เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 709-740

 ตอนที่ 709 เอามือปิดฟ้า


 


 


ซูหลีพูดจบก็ให้คนนำของสิ่งนั้นมอบให้แก่ฉินเย่หาน


 


 


ฉินเย่หานรับมาแล้วก็ตรวจสอบอย่างละเอียด


 


 


“ปัง!” หลังจากผ่านไปหนึ่งสมุดที่ถูกถวายขึ้นไปเบื้องบนเล่มนั้น ก็ถูกฉินเย่หานโยนลงมา


 


 


“เสิ่นฉางชิง เจ้าบังอาจนัก!” ฉินเย่หานแสดงมาดเย็นชาและเอ่ยด้วยโทสะ ทันทีที่เขาบันดาลโทสะ ก็ทำให้ทั้งท้องพระโรงเงียบสงัดในทันที ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา


 


 


“กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!” ร่างของเสิ่นฉางชิงสั่นเทิ้ม จากนั้นจึงหมอบลงบนพื้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก


 


 


“พูดออกมา นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีใครมีส่วนร่วมกันเรื่องนี้อีก!” ฉินเย่หานเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังและเย็นชา


 


 


เสิ่นฉางชิงผงะเล็กน้อย เมื่อนึกถึงคำขู่ของซูหลีเมื่อครู่ อีกทั้งยังมีดวงตาที่มืดสนิทคู่นั้น เสิ่นฉางชิงเชื่ออย่างไม่สงสัยว่า ซูหลีผู้นี้เป็นคนที่ทำตามที่พูดเอาไว้


 


 


วันนี้หากเขาไม่สารภาพ แม้แต่สายเลือดสกุลเสิ่นคนสุดท้ายก็รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว!


 


 


เสิ่นฉางชิงหลับตาลง ผ่านไปพักใหญ่จู่ๆ เขาก็แหงนศีรษะขึ้น สายตาของเขาหยุดอยู่ขุนนางทุกคน บัดนี้ทุกคนล้วนทราบดีว่า ครานี้เสิ่นฉางชิงจักต้องตายอย่างแน่นอน หากถูกเขาแว้งกัดในเวลาเช่นนี้ย่อมไม่ดีแน่ ดังนั้น…


 


 


ดังนั้นทันทีที่เขาเหลือบตามอง มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลบสายตาของเขา


 


 


โดยเฉพาะเหล่าขุนนางที่ยามปกติมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ในเวลานี้ต่างมิกล้าสบตาเขา


 


 


ภายในนั้นมีคนหนึ่งคนที่จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ไม่หลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงเลยทั้งสิ้น


 


 


เสิ่นฉางชิงมองคนผู้นั้นปราดหนึ่ง เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นละสายตาของตนออกมาและหยุดอยู่ที่คนด้านหน้าสุด นั่นก็คือป๋ายไต้ซือที่ยืนตัวตรงอยู่นั่นเอง


 


 


“…ทูลฝ่าบาท” เสิ่นฉางชิงหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นยื่นมือชี้ไปทางป๋ายไต้ซือที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้กระหม่อมเป็นเพียงผู้ดำเนินการหลักเท่านั้น ทว่าคนที่เป็นผู้บงการอยู่หลังม่านอย่างแท้จริงนั้น ก็คือ…


 


 


“ก็คือป๋ายไต้ซือพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกมา ก็เกิดเสียงเอะอะดังขึ้นทั่วท้องพระโรง


 


 


ทุกคนมองไปที่เสิ่นฉางชิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาพูดว่าอะไรนะ!? ป๋ายไต้ซือ!


 


 


“ทูลฝ่าบาท คำพูดของคนผู้นี้มิอาจเชื่อถือได้พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เขาทราบดีว่าต้องหนีไม่ได้แล้ว เขาก็แค่ลอบกัดส่งเดชก็เท่านั้น ป๋ายไต้ซือเป็นถึงไม้คานที่สำคัญของราชสำนัก ล้วนอุทิศตัวทั้งหมดเพื่อราชวงศ์ต้าโจว อย่างไรเขาก็ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ทูลฝ่าบาท…”


 


 


ในเวลานี้ทำให้ซูหลีเข้าใจถึงอำนาจของป๋ายไต้ซือในราชสำนักแล้ว เสิ่นฉางชิงเพิ่งจะเอ่ยปาก ก็มีคนจำนวนมากพูดแก้ต่างให้กับป๋ายไต้ซือเสียแล้ว


 


 


นางหัวเราะออกมาเบาๆ มิน่าเล่าทุกคนถึงเอ่ยว่า ไม่กล้าล่วงเกินสกุลป๋าย!


 


 


“นี่ทุกท่านกระทำสิ่งใดกัน ใต้เท้าเสิ่นยังไม่ทันพูดจบ ทุกคนก็โต้แย้งขึ้นอย่างร้อนใจและไม่อดกลั้นเช่นนี้แล้ว ต่างกล่าวว่าเป็นห่วงป๋ายไต้ซือกัน นี่หากไม่ทราบก็ข้าคงคิดว่ายามอยู่บนท้องพระโรงแห่งนี้ ป๋ายไต้ซือเอามือหนึ่งปิดฟ้า[1] ถืออำนาจทางด้านการเมืองการปกครองเสียแล้ว!”


 


 


ใบหน้าของซูหลีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับมิน่าขันเลยแม้แต่น้อย


 


 


คำพูดของนางกลับเอ่ยอย่างแน่วแน่ แม้แต่ป๋ายไต้ซือที่มั่นคงได้ยินเสิ่นฉางชิงเอ่ยชื่อของตนเองออกมาเมื่อครู่ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างห้ามไม่ได้!


 


 


“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิเคยกระทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน ใต้เท้าซูคำพูดของเจ้า กำลังต้องการดึงข้าไปเป็นผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อแว่นแคว้น เช่นนั้นฝ่าบาทได้ทรงตรวจอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ในเมื่อป๋ายไต้ซือเอ่ยถามอย่างไม่ละอายใจเช่นนี้ออกมาก เช่นนั้นก็สู้ปล่อยให้เสิ่นฉางชิงเอ่ยจบ หากมีข้อผิดพลาดอะไรก็ค่อยๆอธิบายอย่างชัดเจน ใช่หรือไม่ป๋ายไต้ซือ” ซูหลีกลับไม่เกรงว่าเขา เมื่อได้ยินแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกมายืน


 


 


 


 


——


 


 


[1] เอามือหนึ่งปิดฟ้า เป็นสำนวน หมายถึงการอาศัยอิทธิพลใช้เล่ห์เหลี่ยมปิดบังอำพรางมวลชน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 710 กระหม่อมได้รับความไม่เป็นธรรม!


 


 


ขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นทั้งราชสำนัก ผู้ที่กล้าต่อต้านสกุลป๋ายนั้น แท้จริงแล้วมีไม่มาก


 


 


โดยเฉพาะซูหลีที่เพิ่งจะเป็นขุนนาง


 


 


ทว่านางกลับไม่หวั่น แม้กระทั่งยังกล้าพูดแต่ละคำแต่ละประโยคต้อนป๋ายไต้ซือให้จนมุม


 


 


สีหน้าของป๋ายไต้ซือดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก เขาตวัดสายตามองที่ซูหลีปราดหนึ่ง เขาต้องการเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็อดกลั้นเอาไว้


 


 


ซูหลีเห็นเขาไม่เอ่ยอะไรออกมา จึงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “บัดนี้ไม่มีใครรบกวนแล้ว ใต้เท้าเสิ่นพูดต่อเถิด เจ้าบอกว่าป๋ายไต้ซือเป็นคนบงการเจ้า เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”


 


 


เสิ่นฉางชิงเหลือบตาขึ้นมองนาง เขานั้นเกลียดซูหลีผู้นี้มาก ทว่าต้องยอมรับว่าแค่กลิ่นอายของซูหลี ก็สามารถชนะคนจำนวนมากได้แล้ว


 


 


“กระหม่อมมีหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเสิ่นฉางชิงผู้นี้จะมีหลักฐานอยู่จริงๆ


 


 


แม้แต่ป๋ายไต้ซือหลังจากได้ยินคำพูดของเขา จึงผงะไปอย่างอดไม่ได้


 


 


มีเพียงซูหลีที่ยังมีสีหน้าคงเดิม ที่จริงแล้วนางนั้นถือว่าเข้าใจเสิ่นฉางชิงผู้นี้ดี เสิ่นฉางชิงผู้นี้แม้จะไม่ฉลาดมากนัก และมีจุดอ่อนจุดหนึ่ง


 


 


นั่นก็คือเข้าเป็นคนที่ระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกระทำเรื่องอะไร จักต้องหากทางหนีทีไล่ไว้ในตนเองเสมอ


 


 


แต่ก่อนเป็นเช่นนี้ บัดนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้


 


 


“ภายในจวนของกระหม่อม มีสมุดบันทึกการแลกเปลี่ยนระหว่างกระหม่อมและป๋ายเฮ่อ บุตรชายของป๋ายไต้ซือ อีกทั้งยังมีจดหมายที่ป๋ายเฮ่อเขียนให้กระหม่อมอีกพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ซูหลีได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ใบหน้าจึงมีความซับซ้อนพาดผ่าน สมุดบันทึกการแลกเปลี่ยนนั้น ที่จริงแล้วนางเป็นคนสอนเสิ่นฉางชิงเอง


 


 


เสิ่นฉางชิงถือว่าเป็นคนไม่ฉลาดนัก บางครั้งยามแลกเปลี่ยนทำการค้ากับผู้อื่นมักจะเสียเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอ เมื่อเวลาผ่านไปนานซูหลีจึงสอนเขาและให้เขานำสิ่งที่บันทึกในสมุดกลับมาบ้านเพื่อให้นางอ่าน และนางก็สอนวิธีให้เขาจัดการกับเรื่องเหล่านี้


 


 


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การบันทึกการแลกเปลี่ยนก็กลายเป็นนิสัยของเสิ่นฉางชิง


 


 


คาดไม่ถึงว่า พฤติกรรมที่นางสอนเขาในวันนั้น จะกลายเป็นหลักฐานในวันนี้


 


 


“ก่อนที่จะมาที่วังหลวง กระหม่อมได้ให้คนของใต้เท้าฉิน ไปหยิบสมุดเล่มนั้นมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่เสิ่นฉางชิงพูดจบก็เห็นฉินลิ่วเดินเข้ามา จากนั้นเขาจึงนำกล่องใบยาวในมือถวายให้กับฮ่องเต้


 


 


ภายใต้การจ้องมองของทุกคน กล่องใบนั้นได้ถูกส่งไปถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้


 


 


หลังจากป๋ายไต้ซือเห็นเสิ่นฉางชิงนำหลักฐานออกมา สีหน้าก็ดูแย่เป็นอย่างมาก ทว่าเขาได้แต่เบิกตามอง ในใจนั้นรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก ทว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองดู


 


 


ของในกล่องใบนั้นมีจำนวนมาก ฉินเย่หานนำออกมาและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แต่ละวินาทีที่ผ่านไปสีหน้าของฉินเย่หานก็ยิ่งดูย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


“หวงเผยซาน”


 


 


“บ่าวอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“นำของสิ่งนี้ลงไปให้ป๋ายไต้ซือดูซะ!”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานรับกล่องใบนั้นมา จากนั้นเดินลงมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นนำของสิ่งนั้นส่งถึงมือป๋ายไต้ซือ


 


 


ป๋ายไต้ซือรีบรับกล่องใบนั้นมา หลังจากที่เขาเปิดดูสิ่งเหล่านั้นใบหน้าก็ดำคล้ำจนถึงขีดสุด


 


 


เสิ่นฉางชิงนั้นได้จดบันทึกทุกเรื่องเอาไว้รวมถึงวันเวลาอากาศล้วนเขียนอย่างชัดเจน อีกทั้งในเนื้อความยังบันทึกไว้ด้วยว่า ได้พบปะกับใครและพูดคุยเรื่องอะไร


 


 


นะ นี่มัน…


 


 


ป๋ายไต้ซือถึงกลับตะลึงพรึงเพริด เขาเงยหน้าสบตากับฉินมู่ปิง ทว่าสายตาที่คลุมเครือกลับมองที่ร่างของซูหลี


 


 


“ทหาร!” สีหน้าของฉินเย่หานดูเคร่งขรึมจนน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก


 


 


“กระหม่อมอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” ฉินลิ่วก้าวออกมาขานรับ


 


 


“ไปนำตัวป๋ายเฮ่อมา!” ใบหน้าของฉินเย่หานไร้ซึ่งอารมณ์ ภายในดวงตาที่เคร่งขรึมคู่นั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันตรายเป็นอย่างมาก


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” ฉินลิ่วเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบก้าวเท้าออกไป


 


 


“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!” ทางด้านป๋ายไต้ชือหลังจากได้รับกล่องใบนั้น ก็ทรุดตัวลงคุกเข่าทันที


 


 


“กระหม่อมได้รับความไม่เป็นธรรมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”


ตอนที่ 711 พูดจาส่งเดช!


 


 


ร่างกายที่ค่อนข้างอ้วนท้วมของป๋ายไต้ซือหมอบลงบนพื้น ทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้


 


 


การกระทำของซูหลีรวดเร็วมาก อีกทั้งทันทีที่นางลงมือก็โจมตีจุดยุทธศาสตร์โดยตรง นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึง 


 


 


มีหลักฐานจำนวนมากวางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นถึงป๋ายไต้ซือ ทว่าก็ไม่ทราบว่าจะเริ่มอธิบายจากที่ใดดี!


 


 


แม้ปากจะเอ่ยว่าได้รับความไม่เป็นธรรม ทว่ากลับพูดโต้แย้งไม่ออก


 


 


นี่ถึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด!


 


 


“ป๋ายไต้ซือนี่เป็นอะไรไปแล้ว ฝ่าบาทมิได้ตรัสอะไรออกมาเลย ท่านก็ตะโกนออกมาว่าได้รับความไม่เป็นธรรมเสียแล้ว ได้รับความไม่เป็นธรรมหรือ รอให้คุณชายมาก็ทราบแล้ว!” ซูหลีมองเขาด้วยใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ในคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ


 


 


ทว่าคำพูดนี้กลับเต็มไปด้วยการตำหนิ


 


 


ป๋ายไต้ซือที่คุกเข่าอยู่บนพื้น มือทั้งสองของเขากำแขนเสื้อแน่น


 


 


ที่ถานเอ๋อร์กล่าวมานั้นมิผิดจริงๆ การจัดการกับซูหลีนั้นเป็นเรื่องที่มองข้ามมิได้ เป็นเพราะเขาประเมินศัตรูต่ำเกินไป เขาคิดว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็กอายุ 20 กว่าปี นึกไม่ถึงว่าจะถูกนางสร้างเรื่องวุ่นวายเหล่านี้


 


 


“ทูลฝ่าบาท ป๋ายเฮ่อถูกนำตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ป๋ายไต้ซือรู้สึกว่าหนาววูบที่กระดูกสันหลัง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วถึงจะรู้สึกหวาดกลัว ฉินลิ่วที่ออกไปแล้วกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


ไยถึงรวดเร็วขนาดนี้


 


 


ป๋ายไต้ซือสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ แต่เขาครุ่นคิดอะไรมิทันแล้ว ทันทีที่หันศีรษะไปก็พบว่า ป๋ายเฮ่อถูกคนจับกุมเข้ามาในท้องพระโรง


 


 


ถูกจับกุมเข้ามาจริงๆ!


 


 


ป๋ายเฮ่อนั้นมีท่าทีจนตรอกอย่างบอกไม่ถูก คุณชายผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างคนมั่งคั่งร่ำรวยมาโดยตลอด ชีวิตนี้มิเคยต้องประสบเรื่องเช่นนี้เลยสักนิด สีหน้าของเขาจึงดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก


 


 


ทหารเหล่านั้นที่จับกุมเขาเข้ามาที่ท้องพระโรงเมื่อมาถึงได้ปล่อยมือออกจากเขาอย่างรวดเร็ว ภายในท้องพระโรงล้วนมีคนอยู่เต็มไปหมด ป๋ายเฮ่อเดินเข้ามาก็หันมาสบตากับบิดาของตนปราดหนึ่ง จากนั้นจึงถูกทหารที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผลักตัวให้คุกเข่าลงข้างป๋ายไต้ซือ


 


 


“ตุบ!” รสชาติของชีวิตเช่นนี้ ทำให้คนบางคนยากที่แบกรับไหว ในชีวิตนี้ป๋ายเฮ่อไม่เคยประสบเรื่องเช่นนี้มาก่อน เขากัดฟันและควบคุมตัวเองให้สงบลง


 


 


“คุณชายป๋าย สบายดีหรือไม่” ซูหลีมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่รอยยิ้มที่นางเผยออกมาในเวลานี้ ไม่ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความใกล้ชิด อีกทั้งยังทำให้คนเกิดความรู้สึกขนลุกขนพองอีกด้วย 


 


 


ในดวงตาของป๋ายเฮ่อเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น หากเขาสามารถหลุดพ้นออกไปได้ครานี้ เขาจะต้องทำให้ซูหลีชดใช้สถานหนัก!


 


 


นางกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้!


 


 


“ใต้เท้าเสิ่น คุณชายป๋ายมาถึงแล้ว มีเรื่องที่ต้องหยั่งเชิงกับเขาหรือ” ซูหลีไม่สนใจสายตาของป๋ายเฮ่อเลยแม้แต่น้อย นางเพียงหันเหสายตามองไปทางเสิ่นฉางชิง


 


 


สีหน้าของเสิ่นฉางชิงในเวลานี้ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก หากมีโอกาสเขาก็อยากจะฆ่าซูหลีให้ตายเช่นกัน


 


 


บัดนี้เขายังอยู่ในกำมือของนาง อย่างไรก็ต้องทนก้มหัวให้นางต่อไป


 


 


เขาใกล้จะตายแล้ว ทว่าสกุลเสิ่นไม่อาจล่มสลายเช่นนี้ได้!


 


 


เสิ่นฉางชิงหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ป๋ายเฮ่อ เจ้าขอให้ข้าตามหาต้นฝิ่นเป็นการส่วนตัว และเรื่องที่เจ้าปลูกต้นฝิ่นไว้บนพื้นที่ขนาดใหญ่ในหมู่บ้านปี้สุ่ยที่อยู่ห่างไกลจากชานเมืองถึงสามสิบลี้ ได้ถูกเปิดโปงแล้ว”


 


 


“เจ้ายังจะสามารถพูดอะไรได้อีก”


 


 


ทันทีที่ป๋ายเฮ่อได้ยิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันควัน เขาเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นฉางชิงอย่างรวดเร็วและเอ่ยด้วยโทสะว่า


 


 


“ท่านโหว นี่ท่านพูดจาส่งเดชอะไรกัน เรื่องที่ท่านพูดมาทั้งหมดเหล่านี้ ข้าไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง!” เมื่อเสิ่นฉางชิงชี้เป้ามาที่ตน หัวใจของป๋ายเฮ่อก็สะดุ้งโหยง ทว่ายามที่ทุกคนตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนก็โต้แย้งออกมาตามจิตใต้สำนึก 


 


 


ป๋ายเฮ่อก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายของป๋ายไต้ซือ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 712 แมลงวันย่อมไม่ตอมไข่ที่ไร้ช่อ


 


 


เขาไม่มีทางที่จะไม่มีความกล้าเลยแม้แต่น้อย และถูกผู้อื่นพูดจูงจมูกโดยงานเช่นนี้


 


 


ป๋ายเฮ่อคิดเช่นนั้นจึงยิ่งพยายามตั้งสติเอาไว้ เขาจ้องมองเสิ่นฉางชิงด้วยสายตาเยียบเย็นแล้วเอ่ยว่า


 


 


“ท่านโหว การพูดจาและการกระทำจักต้องมีหลักฐาน เจ้าพูดปรักปรำคนอื่นต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เช่นนี้ เจ้าคงจะได้รับคำสั่งจากใครกระมัง”


 


 


ทันทีที่พูดจบยังปรายตามองไปทางซูหลี


 


 


ซูหลีปิดปากเงียบ นางเพียงมองทางพวกเขาทั้งสองคนด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม คล้ายกับมิใส่ใจในคำพูดของเขามิปาน


 


 


“ทูลฝ่าบาท หลักฐานที่กระหม่อมถวายแก่เบื้องบนทั้งหมดนั้นล้วนอยู่ในมือของป๋ายไต้ซือแล้ว ภายในทั้งยังมีจดหมายที่ป๋ายเฮ่อเขียนด้วยตนเอง นี่ไม่มีทางปลอมแปลงได้ อย่างไรก็อยากให้ฝ่าบาทโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นฉางชิงมองที่ป๋ายเฮ่อปราดหนึ่ง เขาได้แต่หัวเราะเยาะเย้ยต่อท่าทีที่แตกหักไม่คุ้นเคยอยู่ในใจ


 


 


แม้เขาจะพอเข้าใจดีว่า หลังจากเกิดเรื่องขึ้น สกุลป๋ายจักต้องหาวิธีกำจัดออกจากเรื่องนี้อย่างสะอาดหมดจด ทว่าเขาคิดไม่ถึงว่า ป๋ายเฮ่อจะตีตนออกหากได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้


 


 


เมื่อคิดดังนั้นเสิ่นฉางชิงก็ไม่เสียดายที่นำเรื่องของสกุลป๋ายสารภาพออกไป


 


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว เมื่อเห็นท่าทีของสกุลป๋ายในเวลานี้แล้ว เขายังโชคดีที่เชื่อฟังคำพูดของซูหลี อย่างน้อยก็ยังรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองไว้ได้อย่างสมบูรณ์!


 


 


“จดหมายที่เขียนด้วยตนเอง!?” ยามที่ป๋ายเฮ่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป แม้เขาจะมีแผนการล้ำลึกถึงเพียงใด ทว่าในมือของเสิ่นฉางชิงมีหลักฐานอยู่เช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงมาก่อน!


 


 


“ใช่แล้ว ทำไมรึ คุณชายป๋ายไม่รู้สึกว่าตนไม่ต้องโทษทั้งที่มิผิดแล้วหรือ” ซูหลีหัวเราะออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาดอกท้อคู่งามตวัดสายตาไปที่ป๋ายเฮ่อ ในดวงตาเต็มไปด้วยความประกายความเย็นชา


 


 


หัวใจของป๋ายเฮ่อสั่นสะท้าน ใบหน้าปรากฏริ้วความตะลึงงันขึ้นมา ในเวลานี้เขาไม่สามารถตอบคำถามของซูหลีได้


 


 


“ทูลฝ่าบาท!” และในเวลาเช่นนี้ท่าทีตอบสนองป๋ายไต้ซือถือว่ารวดเร็วกว่าบ้าง


 


 


“แม้ในยามปกติบุตรของกระหม่อมจะเป็นคนดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังคำสอนสักเท่าไหร่นัก และมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นบ่อยครั้ง ทว่าเรื่องเหล่านี้แม้เจ้านี่จะมีใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงไร เขาก็ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนี้ได้! สิ่งของในกล่องนั่นเป็นสิ่งที่ใต้เท้าเสิ่นนำมา อีกทั้งยังผ่านมือของใต้เท้าซูมาก่อน…”


 


 


ป๋ายไต้ซือพูดถึงตรงนี้ก็คล้ายกับมีความลังเลใจอยู่บ้าง ทว่าหลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็กัดฟันพูดต่อว่า


 


 


“นี่มีคนเจตนาจัดการพวกเราสกุลป๋ายพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาท!!!” คำพูดที่เอ่ยว่า ‘ฝ่าบาท’ ในท่อนสุดท้าย น้ำเสียงของป๋ายไต้ซือมีความสั่นคลอนอย่างบอกไม่ถูก


 


 


“กระหม่อมเป็นขุนนางมาหลายต่อหลายปี เป็นคนที่สุขุมรอบคอบและระมัดระวังมาโดยตลอด กระหม่อมนั้นมีทายาทน้อย มีเพียงบุตรชายคนเดียวเท่านั้น อย่างไรกระหม่อมก็ไม่มีทางให้เขากระทำเรื่องที่เลวร้ายเช่นนั้นเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เขาช่างเป็นคนที่มีวาทศิลป์โดยแท้ มีประกายความเยียบเย็นพาดผ่านในดวงตาของซูหลี


 


 


นางสาวเท้าไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง นางยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “คำพูดของป๋ายไต้ซือช่างเปิดเผยนัก ทูลฝ่าบาท กระหม่อมนั้นมีเรื่องที่ไม่ค่อยดีกับคุณชายป๋ายอยู่จริงๆ ทว่ากระหม่อมเพิ่งจะเข้ามาเป็นขุนนาง และมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับติ้งอันโหวนัก กระหม่อมจะสามารถพูดโน้มน้าวใจท่านอ๋องผู้หนึ่งให้ใส่ร้ายป้ายสีบุตรของป๋ายไต้ซือได้อย่างไรกัน”


 


 


“อีกทั้งภายในราชสำนักมีขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊จำนวนมากขนาดนี้ ใต้เท้าเสิ่นกลับไม่ใส่ร้ายป้ายสีใครทั้งสิ้น แต่กลับเอ่ยถึงคุณชายป๋าย เหอะ!” ซูหลีหัวเราะด้วยน้ำเสียงไม่พอใจออกมา อารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้ากลับนิ่งเฉย


 


 


นางมองป๋ายไต้ซือด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยว่า “หรือป๋ายไต้ซือจักมิเคยได้ยินคำพูดที่เอ่ยว่า แมลงวันย่อมไม่ตอมไข่[1]ที่ไร้ช่อหรือ!?”


 


 


“ใต้เท้าซู!” ป๋ายไต้ซือมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก จากนั้นเอ่ยด้วยโทสะ


 


 


ซูหลีไม่รู้สึกกลัวเขาเลยแม้แต่น้อยและยังกล้าสบตาเขาโดยตรง


 


 


 


 


——


 


 


[1] แมลงวันย่อมไม่ตอมไข่ที่ไร้ช่อ เป็นสำนวน หมายถึงมีไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นโดยไม่มีมูล ทุกเรื่องล้วนมีสาเหตุ


ตอนที่ 713 ฝ่าบาทได้โปรดเพิกถอนพระราชโองการ


 


 


“เรื่องของผงฝิ่นเจ้าเป็นคนพบ คุณชายเฉิงก็เป็นเจ้าที่จับกุมเอาไว้ได้ บัดนี้แม้กระทั่งคนที่อยู่ควบคุมเรื่องทั้งหมดเอาไว้ถูกยังถูกคว้าเอาไว้ได้อีก!” ป๋ายไต้ซือเห็นความเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งในสายตาของซูหลีอย่างบอกไม่ถูก


 


 


“ใต้เท้าซูกล่าวว่าตนเพิ่งจะเข้ามาเป็นขุนนาง ทว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยมีขุนนางที่เพิ่งเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก ที่จะสามารถมีโชคและความใจกล้าเหมือนกับใต้เท้าซูกัน เพิ่งจะเข้ามาในราชสำนักก็ประสบกับเรื่องต่างๆถึงขนาดนี้แล้ว!”


 


 


“อย่าโยนโทษจอมปลอมให้กับผู้อื่น เพื่อเอาคุณงามความดีใส่ตัว!”


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน ป๋ายไต้ซือคงจะสนใจในเกียรติของตนแล้ว ทว่าหลังจากที่ซูหลีเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมา เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น


 


 


แม้กระทั่งใช้ท่าทีเถียงข้างๆคูๆที่เขาเคยใช้ในยามสมัยก่อน


 


 


พูดจากดำกลายเป็นขาวอย่างทนโท่ อีกทั้งยังโยนโทษทั้งหมดให้กับซูหลี


 


 


ทันทีที่เขาพูดจบ โดยรอบก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ


 


 


คำพูดนี้มีน้ำหนักเกินไปแล้ว ใครก็ไม่กล้าเข้าช่วยซูหลีในทันที ที่เขากล่าวมาทั้งหมดก็เป็นความจริงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่ทำคุณงามความดีและได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ก็มีไม่น้อย ทว่าซูหลีกลับสามารถไต่ขึ้นมาในตำแหน่งที่สูงในระยะเวลาอันสั้น


 


 


นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่มากโดยแท้


 


 


อย่าว่าแต่ป๋ายไต้ซือเกิดความฉงนสงสัยเลย แม้แต่ขุนนางเหล่านี้ก็ยังเกิดความกังขาอยู่ในใจไม่น้อย


 


 


บัดนี้เมื่อถูกป๋ายไต้ซือพูดออกมา คนเหล่านี้ก็มองไปที่ซูหลีอย่างห้ามไม่ได้ มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังหนุ่ม ทว่าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นางจะสามารถแบกรับภาระนี้ได้หรือ


 


 


ซูหลีได้ยินคำพูดของป๋ายไต้ซือแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็เริ่มจางหายไปอย่างหมดจด


 


 


ที่จริงแล้ว หากคนที่รู้จักนางดี ในเวลานี้คงจะทราบดีแล้ว


 


 


ภายในตำหนักนี้ ล้วนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ แม้แต่ฉินมู่ปิงที่ใกล้ชิดกับนางเพียงประมาณ 1 ปีก็ถือว่ารู้จักนางยังไม่ดีพอ


 


 


มีแต่เสิ่นฉางชิงที่อยู่ข้างกายของซูหลี ที่เห็นความประพฤติและท่าทีของซูหลีแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจจึงเกิดความรู้สึกสับสนเเละคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด


 


 


ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ คล้ายกับ…


 


 


เหมือนกับยามที่สตรีผู้นั้นยังไม่ตาย!


 


 


สีหน้าของเสิ่นฉางชิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก คนผู้นั้นตายไปนานแล้ว อีกทั้งซูหลีกล่าวว่า นางเป็นสหายคนสนิทของคนผู้นั้น เพียงแต่ในใต้หล้านี้จะมีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ ที่สหายคนสนิทคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดี จะมีอากัปกิริยาต่างๆที่ละม้ายคล้ายกันเป็นอย่างมาก


 


 


หากไม่ใช่เพราะคนตรงหน้ามีใบหน้าที่ชั่วร้าย เขาคงคิดว่าคนตรงหน้าคือหลี่จื่อจินแน่แท้


 


 


ทว่าหลี่จื่อจินในความทรงจำเขานั้น ถือว่ามีรูปโฉมที่ไม่ได้งดงามนัก แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนัก และนางผู้นั้นมีใบหน้าที่สามัญดาษดื่นเป็นอย่างมาก


 


 


ทว่าไม่เหมือนกับคนตรงหน้า…


 


 


ที่มองดูแล้วเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวน เป็นเสมือนดังปีศาจร้ายที่ดึงดูดสายตาผู้คนแทบทุกอิริยาบถ!


 


 


“ทูลฝ่าบาท!” ในขณะที่ตกอยู่ในบรรยากาศที่เงียบงัน ซูหลีพลันลุกยืนยกมือขึ้นและโค้งคำนับ


 


 


สายตาทุกคนพลันหันเหไปที่ร่างของนาง พวกเขาใคร่อยากเห็นว่านางจะรับมือกับความสงสัยเช่นนี้ได้อย่างไร!


 


 


“กระหม่อมอยากจะขอให้ฝ่าบาททรงเพิกถอนพระราชโองการที่ให้กระหม่อมตรวจสอบเรื่องผงฝิ่นพ่ะย่ะค่ะ!” คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ซูหลีพูด นางกลับพูดคำพูดที่น่าตกใจเช่นนี้ออกมา


 


 


แม้แต่ฉินมู่ปิงที่มีสีหน้านิ่งเฉยมาโดยตลอด ก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าที่เคร่งขรึม


 


 


“ไยเจ้าถึงต้องการให้เราเพิกถอนพระราชโองการ” ดวงตาเย็นชาของฉินเย่หานที่อยู่เบื้องบน กลับมองซูหลีอย่างเรียบเฉย แม้น้ำเสียงของเขาจะมีความเย็นยะเยือก ทว่ากลับไม่มีโทสะเหมือนดั่งเมื่อครู่นี้


 


 


ในเวลานี้ผู้คนต่างไม่เข้าใจว่า ฝ่าบาททรงมีความคิดเห็นอย่างไร


 


 


ซูหลีกลับไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 714 ลาออกจากตำแหน่งขุนนาง!


 


 


“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมอายุเพียงยี่สิบปี ก็แค่เพิ่งสอบติดราชการเท่านั้น สำหรับใต้เท้าในที่นี้ทุกคน ข้าก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น” สีหน้าของซูหลีเรียบเฉย ขณะที่เอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาก็มิเผยอารมณ์ใดๆ ออกมา และไม่มีแม้กระทั่งความหมายโดยนัยอื่นๆ ที่แฝงอยู่


 


 


ทว่ากลับสามารถทำให้เหล่าขุนนางที่อยู่โดยรอบต่างพากันก้มศีรษะ


 


 


หมู่นี้ซูหลีมีชื่อเสียงที่โด่งดังไม่น้อย อีกทั้งภายในใจของขุนนางจำนวนมากก็รู้สึกอย่างที่นางเอ่ยมา


 


 


ทว่าก็แค่ครุ่นคิดก็เท่านั้น ทว่าเมื่อถูกนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ นี่ก็กลายเป็นเรื่องอื่นแล้ว


 


 


“กระหม่อมทราบดีว่า หากพูดถึงคุณสมบัติและประสบการณ์ กระหม่อมนั้นสู้ใต้เท้าท่านไหนมิได้ทั้งนั้น ดังนั้นยามที่ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้กระหม่อม ภายในใจของกระหม่อมเต็มไปความตื่นตระหนกและหวาดกลัวมาก”


 


 


“ทว่ากระหม่อมยังมิลืมการสอบหน้าพระที่นั่งในวันนั้น ที่กระหม่อมกล่าวกับฝ่าบาทว่า ‘ในเมื่อรับบำเหน็จจากจักรพรรดิ ก็จักต้องเป็นทหารที่ภักดีต่อจักรพรรดิ’ กระหม่อมนั้นเป็นขุนนางของฝ่าบาท แม้ฝ่าบาทจะทรงสั่งให้กระหม่อมไปตาย กระหม่อมก็มิอาจหลบหนีได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้”


 


 


“การที่กระหม่อมพบกับคุณชายเฉิงในวันนั้น เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง การพบผงฝิ่นก็ยิ่งเป็นเรื่องบังเอิญ หากป๋ายไต้ซือใช้เรื่องนี้โจมตีกระหม่อม แม้กระหม่อมมีร้อยปากก็เถียงไม่ขึ้น กระหม่อมไม่ใช่ขุนนางคนไหนในราชสำนัก”


 


 


“ในใจของกระหม่อมมีเพียงฝ่าบาท อีกทั้งยังมีเรื่องที่ฝ่าบาททรงมอบหมายในไปกระทำ กระหม่อมมิกล้าใช้คุณสมบัติและประสบการณ์ถกเถียง ยิ่งไม่ต้องการให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งราชสำนักพูดจาโจมตีกระหม่อม ป๋ายไต้ซือมีศิษย์เต็มไปทั่ว ขุนนางในราชสำนักจำนวนไม่น้อยก็ออกมาจากสำนักของเขา หากเขาต้องการใส่ร้ายกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมก็จนปัญญาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


คำพูดคำรบนี้ของซูหลี ดังกึกก้องไปทั่วตำหนักใหญ่


 


 


ทุกคำทุกประโยคล้วนกระแทกเข้าสู่หัวใจของทุกคนจังๆ


 


 


“กระหม่อมนั้นอายุน้อยไปจริงๆ ทั้งหัวใจของกระหม่อมคิดแค่เพียงว่า เรื่องของราชสำนักก็เป็นเพียงพระราชโองการของฝ่าบาทก็เท่านั้น เป็นข้าราชบริพารนั้นพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ในใจนั้นยังคาดเป็นห่วงราษฎร มุ่งมั่นและตั้งใจไปกระทำเรื่องนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทว่าดูเหมือนว่าวันนี้ กระหม่อมจะกระทำผิดเสียแล้ว”


 


 


ซูหลีพูดถึงตรงนี้พลันเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาของฉินเย่หาน แล้วเอ่ยว่า


 


 


“กระหม่อมผิดต่อฝ่าบาท และไม่อาจแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงเช่นนี้ต่อไปได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ควรให้กระหม่อมดำเนินการต่อแล้ว ดังนั้นกระหม่อมอยากจะขอความเมตตา โปรดฝ่าบาททรงนำเรื่องนี้ให้กรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้ง…”


 


 


นางพลันหยุดพูดกะทันหัน ใบหน้าเล็กจิ้มขาวดุจกระเบื้องมีประกายความวูบไหว อีกทั้งยังมีความซับซ้อน


 


 


“กระหม่อมอยากจะร้องขอให้ฝ่าบาททรงปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่งเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่าง เพิกถอนตำแหน่งถ้านฮวา บัณฑิตที่สอบติดราชการอันดับ 3 ของการสอบเอินเค่อ และทรงอนุญาตให้กระหม่อมลาออกจากตำแหน่งขุนนางกลับไปบ้านด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ฮือฮา!


 


 


คนในราชสำนักล้วนเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมาก ยามที่ซูหลีเอ่ยขึ้นก็พอจะมีคนคาดคะเนได้ว่า นางพูดถ่อมตัว ดึงตัวออกจากเรื่องนี้ ทว่าคาดไม่ถึงว่าว่าทันทีที่คนผู้นี้เอ่ยปากพูด จะสามารถก่อความวุ่นวายทั่วทั้งราชวงศ์ต้าโจวถึงเพียงนี้!


 


 


นี่ก็ไม่ใช่การก่อความวุ่นวายหรือ!?


 


 


ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้าโจวมา ยังไม่เคยมีขุนนางที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่ถึง 1 ปีคนไหน ที่จะร้องของลาออกในท้องพระโรงเช่นนี้


 


 


ยิ่งไม่มีใครที่สอบติดราชการแล้ว ร้องขอให้ฝ่าบาททรงเพิกถอนตำแหน่ง


 


 


นะ นี่มัน…


 


 


อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เหล่าขุนนางที่เป็นคณะเสนาบดีอาวุโสก็ยังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป


 


 


อีกทั้งที่ซูหลีเอ่ยออกมานั้น มันคืออะไรกัน ทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง คล้ายกับกล่าวว่าตนไม่อาจแบกรับความหวังของฮ่องเต้ได้แล้ว ทว่าหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน จะพบว่าไม่ใช่เช่นนั้น…


 


 


อะไรที่กล่าวว่านางกระทำผิด นางไม่มีความสามารถ นี่ล้วนเป็นการด่าขุนนางทั้งรางสำนักแบบอ้อมๆ!


 


 


ด่าประฌามว่าพวกเขานั้นแบ่งกันเป็นพรรคเป็นพวก อีกทั้งยังด่าว่าสนามของขุนนางนั้นไม่เหมือนกับที่นางคิดเลยแม้แต่น้อย!


 


 


นี่…


 


 


นี่ซูหลีใจกล้าบ้าบิ่นโดยแท้


 


 


นางกลับกล้าพูดคำพูดที่ทำร้ายธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาโดยตลอดเช่นนี้ออกมา!


ตอนที่ 715 กระหม่อมทราบโทษดี 


 


 


สีหน้าของป๋ายไต้ซือที่คุกเข่าลงคล้ำเขียวไปหมดแล้ว 


 


 


เขาคิดไม่ถึงซูหลีเปิดโปงเขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นางแทบจะชี้จมูกเขาแล้วกล่าวว่า เขาคบพรรคสร้างพวก กล่าวว่าเขาใช้ประโยชน์จากผู้อื่น 


 


 


กล่าวว่าเขาทำร้ายขุนนางมือสะอาด! 


 


 


ทว่านี่ไม่ใช่เช่นนั้นหรือ!? 


 


 


คำพูดแต่ละคำ แต่ละประโยชน์ของซูหลีล้วนกล่าวว่านางถวายความจงรักภักดีให้แด่ฮ่องเต้และราชวงศ์ อีกทั้งยังคำนึงถึงราษฎรอีก 


 


 


มิหนำซ้ำยังเอ่ยว่ากระทำผิด ทว่านางมิได้เอ่ยตนเป็นคนผิด ทว่านางกลับพูดเสียดสีคนเหล่านี้ เสมือนเป็นการตบหน้าเขาอย่างจังๆ 


 


 


“ปัง!” ในขณะที่ป๋ายไต้ซือพิจารณาคำพูดของซูหลี กลับถูกเสียงนี้ทำให้ตกใจ 


 


 


“ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เขาพลันเห็นฮ่องเต้ที่มิได้แสดงท่าทางอารมณ์ใดๆ มาโดยตลอด ทุบแท่นฝนหมึกตรงหน้าพระพักตร์ของพระองค์จนแตก 


 


 


ในเวลานี้บรรยากาศภายในท้องพระโรงนั้นก็แปลกประหลาดและราวกับถูกแช่แข็งไว้ 


 


 


“กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


… 


 


 


ขุนนางในท้องพระโรงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคุกเข่าลงพร้อมกัน 


 


 


พวกเขายังจำได้ว่าคราก่อนที่ฮ่องเต้ทรงกริ้วโกรธขนาดนี้ เป็นช่วงที่เขาเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ ในเวลานั้น คนของไท่จื่อพระองค์ก่อนยังอยู่ในราชสำนัก และคนผู้นั้นยังต้องการต่อต้านฮ่องเต้ 


 


 


ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ได้เพียง 3 วัน และในวันที่สามพระองค์ก็ทรงบันดาลโทสะ หลังจากนั้น… 


 


 


เหล่าขุนนางที่หวนคิดถึงเรื่องในอดีต ถึงกับหนาวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ 


 


 


หลังจากที่ราชสำนักถูกชำระล้างอย่างใสสะอาด คนที่ถูกผลักออกจากตำหนักอวิ๋นเซียวไปตัดศีรษะนั้น มีจำนวนไม่น้อย กลิ่นโลหิตที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งยังมีเสียงร้องร่ำไห้ที่ผ่านไปนานก็ยังไม่จางหายไป ดังวนเวียนอยู่ภายนอกตำหนักอวิ๋นเซียวถึง 3 วัน 


 


 


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขุนนางเหล่านี้ล้วนเก็บอาการของพวกเขาเอาไว้ และจัดการเรื่องต่างๆ อย่างว่านอนสอนง่าย  


 


 


อีกทั้งไม่มีใครกล้าตั้งข้อกังขากับจักรพรรดิองค์ปัจจุบันอีก 


 


 


มีข่าวลือในหมู่ของผู้คนว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั้นเป็นผู้ใจคอโหดเ**้ยมและกระหายเลือด เขามิใช่องค์จักรพรรดิที่มือสะอาด 


 


 


หลังจากนั้น 2 ปีที่ผ่านมาฮ่องเต้มิเคยกริ้วอีกเลย อีกทั้งยังทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อให้ราชวงศ์ต้าโจวก้าวสู่ช่วงที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุด 


 


 


เป็นเพราะยุคที่เจริญรุ่งเรืองนี้ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างหลงระเริงอยู่ในช่วงความคิดที่ก้าวไกลของฮ่องเต้พระองค์นี้ จนหลงลืมภาพต่างๆ ที่ทำให้เกิดการนองเลือดในราชสำนักในปีนั้น 


 


 


บัดนี้ถูกซูหลีใช้คำพูดสั้นๆ กระตุ้นเขาเช่นนี้ คนเหล่านั้นจะไม่กลัวได้อย่างไร 


 


 


โดยเฉพาะป๋ายไต้ซือที่เป็นผู้นำของพวกเขา ที่มักจะถือว่าตนเป็นผู้อาวุโสและเที่ยวดูถูกขุนนางคนอื่นมาโดยตลอด ก็ยังมีสีหน้าและท่าทีที่เปลี่ยนไป 


 


 


และในขณะที่ขุนนางคนอื่นๆ เงียบกริบ มีเพียงคนผู้หนึ่งที่ยังยืนตัวตรงเช่นนี้  


 


 


เขาเชิดหน้าขึ้นสูงใบหน้ายังกับคนไร้ความกังวลต่อสิ่งใดทั้งสิ้น  


 


 


ภายในดวงตาสีดำดุจน้ำหมึกไม่มีความขี้ขลาดและท้อถอยเลยแม้แต่น้อย 


 


 


ฉินมู่ปิงก็คุกเข่าตามขุนนางคนอื่นๆเช่นกัน ทว่าสายตาของเขาคล้ายกับติดอยู่ที่ร่างของซูหลีมิปาน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิอาจละสายตาออกจากซูหลีได้ 


 


 


คนผู้นี้… 


 


 


เกรงว่าหากเขาโพล่งออกไปว่าซูหลีเป็นสตรี ก็คงไม่มีใครเชื่อ 


 


 


ความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใครเช่นนี้ อีกทั้งยังมีท่าทางโอหังของนาง หากกล่าวว่านางจะได้เป็นหัวหน้าคณะเสนาบดีอาวุโสคนต่อไป นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว  


 


 


ในสายตาของฉินมู่ปิงมีความซับซ้อนเกินจะเปรียบเปรย สกุลป๋ายนั้นประมาทศัตรูเกินไปแล้ว เขาก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วมิใช่หรือ 


 


 


วิธีที่ดีก็คือถอยออกมาตั้งหลัก เพื่อรอคอยโอกาสใหม่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปในราชสำนักยังจะมีใครกล้าเกิดข้อกังขากับซูหลี แม้ครึ่งประโยคกัน 


 


 


นี่เป็นการผลักนำตัวเองเข้าไปสู่การสร้างพรรคสร้างพวกอย่างที่ซูหลีกล่าวไว้ว่า เป็นคนคดโกงโดยไม่คำนึงถึงราชสำนัก ราษฎรและฮ่องเต้! 


 


 


ถ้านฮวาที่อายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ กลับยืนอยู่ในราชสำนักได้อย่างมั่นคงเป็นอย่างมาก!  


 


 


“ซูหลี! เจ้ารู้ความผิดของตนหรือไม่” คล้ายกับกำลังเป็นการยืนยันในความคิดของฉินมู่ปิงทั้งหมดมิปาน เขาได้ยินฉินเย่หานที่อยู่บนพระที่นั่ง ใช้น้ำเสียงเย็นยะเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา 


 


 


“กระหม่อมทราบโทษของกระหม่อมดี” เมื่อฮ่องเต้ทรงถาม นางก็แค่ตอบและก้มศีรษะลง 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 716 การสรรเสริญของขุนนางทั้งราชสำนัก 


 


 


นางก้มศีรษะลง เผยให้เห็นลำคอที่งามลออและละเอียดอ่อนของนาง 


 


 


ผิวขาวดุจกระเบื้องเคลือบนั้นทำให้ฉินมู่ปิงที่จ้องมองอยู่ถึงกับใจเต้นรัว ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพลันพลุกพล่านออกมาในทันที 


 


 


“โทษอยู่ที่ใด” ฉินเย่หานจ้องมองตาไม่กะพริบ สายตาของเขานั้นมีความกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน 


 


 


ทว่าร่างของซูหลีกลับไม่ขยับเขยื้อน คนรอบข้างนั้นคิดว่านางมีแผนอยู่ในใจอยู่แล้ว ไฉนจะรู้ว่าสายตาดุจดาบที่แหลมคมมิปานจะจดจ่ออยู่ที่ร่างของนาง ทำให้แผ่นหลังของนางถึงหนาววูบ เนื้อตัวเกิดความเย็นยะเยือกไปหมด 


 


 


แต่นางทราบดีว่า วันนี้นางไม่สามารถถอยออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว มิเช่นนั้นต่อไปหากนางต้องการกระทำสิ่งใด คงจะดำเนินไปอย่างยากลำบาก 


 


 


“กระหม่อมทราบดีว่าท้องพระโรงเป็นสถานที่ซับซ้อนนัก ก็ยังมุมานะกระทำเรื่องอย่างเงียบๆ แม้จะรู้ว่ากระทำไม่ได้ แต่ก็ยังฝืนกระทำต่อไป แม้จะรู้ดีว่า…” 


 


 


“บังอาจนัก!” ซูหลียังไม่ทันจะเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงตบโต๊ะเสียงดังจากเบื้องบนและน้ำเสียงที่เย็นยะเยียบไปถึงกระดูก 


 


 


ซูหลีเลิกชายชุดขุนนางขึ้น คุกเข่าลงอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยว่า “ฮ่องเต้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


คำพูดประโยคนี้อีกแล้ว! 


 


 


มีประกายความเข้มงวดพาดผ่านในดวงตาของฉินเย่หาน นางอยู่ต่อหน้าฉินเย่หานนั้น เพราะมีคนหนุนหลังนางจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวเป็นอย่างมาก หลายคราที่เขาตำหนินาง ทว่าเขากลับมิเคยลงโทษนางมาก่อน 


 


 


“ดี! ดี!” ฉินเย่หานลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นฝ่าบาททรงลุกขึ้นยืน เหล่าขุนนางก็ต่างพากันทรุดตัวคุกเข่าลง ก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นสบตากับฝ่าบาท 


 


 


มีเพียงซูหลีที่คุกเข่าลำตัวเหยียดตรง และใบหน้ายังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ 


 


 


ฉินเย่หานโมโหจนแค่นเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “จากที่เจ้าพูดมาทั้งหมด นี่จะเป็นความผิดของเจ้าได้อย่างไร ขุนนางล้วนต้องปกป้องขุนนางด้วยกัน ขุนนางมือสะอาดนั้นยากที่จะเป็นได้ นี่กลับเป็นความผิดของเราแล้วมิใช่หรือ!” 


 


 


“ฝ่าบาททรงระงับความโกรธลงเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านล่างแทบจะเสียสติแล้ว เบื้องล่างนั้นมีแต่เสียงขอร้องอ้อนวอน 


 


 


ใบหน้าของป๋ายไต้ซือซีดขาว แข้งขานั้นเริ่มอ่อนแรง เขาแทบจะทำความเคารพแล้วสลบไสลไปทันที! 


 


 


ซูหลีกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลยสักนิด ดูจากอากัปกิริยาของฮ่องเต้แล้ว สกุลป๋ายเกรงว่า… 


 


 


“ทะ ทูลฝ่าบาท!” ศีรษะของป๋ายไต้ซือเต็มไปด้วยเหงื่อ ในเวลานี้เขามิอาจแสร้งโง่ต่อไปได้ หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคนที่ต้องตายในวันนี้จักต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน ทว่าไม่ใช่ซูหลีที่กล่าวว่าจะลาออกจากตำแหน่งและกลับบ้าน! 


 


 


“ใต้เท้าซูนั้นคำนึงถึงแว่นแคว้นและราษฎร เป็นกระหม่อมที่ใช้จิตใจต่ำช้ามาวัดจิตใจวิญญูชน ที่จริงแล้วเป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


ซูหลีที่อยู่ด้านข้างกลับไม่พูดไม่จา ป๋ายไต้ซือก็มิได้จัดการยากกว่าพ่อลูกสกุลเฉิงมากนัก 


 


 


ดูเหมือนว่าวันนี้แม้จะอยากโค่นสกุลป๋าย ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว 


 


 


แน่นอนว่า นางก็ไม่คิดว่าจะสำเร็จในครานี้ นางก็แค่อาศัยเหตุผลนี้โจมตีพวกเขาคำรบหนึ่ง ถือโอกาสสร้างชื่อเสียงเสียหน่อย 


 


 


หากนางสามารถข่มขู่ขุนนางที่โอ้อวดที่มีบารมีสูงส่งเหล่านั้นได้ จากนี้ต่อไปพวกเขาก็ไม่กล้าตอบโต้นางอย่างง่ายๆ 


 


 


เช่นนี้ก็นางถึงสามารถตรวจสอบเรื่องสกุลหลี่ในอดีตได้ 


 


 


บัดนี้ เรื่องนี้นางทำสำเร็จแล้ว! 


 


 


“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าซูเป็นผู้ที่สามารถแบกรับภาระหน้าที่ที่สำคัญได้ วิธีรักษาโรคระบาดนั้น สามารถช่วยเหลือขุนนางและราษฎรได้จำนวนไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ…” 


 


 


“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าซูก็แค่เด็กหนุ่มที่มีโทสะมากไปเท่านั้น ทนแบกรับความไม่เป็นธรรมไม่ได้ และพูดจาเถรตรงไปบ้าง! พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ฝ่าบาทโปรดให้อภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


… 


 


 


ทันทีที่ป๋ายไต้ซือเปิดประเด็น ในเวลานี้ทุกคนต่างพากันวิงวอนร้องขอแทนซูหลี 


 


 


แม้แต่เหล่าขุนนางที่ไม่ค่อยชอบนางนัก ก็ยังกระทำตาม 


 


 


ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ในเวลานี้หากพูดช้าไปก้าวเดียว หากโทษนี้ตกอยู่บนร่างของฮ่องเต้จริงๆ เช่นนั้นก็จะต้องตายสถานเดียว! 


 


 


คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนฉลาด รักชีวิตและกลัวตายเป็นอย่างมาก 


 


 


ไยจะสามารถปล่อยให้ตนเองถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่มีความผิดได้กัน 


 


 


แน่นอนว่าจักต้องร้องขอความเมตตาเพื่อนาง อีกทั้งต้องพูดว่านางยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง ไม่หวาดหวั่นต่ออำนาจบาตรใหญ่ เป็นขุนนางเนื้อดีที่ภักดีอย่างหนักแน่น! 


 


 


ในขณะนี้บนท้องพระโรงช่างครึกครื้นเป็นอย่างมาก ชีวิตทั้งสามชาติของนางรวมกันแล้วยังไม่เคยได้ยินคำพูดสรรเสริญมากมายขนาดนี้ 


 


 


แต่นี่กลับทำให้พ่อลูกสกุลป๋ายมีสีหน้าเขียวคล้ำ 


ตอนที่ 717 ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ชั่วกาลนาน 


 


 


ในชั่วขณะนี้ซูหลีกลับกลายเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงดีเป็นอันดับต้นๆ แห่งยุคไปเสียแล้ว 


 


 


เกรงว่าหากเป็นไปตามที่พวกเขาพูดชมเชยนางจริงๆ นางคงจะมีชื่อเสียงอันดีงามไปตลอดกาล 


 


 


สีหน้าของนางไม่วูบไหวเลยแม้แต่น้อย แต่มือที่อยู่ข้างใต้นั้นกลับคลายลง 


 


 


นางนั้นชมดูอากัปกิริยาของคนสกุลป๋ายที่ชอบเข้ามาให้นางเหยียบถึงที่ 


 


 


สกุลป๋ายนั้นไม่ชื่นชอบนาง และยังอยากจะใช้วิธีเช่นนั้นลากนางมาเป็นพวก บัดนี้นางเหยียบคอพวกเขาปีนขึ้นไปด้านบนแล้ว พวกเขารู้สึกอย่างไรบ้าง 


 


 


คงจะดีเยี่ยมจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้กระมัง 


 


 


“ทูลฝ่าบาท เรื่องผงฝิ่นที่จัดการในมือของใต้เท้าซู เดิมเป็นคำพูดที่ขาดหลักฐานที่มา บัดนี้กลับมีหลักฐานอย่างชัดเจนแล้ว คนที่ได้รับโทษไม่ใช่ใต้เท้าซู ทว่าเป็นคนอื่นพ่ะย่ะค่ะ” บัณฑิตเซี่ยที่อยู่ในความเงียบมาโดยตลอด ในเวลาเขากลับยืนขึ้นมองเอ่ยคำพูดที่ยุติธรรมออกมา 


 


 


ซูหลีกวาดตามองเขาปราดหนึ่ง คำพูดประโยคนี้ดูเหมือนจะช้าไปบ้าง ทว่าก็เป็นประจวบที่จะหาทางลงให้นางพอดี 


 


 


บัณฑิตเซี่ยเป็นบิดาของเซี่ยอวี่เสียน เขาไม่ค่อยลงรอยกับสกุลป๋ายนัก ศัตรูของศัตรูก็คือว่าเป็นสหาย 


 


 


ซูหลีนั้นคล้อยตามที่เขาพูด นางหมอบลงไปแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมอายุยังน้อย ไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ใช้ปณิธานความตั้งใจจัดการเรื่องนี้ กระหม่อมมิเคยคิดจะใส่ร้ายป้ายสีราชสำนัก หากทำให้ฮ่องเต้รู้สึกรำคาญพระทัย เช่นนั้นก็หวังว่าฮ่องเต้จะทรงลงโทษกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ในเมื่อผู้อื่นขั้นบันไดมาให้แล้ว นางก็ลงไปตามขั้นบันไดที่มอบให้ไว้ 


 


 


ในเวลานี้สายตาที่ถูกคนมองที่ซูหลี ล้วนมีความประหลาดใจเป็นอย่างมาก 


 


 


คนผู้นี้ทำให้ทุกคนที่กำลังปรบมืออยู่นั้น…อยู่ในความเกลียดแค้นเป็นอย่างมาก! ทว่าบัดนี้พวกเขาไม่สามารถเอ่ยออกมาว่าเกลียดได้ ซ้ำยังต้องช่วยเหลือและพูดชื่นชมคนผู้นี้ด้วยเสียอีก 


 


 


ความรู้สึกเช่นนี้…ช่าง…! 


 


 


ทว่าใครใช้ผู้นี้มีความสามารถเช่นนี้กัน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ฮ่องเต้ไม่สามารถรับได้ก็คือการถูกขุนนางใต้อาณัติหลอกลวงพระองค์เอง 


 


 


เรื่องนี้เช่นนี้ แม้แต่ทรราชเหล่านั้นก็ยังทนไม่ได้ นับประสาอะไรกับจักรพรรดิผู้ปรีชาญาณองค์ปัจจุบันกัน 


 


 


หากอยากมีชีวิตต่อไป ก็ต้องเดินตามไปทางเดียวกันกับนาง นี่ถึงเป็นสิ่งที่น่าโมโหที่สุด 


 


 


แม้เวลาที่ฮ่องเต้ผู้นี้ขึ้นครองราชย์จะไม่ยืนยาวนัก ทว่าอุปนิสัยที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่มั่นคง เรื่องในวันนี้ขุนนางยังคิดว่าจะต้องพูดโน้มน้าวเขาอีกนาน คิดไม่ถึงว่า… 


 


 


“เจ้ามักเป็นคนที่รู้จักยอมรับผิด ฝีปากลื่นไหล ทว่าในใจมักไม่เป็นไปตามที่คนคาดไว้” ฉินเย่หานเอ่ยปากเช่นนี้ อีกทั้งน้ำเสียงยังมีความเย็นชาอยู่บ้าง 


 


 


ทว่าดูท่าทีของเขาแล้ว กลับดูเหมือนว่าจะคืนสู่ความสงบแล้ว 


 


 


เขาทำเหมือนกับว่า คนที่โมโหจนโยนแท่นฝนหมึกลงมาข้างล่าง ไม่ใช่เขามิปาน 


 


 


ใบหน้าที่งดงามดุจเทพบุตรเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เขายืนอยู่บนพระที่นั่งแล้วมองซูหลีด้วยความเย็นชา ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นมีความใกล้ชิดอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“กระหม่อมทางถึงความผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้จะโมโหถึงเพียงใด ก็ไม่ควรพูดจาซี้ซั้วเช่นนั้นจนทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลีในเวลานี้ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าจะแสดงท่าทีเหิมเกริมเหมือนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


และไม่มีท่าทีเสียสติที่คิดจะลาออกจากตำแหน่งขุนนางต่อหน้าขุนนางในราชสำนักแล้ว 


 


 


นี่ช่าง… 


 


 


ช่างเป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเคียดแค้นจนเข็ญเขี้ยวเคี้ยวฟันและจนปัญญาโดยแท้ 


 


 


“ครานี้ถือแล้วผ่านไปแล้ว เราเห็นแก่คุณูปการหลายๆ คราของเจ้า ไม่อยากจะถือสาเจ้าอีก ทว่าหากคราหน้ายังเป็นเช่นนี้ เราจะไม่ยกโทษให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของฉินเย่หานเต็มไปด้วยความเย็นยะเยียบ ทว่าขุนนางที่คุ้นเคยกับอารมณ์เช่นนี้ของเขากลับเข้าใจดี 


 


 


สถานการณ์ในเวลานี้ดีขึ้นมากแล้ว 


 


 


ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ สายตาที่มองซูหลีนั้นแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีเอ่ยขานรับอย่างว่าง่าย 


 


 


นี่แม้เป็นการเตือนซูหลี ทว่าในใจขอคนเหล่านี้ล้วนประจักษ์อย่างชัดเจนประหนึ่งกระจกใสมิปาน 


 


 


ฮ่องเต้นั้นทรงโปรดซูหลี อีกทั้งยังทรงโปรดจนเกินไป มองดูอย่างใส่ใจและประคบประหงมเช่นนี้ นี่เป็นท่าทีที่จักรพรรดิปฏิบัติต่อขุนนางเสียที่ไหนกัน หากไม่รู้พวกเขายังจะคิดว่า… 


 


 


แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องนี้พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ส่งเดชได้ 


 


 


ทว่าท่าทีของฮ่องเต้ แค่มองปราดเดียวก็ทราบแล้ว 


 


 


หลังจากนี้จะมีใครกล้าใช้ความสามารถและประสบการณ์มาข่มขู่ซูหลีกัน 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 718 เจตนาแก้เผ็ด 


 


 


นั่นไม่ต่างอะไรกับการเข้าไปยุแหย่ฮ่องเต้และรนหาที่ตายหรือ 


 


 


“ฝะ ฝ่าบาท!” เรื่องที่เปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิด ทำให้ในที่สุดป๋ายไต้ซือก็สงบลง เขาคิดถึงคำพูดเมื่อวานที่ฉินมู่ปิงเอ่ยกับเขามาก่อน เขาหมอบตัวลงแล้วเอ่ยว่า 


 


 


“กระหม่อมพลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ บุตรชายของกระหม่อมมีข้ารับใช้ที่ติดตามข้างกาย นามว่า ฝูวั่ง ข้ารับใช้ผู้นั้นติดตามบุตรชายของกระหม่อมตั้งแต่ยังเด็ก การฝึกเขียนตัวหนังสือตัวแล้ว ก็เป็นบุตรชายที่เป็นผู้สอน ฝูวั่งผู้นี้เป็นคนในหมู่บ้านปี้สุ่ย เรื่องนี้จักต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้ารับใช้ผู้นี้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


สำหรับการประณามของซูหลี ไม่อาจพูดถึงได้อีกแล้ว ทว่าเรื่องของผงฝิ่นยังต้องคงแก้ปัญหาต่อไป 


 


 


บัดนี้ในมือของซูหลีมีหลักฐานจำนวนมาก แม้ป๋ายไต้ซือจะอยากหลุดจากเรื่องนี้อย่างหมดจดอย่างไร ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ 


 


 


เขาผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “ยังมีบางเรื่องที่ฝ่าบาทยังทรงมิทราบ หลายวันก่อนติ้งอันโหวถูกส่งไปเป็นนายอำเภอประจำอำเภอหลิงหนาน และเคยมาหากระหม่อม หวังว่ากระหม่อมจะไปติดต่อผู้อื่นให้แก่เขา ทว่าเรื่องอำเภอหลิงหนาน ฝ่าบาทเคยทรงรับสั่งด้วยตัวพระองค์เอง กระหม่อมมิบังอาจยุ่งกับเรื่องนี้” 


 


 


“คงจะเป็นหลังจากที่กระหม่อมปฏิเสธใต้เท้าเสิ่นไป ใต้เท้าเสิ่นคงจะรู้สึกเกลียดแค้นกระหม่อมอย่างมาก จึงแอบสมคบคิดกับฝูวั่งผู้นั้น และนำโทษที่ไม่มีจริงมาใส่ร้ายบุตรชายของกระหม่อม!” 


 


 


“ฝูวั่งผู้นั้นติดตามข้างกายบุตรชายของกระหม่อมตั้งแต่ยังเล็ก ยามอยู่ในจวนก็มีอำนาจคล้ายกับนายท่านคนหนึ่งมิปาน ใต้เท้าเสิ่นเพิ่งจะกลับเข้ามาในเมืองหลวงสักระยะหนึ่ง ก็คงจะแอบอาศัยอำนาจของสกุลป๋ายผ่านฝูวั่งผู้นี้ จึงได้กล้ากระทำเรื่องนี้บ้าบิ่นถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ ทูลฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดของป๋ายไต้ซือ ใบหน้าของนางถึงกับผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงมองป๋ายไต้ซือด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มปราดหนึ่ง 


 


 


ป๋ายไต้ซือมีท่าทางตอบสนองเร็วโดยแท้ หลังจากนำกลุ่มขุนนางร้องขอเมตตาให้แก่นาง นางก็ทราบแล้วว่า วันนี้หากต้องการกระทำสิ่งใดต่อคงไม่ได้แล้ว 


 


 


เพียงแต่ไม่คิดว่าป๋ายไต้ซือจะละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ ยังมีการเตรียมการล่วงหน้าเช่นนี้ 


 


 


แน่นอนว่าเมื่อนำเรื่องข้ารับใช้คนหนึ่งมาพูด ก็เป็นการทำให้ดึงตัวเองออกจากการเป็นที่ต้องสงสัย 


 


 


ทว่าการที่เขาพูดอย่างเหตุมีผล กลับสามารถทำให้คนเชื่อถือขึ้นหลายส่วน 


 


 


“ใต้เท้าป๋ายนี่ช่างพูดจาส่งเดชโดยแท้!” หลังจากที่เสิ่นฉางชิงรู้สึกอึ้งไปเพราะซูหลี เขาก็พูดตอบโต้ป๋ายไต้ซือ 


 


 


“ใต้เท้าเสิ่น เจ้าเอ่ยออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่าบุตรชายของข้าไปมาหาสู่กันเจ้า นอกจากสมุดและจดหมายนี่แล้ว เจ้ายังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่ หรือว่าพยานบุคคลหรือไม่” แม้ป๋ายไต้ซือไม่กล้าที่จะปะทะฝีปากกับซูหลี มิได้หมายความว่าเขารู้สึกกลัว 


 


 


โดยเฉพาะคนอย่างเสิ่นฉางชิง เขายิ่งไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย 


 


 


หลังจากเสิ่นฉางชิงได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ข้างกายของเขาไม่มีพยานบุคคลอยู่จริง ทุกครั้งที่ป๋ายเฮ่อไปมาหาสู่กับเขานั้นจะรอบคอบเป็นอย่างมาก จึงไม่เคยให้ผู้อื่นอยู่ในนั้นมาโดยตลอด 


 


 


ก่อนป๋ายถานจะเข้ามาเป็นสนมในวัง ก็เคยเจอเจียงโม่อวี้คราหนึ่ง 


 


 


ทว่าเจียงโม่อวี้ไม่ทราบว่าเขาทำเข้าตกลงกับสกุลป๋าย เพียงแค่ทราบสกุลป๋ายช่วยเหลือพวกเขา ถึงทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากอำเภอหลิงหนานที่น่ากลัวแห่งนั้นได้ 


 


 


เจียงโม่อวี้ไปขอบคุณป๋ายถาน นี่ไม่ถือว่าเป็นหลักฐานอะไรได้ 


 


 


ป๋ายไต้ซือเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรออกมา จึงอาศัยช่วงเวลานี้รีบเอ่ยต่อว่า “ทูลฝ่าบาท คำพูดของใต้เท้าเสิ่นเพียงคนเดียวไม่น่าเชื่อถือพอ นี่เป็นสมุดบันทึกที่ใต้เท้าเสิ่นเขียนด้วยตนเอง หากต้องการจะปลอมแปลงสักเล่มถึงว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก” 


 


 


“ทว่าฝูวั่งผู้นั้นอยู่กับบุตรชายของกระหม่อมตั้งแต่ยังเล็ก และสามารถเลียนแบบตัวหนังสือของบุตรชายได้ และนี่ถือเป็นเรื่องปกติ ทูลฝ่าบาท ไม่ว่าจะกระหม่อมหรือป๋ายเฮ่อมิกล้าแตะต้องของสิ่งนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ขอให้ฝ่าบาทโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


นี่ช่างเจ้าเล่ห์โดยแท้… 


 


 


ซูหลีเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน ในใจยิ่งเข้าใจดี ครานี้หากต้องการใช้เรื่องผงฝิ่นล้มสกุลป๋าย คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว 


 


 


“หากที่ป๋ายไต้ซือเอ่ยว่า เรื่องนี้เดิมเป็นข้ารับใช้ที่ชั่วร้ายผู้นั้น กับใต้เท้าเสิ่นเจตนาแก้เผ็ดท่านเช่นนั้นหรือ” 


ตอนที่ 719 ลงโทษหลังใบไม้ผลิ


 


 


ป๋ายไต้ซือได้ยินเช่นนี้ร่างกายสั่นเทิ้ม ปิดเปลือกตาลงและเอ่ย “เป็นความผิดของกระหม่อมเอง ขอฝ่าบาทโปรดทรงลงอาญาด้วย”


 


 


การจะผลักภาระเรื่องพวกนี้ให้เด็กรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรก็ย่อมได้ แต่หากเกิดขึ้นกับเขาจะกลายเป็นบกพร่องในการสั่งสอนทันที ซูหลียิ้มเย็น หลุบสายตาก้มศีรษะ ไม่พูดอะไรอีก


 


 


จะใช้แค่เรื่องนี้โค่นบ้านสกุลป๋ายก็ถือว่ายากลำบากเอาการ


 


 


แต่อย่างน้อย…


 


 


“เรียกโจวเว่ยมา” ฉินเย่หานที่อยู่ด้านบน เมื่อประทับบนบัลลังก์แล้ว ทรงปั้นสีพระพักตร์เย็นชา แต่ก็ทรงไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมามากนัก


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” หวงเผยซานรับคำ ลนลานเดินออกไปด้านนอก ทรงเรียกหาโจวเว่ย


 


 


“ถวายบังคมฝ่าบาท” โจวเว่ยเห็นคนในตำหนักคุกเข่าลงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงแต่คุกเข่าลงถวายบังคมเท่านั้น และรอฟังกระแสรับสั่งของฮ่องเต้


 


 


“ไปที่จวนป๋ายไต้ซือ เรียกเด็กรับใช้ที่ชื่อฝูวั่งมา” สีพระพักตร์นิ่งเฉย ตรัสด้วยพระสุรเสียงเยือกเย็น


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“อนึ่ง ถ่ายทอดพระบรมราชโองการ เด็กรับใช้ของป๋ายเฮ่อผู้นี้คบค้าสมาคมกับติ้งอันโหว ปลูกดอกฝิ่นเป็นโทษใหญ่หลวง ป๋ายเฮ่อขุนนางกังฉินแอบอ้างเบื้องสูง ตั้งแต่วันนี้ไปให้ขับออกจากราชการ ริบศักดินา และห้ามเข้าร่วมการสอบเคอจวี่เป็นเวลาห้าปี!”


 


 


“ป๋ายไต้ซือบกพร่องในการสอนสั่ง ตัดเบี้ยหวัดหนึ่งปี กักบริเวณสามเดือน หากทำผิดอีก…” แววพระเนตรเย็นชาจ้องป๋ายไต้ซือ


 


 


แววตาของโอรสสวรรค์ทำให้คนสบตาใจสั่นระรัว ราวกับว่าทรงทำร้ายอีกฝ่ายด้วยสายตาได้จริงๆ


 


 


ถึงจะเป็นคนอย่างป๋ายไต้ซือก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน


 


 


“ประหารชีวิตเท่านั้น!”


 


 


หน้าป๋ายไต้ซือเปลี่ยนสี ร่างกายเขาสั่นระริก เขาลนลานแนบลงบนพื้น เอ่ยเสียงสูง “กระหม่อม ขอบพระทัยที่พระองค์ทรงเมตตา ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”


 


 


แต่เสิ่นฉางชิงที่อยู่ด้านข้าง สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง ลอบปลูกฝิ่นนั้นเป็นโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต ผู้ชักใยเบื้องหลังกลับโดนลงโทษเพียงเท่านี้แต่เขากลับต้อง…


 


 


“ติ้งอันโหวเสิ่นฉางชิง ลอบปลูกฝิ่น และยังใช้ฝิ่นหาเงิน ส่งผลเสียต่อราชสำนัก ไม่อาจลดโทษให้ได้ จับเขาไปขังคุกหลวง ลงโทษหลังใบไม้ร่วง!”


 


 


ผลั่ก! เสิ่นฉางชิงทรุดลงไปบนพื้น ใบหน้าซีดเผือด


 


 


ร่วมมือกับคนสกุลป๋าย ถึงกับต้องชดใช้ด้วยชีวิตของตนเอง ตอนนี้ซูหลีคงไม่ต้องพูดมาก เสิ่นฉางชิงอยากจะโยนเรื่องนี้ไปให้คนสกุลป๋าย


 


 


แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องนี้ขาดพยาน ไม่มีคนแก้ต่างให้เขา ไม่ว่าเขาพูดอะไร คนกะล่อนอย่างป๋ายไต้ซือก็มีวิธีเอาตัวรอดไปได้เสมอ!


 


 


“ฝ่าบาท ฝ่าบาท เรื่องนี้ป๋ายเฮ่อเป็นคนสั่งให้กระหม่อมทำ ฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วย…” เขาไม่อาจแก้ตัวได้แล้ว ถูกทหารองครักษ์ลากออกจากตำหนัก ปากก็ยังคงสบถด่าคู่พ่อลูกสกุลป๋ายไม่หยุดปาก


 


 


ซูหลีชะงัก หันศีรษะมองอย่างอดไม่ได้ จ้องคนผู้นั้นเต็มตา


 


 


สภาพเขาบ้าคลั่ง ดูอนาถอย่างบอกไม่ถูก โขกศีรษะตัวเองไม่หยุด แต่ก็ยังคงดิ้นรนไม่หยุด สุดท้ายก็โดนทหารองครักษ์ถูลู่ถูกังออกไป


 


 


ซูหลีถอนหายใจ สีหน้าลนลานเล็กน้อย


 


 


นางคิดถึงวันสุดท้ายในการมีชีวิตอยู่ของนาง ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่ฝนโหมกระหน่ำตนเองคุกเข่าตรงหน้าเสิ่นฉางชิง เนื้อตัวสั่นเทิ้ม อ้อนวอนเขาให้ปล่อยนางไปช่วยคนที่บ้าน


 


 


ตอนนั้นคิดไปแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ


 


 


ที่จริงแล้วถือได้ว่านางได้เกิดใหม่อีกครั้ง


 


 


แต่คราวนี้เรื่องราวเปลี่ยนไปแล้ว เสิ่นฉางชิงกลายเป็นคนที่รอความตายแทน


 


 


แววตาซูหลีเย็นชา แต่ทว่านี่เป็นแค่ขั้นแรกเท่านั้น


 


 


เรื่องของสกุลหลี่!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 720 องค์หญิงทรงเชิญ


 


 


นางจะต้องสืบเรื่องนี้ให้ได้ ต้องดูให้ได้ว่าทำไมบ้านสกุลหลี่ถึงต้องโดนฆ่าล้างสกุล!


 


 


เรื่องวันนี้ อันที่จริงบทลงโทษที่สกุลป๋ายโดนไม่น้อยเลย


 


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายเฮ่อโดนริบตำแหน่งไป ภายใน 5 ปีจะไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้ อย่าคิดว่าเป็นระยะเวลาแค่ 5 ปีสั้นๆเท่านั้น


 


 


ป๋ายไต้ซืออายุก็ไม่ใช่น้อยๆ ใน 5 ปีนี้ สกุลป๋ายไม่มีใครรับช่วงต่อในราชสำนัก เช่นนั้นแล้วจะทำให้ขั้วอำนาจของสกุลป๋ายขาดช่วงไป หรืออาจจะถึงกับทำให้สกุลป๋ายอ่อนแอลง


 


 


ถึงจะบอกว่าอูฐผอมก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า แต่เมื่อเจอเรื่องนี้เข้า เกรงว่าสกุลป๋ายคงจะร่วงลงจากตำแหน่งตระกูลสูงศักดิ์อันดับแรกของราชสำนักแล้ว


 


 


ไม่ต้องนับเรื่องที่ป๋ายเฮ่อจะสอบได้หรือไม่ในอีกห้าปีข้างหน้า ต่อให้สอบติด สกุลป๋ายก็ไม่มีทางเป็นสกุลป๋ายในวันวานอีกแล้ว


 


 


โดยสรุปก็คือซูหลีพออกพอใจกับผลลัพธ์นี้


 


 


ส่วนที่สกุลป๋ายเคยมาพูดเรื่องสมรสที่สกุลซู ย่อมไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้อีก เพราะเรื่องเลยเถิดมาจนถึงตอนนี้แล้ว ซูหลีจัดการลากสกุลป๋ายลงมาจากสกุลสูงศักดิ์ลำดับแรกๆ


 


 


ยังจะพูดเรื่องเกี่ยวดองกันอีกเหรอ?


 


 


ไม่เอาคืนก็ถือว่าใช้ได้แล้ว!


 


 


“เลิกได้…”


 


 


เพราะว่าซูหลีก่อเรื่องเช่นนี้ เรื่องที่ถวายรายงานฝ่าบาทต่อมา จึงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเปรียบเทียบกัน จนไม่ควรค่าให้ใส่ใจ


 


 


ซูหลีเหม่อลอย จึงไม่ได้ฟังเรื่องหลังจากนั้นอย่างละเอียด จนได้ยินเสียงหวงเผยซาน นางถึงได้สติ


 


 


“เจ้าเก่งเสียจริง!” เมื่อเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นฉินเย่หานยืนอยู่ตรงหน้านาง ด้วยท่าทีโกรธเกรี้ยว!


 


 


“ก็เก่งทั่วๆไป” ซูหลีเลิกคิ้ว ไม่ถ่อมตัวแม้แต่น้อย นอกจากฝ่าบาททรงลงโทษคนทั้งสองแล้ว ยังทรงประทานรางวัลให้ซูหลีไม่น้อยเลย


 


 


เพียงแต่ว่านางเพิ่งจะเป็นขุนนางระดับหนึ่ง ยังไม่เลื่อนตำแหน่ง แต่เงินรางวัลนี้ไม่น้อยเลย ยังทรงประทานที่นาให้นางด้วย


 


 


ทั้งหมดนี้เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น


 


 


ซูหลีย่อมรับรางวัลอย่างอารมณ์ดี


 


 


“ใต้เท้าซู!” ซูไท่เห็นท่าทางเช่นนี้ของซูหลี ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ได้ยินเสียงแบบนี้ดังขึ้นพอดี หันหน้าไปก็เห็นนางกำนัลในชุดแดงเดินมา ซูหลีนิ่งไปน้อยๆ


 


 


ซูหลีชะงักน้อยๆ จากนั้นก็มองนางกำนัลนางนั้น “พี่สาวมีอะไรหรือไม่?”


 


 


ใบหน้านางขาวนวลราวหยก ใบหน้านั้นน่าชมจนทำให้นางกำนัลหน้าแดงอย่างอดไม่ได้


 


 


“บ่าวชื่อหลิงเอ๋อร์เป็นบ่าวข้างกายองค์หญิงจินเย่ว์ ใต้เท้าซู องค์หญิงทรงเชิญท่านไปเฝ้า”


 


 


องค์หญิง…


 


 


ใบหน้าซูหลีตกตะลึง แล้วชะงักนิ่ง นึกถึงเรื่องที่ฉินเย่หานคุยกับนางอย่างอดไม่ได้


 


 


แล้วองค์หญิงจินเย่ว์ทรงเรียกหานาง คงจะไม่…


 


 


นางกระตุกมุมปาก คงจะไม่ล่ะมั้ง ไม่ว่าอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็เป็นถึงองค์หญิง คงจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นกระมัง


 


 


“เจ้านิ่งอยู่ทำไม ไม่ได้ยินพระกระแสรับสั่งขององค์หญิงเหรอ รีบไปเข้า!” ซูไท่ชะงักไป แต่เมื่อเขาเหลือบตาเห็นท่าทางของซูหลี ก็หงุดหงิด โบกมือไล่ซูหลีไปไกลๆ ทันที


 


 


ซูหลี “…”


 


 


ไม่รู้ว่าบิดาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรของนางคิดอะไรอยู่


 


 


ราชวงศ์ต้าโจวมีกฎคนที่อภิเษกสมรสกับองค์หญิง ซึ่งก็คือราชบุตรเขย จะไม่สามารถรับราชการได้


 


 


ดังนั้นไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม ซูหลีก็ไม่สามารถแต่งกับองค์หญิงได้


 


 


นางยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก อีกอย่างนางไม่ใช่ผู้ชาย สมรสกับองค์หญิงจะได้ยังไง?


 


 


“ไปเถอะ” ซูหลีถอนหายใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ต้องไปเข้าเฝ้าอยู่ดี นางไม่อาจทำให้องค์หญิงทรงรอได้


 


 


พูดให้ชัดเจนก็ดี


 


 


“เชิญใต้เท้าซูตามบ่าวมา” หลิงเอ๋อร์เห็นสถานการณ์เช่นนั้นค้อมศีรษะให้ซูไท่ แล้วนำซูหลีไปอีกทาง


ตอนที่ 721 พบกันในอุทยานหลวง


 


 


ตอนนี้กำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ในอุทยานหลวงกำลังจะบานออก ดอกไม้บานเต็มบริเวณ


 


 


ลมในใบไม้ผลิพัดผ่าน กลิ่นดอกไม้ที่หอมตลบอบอวลลอยหวนออกมา ซูหลีเดินตามหลิงเอ่อร์ไปตรงใจกลางอุทยาน ตื่นตกใจอย่างอดไม่ได้


 


 


ไม่ต้องพูดถึงส่วนอื่นในพระราชวัง พระราชอุทยานแห่งนี้งดงามละลานตา


 


 


เมื่อเดินเข้าไปด้านในแล้ว ก็จะเห็นดอกไม้หายากต่างๆ ปลูกไว้เป็นกอแน่นขนัด


 


 


“ใต้เท้าซู องค์หญิงทรงรอท่านอยู่” หลิงเอ๋อร์ชะงักฝีเท้าแล้วชี้ไปที่เก๋งจีนด้านหน้า


 


 


ซูหลีเหลือบตาขึ้นมองเห็นเก๋งจีนหลังนั้น สร้างอยู่บนกอดอกกุหลาบ แต่ไม่ใช่เก๋งไม้แดงทั่วๆไป แต่ทำจากหยกขาว ด้านบนติดกระจกสี เป็นเก๋งที่หรูหรา


 


 


คงเพราะองค์หญิงจินเย่ว์ทรงประทับที่นี่ รอบๆ บริเวณเก๋งจีนแขวนผ้าโปร่งเบาสีม่วงชมพูพรางตาเอาไว้ ทำให้ไม่เห็นภาพด้านในได้ชัดนัก เห็นแค่โครงร่างรางๆ เท่านั้น


 


 


ด้านล่างเก๋งจีนแห่งนี้เป็นสระน้ำเล็กๆ ของอุทยาน ด้านในสระน้ำมีดอกบัว แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดอกไม้จะบาน เมื่อมองลงมาจะเห็นใบบัว เป็นทิวทัศน์ที่หาได้ยากยิ่ง


 


 


ซูหลีชะงักไปครู่หนึ่ง สาวเท้าเดินไปด้านนอกเก๋งจีนและเอ่ยเสียงแผ่ว “กระหม่อมซูหลีถวายบังคมองค์หหญิง”


 


 


“รีบเข้ามา” พระสุรเสียงขององค์หญิงจินเย่ว์ดังลอยออกมา ซูหลีเหลือบตามองอย่างอดไม่ได้ ทันทีที่เหลือบมองก็พบว่าองค์หญิงทรงเห็นนางเดินมาจึงลุกขึ้นยืนทันที


 


 


ใจซูหลีเต้นระรัว


 


 


องค์หญิงจินเย่ว์ก็ถือว่ามีชื่อเสียงเอาการในเมืองหลวง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ด้านไหน แต่เป็นนิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจ


 


 


โดยเฉพาะฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมีพระธิดาไม่มาก แถมในพระราชวังก็มีพระองค์เพียงคนเดียว


 


 


บวกกับฝ่าบาทถือว่าทรงรักพระน้องนางคนนี้มาก อุปนิสัยก็ไม่หักไม่งอ ทำให้ไม่ค่อยจะ…อ่อนหวานนัก


 


 


“ใต้เท้าซู นี่คือขนมที่เราทำให้ท่าน ท่านลองชิมสิ ว่าชอบหรือไม่ อ้อ จริงด้วย มีนี่ด้วยนะ นี่คือบรรณาการที่ประเทศราชถวายมาให้ บอกว่าเป็นชาดอกไม้อะไรสักอย่าง เราชิมแล้วเห็นว่าอร่อยดี ท่านก็ลองชิมสิ”


 


 


ทันทีที่ซูหลีก้าวเข้าไปในเก๋งจีน องค์หญิงจินเย่ว์ก็ทรงแนะนำขนมและชาที่จัดวางบนโต๊ะอย่างกระตือรือร้น


 


 


กระทั่งเอื้อมมือออกมาเพื่อคว้าซูหลีเลยทีเดียว


 


 


ซูหลีถอยร่น ใบหน้าอึดอัด


 


 


“ใต้เท้าซู…” จินเย่ว์เห็นซูหลีสะบัดมือหนีตนเอง รอบยิ้มบนพระพักตร์ก็ชะงักนิ่งไป


 


 


ซูหลีได้ยินคำพูดเศร้าสร้อยของนาง จึงเหลือบสายตามองอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้


 


 


ที่จริงองค์หญิงก็ทรงพระสิริโฉมดี คนสกุลฉินเองก็หน้าตาดีกันทั้งบ้าน ดูฉินเย่หานและฉินมู่ปิง รวมไปถึงฉินม่อโจวก็พอจะรู้แล้ว


 


 


คนหนึ่งงดงาม เคร่งขรึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้านั้นของฉินเย่หาน


 


 


เหอะ!


 


 


ไม่สามารถใช้คำว่าดูดีมาบรรยายได้ด้วยซ้ำ


 


 


ซูหลีสงสัยอย่างยิ่งหากว่าเขาไม่ได้เป็นฮ่องเต้ เพียงแค่ผิวพรรณเท่านั้น คาดว่าคงจะสามารถทำให้เขาโด่งดังไปทั้งเมืองหลวง!


 


 


วันนี้เหมือนองค์หญิงทรงตั้งใจแต่งตัวมาเป็นพิเศษ ทรงใส่เสื้อสีม่วงอ่อนที่ปักลายดอกไม้ด้วยไหมสีขาว กระโปรงพลิ้วบางปักดอกไม้สีม่วงเล็กๆ กระจายเต็มกระโปรง งดงามราวภาพวาด


 


 


ใบหน้าจินเย่ว์ออกค่อนข้างยั่วยวน นัยน์ตาสดใส ริมฝีปากนุ่มนิ่ม บวกกับท่าทางของเชื้อพระวงศ์ ถือว่าเป็นหญิงงามที่หาได้ยาก


 


 


ซูหลีหัวเราะขมขื่นอย่างอดไม่ได้ ถือเป็นของดีที่แตะต้องไม่ได้ ถือว่านางไม่มีบุญนั้นแล้วกัน!


 


 


ดูจากท่าทางของจินเย่ว์แล้ว ดูผิดปกติใช่น้อยเลยทีเดียว!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 722 ไม่มีบุญนั้น


 


 


ซูหลีชะงักนิ่งไป ไม่ทันเห็นท่าทางเศร้าสร้อยขององค์หญิงจินเย่ว์ ชักเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คำนับองค์หญิงจินเย่ว์และเอ่ย


 


 


“วันนี้องค์หญิงทรงเรียกหากระหม่อม มีเรื่องอะไรจะทรงรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


หลังจากที่จินเย่ว์ได้ยินคำพูดนาง ทรงปรายตามองอีกฝ่าย ความผิดหวังพาดผ่านในแววตาและเอ่ยว่า “ถ้าไม่มีอะไร เราจะเรียกใต้เท้าซูมาร่วมดื่มชา พูดคุยกันไม่ได้หรือ?”


 


 


“องค์หญิงทรงตรัสอะไรเช่นนั้น!” เมื่อซูหลีได้ยินเช่นนั้นใจพลันสั่นรัวรีบร้อนเอ่ย “กระหม่อมต่ำต้อยไหนเลยจะกล้าเทียบกับองค์หญิง!”


 


 


ท่าทางรักษาระยะห่าง ไม่ยินดียินร้าย พูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจ


 


 


แต่จินเย่ว์จำได้แม่นว่า เดิมซูหลีไม่ได้เป็นคนขี้เกรงใจเช่นนี้ อีกฝ่ายเกรงใจตนเอง ก็เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างกันก็เท่านั้น


 


 


พอนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าจินหยางก็ไม่สู้ดี


 


 


“ซูหลีเจ้าไม่อยากมาพบเรา?” ทรงตรัสเสียงเย็น


 


 


ทว่าในแววตางดงามนั้นกลับแฝงไปด้วยความรอคอย


 


 


หลังจากที่ซูหลีได้ฟังแล้วก็ยิ้มขมขื่นอย่างอดไม่ได้ องค์หญิงพระองค์นี้เป็นเหมือนที่นางคิดเอาไว้เลย แต่นางจำได้ว่าตนเองไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกับอีกฝ่าย นอกจากงานชมบุปผาเมื่อคราวก่อนก็เท่านั้น


 


 


แต่ทำไมในคำพูดของพระองค์ ละม้ายคล้ายสนิทสนมกัน


 


 


“องค์หญิงทรงล้อเล่นแล้ว กระหม่อมมิกล้า” นางบอกไม่กล้า แต่ก็ไม่ปฏิเสธ


 


 


สีหน้าองค์หญิงจินเย่ว์ก็ยิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม


 


 


“องค์หญิงทรงเรียกใต้เท้าซูให้หา ที่จริงเพราะองค์หญิงทรงโปรดเพลงที่ใต้เท้าซูเล่นในงานฉลองขององค์ไทเฮา อยากทรงถามใต้เท้าซูเกี่ยวกับเรื่องบทเพลงนั้น!” หลิงเอ๋อร์เฝ้าอยู่ด้านนอกเก๋ง


 


 


นางได้ยินบทสนทนาระหว่างซูหลีและองค์หญิงจินเย่ว์อย่างชัดเจน


 


 


เห็นบรรยากาศแข็งกระด้าง และสีหน้าขององค์หญิงทรงไม่สู้ดีนัก นางรีบหมุนตัวอย่างลนลาน และพยายามกู้สถานการณ์


 


 


“ใช่ ที่เราเรียกท่านมาก็เพราะเรื่องเพลงนั้น!” นี่เป็นการหาทางออกให้องค์หญิงจินเย่ว์ องค์หญิงทรงได้สติ และรีบร้อนรับคำ


 


 


ทรงใช้บทเพลงเป็นข้ออ้าง แต่ก็ดีกว่าเรียกขุนนางให้มาพบตนเองอย่างไร้สาเหตุ ซูหลีรู้ดีว่าเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง แต่ก็ผงกศีรษะรับ


 


 


“แล้วองค์หญิงทรงไม่เข้าพระทัยตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


จินเย่ว์เห็นท่าทางอีกฝ่าย ทรงขบริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ คนผู้นี้ไม่รู้เรื่องจริงๆ ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่รู้แก่ใจอีก?


 


 


ตรงนี้ไม่มีกระทั่งพิณสักชิ้น เหมือนคนมาถามเรื่องดนตรีตรงไหน!


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นในวังหลวงมีผู้รู้ด้านดนตรีตั้งมากมาย ไหนเลยจะต้องทรงเรียกซูหลีมาด้วย?


 


 


ตอนแรกองค์หญิงจินเย่ว์ยังสะกดอารมณ์ แต่ในใจหงุดหงิด จึงไม่ทรงตอบคำถามของซูหลีอีก


 


 


หลิงเอ๋อร์เห็นท่าทางเช่นนี้ขององค์หญิงของตน ในใจร้อนรนอย่างยิ่ง


 


 


องค์หญิงจินเย่ว์ทรงเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก ทรงเย่อหยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความรักของฮ่องเต้องค์ก่อน ทรงฟูมฟักให้องค์หญิงกลายเป็นคนที่นิสัยป่าเถื่อนดื้อรั้น


 


 


นางรู้สึกมาเสมอว่า ภายหน้าจะต้องหาคนที่มีความอดทนอย่างมาก ถึงจะแต่งงานกับนางได้


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงจะทรงถูกใจซูหลี ส่วนนิสัยของซูหลีนั้นก็…


 


 


ทั้งราชสำนักก็รู้ว่านี่เป็นคนเหลวไหล


 


 


อีกทั้งยังชอบไปสถานที่อย่างหอหร่วนเซียงเป็นที่สุด ที่จริงหลิงเอ๋อร์ดูแล้วนี่ไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกันนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าชวนหลงใหล เมื่ออยู่ข้างองค์หญิงแล้วก็ทำให้พระสิริโฉมที่งดงามของพระองค์ให้จืดจางลงไป


 


 


คนแบบนี้ ออกจะ…


 


 


นางรู้ดีแก่ใจ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก


ตอนที่ 723 มีคนมาแล้ว 


 


 


หากว่าพูดออกมาแล้ว จะไม่เท่ากับว่าฉีกหน้าองค์หญิงหรือ? 


 


 


“องค์หญิง พระองค์ทรงดูสิใต้เท้าซูมานานขนาดนี้แล้ว ควรให้ใต้เท้าซูนั่งลง ดื่มชากระมัง” องค์หญิงของนางทรงหงุดหงิด นางในฐานะบ่าวย่อมต้องเสนอความคิดให้พระองค์ 


 


 


โดยเฉพาะคนตรงหน้านี้เป็นถึงองค์หญิงที่ทรงนับถือ หากว่ามีอะไรผิดพลาด องค์หญิงคงต้องจัดการนางแน่! 


 


 


ถึงแม้ในใจหลิงเอ๋อร์จะเหนื่อยหน่ายแต่ก็ทำได้เพียงพยายามให้ทั้งสองคนมีเรื่องได้พูดคุยกันอย่างสุดความสามารถ 


 


 


“นั่งลงสิ” องค์หญิงจินเย่ว์เดิมทีก็ไม่ได้ทรงพอพระทัยมากนัก เมื่อได้ยินคำพูดหลิงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลทีเดียว 


 


 


นางเคยได้ยินคำพูดเสด็จแม่ บรรดาคุณชายและเหล่าองค์ชายนั้นไม่ชอบสตรีที่นิสัยอ่อนแอจนเกินไป ในเมื่อนางอยากแต่งงานกับซูหลี จึงต้องพยายามสะกดอารมณ์ตนเอง เพื่อเลี่ยงไม่ให้ซูหลีไม่พอใจ 


 


 


เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว อารมณ์บนใบหน้าจินเย่ว์ดีขึ้นไม่น้อย ท่าทีที่ปฏิบัติต่อซูหลีอ่อนโยนลงไปมาก 


 


 


นางเหลือบตามองประสานสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีดำของซูหลี และใบหน้างดงามนั้นก็แดงระเรื่อขึ้น 


 


 


นางรู้ทุกเรื่องของซูหลี แต่นางก็ยังชอบอีกฝ่ายอยู่ดี 


 


 


ชอบนิสัยโอหังไม่สนใจคนรอบข้างของอีกฝ่าย ชอบใบหน้าหล่อเหลาน่าชม และยิ่งไปกว่านั้นยังชอบ… 


 


 


ในวันที่อีกฝ่ายไม่หวั่นเกรงต่อภัยอันตรายกระโดดลงไปช่วยนาง 


 


 


พอนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าองค์หญิงจินเย่ว์ก็แดงระเรื่ออย่างควบคุมไม่ได้ แววตาที่จดจ้องซูหลีนั้นเต็มไปด้วยความเสน่หา 


 


 


ซูหลี… 


 


 


จะทำอย่างไรดีนะ? 


 


 


นางบอกลู่เหมียนเหมียนเรื่องที่นางเป็นผู้หญิงได้ และเพราะนางเข้าใจนิสัยของลู่อวี้เหิง ลู่หมียนเหมียนเป็นญาติผู้น้องของลู่อวี้เหิง ย่อมไม่เป็นภัยต่อนาง 


 


 


แต่องค์หญิงจินเย่ว์ทรงเป็นองค์หญิง จะให้ไปบอกองค์หญิงว่านางเป็นผู้หญิงก็คงไม่ได้กระมัง? 


 


 


ก่อนอื่นไม่นับว่าหากบอกเรื่องนี้กับพวกเชื้อพระวงศ์คงจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก แถมนิสัยขององค์หญิงจินเย่ว์ ตอนนี้ทรงโปรดนางจึงได้อ่อนหวานนุ่มนวล แต่ถ้ารู้เรื่องนางเป็นอิสตรี ไม่รู้ว่าจะทรงทำอย่างไร! 


 


 


ในใจซูหลีทุกข์ทน แต่ใบหน้ายังแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไร เงียบไปนานกว่าจะเอ่ย “ขอบพระทัยในพระเมตตาองค์หญิง” 


 


 


“เจ้าลองชิมเค้กชิ้นนี้สิ นี่เป็นขนมที่ขึ้นชื่อของทางครัวเลยนะ ซึ่งเราเองก็ชอบมาก คิดว่าเราชอบ ใต้เท้าคงจะไม่รังเกียจ” 


 


 


ซูหลีกระตุกมุมปาก ในคำพูดมีความนัยซ่อนอยู่ 


 


 


ตอนนี้นางยังรู้สึกขมขื่นใจไม่น้อย ร่างนี้เดิมแล้วออกจะมีใบหน้าที่ไม่เป็นที่ต้อนรับนัก ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก 


 


 


คิดไปแล้วเมื่อสองชาติก่อน นางหน้าตาธรรมดา หลี่จื่อจินก็ยังพอถือได้ว่าเป็นลูกผู้ดีมีสกุล แต่นางในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นยิ่งด้อยไปกว่าเดิม 


 


 


พอมาคราวนี้กลับมีใบหน้างดงาม ยังทำให้เกิดปัญหามีสตรีมาหลงรักนางอีก  


 


 


ใบหน้างดงามนี้กลายเป็นปัญหาของนางไปเสียได้! 


 


 


แต่เรื่องนี้ กระทั่งซูหลีคนเดิมก็ยังไม่รู้ว่าก่อนที่นางจะกลายเป็นซูหลี ใบหน้านี้จะก่อปัญหาเละเทะแบบนี้! 


 


 


ซูหลีถอนหายใจน้อยๆ ขณะหยิบขนมบนโต๊ะและละเลียดชิมอย่างพิถีพิถัน 


 


 


รสชาติขนมไม่เลวจริงๆ แน่นอนว่าถ้าไม่มีองค์หญิงที่เอาแต่จ้องนางอยู่ตลอดเวลาด้วยแววลึกซึ้งเช่นนี้อยู่ข้างๆ ขนมคงจะอร่อยขึ้นมากกว่าเดิม 


 


 


ทางฟากซูหลีที่ยังคุยกับองค์หญิงจินเย่ว์นั้น อีกฝากคนอีกกลุ่มก็มาถึงอุทยานดอกไม้เช่นกัน 


 


 


“เสด็จลุงทรงหมายความว่า จะให้ท่านพ่อเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บในเมืองหลวง?” ลุงหลานอย่างฉินมู่ปิง ฉินม่อโจวเดินตามหลังฉินเย่หาน และยังมีจี้เหิงหรานเดินตามทางขวามือเขา 


 


 


หวงเผยซานที่เดินตามหลังทำเหมือนไม่มีตัวตน 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 724 ให้ฉินเฮ่ากลับเมืองหลวง 


 


 


“เสด็จพี่อยู่ชายแดนมาหลายปี ตอนนี้มีรถเข็นแล้ว ทำอะไรก็ค่อนข้างสะดวก ถึงชายแดนจะดีขนาดไหนก็ไม่สู้เมืองหลวงหรอก ข้าว่าพระราชดำรัสขององค์เหนือหัวเข้าทีเลยทีเดียว” ฉินม่อโจวที่อยู่ด้านข้างพึมพำเสียงแผ่ว 


 


 


ฉินมู่ปิงได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว เหมือนตั้งใจพิจารณาเรื่องนี้เป็นอย่างดี 


 


 


ยามเขาอยู่ต่อหน้าฉินม่อโจวกับฉินเย่หาน เขาทำท่าทีเหมือนเป็นเด็กไม่รู้ตักโต เฉกเช่นดังตอนนี้ 


 


 


“เสด็จลุง หลานยังรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมนัก” เหมือนฉินมู่ปิงตั้งใจครุ่นคิด เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น 


 


 


“เสด็จพ่อไม่ชอบหลาน ชอบบอกว่าหลานเอาแต่เที่ยวเล่นสนุก ไม่สนใจงานราชการ หากว่าทรงให้เสด็จพ่อกลับมาจริงๆ หลานก็คง…” 


 


 


“เจ้าดูสิว่าเจ้าพูดอะไรกัน!” ฉินมู่ปิงเลิกคิ้ว ขัดคำพูดเขา “เจ้ายอมไปอยู่ชายแดนที่กันดารกับบิดาเจ้าเพียงเพราะไม่อยากโดนพี่สามเจ้าสั่งสอนรึ?” 


 


 


“เสด็จอาทรงลำบากมาตั้งแต่เด็ก กว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะขึ้นครองราชย์ได้ก็ยากเย็นไม่น้อย อาณาประชาราษฎร์สงบสุข ย่อมต้องกลับมาเสวยสุขในเมืองหลวง ไหนเลยจะปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์อยู่ในที่ทุรกันดารเพื่อเจ้าเพียงผู้เดียว!?” 


 


 


ฉินม่อโจวด่าฉินมู่ปิง ใบหน้าเขาเหมือนว่ายังไม่ค่อยคล้อยตาม แต่ก็เหลือบตามองฉินเย่หานที่อยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง  


 


 


สีพระพักตร์เรียบเฉยเหมือนเรื่องที่พวกเขาพูดนี้ไม่เกี่ยวกับตนเองสักนิด 


 


 


แต่ฉินมู่ปิงรู้ดีแก่ใจที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสด็จลุงผู้มากความสามารถของเขาเสนอขึ้นมา 


 


 


เขาลอบยิ้มเย็นในใจ ทว่าใบหน้ายังคงอิดออดไม่เต็มใจ 


 


 


นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ท่านพ่อออกจากเมืองหลวงไปหลายปี ควรกลับมาพบเหล่าขุนนางฝั่งนี้แล้ว เดิมทีฉินมู่ปิงยังคิดอยู่เลยว่าจะใช้วิธีใดเพื่อพาท่านพ่อตนกลับมา 


 


 


ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงตรัสแล้วเขาก็คงไม่ต้องทำอะไรอีก 


 


 


แต่ทว่า… 


 


 


ฉินเย่หานทรงตรัสเรื่องทำนองนี้ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วทรงคิดอะไรอยู่กันแน่ 


 


 


หากเขาไม่แสดงออกเช่นนี้ ถ้าฉินเย่หานสงสัยขึ้นมา ก็คงแย่แน่ 


 


 


“เสด็จลุง อย่าทรงให้ท่านพ่อกลับมาเลยดีหรือไม่? ท่านพ่ออยู่ชายแดนมาก็นาน ที่จริงคงจะทรงชินกับสภาพแวดล้อมทางนั้นแล้ว จู่ๆ ต้องเปลี่ยนที่อยู่ คงจะไม่ใช่เรื่องดีนักกระมัง…” 


 


 


“เพล้ง!” 


 


 


แต่ทว่าฉินเย่หานยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงของแตกดังขึ้น 


 


 


เขาชะงักไม่พูดต่อ ดวงตากลับมองไปยังจุดกำเนิดของเสียงนั้น 


 


 


ใบหน้าเขาไม่แสดงออก แต่ในใจสั่นระรัว หรือฉินเย่หานเรียกคนอื่นมาเข้าเฝ้าที่นี่ เพื่ออะไรกัน? 


 


 


“หวงเผยซาน” ใครจะรู้ว่าพอเหลือบตามอง ก็เห็นฉินเย่หานหน้านิ่ว เรียกหาหวงเผยซานทันที 


 


 


“กระหม่อม” 


 


 


“ไปดูให้หน่อย ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น” ใบหน้าฉินเย่หานเรียบเฉย ดวงพระเนตรเรียบเฉยไร้อารมณ์ 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


ฉินมู่ปิงเห็นหวงเผยซานนำขันทีสองคนเดินตรงไปที่เก๋งหยกจีนด้านหน้าอย่างร้อนรน 


 


 


เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เหลือบมองฉินเย่หาน เสด็จลุงของเขาเป็นผู้เก็บอารมณ์ได้อย่างแนบเนียน ซ่อนอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง 


 


 


มิฉะนั้นในตอนนั้นก็คงจะไม่รอดจากเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นจนได้เป็นฮ่องเต้หรอก 


 


 


เพียงแต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ส่งผลดีเท่าไหร่กับฉินมู่ปิง 


 


 


ต่อให้เขามองอย่างละเอียดอย่างไรก็ไม่รู้ว่าโอรสสวรรค์มีแผนอะไรอยู่กันแน่ 


 


 


นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด 


 


 


“แย่แล้ว เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ทำอย่างไรดีละ!?” 


ตอนที่ 725 ตกน้ำ 


 


 


ในเวลาเดียวกัน ณ เก๋งหยกขาว ซูหลีมองชาที่สาดใส่ตนด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วนใจ 


 


 


ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ องค์หญิงจินเย่ว์ก็จะพยายามดันทุรังให้หลิงเอ๋อร์รินชาให้นาง นางเห็นแววตาหลิงเอ๋อร์นั้นหลักแหลมอย่างยิ่ง 


 


 


เดิมทีหลิงเอ๋อร์ยังดูหวาดกลัวระแวดระวัง พอรินชาออกมา จินเย่ว์เปลี่ยนสีหน้าในทันที แล้วแย่งกาน้ำชาจากมือหลิงเอ๋อร์มา คิดไม่ถึงว่าระหว่างนั้นจะทำให้กาน้ำชาหกใส่นาง 


 


 


แก้วน้ำชาหกรดลงบนร่างซูหลี 


 


 


ยังดีที่ชากานี้ไม่ได้ร้อนมากนัก เพียงแต่อุ่นอยู่บ้าง มิฉะนั้นแล้วซูหลีคงจะคิดว่าองค์หญิงทรงกริ้วแล้วอยากจะใช้น้ำร้อนลวกนาง! 


 


 


“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” ชาหกแล้วก็ช่างเถอะ ซูหลีรีบร้อนลุกขึ้น แล้วชักเท้าหนี 


 


 


ไม่รู้ว่าองค์หญิงจินเย่ว์ทรงคิดอย่างไร พอทรงเห็นนางถอยหนี ก็คว้าผ้าเช็ดพระพักตร์พุ่งเข้าหานางและตรัสว่า 


 


 


“เป็นเพราะคนของข้าโง่งมเกินไปจนทำให้ใต้เท้าซูต้องมารับบาดเจ็บเช่นนี้ ใต้เท้าซูท่านอย่าขยับตัวเดี๋ยวข้าจะเช็ดชาบนชุดท่านก่อน!” 


 


 


ซูหลี “…” 


 


 


คราวนี้นางไม่รู้จะพูดอะไรดี ในเมื่อหลิงเอ๋อร์ทำผิด แต่อย่างไรเสียองค์หญิงจินเย่ว์ก็เป็นถึงองค์หญิง จะให้มาเช็ดชุดให้ขุนนางด้วยองค์เองได้อย่างไร! 


 


 


นี่ต่อให้เป็นคนไม่มีสมองก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่านัก? 


 


 


แต่องค์หญิงจินเย่ว์เหมือนไม่ทรงสังเกตเห็นยังคงไม่ยอมหยุดโผหาอีกฝ่าย 


 


 


ซูหลีทำอะไรไม่ได้ทำได้เพียงชักเท้าหนี 


 


 


“องค์หญิง องค์หญิง!” ถอยหลังไปพร้อมกับหลบท่าทางต่างๆ ขององค์หญิง ใบหน้าซูหลีแดงระเรื่อและเอ่ย 


 


 


“กระหม่อมทำเองก็ได้ องค์หญิงอย่าทรงกังวลเลย” 


 


 


“จะไม่สนใจได้อย่างไร นี่พูดไปแล้วก็เป็นความผิดของข้า ใต้เท้าซูเช็ดเสื้อผ้าก่อนเถอะ ถึงแม้จะอากาศเริ่มอุ่นแล้ว แต่ชุดเปียกๆ พอโดนลมพัด แล้วถ้าใต้เท้าซูเกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไร!?” 


 


 


ซูหลีก็ทนแล้วทนอีกจนสุดท้ายก็ไม่ได้พูดเช่นนั้นออกไป 


 


 


ป่วยก็ยังดีกว่าให้องค์หญิงเข้าใกล้ เช็ดเสื้อผ้าให้นางแล้วกัน 


 


 


หากคนอื่นเห็นเข้านางจะไม่กลายเป็นบุรุษผู้ใช้สตรีเพื่ออำนาจหรอกหรือ? 


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าอิสตรีที่วันๆ เอาแต่ไขว่คว้าหาความรัก เช่นซูเนี่ยนเอ๋อร์ ซึ่งซูหลียังรู้สึกตลกเมื่อเห็นนางโผเข้าหาฉินม่อโจว 


 


 


แต่พอเจอเข้ากับตนเองกลับไม่รู้สึกตลกแม้แต่น้อย 


 


 


แต่คนตรงหน้าเป็นถึงองค์หญิงนางคงจะผลักอีกฝ่ายออกไปไม่ได้ 


 


 


“องค์หญิง! ไม่จำเป็นเลยกระหม่อม เรื่องเล็กเช่นนี้จะลำบากพระองค์ได้อย่างไร?” ซูหลีถอยหลังไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือทางให้ถอย เดินไปจนชิดขอบเก๋งจีนและเอนตัวออกจากเก๋งจีนนั้นเกือบครึ่งตัว 


 


 


แต่องค์หญิงจินเย่ว์ไม่ยอมปล่อยอีกฝ่าย ยังคงทรงตามติด 


 


 


“พวกเจ้าเป็นคนเป็นของตำหนักไหน! มาทำอะไรที่นี่?” ในตอนที่สถานการณ์กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง ก็มีเสียงเช่นนี้ดังลอยมาจากด้านนอก ซูหลีฟังเสียงสากๆ ของหวงเผยซานออก ในใจยินดีทันที 


 


 


มาได้เวลาพอดี นางกำลังไม่รู้ว่าจะหลบองค์หญิงที่ทรงอัธยาศัยดีเกินไปองค์นี้อย่างไรดี! 


 


 


“หวงกงกง!” นางไม่คิดหน้าคิดหลัง นางรีบเรียกหวงเผยซานทันที 


 


 


นางเอาแต่หวังให้หวงเผยซานช่วยตนเอง จึงไม่ได้สังเกตระยะห่างระหว่างตนเองและจินเย่ว์ 


 


 


จินเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ ก็จำเสียงหวงเผยซานได้เช่นกัน และลนลานไป จึงไม่ได้ควบคุมแรง โผทั้งตัวเข้าไปหาซูหลี! 


 


 


“อ้ะ อ้ะ!” จินเย่ว์ร้องเสียงแหลม นางกำนัลหลายคนด้านหลังนางลนลานก้าวขึ้นไปด้านหน้า พยายามจะดึงนางเอาไว้ 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 726 ถูกช่วยขึ้นมา 


 


 


แต่ทำได้เพียงช่วยองค์หญิงเอาไว้แต่ช่วยซูหลีไม่ทัน แถมยังถูกคนตัวใหญ่ขนาดนี้โผหาตัวเอง ทำให้เสียสมดุลไป นางจึงพุ่งหล่นออกจากเก๋งจีนไปทันที 


 


 


ด้านล่างเก๋งจีนเป็นสระบัว แล้วซูหลีก็ร่วงลงไป 


 


 


“ตูม!” เกิดเสียงดังอึกทึก! 


 


 


“เป็นอะไรไป?” พวกฉินเย่หานที่เดินมาถึงเก๋งหยกขาว พอได้ยินเสียงดังเช่นนี้ก็ตื่นตกใจ 


 


 


ฉินม่อโจวขมวดคิ้วแล้วชิงเดินไปก่อน 


 


 


คนที่ได้ยินเสียงแล้วรีบเดินตามมานั้นยังมีฉินมู่ปิง ฉินเย่หานและจี้เหิงหรานที่เดินตามพวกเขา 


 


 


“เป็นอะไรไปเกิดอะไรขึ้น? ไฉนจินเย่ว์จึงมาอยู่ที่นี่ได้?” ฉินมู่ปิงรีบพุ่งออกไปก่อน แล้วก็เห็นองค์หญิงจินเย่ว์ที่ยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่ในเก๋งจีน  


 


 


เขาถามคำถามต่างๆ นานา จนองค์หญิงจินเย่ว์ไม่อาจตอบเขาทัน สีหน้าซีดเผือดไม่รู้ว่าในใจทรงคิดอะไรอยู่! 


 


 


“ท่านอ๋อง ใต้เท้าซูตกน้ำ!” คนที่ได้สติเป็นคนแรกกลับเป็นหวงเผยซาน และตอบฉินม่อโจว 


 


 


หลังจากได้ยินเสียงซูหลีแล้ว หวงเผยซานก็เดินเข้าไปในเก๋งจีน คิดไม่ถึงว่าจะทันเห็นองค์หญิงจินเย่ว์โผเข้าหาซูหลี จนฝ่ายหลังตกลงไปในสระบัวด้านหลัง 


 


 


ฉินม่อโจวได้ยินเช่นนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขาเอ่ยเสียงหงุดหงิด “ใต้เท้าซู? ใต้เท้าซูคนไหน?” 


 


 


“ก็ใต้เท้าซูหลีนั่นอย่างไร!” 


 


 


พวกคนที่เข้าไปในเก๋งหยกขาวทีหลังล้วนได้ยินบทสนทนาระหว่างหวงเผยซานและฉินมู่ปิงกันทั้งสิ้น 


 


 


โดยเฉพาะเสียงสูงของฉินม่อโจวนั้นทำให้คนสนใจเขาเป็นพิเศษ! 


 


 


พวกเขายังไม่ทันเข้ามา ฉินม่อโจวก็ทำในสิ่งที่ให้ทุกคนงุนงงทันที 


 


 


ตูม! เมื่อเห็นพวกเขาสาวเท้าเดินเข้ามาในเก๋งจีน ก็กระโดดลงไปในสระน้ำทันที! 


 


 


“นายท่าน!” หวงเผยซานก็ตกใจจากการกระทำที่มุทะลุเช่นนี้ของเขา และทั้งคนที่เพิ่งตามมาถึงเก๋งจีน หรือว่าอยู่ด้านบนต่างก็จ้องอย่างตื่นตะลึงเช่นกัน 


 


 


ทว่าก็เห็นตอนที่ฉินม่อโจวคว้าคนผู้หนึ่งขึ้นมาจากสระบัวแล้ว… 


 


 


“แค่ก แค่ก แค่ก!” จู่ๆ ซูหลีโดนคนผลักขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ตั้งตัว เจ้าตัวเองยังคงงุนงง จนได้สติแล้วนางลอยตัวขึ้นมาแล้วในตอนแรก นางว่ายน้ำเป็น! 


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันได้ลอยตัวขึ้น ก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังขึ้นที่ข้างหู จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงแรงคว้าหมับที่เอว แล้วถูกคนประคองขึ้นมาน้ำ! 


 


 


เพราะนางตกน้ำโดยที่ไม่ได้ตั้งตัว พอโผล่พ้นจากน้ำจึงไอแค่กๆ 


 


 


ไอไปไม่กี่ที ซูหลีก็รู้สึกได้ถึงมือใหญ่ลูบหลังนางเบาๆ เสียงสากของความเป็นบุรุษเพศดังขึ้นเหนือศีรษะนาง 


 


 


“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ซูหลีเหลือบตาสายตาขึ้นมองเขาน้อยๆ ตอนที่เห็นหน้าฉินมู่ปิงแล้วนั้นซูหลีก็งุนงงไป 


 


 


ฉินม่อโจว? 


 


 


เขากระโดดลงบ่อน้ำมาช่วยนาง? 


 


 


หน้าซูหลีชะงักไป ทันใดนั้นเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามเขาอย่างไรดี 


 


 


“เป็นอะไรไป? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ฉินม่อโจวเห็นนางเบิกตากว้าง คิดว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ จึงพลิกอีกฝ่ายอย่างร้อนใจ 


 


 


มือใหญ่เขาปัดผ่านร่างกายนาง ซูหลีตัวแข็งไป จากนั้นก็รวบรวมสติตนเองกลับมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


เมื่อนางได้สติ ก็รู้สึกได้ถึงแววตาที่เย็นชาที่สุดจ้องนางไม่วางตา แววตานี้ราวน้ำแข็งที่ทำให้นางตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


เมื่อเหลือบตาขึ้นมองพลันเหลือบเห็นฉินเย่หานในเก๋งจีน ที่กำลังจ้องนางเขม็ง! 


ตอนที่ 727 ไปเรียกจางย่วนพั่นมา


 


 


สายตาของฉินเย่หานนั้นทำให้ผู้ที่ถูกมองนั้นรู้สึกกลัวโดยแท้ ซูหลีถูกเขามองเช่นนี้จนอ้ำอึ้งไป


 


 


“ซูหลี?” ทางด้านฉินม่อโจวมองนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล


 


 


“ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร! ขอบพระทัยท่านอ๋องมากพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อซูหลีหวนสติกลับคืนมา ก็รีบเอ่ยตอบเขาเป็นอันดับแรก


 


 


ฉินม่อโจวได้ยินนางเอ่ยปากพูดเช่นนี้ เขาถึงเบาใจลง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “พวกเราขึ้นไปก่อนเถอะ”


 


 


ท่อนแขนที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าของเขาโอบร่างของซูหลีไว้อย่างแน่นหนา


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาที่ฉินเย่หานจับจ้องพวกเขาอยู่นั้นจะรุนแรงเกินไป หรือเป็นเพราะอย่างอื่น ซูหลีรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก นางชะงักไปเล็กน้อยแล้วรีบเอ่ยว่า


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านรีบปล่อยข้าเถิด ข้าว่ายน้ำเป็น!”


 


 


เอวเล็กที่อยู่ในฝ่ามือของเขานุ่มนิ่มเกินไปบ้าง ฉินม่อโจวที่กำลังสติล่องลอย เมื่อได้ยินคำพูดของซูหลีแล้ว เขาพลันหยุดชะงักไปวูบหนึ่ง ในเวลานี้เขาพึ่งจะนึกได้ว่า ซูหลีว่ายน้ำเป็นจริงๆ


 


 


หากนางว่ายน้ำไม่เป็น ในคราก่อนที่จวนของเขา นางคงไม่กระโดดลงไปช่วยองค์หญิงจินเย่ว์มิได้


 


 


เมื่อฉินม่อโจวคิดได้ดังนั้น อารมณ์บนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป นี่เป็นสิ่งที่ประหลาดนัก เรื่องนี้เขาก็ทราบแล้วเช่นกัน ทว่าเมื่อเห็นซูหลีตกลงไปในน้ำ เขากลับไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น


 


 


หลังจากดึงสติกลับมา เขาก็กระโดดลงไปช่วยซูหลีเสียแล้ว


 


 


นี่มัน…


 


 


“ท่านอ๋อง?” ซูหลีเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของฉินม่อโจว ไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ทว่าแรงโอบรัดเอวของนางจากมือใหญ่คู่นั้นกลับมีจำนวนไม่น้อย ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะใช้มือผลักออกอย่างรุนแรง


 


 


นางดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของฉินม่อโจว


 


 


“อ้อ! ไม่เป็นอะไร ถ้าเช่นนั้นก็รีบขึ้นไปเถอะ!” ฉินม่อโจวดึงสติกลับคืนมา เขาเห็นแววตาที่ฉายแววประหลาดเป็นอย่างมากของซูหลี


 


 


เขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไปแล้ว ทว่าความเป็นห่วงที่มีต่อคนตรงหน้านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องเท็จ


 


 


ทางด้านซูหลีเมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็ดึงสติกลับมาแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงว่ายน้ำขึ้นฝั่ง


 


 


เพียงแต่ทันทีที่ขึ้นฝั่ง สีหน้าของซูหลีก็ย่ำแย่เป็นอย่างมาก


 


 


เสื้อผ้าของนางเปียกชื้นหมดแล้ว เสื้อผ้าที่เปียกน้ำแนบไปกับร่างกาย จึงทำให้เห็นเส้นเค้าเว้าของรูปร่างสตรีที่อ่อนช้อยออกมา


 


 


แม้นางจะใช้ผ้าพันหน้าอกแล้ว ทว่าไม่ได้รับการปกปิดจากชุดอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่ ทำให้เห็นรูปร่างอย่างชัดเจนมาก


 


 


“ใต้เท้าซูรีบสวมอาภรณ์ตัวนี้เถิด เดี๋ยวจะไม่สบายเอาขอรับ!” คิดไม่ถึงว่าทันทีที่นางขึ้นฝ่ั่ง จะมีคนทางนั้นเสื้อคลุมตัวใหญ่มาให้


 


 


ซูหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นแหงนศีรษะเงยหน้ามองหวงเผยซานที่อยู่ตรงหน้าเขา


 


 


หวงเผยซานยิ้มให้นางครู่หนึ่ง เขาไม่เอ่ยอะไรมาก จากนั้นจึงมัดเสื้อตัวนั้นเอาไว้บนร่างของซูหลี


 


 


การกระทำของเขานั้นว่องไวเป็นอย่างมาก ในขณะที่หวงเผนซานกระทำเรื่องนี้ เขากลับไม่สัมผัสโดนตัวซูหลีเลยแม้แต่น้อย


 


 


หลังจากที่สวมเสื้อคลุมตัวนั้น ซูหลีถึงหวนสติคืนมาและทันทีที่ก้มศีรษะลง ก็พบว่าเสื้อคลุมตัวนี้เป็นเหลืองเรืองรอง บนเสื้อคลุมยังปักด้วยลวดลายมังกรทองที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน


 


 


เสื้อสีเหลืองเรืองรองและปักลวดลายมังกรทองนั้น…


 


 


นี่เป็นเสื้อคลุมของฉินเย่หาน!


 


 


สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมา หลังจากก้มศีรษะเอ่ยขอบคุณหวงเผยซานด้วยเสียงต่ำแล้ว ก็สวยเสื้อคลุมสีหน้าที่ไม่เข้ากับรูปร่างของนางเอาไว้ และเดินกลับไปที่ศาลา


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


 


 


บรรยากาศภายในศาลาแห่งนี้มีกดดันอยู่บ้าง แม้แต่องค์หญิงจินเย่ว์ที่เป็นคนยโสโอหังมาโดยตลอด ในชั่วขณะนี้นางก็ไม่กล้าปริปากพูด เพียงยืนก้มศีรษะอยู่ด้านข้าง ไม่เอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย


 


 


“นำตัวพวกเขามา!” สายตาที่เย็นดุจน้ำแข็งมองพินิจที่ร่างของซูหลีอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“…ไปตามจางย่วนพั่นมา” หลังจากฉินเย่หานถ่ายทอดคำสั่ง ก็ก้าวเท้าเตรียมจะออกไป ทว่าเมื่อก้าวออกไปเพียงหนึ่งก้าว ก็หันศีรษะกลับมาพูดเสริมอีกประโยค


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 728 ไต่สวน


 


 


“…พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานขานรับ สายตาของเขาปรายมองที่ร่างของซูหลีโดยไม่รู้ตัว


 


 


หากคนฉลาดก็จะมาออกว่า ฉินเย่หานอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ แน่นอนว่าต้องอดกลั้นไม่ไหวอยู่แล้ว ในเมื่อประสบกับเรื่องเช่นนี้ อีกทั้งยังเห็นซูหลีถูกผู้อื่นช่วยเหลือเอาไว้อีก


 


 


ไม่มีใครที่จะอารมณ์ดีหรือ


 


 


ทว่า!


 


 


หวงเผยซานอดที่จะมองซูหลีหลายต่อหลายครามิได้ เป็นเพราะช่วงต้นวสันตฤดูค่อนข้างหนาว แม้ในเวลาจะไม่หนาวเย็นแล้ว ทว่านำในบ่อก็ยังเย็นยะเยือกถึงกระดูกอยู่ ซูหลีตกลงไปในน้ำเช่นนี้ ใบหน้าก็เริ่มซีดขาวแล้ว


 


 


หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะไม่สบายได้!


 


 


เขาพอจะสังเกตได้ ฮ่องเต้ก็ทรงสังเกตเห็นเช่นกัน


 


 


ในเวลานี้ยังรับสั่งให้เข้าไปตามหมอหลวง จางย่วนพั่นมาที่นี่ เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด!


 


 


หากทำให้ซูหลีป่วยไม่สบายขึ้นมา ฮ่องเต้คงจะเจ็บปวดพระทัยมิน้อย!


 


 


หวงเผยซานเข้าใจทุกอย่างอย่างชัดเจน เขาปฏิบัติต่อซูหลีอย่างนอบน้อม เขาโค้งตัวลงแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าซู โปรดตามข้ามาเถิดขอรับ”


 


 


ซูหลีผงกศีรษะเบาๆ นางลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นกลับรู้สึกคันๆที่จะจมูก…


 


 


“ฮัดเช้ย!” นางจามออกมาอย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว


 


 


ทางด้านฉินเย่หานที่รุดหน้าเดินไปก่อนแล้ว เมื่อได้ยินเสียงจามของซูหลี ก็หยุดชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้าของตนเดินไปทางห้องทรงอักษรเร็วขึ้น


 


 



 


 


ภายในห้องทรงอักษร


 


 


“หึ” หวงเผยซานเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่ห้องรับรองด้านนอกของห้องทรงอักษร ชั่วขณะนี้เขาจึงเห็นองค์หญิงจินเย่ว์ที่ในยามปกติมีท่าทียโสโอหังเป็นอย่างมากกำลังเม้มปากคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของโต๊ะมังกร


 


 


เมื่อครู่ทันทีเสด็จเข้ามา ฝ่าบาทก็ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นให้จินเย่ว์คุกเข่าลง


 


 


เดิมทีเมื่อครู่นั้นจินเย่ว์ยังไม่ยินยอมที่จะคุกเข่าลงนัก ทว่าเมื่อถูกสายพระเนตรที่เย็นยะเยียบของฮ่องเต้ตวัดมองปราดหนึ่ง จินเย่ว์ก็ปิดปากเงียบทันใด จากนั้นคุกเข่า


 


 


องค์หญิงท่านนี้ถูกตามใจจนเหลิงแล้ว จึงไม่ค่อยได้ประสบกับช่วงเวลาเช่นนี้


 


 


“หวงเผยซาน” องค์หญิงจินเย่ว์ได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นและมองที่หวงเผยซาน


 


 


ดวงตาของนางเป็นประกาย จากนั้นจึงส่งเสียงเรียกหวงเผยซานแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าซูเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”


 


 


ส่วนหลังของห้องทรงอักษรนั้นมีตำหนักข้างที่ขนาบอยู่ 2 ข้าง หลังจากซูหลีกับฉินม่อโจวมาถึงก็ถูกนำไปที่ตำหนักข้าง เพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และให้จางย่วนพั่นตรวจอาการของพวกเขาว่าไม่สบายหรือไม่


 


 


“เจ้ายังมีหน้าถามอีกรึ” หวงเผยซานยังทันได้ตอบคำถามของนาง พลันมีเสียงเยียบเย็นดังขึ้น


 


 


หวงเผยซานถึงกับเงียบไป จากนั้นถอยไปหยุดอยู่ที่ด้านข้าง


 


 


จินเย่ว์หันศีรษะมาทันที เมื่อเห็นเสด็จพี่ของตนนั่งอยู่หลังโต๊ะมังกร สีพระพักตร์ของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม


 


 


ในใจของนางเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่เสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่ นางมิเคยกลัวเสด็จพ่อเช่นนี้มานี้


 


 


ทว่ายามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของเสด็จพี่ ยามที่นางพูดอะไรออกมาก็ต้องไตร่ตรองให้ดี


 


 


“เสด็จพี่ น้องมิได้ตั้งใจเสียหน่อย…” จินเย่ว์ผงะไปเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปาก อยากที่จะลุกขึ้นมาออดอ้อนฉินเย่หาน


 


 


“คุกเข่าให้ดี!” ใครจะรู้ว่าฉินเย่หานจะวางมาดนิ่งเฉย ไม่หลงเหลือความเมตตาให้นางสักนิด


 


 


จินเย่ว์ได้ยินดังนั้น ทั้งร่างจึงสั่นเทิ้ม นางกัดฟันและคุกเข่าลงไปเช่นเดิม


 


 


“เราขอถามเจ้า เจ้าเป็นสตรี เจ้าเรียกขุนนางเข้ามาในวังหลวง เจ้าต้องการกระทำอะไรสิ่งใด” ใบหน้าของฉินเย่หานไร้ซึ่งอารมณ์ เขาไต่สวนจินเย่ว์เสมือนนางเป็นนักโทษ


 


 


จินเย่ว์ได้ยินดังนั้นจึงอึ้งไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ ทว่าก็ยังต้องตอบคำถามของฉินเย่หาน


 


 


“น้อง น้องก็แค่เคยได้ยินใต้เท้าซูดีดพิณได้ไม่เลว จึงอยากให้ต้องการให้ใต้เท้าซูสอนดีดพิณก็เท่านั้น!” จินเย่ว์ใช้คำพูดที่หลิงเอ๋อร์ที่พูดมาเมื่อครู่เป็นข้ออ้าง


 


 


ยามนางอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา นางยังกล้าพูดความในใจที่มีต่อซูหลี ทว่ายามที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพี่ นางกลับไม่กล้า…


 


 


ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาเยียบเย็น ใบหน้าที่หล่อเหล่านั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น


ตอนที่ 729 เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด


 


 


อ่านไม่ออกเลยว่าเขาเชื่อคำพูดนางหรือไม่


 


 


ความสงสัยก่อขึ้นในใจจินเย่ว์ จากนั้นนางจึงโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้ “เสด็จพี่ ท่านอยากหาสวามีแบบไหนให้ข้าหรือเพคะ?”


 


 


ฉินเย่หานได้ยินเช่นนั้นก็ทอดพระเนตรมองผู้เป็นน้องสาวอย่างเย็นชา


 


 


แววตาที่มองมานั้นแตกต่างไปจากเดิม หลังจากจินเย่ว์เห็นแล้วไม่รู้ทำไมใจถึงสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว


 


 


นางรู้สึกว่าฉินเย่หานดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าใดนัก


 


 


นางก็แค่ถามถึงว่าที่สวามีของตนเองเท่านั้น ทำไมเสด็จพี่ต้องทรงกริ้วด้วย?


 


 


“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่กับซูหลีเจ้าอย่าแม้แต่จะคิด!” องค์หญิงจินเย่ว์รอคำตอบของพระเชษฐาอยู่นาน คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินกระแสรับสั่งเช่นนี้


 


 


ใบหน้าองค์หญิงเปลี่ยนสีไปทันที!


 


 


“เสด็จพี่ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ? ทำไมต้องห้ามใต้เท้าซูด้วย ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือความสามารถใต้เท้าซูก็เป็นเลิศทั้งนั้น เขาไม่คู่ควร แล้วท่านพี่จะหาสวามีแบบไหนให้ข้ากันแน่…”


 


 


คำพูดของฉินเย่หานทำให้หน้านางเปลี่ยนสี ไม่สนใจความหวาดกลัวที่มี ลุกขึ้นยืนและเถียงพี่ชายด้วยความโกรธ


 


 


ในตอนที่องค์หญิงจินเย่ว์พูดนั้น ซูหลีและฉินมู่ปิงกำลังเดินมาจากพระตำหนักข้างๆ พอดิบพอดี


 


 


ยังไม่ทันพ้นเขตตำหนักก็ได้ยินคำพูดขององค์หญิงจินเย่ว์


 


 


ซูหลี “…”


 


 


“ใต้เท้าซูเสน่ห์แรงจริงนะ” หลังจากฉินมู่ปิงได้ยินกระแสรับสั่งขององค์หญิง ก็หลุดหัวเราะออกมา


 


 


เขาไม่กังวลว่าฉินเย่หานจะยกซูหลีให้น้องสาว


 


 


ถ้าคนอย่างซูหลีไม่รับราชการ ย่อมเป็นเรื่องน่าเสียดายเกินไป แต่ราชสำนักมีกฎที่ว่าผู้ที่เสกสมรสกับองค์หญิงจะไม่สามารถเป็นขุนนางได้


 


 


ถึงจินเย่ว์จะเป็นที่รักยิ่ง แต่เพื่อผลประโยชน์ของราชสำนัก ความรักประคบประหงมเช่นนี้ ย่อมด้อยค่ากว่ากันมาก


 


 


ดังนั้นฉินม่อโจวจึงไม่ได้กังวลนัก


 


 


ซูหลีกระตุกมุมปากยิ้มทื่อๆ มองฉินม่อโจวพลางเอ่ย “ท่านอ๋องดูแลตัวเองให้ดีๆเถอะ ได้ยินมาว่าธิดาคนโตของใต้เท้าจางบุกมาที่จวนของท่านเมื่อไม่กี่วันก่อน ซ้ำยังพูดว่า…”


 


 


“ต้องแต่งกับท่านอ๋องให้ได้!”


 


 


ฉินม่อโจวนิ่งไป ซูหลีผู้นี้ไม่ยอมลดราวาศอกแม้แต่น้อยจริงๆ


 


 


แต่พอนึกถึงเรื่องที่ซูหลีพูด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงได้รู้สึกว่าตนเองน่าสงสารเหลือเกิน


 


 


เขาเปลี่ยนเป็นชุดสะอาดแล้ว แต่พออยู่ต่อหน้าซูหลีก็เหมือนไม่ได้ใส่เสื้อผ้า


 


 


“ข้าและคุณหนูจางไม่ได้มีอะไรกัน เพียงแต่วันนั้นบังเอิญเจอกัน จึงมีโอกาสได้ช่วยนางเท่านั้น”


 


 


เขาไม่อธิบายเช่นนี้น่าจะยังดีกว่า พอพูดใบหน้าซูหลีก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม


 


 


นางกวาดตามองฉินม่อโจวยิ้มน้อยๆ และเอ่ยว่า “ท่านอ๋องช่างเป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นจริงๆ”


 


 


ฉินม่อโจวชะงัก เมื่อนึกถึงเรื่องที่ซูหลีเห็นเขาและซูเนี่ยนเอ๋อร์เมื่อคราวก่อน ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก ท่านอ๋องทรงเสน่ห์ มีหญิงงามต้องใจก็เป็นเรื่องที่สมควร!” ซูหลียิ้มพลางโบกมือ และเดินตรงไปที่ห้องทรงอักษรทันที


 


 


นางเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี แต่ในสายตาฉินม่อโจวนั้นขมขื่นอย่างยิ่ง


 


 


เขาไม่อยากให้นางเข้าใจผิด แต่เห็นท่าทางเช่นนี้ของนางเห็นได้ชัดเลยว่านางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ด้วยซ้ำ


 


 


ทันใดนั้นเองฉินม่อโจวเองก็พูดไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ บริเวณทรวงอกเจ็บปวดเหมือนโดนทิ่มแทง


 


 


กระทั่งเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้


 


 


“ถวายบังคมฝ่าบาท” ส่วนฟากซูหลีก็เดินเข้าไปในห้องทรงอักษร


 


 


ทันทีที่เข้าไปก็เห็นใบหน้าดื้อดึง เปี่ยมด้วยน้ำตาขององค์หญิง


 


 


ซูหลีชะงัก จากนั้นก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 730 ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนาง


 


 


ทันทีที่เหลือบตาประสานเข้ากับแววพระเนตรเย็นชาของฉินเย่หาน ซูหลีรีบรวบรวมสติ หลุบสายตาตนเองไม่กล้าไปทางนั้นอีก


 


 


“ซูหลี! เจ้ามาแล้ว!” คิดไม่ถึงว่าทันทีที่องค์หญิงทอดเนตรเห็นซูหลี จะเหมือนเห็นท่อนไม้ ทรงรีบเกาะนางทันที


 


 


และไม่ทรงรอซูหลีถวายบังคมฉินเย่หานด้วยซ้ำ ก็รีบเข้าคว้าแขนเสื้ออีกฝ่าย


 


 


…ซูหลียิ่งรู้สึกเสียวสันหลังวาบกว่าเดิม เหมือนว่านางโดนทิ่มแทงจนพรุนอย่างนั้น


 


 


นางกระตุกมุมปากไปในทันที ใบหน้าแข็งค้าง ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่ก็สะบัดแขนเสื้อตนเองออกจากการเกาะกุมขององค์หญิง


 


 


“องค์…องค์หญิง! ทรงจะทำอะไร?” ซูหลีรีบชักแขนเสื้อออก จินเย่ว์ก็ยังคงดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ


 


 


ใบหน้าดื้อรั้นนั้นจ้องซูหลีและเอ่ย “ซูหลี เจ้าบอกไปเลย บอกเสด็จพี่เสียในตอนนี้!”


 


 


“บอกอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” ซูหลีงุนงง


 


 


“ก็บอกว่าเจ้าชอบข้า บอกไปสิว่าอยากแต่งกับข้า!” องค์หญิงจินเย่ว์ร้อนใจ และบอกความต้องการในใจตนเองออกมาทั้งหมดทันที


 


 


หลังจากได้สติแล้ว ใบหน้าก็แดงก่ำ จากนั้นก็ไม่กล้าแตะต้องแขนเสื้อซูหลีอีก หลังจากชะงักนิ่งไปครูหนึ่ง ก็แต่เขกศีรษะตนเองเบาๆ


 


 


ซูหลี “…”


 


 


แล้วนี่จะให้นางพูดอย่างไรได้? นางกล้ารับประกันได้เลยว่า หากพูดอะไรต่อหน้าฉินเย่หานในวันนี้ นางคงจะไม่เห็นแสงตะวันของวันพรุ่งนี้แล้ว


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นอิสตรี และไม่ชอบอิสตรี แล้วจะให้พูดอะไร!


 


 


องค์หญิงพระองค์นี้ช่างเก่งกล้าจริง!


 


 


“องค์…องค์หญิง…” ซูหลีอ้าปากพะงาบๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะพูดอะไร นางยังคงคิดเรียบเรียงคำพูดปฏิเสธองค์หญิง


 


 


“กระหม่อมมิกล้า!”


 


 


“มิกล้า?” องค์หญิงจินเย่ว์แทบไม่เชื่อหูตนเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง


 


 


ซูหลีเป็นคนแบบไหน คนทั้งเมืองหลวงก็รู้กันหมด มีอะไรที่อีกฝ่ายไม่กล้ากัน!


 


 


จินเย่ว์อยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับได้ยิน…


 


 


“หวงเผยซาน”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“องค์หญิงจินเย่ว์เสียกริยา ไม่ได้มีความเป็นเชื้อพระวงศ์แม้แต่น้อย จากวันนี้ไปให้เพิ่มการอบรมให้เข้มงวด ห้ามนางออกจากตำหนักแม้แต่ก้าวเดียว หากขัดขืน เราจะเอาเรื่องทุกคนรอบตัวนาง!”


 


 


“เสด็จพี่!” พอจินเย่ว์ได้ยินคำพระบรมราชโองการ หน้าเปลี่ยนสีทันที


 


 


“ทำไม จะให้เราสั่งโบยเจ้า เจ้าถึงจะพอใจหรือ?” คิดไม่ถึงว่าพอหันหน้ามา ก็เจอเข้ากับพระพักตร์เย็นชาของฉินเย่หาน


 


 


จินเย่ว์ตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


“องค์หญิง!” หลิงเอ๋อร์สาวใช้ข้างกายจินเย่ว์รีบก้าวขึ้นมาประคององค์หญิงของตนเอง


 


 


“พานางไป!” พระพักตร์โอรสสวรรค์ไร้ร่องรอยอารมณ์


 


 


“เพคะ!” หลิงเอ๋อร์เป็นแค่บ่าว ไหนเลยจะกล้าอุทธรณ์ พอได้ยินก็รีบประคองนายตนเองจากไปทันที


 


 


จินเย่ว์เห็นว่าสุดท้ายแล้วซูหลีก็ไม่แม้แต่จะมองนาง ในใจเย็นวาบ จึงไม่พูดอะไรอีก ทำได้เพียงเดิมตามบ่าวของตนเองไป


 


 


ซึ่งอันที่จริงท่าทางซูหลีก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว


 


 


จินเย่ว์ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนว่าซูหลีเป็นคนฉลาดหลักแหลม อีกฝ่ายก็มีท่าทีเช่นนี้ในราชสำนักเช่นกัน แต่วันนี้พอดูแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย


 


 


หรือว่าท่าทางหลักแหลมในราชสำนักนั้นของซูหลีเป็นการเสแสร้งเท่านั้น?


 


 


ไม่เป็นไปไม่ได้


 


 


มีเพียงความเป็นไปได้เดียวก็คือซูหลีไม่ชอบนางก็เท่านั้น


 


 


มีเพียงสาเหตุนี้เท่านั้น ซูหลีถึงได้เกรงอกเกรงใจและมีมารยาทกับนางเช่นนี้


 


 


องค์หญิงจินเย่ว์สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ในใจเจ็บปวด แต่ก็ยังคงทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร


 


 


นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งต้าโจว มีชายที่ต้องการพระนางอีกมาก ไยต้องก่อเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โตเพียงแค่โดนซูหลีปฏิเสธด้วยเล่า?


ตอนที่ 731 นี่เป็นการใส่ร้าย 


 


 


องค์หญิงจินเย่ว์แหงนศีรษะขึ้น เดินออกไปอย่างหยิ่งยโส 


 


 


สายตาของซูหลีมองที่เงาร่างของนางเต็มไปด้วยความซับซ้อน จากนั้นถึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 


 


 


นี่เป็นปัญหาจากการปลอมตัวเป็นบุรุษ ทว่านางก็ไม่มีวิธีอื่น 


 


 


“ทำไมรึ รู้สึกเสียดายรึ” ในขณะซูหลีรู้สึกกลัดกลุ้มใจ กลับได้ยินคำพูดเช่นนี้ดังขึ้นอย่างฉับพลัน 


 


 


คำพูดประโยคนี้ฟังดูแล้วไม่เข้าหูนัก อีกทั้งยังแฝงไปด้วยโทสะอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ซูหลีอดสั่นสะท้านมิได้ จากนั้นนางจึงเงยหน้าฉินเย่หานปราดหนึ่ง ทว่ากลับเห็นดวงตาที่มืดหม่นจนมองไม่เห็นก้นบึ้งจ้องมองนางเช่นนี้ 


 


 


หลังจากใกล้ชิดกันในช่วงเวลานี้ ซูหลีกลับพบเอกลักษณ์ของฉินเย่หาน ฮ่องเต้ซึ่งมีพระพักตร์เย็นชาผู้นี้ แม้ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกใดๆ ทว่าเมื่อเห็นดวงตาของเขามืดหม่นจนไม่เห็นก้นบึ้งนั้น เป็นลางบอกได้ว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี 


 


 


ในยามปกติก็เป็นเช่นนี้ ยามที่…อยู่บนเตียงก็เป็นเช่นนี้ 


 


 


ซูหลีไอกระแอมออกมาเบาๆ สิ่งที่นางคิดล้วนเป็นอะไรที่สับสนวุ่นวายเต็มไปหมด 


 


 


“ฝ่าบาททรงเอาคำพูดที่ไหนมาพูดกัน!” เรื่องในวันนี้สำหรับนางแล้ว ถือเป็นการประสบภัยที่ไม่มีเค้ามาก่อน นางจะรู้เสียที่ไหนเล่าว่า องค์หญิงที่เคยพบนางเพื่อแค่ครั้งเดียวจะมีใจให้นาง 


 


 


นี่นางจะมีวิธีไหนแก้ปัญหากัน 


 


 


“เสด็จพี่ จินเย่ว์ก็มีนิสัยเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ใต้เท้าซูไม่ได้ใกล้ชิดกับนางมากนัก เรื่องในวันนี้ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น” ขณะที่พูดฉินม่อโจวก็ปรากฏตัวขึ้น 


 


 


ฉินม่อโจวที่เมื่อครู่ยังอยู่ที่นี่ ทว่าหลังจากเกิดเรื่องขึ้น เขาก็กล่าวว่ามีเรื่องบางเรื่องต้องไปจัดการ และขอตัวออกจากวังหลวงไปก่อน 


 


 


ซูหลี… 


 


 


ไยนางถึงรู้สึกว่า หากฉินม่อโจวไม่พูดอธิบายก็คงจะดีกว่านี้ ทันทีที่เขาอธิบายจบทำให้บรรยากาศโดยรอบดูหนาวยะเยือกยิ่งกว่าเดิม! 


 


 


“เจ้าไม่มีเรื่องอันใดให้กระทำแล้วรึ” ทว่าไม่รอให้นางพูดอะไรออกมา ฉินเย่หานก็บันดาลโทสะออกมา 


 


 


ฉินม่อโจวถึงกับอึ้งตะลึงค้าง จากนั้นจึงรีบกุมมือขึ้นมาคำนับ และเอ่ยว่า “น้อง…” 


 


 


“เรื่องของพี่สามข้าส่งต่อให้เจ้า ไม่ว่าอย่างไรก่อนเดือนห้าเขาก็ต้องเข้าวังหลวง” ฉินเย่หานไม่รอให้เขาพูดจบ เขาพลันเอ่ยคำพูดนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น  


 


 


ซูหลีที่รับฟังอยู่นั้น ในใจรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย 


 


 


พี่สาม คนที่ถูกฉินเย่หานเรียกว่าพี่สาม คงจะมีเพียงท่านอ๋องท่านนั้นเท่านั้น 


 


 


นั่นก็คือพี่ชายร่วมอุทรของฉินเย่หาน บิดาของฉินมู่ปิง ฉินเฮ่า 


 


 


ฉินม่อโจวได้ยินคำพูดประโยคนี้ กลับเงยหน้ามองซูหลีอย่างห้ามไม่ได้  


 


 


เรื่องเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าเสด็จพี่ของเขากลับพูดต่อหน้าซูหลี! 


 


 


ดูเหมือนว่าซูหลีผู้นี้ ยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพี่จะมิใช่คนที่เสด็จพี่โปรดปรานธรรมดา 


 


 


“…เสด็จน้องน้อมรับบัญชา” สายตาของฉินม่อโจวมีความซับซ้อนพาดผ่านในแววตาของฉินม่อโจว ในที่สุดเขาก็ไม่ปิดปากเงียบ ยามที่เดินออกไปด้านนอก เขามองมาทางซูหลีอย่างอดไม่ได้ ทว่ากลับเห็นซูหลีถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 


 


 


ฉินม่อโจว??? 


 


 


เขาช่วยนางแก้ตัว ทว่าบัดนี้เขาจะออกไปแล้วนางกลับถอนหายใจออกมา? 


 


 


อารมณ์ของฉินม่อโจวไม่ดีเท่าไรนัก เขาขบริมฝีปากแล้ววางมาดเย็นชาเดินออกจากห้องทรงอักษรไปทันที 


 


 


“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีรอให้ทุกคนออกไปจนหมดแล้ว นางถึงได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างประหม่า และยิ้มอย่างเอาใจให้กับฉินเย่หานครู่หนึ่ง 


 


 


ฉินเย่หานกวาดสายตามองนางอย่างไร้ความรู้สึก วางมาดคล้ายกับไม่อยากเสวนากับนางมิปาน 


 


 


ซูหลี… 


 


 


“ทูลฝ่าบาท เรื่องในวันนี้มิใช่สิ่งที่กระหม่อมเจตนาให้เกิดขึ้น ทว่าวันนี้องค์หญิงได้ส่งคนมาเชิญกระหม่อม องค์หญิงนั้นมีตำแหน่งที่สูงศักดิ์เช่นนี้ กระหม่อมจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน…” 


 


 


เขามองดูใบหน้าเล็กที่กำลังอธิบายกับตน มีริ้วสีชมพูปรากฏอยู่บนใบหน้าขาวลออรูปไข่ ดูน่าเย้ายวนใจยิ่งนัก 


 


 


เพลิงโทสะในใจของฉินเย่หานสลายไปมากกว่าครึ่งแล้ว ทว่าสีหน้ายังไม่น่าดูเสียเท่าไรนัก 


 


 


“เรามองดูแล้ว เรื่องอื่นเจ้านั้นไม่ได้เรื่อง ทว่าความสามารถในการยั่วยวนผู้อื่นนั้น กลับเป็นอันดับหนึ่ง!” 


 


 


ซูหลีถึงกับตะลึงตาค้าง นี่เป็นการใส่ร้ายกันชัดๆ! 


 


 


 


 


 


  


 


 


ตอนที่ 732 ใครเป็นบุรุษของเจ้ากัน! 


 


 


นางไปยั่วยวนใครตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? 


 


 


นางต้องโทษทั้งที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่โดยแท้! 


 


 


“กระหม่อมมิได้กระทำเช่นนั้นเสียหน่อย!” ซูหลีเม้มริมฝีปาก และปฏิเสธออกมาอย่างไม่ลังเล 


 


 


หลังจากที่พูดคำพูดประโยคนี้ออกมา นางกลับรู้สึกว่าสีหน้าของฉินเย่หานเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม 


 


 


ซูหลี…นี่นางพูดอะไรผิดอีกแล้ว 


 


 


“เจ้ามิได้กระทำเช่นนั้น?” ฉินเย่หานมองนาง เขากลับแค่นหัวเราะด้วยเสียงเย็น 


 


 


สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่า ยามที่ซูหลีเห็นฉินเย่หานเผยท่าทีเช่นนี้ออกมา นางเกิดอาการสับสนมึนงงไปหมด ฉินเย่หานรู้จักมีอากัปกิริยาที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ด้วยหรือ 


 


 


ทว่านางยังไม่ทันดึงสติกลับคืนมา ก็ได้ยินฉินเย่หานเอ่ยว่า 


 


 


“เราไม่รู้ เราก็เป็นแค่ฮ่องเต้คนหนึ่ง เดิมก็เป็นคนที่มีน้ำใจคนหนึ่งเท่านั้น!” 


 


 


ซูหลีตะลึงค้าง 


 


 


ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้น ก็พบกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะของฉินเย่หาน 


 


 


นี่ตั้งแต่นางรู้จักฉินเย่หานมา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่หานเปิดเผยความรู้สึกออกมามากขนาดนี้ ทว่าในชั่วขณะนี้นางไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก นี่ฉินเย่หานอะไรโมโหอะไรกัน 


 


 


หรือว่า… 


 


 


เขากำลังหึง? 


 


 


ไม่ คงเป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง? 


 


 


เรื่องนี้เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก! 


 


 


“กะ กระหม่อม…” เป็นเพราะซูหลีประหลาดใจเกินไป ทำให้แม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่ชัดเจน พูดคำหนึ่งก็ต้องฉินเย่หานปราดหนึ่ง นางพูดติดอ่างจนทำให้เขาเริ่มโมโห 


 


 


ฉินเย่หานวางมาดนิ่งเฉย เขาลุกขึ้นยืนพรวดพราดแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซูหลี จากนั้นจึงยื่นมือจับคางของนางไว้ เพื่อให้นางสบตากับตน 


 


 


“เจ้าเป็นสตรีของเรา หากต่อไปยังกล้าเล่นหูเล่นตากับบุรุษอื่น เราจักมิให้อภัยเจ้าอย่างแน่นอน!” 


 


 


เล่นหูเล่นตา! 


 


 


ซูหลีมุมปากกระตุก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะกาลเทศะไม่ถูกต้อง นางคงตะโกนออกมาแล้วว่า ‘กระหม่อมถูกปรักปรำ’! 


 


 


แต่เมื่อตริตรองดูแล้ว ซูหลีก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ 


 


 


“ฝ่าบาท” ดวงตาสีนิลทั้งสองของนางเบิกกว้างและจ้องไปที่ฉินเย่หาน แล้วเอ่ยว่า “ไหวอ๋องนั้นไม่ทราบตัวตนของกระหม่อม แล้วจะ…” 


 


 


“ไม่ทราบ?” ฉินเย่หานได้ยินดังนั้นจึงส่งเสียงไม่พอใจออกมา สีหน้ายิ่งดูเคร่งขรึมกว่ามเดิม เขาเอ่ยด้วยเสียงเย็นว่า “แต่ก่อนเจ้ามิได้ทั้งร่ำไห้ ทั้งตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่าจะออกเรือนให้แก่เขารึ!?” 


 


 


ซูหลี “…” 


 


 


ยังมีเรื่องนี้… แม้แต่ตัวนางเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว! 


 


 


ฉินเย่หานเห็นท่าทีของนางแล้ว เพลิงโทสะในใจทั้งค่อยระอุมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังรู้สึกหน่วงๆ เขารู้สึกแย่เป็นอย่างมาก 


 


 


นางยังคิดว่าเขาโมโหเพราะอะไรเสียอีก 


 


 


เขารับปากว่าจะให้ตำแหน่งนางในวังหลัง ต้องการให้นางเข้าวังหลวง หัวเด็ดตีนขาดนางก็ไม่ยินยอม ทว่ากลับไปกอดขาผู้อื่น แล้วเอ่ยว่าจะแต่งงานกับผู้อื่น 


 


 


ก่อนหน้านี้ยามทีไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนางผู้นี้นั้นยังดี บัดนี้เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว เขาก็แทบคว้าตัวนางมาไว้ข้างและ และลงโทษนางสักหนึ่งคำรบ! 


 


 


ทำให้นางรู้ว่าใครเป็นบุรุษของนางที่แท้จริง 


 


 


“ระ เรื่องนี้ ที่จริงแล้วก็แค่…อื้อ!” ในขณะที่ซูหลีกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อพูดอธิบาย นางคิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานกดร่างของนางอย่างกะทันหัน 


 


 


ทันใดนั้นนางก็พูดอะไรออกมาไม่ได้อีก! 


 


 


หลังจากนั้นแม้แต่คำพูดประโยคสมบูรณ์ก็ยังพูดไม่ออก นางถูกฉินเย่หานกดลงภายในห้องทรงอักษร และใช้ร่างกายของตนเพื่อดับโทสะในใจ 


 


 


ในครานี้ฉินเย่หานไม่เปิดโอกาสให้นางเลยแม้แต่น้อย เขาใช้พละกำลังบอกนางว่า ใครกันที่เป็นบุรุษของนาง 


 


 


ซูหลี… นางแทบจะเป็นลมตายไปแล้ว 


 


 


ทว่านี่ยังไม่นับเรื่องที่ฉินเย่หานคล้ายกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนมิปาน เขาบังคับให้ซูหลีคำพูดที่น่าอาย เดิมซูหลีปิดปากเงียบไม่เอ่ยอะไรออกมา ทว่าเขากลับเคี่ยวรำไปร้อยกระบวนท่า 


 


 


ยามที่ซูหลีสะลึมสะลือ อะไรก็ยอมพูดหมดแล้ว 


 


 


สูญเสียอธิปไตยและต้องชดใช้ที่ดินแม้จะมากเกินไปก็ตาม 


 


 


การรับรู้ถึงตัวตนของฉินเย่หานเพิ่มมากขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้นคนผู้นี้ไม่สามารถยั่วยุได้ง่ายๆ มิเช่นนั้น…เอวนางก็จะทนรับไม่ไหว! 


ตอนที่ 733 คลื่นใต้น้ำ 


 


 


แต่คนที่นอนไม่หลับในคืนนี้ไม่ได้มีแค่ซูหลีเท่านั้น 


 


 


“เจ้าออกไปเฝ้าด้านนอกเถอะ!” ป๋ายไต้ซือเอ่ยแล้วหญิงรับใช้คนสนิทของป๋ายถาน ก็ถอยออกไป 


 


 


ป๋ายไต้ซือเป็นบิดาของป๋ายถาน จึงมักจะเข้าวังมาพบป๋ายถานเป็นปกติ เพียงแต่คราวนี้มีคนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน ซึ่งนั่นก็คือป๋ายเฮ่อ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของป๋ายถาน 


 


 


นี่ไม่ถือว่าเป็นอะไร อย่างไรเสียก็เป็นสายเลือดเดียวกัน มาดูป๋ายถาน คนรอบข้างก็ไม่พูดอะไรมากมายนัก 


 


 


นางกำนัลนั้นเป็นสาวใช้ที่ป๋ายถานพาเข้าวังมาด้วยในตอนแรก ย่อมเชื่อฟังพวกเขาอยู่แล้ว จึงไปเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักเงียบๆ ให้พื้นที่พวกเขาได้คุยกัน 


 


 


“ท่านพ่อทำไมถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้? ลูกเคยบอกท่านหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ระวังซูหลีให้มาก” หลังจากที่สาวใช้ผู้นั้นถอยออกจากห้องไปแล้ว ป๋ายถานก็เอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนรน 


 


 


ตอนได้ยินข่าวจากวังหน้า ป๋ายถานก็นั่งไม่ติดแล้ว 


 


 


แม้สุดท้ายจะผ่านไปได้ แต่พี่ชายนาง…. พอป๋ายถานนึกถึงตรงนี้ ก็เหลือบมองป๋ายเฮ่อที่อยู่ข้างๆ แล้วเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์นักของป๋ายเฮ่อ สีหน้าเขาย่ำแย่จนน่ากลัวทีเดียว  


 


 


“พูดไปแล้วก็เป็นความผิดพ่อเอง ที่ไม่เชื่อคำเจ้า ประมาทเขา ปล่อยให้ซูหลีก่อเรื่องแบบนี้ได้” ป๋ายไต้ซือนั่งอยู่ด้านข้างสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง 


 


 


“แล้วจะจัดการเรื่องไร่ฝิ่นอย่างไร?” ป๋ายถานเลิกคิ้วขณะถาม 


 


 


“ซื่อจื่อทรงคิดได้รอบคอบอย่างยิ่ง เมื่อวานทรงสั่งให้คนไปที่ไร่ฝิ่นจัดการทำลายสิ่งของที่นั่นจนหมดสิ้น แล้ววางเพลิงเผาที่นั่นจบราบ ไม่เหลือร่องรอยใดๆ!” ป๋ายไต้ซือคิดถึงตรงนี้ก็หวาดกลัว 


 


 


หากเมื่อวานเขาไม่ฟังคำพูดฉินมู่ปิง เกรงว่าตอนนี้คงโดนจับได้ไปแล้ว 


 


 


“เพียงแต่เสียดายของเหล่านี้โดยทำลายลงไปในวันนี้ ก่อให้เกิดเสียหายอย่างมหาศาล!” ไร่ฝิ่นทั้งหมดรวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ฝิ่นก็โดนทำลายก่อให้เกิดความเสียหายกับบ้านสกุลป๋ายไม่น้อย 


 


 


เดิมทีนี่เป็นธุรกิจที่สร้างกำไรอย่ามหาศาล 


 


 


“ท่านพ่อ ลูกแต่งงานแล้ว ตามธรรมเนียมแล้วไม่ควรให้ลูกต้องพูดกับท่านพ่อ แต่ท่านจะต้องระวังเอาไว้ให้มาก ไม่รู้ว่าฉินเย่หานคนนี้มีเจตนาอะไร ตอนแรกบอกว่าฝิ่นเป็นของที่มีกำไรค่อนข้างสูง ท่านดูสิตอนนี้สร้างเรื่องเดือดร้อนให้เราแล้วปะไร?” 


 


 


ป๋ายถานไม่เห็นด้วยที่ป๋ายไต้ซือไปมาหาสู่กับฉินมู่ปิง แต่ต่อให้นางฉลาดเท่าไหร่ ผู้ชายพวกนี้ไปมาหาสู่กันก็ไม่ยอมบอกนาง นางถึงต้องอาศัยโอกาสนี้พูดสักหน่อย 


 


 


“พ่อรู้” ป๋ายไตซือได้ยินเช่นนั้น ร่องรอยอารมณ์ก็พาดผ่านในแววตา แต่ก็ไม่พูดอะไรมากนัก เพียงแต่ผงกศีรษะ 


 


 


“คราวนี้เพราะซูหลีแท้ๆ ความแค้นครั้งนี้ข้าต้องเอาคืนให้ได้!” ป๋ายเฮ่อที่ฟังพวกเขาพูดกันอยู่ข้างๆ ก็แทรกขึ้นมา 


 


 


ใบหน้าเขาเย็นชาภายใต้แสงไฟ ทำให้คนที่มองเห็นหวาดกลัว 


 


 


ป๋ายถานรู้จักนิสัยพี่ชายตนเองดี คราวนี้เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปแน่ 


 


 


นางเองก็ไม่ชอบซูหลี โดยเฉพาะหลังจากที่ซูหลีขวางทางเจริญของสกุลป๋ายแล้วด้วย ต้องกำจัดคนผู้นี้ทิ้ง 


 


 


“คิดจะจัดการเขาตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ง่าย” ป๋ายไต้ซือนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา 


 


 


“พอคิดให้ละเอียดแล้วคนผู้นี้ ถึงจะทำเรื่องเหลวไหลมามากมาย แต่ไม่ใช่ความผิดที่รุนแรงมากมาย อีกทั้งในปีที่ผ่านมาถึงซูหลีจะจะทำนิสัยโอหังเหมือนที่ผ่านมา แต่ในทุกก้าวกลับเหมือนว่าคำนวณวางแผนมาหมดแล้ว” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 734 ซื่อจื่อกลับมาแล้ว 


 


 


“วางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ น่ากลัวอย่างยิ่ง” ป๋ายไต้ซือวิจารณ์ออกมา 


 


 


นี่ก็เป็นผลสรุปที่เขาได้หลังจากที่เจอฤทธิ์ซูหลีในวันนี้ 


 


 


ป๋ายถานที่อยู่ด้านข้างผงกศีรษะ นางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจู่ๆก็เอ่ย “นางกำนัลของเราที่ส่งไปปัดกวาดที่ห้องทรงอักษร บอกว่าเมื่อคืนมีสตรีไปห้องทรงอักษร” 


 


 


ป๋ายไต้ซือนิ่งฟังราวเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาแม้แต่น้อย หลังจากฟังก็นิ่งไปครู่หนึ่ง พลันมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในหัว 


 


 


เขารีบเอ่ย “พ่อส่งคนไปที่บ้านสกุลซู คอยเฝ้าคนที่คอยไปมาหาสู่คนบ้านสกุลซู บอกว่าคนสกุลซูไม่มีใครเข้าออก มีผู้หญิงออกมาเพียงคนเดียวในตอนกลางคืน!” 


 


 


หลังจากป๋ายถานได้ยินคำพูดดังกล่าวแล้ว ใบหน้าเย็นชา นางเอ่ยเสียงเย็น “ไม่แน่ว่า ถ้านฮวาที่ชื่อเสียงลือกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวงของเราอาจจะเป็นหญิงปลอมตัวเป็นชายกระมัง!” 


 


 


พอเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้วนั้น ป๋ายไต้ซือและป๋ายเฮ่อก็ใจหายวาบ 


 


 


“นี่…หมายความว่าอย่างไรกัน?” ใบหน้าป๋ายไต้ซือเต็มไปด้วยความตกใจขณะจ้องป๋ายถาน 


 


 


“ลูกก็แค่คาดเดาเท่านั้น ท่านลืมเรื่องแม่เลี้ยงของซูหลีเมื่อคราวก่อนแล้วหรือที่ฉาวโฉ่ไปทั่วเมืองหลวงเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ?” ป๋ายถานเองก็ไม่แน่ใจ ถึงนางจะพูดแบบนี้ เป็นเพราะความรู้สึกของนางที่มีต่อเรื่องนี้เท่านั้น 


 


 


แต่ความรู้สึกของนางค่อนข้างแม่นยำ แทบไม่เคยพลาดมาก่อน 


 


 


“จากที่ลูกรู้มา หลี่ซื่อไม่ได้เป็นคนฉลาดหลักแหลม นางจะสร้างเรื่องเช่นนี้ในวันเกิดซูหลีโดยที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุได้อย่างไร ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ? ท่านพ่อ เอาอย่างนี้ ท่านส่งคนไปหาข่าวสักหน่อย จะให้ดีลองไปหาคนที่กล่าวหานางในวันนั้น” 


 


 


“เป็นไปไม่ได้กระมัง? ผู้หญิงสอบเคอจวี้? แถมยังสอบเป็นถ้านฮวาด้วย?” ป๋ายเฮ่อเลิกคิ้วอยู่ด้านข้าง จากที่เขาฟังดูนี่เป็นเรื่องออกจะเหลือเชื่อเกินไป 


 


 


เขายังสอบไม่ติดลำดับใดๆ อย่าว่าแต่ผู้หญิงคนหนึ่ง! 


 


 


“นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น ไปลองสืบดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร หากว่าเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ซูหลีต้องจบเห่แน่!” 


 


 


ป๋ายไต้ซือเห็นท่าทางแบบนั้นของป๋ายถาน ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผงกศีรษะอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง 


 


 


ที่จริงเขาคิดเหมือนกับป๋ายเฮ่อ ผู้หญิงสอบเคอจวี่ แถมยังได้ลำดับที่ดีแบบนี้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว 


 


 


เขาเองก็อยากจะเถียงผู้เป็นน้องสาว แต่พอเขามาคิดๆดูแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่ยอมฟังคำพูดของบุตรีถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ช่างเถอะ…ลองไปสืบๆ ดู ช่วยให้นางสบายใจก็ดีเหมือนกัน 


 


 


ป๋ายไต้ซือและป๋ายเฮ่ออยู่ในตำหนักของป๋ายถานครู่ใหญ่ ก่อนจะออกมา 


 


 


แต่หลังจากที่พวกเขากลับไปแล้วป๋ายถานเองก็นอนไม่หลับทั้งคืน 


 


 


นางนึกถึงดรุณีที่มาเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ที่ห้องทรงอักษรคืนนั้น 


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่นางไม่เคยเจอหญิงนางนี้มาก่อน แต่ความรู้สึกกลับบอกนางว่าผู้หญิงคนนี้ก็คือซูหลี! 


 


 


ทันทีที่คิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ ป๋ายถานก็นอนไม่หลับทันที 


 


 


นางรู้ว่าฉินเย่หานเป็นคนเย็นชาอย่างยิ่ง คนที่ทำให้คนเย็นชาแบบนั้นเกิดอารมณ์ขึ้นได้ในสถานที่อย่างห้องทรงอักษร หากนางสืบเจอต้องกำจัดทิ้งเท่านั้น! 


 


 


ป๋ายถานสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ข่มความริษยาในก้นบึ้งหัวใจเอาไว้ 


 


 


…… 


 


 


เช้าตรู่อีกวัน เป็นวันพักผ่อน ไม่ต้องออกว่าราชการ ซูหลีลอบออกจากวังกลับไปที่บ้านสกุลซู 


 


 


ทันทีที่ถึงบ้าน นางก็อยากจะนอนหลับเท่านั้น ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น ก็นางไม่ได้นอนทั้งคืน! 


 


 


ทว่ามีบางคนไม่ยอมปล่อยให้นางได้พักผ่อน 


 


 


‘นายน้อย! นายน้อย! รีบตื่นเร็วเข้า! ซื่อจื่อเสด็จมา!” 


 


 


ซูหลียังคงสะลึมสะลือ พอได้ยินสามคำสุดท้าย ก็รีบผุดลุกขึ้นทันที 


 


 


“ซื่อจื่อ?” 


ตอนที่ 735 เชิญนางดื่มชา


 


 


ไยฉินมู่ปิงถึงมาหานางในเวลานี้?


 


 


นี่คงมิได้อยากจะฉลองวันเกิดกับนางสองวันหรอกนะ!


 


 


ซูหลีผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยๆ ปีนลุกขึ้นจากเตียงนอน และปล่อยให้สาวใช้ทั้งสองอาบน้ำแต่งตัวให้กับนาง หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า


 


 


“ซื่อจื่อ” ทันทีที่ซูหลีเดินเข้าไป ก็พบฉินมู่ปิงยืนอยู่ภายในห้องโถงแล้ว


 


 


เพียงมองไกลๆ ก็รับรู้แล้วว่าฉินมู่ปิงมีรูปโฉมอันหล่อเหลา แม้จะไม่ได้รูปงามมากขนาดนั้น ทว่าก็ถือเป็นคุณชายรูปงามใบหน้าดุจหยก


 


 


วันนี้ซูไท่ไม่อยู่ในจวน เป็นเพราะหลี่ซื่อก็ใกล้จะคลอดแล้ว ซูไท่จึงไปที่เรือนหลี่อยู่บ่อยๆ เขาถึงขั้นพูดอะไรบางอย่างบ้างเล็กน้อย ทว่าซูหลีกลับไม่สนใจ ซูหลีรู้แค่เพียงหากหลี่ซื่อคลอดบุตรออกมาแล้ว นางก็ควรออกไปจากที่นี่


 


 


“ใต้เท้าซู ไยกลางวันแสกๆ ยังหลับนอนอุดอู้ในห้องอยู่อีกกัน” ทันทีที่นางออกมา ฉินมู่ปิงก็ปรายตามองนางอย่างประหม่า


 


 


ยามที่ฉินมู่ปิงมาถึง เขาได้ยินว่าหลับอยู่ เขาก็รู้สึกตะลึงงันเล็กน้อย


 


 


“บรรยากาศในวสันตฤดูนั้นดีมาก ในเมื่อไม่ต้องไปว่าราชกิจ ดังนั้นจึงนอนต่ออีกสักหน่อย” จากที่ซูหลีคิดๆ ดูแล้ว ทุกวันก็เหมาะที่จะหลับนอน ทว่าคำพูดเช่นนี้นางไม่อาจพูดออกไปได้


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าใต้เท้าซูมีความสนใจไปดื่มชาสักแก้วกับข้าที่หอชาวสันต์ที่เปิดใหม่หรือไม่” ฉินมู่ปิงได้ยินดังนั้นกลับมิได้สนใจ จากนั้นเขาจึงจ้องนางด้วยสายตาที่ล้ำลึก


 


 


ซูหลีผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหรี่ตาลง


 


 


นางไม่เข้าใจจริงๆว่าฉินมู่ปิงมาหานางถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรกัน ทว่าเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องที่เขาจะพูดนี้ไม่เหมาะที่จะพูดในจวนสกุลซู ดังนั้นเขาถึงได้ชวนซูหลีออกไปข้างนอก


 


 


“…ในเมื่อซื่อจื่อพูดเช่นนี้ ซูหลีก็มิอาจปฏิเสธได้เป็นธรรมดา” ในเมื่อคนผู้นี้มาหานางถึงที่แล้ว ซูหลีก็ไม่สามารถขับไล่เขาออกไปได้


 


 


ซูหลีผงะไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังตอบตกลง


 


 


ทั้งสองคนเดิมตามกันออกไปจากจวนสกุลซู


 


 


และเดินทางไปยังหอชาที่เพิ่งเปิดใหม่


 


 


หากพูดถึงหอบุปผา หอสุราในเมืองหลวง หอชาแห่งนี้นั้นเหมือนกับสถานที่เหล่านั้นเป็นอย่างมาก หอชาวสันต์แห่งนี้เพิ่งจะเปิดในช่วงก่อนปีใหม่และยังไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของร้านที่อยู่หลังม่าน


 


 


หอชาแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง การตกแต่งก็หรูหราเกินจะเปรียบเปรย คุณภาพชาก็ทำได้ไม่เลวนัก


 


 


ในเวลานี้ หอชาแห่งนี้กลับสามารถเข้ามาแทนที่โรงเตี๊ยม และกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับการชื่นชอบของผู้ที่ชื่นชอบรสชาติที่มีระดับในเมืองหวง


 


 


บุคคลที่มีระดับงั้นหรือ?


 


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางกลับรู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่เหมาะกับฉินมู่ปิงเลยสักนิด


 


 


ที่จริงแล้วหลังจากถึงหอชาวสันต์ ใบหน้าของซูหลีเต็มไปด้วยความประหลาดใจกว่าเดิม


 


 


หอชาแห่งนี้ถูกตกแต่งได้อย่างงดงามอย่างยิ่งมาก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นแค่เพียงดอกกล้วยไม้ที่ประดับอยู่ในกระถาง ภายในนั้นก็เป็นของที่มีราคาสูงมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาพคนมีชื่อเสียงที่แขวนประดับอยู่ในหอชา


 


 


ทันทีที่ก้าวเข้าไปก็พบว่ามีความแตกต่างจากโรงเตี๊ยมธรรมดาเป็นอย่างมาก


 


 


ชารสชาติของที่นี่มีรสชาติไม่เลว


 


 


ในเวลานี้เป็นช่วงขณะนี้เป็นเวลาตอนบ่าย แขกที่มาจึงมีไม่มากนักก็มีเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น


 


 


หลังจากฉินมู่ปิงนำนางเดินเข้ามา ก็เดินตรงขึ้นไปในห้องรับรองชั้นสอง


 


 


ภายในห้องรับรองนั้น ถูกตกแต่งได้อย่างโดดเด่น ซูหลีกวาดตามองโดยรอบปราดหนึ่ง หลังจากนั้นจึงนั่งลงด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ สายตาของนางมองฉินมู่ปิงอย่างพิเคราะห์


 


 


ฉินมู่ปิงสั่งชาปี้หลัวชุนมากาหนึ่ง ซูหลีนั้นมิได้มีความพิถีพิถันในการดื่มชาเท่าไรนัก เขาจะสั่งอะไรก็สั่งตามนั้น นางนั้นค่อนข้างให้ความสนใจกับของว่างในการดื่มชาเสียมากกว่า


 


 


หลังจากชาและของว่างทุกอย่างถูกนำมาวางบนโต๊ะ ผู้ติดตามทุกคนก็ออกจากห้องไป รวมถึงไป๋ฉินที่ซูหลีพามาด้วยและเด็กรับใช้ของฉินมู่ปิง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 736 แกล้งโง่อวดฉลาด


 


 


เมื่อพวกเขาทุกคนออกไปจากห้องรับรอง ก็เหลือเพียงซูหลีกับฉินมู่ปิงสองคนเท่านั้น


 


 


“ใต้เท้าซูลองชิมดูสิ ของว่างของที่นี่ขึ้นชื่อว่าไม่เลว โดยเฉพาะขนมเฝ่ยชุ่ยไส้พุทรา” ฉินมู่ปิงดันจานของว่างที่ทำขึ้นอย่างประณีตมาตรงหน้าซูหลี


 


 


ขนมเฝ่ยชุ่ยไส้พุทรานั้นขายดีเป็นอย่างมาก ผิวของขนมด้านนอกนั้นเป็นสีเขียวมรกตใสแวววาว รับกับไส้พุทราจีนแดง ขนมทุกๆ ชิ้นมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือของซูหลี มีความละมุลเหนียวสดและออกหวาน รสชาติหอมลื่นคอ ซูหลีกินเข้าไปหลายชิ้นในคราเดียว


 


 


นางกินไปพลาง และเอ่ยไปพลาง “ไม่เลวจริงๆ นี่นา”


 


 


ฉินมู่ปิงจ้องนางตาไม่กะพริบ ริมฝีปากยังประดับด้วยรอยยิ้ม นางนั้นดูคล้อยตามได้ง่าย นางทำเหมือนว่าวันนี้ที่เขาไปหาถึงที่จวน และพานางมาสถานที่เช่นนี้เพียงกินของอร่อยเท่านั้น


 


 


ทว่าก็เพราะนางเป็นเช่นนี้ ถึงทำให้คนผู้นี้ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ


 


 


นางเห็นอย่างชัดเจนว่าฉินมู่ปิงสนิทคนที่นี่เป็นอย่างมาก ทว่าจากการแสดงออกของฉินมู่ปิงตั้งแต่แรก กลับดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยพาใครมาที่นี่


 


 


ทว่านางก็ไม่ถามให้มากความ


 


 


ถึงกับขั้นไม่ใส่ใจ


 


 


ฉินมู่ปิงมองนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขานั้นเผยสีหน้าที่ไม่เคยให้ใครรับรู้ หากนางยังอยู่ในท่าทีเช่นนี้คงจะไม่ยุติธรรมเท่าไหร่กระมัง


 


 


“ใต้เท้าอารมณ์เหมือนจะดีไม่น้อย” เมื่อเห็นซูหลีใกล้จะกินของว่างหมดจาน ฉินมู่ปิงจึงค่อยๆ พูดขึ้น


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาปราดหนึ่ง จากนั้นจึงยกจอกชาด้านข้างขึ้นจิบอึกหนึ่ง


 


 


“ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ซื่อจื่อไม่ทราบ ข้าหลับจนถึงเมื่อครู่ ยังไม่ได้กินอะไรเลย ในเวลานี้จึงรู้สึกหิวมาก” นางหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่านางกินของว่างหมดไปมากกว่าครึ่งก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ที่จริงแล้วนางหาได้รู้สึกเขินอายไม่ ตั้งแต่เล็กจนโตฉินมู่ปิงพบสตรีมาจำนวนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะหลายปีก่อนหน้าที่เข้ามาในเมืองหลวง เพียงแค่สาวงามที่คนใต้อาณัตินำมามอบให้ก็มีหลายร้อยคนแล้ว


 


 


ทว่าเขายังไม่เคยเจอสตรีเช่นเดียวกับซูหลี


 


 


เรื่องที่นางปลอมตัวเป็นบุรุษก็ช่างเถอะ ปฏิบัติงานก็ไม่คร่ำครึ ไม่เหมือนสตรีเลยแม้แต่น้อย


 


 


นั่นคงเป็นเพราะนางไม่ได้ถูกเลี้ยงดูในห้องของสตรีตั้งแต่เด็ก


 


 


ฉินมู่ปิงดึงสติกลับมา จากนั้นพลันยื่นมือไปเคาะบนโต๊ะและเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าอาหารถูกใต้เท้าซูกินอย่างเบิกบานใจแล้ว จะตอบคำถามของข้าได้หรือไม่”


 


 


ยามที่เขาพูดซูหลีกำลังดื่มชาอยู่ แม้ว่าซูหลีจะไม่ได้เข้าใจในเรื่องศาสตร์ของรสชาติของชานั้น ทว่าชาภายในหอชาวสันต์แห่งนี้ ยามดื่มเข้าไปแล้วยังลงเหลือกลิ่นหอม ดื่มแล้วตรึงตาตรึงใจเป็นอย่างมาก


 


 


หลังจากได้ยินคำพูดของฉินมู่ปิง นางพลันชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาที่กวาดมองไปยังเขา ยังแฝงไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน


 


 


ที่แท้ก็รีบเร่งจะพูดเรื่องนี้เอง


 


 


คราก่อนเพื่อให้ได้ประโยชน์อันที่นางพึงจะได้ นางจึงตอบรับฉินมู่ปิงไป ทว่านางไม่คิดจะกระทำสิ่งใดทั้งสิ้น


 


 


ฉินมู่ปิงก็ไม่ได้เรียกร้องให้นางกระทำสิ่งใด นางจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อะไรที่ควรทำก็ยังทำตามเคย


 


 


คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ คนผู้นี้จะมาหาถึงจวน!


 


 


“กระทำสิ่งใดกัน คำพูดของซื่อจื่อซูหลีนั้นไม่ค่อยจะเข้าใจ” ซูหลีแสร้งตีหน้าซื่อ


 


 


แววตาของฉินมู่ปิงมีความเย็นชาเล็กน้อย การเคลื่อนไหวทุกอย่างในมือพลันหยุดลง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “ใต้เท้าซูต้องการแตกคอกับข้าหรือ”


 


 


“หึ!” ซูหลีวางจอกชาในมือลง นางมองเขาด้วยรอยยิ้มและเอ่ยว่า “ซื่อจื่อเอาคำพูดนี้มาจากไหนกัน คราก่อนแม้ข้าจะตอบรับเจ้าแล้ว ทว่าเจ้ากลับไม่พูดว่าให้ข้ากระทำสิ่งใด”


 


 


“ในเมื่อไม่มีคำสั่งจะมีการเคลื่อนไหวได้อย่างไร ใช่หรือไม่ซื่อจื่อ”


 


 


ฉินมู่ปิงมองรอยยิ้มเบาบางบนในหน้าเล็กแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกจุกแน่นที่คอของตนได้


ตอนที่ 737 นางหลอกลวงเขา


 


 


พอเห็นซูหลีคิดถึงเรื่องวันนั้นอย่างไม่รู้ตัว นางยืนอยู่กลางท้องพระโรงด้วยท่าทางโดดเด่นผิดแผกจากคนทั่วไป


 


 


ฉินมู่ปิงพลันรู้สึกเหมือนไม่อาจควบคุมใจตนเองได้


 


 


“ซื่อจื่อ?” ซูหลีเห็นเขาเอาแต่จ้องตน ในแววตาหงส์คู่นั้นเหมือนแฝงด้วยอารมณ์มากมายปะปนอยู่ แต่ก็เหมือนไม่มีอะไรเช่นกัน


 


 


นางหรี่ตาลง ยามดวงตางดงามของอีกฝ่ายเอาแต่จ้องตน พาลให้ใจสั่นระรัวจนไม่อาจควบคุมได้จริงๆ


 


 


“ใต้เท้าซูกำลังพักผ่อนหรือนี่?” พอฉินมู่ปิงโดนซูหลีพูดเช่นนี้ใส่ก็ได้สติกลับมา ความโหดร้ายพาดผ่านในดวงตาเขา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ซูหลีเอาแต่สนใจขนมที่เหลือในจาน จึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางหัวเราะพลางเอ่ย “ไยซื่อจื่อต้องถามให้มากความ จะใช้คนต้องไม่หวาดระแวง หากหวาดระแวงแล้วก็หาคนอื่นเถอะ ในเมื่อซื่อจื่อกับข้าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ควรจะเชื่อข้าถึงจะถูกต้อง!”


 


 


คำพูดซูหลีรัดกุมครบถ้วน เหมือนนางลงเรือลำเดียวกับเขา แต่ฉินมู่ปิงรู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เคยทำอะไรทั้งสิ้น


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใต้เท้าซูลองบอกหน่อยเถอะว่า คราวก่อนที่ข้าให้ท่านคอยไปสืบเรื่องที่ฝ่าบาททรงคิดอย่างไรกับจวนจิ้งหนานอ๋อง แต่ผ่านไปตั้งหลายวัน ใต้เท้าซูกลับไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นี่คือวิธีการจัดการปัญหาของใต้เท้าซูหรือ?”


 


 


ใบหน้าฉินมู่ปิงเย็นชา


 


 


ที่เขาร้อนรนมาพบซูหลีเช่นนี้ ก็เพราะคำพูดที่ฉินเย่หานตรัสในราชอุทยานวันนั้น เรื่องจะทรงให้บิดาเขากลับเมืองหลวง


 


 


เรื่องนี้ไม่มีสัญญาณใดๆ มาก่อน ซูหลีเองก็ไม่เคยส่งคนมาบอกเช่นกัน


 


 


ตอนนั้นฉินมู่ปิงอยากรู้ว่าโอรสสวรรค์ทรงทำเช่นนี้เพื่ออะไร ก็ลำบากมากแล้ว


 


 


หลังจากที่เขาครุ่นคิดอย่างหนักแล้วถึงได้มาหาซูหลี


 


 


ซูหลีได้ยินเช่นนั้นมือที่ถือจอกชาก็ชะงักค้างไป จู่ๆ นางก็นึกถึงกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ที่ตรัสกับฉินม่อโจวในห้องทรงอักษรในวันนั้น


 


 


อีกทั้งหลังจากที่ฉินม่อโจวช่วยนางหลังจากตกน้ำ นางก็เห็นฉินมู่ปิงยืนข้างๆ ฉินเย่หาน


 


 


เหมือนสีหน้าเขาไม่ใคร่สู้ดีนัก


 


 


จนนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ได้ยินว่าฉินมู่ปิงขอตัวกลับไปแล้ว


 


 


ดูแล้ว…


 


 


เมื่อวานฮ่องเต้คงจะทรงวุ่นวายกับฉินมู่ปิงกระมัง? ดังนั้นเขาถึงหัวเสียร้อนรน จนต้องรีบมาหานาง?


 


 


อารมณ์หลากหลายปะปนถาโถมมาหานาง แต่ใบหน้านางกลับราบเรียบ หยิบขนมของตนขึ้นมากินอย่างนิ่งเฉย หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า


 


 


“ที่ซื่อจื่อพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ข้าไม่ได้ส่งคนไปรายงานท่านจริงๆ!”


 


 


ทันทีที่นางเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าฉินมู่ปิงก็ยิ่งแย่ไปกว่าเดิม


 


 


“แต่ซื่อจื่อ…” ซูหลีปรบมือแล้วเหลือบสายตาขึ้นอย่างกะทันหัน จ้องตาฉินมู่ปิงและเอ่ยเสียเบา


 


 


“เงื่อนไขแรกที่ในการส่งข่าวของข้า ก็คือข้าจำเป็นต้องรู้เจตนาของฮ่องเต้ก่อนสิ ซื่อจื่อนี่ท่านคิดอย่างไร ข้าหัวเดียวกระเทียมลีบในราชสำนัก ข้าจะหยั่งรู้น้ำพระทัยพระองค์ได้อย่างไร?”


 


 


“ข้าไม่ได้ให้คนรายงาน ก็เพราะข้าอยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวอะไร เพราะไม่ได้ข่าวอะไรถึงไม่มีอะไรให้ไปรายงาน!”


 


 


ฉินมู่ปิงคิดไม่ถึงว่าซูหลีจะเอ่ยออกมาเช่นนี้


 


 


แต่พอย้อนคิดดูอย่างละเอียด ที่อีกฝ่ายพูดก็มีเหตุผล


 


 


โดยเฉพาะเสด็จลุงของเขา ฉินมู่ปิงแทบจะไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่ายมากนักเลย นับประสาอะไรกับซูหลี


 


 


ซูหลีเพิ่งจะได้เข้าเฝ้าพระองค์เพียงเวลาสั้นๆเท่านั้นเอง


 


 


แต่ว่า…


 


 


ไม่รู้เพราะอะไร เขาถึงมักรู้สึกว่า อีกฝ่ายหลอกลวงเขา!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 738 เชื่อนาง!


 


 


“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?” นิ่งไปครู่ใหญ่ ฉินมู่ปิงถึงเอ่ยออกมา


 


 


“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!” ซูหลีผงกศีรษะอย่างไม่ลังเล ดวงตาดอกท้อที่งดงามคู่นั้นของนางเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์


 


 


ฉินมู่ปิงมองตานาง เขาไม่อาจหยั่งรู้เจตนาที่แท้จริงของนางในทันทีว่าจริงหรือไม่อย่างไร


 


 


ฉินมู่ปิงเพิ่งจะได้ค้นพบเอาในเวลานี้ ดวงตาของซูหลีสามารถสื่อสารคำพูดได้ และเพราะมีดวงตาเช่นนี้ หากเจ้าตัวอยากให้คนที่ได้ฟังเชื่อคำพูดของตัวเองแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องทำก็มีเพียงแค่จ้องตาอีกฝ่ายก็พอแล้ว


 


 


ดวงตาคนไม่อาจโกหก แต่ไม่รู้ว่าซูหลีเป็นเช่นนั้นหรือไม่


 


 


คำพูดคำจาของซูหลีไร้ซึ่งความรู้สึกผิดใดๆ ซูหลีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ถึงต่อมาจะพอรู้เรื่องบ้างนิดหน่อยจากคำพูดของฉินมู่ปิง แต่ก็เป็นเพียงคำพูดเหลวไหลก็เท่านั้นเอง


 


 


อีกทั้งคืนวานนางอยู่ในวังหลวงทั้งคืน เพิ่งกลับมาเอาเมื่อเช้า นางไม่มีเวลาหรอก


 


 


ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องไม่มีเวลานี้เป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ที่จริงคือนางไม่ได้อยากเป็นหูเป็นตาของฉินมู่อิงเสียหน่อย


 


 


“รู้แล้ว!” ฉินมู่ปิงผงกศีรษะ เขารู้สึกว่าเป็นมิตรกับอีกฝ่ายดีกว่าเป็นศัตรูกันเป็นไหนๆ


 


 


ในเมื่อซูหลีพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็ยินดีจะเชื่ออีกฝ่ายสักครั้ง


 


 


“ในเมื่อเจ้ากับข้าตกลงจะร่วมมือกัน หวังว่าในภายหน้าใต้เท้าซูจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”


 


 


เขาพูดคำว่าข้าแล้วนั่นแปลว่ายกอีกฝ่ายไว้เทียบเทียมกัน ถือได้ว่าเป็นวิธีอีกอย่างในการชักจูงซูหลีให้เป็นพวก


 


 


ซูหลียิ้มบางๆ ดวงตาดำสนิทจ้องเขา ขณะผงกศีรษะ


 


 


ฉินมู่ปิงเป็นคนฉลาดหลักแหลม หากเขาต้องทุ่มเทพยายามชักจูงใครคนหนึ่งมาเป็นพวกจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะทำสำเร็จจริงๆก็ได้


 


 


แต่กับซูหลี ที่นางไม่หลงกลในทรัพย์สมบัติที่เขาเสนอให้ เพราะนางมีชีวิตมาสองชาติภพ จึงย่อมสามารถยับยั้งชั่งใจ


 


 


“เมื่อวาน เสด็จลุงทรงรับสั่งให้ข้าไปเข้าเฝ้าในพระราชอุทยาน และทรงตรัสบางอย่างกับข้า…” เห็นซูหลีนิ่งไป เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดเมื่อวานให้อีกฝ่ายฟังอย่างหมดเปลือก


 


 


“เพราะช่วงนี้ข้าก่อเรื่อง จึงทรงเตือนข้า แต่ต่อมากลับตรัสว่าจะให้ท่านพ่อข้ากลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองหลวง”


 


 


ตอนพูดแววหม่นพาดผ่านในดวงตาฉินมู่ปิง เขางอนิ้วชี้ของตนเคาะโต๊ะเบาๆ ตามความเคยชิน


 


 


ซูหลีเห็นอากัปกิริยาของเขาชัดเจนเต็มสองตาแต่ก็ไม่ขัดอะไรเขา


 


 


“บางทีอาจจะเป็นแค่ความคิดชั่ววูบของเสด็จลุง แต่ว่า…” ฉินมู่ปิงเปลี่ยนเรื่อง แต่สีหน้าก็เย็นชาตึงเครียดขึ้น “ท่านพ่อข้าอยู่ชายแดนมานาน คุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่นั่นแล้ว ให้เขากลับมาตอนนี้ทำให้ข้ามีเรื่องต้องกังวลเพิ่มขึ้น…”


 


 


“วันนี้ใต้เท้าซูเป็นคนโปรดของพระองค์ เรื่องนี้ต้องขอให้ท่านช่วยข้าถึงจะถูก ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเสด็จลุง แต่ในราชสำนักวุ่นวายซับซ้อน หากมีคนเจตนาไม่ดีแล้วพูดอะไรให้เสด็จลุงฟังละก็…”


 


 


“คงไม่ใช่เรื่องที่ดีกับข้าแน่!”


 


 


ซูหลีนิ่งฟังเขาพูดมาตลอด พอฟังถึงตรงนี้นางก็เหลือบสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้


 


 


ที่จริงพวกเขาเป็นคนที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับฉินเย่หานที่สุด ฉินเย่หานกับฉินเฮ่าเป็นพี่น้องร่วมอุทรกัน


 


 


เพียงแต่ฉินเฮ่ามีกำลังทหารในครอบครอง ชวนให้คนคิดอะไรไปต่างๆ นานาได้


 


 


ดูไปแล้วฉินเฮ่าและฉินมู่ปิงเองก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี


 


 


แต่ถึงจะรู้ดีแก่ใจ แต่ทำให้ถึงไม่ยอมมอบอำนาจทหารออกมาล่ะ?


ตอนที่ 739 ไม่กินยาก็ออกไปข้างนอก


 


 


ซูหลีเชื่อว่าหากพวกเขาส่งกำลังทหารออกไป ฉินเย่หานจะต้องยินยอมปรองดองเป็นพี่น้องและอาหลานที่ดีกับพวกเขาอย่างแน่นอน


 


 


บัดนี้เป็นเช่นนี้ก็มีความนัยที่ลึกซึ้งอย่างอื่นมากมายแล้ว


 


 


“ซื่อจื่อโปรดวางใจเถิด” นางนั่งนิ่งชั่งน้ำหนักในใจ ผ่านไปพักหนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “หากฮ่องเต้ทรงตรัสออกมา ข้าจะต้องนำเรื่องนี้บอกซื่อจื่อล่วงหน้า”


 


 


ฉินมู่ปิงเห็นนางแทบจะไม่ได้ลังเลใจอะไร และตอบตกลงในทันที ใบหน้ากลับดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง


 


 


ดูเหมือนว่า ก่อนหน้านี้ที่ซูหลีตอบรับเขา คงจะแค่ตอบรับส่งๆ เท่านั้น


 


 


“เพียงแต่…” ซูหลีกลับพลันเอ่ยขึ้นว่า “ซื่อจื่อกับฮ่องเต้เป็นคนครอบครัวเดียวกัน อย่างไรก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวของราชสำนัก หากฝ่าบาททรงมิเอ่ยออกมาอย่างเปิดเผย ข้าคงจะถามได้ยาก ในข้อนี้หวังว่าซื่อจื่อจะเข้าใจ”


 


 


ฉินมู่ปิงได้ยินดังนั้นจึงอดมองนางปราดหนึ่งมิได้


 


 


ทว่าเมื่อเห็นดวงตาคู่งามจ้องมองตนเองแล้ว หัวใจกลับรู้สึกวูบไหวในทันที


 


 


นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ซูหลีใช้ความพยายามจำนวนมากและไม่เสียดายที่ต้องเป็นอริกับสกุลป๋าย อีกทั้งยังสามารถดำเนินมาถึงวันนี้แล้ว แน่นอนว่านางไม่อยากทำลายอนาคตของตนเองอย่างง่ายดาย


 


 


หากนางไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่ตอบรับในทันที เกรงว่าฉินมู่ปิงจะไม่เชื่อใจนาง ทว่าหลังจากเวลานี้ที่นางพูดประโยคนี้เสริมเข้าไป


 


 


ฉินมู่ปิงกลับรู้สึกว่านางเป็นคนที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจได้


 


 


เมื่อคิดดังนั้นฉินมู่ปิงจึงผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ใต้เท้าซูไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้ากับเสด็จพ่อนั้นเป็นคนที่รู้เหตุรู้ผล แน่นอนว่าไม่มีทางบีบบังคับและสร้างความลำบากใจให้กับผู้อื่น…”


 


 


“ก๊อกๆๆ”


 


 


“นายท่าน!” เสียงเคาะประตูดังจากด้านนอก คำพูดของฉินมู่ปิงก็หยุดชะงักในทันที


 


 


สีหน้าของฉินมู่ปิงเข้มขึ้น เขาเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นว่า “มีเรื่องอะไร”


 


 


เขาพูดจบ จู๋ซย่าก็ผลักประตูและรีบเข้ามาด้านใน ในเวลานี้เขาแทบไม่สนใจทางด้านซูหลีเลย เขาเพียงเข้าไปใกล้ข้างใบหูของฉินมู่ปิง แล้วพูดกระซิบสองสามประโยค


 


 


เสียงพูดของพวกเขาทั้งสองคนเบามาก ซูหลีแทบจะไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น


 


 


นางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก


 


 


หลักการที่ว่ายิ่งรู้มากก็ยิ่งตายเร็ว นี่เป็นสิ่งซูหลีเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งดี


 


 


อีกทั้งเรื่องภายในราชสำนัก นางไม่อยากจะเข้าไปยุ่งภายในนั้นด้วย


 


 


ดังนั้นหลังจากที่จู๋ซย่าเข้ามา ซูหลีก็แค่ยกจอกชาบนโต๊ะและหันศีรษะไปทางด้านนอกหน้าต่าง


 


 


เมื่อเห็นนางเฉลียวฉลาดเช่นนี้ ดวงตาที่ฉินมู่ปิงจับจ้องหน้าซูหลีอยู่นั้นทอไปด้วยประกายเเห่งความชื่นชม


 


 


เพียงแต่เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน การดื่มชาในวันนี้ เขาไม่อาจอยู่ต่อเป็นเพื่อนซูหลีได้แล้ว


 


 


หลังจากจู๋ซย่าพูดจบ ก็โค้งคำนับและเดินออกไป


 


 


“ใต้เท้าซู ในจวนของข้ามีเรื่องต้องไปจัดการเกรงว่าคงต้องขอตัวออกไปก่อนแล้ว วันนี้…” ฉินมู่ปิงลุกขึ้นและกล่าวลาซูหลี


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นก็ปัดมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อรีบไปจัดการเรื่องเถิด ไม่ต้องสนใจข้า”


 


 


เมื่อเห็นว่าซูหลีไม่ได้ใส่ใจ ฉินมู่ปิงก็ผงกศีรษะให้นางเบาๆ จากนั้นรีบก้าวเท้าเดินออกไป


 


 


ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องรีบเร่งจริงๆ ทว่าก็ดีที่วันนี้เขาเอ่ยคำพูดที่เขาอยากจะพูดกับซูหลีออกมาหมดแล้ว


 


 


ซูหลีนั่งจิบน้ำชาอยู่เงียบๆ และน้ำชาก็ไหลรินลงไปในลำคอนาง ทว่าทันใดนั้นนางรู้สึกว่าน้ำชากลับสามารถลงไปภายในลำคอได้อย่างลื่นไหล เหมือนกับไม่มีอะไรขวางกั้นเอาไว้เลยสักนิด


 


 


ซูหลีตะลึงงัน นางยื่นมือขึ้นลูบที่คอหอยของตนเองอย่างอดไม่ได้ จากนั้นพลันหวนคิดถึงเรื่องที่นางกับฉินเย่หานกระทำกันเมื่อคืน…


 


 


ประสิทธิผลของยาปลอมตัวสลายไปตั้งนานแล้ว!


 


 


สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนไปทันที หมู่นี้นับวันนางยิ่งประมาทเลินเล่อเกินไปแล้ว ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น


 


 


ยังดีคนที่นางมาหาคือ ฉินมู่ปิง หากเป็นคนอื่นแล้วละก็!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 740 ยาแก้ไข้ธรรมดา


 


 


เกรงว่าหากวันนี้นางเผยพิรุธวันนี้ คงจะถึงแก่ความตายได้!


 


 


ซูหลีรู้สึกตกใจ แต่ยังดีที่นางพกยาปลอมตัวติดตัวมาตลอด วันนี้แค่กินยาเข้าไปก็ไม่ใช่ไม่ได้


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้นางก็หยิบยาออกมายังไม่ทันได้กินยาพลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น


 


 


“นายน้อยของพวกเจ้าอยู่ด้านในหรือไม่” คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะหยิบขวดกระเบื้องออกมา ก็ได้ยินเสียงคนจากด้านนอกดังขึ้นเสียก่อน


 


 


เสียงของคนผู้นี้เป็นเสียงที่คุ้นเคยมาก ซูหลีได้ยินแล้วจึงหยุดสิ่งที่ทำอยู่ในมือลงครู่หนึ่ง


 


 


ในเวลานี้เอง คนผู้นั้นก็เปิดประตูและเดินเข้ามา


 


 


“พี่ซู บังเอิญอะไรขนาดนี้!” ทันทีที่เซี่ยอวี่เสียนเข้ามาก็เห็นว่าซูหลีนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว ทว่าบนโต๊ะมีจอกชาสองจอกวางไว้ จอกชาที่วางอยู่ฝั่งตรงข้ามซูหลีนั้นยังมีไอร้อนอยู่เลย ทว่าตรงข้ามนั้นกลับไร้ร่องรอยของคนผู้นั้นแล้ว


 


 


เซี่ยอวี่เสียนเพียงกวาดตามองปราดหนึ่ง คล้ายกับมิได้ใส่ใจมิปาน เขาเห็นท่าทางอ้ำอึ้งของซูหลีแล้วยังฉีกยิ้มบางให้ แล้วเอ่ยว่า


 


 


“พี่ซู นี่น่าสนใจจริงๆ ออกมาดื่มชาคนเดียวหรือ”


 


 


จู่ๆ เขาก็เข้ามาที่นี่ นี่เป็นสิ่งที่นางนึกไม่ถึง ทว่ายังถือเป็นเรื่องปกติ


 


 


ฉินมู่ปิงออกไปแล้ว ไป๋ฉินยังคงรออยู่ด้านนอก และรับรู้ดีว่านางอยู่ภายในห้องคนเดียว เซี่ยอวี่เสียนมีความสัมพันธ์อันดีกับซูหลีมาตลอด ป๋ายถานจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องรั้งตัวเซี่ยอวี่เสียนเอาไว้


 


 


“เดิมไม่ได้มาคนเดียว ทว่าคนที่มาด้วยนั้นมีเรื่องต้องไปทำอย่างกะทันหัน จึงกลับกลายเป็นอยู่คนเดียวแล้ว” ซูหลีเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นเขาจึงรู้สึกโล่งใจ นางยิ้มให้กับเขาเล็กน้อย


 


 


“ดูเหมือนว่าพี่เซี่ยก็มาคนเดียวนี่นา เช่นนั้นพวกเราก็มานั่งโต๊ะตัวเดียวกันดีกว่า!” ซูหลีปรายตามองและพบว่าข้างกายเซี่ยอวี่เสียนมีเพียงเด็กรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น และไม่มีผู้ใดติดตามมาอีก มีความประหลาดใจพาดผ่านในดวงตาของนาง จากนั้นจึงส่งเสียงเหนี่ยวรั้งให้เซี่ยอวี่เสียนอยู่ต่อ


 


 


“จะว่าไปก็บังเอิญนัก เดิมวันนี้ข้านัดกับสหายเอาไว้ที่นี่ ทว่าสหายของข้าบอกว่ามีธุระ ไม่สามารถมาที่นี่ได้ ข้าเตรียมจะกลับไปพอดี ก็เห็นสาวรับใช้ของเจ้าเสียก่อน” เซี่ยอวี่เสียนได้ยินนางกล่าวเชิญดังนั้นก็เดินเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับนาง


 


 


“เช่นนั้นเป็นโชคชะตาที่ดี แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้นัดหมายกัน ทว่าสหายของเราล้วนกลับไปแล้ว ดังนั้นสามารถนั่งโต๊ะเดียวกันได้พอดี!” ซูหลีหัวเราะร่า จากนั้นจึงเรียกเสี่ยวเอ้อร์เข้ามา นางสั่งให้เขาเก็บอาหารบนโต๊ะออกไป และสั่งน้ำชากาใหม่


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ถามว่าต้องการสั่งชาอะไร ซูหลีก็ไม่สนใจนัก จึงเป็นเซี่ยอวี่เสียนที่สั่งชาปี้หลัวชุนมากาหนึ่ง


 


 


หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นออกไปแล้ว บรรยากาศภายในห้องก็เงียบสนิท


 


 


“นี่คือสิ่งใดกัน” หลังจากเซี่ยอวี่เสียนนั่งลง เมื่อเห็นขวดกระเบื้องใบเล็กที่ซูหลีวางไว้บนโต๊ะ จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้


 


 


“อ้อ เมื่อวานข้าตกน้ำที่อุทยานหลวง จึงมีไข้เล็กน้อย นี่ก็คือยาแก้ไข” ซูหลีมองไปตามสายตาของเขา และหยุดอยู่ที่ยาปลอมตัวของตน


 


 


นางกะพริบตาเล็กน้อย จากนั้นจึงตอบด้วยคำพูดประโยคนี้


 


 


และเป็นเพราะเซี่ยอวี่เสียนถามขึ้น นางจึงเทยาเม็ดหนึ่งลงบนฝ่ามือ จากนั้นป้อนเข้าปากและกลืนลงไป


 


 


นี่ไม่ใช่เพราะนางไม่จริงใช่ ทว่าเรื่องที่นางปลอมตัวเป็นบุรุษเป็นเรื่องสำคัญมาก


 


 


หากต่อไปเรื่องนี้ถูกเปิดเผย สำหรับฮ่องเต้กับฉินมู่ปิงนั้นยังดี ทว่าเซี่ยอวี่เสียนนั้นเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง หากทราบเรื่องนี้แล้ว เกรงว่าจะสร้างความลำบากให้แก่เขา


 


 


ดังนั้นซูหลีถึงโกหกว่า นี่เป็นยาแก้ไข้


 


 


อย่างไรเซี่ยอวี่เสียนก็ทราบเรื่องที่ซูหลีตกน้ำที่อุทยานหลวง บัดนี้ชื่อเสียงของซูหลีนั้นโด่งดัง ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็เป็นที่สนใจของผู้คน นับประสาอะไรกับเรื่องตกน้ำในเขตพื้นที่ของวังหลวงกัน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม