เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 70.4-73.3
ตอนที่ 70 - 4 ความรู้สึกที่แท้จริง
ผู้ที่ไล่ตามหลังรถม้ายิ่งมากขึ้น กองทัพทหารม้าไปมาสลับซ้อน ขับไล่ฝูงชนอยู่ไกลโพ้น ทว่าต่างไม่กล้าลงมือ ดูท่าทางคล้ายกำลังปกป้องรถม้าคันนี้ ซังต้งคล้ายเสพสุขความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งนัก ข้างมุมปากผุดเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยผืนหนึ่ง
“ดูสิ ทหารนับหมื่นคุ้มกันให้รถชนตำหนักอวี้จ้าว น่าเกรงขามเพียงใด ตระกูลซังไม่ได้น่าเกรงขามขนาดนี้มานานมากนักแล้ว เสียดายเพียงว่าเทียนสี่เจ้ามองไม่เห็นแล้ว”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเสียงสะอึกสะอื้นของสตรีนางนี้ฟังแล้วโชคร้ายเหลือเกิน คงเพราะในท้องนางตอนนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เทียนสี่? อ้อ ซังเทียนสี่ นายน้อยใหญ่ผู้เป็นที่รักของนาง ฟังจากน้ำเสียงแล้วพอรู้ได้ว่าเป็นนายน้อยใหญ่ที่ให้ความสำคัญและรักใคร่อย่างยิ่ง
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มขึ้นมาเล็กน้อย
“นั่นสิ” นางยักไหล่ ตอบรับอย่างเสียใจมากว่า “ไม่เพียงมองไม่เห็นแล้ว ยังไม่ได้ยินแล้ว”
“เจ้าหุบปาก!” ซังต้งตะคอกอย่างวุ่นวายใจเสียงหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวหุบปากอย่างว่าง่าย
ผ่านไปสักพักซังต้งหันหน้าด่านางอีกครั้งว่า “ได้ยินไม่ได้ยินอะไร? เขาออกนอกเมืองไปแล้ว! ตระกูลซังของเราสิ้นชีพจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเขามีชีวิตอยู่ เจ้า กงอิ้น ทุกคนที่เป็นศัตรูกับตระกูลซังของเราในตี้เกอนี้ ช้าเร็วต่างต้องสิ้นชีพ!” นิ้วมือของนางคล้ายจะจิ้มลงบนใบหน้าของจิ่งเหิงปัวอย่างรุนแรง เอ่ยว่า “จริงสิ เจ้าไม่ต้องรอแล้ว เจ้าจะต้องสิ้นชีพไปก่อนเลยฮ่าๆๆ”
จิ่งเหิงปัวมองเห็นเมื่อลูกน้องตระกูลซังสองคนนั้นได้ยิน “สิ้นชีพจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นไร” ประโยคนั้น บนใบหน้ามีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยอย่างชัดเจน
“ข้าหมายถึง” นางกล่าวเนิบนาบว่า “พวกเจ้าตระกูลซังเกิดเรื่องเร็วเกินไป หมดอำนาจเร็วเกินไป กงอิ้นไม่ได้มอบเวลาให้พวกเจ้าโต้ตอบมากเพียงใด เจ้ากับนายน้อยใหญ่ตระกูลเจ้า ย่อมต้องมีวาจาสำคัญมากมายที่ไม่ทันได้เอ่ยกระมัง”
ซังต้งสะท้านไปทั่วร่าง
นางถูกสัมผัสบริเวณเจ็บปวด จ้องมองจิ่งเหิงปัวอย่างเกลียดชัง เอ่ยอย่างโกรธแค้นว่า “เจ้ายังมีหน้ามาเอ่ย! หากมิใช่เพราะพวกเจ้า ข้าแม้แต่…”
นางเอ่ยได้ถึงครึ่งหนึ่งแล้วหยุดวาจา บนใบหน้าผุดเผยสีหน้าเคียดแค้นอย่างยิ่ง
แต่ก่อนซังต้งสุขุมสง่างาม ทว่าประสบพบเจอความเปลี่ยนแปลงติดต่อกัน ความคิดผิดปกติต่อหน้าความเป็นความตาย จิ่งเหิงปัวอ่านทุกความคิดของนางออกได้อย่างชัดเจน
นางหัวเราะฮ่าๆ อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
ได้
คราวนี้จะเริ่มแล้ว
“หากว่า” นางเผชิญแววตาเกลียดชังของซังต้ง ไม่ร่นถอยแม้แต่น้อย กัดฟันกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ข้าให้เจ้าทิ้งวาจาที่เจ้าอยากเอ่ย ฝากให้นายน้อยใหญ่ของตระกูลเจ้าได้เล่า?”
ซังต้งเงียบไปอีกชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าคิดจะให้พวกเขาสองคนถ่ายทอดวาจาหรือ? เหลวไหลทั้งเพ พวกเขาสองคนจะออกนอกเมืองได้แม้แต่ก้าวเดียวหรือ?”
สองคนที่บนใบหน้าเพิ่งลุกโชนด้วยความหวัง สีหน้าหม่นหมองลงไปอีกครั้ง
“แน่นอนว่ามิใช่ให้พวกเขาถ่ายทอดวาจา วาจาบางอย่างเจ้าไม่อาจให้พวกเขาถ่ายทอดด้วยซ้ำใช่หรือไม่?” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าถ่ายทอดวาจาท่อนนี้ของเจ้าไว้ในกล่องใบหนึ่งได้ เจ้าเพียงต้องทิ้งกล่องใบนี้ไว้ เจ้าและบุตรชายของเจ้าย่อมมีสถานที่ลับซึ่งรับรู้ร่วมกัน ภายภาคหน้าเขาจะรู้ว่าต้องไปตามหากล่องใบนั้นที่ใดใช่หรือไม่?”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?” ซังต้งถามอย่างเหลือเชื่อว่า “เจ้าหมายถึง…ทิ้งกล่องที่มีเสียงไว้?”
“จะเอ่ยเช่นนั้นย่อมได้” จิ่งเหิงปัวหรี่ตา กล่าวว่า “ข้ามีความมหัศจรรย์มากมาย เจ้ารู้สินะ” นางกล่าวอย่างโน้มน้าวเย้ายวนว่า “อีกทั้ง ทิ้งกล่องที่มีเสียงของเจ้าไว้ เป็นการฝากความคิดถึงตลอดกาลให้บุตรชายเจ้าด้วย เช่นนี้แตกต่างจากการให้คนถ่ายทอดวาจานะ!”
สีหน้าบนใบหน้าของซังต้งวูบไหวประหนึ่งคลื่นธาร คล้ายครู่หนึ่งนี้หวั่นไหวในที่สุด จิ่งเหิงปัวแอบรู้สึกหดหู่…ต่อให้เป็นคนชั่วร้ายเลวทรามมากแค่ไหน ยังคงมีใจรักลูก ประกายโชติช่วงแห่งเพศแม่บนใบหน้านางชั่วครู่นั้นอ่อนโยนดุจสายธารเฉกเช่นมารดาทุกคนในโลกหล้า
ทว่าผ่านไปชัวครู่ซังต้งยังคงแค่นเสียงหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่ เรื่องนี้มหัศจรรย์เกินไปแล้ว ข้าไม่เชื่อ เจ้าเล่นลูกไม้ให้น้อยหน่อย ไสหัวไปให้ไกลหน่อย!”
“ยังจำภาพที่ข้าแสดงในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จได้หรือไม่? แท้จริงแล้วนั่นคือความสามารถเลิศล้ำของกล่องข้า นั่นคือกล่องที่หลงเหลือรูปภาพใบหนึ่ง คนสามารถหลงเหลือภาพเหมือนที่เสมือนตนเองทุกกระเบียดนิ้วยามเดินผ่านเบื้องหน้ากล่องนั้น เจ้าก็มองเห็นภาพนั้นแล้ว ไม่เหมือนภาพวาดด้วยซ้ำใช่หรือไม่? นั่นก็คือประสิทธิภาพของกล่อง กล่องที่มาจากฝั่งตรงข้ามมหาสมุทร มหัศจรรย์เป็นที่สุด ถูกเทพสวรรค์ประทานพลังปฎิหาริย์ให้”
“ได้ฟังนับว่าเท็จได้เห็นนับว่าจริง” ซังต้งคล้ายเชื่อขึ้นมาหลายส่วน ยื่นมือยิ้มเยาะ “เอากล่องมา”
“เจ้าจะสังหารข้า เหตุใดข้าต้องให้เจ้า?” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า
“ข้าจะค้นกายเจ้า!”
“เจ้าค้นมาได้ก็ไม่รู้ว่าใช้อย่างไร กลับจะสูญเสียโอกาสครั้งสุดท้ายในการทิ้งวาจาไว้ให้บุตรชาย”
ซังต้งลังเลเล็กน้อย สุดท้ายแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เอ่ยมา เจ้าต้องการสิ่งใด? ไว้ชีวิตเจ้าสักครั้งหรือ? คงไม่ได้ เจ้ากับตระกูลซังของข้ามีความแค้นลึกล้ำดุจมหาสมุทร ข้าสิ้นชีพทั้งตระกูลย่อมต้องลากเจ้าตายตกไปตามกัน คงไม่ปล่อยเจ้าไปด้วยเพราะอยากทิ้งวาจาไว้ให้บุตรชาย เจ้าล้มเลิกความคิดเสีย”
“ข้ารู้ๆ…” จิ่งเหิงปัวขัดจังหวะนางอย่างรำคาญ กล่าวว่า “ข้ามีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว เจ้าจะชนก็ชนไปเถิด จะลากข้าไปตายด้วยก็ลากข้าไปตายเถิด อย่าบังคับให้กงอิ้นปลิดชีพตนเองได้หรือไม่?”
“มองไม่ออกเลยว่าเจ้ายังมีความรู้สึกลึกล้ำต่อราชครู” ซังต้งยิ้มเยาะ เอ่ยว่า “เจ้าไม่อยากได้โอกาสรอดชีวิตหรือ? ไม่แน่ว่ากงอิ้นปลิดชีพตนเองแล้ว ข้าจะปล่อยเจ้าออกจากรถม้าจริง?”
“เจ้าไม่ทำหรอก เหตุใดต้องลากอีกคนหนึ่งไปสิ้นชีพด้วย”
“หากกงอิ้นไม่ตาย ที่สุดแล้วบุตรชายข้ายากจะออกจากประตูเมือง”
“บุตรชายเจ้าเฉลียวฉลาดขนาดนั้น เพียงออกจากประตูเมืองจะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรือ?” จิ่งเหิงปัวมองไปนอกรถ ร้องว่า “เฮ้ รีบตัดสินใจหน่อย ชักช้าจะไม่ทันกาลแล้ว”
“เจ้าลองทิ้งเสียงไว้ให้ข้าดูก่อน”
มือของจิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างหลังเปิดปากกาอัดเสียง เริ่มร้องเพลงตกอกตกใจ
“อาโอ๋ อาโอ๋เอ๋ย อาซือเตออาซือเตอ อาซือเตอเกอเตอเกอเตอ อาซือเตออาซือเตอเกอโตว อาโอ๋ อาโอ๋เอ๋ย!”
สามคนภายในรถผุดเผยสีหน้าทนฟังไม่ได้
ร้องเสร็จ นางปิดปากสนิทแล้วเปิดปากกาอัดเสียง
“อาโอ๋ อาโอ๋เอ๋ย อาซือเตออาซือเตอ อาซือเตอเกอเตอเกอเตอ อาซือเตออาซือเตอเกอโตว อาโอ๋ อาโอ๋เอ๋ย!”
สามคนถลึงตามองริมฝีปากเม้มแน่นของนาง สีหน้าตกตะลึง
พอได้ยินก็รู้ว่าคือทำนองไม่น่าฟังนั้นของนาง ถึงขนาดแม้แต่ทำนองเสียงสูงต่ำพลิกผันยังเหมือนกัน
“พากย์เสียงหรือ?” ซังต้งพึมพำ
ในใจก็รู้ว่าไม่อาจเป็นการพากย์เสียง เสียงที่พากย์เสียงส่วนใหญ่ฟังแล้วแปลกประหลาด
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าทุกคนเอ่ยวาจาประโยคเดียวกันซ้ำอีกครั้ง ทำนองเสียงย่อมจะไม่คล้ายกันทุกกระเบียดนิ้วโดยสิ้นเชิง
ราชินีมหัศจรรย์นางนี้ ในมือมีสิ่งของมหัศจรรย์ดังคาดการณ์
“เอามา!” ดวงตาของซังต้งแดงก่ำแล้ว ร้องว่า “ข้าจะฝากวาจาให้เทียนสี่!”
“เรื่องนี้ต้องให้ข้าดำเนินการ เจ้าเอ่ยวาจาก็พอ หากไม่วางใจ อุดหูของข้าไว้ก็ได้” จิ่งเหิงปัวไม่อ่อนข้อ
ซังต้งมองดูเบื้องหน้า กองทัพใหญ่ชุมนุมข้างกาย จัตุรัสหวงเฉิงข้างหน้าอยู่ในสายตา ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว
“ลดความเร็วลง” นางกำชับผู้ใต้บัญชาสองคน
ราษฎรและกองทัพใหญ่มองดูรถม้าที่ตะบึงรวดเร็วปานภูตพรายมาโดยตลอด พลันช้าลงมาอย่างประหลาดใจ ผู้คนจ้องมองรถม้าอย่างเปิ่ยมด้วยความหวัง หวังให้รถม้าหยุดลง จากนั้นราชินีเดินลงมาอย่างเชื่องช้า
แม้ว่ารถม้าช้าลง ทว่าไม่ได้หยุดลงเสียที
…
บนกำแพงวัง กงอิ้นสวมอาภรณ์ขาวยืนตรง จ้องมองเบื้องหน้าอยู่ไกลโพ้น
เขาได้รีบเร่งกลับสู่ตำหนักอวี้จ้าวล่วงหน้า ออกคำสั่งถอนกำลังองครักษ์ตรงลานตำหนักอวี้จ้าว เพิ่มการป้องกันประตูตำหนักอวี้จ้าวโดยพลัน เดิมทียังอยากวางแผนจัดการเล็กน้อย ทว่าเวลากระชั้นชิดเหลือเกิน
ยืนอยู่บนยอดกำแพงวัง มองรถม้าคันนั้นตะบึงเข้ามา นัยน์ตาสองข้างของเขาสงบเงียบดุจทะเลสาบหิมะผืนหนึ่ง
เหมิงหู่ยืนอยู่ข้างกายเขา สีหน้ากระวนกระวาย วาจาของซังต้งคล้ายวนเวียนดังอยู่ข้างหู เขาไม่รู้ว่าเงื่อนตายนี้ควรจะแก้ไขอย่างไร หรือว่าจะต้อง…
มองดูใบหน้าด้านข้างที่ไม่ผุดเผยอารมณ์เลยแม้แต่น้อยของกงอิ้น แม้ว่าติดตามกงอิ้นมานานหลายปี เขายังไร้หนทางคาดคะเนจิตใจของเจ้านายในเวลาเช่นนี้ได้
แต่ไหนแต่ไรมาเจ้านายยิ่งเจอเรื่องใหญ่ยิ่งมีความเด็ดเดี่ยว ยิ่งมีความเด็ดเดี่ยวยิ่งเผยกลิ่นอายเงียบสงบ ทว่าความเด็ดเดี่ยวในยามนี้ คิดอย่างไรต่างคล้ายเจือด้วยกลิ่นอายไม่เป็นมงคล…
ดวงตาสองข้างของกงอิ้นพลันแน่วแน่
ความเร็วของรถม้าเบื้องหน้าเริ่มลดลง!
ในแววตาเหมิงหู่ผุดเผยความยินดี…พอรถม้าช้าลง เรื่องบางเรื่องจะทำการตระเตรียมได้ทัน เช่น คันศรยักษ์ขนาดมหึมาที่ต้องมีขั้นตอนเริ่มประมาณหนึ่ง เช่น หน่วยเฟิงชื่อของคั่งหลงที่ระดมพลแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้รีบตามมาด้วยฉุกละหุก
“จูหว่าง” กับ “เฟิงชื่อ” คือหน่วยลับสองหน่วยใหญ่ภายในทหารคั่งหลง สังกัดทหารคั่งหลงเพียงในนาม ทว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมของทหารคั่งหลง หน่วยแรกสืบหาข่าวสารโดยเฉพาะ หน่วยหลังเชี่ยวชาญลอบสังหารแอบเคลื่อนไหว กงอิ้นเป็นคนคัดเลือกผู้ยอดเยี่ยมท่ามกลางทหารคั่งหลงมาก่อตั้งด้วยตนเอง มีคนส่วนน้อยส่วนหนึ่งรู้ถึงการดำรงอยู่ของสองหน่วยนี้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีคนได้เห็นด้วยตาตนเอง
“ทุ่มเทกำลังเร่งความเร็วเริ่มคันศรยักษ์ ไม่ต้องอำพรางอีก หลังจากหน่วยเฟิงชื่อไปถึงแล้ว ให้พวกเขาหาวิธีแอบเคลื่อนไหวมาลานกว้าง”
“ขอรับ”
เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นเฉียดลงจากยอดกำแพงวัง
ตอนที่ 71 - 1 เพื่อความรักปราศจากความ...
“ข้าอุดหูของเจ้าไว้ เจ้าจะเปิดกล่องอย่างไร” ซังต้งถามจิ่งเหิงปัว
“ไม่เป็นไร” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “เจ้าอุดหูข้าไว้ ทำสัญญาณมือแสดงว่าเจ้าจะเริ่มเอ่ย ข้าย่อมจะเปิดกล่องให้เจ้า”
ซังต้งใช้ม้วนผ้าสองก้อนอุดหูของจิ่งเหิงปัวไว้ ก่อนจะทำสัญญาณมือครั้งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวกดปุ่มปากกาอัดเสียง แล้วปรับเปลี่ยนทิศทาง
ซังต้งเอ่ยวาจาด้วยความรวดเร็วและยืดยาวยิ่งนัก สีหน้ามีความฮึกเหิมอยู่หลายส่วน ทว่าภายหลังกลับค่อยๆ สงบเงียบลง ดูท่าเขาคงจะเริ่มมอบหมายเรื่องราวสำคัญบางสิ่ง
รถม้าโลดแล่นอย่างเชื่องช้า ลูกน้องสองคนจ้องมองฝูงชนที่มืดมิดข้างนอก สีหน้าค่อยๆ ดูกดดันขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซังต้งก็เริ่มทำสัญญาณมือ จิ่งเหิงปัวกดปุ่มกด ซังต้งจึงดึงม้วนผ้าออกจากหูของนาง ยามนี้เรื่องในใจของนางหมดสิ้นแล้ว ท่าทางดูสงบเงียบขึ้นมามากกว่าก่อนหน้านี้ พลางเอ่ยถามว่า “กล่องเล่า?”
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมา นิ้วมือผ่อนคลายลง ปากกาอัดเสียงร่วงหล่นลงพื้นแล้วกล่าวว่า “กดปุ่มกดสีเงินปุ่มนั้น แล้วจะมีเสียงออกมา”
ซังต้งกระทำตามคำบอกของนาง แล้วก็มีเสียงแว่วออกมาจริงๆ นางคล้ายถูกเสียงของตนเองทำให้ตกใจ เมื่อฟังโดยละเอียดหลายประโยคก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา จากนั้นก็รีบเร่งปิดปากกาอัดเสียง
“ข้าว่า…” จิ่งเหิงปัวสังเกตสีหน้าของนาง กล่าวว่า “ของสิ่งนี้เจ้าคงต้องเหลือสักคนไว้มอบให้นายน้อยใหญ่ตระกูลเจ้ากระมัง”
พอวาจานี้เอ่ยออกมา ลูกน้องตระกูลซังสองคนต่างคิ้วกระตุก มองตากันและกันเพียงปราดเดียวแล้วต่างคนต่างรีบเร่งร่นถอย
“จริงด้วย” ซังต้งพึมพำพลางหันกายมา คล้ายอยากจะเลือกหนึ่งคนจากในสองคนมาถ่ายทอดข่าวสารนี้ให้ซังเทียนสี่
ลูกน้องสองคนพลันตึงเครียดขึ้น
นี่ก็ชัดเจนยิ่งนัก ผู้ใดถูกส่งไปมอบกล่องนี้ให้นายน้อยใหญ่ ผู้นั้นจะมีชีวิตรอด
สองคนนั้นเดิมทีได้ยอมรับความคิดว่าตนเองต้องสิ้นชีพ ทว่าสุดท้ายแล้วเกิดความไม่พอใจ บัดนี้มีความหวังแล้ว ผู้ใดจะยอมปล่อยไปเล่า?
ทว่าเรื่องนี้อย่างมากต้องการเพียงคนเดียว แต่ผู้ใดจะอยู่ผู้ใดจะตาย?
จิ่งเหิงปัวคล้ายเสนอขึ้นมาเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่า “ข้าว่านะ…เหลือไว้ทั้งสองคนก็ได้ สภาพการณ์ในยามนี้ เพียงแค่คนเดียวก็ไม่แน่ว่าจะหนีรอดได้ มีข้าสิ้นชีพด้วยกันกับเจ้า ยังไม่พออีกหรือ”
ลูกน้องตระกูลซังสองคนมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งอย่างซาบซึ้งใจยิ่งนักเป็นครั้งแรก
“ไม่ได้” ซังต้งเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “อย่างมากไปได้เพียงคนเดียว! ตระกูลซังของเราคือตระกูลสูงศักดิ์ร้อยปี! เป็นตระกูลชนชั้นสูง! ข้าคือผู้นำตระกูลรุ่นที่ยี่สิบสี่! ผู้นำตระกูลชนชั้นสูงไม่ว่าจะสิ้นชีพอย่างไร แต่ข้างกายจะไร้ผู้พลีชีพปรนนิบัติไม่ได้! ต่อให้มีเพียงคนเดียวแต่ก็ต้องมี! มิฉะนั้นข้าย่อมพาให้วงศ์ตระกูลสูงส่งของตระกูลซังด่างพร้อย ข้าจะไม่มีแม้แต่ตำแหน่งป้ายวิญญาณในศาลบรรพชน!”
จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า มองลูกน้องสองคนนั้นแวบหนึ่งอย่างรู้สึกเสียใจ พึมพำออกมาว่า “ข้าไม่เข้าใจพฤติกรรมสิ้นชีพอย่างมีเกียรติของตระกูลสูงศักดิ์เลย…ขอโทษนะ ดูท่าว่าพวกเจ้าสองคนคงต้องเสียสละซึ่งกันและกันแล้วล่ะ”
สองคนนั้นใบหน้าถอดสี มองหน้าสบตากันอีกปราดหนึ่ง ในแววตาคล้ายมีประกายไฟสาดปะทุไปทั่วทิศ
ซังต้งพลันหันหน้ากลับมา มองสองคนอย่างเดือดดาลปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “อย่างไรเล่า? พวกเจ้าสองคนคิดจะแย่งชิงกันหรือ”
ลูกน้องสองคนรีบเร่งโค้งคำนับพึมพำว่ามิกล้า
เสียงของซังต้งแหลมคม เปี่ยมด้วยการเสียดสี
“หากข้ายังอยู่ ข้าจะไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเข่นฆ่ากันเอง! ไม่ว่าจะอย่างไร ต้องมีคนหนึ่งอยู่ด้วยกันกับข้า!” นางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้ารู้ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยยังรักชีวิตของมัน ข้าเองก็ไม่อยากระบุนามว่าผู้ใดควรอยู่ผู้ใดควรไป พวกเจ้าไปถึงยมโลกแล้วจะได้ไม่เกลียดข้า เช่นนั้นพวกเจ้าก็จับฉลากเถิด!”
แขนเสื้อของนางสะบัดเพียงครั้ง ก่อนจะยื่นกำปั้นสองข้างออกมา เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ในมือข้างหนึ่งมีอัญมณีสีแดง ส่วนในมืออีกข้างมีอัญมณีสีเขียว พวกเจ้าลองทายดู ผู้ใดที่ทายถูกนั้นจงนำกล่องบันทึกคำสั่งเสียของข้าจากไป วางใจได้ ในเมื่อข้าให้เจ้ารับผิดชอบถ่ายทอดคำสั่งเสียของข้าแล้ว ย่อมมีหนทางให้เจ้าจากไปอย่างปลอดภัย พวกเจ้าแค่ทายก็พอ”
รถม้าแล่นช้าลงยิ่งขึ้น ทว่าก็ยิ่งเข้าใกล้จัตุรัสหวงเฉิงมากขึ้นเช่นกัน ยามนี้คลื่นราษฎรใหญ่โตคลาคล่ำนั้นได้ถูกกั้นขวางอยู่ภายนอกจัตุรัส ทหารคั่งหลงกับทหารอวี้จ้าวต่างเคลื่อนพลลากเส้นระวังภัยยืดยาวสายหนึ่ง ราษฎรสงบเสียงเอะอะโวยวายยามที่ชุมนุมเป็นกลุ่ม ทุกคนต่างกลั้นหายใจ แววตาจ้องมองไปที่รถม้าคันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ…ความปลอดภัยความเป็นความตายของสตรีในรถม้านางนั้นส่งผลกระทบไปถึงดวงใจของทุกผู้ทุกคน
ครั้งนี้เป็นครั้งหนึ่งที่ราชินีอาศัยความสามารถและเสน่ห์ของตนเอง จนได้รับความสนใจจากราษฎรที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าฮวง
บรรยากาศฝั่งตรงข้ามจัตุรัสตึงเครียดและกดดัน ศีรษะของคนขยับเบียดเสียดกัน ทว่าที่หน้ากำแพงวังกลับไม่มีทหารแม้เพียงนายเดียว ทหารอารักขาส่วนที่อาจจะได้รับอันตรายจากการจู่โจมทุกนายต่างถอนกำลังจนหมดสิ้น บนจัตุรัสศิลาขาวทั่วลานกระจ่างใสดุจสายธาร นอกจากรูปปั้นมหึมาของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นที่ตั้งตระหง่านนิรันดร์กาลกลางจัตุรัสแล้ว ก็มีเพียงกงอิ้นที่สวมชุดขาวทั่วทั้งร่าง ดูกระจ่างใสดุจสายธารยืนอยู่อย่างเงียบเชียบเช่นกัน
ซังต้งชะโงกหน้าออกไป จัตุรัสที่ไม่ได้จัดวางกำลังป้องกันเลยแม้แต่น้อยทำให้นางรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก
ใบหน้าของนางแสดงความเสียใจออกมาเล็กน้อย เดิมทีสิ่งที่นางต้องการก็คือรถม้าพาลมพาเพลิงที่พลันปรากฏตรงจัตุรัสหวงเฉิงดุจโลงศพแห่งความตายคันหนึ่ง ที่ชนทุกสิ่งกีดขวาง แม้แต่ประตูตำหนักอวี้จ้าวจนพังทลายลงดังครืนด้วยความรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ทุกผู้คนในตี้เกอแห่งนี้ต่างสะเทือนใจด้วยเสียงที่ดังขึ้นกึกก้องทั่วจักรวาลอย่างไม่ทันคาดคิด
ใช้วิธีการเช่นนี้สั่นสะท้านต้าฮวง มอดไหม้ให้หมดสิ้น นางรู้สึกว่าเช่นนี้ถึงจะระบายความคับแค้นในใจออกมาได้
ทว่าได้ฝากคำสั่งเสียให้เทียนสี่ นับว่าเป็นการได้รับโดยไม่คาดคิด พอคิดว่าภายหลังบุตรชายจะได้ยินเสียงของตนเองบ่อยๆ ก็นับว่าเป็นความสบายอกสบายใจประการหนึ่งในชั่วชีวิตที่โดดเดี่ยวและขมขื่นของนางนี้ นางมีสีหน้านุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ รู้สึกโล่งอก
จิ่งเหิงปัวจ้องมองสีหน้าของนาง นางรู้สึกว่าดูท่าทางจัตุรัสไม่ได้จัดวางกำลังป้องกันเลยแม้แต่น้อย แต่ข้างบนต้องมีการจัดวางการป้องกัน ซังต้งเป็นขุนนางสำคัญของแคว้นมานานหลายปี ย่อมต้องรู้แน่ชัดยิ่งกว่านาง แต่ว่าซังต้งยังคงมีท่าทางเตรียมพร้อมแต่แรกเริ่ม ดูแล้วคงมีความเชื่อมั่นในรถม้านี้อย่างยิ่ง คิดว่ารถม้านี้จะหลุดพ้นสิ่งกีดขวางทุกอย่างไปสู่จุดมุ่งหมายที่นางต้องการได้
ก็ไม่รู้ว่าเวลาที่ถ่วงไว้จะทำให้การจัดวางสมบูรณ์พร้อมมากขึ้นจนขัดขวางนางไว้ได้หรือไม่?
จิ่งเหิงปัวไม่กล้ามองออกไปนอกหน้าต่างสักแวบเดียว นางกลัวว่าจะมองเห็นกงอิ้นที่ถือกระบี่เตรียมที่จะฆ่าตัวตาย และในทางกลับกันก็ยิ่งกลัวว่าจะไม่เห็นกงอิ้นที่ถือกระบี่แล้วเตรียมฆ่าตัวตาย นางยังกลัวว่าหากตนเองชะโงกหน้ามั่วซั่วแล้วจะรบกวนความคิดของกงอิ้น ซ้ำยังกลัวอีกว่าหากตนเองชะโงกหน้าไปแล้วจะมองไม่เห็นใครที่กระวนกระวาย…เฮ้อ อันที่จริงแล้วนางก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร…
“ทายสิ” ซังต้งเบนสายตากลับมา เอ่ยอย่างเย็นชา
ลูกน้องสองคนไม่ได้ครุ่นคิดซับซ้อนเหมือนสตรีสองนาง ต่างคนต่างจ้องมองกำปั้นนั้นอย่างแน่วแน่ ลมหายใจเริ่มกระชั้นชิด สีหน้าแดงก่ำ แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกมาก่อน
เรื่องความเป็นความตายมักยากจะตัดสินใจเสมอ
ซังต้งกลับไม่ได้มีความอดทนมากมายขนาดนั้น นางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากไม่ทายก็ตายด้วยกัน”
“มือซ้ายสีแดง!” ลูกน้องตระกูลซังที่อายุน้อยกว่าคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วอดรนทนไม่ไหวจนต้องตะโกนขึ้นมา
หลังจากเอ่ยออกมาแล้ว เขาก็หลับตาลงถอนหายใจออกมายืดยาว ถึงขนาดไม่กล้ามองดูผลลัพธ์
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นกลับถลึงตามองเขาอย่างโกรธแค้น รู้สึกว่าเขาแย่งชิงโอกาสในการอยู่รอดของตนเอง
ยามให้เขาทายเขากลับไม่กล้าทาย ทว่าพอผู้อื่นแย่งทายก่อนกลับรู้สึกว่าถูกช่วงชิงอำนาจในการเลือก
นิสัยมนุษย์มักเป็นเช่นนี้
ซังต้งคลายฝ่ามือออกอย่างไร้อารมณ์
ฝ่ามือซ้ายมีอัญมณีสีแดงเปล่งประกายระยิบระยับ
ผู้อ่อนวัยที่ทายถูกผู้นั้นพ่นลมหายใจออกมายืดยาวปานได้รับการนิรโทษ ส่วนสีหน้าของอีกคนหนึ่งกลับเปลี่ยนแปลงไปมาหลากหลาย จ้องมองผู้อ่อนวัยคนนั้นด้วยความอำมหิต
“เสิ่นจิน เจ้านำกล่องจากไปเถิด ข้ามีสิ่งของจะให้เจ้า…” ซังต้งแบฝ่ามืออีกข้างหนึ่งออก อัญมณีสีเขียวบนฝ่ามือเปล่งประกาย นางกำลังปล่อยอัญมณีให้ร่วงหล่น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
สองคนนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
อัญมณีสีแดงกับสีเขียวพลันขยับด้วยตนเอง!
การแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเกิดขึ้นปานสายฟ้าแลบภายใต้ดวงตาสามคู่นั้น อัญมณีสีแดงในมือซ้ายขยับเขยื้อนไปมือขวา อัญมณีเขียวในมือขวาขยับเขยื้อนไปมือซ้าย!
“อ๊ะ!” ซังต้งร้องอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา
นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น?
อีกสองคนรู้สึกงงงวยไปหมดแล้ว พวกเขาเบิกตาโพลงมองอัญมณีตัดสินชีวิตคนนี้ที่พลันตัดสินโชคชะตาใหม่อีกครั้ง
ผู้ที่เพิ่งดีใจแทบเสียสติกลับงงเป็นไก่ตาแตก ส่วนผู้ที่เพิ่งมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยากกลับดีใจจนแทบสิ้นสติ
“ลิขิตฟ้า! ลิขิตฟ้า!” องครักษ์วัยกลางคนที่ทายผิดผู้นั้นดีใจยกใหญ่ ประคองมือของซังต้งไว้ด้วยร่างที่สั่นเทิ้ม ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าควรอยู่! ข้าสมควรอยู่! ท่านผู้นำ ขอบคุณท่าน! ขอบคุณท่าน! ข้าจะต้องตั้งป้ายวิญญาณอายุวัฒนะให้ท่าน เซ่นไหว้บูชาท่านชั่วกัปชั่วกัลป์!”
เขาซาบซึ้งจนน้ำตานองหน้า แทบอยากจะคุกเข่าลงจุมพิตมือของซังต้ง…อัญมณีได้ข้อสรุปแน่นอนชัดเจนแล้วพลันสลับตำแหน่งกัน ย่อมเป็นเพราะผู้นำตระกูลเปลี่ยนที่ คงจะเห็นเขาอยู่ตระกูลซังมานานหลายปีจึงตั้งใจมอบโอกาสรอดชีวิตให้กับเขา
ซังต้งมองดูเขาด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง ก่อนจะมองดูฝ่ามือของตนเอง กระซิบกระซาบว่า “เรื่องนี้…”
จิ่งเหิงปัวแอบเบ้ปาก
“ท่านผู้นำ!” ผู้อ่อนวัยที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์แห่งความยินดีสู่นรกภูมิแห่งความสิ้นหวังนั้น ยามนี้ก็ได้คืนสติกลับมาในที่สุด ตะโกนลั่นออกมาว่า “ไม่ เป็นเช่นนี้ไม่ได้! ท่านผู้นำ! ท่านกระทำการมิชอบต่อหน้าต่อตา! ไม่ได้!”
“ข้า…” ซังต้งยังคงรู้สึกไม่เข้าใจ นางเพียงมองดูอัญมณีในมือของตนอย่างงงงวย
“นี่เป็นความตั้งใจของท่านผู้นำ เจ้าก็กล้าที่จะฝ่าฝืนหรือ?!” ลูกน้องวัยกลางคนผู้นั้นตะโกนก้องใส่ลูกน้องอ่อนวัยกว่า
“เป็นข้าที่ทายถูกก่อนชัดๆ ท่านผู้นำช่วยเจ้าโกง!” ผู้อ่อนวัยตะโกนกลับไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย
“ความตั้งใจของท่านผู้นำศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจต่อต้านได้ ผู้ใดต่อต้านต้องตาย!” ลูกน้องวัยกลางคนชักมีดโดยพลัน
“เอ่ยกันแล้วว่าผู้ใดทายถูกผู้นั้นอยู่รอด แม้ท่านผู้นำก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง!” ผู้อ่อนวัยว่าพลางพลันชักกระบี่
“พอได้แล้ว!” ซังต้งเดือดดาล เอ่ยขึ้นเสียงแหลมว่า “ข้ายังไม่สิ้นชีพ พวกเจ้ายังหวังเข่นฆ่ากันเองต่อหน้าข้า! เอาใหม่ ทายอีกครั้งหนึ่ง!”
นางโค้งกายลง แขนเสื้อบดบังอัญมณีไว้ชั่วประเดี๋ยวเดียวแล้วยกขึ้นอีกครั้ง กำหมัดสองข้างแน่น ร้องว่า “ทาย!”
“มือขวาสีแดง!” คราวนี้ลูกน้องวัยกลางคนรีบเร่งแย่งตอบก่อน
ซังต้งแบฝ่ามือออก อัญมณีสีเขียวในมือขวาอึมครึมดุจดวงเนตรน่าสะพรึงกลัวข้างหนึ่งจ้องมองทุกผู้คน
ลูกน้องวัยกลางคนมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“ฮ่าๆๆ คราวนี้ข้าไม่ได้แย่งเจ้าตอบ แต่เจ้าก็ยังตอบผิด เจ้าน่ะสมควรตาย!” ผู้อ่อนวัยเงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่น
ซังต้งค่อยๆ แบฝ่ามือออก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหวัง ยอมรับเถิด…”
“ไม่…” ลูกน้องวัยกลางคนตะโกนก้องเสียงหนึ่ง มีดในมือพุ่งไปทางผู้อ่อนวัยกว่าที่กำลังเงยหน้าหัวเราะลั่นในทันใด ร้องว่า “ไม่ควรทายใหม่! ตายซะ! ตายซะ!”
เสียงหัวเราะของผู้อ่อนวัยหยุดลงโดยพลัน
เขาค่อยๆ ก้มหน้าลง มองดูบาดแผลบริเวณเอวของตนเอง โลหิตผืนใหญ่ผืนโตพุ่งออกมาประหนึ่งกระแสน้ำ ก้อนโลหิตที่โผล่ออกมาคล้ายลาวาไหลริน
“กรี๊ด” ซังต้งกรีดร้องเสียงหนึ่ง คนที่กำลังงงงวยสองคนต่างหันหน้ามองนางในทันใด กลับเห็นว่านางไม่ได้จ้องมองฉากสังหารของพวกตน ทว่ายังคงก้มหน้ามองดูมือของตนเอง
ในฝ่ามือ มือขวามีอัญมณีแดง มือซ้ายมีอัญมณีเขียว
อัญมณีสลับกันอีกแล้ว!
ลูกน้องวัยกลางคนมองดูอัญมณีนั้นอย่างงงงวย คล้ายไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว
ผู้อ่อนวัยกลับหัวเราะขึ้นมาเสียแล้ว เขาหัวเราะไปพลางไอโขลกไปพลาง ทำให้โลหิตไหลย้อยออกมา แล้วร้องว่า “มารดามันเถอะ ล้อกันเล่นหรือไร…”
จากนั้นที่ช่วงเอวของเขาก็สะท้านคราหนึ่ง แสงนิลสายหนึ่งเหินพุ่งดุจอสนีบาต เสียง ฉึก! ดังขึ้นแผ่วเบา จมสู่หน้าอกของลูกน้องวัยกลางคนที่ยืนงงงวยอยู่ฝั่งตรงข้าม
ชายวัยกลางคนนั้นสั่นสะท้านไปทั่วร่าง อุดหน้าอกไว้พลางโซเซถอยหลัง มองดูผู้อ่อนวัยแล้วมองดูซังต้ง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนอย่างแปลกประหลาดยิ่งนัก คล้ายคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ว่าจะจำแนกสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรก็จำแนกไม่ออก
นิ้วมือของซังต้งพลันอ่อนแรง อัญมณีสองเม็ดร่วงหล่นลงพื้นกลิ้งสู่ซอกมุม นางอ้าปากค้างคล้ายว่าชะงักงันไปแล้ว
คนที่มีโลหิตทั่วทั้งร่างสองคนนั้นจ้องมองกันอย่างงงงวยอยู่สักพัก คล้ายเข้าใจในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นก็พลันตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งโดยพร้อมเพรียงกัน
“มารดามัน ล้อกันเล่นหรือ!”
ในเสียงตะโกนนั้น สองคนหันกายโดยพร้อมเพรียง มีดกระบี่ในมือพุ่งสู่ร่างกายของซังต้งอย่างรุนแรง
“กรี๊ด!” ซังต้งร้องออกมาอย่างโหยหวน ฝืนใจถอยหลัง คนใกล้ตายสองคนนั้นกลับไร้เรี่ยวแรงไล่โจมตีอีกเช่นกัน ต่างคนต่างหัวเราะออกมาอย่างน่าสมเพช โซซัดโซเซสองครั้งก่อนจะล้มลงดังพลั่ก
คนทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองฟ้าท่ามกลางสระโลหิตที่ปะปนโลหิตของกันและกัน ต่างตายตาไม่หลับ ดวงตาคู่หนึ่งเบิกโพลงจ้องมองหลังคารถม้าอย่างไร้ชีวิตชีวา หรือไม่ก็อาจจะกำลังจับจ้องไถ่ถามสวรรค์ว่า…เหตุใดต้องปั่นหัวพวกเขาเช่นนี้ เหตุใดต้องจัดวางจุดจบเช่นนี้
จิ่งเหิงปัวเบือนหน้าหนีไม่มองซากศพตรงฝ่าเท้า สองคนนี้ก็เท่ากับว่าตายเพราะนาง นางรู้สึกขยะแขยง รู้สึกต่อต้านทางกายภาพ แต่กลับไม่มีความรู้สึกผิดอะไร
ต่างเป็นพวกรนหาที่ตายทั้งนั้น พวกเจ้าก็จงไปศึกษาอัญมณีสีแดงกับสีเขียวที่สลับไปสลับมานั้นในนรกเถอะ!
ยามนี้เหลือเพียงแค่ซังต้งคนเดียวแล้ว ซ้ำยังเป็นซังต้งที่บาดเจ็บสาหัส แม้ว่าสองคนนั้นจะลงมือก่อนตาย แต่ดูท่าทางก็ไม่ได้แทงถูกจุดสำคัญตรงหน้าอก แต่ตอนนี้ซังต้งก้มหน้าอยู่คล้ายสลบไสลไปแล้ว จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเล็กน้อย คิดว่าคราวนี้คงจะปลอดภัยขึ้นมาระดับหนึ่งกระมัง? นี่ควรจะหาวิธีอะไรมาแจ้งข้างนอกกับหลบหนีดีล่ะ
จากนั้นนางก็มองเห็นซังต้งที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ลมหายใจเฮือกหนึ่งของจิ่งเหิงปัวพลันกลั้นอยู่ตรงคอหอย
ตอนที่ 71 - 2 เพื่อความรักปราศจากความ...
รถม้าที่มืดสลัว ซากศพที่กลาดเกลื่อน พื้นรถที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต บุรุษที่ตายตาไม่หลับ สตรีที่อ่อนยวบอยู่ในสระโลหิตเงยศีรษะที่ยุ่งเหยิงขึ้น ใบหน้าที่ขาวซีดดวงหนึ่ง ดวงตาที่ถลนด้วยความแค้น โลหิตที่เปรอะเปื้อนสาดกระเซ็นไปทั่วใบหน้า…
องค์ประกอบที่จำต้องมีในภาพยนตร์สยองขวัญก็ล้วนมีครบถ้วนหมดแล้ว
หัวใจดวงน้อยของจิ่งเหิงปัวเต้นดังตึ่กตั่ก รู้ทันทีว่าแย่แล้ว
ซังต้งหอบหายใจอยู่หลายครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มให้นางอย่างแปลกประหลาด
“เมื่อครู่…” นางเอ่ยอย่างแหบแห้งฝืนแรงว่า “..เป็นเจ้าสินะ”
จู่ๆ ก็ถามขึ้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ทว่าจิ่งเหิงปัวย่อมจะเข้าใจ นางหัวเราะเหอะๆ ออกมาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “สนุกหรือไม่”
ซังต้งจ้องมองนางแล้วพยักหน้าลง เอ่ยว่า “…ดูคล้ายจะไร้ประโยชน์ แต่กลับมีลูกไม้และแผนการที่โผล่ออกมาไม่ขาดสาย สุดท้ายทุกคนต่างก็ถูกเจ้าหลอกเสียแล้ว…พวกข้าผิดก็ตรงที่ดูถูกเจ้าเกินไป…”
“ดูถูกต่อไปเถิด ดูถูกต่อไป” จิ่งเหิงปัวโบกไม้โบกมือ แล้วกล่าวว่า “เจ้าคงเหนื่อยแล้วกระมัง จะนอนหลับสักงีบหรือไม่เล่า ข้าจะเปิดเพลงแอปเปิลน้อยให้เจ้าฟังดีหรือไม่ กล่อมดียิ่งนัก” เมื่อกล่าวจบก็หยิบปากกาอัดเสียงที่กลิ้งมาถึงข้างมือขึ้นแล้วหมายจะเปิดเพลงแอปเปิลน้อยของตนเองเมื่อครู่
ฟังไปเถอะ ฟังจนรำคาญจนชนกำแพงตายนั่นจะดีที่สุด
“หึๆ…” ซังต้งหัวเราะ บนใบหน้าขาวซีดเฉียดผ่านด้วยความเสียดสี เอ่ยว่า “…ข้ามีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าที่ต้องกระทำนะ…”
ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ หวังจะพุ่งขึ้นมาขัดขวาง ฝ่าเท้าของซังต้งพลันเชิดขึ้นเพียงครั้ง มีดเล่มหนึ่งก็เหินตะแคงเข้ามาดังเคร้ง ปักค้ำระหว่างนางกับผนังรถสองฝั่งดังฉึกพอดี
จิ่งเหิงปัวไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก นางนั่งอยู่ตรงมุมรถ มีดหนึ่งเล่มคมมีดหันเข้าด้านใน ค้ำคอของนางเอาไว้พอดี ขยับเพียงแค่นิดเดียวก็ย่อมจะมีภัยอันตรายถึงลำคอ
มองไม่ออกว่าสตรีนี้อยู่ในสภาพนี้แล้วยังมีฝีมือดีขนาดนี้
จากนั้นซังต้งก็ฉีกสาบเสื้อเศษหนึ่งยัดเข้าไปในปากของจิ่งเหิงปัว กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นจุกถึงในปากคอหอย จิ่งเหิงปัวอยากจะอาเจียนออกมาเป็นระลอกๆ
ซังต้งยิ้มเยาะพลางเชิดปลายคางของนางขึ้น หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ต่อไป…ก็มาชมเรื่องสนุกด้วยกันเถิด”
จิ่งเหิงปัวรู้ได้ในทันทีว่าแย่แน่ แม้ว่าจะเปล่งเสียงไม่ออก แต่ก็ยังร้อง “อือๆ อือๆ” อย่างมั่วซั่ว โคตรเจ็บใจที่ในรถม้าไม่มีสิ่งของที่นำมากระแทกคนได้เลย ไม่อย่างนั้นนางจะยกมาเขวี้ยงยายเฒ่าที่ใกล้จะกลายเป็นปีศาจคนนี้แรงๆ สักครั้ง เช่นนี้โลกก็คงจะสงบสุขขึ้นแล้ว
ซังต้งหันกายเช็ดใบหน้าให้สะอาด ก่อนจะไม่รู้ว่าฟาดไปที่ใด รถม้าพลันแล่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอีกครั้งทั้งๆ ที่ไม่มีคนขับเคลื่อน
การกระทำครั้งหนึ่งนี้พาให้ผู้รอคอยทุกคนต่างตกใจในทันใด คนจำนวนนับไม่ถ้วนเขย่งปลายเท้าชะเง้อมอง ทหารคั่งหลงรอคอยอย่างพร้อมเพรียง คันศรยักษ์บนกำแพงวังน้าวจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด กงอิ้นที่อยู่หน้ากำแพงวังเงยหน้าขึ้นมา
บนจัตุรัสขาวบริสุทธิ์ ประตูวังสีแดงเข้มปิดสนิท เขายืนอยู่ที่หน้าประตูวังเพียงผู้เดียว มือถือโซ่หิมะแร่เงินโบราณของตนเอง ก่อนเผชิญหน้ากับรถม้าที่พุ่งตะบึงมาอยู่ไกลโพ้น
ทุกผู้คนต่างมองเห็นใบหน้าของซังต้งที่ยื่นออกมาจากหน้าต่างรถ
“กงอิ้น!” นางเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรามาแล้ว! ห่างจากประตูวังสามสิบจั้ง! หากกระบี่ของเจ้าไม่พาดคออีก ข้าคงไม่ทันได้โยนราชินีออกมาแล้ว!”
จิ่งเหิงปัวร้องว่า “อือๆๆ อือๆ!”
คำด่าทอนับไม่ถ้วนจากม้าเฉ่าหนีหนึ่งหมื่นตัวข้ามผ่านดวงใจ…ยายเฒ่าเดรัจฉานพันปีนางนี้เปลี่ยนใจแล้วจริงๆ ด้วย!
ยังจะบังคับกงอิ้นให้ฆ่าตัวตายเหมือนเดิม!
ไม่ นี่เป็นการโกหก!
ตอนนี้นางทำท่าทางแบบนี้ ตอนนี้ซังต้งที่มีแรงกายแค่นี้โยนนางออกจากรถม้าไม่ได้ด้วยซ้ำ นางต้องตายไปกับซังต้งแน่นอน!
รถม้าพุ่งตะบึง ซ้อนทับด้วยแสงเงาสีดำ กำจายกลิ่นอายแห่งความตายเหม็นฉุน ซังต้งกำลังหัวเราะเสียงแหลมอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนมองเห็นอย่างตกตะลึงว่าผมสีดำที่ยาวสยายอยู่กลางสายลมของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวไปทีละเล็กละน้อย
ดูคล้ายหิมะที่ปกคลุมทุ่งกว้างอย่างเชื่องช้า มิเคยหวนคืนฤดูวสันต์วันหนึ่งนั้น
สถานที่ห่างไกล บนภูเขาเตี้ยๆ แห่งหนึ่งที่มองจากข้างบนไปยังจัตุรัสหวงเฉิงข้างล่างได้ มีผู้ที่ยืนนิ่งอย่างเงียบเชียบกำลังมองดูรถม้าสีดำบนจัตุรัสขาวบริสุทธิ์ มองดูสตรีผมดำกลายเป็นผมขาวในชั่วพริบตา
ลมพัดพาแขนเสื้อของเขาให้ถลกขึ้นมา กระดาษเงินกระดาษทองสีขาวผืนหนึ่งกระหวัดพัดพลิ้วข้ามผ่านสาบเสื้อพัดตามสายลมไป
…
รถม้ากำลังตะบึง
จิ่งเหิงปัวไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย หากสั่นสะเทือนแม้เพียงเล็กน้อย มีดที่ค้ำอยู่เบื้องหน้าอาจจะบาดเฉือนคอหอยของนางได้
จากหน้าต่างนั้นสามารถมองเห็นรูปปั้นขนาดมหึมาของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ นั่นคือสิ่งปลูกสร้างเชิงสัญลักษณ์ของจัตุรัสหวงเฉิง ดวงพักตร์สุภาพเยือกเย็นของจักรพรรดินีน้อมลงเล็กน้อย ดูคล้ายกำลังมองสถานการณ์ทั่วหวงเฉิงอย่างสงสาร
ฟิ้ว! คันศรยักษ์บนกำแพงวังเริ่มยิงออกมาในที่สุด ชั่วครู่นั้นก็แหวกผ่านอากาศ แสงดำกะพริบผ่านอย่างต่อเนื่อง คันศรยักษ์สี่คันโอบล้อมพุ่งวูบจากสี่มุมตรงมายังรถม้า!
บนใบหน้าของซังต้งมีเพียงรอยยิ้มเยาะเย้ย
เสียง ครืดคราด ดังต่อเนื่อง ตัวรถสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ลูกศรสี่ดอกต่างยิงโดนตัวรถดังตึ้งๆๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงมากที่สุดคือพริบตาที่ลูกศรเหล่านั้นสัมผัสตัวรถนั้น ลูกศรก็พลันไถลออกไป เหินเอนเอียงเฉียดผ่านตัวรถออกไปแล้วตรึงอยู่บนพื้นดังตึ่ก
หัวลูกศรเหล็กกล้าพุ่งชนเสียดสีตัวรถจนก่อให้เกิดประกายไฟหอบหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเหินเร็วเกินไป รถม้าก็อาจจะลุกไหม้ขึ้นมาได้
ทุกคนเบิกตาโพลง มองดูลูกศรที่ยิงเบี้ยวโดยพร้อมเพรียง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเฉียดผ่านไปทั้งๆ ที่ยิงโดนแล้ว
“รถม้านี้ถูกปรับปรุงใหม่! น่าอัศจรรย์! ทั่วทั้งตัวรถเป็นเส้นโค้งสายหนึ่ง เมื่อโดนศรก็พลันไถล ยอดฝีมือ! เป็นยอดฝีมือ!” ในฝูงชนนั้นมีผู้ร้องอุทานขึ้นมาเสียงดังลั่น
จากนั้นเขาก็ถูกฝ่ามือหกคู่ตบลงสู่พื้น แล้วร้องว่า “โรคจิต! นี่มันยามใดกันแล้ว ยังจะศึกษาโครงสร้างขแงรถม้าอีก ช่วยคนน่ะเข้าใจหรือไม่? ช่วยคน!”
…
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะลั่นของซังต้งฟังดูแล้วเสียดหูยิ่งนัก นางเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “กงอิ้น ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้สิ้นเปลืองความคิด กับดักใดลูกศรเหินใดล้อมโจมตี รถม้าของข้าคันนี้ล้วนขัดขวางไว้ได้หมดสิ้น หากเจ้าลงมืออีกครั้ง รถม้าของข้าคันนี้ย่อมจะจุดไฟแล้ว! เจ้ายังไม่สิ้นชีพ!”
“ได้!” กงอิ้นเอ่ยตอบในที่สุด เสียงแว่วออกไปไกลโพ้น ฝูงชนที่เกิดความวุ่นวายพลันเงียบสงบลงด้วยเพราะเสียงนี้
เหยียลี่ว์ฉีที่รีบตามมาเงยหน้าขึ้น
ในฝูงชนอีชีกระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจ ร้องว่า “ได้ยินหรือไม่ ได้ยินหรือไม่ เขาจะปลิดชีพตนเองแล้ว! ข้าจะได้ครองตำแหน่งแล้ว! เรื่องน่ายินดียิ่งใหญ่ในชีวิตสามเรื่อง เลื่อนตำแหน่ง ร่ำรวย ศัตรูหัวใจสิ้นชีพ! ศัตรูหัวใจข้าจะตายแล้ว รีบแสดงความยินดีกับข้าเร็ว!”
สิ่งที่ตอบเขากลับมาคือฝ่ามือที่ใช้เรี่ยวแรงแสดงความยินดีพอที่จะตบคนให้สิ้นชีพได้หกคู่
…
“…ทว่าข้าต้องการเห็นราชินีปลอดภัยด้วยตาตนเอง!” ประโยคต่อมาของกงอิ้นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เอ่ยว่า “มิฉะนั้น เจ้าก็จุดไฟเถิด! เจ้าชนกำแพงตำหนักอวี้จ้าวพังทลายได้ แล้วจะชนคั่งหลงแสนนายของข้ากงอิ้นพังทลายได้อีกหรือ?”
ซังต้งลังเลอยู่เล็กน้อย หันหน้าไปมองจิ่งเหิงปัว เห็นจิ่งเหิงปัวกำลังสูดหายใจฮืดฮาด เมื่อครู่ลูกศรเหินพุ่งชนตัวรถ คมมีดที่ตะแคงอยู่เบื้องหน้าสั่นไหว จนบาดเฉือนหนังกำพร้าบนคอของนางเล็กน้อย
ซังต้งยิ้มเยาะออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนจะเพิ่มการสะกดจิ่งเหิงปัวอีกหนึ่งชั้นแล้วถึงหยิบมีดนั้นลากนางไปยังหน้าต่าง มือข้างหนึ่งจุดกระบอกเชื้อไฟ ส่วนมืออีกข้างผลักเรือนร่างครึ่งหนึ่งของจิ่งเหิงปัวให้ออกมาที่นอกหน้าต่างขวางไว้เบื้องหน้านาง แล้วร้องเสียงดังว่า “มองเห็นหรือยัง! เจ้าตายได้แล้ว!”
พลธนูที่อยู่ข้างหลังจัตุรัสทยอยเล็งธนู แต่น่าเสียดายว่าข้างหลังซังต้ง ข้างหน้าต่างรถม้าพลันมีแผ่นเหล็กผืนหนึ่งเด้งออกมาดังเพียะ บดบังเรือนร่างของนางไว้ กลายเป็นมุมบอดที่ผู้ใดผู้หนึ่งก็ยิงไม่ถึงพอดี ส่วนมือที่ถือกระบอกเชื้อไฟของซังต้งเอนไปข้างในรถ ผู้ใดก็ยิงไม่ถึงเช่นกัน
จิ่งเหิงปัวถูกอุดปากไว้ สายลมปะทะใบหน้าเข้ามาพาให้หายใจลำบากจนกล่าวไม่ออก กลิ่นอายของควันดินปืนประหลาดในสายลมกระตุ้นให้นางน้ำตาคลอ การมองเห็นพร่ามัว นางกลัวว่าท่าทางแบบนี้จะดูน่าสงสารเกินไป แล้วกระตุ้นให้กงอิ้นทำเรื่องโง่เง่าขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นนางจึงพยายามกะพริบตาอย่างสุดชีวิต หวังให้กะพริบหยาดน้ำตาทิ้งไป ซ้ำยังอยากบอกใบ้ให้เขาอย่าได้ทำเรื่องโง่เง่า เมื่อพอกะพริบตาครั้งหนึ่งนี้ น้ำตาก็พลันร่วงลงมาเป็นสาย ดูท่าทางยิ่งน่าสงสารมากขึ้นกว่าเดิม
จิ่งเหิงปัวอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว…นี่ไม่ใช่เวลาร้องไห้นะโว้ย…แต่ดวงซวยขนาดนี้ก็ขอร้องไห้สักทีเถอะ ฮือออๆๆ…
กงอิ้นมองเห็นจิ่งเหิงปัวในปราดเดียว
ชั่วครู่นั้นแววตาก็เวียนวน ปราดแรกทอดลงตรงรอยโลหิตแดงเข้มสายหนึ่งบนลำคอของนาง ปราดที่สองทอดลงบนดวงเนตรที่มีน้ำตาไหลรินของนาง
นับตั้งแต่รู้จักกันจนถึงบัดนี้ เขาก็ไม่เคยเห็นนางหลั่งน้ำตาสักครั้ง สตรีนางนี้ปล่อยตัวอวดตน ใช้ชีวิตด้วยอิสระ แลดูนุ่มนวลและอ่อนหวาน ทว่าแท้ที่จริงแล้วจิตใจกลับแข็งแกร่ง เจออุปสรรคนับร้อยมิบาดเจ็บ สังหารร้อยครั้งมิสิ้นชีพ เขาแทบจะนึกไม่ถึงว่าจะได้มองเห็นน้ำตาของนาง และไม่เคยจินตนาการว่ายามที่นางหลั่งน้ำตานั้นจะเป็นเช่นไร
ทว่ายามนี้ ในรถม้าแห่งความตายที่โลดแล่นท่ามกลางสายลม ดวงตาบวมแดงของนางต้องสายลม หลั่งน้ำตาออกมาดั่งกุหลาบที่ต้องสายฝนดอกหนึ่ง
กุหลาบที่เดิมทีควรสาดแสงทั่วสารทิศบนบัลลังก์ทองคำ…
เบื้องลึกของจิตใจคล้ายมีความเจ็บปวดเยือกเย็นหอบหนึ่ง ดั่งมีดเล่มหนึ่งที่ฝังอยู่ท่ามกลางหิมะชั่วชีวิตทิ่มแทงดวงใจและปอดอย่างรุนแรง สีหน้าของเขาพลันซีดขาวขึ้นมา และแทบจะพริบตานั้นเองที่ได้ยินเสียงเยือกแข็งจากเบื้องลึกของเส้นโลหิต
ถึงเวลาแล้ว
เขาเบนสายตาออกมา เพียงปราดเดียว สีหน้าเยือกเย็นซีดขาวก็แทบจะไร้ซึ่งความหวั่นไหว
จากนั้นเขานั่งลง
มวลชนไร้สรรพเสียง ดวงตาทุกคู่ต่างจดจ้องบุรุษเพียงหนึ่งเดียวบนจัตุรัสผู้นี้
บุรุษที่ใช้ฝ่ามือเดียวควบคุมต้าฮวงจนมีอำนาจล้นฟ้า
จะเห็นเขาใช้ชีวิตทอดทิ้งแผ่นดินเพื่อสตรีจริงๆ หรือเมินเฉยป้องกันแสงเรืองรองแห่งอวี้จ้าวซึ่งเป็นของเขา
คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่าคงจะเป็นประการหลังกระมัง? ไม่มีเหตุผลใดที่ราชครูจะต้องละทิ้งชีวิตที่ดีงามเช่นนี้เพื่อราชินีที่ยังไม่ใช่ภรรยาตนเอง ถึงขนาดอาจจะยึดอำนาจจากตนเองนางหนึ่ง
ทว่าเหมิงหู่ที่ถูกสั่งการให้อยู่บนกำแพงพลันเปล่งเสียงร้องดังลั่นเสียงหนึ่งว่า “นายท่าน!” แล้ววิ่งตะบึงอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
ทุกคนเคร่งขรึม ไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง
จุดสิ้นสุดจัตุรัส กงอิ้นที่นั่งขัดสมาธิพลันเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง!
ความเร็วนี้รวดเร็วยิ่งนัก แทบจะเกินในเวลาชั่วครู่เท่านั้น น้ำแข็งหนาชั้นหนึ่งได้เยือกแข็งรอบกายของเขา ไอหนาวอบอวลรวดเร็วส่งผลให้อากาศร้อนเย็นปะทะกันรอบกายเขา กำจายหมอกควันเบาบางผืนหนึ่ง
เพียงชั่วเวลากะพริบตาครั้งหนึ่งนั้น เขาก็พลันกลายเป็นก้อนมนุษย์น้ำแข็งที่ประณีตแวววาวก้อนหนึ่งไปเสียแล้ว
จากนั้นเขาก็เอ่ยวาจาแล้ว แม้เสียงภายในน้ำแข็งจะฟังดูแล้วแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ทว่ายังคงเป็นเสียงของเขา
“กระบี่แห่งปัญญาหิมะไม่สะบั้นตนเอง มาสิ ช่วยใช้อาวุธสังหารข้า!”
ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกระโจนลงมาจากเชือกคล้องบนประตูเมือง มือกุมกระบี่ยาว
ซังต้งจ้องมองตาไม่กะพริบ ปีกจมูกสั่นไหว นัยน์ตาเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าจิตใจตึงเครียดสุดขีด ท่าทางตื่นเต้นดีใจ
จิ่งเหิงปัวเองก็ตึงเครียดอย่างสุดขีดเช่นกัน นางจะเป็นบ้าอยู่แล้ว…กงอิ้นจะฆ่าตัวตายจริงๆ เหรอ? เขาจะฆ่าตัวตายต่อหน้านางอย่างนั้นเหรอ? เอาเถอะนางก็คิดว่านางจะตายแล้ว กำลังอธิษฐานให้ตายแล้วทะลุมิติกลับไปน่าจะดีที่สุด ถ้าหลังจากนางตายแล้วเขาตายตามนางไปก็ไม่ถือสา แต่ว่าฆ่าตัวตายต่อหน้านางก่อนแบบนี้จะดีจริงเหรอ? นางจะรับความสะเทือนใจนั้นไม่ไหวเอาน่ะสิ!
นางขอตายก่อนดีกว่า อ๊ากๆๆ!
น่าเสียดายที่กงอิ้นผู้นี้ พอกระทำการตัดสินใจแล้วก็แน่วแน่กว่าผู้ใด แม้แต่ปลิดชีพตนเองยังเด็ดเดี่ยวเช่นนี้…พอชายรูปร่างสูงใหญ่นั้นกระโจนลงมา ร่างอยู่กลางอากาศ เชิดกระบี่ขึ้นโดยพลัน เปล่งรัศมีโค้งสว่างราวหิมะสายหนึ่ง…
ทุกผู้ต่างถูกรัศมีโค้งผืนนี้ดึงดูดสายตา เงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง สะท้อนสายรุ้งสีขาวงดงามน่าตื่นตะลึงผืนหนึ่ง
พริบตาต่อมาสายรุ้งสีขาวพาดผ่านลำคอของผู้ถูกน้ำแข็งห่อหิมะหุ้มนั้นโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!
ฉึ่บ! เสียงฉีกขาดดังขึ้น น้ำแข็งหิมะและโลหิตร่วมกระเซ็น ศีรษะที่ห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งลอยสู่กลางอากาศ!
โลหิตบดบังท้องนภาและอาทิตย์ดูดุจสายรุ้ง
“อา…” มวลชนต่างเปล่งเสียงอุทานผนึกแน่นฟังดูสั่นเทา
“นายท่าน!” เหมิงหู่วิ่งลงมาประหนึ่งเสียสติ จนเกือบจะร่วงลงจากกำแพงวังเสียแล้ว
จิ่งเหิงปัวไม่ได้เปล่งเสียงออกมา ทว่านัยน์ตาของนางเบิกกว้างกลมโต กะพริบวูบด้วยแสงแห่งความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ในแสงสว่างอันรุ่งโรจน์มีศีรษะนั้นวนเวียนอย่างต่อเนื่อง ศีรษะนั้น ศีรษะนั้น ศีรษะของกงอิ้นนั้น…
เรือนร่างของนางเกร็งแน่น ไหล่พลันแข็งทื่อ แสงรุ่งโรจน์ในแววตาค่อยๆ จางลง…ก่อนสลบไสลไปอย่างเงียบเชียบแล้ว
ตอนที่ 72 ทุ่มเทความรู้สึก
จิ่งเหิงปัวสลบไสลไปแล้ว
ทว่าซังต้งกลับเสียสติในพริบตา
ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างยิ่งเช่นกัน ทว่าเป็นการเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจที่มากล้นจนแทบไม่อยากจะเชื่อ นางจ้องมองสีขาวสีแดงผืนหนึ่งนั้น เรือนร่างก็แหงนขึ้นในทันใด ร้องเสียงแหลมหัวเราะออกมาดังลั่นว่า “ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ ข้าจะปล่อยนางได้อย่างไร ฮ่าๆๆ เจ้าก็ตกหลุมพรางของข้าแล้ว ฮ่าๆๆ เจ้าก็ตายตาไม่หลับไปเสียเถิด…”
ในระหว่างที่เสียงหัวเราะของนางดังขึ้นนั้น เรือนร่างของนางก็เอนโน้มไปข้างหลังเกือบจะโผล่ออกนอกแผ่นเหล็ก ก่อนจะฉวยมือผลักจิ่งเหิงปัวเข้าไปในรถ กระบอกเชื้อไฟที่ชูไว้ในมือขวาอยู่ตลอดพลันร่วงหล่น!
ฉึ่บ! รัศมีโค้งผืนหนึ่งเล็งเรือนร่างที่โผล่พ้นแผ่นเหล็กของซังต้งในครู่หนึ่งนี้แล้วพุ่งไปโดยพลัน ดุจแสงจันทร์ที่เหน็บหนาวที่สุดสายหนึ่ง
“ฮ่า…” หางเสียงของเสียงหัวเราะยังคงอยู่ในปาก พริบตาต่อมาศีรษะครึ่งหนึ่งของซังต้งรวมทั้งแขนครึ่งท่อนที่โผล่พ้นออกมานอกแผ่นเหล็กก็พลันหายไปแล้ว
จัตุรัสดุจกระจกใสสาดย้อมด้วยโลหิตสกปรกชุ่มโชกดังแผละ
เหยียลี่ว์ฉีที่ลงมือเหินพุ่งเข้ามาดุจสายฟ้าแลบ
ทว่าไม่มีคนมองเขา และไม่มีคนสนใจจุดจบของซังต้ง…กระบอกเชื้อไฟใกล้จะร่วงหล่นแล้ว!
ยามนี้เอง เงาคนเจ็ดสายก็พลันปรากฏขึ้นตรงสี่มุมของรถม้าปานภูตพราย!
คนหนึ่งอยู่ตรงหลังคารถ ร้องฮึบเสียงหนึ่ง แล้วยกหลังคารถขึ้น!
คนหนึ่งห้อยหัวลงมาปานฟ้าแลบ ร้องฮึบเสียงหนึ่ง แล้วโอบจิ่งเหิงปัวที่ร่วงหล่นขึ้นมา
สี่คนล้อมรอบสี่ด้านของรถม้า ร้องฮึบเสียงหนึ่ง สองมือก็ออกแรงดังเพียะๆๆ สี่ครั้ง ผนังสี่ด้านของรถม้าพลันไปอยู่ในมือพวกเขา
ยามนี้เอง กระบอกเชื้อไฟก็ขาดเพียงเสี้ยวเดียวจะถึงส่วนพื้นรถม้า!
ขอเพียงสัมผัสก็จะระเบิดลุกไหม้เช่นกัน แปดคนที่อยู่ในลานกว้างคงยากจะรอดชีวิตไปด้วย
พวกเฮฮาหกคนที่รื้อรถม้านั้นคล้ายว่าไม่รู้ระดับความร้ายแรง หัวเราะฮ่าๆๆ ดังลั่น แล้วร้องโหวกเหวกโวยวายว่า “เจ้าเจ็ดถึงตาเจ้าแล้ว!”
หนึ่งคนสุดท้ายไม่ได้รื้อฝารถ
เขาตะแคงเท้าถีบครั้งหนึ่งในทันใด
“ข้ามาล่ะ!”
เสียงระเบิดดัง ตู้ม! รถม้าที่เหลือเพียงพื้นรถกับล้อรถพลันลุกไหม้ พาควันพาเพลิงกลิ้งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่รวดเร็วกว่าแต่ก่อน ท่ามกลางการจ้องมองด้วยความตกตะลึงอ้าปากค้างของคนมากกว่าหมื่นคน รถม้ารุดไปข้างหน้าด้วยความบ้าอำนาจและหยิ่งทระนง ก่อนจะชนเข้ากับกำแพงตำหนักอวี้จ้าวดังตู้ม!
…
ควันธุลี เปลวเพลิงโชติช่วง รถม้าเพลิงที่กลายเป็นรถเข็น หลุมดำขนาดใหญ่ กำแพงวังที่ถล่มลงมาผืนหนึ่ง เศษอิฐที่โปรยลงมาทุกสารทิศ สันกำแพงที่ยังคงลุกไหม้อยู่…
ผู้ชมที่งงงวยจนนิ่งงันไร้สรรพเสียง กับทหารองครักษ์ที่ตกใจจนรีบเร่งวิ่งลงจากกำแพงเมืองทุกสารทิศพลางร้องหาความช่วยเหลืออย่างกระวนกระวาย
ยังมีศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮาที่ไม่คิดว่าตนเองทำเรื่องเฮงซวยเลย หัวเราะกระโดดโลดเต้นฉลองความสำเร็จอยู่กึ่งกลางจัตุรัส
“ฮ่าๆๆ ข้ารื้อหลังคารถ!” ผู้ที่หอบหลังคารถไว้เหนือศีรษะ
“ฮ่าๆๆ ข้าช่วยภรรยาไว้!” ผู้ที่กอดภรรยาฉวยโอกาสพลอดรัก
“ฮ่าๆๆ ข้าย้ายฝารถ” ผู้ที่หอบฝารถเต้นรำ
“ฮ่าๆๆ ข้าระเบิดตำหนักอวี้จ้าว” ผู้ที่กุมท้องหัวเราะลั่นใส่กำแพงวังที่พลันเป็นหลุมของตำหนักอวี้จ้าว
…
จิ่งเหิงปัวถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินวนเวียนและเสียงหัวเราะลั่นของพวกเฮฮาเหล่านั้น
แม้ว่าจะฟื้นแล้วแต่ในหูก็ยังคงมีเสียงดังหวึ่งๆ ท้องฟ้าเหินแล้วเหินอีกอยู่เบื้องหน้า ทั้งยังมีควันสีดำมากมาย และยังมีใบหน้าขาวนวลกลับหัวกลับหางใบหน้าหนึ่ง
“ไอ้เวรเอ้ย” นางกระซิบกระซาบว่า “อากาศในยมโลกก็เลวร้ายเกินไปแล้ว…”
“ภรรยาเจ้าฟื้นแล้วหรือ?” ใบหน้าขาวนวลยื่นเข้ามา สุภาพบุรุษยาทาเล็บยิ้มจนดวงตากลมโค้งแทบจะหรี่หายไปแล้ว
จิ่งเหิงปัวถูกคำว่า “ภรรยา” นี้เรียกจนได้สติในทันที
ฟ้ายังคงเป็นท้องฟ้านั้น หมู่ควันลอยล่อง พื้นยังคงเป็นพื้นศิลานั้น ขาวจนตาพร่า คน…คน…ผิดคนแล้ว…อา…กงอิ้น…กงอิ้น!
ภาพฉากที่เจือด้วยผลึกน้ำแข็งสีเลือดก่อนจะสลบไสลไปในพริบตาหนึ่งนั้นกะพริบวูบผ่านสมองนาง
กงอิ้นที่เยือกแข็ง…องครักษ์สวมเกราะที่โรยตัวลงมา…กระบี่ยาวที่เชิดขึ้น…ศีรษะที่เหินขึ้น…
“กงอิ้น!” จิ่งเหิงปัวพลันเปล่งเสียงร้องเรียกเสียงแหลมฟังดูรันทด ทำให้อีชีที่เป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับมือสั่นเทิ้ม จนเกือบจะทำนางร่วงลงพื้น
“นี่ๆ ภรรยา! ภรรยาเจ้าเป็นอะไรไปรึ” อีชีตบหน้าของนางอย่างตื่นตระหนก
จิ่งเหิงปัวปัดมือของเขาออกไปในฝ่ามือเดียว พอดิ้นรนอีกครั้งก็ร่วงลงสู่พื้นแล้ว
เมื่อเท้าเพิ่งสัมผัสพื้น เรือนร่างของนางก็กะพริบวูบพุ่งไปหน้าประตูวังแล้ว
ขุนพล นายทหารและเหล่าราษฎรแห่งตี้เกอมองดูองค์ราชินีอย่างตกตะลึงอ้าปากค้างอีกครั้ง นางวิ่งตะบึงกลางจัตุรัสด้วยเท้าเปล่าปานภูตพราย วิ่งตะบึงไปพลางร้องลั่นไปพลางว่า “กงอิ้น! กงอิ้นไอ้โง่นี่! ไอ้ทึ่ม! ไอ้เพี้ยน! ปัญญาอ่อน! ปัญญานิ่ม! เจ้าเป็นบ้าอะไรถึงต้องไปสนใจยายเฒ่าน่าซังนั่น! ใครอนุญาตให้เจ้าไปตายง่ายๆ เช่นนั้น เจ้าอยากให้ข้าตายหรือ? ฮือๆๆ เจ้าอยากให้ข้าตายฮือๆๆ…”
เหล่าราษฎรได้ฟังแล้ว คราแรกก็งงงัน รู้สึกเลื่อมใสในฝีมือการด่าคนเต็มเรี่ยวเต็มแรงของราชินีจากใจจริง หลังจากนั้นก็อยากหัวเราะออกมา รู้สึกว่าผู้ใดที่ถูกด่าทอเช่นนี้คงน่าเวทนายิ่งนัก ทว่ารอยยิ้มยังไม่ทันเผยออกมาก็พลันมีความปวดร้าวพุ่งกระทบดวงใจ…แท้จริงแล้วนางไม่ได้ด่าทอเต็มเรี่ยวเต็มแรง เสียงของนางแหบแห้งน่าเวทนา พอถึงช่วงท้ายต่างเป็นน้ำเสียงร้องไห้ น้ำเสียงร้องไห้ที่ฟังดูสิ้นหวัง นางเปลือยเท้าวิ่งไปไม่กี่ก้าวก็ถูกเศษไม้เศษหินที่อยู่บนพื้นบาดเฉือนฝ่าเท้า แต่กลับคล้ายว่านางไร้ซึ่งความรู้สึก จัตุรัสศิลาขาวสาดแสงดุจหิมะประทับด้วยร่องรอยสีโลหิตแสบตาสองแถว
หมู่เมฆปกคลุม แสงสายัณห์ล้อมรอบ ภายใต้ท้องฟ้ามืดครึ้มมีเพียงเสียงฝีเท้าวิ่งตะบึงของนางดังก้อง มีเพียงเงาด้านหลังเศร้ารันทดของนางวิ่งอยู่ มีเพียงผมยาวเจือโลหิตที่กระจัดกระจายท่ามกลางสายลมของนางสยายพลิ้ว ฝีเท้าดังตึ่กๆ ดั่งกลองแห่งความเจ็บปวดกระทบลงบนดวงใจของทุกผู้คน
เหยียลี่ว์ฉีชะงักงันอยู่ริมขอบจัตุรัส
พี่น้องเจ็ดสังหารไม่หัวเราะแล้ว มองดูนางอย่างงงงัน
จิ่งเหิงปัวกลับหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน
นางมองเห็นน้ำแข็งสลักไร้เศียรหน้ากำแพงวังที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เงียบเชียบ ถึงขนาดไม่ละลายหายไป
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดหม่นลง แสงมืดมิดของน้ำแข็งสลักเวียนวน น้ำแข็งหิมะที่แตกกระจายเป็นผืนใหญ่อยู่บนพื้นปะปนด้วยคราบโลหิตเป็นหย่อม องครักษ์สวมเกราะถือกระบี่ที่รับหน้าที่ใช้อาวุธสังหารนั้นคล้ายชะงักงันไปแล้ว แบกกระบี่ที่ยังคงมีโลหิตหยดย้อยมองดูนางอย่างงงงัน
จิ่งเหิงปัวพุ่งเข้าไปในทันที
นางใช้ศีรษะพุ่งชนหน้าอกขององครักษ์สวมเกราะรูปร่างสูงใหญ่คนนั้น
นางไม่ได้ด่าทอ ไม่ได้พูดจาแม้แต่คำเดียว เพียงแค่จับเขาไว้แล้วต่อยแรงๆ ครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นหมัดเท้าไร้เรี่ยวแรง ทว่าปากฟันร่วมเคียง มือเท้าร่วมเหิน เปี่ยมล้นด้วยเรี่ยวแรง เขาไม่กล้าตอบโต้ ถูกต่อยจนถอยหลังต่อเนื่อง สีหน้าเจ็บปวดเหลือคณา
ผู้คนทั้งจัตุรัสปากอ้าตาค้างมองดูราชินีทุบตีคนอย่างเงียบงันไม่เปล่งเสียงอีกครั้ง
หลังจากต่อยตีอย่างรุนแรงเต็มกำลังแล้ว จิ่งเหิงปัวก็พลันหันกายพุ่งไปบนน้ำแข็งสลักไร้เศียรนั้น
เสียง ตึ้ง! ดังขึ้น น้ำแข็งสลักสั่นไหว
จิ่งเหิงปัวที่กำลังจะแนบใบหน้าบนน้ำแข็งสลักชะงักไปชั่วครู่ รู้สึกได้ทันทีว่ามีความผิดปกติเล็กน้อย
เหตุใดถึงเบาขนาดนี้?
เหตุใดถึงไม่มีกลิ่นคาวเลือด?
ช้าก่อน รอยแตกนี่มัน…
นางเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน มองดู ‘ลำคอ’ ของน้ำแข็งสลักเบื้องหน้านั่น
เมื่อครู่ไม่กล้ามอง เพราะกลัวจะมองเห็นรอยแตกที่มีเลือดมีเนื้อ แต่ขณะนี้เมื่อเงยหน้ามองดูถึงได้รู้ว่าไม่ต้องกล่าวถึงรอยแตกเลย ในนั้นคล้ายเป็นโพรงโพรงหนึ่งที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
จิ่งเหิงปัวชะงักไปชั่ววินาที
จากนั้นนางก็ก้าวเท้ากระโดดขึ้นมา ยื่นมือล้วงเข้าไปในปากโพรง
ทหารและราษฎรบนจัตุรัสเปล่งเสียงสูดหายใจ
จิ่งเหิงปัวล้วงตรงช่องว่างอยู่สองครั้ง ดวงตาแน่นิ่งเล็กน้อย ยกมือที่สั่นเทามองดูอยู่ชั่วครู่ ท่าทางคล้ายตกใจระคนดีใจสุดขีด ซ้ำยังคล้ายตกใจระคนดีใจจนไม่อาจยอมรับ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่นางก็พลันชะโงกทั้งเรือนร่างเข้าไปเสียเลย
ทหารและราษฎรนับพันนับหมื่นบนจัตุรัสก็ได้มองเห็นภาพฉากนั้นแล้ว ราชินีของพวกเขาพลันมุดเข้าไปในรอยแตกน้ำแข็งสลักของกงอิ้นคล้ายกำลังควานหาสิ่งใด มุดทั้งศีรษะเข้าไป ทำให้ก้นพาดชี้ฟ้าอยู่ข้างนอก…
“โอ้ๆ…” เหล่าราษฎรเปล่งเสียงอุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง
“เฮ้อ…” เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ไกลๆ นั้นพลันถอนหายใจออกมายืดยาวด้วยความผิดหวัง
“ฮึ่ยๆ” อีชีเกาศีรษะ แล้วเอ่ยว่า “ภรรยาข้าเป็นอะไรไป เสียสติไปแล้วหรือ?”
“ยินดีกับเจ้าด้วย” พี่น้องสายฮาทั้งหกคนตบไหล่ของเขาอย่างรุนแรง แล้วร้องว่า “เรื่องความหวังที่จะให้ศัตรูหัวใจของเจ้าสิ้นชีพได้พังทลายลงแล้ว”
ท่วงท่าของจิ่งเหิงปัวในขณะนี้กลายเป็นสองเท้าชี้ฟ้าแล้ว
ทุกคนที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นเพียงเงาร่างเลือนรางพร่ามัวที่จมอยู่ในน้ำแข็งของนางร่างนั้น
จากนั้นจิ่งเหิงปัวก็พลันลุกขึ้นอย่างพรวดพราด ก่อนจะร้อง “ฮึบๆๆ” ดังลั่น คว้าเศษหินก้อนหนึ่งที่ข้างเท้าขึ้นมาเขวี้ยงอย่างมั่วซั่วจนเสียงดังเพล้งๆๆ ระลอกหนึ่ง
ก้อนน้ำแข็งเหินกระเซ็นเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปทั่วทั้งพื้น น้ำแข็งสลักถูกเขวี้ยงจนแตกจนละเอียดอย่างรวดเร็ว ทุกคนจดจ้องดวงตา สายตากวาดผ่านรอบแล้วรอบเล่าประหนึ่งโคมฉาย
ก้อนน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็งทั่วพื้น
ภายในนั้นไม่มีคนด้วยซ้ำ
สีหน้าของทุกคนไม่ได้ดูดีไปกว่าจิ่งเหิงปัวสักเท่าใด…คนเล่า? ไปที่ใดแล้ว ทั้งๆ ที่มองเห็นราชครูที่ปกคลุมด้วยหิมะกลายเป็นน้ำแข็งแล้วพลันมีทหารชุดเกราะลงมาตัดศีรษะด้วยตาตนเอง แทบจะไม่มีเวลาเล่นลวดลาย และด้วยเพราะท่วงท่าเด็ดขาดที่คล่องแคล่วขนาดนี้ อีกทั้งเวลาก็สั้นเกินไปถึงทำให้ซังต้งเชื่อได้ ทว่ายามนี้…หรือภายในเวลาสั้นขนาดนี้จะเป็นกลอุบายสลับร่างจริง วิชาพรางตาหรือ?
“ดำดินไปแล้วกระมัง” อีชีจ้องมองพื้นศิลาพลางเบ้ปาก
แววตาของจิ่งเหิงปัวทอดลงบนพื้นใต้น้ำแข็ง แผ่นศิลาแผ่นหนึ่งเผยอขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางรื้อแผ่นศิลาออก เห็นว่าข้างล่างมีอุโมงค์ลวกๆ หยาบๆ ที่เห็นแล้วรู้เลยว่าเพิ่งรีบเร่งขุดเสร็จเส้นทางหนึ่ง
ความจริงบางอย่างพอเปิดเผยแล้วกลับง่ายดายขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้คนอุทานอย่างตื่นตะลึงเพียงหนึ่งเดียวคือการควบคุมเวลา ซังต้งเอ่ยออกมาว่าจะชนประตูวัง กงอิ้นก็พลันรีบเร่งกลับไป หลังจากนั้นรถม้าของซังต้งก็พุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว เดิมทีเวลาในระหว่างนั้นก็ไม่พอที่จะขุดอุโมงค์ที่เรียบง่ายที่สุดเส้นทางหนึ่งด้วยซ้ำ
ทว่ามีแผนการ ‘อัดเสียงคำสั่งเสีย’ ‘ใช้ท้อสองลูกฆ่าสามทหาร[1]’ ของจิ่งเหิงปัวถ่วงเวลาไว้ ความเร็วของรถม้าลดลง สุดท้ายแล้วกงอิ้นจึงมีเวลาตระเตรียม
จิ่งเหิงปัวมองเห็นอุโมงค์นั้นจึงเข้าใจทุกเรื่องแล้ว พุ่งเข้าไปด้วยท่าทางหน้าเขียวเขี้ยวงอก ตะโกนลั่นใส่ข้างล่างว่า “กงอิ้น! ไอ้บ้าเอ้ย ข้าบอกให้ออกมา! ข้าไม่ตีเจ้าจนถึงตายหรอก!”
แน่นอนว่าข้างล่างไม่มีความเคลื่อนไหวใด จิ่งเหิงปัวเองก็ไม่กระโดดลงไปเช่นกัน นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วหันกายพุ่งตรงไปยังประตูวัง เดินได้สองก้าวยกเท้าขึ้นร้อง “ซี๊ด” เสียงหนึ่ง พอมองเห็นฝ่าเท้ามีรอยเลือดเปื้อนเปรอะ หน้าขมขื่นเป็นมะระในฉับพลัน
“อู๊ย ซี้ดๆ เจ็บจังๆ” นางกระโดดเหย็งๆ เวลานี้ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดในที่สุด
“สวมของข้าๆ!” อีชีพลันถอดรองเท้าออกด้วยความกระตือรือร้น
“อย่าสวมของเขานะเขาเท้าเหม็น หลังจากเจ้าสวมแล้วก็จะมองไม่เห็นพระอาทิตย์วันรุ่งขึ้นอีกเป็นแน่” เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮาพลันผลักเขาไปหลังฝูงชน ใช้ร่างกายใหญ่โตบังเขาไว้อย่างมิดชิดด้วยความแน่วแน่ ก่อนจะเริ่มทยอยถอดรองเท้าของตนเองออก
“สวมของข้า!”
“อย่าสวมของเขา”
“เขามีกลิ่นเท้า”
“เขาเป็นโรคน้ำกัดเท้า”
“เขาไม่สวมถุงเท้า”
“รองเท้าของเขาคู่นี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนมาสามปีแล้ว”
…
ไร้ซึ่งคู่โจมตีที่แน่นอน การโจมตีหมู่ที่ไม่แตกต่างกัน
หนึ่งในกฎเกณฑ์ที่สำคัญในชีวิตของศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮา…สิ่งที่พี่น้องถูกใจต้องทำลายให้จงได้ สิ่งที่พี่น้องชื่นชอบต้องแย่งมาให้จงได้ พี่น้องอยากจะแสดงฝีมือต้องไม่ให้แสดงฝีมือ สิ่งที่พี่น้องไม่เอา…ข้าก็ไม่เอาเช่นกัน
สำหรับเรื่องที่ว่าชื่นชอบหรือไม่? โน ไม่ได้มีเรื่องอะไร ชั่วชีวิตนี้ของพวกเขาเพียงชื่นชอบอยู่เรื่องเดียว…คือการขัดแข้งขัดขากัน
จิ่งเหิงปัวถอยออกไปสามก้าว ก่อนยกมือกุมขมับ
ไอ้เฮฮาคนเดียวก็ฟ้าผ่าฟ้าร้องแล้ว พวกเฮฮาฝูงหนึ่งทำให้นางเจ็บปวดเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่โดยแท้
นางยอมเท้าเปล่าเดินทั่วต้าฮวง แต่ไม่ยอมคบค้าสมาคมกับเหล่ายอดฝีมือเจ็ดสังหารที่หล่อเหลากำยำ รูปร่างหลากหลาย ต่างคนต่างมีเอกลักษณ์ เฮฮาเสียจนต่างคนต่างมีเอกลักษณ์เช่นกันฝูงนี้
อีชีถีบเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเฮงซวยให้ล้มลง ก่อนจะเหยียบย่ำซากศพของเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องพลางส่งรองเท้ามาให้ นั่งยองๆ ลงไปอย่างสนิทสนมหวังเพื่อจะสวมรองเท้าให้จิ่งเหิงปัว
“ข้าจะสวมรอง…”
ประตูวังข้างหลังพลันแง้มออกเล็กน้อย เส้นไหมสีขาวเส้นหนึ่งลอยออกมาดังฟิ้วรัดข้อเท้าของจิ่งเหิงปัวไว้ สะบัดเพียงครั้งแล้วยกขึ้น
เสียง ฟึ่บ! ดังขึ้นเสียงหนึ่ง อีชีเบิกตาโพลงมองดูจิ่งเหิงปัวที่อยู่ในมือลอยขึ้นสูญสลายไปหลังประตูวัง จากนั้นประตูวังปิดลงดังพลั่กอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
เสียงพลั่กยามที่ประตูวังข้างหลังปิดสนิทฟังแล้วทึบหนัก จิ่งเหิงปัวยังไม่ได้ยืนให้มั่นคง กำปั้นก็พลันพุ่งออกไป แล้วร้องว่า “รีบไสหัวออกมา ข้าไม่ตีเจ้าจนถึงตายหรอก…”
กำปั้นของนางถูกคนใช้แรงคว้าไว้ลากไปในฉับพลัน ชนกับผืนอกอบอุ่นผืนหนึ่งอย่างรุนแรงดังพลั่ก
[1] ใช้ท้อสองลูกฆ่าสามทหาร หมายถึง ใช้กลอุบายสังหารคน
ตอนที่ 73 - 1 สารภาพรัก
กลิ่นอายเย็นสบายที่คุ้นเคยพุ่งเข้าสู่ปลายจมูก จมูกคล้ายกับถูกกระตุ้นจนเจ็บปวดยิ่งนัก น้ำตาของนางไหลพรากออกมา นางกลัวว่าจะถูกใครมองเห็นจึงซุกหน้าเข้าไปอย่างรุนแรงเสียเลย ถูไปถูมาแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นฮือๆ โฮๆ พลางกล่าวว่า “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว…จะต้องตีเจ้าให้ตาย…จะต้อง…ตีเจ้าให้ตาย…”
คนที่อยู่เหนือศีรษะไม่เอ่ยวาจาใดคล้ายกับว่ากำลังลังเลเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายแล้วก็ถอนใจออกมาแล้วกอดนางไว้แน่น วางคางไว้บนศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา
ทั้งๆ ที่ไม่ได้เอ่ยวาจาใดเลยสักคำ แต่นางก็รู้สึกสงบจิตสงบใจขึ้นมาในพริบตา คนก็ไม่อยากตีแล้ว เรื่องก็ไม่อยากคิดแล้ว อุโมงค์ที่ถูกหลอกจนอกสั่นขวัญแขวนอะไรนั่นก็ไม่อยากเอาเรื่องแล้ว เพียงอยากโอบกอดอ้อมแขนเบื้องหน้านี้ไว้ให้แน่น เสพสุขการดำรงอยู่และกลิ่นอายของเขาให้เต็มที่ บอกกล่าวกับตนเองว่าทุกสิ่งช่างดีมากเหลือเกิน เขาไม่ได้ทำให้ตนเองผิดหวัง เขาเป็นมหาเทพที่เกรียงไกรที่สุด หยิ่งทระนงที่สุดของนางเสมอ
พอสูญเสียถึงได้รู้ถึงความสำคัญของการมีอยู่ นางจะจดจำตลอดไปว่าชั่วพริบตาที่ได้มองเห็o ‘ศีรษะ’ ของเขาร่วงสู่พื้น ฟ้าดินเหมือนอับแสงชั่วกาล นางนึกว่าตนเองจะร่วงหล่นลงหุบเหวออกมาไม่ได้อีกแล้ว
ครู่หนึ่งนั้น ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าความสิ้นหวัง
ครู่หนึ่งนั้น นางก็สิ้นหวังจนแทบอยากจะสลบไสลไปไม่ตื่นขึ้นมาอีก ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดมืดมิดหลังจากฟื้นคืนสติ
พอโพรงน้ำแข็งว่างเปล่าผุดเผยให้เห็นตรงเบื้องหน้า ในความโกรธแค้น นางก็ได้ยินเสียงหัวใจที่เบิกบานของตนเอง
ฟ้าดินพลันมีแสงสว่าง มีสรรพสำเนียง มีสีสัน มีความหมายของการดำรงอยู่
เฮ้อ ดีจัง
ที่ซึ่งจิตใจสงบนับเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
“ฮือๆๆ เจ้าอธิบายมาเลยนะ…” นางคว้าอาภรณ์ของเขาจนเกิดรอยยับย่นเละเทะนับไม่ถ้วน ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงต้องตบนางลอยไปในฝ่ามือเดียวแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แขนทั้งสองข้างคล้ายแข็งทื่อ แท้จริงแล้วอ่อนโยน
ฟังเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่เดี๋ยวต่อเนื่องเดี๋ยวขาดช่วงของนางแล้ว เขาคล้ายรู้สึกหวั่นไหว…นานขนาดนี้ นานขนาดนี้แล้ว สตรีที่ทั้งร่าเริงทั้งกล้าหาญนางนี้ เขาไม่เคยเห็นนางอ่อนแอจริงๆ มาก่อน เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งนางจะอ่อนแอเพียงนี้ เขาไม่เคยคิดว่าความอ่อนแอเช่นนี้ในวันหนึ่งจะเกิดขึ้น…เพราะเขา
ในใจคล้ายหวั่นไหวและคล้ายเจ็บปวด ความเหน็บหนาวประชิดเข้ามา บนเนินเขาที่หิมะทับถมมีมวลผกาผลิบาน
เขายกมือขึ้นในที่สุด ฝ่ามือค่อยๆ ทอดลงบนเรือนผมของนาง ความแผ่วเบาที่แท้จริงคล้ายสายลมวันวสันต์ กลัวจะทำให้ผีเสื้อที่พักพิงตรงเกสรดอกไม้ตกใจจึงทอดยาวอย่างเชื่องช้า ทั้งทะนุถนอมทั้งระมัดระวังอยู่หลายส่วน
จากนั้นเขาก็โอบกอดนางขึ้นมา ให้นางวางเท้าลงบนรองเท้าหุ้มข้อของตนเอง เพื่อที่เท้าของนางจะได้ไม่ถูกบาดจนเจ็บปวดอีก ฝ่าเท้าที่มีคราบโลหิตเปรอะเปื้อนพลันย้อมให้รองเท้าสีขาวราวหิมะของเขาลายพร้อยเป็นผืนหนึ่ง ผู้เป็นโรครักสะอาดกลับคล้ายไม่ได้มองเห็น
“ไม่เป็นไรแล้ว…” เขาเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่ากำลังปลอบโยนนางหรือกำลังปลอบโยนตนเองอยู่เช่นกัน
จิ่งเหิงปัวฟังเขาเอ่ยปากอย่างสูงศักดิ์ในที่สุด รู้สึกว่าเสียงของมหาเทพนั้นช่างไพเราะเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่ได้ฟังดูไพเราะขนาดนี้? อีกทั้งสามคำนี้ เหตุใดถึงรู้สึกว่าทำให้จิตใจคนสงบลงได้มากกว่าคำไพเราะทุกคำบนโลกนี้
นางซุกอยู่ตรงแผ่นอกของเขา เช็ดหยาดน้ำตาที่ชุ่มโชกกับชุดขาวทั่วร่าง น้ำตาหยุดไหลอย่างรวดเร็ว แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ใช่คนที่จมอยู่กับความโศกเศร้า ในเมื่อเป็นเรื่องที่น่ายินดีก็ควรหัวเราะ ความรู้สึกที่แน่ใจแล้วก็ควรจะสารภาพ
“กงอิ้น…” นางพลันหยุดไปชั่วครู่ อยากจะเงยหน้าขึ้น
ไหล่ของเขากลับเกร็งแน่น ลมหายใจคล้ายกลับไม่มั่นคงขึ้นมา แลดูคล้ายคาดเดาได้ว่านางจะทำอะไร แขนทั้งสองข้างโอบนางให้แนบแน่นมากขึ้น คล้ายไม่อยากให้นางทำสิ่งใด
แต่นางไม่สนใจ
นางเขย่งปลายเท้าขึ้น โอบไหล่ของเขาไว้แน่น ประทับริมฝีปากของตนเองลงไป
ชั่วพริบตาหนึ่งนั้นเขาคล้ายอยากร่นถอยออกเล็กน้อย ทว่าหยุดยั้งไว้ได้เสียก่อน ยอมรับการชิงตัดหน้าบุกรุกโจมตีที่ทั้งเด็ดเดี่ยวทั้งหวานชื่นของนาง
การทับซ้อนในทันใดนั้นคืออสนีบาตที่พาดผ่านกันในชั่วพริบตา แสงโค้งสาดซัดพาฟ้าดินจนเกิดเป็นสายรุ้งห้าสีผืนหนึ่ง แลดูคล้ายสายฟ้าที่พัดผ่านสายลมพัดพาระเบิดดวงใจกลายเป็นพันชิ้น ทุกชิ้นต่างอยู่กลางเมฆา ทุกชิ้นต่างกลายเป็นวิหคขับขานบทเพลง
ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย ทว่าในความถี่กระชั้นนั้นเขาทำตนให้มั่นคง โอบกอดนางไว้แน่นในฉับพลันแล้วซุกศีรษะลงมา
นางถูกการโอบกอดรุนแรงอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ของเขารัดจนเกือบจะหายใจไม่ออก อ้าปากขึ้นมาในทันทีเพื่อหวังจะสูดหายใจ เขาพลันเปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำกลายเป็นผู้กระทำ แสวงหาความหอมรัญจวนของนาง
รอยจูบหยุดลงตรงข้างริมฝีปากดุจสายลมวสันต์ ทว่ามิกล้าล่วงล้ำ เขาหอบหายใจแผ่วเบาพลันถอยห่าง กลีบริมฝีปากค่อยๆ เฉียดผ่านหน้าผากขาวบริสุทธิ์ พวงแก้มนวลนุ่ม ขยับเขยื้อนลงไปอย่างเชื่องช้า
นางยากจะระงับความปรารถนามานานแล้ว ชิงหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง นำพาคนที่ทั้งความรู้สึกเฉียบไวทั้งอืดอาดคนนี้บุกเบิกต้นน้ำบริสุทธิ์งดงามซึ่งเป็นของเขา
เรือนร่างแนบชิดกัน ต่างคนต่างฟังเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่าย เป็นเสียงสุภาพเรียบร้อยในความนิ่งเงียบผืนหนึ่ง บรรเลงบทเพลงแห่งดวงใจที่งามเลิศล้ำยามโลกมนุษย์มีจิตใจตรงกัน ท่วงทำนองของเจ้าร้อนแรง จังหวะของข้าเยือกเย็น ก่อเกิดเป็นเสียงกึกก้องร่วมกันอย่างเลือนราง เป็นเพลงประสานเสียงที่สอดคล้องที่สุดในโลกใบนี้
อุณหภูมิร่างกายของนางที่ร้อนผะผ่าวเช่นนี้คือความร้อนแรงที่แก้ไขไม่ได้ในชีวิต ไม่อนุญาตให้หลบหนี ไม่ยอมรับการร่นถอย หากเจ้าไม่รู้ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ หากเจ้าไม่ยอมรู้ข้ายังคงจะทำให้เจ้าได้รู้
ร่างของเขากลับสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ท่ามกลางความอ่อนโยนแผ่ซ่าน สั่นเทาด้วยความเกรียงไกรของโชคชะตา ความผันผวนของเรื่องในใจ เสียงเพรียกหากับความลับที่ซ่อนลึกในเส้นโลหิต
ขนตาของจิ่งเหิงปัวสั่นไหวเล็กน้อย สนใจเพียงแค่ลมหายใจและอุณหภูมิร่างกายของเขา ทว่าพลันรู้สึกว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ร่างกายของเขากลับเหน็บหนาวไม่เร่าร้อน ความหวานชื่นระหว่างริมฝีปากพลันมีกลิ่นคาวเจือจางๆ เพิ่มเข้ามาด้วย
ในใจนางกระตุกวูบ ก่อนที่จะลืมตาขึ้น ร่างกายของกงอิ้นที่กอดนางไว้พลันแข็งทื่อเช่นกัน หงายไปข้างหลังในทันใด
จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจ รีบเร่งโอบกอดเขาเอาไว้ โชคยังดีที่เพียงชั่วครู่เขาก็ยืนตรง เมื่อครู่คล้ายเป็นเพียงการเซแค่ครั้งหนึ่ง เขาหลุบตาลง สีหน้าซีดขาวเล็กน้อยทว่าดูสงบเงียบ ยังคงส่งยิ้มให้นาง
รอยยิ้มนี้ย่อมเป็นความอบอุ่นและความงดงามที่หาได้ยาก แต่ในใจนางกลับสั่นสะท้านรุนแรง
ตามความเข้าใจที่นางมีต่อกงอิ้น ครู่หนึ่งนี้เขาจะไม่ยิ้มแย้มแน่นอน เขาอาจจะทำเป็นเท่ อาจจะทำเป็นโกรธ อาจจะเดินหนีไปเฉยๆ อาจจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะไม่ยิ้มแน่นอน!
รอยยิ้มนี้ เห็นได้ชัดว่าอยากจะปลอบโยนนางหรือทำให้นางเฉยชา
เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?
ยามนี้นางไม่อยากพูดจาใดๆ เพียงแค่โอบเอวของเขาไว้แน่น ใช้แววตาสอบถาม
เขาย่อมอ่านแววตานั้นออก ทว่าเบนสายตา แล้วคว้ามือของนางออกอย่างแผ่วเบา เอ่ยขึ้นว่า “บนกำแพงอาจมีคนลงมาได้ทุกเวลา เจ้ายังรักศักดิ์ศรีอยู่หรือไม่”
กลับมาปากร้ายอีกแล้ว คล้ายกับว่าตอนนี้ถึงเป็นเขาในแบบปกติ แต่ความสงสัยในใจนางยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ความกระวนกระวายดั่งเมฆทะมึนก้อนบาง ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะอย่างเงียบเชียบ นางรู้สึกว่าตนเองคล้ายเปลี่ยนไปนิดหน่อยแล้ว ก่อนหน้าวันนี้นางอาจจะสงสัยในการกระทำและการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของเขา แต่จะไม่รู้สึกหม่นหมองขึ้นมาจริงๆ ด้วยเพราะเหตุนี้ ในใจของนางนั้นเขาคือผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไร้จุดอ่อนให้โจมตี ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเขาเลย
แต่วันนี้นางกลับตระหนักขึ้นมาได้ในทันทีว่า แท้จริงแล้วความในใจได้หยั่งรากลึกมาเนิ่นนาน ผลิหน่ออ่อนทั่วทุ่งกว้างตั้งนานแล้ว มวลผกาเก็บเกี่ยวได้ทั่วทั้งผืน รอคอยให้ตนเองปกป้องทะนุถนอม
นางพบในทันทีว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เทพยดา เผชิญสายลมดุจคมมีดน้ำค้างดุจคมกระบี่เผชิญคลื่นใต้น้ำ กังวลเรื่องการเมืองระดับแคว้นของต้าฮวงนี้แล้วยังต้องกังวลเรื่องจิตใจคนเปลี่ยนแปลงไป ทั้งยังต้องกังวลด้วยไม่รู้ว่านางจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู
“กงอิ้น…” นางกอดเขาไว้ กระซิบที่ข้างหูของเขาอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าคิดจนเข้าใจแล้ว ข้ารู้แล้วว่าข้าอยากอยู่เคียงข้างเจ้า กงอิ้น กงอิ้น พวกเราปรับปรุงต้าฮวงโฉมใหม่ด้วยกันดีหรือไม่ พวกเราก่อสร้างฟ้าดินแห่งใหม่ด้วยกันสักแห่งดีหรือไม่ พวกเราเป็นราชินีกับราชครูที่มีความสุขมากที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าฮวงดีหรือไม่ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ ข้าก็ทำได้ แต่ข้าเพียงอยากจะกระทำเรื่องเหล่านี้ด้วยกันกับเจ้า พวกเรากระทำด้วยกันดีหรือไม่”
ผู้ที่อยู่เหนือศีรษะ นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน
นางตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุขท่วมอก และความหวังเปี่ยมล้นที่มีต่ออนาคตอันงดงาม จึงไม่ได้รู้สึกว่าการนิ่งเงียบนี้ยาวนานนัก อ้อมกอดของเขาทำให้อาลัยอาวรณ์เช่นนี้ นางอยากอยู่แบบนี้ตลอดไป
พอรู้สึกว่าสายตาของเขาคล้ายทอดมองออกไปไกล นางก็เขย่งปลายเท้าอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง เชิดศีรษะชนกับคางของเขา แล้วเร่งเร้าถามอย่างออดอ้อนว่า “หืม?”
ครู่ที่ศีรษะของนางเชิดขึ้นนั้น เขาก็คลุมฝ่ามือลงมาขัดขวางการกระทำของนาง เบนสายตากลับมาจากแถวกองทัพคั่งหลงที่อยู่ไกลโพ้น
กลบกลืนความกังวลกลางแววตาในพริบตาเดียว
ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า “ได้”
…
ประตูวังปิดลงแล้ว ทว่าเหล่าราษฎรยังคงไม่แยกย้ายด้วยเพราะรู้สึกว่าน่าจะยังมีเรื่องราวอะไรอีก อีกทั้งยังเป็นห่วงความปลอดภัยของราชินี ทำให้ต่างชะเง้อคอรอคอยข่าวสารกันต่อไป
น่าเสียดายที่ว่าคนบางคนมัวแต่ทำเรื่องน่าอาย ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ายังมีคนอีกนับไม่ถ้วนกำลังเป็นห่วงนาง
จวบจนบนกำแพงวังมีคนได้รับคำสั่งของกงอิ้น ชักธงกองทัพส่งสัญญาณให้ทหารคั่งหลงขับไล่ราษฎรกลับบ้านโดยเร็ว ทุกคนถึงพบอย่างหดหู่ว่าละครฉากใหญ่ในวันนี้ปิดม่านลงจริงๆ แล้ว
ส่วนหลังม่านผู้ใดหลบไปจุมพิตกันอยู่ที่ใด เหล่าผู้ชมกลับไม่มีวาสนาได้เห็น
พอทหารคั่งหลงเริ่มขับไล่ ทุกคนก็รู้ว่าเรื่องราวจบลงแล้ว พลทหารบางส่วนพุ่งมาสู่จัตุรัส เริ่มจัดการเก็บกวาด
“เฮ้อ…” ราษฎรเปล่งเสียงถอนใจออกมาอย่างคลุมเครือ บางคนยืดลำคอยาวเพราะยังอยากมองดูฉากต่อไป บางคนบิดขี้เกียจครั้งหนึ่งอย่างพึงพอใจแล้วเริ่มเดินทางกลับ…วันนี้นับว่าได้ชมละครที่ยิ่งใหญ่ฉากหนึ่ง อารมณ์แปรเปลี่ยนจากตึงเครียดสู่ดุเดือดสู่เจ็บปวดสู่สุขสม ติดตามองค์ราชินีข้ามผ่านความเป็นความตายในเวลาหนึ่งวัน จนถึงยามนี้ ละอองธุลีได้สงบนิ่ง ในความฮึกเหิมรำไรคือความโล่งอกและความพึงพอใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เพียงได้เห็นวันนี้วันเดียว พอจะค่อยๆ คุยโวโอ้อวดไปชั่วชีวิตนี้แล้ว
ศิษย์น้องสายฮาหกคนแบกอีชีที่ตะโกนก้องร้องไห้โฮจากไปแล้ว พวกเขาไม่ชื่นชอบพระราชวัง อีชีร้องไห้อย่างเจ็บปวดยิ่ง พวกเขาหัวเราะอย่างดีใจยิ่ง
เหยียลี่ว์ฉียืนนิ่งอยู่ข้างจัตุรัสเนิ่นนาน มองบันไดในวังยามพลบค่ำเหน็บหนาวดุจสายธาร รู้สึกเพียงวันหนึ่งยาวนานดั่งผ่านไปชั่วชีวิตหนึ่ง
ในชั่วชีวิตนี้มองเห็นรอยยิ้มองอาจห้าวหาญ ความเฉลียวฉลาดเกินมนุษย์ของนางจนสิ้น จากนั้นในพริบตาสุดท้ายถึงตระหนักได้ว่าความงดงามของนางไม่ใช่ของตนเอง
เขาครุ่นคิดทบทวนถึงช่วงเวลาที่ลงมือสังหารซังต้งซ้ำไปซ้ำมา เขาหลงลืมผลลัพธ์และจุดยืนเป็นครั้งแรก ดวงตาข้างหนึ่งจ้องมองซังต้ง ดวงตาอีกข้างหนึ่งกำลังสนใจนาง
ยามที่กระบอกเชื้อไฟร่วงหล่น เขาเคยรู้สึกว่าหน้าอกเกร็งแน่นอึดอัดดุจจะระเบิด อัดแน่นด้วยควันธุลีจากโลกมนุษย์วุ่นวายนี้จนท่วมท้น
เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นประชิดใกล้หน้าอก นิ้วมือค่อยๆ งอขึ้น
คล้ายอยากจะปัดควันธุลีในดวงใจทิ้งไป ซ้ำยังคล้ายอยากจะเก็บอารมณ์บางอย่างไว้ด้วยความทะนุถนอม
ตอนที่ 73 - 2 สารภาพรัก
บนภูเขาเตี้ยๆ ที่ห่างออกไปไม่ไกลมีคนยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ หันหน้าไปทางจัตุรัสหวงเฉิง มองดูเหล่าทหารบนลานกว้างจัดการเก็บกวาดอย่างชุลมุนวุ่นวาย ซ่อมแซมกำแพงวัง เก็บกวาดเศษซาก บรรจุซากศพของซังต้งเข้าถุงผ้า
ที่ด้านหลังมีคนจำนวนมากยืนอยู่ ทุกคนต่างนิ่งเงียบสะกดกลั้นลมหายใจ บรรยากาศแลดูหนักแน่นและหนาวเหน็บด้วยเพราะเหตุนี้
ยามค่ำคืนอบอวลเข้ามา นำพาหยาดน้ำค้างอันชุ่มชื้นเข้ามาด้วย ทำให้ชายผ้าของเขาเปียกชื้นเป็นผืนเล็กดั่งเงาทะมึนในฝันร้าย
นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อของเขาขยับเขยื้อนเพียงครั้ง สุราถ้วยหนึ่งค่อยๆ เอนเอียงหลั่งรินบนหินภูเขาขาวซีด
รินสุราถ้วยหนึ่ง เลี้ยงส่งให้ผู้ที่จากไปนิรันดร์กาล
เส้นทางภายภาคหน้ายังอีกยาวไกล
สุราหมดแล้ว แต่เขาไม่ได้โยนถ้วย เพียงแต่นั่งยองๆ ลงฝังถ้วยใต้หินภูเขานั้นอย่างแผ่วเบา
สิ่งที่ฝังไว้คือถ้วย และเป็นคำสาบาน
ปีหน้า ยามผู้ที่สมควรตายได้ตายจากไป ถ้วยใบนี้จะถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง บรรจุโลหิตศัตรูเป็นเครื่องเซ่นไหว้วิญญาณ
คงจะมีวันนั้น
เขาลุกขึ้นมาแล้วไม่มองจัตุรัสอีก หันกายอย่างแผ่วเบาทว่าดูเด็ดเดี่ยว
“ลงเขา”
…
“ซังต้งสิ้นชีพแล้ว พวกข้าช่วยเหลือไม่ทันกาล”
“นางนั่นน่ะรนหาที่ตายด้วยตนเอง! ให้ออกนอกเมืองก็ไม่ไป กลับคิดจะใช้รถม้าเพลิงพุ่งชนตี้เกอ! ที่ซึ่งรถม้านางแล่นผ่านมีจวนผู้ชราด้วย!”
“นางกระทำด้วยเพราะถูกกงอิ้นบีบบังคับ หากไม่ดึงดูดความสนใจของกงอิ้นไปเสีย บุตรชายของนางคงจะออกจากตี้เกอไม่ได้ เช่นนั้นตระกูลซังก็คงไม่เหลือความหวังแม้แต่น้อยจริงๆ แล้ว”
“ยามนี้ตระกูลซังก็มีความหวังจริงๆ หรือ? จริงสิ ซังเทียนสี่หนีไปได้คนหนึ่ง แล้วอย่างไรเล่า”
“ใต้เท้าอย่าได้ดูถูกซังเทียนสี่ หลายปีมานี้ซังต้งภาคภูมิใจในตัวบุตรชายยิ่งนัก ซ้ำยังพลีชีพเพื่อปกป้องเขา นี่ย่อมต้องมีเหตุผลเป็นแน่ ข้าได้ยินมาว่าซังเทียนสี่เฉลียวฉลาดเลิศล้ำ เป็นอัจฉริยะในโลกหล้า คนเช่นนี้ยามปกติไม่โดดเด่น เผลอประเดี๋ยวพาผู้คนตื่นตะลึง ภายภาคหน้าตระกูลซังอาจจะอาศัยเขากลับมามีอำนาจอีกครั้งย่อมไม่อาจรู้ได้”
“ตระกูลซังคือตระกูลกองเซ่นไหว้สตรีเพศ บุรุษผู้หนึ่งจะมีประโยชน์อันใด หึ”
“ใต้เท้า เติมบุปฝาบนแพรพรรณน่ะไม่สู้ส่งถ่านกลางหิมะ ข้าว่านะ ยามนี้ซังเทียนสี่กำลังตกที่นั่งลำบาก ไม่สู้พวกเราฉวยโอกาสช่วยเขาสักครั้ง เรื่องซังต้งในตี้เกอพวกเราไม่อาจช่วยตระกูลซังไว้ได้ คงยากที่ซังเทียนสี่จะไม่จดจำความแค้นไว้ในใจ เช่นนี้ทั้งได้ขจัดความโกรธแค้นของเขา อีกทั้งยังได้ควบคุมสภาพการณ์ของเขาด้วย หากภายภาคหน้าเขากระทำสำเร็จ ยังนับเป็นจุดอ่อนที่จะใช้บีบบังคับเขาได้เรื่องหนึ่ง สำหรับข้าและท่านแล้ว เรื่องนี้ก็ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้เหตุใดถึงไม่กระทำเล่า”
“ที่เจ้าเอ่ยมาก็ใช่”
“ทว่าเอ่ยแล้วน่าสนใจยิ่งนัก ซังเทียนสี่ไม่ใช่คนธรรมดาโดยแท้ เขากลับไม่ได้…”
“โอ้? ไม่ได้จริงหรือ…”
“นั่นสิ เช่นนี้ข้าถึงคิดว่านี่คือบุคคลที่น่าจะมีบทบาท คุ้มค่าที่จะช่วยสักครั้ง”
“เหอะๆ ผู้ชราเกิดสนใจขึ้นมาเช่นกัน เพียงแต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ช่วงนี้ของต้าฮวงแล้วรู้สึกว่าคงไม่อาจมองในแง่ดีได้ มักรู้สึกว่าท่าทางของกงอิ้นคลุมเครือ เหยียลี่ว์ฉีก็ดูคล้ายจะผิดปกติเช่นกัน ดูท่าทางนั้นของกงอิ้น ผู้ชราก็เป็นห่วงเหลือเกินว่าสมองของเขาจะเลอะเลือนไปชั่วขณะ แก้ไขกฎหมาย เทิดทูนราชินีนั่นสู่ราชบัลลังก์ จนมีอำนาจแท้จริงขึ้นมาจริงๆ สตรีนางนั้นเจ้าเล่ห์เ**้ยมโหด ทั้งยามนี้ยังได้ใจของราษฎร หากได้กุมอำนาจแท้จริงขึ้นมา ทั้งเจ้าทั้งข้าจะมีวันเวลาแห่งความสงบสุขได้อย่างไร”
“ใต้เท้าท่านคิดมากเกินไปแล้ว กงอิ้นจะยกแผ่นดินร่วมกันให้ได้อย่างไร แม้เขาจะอยากยกให้ แต่คนใต้บัญชาของเขากลุ่มนั้นจะยอมหรือ? ข้าว่านะ เหตุการณ์ตี้เกอคราวนี้ดูท่าทางราชินีจะได้ใจของราษฎรนับไม่ถ้วน เรื่องนี้แท้จริงแล้วเป็นภัยร้ายไม่ใช่เรื่องดีต่อราชินีเลย”
“เจ้าหมายถึง…กองทัพ?”
“เช่นนั้น ได้ใจของราษฎรเล็กน้อยจะนับว่าอะไรได้ ราษฎรมีมีดหรือ? ยกทัพจับศึกได้หรือ? ปกป้องนางได้หรือ? ทว่าล่วงเกินทหารคั่งหลงจะมีจุดจบอย่างไร ทหารแกร่งที่โอบล้อมพิทักษ์นครหลวงอย่างแท้จริงของต้าฮวง ฉากกำบังเหล็กกล้าที่ตั้งมั่นป้องกันระหว่างต้าฮวงกับหกแคว้นแปดชนเผ่า ทหารคั่งหลงที่กุมพลังแข็งแกร่งเกรียงไกรไร้ที่สิ้นสุด พอเกิดความคิดเป็นศัตรูกับราชินี หากนางอยากขึ้นครองราชบัลลังก์อย่างราบรื่นจะสำเร็จหรือ?”
“มิใช่ว่าเฉิงกูมั่วถูกพักการปฏิบัติหน้าที่แล้วหรือ? ขั้นต่อไปกงอิ้นคงจะเปลี่ยนผู้บัญชาการ”
“จะเปลี่ยนเป็นผู้ใดได้ คั่งหลงยอมรับเฉิงกูมั่วเป็นนายมาก่อนกงอิ้นเสียอีก! เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาต่างเป็นผู้ไว้ใจใกล้ชิดของเฉิงกูมั่ว! เฉิงกูมั่วมีบารมีทั่วทั้งพรรคพวกกงอิ้นยิ่งนัก เขาคือมหาขุนพลที่สนับสนุนให้กงอิ้นรับตำแหน่งราชครูเป็นคนแรก เป็นสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดีที่สุด ที่ทุ่มเทพลีชีวิตเพื่อเขาในเหตุการณ์ตี้เกอยามนั้น เป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตกงอิ้นไว้ในสถานการณ์อันตราย ในเรื่องนี้ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็เป็นผู้รับเคราะห์ หากถูกลงโทษอีกลูกน้องของกงอิ้นเหล่านั้นจะไม่เจ็บปวดผิดหวังโกรธแค้นได้อย่างไร กงอิ้นแตะต้องเขา สิ่งที่แตะต้องย่อมเป็นรากฐานของตนเอง สิ่งที่แตะต้องย่อมเป็นความจงรักภักดีของผู้ติดตามทุกคน!”
“ฮ่าๆ ดียิ่งนัก บัดนี้กงอิ้นนับว่าขึ้นเตาเผาแล้ว”
“เช่นนั้นต้องดูว่าเขามีความจริงใจต่อราชินีเพียงใด ยินยอมอ่อนข้อให้ถึงเพียงใดกันแน่ ข้าว่านะ อุดมการณ์ของบุรุษคือโลกหล้า สตรีเพียงประดุจเครื่องแต่งกาย จะลำบากทอดทิ้งงานใหญ่เพื่อสตรีได้หรือ? กงอิ้นกุมมหาอำนาจมานานหลายปี ผู้ติดตามใต้บัญชามีนับไม่ถ้วน อุดมการณ์ที่มีต่อตำแหน่งสูงสุดต้องได้มาด้วยความจำเป็น เอ่ยกันแล้วคงไม่น่าจะโง่เขลาขนาดนี้ถึงจะถูกต้อง บนโลกนี้มีบุรุษที่รักโฉมสะคราญไม่รักแผ่นดินที่ใดกัน…เหอะๆ ท่านอย่าได้ทำหน้ามุ่ยเลย สตรีทั่วโลกหล้านี้ธรรมดาสามัญ ทว่าไม่รวมท่านด้วยเป็นแน่”
“เหอะๆ พวกข้าสตรีเล่นการเมือง ย่อมไม่มองตนเองว่าเป็นสตรีเช่นกัน ตามความคิดของข้า หวังให้กงอิ้นโง่เขลาจนถึงที่สุด”
“หรือทำให้เขายิ่งโง่เขลาขึ้นไปอีกได้…ไม่ใช่เอ่ยว่าซังเทียนสี่รู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับกงอิ้นหรือ?”
“โอ้? ขอฟังให้ละเอียดถี่ถ้วน”
…
หมู่นี้ชีวิตของจิ่งเหิงปัวกำลังดีทีเดียว
หากบรรยายด้วยสองคำเรียกว่าหวานชื่น บรรยายด้วยสามคำเรียกว่าโคตรหวานชื่น!
เช้าตรู่ของทุกวันนางตื่นมาท่ามกลางอารมณ์ดีมีความสุข พอลืมตาก็ได้มองเห็น…ชายคาบ้านของคนที่ชอบ
ล้างหน้าแปรงฟันท่ามกลางอารมณ์ดีมีความสุข ตอนทานอาหารเช้ามี…องครักษ์ของคนที่ชอบเคียงข้าง
ทานอาหารเช้าเสร็จท่ามกลางอารมณ์ดีมีความสุข แล้วจะได้ไปจิ้งถิงร่วม…ประชุมกับคนที่ชอบด้วย
…เอาเถิด ฟังดูแล้วก็ไม่ได้น่าสนุกขนาดนั้น ตอนแรกนางก็บ่นนิดหน่อยเหมือนกัน แต่หลังจากฟังการเมืองมาหลายวันก็พึงพอใจ ตนเองกำเริบเสิบสานขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
ด้วยเพราะนางเพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วการปกครองแคว้นแคว้นหนึ่งนั้นโคตรน่ารำคาญ โคตรเหนื่อย เรื่องโคตรเยอะ!
จนตอนนี้นางถึงได้รู้ว่าทุกวันนี้กงอิ้นนอนหลับเพียงแค่สองชั่วยาม ถ้าหักเวลาที่เขาฝึกวรยยุทธ์ทิ้งไปอีกคงจะได้นอนหลับน้อยกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเรื่องราวของซังต้ง เขาคล้ายจะงานยุ่งมากกว่าแต่ก่อน ออกนอกวังตรวจตราค่ายใหญ่ทหารคั่งหลง ต้อนรับขุนพลทุกท่านบ่อยครั้ง จิ่งเหิงปัวรู้ว่าหมู่นี้เขากดดันไม่น้อย ที่หว่างคิ้วมีรอยย่นสามรอยอยู่รำไร แม้ว่ารอยย่นเบาบางนี้จะทำให้เขาดูท่าทางเปี่ยมบารมีมากยิ่งขึ้น แต่ก็ทำให้นางเจ็บปวดใจด้วยเหมือนกัน บางครั้งอดไม่ได้อยากจะยื่นมือไปลูบให้เรียบเสีย แต่มักจะถูกเขาหลบหลีกไปทุกครั้งหรือไม่ก็มองอย่างเย็นชาด้วยหางตาเสียเลย มองด้วยหางตาก็ไม่เป็นไร จิ่งเหิงปัวที่หน้าหนาจะยืนหยัดสู้ต่อไป สุดท้ายคนที่ยอมแพ้มักจะเป็นเขา หากไม่พานางไปมุมปลอดคนให้นางลูบสักครั้งก็ลูบเองสักหน่อยเสียเลย ตัดขาดความคิดถึงของนาง เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า พอเขาขมวดคิ้ว นางก็จะมองที่หว่างคิ้วเขา แล้วเขาก็จะลูบหว่างคิ้วด้วยความเคยชิน คลายหัวคิ้วออกมา จิ่งเหิงปัวมองแล้วจิตใจเบิกบาน…ฮ่า มหาเทพมีพฤติกรรมเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องง่าย นี่คือนิสัยที่นางบ่มเพาะออกมาเชียวนะ!
ในอารมณ์หวานชื่น ความเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยของฝ่ายตรงข้ามคล้ายเป็นความสำเร็จและความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ นางจมดิ่งอยู่ในภวังค์การค้นพบความงดงามเล็กน้อยเช่นนี้ ยินดีไม่มีแหนงหน่าย
ด้วยเพราะเหตุนี้เอง ตอนนี้นางก็รับรู้ความกดดันของกงอิ้นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้มองเห็นได้จากการประชุมราชการในทุกครั้งเช่นกัน อำนาจที่จิ่งเหิงปัวแย่งชิงมาให้ตนเองในตอนนี้คือฟังการเมือง นางก็เฉลียวฉลาดอย่างยิ่งเช่นกันแค่ฟังการเมืองแค่นั้นจริงๆ ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว ท่าทางดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ตอนแรกเหล่าขุนนางใหญ่ก็รู้สึกอึดอัด เอ่ยวาจาพะว้าพะวังขึ้น แต่ภายหลังก็ค่อยๆ เคยชินกับการดำรงอยู่ของนาง ไม่รู้สึกว่ามีเรื่องใดไม่เหมาะสมอีก เอ่ยวาจาย่อมเป็นธรรมชาติขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จิ่งเหิงปัวได้ยินมากมายและได้เรียนรู้มากมาย มีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อสถานการณ์พรรคพวกในราชสำนัก ระบอบการเมือง ความสัมพันธ์ขุนนาง รูปแบบการดำเนินงาน การค้าภายในและภายนอก ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นของต้าฮวง เป็นต้น กล่าวได้ว่าตอนนี้ถ้าให้นางเริ่มต้นเข้าควบคุมงานราชสำนัก ไม่กล้ากล่าวว่าจัดการได้สมบูรณ์พร้อมทุกเรื่อง แต่คงไม่ใช่ไม่มีความรู้แน่นอน
ตอนที่ 73 - 3 สารภาพรัก
ด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวทุ่มเทกำลังกอบกู้สถานการณ์ในเรื่องราวของซังต้ง ตอนนี้ข้าราชบริพารส่วนหนึ่งในราชสำนักจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อนาง ด้านหนึ่ง ข้าราชบริพารที่ค่อนข้างซื่อตรงเหล่านี้รู้ว่ายามนี้ราชินีมีชื่อเสียงในหมู่ราษฎรยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นนางมีคุณูปการใหญ่หลวงในเรื่องราวของซังต้งโดยแท้ หากมิใช่เพราะนาง ยุ้งฉางทิศตะวันตกของเมืองอาจจะถูกเผาไปแล้ว ความสูญเสียหนักหน่วงอันตรายเป็นวงกว้าง ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงหากรถม้าเพลิงทั้งหมดสิบคันบุกเข้าตลาดกลางคืนตรอกหลิวหลีที่คึกคักที่สุดได้ทั้งหมดจริง ภัยพิบัติที่นำมาแทบจะเป็นการทำลายล้าง คงไม่ใช่แค่การบาดเจ็บล้มตายไม่กี่คนเล็กน้อยแล้วยุติลงเช่นยามนี้เป็นแน่ เพราะฉะนั้นไม่อาจไม่เคารพ อีกด้านหนึ่ง ญาติพี่น้องมิตรสหายของข้าราชบริพารบางส่วนที่อยู่ในตลาดกลางคืนวันนั้น จะมากน้อยเพียงใดยังนับว่าเป็นหนี้บุญคุณช่วยชีวิตของจิ่งเหิงปัว ในใจย่อมมีความซาบซึ้งใจส่วนหนึ่งอยู่ด้วย ยามพบกันในวัง คนเหล่านี้แลดูเคารพนบนอบ มีมารยาทมากกว่าแต่ก่อนมากนัก ขุนนางเก่าแก่ที่บริสุทธิ์สูงส่งที่มีมหาปราชญ์ฉังฟังเป็นผู้นำกลุ่มหนึ่งยังจะถวายพระอภิไธยให้ราชินีด้วยเหตุนี้ แน่นอนว่าถูกกลุ่มต่อต้านกลุ่มหนึ่งใช้เหตุผลว่าราชินียังไม่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ ไม่อาจถวายพระอภิไธยตามใจชอบ ขอให้พักไว้ก่อน
แน่นอนว่าย่อมมีพวกไม่มีเหตุผลเช่นเซวียนหยวนจิ้ง เขาเอ่ยว่าเรื่องราวของซังต้งเกิดขึ้นด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวยั่วยุโดยพลการ ตามหลักแล้วควรจะสืบโทษที่ราชินีมุ่งโจมตีบุคคลสำคัญในราชสำนักโดยพลการจนก่อให้เกิดความไม่สงบ แม้ว่าภายหลังราชินีจะได้กระทำการกอบกู้ไว้บางส่วน ทว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะนาง หากไม่มีนางก็คงไม่เกิดเพลิงไหม้ครั้งนั้นเสียด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นชีวิตของคนสองคนที่ถูกเผาจนสิ้นชีพและชีวิตของคนเจ็ดคนที่ได้รับบาดเจ็บในตลาดกลางคืนควรจะนับว่าเป็นความผิดของนางด้วย แน่นอนว่าการฟ้องร้องที่ขาดความยุติธรรมอย่างยิ่งเช่นนี้ประสบฝีปากโกรธแค้นของขุนนางซื่อตรงที่มีฉังฟังเป็นผู้นำเช่นกัน หลังจากสองฝ่ายผ่านสงครามด่าทอกับสงครามประจัญบานฉบับยกระดับสามรอบแล้วถึงได้สิ้นสุดลงด้วยผลลัพธ์ที่เสมอกัน
สำหรับตัวจิ่งเหิงปัวเอง การชมเชยหรือการลงโทษไม่มีความหมายใดๆ ต่อนาง ในมุมมองของนางนี่คือแคว้นของนาง นี่คือราษฎรของนาง การใช้อำนาจราชินีของตนเองกับการปกป้องราษฎรสำคัญเช่นเดียวกัน ให้ขุนนางฝูงหนึ่งมาตัดสินความผิดชอบชั่วดีของนางช่างน่าขันโดยแท้ แต่นางเชื่อว่าวันเวลาน่าขันแบบนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน
ทว่าในการประชุมราชการ เรื่องบางเรื่องยังคงต้องขวางนางไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับเวลาการขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการของนาง ผ่านการถกเถียงไปเจ็ดแปดครั้งก็ยังตกลงกันไม่ได้ สำนักดาราศาสตร์เอ่ยว่าสองปีนี้ดวงดาวเป็นอริกับดวงพระอาทิตย์ แว่นแคว้นมีอันตรายจากการเปลี่ยนเจ้านาย ไม่เหมาะแก่การจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีขุนนางใหญ่เกือบส่วนหนึ่งสนับสนุน ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางใหญ่เกือบส่วนหนึ่งพวกนี้ รวมทั้งพรรคพวกเหยียลี่ว์ฉี รวมทั้งพรรคพวกกงอิ้น รวมทั้งฝ่ายตระกูลผู้ดีเก่าแก่เช่นเซวียนหยวนจิ้ง ยังรวมทั้งผู้นำกำลังของหกแคว้นแปดชนเผ่า ทำให้จิ่งเหิงปัวเรียนรู้อย่างจำใจว่าแต่ไหนแต่ไรมาราชสำนักต้าฮวงไม่เคยต้อนรับนางเลย ได้รู้ว่าไม่ว่าจะนางรุ่งโรจน์โชติช่วงในหมู่ราษฎรแค่ไหน เหล่าขุนนางใหญ่ที่เป็นห่วงเพียงผลประโยชน์ส่วนตนเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาคิดเสมอคือความมั่งคั่งร่ำรวยเปี่ยมยศศักดิ์ของตนเอง ทำให้ตระกูลตนเองดำรงอยู่ไปได้ร้อยปี
สำหรับเรื่องนี้ ท่าทางของกงอิ้นดูคลุมเครืออยู่บ้าง เขาทั้งไม่เห็นด้วยกับวาจาที่ว่าสองปีนี้ไม่อาจขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ แต่ว่าก็ไม่ได้เรียกร้องให้ขึ้นครองราชย์โดยพลันเช่นกัน เขาคล้ายยังรอคอยสิ่งใดอยู่ พวกที่คัดค้านแน่วแน่มีเพียงขุนนางที่ไม่เข้าพรรคเข้าพวกใดทั้งนั้นและมาจากครอบครัวสามัญชนบางส่วน รวมทั้งขุนนางเก่าแก่ที่ไม่ได้ครอบครองตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างแท้จริงกลุ่มหนึ่งซึ่งมีมหาปราชญ์ฉังฟังเป็นผู้นำ ด้วยเพราะวันเวลาที่ราชินีขึ้นครองราชย์คือเรื่องใหญ่ เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของแว่นแคว้น ขอเพียงมีผู้คัดค้านก็ย่อมยากจะปรึกษาหารือร่วมตกลง ฉะนั้นเรื่องนี้จึงพักไว้ก่อนชั่วคราว
เรื่องราวที่จิ่งเหิงปัวยากจะได้แตะต้องอีกเรื่องหนึ่งก็คือกิจการทหาร โดยเฉพาะกิจการทหารที่เกี่ยวข้องถึงทหารคั่งหลง หลังจากเรื่องราวของเฉิงกูมั่วว่ากันว่าทหารคั่งหลงไม่ค่อยอยู่ในโอวาสเพียงใด มีขุนพลยื่นคำร้องทุกข์ต่อกงอิ้นบ่อยครั้ง ขอให้ยกเลิกบทลงโทษที่มีต่อเฉิงกูมั่ว ช่วงเวลาเหล่านี้เฉิงกูมั่วปิดประตูพิจารณาความผิดอยู่ในจวนของตนเอง ปิดประตูไม่พบผู้ใดทั้งนั้นโดยแท้ ทั้งไม่อาศัยไหว้วาน ทั้งไม่ขอร้องให้กงอิ้นยกโทษ ทั้งไม่เอ่ยถึงความแค้นเรื่องบุตรชาย ทั้งไม่เอ่ยวาจาแค้นเคืองสักประโยค เอาแต่ร่ำสุราอ่านหนังสืออยู่ในจวนของตนเอง ลูกน้องบางคนที่แอบไปดูต่างก็เอ่ยกันว่าผู้บัญชาการเฉิงแทบจะผมขาวในชั่วข้ามคืน จมอยู่ในเมฆหมอกแห่งความโศกเศร้า ส่งเสียงร่ำไห้ตลอดหลายคืน คนรับใช้เดินเหินดั่งวิญญาณ มองดูแล้วน่าเวทนายิ่งนัก
หากคนผู้นี้วิ่งเต้นวุ่นวายอาจจะทำให้คนยังลังเล ท่าทางของคนที่ดูอ่อนแอในยามนี้กลับยิ่งพาให้คนสงสาร มนุษย์มักจะเอนเอียงไปทางผู้อ่อนแอเสมอ ทิศทางข้อวิพากษ์วิจารณ์ทั่วทั้งแว่นแคว้นต้าฮวงเกิดการเปลี่ยนแปลง ขุนนางใสซื่อมือสะอาดที่เดิมทีรู้ความจริงบางส่วน ไม่ค่อยคล้อยตามการกระทำของเฉิงกูมั่วในวันนั้นโดยไร้เหตุผลบางคน ยามนี้ยังรู้สึกว่าเฉิงกูมั่วเป็นผู้บริสุทธิ์ รู้สึกว่ากงอิ้นไร้ความเมตตา เรียกร้องให้คืนตำแหน่งเดิมให้เขา คนเหล่านี้ยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงขุนพลอ่อนวัยที่เดิมทีนับถือเฉิงกูมั่วเป็นผู้นำเหล่านั้นในพรรคพวกของกงอิ้นเลย ถึงขนาดมีคนจำนวนไม่น้อยที่เสนอให้ตัดสินโทษราชินี สืบสาวโทษที่ราชินีสังหารเฉิงเย่าจู่ ทุกวันต่างมีสมุดพับเช่นนี้หนึ่งถึงสองเล่ม ทว่าต่างถูกกงอิ้นกองไว้ไม่สนใจ
เหยียลี่ว์ฉีออกมาจากสำนักเจาหมิงแล้วด้วยเช่นกัน หลังจากหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถล่มลงมา สำนักเจาหมิงถูกฟ้าร้องฟ้าผ่าจนพังทลายอย่างไม่มีผู้ใดอธิบายสาเหตุได้ จำต้องให้เหยียลี่ว์ฉีจากไปก่อนล่วงหน้า หลังจากเรื่องราวของซังต้ง ขุนนางพรรคพวกเหยียลี่ว์ฉีทยอยกล่าวโทษทหารอารักขาที่รับผิดชอบดูแลยุ้งฉางทิศตะวันตกของเมืองว่าปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด รวมทั้งกล่าวโทษค่ายใหญ่สามค่ายของคั่งหลงที่รับผิดชอบป้องกันใจกลางนครว่าปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด ซ้ำยังเสนอหลักฐานใหม่ว่าผู้อยู่เบื้องหลังคดีลอบปลงพระชนม์ราชินีในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนั้นคือตระกูลจั้น ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ กงอิ้นเลือกอนุญาตให้เหยียลี่ว์ฉีกลับจวนโดยนัย คืนตำแหน่งในอีกครึ่งเดือน ทว่าด้วยเพราะเหตุนี้เอง เขามองออกว่ารองเสนากองอาญาที่รับผิดชอบสืบสวนคดีลอบปลงพระชนม์ราชินีแอบเป็นพวกเหยียลี่ว์ฉี ผ่านไปไม่นานเพียงใด จึงใช้ข้ออ้างว่าไม่ตั้งใจสืบสวนคดีลอบปลงพระชนม์ ลากรองเสนากองอาญาที่แอบสวามิภักดิ์ค่ายเหยียลี่ว์ฉีออกมา ลดตำแหน่งโยกย้ายไปไกล สะบั้นกำลังความช่วยเหลือของพรรคพวกราชครูฝ่ายซ้ายอีกแห่งหนึ่ง
สำหรับเหยียลี่ว์ฉีแล้ว การทิ้งรองเสนากองอาญา จุดมุ่งหมายก็คือชำระล้างตนเอง ใช้ขุนนางสายลับตำแหน่งสูงในกองอาญาที่บ่มเพาะมาหลายปีคนหนึ่งแลกความมั่นคงในตำแหน่งราชครูฝ่ายซ้ายของตนเองกลับมา ฉะนั้นกงอิ้นยอมรับโดยไม่ต้องเอ่ยเช่นกัน นี่คือการวางกลอุบายอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงกับความสมดุลที่เลือกโดยเป็นที่รู้กันในยามสุดท้ายใต้เวทีอีกครั้งหนึ่งของมหาราชครูทั้งสอง
เรื่องราวเหล่านี้ไม่เอ่ยในการประชุมราชการ กงอิ้นไม่บอกจิ่งเหิงปัวเป็นแน่เช่นกัน แต่จิ่งเหิงปัวฟังออกคร่าวๆ ได้จากวาจาสองสามประโยคของจื่อหรุ่ย…แต่ไหนแต่ไรมาการเมืองเป็นสิ่งซับซ้อนเช่นนี้เสมอ
นางเป็นทุกข์กับเรื่องนี้อย่างยากจะหลีกเลี่ยง แต่ไม่ได้แสดงออกมา…ไม่ใช่หวังพึ่งพามหาเทพให้ช่วยแก้ไข แต่นางคิดว่าสำหรับมหาเทพแล้ว ทุกวันนางกระโดดไปกระโดดมา แทะโลมเขาอย่างร่าเริงแจ่มใสถึงเป็นสภาวะที่ดีที่สุด ขอแค่นางมีความสุขให้เขาดูก็พอแล้ว
อารมณ์เช่นความกดดันนี้เป็นเครื่องปรุงรสหนึ่งวันสามเวลาอาหารของนักการเมืองตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ในฐานะแฟนสาวที่ได้มาตรฐานคนหนึ่ง นางควรจะช่วยแฟนหนุ่มบรรเทาความกดดันอย่างไร พูดให้ง่ายคือ…ถ้าเขารักนาง นางยิ้มให้เขาดูก็พอแล้ว!
ให้เขารู้สึกว่าความพยายามของเขาได้ปกป้องนางแล้ว นางคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
จิ่งเหิงปัวยอมเป็นผู้หญิงโง่เขลาที่ไม่คิดอะไรมาก เฉลียวฉลาดอยู่เบื้องหลังก็พอแล้ว
ฉะนั้นในการประชุมราชการนางก็ไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว แต่เบื้องลึกมีการตระเตรียมอยู่บ้าง นางเคยได้เจรจาเป็นการส่วนตัวกับฉังฟังครั้งหนึ่ง ใจความสำคัญก็คือให้ตาเฒ่าละทิ้งความพยายามในการผลักดันนางขึ้นครองราชย์ล่วงหน้าไปก่อน
ยามนั้นตาเฒ่ามองนางอย่างงงงวยอยู่เนิ่นนาน เอ่ยด้วยสีหน้าผิดหวังว่า “ราชินีทรงไม่อยากขึ้นครองราชย์ล่วงหน้าหรือพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่คนเหล่านั้นเอ่ยว่าดวงดาวเป็นอริกับดวงพระอาทิตย์สองปี เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเพียงข้ออ้างถ่วงเวลา คงรู้ว่าราตรียาวนานความฝันเยิ่นเย้อพ่ะย่ะค่ะ”
พอจิ่งเหิงปัวเห็นสีหน้าของเจ้าผู้ชราก็รู้ว่าในใจเขาคงจะกำลังตำหนิว่าอุดมการณ์ความคิดตื้นเขินของตนเองขึ้นอยู่กับบุรุษเท่านั้น เช่นนั้นก็อดจะหัวเราะฮ่าๆ ออกมาไม่ได้ แล้วกล่าวว่า “ฉะนั้นถึงเอ่ยว่าชั่วคราวอย่างไร”
“ทูลถามฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ตาเฒ่ากะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจความหมาย
“ถอยหนึ่งก้าวถึงเดินหน้าได้หนึ่งก้าว” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีเขยิบไปยังข้างหูเขา แล้วกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “การคัดค้านของท่านน่าจะทำให้เจ้าคนเหล่านั้นปวดศีรษะยิ่งนักกระมัง? เช่นนั้นหากท่านผ่อนคลายการบังคับลงมา ฝ่ายตรงข้ามคงจะโล่งใจไปครั้งหนึ่งใช่หรือไม่เล่า? ท่านเผยความนัยว่าตกลงกันได้สักหน่อย ฝ่ายตรงข้ามคงจะเร่งรีบให้ความร่วมมือด้วยเพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่เล่า? ท่านน่ะ เสแสร้งแกล้งยอมอ่อนข้อไปก่อน ช่วงชิงอิสระเล็กน้อยเพื่อข้าเถิด!”
วันต่อมา ฉังฟังผิดแปลกไปจากปกติ ไม่ได้บังคับขู่เข็ญให้ตั้งวันเวลาที่ราชินีขึ้นครองราชย์ให้แน่ชัดโดยพลันอีก กลุ่มต่อต้านดีใจยกใหญ่ด้วยเหตุนี้ ซ้ำยังยอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับราชินีของฉังฟังด้วย…ฉังฟังคิดว่าในเมื่อฝ่าบาทเลื่อนการขึ้นครองราชย์ออกไปชั่วคราว เช่นนั้นข้อเรียกร้องที่มีต่อนางไม่ควรใช้บรรทัดฐานของราชินีที่ดำรงตำแหน่งของต้าฮวงมาเป็นข้อสรุป ฉะนั้นควรจะอนุญาตให้ราชินีมีอิสระในการออกนอกวังกับอิสระในการบริหารทรัพย์สินพอสมควร นางจะได้เรียนรู้ชีวิตราษฎร ทำความเข้าใจสถานการณ์ของแคว้นได้สะดวก ลดข้อจำกัดกฎเกณฑ์บรรทัดฐานทุกสิ่งที่มีต่อราชินีลงครึ่งหนึ่งทั้งสิ้น และอนุญาตให้ราชินีมีอำนาจลงโทษเกี่ยวกับกฎต้องห้ามในวังตนเองได้
แต่ไหนแต่ไรมาการเมืองนั้นเปี่ยมด้วยการประนีประนอม เจ้าประนีประนอมแล้วเช่นนี้ ข้าก็ควรประนีประนอมให้สัมพันธ์กันเช่นนั้น สำหรับกลุ่มต่อต้านแล้ว ไม่ให้ราชินีขึ้นครองราชย์คือเรื่องใหญ่ ส่วนเรื่องที่เหลืออย่างเช่น อำนาจอิสระอะไรเอย ออกนอกวังใกล้ชิดราษฎรเอย ให้เงินมากหน่อยเอย อำนาจในการลงโทษในวังตนเองเอยล้วนเป็นเรื่องเล็ก
จิ่งเหิงปัวได้ยินข่าวนี้แล้วก็หัวเราะฮิๆ หลังจากนั้นก็แจ้งผู้ชราฉังฟังว่า “ผ่านไปสักเดือนสองเดือนท่านผู้ชราอย่าลืมเอ่ยเรื่องราชินีขึ้นครองราชย์ล่วงหน้าต่อไปอีกครั้งล่ะ!”
ผู้ชราฉังฟังโซเซครั้งหนึ่งจนเกือบจะล้มหัวทิ่ม ลุกขึ้นมาเบิกตากว้างอยู่เนิ่นนานแล้วเดินโซซัดโซเซจากไป ก่อนเดินออกจากประตูวังแล้วหันหน้ากลับมามองดู ทว่าอดจะหรี่ตายิ้มแย้มไม่ได้
“มีความกล้าหาญ มีกลอุบาย รู้ก้าวรู้ถอยเป็น ไม่สูญเสียความกล้าหาญของพยัคฆ์ ซ้ำยังไม่สูญเสียความเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอก ได้ราชินีเช่นนี้ ต้าฮวงช่างมีบุญวาสนานัก!”
เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เอ่ยว่า “ต่อให้ผู้ชราต้องแบกรับชื่อเสียงกลับกลอกปลิ้นปล้อนด้วยเพราะเหตุนี้แล้วอย่างไรเล่า คุ้มค่ายิ่งนัก!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น