วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 704-710

ตอนที่ 704 ถังหนิงสู้กลับ

 

เวลาสองทุ่ม การรอคอยอันแสนยากลำบากเริ่มขึ้นอีกครั้ง


 


 


ผู้เขียนเดินวนไปวนมาอยู่ที่บ้านด้วยความกลัวอย่างแท้จริง เขารู้ว่าไห่รุ่ยไม่ใช่องค์กรที่รับมือได้ง่ายๆ และเขาก็ไม่น่าเห็นด้วยกับข้อเสนอของซ่งซินเพราะความโลภตั้งแต่แรก เขาเชื่อคำพูดของซ่งซินและคิดว่าไห่รุ่ยคงไม่มีวันค้นพบความจริง ใครจะไปคิดล่ะว่า…


 


 


…ไห่รุ่ยคือไห่รุ่ยด้วยเหตุผลบางอย่าง คนอย่างเขาไม่น่าประเมินคนพวกนี้ต่ำเกินไปเลย!


 


 


“ผมจะทำยังไงดี ทำยังไงดี” ผู้เขียนโทรหาซ่งซินอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิด ทว่าซ่งซินไม่ยอมรับสาย


 


 


แม้หญิงสาวจะแคลงใจว่าไห่รุ่ยนั้นสามารถหาข้อมูลมาเพิ่มได้จริงหรือไม่ เธอก็ขี้โกงมากพอที่จะเลี่ยงรับสายจากผู้เขียนเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกค้นพบ


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ข้อเท็จจริงที่ไห่รุ่ยถ่ายภาพหน้าจอมาและค้นพบว่านิยายถูกเขียนขึ้นโดยคนหลายคนนั้นก็เหนือความคาดหมายของเธอแล้ว เธอไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะมีอะไรมากกว่านี้อีก


 


 


ไม่นาน เวลาสองทุ่มนั้นก็มาถึง


 


 


ในฐานะผู้เฝ้าดูเหตุการณ์จอมสู่รู้ ชาวเน็ตทั้งหลายพร้อมที่จะต้อนรับการเปิดเผยครั้งใหม่ พวกเขาสงสัยว่าไห่รุ่ยมีอะไรจะแสดงให้พวกเขาเห็น


 


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นคนตีกัน แต่ช้าก่อน นี่ไม่ใช่การตีกันทั่วๆ ไป มันกลายมาเป็นปริศนาที่ชวนสงสัยไปแล้ว


 


 


เมื่อเวลามาถึง เว็บไซต์ของไห่รุ่ยก็มีอัปเดตใหม่ และอัปเดตใหม่ล่าสุดนี้ก็มีคลิปวิดีโอประกอบอยู่ด้วย


 


 


บรรณาธิการชื่อดังคนหนึ่งของเว็บไซต์วรรณกรรมออนไลน์ปรากฏตัวในคลิปวิดีโอนั้น ข้างๆ เธอมีแล็ปท็อปที่เข้าใช้ระบบบริหารการจัดการเว็บไซต์อยู่ ในแน่นอนว่าสิ่งที่เธอต้องการจะให้สาธารณชนได้เห็นคือบางสิ่งที่ผู้ที่อยู่ในวงการนั้นรู้ดีอยู่แล้ว


 


 


ภายในคลิปวิดีโอนั้น หญิงสาวแก้ไขนิยายเรื่องหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ออกไปเมื่อหลายปีก่อนและเปลี่ยนเอาเนื้อเรื่องอันใหม่ใส่เข้าไปแทน นี่คือการสาธิตให้เห็นความยืดหยุ่นของวงการในแง่มุมนี้


 


 


มันไม่เกี่ยวกับสัญญาเลย เนื้อหานั้นสามารถถูกสับเปลี่ยนได้ในภายหลัง!


 


 


หลังจากที่ดูคลิปวิดีโอนั้น สาธารณชนก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าไห่รุ่ยพยายามจะสาธิตอะไร


 


 


ทำไมทุกคนถึงจดจ่ออยู่กับวันที่บนสัญญาฉบับนั้นและไม่คิดว่า ‘นักแกะรอย’ อาจถูกสับเปลี่ยนเนื้อเรื่องทั้งหมดในภายหลัง นี่จึงอธิบายว่าทำไมถึงมีนักเขียนหลายคน


 


 


เพราะหากนักเขียนหลายคนช่วยกันทำ มันก็เป็นไปได้ที่จะผลิตนิยายทั้งเรื่องเสร็จในเวลาอันสั้น


 


 


โอ้พระเจ้า!


 


 


งั้นนี่ก็คือความจริง คนร้ายนั้นแค่ใช้ภาพลวงและเกือบจะหนีพ้นจากอาชญากรรมครั้งใหญ่ไปได้!


 


 


ผู้สังเกตการณ์ของเหตุกาณ์นี้ตกตะลึงไปตามๆ กัน ทีแรกพวกเขาคิดว่านี่เป็นเพียงการคัดลอกผลงานธรรมดาๆ และไม่เคยคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับแผนการและความลับมากมายขนาดนี้


 


 


หลังจากความจริงถูกเปิดเผย ทุกคนก็เงียบกริบ!


 


 


ไม่นานจากนั้นฟังอวี้ก็ตกลงให้สัมภาษณ์กับสื่อและแจ้งข้อสรุปของเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกเขาฟัง


 


 


“ไห่รุ่ยเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนคงจะสามารถบ่งชี้ความจริงกันได้แล้ว ส่วนเรื่องการคัดลอกผลงานระหว่าง ‘นักแกะรอย’ และ ‘คนรักที่สาบสูญ’ ผมมั่นใจว่าทุกคนจะได้ข้อสรุปที่สมเหตุสมผลแล้วนะครับ


 


 


“ไห่รุ่ยสัญญาแล้วว่าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสอู๋ ดังนั้นพวกเราจึงทำตามที่พูดให้สำเร็จ แล้วนักเขียนเรื่อง ‘นักแกะรอย’ ล่ะ ถ้าผมจำไม่ผิด คุณกล่าวหาผู้อาวุโสอู๋ด้วยความมั่นอกมั่นใจว่าเขาลอกเลียนแบบผลงานของคุณ และคุณก็ให้สัญญาว่าจะหักมือตัวเองถ้าเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมหวังว่าคุณจะจำคำสัญญาของตัวเองได้ ผมจะรอดูผลลัพธ์นั้นนะครับ


 


 


“และจากนั้นก็มีชาวเน็ตหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่าไห่รุ่ยคุ้นชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว เพราะถึงยังไง คนส่วนมากบนโลกใบนี้ก็ไร้หัวใจและไร้สมอง เราไม่สามารถถือโทษคนที่คิดอะไรด้วยตัวเองไม่ได้หรอกครับ หากพวกเขาเป็นปัญญาอ่อน ทางเราก็แก้ไขอะไรเรื่องนั้นไม่ได้


 


 


“อ้อ แล้วก็อีกอย่าง ผมจำเป็นต้องพูดถึงเหล่า ‘ผู้เที่ยงธรรม’ ที่ใส่ร้าย ‘คนรักที่สาบสูญ’ เอาไว้เป็นพิเศษสักหน่อย เราไม่สามารถดูถูกพลังของกองทัพผู้เขียน ‘ตัวจริง’ ได้เลยครับ โชคไม่ดีนักที่ทุกอย่างที่พวกคุณทำลงไปนั้นเป็นได้แค่การสมรู้ร่วมคิดให้กับอาชญากรรมของคนอื่น! พวกคุณเป็นคนฉลาดที่ได้รับการศึกษา แต่เพราะแรงกดดันอย่างต่อเนื่องของพวกคุณ ผู้อาวุโสอู๋ถึงได้เกือบฆ่าตัวตายไปแล้ว! ขยะจริงๆ!


 


 


“ถ้ายังมีสามัญสำนึกอยู่บ้างละก็ พวกคุณควรขุดรูแล้วเข้าไปซ่อนตัวในนั้นซะ!”


 


 


คำพูดของฟังอวี้นั้นขวานผ่าซากและไร้ซึ่งการอดกลั้น!


 


 


ถึงอย่างไรก็มีบางโพสต์บนโลกออนไลน์ที่กระตุ้นอารมณ์โกรธของคน เพราะประโยคที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยประโยคหนึ่งอาจสามารถทำลายอนาคตหรือแม้แต่ชีวิตของคนคนหนึ่งได้


 


 


ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง พวกเขาหุบปากไม่ได้อย่างนั้นหรือ พวกเขาวิเคราะห์สถานการณ์อย่างเหมาะสมก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นไม่ได้หรือ


 


 


“นับจากนี้เป็นต้นไปไห่รุ่ยจะไม่ติดตามปัญหานี้อีก ส่วนเหตุผลที่ผู้เขียนสร้างแผนการนี้ขึ้นมาและไม่ว่าจะมีใครกระตุ้นให้เขาทำเช่นนี้หรือไม่นั้น ไห่รุ่ยจะไม่ปล่อยให้พวกเขาลอยนวลอย่างแน่นอน สำหรับผู้ที่พยายามทำให้ ‘คนรักที่สาบสูญ’ ไม่ได้ออกฉายนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ มันจะออกฉายอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ ขอเรียนเชิญทุกท่านมารับชมและแสดงการสนับสนุนด้วยนะครับ”


 


 


หลังจากการสัมภาษณ์ของฟังอวี้ โลกอินเทอร์เน็ตก็ท่วมท้นไปด้วยเสียงคำขอโทษ


 


 


เนื่องจากสาธารณชนได้รับการศึกษามากขึ้น คนส่วนมากจึงรู้จักการย้อนดูตัวเอง


 


 


[ขอโทษค่ะผู้อาวุโสอู๋! พวกเราขอโทษจริงๆ!]


 


 


[พวกเราไม่เคยคิดเลยว่าผู้อาวุโสอู๋เป็นผู้บริสุทธิ์ ขอโทษจากใจจริงครับ]


 


 


[ถึงมันจะอึดอัดอยู่หน่อยๆ เราทุกคนก็ควรไปโรงภาพยนตร์เพื่อแสดงการสนับสนุนนะ นี่ล่ะคือการขอโทษที่ดีที่สุด!]


 


 


[เธอพูดถูกแล้ว พรุ่งนี้เราจะไปที่โรงภาพยนตร์กัน ฉันอยากจะบอกเอาไว้ด้วยนะว่าผู้เขียนนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ น่ะโคตรจะไร้ยางอายเลย]


 


 


อาจเพราะเพื่อปกป้องมือของตัวเอง ผู้เขียนคนนั้นหนีไปซ่อนตัวและไม่ออกมาตอบโต้อะไร ชายหนุ่มขับความเย่อหยิ่งที่มีเมื่อก่อนหน้านี้ออกไปจนหมดสิ้น หลังจากผ่านไปสักพัก ชาวเน็ตคนหนึ่งที่มีนามแฝงว่า ‘มีดสั้น’ ก็ได้ออกมายอมรับบนโลกออนไลน์ว่าเธอคือหนึ่งในกลุ่มนักเขียนของนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ แต่หญิงสาวไม่รู้เลยว่ามีการสมคบคิดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เข้ามาเกี่ยวข้องและไม่รู้ด้วยว่าเธอจะถูกหลอกใช้เช่นนี้


 


 


เธออธิบายว่าเธอทำลงไปเช่นนั้นเพราะตัวเองไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องเอาชีวิตรอด ทว่าหลังจากที่เห็นผู้อาวุโสอู๋พยายามฆ่าตัวตาย เธอก็รู้สึกผิดมากเสียจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวแสดงหลักฐานการมีส่วนร่วมของเธอให้ทุกคนได้ดู ซึ่งนั่นรวมถึงส่วนที่เธอเขียนและร่างของมัน


 


 


ด้วยเหตุนี้ ความจริงจึงชัดเจน


 


 


ทุกอย่างนั้นใสเหมือนน้ำแข็ง


 


 


“ผู้อาวุโสอู๋ไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันอยากจะขอโทษด้วยใจจริงค่ะ!”


 


 


แม้ความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาแล้ว คำถามบางคำถามก็ยังคงอยู่ เช่น ทำไมผู้เขียนถึงวางแผนทำเรื่องเช่นนี้ แค่เพราะต้องการจะเอาส่วนแบ่งจากกำไรอย่างนั้นหรือ


 


 


แต่ ‘คนรักที่สาบสูญ’ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาจะไปคิดแผนต่อต้านมันทำไมล่ะ


 


 


นี่คือคำถามที่ไห่รุ่ยทิ้งเอาไว้ให้สาธารณชน


 


 


แน่นอนว่าเมื่อไห่รุ่ยพูดว่าพวกเขาจะสืบสวนเรื่องไหน พวกเขาก็จะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน!


 


 


“ทุกอย่างถูกชี้แจงแล้ว ความบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสอู๋ได้รับการพิสูจน์สักทีนะคะ”


 


 


“เท่านี้ยังไม่พอหรอก” ถังหนิงไม่ได้อารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้ยินคำครวญของหลงเจี่ย “อย่าลืมสิว่า ถึงผู้อาวุโสอู๋จะฟื้นขึ้นมา เขาก็จะยังได้รับผลกระทบจากโรคความจำเสื่อมอยู่ดี ฉันจะเปิดโปงคนที่บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอนไม่ว่าเธอจะพยายามซ่อนตัวแค่ไหนก็ตาม”


 


 


“คุณมีแผนต่อจากนี้ไหมคะ” หลงเจี่ยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ 

 

 


ตอนที่ 705 ภัยพิบัติที่ใกล้เข้ามา

 

“หล่อนหาวิธีแก้ไขปัญหาได้สินะ ช่างเป็นพวกขยะที่น่าสิ้นหวังจริงๆ” ซ่งซินกำลังนั่งอ่านข่าวอยู่ที่บ้าน หญิงสาวปาแก้วไวน์แดงในมือลงกับพื้นเมื่อได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น นี่คือวิธีระบายความโกรธของเธอ ทว่าซ่งซินกลับรู้สึกรำคาญยิ่งกว่าเดิมขณะที่มองของเหลวสีแดงกระจายไปทั่ว


 


 


ความตั้งใจเดิมของเธอคือหยุดยั้งการฉายภาพยนตร์ของถังหนิง ทว่าหญิงสาวต้องประหลาดใจที่ตัวเองไม่ได้ล้มเหลวเพียงอย่างเดียว แต่เธอยังช่วยถังหนิงโปรโมตอย่างฟรีๆ อีกด้วย


 


 


พรุ่งนี้ ‘คนรักที่สาบสูญ’ จะทำได้ดีแค่ไหนในโรงภาพยนตร์กันนะ


 


 


ซ่งซินคิดแค่ว่าแผนของเธอนั้นล้มเหลว แต่เธอไม่รู้เลยว่าถังหนิงเล็งเป้ามาที่เธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้ ถังหนิงจะสลับบทบาทและเล่นเกมกับเธอ


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน ผู้เขียนนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ นั้นก็ได้หายตัวไปอย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้กลัวว่าไห่รุ่ยจะออกตามหาเขาเพียงอย่างเดียว ชายหนุ่มยังกังวลอีกว่าพวกเขาจะบังคับให้เขาต้องหักมือของตัวเอง ดังนั้นผู้เขียนจึงหนีไปซ่อน ไม่กล้าออกมาปรากฏตัว


 


 


ทว่าการสะกดรอยตามใครสักคนนั้นไม่ใช่งานยากสำหรับไห่รุ่ย โดยเฉพาะเมื่อมีความช่วยเหลือจากสังคมออนไลน์ที่ประกอบด้วยผู้คนจากร้อยพ่อพันแม่ ดังนั้นไห่รุ่ยจึงพบตัวผู้เขียนได้ในเวลาไม่นาน


 


 


ถังหนิงไม่สนใจจะไปพบกับเดนคนนั้น แต่หญิงสาวกลับคุยกับฟังอวี้ผ่านทางโทรศัพท์นานถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากที่พบตัวชายคนนั้น เนื้อหาในสายสนทนานี้เป็นความลับ นอกเหนือจากฟังอวี้ โม่ถิง และตัวเธอเองแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่พวกเขาคุยกันอีก


 


 


ไม่นานจากนั้น ผู้เขียนก็ถูกเชิญให้ไปที่ห้องประชุมของไห่รุ่ย แม้ว่าผู้เขียนจะเตรียมใจรับสิ่งที่กำลังจะมาถึงเอาไว้แล้ว เขาก็ยังอดตัวสั่นตอนที่ไปถึงตึกนั้นไม่ได้


 


 


ฟังอวี้เจียดเวลามาดูหน้าขยะผู้ไร้ยางอายคนนี้ หลักๆ อนั้นเป็นเพราะเขาและถังหนิงจะไม่อุ่นใจหากพวกเขามอบความรับผิดชอบนี้ให้คนอื่น


 


 


“ผม ฟังอวี้ เป็นรองประธานของไห่รุ่ย” ฟังอวี้กล่าวขณะที่ก้าวเข้าไปในห้องประชุม ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ยื่นมือออกมาจับมือกับผู้เขียน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความนับถือใดๆ ต่อชายคนนี้เลย


 


 


“ผะ…ผมรู้ว่าต้องทำอะไรครับ” ผู้เขียนคือชายรูปร่างผอมแห้งผมเกรียนอายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี ดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่ใครจะคาดคิดล่ะว่าชายคนนี้คือคนที่สร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่หลวงให้กับวงการบันเทิงของกรุงปักกิ่ง


 


 


“รู้ก็ดีแล้วครับ ผมจะไม่ถามคุณเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ เพราะตอนนี้ไห่รุ่ยเองก็กำลังทำการสอบสวนอยู่ ผมต้องการให้คุณบอกผมมาว่าใครเป็นผู้ยุยงให้เกิดเหตุการณ์นี้และเป็นคนสอนคุณว่าต้องทำอะไรบ้าง” ฟังอวี้กล่าวพลางนั่งลงบนมุมโต๊ะกาแฟก่อนจะโน้มตัวมาด้านหน้า “ผมมั่นใจว่าคุณรู้นะครับว่าถ้าโกหกแล้วผลที่ตามมาจะเป็นยังไง การที่ไห่รุ่ยจะทำให้คุณทุกข์ทรมานนั้นง่ายเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะครับ”


 


 


ชายคนนั้นกลัวจนพูดไม่ออก เขาเอามือไพล่หลังไว้ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าไห่รุ่ยจะจำคำสัญญาของเขาได้


 


 


“ผะ…ผู้หญิงคนหนึ่งติดต่อผมมาทางอินเทอร์เน็ตแล้วจ้างผมทำเรื่องนี้ด้วยเงินจำนวนมากครับ ผมเพียงแค่ทำตามคำสั่งของเธอ ผมไม่รู้จริงๆ ครับว่าเรื่องราวทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้ ขอร้องล่ะครับ อย่าหักมือผมเลย”


 


 


“หักมือคุณ” ฟังอวี้หัวเราะพลางส่ายหน้า “เราเป็นคนที่มีอารยธรรมแล้วนะครับ เราไม่ใช้ความรุนแรงอย่างนั้นหรอก คุณไม่ใช่เหรอครับที่เสนอแนะขึ้นมาเองตั้งแต่แรก”


 


 


“ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นครับ…แค่ล้อเล่น”


 


 


“ ‘งั้นจากนี้เรามาล้อเล่นกันต่ออีกหน่อยเถอะครับ” พูดจบ ฟังอวี้ก็มอบข้อมูลส่วนหนึ่งให้ชายคนนั้น ชายหนุ่มยังจำความแค้นเรื่องฮั่วจิงจิงได้อย่างแม่นยำ


 


 


หลังจากพบกับผู้เขียนเสร็จ ฟังอวี้ก็กำลังจะนำข้อมูลที่ได้ไปยังห้องทำงานของท่านประธาน ทว่าซ่งซินผู้สวมแว่นกันแดดที่มีสไตล์กลับเข้ามาหาเขาเสียก่อน


 


 


“ไห่รุ่ยวางแผนที่จะเมินเฉยฉันไปอีกนานแค่ไหนคะ” ซ่งซินเอ่ยถามขณะที่ก้าวเข้าไปในห้องทำงานของฟังอวี้แล้วถอดแว่นกันแดดออก “ผู้จัดการของฉันยังอยู่ในโรงพยาบาลนะคะ นี่ไห่รุ่ยลืมฉันไปหมดแล้วงั้นเหรอ”


 


 


“อย่างที่คุณก็ทราบนะครับว่าผู้จัดการส่วนตัวของคุณเป็นขโมย ดังนั้นสาธารณชนจึงเชื่อมโยงคุณทั้งสองคนเข้าด้วยกัน เหตุผลที่ไห่รุ่ยทำเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาหวังว่าสถานการณ์จะซาลงไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คุณเองก็คงไม่อยากให้แฟนคลับของคุณมองคุณด้วยความอคติใช่ไหมครับ” ฟังอวี้เอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้น


 


 


“ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณจะพูดแบบนั้น นั่นคือหตุผลที่ฉันอยากยกเลิกสัญญากับไห่รุ่ยยังไงล่ะ” ซ่งซินเอ่ยพลางเคาะโต๊ะของฟังอวี้ “ฉันจะจ่ายค่าชดเชยเอง”


 


 


“ผมคุยเรื่องนี้กับท่านประธานโม่แล้ว เขาบอกว่าอยากจะรอจนกว่าโชคชะตาของคุณกับไห่รุ่ยจะไปจนสุดทาง แต่เวลานั้นยังมาไม่ถึงอย่างแน่นอนครับ” หลังจากตอบไปเช่นนั้น ฟังอวี้ก็เอ่ยถาม “ผมกำลังจะไปห้องทำงานของท่านประธาน แล้วคุณล่ะครับ”


 


 


“นี่ไห่รุ่ยคิดจะทำแบบนี้กับฉันต่อไปอย่างนั้นเหรอ”


 


 


“อย่าห่วงเลยครับ ท่านประธานโม่พูดแล้วว่าจะจ้างผู้จัดการคนใหม่และจัดตารางงานชิ้นใหม่ๆ มาให้คุณ กลับบ้านไปรอการแจ้งเตือนเถอะครับ”


 


 


ซ่งซินจ้องหน้าฟังอวี้และส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะสวมแว่นกันแดดแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป


 


 


ท่าทีของฟังอวี้เยือกเย็นลงขณะที่มองซงซินเดินจากไป เธอเป็นคนมีความสามารถแต่ชั่วร้ายและไม่คิดถึงชีวิตของคนอื่นบอกได้ยากเหลือเกินว่าหัวใจของเธอทำจากอะไร


 


 


เธอกำลังรองานเข้าเพิ่ม


 


 


เธอควรจะรอผลกรรมสนองมากกว่าเพราะนั่นจะมาถึงเร็วขึ้นอย่างแน่นอน!


 


 



 


 


แน่นอนว่าวันนี้ยังเป็นวันแรกของการฉาย ‘คนรักที่สาบสูญ’ อีกด้วย ตามสถิติแบบเรียลไทม์จากห้องขายตั๋วแล้ว พวกเขาขายได้มากกว่าหนึ่งร้อยล้านหยวน ทภายในเวลาสี่โมงเย็น นี่คือภาพยนตร์อาชญากรรมที่มีรายได้ทะลุหนึ่งร้อยล้านหยวนเร็วที่สุดในกรุงปักกิ่ง แน่นอนว่าต้องขอบคุณการประชาสัมพันธ์จากซ่งซิน


 


 


[พอดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วฉันถึงได้ตระหนักว่าไม่มีทางเลยที่ผู้อาวุโสอู๋จะลอกงานใคร ภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ‘สไตล์ของผู้อาวุโสอู๋’ ชัดๆ]


 


 


[เราต้องขอโทษผู้อาวุโสอู๋กับถังหนิงจริงๆ ผู้อาวุโสอู๋ทุ่มเทหัวใจไปกับการเขียนบทและถังหนิงก็แสดงบทของเธอด้วยความจริงจัง พวกเขาทั้งคู่สมควรได้รับความเคารพ]


 


 


[ฉันรู้สึกตะลึงเพราะถังหนิงอีกแล้ว ภาพยนตร์สามเรื่อง ตัวละครสามแบบ และเธอก็เข้ากับทุกๆ บ ทได้อย่างไร้ที่ติโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยของการแสดงเอาไว้เลย น่าตกใจจริงๆ!]


 


 


[ดูแล้วตื่นเต้นมาก พระเจ้า นี่ฉันขนลุกแล้วนะ! ถังหนิงมีพลังที่น่าอัศจรรย์จริงๆ! ถึงตัวละครของเธอจะบังเอิญไปเจอสามีโดยที่จำเขาไม่ได้อยู่หลายครั้งก็เถอะ แต่ฉากต่อสู้น่ะดูเพลินสุดๆ]


 


 


[ยากมากเลยนะที่จะได้เห็นนักแสดงหญิงที่จริงจังแบบนี้ ฉันอยากเห็นถังหนิงถ่ายทอดตัวละครในนิยายเล่มโปรดของฉันทุกเล่มเลย ฉันมั่นใจว่าเธอจะทำได้ตามความคาดหวังแน่]


 


 


[ภาพยนตร์เรื่องนี้ควรได้รับการชื่นชมและควรค่าแก่การดูซ้ำ!]


 


 


[คืนนี้ฉันจะไปดูกับแฟนอีกรอบ!]


 


 


 


 


ด้วยความที่เริ่มต้นได้ดี ‘คนรักที่สาบสูญ’ จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าประชาสัมพันธ์อีก เมื่อเสริมด้วยความรู้สึกผิดของสาธารณชน ห้องจำหน่ายตั๋วจึงลอยตัวและทิ้งให้ภาพยนตร์เรื่องอื่นจมกองฝุ่นไป…


 


 


ถังหนิงพิสูจน์ทั้งความสามารถและสถานะของเธอ


 


 


“มีตัวละครอะไรบ้างเหรอที่ถังหนิงเล่นไม่ได้”


 


 


ตอนนั้นเองที่ผู้เขียนเรื่อง ‘นักแกะรอย’ ไม่สามารถทนรับแรงกดดันได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจออกมาเปิดเผยนอกในของการลอกเลียนแบบผลงานทั้งหมดให้สาธารณชนได้ทราบ ขณะที่เขากำลังเตรียมพร้อม ซ่งซินกลับไม่ได้ตระหนักถึงภัยพิบัติที่กำลังมุ่งหน้ามาทางเธอเลย… 

 

 


ตอนที่ 706 ชนะหรือแพ้

 

เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ผู้เขียนตอบรับการสัมภาษณ์จากนักข่าวชื่อดังและไม่ออกไปพบพร้อมคนจำนวนมากเกินไป


 


 


ชายหนุ่มก้มหน้าลงตลอดการสัมภาษณ์ แต่เขาอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดโดยละเอียดซึ่งรวมถึงตอนที่เขาได้รับโทรศัพท์จากผู้บงการอีกด้วย


 


 


“ผมถูกใครบางคนสั่งมาจริงๆ ครับ แต่ผมไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้ว่าเธอคือใคร อย่างเดียวที่ผมรู้คือเธอเองก็เป็นนักเขียนเหมือนกันและยังเป็นคนในวงการบันเทิงอีกด้วย


 


 


“เธอยังสาวอยู่ครับ อายุประมาณยี่สิบสองยี่สิบสามได้ เธอระวังกับสิ่งที่ตัวเองพูดมากครับ


 


 


“ความตั้งใจของเธอคือหยุดยั้งไม่ให้ภาพยนตร์ของคุณถังหนิงได้ออกฉายครับ


 


 


“ผมสืบเบอร์โทรศัพท์และเลขไอพีของเธอแล้ว แต่ผมรู้แค่ว่าเธออยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยนานาชาติ หาอย่างอื่นไม่พบเลยครับ”


 


 


ผู้บงการนั้นเป็นนักเขียนจากวงการบันเทิง เธออายุราวๆ ยี่สิบสองยี่สิบสามปีและมีความแค้นกับถังหนิง ที่สำคัญที่สุด เธออาศัยอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยนานาชาติ การตามหาใครสักคนด้วยข้อมูลที่มากมายเช่นนี้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก และด้วยความสามารถในการค้นคว้าของชาวเน็ต พวกเขาได้สร้างรายชื่อของผู้ที่มีคุณสมบัติตรงกับเกณฑ์ที่กำหนด ทว่าสุดท้ายแล้ว คนคนเดียวที่มีครบทุกข้อก็คือซ่งซิน!


 


 


ซ่งซินไม่ได้คาดคิดว่าตัวเองจะถูกล็อกเป้าว่าเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างง่ายดายเช่นนี้ อันที่จริง ชาวเน็ตเริ่มด่าทอเธอก่อนจะให้เวลาเธอได้ตอบโต้อะไรเสียอีก


 


 


[ซ่งซินคนนี้ไม่ใช่เหรอที่มีผู้จัดการเป็นขโมย]


 


 


[เธอคือศิลปินคนที่ดังมากในกรุงปักกิ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่เหรอ แต่จากนั้นเธอก็เริ่มสูญเสียแฟนคลับไปเพราะผู้จัดการของเธอ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะชั่วร้ายขนาดนี้]


 


 


[ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย พวกเขาอยู่คนละวงการกันนี่ ทำไมเธอต้องทำอย่างนั้นกับถังหนิงด้วยล่ะ เธอทำให้ผู้อาวุโสอู๋พยายามฆ่าตัวตายเลยนะ]


 


 


[ฮ่าๆ ผู้หญิงคนนี้จองหองมาตลอดนั่นล่ะ ฉันเดาว่าหล่อนคงทนไม่ได้ที่เห็นถังหนิงดังและได้งานที่ดีกว่าตัวเอง ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย]


 


 


[ถ้าเป็นซ่งซินจริงๆ ละก็ ฉันขอให้หล่อนตายๆ ไปซะ!]


 


 


[แพศยาและสกปรกจริงๆ! หล่อนจะเลวเกินไปแล้ว!]


 


 


[ฉันเคยคิดว่าเพลงที่ซ่งซินแต่งเพราะดีนะ แต่จากนี้ไป ฉันคงต้องขอโบกมือลานางแล้วล่ะ บนโลกนี้มีคนอีกมากมายที่แต่งเพลงเก่ง ฉันจะเก็บการสนับสนุนของตัวเองเอาไว้ให้กับคนที่มีจิตใจดี]


 


 


[ไห่รุ่ยช่วยระงับการจ่ายงานให้เธอหน่อยได้ไหม นังผู้หญิงโรคจิตนี่จะได้หยุดทำร้ายคนอื่นสักที]


 


 


 


 


 


 


โลกอินเทอร์เน็ตนั้นเต็มไปด้วยคำด่าทอและแน่นอนว่าซ่งซินได้รับแจ้งเรื่องนี้ ทันทีที่เธอตระหนักว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวก็รู้สึกตกใจ


 


 


เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกจับได้และถูกเปิดโปง นี่มันเป็นไปได้อย่างไร


 


 


ดังนั้นในอีกหนึ่งนาทีต่อมา ซ่งซินจึงโทรหาฟังอวี้และถามด้วยน้ำเสียงที่บูดบึ้งว่า “คำด่าทอจากสาธารณชนนั่นมันอะไรกัน จู่ๆ ฉันถูกใส่ร้ายได้ยังไง ทำไมไห่รุ่ยถึงไม่ประชาสัมพันธ์อะไรเลย พวกคุณมีแผนจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”


 


 


“ไห่รุ่ยกำลังอยู่ในกระบวนการเปิดเผยผความจริงครับ”


 


 


“ความจริง? ความจริงคือคุณควรปกป้องชื่อเสียงของศิลปินในสังกัดก่อน เว้นเสียแต่ว่านี่คือวิธีการที่ไห่รุ่ยปฏิบัติกับศิลปินของตัวเอง ฉันเห็นมาตลอดว่าชื่อเสียงของถังหนิงนั้นได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี หรือเธอได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากคนอื่นคะ”


 


 


“ถึงบางอย่างจะเกิดขึ้นกับคุณถังหนิง ไห่รุ่ยก็จะไม่ประชาสัมพันธ์อะไรจนกว่าพวกเขาจะเปิดเผยความจริงได้ ทำไมต้องกลัวการสืบสวนด้วยล่ะครับถ้าคุณบริสุทธิ์จริง” ฟังอวี้ถามนิ่งๆ


 


 


“เยี่ยม เยี่ยมไปเลย! จากที่ฉันเห็นนะ ทั้งไห่รุ่ยเปิดทำการมาเพื่อถังหนิงคนเดียวชัดๆ” พูดจบ ซ่งซินก็กดวางสายและโทรหาเซียวอวี่เหอ “ฉันกำลังถูกใส่ร้ายนะ มันแย่มาก”


 


 


เซียวอวี่เหอรู้ทุกอย่างจากโลกออนไลน์แล้ว แม้ซ่งซินจะเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าเธอควรถูกโจมตี


 


 


“ซ่งซิน บอกผมมาตรงๆ นะครับ คุณทำใช่ไหม”


 


 


คำถามของเซียวอวี่เหอจับทางซ่งซินได้ แม้เธอจะไม่รู้ว่าเซียวอวี่เหอวางแผนอะไรไว้ หญิงสาวก็ลงเอยด้วยการปฏิเสธทุกอย่างหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ “นี่คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ เรื่องอย่างนี้มันจะมาเกี่ยวกับฉันได้ยังไง”


 


 


“แม้แต่กับผมคุณก็ยังซื่อสัตย์ไม่ได้เหรอครับ ผมจะปกป้องคุณได้ก็ต่อเมื่อคุณพูดความจริงเท่านั้น”


 


 


“ฉันไม่ได้ทำจริงๆ ค่ะ” ซ่งซินพูดต่อ “เชื่อฉันนะคะ…”


 


 


“ก็ได้ครับ หวังว่าคุณจะจำทุกอย่างที่ผมทำเพื่อคุณได้นะ” เซียวอวี่เหอพูดก่อนจะวางสายไป


 


 


ซ่งซินอึ้งเล็กน้อย หลังจากวางสาย หญิงสาวก็ยกมือขึ้นมาจับหน้าอกของตัวเองและรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัว ทำไมเธอถึงรู้สึกมีความผิดมากเช่นนี้กันนะ


 


 


เธอไม่รู้ว่าเซียวอวี่เหอจะวางแผนช่วยดึงความสนใจของสาธารณชนไปได้อย่างไร สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คือตอนนี้เขาเป็นความหวังเพียงอย่างเดียวของเธอ…


 


 


แน่นอน ถังหนิงรู้ว่าซ่งซินจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ โดยเฉพาะตอนที่ไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาเช่นนี้ ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิงปลิ้นปล้อนอย่างซ่งซิน หญิงสาวก็มีเล่ห์กลของตัวเอง


 


 



 


 


ภายในโรงพยาบาลอันเงียบสงบ ค่ำคืนก็มาเยือน…


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่คิดเลยว่าถังหนิงจะมาพบเธอ เธอไม่เห็นตอนที่ถังหนิงเดินเข้ามาในห้อง อย่างเดียวที่หญิงสาวรู้คือถังหนิงนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ เตียงของเธอแล้วตอนที่เธอตื่นขึ้นมา แน่นอนว่าหญิงสาวจะประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมหากเธอรู้ว่าโม่ถิงนั้นกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้อง


 


 


“คุณ…”


 


 


“เธอได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำกับฮั่วจิงจิงแล้ว แต่สิ่งที่เธอทำกับฉันล่ะ” ถังหนิงเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้น


 


 


ต้วนจิ่งหงมองลึกเข้าไปในดวงตาถังหนิงแล้วตระหนักว่าถังหนิงดูเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่งและรู้ทุกอย่างที่เธอกำลังคิดอยู่


 


 


“คุณ…กำลังพูดถึง…”


 


 


“ฉันกำลังพูดถึงตอนที่เธอยุให้ฮวาเหวินเฟิ่งใส่ยาควินิดีนลงในซุปไก่ของฉันน่ะ” ถังหนิงขยิบตาแล้วพูดต่อก่อนที่ต้วนจิ่งหงจะบอกปัด “ถึงตอนนั้นเธอจะปลอมตัวอยู่ ฮวาเหวินเฟิ่งก็ยังจำเธอในภาพบางส่วนจากกล้องวงจรปิดได้ ยังจะปฏิเสธอยู่อีกไหมล่ะ”


 


 


ทันทีที่ต้วนจิ่งหงได้ยินเช่นนั้น ฝ่ามือของเธอก็เริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อ


 


 


“เธอไม่ต้องกลัวไปหรอก คนที่ฉันกำลังตามหาอยู่คือคนที่เริ่มเรื่องนี้” ถังหนิงพูดปลอบ “เธอรู้ดียิ่งกว่าใครไม่ใช่เหรอว่าซ่งซินรับมือยากแค่ไหน ผู้หญิงคนนั้นขี้โกง เจ้าเล่ห์และปกป้องตัวเองเก่ง ฉันมั่นใจว่าเธอเองก็เกลียดหล่อนเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”


 


 


ต้วนจิ่งหงกัดริมฝีปากล่างของเธอและไม่พูดอะไร


 


 


“เรื่องผู้อาวุโสอู๋น่ะ…”


 


 


“หล่อนเป็นคนทำค่ะ…” ต้วนจิ่งหงโพล่งออกมา “แต่ฉันช่วยคุณเป็นพยานยืนยันความผิดของหล่อนไม่ได้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นฉันที่ยืนยันความผิดของตัวเอง”


 


 


“งั้นเธอจะรอให้ฉันเปิดเผยมันเหรอ ซ่งซินจะไม่กัดตอบแล้วโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอแทนเหรอ หืม” ถังหนิงถามพร้อมยิ้มบางๆ “ถ้าเธอลงมือก่อน ฉันมั่นใจว่าเธอจะไม่พลอยติดร่างแหไปด้วย อันที่จริง เธออาจได้รับความเห็นใจจากทุกคนด้วยซ้ำ


 


 


“คิดดูสิ เธอยินดีที่จะไว้ใจซ่งซินหรือฉันล่ะ”


 


 


เมื่อเปรียบเทียบทั้งคู่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงสาวไว้ใจถังหนิงมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด


 


 


“ซ่งซินจะหาโอกาสปกป้องตัวเองอย่างแน่นอน ถ้าเราหาคนใกล้ตัวหล่อนมาเป็นพยานยืนยันความผิดของหล่อนก่อนไม่ได้ ฉันมั่นใจว่าหล่อนจะหันมากัดเธอเพื่อป้องกันการถูกทรยศ เธอคิดว่าไงล่ะ ถ้าหล่อนหาทางล่าถอยไม่ได้ หล่อนจะโยนความผิดทั้งหมดมาให้เธออย่างแน่นอน ถ้าเธอวางแผนที่จะรอจนถึงตอนนั้นเพื่อสู้กลับ เธอคิดว่าโอกาสสำเร็จมีแค่ไหนกันล่ะ” 

 

 


ตอนที่ 707 ผิดหวังในตัวฉันจริงหรือ

 

แม้ถังหนิงจะพูดให้เธอเข้าใจง่ายขึ้น แต่ต้วนจิ่งหงก็อดคิดถึงมิตรภาพกับซ่งซินไม่ได้เมื่อถูกขอให้เป็นพยานยืนยันความผิดของซ่งซิน แม้ว่าเธอจะไม่อยากอ่อนไหวจนเกินไป แม้ว่าเธอจะเกือบเสียขาทั้งสองข้าง แต่เธอก็ยังไม่อยากทำ บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีสำหรับตัวเอง


 


 


ถึงอย่างนั้นก็มีหลายครั้งที่ต้วนจิ่งหงยินดีที่จะถลกหนังซ่งซินทั้งเป็นแล้วเลาะเอ็นทุกเส้นออกมาจากร่างของเธอ


 


 


ถังหนิงชำเลืองมองต้วนจิ่งหง หลังจากที่เห็นความรู้สึกสับสนในดวงตาหญิงสาว เธอก็ถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่าเธอยังต้องการเวลาเพื่อคิดทบทวนสินะ แต่ฉันขอเตือนว่าทุกอย่างที่ซ่งซินทำลงไปจะถูกเปิดโปงในไม่ช้าก็เร็ว” ถังหนิงยืนขึ้นจากโซฟาเพื่อจะจากไป ทว่าก่อนที่เธอจะเดินถึงประตู ต้วนจิ่งหงก็พลันเอ่ยถามขึ้นมาว่า “คุณเกลียดซ่งซินแค่ไหนคะ”


 


 


“ฉันจะทำให้เธอเห็นด้วยการกระทำของฉัน” ถังหนิงตอบโดยไม่หันกลับมามองก่อนจะเดินออกจากห้องไป


 


 


ต้วนจิ่งหงค่อยๆ ผ่อนคลายลง ตอนนั้นเองที่เธอตระหนักได้ว่าเธอกลัวถังหนิงและหวั่นวิตกแค่ไหนเวลาอยู่ใกล้ๆ ผู้หญิงคนนี้…


 


 


ระหว่างทางกลับบ้าน โม่ถิงสวมกอดถังหนิงและคุ้มกันท้องของเธออย่างหวงแหนด้วยความกลัวว่าหญิงสาวจะบาดเจ็บจากแรงกระแทกเบาๆ


 


 


“เจรจากับต้วนจิ่งหงไม่สำเร็จเหรอครับ”


 


 


“ค่ะ เห็นได้ชัดเลยว่าต้วนจิ่งหงยังไม่หมดศรัทธาในตัวซ่งซิน” ถังหนิงตอบ “ดีนะคะที่เธอยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่”


 


 


“ต้วนจิ่งหงมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่ซ่งซินอาจจะไม่มีก็ได้!”


 


 


หากซ่งซินมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เธอคงไม่คิดแผนการที่ไร้มุษยธรรมมาได้มากมายเช่นนี้ ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เธอไม่แสดงความเมตตาต่อเด็กหรือคนชราเลยด้วยซ้ำ


 


 


“ไม่ช้าก็เร็วต้วนจิ่งหงจะเป็นพยานยืนยันความผิดของซ่งซินอย่างแน่นอนค่ะ” ถังหนิงมั่นใจในเรื่องนี้ แม้ว่าบทสนทนาของเธอกับต้วนจิ่งหงจะไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่เธอก็รู้ว่าที่ต้วนจิ่งหงยังเงียบอยู่นั้นเป็นเพราะหญิงสาวยังถูกทำร้ายไม่มากพอ ดังนั้นถังหนิงจึงจะปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กันเอง ไม่สิ ความจริงคือเธอจะปล่อยให้ซ่งซินวางแผนโจมตีต้วนจิ่งหงต่อไปต่างหาก


 


 



 


 


นับตั้งแต่ไปค้างคืนที่รีสอร์ตวิลเลจพร้อมอาหารเช้าที่เพื่อนของอันจื่อเฮ่าเป็นเจ้าของ เฉินซิงเยียนก็ ‘กลับบ้าน’ หลังจากเลิกงานบ่อยขึ้นมาก ภายใต้สถานการณ์ปกติ อันจื่อเฮ่าจะจงใจอยู่ที่กองถ่ายเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าในการถ่ายทำภาพยนตร์ อันดับแรก เขาจำเป็นต้องจับตาดูหลิงหลงเผื่อว่าเธอจะมีเล่ห์กลอะไรอีก แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ มันทำให้เขาพาเฉินซิงเยียนตรงดิ่งไปที่รีสอร์ตวิลเลจหลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้นได้สะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะรับมือกับเรื่องงาน ทำอาหาร หรือมองไปยังท้องฟ้ากว้าง ตราบใดที่พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกัน ทั้งคู่ก็พอใจแล้ว เพราะถึงอย่างไร นี่ก็เป็นความสัมพันธ์ครั้งแรกของเฉินซิงเยียน หญิงสาวอยากตัวติดกับเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหากทำได้ และเพราะความรักใคร่ของเธอ อันจื่อเฮ่ารู้สึกเด็กลงเยอะเลยทีเดียว…


 


 


ขณะเดียวกัน หลังจากที่หลิงหลงหลอกเฉินซิงเยียน คนในกองถ่ายก็แสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าพวกเขากลับช่วยเฉินซิงเยียนหาโอกาสสร้างปัญหาให้หลิงหลง


 


 


เป็นผลให้หลิงหลงได้สัมผัสความรู้สึกสิ้นหวังจากการถูกทิ้งให้อยู่บนภูเขาเพียงลำพัง และเพื่อยกระดับความน่าเวทนาของหลิงหลง ก่อนที่คนในกองจะวางแผนหลอกเธอ พวกเขาถึงกับทำให้แน่ใจว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ฝนตก


 


 


คืนนั้นหลิงหลงตั้งใจกลับมาร้องไห้ฟูมฟายใส่ผู้กำกับ แต่มีคนบอกเธอว่าผู้กำกับกำลังทานอาหารค่ำอยู่กับคนของไห่รุ่ย


 


 


ไห่รุ่ย…


 


 


ไม่บอกก็รู้ว่าโม่ถิงมาที่นี่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้น้องสาวของเขาอย่างแน่นอน


 


 


“ท่านประธานโม่ของเรามีน้องสาวเพียงแค่คนเดียว ถ้าเธอถูก ‘ใครก็ไม่รู้’ มารังแกเช่นนี้ แล้วความภาคภูมิใจของเขาล่ะ”


 


 


“ทางเราจะจัดการกับเรื่องนี้ครับ” ผู้กำกับตอบอย่างขอโทษขอโพย “เราจะดูแลซิงเยียนให้ดี บอกท่านประธานโม่ด้วยครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง”


 


 


“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมขอฝากเฉินซิงเยียนไว้ที่คุณด้วยนะครับ…”


 


 


ตอนนั้นเองที่หลิงหลงแอบฟังอยู่หน้าประตู หลังจากที่รู้ว่าผู้กำกับคุยอะไรกับไห่รุ่ย เธอก็ไม่กล้าแกล้งเฉินซิงเยียนอีกต่อไปแล้ว แม้สาธารณชนจะลือกันว่าเฉินซิงเยียนคือน้องสาวของโม่ถิง โม่ถิงก็ไม่เคยยอมรับ ดังนั้นหลิงหลงจึงเสี่ยงโชคต่อ แต่ตอนนี้…


 


 


…ถึงใครจะมามอบความกล้าให้เธออีกสักสิบเท่า เธอก็คงกลัวเกินกว่าจะเป็นปรปักษ์กับเฉินซิงเยียนอีก


 


 


เฉินซิงเยียนไม่รู้เลยว่าโม่ถิงส่งคนมาช่วยเธอ ตั้งแต่เริ่มคบหากับอันจื่อเฮ่า นอกเหนือจากจดจ่อกับการถ่ายทำแล้ว หญิงสาวก็ใช้เวลาที่เหลือร่วมกับเขา ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนของวัน อย่างเดียวที่หญิงสาวคิดมีเพียงแค่วิธีเข้าใกล้และขโมยจูบจากชายหนุ่ม


 


 


คืนนั้น คู่รักไปพักผ่อนอยู่ที่รีสอร์ต อันจื่อเฮ่ากำลังช่วยเฉินซิงเยียนอ่านบทของเธอ แต่ใจของยัยตัวแสบกลับอยู่ที่อื่น


 


 


“ฟังอยู่หรือเปล่า” อันจื่อเฮ่าเงยหน้าขึ้นมาและสังเกตเห็นว่าเฉินซิงเยียนกำลังจ้องเขาอยู่ ดังนั้นเสียงของชายหนุ่มจึงฟังดูโกรธเล็กน้อย


 


 


“ถ้านายจูบฉัน ฉันจะจำบทของทั้งซีนนี้เลย”


 


 


อันจื่อเฮ่าสูดหายใจเข้าลึก เมื่อเห็นว่าใจของเฉินซิงเยียนอยู่ที่อื่น ชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ “ฉันพยายามที่จะสนับสนุนเธอเป็นอย่างมากเลยนะ ทำไมเธอถึงจริงจังกว่านี้ไม่ได้ล่ะ รู้ไหมว่ามีคนอีกมากมายแค่ไหนที่ฝันจะโชคดีอย่างเธอ”


 


 


“อย่างที่ฉันบอกไปแล้ว ความฝันของฉันคือการได้เป็นสตันต์ แน่นอนว่านั่นมันเป็นอดีตไปแล้วเพราะตอนนี้คุณคือความสนใจเพียงอย่างเดียวของฉัน…” เฉินซิงเยียนตอบ


 


 


“นั่นก็เพราะเธอยังเด็กและความคิดยังไม่เป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่ยังไงล่ะ ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าการคบกับเธอเร็วแบบนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่”


 


 


หลังจากได้ยินประโยคนั้น ท่าทีของเฉินซิงเยียนก็พลันเปลี่ยนไปทันที มันเหมือนกับว่าเธอถูกบางสิ่งต่อยเข้าอย่างไม่ทันตั้งตัว


 


 


“ตอนที่อยู่กับฉัน นายพักเรื่องงานเอาไว้ก่อนไม่ได้เหรอ ใช่ว่าฉันไม่ทำตามที่นายขอให้ฉันทำสักหน่อย…”


 


 


อันจื่อเฮ่าเข้าใจอารมณ์โกรธของเฉินซิงเยียน ดังนั้นเขาจึงไม่เถียงกลับ ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้า “ฉันจะไม่พูดเรื่องงานอีกแล้ว เข้านอนกันเถอะ”


 


 


“นายจะนอนกับฉันไหม”


 


 


“เฉินซิงเยียน รู้ไหมว่าตัวเองอายุเท่าไหร่” อันจื่อเฮ่าเอ่ยถาม


 


 


เฉินซิงเยียนฉวยโอกาสนี้นอนลงบนร่างของอันจื่อเฮ่าและขโมยจูบจากเขาก่อนจะเขยิบหนีไปอย่างรวดเร็ว อันจื่อเฮ่าทำตัวไม่ถูก ดังนั้นหลังจากที่กล่อมให้เธอหลับได้แล้ว ชายหนุ่มจึงไปหยิบผ้าห่มมานอนบนโซฟา ทว่าหลังจากที่ปิดไฟ เฉินซิงเยียนก็พลันเอ่ยถามขึ้นมาว่า “นายจะเซ็นสัญญากับศิลปินคนอื่นไหม ยกตัวอย่างเช่น คนอย่างแอนนี่”


 


 


“ไม่แน่ใจ” อันจื่อเฮ่าตอบ


 


 


“ถ้านายมีซูเปอร์สตาร์อยู่ในมือสักคน นายจะล้มเลิกความคิดที่จะเซ็นสัญญากับคนอื่นไหม”


 


 


“ก็อาจจะ”


 


 


“อันจื่อเฮ่า นายผิดหวังในตัวฉันจริงๆ เหรอ”


 


 


ครั้งนี้อันจื่อเฮ่าไม่ได้ตอบ ชายหนุ่มนั้นผล็อยหลับไปแล้ว ทว่าเฉินซิงเยียนยังคงนอนไม่หลับอยู่บนเตียง หญิงสาวรู้สึกผิดหวังในตัวเองเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เธอเกิดมาอย่างไร้ความหักห้ามใจ หากความรักมาอยู่ตรงหน้าแล้ว หญิงสาวจะไม่คิดมากเกินไป…


 


 


ขณะเดียวกัน อันจื่อเฮ่าเองก็มีแรงกดดันของเขาอยู่ เพราะถึงอย่างไร เฉินซิงเยียนก็ไม่ใช่ใครอื่น เธอคือน้องสาวของโม่ถิง


 


 


แล้วโม่ถิงเป็นคนอย่างไรงั้นเหรอ อันจื่อเฮ่านั้นรู้ดียิ่งกว่าใครว่าน้องสาวของโม่ถิงไม่ใช่คนที่ใครจะคบด้วยก็ได้ โดยเฉพาะในตอนที่เธอยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี


 


 


ชายหนุ่มต้องการแสดงผลลัพธ์บางอย่างให้โม่ถิงเห็นเหลือเกิน อย่างน้อยก็เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองคู่ควรที่จะคบกับน้องสาวของเขา ทว่ายัยตัวแสบที่นอนอยู่บนเตียงกลับไม่ค่อยให้ความร่วมมือเอาเสียเลย 

 

 


ตอนที่ 708 ออมมือไว้สักหน่อยเสมอ เผื่...

 

การคาดการณ์ของถังหนิงนั้นถูกต้อง ซ่งซินเข้าไปเยี่ยมต้วนจิ่งหงที่โรงพยาบาลตอนเช้าตรู่ของวันถัดมา แม้ต้วนจิ่งหงจะรู้ว่าซ่งซินมาทำไม หญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกเกลียดเธอเท่าที่คิดเอาไว้เมื่อได้พบเธออีกครั้ง แม้ว่าซ่งซินจะทอดทิ้งเธอเพื่อปกป้องตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นก็ตาม


 


 


“จิ่งหง ฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอ…” เซียวอวี่เหอนั้นได้เตรียมเทคนิคการประชาสัมพันธ์เอาไว้แล้ว แต่ซ่งซินกลัวว่าอะไรๆ จะผิดพลาดเพราะต้วนจิ่งหง ดังนั้นเธอจึงยังแสร้งทำเป็นว่าถูกสาธารณชนรังเกียจและไร้ที่พึ่ง


 


 


“ฉันจะช่วยเธอด้วยสภาพแบบนี้ได้ยังไงล่ะ” ต้วนจิ่งหงเอ่ยถามอย่างเยาะเย้ยตนเอง


 


 


“เพื่อที่จะโค่นฉัน ถังหนิงต้องมาหาเธออย่างแน่นอน แต่แค่นี้หน้าที่การงานของฉันก็ย่ำแย่มากพอแล้ว ฉันสูญเสียโอกาสในการคืนสู่วงการไปด้วยไม่ได้หรอกนะ ดังนั้นเธอช่วยไปจากปักกิ่งและไม่ให้ใครพบเจอได้ไหม ฉันสาบานว่าตราบใดที่ฉันได้กลับไปรุ่งเรืองเหมือนก่อนหน้านี้ ฉันจะพาเธอกลับมาและดูแลเธอเป็นอย่างดี”


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่ได้เคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดของซ่งซิน ท่าทีของหญิงสาวสงบนิ่งและมีกลิ่นอายของความไม่แยแสเล็กน้อย “ประธานเซียวเตรียมอะไรเอาไว้รองรับเธอหรือยังล่ะ”


 


 


ซ่งซินตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ รอยยิ้มจอมปลอมค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ “ทำไมเธอถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”


 


 


“ถังหนิงมาคุยกับฉันแล้ว” ต้วนจิ่งหงเผยอย่างนิ่งๆ “เขาหวังว่าฉันจะเป็นพยานยืนยันความผิดของเธอ แต่ฉันไม่ได้ตอบตกลงเพราะเห็นแก่อดีตของเรา เราต่อสู้เคียงข้างกันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้ว ถึงเธอจะกลายเป็นคนเลว ฉันก็ไม่ใจร้ายพอที่จะโหดเ**้ยมกับเธอ”


 


 


“ถังหนิงมาคุยกับเธอแล้วเหรอ” ซ่งซินเมินเฉยต่อท่าทีใจดีของต้วนจิ่งหงไปโดยสิ้นเชิงและจับแต่ข้อเท็จจริงที่ว่าต้วนจิ่งหงได้พบกับถังหนิงแล้ว


 


 


ดังนั้นเธอจึงไม่ไว้ใจต้วนจิ่งหงเป็นธรรมดา…


 


 


เธอไม่ไว้ใจเพื่อนคนนี้เลยแม้แต่น้อย


 


 


“ใช่ เขามาเจอฉันเมื่อคืนนี้”


 


 


“ข้อเสนอของถังหนิงต้องน่าสนใจมากแน่ๆ” ซ่งซินพลันวิตกขึ้นมา เธอจะลงมือกับคนที่ทำงานด้วยกันมาหลายปีจริงๆ อย่างนั้นหรือ


 


 


“ตอนนี้เธอคงกำลังหาทางจัดการกับฉันสินะ” ต้วนจิ่งหงเข้าใจซ่งซินเป็นอย่างดีและเปิดโปงความคิดของหญิงสาวออกมาตรงๆ “ฉันสงสัยจังว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจสักนิดหนึ่งบ้างหรือเปล่า”


 


 


สายตาซ่งซินมืดมนลงขณะที่เธอสังเกตเห็นความรู้สึกอันตรายที่แปลกประหลาดภายในดวงตาของต้วนจิ่งหง


 


 


“ฉันขอสัญญาว่าฉันจะไป” ในตอนท้าย ต้วนจิ่งหงยอมแพ้และพยายามประนีประนอม “ฉันจะไปทันที”


 


 


ในสายตาซ่งซิน ณ ตอนนั้น หญิงสาวสันนิษฐานว่าทั้งหมดที่ต้วนจิ่งหงทำลงไปคือส่วนหนึ่งในแผนการของถังหนิง ดังนั้นแม้ว่าต้วนจิ่งหงจะพูดว่าเธอจะไป ซ่งซินก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี


 


 


“ไม่นะ อย่าไปเลย มาอยู่กับฉันแทนเถอะ”


 


 


เมื่อได้ยินข้อเสนอแนะของซ่งซิน ต้วนจิ่งหงก็หัวเราะด้วยความเย้ยหยันและไม่พูดอะไร ถังหนิงอาจเห็นเหตุการณ์นี้ล่วงหน้าแล้วก็เป็นได้


 


 


“เธอพาฉันไปด้วยไม่ได้หรอก” ต้วนจิ่งหงอธิบายนิ่งๆ “ถังหนิงจัดเตรียมบอดีการ์ดสี่คนมาเฝ้าหน้าห้องเอาไว้แล้ว”


 


 


ซ่งซินมองหน้าต้วนจิ่งหงด้วยความประหลาดใจ


 


 


“หนุ่มๆ เข้ามาสิ” ต้วนจิ่งหงตะโกนไปทางประตู นี่เป็นสัญญาณว่าซ่งซินกำลังจะสูญเสียโอกาสที่จะได้พบต้วนจิ่งหงอีกครั้ง


 


 


“สุดท้ายเธอก็ทรยศฉันแล้วไปเป็นพวกเดียวกับถังหนิงสินะ”


 


 


ต้วนจิ่งหงรู้สึกสนุกไม่น้อยเลยหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น “เธอต่างหากล่ะที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นอันดับแรกเสมอ ซ่งซิน อย่าแข่งกับถังหนิงเลย นี่คือคำเตือนสุดท้ายของฉันในฐานะเพื่อน อีกอย่าง ฉันอยากจะเตือนเธอเอาไว้ด้วยว่าถังหนิงรู้เรื่องที่เธอพยายามจะฆ่าลูกเขา ฉันเดาว่าเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอได้ชดใช้ โชคดีด้วยตัวเองก็แล้วกันนะ!”


 


 


ซ่งซินจ้องหน้าต้วนจิ่งหง สุดท้ายหญิงสาวก็ทำได้แค่เมินอดีตเพื่อนรักแล้วจากไป


 


 


ซ่งซินนั้นมีอำนาจเพราะเธอชั่วร้ายและรู้จักการใช้ภูมิหลังของตัวเองในฐานะหลานสาวของข้าราชการคนหนึ่งเพื่อทำอะไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ


 


 


ทว่าถังหนิงนั้นมีอำนาจเพราะเธอรู้จักการเล่นกับใจของคน


 


 



 


 


เซียวอวี่เหอสัญญากับซ่งซินว่าเขาจะช่วยเธอหันเหความสนใจของสาธารณชน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหาแพะมารับบาปนี้แทน ทว่าถังหนิงไม่ให้โอกาสเขาทำเช่นนั้น แม้เธอจะไม่ได้ใช้ต้วนจิ่งหง เธอก็ยังมีวิธีอื่นๆ ในการกระชากโอกาสในการคืนวงการของซ่งซินทิ้ง


 


 


“มาดูข่าวบันเทิงล่าสุดนี่สิ มันเป็นเรื่องต่อจากการกล่าวหาว่า ‘คนรักที่สาบสูญ’ ลอกผลงานของคนอื่นมาน่ะ ทุกคนรู้ว่าโรงภาพยนตร์เครือหนึ่งไม่ยอมฉาย ‘คนรักที่สาบสูญ’ ก่อนวันฉายเดิมของมันเสียอีก โรงภาพยนตร์เครือนี้หรือไคหวงน่ะเป็นดาวดวงใหม่ในวงการเลยนะ วงในเผยว่าทายาทหนุ่มของไคหวงกำลังตามจีบซ่งซินอยู่ เขาต้องทิ้งเงินจำนวนมากไปเพื่อทำให้เธอพอใจ เพราะยังไงทุกคนก็รู้ว่า ‘คนรักที่สาบสูญ’ ทำเงินได้มากกว่าสี่ร้อยล้านหยวนแล้วตั้งแต่ออกฉายมา ฉันสงสัยจังว่าผู้ถือหุ้นที่ไคหวงได้เป็นลมไปเพราะความโกรธบ้างหรือยัง”


 


 


“ศึกระหว่างซ่งซินกับถังหนิงนั้นรุนแรงขึ้นทุกที แม้ถังหนิงจะไม่เคยตอบโต้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าท่านประธานโม่นั้นไม่มีความอดทนกับเรื่องพวกนี้ในฐานะที่เป็นผู้จัดการของเธอ ถ้าตัดสินจากระดับความสำคัญที่ไห่รุ่ยมอบให้กับปัญหานี้แล้ว ฉันคิดว่ามันก็ชัดเจนอยู่นะว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น”


 


 


“วงในคนนั้นยังเผยอีกว่าทายาทหนุ่มวางแผนจะใช้เงินเพื่อหันเหความสนใจของสาธารณชน แม้ฉันจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ดูเหมือนเขาจะตกหลุมรักเธอจริงๆ นะ”


 


 


เซียวอวี่เหอกำลังวางแผนใช้เงิน…


 


 


…ช่วนซ่งซินหันเหความสนใจของสาธารณชน!


 


 


ด้วยคำเตือนล่วงหน้านี้ ถังหนิงกำลังจะได้เห็นว่าเซียวอวี่เหอวางแผนที่จะลงมืออย่างไร


 


 


ถึงเขาจะลงมือ สาธารณชนจะไขว้เขวเพราะเขาหรือ


 


 


ไห่รุ่ยยังไม่ได้จัดการกับซ่งซิน อันดับแรก พวกเขาไม่มีหลักฐาน และอันดับที่สอง พวกเขายังเล่นกับเธอไม่เสร็จ!


 


 


ถังหนิงจะทำให้ซ่งซินต้องชดใช้โดยไม่คำนึงว่าผู้หญิงคนนี้จะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นผิดหรือไม่


 


 


หลังจากสูญเสียโอกาสสุดท้ายที่มี ซ่งซินก็มองไปยังคำด่าทอบนโลกออนไลน์และควบคุมอารมณ์ไม่ได้ในที่สุด หญิงสาวสนุกกับการวางแผนทำร้ายผู้อื่น อันที่จริงมันเป็นเรื่องที่สะใจมากสำหรับเธอ ทว่าเมื่อถึงคราวที่ตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ หญิงสาวก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาโดยพลัน นี่คือข้อพิสูจน์อย่างอ้อมๆ ว่าการเป็นคนที่ไม่ยอมผ่อนปรนกับคนมีอีคิวสูงนั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างยิ่ง การเป็นคนที่ไม่ยอมผ่อนปรนนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นคนฉลาด เพราะผู้ที่มีอีคิวสูงนั้นก็สามารถเป็นคนที่ไม่ยอมผ่อนปรนได้เช่นกัน และถังหนิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


 


แน่นอนว่าซ่งซินมีความฉลาดอยู่เพียงหยิบมือเดียว


 


 


เซียวอวี่เหอเห็นซ่งซินพ่ายแพ้จนหมดสภาพแต่เขากลับทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงรู้สึกโกรธ หลังจากซ่งซินหลับไปแล้ว ชายหนุ่มจึงโทรหาเลขาฯ ของเขาและบอกเธอให้ติดต่อไห่รุ่ยเพื่อส่งข้อความไปหาโม่ถิงว่า “ออมมือไว้สักหน่อยเสมอ เผื่อเราจะได้เจอกันอีก!”


 


 


เลขานุการของไห่รุ่ยส่งข้อความนั้นให้ลู่เช่อ แต่เมื่อชายหนุ่มได้ยินข้อความนั้น เขาถึงกับส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างดูแคลน ทำไมตอนที่วางแผนทำร้ายคนอื่นซ่งซินถึงไม่ออมมือสักหน่อยล่ะ


 


 


บนโลกนี้มีพวกปากว่าตาขยิบอีกมากมายที่ไม่สามารถหยุดได้


 


 


แน่นอนว่าลู่เช่อส่งต่อข้อความนั้นให้โม่ถิงครบถ้วนทุกคำ ทว่าคำตอบของโม่ถิงคือ “ทำให้เซียวอวี่เหอรู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ สิ่งที่ซ่งซินสูญเสียไปมันยังไม่ถึงหนึ่งในพันของสิ่งที่คนอื่นๆ สูญเสียไปเลย!” 

 

 


ตอนที่ 709 ลูกเตะท้องฉัน

 

ก่อนจะเดบิวต์ ซ่งซินสาบานกับคุณปู่ของเธอว่าหากเธอไม่ได้สร้างชื่อในวงการบันเทิง เธอจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้


 


 


ทว่าครอบครัวของซ่งซินนั้นมีชื่อเสียงต้องรักษา แม้ว่าผู้อาวุโสซ่งจะพยายามทำให้เธอเล่นการเมืองแทนอย่างสุดความสามารถ ชายชราก็ไม่สามารถเอาชนะความหลงใหลในด้านดนตรีและความสร้างสรรค์ของเธอได้


 


 


และด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าซ่งซินเป็นคนหัวดื้อมาตั้งแต่ยังเด็ก ผู้อาวุโสซ่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยวาง ให้หญิงสาวได้สำรวจความเป็นไปได้ของตัวเอง ชายชรารู้ว่าหลานสาวผู้โอหังของเขานั้นจำต้องเจอกับทางตันเสียก่อนที่จะยินยอมกลับมาอยู่เคียงข้างเขาอย่างแท้จริง


 


 


แม้ชายชราจะคาดการณ์เอาไว้ว่าหลานสาวของเขาจะได้สัมผัสเล่ห์เหลี่ยมที่อยู่ในวงการบันเทิงครบทุกรูปแบบ เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะถึงทางตันด้วยการทำลายชื่อเสียงของตัวเองจนย่อยยับ


 


 


ดังนั้นหลังจากที่ข่าวบินเทิงดังกล่าวถูกปล่อยออกมา ผู้อาวุโสซ่งจึงโทรหาซ่งซินทันที “หลานซิน กลับบ้านเถอะ ปู่จะช่วยหลานแก้ปัญหานี้เอง แต่สัญญากับปู่ได้ไหมว่าจากนี้ไปหลานจะอยู่เคียงข้างปู่ เรียนรู้จากปู่ รวมถึงเอาตัวเองออกมาจากสถานที่น่ารังเกียจนั่นและไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งเหยิงในวงการบันเทิงอีก”


 


 


ซ่งซินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปที่บ้านแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าปู่ของเธอ “คุณปู่คะ หนูทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วค่ะ”


 


 


“ยืนขึ้นเถอะ ยืนขึ้น…” ผู้อาวุโสซ่งรู้สึกใจสลาย ชายชรารู้ว่าหลานสาวของเขาคนนี้โอหังแค่ไหน ถึงกระนั้น ใครบางคนกลับทำร้ายเธอได้อย่างแสนสาหัสเช่นนี้ “เร็วเข้า บอกปู่มาซิว่าใครทำแบบนี้ ใครรังแกหลานสาวของปู่”


 


 


ซ่งซินควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้พลางโผตัวใส่ชายชราแล้วร้องไห้ฟูมฟาย “ถังหนิงกับโม่ถิงค่ะ คุณปู่คะ หนูเป็นทุกข์เหลือเกิน คุณปู่ต้องทวงความยุติธรรมให้หนูนะคะ!”


 


 


“ใครก็ตามที่กล้ารังแกหลานสาวของปู่จะต้องชดใช้” ชายชราประคองผู้เป็นหลาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเธอในสภาพที่พ่ายแพ้จนหมดรูปเช่นนี้ “ซินซิน อย่าร้องไห้ไปเลย เห็นหลานเป็นอย่างนี้แล้วปู่รู้สึกแย่นะ”


 


 


ชายชราใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในแวดวงการเมืองและมีประสบการณ์ในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางเมืองที่หลากหลาย ดังนั้นหัวใจของเขาจึงหนักแน่นและแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ลูกๆ ของเขาไม่อยู่ที่บ้านอีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขามีอยู่ก็คือหลานสาวคนนี้ เป็นผลให้ชายชราทะนุถนอมเธอและไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรเธอทั้งนั้น ทว่าในตอนนี้เธอกำลังร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงหน้าเขา ใครจะรับมือไหวกันล่ะ


 


 


ส่วนทุกอย่างที่ซ่งซินทำกับคนอื่นอย่างนั้นเหรอ ชายชราไม่เคยใส่ใจเรื่องนั้น ตราบใดที่ซ่งซินมีพอใจและความสุข นั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ


 


 


หลังจากซ่งซินผล็อยหลับไป ผู้อาวุโสซ่งก็เดินวนไปวนมา พยายามทำการตัดสินใจเรื่องบางอย่างอยู่ในห้องของเขา จากนั้นชายชราก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วสวมแว่นอ่านหนังสือเพื่อหาเบอร์โทรเบอร์หนึ่ง


 


 


“สวัสดีครับเจ้าหน้าที่หยาง…ผมมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะขอร้องคุณ มีเวลามาทานมื้อค่ำด้วยกันสักหน่อยไหมครับ”


 


 



 


 


เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากซ่งซิน แน่นอนว่าถังหนิงได้พิจารณาพื้นหลังครอบครัวที่ซ่งซินมี ดังนั้น เธอจึงคาดเดาว่าซ่งซินจะขอให้ครอบครัวของตัวเองช่วยหลังจากที่เธออับจนหนทาง


 


 


นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอยังไม่เอาต้วนจิ่งหงออกมาใช้


 


 


แม้ครอบครัวของถังหนิงจะเป็นอาณาจักรน้ำหอมขนาดใหญ่ คนจนก็ไม่มีวันเอาชนะคนรวยและคนรวยก็ไม่มีวันเอาชนะคนที่มีอำนาจได้ หากตระกูลซ่งตัดสินใจจะปกป้องซ่งซินจริงๆ นั่นคือตอนที่ต้วนจิ่งหงจะมีประโยชน์


 


 


อย่างไรก็ตาม หญิงสาวไม่คิดเลยว่าตระกูลซ่งจะลงมืออย่างรวดเร็วเช่นนี้!


 


 


“จากคำให้การของเหล่าคอหนัง ‘คนรักที่สาบสูญ’ เต็มไปด้วยฉากที่มีเนื้อหารุนแรงและเปื้อนเลือดมากมาย ทว่าทางต้นสังกัดกลับไม่ได้เตือนว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่เด็กดูไม่ได้ เป็นผลให้หน่วยงานราชการหน่วยงานหนึ่งออกมาสั่งให้พวกเขาหยุดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้และทำการแก้ไขมันเสีย”


 


 


ทันทีที่ข่าวนี้ออกมา ความโกลาหลก็เกิดขึ้นทันที เพราะถึงอย่างไร เดิมทีภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับอนุญาตให้ออกฉายเพราะผ่านระบบคัดกรองเรตภาพยนตร์แล้ว ในเมื่อก่อนหน้านี้มันออกฉายได้ ทำไมจู่ๆ มันถึงถูกสั่งงดฉายล่ะ


 


 


ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าว แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกถอดออกจากโรงและขอให้แก้ไขจริงๆ


 


 


เนื่องจากพวกเขาได้รับการแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากปฏิบัติตาม


 


 


หลังจากนั้น ผู้กำกับเฉิงก็ได้รับการแจ้งเตือนอันคลุมเครืออีกฉบับหนึ่งว่าให้แบนถังหนิงออกจากวงการ แน่นอนว่าทุกคนรู้ความจริงที่ไม่สามารถเอ่ยได้นี้ ซึ่งนั่นก็คือถังหนิงทำให้ใครบางคนไม่พอใจ ใครบางคนที่ไม่ใช่คนทั่วๆ ไป แต่เป็นใครบางคนที่มีอำนาจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ขณะเดียวกัน โม่ถิงโยนประกาศของทางการฉบับนั้นลงหลังจากที่อ่านมันจนจบ เนื่องจากเป็นคำสั่งจากทางการ ไห่รุ่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติตาม เพราะถึงอย่างไร วงการบันเทิงและหน่วยงานวัฒนธรรมนั้นก็เป็นสองสิ่งที่อยู่แยกกันโดยสิ้นเชิง


 


 


“ท่านประธานครับ…ถึงจะไม่มีการเอ่ยชื่อ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เพ่งเล็งมาที่คุณผู้หญิง หากเป็นอย่างนั้น จากนี้ไปใครจะกล้าทำงานกับเธอล่ะครับ”


 


 


“ดูเหมือนผู้อาวุโสซ่งจะใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเลยล่ะ” โม่ถิงตอบนิ่งๆ “ถ้าพวกเขาต้องการให้เราแก้ไขภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็แก้ไขมันซะสิ ใช่ว่าเราไม่ได้รับอนุญาตให้ฉายมันสักหน่อย”


 


 


โม่ถิงไม่ตอบโต้เหตุการณ์เช่นนี้ด้วยอารมณ์อีกต่อไปแล้ว เพราะถึงอย่างไร เขากับถังหนิงก็ได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น


 


 


“นี่หมายความว่าคุณผู้หญิงเป็นนักแสดงไม่ได้อีกต่อไปแล้วหรือครับ”


 


 


“ใครว่าล่ะ” โม่ถิงถามกลับ “ใครพูดเหรอว่าเธอเป็นนักแสดงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เธอเคยแสดงภาพยนตร์ดีๆ มาแล้วตั้งหลายเรื่อง สำคัญด้วยเหรอว่าเธอจะถูกเชิญให้ไปร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ หรือเปล่า อย่าลืมสิว่าไม่ใช่วงการนี้ไม่ต้องการเธอ เธอไม่จำเป็นต้องไปปรากฏตัวในโปรดักชั่นของคนอื่นๆ แล้วล่ะ จากนี้ไป ถังหนิงจะเป็นนักแสดงให้กับไห่รุ่ยเพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าใครจะเชิญเธอ เราจะปฏิเสธพวกเขาให้หมด”


 


 


นอกเหนือจากไปถ่ายทำภาพยนตร์ ถังหนิงก็แทบจะไม่ไปปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอยู่แล้ว ดังนั้นมันจะมีปัญหาอะไรล่ะถ้าทั้งโลกหันหลังให้เธอ เพราะถึงอย่างไรไห่รุ่ยก็พร้อมที่จะแบกโลกทั้งใบเอาไว้เพื่อเธอ


 


 


แน่นอนว่าหลังจากได้ยินข่าวนี้ หลงเจี่ยก็วิตกเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่หญิงสาวกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ตรงหน้าถังหนิง ถังหนิงกลับจับท้องของเธอเอาไว้แล้วหัวเราะ “เธอเดินไปเดินมาอย่างนั้นทำไมน่ะ”


 


 


“คุณไม่กังวลเหรอคะ คุณเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้…”


 


 


“เธอเห็นฉันตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแบบไหนกันเหรอ” ถังหนิงเอ่ยถาม


 


 


“จากนี้ไปคุณจะเป็นนักแสดงไม่ได้แล้วนะคะ!”


 


 


“ใครบอกล่ะ” ถังหนิงมองหลงเจี่ยอย่างไม่แยแส “ฉันยังแสดงภาพยนตร์ของไห่รุ่ยได้อยู่นะ”


 


 


“คุณกำลังจะบอกว่า…”


 


 


“ฉันกำลังจะบอกว่า ตอนนี้ฉันมีภาพยนตร์ที่เคยแสดงเก็บไว้แล้วถึงสามเรื่อง ฉันไม่ได้อยู่ในช่วงที่ต้องรีบพิสูจน์ตัวเองอีกต่อไปแล้ว หลังจากเด็กคนนี้เกิดมา ฉันจะใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับครอบครัวของฉัน ภาพยนตร์ปีละเรื่องน่ะเพียงพอแล้วสำหรับฉัน ถ้าฉันแสดงในภาพยนตร์ของไห่รุ่ย คนจะพูดอะไรได้ล่ะ”


 


 


“แต่หน่วยงานของรัฐนั่นจะเข้มงวดกับคุณนะคะ…”


 


 


“ฉันทำผิดกฎอะไรล่ะ ทำไมเจ้าหน้าที่พวกนั้นจะต้องมาเข้มงวดกับฉันด้วย พวกเขาแค่ทำให้เรื่องมันยุ่งยากสำหรับฉันเป็นการชั่วคราวเท่านั้นละ ในทางตรงกันข้าม ตระกูลซ่งได้ทำการเสียสละอันใหญ่หลวงเกินไปแล้ว…


 


 


“ใหญ่หลวงเกินไปมากเลยล่ะ” ทว่าหญิงสาวไม่รู้สึกสงสารตระกูลซ่งเลยแม้แต่น้อย


 


 


ตระกูลซ่งต้องรู้ตัวตนที่แท้จริงของซ่งซินอยู่แล้วใช่ไหม นั่นหมายความว่าพวกเขารู้เรื่องแผนชั่วของซ่งซินและเห็นดีเห็นงามกับมัน ในเมื่อตระกูลซ่งไม่สามารถแยกแยะถูกออกจากผิดได้ ทำไมถังหนิงจะต้องสงสารพวกเขาด้วยล่ะ


 


 


“คุณวางแผนจะใช้ต้วนจิ่งหงเหรอคะ”


 


 


“โอ๊ย…” ก่อนถังหนิงจะตอบ หญิงสาวพลันกุมท้องของเธอแล้วร้องออกมาอย่างเจ็บปวด


 


 


หลงเจี่ยตอบสนองทันที “อะไรคะ คุณพร้อมจะคลอดแล้วเหรอ อย่าทำฉันกลัวสิคะ…”


 


 


ถังหนิงส่ายหัวแล้วกลับมานิ่งดังเดิม “ลูกเตะท้องฉันน่ะ คงอีกไม่นานแล้ว…” 

 

 


ตอนที่ 710 จะมีใครในวงการนี้ที่ยังกล้...

 

“พักหลังๆ นี้นายใหญ่ดูเป็นกังวลมากเลยนะคะ คุณอยู่บ้านเฉยๆ และเตรียมตัวคลอดไม่ได้เหรอคะ” หลงเจี่ยกลอกตา


 


 


“ฉันรู้จักร่างกายของตัวเองดียิ่งกว่าใคร” ถังหนิงดูสงบนิ่งดังเคย


 


 


“ได้ถามหมอเรื่องเพศของเด็กหรือยังคะ คุณไม่สนใจเรื่องนั้นเลยเหรอ” หลงเจี่ยผู้ดูกระวนกระวายยิ่งกว่าถังหนิงเอ่ยถาม พลางจ้องไปยังท้องที่ยื่นออกมาของถังหนิงและจินตนาการถึงเจ้ามนุษย์ตัวน้อยที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลก


 


 


“ทำไมต้องถามด้วยล่ะ เดี๋ยวพอฉันคลอดแล้วพวกเราก็จะรู้เอง” ถังหนิงอยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นเซอร์ไพรส์สำหรับโม่ถิงและตัวเธอเอง ไม่ว่าเด็กคนนี้จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เขาก็จะเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับทั้งสองอย่างเท่าเทียมกัน


 


 


“หลานตัวน้อยของฉัน รีบออกมาเจอโลกได้แล้วนะ…พวกเราทุกคนรออยู่” หลงเจี่ยกล่าวพลางคุกเข่าลงตรงหน้าถังหนิงแล้วโน้มตัวเข้าไปหาท้องของหญิงสาว เด็กในท้องเตะกลับมาราวกับว่าได้ยินประโยคนั้น เมื่อหลงเจี่ยสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของเจ้าตัวน้อย เธอก็พูดไม่ออกด้วยความประหลาดใจ


 


 


ทันทีที่ถังหนิงได้เห็นเช่นนั้น รอยยิ้มอันเปี่ยมสุขก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเธอ…


 


 



 


 


ภายใต้การปกป้องของผู้อาวุโสซ่ง ซ่งซินหลีกหนีจากสายตาของสาธารณชนได้อย่างรวดเร็วในขณะที่คำสาปแช่งและคำด่าทอถึงเธอนั้นถูกบดบังไปด้วยข่าวเรื่องล่าสุด ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนกำลังสงสัยว่าถังหนิงไปลบหลู่ใครจนทำให้ภาพยนตร์ของเธอถูกถอดออกจากโรงภาพยนตร์


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์ของถังหนิงนั้นย่ำแย่ยิ่งกว่าที่สาธารณชนจินตนาการเอาไว้ เพราะถึงอย่างไร ผู้ให้ความช่วยเหลือที่ตระกูลซ่งไปพบมานั้นก็มีความสามารถที่ทำให้ทั้งวงการบันเทิงยืนขาสั่นไปตามๆ กัน ถังหนิงถูกจำกัดไม่ให้ไปปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ไม่ใช่แค่เฉพาะในภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงตัวโฆษณาทั้งในอดีตและในอนาคตอีกด้วย ดูเหมือนว่าสำหรับข้าราชการระดับสูงบางคนแล้ว ทั้งวงการบันเทิงนี้อยู่ในกำมือของเขาและเขาก็สามารถกดขี่ศิลปินสักคนได้ในชั่วพริบตา…


 


 


แม้ไห่รุ่ยจะอยากช่วยเธอ…


 


 


…พวกเขาก็จำต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาด้วย!


 


 


ซ่งซินรับรู้สถานการณ์ของถังหนิงผ่านผู้อาวุโสซ่ง การอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจนั้นมีประโยชน์ตามที่คาดเอาไว้ โม่ถิงมีฝีมือไม่ใช่เหรอ ไห่รุ่ยเก่งเรื่องการประชาสัมพันธ์ไม่ใช่เหรอ แต่พวกเขาก็ทำได้แค่มองดูถังหนิงถูกกดขี่โดยที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อยู่ดี


 


 


ทว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่กวนใจซ่งซิน ต้วนจิ่งหงผู้ถูกถังหนิงลักตัวไปนั่นเอง


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซ่งซินจึงไปที่ห้องทำงานของผู้อาวุโสซ่งอีกครั้งแล้วครวญครางว่า “คุณปู่คะ ยังจำเพื่อนคนดีของหนูที่ชื่อต้วนจิ่งหงได้ไหมคะ”


 


 


“คนที่คอยติดตามและอยู่เคียงข้างหลานไปทุกที่น่ะเหรอ” ผู้อาวุโสซ่งพยายามนึกพลางวางปากกาในมือลง


 


 


“ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้เธอตกอยู่ในมือของถังหนิง คุณปู่ช่วยคิดหาทางช่วยเหลือเธอได้ไหมคะ” ซ่งซินเอ่ยถาม “หนูรู้ว่ามันยากแล้วที่คุณปู่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ตอนนี้หนูก็ยังมาขอให้คุณปู่เข้าไปพัวพันกับเรื่องใหม่อีก มันต้องลำบากแน่ๆ …”


 


 


“หลานแค่อยากได้คนคนคนนั้นไม่ใช่เหรอ หลานคิดว่าถังหนิงจะขัดขืนได้หรือยังไง” ผู้อาวุโสซ่งเอ่ยถาม “รอข่าวดีได้เลย แค่อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับปู่ก็พอ”


 


 


“ค่ะ คุณปู่” ซ่งซินพยักหน้าระรัว


 


 


เวลาผู้อาวุโสซ่งสัญญาอะไรแล้ว เขามักจะทำตามนั้นเสมอ ดังนั้นหลังจากที่ซ่งซินออกไปจากห้อง ชายชราจึงหยิบแว่นอ่านหนังสือออกมาสวมอีกครั้งแล้วโทรหาใครบางคน


 


 



 


 


เช้าวันถัดมา ตำรวจก็เดินทางไปถึงไฮแอทรีเจนซี่และเคาะประตูบ้านของถังหนิง พวกเขาแสดงตราตำรวจทันทีที่เห็นหญิงสาวพร้อมอธิบายว่า “ทางเราได้รับแจ้งมาว่าผู้หญิงที่ชื่อต้วนจิ่งหงหายตัวไปได้สองสามวันแล้ว จากการสืบสวนของทางเราพบว่าคนที่พาเธอออกมาจากโรงพยาบาลคือคนของคุณ ดังนั้นเราจึงมาทำความเข้าใจกับสถานการณ์ดังกล่าวครับ…”


 


 


ทันทีที่ถังหนิงได้ยินเช่นนั้น เธอก็รู้ว่าซ่งซินมาที่นี่เพื่อเอาตัวคนของเธอกลับไป ดังนั้นหญิงสาวจึงยิ้มให้กับเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วตอบว่า “คุณตำรวจคะ ต้วนจิ่งหงคือคนเป็นๆ ทั้งคนนะคะ เธอจะถูกฉันพาตัวไปอย่างง่ายดายแบบนั้นได้ยังไง พวกคุณลองติดต่อเธอหรือยังคะ”


 


 


ตำรวจไม่ตอบอะไร


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ ถังหนิงจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาต้วนจิ่งหงต่อหน้าพวกเขา “จิ่งหง เธออยู่ที่ไหนเหรอ มีตำรวจมาตามหาเธอถึงบ้านฉันเลยนะ เป็นไปได้ว่าครอบครัวของเธอไปแจ้งความว่าเธอหายตัวไป พวกเขาได้ติดต่อหาเธอบ้างหรือยัง”


 


 


ถังหนิงเปิดลำโพงเพื่อให้เหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยินคำตอบของต้วนจิ่งหงด้วย ทว่าคำตอบของเธอคือ “ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่ที่บ้านกับพ่อและแม่ของฉันนะ ใครแจ้งความกันเนี่ย คงจะเป็นเรื่องผิดพลาดแล้วล่ะ…”


 


 


ความกระอักกระอ่วนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเล็กน้อย


 


 


“คุณตำรวจคะ ถ้าพวกคุณยังต้องการทำความเข้าใจกับเรื่องอื่นๆ อยู่อีก พวกคุณสามารถไปที่บ้านตระกูลต้วนเพื่อคุยกับพวกเขาอย่างเป็นการส่วนตัวได้เลยค่ะ”


 


 


เหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รู้จะพูดอย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ขอโทษเท่านั้น “ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาครับ!”


 


 


“ฉันเข้าใจค่ะ พวกคุณเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น” แน่นอนว่าคำพูดของถังหนิงมีความหมายสองทาง


 


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มนั้นจ้องหน้าถังหนิงไม่วางตาก่อนจะออกจากคฤหาสน์ไป


 


 


ครู่ต่อมา ต้วนจิ่งหงก็โทรกลับมาหาถังหนิง “นี่ ‘คนคนนั้น’ กำลังตามหาตัวฉันอยู่เหรอ”


 


 


“เธอคิดว่าไงล่ะ” ถังหนิงถามกลับ


 


 


“อย่าห่วงเลย ฉันไม่หันหลังกลับไปหรอก”


 


 


“ฉันไม่ใช่ซ่งซินนะ ฉันไม่ข่มขู่ใคร ถ้าเธออยากจะไปก็ไปได้เลย ฉันไม่ห้ามหรอก”


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่ได้ตอบในทันที เธอเงียบจนถังหนิงได้ยินเสียงแทรกมาจากปลายสาย หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หญิงสาวก็ตอบกลับมาว่า “ฉันก็มีความเคารพต่อตัวเองเหมือนกันนะ ไม่ไปๆ มาๆ ตามที่หล่อนต้องการหรอก”


 


 


อีกเหตุผลหนึ่งที่ต้วนจิ่งหงตอบมาเช่นนี้ก็เพราะถังหนิงกำลังปกป้องครอบครัวของเธอ


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่เคยคาดคิดเลยว่าซ่งซินจะได้มาลงเอยเช่นนี้ แต่หญิงสาวเข้าใจนิสัยของซ่งซินดี ในเมื่อเธอเป็นภัย เธอก็รู้ว่าซ่งซินมีวิธีการอีกมากมายที่จะจัดการกับเธอ


 


 


หญิงสาวนั้นยังมีศรัทธาว่าตัวเองยังมีอนาคตจากการติดตามถังหนิง หากเธอติดตามซ่งซินต่อไป เธอรู้ว่าตัวเองจะถูกนำไปใช้ในทุกๆ ทางที่เป็นไปได้และมีจุดจบอันน่าอนาถ ดังนั้นต้วนจิ่งหงจึงรู้ว่าการติดตามถังหนิงนั้นเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยตัวเองได้ เธอจะไม่เหยียบกับดักของซ่งซินอีกแล้ว หญิงสาวไม่ได้โง่ เธอรู้วิธีการเปลี่ยนไปหาสิ่งที่ดีกว่า


 


 


“ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ควรหนักข้อนักนะ เธอก็รู้ว่าซ่งซินตอบโต้กับสิ่งนั้นได้อย่างเลวร้ายที่สุด…” ถังหนิงเตือนต้วนจิ่งหงให้ระวังตัว


 


 


“แล้วคุณล่ะ ตอนนี้ซ่งซินกำลังกดขี่คุณ จะมีใครในวงการนี้ที่ยังกล้าร่วมงานกับคุณอีก”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังหนิงก็หยุดพูดไปชั่วขณะก่อนจะตอบว่า “ถ้าฉันถูกข่มเหงโดยคนอย่างซ่งซินได้อย่างง่ายดายแล้วละก็ ฉันก็คงไม่ใช่ถังหนิงแล้ว ฉันไม่รังเกียจที่ศัตรูทุกคนของฉันคิดว่าแผนชั่วของตัวเองสำเร็จแล้วหรอกนะ พวกเขาสามารถรู้สึกสาแก่ใจได้ตามที่ต้องการเลย เพราะหลังจากนั้นพวกเขาก็จะเผยจุดอ่อนของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว…”


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่เข้าใจว่าถังหนิงหมายความถึงอะไรและไม่ได้บังคับให้ตัวเองเข้าใจด้วย ตราบใดที่ถังหนิงมีฝีมือมากกว่าที่เธอคาดเอาไว้ เธอก็พอใจแล้ว


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลตัวเองด้วยนะ” นี่เป็นสิ่งเดียวที่ต้วนจิ่งหงสามารถทำให้ถังหนิงได้


 


 


ถังหนิงยิ้มอย่างสบายๆ “เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว สามีของฉันใส่ใจในความปลอดภัยของฉันยิ่งกว่าใครเลยล่ะ”


 


 


พูดจบถังหนิงก็กดวางสาย


 


 


จากนั้นต้วนจิ่งหงก็จ้องไปยังโทรศัพท์ของตัวเอง เธอแน่ใจเหลือเกินว่าซ่งซินจะโทรมาหาเธอในเร็วๆ นี้…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม