แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 704-710
บทที่ 704 หลงเข้ามาในฟาร์มเลี้ยงสัตว์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฮยซือเคลื่อนไหวเลียบตามขอบถนน ส่วนเสี่ยวป๋ายนั้นวิ่งเลียบไปตามขอบทุ่งหญ้า ต่างคนต่างเริ่มค้นหาจากคนละทิศ
ในสถานการณ์ที่แทบไม่มีซอมบี้อยู่ใกล้ๆ ความเร็วของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง
ในเวลาสั้นๆ เพียง 2 นาที เฮยซือได้พบซากเฮลิคอปเตอร์ที่พุ่งชนเข้าไปในตัวอาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่สุดปลายสายของถนนเส้นนี้
ถึงแม้เฮลิคอปเตอร์ลำนี้จะผ่านการพุ่งชนและระเบิดมาแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ เฮยซือควบคุมร่างกายของอวี๋ซือหรานให้ไต่ขึ้นไปบนตัวอาคารอย่างคล่องแคล่วว่องไว
ด้วยร่างกายเล็กกะทัดรัด เธอจึงสามารถแทรกตัวเข้าไปในซากเฮลิคอปเตอร์อย่างง่ายดาย และเริ่มค้นหาท่ามกลางเศษซากชิ้นส่วนที่ถูกเผาไหม้ทันที
กลิ่นรุนแรงที่เกิดจากการระเบิดกลบกลิ่นคาวเลือดที่อาจเคยเกิดขึ้นในตัวเครื่องจนมิด แม้แต่กลิ่นของซากศพก็ยังไม่มี
ทว่าเฮยซือถือว่าฉลาดมากจริงๆ ไม่ได้กลิ่นก็ไม่เป็นไร มันค่อยๆ มุดตัวไปใกล้บริเวณหัวเครื่อง จากนั้นก็ยกเท้าถีบแผ่นโลหะสีดำที่ขวางหน้ากระเด็นออกไป
บริเวณหัวเครื่องเฮลิคอปเตอร์ลำนี้แทบจะมุดเข้าไปในซากอาคารเกือบหมด นอกจากช่องแคบๆ ที่เหลืออยู่เล็กน้อยแล้ว พื้นที่ที่เหลือแทบถูกเศษปูนซีเมนต์และวัตถุอื่นๆ เติมจนเกือบเต็ม
หากคนอื่นเห็นอย่างนี้ เดาว่าคงยอมแพ้ไปแล้ว แต่ร่างกายนี้ของเฮยซือเป็นถึงซอมบี้ชนชั้นสูง ดังนั้นมันจึงสามารถโยนสิ่งกีดขวางเหล่านี้ออกไปได้ง่ายๆ
มุมแหลมคมของวัตถุเหล่านั้นที่สามารถทำให้คนธรรมดาได้รับบาดเจ็บ กลับไม่สามารถทำอะไรผิวหนังของซอมบี้ชนชั้นสูงได้เลย
“เจ้าเฮยจือพอได้โอกาสใช้ร่างของอวี๋ซือหรานก็ไม่มีเกรงใจเลยแฮะ…” หลิงม่อคิดในใจ
ภายใต้การค้นหาด้วยความเร็วสูง ไม่นานเฮยซือก็พบศพศพหนึ่งซึงถือว่ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
เดาว่าเพราะถูกฝังอยู่ใต้ซากผุพัง จึงไม่ถูกเผาจนไหม้เกรียม
เฮยซือสังเกตเห็นรูกระสุน 2 รูบนศีรษะของศพอย่างรวดเร็ว
กระสุนถูกยิงจากด้านหลังศีรษะ และทะลุออกมาจากใบหน้า
“ตามคาด…”
บาดแผลบนตัวผู้ตาย ยืนยันสันนิษฐานของหลิงม่อได้พอดี
บนร่างกายของศพที่เหลือมีบาดแผลที่เกิดจากการฆ่าฟันกัน แต่ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบศพทีละศพอีกต่อไป
“ถ้าอย่างนั้น กองทัพอากาศก็ได้รับความเสียหายและเกิดการล้มตายอย่างรุนแรงในขณะที่เข้ามาทำการสำรวจ ถึงได้จัดเมืองชุ่ยเหอให้เป็นเมืองระดับความอันตรายสูงสินะ…กว่าพวกเขาจะได้เจอซอมบี้ราชา พวกเขาจะต้องบินวนแถวนี้ในระยะเวลาหนึ่งแล้วแน่ๆ จากที่เคยเห็นก็น่าจะเปิดประตูเครื่องแล้วบินต่ำวนไปวนมา…เสียงใบพัดที่ดังไปทั่วบริเวณทำให้เกิดอันตรายใหญ่หลวง และอันตรายที่มองไม่เห็นนี้ก็ทำให้พวกเขาถูกเล่นงาน…”
หลิงม่อไม่อาจย้อนไปดูภาพในตอนที่เกิดเหตุได้ แต่ดูจากรูปการปัจจุบัน เขาก็พอสันนิษฐานได้ว่าเป็นอย่างนี้
“เป็นเชื้อไวรัสสินะ…”
เชื้อไวรัสในปัจจุบันไม่ได้กระจายตัวอยู่กลางอากาศอีกแล้ว แต่เชื้อไวรัสกล่อมประสาทเมื่อกี้กลับสามารถทำอย่างนั้นได้
ทว่าเชื้อไวรัสประเภทนี้ไม่เหมือนกับเชื้อไวรัสชนิดแรกที่ทำให้ผู้คนติดเชื้อ เพราะหากสูดดมเข้าไปในเวลาสั้นๆ จะทำให้เห็นภาพหลอนเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ติดเชื้อและกลายพันธุ์
แน่นอนว่ามันต้องมีผลกระทบบ้างอยู่แล้ว แต่ขอเพียงไม่ติดเชื้อก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
เชื้อไวรัสที่สามารถทำให้คนคลุ้มคลั่งนี่ ก็น่าจะเหมือนกัน…
หากวัดกันเรื่องความรุนแรงในการแพร่กระจาย เชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งเหนือกว่าเชื้อไวรัสกล่อมประสาทแน่นอน
และเมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ระดับความเข้มข้นของเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งที่ปะปนอยู่ในอากาศก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่เฮลิคอปเตอร์ที่บินอยู่บนท้องฟ้าก็ยังยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
“นี่เรามาในที่ที่ไม่ควรมาเข้าแล้ว…นี่มันแค่ระดับอันตรายสูงซะที่ไหน มันควรจะเป็นพื้นที่ห้ามเข้าเลยต่างหากเล่า!”
หลิงม่อนึกโมโห
การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาเขตหันมาฆ่าฟันกันเอง และเมื่อผลกระทบสิ้นสุดลง ศพจำนวนมากในพื้นที่นั้นก็จะดึงดูดซอมบี้ฝูงใหม่เข้ามาอีก
ขอเพียงซอมบี้ในเมืองชุ่ยเหอยังคงสืบพันธุ์อย่างต่อเนื่อง วงจรนี้ก็จะสามารถดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ
ไม่ว่าสิ่งที่สร้างเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งขึ้นมาจะเป็นสัตว์ประหลาดประเภทไหนก็ตาม เห็นได้ชัดว่าปริมาณอาหารที่มันกินไม่ได้มากนัก ถ้าไม่อย่างนั้นป่านนี้ที่นี้คงไม่มีซอมบี้เหลืออยู่แล้ว
และสัตว์ประหลาดตัวนี้…ก็อยู่ในห้างฯ แห่งนี้ด้วย!
“ตอนที่พวกเราเข้ามาก็ไม่ได้ทำให้มันตื่นตัวในทันที แต่ในตอนที่เราติดกับดัก อันตรายกลับมาถึงตัวทันที…เชื้อไวรัสกล่อมประสาทนั่น มีประสิทธิภาพในด้านนี้ด้วย…”
หลิงม่อนึกเดือดดาลในใจ อีกฝ่ายไม่เพียงถ่วงเวลาให้พวกเขาอยู่ในนี้ แต่ยังปลุกสัตว์ประหลาดอันตรายตัวนี้ให้ “ตื่น” ขึ้นมาด้วย
และตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่มันจะกินข้าวแล้ว…
การเข่นฆ่ากันเองของเหล่าซอมบี้เป็นเพียงขั้นตอนการล่าเหยื่อเท่านั้น ในเมื่อปริมาณอาหารที่ต้องการกินไม่ได้สูง ก็แสดงว่าคุณภาพของเหยื่อที่ต้องการต้องสูงมากอย่างแน่นอน
อาศัยการเข่นฆ่ากันเองของเหล่าพวกเดียวกัน เพื่อสร้างอาหารที่เป็นซอมบี้ระดับสูงขึ้นในเวลาอันสั้น…
“รสนิยมการกินสูงมาก…”
ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เลยซักนิด!
เมื่อขั้นตอนการเลี้ยงสัตว์เริ่มขึ้น ยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังจิตต่ำ ก็ยิ่งได้รับผลกระทบเร็ว
ซอมบี้เหล่านั้นเกิดอาการคลุ้มคลั่งเป็นกลุ่มแรก มู่เฉินเองหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาก็ถูกเล่นงานไปด้วยเพราะสภาพจิตใจยังไม่มั่นคง
พวกเย่เลี่ยนนั้นยังพอต้านทานได้ กลับเป็นสวี่ซูหานที่สุ่มเสี่ยงมาก
ถึงแม้เธอจะยังหลงเหลือสัญชาตญาณมนุษย์อยู่อีกครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงมีระดับพลังจิตที่ไม่ต่างกับคนธรรมดามากนัก แต่สภาวะดวงจิตของเธอในตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก…
บวกกับแรงกระตุ้นจากการต่อสู้และกลิ่นคาวเลือด หากเมื่อไหร่ที่เธอยืนหยัดต่อไปไม่ไหว เธอก็จะกลายพันธุ์ทันที…
ส่วนหลิงม่อนั้นเป็นคนที่มีพลังจิตสูงที่สุด และเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายได้นานแล้ว ซ้ำเขาก็ยังมีความสามารถในการต้านทานที่แข็งแกร่งที่สุด…
ทว่าความจริงสิ่งที่อันตรายที่สุด ความจริงคือพวกเย่เลี่ยนต่างหาก!
สัตว์ประหลาดตัวนี้รู้จักเลี้ยงซอมบี้ระดับสูงเพื่อเป็นอาหาร ดังนั้นมันไม่มีทางปล่อยให้ซอมบี้ระดับสูงอย่างพวกเย่เลี่ยนหลุดรอดไปได้แน่นอน!
ส่วนซอมบี้นกตัวนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นซอมบี้ตัวที่ถูกกองทัพอากาศค้นพบ หรือเพิ่งวิวัฒนาการขึ้นในภายหลัง แต่อย่างไร…มันก็หนีไปแล้ว!
และอย่างน้อยเรื่องนี้ก็บ่งบอกแล้วว่า เจ้าซอมบี้ที่ผลิตเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งตัวนี้ แกร่งกว่าซอมบี้นก!
และสาเหตุที่มันกลายพันธุ์จนมีรูปร่างประหลาดอย่างนั้น ก็เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งนั่นเอง!
“ชิบหาย…”
หลิงม่อขนลุกซู่ทั้งตัว เขารีบถ่ายทอดคำสั่งให้เฮยซือผ่านกระแสจิตทันที
เฮยซือที่เพิ่งวิ่งกลับมาบนถนนล้วงก้อนไวรัสเหนียวหนืดออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วขว้างไปบนถนน
จากนั้นมันก็วิ่งเข้าไปหลบหลังซากรถยนต์ พร้อมเก็บซ่อนกลิ่นอายของตัวเอง
หลายวินาทีผ่านไป มันค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดู แต่กลับพบว่ามีเพียงซอมบี้ที่อยู่ใกล้เท่านั้นที่กระโจนเข้ามา
หลังจากมองเห็นเหตุการณ์นี้ผ่านมุมมองสายตาของเฮยซือ หลิงม่อก็เกิดอาการพูดไม่ออก
ตามคาด มีแค่สิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่จะสามารถดึงดูดความสนใจจากซอมบี้ฝูงใหญ่ได้…
แถมต้องไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตทั่วไปเท่านั้น แต่ต้องเป็นถึงซอมบี้ระดับสูง…
ความจริง พวกเขาได้เริ่มสังเกตเห็นแนวโน้มนี้จากซอมบี้กลุ่มแรกที่เจอตอนเพิ่งเข้าเมืองแล้ว
ในเมื่อแพร่กระจายโดยมีอากาศเป็นตัวกลาง ก็แสดงว่าทุกครั้งที่เชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งเกิดการแพร่กระจาย พื้นที่ที่อยู่ค่อนข้างห่างไกลก็จะได้รับผลกระทบเบาบางด้วยเช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไป เชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งก็จะทำให้การกลายพันธุ์ของพวกมันแตกต่างออกไป
และที่รูปแบบพฤติกรรมของซอมบี้ในพื้นที่นี้แตกต่างจากที่อื่น ก็เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน
“ไม่ได้การ จะปล่อยให้พวกเย่เลี่ยนเป็นเหยื่อล่อต่อไปไม่ได้…”
หลิงม่อสีหน้าร้อนรน
ความรู้สึกไม่สบายใจรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเชื้อไวรัสในอากาศกำลังเข้มข้นขึ้น เหลือเวลาไม่มากแล้ว!
แต่สัตว์ประหลาดตัวนั้น อยู่ที่ไหนกันแน่?
ตอนแรกเขาคิดว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ต้องอยู่ในโซน B แน่ๆ แต่ดูจากตอนนี้ที่ซอมบี้ส่วนใหญ่พากันมุ่งหน้าไปยังโซน A ก็แสดงว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาผิด…
ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกได้รางๆ แล้วว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
เขามองซ้ายมองขวา แล้วขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างละเอียด
“ใช่แล้ว!”
หลิงม่อดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “แม้แต่ชั้นใต้ดินเราก็ค้นดูแล้ว แต่กลับไม่ดูบนเพดาน!”
ตอนที่เพิ่งเข้ามาในห้างฯ เขาเห็นศพของซอมบี้ห้อยอยู่บนเพดานหนึ่งศพ ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะสงสัยอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้ขบคิดอย่างละเอียด
ทันทีที่เขาถ่ายทอดคำสั่งผ่านกระแสจิต หุ่นซอมบี้ตัวเล็กก็หมุนตัวออกวิ่งเข้าไปในทางเดิน และเจอศพนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ดึงศพลงมา ดวงตาหลิงม่อก็เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง
ตามคาด ศีรษะด้านหลังกลวงโบ๋ไปแล้ว…
เขารีบแหงนหน้ามองบนหัว—ด้านบนนั้น มีสิ่งมีชีวิตอันตรายสูงบางชนิดซ่อนตัวอยู่…
เมื่อพบว่าอันตรายอยู่เหนือศีรษะ หลิงม่อก็ตึงเกร็งไปทั้งร่าง
ตำแหน่งของศพศพนั้น บ่งบอกว่าเจ้าสิ่งนั้นสามารถลากคนขึ้นไปข้างบนนั้นได้
ส่วนเรื่องที่มันมีพลังโจมตีสูงหรือไม่นั้น หลิงม่อคิดว่าควรคาดเดาไว้ว่ามัน “มี” ก่อนจะดีกว่า…
เขาค่อยๆ ขยับตัวไปข้างกำแพงเงียบๆ แล้วลากมู่เฉินเข้ามา
ถึงเจ้าทึ่มนี่จะถูกเล่นงานทันทีที่ฟื้นขึ้นมา แต่จะปล่อยให้เขาตายอยู่ที่นี่โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ได้ และหลิงม่อก็ยังหวังให้เขาทำงานชดใช้ตัวเองอยู่…
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ใช้พลังจิตสำรวจแล้วหามันไม่เจอ อาจเป็นเพราะมันมีพลังสูงเกินไป และตั้งใจซ่อนตัวด้วย แต่ตอนนี้มันอยู่ในสภาวะเตรียม “จู่โจม” ดังนั้นยังไงก็ต้องหามันเจอแน่นอน!
หลิงม่อจ้องเพดานเขม็ง จากนั้นก็หันไปมองหุ่นซอมบี้ตัวเล็กที่ตอนนี้กลับมาหาเขาแล้ว
“เราเป็นมนุษย์ แต่หุ่นซอมบี้เป็นแค่ซอมบี้ระดับธรรมดา…หากเปรียบเทียบกันแล้ว สำหรับสัตว์ประหลาดตัวนี้หุ่นซอมบี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าสนใจมากกว่าเรา…”
ส่วนอวี๋ซือหรานและเฮยซือนั้น หลิงม่อให้พวกเธอคอยรับคำสั่งอยู่ข้างนอก
แล้วยังมี “เครื่องผลิต” ยากล่อมประสาท ที่แอบมองอยู่ในมุมมืดอีกตัว…
—————————————————————————–
บทที่ 705 สัตว์ประหลาดมีสมอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
แอ๊ด
ประตูเหล็กถูกผลักออกเล็กน้อย จากนั้นเงาร่างเล็กๆ เงาหนึ่งก็แทรกตัวเข้ามาจากด้านนอก
หากวัดกันเรื่องความสามารถในการอำพรางกาย หุ่นซอมบี้ตัวนี้สู้ซอมบี้ระดับสูงไม่ได้เลย แต่ก็เพราะว่ามันเป็นซอมบี้ระดับล่าง ดังนั้นขอเพียงมันไม่เป็นฝ่ายเผยตัว มันก็จะไม่เป็นที่สะดุดตาของพวกเดียวกันที่อยู่ไกลๆ เหล่านั้น
หลิงม่อก้มมองมู่เฉินที่นอนสลบอยู่บนพื้น หลังจากแผ่หนวดสัมผัสออกมาเพื่อสร้างตายข่ายป้องกันคลุมไว้บนศีรษะเสร็จ สายตาของเขาก็แน่วแน่ขึ้นมาทันที
เขาต้องตามหาสัตว์ประหลาดตัวนั้นให้เจอภายในเวลาที่สั้นที่สุด…
เมื่อก่อนการใช้พลังจิตสำรวจเพื่อตรวจจับคลื่นดวงจิตที่อยู่รอบๆ ผ่านหุ่นซอมบี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับหลิงม่อ แต่ตอนนี้เมื่อพลังจิตแกร่งขึ้น พอได้ลองใช้วิธีนี้อีกครั้ง กลับกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที
ทว่าองศาและขอบเขตในการสำรวจจำกัดกว่าการสำรวจด้วยตัวเองอย่างเห็นได้ชัด แต่โชคดีที่ในห้างฯ แห่งนี้เป็นสภาพแวดล้อมแบบปิด และจุดที่เขาต้องการสำรวจก็มีแค่เพดานเท่านั้น
หุ่นซอมบี้เดินเลียบไปตามแนวผนังช้าๆ ขณะเดียวกัน หนวดสัมผัสทางจิตเส้นที่หลิงม่อใช้เชื่อมสายสัมพันธ์กับมันได้แตกแขนงออกไปหนึ่งเส้น แล้วยื่นขึ้นไปบนเพดาน
ในเวลาอย่างนี้เขาไม่จำเป็นต้องใช้หนวดสัมผัสจำนวนมาก เพราะด้วยความเร็วในการเคลื่อนไหวของหุ่นซอมบี้ ใช้แค่เส้นเดียวก็เพียงพอแล้ว
หุ่นซอมบี้ตัวเล็กค่อยๆ เข้าใกล้โซนที่มีซอมบี้รวมตัวกันอยู่ มันชะลอฝีเท้าลงเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต
ถึงแม้หลิงม่อจะร้อนใจ แต่นั่นไม่เป็นปัญหาต่อการเพ่งสมาธิของเขา เพราะหนวดสัมผัสทางจิตยังคงตรวจค้นทั่วทุกระเบียดนิ้วไม่มีพลาด
ดวงแสงแห่งจิตที่อยู่รอบๆ มีมากเกินไป และทุกดวงก็มีคลื่นที่รุนแรง บวกกับหุ่นซอมบี้ตัวเล็กที่เริ่มได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ การตรวจค้นของหลิงม่อจึงเริ่มเป็นเรื่องยากขึ้น
“ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะหาแกไม่เจอ…”
หลิงม่อขมวดคิ้ว พลันเร่งการถ่ายเทพลังงานทางจิตให้เร็วขึ้น
ทันใดนั้น คลื่นดวงจิตที่รุนแรงมากกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในขอบเขตการตรวจจับด้วยพลังจิตของหลิงม่อ!
หุ่นซอมบี้หยุดเดินทันที
เนื่องจากอีกฝ่ายมีพลังสูง แม้จะเป็นแค่พลังจิตสำรวจ ก็อาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้
หลังจับคลื่นดวงจิตกลุ่มนี้ได้ หลิงม่อไม่ได้เร่งรีบค้นหาตำแหน่งของดวงแสงแห่งจิตทันที แต่เขารออยู่ 2 วินาที แล้วจึงค่อยควบคุมหนวดสัมผัสให้เคลื่อนไหวไปตามแนวเพดานช้าๆ
หนวดสัมผัสเคลื่อนไหวไปอย่างเชื่องช้า ขัดแย้งกับจิตใจของหลิงม่อที่กำลังร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
แต่ยิ่งในเวลาอย่างนี้ ยิ่งไม่ควรรีบร้อน…
“ฮู่ว…”
หลิงม่อสูดหายใจเบาๆ เพื่อสงบความรู้สึกกังวลในใจ
สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษสายพลังจิต ความแกร่งของพลังจิตและท่าทีในขณะต่อสู้นั้นสำคัญพอๆ กัน หากไม่รอบคอบ ไม่มีสมาธิ ก็ไม่อาจแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาได้
จุดนี้ความจริงผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายก็เป็นเหมือนกัน หากไม่มีความมุ่งมั่นในการต่อสู้อย่างแรงกล้า พวกเขาก็ไม่อาจแสดงพลังออกมาได้เช่นกัน
เมื่อหลิงม่อปรับจังหวะลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ ใน “สายตา” ของเขาก็หลงมีเพียงดวงแสงแห่งจิตที่มากมายจนนับไม่ถ้วน
และคลื่นดวงจิตอันรุนแรงที่เขาจับได้เมื่อกี้ ก็มาจากดวงแสงแห่งจิตที่อยู่บนเพดานนั่น…
เจอแล้ว!
ในจุดที่อยู่ห่างจากหัวของหุ่นซอมบี้ไม่ถึง 20 เมตร ดวงแสงแห่งจิตดวงหนึ่งกำลัง “ล่องลอย” อยู่ตรงนั้น…
“สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าซอมบี้นก…เป็นซอมบี้ หรือสัตว์กลายกันพันธุ์กัน?
ดวงแสงแห่งจิตสีแดงเลือด เป็นของสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เห็นเพียงเท่านี้ หลิงม่อยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตัวจริงของมันรูปร่างเป็นอย่างไร และไม่อาจแยกแยะได้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ใด
“ลองทดสอบดูหน่อยดีไหม?”
หลิงม่อคิดในใจ ขณะเดียวกันเขาได้ควบคุมหุนซอมบี้ตัวเล็กให้หันไปมองทางที่พวกเย่เลี่ยนอยู่
เมื่อมองผ่านชั้นวางของที่เรียงรายกันอยู่ เขามองเห็นแค่เหล่าซอมบี้จำนวนมากที่กำลังเข่นฆ่ากันเอง
ในตอนนั้นเอง หุ่นซอมบี้เห็น ณ มุมหนึ่งของห้างฯ มีแสงสะท้อนวาบวับของอาวุธมีคมประกายขึ้น ตามมาด้วยเลือดที่พุ่งกระฉูดกลางอากาศ
“ซย่าน่า…”
คมมีดโค้งงอรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่เห็น คือเคียวดาบในมือของซย่าน่านั่นเอง
หลิงม่อไม่ได้สับเปลี่ยนมุมมองสายตา เพราะตอนนี้เขาจำเป็นต้องเพ่งสมาธิขั้นสูง
“มีซอมบี้รวมตัวกันอยู่ในนี้อย่างน้อย 200 – 300 ตัว แล้วยังมีซอมบี้กำลังเบียดเสียดกันเข้ามาเพิ่ม…แต่ว่า พวกมันกลับไม่เข้ามาใกล้ตรงนี้เลย…”
หลิงม่อครุ่นคิดอย่างละเอียด สุดท้ายก็หันหน้ามองเข้าไปในทางเดิน
“เอาอย่างนี้แหละ…”
หลังตัดสินใจได้ เขาก็ดึงมู่เฉินขึ้นมา แล้วประคองเขาเดินไปทางประตูเหล็กซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง
ด้านนอกประตูเหล็ก มีเฮยซือยืนรออยู่ก่อนแล้ว
แต่ดูเหมือนว่ามันคงจะอดทนจนถึงขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ร่างกายกระตุกสั่นอยู่ชั่วขณะแล้วลืมตาขึ้น สีหน้าก็กลับมาบูดบึ้งเป็นอวี๋ซือหรานเหมือนเดิม
“เจ้าเฮยซือ…” ดวงหน้าเล็กคล้ายตุ๊กตานั่น ไม่ว่าจะกัดฟันกรอดๆ อย่างไรก็ดูไม่น่ากลัวซักนิด
หลิงม่อโยนมู่เฉินออกไป แล้วพูดตัดบทเธอว่า “เธอกับเสี่ยวป๋ายเฝ้าข้างนอกไว้ให้ดี หากมีสิ่งมีชีวิตเข้าใกล้ ก็อย่ารีบลงมือจัดการ เน้นซ่อนตัวไว้ก่อน ดูมู่เฉินไว้ด้วย ถ้าฟื้นก็ตีให้สลบ”
ด้านหนึ่ง พวกเธอสามารถเตือนภัยเขาได้ ในอีกด้าน ก็เพื่อที่พวกเธอจะช่วยเหลือเขาได้ตลอดเวลา…
“นายก็ปลุกให้เขาตื่นแล้วพาไปด้วยก็ได้นี่?” อวี๋ซือหรานกลับโฉบหลบออกไปด้านข้าง ทำให้มู่เฉินล้มพับลงไปนอนกับพื้นดัง “พลั่ก” แต่เขาก็ยังไม่ตื่นอยู่ดี…
“เฮ้ย…” หลิงม่อหน้าบึ้ง
โชคดีที่เขาเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ล้มแค่นี้คงไม่เป็นไร แถมยังไม่ฟื้นด้วย…
แต่เขากำลังรีบนะ!
อวี๋ซือหรานเองก็เม้มปากทำหน้าบึ้ง แค่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงสัตว์กลายพันธุ์ยังไม่พอ ตอนนี้แม้แต่มนุษย์เขาก็ยังกล้าโยนมาให้เธอรับผิดชอบอีก…
“เขาไม่ใช่ผู้มีพลังจิตนะ อีกเดี๋ยวถ้าเกิดเขาลอบแทงฉันจากข้างหลังอีกจะทำยังไง? ตอนนี้เขากลายเป็นคนหักหลังพวกเดียวกันเหมือนเธอไปแล้ว” ไม่รอให้อวี๋ซือหรานโต้เถียง หลิงม่อปิดประตูดัง “ปัง” ทันที
หลังปิดประตู เขาเดินเข้าไปในทางเดิน แล้วเหลือบมองไปทางห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล
“เลี้ยงเหยื่องั้นหรอ…”
หลิงม่อเพ่งสมาธิ ขณะเดียวกันหุ่นซอมบี้ก็โน้มตัวอยู่ด้านล่างตำแหน่งของดวงแสงแห่งจิตดวงนั้น
มาถึงขั้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นซอมบี้หรือสัตว์กลายพันธุ์ต่างก็มีสติปัญญาที่ค่อนข้างสูงแล้ว พวกมันจะไม่เผยพลังของตัวเองให้เห็นในทันที
หลังคำนวณองศาเสร็จ หุ่นซอมบี้ตัวเล็กก็กระโดดขึ้นเงียบๆ และใช้นิ้วมือเจาะเข้าไปในเพดานบนศีรษะทันที
เนื่องจากหลิงม่อได้คำนวณระดับความแรงไว้ด้วย ดังนั้นถึงแม้นิ้วมือจะแทงเข้าไปในผิวเหล็กของเพดาน แต่กลับไม่ส่งเสียงดังมากนัก
ซอมบี้ที่อยู่ไกลออกไปทางนั้น ไม่มีตัวไหนหันมาสนใจเลย
“ชิบหาย เล็งไม่โดน!”
หลิงม่อคำนวณระยะห่างจริงผิด ก็ช่วยไม่ได้ ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้าสิ่งนั้นจะอยู่ข้างในเพดาน…
ทว่าการเคลื่อนไหวนี้เหมือนจะทำให้มันรู้ตัวแล้ว คลื่นจากดวงแสงแห่งจิตดวงนั้นไหวกระเพื่อมชั่วขณะ
“วิ่ง!”
พอเห็นมันขยับเขยื้อน หลิงม่อรีบควบคุมหุ่นซอมบี้ให้หมุนตัวออกวิ่งไปทางห้องบันได้ด้วยความเร็วสูงทันที
ขณะเดียวกัน มือข้างหนึ่งของหุ่นซอมบี้แบออก เผยให้เห็นก้อนเหนียวหนืดก้อนหนึ่ง
ก้อนเหนียวหนืดนี้ไม่น่าสนใจมากพอสำหรับซอมบี้ที่คลุ้มคลั่งไปแล้วเหล่านั้น แต่หลิงม่อเดาว่ามันน่าจะทำให้หุ่นซอมบี้มีความสำคัญมากขึ้นในสายตาเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้…
ถ้าหากการโจมตีเมื่อกี้เข้าเป้า เขาคงไม่ต้องใช้ลูกไม้สำรองนี้
ตามคาด เจ้าซอมบี้ระดับต่ำที่น่าประหลาดตัวนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากเจ้าสัตว์ประหลาดสำเร็จ ดวงแสงแห่งจิตของมันเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้หลิงม่อไม่มีเวลาหันไปสำรวจมันอีกแล้ว เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการควบคุมให้หุ่นซอมบี้วิ่ง
หุ่นซอมบี้เร่งความเร็วจนถึงขีดสุด กล้ามเนื้อของมันเริ่มมีแนวโน้มว่าจะฉีกขาด แต่ถึงอย่างนั้นสายลมแรงสายหนึ่งก็ยังพุ่งเฉียดหัวของมันไป!
หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ก้มหัวโดยอัตโนมัติ ในใจพลางนึกหวาดเสียว!
โชคดีที่หุ่นซอมบี้ตัวเตี้ย…
ที่นี่มีแสงสว่างไม่มาก และหลิงม่อก็ไม่กล้าหันหลังกลับไปมอง จึงไม่รู้ว่ารูปร่างของสัตว์ประหลาดที่กำลังไล่ตามเขาอยู่บนเพดานเป็นอย่างไรกันแน่
แต่แค่ได้ยินเสียง “ขึกๆ” ที่ไล่ตามมาอย่างไม่ยอมลดละ ก็ทำให้หนังศีรษะตึงชาแล้ว!
แต่โชคดีที่ซอมบี้พวกนั้นไม่ได้ตามมาด้วย
“นึกไว้ไม่มีผิด ในฐานะผู้เลี้ยงเหยื่อ การที่มันปล่อยกลิ่นเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งออกมาไม่ได้ทำให้มันถูกเปิดเผยตัวตน กลับเป็นการป้องกันตัวเอง แล้วรอเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างปลอดภัย…เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มีสมองจริงๆ…”
สวบ!
กระแสลมแรงพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้ถึงแม้หลิงม่อจะก้มหัวได้ทันเวลา แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างบนหัวที่หายไป
เขายกมือขึ้นลูบดู แล้วก็ต้องตกตะลึง
ผมหายไปหนึ่งกระจุก…
เส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ!
วินาทีนี้ หุ่นซอมบี้ระเบิดความสามารถทั้งหมดออกมา ประตูเหล็กอยู่อีกไม่ไกลแล้ว อีก 10 มตรเท่านั้น!
ทว่าตอนนี้ประตูเหล็กกำลังเปิดแง้มไว้ ถึงแม้หุ่นซอมบี้จะวิ่งแทรกตัวออกไป แต่สัตว์ประหลาดที่ไล่ตามหลังมาจะต้องพุ่งชนเต็มๆ แน่นอน เสียงดังขนาดนั้น ซอมบี้พวกนั้นต้องได้ยินแน่ๆ…
5 เมตร!
1 เมตร!
ในเสี้ยววินาทีหุ่นซอมบี้อยู่ห่างจากบานประตูเหล็กเพียง 1 เมตรนั้นเอง ทันใดนั้นบานประตูก็ถูกดึงเปิดออกอย่างน่าประหลาด!
หนวดสัมผัสที่แตกแขนงออกมาเส้นนั้น ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในเวลานี้ได้พอดี
ฉึก!
เสี้ยววินาทีที่หุ่นซอมบี้พุ่งตัวผ่านประตู ความรู้สึกเหมือนเนื้อฉีกพลันแผ่มาจากแผ่นหลังของมัน
บาดเจ็บแล้ว!
และสิ่งที่ทำให้หลิงม่อตะลึงคือ ทั้งที่เป็นบาดแผลที่ไม่ได้อันตรายถึงตาย แต่สัญชาตญาณต่อต้านของหุ่นซอมบี้กลับรุนแรงขึ้น จนเกือบจะหลุดจากการควบคุมของหลิงม่อ
“เชื้อไวรัสคลุ้มคลั่ง…” หลิงม่อใจกระตุกวาบ ที่แท้เจ้าสิ่งนี้ก็ไม่ได้แพร่กระจายได้แค่ในอากาศอย่างเดียว!
“ก็นึกว่าเป็นแค่เครื่องผลิต…”
หลิงม่ออดทนต่ออาการมึนหัวเบาๆ แล้วควบคุมหุ่นซอมบี้ให้วิ่งพุ่งมายังตำแหน่งที่ตัวเองอยู่
—————————————————————————–
บทที่ 706 “วิกผม” สยองขวัญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อระยะห่างระหว่างหุ่นซอมบี้กับร่างจริงลดลงเรื่อยๆ พลังจิตของหลิงม่อก็เพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุด!
สำหรับอันตรายที่ไม่รู้จัก มนุษย์ล้วนหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ
แต่ภายใต้สภาวะที่รวบรวมสมาธิจนถึงขั้นสูงสุด ตอนนี้หลิงม่อกลับมีความรู้สึกตื่นเต้นปนอยู่ด้วย!
สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่าซอมบี้นก นั่นก็แสดงว่ามันอยู่ในระดับที่สูงกว่าซอมบี้ราชาน่ะสิ!
และสภาพร่างกายของหลิงม่อในตอนนี้ก็ดีกว่าตอนสู้กับซอมบี้นกมาก
“ถึงจะฆ่ามันไม่ได้ แต่เราก็ยังมีทางหนีและแผนรับมือ…”
หลิงม่อคิดอย่างใจเย็น ขอเพียงทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้หยุดสร้างเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งได้ พวกเย่เลี่ยนก็จะหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากตรงนั้น…
ภารกิจของเขามีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือซ้อมเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ให้น่วมภายในเวลาที่น้อยที่สุด!
ขึกๆๆ…
เสียงด้านหลังเริ่มใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว สายตาหลิงม่อจับจ้องไปที่ทางเลี้ยวเขม็ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตาด้วยซ้ำ!
หุ่นซอมบี้ได้รับบาดเจ็บจนสภาพเหนื่อยล้าเต็มทน แต่ก็ยังคงวิ่งทะยานด้วยความเร็วสูงต่อไป
ขอเพียงมันยืนหยัดวิ่งมาจนถึงตรงหน้าหลิงม่อได้ หลิงม่อก็จะได้โอกาสในการลงมือก่อนทันที
ขณะเดียวกับที่สัมผัสได้ถึงสัตว์ประหลาดที่วิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ หุ่นซอมบี้ที่เร่งความเร็ววิ่งอย่างสุดชีวิต ได้ตวัดสายตามองไปยังกำแพงด้านหน้า
ไม่ว่าจะวิ่งเร็วแค่ไหน แต่เสี้ยววินาทีที่วิ่งเลี้ยวอย่างไรก็ต้องเกิดการสะดุดอย่างแน่นอน…
วิ่งชนไปเลย!
เสี้ยววินาทีที่เห็นว่าใกล้จะพุ่งชนกำแพงด้านหน้าเต็มทีแล้ว หุ่นซอมบี้พลันกระโดดยกเท้ายันกำแพงด้านหน้า จากนั้นก็อาศัยแรงส่งตัวหมุนตัวกลับมายังทิศที่อยู่ด้านหน้าหลิงม่ออย่างรวดเร็ว
ในเสี้ยววินาทีนั้น หลิงม่อที่ควบคุมหุ่นซอมบี้อยู่รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พุ่งเฉียดหัวหุ่นซอมบี้ไปอย่างชัดเจน
การที่มีความรู้สึกร่วมต่ออันตรายที่เสี่ยงถึงชีวิตอย่างนี้ กลับทำให้หลิงม่อใจเต้นอย่างประหลาด
“ไม่น่าล่ะในสมัยที่โลกยังสงบสุขอยู่ถึงได้มีคนรนหาที่ตายหลายรูปแบบอยู่บ่อยๆ ถึงการเหยียบอยู่บนเส้นแห่งความตายจะน่ากลัวมาก แต่มันก็ท้าทายมากด้วยเหมือนกัน…”
ตอนนี้หลิงม่อเริ่มตระหนักได้แล้วว่าเมื่อแหล่งเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งเข้ามาใกล้ ตัวเขาเองก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
“ปึง!”
ขณะเดียวกับที่หุ่นซอมบี้ทิ้งตัวลงพื้น เงาดำกลุ่มหนึ่งก็ได้ปรากฏตรงหน้าหลิงม่อด้วยเช่นเดียวกัน
แค่เห็นแวบแรก หลิงม่อก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
นี่มันตัวอะไรเนี่ย?!
แวบแรก ภาพที่เห็นเหมือนกองเส้นผมยาวเฟื้อยของผู้หญิง!
บนเส้นผมเหล่านั้นมีคราบของเหลวเหนอะหนะสีใสไร้กลิ่นเลอะอยู่เต็มไปหมด สภาพเหมือนเพิ่งถูกล้วงออกมาจากในน้ำอย่างไรอย่างนั้น
แต่ว่า เส้นผมที่ไหนจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วปานนั้นกันล่ะ…
ส่วนสัตว์กลายพันธุ์…หลิงม่อไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสัตว์กลายพันธุ์ที่ไหนมี “ผม” มากขนาดนี้
แต่พอนึกถึงเฮยซือ หลิงม่อก็ปล่อยวาง
สมัยนี้มีอะไรบ้างที่เป็นไปไม่ได้…
ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อก่อนสัตว์ประหลาดตัวนี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เอาเป็นว่าตอนนี้มันวิวัฒนาการจนมีสภาพเป็นอย่างนี้ไปแล้ว…
“เส้นผม” เหล่านั้นเลื้อยออกมาจากช่องโหว่บนเพดาน ส่วนเจ้าสัตว์ประหลาดยังคงหลบอยู่ด้านในเพดานไม่ยอมปรากฏตัวเหมือนเดิม
การที่มันวิวัฒนาการจนกลายเป็นอย่างนี้ เดาว่าคงจะเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของมันด้วย
ถึงแม้เห็นแล้วว่าหุ่นซอมบี้ใกล้จะวิ่งมาถึงตรงหน้าตัวเอง แต่หลิงม่อกลับยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
อีกไม่ถึง 10 เมตร!
หนวดสัมผัสหลายเส้นที่เตรียมพร้อมลุยนานแล้ว พลันกลายสภาพเป็นสสารในพริบตา!
เมื่อเสียงโจมตีดังขึ้นระลอกหนึ่ง “เส้นผม” เหล่านั้นก็ถูกตรึงติดอยู่กับที่ทันที
รูโหว่จำนวนมากที่เกิดจากการโจมตีของหนวดสัมผัสปรากฏขึ้นรอบ “เส้นผม” ในรัศมีหนึ่งเมตร ไม่นาน ของเหลวหนืดอีกจำนวนมากก็ไหลออกมาจากรูโหว่บางรู…
“เอ๋? แล้วเลือดล่ะ?!”
หลิงม่อตะลึง เขารู้อยู่แล้วว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้อาจมีรูปร่างที่พิสดารมาก ดังนั้นถึงได้รวมพื้นที่ด้านหน้าของเส้นผมกองนั้นอยู่ในขอบเขตการโจมตีด้วย แต่นี่กลับมีแค่ของเหลวหนืดไม่มีเลือดไหลออกมา หมายความว่ายังไงกัน!
แม้แต่เข้าเครื่องผลิตยากล่อมประสาทนั่น ก็ต้องมีเลือดสิ!
ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาให้หลิงม่อครุ่นคิดแล้ว เห็นชัดว่าเจ้าสัตว์ประหลาดไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก มันจึงพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว
และครั้งนี้ เป้าหมายหลักของมันก็กลายมาเป็นหลิงม่อแทนแล้ว!
“เชี่ยยย…”
หนวดสัมผัสกลุ่มใหญ่พุ่งแทงเข้าไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันหุ่นซอมบี้ก็กระโดดขึ้นคว้าหนึ่งใน “เส้นผม” เหล่านั้น จากนั้นก็ออกแรงกระชากลงมา
ทันทีที่สัมผัสถูก “เส้นผม” หลิงม่อรับรู้ได้ทันทีว่าผิวของหุ่นซอมบี้ฉีกออกจากกัน กระทั่งยังมีเส้นผมเส้นหนึ่งแทรกเข้ามาในร่างมัน…
แต่แรงกระชากของหุ่นซอมบี้ก็ทำให้เพดานแยกกว้างได้สำเร็จ ทำให้ “เส้นผม” กองโตก็หล่นลงมาทั้งอย่างนั้น
หุ่นซอมบี้ตัวเล็กรีบเบี่ยงหลบ แต่บนฝ่ามือของมันในเวลานี้กลับมีบาดแผลที่น่ากลัวสุดเหลือทิ้งไว้หนึ่งแผล
เส้นเลือดนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันก็ยังมี “เส้นผม” เส้นหนึ่งแทงเข้าไปในเส้นเลือด และกำลังดิ้นไปมาอยู่ในนั้น
หลิงม่อเห็นแล้วหนังศีรษะตึงชา เขารีบสั่งให้หุ่นซอมบี้ดึงมันออกทันที
แต่ว่ามันดึงยากมาก…
แม้ “เส้นผม” นี่จะบางมาก แต่กลับมีหนามเล็กๆ งอกอยู่เต็มไปหมด พอกระชากออก ก็พบว่าใต้ท้องแขนของหุ่นซอมบี้มีรอยช้ำเลือดอยู่หนึ่งรอย
“สัตว์ประหลาดตัวจริงเลยนะเนี่ย…”
หลิงม่อค่อยๆ ก้าวถอยไปทางห้องน้ำ แต่สายตากลับจับจ้องไปที่ “เส้นผม” กองนั้น
เสี้ยววินาทีที่ “เส้นผม” ร่วงลงมา เขาก็ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้
ความจริงแล้ว องค์ประกอบสำคัญของมัน กลับเป็นร่างกายของคน…
ทว่าแค่ดูจากสิ่งที่ไหลออกมาจากร่างกายนั้นก็รู้แล้วว่าร่างกายนั้นเป็นเพียงหนังหุ้มภายนอกเท่านั้น
และเมื่อดูจากน้ำหนักตัว ก็ไม่น่าจะเป็นผู้ใหญ่ทั่วไป
หลิงม่อนึกถึงซอมบี้น้ำขึ้นมาทันที แต่เจ้านี่กลับน่าขยะแขยงกว่าซอมบี้น้ำเป็นร้อยเท่า
“เส้นผม” เหล่านั้นปกคลุมส่วนศีรษะของร่างกายที่เป็นเพียงหนังหุ้มภายนอกไว้จนมิด เหมือนมันงอกออกมาจากร่างกายนั้นจริงๆ…
“ถ้าหากผมของซอมบี้วิวัฒนาการจนเป็นอย่างนี้ได้จริงๆ ฉันก็ยอมแพ้ต่อความแปลกใหม่ของเชื้อไวรัสจริงๆ…” หลิงม่อลอบกลอกตา
เขาเตรียมหนวดสัมผัสไว้พร้อมแล้ว รอเพียงคำสั่งโจมตี “เส้นผม” กองนี้เท่านั้น
ทว่าการกระชากเมื่อกี้ของหุ่นซอมบี้ตัวเล็กได้บ่งบอกแล้วว่า “เส้นผม” กองนี้แข็งแรงมาก หากอาศัยแค่การโจมตีจากหนวดสัมผัสคงไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
ใช้วิธีเผาก็ไม่น่าจะเวิร์ค เพราะ “เส้นผม” กองนั้นเปียกของเหลวเหนอะหนะนั่นเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าจะติดไฟหรือไม่ อีกอย่างดูท่าแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็คงไม่เปิดโอกาสนั้นให้หลิงม่อแน่นอน…
“ลองหาจุดอ่อนดูก่อน…”
หลิงม่อยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ แต่ในความเป็นจริงเขากำลังเกร็งร่างไปทั้งตัวและเตรียมพร้อมที่รับมืออยู่ตลอดเวลา
ตาข่ายหนวดสัมผัสแผ่ปกคลุมอยู่ตรงหน้าเขา ไม่ให้ “เส้นผม” เหล่านั้นแทงเข้ามาในร่างกายของเขา
“เส้นผม” กองนั้นดิ้นขยุกขยิก 2 – 3 ที จากนั้นก็ค่อยกลิ้งเข้ามา
สิ่งที่ทำให้หลิงม่อคิดไม่ถึงคือ ร่างกายคนที่เขาคิดว่าเป็นเพียง “หนังหุ้มนั่น” ก็ขยับด้วยเหมือนกัน…
“ไม่ใช่แล้วมั้ง…”
ดูท่าทางการเคลื่อนไหวติดๆ ขัดๆ ของหนังหุ้มนั้นแล้ว หลิงม่อรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
เขาเหลือบมองอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที…
ไม่แปลกที่จะขยับได้ เพราะมีเส้นผมมากมายแทงเข้าไปในร่างนั้น…
ทว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ทำได้เพียงฝืนยืนขึ้นมา แต่กลับไม่สามารถเคลื่อนไหวในอิริยาบถยากๆ ได้
หลิงม่อโจมตีข้อต่อหลายจุดติดต่อกัน แต่กลับทำได้เพียงเห็นมันคุกเข่าลง และไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของมันได้
“โจมตีหนังหุ้มไม่ได้ส่งผลต่อร่างจริงสินะ…จะว่าไปแล้ว ทำไมสัตว์กลายพันธุ์ถึงได้ชอบใช้ร่างคนกันนักนะ…”
ไม่รู้หรอว่าทำแบบนี้มันน่ากลัวขนาดไหน!
ปัญหานี้ผุดขึ้นมาในสมองหลิงม่อในเวลาที่ไม่เหมาะสมอีกครั้ง ช่วยไม่ได้ ก็หลิงม่อคาใจกับปัญหานี้มากจริงๆ…
เสัตว์กลายพันธุ์ก็เป็นสัตว์ไปสิ ทำไมต้องจ้องแต่จะสิงร่างมนุษย์ด้วย…
หลิงม่อไม่อาจเดารูปร่างเดิมของ “เส้นผม” กองนี้ได้เลย ทว่าในระหว่างที่มันกำลังลุกยืน หลิงม่อก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
นั่นมันวิกผมสยองขวัญชัดๆ…
หมวกหุ้มสีดำสนิทคลุมศีรษะของร่างกายที่เป็นเพียงหนังหุ้มไว้จนมิด โดยเนื้อหมวกคลุมจะนูนขึ้นเป็นรูปเครื่องหน้าทั้งห้าให้เห็นรางๆ
“หมวกคลุม” นี้เหมือนจะหนาประมาณหนึ่งนิ้ว ทำให้เห็นเครื่องหน้าทั้งห้าได้ไม่ชักเจนนัก แต่ถึงแม้ไม่เห็นก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวอย่างชัดเจน
และ “เส้นผม” เหล่านั้นก็งอกอยู่บน “หมวกคลุม” สีดำนั่น เดาว่าน่าจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
“เส้นผม” กลุ่มที่งอกอยู่ใน “หมวกคลุม” สามารถแทงเข้าไปในร่างกายที่เป็นเพียงหนังหุ้มได้ เพื่อตรึง “หมวกคลุม” ให้ติดกับร่างหนังหุ้ม แล้วยังทำให้ร่างหนังหุ้มสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วย
ส่วนกลุ่มที่อยู่ข้างนอก มีไว้เพื่อการโจมตี
“คล้ายเฮยซืออยู่นะเนี่ย…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้
ถ้าหากเฮยซือรู้ว่าเขาคิดอย่างนี้ เดาว่ามันคงจะสติแตก…
เฮยซือถือว่ามีรูปลักษณ์ภายนอกที่อ่อนโยนมาก แต่เจ้า “วิกผม” ตรงหน้านี้ กลับมีรูปร่างหน้าตาหน้าเกลียดน่ากลัวสุดๆ…
เห็นชัดว่าเจ้า “วิกผม” พูดไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันมีสติปัญญาหรือไม่
ในเมื่อเป็นสัตว์กลายพันธุ์ เขาก็คงไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันอยู่ในระดับไหนแล้ว
“ดูจากพลังทำลายล้าง…น่าจะเทียบเท่ากับระดับซอมบี้ราชาล่ะมั้ง แต่รูปร่างหน้าตาอันพิเศษนี่ กลับร้ายกาจกว่าซอมบี้ในระดับเดียวกันมาก…
ตอนนี้หลิงม่อได้แอบก้าวถอยไปจนถึงหน้าประตูห้องน้ำเพื่อเตรียมหลบหนีแล้ว
แต่ก่อนจะหนี เขาต้องอัดเจ้า “วิกผม” ให้น่วมเสียก่อน
ฉวยโอกาสตอนที่เจ้า “วิกผม” ยังไม่ลุกขึ้นยืน หลิงม่อแผ่หนวดสัมผัสพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
คราวนี้เขารวบ “วิกผม” ทั้งหมดเข้าด้วยกัน จากนั้นก็แทงเข้าไปในหมวกคลุมนั้นโดยตรง
“นี่คือร่างจริงของแกใช่ไหมล่ะ!”
—————————————————————————–
บทที่ 707 โคตร**ในประวัติศาสตร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฉึก!”
ภายใต้สถานการณ์ที่ “หมวกคลุม” ไม่อาจต้านทานได้ หนวดสัมผัสรูปสสารที่มีแรงเจาะสูงได้แทงทะลุเข้าไปอย่างแรง
พุ่งเข้าไปโดนส่วนสันจมูกอย่างแม่นยำ!
“แกร่ก!”
เสียงกระดูกหักดังลั่น สันจมูกที่เดิมยังพอนูนขึ้นมาให้เห็นเป็นรูปร่างรางๆ ยุบลงไปประมาณ 3 เซนติเมตร
ถ้าหากไม่มี “หมวกคลุม” คอยหุ้มไว้ หนวดสัมผัสเส้นนี้คงทำให้ใบหน้าส่วนกลางของร่างหนังหุ้มยุบลงไปแล้ว
หากเป็นอย่างนั้น สภาพของมันก็จะยิ่งดูน่าสยองมากกว่าเดิม…
ตอนที่ได้ยินเสียงกระดูกหัก แม้แต่หลิงม่อก็ยังรู้สึกหนังศีรษะชา
ทว่าไม่นาน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าส่วนนั้นยุบลงไปจริงๆ แต่…”หมวกคลุม” กลับไม่ได้ถูกแทงทะลุ!
และสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ เมื่อการโจมตีของพลังงานทางจิตกลุ่มนี้สิ้นสุดลง ร่องลึกที่ยุบลงไปนั่นกลับค่อยๆ นูนขึ้นมาเหมือนเดิม
ถึงแม้จมูกจะหักและไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แต่เนื้อส่วนนั้นก็นูนขึ้นมาจนอยู่ในระดับเดียวกับผิวแก้มทั้งสองข้าง…
ความยืดหยุ่นของผิวคือสุดยอด!
หลิงม่อได้ถ่ายพลังงานทางจิตเข้าไปในหนวดสัมผัสทางจิตเส้นนี้ไปเยอะมาก
ถ้าหากเขาเปลี่ยนเป้าหมายในการโจมตีจาก “หมวกคลุม” ไปเป็นพื้นปูน เขาสามารถทำให้เกิดหลุมลึกได้ถึงครึ่งนิ้วมือเลยทีเดียว
เขารู้ว่าตัวเองอาจไม่สามารถเจาะทะลุ “หมวกคลุม” ได้ แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นแบบนี้
นี่มันวิชาทะลวงภูผาทุบตีโคถึกฉบับรังแกคนชัดๆ! (วิชาทะลวงภูผาทุบตีโคถึก 隔山打牛เป็นการเปรียบเทียบว่าสามารถส่งผ่านพลังไปโจมตีอีกฟากของภูเขาได้โดยที่ไม่ต้องทำลายภูเขาก่อน โดยทั่วไปหมายถึงเวลาเจอศัตรูที่สวมใส่เกราะแข็งๆ หรือมีพลังวิชาที่กล้ามเนื้อภายนอกแข็งแกร่งจนทุบตีไม่เข้า กระบวนท่าหรือเคล็ดวิชา 隔山打牛 จะสามารถทะลวงเข้าไปทำลายอวัยวะภายในได้โดยไม่ต้องทุบตีเกราะนอกจนแหลกก่อน)
“หมวกคลุม” ที่เป็นเป้าหมายโจมตีไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ส่วนร่างหนังหุ้มนั้นถือว่าถูกโจมตีจนเหวอะหวะแล้ว แต่ในพริบตาเดียวเนื้อหนังส่วนนั้นกลับนูนขึ้นจนเต็มอย่างรวดเร็ว…
หลิงม่อพยายามคุมตัวเองไม่ให้นึกถึงภาพแผลเหวอะหวะใน “หมวกคลุม” เขาไม่อยากเสียสมาธิเพราะความขยะแขยง
“เราคิดผิด เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้พิสดารกว่าเฮยซือหลายเท่า…อย่างกับขนมเยลลี่เหนียวหนืด…”
มันถือว่าเป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุด…
“จะโจมตียังไงดี?”
หลิงม่อเร่งหาวิธี ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกปวดหนึบที่ขมับแล้ว
“เส้นผม” เหล่านั้นกำลังพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการ ถึงแม้การเคลื่อนไหวไม่ดุดัน แต่พละกำลังที่เหมือนเครื่องอัดซากรถยนต์นั่น กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล
ขืนยื้อยุดกับมันต่อไปอย่างนี้ การเผาผลาญพลังจิตของหลิงม่อจะต้องอยู่ในขีดอันตรายแน่นอน
ที่สำคัญคือ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังหลั่งของเหลวหนืดชนิดนั้นออกมาอย่างต่อเนื่อง…
“เส้นผม” ที่แทงเข้าไปในร่างหนังหุ้มและ “เส้นผม” ที่งอกอยู่ด้านนอกของมันเชื่อมต่อกันอยู่ ของเหลวหนืดเหล่านั้นถูกดูดออกมาจากในร่างกาย และไหลมายัง “เส้นผม” ที่อยู่ข้างนอก
ของเหลวหนืดนี้ไม่มีกลิ่น แต่หลิงม่อยืนอยู่ใกล้ๆ มันเพียงไม่นาน ก็รู้สึกเหมือนส่วนลึกข้างในกำลังตื่นตัวและฮึกเหิมอย่างรุนแรง…
สัญชาตญาณต่อต้านของหุ่นซอมบี้ก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นส่งผลให้หลิงม่อต้องเผาผลาญพลังจิตมากกว่าเดิม
“เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ที่จริงเป็นนักวางยามือโปรสินะ! เล่นวางยาตลอดเวลาที่สู้กันอย่างนี้!” ตอนนี้หลิงม่อเข้าใจแล้วว่าทำไมซอมบี้นกถึงต้องหนี มันต้องเป็นอาหารชั้นเลิศในสายตาของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้แน่ๆ หากอยู่ในเมืองเดียวกัน ไม่เกิน 2 – 3 วัน เจ้า “วิกผม” จะต้องทำให้มันเดือดร้อนอย่างแน่นอน
เจ้าซอมบี้นกทั้งมีพลังที่แข็งแกร่งเคลื่อนไหวก็เร็ว หากจะวิ่งหนีก็ไม่ใช่ปัญหา แต่หากคิดจะสู้กับ “วิกผม” ก็คงเป็นเรื่องยาก
จัดการเจ้า “วิกผม” ในเวลาอันสั้นก็ไม่ได้ พอนานไปก็อาจถูกวางยาไปเรื่อยๆ อีก…
“รู้อย่างนี้ตั้งชื่อให้มันว่าอลิซาเบธตั้งแต่แรกซะก็ดี…” หลิงม่อคิดว่าเจ้า “วิกผม” ต้องยึดมั่นกับอลิซาเบธมากแน่ๆ…
“ขึกๆ!”
หัวของเจ้า “วิกผม” ขยับเขยื้อนเล็กน้อย เหมือนมันกำลัง “เงยหน้า” มองมาทางหลิงม่อ
หลิงม่อสะดุ้ง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบส่งหนวดสัมผัสทางจิตสองเส้นพุ่งเข้าไปอีกครั้งทันที
ครั้งนี้พละกำลังในการโจมตีสูงกว่าเมื่อกี้หนึ่งส่วน เขาอยากรู้ว่าความสามารถในการต้านทานของมันจะร้ายกาจถึงขั้นไหนกันแน่
“ฉึก ฉึก!”
หัวของเจ้า “วิกผม” หมุนไปข้างหลังกว่า 100 องศา ซึ่งดูเป็นมุมที่ประหลาดมาก
แต่หลังจากนิ่งไป 2 วินาที เสียง “ขึกๆ” ก็ดังขึ้นมาจากด้านใน “หมวกคลุม” อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน “ใบหน้า” ที่หมุนไปข้างหลังก็ค่อยๆ หมุนกลับมาเหมือนเดิม
หลิงม่อเห็นแล้วเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง ต้องทำให้น่ากลัวถึงขนาดนี้เลยหรอ…
ในขณะเดียวกัน รอยยุบ 2 รอยบนใบหน้าก็นูนขึ้นจนเต็มอีกครั้ง ไม่ต้องเดาหลิงม่อก็รู้ว่าสิ่งที่ใช้เติมเต็มรอยยุบนั้นคืออะไร…
“เดี๋ยวนะ…ร่างหนังหุ้มนี้คงไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่ภาชนะอย่างเดียวหรอกมั้ง?”
ชั่วขณะหนึ่ง หลิงม่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เพราะเคยเห็นซอมบี้น้ำมาก่อน หลิงม่อจึงไม่ค่อยสนใจร่างหนังหุ้มมากเท่าที่ควร
ตอนแรกเขานึกว่ามันมรไว้เพื่อใส่ของเหลวหนืดนั่น แต่เจ้า “หมวกคลุม” นั่นกลับทำให้หลิงม่อเปลี่ยนความคิด
ไม่ใช่แค่นั้น…
“เหมือนกับ…แมงมุมหรือเปล่า?”
ความตื่นตะลึงฉายผ่านแววตาของหลิงม่อ
ถึงแม้ “วิกผม” จะดูไม่มีความเกี่ยวข้องกับแมงมุมเลยแม้แต่น้อย แต่รูปแบบของพวกมันคล้ายกันมาก!
ตัว “หมวกคลุม” ไม่น่าจะคายของเหลวหนืดนั่นออกมาได้มากขนาดนี้ แต่ถ้าหากมันสามารถคายสารละลายพิเศษบางอย่างออกมา ทำให้เลือดเนื้อในร่างกายของร่างนี้ให้กลายเป็นเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งก่อน…ถ้าอย่างนั้นก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าร่างหนังหุ้มร่างนี้ทำไมถึงยังคงสาภพภายนอกไว้ได้เหมือนเดิม ในขณะที่น้ำหนักตัวดูผิดปกติขนาดนั้น
และดูจากสภาพร่างกายที่บิดเบี้ยวของมัน เห็นได้ชัดว่าอวัยวะภายในเสียหายไปหลายส่วน……
ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกตอนที่หลิงม่อโจมตีส่วนใบหน้าของมัน ถึงแม้ส่วนกระดูกจะยังอยู่สมบูรณ์ แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงแรงต้านทานเมื่อแทงหนวดสัมผัสเข้าไป…
ซึ่งนั่นแสดงว่า ด้านในของส่วนศีรษะถูกทำความสะอาดจนเกลี้ยงแล้ว…
“โคตรบ้าเลยจริงๆ!” หลิงม่อขนลุกไปทั้งตัว นี่มันจะประหลาดเกินไปไหม โคตรของโคตรโรคจิตในประวัติศาสตร์แล้ว!
แถมการที่มันอาศัยอยู่บนเพดาน ก็ทำให้มันมีอัตราการอยู่รอดที่สูงกว่าซอมบี้ตัวอื่นมากด้วย!
จนถึงตอนนี้ มันถือว่ากลายเป็นเจ้าเมืองผู้ไร้เทียมทานแห่งเมืองชุ่ยหูไปแล้ว…
นั่นไม่ได้หมายถึงพลังทำลายล้างของมัน แต่หมายถึงวิธีการของมันต่างหาก
ถ้าหากพวกหลิงม่อไม่เจอมัน และปล่อยให้มันวิวัฒนาการต่อไปเรื่อยๆ ไม่แน่มันอาจทำให้พื้นที่ที่อันตรายจนห้ามเข้าขยายตัวใหญ่ขึ้นก็ได้
และสุดท้าย มันอาจกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่สุด!
“โชคดีที่มันไม่ใช่ร่างแม่อะไร…แต่เชื้อไวรัสที่มันคายออกมาก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังซอมบี้ที่อยู่รอบข้างเหมือนกัน หลังจากที่ซอมบี้พวกนี้ฆ่าและกลืนกินกันเอง ทิศทางในการกลายพันธุ์ย่อมต้องประหลาดไปจากเดิม…หากดูจากจุดนี้ มันก็ถือได้ว่าเป็นร่างแม่อยู่กึ่งหนึ่ง…”
ตอนนี้หลิงม่อรู้สึกหวาดกลัวสัตว์ประหลาดตัวนี้มาก หนวดสัมผัสทางจิตของเขาโจมตีอย่างต่อเนื่อง และเป้าหมายสำคัญในการโจมตีก็ได้เปลี่ยนไปเป็นร่างหนังหุ้มแทนแล้ว
ทำอะไร “หมวกคลุม” ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ทำลายร่างหนังหุ้มก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
หลิงม่อเองก็กังวลว่าถ้าทำลายร่างหนังหุ้มแล้วของเหลวหนืดนั่นจะไหลออกมาหมด ดังนั้นเขาจึงมุ่งเป้าโจมตีไปที่จุดข้อต่อกระดูกแทน
ถึงแม้จะมี “เส้นผม” เป็นฐานขับเคลื่อนในการเคลื่อนไหว แต่ถ้าหากกระดูกถูกตีจนแหลก ก็น่าจะทำให้เกิดอุปสรรคอยู่บ้าง…
“ฉึกๆๆๆๆๆๆ!”
“วิกผม” แทบจะตัวอ่อนล้มอยู่บนพื้น ถึงแม้แขนของมันจะยังสามารถขยับได้ในวิธีที่แปลกประหลาดสุดขีด แต่ก็ไม่สามารถใช้ต่อยตีได้แล้ว
หนวดสัมผัสของหลิงม่อก็ยังคงรวบ “เส้นผม” ของมันเอาไว้ด้วยกันไม่ยอมปล่อย ทว่าด้วยเรี่ยวแรงขัดขืนที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของอีกฝ่าย หลิงม่อรู้ดีว่าตัวเองเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว!
เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่เข้าใจวิธีการโจมตีของเขา ทำให้มันเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่การเสียเปรียบครั้งนี้จะสามารถทำให้มันได้รับบาดเจ็บจริงๆ หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับฝีมือของหลิงม่อ!
พอเห็นว่าร่างหนังหุ้มถูกทำลายพอสมควร และ “วิกผม” ก็อาจหลุดออกจากพันธนาการของเขาได้มุกเมื่อ หลิงม่อกลับไม่ได้ร่นถอยทันที
ไม่อาจเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว!
หนวดสัมผัสพุ่งแทงออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เป้าหมายในการโจมตีครั้งนี้ กลับพุ่งไปยังส่วนจมูกที่ถูกจู่โจมเมื่อกี้!
หนวดสัมผัสรูปสสารมากมายพุ่งเข้าไปพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง!
หนวดสัมผัสทุกเส้นพุ่งแทงเข้าไปในตำแหน่งเดียวกัน ส่วนที่เพิ่งถูกเติมเต็ม ยุบลงไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
และเมื่อถูกโจมตีรุนแรงอย่างต่อเนื่อง รอยยุบนั้นก็ไม่มีโอกาสได้นูนขึ้นมาอีก!
“ฉันไม่เชื่อว่าแกจะทนมือทนเท้าได้ถึงขนาดนั้น…”
ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาที หนวดสัมผัสของหลิงม่อได้ทำการโจมตีไปไม่น้อยกว่า 100 ครั้ง!
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นโจมตีโดยการใช้มือจริงๆ หลิงม่อคงทำไม่ได้ถึงขนาดนี้
แต่การโจมตีของหนวดสัมผัสนั้นไม่เหมือนกัน ขอเพียงเขาเพ่งสมาธิได้มากพอ มีพลังจิตที่แกร่งพอ และมีประสาทการตอบสนองที่เร็วพอ เขาก็สามารถทำอย่างนี้ได้!
ทว่าขณะเดียวกัน ในเวลาอันสั้นนี้การเผาผลาญพลังจิตของหลิงม่อก็เพิ่มขึ้นในระดับน่าใจหายด้วยเช่นกัน ช่วงท้ายของการโจมตี หลิงม่อกระทั่งรู้สึกเหมือนสมองขาวโพลนไปหมด
แต่อาการสมองขาวโพลนนี้เกิดจากการเผาผลาญพลังจิตจำนวนมากในเวลาสั้นๆ ไม่ได้เกิดจากการใช้พลังจิตจนหมดเกลี้ยงแต่อย่างใด
“ฮู่ว…ฮู่ว…”
หลิงม่อหอบหายใจ พลันแผ่หนวดสัมผัสทางจิตพุ่งออกไปอีกหนึ่งเส้น
“ผุบ!”
หลิงม่อดวงตาเป็นประกาย เสี้ยววินาทีนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้แทงลูกบอลจนแตก!
ขณะเดียวกัน “เส้นผม” กระจุกนั้นก็กระตุกสั่น เหมือนได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง!
แต่หลิงม่อดีใจได้ไม่นาน ทันใดนั้นพละกำลังมหาศาลก็ถูกส่งผ่านมา หนวดสัมผัสทางจิตหลายเส้นนั้นก็ยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป พลังงานทางจิตไร้รูปกลุ่มนั้นพลันแตกสลาย ส่งผลให้พลังที่พันธนาการ “วิกผม” ไว้ หายไปแล้ว!
เส้นผมกลุ่มใหญ่พุ่งตัวเข้ามาทางหลิงม่ออย่างรวดเร็ว หลิงม่อรีบก้าวถอย ขณะเดียวกัน หุ่นซอมบี้ตัวเล็กก็ยื่นมือเข้ามา พยายามกระชากเส้นผมกลุ่มนั้นออกไปให้ห่างจากตัวหลิงม่อ
—————————————————————————–
บทที่ 708 “แมงกะพรุน” ที่วิ่งวุ่นไปทั่วพื้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่เจ้า “วิกผม” แรงเยอะมาก แม้ว่าหุ่นซอมบี้จะกระชากเต็มแรงแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงดึงเจ้า “วิกผม” ถอยไปไม่ถึงครึ่งเมตร แล้วจู่ๆ มันก็ถูก “เส้นผม” กระจุกหนึ่งเข้ารัดตัว และเหวี่ยงออกไปข้างหลังอย่างแรงทันที
หลิงม่อรู้สึกเจ็บเหมือนเส้นประสาทตรงขมับถูกกระตุกทันที “เส้นผม” พวกนี้ดูเหมือนเคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่ความเร็วและพลังที่ระเบิดออกมาในเสี้ยววินาทีไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้หลิงม่อไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เพราะสิ่งที่เขารอคอยคือช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในตอนนี้!
หนวดสัมผัสทางจิตพุ่งออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมัด แต่เพื่อบีบรัดต่างหาก!
ก่อนหน้านี้ที่หลิงม่อไม่มีใช้วิธีนี้ ก็เพื่อเก็บไว้แสดงพลังที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในเวลาอย่างนี้
เจ้า “วิกผม” มีรูปร่างที่พิเศษไม่เหมือนใคร เขาจึงหาจุดอ่อนของมันไม่เจอ
การโจมตีรัวๆ ของหลิงม่อเมื่อกี้ ถึงแม้จะเจาะทะลุ “หมวกคลุม” ของมันได้ แต่บาดแผลจริงๆ ที่มันได้รับกลับมีไม่มาก
ความจริงชุดการโจมตีเมื่อกี้เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น หลิงม่อมีประสบการณ์ในการต่อกรกับซอมบี้ราชาแล้ว ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์กลายพันธุ์ที่มีอยู่ในระดับเดียวกับซอมบี้ราชาตัวนี้ เขาย่อมไม่มีทางดูเบาศัตรู!
จากการทดสอบ ได้ผลสรุปว่าสัตว์กลายพันธุ์ตัวนี้มีสติปัญญาที่ต่ำ แต่กลับมีพลังป้องกันและวิธีการโจมตีที่แข็งแกร่งมาก!
ถึงแม้มันจะหยุดให้หลิงม่อโจมตี แต่หลิงม่อก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าก่อนที่ตัวเองจะใช้พลังจิตจนหมด เขาจะฆ่าเจ้า “วิกผม” ตัวนี้สำเร็จหรือไม่
แต่ไม่ว่าพลังป้องกันของร่างกายของมันจะเป็นอย่างไร ทว่าด้านพลังจิต เทียบกับหลิงม่อแล้ว มันต้องเป็นฝ่ายด้อยกว่าอย่างแน่นอน!
หลิงม่อตัดสินใจฉวยโอกาสในขณะที่มันได้รับบาดเจ็บและสมาธิไขว้เขวนี้ เอาไม้ตายของตัวเองออกมาใช้!
เมื่อพลังบีบรัดเริ่มสำแดงฤทธิ์ เจ้า “วิกผม” พลันบิดม้วนตัว “เส้นผม” มากมายหดเข้าไปพันรัดกันเป็นกลุ่ม
หลิงม่อหน้ามืด แต่ในใจกลับร้องดีใจ
ได้ผล!
เจ้า “วิกผม” พยายามเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็น “ใบหน้าสีดำ” ที่เต็มไปด้วยรูแผล
ถึงแม้จะเห็นเป็นเพียงโพรงลึกรูปเบ้าตา แต่หลิงม่อก็ยังคงรู้สึกขนลุกทันที เหมือนกำลังถูกเจ้า “วิกผม” ตัวนี้จ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฉวยโอกาสตอนมันล้ม เหยียบให้ตาย!
ตอนแรกหลิงม่อไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับผลของการใช้พลังบีบรัดดวงจิต กระทั่งเตรียมตัวหนีไว้ก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่าหลังจากจับช่องโหว่ได้และมีโอกาสใช้พลังบีบรัดดวงจิตสำเร็จเพียงครั้งเดียว จะสร้างบาดแผลให้เจ้า “วิกผม” ได้มากขนาดนี้
เวลาอย่างนี้ ต้องไล่ตามโจมตีไปติดๆ!
หนวดสัมผัสมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป ห่อหุ้มดวงแสงแห่งจิตของเจ้า “วิกผม” ไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า
ทุกครั้งที่เจ้า “วิกผม” ดิ้นรนขัดขืน สิ่งที่ได้กลับคืนมาคือพลังบีบรัดดวงจิตจากหลิงม่อ
และในระหว่างที่ใช้พลังบีบรัด ภาพความทรงจำมากมายก็ไหลผ่านสมองของหลิงม่ออย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเจ้า “วิกผม” จะมีสติปัญญาไม่สูง แต่กลับมีความจำที่ดีในระดับหนึ่ง
ทว่าสำหรับหลิงม่อ ภาพความทรงจำเหล่านี้กลับไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยผลจากการที่พลังจิตถูเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว กอปรกับการก่อกวนจากภาพความทรงจำเหล่านี้ ทำให้ผลกระทบที่หลิงม่อได้รับจากเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกไม่สบายใจนั้นรุนแรงขึ้นในพริบตา ท่ามกลางสติอันพล่าเลือน หลิงม่อถึงขั้นเห็น “เส้นผม” มากมายกำลังพุ่งเข้ามาทางตัวเอง
“อ๊ากก!”
หลิงม่อกรีดร้องดังลั่นอยู่ภายในใจ แล้วเขาก็ได้สติกลับคืนมาในชั่วขณะ
และในเสี้ยววินาทีนี้เอง ที่เขาเห็น “เส้นผม” กระจุกหนึ่งกำลังใกล้จะเลื้อยเข้ามาถึงเท้าเขาแล้ว
หลิงม่อหนังศีรษะชา พลันมอบพลังบีบรัดให้เจ้า “วิกผม” ไปอีกครั้ง
“เส้นผม” กระจุกนั้นบิดม้วนตัวและกระตุกสั่น ทำให้หลิงม่อมีโอกาสถอยหนี
หลังจากดึงระยะห่างออกมา หลิงม่อก็นึกหวาดเสียวอยู่ในใจ
เมื่อกี้ตอนที่ใช้พลังบีบรัดดวงจิตได้ผล เขายังรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง แต่ดูจากตอนนี้ เขาไม่สามารถประมาทได้แม้แต่วินาทีเดียวจริงๆ
ข้อดีขอสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนี้ไม่ใช่การโจมตี แต่เป็นความสามารถที่พิเศษของมัน
เมื่อใดที่ต่อสู้กับมัน ก็จะต้องได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งเสมอ
ดูจากที่ซอมบี้พวกนั้นมองข้ามมันไปก็รู้แล้วว่า ทันทีที่เกิดอาการคลุ้มคลั่ง พวกมันก็จะมองข้ามแหล่งเชื้อไวรัสไป และพอถึงเวลาก็ปล่อยให้มันฆ่า
“อีกนิดเดียว…”
หลิงม่อกัดฟันกรอด พยายามทำตัวให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
เขาระเบิดการโจมตีด้วยพลังจิตอีกครั้ง ทว่าในขณะเดียวกัน ตัวเขากลับค่อยๆ ถอยไปข้างหลังเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่ง
ภายใต้สภาวะที่รวบรวมพลังจิตขั้นสูง หลิงม่อเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองโจมตีไปกี่ครั้ง และเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว
กระทั่งรู้สึกมึนศีรษะอย่างรุนแรง เขาถึงได้สติกลับคืนมา แล้วเบิกตากว้างมองไปทางเจ้า “วิกผม” พร้อมกับอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง
“ฮั่กๆ…”
หลิงม่อสะบัดหัวแรงๆ จากนั้นก็จ้องเจ้า “วิกผม” อยู่ครู่หนึ่ง
“เส้นผม” เหล่านั้นยังคงเคลื่อนไหวไปมาเบาๆ แต่ร่างหนังหุ้มกลับหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว
“ไม่ใช่แล้วมั้ง ไม่ขยับแล้ว?” หลิงม่ออดทนกับอาการปวดหัว แล้วแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกไปเส้นหนึ่ง เพื่อสำรวจคลื่นดวงจิตของเจ้า “วิกผม”
หยุดขยับแล้วจริงๆ ด้วย…
เมื่อสำรวจได้ผลอย่างนี้หลิงม่อก็ตัวอ่อนไปทั้งตัวทันที “เส้นผม” ก้อนนี้รับมือยากมากจริงๆ…
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนแค่ขยับนิ้วก็ยังยาก ไม่ใช่เพราะร่างกายหมดแรงหรืออะไร แต่เป็นเพราะเขาใช้พลังจิตมากเกินไป
“ไม่ได้ ต้องจัดการอะไรอีกหน่อย…”
หลิงม่อพยายามยืดตัวตรง ถึงแม้เจ้า “วิกผม” จะไม่ขยับแล้ว แต่ความจริงดวงแสงแห่งจิตของมันแค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ไม่นานความสามารถในการขยับตัวของมันก็จะฟื้นฟูกลับมา
พอถึงตอนนั้น ฝ่ายที่ต้องตายจริงๆ คงจะเป็นหลิงม่อแทน
“ลองเผาดูก่อนแล้วกัน…”
ไวรัสนางพญาของสัตว์กลายพันธุ์ตัวนี้คือสิ่งที่หลิงม่อหมายปองอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงมานั่งศึกษาว่าควรควักไวรัสนางพญาในร่างของมันออกมาด้วยวิธีไหนแล้วจริงๆ พลังป้องกันอันร้ายกาจ แล้วไหนจะรูปร่างเหมือน “วิกผม” นั่นอีก ควรลงมือด้วยวิธีไหนกันล่ะ?
อย่างไรหลังจากที่เผา ไวรัสนางพญาก็ยังปลอดภัยอยู่ดี
ของเหลวเหนียวหนืดนี่อาจติดไฟยาก แต่การที่เจ้า “วิกผม” นี่ขยับตัวไม่ได้ชั่วคราวถือว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์
นั่นแสดงว่า หลิงม่อสามารถเพิ่มเชื้อไฟเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย…
ทว่าในขณะที่เขาวางกระเป๋าเป้ลงและเตรียมจะล้วงอุปกรณ์จุดไฟออกมา ทันใดนั้นเงาสีขาวกลับพุ่งตัวออกมาจากกระเป๋าเป้
เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ทำเอาหลิงม่อสะดุ้งตกใจ ทว่าหลังจากตั้งใจมองดีๆ เขากลับต้องตะลึงตาค้าง
นั่นมัน…เจ้าแมงกะพรุน!
เจ้าแมงกะพรุนรูปหมวกกันน็อกนั่นนอนแห้งเฉาอยู่ในกระเป๋าเป้มาโดยตลอด หลิงม่อเองก็ไม่ค่อยได้สนใจมันมาก มีถ่านพลังจิตให้มันบ้างเป็นครั้งคราว ถือเป็นการเลี้ยงมันเอาไว้
แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะขยับเองได้!
หลิงม่อจ้องมองมันอย่างละเอียด แล้วก็ค้นพบว่าด้านล่างของมันมีเส้นคล้ายหนวดบางๆ งอกออกมากลุ่มหนึ่ง
เส้นหนวดบางๆ พวกนั้นเหมือนเสี้ยนเล็กๆ ที่ดูไม่มีพิษภัย ทว่าเมื่อพวกมันสาวไปข้างหน้าด้วยความเร็วกลับสามารถพาแมงกะพรุนวิ่งไปวิ่งมาได้…
ถึงแม้ในแวบแรก มันจะดูเหมือนแมงกะพรุนเรืองแสงกำลังวิ่งไปวิ่งมาบนพื้นอยู่แล้วก็ตาม…
เจ้าแมงกะพรุนพุ่งตัวไปทางเจ้า “วิกผม” อย่างไม่ลังเล จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนตัวเจ้า “วิกผม” ดัง “ป๊าบ”
หลิงม่อเห็นเข้าก็ตกใจ ทว่าภาพที่น่าตกใจยิ่งกว่ากำลังจะเกิดขึ้น
แมงกะพรุนตัวพองขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน “เส้นผม” เหล่านั้นก็เริ่มพากันดิ้นขลุกขลัก
ถ้าไม่ใช่ว่าคลื่นดวงจิตของเจ้า “วิกผม” ไม่มีอะไรผิดปกติ หลิงม่อคงจะอดโจมตีมันอีกครั้งไม่ได้
แต่ถึงแม้เป็นอย่างนั้น เขาก็ยังคงจ้องมองอยู่อย่างไม่ละสายตา เพราะกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดอะไรไป
“เส้นผม” เหล่านั้นถูกแรงดูดมหาศาลของแมงกะพรุนดูดเข้าไปในตัวมัน ทว่าอย่างมากมันก็ดูดเข้าไปได้เพียงส่วนเล็กๆ
ไม่นาน ผิวภายนอกของแมงกะพรุนก็เริ่มกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว…
“เอ๋! มันดูดแค่พลังจิตไม่ใช่หรอ…”
หลิงม่อเบิกตากว้าง เจ้านั่นเริ่มดูดเลือดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
แต่ความจริง เจ้าแมงกะพรุนเคยดูดเลือดไปแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่เย่เลี่ยนไม่ได้บอกหลิงม่อเท่านั้นเอง…
“เส้นผม” แต่ละเส้นพวกนั้นความจริงมันคือหลอดดูด ถึงแม้เจ้าแมงกะพรุนจะไม่สามารถผ่าร่างจริงของเจ้า “วิกผม” ได้ แต่มันกลับสามารถลงมือกับหลอดดูดพวกนี้ได้โดยตรง
“แต่ถ้าปล่อยให้มันดูดของอย่างนี้เข้าไป อีกหน่อยมันจะวิวัฒนาการไปเป็นแบบไหนกันล่ะเนี่ย…”
หลิงม่อไม่ได้ห้ามแมงกะพรุน แต่กลับแสดงความเป็นห่วงต่ออนาคตของมัน
ดูดของอย่างนี้เข้าไป มันก็น่าขนลุกอยู่นี่นา…
ขนาดตัวของแมงกะพรุนเล็กมาก แต่มันกลับสามารถดูดเลือดได้ในปริมาณที่มากเกินคาด
หลิงม่อรออยู่ 1 นาที มันก็ยังคงดูดไม่เสร็จ…
กลับเป็นเจ้า “วิกผม” ที่กระตุกสั่นอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายก็ถูกหลิงม่อที่ฟื้นตัวได้บ้างแล้วใช้พลังบีบรัดไปอีกครั้ง มันจึงอ่อนแรงและแน่นิ่งไป
ไม่คาดคิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับเจ้าเมืองแห่งเมืองชุ่ยเหอ จะถูกจัดการด้วยน้ำมือของมนุษย์คนหนึ่ง และสิ่งที่แทบจะไม่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ…
เมื่อเจ้าแมงกะพรุนดูดเลือดจนตัวของมันกลายเป็นสีแดงโลหิต เจ้า “วิกผม” ก็แห้งเฉาเหมือนต้นหญ้าที่แห้งเหี่ยว
ขณะเดียวกัน ของเหลวหนืดที่อยู่บนตัวมันก็หายไปเกือบหมดแล้ว หลิงม่อดึงเจ้าแมงกะพรุนกลับมา ราดแอลกอฮอร์ใส่บนตัวเจ้า “วิกผม” เมื่อเขาโยนไม้ขีดไฟก้านเล็กๆ ตามลงไป ประกายไฟก็ลุกพรึบทันที
ร่างหนังหุ้มเผาไหม้ไม่ได้ง่ายๆ ทว่าร่างจริงของเจ้าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์นี้กลับสูญเสียพลังป้องกันไปหมดแล้ว
ประกายเพลิงสะท้อนวูบวาบอยู่บนใบหน้าหลิงม่อ แต่เขากลับเอาแต่จ้องมองเจ้าแมงกะพรุนอย่างขบคิด
เจ้าสิ่งนี้ กำลังเริ่มวิวัฒนาการสินะ…
—————————————————————————–
บทที่ 709 เจ้าหัวโตขี้กร่าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อพลังจิตฟื้นกลับมาได้เล็กน้อย หลิงม่อก็รีบสับเปลี่ยนมุมมองสายตาทันทีอย่างไม่รีรอ
ถึงแม้จะอดทนใช้พลังสับเปลี่ยนมุมมองสายตาได้ไม่ถึง 2 วินาที แต่หลิงม่อก็ได้เห็นสิ่งที่อยากเห็นแล้ว
หลังจากซอมบี้ตัวหนึ่งที่กำลังกระโจนเข้ามาทางเย่เลี่ยนถูกโจมตีปลิวออกไป จู่ๆ ซอมบี้อีกตัวที่กำลังจะพุ่งเข้ามาพลันชะงัก และทำท่าเหมือนลังเล…
ความกลัวที่เกิดจากการตอบสนองทางสัญชาตญาณของมัน บ่งบอกว่าเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งกำลังเริ่มอ่อนประสิทธิภาพลงช้าๆ และในอีกมี่กี่นาที พวกเย่เลี่ยนก็จะหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากเหล่านั้น
ความจริง ตอนที่หลิงม่อล่อเจ้า “วิกผม” ออกมาจากในห้างฯ ผลกระทบที่เกิดจากเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งก็เริ่มอ่อนลงแล้ว แต่สาเหตุที่ทำให้ผลกระทบนั้นหยุดลง ก็ยังเป็นเพราะการตายของมัน ถ้าไม่อย่างนั้นตอนนี้มันก็ยังคงหลั่งของเหลวหนืดนั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกกว่ากระบวนการเลี้ยงเหยื่อในครั้งนี้จะสิ้นสุดลง
“ฮั่ก…ฮั่ก…”
สวี่ซูหานยืนพิงกำแพง สองมือยกขึ้นปิดหู พลางหอบหายใจระรัว
ในตอนแรกที่พวกซอมบี้กรูกันเข้ามา สิ่งที่เธอรู้สึกนั้นยังคงเหมือนกับคนทั่วไป นั่นคือเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและลนลาน
แต่เมื่อการเข่นฆ่าเริ่มขึ้นพร้อมกับเวลาที่เดินไป เธอก็ค่อยๆ ค้นพบว่าตัวเองไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว กลับกัน เธอเริ่มรู้สึกเลือดในกายเดือดพล่าน…
เสียงกระดูกหัก เสียงเลือดพุ่งดังอยู่ในสมองของเธอไม่หยุด สิ่งเหล่านี้กระตุ้นเธอให้ฮึกเหิม เธอถึงขั้นเริ่มจินตนาการอย่างควบคุมไม่ได้ ว่าถ้าหากเป็นตัวเองที่กำลังฉีกทึ้งร่างกายของซอมบี้พวกนั้น จะรู้สึกดีขนาดไหนกันนะ?
เส้นเลือดใต้ผิวหนังเต้นตุบตับอย่างบ้าคลั่ง เธอได้ยินกระทั่งเสียงเลือดไหลเวียนผ่านเส้นชีพจรตรงลำคออย่างชัดเจน…
แต่เมื่อเธอยกมือขึ้นจับลำคอตัวเอง จู่ๆ เธอกลับได้สติกลับมาทันที
สร้อยคอของเธอล่ะ…
ใช่แล้ว สร้อยถูกหลิงม่อเอาไปเป็นของมัดจำแล้ว…
“ใช่แล้ว เราจะกลายร่างไม่ได้เด็ดขาด…”
สวี่ซูหานเพิ่งจะได้สติกลับคืนมาด้วยความหวาดกลัว ก็ได้ยินเสียงซน่าน่าบอกว่า “เธอตั้งสติหน่อย อย่าลืมสิ่งที่ฉันเคยบอกเธอ”
เธอเงยหน้ามองซย่าน่า แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะเห็นดวงตาประหลาดที่มีม่านตาสีแดงข้างดำข้างของเธอ
แต่เมื่อเวลาเดินต่อไปเรื่อยๆ จากวินาทีเป็นนาที ถึงแม้เธอจะปิดหู และไม่หันไปมองภาพการเข่นฆ่ากันพวกนั้น แต่เสียงไหลเวียนของเลือดในร่างกายก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัว หัวใจก็เต้นแรงราวกับจะกระเด้งออกมาทางลำคอให้ได้!
แต่ในเสี้ยววินาทีที่เธอคิดว่าตัวเองคงอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้น เธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองสงบลงตั้งแต่แต่เมื่อไหร่รู้…
เธอค่อยๆ หันหน้าไปมองทางพวกเย่เลี่ยนช้าๆ
ทำไมซอมบี้พวกนั้นถึงน้อยลงล่ะ..
ซอมบี้ที่อยู่ไกลๆ ก็ดูเหมือนจะไม่เข้ามาอีกแล้ว…
ตรงกันข้าม พวกมันกลับรักษาระยะห่างจากพวกเย่เลี่ยน ราวกับหวาดกลัวมาก…
“เกิดอะไรขึ้น?” สวี่ซูหานถามเสียงสั่น
พวกเย่เลี่ยนเองก็หันมามองหน้ากัน ถึงแม้พวกเธอจะเป็นหุ่นซอมบี้ของหลิงม่อ แต่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์เหมือนหุ่นซอมบี้ตัวเล็ก พวกเธอแค่รักษาสายสัมพันธ์ทางจิตกับหลิงม่อเอาไว้ตลอดเท่านั้น
เมื่ออยู่ในอาณาเขตแพร่เชื้อของเชื้อไวรัสคลุ้มคลั้ง พวกเธอย่อมต้องถูกคลอบงำอย่างช้าๆ
ทว่าถีงอย่างไรก็เป็นถึงซอมบี้ระดับสูง ดังนั้นพวกเธอจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ตอนนี้พอประสิทธิภาพของเชื้อไวรัสคลุ้มคลั่งอ่อนลง พวกเธอจึงรับรู้ได้ในทันที
“การต่อสู้อันวุ่นวายเมื่อกี้มีสิ่งผิดปกติ” ซย่าน่าพูดขึ้น
เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินเองก็รู้สึกได้เช่นกัน แต่พวกเธอสองคนบอกไม่ถูกว่ามันไม่ปกติอย่างไร จึงทำได้เพียงพนักหน้าอย่างเห็นด้วย
ซย่าน่าหันไปมองที่ทางเดินพนักงาน แล้วบอกว่า “พี่หลิง…พวกเรารีบไปเร็ว!”
เธอพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วจากนั้นก็ควงเคียวดาบวิ่งใส่เหล่าซอมบี้ที่ขวางหน้าทันที
เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินเองก็ไม่ถามอะไร พวกเธอรีบวิ่งตามไปติดๆ เหมือนเข้าใจสิ่งที่เธอพูดแล้ว
มีเพียงสวี่ซูหานที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้นอย่างงุนงง กว่าจะได้สติก็ผ่านไปหลายวินาทีแล้ว “ตกลงหมายความว่าไงกันแน่ ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยนะ นี่…”
“จึ๊ก”
หลิงม่อหยิกเจ้าแมงกะพรุนในมือดูหนึ่งครั้ง แล้วก็พบว่าโครงสร้างในร่างกายของมันไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
หลังจากที่มั่นใจว่าพวกเย่เลี่ยนหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากแล้ว หลิงม่อก็คลายใจลง และในขณะเดียวกับที่กำลังพักฟื้น เขาก็ทำการสำรวจเจ้าแมงกะพรุนตัวนี้ไปด้วย
พอถูกหลิงม่อกำไว้ในมือ เส้นหนวดนิ่มๆ เหล่านั้นของแมงกะพรุนก็ข่วนฝ่ามือของหลิงม่อเบาๆ ทว่าพฤติกรรมอย่างนี้ของมันกลับไม่เหมือนกำลังขัดขืน และมันก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากที่หลิงม่อจับมันไว้
“ในเมื่อกระโดดออกมาหาอาหารกินเองได้ ก็แสดงว่าวิวัฒนาการมาถึงขั้นที่มีสัญชาตญาณการกินรแล้วสินะ” หลิงม่อพลิกตัวมันไปมาหนึ่งรอบ แต่ก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าเจ้าสิ่งนี้ได้กลายเป็นหน่ออ่อนที่มีสติปัญญาแล้วหรือยัง……
“แต่ดูเหมือนมันจะจำเราได้แล้ว…ในเมื่อมีความสามารถในการจดจำระดับแรก ก็คงถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ได้แล้วล่ะมั้ง…”
ยากที่เชื่อจริงๆ ว่าเมื่อก่อนเจ้าสิ่งนี้เคยเป็นอวัยวะมาก่อน หลิงม่อคิดว่าสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด คือมันเป็นสิ่งที่มีชีวิตด้วยตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก ดังนั้นเมื่อมันหลุดพ้นจากเจ้าบ้าน มันจึงเริ่มวิวัฒนาการและกลายพันธุ์ด้วยตัวของมันเอง เพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
หลิงม่อเคยใช้พลังงานทางจิตของตัวเองเลี้ยงมันมา 2 – 3 ครั้ง ซึ่งนั่นอาจทิ้งร่องรอยหรือสัญลักษณ์บางอย่างไว้ในช่วงระยะแรกของวิวัฒนาการ…
เขาลองยกแมงกะพรุนขึ้นมาตรงหน้า พร้อมกับลองควบคุมพลังจิตที่เพิ่งฟื้นกลับมาบางส่วน
เส้นหนวดของมันกระเพื่อมเร็วขึ้นเล็กน้อย แต่เจ้าแมงกะพรุนก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ในฝ่ามือของหลิงม่อ
หลิงม่อจึงลองแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาจากดวงแสงแห่งจิตเส้นหนึ่ง แล้วแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าเจ้าแมงกะพรุนเหมือนเป็นเหยื่อล่อดูอีกครั้ง
เจ้าแมงกะพรุนเริ่มหมุนตัวตาหนวดสัมผัส ร่างกายสีแดงเลือดของมันเริ่มพองขึ้น ดูท่าทางเหมือนกำลังร้อนรน…หมายถึงถ้าหากมันมีอารมณ์ล่ะก็นะ
ทว่าผ่านไปสิบกว่าวินาที มันก็ยังไม่เคลื่อนไหวมากไปกว่านี้
“ถึงจะไม่รู้ว่าอีกหน่อยจะวิวัฒนาการไปเป็นแบบไหน…แต่ดูเหมือนตอนนี้เราจะได้ของดีแล้วแฮะ…” หลิงม่อจ้องเจ้าแมงกะพรุนอย่างพึงพอใจ แล้วหันไปมองเจ้า “วิกผม” ที่กำลังถูกไฟเผา
ขนาดสัตว์กลายพันธุ์ยังวิวัฒนาการออกมาได้น่ากลัวขนาดนี้ สิ่งมีชีวิตลึกลับอย่างเจ้านี่อาจจะมีวิวัฒนาการที่น่ากลัวกว่านี้ก็ได้…
และการที่ทำให้มันเชื่อฟังได้โดยที่ไม่ต้องใช้พลังจิตควบคุม ก็ถือเป็นครั้งแรกของหลิงม่อที่ทำอย่างนี้ได้
ตอนแรกเขายังเอาแต่จ้องเจ้าแมงกะพรุนอย่างประหลาดใจอยู่ แต่เจ้าแมงกะพรุนกลับดูเหมือนเหนื่อยแล้ว มันจึงค่อยๆ หดเส้นหนวดกลับไป และนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนฝ่ามือของหลิงม่ออีกครั้ง
แต่หลิงม่อกลับรู้สึกได้ว่าร่างกายของมันยังคงสั่นกระเพื่อมอยู่ ราวกับว่ามันกำลังย่อยสลายสิ่งที่ดูดกลืนเข้าไป
“หวังว่าหลังวิวัฒนาการจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ” หลิงม่อพลิกมือยัดเจ้าแมงกะพรุนเข้าไปในกระเป๋าเป้ แต่ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืน การเคลื่อนไหวของเขากลับชะงักค้างไป
“ฉันว่าแล้วเชียวว่าทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวซักที ที่แท้พวกแกก็ไม่ได้ฆ่ากันเองหรอกหรอ? น่าแปลกจริงๆ…ฉันไม่รู้ว่ายัยพวกเดียวกันนั่นมันยังไง แต่หลังจากถูกเร่งให้วิวัฒนาการแล้วก็ยังอดทนไว้ได้…ไม่ถูกๆ บางทีอาจเป็นเพราะแกหนีมาที่นี่?”
ทันใดนั้น เสียงพูดด้วยโทนเสียงแปลกๆ ก็ดังขึ้นที่ข้างหลังหลิงม่อ
สีหน้าของหลิงม่อซีดเผือดทันที เขาไม่ได้วู่วามขยับตัวทันที
เขาจ้องเงาร่างที่พาดยาวมาด้านหน้า สายตาพลันฉายแววเยือกเย็น
อวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋ายไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยมา นั่นแสดงว่าเจ้าของเสียงพูดประหลาดนี้ลักลอบเข้ามาโดยไม่ให้พวกเธอรู้ตัว
และการที่รอดพ้นจากสายตาของพวกเธอมาได้…แสดงว่าอย่างน้อยเจ้าของเงาร่างนี้ก็ต้องมีระดับสูงกว่าซอมบี้ชนชั้นสูง…
“ฮ่าๆๆๆๆ! ไม่คิดเลยว่าเจ้านี่จะถูกแกฆ่าตายซะแล้ว?” จู่ๆ เงาร่างนั้นก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น และ “เจ้านี่” ที่มันพูดถึง แน่นอนว่าหมายถึงเจ้า “วิกผม” ที่ถูกเผาอยู่บนพื้นนั่น
“ร้ายกาจจริงๆ! เมื่ออยู่ต่อหน้ามันพวกฉันไม่มีปัญญาแม้แต่จะสู้กับมัน ขนาดมันซ่อนตัวอยู่ตรงไหนพวกฉันก็ยังไม่รู้เลย พอเข้าไปใกล้หน่อยมันก็รู้ตัว จากนั้นก็จะเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นบ้าขึ้นมา…”
ถึงแม้น้ำเสียงจะกระด้างแข็ง แต่ฟังจากสิ่งที่พูดก็รู้ว่าแล้วเงาร่างนี้กำลังตื่นเต้น “ตอนแรกฉันก็แค่อยากให้พวกแกฆ่ากันเอง แล้วค่อยโผล่มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตอนที่พวกแกสู้ไปด้วยหนีไปด้วย…พูดตามตรงฉันไม่ได้หวังอยู่แล้วว่าพวกแกจะหามันเจอ หรือถึงจะหาเจอ แค่ทำมันบาดเจ็บได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว…”
“ที่แท้พวกมนุษย์ชั้นต่ำก็ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้…ฮ่าๆๆ…”
หลิงม่อจดจ้องเงาดำบนพื้นอยู่ตลอดเวลา ศีรษะขนาดใหญ่ของมันดูโดดเด่นสะดุดตามาก
เจ้านี่ก็คือซอมบี้ที่วางแผนให้พวกเขาเข้ามาติดกับดักยากล่อมประสาทนั่นเอง…
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดไว้แล้ว ว่าผู้ที่วางแผนเรื่องนี้อาจเป็นซอมบี้ แต่สติปัญญาของซอมบี้หัวโตตัวนี้สูงเกินความคาดหมายของหลิงม่อไปมาก
ยืมดาบฆ่าคน ถือโอกาสจับปลาในตอนที่น้ำขุ่น…ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นความคิดของซอมบี้เพียงตัวเดียว!
เหมือนที่ซอมบี้ตัวนี้ไม่คาดคิดว่าเจ้า “วิกผม” จะถูกมนุษย์คนหนึ่งฆ่าตาย ตอนนี้หลิงม่อก็กำลังรู้สึกทึ่งและรู้สึกแปลกใหม่กับความคิดของซอมบี้ตัวนี้เช่นกัน
“ดูจากความสามารถในการอำพรางกายของมัน จะหวังแค่ขอให้มันมีวิวัฒนาการด้านสติปัญญาอย่างเดียวคงไม่ได้แล้ว…” ตอนนี้สิ่งที่หลิงม่อกำลังทำ เป็นเพียงการถ่วงเวลาเท่านั้น
“ไฟใกล้จะดับแล้ว!”
เจ้าหัวโตตะโกนเสียงดัง
หลิงม่อไม่ได้เบนสายตาออกไป ตอนนี้เขากำลังควบคุมพลังจิตที่เพิ่งฟื้นกูกลับมาได้เล็กน้อยให้รวมตัวกันเป็นหนวดสัมผัส
ทันทีที่เจ้าหัวโตขยับเขยื้อน เขาก็จะลงมือทันที
“ไป เก็บไอ้ก้อนแดงๆ นั่นมาให้ฉัน” คำพูดประโยคนี้ ทำเอาหลิงม่อแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
“อย่ามัวแต่อึ้ง เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ”
หลิงม่อแววตาเย็นเยียบ บ้าชิบ ดันเป็นซอมบี้ขี้กร่างด้วยสิ
—————————————————————————–
บทที่ 710 โลกของซอมบี้ มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจ…
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ก้อนสีแดง” ที่เจ้าหัวโตหมายถึง ก็คือไวรัสนางพญาของเจ้า “วิกผม” นั่นเอง
เมื่อเปลวเพลิงเริ่มอ่อนลง ไวรัสนางพญาสีแดงก้อนหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นอยู่ท่ามกลางกองเถ้าถ่านที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นไหม้
ถึงแม้จะถูกไฟเผา แต่ไวรัสนางพญาก้อนนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย
ความจริงสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อย่างเจ้า “วิกผม” และเฮยซือได้หลุดออกจากนอกกรอบของสัตว์กลายพันธุ์ไปแล้ว และนางพญาในร่างกายของพวกมันก็แตกต่างไปจากนางพญาของสัตว์กลายพันธุ์ธรรมดามากเช่นกัน
หลิงม่อเพียงเหลือบมองแวบแรก ก็เห็นจุดแตกต่างถึง 2 จุดแล้ว
ข้อแรก มันมีขนาดเล็กมาก ข้อสอง คือสีของมัน
ไวรัสนาพญาที่มีสีแดงกระทั่งออกดำได้ขนาดนี้ หลิงม่อเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
อีกอย่างทั้งที่ไวรัสนางพญาก้อนนั้นเป็นเหมือนแค่สิ่งแพร่เชื้อโรค แต่ตอนนี้มันกลับกำลังกระตุกเบาๆ เหมือนสิ่งมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
แค่จุดนี้จุดเดียว ก็มากพอที่จะทำให้คาดเดาได้แล้วว่าระดับความเข้,ข้นของเชื้อไวรัสที่อยู่ในนั้นสูงขนาดไหน!
แค่เจ้าก้อนนี้ก้อนเดียวไม่รู้มีค่าเท่าก้อนเหนียวหนืดตั้งกี่ก้อน…
เขาอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตฆ่าเจ้า “วิกผม” จนสำเร็จ แต่จู่ๆ เจ้าหัวโตนี่กลับคิดจะโผล่มาช่วงชิง…
แค่คิดจะช่วงชิงยังไม่พอ แต่นี่มันยังสั่งให้หลิงม่อเดินไปหยิบมาประเคนให้มันถึงที่อีก!
ไอ้ซอมบี้เลว!
หลิงม่อสาปส่งมันในใจอย่างแค้นเคือง
เขาไม่ได้วู่วามขยับตัวทันที ตอนนี้ยิ่งถ่วงเวลาได้นานเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งฟื้นพลังได้มากขึ้นเท่านั้น…
“หึหึ ตกใจกลัวไปแล้วหรอ?” เจ้าหัวโตยังรู้จักหัวเราะเยาะคนอื่นอีกด้วย “ฉันสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงพวกเดียวกันกลุ่มนั้นได้ ก่อนที่พวกมันจะมา ฉันจะฆ่าแกซะ”
ไอ้ซอมบี้เลวนี่ยังรู้จักข่มขู่คนอื่นอีกด้วย!
“หรือพูดเหมือนมนุษย์อย่างพวกแกก็คือ ตอนนี้แกเป็นลูกไก่ในกำมือฉันที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอดยังไงล่ะ” เจ้าหัวโตเริ่มติดใจกับการพูดจาถากถางดูถูก มันพูดพล่ามอย่างไม่รู้จักเหนื่อยหน่าย เหมือนกำลังดื่มดำกับความรู้สึกแมวไล่จับหนูอย่างไรอย่างนั้น
ไอ้เลว เห็นฉันเป็นหนูซะได้…หลิงม่อไฟโทสะลุกท่วม
แค่ฟังจากการพูดจาที่มีหลักการและเหตุผลของมัน อย่างน้อยตอนนี้หลิงม่อก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งแล้วว่า สติปัญญาของมันเหนือกว่าซอมบี้ทุกตัวที่เขาเคยเจอมา
“ไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ก้อนนี้เหมาะกับหลี่ย่าหลิน ส่วนของเจ้าหัวโตนี่…ต้องเหมาะกับซย่าน่ามากแน่ๆ” หลิงม่ออดคิดไม่ได้
สติปัญญาของเจ้าหัวโต อย่างน้อยก็น่าจะเทียบเท่ากับมนุษย์ผู้ใหญ่แล้ว
ทว่าสติปัญญากับความปราดเปรื่องของสมองเป็นคนละเรื่องกัน แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ความคิดของไอ้ซอมบี้เลวนี่ก็ถือว่ามีไหวพริบดี
“เร็วเข้า ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะกินแกซะ มนุษย์อย่างพวกแกคงจะกลัวการที่ต้องกลายเป็นเหยื่อของสิ่งมีชีวิตอื่นสินะ? ฉันค้นเจอข้อมูลบางอย่างในความทรงจำของตัวเอง มันบอกไว้ว่าหากมนุษย์ถูกกินทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ จะเกิดความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด”
แล้วเจ้าหัวโตก็ส่ายหน้าไปมา บอกว่า “มนุษย์ถึงได้กลายเป็นเหยื่อไงเล่า…”
“ตรรกะเทพจริงๆ…” หลิงม่ออดกลอกตามองบนไม่ได้
อย่างไรก็ยังเป็นซอมบี้อยู่วันยังค่ำ ความคิดเรื่องความรู้ทั่วไปบางอย่างของพวกมันไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกับมนุษย์เลย
“แต่ความจริงฉันก็ชื่นชมการกระทำบางอย่างของมนุษย์อยู่นะ ดูสิ เจ้าโง่คู่ครองของฉันไม่เห็นจะฉลาดเรียนรู้เรื่องอย่างนี้บ้างเลย มันถึงได้ถูกแกฆ่าตายอย่างนั้น…อืม ความจริงแกทำให้มันตายแค่ครึ่งเดียว แต่ฉันต่างหากที่เป็นคนฆ่ามัน จากนั้นก็อาศัยมันเพื่อวิวัฒนาการ…แต่ยังไงฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าการตายของมันเป็นความผิดของแก”
เจ้าหัวโตพูดล่ามเยอะมาก แถมยัง…กร่างสุดๆ!
หลิงม่อหงุดหงิด ที่แท้เจ้าหัวโตนี่วางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ไม่คิดว่ามันจะฆ่าคู่ครองของตัวเองด้วย นี่ถือเป็นความรู้ใหม่เกี่ยวกับซอมบี้ที่หลิงม่อเพิ่งได้รับ
โดยปกติแล้ว ซอมบี้ทั่วไปไม่มีทางทำอย่างนี้แน่นอน…และเจ้าตัวนี้ เห็นชัดว่าไม่ใช่ซอมบี้ทั่วไป!
มันกลืนกินไวรัสนางพญาของเจ้าซอมบี้นกไป ดังนั้นตอนนี้ไวรัสนางพญาในร่างกายของมันก็ยิ่งมีค่าขึ้นไปอีก…
“อยากกินฉันหรอ…ก็ลองดูสิ”
สติปัญญาของซอมบี้ตัวนี้สามารถเอาชนะซอมบี้ส่วนใหญ่ได้ แต่หลิงม่อเป็นมนุษย์…
เขาค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ไวรัสนางพญาก้อนนั้น ขณะเดียวกันสายตาก็เหลือบมองไปทางประตูห้องน้ำ
“ฮ่าๆๆๆๆ…” พอเห็นมนุษย์ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เจ้าหัวโตก็ดูได้ใจมากกว่าปกติ
เดาว่ามันคงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มากนัก ถึงแม้เจ้ามนุษย์ตรงหน้าจะมีกลิ่นหอมมาก แต่เทียบกับการกิน มันกลับสนใจบางสิ่งในตัวหลิงม่อมากกว่า
ตอนนี้เปลวเพลิงดับมอดไปแล้ว หลิงม่อก้มเก็บไวรัสนางพญาขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับไป พลางแอบยืนบังประตูอย่างเนียนๆ
เขาคาดเดาว่าเจ้าซอมบี้ตัวนี้จะต้องมีพลังจิตที่แข็งแกร่งมากแน่ๆ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันมองพิรุธออก หลิงม่อจึงแสร้งทำหน้าตกตะลึงในเสี้ยววินาทีที่หันกลับไป
เมื่อคลื่นดวงแสงแห่งจิตกระเพื่อม คำสั่งของเขาก็ได้ถ่ายทอดผ่านกระแสจิตออกไป
ขณะเดียวกัน มือจับประตูของประตูบานนั้นก็กำลังถูกบิดออกช้าๆ
ทว่าสีหน้าตกตะลึงที่หลิงม่อจงใจแสร้งทำ กลับกลายเป็นความตกตะลึงจริงๆ เมื่อหลิงม่อได้มองเห็นรูปร่างของเจ้าหัวโตอย่างชัดเจน
คำพูดคำจาที่อวดตัวว่าใหญ่โตเป็นชุดๆ ประกอบกับน้ำเสียงอันเย็นชาของเจ้าหัวโต ทำให้หลิงม่อคิดว่าตัวเองจะได้เห็นซอมบี้รูปร่างหน้าตาดุร้ายน่ากลัว…
ไม่คิดเลยว่าพอหันกลับมา…ไอ้หัวโล้นขนาดใหญ่นั่นมันอะไรกัน!
แล้วไหนจะตาที่เล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวนั่นอีก ถึงจะดูออกตั้งแต่แวบแรกว่ามันเป็นสีแดงม่วง แต่นั่นมันไม่น่ากลัวซักนิด ตรงกันข้ามกลับดูตลกสุดๆ!
ดวงตาก็เล็กมากอยู่แล้ว ขอร้องช่วยหยุดทำเป็นหรี่ตาไปหรี่ตามาได้ไหม…
อีกอย่าง ปากเล็กขนาดนั้นจะกัดใครได้จริงๆ หรอ! นี่ต้องใช้หลอดดูอะไรอย่างนั้นช่วยไหม?
แล้วไอ้แขนขาบางๆ นั่นมันอะไรกัน สารอาหารไปกระจุกอยู่บนหัวหมดแล้วหรอ?
หลิงม่อรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ถ้าจะแข่งกันเรื่องอัปลักษณ์ เจ้าตัวที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็อัปลักษณ์ที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาเลย!
โดยเฉพาะหัวที่ทั้งโล้นและใหญ่มากนั่น หลิงม่อหยุดตัวเองไม่ให้มองมันไม่ได้เลย!
เจ้าหัวโตมองหน้าหลิงม่ออย่างงุนงงชั่วขณะ จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
มันหัวเราะหึหึ แล้วนั่งส่ายหัวไปมาอยู่บนขอบหน้าต่าง “เจ้ามนุษย์ผู้อ่อนแอ…น่าประหลาดใจมาก ทำไมแกถึงทำให้พวกเดียวกันกลุ่มนั้นไม่ฆ่าแกได้”
“แกคงคิดว่าฉันดูร้ายกาจมากใช่ไหมล่ะ? นี่เป็นสิ่งที่ฉันค้นเจอในความทรงจำ ดูเหมือนมีคนมากมายที่ชอบทำให้ตัวเองเป็นอย่างนี้…” เจ้าหัวโตพูดเปลี่ยนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว บวกกับความคิดพิลึกพิลั่นของซอมบี้ หลิงม่อจึงเดาไม่ออกเลยซักนิดว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่
ซอมบี้ทั่วไปเวลาเห็นเขาก็มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น : กิน
ถึงแม้เจ้าตัวนี้เองก็จ้องเขาตาเป็นมัน แต่ดูเหมือนมันจะอยากทำอย่างอื่นด้วย
เจ้าหัวโตพูดไปได้ครึ่งเดียวก็เงียบไป
หลิงม่อนิ่งรอ 2 วินาที กำลังนึกสงสัยว่าทำไมมันไม่พูดแล้ว แต่กลับเห็นว่ามันกำลังจ้องหลิงม่ออย่างไม่ละสายตา
หมายความว่าไง? หลิงม่ออึ้ง หนังตาพลันกระตุกสั่น
เจ้านั่นคงไม่ได้รอให้เขาเป็นคนพูดต่อหรอกนะ?
เชี่ย ตอนวิวัฒนาการจนกลายพันธุ์สมองถูกไฟเผาไปด้วยหรือไงวะ…
แต่นั่นก็ถือว่าเป็นวิธีถ่วงเวลาที่ดีเหมือนกัน หลิงม่อกำไวรัสนางพญาก้อนนั้น แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง บอกว่า “ศัลยกรรมฉีดน้ำเกลือเข้าหน้าผาก?” (ศัลยกรรมฉีดน้ำเกลือเข้าหน้าผาก หรือ แฟชั่นเอเลี่ยนที่เหล่าวัยรุ่นญี่ปุ่นนิยมทำ โดยการฉีดน้ำเกลือใส่หน้าผากให้นูนขึ้น และใช้นิ้วมือกดให้เป็นรอยบุ๋มตรงกลาง)
เขาเค้นสมองคิดหนักมากกว่าจะคิดออก…
คนเหล่านั้นจะทำให้หน้าผากปูดโปนขึ้นมาโดยการฉีดน้ำเกลือใส่ เดาว่าเจ้าซอมบี้ตัวนี้คงจะวิวัฒนาการตัวเองให้กลายเป็นอย่างนั้นไปด้วย แปลว่ามันรู้จักตามเทรนด์อยู่เหมือนกัน…
“ไม่ใช่!” เจ้าหัวโตหรี่ตาเล็ก แล้วตวาดลั่น
หลิงม่อจ้องหัวโล้นๆ ของมัน…หรือมันกำลังคอสเพลย์เลียนแบบดาราบางคน?
ซอมบี้ติ่งดารา?
แต่ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีคนแห่กันไปโกนหัวเลยนี่นา…
“ตุ๊กตาส่ายหัวต่างหากล่ะ” เจ้าหัวโตพูดขึ้นอย่างได้ใจ
หลิงม่อถึงกับหมดคำพูด นั่นมันเทรนด์ฮิตของสมัยไหนแล้ววะนั่น…
“คือ…นายรู้ใช่ไหมว่าการที่มนุษย์เล่นอย่างนั้นก็เพื่อเป็นการล้อเลียนน่ะ?” หลิงม่อพูดขึ้น
“ล้อเลียนคืออะไร?” เจ้าหัวโตกลอกตามองข้างบนทำท่าครุ่นคิด ดูเหมือนว่ามันจะไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำให้ตัวเองดูน่าขำไปเสียแล้ว…
แน่นอนหลิงม่อไม่มีทางเป็นฝ่ายตอบคำถามก่อน ถ่วงเวลาได้ยิ่งนานยิ่งดี…
แต่ความจริง คำพูดไร้สาระมากมายเหล่านี้ของเจ้าหัวโต กลับเปลี่ยนความรู้ที่หลิงม่อเข้าใจว่าถูกมาโดยตลอดไอย่างสิ้นเชิง
เขาคิดมาโดยตลอดว่าทิศทางการกลายพันธุ์ของซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ ส่วนมากขึ้นอยู่กับว่าเชื้อไวรัสจะเลือกวิวัฒนาการตามสภาพร่างกายของเจ้าตัวหรือตามสภาพแวดล้อมภายนอก …
แต่จากที่เจ้าหัวโตพูดแล้ว ทำไมฟังเหมือนมันเลือกได้เองล่ะ?!
ระหว่างการวิวัฒนาการของพวกเย่เลี่ยน สิ่งที่หลิงม่อเป็นกังวลมากที่สุดก็คือร่างกายของพวกเธอจะมีการกลายพันธุ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะหากการกลายพันธุ์อย่างนั้นปรากฏชัดขึ้น พวกเธอก็จะไม่สามารถเข้าใกล้มนุษย์ได้อีกต่อไป
ตัวตนถูกเปิดเผย ความสามารถพิเศษถูกเปิดโปง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุดสำหรับหลิงม่อและสาวๆ ซอมบี้ของเขา
แม้แต่สวี่ซูหานเอง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะรับเรื่องจริงที่ว่าพวกเย่เลี่ยนเป็นซอมบี้ได้แล้ว และสมัครใจที่จะเก็บเป็นความลับ แต่ถ้าเธอรู้ว่าพวกเย่เลี่ยนถูกหลิงม่อควบคุม เกรงว่าคงจะไม่ใจเย็นอย่างนี้อีกต่อไป
ดังนั้นการทำให้พวกเย่เลี่ยนพยายามปกปิดตัวตนเอาไว้จนถึงที่สุด ก็เป็นสิ่งสำคัญที่หลิงม่อต้องพยายามด้วยเช่นกัน
และการวิวัฒนาการและกลายพันธุ์ ก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากช่วงหนึ่ง!
ซึ่ง!
—————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น