อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 704-710

 ตอนที่ 704 จดจำฝังใจ (1)

โดย

Ink Stone_Romance

“ให้ฉันเดินคนเดียวสักพัก…” ไป๋ซู่เย่ไม่ยอมขึ้นรถ แค่ใช้ดวงตาแดงก่ำร้องขอเขา “ให้ฉันอยู่คนเดียวสักพัก ได้ไหม? นายอย่ามาสนใจฉัน”


ไป๋หลางใจสะท้านเล็กน้อย


เธอไม่เคยคุยกับเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยดูไร้ที่พึ่งพิง หมดแรงและอ่อนแอขนาดนี้…


ราวกับว่าไป๋ซู่เย่ในอดีต…รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงคนนี้ คนที่ใส่เสื้อเกราะทั้งตัวหายไปในพริบตา ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้ แค่ผู้หญิงธรรมดาที่ต้องการความปกป้อง ต้องการความทะนุถนอม ต้องการความรักคนหนึ่ง


ไป๋หลางทำใจไม่ได้ แต่ก็พยักหน้ายอมปล่อยเธอ


ความรักช่างเป็นสิ่งที่สร้างความทรมานแต่ดันควบคุมมันไม่ได้ วางไม่ได้แต่ก็ลืมไม่ลง…


……………………


ไป๋ซู่เย่เดินอยู่ท่ามกลางลมหนาวเพียงลำพัง ผมยาวปลิวสะพัดไปตามลมและเสื้อกันหนาวเนื้อบาง พวงแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อเพราะดื่มแอลกอฮอล์มามาก ท่ามกลางแสงหลากสียามค่ำคืนยิ่งเกิดความรู้สึกเย้ายวนใจที่ยากจะอธิบายไปอีกแบบหนึ่ง ผู้หญิงแบบนี้เดินบนถนนดึกดื่นเพียงลำพัง โดยเฉพาะที่มีสีหน้าใจแตกสลายจนคนมองนึกสงสาร ทำให้ผู้ชายไม่น้อยที่เดินผ่านอดมองตามไม่ได้


ไป๋หลางขับรถคอยตามหลังเธออยู่อย่างระมัดระวัง พอมีคนเพ่งเล็งเขาจะโผล่หัวออกมาใช้สายตาตักเตือนจ้องอีกฝ่ายจนคนเหล่านั้นล่าถอยไป


เธอเหยียบรองเท้าส้นสูงเดินตากลมไปเหมือนดวงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่บนท้องถนนอย่างไร้ที่สิงสถิต คอยมองแสงไฟสว่างไสวเหล่านั้น แต่กลับไม่รู้ว่าตนมาจากไหนและควรไปที่ใด


เดินไปเดินไปจนถึงใต้ตึกใหญ่แห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ยืนอยู่ตรงนั้นแหงนหน้ากลับเห็นแค่ความมืดที่ไร้พรมแดน


ไป๋หลางจอดรถอยู่ห่างออกไป เขารู้ว่าตึกนี้เป็นบริษัทของเย่เซียว เพียงแต่บัดนี้…เขาไม่อยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว…


ไป๋ซู่เย่นึกถึงผู้ชายคนนั้นในสภาพสติพร่ามัว เธอล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าออกมา


เลื่อนแตะจอไปตามสัญชาตญาณ เพราะดื่มมามากทำให้นิ้วมือสั่นระริกน้อยๆ แต่หมายเลขนั่นก็ถูกเธอกดออกมาได้อย่างสมบูรณ์ นี่เป็นเบอร์ที่จดจำขึ้นใจมาตลอดสิบปีแต่กลับเป็นเบอร์ที่ไม่กล้าโทรสักครั้ง


……………………


อีกฟากหนึ่ง


เมืองโยว


ท้องฟ้ายามรัตติกาลมืดสนิท


ในห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ ชายหนุ่มยืนอยู่ริมหน้าต่างสูบบุหรี่ ทั้งที่ห้าทุ่มแล้วแต่เขากลับไม่รู้สึกง่วง


วันนี้เมื่อสิบปีก่อน…


เขากลับยังจำได้ดี


เขาให้การ์ดไร้วงเงินจำกัดแก่เธอหนึ่งใบทำเอาเธอโกรธจนงอนเขาไปสองวัน แต่ผู้หญิงโง่คนนี้กลับไม่รู้ว่าการ์ดใบนั่นเป็นการ์ดที่เขาให้ทางธนาคารเตรียมมาให้โดยเฉพาะ หมายเลขบนการ์ดเป็นเลขวันเกิดของเขาและเธอ 00198631219881118 ที่มีเพียงใบเดียวทั้งโลก หลังจากนั้นการ์ดใบนั้นถูกเธอเก็บไว้ในลิ้นชักห้องหนังสือ ต่อมารอเขาจะมอบให้ในปีถัดไป ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีต่อมาอีกเลย…


เย่เซียวเปิดกระเป๋าเงิน ในกระเป๋าเงินนอกจากรูปใบนั้นยังมีการ์ดใบนั้นอยู่เหมือนเดิม


สิบปีผ่านไปไม่ว่าจะรูปถ่ายเธอหรือการ์ดธนาคารใบนั้นก็เก่าคร่ำครึไปแล้ว


เขาดับบุหรี่ดึงรูปถ่ายและการ์ดธนาคารออกมาพร้อมกัน เงียบไปอึดใจก็ล้วงไฟแช็กออกมาจุดไฟ แสงสีฟ้าสะท้อนกลางอากาศและกำลังเผาไหม้ปล่อยไอร้อนออกมา ในเมื่อทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ทำไมไม่ปล่อยให้ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่านไปล่ะ? ไม่ว่าจะรูปภาพ การ์ด หรือว่า…ความทรงจำที่เคยจำฝังใจ…


หายใจหนักอึ้งราวกับได้ตัดสินใจเด็ดขาด


แต่ขณะที่ปลายเปลวไฟเข้าใกล้รูปภาพ เสียงร้อง ‘เย่เซียว รับสายเร็ว’ ก็แผดเสียงขึ้นกลางห้อง


เขาตัวสะท้านเฮือกและขอบตาแดงก่ำ หันหน้าไปมองต้นทางของเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อ หลงคิดว่าต้องเป็นเสียงหูแว่วของตัวเองแน่ๆ


แต่ว่า…


เสียงนั่นไม่หยุด ยังดังต่อไม่หยุด…


 ‘เย่เซียว รับสายเร็ว’ ‘เย่เซียว รับสายเร็ว’…


เสียงหวานใสนุ่มนวลเหมือนเสียงนกลาร์ค ดังกังวานในห้องเสียงแล้วเสียงเล่า เขารู้สึกหัวใจเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นฉีกทึ่งเจ็บจนหายใจไม่คล่องคอ


เขาโยนไฟแช็กในมือแทบจะทันทีและเปิดลิ้นชักหัวเตียง โทรศัพท์เก่าเมื่อสิบปีก่อนและหน้าจอที่ไฟขึ้นไม่หยุด


 ‘ซู่ซู่’ ชื่อนี้กำลังสะท้อนแยงตาเขาอยู่


โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นเบอร์เมื่อสิบปีก่อนและเป็นโทรศัพท์ของเมื่อสิบปีก่อน ไม่รู้ว่าเขามีความยึดมั่นอะไรต่อให้สิบปีที่ผ่านมาเปลี่ยนโทรศัพท์มานับไม่ถ้วนหรือเปลี่ยนเบอร์มานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงเก็บไว้ ถึงขั้นที่เขาจะคอยชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มเสมอ เปิดเครื่องตลอดเวลา


ส่วนเสียงเรียกเข้านี้ก็เป็นเสียงที่เธอแอบอัดเสียงแล้วตั้งให้เขาอย่างซุกซนเมื่อสิบปีก่อน


กระทั่งตอนนี้เย่เซียวยังจำได้ว่าตนกำลังประชุมกับคนกลุ่มหนึ่งอยู่แล้วเสียงนี้ดังขึ้นทำให้ทุกคนใช้สายตาประหลาดใจและกลั้นหัวเราะมองเขา เขาในเมื่อนั้นกลับรู้สึกสุขใจอย่างน่าแปลก ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติภารกิจไม่สามารถติดต่อเธอหรือตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายต่อชีวิต จะเอาออกมาเปิดฟังซ้ำซาก ยิ่งเวลาเหน็ดเหนื่อยก็จะรู้สึกมีพลังอย่างมาก


คิดถึงเธอจนไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไป ไม่กล้าให้ตัวเองบาดเจ็บเพราะกลัวเธอเป็นห่วง กลัวเธอจะหวาดกลัว เมื่อนั้นเขาถึงขั้นเคยจะจบชีวิตในมุมมืดแบบนี้เสีย


แต่…


ภายหลังถึงรู้ว่าความคิดนี้ของตนไร้เดียงสาขนาดไหน


ไม่กี่ปีแรกที่เธอจากไป เขาจะรู้สึกว่ามีเสียงเรียกเข้านี้ดังทุกครั้งที่เขาฝัน แต่พอลืมตาตั้งสติหยิบโทรศัพท์มาดูถึงพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพหลอนของตน…


แต่ตอนนี้…


กำลังดังขึ้นจริงๆ


โทรศัพท์ที่เงียบไปสิบปี ณ เวลานี้ยังสว่างอยู่ ภายในห้องมืดมนนี้ฉายชื่อ ‘ซู่ซู่’ ให้เห็นอย่างชัดเจน


สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เขาหยิบโทรศัพท์มากดรับแล้วแนบหู


ไม่พูด แค่คอยฟังเงียบๆ


หัวใจเต้นรัวเร็ว เร็วมากๆ…


คล้ายกำลังตื่นเต้น


กลัวเป็นอย่างที่เคยว่าจะดีใจเก้อ


กระทั่ง…


 “เย่เซียว…”


อีกฟากของสายมีเสียงอ่อนนุ่มแว่วมาราวกับกำลังออดอ้อนหรือกำลังหัวเราะ แต่ก็ปนด้วยเสียงสะอื้นอยู่น้อยๆ


เย่เซียวกระชับมือที่กำโทรศัพท์ไว้แน่น


เธอดื่มมา


อีกทั้งชัดเจนว่าดื่มจนเมาแล้ว


“ฉันรู้ว่าคุณเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว…คุณเปลี่ยนเบอร์ไปตั้งนานแล้ว…” ไป๋ซู่เย่พึมพำเสียงเบา


ที่ประเทศ S ในที่สุดเธอก็เหมือนจะเดินจนเหนื่อยพลางเตะรองเท้าส้นสูงทิ้ง ย่ำเท้าเปลือยเปล่าเดินบนพื้นเย็นอย่างไม่สนอะไรทั้งสิ้น โน้มตัวนั่งยองลงปล่อยให้ผมยาวสยายปรกลงมาบดบังใบหน้าเล็กกว่าครึ่งของเธอและเผยอีกครึ่งที่ยิ่งอยู่ยิ่งซีดเซียวไร้สีเลือด


เย่เซียวหายใจหอบ พยายามเอ่ยด้วยเสียงเรียบ “ในเมื่อรู้ว่าผมเปลี่ยนเบอร์ แล้วจะโทรมาอีกทำไม?”


 “นั่นสิ ทำไมถึงโทรล่ะ?” เธอพูดปนผิดหวังเบาๆ “ทั้งที่รู้ว่าคุณไม่มีทางรับ…”


ผู้หญิงคนนี้ดื่มไปมากขนาดไหนกันแน่? ถึงได้ดื่มจนไม่ได้สติขนาดนี้


……………………………


ตอนที่ 705 จดจำฝังใจ (2)

โดย

Ink Stone_Romance

“ใครบอกคุณว่าผมไม่มีทางรับสาย?” เขาถามต่อ


 “ไม่ต้องให้ใครบอกฉัน ฉันก็รู้ได้เอง…”


 “คุณรู้มาจากไหน?” เขามีความอดทนที่น่าเหลือเชื่อมาต่อบทสนทนาที่แสนจะไร้เหตุผลนี้ คุยไปก็เดินไปหยิบรูปภาพกับการ์ดธนาคารใบนั้นใส่ในกระเป๋าเงินอีกครั้ง


 “เบอร์ที่คุณโทรหาฉันเป็นเบอร์หมายเลขแปลกๆ ที่ผ่านการจัดการมาโดยเฉพาะ…” ไป๋ซู่เย่นั่งยองอยู่ทางนั้นคอยมองไปที่ตึกสูงที่ไร้แสงไฟใดๆ หางตาเปียกชื้น “ฉันรู้ คุณกังวลว่าสักวันฉันจะตามตื๊อคุณ…”


เย่เซียวหยุดชะงักไปชั่วครู่


สายตาฝ่าความมืดที่ไร้พรมแดนนิ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถามเสียงเรียบ “งั้น…ถ้าผมให้เบอร์ผมกับคุณ คุณจะตามตื๊อผมไหม?”


อีกฝั่งเงียบ


จากนั้น…


เป็นเสียงเศร้าปนถอนหายใจแผ่วเบา “ไม่…”


หัวใจที่เพิ่งถูกชุบขึ้นใหม่ก็ถูกซ้ำเติมให้จมสู่บ่อน้ำหนาวเย็น


เสียงเย่เซียวแข็งกระด้างขึ้น “ในเมื่อไม่ แล้วครั้งนี้โทรมาทำไม?”


 “เย่เซียว…คุณบอกสุขสันต์วันเกิดฉันเป็นครั้งสุดท้ายหน่อยสิ” จู่ๆ เธอก็พูดคำขอขึ้นมา


เย่เซียวกำโทรศัพท์แน่น คำว่า‘ครั้งสุดท้าย’ทำให้หัวใจเขาอึดอัด “ทำไมผมต้องบอกคุณว่า ‘สุขสันต์วันเกิด’?”


ในเมื่อไม่มีใจแล้วทำไมถึงมายั่วเขาในตอนที่เขาเตรียมจะลบทิ้งทุกอย่างไป?


 “เมื่อก่อนคุณเคยสัญญากับฉัน คุณสัญญากับฉันว่าจะให้ของขวัญวันเกิดฉันทุกปี จะอยู่ฉลองวันเกิดกับฉันทุกปี…” ไป๋ซู่เย่สูดจมูกเสียงปนสะอื้น “ของอดีต อนาคต ฉันไม่เอาแล้ว…วันนี้…วันนี้คุณพูดให้ฉันหน่อยเถอะ”


เย่เซียวเริ่มหายใจหนักอึ้ง “ไป๋ซู่เย่ ทำไมคุณถึงขอได้ใจกล้าขนาดนี้? เพราะผมเคยสัญญากับคุณ? แล้วสิบปีก่อนที่คุณเคยสัญญากับผมไว้คุณเคยทำได้ไหม? สิบปีก่อนคุณบอกว่าคุณจะรักผมไปตลอดชีวิต!คุณบอกว่าต่อให้วันไหนผมขาหักแขนขาดคุณก็จะไม่ทอดทิ้งผม!คุณยังบอกว่า…”


พูดถึงนี่เย่เซียวหยุดชะงักไปกึก


สุดท้ายกัดฟันพูด “คุณยังเคยบอกว่าคุณจะแต่งงานกับผม!”


ไป๋ซู่เย่ที่อยู่อีกฟากใช้มือปิดปากร้องไห้ปล่อยให้น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นกระทบพื้นเย็นเฉียบ แต่ต่อให้เมามายไม่ได้สติเธอก็ไม่กล้าให้เสียงร้องไห้ของเธอเล็ดลอดเข้าไปในสายโทรศัพท์


เย่เซียวซักถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ทุกอย่างนี้เป็นแค่คำลวงที่คุณแต่งมันมาเพื่อฆ่าผม ในเมื่อคุณใช้คำโกหกนี้จัดการผม แล้วมีสิทธิ์อะไรให้ผมทำตามคำสัญญาที่มีให้คุณในอดีต?!หืม?”


ไม่ใช่คำลวง…


ตัวเธอรู้ดีที่สุดว่าถ้อยคำบอกรักเหล่านั้นนอกจากจะไม่ใช่คำลวงแล้วยังเคยเป็นความคาดหวังของเธอ…ความคาดหวังที่สิ้นหวังที่สุด…ความคาดหวังที่รู้ดีว่าไม่มีความเป็นไปได้…


 “ฉันเมาไปแล้ว…” ไป๋ซู่เย่ยิ้มทั้งน้ำตา “ฉันเมาเลยโทรมา…ขอโทษ…”


ในใจของเย่เซียวเกิดเปลวไฟนิรนามกำลังมอดไหม้


สิ่งที่เขาอยากได้ยินไม่ใช่พวกนี้!เขาอยากฟังเธอบอกเขาว่าคำสัญญาในอดีตไม่ใช่แค่วิธีที่เธอใช้หลอกเขา ความจริงยังแฝงด้วยความต้องการส่วนหนึ่งของเธอ!ไม่ เขาไม่ได้ต้องการมากขนาดนั้น ขอแค่นิดเดียว แค่ความต้องการนิดเดียวก็พอแล้ว!


 “ไป๋ซู่เย่ คุณต้องการอะไรกันแน่?!” เย่เซียวเรียกชื่อเธออย่างขุ่นเคือง


“ฉัน?” ไป๋ซู่เย่ค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นและเพราะนั่งนานเกินไปเลยทำให้สองขาชาไปทั้งหมดจนร่างโงนเงนเล็กน้อย สักพักถึงได้ยินเสียงกล่าวที่ชัดเจนและมีสติ “เย่เซียว ฉันหวังว่าต่อไปนี้คุณ…จะมีชีวิตคู่…ที่ดีกับน่าหลัน…”


ถ้อยคำที่สวนทางกับหัวใจพอออกจากปากก็เจ็บไปทุกอณูของร่างกาย…


เย่เซียวที่อยู่อีกฝั่งหอบหายใจ “คุณพูดอีกครั้งสิ!”


 “คุณยินดีกับฉันว่า ‘ขอให้มีความสุขกับชีวิตแต่งงานใหม่’ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้…ฉันขอคืนคำนี้ให้คุณ…”


น้ำตาอาบไปทั้งแก้มนานโข พอพูดจบเธอรู้สึกเพียงร่างกายหมดแรง ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ตกพื้นอย่างแรงเกิดเสียง ‘พลั่ก’ ก่อนที่ภาพตรงหน้าดับมืดลง สองขาที่อ่อนระทวยทำให้เธอหมดแรงประคองร่างกายได้อีก เจ้าตัวล้มลงพื้นเหมือนตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต


หากเป็นไปได้ เธอไม่อยากยินดีกับชีวิตแต่งงานใหม่เขาเลย…


หากเมากว่านี้อีกนิดบางทีเธออาจจะอดพูดไม่ได้ว่า ‘เย่เซียว อย่าแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น คุณเคยบอกว่าจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากฉัน…’


ช่างเสียดายที่เธอยังคงมีสติไปตราบช่วงนาทีสุดท้าย


 “รัฐมนตรี!” ไป๋หลางร้องอย่างตกใจ กระโดดลงจากรถพุ่งตัวเข้าไปหา


อีกทางหนึ่ง


เย่เซียวไม่สามารถได้ยินอะไรอีกมีแค่เสียง ‘ตู๊ดๆ’ แสนเย็นชาของระบบดังก้องหูวนไปมา


ครู่ใหญ่ที่ในหัวเขามีแค่ประโยค ‘มีความสุขกับชีวิตแต่งงาน’…


มีความสุขกับชีวิตแต่งงานบ้าอะไรของเธอ!!


สบถในใจทีโทรศัพท์ก็ถูกเขาเขวี้ยงออกไปอย่างหงุดหงิด


 ‘ปัง!’ เสียงดังเพราะโทรศัพท์กระแทกพื้นแรงๆ จนเครื่องแตกเป็นเสี่ยงๆ ชิ้นส่วนกระจายออกไป


จากนั้นคล้ายว่าเขาจะคิดอะไรออกร่างสะท้านรีบก้าวไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่ เขาลองเปิดเครื่องแต่ไม่ว่าจะกดอย่างไรจนปุ่มกดแทบจะถูกเขากดเสียคามือรอมร่อ หน้าจอกลับไม่มีแสงขึ้นมาสักนิด


 “มีใครอยู่บ้าง!” เขาไม่เคยร้อนใจขนาดนี้มาก่อนและแทบจะเป็นเสียงคำราม


 “นายน้อย!” ไม่นานประตูถูกคนผลักเข้ามาและมีคนพุ่งตัวเข้ามาอย่างเร่งรีบ “นายน้อย เกิดเรื่องขึ้นหรือเปล่า?”


 “หาช่างซ่อมโทรศัพท์ที่ดีที่สุดมา!”


 “ตอนนี้?” อีกฝ่ายฉงนน้อยๆ


 “เดี๋ยวนี้!”


 “…” ใกล้เที่ยงคืนเต็มทีให้ไปหาช่างซ่อมโทรศัพท์มามันน่าแปลกจริงๆ แต่คิดแล้วในโทรศัพท์เครื่องนั้นน่าจะมีเอกสารหรือข่าวสำคัญอะไรกระมัง! อีกฝ่ายเห็นใบหน้าเย่เซียวเรียบนิ่งปานน้ำแข็งก็ไม่กล้าชักช้า รีบออกไปตามช่างมา


…………………………


ไป๋ซู่เย่ถูกไป๋หลางพาส่งโรงพยาบาลในคืนนั้นโดยมีฟู่อี้เฉินช่วยดูอาการให้เธอ


 “เป็นยังไงบ้างคุณหมอฟู่ รัฐมนตรีเราอาการเป็นยังไงบ้าง? เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายไหม?” ไป๋หลางกระวนกระวายอย่างมาก


 “ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า?” ฟู่อี้เฉินสีหน้าหนักอึ้ง


 “ทำไมถามแบบนี้ครับ?”


 “นอนไม่หลับ หักโหม ซึมเศร้าถึงได้จู่ๆ ก็เป็นลมไป ถ้าผมไม่ได้ดูผิดเธอน่าจะกินยานอนหลับมาระยะหนึ่งแล้ว แบบนี้ไม่มีผลดีต่อเธอสักนิด ถ้าร่างกายเกิดความเคยชินกับยา จากนี้นอกจากจะเลิกไม่ได้แถมยังมีผลข้างเคียงอีก คุณเป็นคนที่เธอเชื่อใจที่สุด รอเธอตื่นมาลองเกลี้ยกล่อมเธอดีๆ”


ไป๋หลางถอนหายใจ สุดท้ายพยักหน้าแต่ให้กล่อมเธอจะมีประโยชน์อะไร? มีโรคบางอย่างเกี่ยวกับรัก คิดว่าคงมีคนเดียวที่จะมียารักษาโรค


 “คุณหมอฟู่ เมื่อก่อนรัฐมนตรีเคยเป็นโรคซึมเศร้า จากสถานการณ์ตอนนี้ หรือว่า…” ไป๋หลางถามอย่างเป็นห่วงย


ฟู่อี้เฉินหยักหน้ารับอย่างหนักหน่วง “จากสถานการณ์ตอนนี้ของเธอแล้วใช่ว่าจะไม่มีโอกาสกำเริบใหม่ ดังนั้นผมแนะนำให้เธอไปพบจิตแพทย์อีกที ให้ปรับสภาพจิตใจดีๆ ก่อน”


ไป๋หลางยิ่งหนักใจเข้าไปอีก


ความรักช่างเป็นสิ่งที่ฆ่าคนให้ตายได้จริงๆ!


………………………………


ตอนที่ 706 จดจำฝังใจ (3)

โดย

Ink Stone_Romance

อีกฟากหนึ่ง


ช่างซ่อมโทรศัพท์ถูกชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาจ้องจนเหงื่อแตกพลั่ก มือที่กำโทรศัพท์อยู่สั่นรุนแรง


 “นี่…นี่เป็นโทรศัพท์รุ่นเก่า เดิมทีก็เสียง่ายอยู่แล้วแถมตอนนี้ก็แตกขนาดนี้ อยากจะซ่อมให้เหมือนเดิม คิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้…”


ช่างซ่อมโทรศัพท์พูดตัวสั่นไปจนจบ จากนั้นก็รู้สึกเย็นวาบที่หน้าผาก


ปืนกระบอกหนึ่งจ่อตรงขมับเขา


 “นายน้อย ไว้ชีวิตผมด้วย!” ช่างซ่อมขาอ่อนคุกเข่าร้องขอชีวิต “ไว้ชีวิตผมด้วย!”


 “ฉันไม่อยากบีบบังคับคุณ” เย่เซียวขยับปากพูดทุกคำราวกับเคลือบน้ำแข็ง “ฉันแค่ต้องการคลิปเสียงท่อนเดียวในนั้น คุณหาทางเอามันออกมาให้ได้”


“เอาแค่คลิปเสียงท่อนเดียว?”


 “ใช่”


อีกฝ่ายพรูลมหายใจยาว “งั้นผมจะลองพยายามดู”


 “ไม่ใช่พยายาม แต่ต้องทำให้ได้” เย่เซียวเก็บปืนกลับที่เดิม


ช่างซ่อมหยิบชิ้นส่วนโทรศัพท์เหล่านั้นแล้วมองเขาอย่างนึกทำตัวไม่ถูก “เอ่อ…นายน้อย ให้ผมซ่อมตรงนี้เลยเหรอ?”


นี่ห้องของนายน้อยเชียว!


 “อืม นั่งลง” เย่เซียวพยักพเยิดปลายคางไปทางโซฟา


 “ท่านไม่พักผ่อนเหรอ?”


เย่เซียวเชยตามองเขาแวบหนึ่งทำให้คนคนนั้นรีบหดคอเพราะรู้ว่าตนสอดรู้เกินไป รีบหุบปากไม่กล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว


ช่างซ่อมโทรศัพท์เปิดโน้ตบุ๊คแล้วซ่อมโทรศัพท์ในห้องอย่างจริงจัง เย่เซียวที่ไม่รู้สึกง่วงเทเหล้าหนึ่งแก้วยืนตรงระเบียงข้างนอก ลืมตามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างช้าๆ


ผู้หญิงคนนั้น…


ยังโทรมาที่เบอร์นี้เพราะติดใจเรื่องเมื่อสิบปีก่อนโดยที่เธอยังจดจำแม่นยำ หรือเพราะเบอร์นี้บันทึกไว้ในโทรศัพท์เธอมาตลอดไม่เคยลบทิ้ง?


เขารู้ว่าเธอคงเมาไม่น้อย


คงมีแค่ตอนเมาเธอถึงโทรหาเขาได้


เย่เซียวนึกถึงคำยินดีสุดท้ายที่เธอมอบให้นั้นก็แหงนหน้ายกแก้วดื่มรวดเดียวก่อนจะเทให้ตนอีกแก้ว


…………………………


ท้องฟ้าสว่างแล้ว


เช้าตรู่


แปดโมงกว่า


น่าหลันเดินเข้าห้องทานอาหารแต่กลับไม่เจอตัวเย่เซียว


 “เย่เซียวยังไม่ตื่นเหรอ?” น่าหลันถามอาชิงที่พากลับเมืองเยียวมาจากประเทศ S เทียบกับตอนอยู่ประเทศ S ช่วงนี้สีหน้าน่าหลันดูดีขึ้นมาก ใบหน้าเปื้อนความสุขทุกวัน


 “ค่ะ” อาชิงเตรียมอาหารเช้าให้เธอไปแล้วตอบไป “ได้ยินว่านายท่านไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อคืนกลางดึกเรียกช่างซ่อมโทรศัพท์คนหนึ่งมา ตอนนี้ยังซ่อมโทรศัพท์อยู่แหนะ!นายท่านก็อยู่เป็นเพื่อนไปทั้งคืน”


 “โทรศัพท์นั่นสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?” น่าหลันถามด้วยความสงสัย


 “อันนี้ก็ไม่รู้แล้วค่ะ” อาชิงกล่าว “คุณก็รู้ว่าเรื่องของนายท่านไม่ว่าใครก็ไม่กล้าถาม”


น่าหลันเงียบไปอึดใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


อาชิงยิ้มกล่าว “คุณน่าหลัน คุณรีบทานอาหารเช้าเถอะ ทานอาหารเช้าเสร็จต้องไปสวัสดีคุณไฟที่เรือนหลักอีก!”


 “อืม ถ้าไปช้าเกรงว่าคุณไฟจะไม่พอใจเอา”


“คุณยังเรียกคุณไฟอีกหรือคะ อีกไม่กี่วันก็ต้องเรียกท่านว่า‘คุณพ่อ’เหมือนนายท่านแล้ว!”


ใบหน้าน่าหลันฉายแววเขินอายน้อยๆ “จะเปลี่ยนคำเรียกเร็วขนาดนั้นได้ยังไง? อีกไม่กี่วันก็แค่งานหมั้นเฉยๆ แต่ว่า…จนตอนนี้เย่เซียวยังไม่ยอมตกลง…”


พูดถึงประโยคสุดท้ายสีหน้าน่าหลันหม่นหมองลงมากทีเดียว ไฟเรนเซ่ได้เตรียมเชิญแขกร่วมงานและคนจากประเทศต่างๆ ก็ล้วนทราบข่าวแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เย่เซียวกลับไม่เคยพยักหน้าตอบตกลงสักครั้ง


แต่ไฟเรนเซ่ทำอะไรย่อมมีความมั่นใจเสมอ ในเมื่อเขากล้าเชื้อเชิญแขกตรงๆ แบบนี้ คิดว่าเย่เซียวก็ปฏิเสธไม่ได้


ไม่มีใครกล้าตอกหน้าคุณไฟเรนเซ่


โดยเฉพาะงานใหญ่ขนาดนี้


หากเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ในงานหมั้น ต้องไม่ผ่านด่านคุณไฟเป็นแน่


………………


 “นายน้อย ได้แล้วครับ!” ช่างซ่อมโทรศัพท์โต้รุ่งจนตาแดงก่ำ พอกู้ไฟล์คลิปเสียงคืนมาได้ถึงถอนหายใจโล่งอกยาว


เสียงตื่นเต้นราวกับกู้ชีวิตไว้ได้


ก็กู้ชีวิตกลับมาได้จริงๆ ไม่ใช่หรือ?


 “เอามาให้ฉัน!” เย่เซียววางแก้วเหล้าสับเท้าเข้าไปหา


อีกฝ่ายรีบหันจอโน้ตบุ๊คให้อย่างนอบน้อม “แค่คัดลอกคลิปเสียงนี้ลงก็พอ”


เย่เซียวนั่งลงบนโซฟาใช้เม้าส์กดที่คลิปเสียงจากนั้นเสียงคุ้นเคยดังมาอีกครั้ง เขาหลับตาที่แดงก่ำลงก่อนจะทิ้งร่างที่เหนื่อยอ่อนลงโซฟา


ช่างซ่อมที่อยู่ข้างๆ มึนไปแล้ว


นี่มันเรื่องอะไรกัน?


เดิมทีคิดว่าน่าจะเป็นคลิปเสียงสำคัญแต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง อีกทั้งเป็นคลิปเสียงแค่ประโยคเดียวสั้นๆ แปลกเกินไปแล้ว!


แต่คำพูดเหล่านี้อีกฝ่ายได้แต่เก็บไว้ในใจไม่กล้าพูดออกปากเด็ดขาด


เขาไม่กล้ารบกวนเย่เซียวที่กำลังหลับตาฟังคลิปเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า รีบเก็บของเดินออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ


น่าหลันทานอาหารเช้าเสร็จเดินออกจากห้องอาหารพลางเดินสวนไหล่ช่างซ่อมโทรศัพท์พอดี


 “เอ๊ะ คุณรอเดี๋ยวก่อน!” น่าหลันเรียกอีกฝ่ายไว้


 “นี่คือคุณน่าหลัน” คนรับใช้ที่กำลังเดินไปส่งช่างซ่อมแนะนำ


ช่างซ่อมรีบโค้งคำนับเป็นการทักทายอย่างนอบน้อม


น่าหลันพยักหน้ารับเล็กน้อย ถาม “คุณคือคนที่ซ่อมโทรศัพท์ให้เย่เซียว?”


 “ครับ”


 “ในโทรศัพท์มีเอกสารอะไรที่สำคัญมากงั้นเหรอ? ตอนนี้จัดการเสร็จหรือยัง?”


 “เสร็จแล้วครับ แต่ว่า…เหมือนไม่ใช่เอกสารสำคัญ อาจจะเป็นของที่มีความหมายกับนายน้อยมากๆ มั้งครัง”


 “มีความหมายมาก?” น่าหลันอดถามอีกคำถามเพราะความสงสัยไม่ได้ “เป็นอะไรกันแน่?”


 “ก็คือคลิปเสียงสั้นๆ แค่นั้น”


 “พูดให้ละเอียดหน่อย”


 “เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือน…กำลังบอกให้นายน้อยรับโทรศัพท์ อาจจะเป็นเสียงเรียกเข้าของนายน้อยเมื่อก่อน”


น่าหลันหายใจหนักอึ้ง


แทบไม่ต้องพิสูจน์ก็รู้ว่าเสียงนั่น…


ต้องเป็นเสียงไป๋ซู่เย่แน่ๆ!


ผู้หญิงคนนั้นสำคัญต่อเขาขนาดนั้นเชียวหรือ? แค่คลิปเสียงสั้นๆ กลับมีค่าขนาดให้เขาใส่ใจต้องอยู่โต้รุ่งกับช่างซ่อมทั้งคืน?!


 “คุณน่าหลัน ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอกลับก่อนนะครับ” ช่างซ่อมบอกลาเธอ


น่าหลันดึงสติกลับมาพลางรู้สึกเย็นวาบที่หัวใจ เธอไม่ได้สนใจอีกฝ่ายแค่พยายามกลั้นน้ำตาไว้แล้วเดินไปที่ห้องเย่เซียว


 “เย่เซียว”


เสียงอ่อนโยนของน่าหลันดังขึ้นนอกประตู


เย่เซียวหลุดจากภวังค์ค่อยๆ หลับตาลง เสียงโอนอ่อนในคลิปเสียงยังดังสะท้อนข้างหูแต่ก็ฟังดูห่างไกลเหลือเกิน…


เขาพับจอโน้ตบุ๊ค พูดเสียงเบา “เข้ามา”


น่าหลันผลักประตูเข้ามา


รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้า “คุณไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอ?”


เย่เซียวมองใบหน้านั่นของเธอนิ่งด้วยแววตาล้ำลึก สายตาที่มองจนน่าหลันยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวกับถูกมีดกรีด


เห็นได้ชัดว่า…เขาไม่ได้มองตัวเธอแต่กำลังมองผู้หญิงอีกคนผ่านตัวเธอ!ใช้แววตาที่ลึกซึ้ง หนักหน่วงและเจ็บปวดสุดหัวใจ!


……………………………


ตอนที่ 707 จดจำฝังใจ (4)

โดย

Ink Stone_Romance

“เย่เซียว ทำไมเหรอ?”


ต่อให้เจ็บปวดหัวใจขนาดไหนน่าหลันก็ทำได้แค่แสร้งไม่รู้เรื่อง ยกมือลูบหน้าตัวเอง “หน้าฉันมีอะไรติดงั้นเหรอ?”


 “…เปล่า” เย่เซียวได้สติถอนสายตากลับไป สีหน้าเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาดังเช่นเคยในพริบตา เขาวางโน้ตบุ๊คไว้ข้างๆ ถาม “หาผมมีเรื่องอะไร?”


“ฉันอยากไปทักทายคุณไฟ เลยมาถามคุณว่าจะไปด้วยกันหรือเปล่า”


 “คุณรอผมที่ข้างนอก ผมขอเปลี่ยนชุดก่อน”


เย่เซียวลุกขึ้นเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า


น่าหลันแทบจะมองแผ่นหลังท่วงท่าเขาจวบจนแผ่นหลังเขาหายเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความหลงใหล เธอหันหลังเดินออกไปด้วยความเศร้าหมอง


……………………


จากตึกเล็กที่พวกเขาอาศัยไปยังเรือนหลักที่ไฟเรนเซ่อาศัยนั้นมีระยะทางอีกช่วงหนึ่ง


ทั้งคู่เดินขนาบข้างอยู่บนทางเดินหินกรวด


 “เย่เซียว ของในโทรศัพท์สำคัญมากเลยเหรอ? คุณไม่ได้นอนทั้งคืน ตาแดงไปหมดแล้ว” น่าหลันเก็บความอิจฉาที่มีต่อไป๋ซู่เย่ไว้แกล้งถามเย่เซียวเหมือนไม่จงใจ


เย่เซียวไม่ได้ตอบแค่จู่ๆ ก็ถาม “เรื่องงานหมั้นของเรา คุณคิดยังไง?”


หัวใจน่าหลันเต้นระส่ำเมื่ออยู่ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้ หันหน้ามามองเขาอย่างรักใคร่ สายตาของเขาก็หันมามองเธอพอดีทำให้สายตาทั้งคู่ประสานกัน สายตาของเขาเรียบนิ่งแฝงด้วยความเยือกเย็น เธอกลับหน้าแดงและกำมือที่วางไว้ข้างลำตัวด้วยความตื่นเต้น “ฉัน…ฉันทำตามที่คุณไฟบอกทุกอย่าง”


เย่เซียวละสายตากลับไป “คุณไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเหรอ?”


 “ฉันไม่มีพ่อแม่ เป็นเด็กกำพร้า คุณเป็นคนช่วยฉัน ดังนั้น…ต่อให้ไม่ใช่คำสั่งของคุณไฟ ฉันก็อยาก…แต่งงานกับคุณ…” ประโยคสุดท้ายอาจเป็นเพราะความเขินอาย เธอถึงได้พูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน


นี่เป็นคำสารภาพรักจากหญิงสาวคนหนึ่ง


แต่เย่เซียวได้ยินเองกับหูกลับมีใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์อื่นปะปน


เขาแค่ค่อยๆ อ้าปากกล่าว “คุณรู้ว่าตอนนั้นก็เป็นเพราะใบหน้าคุณนี้ผมถึงได้ช่วยคุณไว้ แล้วให้คุณอยู่ต่อ ถ้าไม่มีใบหน้านี้ คุณจะอยู่หรือตายจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผมเลยสักนิด–จุดนี้คุณน่าเข้าใจดี”


นี่เป็นความจริง


แต่ว่า…


กลับเป็นความจริงที่ทำร้ายจิตใจได้มากกว่าอาวุธใดๆ


ผู้ชายคนนี้ใจร้ายแบบนี้มาโดยตลอด


เธออยากรู้จริงๆ ว่าความใจร้ายที่เขาไม่คิดจะนึกถึงความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ ต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเหมือนกันหรือเปล่า…


 “เย่เซียว ฉันรักคุณมากจริงๆ…” จู่ๆ น่าหลันก็หันมากอดเอวชายหนุ่มไว้โดยไม่คิดจะสนใจความรู้สึกแย่ๆ ใบหน้าเล็กซบอกเขาแนบแน่น “ฉันชื่นชมคุณ เคารพคุณ เฝ้ามองคุณ ในสายตาฉัน คุณเหมือนท้องฟ้า…ฉันรู้ว่าฉันอาจจะสู้คนในใจคุณไม่ได้ บางทีต่อให้ฉันเขย่งสุดปลายเท้าก็เอื้อมคุณไม่ถึง แต่…อย่างน้อย หัวใจดวงนี้ที่ฉันรักคุณ มากกว่าที่เธอรักคุณ…ในเมื่อระหว่างพวกคุณเป็นไปไม่ได้ เย่เซียว ทำไมคุณไม่ลองดูกับฉันล่ะ?”


ดวงตาเธอรื้นด้วยน้ำใสบางๆ ยามเอื้อนเอ่ยคำพูดซาบซึ้งใจ ทำให้ดูจริงใจอย่างมาก


แต่ความจริงใจนี้กลับทลายหัวใจที่แข็งดั่งผ่าหินของชายหนุ่มไม่ได้ โดยเฉพาะถ้อยคำเหล่านั้นของเธอ…


ทิ่มแทงหัวใจเขาทุกคำ


เขาก้มมองหญิงสาวในอกด้วยแววตาล้ำลึก อดคิดไม่ได้ว่าหากเวลานี้คนที่ซบพิงอกเขา คนที่บอกเขาเช่นนี้ เป็นผู้หญิงคนนั้น…


เหอะ คงไม่มีทางเป็นไปได้ตลอดชีวิต!


จุดที่แตกต่างระหว่างน่าหลันกับเธออยู่ที่นิสัยใจคอ เธอจะอดทนหักห้ามใจ มีสติไม่รู้จักยอมแพ้ ยิ่งไม่รู้จักอ้อนวอนด้วยความสมยอมใจ


มีสติจนน่าแค้นใจ!แต่ดันเป็นผู้หญิงที่น่าแค้นใจคนนั้นที่ทำเอาเขาหัวหมุนตลอดเวลา!


มนุษย์ บางครั้งตอนโง่เขลา แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกเหลือเชื่อ!


 “ฉันก็ว่าเวลานี้แล้วยังไม่เห็นพวกเธอสองคนมาทักทายฉัน” ขณะนั้นเองเสียงคุ้นเคยดังขึ้นฉับพลัน ไฟเรนเซ่ที่มีเฉิงหมิงเข็นเก้าอี้มาจากสวนดอกไม้ช้าๆ


เขาหัวเราะมองสองคนที่กำลังกอดกัน


น่าหลันถูกจ้องจนใบหน้าเล็กแดงปลั่ง รีบผละห่างเย่เซียวถอยไปอยู่ด้านหลังเขา


 “คุณพ่อ”


 “คุณไฟ”


ทั้งสองคนทักทายตามๆ กัน


ไฟเรนเซ่รับคำสั้นๆ แล้วพูดหยอกกับเฉิงหมิงที่อยู่ด้านหลัง “วัยรุ่นสมัยนี้นะสวีทกันตั้งแต่เช้า คนแก่อย่างเราสองคนไม่รู้เวล่ำเวลาจริงๆ มารบกวนพวกเขาซะได้”


 “คุณเป็นคุณพ่อของนายน้อย นายน้อยต้องไม่ถือสาอยู่แล้ว” ลุงหมิงยิ้มตอบ


“ถือสาไหม?” ไฟเรนเซ่ยกมือชี้ไปยังเย่เซียวที่สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ “แกดูสีหน้าเขาสิ เขียนว่า ‘พวกแกน่ารำคาญจริงๆ’ เด่นหราเลย”


 “คุณไฟ คุณอย่าล้อเลียนเราเลย” น่าหลันกลับรู้สึกลำบากใจขึ้นมา มือเผลอโอบแขนเย่เซียวโดยไม่รู้ตัว “หนูกับเย่เซียวกำลังจะไปหาคุณไฟพอดีแหนะ!”


 “อืม คำทักทายของวันนี้รับไว้ตรงนี้แล้วกัน ยายหนู เธอน่ะให้ลุงหมิงพาเธอกลับตึกเล็กไป ฉันขอยืมตัวคู่หมั้นของเธอแป๊บหนึ่ง คงไม่ว่ากันหรอกนะ?”


คำว่า ‘คู่หมั้น’ เรียกให้ใบหน้าน่าหลันแดงระเรื่อพลางหยักหน้ารับด้วยความขวยเขิน “ไม่หรอกค่ะคุณไฟ งั้นหนูกับลุงหมิงกลับไปก่อนนะคะ”


 “ไปเถอะ”


ไฟเรนเซ่โบกมือ สักพักก็เหลือเพียงเขากับเย่เซียวสองคน


“เข็นรถให้ฉันเดินเล่นในสวนดอกไม้ก่อนเถอะ ฉันเห็นว่าช่วงนี้แกอารมณ์ไม่ค่อยดี ถือว่าเดินเล่นแล้วกัน”


เย่เซียวเข็นไฟเรนเซ่ไปพูดเสียงเรียบ “ผมไม่ได้อารมณ์ไม่ดี”


 “ได้ ถือว่าแกไม่ได้อารมณ์ไม่ดี ใกล้จะหมั้นแล้ว ฉันก็ไม่อนุญาตให้แกอารมณ์ไม่ดี”


 “คุณพ่อ เรื่องงานหมั้น ท่านยังไม่เคยถามความคิดเห็นของผมเลย” เย่เซียวน้ำเสียงแข็งกร้าว


 “บัตรเชิญฉันใกล้จะส่งไปหมดแล้ว คืนนี้ฉันจะให้ลุงหมิงเอารายชื่อไปให้ที่ห้องหนังสือของแก แกดูให้ละเอียดอีกทีเผื่อหลุดใครไป ถ้ามีหลุดตรงไหนรีบเพิ่มเติม” ไฟเรนเซ่คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเขาแล้วพูดของตัวเองไปเพียงลำพัง “ฉันรู้ว่าแกกลัวยุ่งยาก เรื่องงานหมั้นแกไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งนั้น แค่วันนั้นตัวมาก็พอ อ้อ แกอยากเจอแม่แท้ๆ ของแกไม่ใช่เหรอ? ในงานหมั้น แกได้เจอเธอแน่นอน ถือว่าเป็นของขวัญงานหมั้นที่พ่อให้แกแล้วกัน!”


เย่เซียวหายใจหนักหน่วง มือที่เข็นเก้าอี้อยู่เกร็งแน่นกว่าเดิม


ความหมายในประโยค เขาเข้าใจดี


ไฟเรนเซ่เล่นลูกบอลหยกสองลูกในมือราวกับไม่รู้สึกถึงอารมณ์ของใครบางคนด้านหลัง พลางพูดต่อไปเองอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย “เย่เซียว ปกติแกรู้นิสัยฉันดีที่สุด ถ้าใครกล้าแข็งข้อกับฉัน ฉันไม่ปล่อยมันไปแน่ สิบปีก่อนบัญชีเก่าของแฟนสาวแก แกไม่ได้สะสางนั่นเพราะแกใจกว้าง ส่วนบัญชีที่ทำฉันเจ็บหนักในสิบปีหลัง ถ้าจะให้สะสางจริงๆ ฉันคงต้องไปเจอเธอด้วยตัวเองสักครั้ง แกว่าไหมล่ะ?”


………………………………


ตอนที่ 708 จดจำฝังใจ (5)

โดย

Ink Stone_Romance

ที่จับเก้าอี้เข็นในมือเย่เซียวราวกับจะถูกเขาบีบให้แหลกสลาย เส้นเลือดหลังมือปูดโปนเผยให้รู้ถึงอารมณ์ที่กดทับของเขาในตอนนี้


นี่ก็คือไฟเรนเซ่


จับจุดอ่อนสำคัญของคนได้ดีเสมอ


แค่ยกมือก็บีบคอคนอื่นให้หมดหนทางเลือก!


 “งั้นผมจะตั้งตาคอยของขวัญที่พ่อจะให้ผมในวันหมั้นแล้วกัน” สุดท้ายเย่เซียวพูดแค่ประโยคออกมา


ไฟเรนเซ่แหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ “คฤหาสน์เราจะมีงานมงคลแล้ว!”


…………………………


รอไป๋ซู่เย่ฟื้นมาช้าๆ ทุกคนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งคุณท่าน คุณหญิงไป๋หรือแม้แต่บุคคลที่งานยุ่งเสมอต้นเสมอปลายอย่างท่านประธานาธิบดี


พอเห็นเธอฟื้นมาคุณหญิงไป๋กลั้นน้ำตา คุณท่านตำหนิด้วยใบหน้าบึ้งตึง “เป็นผู้หญิงแต่ดื่มเหล้าจนเมาแอ๋ เหมาะสมไหม? แล้วยังดื่มจนหมดสติไป ถ้าไม่มีไป๋หลางคอยดูแกอยู่ แกคิดว่าแกจะตกอยู่ในอันตรายขนาดไหน!”


 “พอแล้วคุณ ลูกสาวเพิ่งตื่น คุณน้อยๆ หน่อยได้ไหม?”


 “ทำไมถึงมากันหมดล่ะ?” ไป๋ซู่เย่กุมหน้าผากที่เจ็บหน่อยๆ ลุกนั่งบนเตียงคนไข้ ไป๋เย่ฉิงเอาหมอนพิงสอดหลังให้เธอ “ยี่เฉินบอกว่าเมื่อวานเธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เราเลยมาดูสักหน่อย”


 “ไม่เป็นไร เมื่อวานวันเกิดดื่มเยอะไปหน่อย”


 “ไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะดื่มจนหมดสติได้ยังไง? คุณหมอฟู่บอกแล้วว่าช่วงนี้ลูกต้องพึ่งยานอนหลับถึงจะนอนได้ จริงไหม? ซู่ซู่ ลูกเป็นอะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกับลูกหรือเปล่า?” คุณหญิงไป๋ยิ่งถามยิ่งเป็นห่วง เรื่องเมื่อสิบปีก่อนยังคงติดตามาถึงทุกวันนี้ เธอไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองต้องเสี่ยงตายอีกรอบแล้ว


 “แม่คะ แม่อย่าตื่นตูมไปเอง หนูไม่เป็นไร แค่กินยานอนหลับเพราะช่วงนี้กดดันเรื่องงานเกินไป พอผ่านช่วงนี้ไปก็ไม่มีอะไรแล้ว”


คุณหญิงไป๋ยังไม่ไว้ใจเท่าไรเลยถามย้ำอีกหลายครั้งแต่ไป๋ซู่เย่ไม่ยอมพูดอะไร แค่ให้ไป๋หลางส่งบุพการีกลับไปเสีย


ไป๋เย่ฉิงนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างเตียง สายตาเรียบขรึมจ้องมองเธอไม่ปริปากเอ่ยพักใหญ่


ไป๋ซู่เย่ถูกสายตาเขาจ้องมองจนรู้สึกผิดในใจ มุ่นคิ้ว “แกคิดจะจ้องฉันไปถึงเมื่อไหร่?”


ไป๋เย่ฉิงทำหน้าจริงจังกว่าเดิม อยู่ๆ ก็กล่าว “…ไปหาจิตแพทย์เถอะ”


เธอชะงักงัน


จากนั้นยิ้มขมขื่นที “กลัวฉันเป็นโรคซึมเศร้าอีกเหรอ?”


 “…” ไป๋เย่ฉิงไม่ได้ตอบกลับทันควัน แค่ใช้สายตาฉายแววปวดใจมองเธออยู่ครู่ใหญ่ถึงพูดเสียงเรียบ “ความเจ็บปวดที่รักไม่สมหวัง ฉันเคยผ่านมันมาเหมือนเธอ แต่ฉันกับซิงเฉินอย่างน้อยก็ได้จับมือกันเผชิญหน้ามันด้วยกัน แต่เธอกับเขา…ฉันรู้ หัวใจของเธอต้องเจ็บปวดและทรมานมากกว่าฉันกับซิงเฉินร้อยเท่าพันเท่า…”


คำพูดของเขาได้ทิ่มแทงใจของเธอทำให้ขอบตาเธอเริ่มแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัว“เย่ฉิง แกว่ามีจิตแพทย์ที่สะกดจิตได้จริงๆ ช่วยปิดผนึกความทรงจำของคนบ้างไหม?”


 “ก็ต้องดูความตั้งใจของแต่ละคน เธอ…” ไป๋เย่ฉิงส่ายศีรษะ “จากความตั้งใจของเธอ อยากปิดผนึกความทรงจำของเธอนั้นแทบเป็นไปไม่ได้”


 “นั่นสิ…” ไป๋ซู่เย่มองต้นไม้ใหญ่โล้นนอกหน้าต่าง “ถ้าผนึกความทรงจำได้จริงๆ สิบปีก่อนก็น่าจะผนึกได้แล้ว จะรอมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไง?”


ยิ่งไปกว่านั้น…


เธอจะยอมให้ปิดผนึกความทรงจำเหล่านั้นได้ที่ไหนกัน?


หากไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเหล่านี้จริงๆ ก็เท่ากับเธอสูญเสียโลกไปทั้งใบ…


 “ฉันจะนัดจิตแพทย์ให้เธอไว้ ไม่ว่ายังไงก็ลองไปปรึกษาจิตแพทย์ดูเป็นไง?” ไป๋เย่ฉิงมองเธอแล้วถามความคิดเห็น ความจริงหากจะว่าถามความคิดเห็นแต่ต่อให้เธอไม่ยอมตกลงเขาก็จะพาเธอไปหาหมอให้ได้อยู่ดี


 “ได้ ฉันไปแน่ๆ”


ไป๋เย่ฉิงงานยุ่งมาก รับโทรศัพท์ก็ต้องรีบกลับไปก่อน ไป๋ซู่เย่นวดหัวคิ้วไปมาจู่ๆ นึกบางอย่างได้ก็แทบหยิบโทรศัพท์ตรงหัวเตียงมา


แต่ไม่ว่าเธอจะกดอย่างไรโทรศัพท์ก็ไม่สามารถเปิดเครื่องได้อีก


น่าจะเป็นเพราะตนเผลอโยนโทรศัพท์ตกเสียตอนเมาเมื่อวาน


เพียงแต่จำได้ลางๆ ว่าเมื่อคืนเธอได้กดโทรออกไปยังเบอร์หมายเลขที่จดจำได้ดี ห้วงความคิดหนึ่งคล้ายได้ยินเสียงเขาด้วย…


นั่นเป็นภาพลวงตาหลังเธอเมาหรือเป็นความจริง? เบอร์นั่นยังโทรติดจริงๆ ยังตามหาเขาได้อีกหรือ?


เบอร์นั่นเป็นเบอร์เฉพาะสำหรับเธอมาตั้งแต่สิบปีก่อน…


เขาเคยบอกเธอว่าไม่ว่าเมื่อไรหากคิดถึงเขาก็โทรหาเขาเบอร์นี้ได้เสมอ


ดังนั้น เขาจะยังเก็บโทรศัพท์เครื่องนั้นไว้จนถึงทุกวันนี้หรือเปล่า?


คิดถึงเรื่องนี้หัวใจไป๋ซู่เย่ก็สั่นไหว เธออยากลองโทรดูจริงๆ ว่าจะโทรติดจริงๆ หรือไม่ แต่โทรศัพท์ตัวเองดันใช้งานไม่ได้


 “คุณไป๋ตื่นแล้วเหรอ” ขณะนั้นเองพยาบาลก็เปิดประตูเข้ามา


ไป๋ซู่เย่แทบกล่าวทันที “ขอยืมโทรศัพท์คุณหน่อยได้ไหม?”


 “โทรศัพท์ของฉัน?”


 “อืม ฉันอยากขอยืมโทรหน่อย”


 “อ้อ ได้อยู่แล้ว” อีกฝ่ายรีบล้วงโทรศัพท์ให้เธอ ไป๋ซู่เย่แทบจะกดหมายเลขข้างหน้าด้วยความไวแสง แต่พอถึงท้ายๆ กลับช้าลงเรื่อยๆ


ถ้าโทรติดจริงๆ เธอควรทำอย่างไร? ถามเขาว่าทำไมยังไม่หยุดใช้เบอร์นี้หรือ?


ถ้าโทรไม่ติดล่ะ? โทรไม่ติดก็แปลว่าสิ่งที่เธอคิดทั้งหมดในตอนนี้เป็นเพียงความคิดเข้าข้างตัวเอง…


 “คุณไป๋?” พยาบาลเห็นเธอกำโทรศัพท์ไม่มีท่าทีจะขยับตัวต่อจึงอดเรียกไม่ได้ “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”


เธอหลุดจากภวังค์พลางส่ายศีรษะน้อยๆ สุดท้าย…


คล้ายตัดสินใจเด็ดขาดไม่สนอะไรอีก กดโทรเบอร์นั้นโดยเธอกำโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจแทบหลุดจากอก…


แต่ทางนั้นกลับมีเสียงเย็นยะเยือกตอบกลับเธอ “ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ…”


เธอฟังเสียงจากระบบนิ่ง เจ้าตัวเงียบ เดิมทีคิดว่าตัวเองไม่ได้ตั้งความหวังใดๆ แต่หัวใจที่ดำดิ่งลงกลับชัดเจนเสียขนาดนั้น…


จู่ๆ ก็รู้สึกว่าความคิดจินตนาการของตัวเองนั้นน่าขำเหลือเกิน…


นั่นสิ สิบปีแล้วนี่นา ทั้งที่วันนั้นที่ภูเขามู่เจี้ยเย่เซียวจบความสัมพันธ์กับเธอชัดเจนแล้ว อีกทั้งตอนนี้เขาใกล้จะแต่งงานแล้ว เขาจะเก็บเบอร์โทรที่เป็นสำหรับเธอโดยเฉพาะไว้ได้อย่างไรอีก?


นั่นมันไม่มีความหมายเลยไม่ใช่หรือ?


 “คุณไป๋ สีหน้าคุณดูแย่มาก ให้คุณหมอฟู่เข้ามาดูอาการให้คุณไหมคะ?” พยาบาลเห็นใบหน้าเล็กของเธอซีดเซียว ถามอย่างไม่ไว้วางใจ


 “ไม่ต้องหรอก ขอบคุณที่ให้ยืมโทรศัพท์” ไป๋ซู่เย่ส่งโทรศัพท์คืนอีกฝ่าย ขณะนั้นเองประตูห้องพักก็ถูกไป๋หลางผลักเข้ามาอย่างเร่งรีบ “รัฐมนตรี เย่เซียวนี่ชักจะรังแกกันเกินไปแล้ว!”


ได้ยินชื่อนั่น หัวใจของไป๋ซู่เย่ยังไม่อาจสงบลงได้ แต่บนใบหน้ากลับถามเรียบๆ“ทำไมอีก?”


 “บัตรเชิญ!” ไป๋หลางยื่นซองบัตรเชิญสีแดงหนึ่งให้เธอด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านดังเดิม “เขานี่มันเก่งจริงๆ ที่มาเชิญคนระดับสูงในกระทรวงความมั่นคงเราไปร่วมงานหมั้นของเขา หนึ่งในนั้นรวมถึงคุณด้วย!”


……………………………


ตอนที่ 709 เจอกันในที่ที่เคยใช้ชีวิตมา (1)

โดย

Ink Stone_Romance

“บัตรเชิญ!” ไป๋หลางยื่นซองบัตรเชิญสีแดงหนึ่งให้เธอด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านดังเดิม “เขานี่มันเก่งจริงๆ ที่มาเชิญคนระดับสูงในกระทรวงความมั่นคงเราไปร่วมงานหมั้นของเขา หนึ่งในนั้นรวมถึงคุณด้วย!”


ไป๋ซู่เย่เปิดซองบัตรเชิญ บัตรเชิญหล่นออกมาจากข้างใน


เป็นบัตรเชิญอย่างที่คิดไว้เลย


สีแดงฉาน เป็นมงคลน่ายินดีนัก…


บนนั้นเขียนไว้สองชื่อ ‘เย่เซียว’ กับ ‘น่าหลัน’


เธออ่านไปอ่านไปก็รู้สึกตาใกล้จะแดงเต็มทีแล้ว


 “คุณอย่าเศร้าไป ผมจะเอาบัตรเชิญนี้ไปทิ้งถังขยะให้เดี๋ยวนี้เลย!” ไป๋หลางว่าแล้วทำท่าจะเอาบัตรเชิญไปทิ้ง


 “บัตรเชิญดีๆ จะทิ้งไปทำไม?” ไป๋ซู่เย่เอาบัตรเชิญกลับแล้วสอดไว้ใต้หมอน จากนั้นโยนโทรศัพท์ตัวเองให้ไป๋หลาง ไป๋หลางมองเธออย่างฉงนใจ “ทำไมเหรอ?”


 “โทรศัพท์ฉันเหมือนจะเสียเพราะตกพื้น นายเอาไปซ่อมให้หน่อย ข้างในมีอีเมลเยอะมาก ให้คนของกระทรวงความมั่นคงจัดการก็พอ”


 “แล้วบัตรเชิญนี่…” ไป๋หลางรับโทรศัพท์มาแล้วมองเธอด้วยความกังวลใจหลายที


 “ฉันจะปรึกษากับท่านผู้นำเอง นายไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”


ไป๋หลางอยากพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมันออกมา ได้แต่กล่าวเพียง “คุณหมอฟู่ให้คุณนอนโรงพยาบาลสักสองวัน สองวันนี้คุณไม่ต้องไปไหน อยู่โรงพยาบาลเฉยๆ ก็พอ”


 “ได้ ฉันรู้แล้ว” นานทีไป๋ซู่เย่จะเชื่อฟังขนาดนี้


ไป๋หลางปิดประตูออกไปแล้ว


ชั่วขณะห้องพักขนาดใหญ่นี้เหลือเพียงเธอคนเดียว ภายในห้องเงียบสงัด เงียบเสียจนน่าหวั่นใจ เธอคลำบัตรเชิญใต้หมอนมาอีกครั้งแล้วนั่งมองนิ่งๆ อยู่พักใหญ่


ความจริงวันนี้ก็ต้องมาถึงในไม่ช้าก็เร็ว…


เพียงแต่ตอนมาถึงจริงๆ ความเจ็บปวดในหัวใจกลับไม่อาจเก็บซ่อนได้…


……………………


หลังจากนั้นหลายวันไป๋ซู่เย่ออกจากโรงพยาบาลก็จดจ่อกับงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกวันไป๋หลางจะแอบมองเธอด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ไป๋ซู่เย่กำลังรอปลัดกระทรวงมาหาเธอด้วยตัวเอง และเป็นไปตามที่คิดเมื่อสองวันก่อนวันหมั้นเธอถูกเรียกไปที่ชั้นบนสุด


 “งานหมั้นครั้งนี้ คุณมีความคิดยังไง?” ปลัดถามเธอด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองเหมือนกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ


 “ไฟเรนเซ่เคยมีข้อบาดหมางกับกระทรวงเรา ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรครั้งนี้ถึงเชิญเราไป ถ้ามีทางเลือกได้ ฉันย่อมเลือกที่จะไม่ไป”


สายตาปลัดกระทรวงกวาดมองประเมินเธออยู่พักหนึ่งราวกับกำลังเดาใจเธอ สุดท้าย “ไปเถอะ ถึงความจริงเรากับไฟเรนเซ่จะเหมือนไฟกับน้ำ แต่ก็ต้องไว้หน้าอยู่ดี ในเมื่อเขากล้าเชิญเราไป ก็ต้องไม่กล้าทำอะไรเราอยู่แล้ว”


 “ในเมื่อคุณอยากให้ฉันไป งั้นฉันก็จะไป” ไป๋ซู่เย่พยักหน้าตามใจอีกฝ่าย


ปลัดกระทรวงแสดงความพึงพอใจกับคำตัดสินใจนี้อย่างเห็นได้ชัด “ให้ไป๋หลางกับรองปลัดไปกับคุณ ส่วนของขวัญที่ให้ว่าที่คู่แต่งงานใหม่ ทางกระทรวงจะเตรียมเอง คุณไม่ต้องห่วง ตั๋วเครื่องบินพรุ่งนี้เช้า วันนี้คุณกลับไปเตรียมตัวก่อน”


……………………


วันรุ่งขึ้น


ที่เมืองเยียว


อุณหภูมิเมืองเยียวในวันนี้ต่ำกว่าอุณหภูมิของเมือง S หลายองศา


โรงแรมที่พวกเธอมาพักเป็นไปตามการจัดการของไฟเรนเซ่ล่วงหน้าทั้งหมด—โรงแรมนี้เป็นกิจการภายใต้การดูแลของเย่เซียวซึ่งเป็นโรงแรมทรงเรือระดับเจ็ดดาวโดยมีทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองเยียว โรงแรมนี้เองก็มีชื่อเสียงระดับโลกที่ครองอันดับแถวหน้า


ไป๋หลางถือกระเป๋าเดินทางตามหลังเธอพลางกวาดมองโรงแรมแล้วพูดด้วยเสียงอึ้งทึ่ง “ได้ยินมานานแล้วว่าไฟเรนเซ่กับเย่เซียวมีทรัพย์สินพอๆ กับประเทศหนึ่ง พอมาดูแล้วไม่ได้โกหกสักนิดเลย”


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ความจริงคนในกระทรวงความมั่นคงรู้เกี่ยวกับกิจการเปลือกนอกเหล่านี้ของเย่เซียวเป็นอย่างดี โรงแรมนี้เธอก็คุ้นเคยดี


เธอหันมองโรงแรมรอบหนึ่งพบว่าในโรงแรมถูกจัดแต่งให้มีบรรยากาศมงคล


บนบัตรเชิญเขียนไว้ชัดเจนว่างานหมั้นจะถูกจัดขึ้นในห้องโถงที่ใหญ่ที่สุดของโรงแรมแห่งนี้ในอีกสองวันข้างหน้า คิดว่าน่าจะเป็นพิธีหมั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองเยียวแล้ว


พนักงานโรงแรมพาพวกเขาสามคนขึ้นไปยังห้องพักสวีทชั้นบนสุด


ภาพทิวทัศน์รอบโรงแรมดีมาก ห้องที่เธอพักนั้นค่อนข้างพิเศษที่สามารถทอดมองยังทะเลที่อยู่ด้านหลัง หน้าต่างติดพื้นถูกเปิดออกเกิดช่องเล็กๆ ทำให้อากาศมีกลิ่นทะเล เสียงคลื่นซัดกระทบหู


เมืองเยียว…


จากไปสิบปี เธอกลับมาอีกแล้ว…


อดีตเคยรู้จักกับเย่เซียวที่นี่ ทำความเข้าใจกัน รักกัน…


ในสิบปีนี้เธอไม่กล้าก้าวมาในผืนแผ่นดินนี้แม้แต่ก้าวเดียว ความรู้สึกผิดปนอดีตที่หวานชื่นกลบเธอให้มิด…


เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการกลับมาเหยียบบนแผ่นดินนี้อีก จะเป็นการกลับมาเพื่อร่วมงานหมั้นของเย่เซียว


โลกนี้ช่างไม่มีอะไรแน่นอน


 “รัฐมนตรี ไปทานข้าวด้วยกันเถอะ รองปลัดนัดเพื่อนไว้ก็เหลือแค่เราสองคนแล้ว” ไป๋หลางโทรมาที่ห้องของเธอแล้วชักชวน


 “นายทานคนเดียวเถอะ ค่ำๆ ฉันมีธุระอื่น” ไป๋ซู่เย่ปฏิเสธ


ไป๋หลางเงียบไปชั่วครู่ “รัฐมนตรี คุณคงไม่ได้จะไปหา…เย่เซียวหรอกนะ?”


 “พูดบ้าอะไร” ไป๋ซู่เย่คร้านจะคุยไร้สาระกับไป๋หลางไปมากกว่านี้เลยวางสายทันที


จากนั้นเธอหยิบเสื้อพิธีการสีดำจากกระเป๋าเดินทางมาเปลี่ยนและสวมแว่นกันแดดเดินออกจากโรงแรมเพียงลำพัง สิบปีที่ไม่ได้มา เมืองเยียวได้เปลี่ยนโฉมไปจากเดิมอย่างมาก เธอนั่งรถแท็กซี่แล้วใช้ภาษาประเทศ T บอกจุดหมายปลายทางแก่คนขับรถแล้วนั่งเงียบๆ ในรถ มองเมืองที่แปลกตาทว่าคุ้นเคยนี้ผ่านตาตัวเองไปช้าๆ


เธอแทบเคยเดินจับมือเย่เซียวผ่านถนนตรอกซอยทุกแห่งของที่นี่…


แต่สิบปีผ่านไป ยาวนานเหมือนภพชาติ…


 “คุณ ถึงแล้ว” คนขับรถจอดรถ


ไป๋ซู่เย่จ่ายเงินลงจากรถ ตรงหน้าเป็นสุสานแห่งหนึ่ง ป้ายสุสานแต่ละป้ายที่เรียงอยู่ตรงนั้นราวกับมีดคมที่จะปาดคอเธอทีละเล่มๆ


เธอสูดหายใจลึก หมุนตัวเดินไปที่ร้านดอกไม้ข้างๆ ร้านดอกไม้ขายดีไม่น้อย สักพักถึงมีพนักงานว่างออกมาต้อนรับเธอ


 “คุณ อยากซื้อดอกอะไรบ้าง?”


 “ดอกเดซี่สีขาว” เธอพูดภาษาของประเทศ T ได้อย่างคล่องแคล่ว “เดี๋ยวจัดให้ฉันยี่สิบห้าช่อ”


 “เยอะขนาดนั้นเชียว?” เจ้าของร้านตกใจหน่อยๆ


เธอแย้มปากยิ้ม “ใช่ ยี่สิบห้าช่อ”


เมื่อนั้นลูกน้องยี่สิบห้าคนของเย่เซียวที่ตายอย่างอนาถในสนามรบ สุดท้ายเถ้ากระดูกถูกฝังไว้ที่นี่ด้วยกันทั้งหมด


 “งั้นคุณรอสักครู่นะ เดี๋ยวฉันจะรีบเอาของจากโกดังมาให้”


 “ได้ค่ะ ไม่รีบ”


ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับและรออยู่ที่ร้านดอกไม้เป็นเวลายี่สิบนาทีถึงยกช่อดอกไม้ทั้งยี่สิบห้าช่อขึ้นไป ดอกไม้เต็มไม้เต็มมือจนแทบจะตกพื้นเรียกสายตาคนเดินผ่านไปมาต้องหันมามองอย่างสงสัยไม่ได้


สุสานทั้งยี่สิบห้าเธอได้นำช่อดอกไม้เดซี่วางไว้ทีละสุสานอย่างจริงใจและรู้สึกผิด เธอคุกเข่าลงตรงหน้าป้ายสุสานทุกป้ายแล้วก้มหัวโขกพื้นเสียงดัง รอก้มเสร็จป้ายที่ยี่สิบห้านั้นหน้าผากก็ถลอกเป็นแผลใหญ่จนเลือดไหลเสียแล้ว


เธอรู้ว่าถึงแบบนี้ก็ไม่อาจชดเชยอะไรแก่คนที่ยังอยู่ได้ ไม่อาจได้รับการยกโทษจากพวกเขาที่หลับใหลไปตลอดกาลได้ ยิ่งไม่อาจชุบหัวใจที่ถูกความรู้สึกผิดทรมานมายาวนานนับสิบปี…


แต่นี่กลับเป็นสิ่งเดียวที่เธอทำได้


……………………………


ตอนที่ 710 เจอกันในที่ที่เคยใช้ชีวิตมา (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เพิ่งลุกจากพื้นก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มที่กำลังวิ่งมาในเขตสวนสุสานที่เธออยู่


เธอสะดุ้งและแทบจะหันกลับไปมองในทันที


เขตสวนนี้เป็นสวนที่เย่เซียวใช้เงินจำนวนมากซื้อมาเพื่อลูกน้องยี่สิบห้าคนนั่นโดยเฉพาะ ตอนนี้มีรถมาย่อมมาเพื่อกราบไหว้พวกเขา


ไป๋ซู่เย่หลงคิดว่าเป็นครอบครัวของหนึ่งในนั้นด้วยสัญชาตญาณ—เธอไม่มีหน้าจะเจอครอบครัวของพวกเขา ดังนั้นเลยเบี่ยงตัวหลบไปที่ด้านหลังของป้ายสุสานหนึ่ง


แต่พอโผล่หัวออกมาดูอย่างระมัดระวังนั้นเจ้าตัวกลับอึ้งค้างอยู่กับที่


คนที่มาไม่ใช่คนในครอบครัวของใครสักคน…


กลับเป็น…


เย่เซียว


ด้านหลังมีรถตามมาทั้งหมดแปดคัน


รถทุกคันมีผู้ชายตัวสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำทางการสี่คนลงมาโดยมีเย่เซียวเดินนำหน้าสุด หยูอันกับหลี่สือเดินขนาบข้างตามหลังเขา คนที่เหลือก็เดินตามหลังพวกเขาอีกที แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเรียบขรึม


เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้ที่ว่าวันนี้เธอจะมาตรงกับวันกราบไหว้ของพวกเขาในทุกๆ ปี


ไป๋ซู่เย่พิงป้ายสุสานแถมยังเผลอกลั้นหายใจ เธอไม่อยากให้เย่เซียวรู้ว่าตนอยู่ที่นี่ การปรากฏตัวของเธอในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายเย่เซียวหรือลูกน้องทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังเขาเป็นครั้งที่สอง แต่ในสายตาพวกเขาแล้วการกระทำของเธอในวันนี้คงเป็นเพียงการเสแสร้ง


……………………


เย่เซียวเดินมาก็เห็นดอกเดซี่สีขาวเหล่านั้นมาแต่ไกล เขาที่คอยระวังตัวและไหวพริบดีอยู่เสมอนั้นมุ่นคิ้วกวาดตามองรอบข้างที


หยูอันกล่าว “เมื่อกี้มีคนเคยมา!”


หลี่สือหยิบช่อดอกเดซี่ตรงหน้าขึ้นช่อหนึ่งตรวจดู“น่าจะเพิ่งมาไม่นาน ดอกยังสดอยู่เลย”


 “ใครจะมาวางดอกเดซี่หน้าป้ายสุสานทุกป้ายแบบนี้?” หยูอันเงียบไปอึดใจอย่างคิดไม่ตก


 “อาจจะเป็นคนในครอบครัวใครสักคนมาหรือเปล่า” หลี่สือวางดอกไม้กลับที่เดิมอย่างระมัดระวังอีกครั้ง


สายตาเย่เซียวจรดที่ดอกเดซี่เหล่านั้นโดยไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้น กวาดสายตามองรอบสุสานแห่งนี้เงียบๆ อีกที เขารู้ว่ามีคนคนหนึ่งที่ชอบดอกเดซี่สีขาวมาก เพียงแต่จะเป็นเธอได้หรือ?


ที่นี่เป็นเมืองเยียวของประเทศ T ไม่ใช่ประเทศ S


……………………


นับสิบคนที่มาอย่างยิ่งใหญ่หลังโค้งคำนับกราบไหว้กันเสร็จก็จากไปอย่างยิ่งใหญ่ ไป๋ซู่เย่ได้ยินเสียงรถยนต์ค่อยๆ หายไปถึงถอนหายใจยาว แผ่นหลังยืนแนบชิดกับป้ายสุสานสูง แหงนหน้ามองพระอาทิตย์ที่เริ่มตกดินเพียงรู้สึกอ้างว้างจับใจ


ไม่ได้ทานอะไรก็กลับโรงแรม อาบน้ำสวมชุดคลุมอาบน้ำก่อนจะหยิบยานอนหลับจากกระเป๋ามา


แสงไฟข้างนอกเริ่มสว่าง เธอเทไวน์แดงให้ตัวเองหนึ่งแก้วนั่งลงบนพื้นพรมหน้าหน้าต่างติดพื้น เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง


นี่เป็นห้องสวีทที่ความจริงเธอคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าคุ้นเคย คงบังเอิญกระมัง!เมื่อก่อนเธอกับเย่เซียวจะมาพักห้องนี้เสมอเพราะที่นี่เหมาะกับการชมพลุดอกไม้ที่จะถูกจุดเหนือทะเลสัปดาห์ละครั้ง ขอแค่เย่เซียวอยู่เมืองเยียวก็จะพาเธอมาที่นี่ทุกสัปดาห์


เพียงแต่…


เกรงว่าต่อจากนี้คนที่เข้าพักห้องนี้คงเป็นเขากับน่าหลันแล้ว…


คิดถึงนี่หัวใจก็เริ่มเจ็บแปลบ เธอจิบไวน์อึกหนึ่ง แอลกอฮอล์ดีกรีสูงกลับให้ความอบอุ่นแก่หัวใจเธอไม่ได้…


ทันใดนั้นเองกริ่งหน้าประตูก็ถูกกดเสียงดัง


เธอคิดว่าเป็นไป๋หลางที่มาส่งอาหารเย็นให้ตนเลยวางแก้วไวน์กระชับชุดคลุมอาบน้ำบนตัวเดินเท้าเปล่าบนพื้นพรมไปเปิดประตูโดยไม่ได้คิดมาก


คนนอกประตูทำให้หัวเธอขาวโพลนชั่วขณะ


มือค้างอยู่ตรงด้ามจับประตูและไม่มีท่าทีต่อไป


ไม่ใช่ไป๋หลาง…


กลับเป็น เย่เซียว


เขา…มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?


 “ไม่คิดจะเชิญผมเข้าไปเหรอ?” คนที่พูดก่อนเป็นเขา เทียบกับความรู้สึกพลุ่งพล่านในใจเธอแล้วใบหน้าเขาคงความเรียบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์เช่นเคย ราวกับว่าเขาไม่ตกใจสักนิดกับการปรากฏตัวของเธอที่นี่


นั่นสิ…บัตรเชิญนั่นมาถึงมือเธอได้ เขาย่อมต้องเดาได้ว่าเธออาจจะมา


หยุดความคิดไว้ เธอพยายามทำให้ตัวเองดูปกติหน่อย หลบข้างยิ้มให้เขาน้อยๆ “เชิญเข้ามา”


เย่เซียวก้าวขายาวเข้าห้องอย่างไม่เกรงใจ


เขาเดินตรงมาที่ริมหน้าต่างโดยยืนล้วงกระเป๋าสองข้าง สายตามองนอกหน้าต่างนิ่งทิ้งไว้ให้เธอเห็นเพียงแผ่นหลังเยือกเย็น


ไป๋ซู่เย่มองแผ่นหลังสูงตระหง่านนั่นนิ่ง แสงไฟหลากสีนอกหน้าต่างผสมผสานกับแสงไฟในห้อง สะท้อนรอบตัวเขาให้เป็นแสงสลัว ทำให้เจ้าตัวดูโดดเดี่ยวเล็กน้อย


คนที่ใกล้จะหมั้น จะโดดเดี่ยวได้อย่างไร?


ไป๋ซู่เย่คิดว่าตัวเองต้องตาฝาดไปแน่ๆ


จู่ๆ เย่เซียวกลับพูด “ไม่ว่าใช่ไหมถ้าผมจะสูบบุหรี่?”


 “…ไม่หรอก คุณสูบเถอะ” เดิมทีอยากจะบอกว่าสภาพร่างกายเขาทางที่ดีไม่ควรสูบ แต่พอออกจากปากกลับเปลี่ยนไป


เย่เซียวจุดบุหรี่คาบในปากแล้วสูบเข้าปอดแรงๆ สายตาของเขามองที่ทะเล ชั่ววูบหนึ่งที่ไป๋ซู่เย่คิดว่าเขาเองก็นึกถึงครั้งที่พวกเขาสองคนเคยมาดูพลุดอกไม้ที่นี่ ใช้เวลาร่วมกันคืนแล้วคืนเล่า…


ไป๋ซู่เย่เทไวน์อีกแก้วแล้วยืนริมหน้าต่างข้างเขา


 “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่นี่?”


 “วันนี้ คนที่ไปสุสานคือคุณ?” ไม่ได้ตอบแต่กลับถามย้อน ซึ่งเป็นประโยคคำถามที่เป็นประโยคบอกเล่าเช่นกัน


 “…” ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบ เย่เซียวเป็นคนฉลาด หลายเรื่องที่ปิดเขาไม่ได้ เขาหันหน้ามาจรดสายตาที่เธอ ไป๋ซู่เย่ก็หันข้างโดยอัตโนมัติ


สายตาของทั้งคู่สอดประสานกันทั้งอย่างนี้


ชั่วขณะที่หัวใจเธอบีบรัด ปวดหนึบ


หนึ่งเดือนสั้นๆ ที่ไม่ได้เจอ กลับรู้สึกเหมือนผ่านไปครึ่งศตวรรษ…


เห็นเพียงเย่เซียวดับบุหรี่ช้าๆ จากนั้นกล่าวเสียงเบา“ต่อจากนี้อย่าปรากฏตัวที่นั่นอีก”


 “…” เธอเงียบไปอึดใจ พยักหน้า“ไม่ไปแล้ว”


แววตาล้ำลึกของเขาจ้องเธอไม่ห่าง แต่ถัดจากนั้นจู่ๆ ยกแขนแตะนิ้วบนหน้าผากเธอ ทั้งที่ปลายนิ้วเขาเย็นเฉียบไร้ความอบอุ่นแต่วินาทีที่สัมผัสผิวเธอ เหมือนมีความอุ่นร้อนวาบผ่าน


ไป๋ซู่เย่เผลอหายใจติดขัดหัวใจเริ่มเต้นรัวเร็วอย่างควบคุมไม่อยู่ เธอคว้าข้อแขนเขาไว้เบาๆ แล้วมองเขาด้วยลมหายใจที่ผิดจังหวะ


เย่เซียวคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าตนทำอุกอาจไปแต่ไม่ได้ชักมือกลับ กลับหมุนข้อมือทีก็หลุดจากการกอบกุมเธอได้ ปลายนิ้วยาวปัดเศษผมที่ปรกตรงหน้าเธอออก แวบเดียวก็เห็นแผลสดใหม่ตรงหน้าผากของเธอ


 “เกิดอะไรขึ้น?” เขาถาม


คำสั้นๆ คล้ายก้านใบหลิวปัดทีเดียวก็ทำให้หัวใจที่ไม่สงบของเธอวุ่นกว่าเดิม


เธอกำแก้วไวน์แน่นขึ้น “เดินไม่ทันระวังแล้วโขกใส่”


สายตาทั้งคู่ของเย่เซียวราวมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง แค่นหัวเราะทีก่อนวางมือลง “ยี่สิบห้าชีวิต ก็ได้มาแค่คุณที่โขกหัวกราบไหว้”


……………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม