลาด 


 


 


เยี่ยเม่ยส่งสายตามองเป่ยเฉินเสียง เดินไปยังเบื้องหน้าเขา ยื่นเท้าเตะเป่ยเฉินเสียงอย่างไม่เกรงใจ “ได้รับการสั่งสอนแล้วหรือ”  


 


 


เป่ยเฉินเสียงยามนี้จวนเจียนจะพ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง 


 


 


สตรีนางนี้ถึงกับใช้เท้าเหยียบเขาผู้เป็นองค์ชาย ซ้ำยังเป็นองค์ชายใหญ่ที่กำเนิดจากฮองเฮาต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ 


 


 


แต่เมื่อมองเยี่ยเม่ยสีหน้าไม่เป็นมิตร ซ้ำยังมีเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้านข้างอีก 


 


 


ยามนี้เขาก็เข้าใจแล้ว ตอนนี้หาใช่ยามที่ตนมัวทำตัวเป็นวีรบุรุษ เอ่ยคำพูดน่าเกรงขามออกมา สามารถรักษาหน้าของตนไว้จริง แต่เสียชีวิตก็ไม่เรียกว่าคุ้มค่า 


 


 


ดังนั้นเขาเลือกเงียบไม่ตอบ 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา เอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านพูดมาตามตรง หลายวันนี้ท่านเห็นว่าข้าเพียบพร้อมมาก ท่านเองไม่คู่ควรกับข้า ทั้งเรื่องวางยาพิษ ท่านจึงระเบิดโทสะ เพราะความรักแปรเป็นความแค้น คิดลงมือกับข้า” 


 


 


เป่ยเฉินเสียง “…” 


 


 


คนทั้งหมดในที่นี้ “…?” 


 


 


นัยน์ตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทวีความล้ำลึกขึ้นหลายส่วน มุมปากยกยิ้ม จ้องเป่ยเฉินเสียง รอยยิ้มที่มีเจตนาไม่ชัดเจนทำให้เป่ยเฉินเสียงหนังศีรษะชาวาบ 


 


 


 “ไม่ใช่” เป่ยเฉินเสียงปฏิเสธทันควัน 


 


 


           ยามที่เขาเอ่ยออกไป ใบหน้าเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวขาวซีด ความจริงก็เป็นอย่างที่เยี่ยเม่ยเอ่ยอยู่บ้าง เขาเห็นสตรีนางนี้ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักน้อย อยากได้ตัวนางแต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพื่อกันมิให้อีกฝ่ายไปอยู่ข้างเดียวกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลายเป็นศัตรู เขาจึงทำเช่นนี้  


 


 


ส่วนสาเหตุที่ว่ามาจากความเพียบพร้อมของนาง? ซ้ำยังมีเปลี่ยนจากความรักจนกลายเป็นความแค้น ? 


 


 


ล้วนไม่มีแม้แต่น้อย 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำตอบก็ไม่โกรธ พยักหน้าตอบว่า “ความจริงท่านไม่ชอบข้าใช่หรือไม่ อย่างนั้นก็ไม่แปลก อย่างไรเสียท่านก็รู้ว่าข้าเพียบพร้อม ท่านไม่คู่ควร ท่านไม่กล้าตกหลุมรักข้าได้ง่ายๆ เรื่องนี้ข้าเข้าใจได้ ดังนั้นข้ายอมรับคำปฏิเสธของท่าน”  


 


 


เป่ยเฉินเสียง “…?”  


 


 


นางมียางอายบ้างหรือไม่ 


 


 


เยี่ยเม่ยประเมินเป่ยเฉินเสียงอีกครั้ง เอ่ยช้าๆ “เห็นแก่สภาพน่าอนาถของท่านแล้ว ข้าคร้านจะลงมืออีก ไม่สู้เอาอย่างนี้ ท่านสาบานด้วยเกียรติและฐานะของท่าน ภายหน้าจะไม่หาเรื่องข้าอีก ไม่เช่นนั้นขอให้ท่านไม่แข็งไปหมื่นปี ข้าก็จะปล่อยท่านไป เป็นอย่างไร” 


 


 


 “ข้า…” เป่ยเฉินเสียงหน้าเขียวคล้ำ ถลึงตามองเยี่ยเม่ยไม่พูดจา 


 


 


เขาเป็นถึงองค์ชายถึงกับต้องให้เยี่ยเม่ยยอมปล่อยเขา ซ้ำยังต้องสาบานและสัญญา โดยเฉพาะคำสาบานร้ายแรงนั่นเกี่ยวพันถึง…ศักดิ์ศรีของบุรุษ อีกฝ่ายถึงยอมปล่อยเขา ต่อไปเขาเป่ยเฉินเสียงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนอีก   


 


 


ในเวลานี้เอง องค์รักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา หลังจากเข้าประตูแล้วก็เอ่ยปากทันที “องค์ชายสี่ ด้านนอกมีคนขอพบ” 


 


 


 “อ้อ?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองผู้มา กวาดตาด้วยความไม่พอใจ ถามเสียงเบาว่า “คราวนี้เป็นใครอีกแล้ว” 


 


 


ระหว่างที่เขาเอ่ยนั้น บุรุษชุดดำหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง กอดกระบี่เดินสาวเท้ายาวเข้ามา 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา กลับแค่นเสียงเย็นชา เอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าก็มาด้วยแล้ว? เขาสั่งให้เจ้ามาหรือ” 


 


 


คนผู้นั้นค้อมกาย คุกเข่าลง เอ่ยปากว่า “เป่ยเจี้ยนเกอคารวะองค์ชายสี่ จวินซ่างสั่งให้ข้าน้อยมาจริงๆ เรื่องที่เกิดในที่นี้ จวินซ่างรับรู้หมดแล้ว จวินซ่างกล่าวว่าองค์ชายใหญ่มีความผิด แต่สมควรให้ฝ่าบาทตัดสินโทษ ไม่แนะนำให้ท่านสังหารเขา หวังว่าท่านจะเห็นแก่หน้าจวินซ่าง ปล่อยองค์ชายใหญ่ ให้ข้าน้อยนำตัวเขากลับไปรับโทษที่เมืองหลวง” 


 


 


จวินซ่าง… 


 


 


สีหน้าของทุกคนตื่นตระหนก ราชสำนักเป่ยเฉิน มีบุคคลฐานะสูงส่งผู้หนึ่ง ตำแหน่งฐานะของเขาเพียงอยู่ใต้ฮ่องเต้เท่านั้น ถูกเรียกว่าจวินซ่าง…ยอดฝีมือที่มีความสามารถสะเทือนฟ้า เสิ่นเซ่อเทียน 


 


 


เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ ในใจทุกคนเกิดความเคารพขึ้นโดยธรรมชาติ 


 


 


จากนั้น เมื่อองค์ชายสี่ได้ฟัง กลับกวาดตามองเขาอย่างไม่ใส่ใจทีหนึ่ง เอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่า “จะปล่อยเขาหรือไม่ ก็อยู่ที่แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนไม่อาจออกความเห็น เพราะเยี่ยนเชื่อฟังคำพูดของแม่นางเยี่ยเม่ยเท่าชีวิต” 

 

 

 


ตอนที่ 82

 

ตอนที่ 82 เงื่อนไขคำสาบาน 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอพลันชะงักไป เงยหน้ามองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง 


 


 


เขาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “เรื่องในเมืองหลายวันนี้ ข้าได้ฟังมาบ้าง แต่คิดไม่ถึง…” 


 


 


พูดถึงตรงนี้เขาก็ไม่เอ่ยต่อไปอีก 


 


 


ส่วนคนที่สมควรเข้าใจคำพูดของเขา ในเวลานี้ก็เข้าใจแล้ว อวี้เหว่ยยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าว่างเปล่ารับคำต่อว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึง” 


 


 


ถูกแล้ว พวกเขาต่างก็คิดไม่ถึง องค์ชายสี่ไม่ได้คิดเล่นกับเยี่ยเม่ยอย่างที่พวกเขาคิดในคราแรก หรือแม้กระทั่งทรมานอีกฝ่าย ยามนี้ดูไปแล้วองค์ชายสี่จริงจังมาก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับหัวเราะออกช้าๆ แต่ไม่ตอบ 


 


 


เยี่ยเม่ยย่อมไม่เข้าใจว่าคนกลุ่มนี้กำลังเล่นทายปริศนาอะไรอยู่ เห็นเป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยวาจา สายตาคาดถามมองมาที่นาง เห็นได้ชัดกว่ากำลังรอคำตอบของนางว่าจะปล่อยเป่ยเฉินเสียงหรือไม่ 


 


 


เยี่ยเม่ยเบือนหน้ามองเป่ยเฉินเสียง เอ่ยเสียงเย็น “ปล่อยเขาก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ ข้าเพิ่งบอกไปแล้ว ขอเพียงเขาสาบาน เอ่ยคำสาบานตามที่ข้าบอก เจ้าก็พาเขาไปได้” 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอย่อมไม่รู้ชัดว่า เมื่อครู่เยี่ยเม่ยเอ่ยอะไรกับเป่ยเฉินเสียง เพราะเขาเพิ่งจะมาถึง 


 


 


ทว่าในยามนี้ เขากลับมองเป่ยเฉินเสียงอย่างแน่วแน่ เอ่ยปากว่า “องค์ชายใหญ่ เพื่อสถานการณ์ใหญ่ ไม่ว่าแม่นางผู้นี้ให้ท่านสาบานอะไร ข้าน้อยแนะนำให้ท่านรับปากเถอะ” 


 


 


 “ข้า…” เป่ยเฉินเสียงสีหน้าเจ็ดปวด หยัดกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลขึ้น มองเป่ยเจี้ยนเกอ 


 


 


เขากัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้ยินว่านางให้ข้าสาบานว่าอะไร” 


 


 


คราวนี้ เป่ยเจี้ยนเกอหันหน้ามองเยี่ยเม่ย ใช้สายตารุกถาม 


 


 


เยี่ยเม่ยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ มองเป่ยเฉินเสียง เอ่ยว่า “หากท่านเตรียมตัวตายแล้ว ท่านไม่พูดก็ไม่เป็นไร” 


 


 


นางเอ่ยออกไป เป็นการข่มขู่อีกฝ่าย  


 


 


เป่ยเฉินเสียงเกิดความเดือดดาล มองเยี่ยเม่ย กัดฟันเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้ากล้าฆ่าข้าจริงๆ” 


 


 


อย่างไรเขาก็เป็นองค์ชายใหญ่ที่เกิดจากฮองเฮาของราชวงศ์เป่ยเฉิน หากสตรีนางนี้สังหารเขา นางต้องตายโดยมิต้องสงสัย  


 


 


เยี่ยเม่ยถอนใจ มองเป่ยเฉินเสียงที่ระเบิดอารมณ์ออกมา ถามว่า “ท่านคิดให้ดีก่อนค่อยพูดจะดีกว่า จะรักษาชีวิตของตัวเอง หรือว่าลองดีกับข้า?”  


 


 


“ข้า…” เป่ยเฉินเสียงมองสายตาเยี่ยเม่ย ลังเลไปชั่วขณะ 


 


 


ครั้นคิดถึงหลายวันที่ผ่านมา สตรีนางนี้ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน การกระทำไม่ไว้หน้าเขาของนางแต่ละอย่าง ในใจเขาสูญเสียความความมั่นใจในตัวเองไปแล้ว 


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมุมปาก เอ่ยขึ้นเนิบๆ “เสด็จพี่ใหญ่วางใจได้ หากแม่นางเยี่ยเม่ยดึงดันจะสังหารท่าน เสด็จพ่อเอาผิดลงมา เรื่องทั้งหมด เยี่ยนจะแบกรับไว้เอง”  


 


 


ยามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยออกคำพูด ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายเจือด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ท่าทางสบายๆ ในยามนี้ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่กลัวผลลัพธ์ของเรื่องนี้สักน้อย  


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอย่อมรู้จักนิสัยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดี เขามองเป่ยเฉินเสียงทันที เกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “องค์ชายใหญ่ หากท่านยังไม่ยอมก้มหน้า ผิดต่อน้ำใจของจวินซ่าง อย่างนั้นข้าน้อยได้แต่กลับไปรายที่เมืองหลวงแล้ว” 


 


 


ในขณะที่เอ่ย หลูเซียงฮั่วก็ทำเรื่องที่เยี่ยเม่ยสั่งการไว้ก่อนหน้าเสร็จสิ้น พาคนกลุ่มหนึ่งปรากฎตัวขึ้น 


 


 


หลังจาก หลูเซียงฮั่วเห็นบรรยากาศในที่นี้ ก็ไม่กล้าส่งเสียงไปชั่วขณะ 


 


 


เป่ยเฉินเสียงเต็มไปด้วยโทสะ หันมองเยี่ยเม่ยสายตาคล้ายสังหารคนได้ สาบานก็สาบาน “เจ้าอย่าเสียใจก็แล้วกัน” 


 


 


เยี่ยเม่ยหน้านิ่ง ตอบเย็นชาว่า “ข้าย่อมไม่มีทางเสียใจ สาบานเถอะ ขอเพียงท่านยอมสาบานต่อฟ้าว่า หากท่านยังหาเรื่องข้าอีก ท่านจะไม่แข็งไปหมื่นปี ตกบ่อกินอาจม นอนกับบุรุษจนร้องไห้ เท่านี้ท่านก็ไปได้แล้ว” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 83 ซาบซึ้งอยู่ในใจก็พอ ไม่ต้องโขกหัวขอบคุณ 


 


 


 “เจ้า…” 


 


 


คราวนี้ ไม่ต้องพูดถึงเป่ยเฉินเสียงที่มองเยี่ยเม่ยอย่าไม่เชื่อสายตา บุรุษทั้งหลายในที่แห่งนี้ต่างก็มองเยี่ยเม่ยด้วยสายตาแปลกประหลาด 


 


 


นี่… 


 


 


ต้องโหดเ**้ยมถึงขั้นนี้เชียวหรือ 


 


 


ไม่แข็งพันปี สำหรับบุรุษแล้วก็นับเป็นการทดสอบอันยิ่งใหญ่เกินจะเปรียบ ยังมีตกบ่อกินอาจมส่วนที่น่ากลัวที่สุดก็คือนอนกับผู้ชายจนร้องไห้ องค์ชายใหญ่คือบุรุษนะ 


 


 


นี่นางกำลังให้องค์ชายใหญ่สาบานให้ตัวเองกลายเป็นชายบำเรออย่างนั้นหรือ 


 


 


ที่สำคัญคือ เงื่อนไขคำสาบานเช่นนี้ เป็นคำที่สตรีนางหนึ่งเสนอออกมาในยามปกติหรืออย่างไร? เอ๋? 


 


 


สตรีนางหนึ่ง ทันทีที่เอ่ยปากก็พูดว่า ท่านนอนกับบุรุษจนร้องไห้… 


 


 


แม้กระทั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือจิ่วหุน ในยามนี้หางตาของพวกเขายังกระตุก เป่ยเจี้ยนเกอกับอวี้เหว่ยต่างรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ เอิ่ม…ออกจะกล้าหาญเกินไป 


 


 


เป่ยเฉินเสียงสะกดโทสะจ้องเยี่ยเม่ย เพราะกลั้นความโมโหเอาไว้ ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ 


 


 


เขาสูดลมหายใจลึก เอ่ยปาก “ไม่แข็งพันปีก็ได้ ตกบ่อกินอาจมก็ไม่มีปัญหา แต่นอนกับผู้ชายจนร้องไห้ ตัวข้า…” 


 


 


เขายังไม่ทันเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยเข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อแล้ว นางสีหน้าเย็นเฉียบ ตัดบทเขา “ข้อเสนอของข้า ไม่ใช่ให้ท่านต่อรอง”  


 


 


สีหน้าเป่ยเฉินเสียงยิ่งไม่น่ามองขึ้นไปใหญ่ 


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ยเห็นสีหน้าของเขา ยังเอ่ยต่อไป “ตอนนี้ท่านก็แค่สาบานเท่านั้น ขอเพียงภายหน้าท่านไม่หาเรื่องข้า เนื้อหาในคำสาบานก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ดังนั้นท่านจะปฏิเสธไปทำไม หรือว่า…วันนี้ปล่อยท่านไปแล้ว ภายหน้าท่านยังคิดเป็นศัตรูกับข้า?”  


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยคำพูดนี้ น้ำเสียงของนางค่อยๆ เย็นเยียบลง 


 


 


ใบหน้าเย็นชาพลันปรากฎไอสังหาร 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอรีบมองเป่ยเฉินเสียง เอ่ยปาก “องค์ชายใหญ่ ท่านเป็นถึงองค์ชาย ข้าน้อยคิดว่า ภายหน้าท่านไม่มีความจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับสตรีนางหนึ่ง ” 


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยปรายมองเป่ยเจี้ยนเกอ เตือนว่า “ระวังการใช้คำพูดของเจ้าไว้”  


 


 


การใช้คำพูด? 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอนิ่งไปชั่วครู่ การใช้คำพูดของเขามีปัญหาอย่างนั้นหรือ  


 


 


เวลานี้อวี้เหว่ยส่งสายตาบุ้ยใบ้ให้เป่ยเจี้ยนเกอ ทำปากเป็นคำว่า “ประจบ” สองคำบอกเขา  


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอพลันเข้าใจได้ เหงื่อเย็นเยียบผุดพรายเพราะอับจนคำพูด กระตุกมุมปาก ฝืนเอ่ยปากว่า “องค์ชายใหญ่ แม่นางที่งดงามโดดเด่นท่านนี้ ภายหน้าท่านยึดถือนางเป็นศัตรูเป็นการกระทำที่เบาปัญญานัก ดังนั้นข้าน้อยคิดว่าการสาบานไม่ใช่ไม่เหมาะสม”   


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอเกิดความฉงนขึ้นใจ 


 


 


เขาเดินทางมาครั้งนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาทำงานมา เพื่อทำภารกิจสำเร็จยังต้องประจบคน เขาหวังว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่เจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างพอใจ ส่งสายตาเย็นชาไปหา เป่ยเจี้ยนเกอ สั่งสอนว่า “เจ้าไม่เข้าใจความโดดเด่นของข้า ใช้คำผิดก็ไม่แปลก วันนี้ข้าให้เจ้าเปลี่ยนการใช้คำพูด ก็เพื่อช่วยยกระดับสติปัญญาของเจ้า เจ้าซาบซึ้งอยู่ภายในก็พอ ไม่จำเป็นต้องโขกหัวขอบคุณแล้ว” 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอ “…?” 


 


 


เขาเป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของจวินซ่าง ยามปกติท่านอ๋ององค์ชายได้พบเขายังเกรงใจ ยกเว้นแต่องค์ชายสี่เท่านั้น มาวันนี้กลับต้องประจบประแจง ซ้ำยังถูกสตรีนางหนึ่งช่วยยกระดับสติปัญญาด้วย?   


 


 


จริงสิ นางพูดว่าอะไรนะ  


 


 


ซาบซึ้งอยู่ภายใน ไม่ต้องโขกหัวขอบคุณ? 


 


 


อวี้เหว่ยแอบหันหน้ามองแสงอาทิต์ร้อนแรง พลันรู้สึกว่าเยี่ยเม่ยก็เหมือนกับแสงอาทิตย์ แสบตาเกินไป ทำให้ดวงตาคนบอดลงได้  


 


 


ถึงเป่ยเจี้ยนเกออับจนคำพูด เพราะเห็นแก่ภาพรวม สุดท้ายก็ไม่ส่งเสียงค้าน 


 


 


เป่ยเฉินเสียงเห็นเป่ยเจี้ยนเกอถูกทำให้ชะงักไป เวลานี้ก็รู้ว่าอีกฝ่ายทำอย่างสุดกำลังแล้ว เพราะเยี่ยเม่ยหาได้ไว้หน้าเสิ่นเช่อเทียนไม่ 


 


 


เขาหน้าคล้ำเขียว ร่างกายถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำร้ายจนบาดเจ็บ ยามนี้ยิ่งทวีความเจ็บปวดมากขึ้น เขารู้ว่าหากอาการบาดเจ็บของตนยังฝืนทนต่อไป ผลลัพธ์สุดท้ายจะยิ่งร้ายแรง 


 


 


สุดท้าย เขาลังเลสักครู่ จ้องเยี่ยเม่ย กัดฟันเอ่ยว่า “ได้ ข้าจะสาบาน” 


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองเขาอย่างเย็นชา  


 


 


พวกหลูเซียงฮั่วในที่นี้ล้วนก้มหน้า สายตาไม่กล้ามองเป่ยเฉินเสียง องค์ชายใหญ่เป็นบุรุษผู้หนึ่ง เป็นถึงองค์ชายแห่งราชวงศ์ หากวันนี้สาบานตามความหมายของแม่นางเยี่ยเม่ย… 


 


 


อะไรก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เรื่องนี้จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยขององค์ชายใหญ่ พวกเขาเห็นใจอย่างแท้จริง ทั้งตื่นเต้นด้วย 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเป่ยเฉินเสียง รอคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย 


 


 


เป่ยเฉินเสียงจ้องมองเยี่ยเม่ยอย่างดุร้าย ชูนิ้วสามนิ้วออก เอ่ยทีละคำว่า “ข้าเป่ยเฉินเสียงขอสาบาน ชั่วชีวิตนี้จะไม่เป็นศัตรูกับแม่นางเยี่ยเม่ย หากผิดสัญญา ขอให้ข้าไม่แข็งหมื่นปี ตกบ่อกินอาจม นอนกับบุรุษจนร้องไห้” 


 


 


บุรุษจำนวนไม่น้อยก้มหน้าก้มตา บ่าสั่นไหว กลั้นหัวเราะ 


 


 


มารดามันเถอะ อย่าโทษที่พวกเขาไม่ได้เรื่องเลย เพียงแต่เห็นองค์ชายใหญ่ชายชาตรี เอ่ยคำสาบานเหล่านี้ออกไปอย่างจริงจัง พวกเขาอยากหัวเราะเสียจริง 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าพอใจ ”ดูท่าท่านจะเข้าใจความหมายของข้าชัดเจนแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยจบ กวาดตามองเป่ยเจี้ยนเกอ เอ่ยว่า “ข้าตัดสินใจปล่อยเขาอย่างใจกว้าง เจ้าพาเขาไปเถอะ” 


 


 


คนทั้งหมด “…?” 


 


 


ให้องค์ชายทั้งคนเอ่ยคำสาบานอย่างอำมหิตต่อหน้าคนทั้งหลาย นางยังรู้สึกว่าตัวเองใจกว้างอีก?  


 


 


เวลานี้เป่ยเจี้ยนเกอไม่คิดพูดอะไรอีก เขาปาดเหงื่อบนหน้าผาก ลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก ค่อยๆ ก้าวไปพยุงเป่ยเฉินเสียงขึ้นมา จากนั้นไม่พูดก็พาอีกฝ่ายจากไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


สายตาของเป่ยเฉินเสียงแสดงคำสองคำออกมาอย่างชัดเจน ‘อดสู’ 


 


 


ดูจากสีหน้าเขา ในเวลานี้ต่อให้ต้องดื่มเลือดเยี่ยเม่ย เขาก็สามารถดื่มลงไปได้แล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียงถูกเป่ยเจี้ยนเกอพยุง เดินออกไป 


 


 


พลันได้ยินกระแสเสียงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นมาจากด้านหลัง “เสด็จพี่ ได้ยินมาว่าคนที่ควบคุมสายตาตัวเองไม่ได้ ชมชอบถลึงตาใส่ผู้อื่นไปเรื่อย จะเสียลูกตาไปได้ง่ายๆ”  


 


 


เป่ยเฉินเสียงหน้าเสีย หันกลับไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “คำพูดนี้ของเจ้าหมายว่าอย่างไร เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ”  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะช้าๆ เอ่ยสบายๆ ว่า “ท่านเป็นถึงเสด็จพี่ที่เยี่ยนรักที่สุด เยี่ยนจะกล้าข่มขู่ท่านได้อย่างไร เยี่ยนกำลังตักเตือนด้วยเจตนาดี เสด็จพี่ใหญ่ถลึงตาใส่แม่นางเยี่ยเม่ยต่อไปก็ได้ ไม่ช้าเสด็จพี่ใหญ่ก็จะเข้าใจว่า ที่เยี่ยนเตือนในยามนี้ มีความเมตตาเพียงไหน”  


 


 


คำพูดนี้เป็นการเตือนท่านแล้ว อย่าถลึงตาอีก ข้ามีเมตตากับท่านมากแล้ว หากยังถลึงตาต่อไปอีกข้าจะควักลูกตาท่านออกมาซะ 


 


 


เป่ยเฉินเสียงหน้าเขียวแล้วกลับมาซีดเผือด เขาพลันรู้สึกเสียใจที่ตัวเองวิ่งมาหาเรื่องให้ตนถูกลบหลู่ถึงที่นี่ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้เดียวก็เป็นปีศาจร้ายแล้ว เมื่อรวมกับเยี่ยเม่ยอีกคนหนึ่ง เหมือนสวรรค์กำลังกลั่นแกล้งเขา หรือสวรรค์เตรียมตัวจะกลั่นแกล้งคนทั่วใต้หล้า 


 


 


เป่ยเฉินเสียงแค่นเสียงเย็น “หึ” 


 


 


เขาไม่เอ่ยอะไร ทั้งไม่ถลึงตาอีก จากไปภายใต้การพยุงของเป่ยเจี้ยนเกอ  


 


 


   …… 


 


 


 


 


 


ส่วนในยามนี้ กระโจมของราชาต้ามั่ว 


 


 


ราชาต้ามั่วนั่งตำแหน่งประธาน เซียวชินนั่งประจำตำแหน่งของตน สายตาจ้องที่ข้าวสารเผยความตื่นตระหนกทั้งไม่อยากเชื่อ 

 

 

 


ตอนที่ 84-85

 

ตอนที่ 84 ตกหลุมพราง 


 


 


ตามหลักแล้ว ข้าวสารที่ได้มาโดยง่าย มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหามาก 


 


 


หลังจากเขาลงมือตรวจสอบด้วยตัวเอง ก็ไม่พบพิษอยู่จริงๆ  


 


 


ราชาต้ามั่วมองเซียวชินที่สีหน้าระแวงสงสัย เอ่ยปากอย่างลังเลว่า “ทำไมกัน ข้าวสารมีปัญหาหรือ” 


 


 


 “ไม่มี” เซียวชินตอบหน้านิ่ง 


 


 


ราชาต้ามั่วเห็น เซียวชินสีหน้าหนักใจ ก็รู้สึกไม่เข้าใจ “ในเมื่อไม่มีปัญหา ไฉนจั่วอี้อ๋องถึงต้องหนักใจ”  


 


 


เซียวชินเอ่ย “นั่นก็เพราะว่าไม่พบปัญหา กระหม่อมถึงยิ่งกังวลใจ” 


 


 


ลู่หวานหว่านที่อยู่ด้านข้าง ใบหน้ายิ้มแย้มลำพอง เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่า จั่วอี้อ๋องประเมินสตรีนางนั้นสูงเกินไป ลองคิดดู หากนางมีความสามารถจริงๆ ไฉนถึงสูญเสียเสบียงมากมายเท่านี้ แล้วยังจับข้ากลับไปไม่ได้” 


 


 


“นั่นก็จริง ” จุดนี้กลับได้รับความเห็นด้วยจากเซียวชิน 


 


 


เกรงว่าต่อให้เปลี่ยนเป็นเป่ยเฉินเสียง เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะชิงตัวลู่หวานหว่านจากมือฝ่ายตรงข้ามกลับมาได้ อีกทั้งยังไม่เกิดความสูญเสียเลยสักน้อย  


 


 


ยามนี้ราชาต้ามั่วก็รับคำ “ตัวข้าก็คิดเช่นนี้ จั่วอี้อ๋องไม่จำเป็นต้องเห็นเป็นเรื่องใหญ่อีกแล้ว ในเมื่อไม่มีปัญหาใดๆ ก็วางใจเถอะ คนของราชสำนักเป่ยเฉิน บางทีอาจโจมตีกลับในไม่ช้า จั่วอี้อ๋องสมควรเตรียมรับศึกถึงจะถูก”  


 


 


สิ้นเสียงราชาต้ามั่ว ไม่ช้าก็มีนายทหารผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา 


 


 


หลังจากนายทหารเข้ามา คุกเข่ารายงาน “ท่านข่าน จั่วอี้อ๋อง พวกเราได้รับข่าวมาว่า สตรีที่เรียกว่าเยี่ยเม่ยผู้นั้น หลังจากพ่ายแพ้พวกเราแล้ว ถูกทหารเป่ยเฉินไล่สังหาร” 


 


 


 “เอ๋?” เซียวชินหันหน้ามองเขา 


 


 


นายทหารผู้นั้นเสริมขึ้นอีกว่า “เรื่องนี้เป็นความจริงแน่นอน ระหว่างทางยังมีศพทหารหลายนาย ข่าวนี้มาจากคนที่ติดตามเยี่ยเม่ยก่อนหน้านี้ปล่อยออกมา เห็นว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไม่สำเร็จ คนที่ไม่พอใจเยี่ยเม่ยอยู่แต่เดิมก็ยิ่งไม่พอใจใหญ่ เป่ยเฉินเสียงยิ่งอดรนทนไม่ไหว ส่งทหารไปไล่สังหารนาง” 


 


 


นายทหารเอ่ยจบ สีหน้าลู่หวานหว่านฉายความยินดี เอ่ยปากว่า “อย่างนั้นนางตายหรือไม่” 


 


 


 “ไม่” นายทหารตอบ “คนเหล่านั้นคล้ายสู้นางไม่ได้ สุดท้ายก็ร่นถอยกลับไปแล้ว” 


 


 


เซียวชินมองนายทหารผู้นั้นอย่าสงสัย ฉงนถามเสียงเย็นชา “พวกเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่า ศพบนพื้นดินนั้นเป็นคนของเป่ยเฉินเสียงจริงๆ?” 


 


 


 “เพราะหนึ่งในนั้นเป็นองครักษ์ประจำกายของเป่ยเฉินเสียง” นายทหารตอบกลับทันที 


 


 


ราชาต้ามั่วเอ่ยปาก “คาดว่าต่อให้แสดงละคร เป่ยเฉินเสียงก็ไม่ถึงขั้นให้องครักษ์ประจำกายกลายเป็นหมากที่ถูกทิ้ง อย่างไรคนเราก็มีหัวใจ ไม่น่าทิ้งกันง่ายๆ ส่วนเยี่ยเม่ยเป็นคนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป่ยเฉินเสียงไม่สมควรช่วยเหลือนางถึงจะถูก”   


 


 


 “ท่านพูดมีเหตุผล” เซียวชินพยักหน้า มองราชาต้ามั่วเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย  


 


 


จุดนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน ไม่มีใครยินยอมทิ้งคนสนิทข้างกาย เพื่อเป็นประโยชน์ให้แผนการของผู้อื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายคือศัตรูด้วยแล้ว 


 


 


ลู่หวานหว่านเอ่ยกับราชาต้ามั่ว “ท่านข่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยคิดว่า ไม่เช่นนั้นยามนี้ก็แบ่งข้าวสารออกไป ให้เหล่าทหารกิน ทุกคนจะได้สนุกสนานขึ้นมาบ้าง รู้ว่าชาวจงหยวนที่หลงคิดว่าตนฉลาด ล้วนเป็นตัวโง่งม ” 


 


 


นางเอ่ยประโยคนี้ ยิ่งยากจะปกปิดสีหน้าลำพองของตนเอง เห็นแผนการของเยี่ยเม่ยล้มเหลว นางเบิกบานใจเกินจะบรรยายได้ 


 


 


ราชาต้ามั่วรีบพยักหน้า “อย่างนั้นก็ทำตามเจ้าว่า” 


 


 


เซียวชินประสานมือ เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กระหม่อมขอตัวไปเตรียมการก่อน” 


 


 


 “ได้” ราชาต้ามั่วโบกมือ 


 


 


เซียวชินลุกขึ้นเดินมุ่งออกไปทางประตู ในเวลานี้ราชาต้ามั่วพลันเปิดปากว่า “ขุนนางรัก ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” 


 


 


 


 


 


 ตอนที่ 85 ขุมสมบัติ 


 


 


เซียวชินชะงักฝีเท้า หันหน้ามองราชาต้ามั่วคราหนึ่ง ค้อมเอวก้มหน้า “เชิญท่านข่านเอ่ยได้”  


 


 


 “มีคำล่ำลือว่า…” ราชาต้ามั่วชะงักไปเล็กน้อย ทว่ายังเอ่ยถามต่อ “คำเล่าลือว่าปีนั้นเจ้าวางยาพิษในน้ำ สังหารคนมากมายเพื่อจงเจิ้งซี นางเป็นคนในดวงใจเจ้าอย่างนั้นหรือ”  


 


 


เซียวชินฟังถึงตอนนี้ แววตาเปลี่ยนไป สีหน้าที่มองราชาต้ามั่วเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขึ้น 


 


 


ราชาต้ามั่วตระหนักอย่างว่องไวว่าอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์แล้ว “ขุนนางรักอย่าได้โมโห ข้าเอ่ยเรื่องพวกนี้ หาใช่ต้องการสืบความลับของเจ้า เพียงแต่ข้ามีความคิดให้องค์หญิงที่ข้าโปรดปรานที่สุดแต่งงานกับขุนนางรัก จึงอยากทำความเข้าใจสักหน่อย” 


 


 


ราชาต้ามั่วเอ่ยเช่นนี้ ลู่หวานหว่านเป็นคนที่มองราชาต้ามั่วอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่ว่าอย่างไร เซียวชินก็เป็นคนจงหยวน ราชาต้ามั่ววางใจได้จริงอย่างนั้นหรือ 


 


 


เช่นเดียวกับลู่หวานหว่านที่เป็นชาวจงหยวน ถึงแต่งให้กับแม่ทัพผู้หนึ่งของต้ามั่ว ก็เป็นได้แค่อนุภรรยาแม้ได้รับความโปรดปรานเท่าใดก็ตาม 


 


 


เซียวชินได้ฟังดังนี้ สีหน้าเย็นเยียบ…. 


 


 


หลังจากเขาเงียบไปชั่วครู่ ค่อยประสานมือเอ่ยปากว่า “ท่านข่าน คำเล่าลืออย่างไรก็คำเล่าลือ” 


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าราชาต้ามั่วแสดงความแปลกใจ เอ่ยปากถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ เจ้าทำเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงผู้นั้น?” 


 


 


เซียวชินนิ่งไปครู่หนึ่ง เก็บงำความรู้สึกลึกๆของตน ตอบคำถามออกไป “ท่านข่าน เรื่องนี้ผ่านไปสี่ปีแล้ว ไม่ใช่คำพูดสองสามคำจะเอ่ยได้ชัดเจน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางไม่ผิด แต่ความจริงแล้ว ในปีนั้นแม้แต่นางหน้าตาเป็นอย่างไร กระหม่อมยังไม่รู้เลย”  


 


 


ราชาต้ามั่วได้ฟังประโยคนี้ ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวยิ่งซับซ้อนแล้ว 


 


 


ส่วนเซียวชินก็เอ่ยต่ออย่างว่องไวว่า “สำหรับองค์หญิงคนโปรดของท่านข่าน กระหม่อมเกรงว่าจะผิดต่อความหวังของพระองค์ กระหม่อมมีคนในดวงใจแล้ว ชาตินี้คิดแต่งงานกับนางเท่านั้น ส่วนต้ามั่วนี้ยังมีบุรุษต้ามั่วที่เหมาะสมจะเป็นราชบุตรเขยของพระองค์ ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมก็เป็นชาวจงหยวน ขอบพระทัยความหวังดีของพระองค์” 


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ ราชาต้ามั่วหาได้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม เพียงแต่จ้องเซียวชิน “ในเมื่อขุนนางรักยืนยันเช่นนี้ เรื่องนี้ก็แล้วไปเถอะ ส่วนเรื่องในปีนั้น…”  


 


 


 “ท่านข่านมิต้องสืบถามอีกแล้ว เรื่องราวในปีนั้นคือเรื่องส่วนตัวของกระหม่อม กระหม่อมไม่อยากเอ่ยถึง ทั้งขอให้พระองค์อย่าได้บีบบังคับ” เซียวชินตอบกลับอย่างรวดเร็ว 


 


 


ราชาต้ามั่วนิ่งไปสักพัก ในที่สุดก็โบกมือ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขุนนางรักก็ไปเถอะ” 


 


 


 “รับบัญชา” เซียวชินไม่เอ่ยมากความ สาวเท้ากว้างออกไป 


 


 


หลังจากเขาออกไป ในหน้าราชาต้ามั่วทวีความลุ่มลึกขึ้นหลายส่วน 


 


 


ลู่หวานหว่านมองราชาต้ามั่วด้วยความระวัง ถามว่า “ท่านข่านทำเช่นนี้ เพราะท่านไม่เชื่อจั่วอี้อ๋องหรือ” 


 


 


ราชาต้ามั่วปรายตามองลู่หวานหว่าน ส่งสายตาเป็นแววตักเตือน แค่นเสียงเย็น “อย่าได้พูดจาเหลวไหล ข้าไม่มีทางระแวงความภักดีของจั่วอี้อ๋อง เพียงแต่ตามคำล่ำลือ ราชวงศ์จงเจิ้งมีขุมสมบัติล้ำค่าถูกซ่อนเอาไว้ ว่ากันว่ามีไว้สำหรับกอบกู้ราชวงศ์ คนของราชวงศ์เป่ยเฉินล้วนตามหาสมบัตินั้นไม่พบ ดังนั้นข้า…”  


 


 


 “ท่านข่านอยากรู้ว่าจั่วอี้อ๋อง รู้อะไรหรือไม่ อย่างไรเสียเขาเคยมีข่าวลือร่วมกับจงเจิ้งซี” ลู่หวานหว่านรับได้ทันที   


 


 


ราชาต้ามั่วพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ดูจากน้ำเสียงของเซียวชินแล้ว ข่าวลือในยามนั้น สมควรมีความนัยอื่นอีก หากแม้กระทั่งใบหน้าขององค์หญิงผู้นั้นยังไม่เคยเห็นมาก่อน เช่นนั้นโอกาสที่เขารู้ที่ตั้งของสมบัติก็ไม่มาก” 


 


 


 “หากปีนั้นเขาเพียงแค่ชื่นชมในตัวองค์หญิงผู้นั้น ไม่เคยพบหน้าก็ชื่นชมแล้วเล่า?” ลู่หวานหว่านคาดเดา 


 


 


แต่เมื่อเอ่ยออกไป นางเองยังรู้สึกเป็นไปไม่ได้ 


 


 


ราชาต้ามั่วโบกมือ “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยอีกแล้ว ใครก็ได้ เอาข้าวที่จั่วอี้อ๋องนำมาไปแบ่งเป็นรางวัลให้ทุกคน”  

 

 

 


ตอนที่ 86

 

ตอนที่ 86 ภายหน้าพวกเรามีแต่ภรรยาเป็นใหญ่

 


 


 


“ขอรับ” นายทหารรับคำสั่งด้วยสีหน้าเบิกบาน ขนข้าวสารออกไป


 


 


   ……


 


 


ครั้นเห็นเป่ยเฉินเสียงจากไปแล้ว


 


 


หลูเซียงฮั่วเดินมาถึงเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย คารวะก่อนเอ่ยปากรายงาน “แม่นางเยี่ยเม่ย เรื่องที่ท่านสั่งการจัดการเรียบร้อยแล้ว คาดว่าเมื่อคนของต้ามั่วได้ยินว่าหลังจากท่านทำแผนการล้มเหลว ถูกองค์ชายใหญ่ไล่สังหาร ต้องยินดีบนคราวเคราะห์ของท่านแน่ ภายใต้ความเบิกบานก็ขาดความป้องกัน ไม่แน่ว่าคืนนี้พวกเขาอาจจะนำข้าวสารออกมากินแล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงเย็นชา “ลู่หวานหว่านถูกช่วยกลับไป ก็ทำให้นางดีใจมากพอ เอ่ยวาจาที่เป็นประโยชน์ต่อแผนการพวกเรา จากนั้นทำให้พวกเขาเข้าใจเรื่องที่เป่ยเฉินเสียงไล่สังหารข้า เป็นเพราะความสามารถนำทัพของข้าไม่ดีพอ ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาคลายความระวัง”


 


 


 “แม่นางช่างล้ำเลิศนัก” หลูเซียงฮั่วเอ่ยออกมาทันที แสดงความเลื่อมใสของตน


 


 


ยามนี้ จิ่วหุนค่อยเข้าใจ เพราะอะไรเยี่ยเม่ยถึงไม่ยอมให้ตนสังหารลู่หวานหว่าน


 


 


จากนั้น เขาพลันเอ่ยสอดขึ้นว่า “ชีวิตของนาง อยู่ที่ปลายกระบี่ข้า”


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งไป เมื่อหันหน้ามอง กลับเห็นเด็กหนุ่มก้มหน้าหลังจากเอ่ยจบ ท่าทางดูงดงามยิ่งนัก แต่ท่าทีของเขากลับยืนกรานหนักแน่น


 


 


นางยื่นมือออกไปตบบ่าเขาเบาๆ เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า ทั้งไม่ขัดขวางเจ้าด้วย แต่ลู่หวานหว่านเคียดแค้นข้าก็ถือเป็นเรื่องปกติ ข้าควบคุมอารมณ์ได้”


 


 


นางไม่ขัดขวางการลงมือของจิ่วหุน แต่ก็อยากให้จิ่วหุนรู้ด้วยว่า นางคร้านจะใส่อารมณ์กับเรื่องของลู่หวานหว่าน  


 


 


 


 


 


 


หางตาจิ่วหุนทอประกายวาบ เหลือบมองมือของนางบนบ่า สายตาเลิ่กลั่กมองซ้ายทีขวาที หน้าแดงเรื่อขึ้นมา


 


 


เขาก้มหน้าลง ตอบนางด้วยเสียงกลัดกลุ้ม “ข้าไม่อาจระงับอารมณ์ได้” ด้วยเหตุนี้เจ้าไม่โกรธลู่หวานหว่าน เจ้าคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับนาง แต่ว่าข้าคิด


 


 


คำพูดหลังจากนั้น เขาไม่ได้เอ่ยออกไป แต่เชื่อว่านางเข้าใจ


 


 


เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปาก


 


 


ส่วนองค์ชายสี่มองมือที่วางบนบ่าจิ่วหุนของนาง เขาสีหน้าเรียบเฉยเดินเข้าไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกอย่างสง่างาม ดึงมือเยี่ยเม่ยบนบ่าจิ่วหุนออก เอามือนางมากุมไว้อย่างลึกซึ้ง


 


 


จากนั้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองจิ่วหุนด้วยความหวังดี ค่อยๆ กวาดตามองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงจริงใจและอ่อนโยน “เขายังเด็ก อยู่ในช่วงกำลังโต เจ้าไม่ควรเอามือไปวางบนบ่าเขา จะกระเทือนต่อการเติบโตของเขาได้”


 


 


เยี่ยเม่ย “…?”


 


 


ทุกคน “…”


 


 


สายตมคมกริบของจิ่วหุนตวัดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทันที สายตาคล้ายกำลังมองคนตายผู้หนึ่ง ดูท่าแล้ว หากมิใช่เพราะเยี่ยเม่ยยังยืนอยู่ตรงนี้ เขาคงลงมือไปนานแล้ว


 


 


ฝ่ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองสายตาจิ่วหุนโดยไม่ใส่ใจสักน้อย กลับกวาดตามองเยี่ยเม่ย ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ลู่หวานหว่านทำอะไรให้แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ยินดีอย่างนั้นหรือ เยี่ยนยินยอมลงแรงเพื่อแม่นาง แสดงความห่วงใยลู่หวานหว่านสักครั้ง ให้นางรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของชีวิต ให้นางปลดปล่อยตัวเองเสีย ”  


 


 


คราวนี้ คนจำนวนไม่น้อยในที่นี้ตัวเทิ้ม


 


 


หลายปีที่ผ่านมา องค์ชายสี่ทำให้พวกเขานับไม่หมดแล้วว่า องค์ชายสี่บีบให้คนไม่รักชีวิตตน เลือกฆ่าตัวตายไปมากเพียงใด ฝีมือทรมานจิตใจคนเช่นนี้ ยังน่ากลัวกว่าสังหารคนเสียอีก


 


 


เยี่ยเม่ยดึงมือของตนออกจากมือเขาอย่างไร้อารมณ์ เอ่ยว่า “ไม่ต้องแล้ว”


 


 


จากนั้นนางมองจิ่วหุนอีกครั้ง กล่าวต่อไปว่า “ความจริงพวกท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าอยากฆ่าใคร ข้าลงมือเองได้”


 


 


แต่ไรมานางไม่ต้องการให้ผู้อื่นออกหน้าให้ ในทางกลับกันนางคุ้นเคยกับการออกหน้าให้ผู้อื่น


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มอย่างน่าชม กล่าวว่า “ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่อยู่ที่เจ้า อยากช่วยเจ้าระบายอารมณ์หรือไม่ กลับอยู่ที่ตัวเยี่ยนเอง หากเยี่ยนไม่ลงมือเพื่อเจ้า อย่างนั้นแม่นางจะมองเห็นความจริงใจของเยี่ยนที่มีต่อแม่นางได้อย่างไร”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยถึงตรงนี้ จิ่วหุนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป


 


 


เขาชักกระบี่ออกอย่างดุดัน ชี้ไปที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ความจริงใจของท่าน ท่านเก็บไว้ก็พอแล้ว หากยังพูดมากอีก ข้าจะฟันท่านซะ”


 


 


แววตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฉายประกายแดงวาบ ตวัดสายมองเขา ขุมพลังก่อตัวขึ้น หมุนควงอยู่กลางฝ่ามือ ค่อยๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าแสดงเจตนาร้ายออกมาอย่างตรงไปตรงมา อย่างนั้นไม่ขอปิดบังก็แล้วกัน เยี่ยนเห็นเจ้าขัดตามานานแล้ว”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเองก็ดูท่าทางตึงเครียดของทั้งสองออก ในใจพลันรู้สึกผิดหวัง ดูท่าหากให้เยี่ยเม่ยเป็นน้องสะใภ้ของตน ศัตรูหัวใจไม่ใช่น้อยเลย ”


 


 


นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่เยี่ยเม่ยเห็นพวกเขาสองคนเตรียมลงมือใส่กัน


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองซินเยว่เยี่ยนที่ดูหมดคำพูดเหมือนนาง รู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่บ้าง นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นว่า “ตั้งแต่โบราณมาบุรุษรูปงามชอบใช้กำลังหรือ”


 


 


 “อ้อ…” ซินเยว่เยี่ยนรีบเอ่ยเพื่อน้องชายบุญธรรมของตัวเองทันที “ไม่ น้องชายข้าก็หนุ่มรูปงามเกินเปรียบ เขาไม่ชอบต่อสู้ เป็นคนสบายๆ  ซ้ำยังไม่ลงมือง่ายๆ ไม่ชอบใช้กำลังเลยสักน้อย”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเล่าไป ทั้งยังพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ


 


 


คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเอ่ยจบ บุรุษสองคนที่กำลังทำท่าจะต่อยตีกัน หันหน้ามามองซินเยว่เยี่ยนด้วยความแค้นเคือง


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มอ่อนโยน ทว่าดวงตาไม่มีรอยยิ้มเลยสักน้อย ถามว่า “น้องชายที่แม่นางเอ่ยถึงคือ กูเยว่อู๋เหิน?”


 


 


 


 


ดาบในมือจิ่วหุนบิดไปเล็กน้อย


 


 


ท่าทางคุกคามนี้ทำให้ซินเยว่เยี่ยนแตกตื่นเสียแผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อ  ถึงวรยุทธ์นางจะไม่ต้อยต่ำ ทว่าก็ไม่โง่งมเอาไข่ไปกะเทาะหิน ถึงขั้นหลงคิดว่าตัวเองขวางสองคนนี้ได้


 


 


นางรีบส่ายหน้า “ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่ได้ต้องการแนะนำน้องชายข้าให้แม่นางเยี่ยเม่ยเสียหน่อย”


 


 


   ใครจะเชื่อ


 


 


..


 


 


เยี่ยเม่ยมองพวกเขาสองคน จวนจะเปิดศึกกันอย่างไร้เหตุผลก็ช่างเถอะ ถึงกับเอาผู้บริสุทธิ์อย่างซินเยว่เยี่ยนเข้ามาเกี่ยวด้วยก็ทนไม่ไหวอีก


 


 


เมื่อเดินมาข้างกายพวกเขา ก็ยื่นมือออกมา


 


 


จิ่วหุนจดจำครั้งก่อนที่นางดึงคอเสื้อตนเพื่อไม่ให้เขาลงมือกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ ถึงเตรียมตัวป้องกันไว้แต่แรก


 


 


จากนั้น ในครั้งนี้


 


 


มือของเยี่ยเม่ยถึงกับไปจับอยู่ที่คอเสื้อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที สายตาคมกริบของอวี้เหว่ยมองไปที่ใบหน้าเตี้ยนเซี่ยของตนปรากฎความว่างเปล่าเพียงวูบเดียว


 


 


แน่นอนว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมหลบได้ แต่เขาไม่อยากทำให้นางไม่พอใจ ถึงไม่หลบ


 


 


ดังนั้นเขาถูกลากออกมาได้ครึ่งเมตร


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองพวกเขาทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่มีเรื่องมีราว วันๆ ก็อย่าเอาแต่ต่อยตีกันโดยไร้เหตุผล ต่อให้พวกเจ้าต้องการอาบไอเซียนของข้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ”


 


 


คนทั้งหมด “…”


 


 


คนทั้งหมดล้วนคิดว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถูกดึงคอเสื้อเช่นนี้คงต้องโกรธแน่


 


 


แต่คิดไม่ถึงเลยว่า องค์ชายสี่เป็นเหมือนปีศาจที่พวกเขาหวาดกลัวจนแข้งขาสั่นถึงกับยืดคอส่งหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าเยี่ยเม่ย ทำหน้าน่าสงสารเอ่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนไม่สนแล้ว อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องชดเชยให้เยี่ยน ที่เจ้าดึงเมื่อครู่ ทำให้เยี่ยนกลายเป็นสามีที่กลัวภรรยา”


 


 


อวี้เหว่ยแอบกุมขมับ


 


 


เตี้ยนเซี่ย ต่อหน้าแม่นางเยี่ยเม่ย ท่านเคยได้รับความเคารพอย่างนั้นเหรอ?


 


 


เยี่ยเม่ยหันหน้ากลับมามองเขา สายตาเย็นเฉียบ “ท่านอยากให้ข้าชดเชยอย่างไร”


 


 


คำพูดนี้ดูไม่คล้ายจะชดเชยให้เลยสักน้อย กลับเหมือนกำลังจะต่อยตีคนมากกว่า


 


 


           องค์ชายสี่ยังนับว่าสังเกตสีหน้าคนได้เก่งกาจ เขารีบถอยร่นไปด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายฉายแววน้อยเนื้อต่ำใจ “ก็ได้ ไม่ต้องชดเชยแล้ว ปล่อยเรื่องเคารพสามีไปเถอะ ภายหน้าระหว่างเรามีแต่ภรรยาเป็นใหญ่”

 

 

 


ตอนที่ 87

 

ตอนที่ 87 เตี้ยนเซี่ย แม่นางเยี่ยเม่ยต้องอยากทุบตีท่านแน่

 


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ออกมา สายตาจิ่วหุนฉาบไปด้วยความดุดันอีกครั้ง


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างจนคำพูด เตือนเสียงเย็นชา “ข้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเรา เป็นเพียงแค่สหาย ท่านอย่าได้เอาแต่คิดเองเออเองพูดถึงแต่สามีเป็นใหญ่ ภรรยาเป็นใหญ่… ”


 


 


นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ สีหน้าจิ่วหุนสงบลงทันที ท่าทางอยากยกดาบสังหารคนแบบเมื่อครู่ก็ไม่มีแล้ว


 


 


อวี้เหว่ยหลงคิดว่าเมื่อเตี้ยนเซี่ยได้ฟังประโยคนี้แล้วจะหน้าเปลี่ยนสี จนถึงกระทั่งเกิดโทสะ


 


 


คิดไม่ถึงว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับยิ้มออกบางๆ ท่าทางน่าสงสารก็หายไปไม่เหลืออีก มองเยี่ยเม่ยด้วยสายตาล้ำลึก เอ่ยช้าๆ ว่า “คิดเองเออเองหรือไม่ ถกเถียงกันในยามนี้นับว่าเร็วไป เยี่ยนมีเวลาและความอดทนมากพอเพื่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยยอมรับเยี่ยน”


 


 


เยี่ยเม่ยคร้านตอบโต้ ถอนสายตากลับมา


 


 


ถกเถียงกันในตอนนี้ก็เร็วเกินไปจริงๆ เพราะยามนี้นางไม่มีความรู้สึกชอบเขาเลยสักน้อย แต่ก็มีความรู้สึกดีๆ ให้หลายส่วน


 


 


เยี่ยเม่ยมองหลูเซียงฮั่ว สั่งการว่า “จับตาดูคนของต้ามั่วไว้ หากราบรื่นละก็ คืนนี้พวกเราจะบุกโจมตี”     


 


 


 “ขอรับ” หลูเซียงฮั่วรีบรับคำสั่ง


 


 


ในเวลานี้ ซือหม่าหรุ่ยเดินเข้ามาแล้ว ทั้งได้ยินคำสั่งของเยี่ยเม่ยที่มีต่อหลูเซียงฮั่ว


 


 


นางมองเยี่ยเม่ย ถามขึ้น “แม่นางเยี่ยเม่ย หากพวกเจ้าจะลงมือในคืนนี้ ข้ากับซินเยว่เยี่ยนจะฉวยโอกาสชุลมุนลอบเข้าค่ายทหาร เพื่อหาตัวโย่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่ว สอบถามร่องรอยของพี่ชายบุญธรรม ไม่ทราบแม่นางอนุญาตให้พวกเราติดตามไปในคืนนี้ได้หรือไม่”   


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง ตอบรับ “พวกเจ้าอยากไปตอนไหนก็ได้ หากไม่ทำลายแผนการของข้า”


 


 


 “ดี” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า ส่งสายตามองซินเยว่เยี่ยนทีหนึ่ง


 


 


ซินเยว่เยี่ยนก็พยักหน้า มองตอบ “กลับไปเตรียมตัวลงมือคืนนี้”


 


 


จากนั้น เยี่ยเม่ยก็มองซินเยว่เยี่ยน พยักหน้าให้อีกฝ่าย กล่าวขอบคุณเสียงนิ่ง “ขอบคุณเคล็ดวิชาของเจ้ามาก ข้าขอตัวไปพักผ่อนแล้ว”


 


 


คืนนี้ยังมีศึกอีก นางกลับไปพักผ่อนก่อน


 


 


 “ไม่ต้องเกรงใจ จำเรื่องที่เจ้ารับปากข้าก็พอ” ซินเยว่เยี่ยนกระพริบตาปริบใส่เยี่ยเม่ยด้วยสีหน้าพึงพอใจ


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ยด้วยความแปลกใจ จากนั้นมองซินเยว่เยี่ยน คิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยเม่ยจะได้รับการยอมรับจากซินเยว่เยี่ยนได้รวดเร็วเช่นนี้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับใช้สายตาอีกอย่างมองซินเยว่เยี่ยน แววตาปีศาจนั้นทำให้ซินเยว่เยี่ยนตัวสั่นเล็กน้อย นางไม่เอ่ยมากความ เอ่ยเสียงดังว่า “ข้ายังมีเรื่องอีก ขอตัวก่อน”


 


 


สิ้นคำพูด นางดึงซือหม่าหรุ่ยรีบทะยานออกไป


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ใส่ใจอีก หมุนกายเตรียมจากไป เอ่ยกับทุกคนว่า “นอกจากกินข้าว เรื่องอื่นไม่ต้องเรียกข้า”


 


 


สิ้นเสียง นางเห็นสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองมาที่ใบหน้านางด้วยความพินิจพิเคราะห์อย่างตั้งใจ


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับไปมองเขา ยื่นมือออกไปอย่างงุนงง จับใบหน้าตัวเอง ถามว่า “หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือ”


 


 


 “ไม่มี” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ หัวเราะ กล่าวว่า “จู่ๆ พลันรู้สึกว่า ความจริงแล้วรูปโฉมของแม่นางเยี่ยเม่ยแสนธรรมดา ห่างจากความงดงามของเยี่ยนมากนัก”


 


 


ทุกคน “…?”


 


 


อวี้เหว่ยเบือนหน้ามองเตี้ยนเซี่ยของเขาอย่างแปลกใจ หรือว่าเตี้ยนเซี่ยสำนึกได้ว่าการกระทำที่เขาปล่อยงูคราวก่อนไม่ถูกต้อง คราวนี้จึงคิดใช้คิดวิธีเช่นนี้เพื่อ…


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว ความจริงในใจเริ่มเกิดโทสะ


 


 


เมื่อพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มีความสง่างามราวเทพบุตรและกลิ่นอายชั่วร้ายราวปีศาจจากโบราณกาล ถึงแม้ตัวนางก็นับเป็นสาวงาม แต่หากเอ่ยกันตามตรงแล้วก็ยังห่างกับเขามาก


 


 


ดังนั้นเมื่อต้องยอมรับความจริงนี้ ในใจนางย่อมไม่ยินดี แต่สุดท้ายก็ไม่คัดค้านออกไป


 


 


นางสูดลมหายใจลึก มองเขา น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ถาม “ท่านคิดเอาอย่างไรกันแน่ ท่านจะแสดงออกว่าอะไร เป้าหมายของท่านคืออะไร”


 


 


เมื่อเอ่ยไป เยี่ยเม่ยยังคิดถึงเรื่องที่เขาปล่อยงูใส่ที่นอนนาง


 


 


คิดไปแล้ว เยี่ยเม่ยก็เสริมขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “บางทีท่านคงอยากให้ข้าคิดบัญชีสองเรื่องไปพร้อมกันเลย ทำไมถึงปล่อยงูไว้ที่เตียงข้า”


 


 


เห็นน้ำเสียงนางไม่พอใจ สีหน้าไม่เป็นมิตร แม้กระทั่งคำพูดที่ออกมายังแสดงออกว่านางไม่พอใจ


 


 


องค์ชายสี่เลิกคิ้วสูง พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น ทว่าเขายังยิ้มสง่างาม ตอบตามตรงสบายๆ ว่า “เรื่องนี้ แม่นางเยี่ยเม่ยยังดูไม่ออกอีกหรือ เยี่ยนทำเรื่องพวกนี้ เอ่ยคำพูดเหล่านี้ ความจริงก็เพื่อเรียกร้องความสนใจของแม่นาง”


 


 


อวี้เหว่ย “…”


 


 


เป็นดังคาด เขาเข้าใจไม่ผิด นับตั้งแต่ได้รับการสั่งสอนเรื่องงูคราวก่อน เรื่องเรียกร้องความสนใจจากสตรีของเตี้ยนเซี่ยไม่มีความก้าวหน้าเลยสักน้อย เขากลอกตา ยืนมองเงียบๆ เช็ดเหงื่อเม็ดโป้งบนหน้าผากตน…  


 


 


ทุกคน “…?”


 


 


เมื่อเห็นคนทั้งหลายสีหน้าว่างเปล่า โดยเฉพาะอวี้เหว่ยที่กลอกตาไม่หยุด จนถึงยื่นมือออกมาเช็ดเหงื่อ


 


 


อย่างไรเสียเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่คนโง่ เข้าใจได้ทันทีว่าเขาน่าจะใช้วิธีผิดอีกแล้ว


 


 


แล้วก็เป็นดังคาด เมื่อเยี่ยเม่ยฟังจบ เพียงมองเขาหัวเราะเสียงเย็นชา สายตาคมกริบราวใบมีด “จริงหรือ ท่านทำเพื่อดึงดูดความสนใจของข้า? ข้าเกือบเข้าใจผิดคิดว่าท่านต้องการเป็นศัตรูกับข้า”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ นางก็เดินจากไป


 


 


ไม่อาจไม่พูดว่า สำหรับสตรีนางหนึ่งแล้ว นางเกลียดที่ผู้อื่นบอกว่าตัวเองนางหน้าตาธรรมดา หรือไม่ก็งามสู้ใครไม่ได้ ต่อให้เรื่องนั้นจะเป็นจริงก็ตาม นางก็ไม่ชอบฟัง คิดจะด่าเขาสักคำ


 


 


แต่ที่ทำให้นางแปลกใจก็คือ เมื่อนางฟังจบก็โมโหมาก แต่กลับไม่พุ่งเข้าไปลงมือกับเขา เมื่อคิดถึงจุดนี้นางก็เดินจากไปไกลแล้ว กลับไปลงมือก็ไม่ดีแน่ ได้แต่สะกดความรู้สึกไว้


 


 


จิ่วหุนเองก็หันหน้ามามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สายตาไม่อยากเชื่อ สุดท้ายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีหน้าวางใจ เอ่ยต่อไปอีกประโยคว่า “เห็นท่านโง่งมขนาดนี้ ข้าก็วางใจแล้ว”


 


 


โดยเฉพาะคนที่ล้อมอยู่ด้านข้าง ใช้สายตาประเภทมอง ‘อัจฉริยะบุคคล’ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ต่างคนต่างกลืนน้ำลายลงคออย่างจนปัญญาและหวาดกลัว พากันประสานมือกล่าวว่า “ข้าน้อยขอตัวก่อน”


 


 


 “ข้าน้อยขอตัวก่อน”


 


 


คนทั้งหมดคล้ายนกแตกออกจากรังจากไปจนหมดสิ้น


 


 


อวี้เหว่ยอดไม่ไหวมองเตี้ยนเซี่ยของตนที่คล้ายตระหนักได้ว่าเอ่ยคำผิดไปแล้ว กุมหน้าผากเอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านช่วยแม่นางเยี่ยเม่ยสั่งสอนองค์ชายใหญ่ ความรู้สึกดีๆ ที่อยู่ในใจนาง เกรงว่าจะถูกคำพูดเมื่อครู่ของท่านลบล้างจนหมดสิ้นแล้ว” 


 


 


เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายเผยความครุ่นคิดและไม่เข้าใจ แต่มิได้เอ่ยอะไร


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ยต่ออีกว่า “กลัวว่าจะไม่ใช่เพียงเท่านั้น ตอนนี้นางคงอยากต่อยตีท่านแน่ ไม่แน่จะผูกความแค้นกับท่านแล้ว”


 


 


อวี้เหว่ยพูดไป ตัวเขาเองอยากร้องไห้ดังๆ ให้กับวิธีการจีบสตรีของเตี้ยนเซี่ยขึ้นมาบ้าง


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งเล็กน้อย ก่อนมองอวี้เหว่ย ค่อยๆ ถาม “คำพูดของเยี่ยนเมื่อครู่โง่เขลานักจริงๆ หรือ ไม่อาจดึงความความสนใจของแม่นางเยี่ยเม่ยได้สักน้อยเลยหรืออย่างไร


 


 


           “ไม่” อวี้เหว่ยส่ายหน้า เขาอยากร้องออกมาแล้ว “โง่เขลาจริงไม่ผิดแน่ ทว่ายังดึงความสนใจไว้ได้ เพียงแต่ที่ดึงดูดมาล้วนเป็นความเลวร้าย ลองคิดดู จะมีสตรีนางใดที่ชอบบุรุษที่บอกว่านางหน้าตาธรรมดาบ้าง ท่านช่าง…ท่านลองคิดดูเถิดว่าจะแก้ไขอย่างไร”

 

 

 


ตอนที่ 88

 

ตอนที่ 88 ข้าเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนเช่นนี้ ยังต้องแสดงอะไรอีกเล่า

 


 


 


เวลานี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบไป สองมือไพล่หลังนิ่งอยู่สักพัก จากนั้นค่อยยื่นมืออกมาอย่างสง่างาม ลูบคางตน “แก้ไข…”


 


 


   ……


 


 


บนรถม้า


 


 


 “ท่านอ๋อง พวกเราจากมาเช่นนี้แล้ว ภายหน้าองค์ชายใหญ่ เกรงว่าจะแค้นเคืองพวกเรา” องครักษ์ประจำกายที่อยู่ด้านหลังเซี่ยโหวเฉินเอ่ยปาก


 


 


เซี่ยโหวเฉินมองเขา “หากข้าคาดการไม่ผิด ในยามนี้เขายังยากปกป้องตัวเองด้วยซ้ำ”


 


 


แต่ไหนแต่ไรมา เซี่ยโหวเฉินได้รับขนานนามว่าเป็นปราชญ์อันดับแห่งเป่ยเฉิน แน่นอนย่อมคาดการณ์หลายสิ่งหลายอย่างได้ เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ องครักษ์ประจำกายไม่ถามอีกต่อไปแล้ว


 


 


เซี่ยโหวเฉินเอ่ยต่ออีกว่า “อีกอย่าง ข้าไม่ใช่บอกเป่ยเจี้ยนเกอแล้วหรือไงว่าเป่ยเฉินเสียงจะเกิดเรื่อง มิเช่นนั้นต่อให้เป่ยเจี้ยนเกออยู่ในเมือง ก็มาช่วยเขาไม่ทัน ไม่ว่าอย่างไรก็ยังพอนับเป็นน้ำใจได้แล้ว”


 


 


 “ท่านพูดก็ถูก” องครักษ์ประจำกายพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราจะไปที่ใดต่อดี”


 


 


เซี่ยโหวเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง มุมปากพลันยกยิ้มขึ้นสูงเป็นรอยยิ้มลึกลับ “ในเมื่อพวกเราสู้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้ ก็สมควรเอาความยุ่งยากไปให้เป่ยเฉินอี้เสียหน่อย ให้เขามาที่นี่ ”


 


 


   ……


 


 


ในห้องเยี่ยเม่ย


 


 


นางหยิบเคล็ดวิชาลับออกจากชายเสื้อ เมื่อเห็นอักษรตัวใหญ่เขียนว่า “เคล็ดวิชาเสี่ยวเถียนไช่” มุมปากนางกระตุกขึ้นโดยไม่อาจควบคุมได้


 


 


เมื่อเปิดเข้าไป นางเริ่มอ่านเนื้อหาภายใน


 


 


 


 


ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกพิสดาร ในยามนี้แม้แต่ความอยากนอนก็ไม่เหลืออยู่แล้ว เมื่อไร้ความง่วง ก็เป็นช่วงเวลาที่สติจดจ่อ


 


 


ในขณะเดียวกัน นางคลายความระแวงสงสัย เริ่มฝึกกำลังภายในตามหนังสือ


 


 


ที่น่าแปลกก็คือ เมื่อพลังของนางไหลเวียน พลันรู้สึกถึงกระแสพลังคุ้นเคยสายหนึ่ง หมุนวนขึ้นในร่างกาย คล้ายกับว่าพลังสายนี้ซ่อนอยู่แต่แรก ทำให้นางหัวใจเต้นตึกตัก


 


 


ในเวลานี้เอง ด้านนอกหน้าต่างพลันมีเสียงลมพัด


 


 


เยี่ยเม่ยหันหน้ามองไปที่หน้าต่าง


 


 


ไม่มีคน ทว่าแค่ชั่ววูบที่หันกลับมา ผู้เฒ่าชราผมขาวท่านหนึ่งก็ยืนอยู่ในห้องของนางแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยตื่นตัวขึ้นมาทันที จ้องคนที่อยู่เบื้องหน้า


 


 


ผู้เฒ่าชราไว้เครายาว ใบหน้ากลับยิ้มร่า ดูแล้วเป็นคนมีเมตตา ทว่ารอยยิ้มกว้างเกินไป ทำให้ยามที่เยี่ยเม่ยจ้องเขา อดมุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


นางไม่รับรู้ถึงไอสังหารและเจตนาร้าย เพียงจ้องหน้ากับผู้เฒ่า มองเห็นดวงตาแวววับของฝ่ายตรงข้าม ไม่รู้สึกถึงความคุกคาม มือของนางยังคงจับพัดที่เอวไว้


 


 


ผู้เฒ่าเห็นมือนาง รีบโบกมือว่า “อย่า อย่าลงมือ มีอะไรค่อยๆ พูดดีๆ ผู้เฒ่าอย่างข้าอายุปูนนี้แล้ว รับการเคี่ยวกรำไม่ไหว”


 


 


ท่าทางดูหวาดกลัวของเขา ทำให้สายตาเยี่ยเม่ยทวีความล้ำลึกมากขึ้นหลายส่วน


 


 


ผู้เฒ่าเห็นเยี่ยเม่ยสีหน้ายังเย็นชาดังเดิม เขาพลันเผยท่าทางเจ็บปวดราวถูกมีดปักหัวใจ มองนางด้วยความร้าวรานเกินเปรียบ “หรือว่าการแสดงออกของข้ายังมีเมตตาไม่พอ ยามข้ามองเจ้า ข้าก็ฉีกปากยิ้มกว้างไปหลายนิ้ว ไฉนเจ้ายังคิดลงมือกับข้าอีก”


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องหน้าเขา ตอบตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพราะว่าท่านยิ้มมากเกินไป ทำให้เห็นการแสดงออกมากเกินเหตุ คนที่ฝีมือการแสดงอ่อนด้อย ยากได้รับการเชื่อใจ”


 


 


ผู้เฒ่าคิดไม่ถึงเลยว่า ตนเองแสดงออกอย่างยากลำบากครั้งหนึ่ง เป็นผู้เฒ่ายิ้มร่ามีเมตตา ผลสุดท้ายกลับถูกหาว่าการแสดงยอดแย่


 


 


เขารู้สึกไม่พอใจ เดินสาวเท้ายาวไปนั่งลงที่เก้าอี้ยาวด้านข้าง ปรายตามองเยี่ยเม่ย เอ่ยด้วยความโกรธ “หนุ่มน้อยหน้ามนอย่างข้า ได้รับความนิยมมาพอแล้ว ยังต้องอาศัยการแสดงอะไรอีก”


 


 


เยี่ยเม่ย “…หนุ่มน้อยหน้ามน?”


 


 


ถึงใบหน้าเขาไม่มีริ้วรอย แต่ว่าคิ้วเคราล้วนเป็นสีขาว กาลเวลาไม่ทิ้งริ้วรอยเอาไว้บนใบหน้านี้ก็จริง แต่อาศัยเพียงเครายาวก็สามารถมองออกว่าอายุไม่น้อยแล้ว ใบหน้าก็มิได้หล่อเหลาเต่งตึง เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งไม่ผิดแน่ เขาพูดอะไรนะ…หนุ่มน้อยหน้ามน?


 


 


แม้แต่หนุ่มใหญ่มากประสบการณ์ยังไม่นับเลยเถอะ?


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยมองหน้าเขาด้วยความลังเล เวลานี้ผู้เฒ่ายิ่งทวีความไม่พอใจ เสียงดังเอ่ยว่า “ทำไมอีก”


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งไป เอ่ยเสียงเย็นว่า “สำหรับเรื่องที่ท่านเป็นหนุ่มน้อยหรือไม่ พวกเราไม่ต้องเอ่ยถึง เมื่อครู่ท่านบอกว่าท่านได้รับความนิยมมากก็พอแล้ว ดังนั้นความหมายท่านคือ ท่านมีคนนิยมด้วยหรือ”


 


 


 “จริงแท้แน่นอน” ผู้เฒ่าสีหน้าลำพองใจ “แม้กระทั่งประมุขของหมู่ตึกกูเยว่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า กูเยว่อู๋เหินยังเป็นศิษย์ที่น่าภูมิใจของข้า ข้าไปที่ไหน คนมากมายต่างเข้าแถวคุกเข่ากราบข้าเป็นอาจารย์ เจ้าเข้าใจหรือไม่”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า พลันเข้าใจฐานะของอีกฝ่าย ยกเคล็ดวิชาในมือขึ้น เอ่ยกับผู้เฒ่าว่า “ดังนั้นท่านก็คือท่านผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ไม่ผิดแล้ว?”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มุมปากกระตุกเล็กน้อย เครายาวสีขาวสะอาดสั่นไหว มีท่าทางเหมือนถูกสังคมโจมตีและถูกหลอกลวง ชี้นิ้วสั่นระริกไปที่เยี่ยเม่ย กล่าวว่า “เจ้าถึงกับหลอกถามข้า”


 


 


เยี่ยเม่ยยักไหล่ไม่ใส่ใจ เพียงปรายตามองทีหนึ่ง ถามด้วยความเย็นชา “ท่านมาข้าทำไม เอาเคล็ดวิชากลับไปอย่างนั้นเหรอ”


 


 


นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เก็บท่าทางขมขื่นไว้ กางแขนกางขาวางท่าเป็นผู้สูงส่งลำพองใจ โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้องให้ข้าแล้ว ตั้งแต่ซินเยว่เยี่ยนขโมยของข้า ข้าก็ทำนายเอาไว้แล้วว่าของต้องตกอยู่ในมือเจ้า มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าด้วยความสามารถของนางหนูนั่น ยังจะขโมยของไปจากข้าได้หรือ”  


 


 


แววตาของเยี่ยเม่ยเยียบเย็น ดวงตาที่มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เพิ่มความล้ำลึกขึ้นหลายส่วน


 


 


นางฉงน “นางขโมยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่านทำนายได้ว่าจะตกอยู่ในมือข้า ท่านทำนายได้อย่างไร”


 


 


           นางเพิ่งข้ามกาลเวลามาไม่กี่วัน คนผู้นี้…


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ฟังคำถามนางเช่นนี้ รีบหันกลับไปมอง แววตางำประกายคมกริบกระแสหนึ่ง ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกภายใต้สายตาเช่นนี้ ตัวเองไม่อาจปกปิดความลับใดได้


 


 


แต่ก็ไม่ทำให้นางรู้สึกสนใจหรือหวาดกลัว


 


 


เยี่ยเม่ยมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่อย่างไม่ยี่หระ สายตาเย็นเฉียบรอประโยคต่อไปของอีกฝ่าย


 


 


เมื่อจ้องหน้ากันไปสักพัก ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันยิ้มออกมา ปรบมือเอ่ยว่า “ดี ไม่ผิดต่อความหวังของข้าจริงๆ ไม่มีแววหวาดกลัวเลยสักน้อย มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีคุณสมบัติมากพอเป็นศิษย์ข้า”


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ไม่ได้ตอบรับ


 


 


อย่างไรเสียนับตั้งแต่เริ่ม คนที่โอ้อวดว่าตัวเองได้รับความนิยมก็คือเขา คนที่บอกว่านางมีคุณสมบัติเป็นลูกศิษย์ก็คือเขา นางไม่ได้แสดงออกว่าตัวเองต้องการกราบอาจารย์เลย


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยินดีอยู่สักครู่หนึ่ง ค่อยตระหนักได้ว่าสีหน้าและอารมณ์ของเยี่ยเม่ยเย็นชาจนเกินไป


 


 


เขาหัวเราะอยู่นาน มองนางไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ทั้งไม่เอ่ยตอบ กลับทำหน้าเย็นชารอคำพูดของเขา เห็นได้ชัดว่าความยินดีของเขาไม่เข้ากับเวลานี้ ยามนี้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน หัวเราะไม่ออกอีกแล้ว


 


 


เขากระแอมไอเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนสักน้อย เอ่ยว่า “ข้ามองเห็นชีวิตก่อนรวมถึงชีวิตในตอนนี้ของเจ้า 


 


 


คำพูดของเขา ทำให้เยี่ยเม่ยหรี่ตาลง


 


 


เรื่องมากมายที่นางลืมเลือนไป…


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสี่ปีก่อน นางไม่หลงเหลือความทรงจำเลยสักน้อยนิด หลังจากถูกลูกพี่ช่วยขึ้นมาแล้ว เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านั้น นางล้วนจำไม่ได้


 


 


คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยแตกตื่น ขณะที่กำลังจะลุกขึ้น


 


 


           ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันรู้ทันว่านางจะทำอะไร เขารีบลุกขึ้น ปัดป่ายมือเอ่ยว่า “มีอะไรพูดจากันดีๆ อย่าคิดลงมือปิดปากข้าเชียว ข้ารักความสงบ เจ้าต้องรู้จักเคารพผู้อาวุโส…” 

 

 

 


ตอนที่ 89

 

ตอนที่ 89 เด็กหญิงอย่างเจ้า ไฉนถึงได้ป่าเถื่อนนัก

 


 


 


เขาเอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้าเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทว่าจากสายตาเขา เยี่ยเม่ยสัมผัสถึงความหวาดกลัวไม่ได้สักน้อย


 


 


เห็นได้ชัดว่า เขามิได้กลัวจริงๆ


 


 


ก็ถูก ยอดฝีมือเช่นนี้ ถึงกระทั่งรู้ถึงชีวิตก่อนของคน จะหวาดกลัวง่ายๆ ได้อย่างไร


 


 


แทบจะเวลาเดียวกัน เยี่ยเม่ยสลัดความคิดลงมือทิ้ง


 


 


นางนั่งลงไป มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ถามว่า “ในเมื่อท่านรู้ ทำอย่างไรท่านถึงยินยอมบอกข้า”


 


 


 “เรื่องนี้เจ้ารู้ไปในตอนนี้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดกับเจ้า” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตอบกลับอย่างเป็นนัยแอบแฝง


 


 


มองเขาเอ่ยคำพูดมีนัยยะแอบแฝงเช่นนี้ สีหน้าของเยี่ยเม่ย ไม่ได้เต็มไปด้วยความเลื่อมใสหรือเชื่อถือ แต่คล้ายหมดความอดทน คิดจะลงมือ


 


 


มุมปากผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระตุก รีบเอ่ยเอาใจว่า “ความหมายของข้าคือ ลิขิตฟ้าให้เจ้าหลงลืมไปชั่วคราว เช่นนี้ย่อมแฝงความหมายที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทุกสิ่งล้วนกำหนดไว้แล้ว ต่อให้ข้ารู้ แต่ก็พูดออกไปไม่ได้ มิเช่นนั้นเท่ากับข้าจะถูกสวรรค์ลงโทษ”


 


 


ยามที่เขาเอ่ย สีหน้ากลับดูจริงจังขึ้น


 


 


ทำให้เยี่ยเม่ยพิจารณาใบหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีข้ออ้างคำลวงแล้ว สีหน้าค่อยสงบลงมา


 


 


คำพูดที่ว่า เผยลิขิตฟ้า ถูกสวรรค์ลงโทษ เยี่ยเม่ยเคยได้ฟังมาก่อน


 


 


ส่วนนางที่เป็นคนย้อนเวลามา ย่อมเชื่อเรื่องพิสดารเช่นนี้ได้ง่าย


 


 


นางมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ถามว่า “อย่างนั้นข้าขอถามท่าน สหายของข้ายังมีชีวิตอยู่ไหม”


 


 


หลายวันนี้นางมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องเป่ยเฉินและต้ามั่ว ไม่ได้ไปหาลูกพี่ อย่างแรกก็เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ไหน อย่างที่สองเพราะ สัญชาตญาณที่ไม่อาจบอกได้ชัดเจนนั้นบอกว่าลูกพี่น่าจะไม่เกิดเรื่อง


 


 


 “เรื่องนี้…” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ลูบเคราตัวเอง พลันเผยสีหน้าลึกลับ


 


 


เยี่ยเม่ยล้วงมีดสั้นออกจากชายเสื้อ ลุกขึ้นอีกครั้ง ถามว่า “เรื่องนี้ก็พูดไม่ได้?”


 


 


 “นี่นี่นี่” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบเอ่ยปากหยุดยั้ง นางอาจจะใช้กำลังกับตน จึงรีบกล่าวว่า “เด็กหญิงอย่างเจ้า มีอะไรค่อยๆพูดค่อยจา ไฉนถึงได้ป่าเถื่อนนัก ข้าแค่ลังเลเล็กน้อย คิดเล่นตัวสักหน่อย เจ้าโกรธขึงขนาดนี้ไปทำไม”


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยเสียงเย็นว่า “เช่นนั้นพูดมา”


 


 


ยามนี้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้สึกว่าวันนี้เขากับเยี่ยเม่ยสนทนากัน ก็ชี้นำอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่แน่ว่าในอนาคตเขาจะปกป้องตัวเองได้ ทั้งยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อภาพลักษณ์น่าเคารพของเขาที่อยู่ในใจคนทั่วหล้า


 


 


เขาก็เริ่มไม่ยินดีขึ้นมาแล้ว เอ่ยปากอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ “สหายของเจ้าไม่เป็นไร เพียงแต่นางตกไปอยู่ที่แผ่นดินอีกผืน เจ้าก็รู้ว่า โลกใบนี้มีแผ่นดินทั้งหมดห้าผืน เจ้าก็ไม่ต้องคิดไปตามหานางอีกแล้ว แผ่นดินที่นางอาศัยอยู่ หากคิดเดินทางไปหานาง เกรงว่าต้องล่องลอยทะเลไปสิบปี”  


 


 


สีหน้าเยี่ยเม่ยเคร่งขรึมขึ้น


 


 


นางรู้ว่ายุคสมัยนี้มีแผ่นดินห้าผืน แผ่นดินแต่ละแห่งกินเนื้อที่เท่าๆกับ เอเชียนในยุคปัจจุบัน ด้วยพื้นที่เท่านี้ยังใหญ่เสียกว่าทวีปเอเชียอีก ดังนั้นบรรดาเจ้าดินแดนทั้งหลายถึงไม่คิดรวบรวมแผ่นดินอื่น ครั้นจะเดินทางไปต้องใช้เวลาถึงสิบปี คิดรวมแผ่นดินหาใช่เรื่องที่เป็นจริงได้


 


 


ส่วนแผ่นดินใหญ่ผืนอย่าง หวงเยว่ เซวียนอวี้ เผิ่นรั่ว ห่างจากดินแดนที่ฉ่างฉีนางอยู่ค่อนข้างใกล้ แผ่นดินเซวียนอวี้ที่ไกลที่สุด ใช้เวลาเดินเรือราวครึ่งปีเท่านั้นก็สามารถไปถึงได้ แต่แผ่นดินตี้เย่าที่ไกลที่สุด กลับต้องใช้เวลาเดินทางถึงสิบปี


 


 


ลูกพี่ตกอยู่แผ่นดินนั้นแล้วหรือ


 


 


สีหน้าเยี่ยเม่ยยิ่งสงสัย ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบเสริมขึ้นว่า “ข้าสาบานว่าสิ่งที่ข้าเอ่ยเป็นเรื่องจริง การหลอกลวงเจ้า สำหรับข้าไม่มีประโยชน์ใดๆ”


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา เน้นเสียงแข็งอีกครั้งว่า “ท่านมั่นใจว่าสหายข้าไม่เกิดเรื่องจริงๆ ?”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้ายืนยัน “ข้ามั่นใจ อีกอย่างพวกเจ้าทั้งสองมาที่นี่ ต่างก็มีชะตาชีวิตของตนเอง…อืม ความจริงสมควรมาบอกว่าคนที่กลับมาคือเจ้า ส่วนนางถูกดึงมาเกี่ยวข้องอย่างไม่คาดฝัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือเป็นลิขิตสวรรค์ นางมีหน้าที่ของตัวเอง เจ้าก็มีหน้าที่ของตัวเอง รอพวกเจ้าเดินอยู่ในเส้นชะตาของตัวเองแล้ว ก็ย่อมมีโอกาสได้พบหน้า”


 


 


 “หน้าที่? ภาระหน้าที่ของข้าคืออะไร” เยี่ยเม่ยสายตาวาวโรจน์ “อีกอย่าง เมื่อครู่ท่านบอกว่าข้ากลับมา ไม่ใช่เดินทางมา”


 


 


คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร


 


 


หรือว่าเดิมทีนางก็เป็นคนในยุคสมัยนี้อยู่แล้ว


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จ้องนาง จากนั้นลูบเคราอย่างยากคาดเดา คล้ายกำลังใช้ความคิดอยู่สักพัก ในที่สุดก็เอ่ยปากว่า “ไม่ผิด เจ้ากลับมา เดิมเจ้าก็เป็นคนของที่นี่ ภาระของเจ้าคือการตามหาความทรงจำที่สูญเสีย ทำภารกิจหนักอึ้งบนบ่าของเจ้าให้สำเร็จ แน่นอนว่าหลังจากเจ้าฟื้นความทรงจำแล้ว เจ้าจะแบกรับภาระหน้าที่นี้ต่อไปหรือไม่ ก็ล้วนอยู่ที่เจ้าเลือกเอง”


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว สายตาที่ใช้มองเขายิ่งทวีความล้ำลึก


 


 


เดิมทีนางเป็นคนของที่นี่? อย่างนั้นความทรงจำที่นางสูญเสียไป คือความทรงจำก่อนที่ลูกพี่ช่วยนางไว้อย่างนั้นหรือ หน้าที่ของนาง? ทั้งยังมี…


 


 


ยามนี้นางพลันคิดขึ้นมาได้ว่า ตลอดสี่ปีที่ผ่านมามีความฝันที่เกี่ยวพันตามติดอยู่มาตลอด


 


 


 “เทพแห่งสงครามคุ้มครอง แม่น้ำหมิงไม่เหือดแห้ง เถ้ากระดูกกองสูงตระหง่านยาวพันลี้ “


 


 


คล้ายกับเป็นคำสาปแช่งเลือนรางอยู่ในความทรงจำ แต่ก็คล้ายเสียงจากก้นบึ้งของหัวใจนาง คิดมาถึงตรงนี้ นางพลันรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกหนาวเหน็บ


 


 


แต่อย่างไรนางก็ไม่หวาดกลัว มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ถามขึ้นว่า “หากที่ท่านพูดเป็นความจริง ข้าจะทำอย่างไรเพื่อได้ความทรงจำคืนมา แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ลูกพี่ไม่เกิดเรื่องจริงๆ”


 


 


 “นางเกิดเรื่องหรือไม่ ข้าหลอกเจ้าไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่ใช่หรือ” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ย้อนถามอย่างจนปัญญา “อีกอย่างข้ารับประกันได้ว่า นางมีชีวิตที่ดีกว่าเจ้ามากนัก”


 


 


เวลานี้เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก ตอนนี้นางก็อยู่อย่างไม่เลวแล้ว แต่เมื่อคิดว่าลูกพี่เป็นสตรีที่ช่างวางแผนการ ก็จริง…ลูกพี่มีชีวิตที่ดีกว่าทุกคน ถึงเหมาะสมกับสมองอันชาญฉลาดของลูกพี่ เมื่อคิดเช่นนี้ นางค่อยเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ก็ดี อย่างนั้นข้าจะลองเชื่อท่านดู”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยต่อไปว่า “ส่วนที่ว่าความจำของเจ้าจะกลับมาอย่างไร เจ้าเลิกคิดก่อนชั่วคราว เพราะคนที่เป็นกุญแจสำคัญในการคืนความทรงจำของเจ้านั้นยังไม่ปรากฎตัว แต่อีกไม่ช้าเจ้าก็จะได้พบเขาแล้ว ส่วนที่ว่าเจ้าจะจำได้หรือไม่ จำได้ตอนไหน ทุกอย่างอยู่ที่ชะตา”


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ไม่ใส่ใจที่เขาเล่นตัว เพียงกล่าวว่า “อย่างนั้น ท่านต้องพูดอะไรสักหน่อย เพื่อเป็นหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ว่าเดิมทีข้าเป็นคนของที่นี่”


 


 


 “ก็อาศัยแค่ยามเจ้าฝึกเคล็ดวิชาของข้า ส่งผลให้กำลังภายในร่างกายไหลเวียน เจ้าค้นพบแล้วว่าตัวเองคล้ายจะมีกำลังภายในอยู่แล้วมิใช่หรือ” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยิ้มอย่างมีลับลมคมนัย


 


 


เยี่ยเม่ยใจสั่นสะท้าน


 


 


เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำให้นางเชื่ออย่างน่าแปลกว่าตนเองเป็นคนของที่แห่งนี้ไม่ยาก


 


 


           ส่วนเมื่อครู่ ตอนที่นางทดสอบกำลังภายในแล้วค้นพบว่าภายในร่างของนางคล้ายมีพลังสายหนึ่งที่ถูกผิดผนึกไว้นาน ก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความทรงจำของนาง

 

 

 


ตอนที่ 90-91

 

ตอนที่ 90 บุรุษแข็งกร้าวเยี่ยเม่ย / ตอนที่ 91 ท่านดีใจมากนักเหรอ

 


ตอนที่ 90 บุรุษแข็งกร้าวเยี่ยเม่ย


 “ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบทำหน้าลำพองใจ เอ่ยเสริมขึ้นทันทีว่า “เรื่องนี้สำหรับเจ้าและข้าแล้วถือเป็นเรื่องดี เมื่อเจ้าเริ่มฝึกกำลังภายในใหม่อีกครั้ง จะพบว่าฝึกได้ง่ายกว่าเดิมมาก ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ได้แต่ร่ำเรียนเคล็ดวิชาที่ทำร้ายร่างกายแล้ว”


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ เอ่ยคำนี้ออกมา ก็ถอนใจ


ราวกับว่าคิดถึงใครหรือเรื่องอะไรขึ้นมาได้


เยี่ยเม่ยไม่มีอารมณ์สนว่าเขาคิดอย่างไร เพียงแต่ถามเขาเสียงเย็นว่า “อย่างนั้นท่านรู้หรือไม่ว่า เหตุใดตอนนั้นข้าถึงสูญเสียความทรงจำ”


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “เพราะเจ้าพลัดไปอยู่อีกห้วงเวลาหนึ่ง เจ้าถูกพัดไปด้วยสายน้ำ ความกดดันทางห้วงเวลา ทำให้ความทรงจำของเจ้าว่างเปล่า สิ่งที่พูดได้ข้าก็พูดไปหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องถามอีก หากพลอยให้หนุ่มน้อยอย่างข้าถูกสวรรค์ลงโทษลำบากไปด้วย เจ้าจะชดใช้ไม่ไหว”


เขาพูดไปด้วยท่าทางรักถนอมชีวิตอย่างที่สุด ถอนร่นไปสองก้าว มองเยี่ยเม่ยด้วยความป้องกัน


เยี่ยเม่ยมองเขา ถามว่า “จุดประสงค์ที่ท่านปรากฏตัวในที่นี้คืออะไร”


“รับเจ้าเป็นศิษย์” คำพูดนั้นของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ เรียกได้ว่าหน้าไม่แดงเลยสักนิด ราวกับว่าเรื่องราวควรเป็นไปเช่นนี้ ทั้งไม่จำเป็นต้องถามความสมัครใจส่วนตัวเยี่ยเม่ย



เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “ข้าเห็นด้วยแล้วหรือ”


 “หรือเจ้าไม่ยินยอม?” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่คล้ายถูกโจมตีอย่างหนัก มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา คนทั้งร่างเหมือนถูกฟ้าผ่าก็ไม่ปาน


พูดไปๆ เขาก็ชี้มาที่ตัวเอง ทั้งกล่าวด้วยความแตกตื่นว่า “เจ้ารู้หรือเปล่าข้าคือใคร ข้าคือผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ในตำนาน พวกศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้าล้วนเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งอันดับของใต้หล้า เป็นคนหล่อเหลาร่ำรวยตามมาตรฐานนิยม ต่อให้เจ้าไม่เห็นแก่ข้า ก็สมควรเห็นแก่บุรุษรูปงาม เจ้าก็น่าจะตอบรับสิ?”


ไม่ใช่สตรีสมัยนี้ล้วนชมชอบบุรุษหล่อเหลาร่ำรวยมิใช่เหรอ


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ครุ่นคิดเช่นนี้


จากนั้น เยี่ยเม่ยกลับปรายตามองเขาอย่างเย็นชา ตอบกลับไป “ข้าไม่สนใจบุรุษหล่อเหลาร่ำรวย  อย่างไรเสียผู้อื่นโดดเด่นก็ไม่สู้ตัวเองโดดเด่น ดังนั้นจุดนี้เย้ายวนข้าได้ไม่มากพอ ฐานะและชื่อเสียงของท่านก็ไม่อาจจูงใจข้าได้ ท่านลองหาวิธีอื่นมาทำให้ข้ายอมรับเถอะ”


หลังจากเยี่ยเม่ยพูดจบ นางกลับมานั่งบนเตียง หลับตาทำสมาธิ เตรียมฝึกกำลังภายในตามเคล็ดวิชา


ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าไม่คิดจะเอาเคล็ดวิชากลับไป อย่างนั้นนางก็ไม่ต้องเกรงใจอีก ฝึกไปเลยก็แล้วกัน


คำพูดนี้ของนางทำให้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตกตะลึงถึงขีดสุด ตัวสั่นมองเยี่ยเม่ยอยู่สักพัก คนทั้งร่างโมโหเสียจนเคราสั่นระริก ชี้ที่นางเอ่ยปากว่า “อย่างนั้นเจ้าพูดมา เจ้าจะเอาอย่างไรถึงยอมเป็นศิษย์ข้า”


หากเอ่ยออกไปว่า เขารับศิษย์ล้มเหลว ต่อไปจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน มุดอยู่ในกางเกงหรืออย่างไร


เยี่ยเม่ยตอบไปตามสัตย์ “ข้าเองก็อยากรู้ ทำอย่างไรถึงยอมเป็นศิษย์ท่าน ท่านลองคิดดูเถอะ ไม่แน่อาจคิดวิธีเกลี้ยกล่อมข้าได้”


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่นิ่งไปชั่วขณะ ปรายตามองนางด้วยความน้อยใจ “เจ้าฝึกเคล็ดวิชาของข้าแล้ว ไม่เคารพข้า ยอมข้าเสียหน่อยหรือ”


 “เดิมคิดว่าได้ แต่เมื่อครู่ท่านไม่ใช่พูดเองหรือว่า เคล็ดวิชาอยู่ในมือข้า ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านคาดการไว้แล้ว ในเมื่อข้าตกอยู่ในแผนการของท่าน ก็เท่ากับเสียเปรียบท่าน ทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเสมอกัน ท่านว่าอย่างไร” ตรรกะความคิดของเยี่ยเม่ยยังนับว่าชัดเจนมาก


ลูกพี่กับเยาไกว่ พวกเขามักวิจารณ์นางเสมอ “หากนางไม่ใช่ผู้หญิง ซ้ำยังงดงามเกินคนทั่วไปมาก อาศัยตรรกะความคิดรวมถึงการกระทำของนาง โดยพื้นฐานแล้วนางก็คือบุรุษแข็งกร้าวไม่ผิดแน่


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ในยามนี้พลันอยากร้องไห้แล้ว…


ในเวลานี้เอง หลังคาห้องพลันเกิดเสียงดังขึ้นมา ทั้งสองสีหน้าแตกตื่น


ตอนที่ 91 ท่านดีใจมากนักเหรอ


คนทั้งสองต่างไม่รับรู้ถึงไอสังหาร


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองเยี่ยเม่ยอย่างมีความนัยอื่น ร่างไหววูบหนึ่ง หายไปจากห้องไม่เห็นเขาอีก


ก่อนเขาจากไป เพียงใช้เสียงส่งเข้าโสตประสาทเยี่ยเม่ย “ข้ายังจะกลับมาอีก”


เงาร่างของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ออกจากห้องไปแล้ว


ส่วนคนบนหลังคา หรี่ดวงตาชั่วร้ายมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จากไป แสงริบหรี่นั้นเล็กน้อยเสียจนยากจับสังเกตได้ มุมปากยกยิ้ม แต่ก็เก็บสีหน้าไปอย่างรวดเร็ว


อวี้เหว่ยอยู่ด้านล่างหลังคา มองเตี้ยนเซี่ยของตนด้วยความตื่นตัว


ไม่เพราะเรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะตัวเขาได้ข่าวมาว่า แม่นางเยี่ยเม่ยได้รับเคล็ดวิชาเล่มหนึ่ง หากท่านคิดชดเชยให้แม่นางเยี่ยเม่ย เวลานี้ก็สามารถส่งของที่ช่วยให้แม่นางเยี่ยเม่ยฝึกกำลังภายในได้


หลังจากเขาเอ่ยจบ เตี้ยนเซี่ยก็รวบรวมของกองโต


ยาทั้งหลายที่ช่วยในการฝึกกำลังภายใน คัมภีร์เคล็ดวิชาสารพัดสำนัก สรุปแล้วคือทุกอย่างที่ใช้ได้ จับยัดใส่จนเต็มแน่นลัง เตี้ยนเซี่ยแบกมาจนถึงที่นี่ ยกขึ้นไปไว้บนหลังคาห้องแม่นางเยี่ยเม่ย 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หลังจากขึ้นหลังคาไปแล้ว ก็นำลังใบนั้นขึ้นไปหลังคาเช่นกัน นี่ก็คือที่มาของเสียงที่ เยี่ยเม่ยได้ยิน    


หลังจาก องค์ชายสี่วางลังเรียบร้อย ก็เปิดกระเบื้องหลังคาห้องเยี่ยเม่ยออก เตรียมทำให้นางแปลกใจ


สิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ ลังใบนั้นน่าจะหนักมาก?


เมื่อครู่ตอนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคุกเข่าลง ใช้มือข้างหนึ่งขยับกระเบื้องหลายแผ่น เพื่อก้มลงไปในห้องสบตากับเยี่ยเม่ย ลังใบนั้นเกิดขยับเอง


มันกดทับหลังคาห้อง ตกร่วงลงไปด้านล่าง


ส่วนตำแหน่งนั้นก็ตรงลงไปที่เยี่ยเม่ยอย่างพอดิบพอดี


อวี้เหว่ยเห็นฉากสะเทือนขวัญนี้ เอามือปิดหน้าตน อดทนดูต่อไปไม่ไหว


ลังตกลงไปตรงๆ ไม่เบนทิศเลยสักนิดเดียว อีกทั้งภายในยังอัดแน่นไปด้วยของขวัญชดเชยที่องค์ชายสี่ตระเตรียมไว้ให้แม่นางเยี่ยเม่ยอีกด้วย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบสนองในทันที ไม่พูดพร่ำมากความพุ่งทะลวงหลังคาลงไป


คิดจะใช้มือปัดลังให้ก็ไม่ทันแล้ว ใช้กำลังภายในก็จะทำลายเคล็ดวิชาภายในลัง


ดังนั้นเขายื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว ดึงเยี่ยเม่ยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ทั้งสองล้มลงบนเตียง กลิ้งตัวไปเล็กน้อยหลบลังได้สำเร็จ


 “โครม” เสียงลังตกกระแทกพื้น


ลังไม้แตกออกเป็นเสี่ยง ยังดีที่ข้าวของภายในหาได้บุบสลาย


ส่วนบนเตียง


           เยี่ยเม่ยนอนอยู่บนเตียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทับอยู่บนตัวนาง เขาใช้แขนยันเตียงไว้ ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงคืบเดียว


เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา สายตาเจือความโกรธ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


ใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายสี่เผยความกระอักกระอ่วนอย่างที่หาชมได้ยาก ท่วงท่าของเขายังดูสง่างามไม่เสื่อมคลาย แต่สุดท้ายน้ำเสียงเร่งร้อนขึ้นอยู่บ้าง “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยน…”


เขาตระหนักได้ว่า หากเมื่อครู่ตนช้าไปอีกก้าวเดียว เยี่ยเม่ยจะถูกทับแล้ว


เขาอยากแสดงออกว่าตัวเองมาขอโทษ ไม่ใช่มาก่อเรื่อง ทั้งหมดนี่เป็นอุบัติเหตุ


จากนั้น ยังไม่ทันเอ่ยปากออกไป เยี่ยเม่ยก็ยื่นมือออกอย่างเย็นชา ผลักเขาออก


ทั้งสองลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา มองซากลังที่แตกอยู่บนพื้น จากนั้นมองหลังคาแตกทะลุ นางเงียบไปสักครู่หนึ่ง ถึงได้ปรายตามองเขา “นี่คือวิธีใหม่ในการดึงดูดความสนใจข้าของท่านหรือ”


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งไปสักพัก เขาเหลือบมองของบนพื้น ยังไม่ทันได้เอ่ยวาจา


เยี่ยเม่ยพลันยื่นมือออกมา กดเขาลงบนเตียง ท่วงท่าคล้ายผู้กรำชัยกดอยู่เหนือร่างเขา จ้องใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้าย ถามเสียงเย็นชาว่า “ได้ซุกซนสักหน่อย ท่านดีใจมากนักหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 92

 

ตอนที่ 92 เยี่ยนยินดีให้เจ้าเป็นศูนย์กลาง

 


 


 


 


ระหว่างที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงยหน้า ก็จ้องหน้ากับนาง 


 


 


ใบหน้าทั้งสองห่างกันแค่คืบ ร่างกายอ่อนนุ่มนิ่มของนางแนบอยู่บนตัวเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พูดจา ผ่านไปสักพัก เยี่ยเม่ยค่อยตระหนักถึงท่าทางระหว่างทั้งสองคน บรรยากาศตกอยู่ในความคลุมเครือ  


 


 


บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นแปลกพิกล 


 


 


จากท่าทางดุร้าย ต้องการจัดการเขาของนาง เปลี่ยนไปจนเป็นเช่นนี้…ราวกับว่าอากาศรอบๆ ยังดูงดงามขึ้นไม่น้อย 


 


 


จู่ๆ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็หัวเราะออกมา เขาหัวเราะจนแผงอกสั่นสะเทือน สีหน้าที่มองนางก็ดูอ่อนโยนมากขึ้น เขาพลิกตัวอย่างรวดเร็ว  


 


 


เยี่ยเม่ยถูกกดไว้ด้านล่าง 


 


 


ฝ่ามือใหญ่ของเขาจับข้อมือนางเอาไว้โดยไม่บอกกล่าว กดมือทั้งสองข้างของเยี่ยเม่ยไว้บนเตียง 


 


 


      เยี่ยเม่ยมีสีหน้าเดือดดาล ขณะที่กำลังจะพลิกตัวกลับ กลับรู้สึกได้อย่างรุนแรงว่ามีของแข็งบางอย่าง แนบอยู่ที่ร่างนางผ่านเสื้อผ้า 


 


 


เมื่อเงยหน้ามองดูเห็นในตาแดงของบุรุษหนุ่ม นั่นคล้ายกับความปรารถนาที่ยากควบคุม 


 


 


นางเข้าใจขึ้นมาทันที อากัปกิริยาโต้ตอบไปมาของพวกนาง ปลุกความปรารถนาของเขาขึ้นมาแล้ว 


 


 


แมวช่างสงสัยมักตกอยู่ในความตาย การขยับซี้ซั้วก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่ากลัว 


 


 


สิ่งเหล่านี้เยี่ยเม่ยล้วนเข้าใจ 


 


 


… 


 


 


ยามนี้นางไม่ขยับแล้ว มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยสายตาเย็นเยียบเป็นเชิงตักเตือน หวังว่าเจ้านี่จะรู้จักขอบเขต  


 


 


ในขณะที่นางกำลังถลึงตานั้น 


 


 


เขาพลันก้มหน้าลงมา กลิ่นอายบุรุษจากร่างเขา ฮอร์โมนชวนให้คนลุ่มหลงพุ่งเข้ามา เยี่ยเม่ยถึงกลับมึนงงไปชั่วครู่ เพียงเสี้ยวเวลาที่ตกอยู่ใต้กลิ่นอายบุรุษเพศ ใต้ใบหน้าตาหล่อเหลาของเขา ก็ลืมสถานการณ์ตนเองไปหมดสิ้น สมองเลอะเลือน 


 


 


รอจนนางรู้สึกตอบสนอง ก็รู้สึกเจ็บปวดที่คอแล้ว 


 


 


ความเจ็บปวดนี้มิได้รุนแรง แต่ยังคงทำให้เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว ริมฝีปากร้อนรุ่มของเขา ขบคอขาวนุ่มของนาง บรรยากาศคลุมเครือระหว่างเขาทั้งสองคนยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น 


 


 


ส่วนความเจ็บปวดที่คอนางก็มาจากแรงขบจากริมฝีปากเขา 


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยเข้าใจแล้ว เกรงว่าคอของนางจะถูกเจ้าคนไม่รู้จักขอบเขต บุรุษซุกซนผู้นี้ทิ้งรอยจูบไว้เสียแล้ว 


 


 


นางเตรียมออกแรงหนีออกจากมือเขา ริมฝีปากของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนผละออกจากคอนางราวกับรู้ทัน 


 


 


แววตาของเขาในยามนี้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน จับจ้องใบหน้าโมโหโทโสของนาง ดวงตาเจือรอยยิ้ม แววตาเช่นนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดคนชนิดหนึ่ง คล้ายทุ่งดอกไม้ริมฝั่งถูกขยี้เป็นผง เก็บไว้ในแววตาเขา คล้ายกับยาพิษคร่าชีวิต กระชากวิญญาณ 


 


 


น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปต่ำลงและแหบพร่าอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังควบคุมความปรารถนาของตน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ หัวเราะเอ่ยว่า “ใช่ ซุกซนเสียหน่อย ข้ามีความสุขมาก” 


 


 


      หากรู้แต่แรกว่า เหตุไม่คาดฝันเช่นนี้กลับสามารถทำให้ระหว่างพวกเขาสองคนมีอากัปกิริยาโต้ตอบมอมเมาคนอย่างนี้ เขาสมควรคว้าโอกาสและกระทำ ‘ซุกซน’ไปนานแล้ว ทั้งยังใช้ร่างกายกระทำถึงจะถูก 


 


 


      ความรู้สึกร้อนวาบบนคอยังคงอยู่ เยี่ยเม่ยที่เป็นสตรีเข้มแข็งราวบุรุษ ในยามนี้นอกจากความโมโหสุมอยู่เต็มอกแล้ว ยังมีความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนบางอย่าง พัวพันอยู่ในจิตใจ  


 


 


ในยามนี้นางยังมีอารมณ์สนใจว่านี่มันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ที่ไหนกัน 


 


 


นางไม่พูดพร่ำ ยกขาแรงๆ กระแทกหว่างขาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


คล้ายเขาคาดเดาได้ก่อนแล้ว ในเสี้ยวนาทีที่นางยกขา เขาใช้ขายาวของตนกดทับขานางไว้ล่วงหน้า 


 


 


รอยยิ้มในแววตาเขาชัดเจนขึ้น เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ครั้งนี้หากเจ้าลงมือได้ตรงเป้าหมาย เยี่ยนไม่กล้ารับรองว่า อีกครึ่งชีวิตที่เหลือของพวกเรายังจะมีความสุขอยู่หรือไม่” 


 


 


เขาเข้าใจนางดี รู้ว่าครั้งนี้นางไม่ลงมือเบาๆ แน่ 


 


 


หากถูกนางโจมตี กระดูกยังหักได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงจุดอ่อนแอที่สุดของบุรุษ 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความเย็นชา ฝืนกลั้นความรู้สึกแปลกใจเอาไว้ จ้องใบหน้าเขา ถามขึ้นว่า “คืออีกครึ่งชีวิตที่เหลือของท่านไม่มีความสุขต่างหาก อย่าได้เอาครึ่งชีวิตที่เหลือของข้าไปผูกติดกับท่าน” 


 


 


 “ไร้น้ำใจนัก” เขาดูเสียใจอยู่บ้าง กลับยังยิ้มเอ่ยสี่คำนี้ออกมา ไม่ช้าเขาก็เริ่มไร้ยางอายอีกครั้ง ยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาหานาง “ผูกติดหรือไม่ ชั่วชีวิตนี้ของเยี่ยนกำหนดไว้ว่าเป็นเจ้าแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยเจ้าหนีไม่พ้นหรอก” 


 


 


สิ้นเสียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ปิดปากเยี่ยเม่ยอย่างดุดัน 


 


 


ในชั่วขณะที่เยี่ยเม่ยตกใจจนเบิกตากว้าง เขาก็รุกรานเข้าไปอีก 


 


 


แววตาเยี่ยเม่ยเต็มไปด้วยความโกรธขึง อ้าปากกัดเขาอย่างแรง ในปากนางสัมผัสได้ถึงรสคาวเลือดในไม่ช้า ส่วนเขากลับไม่ถอย นัยน์ตาทวีความเร่าร้อน กดจูบรุนแรงราวกับลงทัณฑ์ก็ไม่ปาน 


 


 


ทั่วทั้งร่างของเยี่ยเม่ยถูกเขาควบคุมเอาไว้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกดข้อมือนาง ส่วนคนก็กดทาบทับลงมา 


 


 


นี่ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางถูกกระทำ ในที่สุดแววตาของเยี่ยเม่ยก็ฉายไอสังหาร ในขณะที่กำลังจะลงมือนั้น เสียงเขาก็ดังขึ้นมาระหว่างริมฝีปากของทั้งสอง “แม่นางเยี่ยเม่ย สิ่งของล้ำค่าที่สุดในโลกใบนี้ จำเป็นต้องลงแรงอย่างสุดกำลังถึงจะได้รับมา คนทั้งหลายเรียกวิธีการเพื่อการได้รับมาว่าการทุ่มเท ในเมื่อเยี่ยนกล้าชมชอบเจ้า ก็ต้องทุ่มเททุกอย่าง รวมถึงเตรียมตัวตายเอาไว้ด้วย” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตระหนักได้ว่าเยี่ยเม่ยเกิดความคิดสังหารตนแล้ว ในเมื่อเขารู้ว่านางคิดจะสังหารเขา แต่เขายังเอ่ยคำนี้ออกมา แสดงว่าต่อให้นางคิดลงมือ เขาก็ไม่คิดหลบเลี่ยงเลยสักน้อย 


 


 


คำพูดนี้ กลับทำให้นางตกอยู่ในความงุนงงชั่วครู่ 


 


 


ส่วนจูบของเขา ก็ยิ่งอ้อยอิ่งอ่อนโยน 


 


 


ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาหยุดจูบลง สายตาที่เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังคงเย็นชาเหมือนเคย ทว่ากลับแทรกความสับสน แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เข้าใจว่าความรักคือสิ่งใด ทั้งยังบอกไม่ได้ว่าจากคำพูดและการกระทำของเขา ในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่ตัวนางไม่อาจอธิบายได้นั่นคืออะไร 


 


 


แต่นางเข้าใจคำว่าทุ่มเทอย่างชัดเจน 


 


 


สายตาเย็นเยียบของนางมองเขา “ทุ่มเท? ท่านทุ่มเทสิ่งใดเพื่อข้าได้” 


 


 


 “ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ” เสี้ยวนาทีนี้ในดวงของเขาอัดแน่นด้วยความจริงใจ สายตาที่มองนางอ่อนโยนถึงที่สุด “สิ่งที่เยี่ยนมีล้วนเป็นของเจ้า สิ่งที่เยี่ยนไม่มี ก็แย่งชิงมาเพื่อเจ้า ต่อให้เจ้าสั่งให้เยี่ยนชำระล้างจิตใจเปลี่ยนเป็นคนดีจิตใจงดงามผู้หนึ่ง พยายามสะกดเก็บนิสัยเดิมไม่ทรมานจิตใจคนอีก เยี่ยนก็ยินดีทำ”  


 


 


หากบอกว่าชั่วชีวิตเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีงานอดิเรกอะไร เกรงว่าสิ่งนี้คงเป็นอย่างเดียว 


 


 


มองดูคนดิ้นรนในสายตาเขา เปล่งเสียงกรีดร้อง เหยียบย่ำคุณธรรมและหลักการในใจของคน ใช้พิสูจน์ว่าจิตของพวกเขาล้วนไร้มโนธรรม นี่คือสิ่งที่เขาชอบทำมาตลอดหลายปี แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาถูกเข้าใจว่ามีนิสัยชั่วร้าย 


 


 


แต่เพื่อนางแล้ว เขายินยอมเปลี่ยนแปลง 


 


 


ชั่วเวลานี้เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบ ถึงนางเชื่อมั่นว่าตนเองเพียบพร้อมมาก แต่ความเพียบพร้อมของบุรุษผู้นี้หาได้ด้อยไปกว่านาง จู่ๆ เขาแสดงความจริงใจเช่นนี้ออกมา ทำให้นางทำตัวไม่ถูก 


 


 


นางฝืนนิ่งสงบ ถามเขาว่า “ข้าให้ท่านทำอะไร ท่านก็ยินดีเหรอ” 


 


 


 “ใช่” เขาพยักหน้าด้วยท่าทางงดงาม แววตาเจือรอยยิ้มสบายอารมณ์ เอ่ยช้าๆ “เยี่ยนยินยอมห้อมล้อมอยู่รอบกายแม่นาง ทุกอย่างล้วนให้เจ้าเป็นศูนย์กลาง มุ่งมั่นเปลี่ยนไปอย่างที่เจ้าชอบ ต่อให้ต้องสูญเสียความเป็นตัวเองก็ไม่น่าเสียดาย” 


 


 


ระหว่างที่เอ่ย มือข้างที่จับข้อมือขวาของเยี่ยเม่ยพลันขยับแล้ว 


 


 


ดึงฝ่ามือนางเข้ามาแนบที่ใจเขา เพื่อให้เยี่ยเม่ยสัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจ น้ำเสียงน่าฟังของเขาเจือความหลงใหล ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าฟังดู มันกำลังบอกว่าจริงใจ” 

 

 

 


ตอนที่ 93

 

ตอนที่ 93 ความรักหรือกับดัก

 


 


 


 


บรรยากาศเย้ายวนคน ในอากาศก่อเกิดกระแสไฟแปลกประหลาดกระแสหนึ่ง 


 


 


มือของเยี่ยเม่ยแนบหน้าอกเขาอยู่หลายวินาที นางพลันหัวเราะออกมา เยี่ยเม่ยใช้สายตาเย็นชาอย่างที่คุ้นเคย ชั่วอึดใจที่หัวเราะออกมา กลับมีความงดงามราวดอกเกล็ดหิมะเบ่งบาน เยือกเย็นน่าหวาดกลัว 


 


 


ถัดมา… 


 


 


ยี่ยเม่ยชักมืออกจากอกเขา สายตาคมกริบมองบุรุษหน้าตาหล่อเหลาเบื้องหน้า มุมปากยกยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้ม “ข้าสมควรขอบคุณท่านที่เตือนข้าว่า ท่านไม่ใช่คนดี ทั้งยังชอบการทรมานใจคน” 


 


 


อวี้เหว่ยที่แอบฟังอยู่ริมหน้าต่างในยามนี้ หัวใจเต้นตึกตัก 


 


 


ความจริงแล้ว… 


 


 


พูดตามจริงแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เตี้ยนเซี่ยทำเพื่อแม่นางเยี่ยเม่ยทั้งหมด เขาเองก็มองไม่ออก ไม่เข้าใจเลย ไม่รู้ว่าเตี้ยนเซี่ยชอบแม่นางเยี่ยเม่ยจริงๆ หรืออาจบอกว่าเขาหาเหตุผลที่เตี้ยนเซี่ยจะชอบใครคนหนึ่งได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ไม่เจอ 


 


 


ยามนี้เมื่อได้ยินเยี่ยเม่ยเอ่ย อืม… 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว สีหน้าค่อยๆ หนักอึ้ง ความอ่อนโยนเจือรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นแข็งขืนเย็นชาภายในเสี้ยววินาที คล้ายกับภูเขาน้ำแข็งในช่วงกลางปีที่ยังไม่ละลาย เผยไอเย็นเยียบ รอเยี่ยเม่ยเอ่ยประโยคต่อไป 


 


 


เยี่ยเม่ยลุกขึ้นนั่ง ผลักเขาออก 


 


 


คราวนี้เขากลับไม่ฝืนตัว ถูกผลักออกไปอย่างเชื่อฟัง 


 


 


แววตาเย็นชาของนางมองหน้าเขา จากนั้นมองสิ่งร่วงลงมาพร้อมกับลังกระจายเต็มพื้น ล้วนเป็นข้าวของที่เขาเอามากำนัลเอาใจ เอ่ยปากว่า “ให้ข้าทายดูว่าท่านกำลังคิดอะไร ท่านอยากได้หัวใจของข้า จากนั้นค่อยเหยียบย่ำมัน เพื่อบรรลุผลการเคี่ยวกรำจิตใจคนของท่าน ท่านทำแบบนี้เพื่ออะไร” 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ก็พยักหน้า เอ่ยเองว่า “หากบอกว่าท่านไม่พอใจข้า ก็เป็นไปไม่ได้ คนที่ทำอะไรโดยไม่มีที่มาที่ไปอย่างท่าน สมควรทำทุกอย่างเพื่อความยินดีของตนเท่านั้น ข้าขอเดาว่าจิตใจของท่านไม่แค้นไม่เคืองใคร ใช่หรือไม่” 


 


 


เขานิ่งเฉย กลับไม่พูดจา 


 


 


สุดท้ายเยี่ยเม่ยก็สรุปคำพูดตน “ดังนั้น สาเหตุที่ท่านทำเช่นนี้ก็เพราะอยากเห็นข้าเสียใจ ทำให้ท่านสนุกสนานจากการทรมานใจคนอีกครั้ง ใช่หรือไม่” 


 


 


เมื่อคำพูดเอ่ยมาถึงตรงนี้ อวี้เหว่ยที่อยู่ริมหน้าต่าง อดใจไม่ไหวหันหน้ามองใบหน้าของเตี้ยนเซี่ยที่เย็นชาราวน้ำแข็ง 


 


 


หากเตี้ยนเซี่ยจริงใจล่ะก็ คำพูดนี้ของแม่นางเยี่ยเม่ย… 


 


 


เรียกได้ว่าทำร้ายจิตใจแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังถึงตรงนี้ สีหน้าเย็นชาพลันหายไปสิ้น กลับสู่ท่าทางสง่างามสบายๆ ไม่ยี่หระต่อเรื่องราวใดๆ เขาก้าวเข้าไปใกล้เยี่ยเม่ย ค่อยๆ ถามว่า “ในเมื่อแม่นางเห็นเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็บอกเยี่ยนเสียหน่อยว่า เจ้าคิดว่าคำพูดใด การกระทำใดของเยี่ยนเป็นเรื่องจริง อันใดเรื่องโกหก” 


 


 


 “โกหกทั้งหมด” เยี่ยเม่ยตอบกลับไปสี่คำอย่างรวดเร็ว แววตาเย็นชากวาดมองเขาอีกครั้งหนึ่ง ดวงตาไม่มีความรู้สึกใด “เพราะข้าดูไม่ออกเลยว่า ท่านมีเหตุผลอันใด ถึงยินยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อข้า ต่อให้ข้าเพียบพร้อมก็จริง แต่ความจริงแล้วท่านก็ไม่ด้อยเลย”  


 


 


คำพูดนี้เท่ากับเยี่ยเม่ยยอมรับในตัวของบุรุษเบื้องหน้าว่า เขาไม่แย่เลยจริงๆ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ค่อยๆลุกขึ้น รักษาท่วงท่าสง่างามเอาไว้ ดวงตาชั่วร้ายกวาดมองเยี่ยเม่ย ค่อยๆ กล่าวว่า “เจ้าฉลาดมาก เอาอย่างนี้แล้วกัน เยี่ยนกลับไปก่อน ขอให้ภารกิจในคืนนี้ของเจ้าสำเร็จลุล่วง” 


 


 


สิ้นเสียง เขาก้าวเท้ายาวจากไป 


 


 


อวี้เหว่ยคุกเข่าที่หน้าต่าง แสดงออกว่าไม่เข้าใจเลยสักน้อย แต่เมื่อเห็นเตี้ยนเซี่ยเดินออกมา เขาก็ไม่พูดอีก ติดตามไป 


 


 


ในเสี้ยวขณะนั้น เยี่ยเม่ยเอ่ยไม่ถูกว่าตนรู้สึกอย่างไรกันแน่ 


 


 


เขายอมรับการคาดเดาทั้งหมด นางกลับไม่ดีใจเลย ทั้งยังรู้สึกงุ่นง่านไปทั้งใจ ทำให้นางแยกแยะอารมณ์ไม่ถูก จากกระแสหวานละมุน เปลี่ยนเป็นขมขื่น ทำให้นางปวดหนึบนัก 


 


 


เยี่ยเม่ยเดินไปที่ประตูโดยไม่รู้ตัว มองส่งเงาหลังของคนจากไป 


 


 


ในคืนที่เพิ่งล่วงเลยเข้าฤดูหนาวนี้ หิมะตกแล้ว นับตั้งแต่ยามที่เขาเดินออกจากห้องไป เกล็ดหิมะโปรยปรายลงจากท้องฟ้า เยี่ยเม่ยมองอยู่ห่างๆ ค่อยรู้สึกว่าทุกอย่างเลือนราง ส่วนนางหลงคิดว่าตัวเองเข้มแข็งเย็นชา หัวใจที่ไร้ความรู้สึกในเวลานี้หดเกร็งเจ็บปวด  


 


 


ถึงกระทั่งรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองติดขัด 


 


 


ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็ค่อยๆ ปิดตาลง เมื่อเปิดตาอีกครั้งทุกอย่างก็ชัดเจน กลับสู่ความเย็นชาดังเดิม 


 


 


ในห้องมีร่องรอยของเขา ในเวลานี้นางพลันรู้สึกดีใจ เคราะห์ดีที่ตนเองฉลาดมากพอ หลายวันที่ผ่านมานี้ บังเอิญหลงใหลกับความอ่อนโยนของเขา แต่ยังไม่ได้ถลำลึกลงไปในกับดัก 


 


 


   …… 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่รู้ว่า 


 


 


ห่างออกไปสองร้อยกว่าเมตร อวี้เหว่ยติดตามอยู่เบื้องหลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มองใบหน้าด้านข้างของเตี้ยนเซี่ยอย่างระมัดระวัง หลายปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอารมณ์เช่นนี้บนใบหน้าของเตี้ยนเซี่ย เย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง ขาดความชั่วร้ายและสง่างามนั้นไป 


 


 


เกล็ดหิมะตกใส่ร่างเขา ร่วงใส่บ่าเขา ดูคล้ายไร้น้ำหนัก แต่กลับกดทับอยู่ในหัวใจ 


 


 


คล้ายทำให้คนเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลในโลกใบนี้ รักก็ดี แค้นก็ดี ทุกสิ่งอย่างล้วนไม่มีน้ำหนัก 


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ยเสียงเบา “เตี้ยนเซี่ย คำพูดของเยี่ยเม่ย…” 


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมือขึ้น ตัดบทอวี้เหว่ย น้ำเสียงน่าฟังค่อยกล่าวว่า “เมื่อครู่เยี่ยนยอมรับไปแล้วว่าที่นางพูดมาล้วนเป็นจริง ” 


 


 


สิ้นเสียง ฝีเท้าของเขารวดเร็วขึ้น 


 


 


อวี้เหว่ยกลับโพล่งออกว่า “ข้าน้อยไม่เชื่อ บอกว่าเดิมทีท่านคิดเคี่ยวกรำนาง เรื่องนี้ข้าน้อยเชื่อ แต่หลังจากนั้น…ข้าน้อยไม่เชื่อแล้ว เพราะว่าต่อให้ท่านคิดทรมานสตรีนางหนึ่ง ท่านย่อมไม่มีทางสัมผัสกายอีกฝ่าย”  


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูบ 


 


 


อีกทั้งไม่ใช่แค่ครั้งเดียว 


 


 


เขาเอ่ยออกไปเช่นนั้น ฝีเท้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันชะงักลง หิมะตกหนักขึ้นมาเล็กน้อย นัยน์ตาชั่วร้ายทอดยาวออกไป ในแววตาล้วนเป็นสีขาวโพลนไร้ขอบเขต 


 


 


ไม่ช้า เสียงไพเราะของเขาค่อยๆ ดังขึ้น เจือไปด้วยความเย้ยหยันตัวเอง “นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบสตรีที่ห้าวหาญ มั่นใจในตัวเองเกินเหตุเช่นนี้ เยี่ยนก็เป็นอย่างที่นางว่า ต้องการทรมานนาง การทรมานหัวใจของสตรีนิสัยเย็นชาที่ดีที่สุดคืออะไร นั่นก็คือการทำให้นางที่คุ้นเคยกับความเย็นชา ตกหลุมรักคนผู้หนึ่งอย่างเร่าร้อนดังกองไฟ จากนั้นค่อยสลัดนางทิ้ง ให้นางเข้าใจว่าทุกอย่างคือการหลอกลวง แต่…” 


 


 


พูดถึงตรงนี้ อวี้เหว่ยก็ก้มหน้าลง รู้ว่าการคาเดาของตัวเองอาจจะถูกต้อง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา อธิบายว่า “แต่สุดท้าย ข้าหวั่นไหวจริงๆ แล้ว นางชมชอบทรมานคนเหมือนข้า แต่กลับไม่เหมือนข้า  ข้าเห็นนางทวงความยุติธรรมให้เด็ก เห็นนางวางแผนการใช้ทหาร มองตลอดเส้นทางที่นางเดินมา ทั้งยังเห็นนางที่แสดงออกอย่างเย็นชา ทว่าในใจกลับมีคุณธรรมเร่าร้อน เห็นนางฉลาดเฉลียว ทั้งยังกล้าทำกล้ารับ ทุกการกระทำของนางค่อยๆ ดึงดูดสายตาของข้า หากให้บอกว่าชอบนางตรงไหน ข้าก็พูดไม่ถูก ความจริงเยี่ยนก็ไม่มั่นใจว่าเป็นความรักชอบจริงหรือไม่” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มออกมาอีก “แต่หากบอกว่าก่อนหน้ายังไม่แน่ใจ แต่ตอนหัวใจเจ็บปวด ความเจ็บรัดเกร็งนี้ กลับหลอกลวงคนไม่ได้ เจ้ารู้ไหม นางไม่เชื่อ นางไม่เชื่อเลยสักน้อย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้ารู้สึกจนปัญญา ถึงกระทั่งเสียใจที่เมื่อก่อนชอบทรมานคน ถึงได้มีภาพลักษณ์เช่นนี้ในใจนาง” 

 

 

 


ตอนที่ 94

 

ตอนที่ 94 ให้เยี่ยนยอมปล่อยไป ไม่มีทาง

 


 


 


 


“เตี้ยนเซี่ย…”  


 


 


ชั่วขณะนี้อวี้เหว่ยไม่รู้ว่าตัวเองสมควรเอ่ยอะไร เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของคนมากกว่าเตี้ยนเซี่ยที่ยามปกติไม่สนใจแม้แต่ญาติพี่น้อง แต่ความสัมพันธ์ประเภทนี้ เขาก็ไม่รู้จะกู้คืนกลับมาในทันทีอย่างไร 


 


 


ในขณะที่อวี้เหว่ยตกอยู่ในความสับสน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ก้าวเท้าเตรียมตัวจากไป 


 


 


อวี้เหว่ยเห็นเงาหลังของเขา มุ่นคิ้วถามว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านเตรียมจะกลับไปอย่างนี้จริงๆ เหรอ คำพูดที่ท่านเอ่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยเมื่อครู่นี้ หากท่านจากไปในเวลานี้ อย่างนั้นทุกสิ่งที่ท่านทำมาตลอดหลายวัน ก็เหมือนกับยอมแพ้ก่อนจะประสบความสำเร็จ” 


 


 


อย่างนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าสิ่งที่เตี้ยนเซี่ยทำในช่วงหลายวันนี้ ล้วนเป็นกับดัก นี่ไม่เพียงแต่จะสูญเสียความรู้สึกดีๆ ของเยี่ยเม่ย ไม่แน่ว่าจะได้รับความแค้นกลับมา  


 


 


คำพูดนี้ ทำให้เท้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม แต่สุดท้ายเขาก็ยังก้าวเท้าออกไป 


 


 


ดวงตาชั่วร้ายทอดสายตาออกไปไกล น้ำเสียงไพเราะค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เริ่มต้นด้วยการหลอกลวง ต่อให้สุดท้ายหัวใจของเยี่ยนจะเป็นจริง ก็ไม่คู่ควรได้รับผลลัพธ์ที่ดีทั้งหลาย อย่างนั้นก็ถือว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมด ไม่เคยเกิดขึ้นเถอะ ทิ้งงเรื่องทุกอย่างก่อนจะสำเร็จ รวมถึงการหลอกลวงตั้งแต่เริ่มต้น” 


 


 


เวลานี้ อวี้เหว่ยไม่รู้ว่าตนควรพูดอะไรออกไปอีก 


 


 


เขาเพียงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง… 


 


 


ไม่ช้าน้ำเสียงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ดังขึ้นมาอีก เสียงไพเราะแฝงความเยาะเย้ยตัวเองไว้ “หากเยี่ยนกลับไปยามนี้ ยังจะพูดอะไรกับนางได้อีก บอกว่าเรื่องก่อนหน้าเป็นเรื่องกึ่งเท็จกึ่งจริง ข้าคิดจะทรมานเจ้าก็จริง? แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว?” 


 


 


 “เตี้ยนเซี่ย…” อวี้เหว่ยสูดหายใจลึก “เตี้ยนเซี่ย อย่าพูดอีกเลย ท่านพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา ไม่รู้สึกเสียใจหรือ”  


 


 


 “เสียใจ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยิ้มออก “เสียใจมาก แต่ก็ล้วนเป็นผลร้ายที่ตัวเองปลูกขึ้นมา ต่อให้เปื้อนเลือดของตัวเอง ก็ต้องกัดฟันทนไปให้ได้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวันพรุ่งนี้ จะเป็นคนใหม่” 


 


 


 “เอ๊ะ?” อวี้เหว่ยพลันได้ยินถึงความไม่ปกติเล็กน้อย 


 


 


เมื่อเงยหน้ามองคนผู้นั้น อวี้เหว่ยอยากหัวเราะ เลียบเคียงถาม “ท่านวันพรุ่งนี้ เป็นท่านคนใหม่ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


สุดท้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็คลี่ยิ้มออกมา สายตามีแววปล่อยวาง สาวเท้ากว้างออกไป “ความหมายก็คือ…คิดให้เยี่ยนยอมแพ้ ไม่มีทาง” 


 


 


สิ้นคำ เขาก็ก้าวออกไปแล้ว 


 


 


ส่วนอวี้เหว่ยเวลานี้ก็เข้าใจ… 


 


 


นี่ยังบอกอะไรได้อีกเล่า นอกเสียจากว่าเตี้ยนเซี่ยรู้ว่าวิธีการในอดีตของตนไม่ถูกต้อง ดังนั้นวันนี้ก็ไม่ฝืนย้อนกลับไปแก้ไข เตรียมทุ่มเทใหม่ในวันพรุ่งนี้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ต่อหน้าแม่นางเยี่ยเม่ย    


 


 


เห็นท่าทางดีใจของอวี้เหว่ยราวกับเก็บเงินได้ 


 


 


นี่กลับทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันหน้ากลับไป ถามด้วยความฉงนว่า “ดูเหมือนเจ้าจะดีใจมาก” 


 


 


อวี้เหว่ยพยักหน้า ตอบตามตรงว่า “อือ เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยก็ไม่หวังว่าท่านจะปล่อยแม่นางเยี่ยเม่ยไป ข้าน้อยหวังว่าพวกท่านจะอยู่ด้วยกัน”  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่ทันถามถึงเหตุผล 


 


 


อวี้เหว่ยรีบเอ่ยต่อไปอย่างว่องไว “เพราะหลายปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่เห็นท่านสนใจเรื่องหนึ่งหรือใครคนหนึ่งเช่นนี้ เตี้ยนเซี่ยท่านรู้ไหม ในสายตาของท่านชีวิตคนแต่ไรมาไม่มีค่าสู้เศษหญ้ายังไม่ได้ ญาติสนิทมิตรสหาย คุณธรรมหลักการ ล้วนไม่อยู่ในสายตาของท่าน คนมากมายบอกว่าท่านเป็นปีศาจ เพราะในตัวท่านหาความเป็นมนุษย์ไม่ได้เลยสักน้อย มองไม่เห็นเงาร่างของความเป็นมนุษย์แต่นับตั้งแต่พบแม่นางเยี่ยเม่ย ท่านก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”  


 


 


บอกว่าเตี้ยนเซี่ยของตนไม่มีความเป็นมนุษย์ อวี้เหว่ยพูดออกมาได้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า 


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ยไปก็มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ถึงแม้สองสามวันนี้ ข้าน้อยไม่เข้าใจมาตลอดว่า ท่านชอบนางจริงหรือไม่ แต่เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยเห็นความรู้สึกอื่นนอกจากความโหดร้ายจากตัวท่าน จนถึงกระทั่งเห็นท่านรู้จักเจ็บปวด ท่านรู้หรือเปล่า เมื่อก่อนไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่าน ท่านล้วนไม่รู้สึกเจ็บปวด หากการดำรงอยู่ของนางทำให้ท่านค้นพบความรู้สึกอารมณ์แบบคนทั่วไป ข้าน้อยหวังว่าพวกท่านจะได้อยู่ร่วมกัน” 


 


 


หลายปีมานี้เตี้ยนเซี่ยผ่านเรื่องราวมาไม่น้อย หากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวคนที่อ่อนแอ เกรงว่าชีวิตคงแตกดับไปตั้งนานแล้ว แต่ที่น่าแปลกก็คือเมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับเตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ยถึงกับไม่รู้สึกอันใดเลย 


 


 


ไม่รู้สึกเลยสักเล็กน้อย 


 


 


เตี้ยนเซี่ยถึงกระทั่งทำตัวสบายๆ ช่วยแนะนำเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับตนให้กับเหล่าคนที่วางแผนทำร้ายเขาจากนั้นก็เหยียบย่ำคนพวกนั้นโดยไม่สนใจ ต่อให้หนึ่งในนั้นคือบิดามารดาญาติมิตรก็ตาม 


 


 


 “เดิมข้าคิดว่า ชั่วชีวิตนี้ท่านจะไม่รู้สึกเสียใจ ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แม้กระทั่งไร้ความรู้สึก แต่ยามนี้…ดังนั้นการดำรงอยู่ของแม่นางเยี่ยเม่ย สำหรับท่านแล้วสมควรนับว่าเป็นคนพิเศษ” อวี้เหว่ยเอ่ยไป ยังผงกหัวไปด้วย   


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบไปชั่วครู่ กลับยิ้มออกมาแล้ว เขาพยักหน้าด้วยท่าทางสง่างาม เอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าพูดไม่ผิด ก่อนนางปรากฏตัว ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความเป็นคน” 


 


 


อวี้เหว่ยเหงื่อเย็นเยียบแตกพลั่กออกจากด้านหลังหัว เตี้ยนเซี่ยคงไม่เอาคำพูดมานี้มาหาเรื่องเขาหรอกนะ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจัดชายเสื้อตนด้วยท่าทางสง่างาม เอ่ยช้าๆ ว่า “ไปเถอะ” 


 


 


   …… 


 


 


ในห้องของเยี่ยเม่ย  


 


 


นางเดินเข้าห้อง มองข้าวของที่ตกอยู่บนพื้นทีหนึ่ง ก่อนตั้งใจมองอีกหลายครั้ง ในนั้นข้าวของที่มีส่วนช่วยนางฝึกยุทธ์  


 


 


จิตใจของเยี่ยเม่ยพลันจมดิ่งลงไปหลายส่วน ทั้งไม่รู้ว่าสมควรยินดีที่ตัวเองฉลาด มองจิตใจความคิดของเขาออกได้อย่างรวดเร็ว หรือควรหัวเราะเยาะที่ตัวเองฉลาดเกินไป มีสติปัญญามากเกินไป… 


 


 


ในขณะที่ครุ่นคิดนั้น ด้านนอกพลันมีเสียงเท้าดังขึ้น 


 


 


นางหันหน้ากลับไปดู จิ่วหุนก้าวนำเข้ามาก่อน ร่างสูงของเด็กหนุ่มปรากฏอยู่ในห้อง ผ้าผูกผมสีแดงพัวพันอยู่ระหว่างเส้นผมดำขลับ ใบหน้างดงามเกินเปรียบของเขาทวีความน่าหลงใหลเพิ่มอีกหลายส่วน แต่ดันดูสะอาดบริสุทธ์จนทำให้คนไม่กล้าคิดมาก กลัวจะเป็นการดูหมิ่น 


 


 


เขามองข้าวของในห้องทีหนึ่ง จากนั้นเงยหน้ามองเพดาน ใบหน้างดงามนั้นพลันหนักอึ้งลง “เขามาแล้วหรือ” 


 


 


นางบอกว่าอยากพักผ่อน ไม่ต้องการให้ใครรบกวน เขากลัวเสียงดัง จึงไม่เฝ้าอยู่หน้าประตู 


 


 


จะรู้ที่ไหนว่า พอไม่เฝ้าหน้าประตูก็มีคนพังหลังคาลงมา 


 


 


เยี่ยเม่ยก็ไม่คิดพูดมาก เพียงแค่ผงกหัว “อืม มาโดยไม่ได้รับเชิญ หลังจากข้าเปิดโปงความคิด ก็เผ่นไปแล้ว” 


 


 


ทันทีที่ได้ยินว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถูกนางไล่ไป สีหน้าจิ่วหุนผ่อนคลายขึ้นมาก 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา ถามว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร” 


 


 


จิ่วหุ่นหันหลังมองหลูเซียงฮั่วที่ติดตามมาด้านหลัง  


 


 


หลังจากแม่ทัพหลูเข้าประตูมาแล้ว ก็ค้อมเอวเอ่ยปากรายงานว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ทหารทั้งหลายของต้ามั่วเป็นดังที่ท่านคาด เอาข้าวสารพวกนั้นออกมากินแล้ว พวกเราเตรียมบุกจู่โจมได้หรือยัง” 


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างว่องไว สาวเท้าก้าวยาวๆ ออกจากห้อง “จัดทัพเรียบร้อยแล้วหรือยัง” 


 


 


จิ่วหุนรีบติดตามมาอยู่ข้างกายนาง 


 


 


หลูเซียงฮั่วก็รีบติดตามไปโดยไว “เตรียมตัวพร้อมแล้ว แม่นางซือหม่ากับแม่นางซินไปตามหาโย่วอี้อ๋องก่อนแล้ว ยังมีอีกเรื่องเทพกระบี่โอวหยางเทามาถึงแล้ว เขามาสืบข่าวของราชาดาบ คุ้มกันแม่นางสองคนนั้นเดินทางไปต้ามั่วแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าคล้ายไม่ใส่ใจ เพียงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พวกต้ามั่วกลุ่มนั้นดีใจอยู่นาน ถึงเวลาสังหารพวกเขา แล้ว” 

 

 

 


ตอนที่ 95-96.1

 

ตอนที่ 95 ต่อแถวเข้าสุขา / ตอนที่ 96-1 เจ้าอยากได้ร่างกายข้าหรือไม่

 


ตอนที่ 95 ต่อแถวเข้าสุขา


 


 


“จั่วอี้อ๋อง ไม่ดีแล้ว” นายทหารคนผู้หนึ่งวิ่งเขาค่ายทหารมาด้วยความร้อนรน


 


 


ยามนี้ท้องฟ้าเพิ่งจะมืดลง


 


 


เบื้องหน้าเซียวชินเพิ่งจัดวางอาหารของวันนี้ เขามองทหารวิ่งเข้ามาเบื้องหน้าอย่างรีบร้อน ใบหน้าเผยความตื่นตระหนกเพียงชั่ววูบ แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว “อะไรไม่ดีแล้ว เจ้ารีบเอ่ยมา”


 


 


นายทหารรีบตอบกลับ “ข้าวสารพวกนั้น คือข้าวสารเหล่านั้น หลังจากคนของพวกเรากินแล้ว ตอนนี้ทุกคนต่างก็ท้องเสียกันหมด หลังจากหมอประจำค่ายตรวจอาการก็บอกว่ากินของผิดสำแดง แต่รายละเอียดคืออะไร ท่านหมอก็บอกไม่ได้”


 


 


 “อะไรนะ” เซียวชินทะลึ่งกายขึ้นอย่างไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้ ข้าวสารพวกนั้นข้าตรวจสอบแล้ว ไม่มีพิษ ทั้งไม่มีผงยาถ่าย จะเกิดปัญหาขึ้นได้อย่างไร”


 


 


นายทหารเองก็อึ้งไป “ข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่ทราบ”


 


 


นายทหารเอ่ยคำพูดนี้ สีหน้าก็เริ่มบิดเบี้ยวแล้ว


 


 


เขาหน้าตาบิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง ภายใต้สายตาเย็นเฉียบของเซียวชิน สีหน้าเปลี่ยนไปเจ็บปวดราวไม่อยากมีชีวิตต่อ รีบมองเซียวชินด้วยความทรมาน กล่าวว่า “จั่วอี้อ๋อง ขอโทษด้วย ข้าน้อยมิได้เจตนา”


 


 


 “หืม?” เซียวชินกำลังจะถามว่าเหตุใดถึงเอ่ยเช่นนี้


 


 


เสียงดังขึ้น “ปู๊ด…”


 


 


นายทหารผายลมออกมาแล้ว…


 


 


เสียงดัง ชัดและลากยาว อีกทั้งยังเหม็นมาก


 


 


สีหน้าเซียวชินในเวลานี้ว่างเปล่า 


 


 


นายทหารเองก็กระอักกระอ่วนใจ อึดอัด รู้สึกว่าตนผิดสมควรตาย ไม่รู้สมควรทำอย่างไรดี


 


 


เขาท่าทางกระบิดกระเบี้ยว กุมก้นของตนกระโดดขึ้นมา “จั่วอี้อ๋อง ข้าน้อยหาได้เจตนา ข้าน้อยก็กินข้าวเช่นกัน ข้าน้อยอดทนอาการถ่ายท้อง เพื่อมารายงานท่าน ข้าน้อยต้องไปสุขาแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ นายทหารไม่ทันรอให้เซียวชินอนุญาตก็จากไป


 


 


เขากุมก้นตัวเอง รีบลุกขึ้นวิ่งออกไปด้านนอก หวาดกลัวว่าหากตัวเองช้าไปสักน้อย ความกระอักกระอ่วนจะไม่หยุดอยู่แค่ที่นี่


 


 


กลิ่นผายลมของเขา ฟุ้งติดอยู่ในกระโจมอยู่นานก็ไม่หายไป


 


 


อีกทั้งตอนที่เขาวิ่งออกไปด้านด้านนอก ยามถึงหน้าประตู ยังมีเสียง “ปู๊ด” ดังขึ้นอีกครั้ง ก๊าซที่มีกลิ่นนั้นกระจายฟุ้งไปทั่วกระโจมอีกครั้ง


 


 


นายทหารขัดเขินโมโหจนเกือบตาย หากมิใช่ตัวเองเป็นบุรุษอกสามศอก คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว ใต้เท้าเสมือนมีกงล้อติดไฟ พุ่งทะยานไปอย่างว่องไว


 


 


เซียวชินสีหน้าเหม่อลอยอยู่ในกระโจมครู่ใหญ่ มองอาหารบนโต๊ะตนทีหนึ่ง เขาใช้เข็มเงินจิ้มลงไปเพื่อทดสอบพิษ


 


 


เข็มเงินทิ่มลงไป ยามเอาออกมาก็ยังคงสีเงิน


 


 


ไม่มีพิษจริงๆ


 


 


แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นมาจนถึงบัดนี้ ทหารทั้งหลายแสดงออกว่าหลังจากกินข้าวแล้ว ถึงเริ่มถ่ายท้อง เขาย่อมไม่กล้าเสี่ยงกิน


 


 


เซียวชินสีหน้าเย็นชา เดินออกจากกระโจม


 


 


หลังจากออกไปแล้วก็เห็นคนต่อแถวเรียงแถวกันอยู่ในค่ายยาวเหยียด ทหารหลายหมื่น มีสีหน้าเจ็บปวดเช่นเดียวกันยืนเรียงแถวยาวหน้าห้องสุขาไม่กี่ห้อง


 


 


อีกทั้งยังมีเสียงดังขึ้นเป็นระยะ เป็นเสียงของบางอย่างที่ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง


 


 


ทว่าทุกคนล้วนไม่มีอารมณ์สนใจการผายลมหมู่ว่าน่าเวทนาเพียงไหน พวกเขาต่างหวังว่าสหายคนหน้าจะเข้าห้องสุขาโดยไว ให้พวกเขาเข้าไปได้แล้ว พวกเขาจวนจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว


 


 


นายหทารที่ปลดทุกข์เรียบร้อยวิ่งออกจากสุขา นายทหารอีกคนก็รีบเข้าไปอย่างรวดเร็ว


 


 


แต่นายทหารเพิ่งเสร็จธุระก้าวออกออกมาจากสุขาเมื่อครู่ ยามนี้สีหน้าสับสนอีกแล้ว ยังคิดกลับเข้าไปใหม่…


 


 


หน้าห้องสุขา ทหารเคาะประตูเร่งรัดอย่างเอาเป็นเอาตาย “เร็วเข้า เร็วหน่อย ข้าทนไม่ไหวแล้ว”


 


 


สีหน้าเซียวชินไม่น่ามองเป็นอย่างมาก 


 


 


ในเวลานี้เอง เสียงฝีเท้าม้าดังแทรกผ่านความมืดมิด ทัพใหญ่ของเยี่ยเม่ยเข้าล้อมไว้แล้ว


 


 


เหล่าทหารที่กำลังจะเข้าสุขา รีบหันหน้าไปมอง เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี รีบร้อนร้องให้รับข้าศึก แต่ละคนต่างหยิบยกอาวุธ สะกดกลั้นอาการที่ไม่อาจควบคุมได้ สีหน้าเศร้าสลด เตรียมตัวต้านศึกไว้ด้วยน้ำตา


 


 


กองหน้าของทหารสองทัพ เยี่ยเม่ยเผชิญหน้ากับเซียวชิน


 


 


เซียวชินสีหน้าคล้ำ เยี่ยเม่ยใบหน้าเย็นเยือก


 


 


           เซียวชินโมโหจนไม่สนอะไรอีกแล้ว มีแต่สายตาเย็นเยือก จ้องมองเยี่ยเม่ย “ตอนนี้ข้าแทบอยากฆ่าเจ้าทิ้งซะ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยอธิบายหน่อย ในข้าวสารไม่มีพิษชัดๆ หลังจากพวกทหารกินแล้ว ไฉนถึงเป็นเช่นนี้”


 


 


 


 


ตอนที่ 96-1 เจ้าอยากได้ร่างกายข้าหรือไม่


 


 


เซียวชินเอ่ยคำนี้ออกมา ก็เท่ากับถามแทนใจของคนทั้งหมด


 


 


ความจริงเหล่าทหารของราชสำนักเป่ยเฉิน ก็สงสัยในเรื่องนี้มานาน แม่ทัพที่ติดตามเยี่ยเม่ยมาในครั้งนี้ ก็มีอยู่หลายนาย นอกเสียจากหลูเซียงฮั่วแล้ว คนอื่นต่างไม่รู้ว่าที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


 


เยี่ยเม่ยมองเซียวชินด้วยสายตาเย็นชา เลิกคิ้วสูงด้วยความเย็นชา ถามว่า “อยากรู้จริงหรือ”


 


 


เซียวชินยังไม่เอ่ยอะไร เหล่าทหารต้ามั่วทั้งหมดก็ทนไม่ไหวสบตากันไปมา มองหน้าสหายของตนอยู่หลายครั้ง จากนั้นค่อยหันมองเยี่ยเม่ย สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย


 


 


จากนั้น…


 


 


 “ปู๊ด”


 


 


 “ป๊าดดด…”


 


 


เวลานี้มีทหารต้ามั่วสองนาย ไม่อาจสะกดกลั้นผายลมได้อีก


 


 


           หลังจากเอ่ยจบแล้ว ทั่วทั้งสนามรบก็เงียบสงบลงไปชั่วครู่


 


 


ยามนี้สีหน้าเซียวชินว่างเปล่าไปหลายวินาที…


 


 


พูดตามตรงแล้ว ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน สถานการณ์ตึงเครียด ไอสังหารเข้มข้น เป็นช่วงเวลาที่ไม่อาจละสายตาได้


 


 


จู่ๆ ทหารทั้งหลายพลันผายลม ทั้งยังเสียงดังขนาดนี้ ย่อมกลบเสียงของเซียวชิน ดึงดูดสายตาทุกคน


 


 


ความจริงเรื่องนี้ไม่ร้ายแรงนัก ?


 


 


เซียวชินหันกลับไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า สายตามองนายทหารสองคนนั้น นายทหารสองคนก็มีสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ ความจริงพวกเขาทรมานมาก อึดอัดใจยิ่ง พูดไปตามตรงแล้ว หากมิใช่เพราะทหารศัตรูอยู่ที่นี่ พวกเขายังคิดทำศึกกันที่ไหนเล่า…


 


 


ความปรารถนาเดียวของพวกเขาก็คือ เข้าห้องสุขา


 


 


อยากจะร้องไห้ฟูมฟามยิ่งนัก


 


 


….


 


 


ในยามที่เซียวชินหันกลับมามอง ทหารคนอื่นๆของต้ามั่วล้วนมีสีหน้าเคารพ แววตาแวววาว มอง เซียวชินอย่างจริงจัง สีหน้าเคร่งขรึม คล้ายกับกำลังจะเข้าร่วมพระราชพิธีศพขององค์ราชา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อแสดงออกว่าพวกเขาทนไหว พวกเขาไม่ผายลมแน่


 


 


ในที่สุดริมฝีปากนอกหน้ากากของเซียวชินก็คลี่ยิ้มชื่นชมออกมา ถึงรอยยิ้มนั้นจะดูฝืนทนไปบ้าง ทว่าความจริงยินดีจากใจ ดีใจที่ทหารในมือตนจำนวนมากยังรู้ว่า ในสถานยการณ์เช่นนี้ผายลมออกมาเป็นการกระทำที่ไม่เคร่งครัดเลย 


 


 


เป็นความผิดพลาด


 


 


จากนั้นยามที่ เซียวชินหันหน้ากลับไปมองพวกเยี่ยเม่ยอีกครั้งหนึ่ง ด้านหลังของเขาพลันเกิดเสียงดังตลบขึ้น…


 


 


 “ปู๊ด”


 


 


 “ปู๊ด”


 


 


 “ปู๊ด”


 


 


ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ทำให้เสียงดังมากขึ้นเป็นพิเศษ


 


 


คล้ายกับดอกไม้ไฟดังขึ้นในยามราตรี มีความพิเศษ แปลกประหลาด และน่าสนใจ ทำให้เซียวชินพูดไม่ออกว่าสุดท้ายจะเอาอย่างไร รู้สึกคล้ายไม่อาจใช้ภาษาบรรยายออกมาได้


 


 


ทุกข์ใจ


 


 


เหล่าทหารของเป่ยเฉินตะลึงอยู่นาน หลังจากอดทนอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ล้วนระเบิดหัวเราะออกมา


 


 


 “ฮ่าๆๆ”


 


 


 “ไอ้หยา มารดามันเถอะ น่าขำจนตายแล้ว”


 


 


 “นี่มันศึกปะทะกลิ่น ฮ่าๆๆ”


 


 


 “ข้าเป็นทหารมายี่สิบปีแล้ว ครั้งแรกที่เจอศึกเช่นนี้ ฮ่าๆ”


 


 


หลูเซียงฮั่วเองก็ทนไม่ไหว มองเงาหลังเยี่ยเม่ย เขาเพียงอยากบอกว่า แผนการนี้…ล้ำเลิศมาก ยามนี้ข้าศึกไร้อานุภาพไปแล้ว ทั้งยังจะถ่ายท้องแล้วยังถูกบีบให้รับศึก ซ้ำยังมีเสียงพวกนั้น…


 


 


นี่มากพอให้ทหารศัตรูเสียหน้าหมดสิ้นตั้งแต่ยังไม่เปิดศึก


 


 


รอยยิ้มชื่นชมที่ริมฝีปากเซียวชินพลันแข็งขืน ไม่น่ามองมากกว่าเสียยิ่งกว่ายามร้องไห้อีก ยังดีที่มีหน้ากากใบหนึ่งปิดบังไว้ ไม่เช่นนั้น เซียวชินรู้สึกว่าเขาไม่มีหน้าไปพบคนอีก


 


 


ยามนี้เขาตระหนักแล้วว่า ตนเองสวมหน้ากากออกท่องยุทธภพ นอกจากช่วยปกปิดฐานะแล้ว ยังช่วยปิดบังความอึดอัดใจ ช่วยรักษาหน้าอีกด้วย


 


 


เวลานี้เขาไม่คิดหันกลับไปมองทหารของตนด้านหลังอีกแล้ว ตอนนี้ก็พยายามทำความเข้าใจพวกเขา บอกตัวเองว่า เหล่าทหารไม่คิดผายลมเลยสักน้อย ไม่อยากทำเรื่องน่าละอาย พวกเขาก็แค่ทนไม่ไหว ไม่อาจทำอะไรได้


 


 


อืม ตอนนี้ต่อให้ไม่เข้าใจก็ไม่มีวิธีแก้ไขอื่นอีก


 


 


เยี่ยเม่ยใช้สายตาเย็นเยียบมองคนของต้ามั่วผายลม จากนั้นปรายตามองคนของเป่ยเฉินที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด แล้วค่อยจ้องมองเซียวชิน ใบหน้าไร้อารมณ์


 


 


เซียวชินไม่พูดอะไรชั่วคราว เขาหน้าดำคร่ำเครียด รอทหารของเป่ยเฉินหยุดหัวเราะ


 


 


ผ่านไปสักพัก…


 


 


ในที่สุดเหล่าทหารที่กระจายกำลังอยู่หลังเยี่ยเม่ยก็หยุดหัวเราะแล้ว


 


 


เซียวชินมองเยี่ยเม่ย สายตาเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง แผดเสียงดัง “ข้าอยาก…”


 


 


 “ปู๊ด…”


 


 


นายทหารต้ามั่วผู้หนึ่งพลันกลั้นไม่ไหวอีกแล้ว


 


 


ในยามที่เซียวชินกำลังจะเอ่ยวาจา จู่ๆ เขาก็ปลดปล่อยตัวเอง ทำให้เซียวชินพูดได้แค่ครึ่งคำก็ชะงักไป สีหน้าว่างเปล่า ไม่เอ่ยวาจา


 


 


 “ฮี่ๆ…” ทางฝั่งเป่ยเฉินก็มีทหารเริ่มหัวเราะออกมาอีก


 


 


แต่ทหารกลุ่มนี้พยายามควบคุม ไม่ปล่อยเสียงหัวเราะดังออกมา มีจำนวนไม่น้อยขบริมฝีปาก พยายามกลั้นเอาไว้ เพราะพวกเขาก็ไม่อยาก…ไม่อยู่ในระเบียบ

 

 

 


ตอนที่ 96-2

 

ตอนที่ 96-2 เจ้าอยากได้ร่างกายข้าหรือไม่

 


 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเซียวชิน สีหน้ายังคงเย็นชา คล้ายหมดความอดทนรอคำพูดต่อไปของเขา 


 


 


เซียวชินสูดลมหายใจลึก หลังจากให้เวลาตัวเองใคร่ครวญมากพอแล้ว ก็มีทีท่าน่าเกรงขามอีกครั้ง เอ่ยต่อประโยคเมื่อครู่กับเยี่ยเม่ย “ข้าย่อมอยากรู้ ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่…” 


 


 


 “ปู๊ด” 


 


 


มีเสียงส่งมาอีกครั้งทั้งดังมากเสียด้วย 


 


 


ครั้งนี้คล้ายยังมีสิ่งของบางอย่างติดตามเสียงนั้นออกมาด้วย ทำให้อากาศนอกจากมีกลิ่นทำร้ายคนแล้ว ยังมีความเหม็นคละคลุ้งยากอธิบายได้กระแสหนึ่ง 


 


 


เซียวชินเชิดหน้าคอตั้ง หันหลับไปมองทิศทางที่กลิ่นเหม็นลอยมา 


 


 


นายทหารผู้นั้นร้องไห้ “จั่วอี้อ๋อง ข้าน้อยทนไม่ไหวจริงๆ” 


 


 


สิ้นเสียงเขา เวลานี้ไม่สนใจแล้วว่าหากตนเองวิ่งหนีออกไปก็เท่ากับเป็นทหารหนีทัพ เขาไม่พูดพร่ำ เอามือกุมบั้นท้าย อีกมือดึงเชือกรัดกางเกง พุ่งทะยานไปทางสุขา 


 


 


ทหารคนอื่นๆ ของต้ามั่ว เห็นเจ้านั่นวิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้ว ความจริงพวกเขาก็อยากตามไปเข้ามาก 


 


 


แต่ว่า… 


 


 


เมื่อรับรู้ได้ถึงความอึมครึมที่แผ่มาจากจั่วอี้อ๋อง คล้ายเป็นกระแสสังหารคน ทั้งหมดพากันอดกลั้นอย่างเป็นตาย ไม่กล้าขยับ ขบฟันแน่นราวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของชีวิต ยืนหยัดนิ่งอยู่ที่เดิม 


 


 


เซียวชินมองคนทั้งหมดครู่หนึ่ง เห็นท่าพวกเขาไม่คล้ายจะผายลมอีก ทั้งไม่มีใครไม่คิดถึงชีวิตวิ่งไปเข้าสุขาแล้ว เขาก็สูดลมหายใจลึก เบือนหน้ากลับไปมองเยี่ยเม่ยใหม่อีกครั้ง 


 


 


เมื่อคิดถึงคำพูดของตนเมื่อครู่ยาวมาก บทเรียนที่ถูกเสียงน่าอึดอัดใจเหล่านั้นตัดบท จึงพยายามลดทอนคำพูดที่อยากเอ่ยลง ทั้งยังเพิ่มความเร็วในการกล่าววาจา… 


 


 


คล้ายกับกำลังเรียนร้องเพลงเป็นจังหวะรัวๆ เขาเอ่ยอย่างรวดเร็ว “หากข้าไม่อยากรู้ก็คงไม่ถามแล้ว เจ้ารีบ…” 


 


 


 “ปู๊ดด” 


 


 


เสียงนี้ยิ่งดังเข้าไปใหญ่ อย่างน้อยก็เสียงแหลมสูงกว่าเสียงพูดของเซียวชิน สะกดเสียงพูดแม่ทัพเอาไว้ ดึงความสนใจ ดึงสายตาของทุกคนไว้อีกครั้ง 


 


 


เซียวชิน “…” 


 


 


พูดตามตรง ในยามนี้แม้แต่เยี่ยเม่ยที่เยือกเย็น จิ่วหุนผู้เก็บตัว ยังคิดหัวเราะแล้ว 


 


 


สีหน้าเซียวชินเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง ในที่สุดก็ระเบิดออก ภาพลักษณ์สงบนิ่งต่อให้เขาไท่ซานถล่มก็ไม่หวั่นไหวของเขาที่รักษาไว้ต่อหน้าเหล่าทหารต้ามั่วมานานหลายปีก็ไม่อาจรักษาได้อีก 


 


 


เขากัดฟันแน่นหันกลับไป ตวาดด่าด้วยความเจ็บใจ “พวกเจ้ารอให้ข้าพูดจบก่อนค่อยผายลมไม่ได้หรือไง อดทนสักนิดพวกเจ้าจะตายหรืออย่างไร? หืม จะตายหรืออย่างไร” 


 


 


ภายหลัง 


 


 


ราชอาลักษณ์ได้ลงบันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่แม่ทัพใหญ่ระเบิดอารมณ์ก่อนเปิดศึกเพราะทหารผายลมไม่หยุด สบถก่นด่าท่ามกลางสนามรบ แน่นอนว่าบันทึกนี้เกิดขึ้นในภายหลัง 


 


 


ทหารต้ามั่วทั้งหลายมองเซียวชินที่โมโหจนแทบเป็นลมสลบไป แต่ละคนตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่ส่งเสียง 


 


 


หลายปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นจั่วอี้อ๋องเสียกิริยาเช่นนี้… 


 


 


ในใจของทหารต้ามั่ว จั่วอี้อ๋องสง่างาม สงบนิ่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่เคยระเบิดอารมณ์ วันนี้…ทุกคนพากันกลืนน้ำลายเฮือก 


 


 


ทหารทั้งหลายของเป่ยเฉิน อดทนอยู่นมนาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกครั้ง พากันกุมท้องระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาเลื่อมใสเยี่ยเม่ยอยู่ในใจเกินเปรียบ มารดามันเถอะ น่าขันนัก 


 


 


จิ่วหุนมองเซียวชิน มีสีหน้าเห็นใจอย่างหาได้ยาก ชั่วชีวิตเขาในความทรงจำ เขาเห็นใจคนน้อยมาก ใช้นิ้วมือห้านิ้วนับยังเรียกว่ามากเกินไป เซียวชินนับเป็นครั้งหนึ่ง 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเซียวชินอย่างเย็นชา สีหน้านิ่ง ความจริงนางอยากหัวเราะมาก แววตาสะกดความเห็นใจ 


 


 


ทหารต้ามั่วทั้งหลาย เห็นคนของเป่ยเฉินทั้งหมดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ซ้ำยังมองแม่ทัพฝั่งศัตรูทั้งหลายที่มองจั่วอี้อ๋องของพวกเขาด้วยความเห็นใจ พลันตระหนักขึ้นมาได้ว่า การกระทำไร้การควบคุม ไม่ใส่ใจภาพรวมของพวกเขาส่งผลกระทบร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของจั่วอี้อ๋องที่เคารพแล้ว  


 


 


ดังนั้น พวกเขาพากันสะกดกลั้นไว้อย่างหนักแน่น สายตายืนหยัดมองเซียวชิน กัดฟันสัญญาว่า “จั่วอี้อ๋อง ท่านวางใจเถอะ ท่านเชิญเอ่ยได้เลย ข้าน้อยรับรองว่าก่อนที่ท่านจะเอ่ยจบ จะไม่ผายลมออกมา ข้าน้อยพูดจริง” 


 


 


ต่อให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองจวนจะคุมไม่ไหวแล้วก็ตาม 


 


 


แต่เพราะหน้าตาของจั่วอี้อ๋อง เพื่อภาพลักษณ์ของทหารต้ามั่ว เพื่อเจ้าลูกเต่าเป่ยเฉินทั้งหลายไม่กล้าหัวเราะเยาะพวกเขาอีก ต่อให้พวกเขาต้องทนจนร่างกายแตก ก็ต้องให้จั่วอี้อ๋องเอ่ยคำพูดจนจบให้ได้  


 


 


 “ปู๊ด…ป๊าด…” 


 


 


หลังจากพวกเขาเอ่ยจบ ไม่รู้ใครคนไหนปล่อยเสียงปิดท้ายตามมา เสียงดังแหลมสูง ลากยาว ทั้งยังชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


ทหารต้ามั่วทั้งหลายต่างกระอักกระอ่วน 


 


 


คนผิดรีบยกมือขึ้น เอ่ยปากทันทีว่า “จั่วอี้อ๋อง นี่มันเป็นอุบัติเหตุ ข้าน้อยรับรองว่า จะไม่ให้เกิดอีก ไม่มีทางแน่” 


 


 


ทหารทั้งหลายของต้ามั่ว พากันพยักหน้าโดยพร้อมเพรียง 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเรื่องสำคัญมาก ถึงได้เป็นหนึ่งเดียว 


 


 


หลังจากเซียวชินสูดลมหายใจลึก ก็ตัดสินใจเชื่อพวกเขาสักครั้งหนึ่ง หันไปทางเยี่ยเม่ย ปรับอารมณ์ของตนมองเยี่ยเม่ย กัดฟันเอ่ยปากว่า “เจ้าพูดมาตามตรงเถอะ สรุปแล้วพวกเจ้าทำอะไร…” 


 


 


 “ป๊าด…” 


 


 


เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอีกครั้ง เซียวชินบันดาลโทสะในทันที สูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้น เขาชักกระบี่ยาวประจำกายออกมาอย่างดุดัน ชี้ไปที่ต้นกำเนิดของเสียง 


 


 


เขาบังเกิดความคิดฆ่าคนแล้ว… 


 


 


           เซียวชินขบฟันตวาดก้องด้วยโทสะ “เป็นเจ้าสารเลวตัวไหนอีก” 


 


 


 “ฉึก” กระบี่มิได้เสียบลงที่ร่างของคน แต่ปักลงที่เสาหน้ากระโจมราชาต้ามั่ว 


 


 


ส่วนราชาต้ามั่วในยามนี้ กำลังบิดเอวกุมท้อง ยืนหน้ากระโจมด้วยสีหน้าขาวซีด 


 


 


ราชาต้ามั่วมองเซียวชินด้วยสีหน้าซีดเซียว จากนั้นหันมองกระบี่ยาวที่ปักอยู่ข้างศีรษะ หากกระบี่เอียงไปนิดเดียว หัวของเขาคงถูกปักทะลุแล้ว 


 


 


ราชาต้ามั่วหน้าตึงไปสักครู่ คนยังไม่หลุดออกจากภวังค์หวาดกลัว สองขายังสั่นเทิ้ม สีหน้าสลดมองเซียวชิน คล้ายจะสะอื้นเอ่ย “ขุนนางรัก ข้าแค่ไม่สบายท้องเท่านั้น เห็นว่าบ่าวไม่ได้เตรียมห้องน้ำเอาไว้ รีบร้อนเกินไปจึงวิ่งออกมาสุขา แต่ทนไม่ไหวผายลมออกมา เจ้าต้องโมโหถึงเพียงนี้เชียว” 


 


 


เซียวชิน “…” 


 


 


ทหารต้ามั่วทั้งหลาย “…” 


 


 


ทหารต้ามั่วร้องอยู่ในใจ ‘พวกเขาก็ว่า ทุกคนร่วมกันสัญญาแล้ว ต้องรอให้จั่วอี้อ๋องเอ่ยจบก่อน ต้องอดทนรอจนคำพูดนั้น…’ 


 


 


สรุปแล้วใครกันที่ไม่รู้จักที่ตายผายลมออกมา คิดไม่ถึงว่ากลับเป็น…ท่านข่าน 


 


 


ถูกแล้ว เจ้าสารเลวจากปากจั่วอี้อ๋องก็คือท่านข่านของพวกเขา 


 


 


เห็นเซียวชินมองเขาไม่พูดไม่จา มุมปากราชาต้ามั่วพลันกระตุก สีหน้าเศร้าสลดเอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “ข้าสงสัยว่าตัวเองจะท้องเสียแล้ว พวกเจ้ากำลังจะเปิดศึก? แต่ ต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเกิดโทสะถึงขนาดนี้” 


 


 


เขาเป็นราชาต้ามั่ว เป็นนายของชาวต้ามั่ว 


 


 


ต่อให้เขาทนไม่ไหวผายลมออกมาระหว่างสองฝ่ายทำศึก แล้วจะทำไม เอ๊ะ นี่มันคืออะไรกันแน่ จำเป็นต้องด่าว่าสารเลว รวมถึงเอากระบี่เสียบเขาเลยหรือ 


 


 


เซียวชินจะอธิบายให้ราชาต้ามั่วฟังอย่างไรว่า เขาพูดมาสามรอบแล้ว ถูกเสียง “ปู๊ด” ขัดจังหวะ เมื่อครู่ที่เขาระเบิดอารมณ์ก็เพราะโมโหจนเลอะเลือน ไม่ตระหนักว่านั่นคือกระโจมองค์ราชา ถึงโยนกระบี่ไป คำพูดน่าขายหน้าเช่นนี้ เขาพูดไม่ออกจริงๆ  


 


 


เขามุมปากกระตุก จากนั้นก็คุกเข่าลง “ท่านข่าน กระหม่อมไม่รู้ว่าเป็นท่าน การศึกอยู่เบื้องหน้า เรื่องนี้วันหน้ากระหม่อมค่อยอธิบายกับท่าน ท่านข่าน ท่านกินข้าวแล้วหรือ” 


 


 


ใต้หล้านี้ขุนนางที่ด่าราชาเป็นตัวสารเลว ยังมีสักกี่คนที่มีชีวิตอยู่ 


 


 


ต่อให้มีชีวิตอยู่ ยังมีสักกี่คนที่ได้รับความสำคัญ 


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อเซียวชินโยนกระบี่ออกไป เกือบปักทะลุศีรษะของราชาต้ามั่วแล้ว  


 


 


คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นทหารของเป่ยเฉิน หรือเป็นทหารของต้ามั่ว ก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นภาพจั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วผู้นี้ จะไม่ได้รับความสำคัญ ชีวิตจบสิ้น จนถึงกระทั่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกราชาต้ามั่วบั่นหัวล้างแค้นส่วนตัว ช่างเป็นอนาคตที่อนาถนัก    


 


 


เดิมราชาต้ามั่วคิดจะพูดอะไรกับเซียวชินต่ออีกหน่อย หรือออกความเห็นให้กับสถานการณ์ศึกตรงหน้า ทว่าเขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จำเป็นต้องเข้าสุขาแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมองเซียวชินอย่างรีบร้อน “ถูกต้อง ข้ากินไปแล้ว ข้าวต้องมีปัญหาแน่ ข้าทนไม่ไหวแล้ว” 


 


 


สิ้นเสียง ราชาต้ามั่วไม่ทันสนใจอาการจิตใจไม่สงบเพิ่งพ้นจากความตายของตนเมื่อครู่ ไม่พูดเอ่ยมากความอีก ก็มุ่งไปยังสุขา 


 


 


จากนั้นตอนที่เขาผลักประตู พบว่าเปิดประตูไม่ออก  


 


 


ราชาต้ามั่วเดือดดาลทันที ใช้ขาถีบโดยแรง เมื่อประตูเปิดออก ภายในมีทหารนายหนึ่งกำลังปลดทุกข์ 


 


 


ยามนี้ราชาต้ามั่วไม่ใส่ใจศักดิ์ศรีหน้าตา อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการอดกลั้นไม่ไหวปลดปล่อยออกไปต่อหน้าธารกำนัล จะยิ่งทำให้เสียหน้าเข้าไปใหญ่ เขายื่นมือออกไปดึงทหารนายนั้นออกไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยึดห้องสุขาอย่างรีบร้อน ปิดประตูดัง “ปัง”  


 


 


กางเกงของทหารคนนั้นยังไม่ทันผูกขึ้นมาเลย 


 


 


ทหารทั้งหมดของเป่ยเฉินพลันกลั้นไม่ไหว หัวเราะออกมา นี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขบขันที่สุดในชีวิตพวกเขาแล้ว ถึงกับได้เห็นราชาต้ามั่วขายหน้าต่อหน้าต่อตา 


 


 


ราชาต้ามั่วที่นั่งอยู่ในสุขา ย่อมได้ยินเสียงหัวเราะจากภายนอก ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ว่าคนพวกนี้กำลังหัวเราะเยาะตน แต่เขาก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว เพียงกุมหน้าตนเงียบๆ อดทนความอัปยศปลดทุกข์ต่อไป 


 


 


เซียวชินที่ยังคงคุกเข่าให้ราชาต้ามั่วอยู่ พลันมีสีหน้าว่างเปล่าอีกครั้ง ถึงกระทั่งรู้สึกถึงความยากลำบากในชีวิตตน หลังจากล่วงเกินองค์ราชา เขาลุกขึ้นมาคล้ายจะร้องไห้ มองเยี่ยเม่ย 


 


 


เขาพ่นคำพูดออกมาคำหนึ่ง “เจ้า…” 


 


 


ความจริงเขายังคิดถามว่า สรุปแล้วเยี่ยเม่ยใช้อะไรกันแน่ แต่เมื่อหวนคิดถึงผลหลังจากถามคำถามนี้ออกไปสี่ครั้งแล้ว เขาพลันรู้สึกว่าคำถามนี้มีอาถรรพ์ 


 


 


ดังนั้นหลังจากเอ่ยคำนี้ออกมา เขาก็รู้สึกจากเบื้องลึกว่าตัวเองพูดไม่ออกอีกแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยยืนชมอยู่นาน มองเซียวชิน ถอนใจ เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาจากใจว่า “ข้ารู้สึกเห็นใจเจ้าจริงๆ” 


 


 


คนทั้งหมด “…” 


 


 


ว่าไปตามเหตุผลแล้ว การถูกผู้นำทัพฝ่ายศัตรูเห็นใจ ต่อให้เป็นคนที่ใจคอกว้างขวางแค่ไหน ในเวลานี้ก็ย่อมรู้สึกถึงความเท็จ หลอกลวง เสแสร้งแกล้งทำ 


 


 


แต่ในเวลานี้ไม่ว่าคนของเป่ยเฉิน หรือเป็นคนของต้ามั่ว เห็นเคราะห์กรรมของเซียวชิน ในใจก็เห็นใจขึ้นมาจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจว่า เยี่ยเม่ยต้องเอ่ยออกมาจากใจจริงอย่างแน่นอน ไม่มีความเสแสร้งหลอกลวงเลยสักนิด 


 


 


เซียวชินสะอึกไป ไม่รู้ว่าถูกคำพูดของเยี่ยเม่ยเสียดแทง หรือว่ารู้สึกซาบซึ้ง มีเพียงอารมณ์สลดที่ยังไม่ฟื้นฟู มองเยี่ยเม่ยคล้ายจะร้องไห้ เหมือนอยากพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ยังทนไม่เอ่ยออกมา 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเซียวชิน สูดลมหายใจลึก เอ่ยด้วยความเป็นมิตรว่า “อย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านไม่ใช่อยากรู้หรอกหรือว่าข้าใช้วิธีไหน ไม่ต้องถามแล้ว ข้าบอกท่านตรงๆ เลยก็แล้วกัน” 


 


 


เซียวชิน “…” 


 


 


เขาถึงกับซาบซึ้งในคำพูดของเยี่ยเม่ย นี่มันเรื่องอันใดกัน 


 


 


ไม่ เขาร่ำร้องอยู่ใน ทั้งยังเตือนตัวเอง เซียวชิน เจ้าไม่อาจซาบซึ้ง นางคือผู้นำทัพศัตรู เป็นนางทำร้ายเจ้าจนตกอยู่ในสภาพน่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ นางกำลังคุกคามความปลอดภัยของต้ามั่ว บางทีพวกเจ้ากำลังจะพ่ายแพ้ ตกตายกันเป็นเบือเพราะนาง เจ้าห้ามซาบซึ้ง 


 


 


แต่ว่า เขาซาบซึ้งอยู่ในใจจริงๆ 


 


 


ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องเอ่ยคำถามอีกครั้ง แล้วถูกเสียงประหลาดนั่นตัดบทอีกครั้งหนึ่ง เสียหน้าจนหมดสิ้น น่าเศร้าเหลือเกิน…. 


 


 


พวกทหารเป่ยเฉินที่หัวเราะเยาะอยู่นาน เวลานี้มองเยี่ยเม่ยอย่างเห็นด้วย คิดว่าผู้นำทัพของเขาไม่เพียงแค่ฉลาด แต่ยังมีเมตตา เห็นใจคน เป็นมาตรฐานของสตรีที่เพียบพร้อมในใต้หล้า 


 


 


ช่างเถอะ บอกจั่วอี้อ๋องผู้นั้นไปแล้วกัน ไม่อย่างนั้นคนผู้นี้ก็น่าสงสารไปแล้ว ยามปกติพวกเขารังเกียจคนของต้ามั่วกลุ่มนี้จนแทบจะฉีกเนื้อออกมา ยามนี้ยังเกิดความเห็นใจ 


 


 


อืม แต่ความเห็นใจเพียงชั่ววูบนี้ ก็ทำได้แค่บอกฝ่ายตรงข้ามเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ไม่มีทางทำให้เสียโอกาสในการที่พวกเขาจะติดตามเยี่ยเม่ยสังหารชาวต้ามั่วกลุ่มนี้อย่างสิ้นซากแน่นอน  


 


 


เยี่ยเม่ยกระแอมไอ เอ่ยว่า “เจ้าพบว่าในข้าวสารไม่มีพิษใช่ไหม ทั้งไม่ป่นเป็นผงด้วย ดังนั้นถึงมั่นใจว่าข้าวสารไม่พิษ” 


 


 


 “ไม่ผิด” เซียวชินผงกหัว 


 


 


เยี่ยเม่ยอธิบายอย่างเย็นชาต่อไปว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ใต้หล้านี้มีคนจำพวกหนึ่ง เรียกว่าพ่อค้าเถื่อน ซ้ำยังมีสิ่งของอีกอย่างเรียกว่าทัลคัม? พวกเจ้าในที่นี้เรียกเจ้าทัลคัมว่าอะไรข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่คุณสมบัติของมันคือ ช่วยให้ข้าวสารที่เก็บไว้ชั่วนาตาปี หลังจากผ่านกระบวนการก็จะมีสีขาวมากราวกับข้าวใหม่ ดูไม่ออกเลยสักน้อย แต่ที่ข้าแปลกใจก็คือ พวกพ่อค้าที่นี่ยังสามารถนำข้าวเสียผ่านกระบวนการเช่นนี้ บวกกับลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ปกปิดจนทำให้คนจับพิรุธไม่ได้” 


 


 


นางอธิบายออกไปเช่นนี้ เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยในที่นี้พลันเข้าใจแล้วว่าไฉนในตอนแรก เยี่ยเม่ยถึงสั่งให้พวกเขาบางคนจับพ่อค้าข้าวเถื่อนไปเพื่ออะไร 


 


 


ทั้งยังยึดคลังไม่น้อย จับคนงานจำนวนมาก ที่แท้ก็เพื่อทำการนี้  


 


 


เซียวชินฟังถึงบัดนี้ ก็เข้าใจแล้ว สีหน้ายิ่งทวีความไม่น่ามอง “ข้าคิดว่า…” 


 


 


เซียวชินนิ่งไปชั่วครู่ ตระหนักได้ว่าตอนที่เขาเอ่ยวาจา ไม่มีใครกล้าเผลอไผลปล่อยตัวอีก เขาเบาใจลง เอ่ยต่อว่า “เจ้าจะวางยาพิษ หรือวางยาถ่าย แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเลือกข้าวที่มีปัญญาอยู่แล้ว ผ่านกระบวนการพิเศษมาหลอกลวงพวกข้า”  


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ตอบตามสัตย์ว่า “คิดไม่ถึงก็ถูกแล้ว เรื่องนี้สอนจั่วอี้อ๋องว่า ภายหน้าต้องสังเกตชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน รู้ว่าโลกนี้ความจริงมีพ่อค้าเถื่อนอยู่มาก ใช้วิธีการเช่นนี้หลอกลวงชาวบ้าน” 


 


 


ทัลคัมในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ถูกจำกัดการใช้ เพราะว่าภายในมีสารก่อให้เกิดมะเร็ง 


 


 


แต่ในยุคโบราณไม่มีคนรู้จักโรคมะเร็ง เยี่ยเม่ยเดาว่าในยุคสมัยนี้จะมีพ่อค้าเถื่อนใช้กระบวนการเช่นนี้ ทำให้ข้าวสารเก่ากลับมาดีอีกครั้ง หลอกลวงประชาชนหรือไม่ 


 


 


นางคิดเสี่ยงดวงดู จึงให้หลูเซียงฮั่วตรวจสอบ คิดไม่ถึงว่าจะมีจริงๆ 


 


 


ที่ยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ พ่อค้าเถื่อนพวกนั้นยังร้ายกาจกว่าพ่อค้าในยุคปัจจุบันหลายเท่านัก 


 


 


เทคโนโลยีของพวกเขาอาจไม่สูงเท่ากับยุคปัจจุบัน แต่พวกเขาอาศัยความอดทน ใช้กลเม็ดที่พ่อค้าเถื่อนในยุคปัจจุบันไม่รู้ ก็สามารถทำให้ข้าวสารที่เสียแล้ว ผ่านกระบวนการอย่างละเมียดละไมกลายเป็นข้าวที่ไร้ปัญหา นี่เป็นการแสดงถึงความฉลาดและความอดทนของคนโบราณ  


 


 


แต่ความฉลาดและความอดทนนี้ไม่ใช้ในทางที่ถูกต้อง แต่ก็นับว่าช่วยนางได้ครั้งหนึ่ง ทำให้นางชนะได้โดยสวยงามและสบายกว่าที่คิดไว้เสียอีก  


 


 


ไม่เช่นนั้นแค่ข้าวเก่า ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะถ่ายท้องร้ายแรงถึงขนาดนี้ แต่กินข้าวเสียเข้าไปแล้ว…  


 


 


เซียวชินพลันเข้าใจ สายตาเย็นเยียบมองเยี่ยเม่ย สตรีนางนี้แม้แต่เรื่องพวกนี้ก็ยังรู้ ส่วนเขาที่เป็นจั่วอี้อ๋องผู้สูงส่ง หลายปีที่ผ่านมาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลยสักน้อย 


 


 


เสี้ยวขณะนี้ เขาพูดไม่ถูกว่ารู้สึกรังเกียจสตรีนางนี้มากกว่า หรือเลื่อมใสมากกว่ากัน 

 

 

 


ตอนที่ 96-3

 

ตอนที่ 96-3 เจ้าอยากได้ร่างกายข้าหรือไม่

 


 


 


 


เขาหน้านิ่ง ถามขึ้นอีกครั้ง “แต่เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่า วันนี้พวกเราจะกินข้าวสารพวกนี้ อีกทั้งเจ้ายังนำทัพมาได้อย่างประจวบเหมาะพอดี ต่อให้เจ้ามีหูตาอยู่ในฝั่งพวกเรา รู้ว่าพวกเราจะกินข้าววันนี้ แต่สำหรับการจัดทัพทหารต้องเตรียมการก่อน ไม่เช่นนั้นคนมากมายขนาดนี้ ไฉนเรียกให้ออกทัพ ก็มาได้ทันเวลา” 


 


 


เซียวชินเอ่ยวาจายาวเหยียด ไม่ถูกกลุ่มคนไม่เอาไหนด้านหลังตัดบท ในใจของเซียวชินพลันปลาบปลื้มขึ้นมา 


 


 


เยี่ยเม่ยหน้าตาเย็นชาตอบว่า “ท่านพูดไม่ผิด ทัพทหารเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ไม่ใช่คืนนี้ก็พรุ่งนี้เช้า ส่วนที่ว่าไฉนถึงมั่นใจว่าพวกเจ้าจะต้องกินข้าวเร็วขนาดนี้ นั่นก็ง่ายมาก เพราะลู่หวานหว่าน” 


 


 


สิ้นเสียงเยี่ยเม่ย ลู่หวานหว่านในยามนี้ก็เลิกม่านกระโจม วิ่งออกมา 


 


 


สีหน้าของนางบูดเบี้ยว ไม่ใช่เพราะอะไร แต่นางก็กินข้าวเช่นกัน นางต้องการเข้าสุขา แต่เมื่อเปิดกระโจมออกมา ได้ยินคำพูดนี้พลันไม่สนใจเรื่องที่ตนจะปลดทุกข์ มองเยี่ยเม่ยด้วยความดุร้าย “เพราะข้า?” 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง ไม่ช้าก็ถอนสายตากลับ ไม่มองไปอีก 


 


 


เหตุผลง่ายๆ คือ นางดูแคลนสตรีนางนี้ ไม่ว่าสติปัญญาหรือความสามารถต่างไม่อยู่ในระดับเดียวกันกับนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้การพูดกันมากอีกสักคำ มองนานอีกนิด ล้วนเป็นการยกฐานะให้อีกฝ่าย ทั้งยังทำให้คนไร้สามารถเช่นนี้ ไม่รู้จักประมาณตนคิดว่าเยี่ยเม่ยเห็นตัวนางเป็นศัตรู 


 


 


เซียวชินดูออก ความจริงเยี่ยเม่ยไม่คิดสนทนากับกับลู่หวานหว่าน อย่าว่าแต่เยี่ยเม่ยเลย แม้แต่ตัวเขาเซียวชินก็ไม่อยากสนใจสตรีนางนี้ เขามองเยี่ยเม่ย เอ่ยถามว่า “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ได้ชักช้ารีรอ เอ่ยปากตอบว่า “ง่ายมาก เงื่อนไขของข้าคือให้เอานางมาแลกกับข้าวสาร สุดท้ายพวกท่านเอาข้าวกลับไปแล้วยังพาตัวนางกลับไปได้ หรือพวกท่านจะไม่ลืมตัว พวกท่านจะไม่ลำพองใจ นางก็จะลำพองใจ เมื่อนางลำพองใจแล้ว จะพูดอะไรกรอกหูพวกท่านบ้าง แค่คิดดูก็รู้แล้ว”  


 


 


ไม่ใช่ครั้งแรกที่เยี่ยเม่ยพบลู่หวานหว่าน การพบปะกันหลายครั้งก่อน นางก็มองออกแล้วว่าสตรีนางนี้ไร้สมอง ทั้งไม่รู้จักเก็บงำ ย่อมมิใช่คนฉลาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ไม่ยากเกินคาดเดา  


 


 


คราวนี้ไม่เพียงแต่เซียวชิน สายตาของทหารต้ามั่วส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ที่ตัวลู่หวานหว่าน 


 


 


เซียวชินลองหวนคิดดู ก็ฉุกคิดขึ้นได้ สถานการณ์วันนั้นเป็นอย่างที่เยี่ยเม่ยเอ่ยจริงๆ ในยามนั้นเขายังมีใจกังวลสงสัย ส่วนสตรีนางนี้กลับค้าน แสดงออกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเกิดปัญหา 


 


 


ในที่สุดท่านข่านก็ถูกโน้มน้าว ตัวเขาเองก็คล้อยตามโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายเกิดเป็นผลลัพธ์ในยามนี้  


 


 


เซียวชินหัวเราะเสียงเย็น “ดูท่าข้าทำผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว” 


 


 


ตั้งแต่เริ่มเขาไม่สมควรเห็นแก่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของราชาต้ามั่ว นำผู้หญิงคนนี้กลับมา บางทีหากไม่นำตัวลู่หวานหว่านกลับมา ปล่อยให้นางตกอยู่ในเงื้อมมือเยี่ยเม่ย พวกเขาอาจไม่ตกหลุมพราง 


 


 


     แต่ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อีก 


 


 


สายตาของทหารต้ามั่วทั้งหลายมองลู่หวานหว่านราวกับมองศัตรูฆ่าบิดา สวรรค์ถึงรู้ว่าพวกเขาแต่ละคนอดทนไม่เข้าสุขา มารับศัตรูอยู่ที่นี่ ในใจมีความเจ็บปวดถึงขั้นไหน  


 


 


ส่วนทุกอย่างในที่นี้ล้วนโทษนางสตรีน่าตายนางนี้ พูดจาเหลวไหลข้างหูท่านข่าน ถึงชักนำให้พวกเขาพบกับสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้ 


 


 


ลู่หวานหว่านเห็นสายตาที่คนทั้งหมดมองนาง ล้วนเคียดแค้นจนแทบกลืนตนลงท้อง สีหน้าเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวขาวซีด 


 


 


สายตาเจ็บแค้นมองเยี่ยเม่ย นางคิดไม่ถึงว่าเมื่อหันไปกลับพบสายจิ่วหุนใช้สายตาราวกับมองคนตายจ้องนาง 


 


 


ลู่หวานหว่านถูกสายตานี้ทำให้ตกใจตกเย็นวาบไปทั้งกาย ไม่กล้าถลึงตาอีก เหมือนถูกน้ำเย็นทั้งโถราดหัว พลันไม่กล้าพูดอะไร ทั้งไม่เถียงเพื่อตนเอง ยิ่งไม่เอ่ยปากด่าเยี่ยเม่ยแล้ว 


 


 


นางไม่พูดอะไร มองไปที่สุขา พุ่งกายจากไป ความจริงนางกลั้นไม่อยู่แล้ว  


 


 


เยี่ยเม่ยมองเซียวชินทีหนึ่ง พยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนมีเมตตาบ้างเล็กน้อย “เรื่องที่ท่านอยากรู้ ข้าก็บอกไปหมดแล้ว ก็เท่ากับให้ท่านตายอย่างชัดเจน ฟ้ามืดแล้ว พี่น้องด้านหลังท่านพวกนั้นดูท่าอยากเข้าห้องน้ำเต็มที พวกเราก็ไม่อยากเสียเวลาอีก” 


 


 


น้ำเสียงของนางดูเปี่ยมด้วยเมตตาเช่นนี้ เมื่อได้ฟังกลับฟังความตั้งใจของนางไม่ออก 


 


 


จากนั้นชั่ววูบเดียว 


 


 


นางยกมือขึ้น เหล่าทหารของเป่ยเฉินก็เข้าใจในบัลดล คนทั้งหมดไม่พูดไม่จา รีบพุ่งเข้าไปเข่นฆ่าทหารต้ามั่วทันที 


 


 


 “ฆ่า” 


 


 


 “ฆ่า” 


 


 


เสียงฆ่าตวาดก้องไปทั่ว ทัพใหญ่สองฝ่ายมุ่งเข้าประจันกันโดยไม่ช้า  


 


 


ราชาต้ามั่วในสุขา และลู่หวานหว่าที่เพิ่งวิ่งมาถึงหน้าประตู คนหนึ่งได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก เจ็บปวดหัวใจราวถูกมีดทิ่มแทงที่ตนเองยังปลดทุกข์ไม่เสร็จ ตัวเขาแทบอยากพุ่งออกไปเข่นฆ่าสังหารสังหารศัตรู 


 


 


ส่วนอีกคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสุขา มองเหล่าทหารเข่นฆ่ากัน เลือดสาดกระเซ็น เลือดคาวคละคลุ้งโหดเ**้ยม ทันใดนั้นลำแขนข้างหนึ่งลอยมาทางที่นางอยู่ ชั่วขณะนั้นลู่หวานหว่านตกใจเสียจนร้องไห้ไม่ออก สายตาเหม่อลอยนั่งหมดสภาพอยู่บนพื้น 


 


 


จิ่วหุนวิ่งเข้าหาคนในสนามรบ ในขณะที่เขาฟาดดาบลงมา มีอานุภาพทำลายศัตรูเป็นร้อยเป็นพัน 


 


 


สถานที่ที่เขาผ่านไป บนพื้นนองไปด้วยเลือดและศพหน้าตาบิดเบี้ยวของทหารต้ามั่ว ไม่รู้ว่าที่ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวเพราะความตายที่เจ็บปวดหรือเพราะความอดกลั้นไม่เข้าห้องน้ำนั้นทรมานเกินไป 


 


 


แต่รูปโฉมอันงดงามของเขา สวมชุดสีขาวสังหารคน เลือดสักหยดก็ไม่เปรอะเปื้อน สายรัดเอวกับผ้าผูกผมสีแดง ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้กับรูปลักษณ์ที่งดงามของจิ่วหุน ทำให้กระบวนท่าสังหารคนของเขาดูน่ามองอย่างถึงที่สุด 


 


 


อานุภาพสังหารของจิ่วหุน ทำให้แม่ทัพทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายตนมองเขาด้วยสีหน้าสั่นสะท้าน 


 


 


แม้กระทั่งพวกแม่ทัพที่กรำศึกมาหลายปี ก็ไม่เคยเห็นการรบที่ดุดันเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสังหารคนมากมาย เสื้อผ้าไม่เลอะเลือดสักหยดเลย คนเช่นนี้รับใช้ราชสำนักเป่ยเฉินของพวกเขา เรียกได้ว่าเป็นโชคดีอย่างที่สุด 


 


 


เซียวชินมองจิ่วหุนอย่างไม่เชื่อสายตา  


 


 


    เขารู้นานแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของแผ่นดิน แต่ที่เขาคิดไม่ถึงคืออีกฝ่ายจะร้ายกาจถึงขั้นนี้ ความดุดันนี้เรียกว่าเทพแห่งสงครามก็ไม่เกินไปนัก เข้มแข็งกว่าเยียลี่ว์ซั่นที่ได้รับสมญานามว่าเทพแห่งสงครามเป็นร้อยเท่า   


 


 


หากบอกว่าทหารสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ความจริงบอกว่าอีกฝ่ายถูกกดดันดีกว่า  


 


 


ทหารเป่ยเฉินเข่นฆ่ากดดันทหารต้ามั่ว อย่างไรเสียทหารต้ามั่วทั้งหลายสภาพร่างกายไม่พร้อม ปวดท้องอย่างรุนแรง แต่ละคนคิดอยากถ่ายท้อง ฝืนทำศึก ย่อมถูกกดดัน 


 


 


เซียวชินเห็นสถานการณ์ไม่ดี ในขณะที่เตรียมเข้าสู่สมรภูมิรบ 


 


 


เยี่ยเม่ยในเวลานี้มีสีหน้าเย็นชา ล้วงพัดออกจากเอว มองเซียวชิน “เป้าหมายของเจ้า คือข้า” 


 


 


ฝีเท้าเซียวชินหยุดชะงักไป สายตาคมกริบมองเยี่ยเม่ย ไม่พูดพร่ำมาความ ชักกระบี่ยาวออกจากเอวทหารด้านข้าง พุ่งไปสังหารเยี่ยเม่ย 


 


 


พัดและกระบี่ปะทะกัน สายตาทั้งสองประจันคมดั่งคมดาบ แหลมราวกระบี่ เยี่ยเม่ยชื่นชมบุรุษเบื้องหน้าขึ้นมาหลายส่วน 


 


 


เช่นเดียวกัน สายตาของคนตรงข้ามก็ฉายแววชื่นชมนาง  


 


 


พวกเขาประมือกันอีกครั้ง เซียวชินไสกระบี่เข้าที่คอเยี่ยเม่ย ในขณะเดียวกันก็จ้องเยี่ยเม่ยด้วยสายตาคมกริบ “ตามที่ข้ารู้ เจ้าไม่ใช่คนเป่ยเฉิน หรือพูดว่าฐานะของเจ้าไม่ชัดเจน อย่างนั้น ไฉนเจ้าถึงเข้าร่วมศึกในครั้งนี้” 


 


 


เซียวชินยินยอมประมือกับบุรุษโดดเด่นของเป่ยเฉินคนใดก็ได้ แต่ไม่ยินยอมประมือกับสตรีเบื้องหน้า เขารู้สึกว่าเมื่อครู่ยามเขายกปัญหานี้ขึ้นมา ความกระอักกระอ่วนที่เผชิญก่อนหน้า กลายเป็นฝันร้ายชั่วชีวิตเขา  


 


 


เยี่ยเม่ยหน้าไม่เปลี่ยนสีตั้งรับกระบี่ วาดพัดออกทีหนึ่ง เกิดสายลมพัดคมกริบ 


 


 


กลายเป็นสายลมพัดออกไป ต่อให้เป็นแค่ลมกระแสหนึ่ง แต่ก็ผ่าหน้ากากของเซียวชินขาดออก 


 


 


ใบหน้างดงามนั้นถึงไม่อาจเทียบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือจิ่วหุน แต่ก็นับว่าบุรุษรูปงามไม่ผิดแน่ 


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเบา “เดิมข้าคิดว่า ท่านต้องหน้าตาอัปลักษณ์ ไม่กล้าพบคน ถึงปิดบังหน้าตาตัวเองไว้ คิดไม่ถึงว่าหน้าตาไม่เลวเลย  


 


 


ในเวลานี้เซียวชินสีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวซีดขาว 


 


 


หน้ากากบนหน้าถูกคนตัดขาดเป็นสองท่อนตกลงพื้นอย่างง่ายดาย เช่นนี้ก็บอกได้ชัดเจนแล้วว่า ตัวเองหาใช่คู่มือสตรีนางนี้     


 


 


ฝ่ายจิ่วหุนได้ยินคำนี้ ก็ลงมือโดยไม่ลังเล เขาซัดมีดสั้นออกไปใส่หน้าเซียวชิน 


 


 


เซียวชินตระหนักได้ทัน ถอยหลังเบี่ยงหลบมีดสั้น 


 


 


แต่มีดเล่มนี้ยังทิ้งรอยแผลเอาไว้ เลือดสดไหลออกมา… 


 


 


เห็นได้ชัดว่า หากเขาช้าไปอีกก้าวหนึ่ง เกรงว่าจะเสียโฉมแล้ว บุรุษผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือเปล่า ไฉนอยู่ดีๆ ก็ลอบโจมตีใส่หน้าเขา  


 


 


หรือเพราะว่าเยี่ยเม่ยวิจารณ์เขาว่า หน้าตาไม่เลว 


 


 


เขาพลันรู้สึกว่า จิ่วหุนเป็นพวกคลุ้มคลั่ง 


 


 


ส่วนจิ่วหุนหลังจากจู่โจมแล้ว สายตาเย็นชากวาดใส่เขาทีหนึ่ง ไม่ช้าก็ประมือกับคนข้างๆ กวาดกระบี่ยาวทีหนึ่ง ด้านหลังก็มีคนตายภายใต้คมกระบี่เขาอีกสี่คน   


 


 


เซียวชินลูบหน้า มองเยี่ยเม่ย “เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้า” 


 


 


เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา มองเซียวชิน “เจ้าพูดไม่ผิด ราชสำนักเป่ยเฉินไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า แต่ว่าพวกเจ้ายังจำได้ไหม เหตุผลที่เปิดศึกรวมเอาเรื่องที่ข้าบุกค่ายทหารสังหารคนไปด้วย ทั้งยังต้องเอาชีวิตข้า” 


 


 


เซียวชินหน้าเขียว “เพราะเรื่องนี้ เจ้าถึงเข้าร่วมศึกด้วย?” 


 


 


 “แน่นอน” เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยปาก “ในเมื่อพวกเจ้าเปิดศึก หนึ่งในเหตุผลคือสังหารข้า อย่างนั้นก็พิสูจน์แล้วว่า การศึกครั้งนี้ข้าต้องรับผิดชอบ ในเมื่อเป็นความรับผิดชอบของตน จะให้คนอื่นช่วยแบกรับได้อย่างไร ข้าก็ต้องรับศึกพวกเจ้าอย่างถึงที่สุด” 


 


 


สีหน้าเซียวชินพลันไม่น่ามองขึ้นมา  


 


 


ตอนแรกที่เพิ่มเหตุผลนี้เข้าไปก็เพราะลู่หวานหว่าน  เพราะว่าราชาต้ามั่วรับปากว่าจะทวงความยุติธรรมให้ลู่หวานหว่านและหลานชาย 


 


 


ส่วนราชาต้ามั่วที่อยู่ในห้องสุขายามนี้ ถ่ายท้องจนหน้ามืดตามัว จนรู้สึกว่าตนแทบจะหมดแรงแล้ว ราชาต้ามั่วที่ไม่เคยแบกรับความผิดพลาดเช่นนี้มากก่อน ได้ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย ก็เกิดความคิดอยากก่นด่าว่าคนขึ้นมาแล้ว 


 


 


หากรู้แต่แรกว่าความหลงใหลในรูปโฉมหญิงงามของตน จะทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบถึงขั้นนี้ ตีให้ตายเขาก็ไม่มีวันใส่ใจลู่หวานหว่านที่สมควรตาย 


 


 


เซียวชินมองเยี่ยเม่ย ถามเสียงเย็นชา “เจ้าก็อย่าเพิ่งด่วนดีใจ เจ้าคงไม่หลงคิดว่าต้ามั่วของเรามีทหารเพียงเท่านี้หรอกกระมัง” 


 


 


เยี่ยเม่ยยิ้มเยาะ “ข้าไม่มีทางคิดเช่นนี้แน่นอน ข้ายังรู้ว่าอีกว่า เมื่อศึกที่นี่เปิดฉาก ทัพเสริมของพวกเจ้าก็ใกล้มาถึงแล้ว คนพวกนั้นไม่ได้ออกเดินทางมาพร้อมพวกเจ้า สมควรไม่ได้กินข้าวสาร แต่อย่าน้อยก่อนที่ทัพเสริมมาถึง กองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของต้ามั่ว เกรงว่าวันนี้จะต้องจบสิ้นในที่นี้แล้ว” 


 


 


กองทัพที่ติดตามราชากับจั่วอี้อ๋องออกศึก ย่อมเป็นทัพที่เข้มแข็งที่สุดของต้ามั่ว 


 


 


เมื่อกำจัดไปได้ ก็มากพอทำให้ต้ามั่วสูญเสียอย่างหนัก มากพอทำให้ราชาต้ามั่วโมโหเจียนตาย มากพอที่เยี่ยเม่ยจะชื่อเสียงขจรไกลในศึกเดียว 


 


 


เซียวชินฟังคำของเยี่ยเม่ย สีหน้ายิ่งไม่น่าชมขึ้นอีกหลายส่วน 


 


 


เวลานี้คนหลายหมื่นของต้ามั่วบาดเจ็บล้มตายเกินครึ่งแล้ว 


 


 


จิตใจของเซียวชินก็ร้อนรนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หากทัพเสริมมาช้าแค่คืนเดียว ไม่แน่ว่าท่านข่านกับตนอาจถูกเยี่ยเม่ยจับไปได้ 


 


 


อย่างนั้นก็เป็นการเหยียดหยามกันเกินไปแล้ว 


 


 


เซียวชินลงมืออีกครั้ง ปะทะกับเยี่ยเม่ย ส่วนหญิงสาวหมดความอดทนในการต่อสู้อีก พลันยกมือขึ้น “พันอิง ทะลวง”  


 


 


พัดกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ พุ่งทำร้ายเซียวชิน 


 


 


ถึงเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ไว แต่ก็ยังมีเศษพัดปักเข้าที่บ่า ส่วนในเวลานี้ เสียงเข่นฆ่าที่ดังตามมาทหารต้ามั่วเหลือน้อยกว่าหมื่นคนกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด 


 


 


ในขณะนี้เอง 


 


 


ไม่ไกลออกไปมีแสงไฟสุกสว่าง กองทัพกองหนึ่ง มุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว 


 


 


เยี่ยเม่ยถอนใจด้วยความเสียดาย เอ่ยว่า “ทัพเสริมมาแล้ว ยังไม่ทันเชิญราชาต้ามั่วกับจั่วอี้อ๋องไปเป็นแขกที่ชายแดนเป่ยเฉินเลย พวกเราค่อยพบกันครั้งหน้า”  


 


 


สิ้นเสียง เยี่ยเม่ยปรายตามองหลูเซียงฮั่ว  


 


 


แม่ทัพหลูโบกมือ ออกคำสั่งทันที “ถอยทัพ” 


 


 


พวกเซียวชินย่อมไม่มีเรี่ยวแรงในการไล่ตาม ได้แต่มองพวกเยี่ยเม่ยจากไป ภายในหนึ่งชั่วยามอีกฝ่ายบุกเข้ามาสังหารคนของพวกหลายหมื่นคน คนที่ถูกสังหารยังเป็นยอดฝีมือของต้ามั่ว เมื่อเสร็จสิ้นแล้วยังถอยทัพถอยไปอย่างเอิกเกริก พวกเขาโมโหจนสีหน้าบิดเบี้ยว 


 


 


ในที่สุดราชาต้ามั่วก็ปลดทุกข์จนเสร็จสิ้น ออกจากสุขา มองศพบนพื้นทีหนึ่ง ทั้งยังมีเงาหลังของพวกเยี่ยเม่ยที่จากไปอย่างยิ่งใหญ่ คิดถึงตนเองหลงใหลในรูปโฉงดงามทำให้เกิดการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดต่างๆ  


 


 


ทันใดนั้น “อัก…” 


 


 


โลหิตคำหนึ่งพ่นออกเพราะเกิดโทสะ 


 


 


 “ท่านข่าน” เซียวชินรีบเข้าไปพยุง 


 


 


 “ปู๊ด…” ราชาต้ามั่วกลั้นไม่ไหวผายลมออกมา 


 


 


บรรยากาศเงียบสงบ หลงเหลือเพียงความอึดอัด 


 


 


   …… 


 


 


เยี่ยเม่ยนำทหารกลับถึงเมือง พวกทหารเป่ยเฉินใช้สายตาเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งมองเยี่ยเม่ยมาตลอดทาง มองจิ่วหุนด้วยความนับถืออย่างมาก 


 


 


สายตาเช่นนี้คล้ายมององค์ราชินีและเทพแห่งสงคราม 


 


 


ทุกคนเบิกบานดีใจ แต่ละคนอารมณ์ดีจนแทบจะเปล่งเสียงร้องเพลงตอนขากลับ 


 


 


เยี่ยเม่ยในยามนี้มองจิ่วหุนด้วยความแปลกใจ ถามว่า “เมื่อครู่เจ้าไม่ฉวยโอกาสสังหารลู่หวานหว่าน? ดูไม่คล้ายกับนิสัยเจ้าเลย” 


 


 


จิ่วหุนเสียงเบาตอบ “เรื่องนี้เกิดจากนาง ไม่สังหารนาง นางก็จะยิ่งอนาถ” 


 


 


เยี่ยเม่ยยามนี้ชะงักไป ความจริงก็ไม่ผิด เมื่อครู่นางเอ่ยออกไปเช่นนั้น คนของต้ามั่วเมื่อรู้ว่าเรื่องเกี่ยวพันกับลู่หวานหว่าน ชีวิตภายภาคหน้าของอีกฝ่ายเกรงว่าจะอยู่มิสู้ตาย เพียงแต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงคือ… 


 


 


 “เสี่ยวจิ่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์นัก” เจ้าหนุ่มนี้ มองไปแล้วเหมือนเซื่องซึม ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนเจ้าแผนการเลย คิดไม่ถึง… 


 


 


คิดไม่ถึงว่าจิ่วหุนจะไม่บ่ายเบี่ยง เขาเอาชนะนิสัยไม่ชอบพูดของตนอีกครั้ง ครู่หนึ่งค่อยเอ่ยว่า “คนในยุทธภพ หากไม่เจ้าเล่ห์เกรงว่าจะตายอย่างอนาถ” 


 


 


คำพูดนี้ไม่ผิดแน่ 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่พูดอะไรอีก คนทั้งกลุ่มเดินทางกลับถึงชายแดน 


 


 


หลังจากเข้าเมือง ทหารทั้งหลายกระโดดโลดเต้น ฉลองที่ชนะศึก 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่คิดร่วมวงสนุกกับพวกเขา มุ่งตรงกับห้องตนไป เมื่อครู่จิ่วหุนฆ่าคนไปตั้งมาก เหงื่อออกท่วมตัวจึงกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน 


 


 


ในยามนี้ ท้องฟ้าสว่างแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยง่วงนอนมาก นางก้าวเท้ากว้างๆ กลับห้อง ตรงไปที่เตียง 


 


 


สายตาพลันตื่นตระหนก รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าในห้องมีคนอยู่ นางลงมือทันที ทว่ากลับถูกคนจับข้อมือไว้อย่างแรง กดนางลงที่เตียง 


 


 


ยังไม่ทันคิดได้ว่าอีกฝ่ายคือใคร คนผู้นั้นก็ทาบทับนางลงมาแล้ว น้ำเสียงชวนให้คนเคลิบเคลิ้ม กระซิบขึ้นข้างหู “กรำศึกมาทั้งคืนแล้ว เหนื่อยแล้วหรือยัง เวลานี้สมควรผ่อนคลายถึงจะถูก อืม… เจ้าต้องการร่างกายของข้าหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ย “…” 


 


 


ความรู้สึกที่ว่านางออกไปลำบากมาทั้งคืน กลับมาบ้านมีภรรยารออยู่ในห้องรอปรนบินัติ นี่มันเรื่องผีสางอันใดกัน 

 

 

 


ตอนที่ 97-1

 

ตอนที่ 97-1 มาหลับนอนกับข้าเถอะ ข้าเต็มใจ

 


 


 


 


ในขณะที่กำลังครุ่นคิด บุรุษก็เริ่มลงมือดึงเสื้อผ้าของนาง 


 


 


ในใจเยี่ยเม่ยยามนี้หลงเหลือความรู้สึกเพียงอย่างเดียว นั่นก็คืออยากจะบ้าตาย 


 


 


นางไม่พูดพร่ำ ยื่นมืออกไปข้างหนึ่ง ผลักเขาออก ปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ มุมปากไม่มีรอยยิ้มเลยสักน้อย น้ำเสียงยังแสดงถึงความรังเกียจอย่างชัดเจน “ไม่คิด ไสหัวไป” 


 


 


เจ้าอยากได้ร่างกายของข้าหรือไม่ 


 


 


ไม่อยาก เชิญไสหัวไป 


 


 


ความคิดที่จะทอดกายถวายตัวให้แสดงออกอย่างหนักแน่นและชัดเจน ถูกปฏิเสธโดยไม่มีความลังเลเลยสักน้อย 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับไม่กลัดกลุ้ม กดนางไว้ ไม่ให้เยี่ยเม่ยผลักออก มุมปากเขาอมยิ้มร้าย ค่อยๆ กล่าวว่า “พูดเช่นนี้ อย่างนั้นก็มีเพียงข้าอยากได้ร่างกายเจ้าแล้ว” 


 


 


ในขณะเอ่ย เขาซุกลงที่ซอกคอนาง 


 


 


ลมหายใจของบุรุษอยู่ข้างหู เยี่ยเม่ยสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว ทั้งร่างแข็งทื่อ จากนั้นอ่อนยวบลงในไม่ช้า จ้องบุรุษเบื้องหน้า 


 


 


นางยื่นมืออกไป ผลักไหล่เขา แรงที่ใช้ออกไม่ใช่น้อย หากเป็นคนไม่มีวรยุทธ์ ก็เพียงพอให้นางผลักจนกระดูกแตกไปแล้ว  


 


 


 “โอ๊ย เจ็บๆๆๆ…” องค์ชายสี่ไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ท่าทางได้รับความทรมานแสนสาหัส เงยหน้ามองเยี่ยเม่ยอย่างน่าสงสาร รู้ว่านางชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง เขาได้แต่ทำตัวน่ารัก 


 


 


เห็นว่าในที่สุดเขาก็นิ่งแล้ว ไม่ซุกไซ้ซอกคอนางอีก 


 


 


ความแปลกประหลาดในร่างกายของเยี่ยเม่ยค่อยสงบกลับสู่ปกติ สายตาเย็นชามองเขา จ้องมองดวงตาคู่ร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามว่า “ท่านคิดจะมาไม้ไหนกันแน่”  


 


 


เมื่อคืนนางถามเป้าหมายของเขา ความจริงเขาก็นับว่ายอมรับไปแล้ว 


 


 


ในเมื่อยอมรับไปแล้ว วันนี้ยังจะเล่นอะไรอีกกันแน่ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับหัวเราะเบาๆ ก้มหน้าใกล้ริมฝีปากนาง ทำเสียง “ชู่ว์” เบาๆ บ่งบอกว่าให้นางเงียบ 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าเขาคิดทำอะไร แต่ก็ไม่ขยับ เห็นเขาขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คล้ายจะจูบนาง 


 


 


ทำให้เรียวคิ้วของนางค่อยๆ เลิกขึ้นสูง 


 


 


ดีที่เขาสุดท้ายเขายังรู้จักขอบเขต ในขณะที่กำลังจะสัมผัมริมฝีปากนาง ก็หยุดลง เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ 


 


 


ผ่านไปสักพัก 


 


 


เขายกมุมปากเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มที่น่ามองและชั่วร้าย ล่อลวงใจคนเป็นที่สุด ไม่ช้าเขาก็พ่นคำพูดอกมาประโยคหนึ่ง “ยังดีที่ไม่ถูกพิษ เล่าลือกันว่าจั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วมีฐานะลึกลับ แต่วิชาการใช้พิษของเขาเป็นเอก เจ้าประมือกับเขา ไม่ถูกพิษ ดูท่าเขาก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่จัดการได้ง่ายๆ ”  


 


 


เยี่ยเม่ยตะลึงงัน 


 


 


เมื่อเขาพูดคำนี้จบก็ลุกขึ้นทันที ไม่กดนางไว้อีก 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความฉงน ถามเสียงเย็นชาว่า “ท่านตั้งใจมาก็เพื่อดูว่าข้าถูกพิษหรือไม่อย่างนั้นหรือ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับคลี่ยิ้มออกมา หันหน้ามองนาง เอ่ยอย่างอ่อนโยนและไม่จริงจังว่า “ไม่ ข้ามาก็เพื่อมอบกาย หวังว่าเจ้าจะเอาเปรียบเยี่ยนอย่างหนักหน่วง เติมเต็มความคาดหวังในใจเยี่ยนที่มีต่อเจ้า”  


 


 


เยี่ยเม่ย “…คำพูดประเภทนี้ จะถูกข่มเหงเอาได้จริงๆ ท่านรู้หรือไม่” 


 


 


นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ มุมปากของนางกระตุก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตาชั่วร้ายทอประกายวาววาบ แววตามีรอยยิ้มปรากฏ ในไม่ช้ารอยยิ้มแย้มนั้นก็ชัดเจนมากขึ้น  


 


 


ถัดมา องค์ชายสี่ขยับไปนอนด้านข้างโดยไม่ลังเล 


 


 


วันนี้เขาสวมชุดต่วนยาวสีแดง สาบเสื้อเปิดออกเพราะท่านอนของเขา กล้ามเนื้ออกทรงพลังปรากฎสู่สายตาเยี่ยเม่ย  


 


 


      สายตาที่เขามองเยี่ยเม่ยอัดแน่นไปด้วยความยั่วยวน 


 


 


นิ้วเรียวยาวยื่นมองออกมาจับเส้นผมดำขลับบริเวณอกของตน ทุกท่วงท่าไม่มีท่าไหนไม่ล่อลวงใจ น้ำเสียงไพเราะค่อยๆ กล่าวว่า “มาเถอะ มานอนกับข้า ข้าเต็มใจ” 


 


 


เยี่ยเม่ย “…” 


 


 


   …… 


 


 


ในต้ามั่ว 


 


 


กระโจมของหวันเหยียนหง เสียงร้องโหยหวนดังออกมาเป็นระยะ 


 


 


 “บอกมา เซียวเซ่อหยางอยู่ที่ไหน” กระบี่ยาวของโอวหยางเทา พาดอยู่บนลำคอหวันเยี่ยนหง ส่วนบ่าของโย่วอี้อ๋องล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดสดไหลทะลักราวกับสายน้ำ เลือดที่ไหลออกมานั้นคือบาดแผลที่ถูกโอวหยางเทาแทงเมื่อครู่   


 


 


ใบหน้าของหวันเหยียนหงแสดงความเจ็บปวดราวกับไม่อยากมีชีวิตอยู่ ยิ่งเกลียดแค้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยจนเข้ากระดูก 


 


 


นอกกระโจมเต็มไปด้วยศพของทหารต้ามั่ว พวกเขาคุ้มกันโย่วอี้อ๋องที่บาดเจ็บสาหัสกลับราชวังตามบัญชาของราชาต้ามั่ว ใครก็คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางกลับถูกดักโจมตี 


 


 


หวันเหยียนหงเจ็บปวดจนหายใจติดขัด นัยน์ตายิ่งมีเส้นเลือดสีแดงก่ำ ถลึงตาใส่โอวหยางเทา “ข้า…ข้าไม่รู้” 


 


 


 “เจ้ายังไม่ยอมบอกอีก” โอวหยางเทาใช้กระบี่แทงบ่าของหวันเหยียนหงอีกครั้ง 


 


 


บาดแผลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง แต่ละแห่งคล้ายบ่อเลือดทะลัก ดูไปแล้วชวนให้คนตกใจยิ่ง 


 


 


 “อ๊าก…” หวันเหยียนหงร้องด้วยความเจ็บปวดเจียนตาย 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยด้านข้าง หยิบเข็มเงินออกจากชายเสื้อ แววตาเย็นเยือกมองหวันเหยียนหง “เจ้าเป็นคนพิการผู้หนึ่งแล้ว ทางที่ดีจงบอกร่องรอยของพี่บุญธรรมข้ามา ไม่เช่นนั้นพวกเราไม่เสียใจที่จะทำให้เจ้ากลายเป็นคนตาย” 


 


 


ต่อให้เป็นหมอเทวดา ทว่าเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่คนสำคัญเกิดเรื่อง ความคิดที่จะลงมือฆ่าคน ก็ไม่ลังเลชักช้าเลยสักน้อย  


 


 


หวันเหยียนหงมองเข็มเงินของซือหม่าหรุ่ย เวลานี้ตัวสั่นเทิ้ม 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนด้านข้าง ดึงผ้าต่วนที่ใช้เป็นอาวุธไปมาอย่างเบื่อหน่าย เอ่ยปากสบายอารมณ์ว่า “พูดจาไร้สาระกับเขาไปทำไม มิสู้ตัดเจ้านั่นของเขาก่อน เรื่องอื่นพวกเราค่อยพูดกันก็ยังไม่สาย” 


 


 


 “เจ้า…” หวันเหยียนหงจ้องซินเยว่เยี่ยนด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ 


 


 


วินาทีถัดมาเขาก็เข้าใจแล้วว่า อะไรคือจิตใจของสตรีโหดเ**้ยมเป็นที่สุด 


 


 


ในเวลานี้เอง ประตูกระโจมเปิดออก สตรีสวมชุดขาวนางหนึ่งสาวเท้าเข้ามาด้านใน น้ำเสียงเย็นชาราวหิมะ “ได้ยินว่าพวกเจ้ามาก่อนนานแล้ว จัดการปัญหาได้หรือยัง” 


 


 


คนทั้งหมดหันไปมองนาง 


 


 


ใบหน้าซือหม่าหรุ่ยแสดงดวามยินดี “ปิงปิง” 


 


 


จงรั่วปิงจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ไรมาก็มีนิสัยเย็นชาราวน้ำแข็ง แต่ล้วนเป็นภาพลักษณ์ที่คนไม่รู้จักนางเข้าใจ 


 


 


จงรั่วปิงพยักหน้า ชักกระบี่ประจำกายออก เชิดหน้างดงามน่ามอง ทว่าท่าทางกลับเหมือนนายพรานล่าสัตว์ เตรียมตัวเดิมเข้าไปสังหารหวันเหยียนหงราวกับฆ่าหมู “ดูท่าพวกเจ้ายังจัดการไม่เสร็จสินะ เขาไม่พูดก็ช่างเถอะ ข้าว่าที่เขาไม่พูดแปดส่วนคือไม่มีเบาะแสเลยสักน้อย อย่าได้เสียเวลากับเขาอีกเลย รอข้าหั่นเขาเป็นชิ้นๆ เถอะ”  


 


 


โอวหยางเทายืนมองสตรีทั้งสามอยู่ด้านข้าง เหงื่อเย็นวาบไหลโทรมออกมา 


 


 


ไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นอะไรกันแล้ว แค่ก… 


 


 


สตรียังดุร้ายกว่าบุรุษอีก 


 


 


หวันเหยียนหงเวลานี้ถูกการกระทำของสตรีทั้งสามทำให้ตกใจ เดิมทีโอวหยางเทาแทงกระบี่ใส่เขาอยู่นานแล้ว ก็แทบทนรับไม่ไหวอีกต่อไป คราวนี้ยังเอ่ยเช่นนี้อีก เสี้ยวขณะนี้เขาไม่คิดปิดบังต่อไปแล้ว 


 


 


เขาเอ่ยปากอย่างสั่นเทิ้ม “ข้าพูด ข้าพูด แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง” 


 


 


 “ยังกล้าเสนอเงื่อนไขอีก” ซินเยว่เยี่ยนแผดเสียงสูง 


 


 


หวันเหยียนหงเชิดหน้าคอตรง เอ่ยเสียงดังว่า “ข้าย่อมมีข้อเสนอแน่ ข้อเสนอของข้าคือ พวกเจ้าห้ามฆ่าข้าหาก…หากพวกเจ้าเห็นด้วย ข้าจะบอกเบาะแสทั้งหมดให้ แต่หากไม่ล่ะก็ พวกเจ้าก็เลิกคิดจะได้รับข่าวสักน้อยไปจากข้าเลย” 


 


 


หวันเหยียนหงเองก็ยอมเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว 


 


 


สุดท้ายก็ชีวิตเดียว หากอีกฝ่ายไม่ยอมไว้ชีวิตเขา ไฉนเขาต้องบอกเบาะแสที่รู้ทั้งหมดกับอีกฝ่ายด้วยเล่า 


 


 


เบาะแส? 


 


 


เขากล่าวคำพูดนี้ไป 


 


 


พวกโอวหยางเทามองหน้ากัน ต่างคนต่างส่งสายตาแลกเปลี่ยนกัน 


 


 


ในที่สุดโอวหยางเทาก็พยักหน้า มองหวันเหยียนหง “ได้ พวกเรารับปากเจ้า อย่างไรเสียเส้นเอ็นที่สามารถขาดได้ทั่วร่างเจ้าก็ขาดจนหมดสิ้นแล้ว มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย แต่ทางที่ดีเจ้าอย่าได้เล่นลูกไม้อะไรกับพวกข้า มิเช่นนั้นเจ้าจะยิ่งตายอย่างอนาถ” 


 


 


หวันเหยียนหงรีบเอ่ยปาก “ข้าบอก ที่เขาหลิงปัว…ข้าชิง…ชิงเคล็ดวิชาของเขา แล้วยังวางยาพิษเขาด้วย เขาหนีไปถึงเขาหลิงปัวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่รู้ชัด” 


 


 


เขาตอบมาเช่นนี้ โอวหยางเทาไม่พูดพร่ำ มองทุกคน “ข้าไปหาเอง” 


 


 


เขาหลิงปัวห่างจากที่นี่ไม่มาก เซียวเซ่อหยางท่องยุทธภพมาหลายปี มีความสามารถอยู่ไม่น้อย วางค่ายกลหลอกล่อเพื่อหลบคนพวกนี้ ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ 


 


 


ที่คนทั้งหมดไม่เข้าใจก็คือ ไฉนเซียวเซ่อหยางถึงหายสาบสูญไปนานถึงสี่ปี 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้า “อย่างนั้นท่านก็ไปเถอะ พวกเราอยู่ที่เมืองชายแดนของเป่ยเฉิน รอฟังข่าวจากท่าน หากต้องการความช่วยเหลือ ก็ส่งสารมาหาพวกเรา” 


 


 


 “ดี” โอวหยางเทาหมุนกาย เตรียมออกไป 


 


 


เวลานี้ซือหม่าหรุ่ยมองที่แผ่นหลังเขา “โอวหยางเทา ท่านรอก่อน” 


 


 


โอวหยางเทาหันกลับมามองซือหม่าหรุ่ยด้วยความแปลกใจ “มีเรื่องอะไร” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยต่อไป “เดินไปคุยไป” 


 


 


โอวหยางเทามองคนอื่นๆ พยักหน้า หมุนตัวเดินออกไป ซือหม่าหรุ่ยรีบติดตามออกไป 

 

 

 


ตอนที่ 97-2

 

ตอนที่ 97-2 มาหลับนอนกับข้าเถอะ ข้าเต็มใจ

 


ซินเยว่เยี่ยนกับจงรั่วปิงก็ไม่กล่าวอะไร ถึงพวกนางเห็นซือหม่าหรุ่ยเป็นสหาย แต่พวกนางก็เข้าใจอ ย่างชัดเจนว่า ซือหม่าหรุ่ยและโอวหยางเทาสองคนนี้เกี่ยวพันกับเรื่องของราชวงศ์จงเจิ้ง พวกนางไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย 


 


 


หลังจากโอวหยางเทาและซือหม่าหรุ่ยเดินออกไปด้วยกัน 


 


 


โอวหยางเทาหันมองท่านหมอเทวดา เอ่ยปาก “เจ้ามีอะไรจะพูดก็บอกมาเถอะ” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกวาดตามองโอวหยางเทา นางไม่อ้อมค้อม ถามอย่างตรงไปตรงมา “ข้าขอถามท่าน คลังสมบัติที่ราชวงศ์จงเจิ้งเตรียมไว้กอบกู้แผ่นดิน ท่านรู้เบาะแสใช่หรือไม่” 


 


 


โอวหยางเทานิ่งอึ้ง รีบปฏิเสธ “สมบัติอะไร ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”  


 


 


 “วิญญูชนไม่เอ่ยวาจาอ้อมค้อม” ซือหม่าหรุ่ยสีหน้าจริงจัง มองโอวหยางเทากล่าวต่อว่า “ท่านสมควรรู้ดี ปีนั้นเพื่อช่วยอาซีแล้วข้าสูญเสียอะไรไปบ้าง ข้าทำอะไรเพื่อราชวงศ์จงเจิ้งไปบ้าง หลายปีผ่านมาแล้ว ถึงตอนนี้ข้ายังไม่พบเบาะแสของเซียวชินเลย ถึงกระทั่งไม่รู้ด้วยว่าเขามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว” 


 


 


นางพูดมาอย่างนี้ โอวหยางเทาหลบสายตา ไม่กล้ามองซือหม่าหรุ่ย ความเสียสละของ ซือหม่าหรุ่ยเพื่อองค์หญิงในปีนั้น คนนอกไม่รู้ แต่พวกเขาที่รู้เรื่องราวต่างเข้าใจอย่างชัดเจน 


 


 


ส่วนน้ำเสียงของซือหม่าหรุ่ย เย็นชาขึ้นอีกหลายส่วนเอ่ยปากว่า “ดังนั้นท่านสมควรเข้าใจว่า ข้าไม่มีทางขายพวกท่านแน่ ทั้งไม่มีทางทรยศอาซี บอกข้าเถอะ ถือว่าข้าขอร้องท่าน ท่านรู้ที่ตั้งของคลังสมบัติใช่หรือไม่” 


 


 


โอวหยางเทาฟังแล้ว สายตาสับสนสักพัก เขาลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็กัดฟันแน่น มองซือหม่าหรุ่ย พยักหน้าเอ่ยว่า “สมควรบอกว่า คนที่รู้เรื่องคือข้ากับเซียวเซ่อหยาง พวกเราสองตระกูลต่างก็ถือแผนที่คลังสมบัติคนละครึ่งส่วน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง หรือการใหญ่ของราชวงศ์จงเจิ้ง ข้าก็ต้องหาเซียวเซ่อหยางให้พบ”  


 


 


เมื่อเขายอมเอ่ย ซือหม่าหรุ่ยรู้เรื่องที่ตนอยากรู้ก็คลายใจลง “เจ้ายอมรับได้ก็ดี ของพวกนี้ ข้าไม่ได้….” 


 


 


โอวหยางเทากลับมอง ซือหม่าหรุ่ยด้วยแววตาแปลกประหลาด เอ่ยปากว่า “จู่ๆ ไฉนเจ้าถึงถามเรื่องนี้ พูดตามตรงแล้ว หากเอ่ยเรื่องแก้แค้น ถึงเป็นข้าก็ยังไม่กล้าคิด ปีนั้นองค์ชายสิ้นพระชมน์ในวัง องค์หญิงตกแม่น้ำหมิงสิ้นพระชนม์ ต่อให้พวกเราชนทายาทของขุนนางเก่าแก่ราชวงศ์จงเจิ้งคิดกอบกู้บ้านเมือง ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหน” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองโอวหยางเทา พลันถามขึ้นว่า “หากองค์ชายยังมีชีวิตอยู่เล่า” 


 


 


 “อย่างนั้นพวกเราจะต้องติดตาม ภักดีจนกว่าชีวิจะหาไม่” น้ำเสียงโอวหยางเทาหนักแน่น ปีนั้นตระกูลเขาจงรักภักดีต่อราชวงศ์จงเจิ้ง หลายปีมานี้ปิดบังชื่อแซ่ ถึงกระทั่งออกท่องยุทธภพก็เพื่อการใหญ่ 


 


 


จู่ๆ ซือหม่าหรุ่ยก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่หากองค์หญิงยังมีชีวิตอยู่เล่า” 


 


 


 “องค์หญิง?” โอวหยางเทาตะลึงไปชั่วครู่ “เจ้าพูดถึงจงเจิ้งซี?” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า รุกถามต่อว่า “หากคนที่ยังมีชีวิตอยู่คือองค์หญิง ท่านกับพี่บุญธรรมข้ายังจะช่วยนางกอบกู้แผ่นดินเหมือนเดิมหรือเปล่า” 


 


 


 “สตรีนางหนึ่ง…” โอวหยางเทาขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ข้าดูแคลนสตรี เพียงแต่สตรียากจะเรียกรวมทหารของจงเจิ้ง โดยเฉพาะ…เจ้าก็รู้ว่าในปีนั้นทหารจงเจิ้งพ่ายแพ้ นาง…” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยตัดบท จ้องมองเขาเอ่ยว่า “ข้าแค่ถามว่า หากอาซียังมีชีวิตอยู่ เจ้ากับเซียวเซ่อหยางยินดีช่วยนางกอบกู้แผ่นดินหรือไม่ ข้าเพียงถามถึงพวกท่านสองคน ไม่เอ่ยถึงผู้อื่น ส่วนเรื่องในปีนั้น ข้าเชื่อว่าท่านก็เข้าใจว่าอาซีไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” 


 


 


โอวหยางเทาสูดลมหายใจลึก ข้ารู้สึกว่าซือหม่าหรุ่ยช่างแปลกประหลาดนัก จงเจิ้งซีตายไปแล้ว นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจดิ้นรนได้อีก ศพก็หาเจอแล้ว ฝังอยู่ในวังของเป่ยเฉินอี้ 


 


 


ท่าทีเช่นนี้ของซือหม่าหรุ่ย… 


 


 


โทสะเล็กน้อยของเขาค่อยๆ สงบลง มองซือหม่าหรุ่ย “เจ้าพูดไม่ผิด องค์หญิงเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น นางเองก็คาดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินอี้…ความจริง คนจำนวนมากต่างก็ระลึกถึงความดีขององค์หญิง นางเป็นราชนิกุลที่ในใจมีแต่อาณาประชาราช หากนางกลับมา ข้าจะจงรักภักดีต่อนาง ต่อให้นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ ข้าเชื่อว่าเซียวเซ่อหยางก็คิดเหมือนกัน” 


 


 


 “อย่างนั้นก็ดี” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า เตือนว่า “จงจำคำพูดของท่านในวันนี้เอาไว้” 


 


 


โอวหยางเทามอง ซือหม่าหรุ่ยด้วยความแปลกใจ มุ่นคิ้วถามว่า “เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ไฉนถึงได้ถามเรื่องพวกนี้กับข้า ตอนนั้นจงเจิ้งซีนางก็…” 


 


 


 “เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องถาม หากถึงเวลาที่ท่านสมควรรู้ ข้าจะบอกท่านเอง” ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยประโยคนี้ออกมา  


 


 


โอวหยางเทารู้สึกเหมือนตกอยู่ในหมอกหนาไม่ชัดเจน 


 


 


      ส่วนซือหม่าหรุ่ยเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “ท่านไปตามหาพี่บุญธรรมก่อนเถอะ พบเขาเร็ววันหนึ่ง พวกเราก็สบายใจได้ไวขึ้นวันหนึ่ง” 


 


 


 “อืม” โอวหยางเทาพยักหน้า อยู่ในอารมณ์แปลกใจ เดินจากไป 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยยืนอยู่ที่เดิม มองส่งโอวหยางเทาเดินไปไกล  


 


 


นางหันกลับไปมองยังทิศทางของเป่ยเฉิน เอ่ยเบาๆ ว่า “อาซี หากเยี่ยเม่ยคือเจ้า เช่นนั้นวันนี้ข้าช่วยเจ้าเปิดทาง ก็ไม่เสียแรงเปล่า ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องแก้แค้น ความทุกข์ที่พวกเราได้รับ คนที่พวกเราสูญเสีย ราชวงศ์เป่ยเฉินกับเป่ยเฉินอี้จะต้องชดใช้พวกเรา” 


 


 


สิ้นเสียงนาง ผ่านไปชั่วครู่ซินเยว่เยี่ยนกับจงรั่วปิงเดินออกมาจากกระโจม 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยหันกลับไปมองพวกนาง สายตากลับมาเป็นปกติ มองพวกนางสองคน จากนั้นปรายตามองในกระโจม “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้า “จัดการแล้ว ข้าให้เขากินพิษหนอน หากเขากล้าโกหก โอวหยางเทาหาร่องรอยของเซียวเซ่อหยางไม่พบ เขาจะต้องตกอยู่ในสภาพอยู่ก็ไม่สู้ตาย” 


 


 


 “อืม อย่างนั้นก็ดี” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า รีบมองซินเยว่เยี่ยน “ข้าคิดกลับไปอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย เจ้าเล่า” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนส่งเสียงดังขึ้นมาทันที “ข้าจะกลับไปอยู่ข้างกายนางอย่างแน่นอน เมื่อครู่ข้าก็บอกโอวหยางเทาไปแล้ว หากเกิดเรื่องให้ส่งข่าวไปชายแดนเป่ยเฉิน ต่อให้หาเซียวเซ่อหยางไม่พบแล้ว ก่อนจะพาน้องสะใภ้ข้ากลับไป ข้าไม่ไปไหนเด็ดขาด”  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยหัวเราะ ผงกหัว “ดี”  


 


 


ในยามนี้จงรั่วปิงกลับสอดขึ้นมาหนึ่งประโยค “ก็ดีเลย ข้าก็อยากไปพบเยี่ยเม่ยผู้นั้น” 


 


 


สิ้นเสียง นางกอดกระบี่ยาวเดินนำหน้าไปทางเมืองก่อน ท่าทางดูแล้วเย็นชา แต่ก็ทำให้คนสัมผัสได้ถึงไอสังหารรุนแรง 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนมองหน้ากัน ต่างก็ไม่เข้าใจ ท่าทางของจงรั่วปิงเช่นนี้หมายถึงอะไร 


 


 


ในใจเกิดความแปลกใจ แต่ก็พูดไม่ออก ติดตามไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


   …… 


 


 


ภายในห้องของเยี่ยเม่ย  


 


 


หลังจากคำพูดพร้อมจะพลีกายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เยี่ยเม่ยยื่นมือออกมา กระชากเขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างแรง “เชิญท่านไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้” 


 


 


 “ไม่ไป” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนอยู่บนเตียง ยืนหยัดไม่ลงจากเตียง 


 


 


สายตาชั่วร้ายคู่นั้น ใช้ท่าทางล่อลวงใจคน มองเยี่ยเม่ย “หากวันนี้เจ้าไม่นอนกับข้า ข้าไม่ไปไหนแน่” 


 


 


สมองเยี่ยเม่ยพลันปรากฎความมึนตื้อ 


 


 


เมื่อมองบุรุษไร้ยางอายเบื้องหน้า ยามเขาทำตัวไร้เหตุผล ท่วงท่าดันงดงามเกิดทั่วไป ถือเป็นตัวแทนของบุรุษรูปงามทั้งหมด 


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก จ้องตาเขา เอ่ยปากว่า “ข้ารู้ว่าตัวเองรูปงามมาก ทำให้เจ้าอยากเปลือยกายล้อนจ้อนมาปรนนิบัติข้า แต่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านเป็นคนไร้ยางอายอย่างนั้นหรือ” 


 


 


เขาอยากทำอะไรกันแน่ 


 


 


เห็นว่านางโง่งมใช่หรือไม่ รู้สึกว่าต่อให้เขายอมรับแล้วว่า เขามีเจตนาไม่ดีมาตลอด คิดเพียงแต่ทรมานนาง อยากให้นางรับรู้ถึงความเจ็บปวด แต่นางยังคงถูกเขาล่อลวงไปได้แล้ว? 


 


 


นางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับหัวเราะออกมา  


 


 


เขากลับพลิกมือคว้าข้อมือนางที่คิดจะลากเขาลงจากเตียง ดึงนางมาไว้เบื้องหน้า น้ำเสียงไพเราะน่าฟังค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ยางอาย? มีเพียงแต่คนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ถึงใส่ใจสิ่งนี้ แม่นางเยี่ยเม่ยกล่าวไม่ผิด เยี่ยนไร้ยางอาย” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับถลึงตาใส่เขา ไม่เอ่ยวาจา 


 


 


สายตาเย็นชาคล้ายกับมองทะลุอารมณ์ของเขา ทะลุคำพูดของเขา ทะลุภาพลักษณ์ มองเห็นความคิดที่แท้จริงในใจของเขาอย่างชัดเจน 


 


 


แต่สายตาเย็นชานี้ มองจนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้สึกลนลานเป็นครั้งในชีวิต 


 


 


ระหว่างสบตากัน 


 


 


เขาพลันรู้สึกว่าตนเองคอแห้งขึ้นมาบ้างแล้ว ในที่สุดเขาจ้องใบหน้าเยี่ยเม่ย ค่อยๆ ถามว่า “ก็ได้…เจ้าให้โอกาสข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่” 


 


 


สีหน้าของเขาจริงจัง มองไม่เห็นเจตนาร้ายสักน้อย ทั้งมองไม่เห็นท่าทางชั่วร้ายแบบเมื่อก่อน มีความจริงใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ 


 


 


… 


 


 


ใต้หล้านี้สิ่งที่ชวนให้คนหวั่นไหวที่สุดคืออะไร นอกเสียจากจริงใจและความสัตย์จริง 


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ นางไม่ตอบ เมื่อเห็นนางไม่ตอบ เขารู้สึกใจสั่น เป็นครั้งแรกที่กังวลใจที่จะได้ฟังคำปฏิเสธ 


 


 


ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ในนาทีนี้ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ อารมณ์ขุ่นมัวของเยี่ยเม่ยเมื่อครู่สลาย 


 


 


นางจ้องใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายนั้น เอ่ยปากว่า “ให้โอกาสท่านอีกครั้งหรือ” 


 


 


 “ไม่ผิด” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า น้ำเสียงไพเราะค่อยๆ เอ่ยอย่างจริงใจ “เจ้าเดาไม่ผิด ตั้งแต่แรกข้าก็มีใจทรมานเจ้า แต่ภายหลัง ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเกินความคาดการของข้า เมื่อคืนเยี่ยนบอกว่ายินยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อเจ้า เป็นคำพูดจากใจจริง เพียงเพราะแรกเริ่มเกิดจากเจตนาร้าย ดังนั้นถึงไม่แก้ตัว ตอนนี้เยี่ยนหวังว่า พวกเราจะมีโอกาสเริ่มต้นกันอีกครั้ง” 


 


 


เขาจำเป็นต้องเอ่ยอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นในใจนางคงหยั่งรากความสงสัยและขัดใจไปชั่วชีวิต   


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา ถามเสียงเย็นชาว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าชอบข้า อย่างนั้นเจ้าชอบข้าที่ตรงไหน ฉลาด โดดเด่น เพรียบพร้อม มีคุณธรรมน้ำมิตร? หรือเพราะคุณสมบัติอันดีงามที่มีความสูงส่งแต่ถ่อมตนของข้ากันเล่า” 


 


 


อวี้เหว่ยที่แอบฟังอยู่นอกหน้าต่าง “…” 


 


 


นี่แม่นางเยี่ยเม่ยจับใจความสำคัญไม่ได้ หรือว่าในใจนาง เรื่องพวกนี้ถึงเป็นสิ่งสำคัญกันนะ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไปชั่วครู่ ในที่สุดก็ยิ้มแล้ว ค่อยๆ เอ่ยว่า “ทั้งหมด ไม่เพียงเท่านี้ แม่นางเยี่ยเม่ยยังงดงามกินใจ เรียบง่ายแต่สง่า สูงส่งราวดอกไม้ทำให้คนไม่กล้าอาจเอื้อม ยามนี้เยี่ยนไล่จีบแม่นาง ความจริงในใจกังวลว่าจะอาจเอื้อมไม่ถึง” 


 


 


อวี้เหว่ยกุมขมับเงียบๆ เอาอีกแล้ว เยี่ยนจอมประจบกลับมาอีกแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยรู้เลยว่า เตี้ยนเซี่ยประจบสอพลอได้ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นความสามารถด้านนี้เลย…  


 


 


คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตรงใจเยี่ยเม่ยอย่างมิต้องสงสัย  


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา 


 


 


ในที่สุดก็พยักหน้า กล่าวว่า “คำพูดของท่านเมื่อครู่ ข้าจะลองเก็บไปคิดดู” 


 


 


 “หืม?” องค์ชายสี่ตะลึงงัน รู้สึกไม่อยากเชื่อ  


 


 


อวี้เหว่ยนอกหน้าต่างก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาเองก็ไม่อยากเชื่อ เดิมเขาคิดว่าเตี้ยนเซี่ยต้องลงแรงไม่น้อย ถึงกระทั่งต้องคุกเข่าขอโทษ แม่นางเยี่ยเม่ยถึงยอมให้อภัยด้วยซ้ำ 


 


 


หลังจากตกตะลึง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันหัวเราะออกมา ถามช้าๆ “คำพูดนี้เป็นจริงหรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา ตอบตรงไปตรงมา “ข้อดีที่สุดของข้าก็คือ นอกจากถ่อมตนแล้วยังไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ข้าไม่ปฏิเสธว่ามีความรู้สึกดีๆ ให้ท่าน มิเช่นนั้นคำพูดของท่านเมื่อวาน ข้าคงไม่รู้สึกผิดหวัง จนถึงกระทั่งยามนี้อารมณ์ข้ายังไม่เบิกบานเลย ดูท่าจะเกิดขึ้นเพราะเรื่องเมื่อคืน ข้าถึงได้ตระหนักว่า ตนเองรู้สึกดีกับท่านอยู่บ้าง”  


 


 


พูดถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็ยังกล่าวเสียงเย็นชาต่อไป “แต่ไรมาข้าไม่ชอบทำให้ตัวเองลำบาก ในเมื่อรู้สึกดีกับท่าน ส่วนเรื่องพวกนี้ท่านก็อธิบายชัดเจน ข้ายอมรับคำพูดของท่านได้ อย่างนั้นก็สามารถพิจารณายกโทษให้ท่านได้ ก็ง่ายๆ เท่านี้” 


 


 


เยี่ยเม่ยเป็นสตรีแกร่ง ถึงความคิดจะเบนไปทางบุรุษ แต่ข้อดีเช่นนี้ ก็มีเหตุผลมากพอให้ 


 


 


นางรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและกล้ายอมรับว่า นางไม่มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนสตรีทั่วไป พูดจาไม่ตรงกับใจ เสียเวลาเปล่า รู้สึกดีก็คือรู้สึกดี ไม่ลำบากตัวเองก็คือไม่ทำให้ตัวเองลำบาก  


 


 


นางเอ่ยออกมาเช่นนี้ ใบหน้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฎแววยินดี 


 


 


เขารู้สึกว่า เขาสมควรตายนัก เขารักนางที่เรียบง่ายตรงไปตรงมา รู้จักผลประโยชน์ 


 


 


อีกอย่าง นางบอกว่า นางมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเขา 


 


 


เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ เยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า ”เอาล่ะ ที่สมควรพูดก็พูดหมดแล้ว วันนี้ทหารต้ามั่วเสียเปรียบครั้งใหญ่ คิดว่าไม่ช้าคงเตรียมจู่โจมกลับ ข้าต้องรีบพักผ่อน เพื่อเตรียมรับศึก ในเมื่อข้ายอมพิจารณา ท่านก็ต้องให้เวลาข้า ตอนนี้ท่านออกไปได้แล้ว”  


 


 


 “ดี” คำตอบของเขากลับตรงไปตรงมา จากนั้นน้ำเสียงไพเราะก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “หากรู้สึกเหนื่อย เรื่องทหารต้ามั่ว ให้เยี่ยนจัดการก็ได้” 


 


 


หลังจากสิ้นเสียงเขา เยี่ยเม่ยยังไม่ทันตอบ 


 


 


“ปัง” เสียงหนึ่งดังขึ้น ประตูห้องเยี่ยเม่ยพลันถูกคนถีบออก  


 


 


เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่างตะลึง หันกลับไปมองประตู 

 

 

 


ตอนที่ 98

 

ตอนที่ 98 เจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวงเป่ยเฉิน ออกมาให้ข้าสับซะ (1)

 


 


 


 


ถัดมา จิ่วหุนปรากฎกายอยู่หน้าประตู 


 


 


เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อย ซ้ำยังเป็นสีและแบบเดิม เขาคงชอบการผสมผสานระหว่างสีขาวกับสีแดง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดูน่ามองจริงๆ 


 


 


ส่วนสีหน้าของเขากลับไม่น่ามองเท่าไหร่ 


 


 


จิ่วหุนเดินเข้าใกล้บริเวณห้องเยี่ยเม่ย ก็เห็นอวี้เหว่ยอยู่นอกหน้าต่าง ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาห้องเยี่ยเม่ยอีกแล้ว 


 


 


ดวงตาราวกับสายน้ำนิ่งของเขามองเข้ามาในห้อง 


 


 


จ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มองสาบเสื้อเปิดออกมาครึ่งหนึ่งของเขา เผยกล้ามเนื้อหน้าอก จนกระทั่งสังเกตเห็นจุดที่อีกฝ่ายอยู่ เป็นเตียงของเยี่ยเม่ยพอดี 


 


 


สายตาเขาแผ่ไอสังหาร ลุ่มลึกทั้งหนักแน่นเอ่ย “เจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวงเป่ยเฉิน ออกมาให้ข้าสับซะดีๆ” 


 


 


เยี่ยเม่ย “…?” 


 


 


เสี่ยวจิ่วเด็กคนนี้ 


 


 


เจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวง? 


 


 


จิ่วหุนไม่ชอบพูดจา ถึงกระทั่งมีนิสัยเก็บตัว ถึงกับเอ่ยวาจาเช่นนี้ เสี้ยวเวลานี้นางรู้สึกว่าโลกทั้งใบเหมือนฝันไป 


 


 


นางคงไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ 


 


 


เยี่ยเม่ยหันหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กระแอมไอ ถามว่า “เมื่อครู่เสี่ยวจิ่วเรียกท่านว่าอะไรนะ” 


 


 


เมื่อนางถามเช่นนี้ ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ขรึมลงไปกว่าครึ่ง 


 


 


เดิมคิดว่าถูกเจ้าเด็กนี่ด่าเป็นจิ้งจอกจอมล่อลวง สำหรับบุรุษผู้หนึ่งแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องมีหน้ามีตา ยามนี้เยี่ยเม่ยยังย้ำกับเขาอีกรอบหนึ่ง  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ย เห็นนางเต็มไปด้วยความแปลกใจจริงๆ มีความไม่อยากเชื่อและประหลาดใจ แต่ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าเด็กนี่จะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ จึงคิดอยากยืนยันก็เท่านั้นเอง 


 


 


จิตใจของเขาสงบลง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้อยู่ฝ่ายเจ้าเด็กนั่น 


 


 


เขาเงียบไปสักพัก สายตาชั่วร้ายกวาดมองจิ่วหุน มุมปากเผยรอยยิ้มงดงามเบาสบาย เขาปรายตามองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากเป็นจริงเป็นจัง “เขาเรียกเยี่ยนว่าเป็นคนที่น่าเคารพที่สุดในใต้หล้า” 


 


 


เยี่ยเม่ย “…?” เมื่อครู่ที่จิ่วหุนเรียกออกมา มีคำมากมายแบบนี้จริงหรือ 


 


 


สำหรับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้ไร้ยางอาย วิธีการจัดการของจิ่วหุนก็คือ แทงมีดสั้นในมือใส่ใบหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนซะ  


 


 


ในสนามรบวันนี้ ทหารศัตรูห้อมล้อมมากมาย ไม่อาจทำลายโฉมหน้างดงามของเซียวชินที่เยี่ยเม่ยเอ่ยชม ช่างน่าเสียดายนัก เวลานี้ใบหน้ายียวนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มาช่วยชดเชยความรู้สึกเสียดายของเขาพอดี 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมือของตนอย่างว่องไว แววตาทอประกายสีแดง กำลังภายในพุ่งออกจากฝ่ามือ เปลี่ยนทิศทางมีดสั้นเล่มนั้นหมุนกลับไปหาจิ่วหุน  


 


 


สายตาจิ่วหุนเย็นเยือก ลงมือว่องไว มือขวาคว้ามีดสั้นกลับเข้ามือในครั้งเดียว 


 


 


เวลาชั่วครู่นี้ ทั้งสองประมือกับสำเร็จ 


 


 


 “พวกเจ้าสองคน…” เยี่ยเม่ยตกตะลึง เหมือนกับว่าหากนางไม่อยู่ที่นี่ พวกเขาสองคนจะต่อยตีกันเป็นปกติเหมือนกินข้าว   


 


 


ไม่ ต่อให้นางอยู่ 


 


 


คนทั้งสองมีแต่จะลงมือต่อยตีกันรวดเร็วขึ้นไปอีก 


 


 


มุมปากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเผยยิ้ม นั่นคือรอยยิ้มเบาสบาย ไม่เห็นเรื่องอะไรอยู่ในสายตา เขาค่อยๆ ลงจากเตียง จัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ ท่วงท่าทั้งหมดงดงามต่อเนื่องราวสายน้ำไหล 


 


 


ไม่ช้า ดวงตาชั่วร้ายก็หันไปมองเยี่ยเม่ย “เจ้าพักผ่อนไปก่อน” 


 


 


ระหว่างที่เอ่ย ไอสังหารในกายเขาค่อยๆ แผ่พุ่งออกมา 


 


 


เห็นได้ชัดว่า จิ่วหุนสะกิดโทสะของเขาขึ้นมาแล้ว 


 


 


อวี้เหว่ยที่หน้าต่าง เขาเอามือปิดตาตัวเองอีกครั้ง เผยสีหน้าไม่กล้ามอง เขารู้สึกว่าเพื่อขวางการต่อยตีของทั้งสองคน ไม่แน่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะดึงคอเสื้อเตี้ยนเซี่ย หรือไม่ก็จิ่วหุนอีกครั้ง 


 


 


ทว่าครั้งนี้เยี่ยเม่ยกลับไม่ทำ 


 


 


นางมองยอดฝีมือตรงหน้าทั้งสองคน ขบคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อพวกท่านสองคนจะตีกันให้ได้ พยายามไปตีกันไกลๆ หน่อย อย่าได้รบกวนการพักผ่อนของข้า” 


 


 


 “เจ้าไม่ห้าม?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองนางทีหนึ่ง ดวงตาชั่วร้ายนั้นเผยรอยยิ้ม กลับดูไม่ใส่ใจเรื่องที่นางให้เขาไปตีกันไกลๆ แต่ดีใจที่ในที่สุดครั้งนี้นางก็ตัดสินใจไม่ยุ่งอีก เขาจะได้สั่งสอนเจ้าหนุ่มที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นั้นดีๆ สักครั้ง 


 


 


ใบหน้าจิ่วหุนไม่แสดงอารมณ์ใด แต่ก็รับรู้ได้ถึงความยินดี เขาอยากสับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ใช่เรื่องวันสองวันนี้ 


 


 


เยี่ยเม่ยมองพวกเขาทั้งสองอีกครั้ง เอ่ยจากใจจริงว่า “ข้ามองออกแล้วระหว่างพวกท่าน ไม่ต่อยตีคงจะไม่ได้ ข้าห้ามพวกท่านสองครั้ง ห้ามไม่ได้ชั่วชีวิต หวังว่าหลังจากต่อยตีกันแล้ว ปัญหาของพวกท่านคงคลี่คลายได้ ” 


 


 


ความจริงเยี่ยเม่ยไม่เข้าใจว่าระหว่างเขาสองคนมีความแค้นล้ำลึกอะไรกันหนักหนา 


 


 


อวี้เหว่ยแอบกุมหน้าผาก ยังจะคลี่คลายปัญหาอะไรอีก แค่มองก็รู้ว่าหากไม่ทำให้ดีมีแต่จะตีกันจนไม่ตายไม่เลิกรา ตีกันแล้วมีแต่จะทวีความแค้นต่ออีกฝ่ายเถิด คำพูดจำพวกคลี่คลายปัญหาเช่นนี้ ไปเอามาจากที่ไหนกัน 


 


 


คิดไม่ถึงว่า สิ้นประโยคนี้ของนาง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ยิ้มอย่างอ่อนโยน “แน่นอน ศึกนี้ ย่อมเป็นศึกที่เยี่ยนทำเพื่อปกป้องตนเอง ในเมื่อมีคนด่าว่าเยี่ยนเป็นจิ้งจอกจอมล่อลวง ทั้งยังจงใจทำลายใบหน้าของเยี่ยน เยี่ยนย่อมไม่กลัวศึกนี้ เพื่อรักษาคุณสมบัติการเป็นจิ้งจอกจอมล่อลวงของเยี่ยน”  


 


 


เยี่ยเม่ย “…” อ้อ ที่แท้เขาก็ได้ยินจิ่วหุนด่าเขาเป็นจิ้งจอกจอมล่อลวง ไม่ใช่คนที่น่าเคารพที่สุดอะไรนั่น 


 


 


จิ่วหุนปรายตามองเขา คนที่ไม่ชอบพูด ไม่ได้หมายความว่าโง่เขลา คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอกจากบอกเยี่ยเม่ยว่า เขาทำไปเพราะปกป้องตัวเอง ซ้ำยังบอกว่าจิ่วหุนไม่มีเหตุผล จู่ๆ ก็คิดทำร้ายผู้อื่นโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ 


 


 


เขาชะงักไป มองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงเบา “ข้าจะหั่นเจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวงตัวนี้ จนเขาไม่กล้ามารบกวนการพักผ่อนของเจ้าอีก” 


 


 


สิ้นเสียง จิ่วหุนก็หมุนตัวออกจากห้องไป 


 


 


เมื่อเดินไปถึงประตู น้ำเสียงไม่เป็นมิตรดังขึ้น “ออกมา” 


 


 


อวี้เหว่ยมองอยู่ด้านข้าง อ่านความคิดของบุรุษทั้งสองคนออก ร้ายกาจนัก เตี้ยนเซี่ยของเขาแสดงออกมาในทันทีว่าทำไปเพราะเป็นผู้เคราะห์ร้ายปกป้องตนเอง อย่างนั้นต่อให้เจ้าหนุ่มนี่ถูกต่อยตีสักนิด ก็ถือว่าเขาเป็นคนหาเรื่องเอง 


 


 


ส่วนเจ้าหนุ่มที่ดูอึมครึมนั่น เอ่ยคำพูดไม่ประนีประนอมเลยสักน้อย ความคิดแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาลงมือก็เพราะเตี้ยนเซี่ยรบกวนการพักผ่อนของแม่นางเยี่ยเม่ย เขาทำไปเพราะออกหน้าแทนแม่นางเยี่ยเม่ย  


 


 


อวี้เหว่ยรู้สึกว่า หากเขาไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเตี้ยนเซี่ย เขาต้องออกมาตบมือให้แน่ แสดงออกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาสงครามความหึงหวงระหว่างบุรุษ การชิงชัยด้านความคิด เรื่องแบบนี้ยังสนุกมีสีสันมากกว่าการต่อสู้ระหว่างสตรีอีก 


 


 


เป็นดังคาด 


 


 


คำพูดของเจ้าเด็กจิ่วหุนคำเดียวก็ตรงใจเยี่ยเม่ย นางก็ว่าจิ่วหุนจะเข้ามาหาเรื่องต่อยตีกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร ที่ก็ไม่พอใจที่อีกฝ่ายมาก่อกวนการนอนหลับของนาง 


 


 


ด้วยเหตุนี้เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงเบาลงเป็นเชิงตักเตือน “เขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ลงมือต้องมีขอบเขต” 


 


 


เสียงนี้เบามาก จิ่วหุนที่อยู่ด้านนอกย่อมไม่ได้ยิน 


 


 


สีหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนไป สุดท้ายก็ไม่เห็นแววไม่พอใจเลย กลับยิ้มออกมา รับปากว่า “วางใจเถอะ เยี่ยนรับรองว่าไม่ตีเขาตายแน่” 


 


 


สิ้นเสียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้าวเท้ากว้างออกจากห้องไป 


 


 


เยี่ยเม่ย “…” ไฉนนางกลับรู้สึกว่าคำพูดนี้ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายเป็นคำที่มีความหมายตรงข้ามกันนะ 

 

 

 


ตอนที่ 99

 

ตอนที่ 99 เจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวงเป่ยเฉิน ออกมาให้ข้าสับซะ (2)

 


 


 


อวี้เหว่ยปิดดวงตาคึกคักฮึกเหิมสองข้างของตนอย่างตื่นเต้นเป็นทวีคูณ


 


 


ความจริงฐานะของเจ้าหนุ่มนี่ เตี้ยนเซี่ยมองออกนานแล้ว จิ่วหุนนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า แม่นางเยี่ยเม่ยเรียกอีกฝ่ายว่าเสี่ยวจิ่ว ก็เท่ากับยืนยันว่าการคาดเดานี้เป็นจริง


 


 


สำหรับอวี้เหว่ย…


 


 


เขาเองก็อยากชมดูจริงๆ ว่า เตี้ยนเซี่ยปีศาจอันดับหนึ่งในใต้หล้า กับจิ่วหุนนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า ใครกันแน่ที่จะชนะ อืม เขาเป็นองครักษ์ที่มีภักดีอย่างแน่นอน เพียงแต่ความสงสัยของเขาค่อนข้างรุนแรง ก็เท่านั้น


 


 


อวี้เหว่ยคิดแล้ว ขยับมือขยับเท้าเตรียมลุกออกจากหน้าต่าง ติดตามฝีเท้าเตี้ยนเซี่ยไป


 


 


ทว่าในเวลานี้เอง


 


 


เยี่ยเม่ยหันมองหน้าต่าง น้ำเสียงเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ครั้งหน้าหากยังกล้าปีนหน้าต่างห้องข้าอีก ข้ารับรองว่าไม่ตีเจ้าตายแน่”


 


 


นี่คือคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางเอ่ยมอบให้กับอวี้เหว่ยโดยไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลง


 


 


อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก ท่าทางขยับมือขยับขาเตรียมตัวเดินพลันหยุดชะงัก หันมองเยี่ยเม่ยภายในห้อง มุมปากกระตุกสั่น “อืม…คือว่า ก็คือแม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าเห็นว่าข้าอยู่ที่หน้าต่างอย่างนั้นเหรอ”


 


 


ถึงความสามารถในการต่อสู้ของอวี้เหว่ยมีไม่มาก แต่ความสามารถในการเร้นกายกลับเป็นหนึ่ง


 


 


ในใต้หล้านี้คนที่หาเขาที่แฝงกายอยู่ได้ง่ายๆ นอกจากเตี้ยนเซี่ยแล้ว ก็มีแค่เสินเซ่อเทียน คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเม่ยจะกลายเป็นคนที่สาม


 


 


เยี่ยเม่ยสองมือกอดอก ปรายตาเย็นชามองเขา “ทุกครั้งที่เจ้าปีนหลบอยู่ตรงนี้ ข้ารู้ทั้งนั้น แค่ขี้เกียจพูด”


 


 


 “ข้า…ข้ารู้แล้ว” อวี้เหว่ยตัวสั่น รีบกล่าวว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าขอตัวไปก่อนไม่รบกวนการพักผ่อนของเจ้าแล้ว ข้าจะไม่ปีนที่นี่แอบฟังอีก ขอตัวแล้ว”


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ยคำพวกนี้จบ กลับมีใบหน้ายินดีราวคลุ้มคลั่ง


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นเขาท่าทางราวกับถูกรางวัล วิ่งอย่างตื่นเต้นและเบิกบานไป มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย


 


 


เมื่อครู่นางเพิ่งตักเตือนเจ้าหนุ่มนั่นไม่ใช่เหรอ


 


 


ไฉนเขาถึงไม่เพียงไม่โกรธ ไม่คิดเอาคืนนาง กลับยังยินดีขนาดนี้เล่า


 


 


ไม่ผิด ท่าทางเมื่อครู่ของอวี้เหว่ยคือยินดีจริงๆ


 


 


เยี่ยเม่ยยืนอยู่ที่เดิมสักพัก มองเงาหลังของเขาที่จากไป สุดท้ายก็ส่ายหน้า ช่างเถอะ ความคิดของเจ้าหนุ่มนี่นางไม่เข้าใจ


 


 


เยี่ยเม่ยหมุนกาย สาวเท้ากว้างไม่กี่ก้าวมุ่งหน้ากลับไปยังเตียงนอนตน


 


 


อวี้เหว่ยอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นจริงๆ เดิมเขาคิดว่าเตี้ยนเซี่ยจะหาคนรู้ใจได้ หาคนที่สามารถช่วยจิตใจที่โหดเ**้ยมคลุ้มคลั่งของเตี้ยนเซี่ยได้เขาก็พอใจแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่เพียงเป็นคนเช่นนั้นพอดี ทั้งความสามารถก็ไม่ด้อยด้วย


 


 


ใช่แล้ว เขารู้มาตลอดว่าแม่นางเยี่ยเม่ยมีความสามารถ


 


 


แต่ว่าวันนี้ ได้พิสูจน์ความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ยด้วยตัวเขา พิสูจน์ด้วยความสามารถในการเร้นกายที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด เมื่อเรื่องราวเกี่ยวพันมาถึงตัวเอง ก็ยิ่งเป็นการพิสูจน์ความร้ายกาจของนาง


 


 


เช่นนั้นภายหน้าเตี้ยนเซี่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยร่วมมือกันยังจะเสียเปรียบได้เหรอ


 


 


ฮ่าฮ่า ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน


 


 


ส่วนเขาอวี้เหว่ยผู้ช่วยคนสนิทของเตี้ยนเซี่ยก็เป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกปลอมเป็นพยัคฆ์[1] มุ่งสู่จุดสูงสุดของชีวิตคน ไม่แน่ว่าในอนาคตวันข้างหน้าสักวันหนึ่ง ยังได้เป็นคนสูงส่งมีอำนาจเป็นท่านอ๋องกับเขาบ้าง


 


 


อวี้เหว่ยคิดได้เช่นนี้ คนก็ยินดีเสียจนไม่อาจควบคุม เพราะความยินดียังหัวเราะจนสำลักไออยู่นาน…


 


 


   ……


 


 


กำแพงเมืองชายแดนเป่ยเฉิน


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุน คนทั้งสองยืนอยู่กันคนละฝั่ง


 


 


ดวงอาทิตย์สาดแสงในยามเช้า ปรากฏสีทองเหลืองบนปุยเมฆเป็นชั้นๆ ทำให้คนรู้สึกว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่ดีวันหนึ่งอย่างแน่นอน


 


 


ใต้กำแพงเมือง เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยต่างยื่นหัวผลุบๆโผล่ๆ คิดชมความสนุก


 


 


อย่างไรนี่ก็คือเตี้ยนเซี่ยที่ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า อีกคนคือ “เสี่ยวจิ่ว” ที่แม่นางเยี่ยเม่ยกล่าวถึง ยามค่ำคืนพวกเขามีโอกาสได้เห็นความสามารถราวกับเทพแห่งสงครามก็ไม่ปานในสนามรบของเขา


 


 


ในใจคนทั้งหมด ล้วนตื่นเต้นเพราะเรื่องนี้


 


 


หากคนทั้งสองต่อยตีกันจริงๆ


 


 


พวกเขาถูมือสองข้างด้วยความตื่นเต้น


 


 


…..


 


 


พวกเขาควรตั้งวงพนันดูสักตาไหม วางเดิมพันกันที่นี่เลย จ่ายส่วนแบ่งเท่าไหร่ถึงเหมาะสม สุดท้ายเตี้ยนเซี่ยจะชนะ หรือเจ้าเสี่ยวจิ่วจะชนะ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นจริงๆ


 


 


สิ่งเหล่านี้คือความคิดในใจของพวกทหาร


 


 


ทว่าในใจของเหล่าแม่ทัพกลับไม่คิดเช่นนี้


 


 


พวกเขาต่างก็เศร้าโศกเป็นพิเศษ…


 


 


นี่มันเรื่องอันใดกัน ไฉนเตี้ยนเซี่ยถึงได้เป็นปรปักษ์กับเสี่ยวจิ่วแล้วเล่า


 


 


เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลังจากเอาชนะศึกได้ แม่ทัพทั้งหมดคิดถึงบุคลลิกห้าวหาญผ่าเผยของเสี่ยวจิ่ว คนทั้งหมดต่างปรึกษากันว่าจะรวมชื่อถวายฎีกาแนะนำเสี่ยวจิ่ว ส่งกลับไปให้ฝ่าบาทที่เมืองหลวง เพื่อบอกพระองค์ว่าแผ่นดินเป่ยเฉินปรากฏอัจริยะบุคคลผู้หนึ่ง หวังว่าพระองค์จะให้ความสำคัญ มอบตำแหน่งหน้าที่ให้เขา


 


 


นี่…


 


 


ยามนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


 


มีใครสามารถบอกพวกเขาได้หรือไม่


 


 


หากเตี้ยนเซี่ยต่อยตีทำร้ายจนเสี่ยวจิ่วเป็นอะไรขึ้นมา อย่างนั้น…


 


 


อย่างไรเสียบรรดายอดฝีมือที่ว่าเป็นอันดับหนึ่ง สอง สาม ล้วนพ่ายแพ้ใต้น้ำมือของเตี้ยนเซี่ยภายในหนึ่งสองกระบวนท่า พวกเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเสี่ยวจิ่วจากใจจริง


 


 


อารมณ์ของหลูเซียงฮั่วในยามนี้ยิ่งสลดเป็นพิเศษ แทบอยากร่ำไห้ออกมา “พวกเจ้าบอกมา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนพวกเขาถึงตีกันแล้ว”


 


 


แม่ทัพเซียวที่อยู่ด้านข้างสีหน้าหมดอาลัยตายอยากแล้วเช่นกัน อยากร้องไห้แทนบ้านเมืองและชาวบ้าน “ความหวังจากเบื้องลึกในใจของข้าคือ อย่างน้อยก็อย่าให้ถึงชีวิตเลย”


 


 


พวกเขาคิดจริงๆ ว่า เสี่ยวจิ่วจะมีอนาคตที่ก้าวหน้ากว้างไกลและราบรื่น


 


 


ขอเพียงเจ้าหนุ่มมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี โลดแล่นอยู่ในสนามรบ ผ่านไปไม่กี่ปีอย่างน้อยก็น่าจะได้ตำแหน่งโหว ใครมันจะรู้ว่าทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะอะไรกัน…


 


 


พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ


 


 


จิตใจของคนทั้งหมดกังวลว่าเสี่ยวจิ่วจะเกิดเรื่อง ไม่มีสักคนที่เป็นห่วงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะเกิดเรื่อง  


 


 


เหตุผลนั้นง่ายมาก เตี้ยนเซี่ยในใจของพวกเขาคือปีศาจ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเกิดเรื่อง อีกอย่าง…คนจำนวนไม่น้อยยังรู้สึกว่า เตี้ยนเซี่ยเกิดเรื่องขึ้นบ้างก็ดีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้อยู่อย่างหวาดระแวงไปทั้งวัน


 


 


ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่จงรักภักดีไม่รักแผ่นดิน แต่เตี้ยนเซี่ยผู้นี้ช่าง…


 


 


นิสัยโหดร้ายจริงๆ


 


 


ภายใต้สถานการณ์นี้ในใจของพวกเขานั้นแตกตื่น ทั้งห่วงใย ทั้งอยากร้องไห้


 


 


บนหอสังเกตการณ์ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองจิ่วหุนทีหนึ่ง น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “ยามเจ้าโยนมีดโหดร้ายอำมหิตเล่มนั้นใส่เยี่ยน เพื่อทำลายความสัมพันอันดีงามระหว่างเยี่ยนและแม่นางเยี่ยเม่ยอีกครั้ง เยี่ยนก็รู้ว่า ต่อให้เจ้าเป็นเด็กคนหนึ่ง ก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าทำผิดต่อไปได้อีก”


 


 


เขาเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เหล่าทหารนายทัพด้านล่างพลันส่งเสียงฮือฮา


 


 


พวกเขาต่างคิดว่าเตี้ยนเซี่ยอยู่ว่างๆ จึงหาเรื่องคน คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวจิ่วจะเป็นฝ่ายเริ่มยั่วยุเตี้ยนเซี่ยก่อน ไอ้หยา เจ้าหนุ่มนี่ไม่อยากมีชีวิตแล้วเหรอ


 


 


เด็ก?


 


 


คำนี้ปลุกโทสะของจิ่วหุนขึ้นมาโดยไม่ต้องสงสัย 


 


 


หลายวันที่ผ่านมาสิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดคือ เยี่ยเม่ยให้สายตาเหมือนมองเด็กผู้หนึ่งมองเขา


 


 


เขาไม่ชอบการถูกนางมองเป็นเด็ก หรือฟังคำว่าน้องชายจากปากนางจริงๆ


 


 


ฝ่ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้จักจุดอ่อนของเขาอย่างชัดเจน รู้ว่าคำพูดแบบไหนถึงทำให้เขาโมโหได้ คนผู้นี้สมกับเป็นปีศาจช่ำชองการทรมานใจคน เพราะว่ามีสายตาที่ยอดเยี่ยม 


 


 


เขาก็รู้ว่าจุดอ่อนของตนอยู่ที่ไหน


 


 


แววตาของจิ่วหุนเผยไอสังหาร ชัดกระบี่ยาวข้างเอว สายตาประดุจมองคนตายมองอีกฝ่าย “เลิกพูดไร้สาระ ใช้กระบี่พิสูจน์กันเถอะ”


 


 


 


 


[1] สุนัขจิ้งจอกปลอมเป็นพยัคฆ์ หมายถึง อาศัยอำนาจความน่าเกรงขามของผู้อื่นเพื่อข่มขู่คนอื่น

 

 

 


ตอนที่ 100

 

ตอนที่ 100 เจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวงเป่ยเฉิน ออกมาให้ข้าสับซะ (3)

 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนพาจงรั่วปิงกลับมา


 


 


เมื่อเดินมาถึงกำแพงเมือง ก็เห็นฉากดุเดือดเลือดพล่านนี้


 


 


แม่นางทั้งสามตะลึงงันไปเล็กน้อย ทั้งสามมองหน้ากัน…


 


 


ซือหม่าหรุ่ยไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนถูคางไปมา คิดถึงครั้งก่อนที่พบคนทั้งสอง ก็เหมือนจะเป็นฉากที่พวกเขาจะต่อยตีกัน เอ่ยเบาๆ ว่า “คงไม่ใช่เพราะความหึงหวงหรอกนะ”


 


 


มุมปากซือหม่าหรุ่ยกระตุกอย่างอดรนทนไม่ไหว


 


 


….


 


 


เช้าตรู่เช่นนี้ บุรุษสองคนยืนบนกำแพงเมือง ใช้สายตาเย็นชามองฝ่ายตรงข้าม ไอสังหารแผ่กระจาย ที่น่ากลัวที่สุดคือ ด้านล่างกำแพงมีคนกลุ่มใหญ่ชะโงกหัวออกมา พวกทหารช่างซุบซิบนินทาไม่รักษาหน้าที่ของตัวเองให้ดี


 


 


การกระทำรุนแรง เสียงดังสนั่น หากเป็นความหึงหวงอย่างที่ซินเยว่เยี่ยนว่าจริงๆ


 


 


อย่างนั้นก็น่าขันเกินไปแล้ว


 


 


ในเวลานี้สายตาจงรั่วปิงกลับมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนสลับกันไปมาครู่หนึ่ง ในที่สุดสายตานางก็ตกอยู่ที่ร่างของบุรุษที่มีกลิ่นอายปีศาจ


 


 


บุรุษที่เข้มแข็งเช่นนี้ ถึงเป็นลักษณะที่นางชอบ


 


 


นางจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามคนข้างกายว่า “เขาก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือ”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ไม่ผิด นั่นก็คือองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์เป่ยเฉินที่เป็นเสมือนปีศาจตามคำเล่าลือ ทั้งยังเป็นองค์ชายตามคำเล่าลือ…แค่ก…”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนที่อยู่ด้านข้าง มองซือหม่าหรุ่ย “ที่เจ้าพูด คงไม่ใช่คำเล่าลือนั้นหรอกนะ”


 


 


จงรั่วปิงหันกลับมองพวกเขา มุมปากยกยิ้มเย็นชา ยามนี้นางรู้แล้วว่าพวกนางคิดพูดอะไรกัน


 


 


นางเอ่ยรับคำต่อไปว่า “ตามคำเล่าขาน ยามที่องค์ชายสี่ถือกำเนิด ท้องฟ้าเกิดความผิดปกติ เมฆครึ้มปกคลุมทั่วท้องฟ้าในยามราตรี ดวงจื่อหยุนอ่อนแสง ราชครูทำนายว่า หลังจากองค์ชายผู้นี้เกิดมา ภายหน้าจะมีเภทภัยใหญ่ ราชวงศ์เป่ยเฉินในภายหน้าจะล่มสลายในมือเขา”


 


 


จงรั่วปิงเอ่ยเสียงไม่ดัง เพียงพวกนางสามคนได้ยินเท่านั้น


 


 


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนยังคงมองนางอย่างตักเตือน “คำพูดพวกนี้ภายหน้าอย่าเอ่ยอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่าเอ่ยให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ยิน อย่างไรเสียเจ้าก็เข้าใจดี นี่เป็นหัวข้อต้องห้าม ใครก็ห้ามเอ่ยถึงทั้งนั้น”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยก็พยักหน้าเช่นกัน


 


 


หัวข้อนอกนอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ชอบฟังแล้ว ฮ่องเต้เองก็มิยินยอมสดับรับฟัง หรือบอกได้ว่าฮ่องเต้ไม่กล้าฟัง คนที่เอ่ยเรื่องนี้ออกมา ประสบเคราะห์ถึงชีวิตได้อย่างง่ายดาย


 


 


สายตาที่จงรั่วปิงมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กลับเพิ่มความชื่นชมขึ้นหลายส่วน “ข้าล่ะสงสัยเสียจริง ในปีนั้นเขามีชีวิตรอดจากราชวังได้อย่างไร ผ่านเรื่องราวในอดีตอย่างไรมา ถึงได้เป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวันนี้”


 


 


เกรงว่าคงไม่มีใครคิดถึง ในปีนั้นฮ่องเต้และฮองเฮาทำกับเขาเช่นนั้น…


 


 


สุดท้ายเขาไม่ตาย ทั้งยังเปลี่ยนมาเป็นคนเช่นนี้ ทำให้คนทั่วหล้าเมื่อได้ยินชื่อเขา ต่างก็ตกใจตัวสั่นอย่างไร้การควบคุม แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังเคยถูกเขาถีบตกบัลลังก์มังกร ถึงเกิดโทสะก็ไม่กล้าตรัสอะไร


 


 


ซือหม่าหรุ่ยฟังความชื่นชมในคำพูดออก หันกลับมองจงรั่วปิง “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้สนใจในตัวเขา เจ้ารู้ว่าเขาร้ายกาจแค่ไหน หลายวันมานี้ข้าอยู่ในเมือง เห็นการกระทำของเขาก็มองออกแล้ว คำเล่าลือที่เกี่ยวข้องกับเขาพวกนั้นล้วนมิได้โกหก”


 


 


คำเล่าลือที่ว่าเขามีนิสัยเลวร้ายเพียงใด จากมุมไหนๆ ก็สามารถมองออกได้ ไม่ใช่คำที่กุขึ้นเพื่อว่าร้าย เขาเป็นปีศาจตนหนึ่ง


 


 


เมื่อตระหนักได้แล้ว ซือหม่าหรุ่ยคิดว่าบุรุษอย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เกรงว่านอกจากเยี่ยเม่ยแล้ว คงไม่ชื่นชอบกับคนอื่นอีกแน่


 


 


จงรั่วปิงนิ่งไป แววตาลุ่มลึก แต่มิได้เอ่ยอะไร สายตานางมองที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่ถอนกลับ


 


 


ถัดมา


 


 


จิ่วหุนพลันลงมือ กระบี่ยาวพุ่งเข้าจู่โจมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


กระบวนท่าของเขา มิใช่ไร้ท่าเปล่าไร้พลังในการสังหาร แต่นับตั้งแต่ออกกระบี่ไป เสี้ยววินาทีนั้นก็มีความสามารถบั่นหัวคนขาดได้ จิตสังหารรุนแรง ไม่มีน้ำใจเลยสักน้อย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมุมปากขึ้นน้อยๆ


 


 


เขาหาได้ใส่ใจกระบวนท่าจู่โจมของจิ่วหุน หรือเรียกว่าเขาคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมือ ก็จะพุ่งมาจู่โจมเอาชีวิตเขาโดยตรง


 


 


นัยน์สีเขียวพลันเปล่งแสงแดงออกมาภายในเสี้ยวนาที


 


 


ระหว่างยื่นมือไป กำลังภายในก็แผ่ออกมา พุ่งใส่ใบหน้าของจิ่วหุน


 


 


ความจริงแล้ว…


 


 


ก็เหมือนกับที่จิ่วหุนคิดทำลายใบหน้าของเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ชอบหน้าตางดงามของจิ่วหุนมานานมากแล้ว


 


 


เวลาเพียงเสี้ยววินาที


 


 


กระบี่ปะทะกับกำลังภายในไร้รูปลักษณ์


 


 


กลับเกิดเป็นแสงสว่าง กำลังภายในเปลี่ยนเป็นวงกลมกระจายออกจากตัวพวกเขาที่เป็นเหมือนศูนย์กลาง แหลมคมราวกับมีดดาบ ตัดต้นไม้ใหญ่ในรัศมีร้อยเมตรหัก


 


 


นี่แค่การปะทะกันอย่างเรียบง่ายเท่านั้น ก็เกิดพลังทำลายล้างถึงขั้นนี้


 


 


ความสามารถของคนทั้งสอง ช่างชวนให้ตกตะลึงมากนัก


 


 


ส่วนเซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วในยามนี้อยากร่ำไห้ออกมาแล้ว


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…


 


 


เป็นเพราะอะไรกันเล่า


 


 


ภายใต้กระบวนท่าเดียว ต้นไม้ใหญ่ก็กลายสภาพน่าอนาจเช่นนี้แล้ว พวกเขาไม่กล้าคิดจริงๆว่า หากคนทั้งสองลงมือต่อสู้กันต่อไป จะทำให้หอสังเกตการณ์พังทลายไปด้วยหรือเปล่า


 


 


หากเป็นเช่นนี้ เมืองชายแดนจะรับข้าศึกอย่างไร


 


 


ยังดีที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนต่างก็รู้ดี ยามนี้เยี่ยเม่ยเป็นผู้นำทัพของเมือง นางมุ่งมั่นว่าจะเอาชนะศึก หากกำแพงเมืองพังทลาย จะส่งผลถึงการศึกได้อย่างรวดเร็ว


 


 


เหล่าทหารต้ามั่วไม่จำเป็นต้องโจมตี ก็ทะลวงเข้าเมืองมาได้ เรื่องนี้ต้องส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเยี่ยเม่ยแน่ ทั้งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพวกเขาในใจของเยี่ยเม่ย


 


 


ดังนั้นระหว่างที่พวกเขาทั้งสองประมือกันก็ระวัง ไม่ให้พลังทำลายล้างกระทบถูกกำแพงเมือง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเห็นฉากตรงหน้า สายตาปรากฏความแตกตื่น “คิดไม่ถึงจริงๆ…เจ้าหนุ่มนี่ ร้ายกาจถึงเพียงนี้”


 


 


กระบวนท่าเมื่อครู่มองแล้วก็ผ่อนคลายสบายมาก แต่ความจริงล้วนอยู่ที่กำลังภายในของทั้งสอง


 


 


หากมีใครคนหนึ่งรับไม่ไหว ยามนี้คงถูกกำลังภายในของอีกฝ่ายกระแทกตัวปลิวไปแล้ว


 


 


ในเวลานี้จงรั่วปิงอดไม่ไหวชื่นชมจิ่วหุน สายตาของนางล้ำลึก จ้องไปทางจิ่วหุน เอ่ยว่า “เจ้าหนุ่มนี่ ก็ไม่เลว”


 


 


นางเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของใต้หล้า ย่อมรู้พลังทำลายล้างของกระบวนท่าคนทั้งสองดี


 


 


ภายใต้กระบวนท่าเดียว ทั้งสองคนไม่บาดเจ็บ ก็มากเพียงพอทำให้รับรู้แล้วว่าเจ้าหนุ่มนี่ร้ายกาจมาก


 


 


ในขณะที่พวกนางตกอยู่ในความตะลึง


 


 


ร่างของจิ่วหุนไหววูบ ความเร็วชนิดที่สายตาไม่อาจมองเห็นได้ กลับทำให้คนเห็นร่างจิ่วหุนเป็นจำนวนมาก ในมือถือดาบยาว พุ่งเข้าจู่โจมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาจากทิศที่แตกต่างกันออกไป


 


 


น้ำเสียงเขาต่ำลง ทั้งค่อยๆดังขึ้นว่า “เงาสังหาร”


 


 


ทหารทั้งหมดด้านล่างเห็นเหตุการณ์ ต่างก็สูดลมหายใจลึก เดิมพวกเขาคิดว่า ยามที่พวกเขาเห็นจิ่วหุนในสนามรบ ก็ร้ายกาจมากพอแล้ว


 


 


คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถถึงขั้นนี้


 


 


นี่…


 


 


ใครสามารถแยะออกได้ว่าคนไหนถึงจะเป็นจิ่วหุนตัวจริง มี…มีตั้งมากมายเช่นนี้…


 


 


ทว่าถัดมา


 


 


สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏแสงมารมองจิ่วหุน ทั้งมีความชื่นชมอยู่ไม่น้อย กำลังภายในในมือ พุ่งทะลวงไปเบื้องหน้า “เพลิงผลาญเงา”


 


 


สิ้นเสียงของเขา


 


 


เปลวไฟไร้รูปลุกโหมขึ้นจากพื้นดิน ยึดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นศูนย์กลางพวยพุ่งกระจายออกไปทั่วทั้งสี่ด้านแปดทิศ คล้ายกับพื้นถูกราดน้ำมันเอาไว้ เปลวเพลิงกองแล้วกองเล่าลุกโหมขึ้นอย่างว่องไว


 


 


เปลวเพลิงห้อมล้อมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แผดเผาเงาทั้งหลาย


 


 


ใครก็รู้ว่าเปลวเพลิงพวกนั้นหาใช่ไฟของจริง และยังรู้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของกำลังภายในแบบหนึ่ง


 


 


เปลวไฟนี้ไม่อาจเผาคนตายได้ แต่รูปเดิมของเปลวไฟคือกำลังภายใน เมื่อปะทะกับคนก็สามารถคร่าชีวิตได้เช่นกัน


 


 


 “พวกเขา…” เวลานี้สีหน้าจงรั่วปิงเผยความแตกตื่นออกมา


 


 


นางออกท่องยุทธจักร ถึงได้รับสมญานามเป็นจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่ง วรยุทธ์ย่อมไม่อ่อนด้อย เดิมทีนางมีความมั่นใจในตัวเองมาก จนกระทั่งเห็นคนทั้งสอง…


 


 


ความสามารถเช่นนี้ กำลังภายในเช่นนี้


 


 


นางรู้สึกว่าตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา วิชาวรยุทธ์ที่ร่ำเรียนล้วนเป็นของปลอมแล้ว นางเกรงว่าเคล็ดวิชาที่เล่าเรียนมาจะเป็นเคล็ดวิชาปลอม ออกท่องยุทธภพของปลอม เอาชนะเหล่ายอดฝีมือจอมปลอม กลายเป็นจอมยุทธ์หญิงของปลอม


 


 


ซินเยว่เยี่ยนก็อ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ นางรู้มานานแล้วว่าความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องอยู่สูงกว่าตน แต่นางก็มั่นใจในตัวกูเยว่อู๋เหิน คิดว่าอู๋เหินต้องเอาชนะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้


 


 


แต่ยามนี้เมื่อได้เห็น เกรงว่าต่อให้เป็นอู๋เหินปะทะกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็คงไม่ได้เปรียบกว่า เมื่อก่อนนางออกจะมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว…


 


 


ทหารทั้งหลายของเป่ยเฉิน ต่างก็อ้าปากค้างอย่างควบคุมไม่อยู่


 


 


เดิมทีพวกเขาต่างคิด เงาร่างกระจัดกระจายของเสี่ยวจิ่วมากมายขนาดนี้ กระบี่จะทะลวงผ่านร่างของเตี้ยนเซี่ยไปตรงๆ


 


 


แต่เมื่อเห็นกำลังภายในของเตี้ยนเซี่ยแปรสภาพกลายเป็นเปลวเพลิง…


 


 


พวกเขาทั้งยินดีทั้งกังวล เสี่ยวจิ่วจะถูกเพลิงที่เกิดจากกำลังภายในนั้นทำให้ตายหรือไม่


 


 


เปลวเพลิงแผดเผา คล้ายกับไฟป่าเผาไหม้ต้นไม้ใบหญ้า ลามเลียไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของแต่ละเงาร่างอย่างว่องไว ไม่ว่าร่างจริงของจิ่วหุนอยู่ที่ไหนล้วนถูกเปลวเพลิงนี้กลืนกินได้…

 

 

 


ตอนที่ 100

 

ตอนที่ 100 เจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวงเป่ยเฉิน ออกมาให้ข้าสับซะ (3)

 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนพาจงรั่วปิงกลับมา


 


 


เมื่อเดินมาถึงกำแพงเมือง ก็เห็นฉากดุเดือดเลือดพล่านนี้


 


 


แม่นางทั้งสามตะลึงงันไปเล็กน้อย ทั้งสามมองหน้ากัน…


 


 


ซือหม่าหรุ่ยไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนถูคางไปมา คิดถึงครั้งก่อนที่พบคนทั้งสอง ก็เหมือนจะเป็นฉากที่พวกเขาจะต่อยตีกัน เอ่ยเบาๆ ว่า “คงไม่ใช่เพราะความหึงหวงหรอกนะ”


 


 


มุมปากซือหม่าหรุ่ยกระตุกอย่างอดรนทนไม่ไหว


 


 


….


 


 


เช้าตรู่เช่นนี้ บุรุษสองคนยืนบนกำแพงเมือง ใช้สายตาเย็นชามองฝ่ายตรงข้าม ไอสังหารแผ่กระจาย ที่น่ากลัวที่สุดคือ ด้านล่างกำแพงมีคนกลุ่มใหญ่ชะโงกหัวออกมา พวกทหารช่างซุบซิบนินทาไม่รักษาหน้าที่ของตัวเองให้ดี


 


 


การกระทำรุนแรง เสียงดังสนั่น หากเป็นความหึงหวงอย่างที่ซินเยว่เยี่ยนว่าจริงๆ


 


 


อย่างนั้นก็น่าขันเกินไปแล้ว


 


 


ในเวลานี้สายตาจงรั่วปิงกลับมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนสลับกันไปมาครู่หนึ่ง ในที่สุดสายตานางก็ตกอยู่ที่ร่างของบุรุษที่มีกลิ่นอายปีศาจ


 


 


บุรุษที่เข้มแข็งเช่นนี้ ถึงเป็นลักษณะที่นางชอบ


 


 


นางจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามคนข้างกายว่า “เขาก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือ”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ไม่ผิด นั่นก็คือองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์เป่ยเฉินที่เป็นเสมือนปีศาจตามคำเล่าลือ ทั้งยังเป็นองค์ชายตามคำเล่าลือ…แค่ก…”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนที่อยู่ด้านข้าง มองซือหม่าหรุ่ย “ที่เจ้าพูด คงไม่ใช่คำเล่าลือนั้นหรอกนะ”


 


 


จงรั่วปิงหันกลับมองพวกเขา มุมปากยกยิ้มเย็นชา ยามนี้นางรู้แล้วว่าพวกนางคิดพูดอะไรกัน


 


 


นางเอ่ยรับคำต่อไปว่า “ตามคำเล่าขาน ยามที่องค์ชายสี่ถือกำเนิด ท้องฟ้าเกิดความผิดปกติ เมฆครึ้มปกคลุมทั่วท้องฟ้าในยามราตรี ดวงจื่อหยุนอ่อนแสง ราชครูทำนายว่า หลังจากองค์ชายผู้นี้เกิดมา ภายหน้าจะมีเภทภัยใหญ่ ราชวงศ์เป่ยเฉินในภายหน้าจะล่มสลายในมือเขา”


 


 


จงรั่วปิงเอ่ยเสียงไม่ดัง เพียงพวกนางสามคนได้ยินเท่านั้น


 


 


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนยังคงมองนางอย่างตักเตือน “คำพูดพวกนี้ภายหน้าอย่าเอ่ยอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่าเอ่ยให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ยิน อย่างไรเสียเจ้าก็เข้าใจดี นี่เป็นหัวข้อต้องห้าม ใครก็ห้ามเอ่ยถึงทั้งนั้น”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยก็พยักหน้าเช่นกัน


 


 


หัวข้อนอกนอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ชอบฟังแล้ว ฮ่องเต้เองก็มิยินยอมสดับรับฟัง หรือบอกได้ว่าฮ่องเต้ไม่กล้าฟัง คนที่เอ่ยเรื่องนี้ออกมา ประสบเคราะห์ถึงชีวิตได้อย่างง่ายดาย


 


 


สายตาที่จงรั่วปิงมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กลับเพิ่มความชื่นชมขึ้นหลายส่วน “ข้าล่ะสงสัยเสียจริง ในปีนั้นเขามีชีวิตรอดจากราชวังได้อย่างไร ผ่านเรื่องราวในอดีตอย่างไรมา ถึงได้เป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวันนี้”


 


 


เกรงว่าคงไม่มีใครคิดถึง ในปีนั้นฮ่องเต้และฮองเฮาทำกับเขาเช่นนั้น…


 


 


สุดท้ายเขาไม่ตาย ทั้งยังเปลี่ยนมาเป็นคนเช่นนี้ ทำให้คนทั่วหล้าเมื่อได้ยินชื่อเขา ต่างก็ตกใจตัวสั่นอย่างไร้การควบคุม แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังเคยถูกเขาถีบตกบัลลังก์มังกร ถึงเกิดโทสะก็ไม่กล้าตรัสอะไร


 


 


ซือหม่าหรุ่ยฟังความชื่นชมในคำพูดออก หันกลับมองจงรั่วปิง “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้สนใจในตัวเขา เจ้ารู้ว่าเขาร้ายกาจแค่ไหน หลายวันมานี้ข้าอยู่ในเมือง เห็นการกระทำของเขาก็มองออกแล้ว คำเล่าลือที่เกี่ยวข้องกับเขาพวกนั้นล้วนมิได้โกหก”


 


 


คำเล่าลือที่ว่าเขามีนิสัยเลวร้ายเพียงใด จากมุมไหนๆ ก็สามารถมองออกได้ ไม่ใช่คำที่กุขึ้นเพื่อว่าร้าย เขาเป็นปีศาจตนหนึ่ง


 


 


เมื่อตระหนักได้แล้ว ซือหม่าหรุ่ยคิดว่าบุรุษอย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เกรงว่านอกจากเยี่ยเม่ยแล้ว คงไม่ชื่นชอบกับคนอื่นอีกแน่


 


 


จงรั่วปิงนิ่งไป แววตาลุ่มลึก แต่มิได้เอ่ยอะไร สายตานางมองที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่ถอนกลับ


 


 


ถัดมา


 


 


จิ่วหุนพลันลงมือ กระบี่ยาวพุ่งเข้าจู่โจมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


กระบวนท่าของเขา มิใช่ไร้ท่าเปล่าไร้พลังในการสังหาร แต่นับตั้งแต่ออกกระบี่ไป เสี้ยววินาทีนั้นก็มีความสามารถบั่นหัวคนขาดได้ จิตสังหารรุนแรง ไม่มีน้ำใจเลยสักน้อย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมุมปากขึ้นน้อยๆ


 


 


เขาหาได้ใส่ใจกระบวนท่าจู่โจมของจิ่วหุน หรือเรียกว่าเขาคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมือ ก็จะพุ่งมาจู่โจมเอาชีวิตเขาโดยตรง


 


 


นัยน์สีเขียวพลันเปล่งแสงแดงออกมาภายในเสี้ยวนาที


 


 


ระหว่างยื่นมือไป กำลังภายในก็แผ่ออกมา พุ่งใส่ใบหน้าของจิ่วหุน


 


 


ความจริงแล้ว…


 


 


ก็เหมือนกับที่จิ่วหุนคิดทำลายใบหน้าของเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ชอบหน้าตางดงามของจิ่วหุนมานานมากแล้ว


 


 


เวลาเพียงเสี้ยววินาที


 


 


กระบี่ปะทะกับกำลังภายในไร้รูปลักษณ์


 


 


กลับเกิดเป็นแสงสว่าง กำลังภายในเปลี่ยนเป็นวงกลมกระจายออกจากตัวพวกเขาที่เป็นเหมือนศูนย์กลาง แหลมคมราวกับมีดดาบ ตัดต้นไม้ใหญ่ในรัศมีร้อยเมตรหัก


 


 


นี่แค่การปะทะกันอย่างเรียบง่ายเท่านั้น ก็เกิดพลังทำลายล้างถึงขั้นนี้


 


 


ความสามารถของคนทั้งสอง ช่างชวนให้ตกตะลึงมากนัก


 


 


ส่วนเซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วในยามนี้อยากร่ำไห้ออกมาแล้ว


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…


 


 


เป็นเพราะอะไรกันเล่า


 


 


ภายใต้กระบวนท่าเดียว ต้นไม้ใหญ่ก็กลายสภาพน่าอนาจเช่นนี้แล้ว พวกเขาไม่กล้าคิดจริงๆว่า หากคนทั้งสองลงมือต่อสู้กันต่อไป จะทำให้หอสังเกตการณ์พังทลายไปด้วยหรือเปล่า


 


 


หากเป็นเช่นนี้ เมืองชายแดนจะรับข้าศึกอย่างไร


 


 


ยังดีที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนต่างก็รู้ดี ยามนี้เยี่ยเม่ยเป็นผู้นำทัพของเมือง นางมุ่งมั่นว่าจะเอาชนะศึก หากกำแพงเมืองพังทลาย จะส่งผลถึงการศึกได้อย่างรวดเร็ว


 


 


เหล่าทหารต้ามั่วไม่จำเป็นต้องโจมตี ก็ทะลวงเข้าเมืองมาได้ เรื่องนี้ต้องส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเยี่ยเม่ยแน่ ทั้งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพวกเขาในใจของเยี่ยเม่ย


 


 


ดังนั้นระหว่างที่พวกเขาทั้งสองประมือกันก็ระวัง ไม่ให้พลังทำลายล้างกระทบถูกกำแพงเมือง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเห็นฉากตรงหน้า สายตาปรากฏความแตกตื่น “คิดไม่ถึงจริงๆ…เจ้าหนุ่มนี่ ร้ายกาจถึงเพียงนี้”


 


 


กระบวนท่าเมื่อครู่มองแล้วก็ผ่อนคลายสบายมาก แต่ความจริงล้วนอยู่ที่กำลังภายในของทั้งสอง


 


 


หากมีใครคนหนึ่งรับไม่ไหว ยามนี้คงถูกกำลังภายในของอีกฝ่ายกระแทกตัวปลิวไปแล้ว


 


 


ในเวลานี้จงรั่วปิงอดไม่ไหวชื่นชมจิ่วหุน สายตาของนางล้ำลึก จ้องไปทางจิ่วหุน เอ่ยว่า “เจ้าหนุ่มนี่ ก็ไม่เลว”


 


 


นางเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของใต้หล้า ย่อมรู้พลังทำลายล้างของกระบวนท่าคนทั้งสองดี


 


 


ภายใต้กระบวนท่าเดียว ทั้งสองคนไม่บาดเจ็บ ก็มากเพียงพอทำให้รับรู้แล้วว่าเจ้าหนุ่มนี่ร้ายกาจมาก


 


 


ในขณะที่พวกนางตกอยู่ในความตะลึง


 


 


ร่างของจิ่วหุนไหววูบ ความเร็วชนิดที่สายตาไม่อาจมองเห็นได้ กลับทำให้คนเห็นร่างจิ่วหุนเป็นจำนวนมาก ในมือถือดาบยาว พุ่งเข้าจู่โจมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาจากทิศที่แตกต่างกันออกไป


 


 


น้ำเสียงเขาต่ำลง ทั้งค่อยๆดังขึ้นว่า “เงาสังหาร”


 


 


ทหารทั้งหมดด้านล่างเห็นเหตุการณ์ ต่างก็สูดลมหายใจลึก เดิมพวกเขาคิดว่า ยามที่พวกเขาเห็นจิ่วหุนในสนามรบ ก็ร้ายกาจมากพอแล้ว


 


 


คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถถึงขั้นนี้


 


 


นี่…


 


 


ใครสามารถแยะออกได้ว่าคนไหนถึงจะเป็นจิ่วหุนตัวจริง มี…มีตั้งมากมายเช่นนี้…


 


 


ทว่าถัดมา


 


 


สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏแสงมารมองจิ่วหุน ทั้งมีความชื่นชมอยู่ไม่น้อย กำลังภายในในมือ พุ่งทะลวงไปเบื้องหน้า “เพลิงผลาญเงา”


 


 


สิ้นเสียงของเขา


 


 


เปลวไฟไร้รูปลุกโหมขึ้นจากพื้นดิน ยึดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นศูนย์กลางพวยพุ่งกระจายออกไปทั่วทั้งสี่ด้านแปดทิศ คล้ายกับพื้นถูกราดน้ำมันเอาไว้ เปลวเพลิงกองแล้วกองเล่าลุกโหมขึ้นอย่างว่องไว


 


 


เปลวเพลิงห้อมล้อมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แผดเผาเงาทั้งหลาย


 


 


ใครก็รู้ว่าเปลวเพลิงพวกนั้นหาใช่ไฟของจริง และยังรู้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของกำลังภายในแบบหนึ่ง


 


 


เปลวไฟนี้ไม่อาจเผาคนตายได้ แต่รูปเดิมของเปลวไฟคือกำลังภายใน เมื่อปะทะกับคนก็สามารถคร่าชีวิตได้เช่นกัน


 


 


 “พวกเขา…” เวลานี้สีหน้าจงรั่วปิงเผยความแตกตื่นออกมา


 


 


นางออกท่องยุทธจักร ถึงได้รับสมญานามเป็นจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่ง วรยุทธ์ย่อมไม่อ่อนด้อย เดิมทีนางมีความมั่นใจในตัวเองมาก จนกระทั่งเห็นคนทั้งสอง…


 


 


ความสามารถเช่นนี้ กำลังภายในเช่นนี้


 


 


นางรู้สึกว่าตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา วิชาวรยุทธ์ที่ร่ำเรียนล้วนเป็นของปลอมแล้ว นางเกรงว่าเคล็ดวิชาที่เล่าเรียนมาจะเป็นเคล็ดวิชาปลอม ออกท่องยุทธภพของปลอม เอาชนะเหล่ายอดฝีมือจอมปลอม กลายเป็นจอมยุทธ์หญิงของปลอม


 


 


ซินเยว่เยี่ยนก็อ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ นางรู้มานานแล้วว่าความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องอยู่สูงกว่าตน แต่นางก็มั่นใจในตัวกูเยว่อู๋เหิน คิดว่าอู๋เหินต้องเอาชนะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้


 


 


แต่ยามนี้เมื่อได้เห็น เกรงว่าต่อให้เป็นอู๋เหินปะทะกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็คงไม่ได้เปรียบกว่า เมื่อก่อนนางออกจะมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว…


 


 


ทหารทั้งหลายของเป่ยเฉิน ต่างก็อ้าปากค้างอย่างควบคุมไม่อยู่


 


 


เดิมทีพวกเขาต่างคิด เงาร่างกระจัดกระจายของเสี่ยวจิ่วมากมายขนาดนี้ กระบี่จะทะลวงผ่านร่างของเตี้ยนเซี่ยไปตรงๆ


 


 


แต่เมื่อเห็นกำลังภายในของเตี้ยนเซี่ยแปรสภาพกลายเป็นเปลวเพลิง…


 


 


พวกเขาทั้งยินดีทั้งกังวล เสี่ยวจิ่วจะถูกเพลิงที่เกิดจากกำลังภายในนั้นทำให้ตายหรือไม่


 


 


เปลวเพลิงแผดเผา คล้ายกับไฟป่าเผาไหม้ต้นไม้ใบหญ้า ลามเลียไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของแต่ละเงาร่างอย่างว่องไว ไม่ว่าร่างจริงของจิ่วหุนอยู่ที่ไหนล้วนถูกเปลวเพลิงนี้กลืนกินได้…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม