ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 70.1-74.1

 ตอนที่ 70-1 ตบตีไป๋ฮูหยิน

 


 


 


เด็กในวัยเจ็ดถึงเก้าขวบ จะอยากรู้อยากเห็น ชอบถามนู่นถามนี่ตลอด และอาเม่าก็อยู่ในวัยนี้พอดี


 


 


สองวันแรกที่เพิ่งมาถึงบ้านอารอง อาเม่ากลัวคนแปลกหน้า จึงได้แต่เล่นอยู่กับพี่จู้ในเรือนของท่านย่า ทว่าต่อมาก็ค่อยๆ อยู่ไม่เป็นสุข


 


 


หลังจากเรื่องระเบิดโรงละครว่านไฉ่ผ่านไปไม่ได้กี่วัน ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็อยู่แต่ในเรือนของตนจนรากงอก แต่อาเม่ากลับชีพจรลงเท้า


 


 


พริบตาเดียวก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พอช่วงที่ร้อนที่สุดผ่านพ้น อากาศก็มีทีท่าว่าจะเย็นลง แดดไม่แรงเหมือนก่อน หลังมื้อเที่ยง บ้านสกุลอวิ๋นจึงเงียบเชียบ เจ้านายกว่าครึ่งกำลังนอนกลางวัน ยังไม่ตื่น


 


 


โดยเฉพาะไป๋เสวี่ยฮุ่ย ไม่ง่ายเลยที่นางจะรู้สึกสบายอกสบายใจ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องดูแลแม่สามีอีก หลังทานข้าวเที่ยง นางจึงเลือกที่นอนนุ่มๆ ปิดม่าน ปิดประตู หลับยาวๆ ให้สะใจ ชนิดฟ้าร้องก็ไม่ขยับ


 


 


เมื่ออาเม่าเห็นแม่กับย่านอนกลางวัน บ่าวก็งีบอยู่หน้าประตู จึงลุกออกจากเตียง สวมเสื้อคลุมยาว แอบย่องออกจากเรือนไป


 


 


โดยเลือกไปเดินเล่นรอบสระบัวที่สวนหลังจวนก่อน เขาเหมือนเด็กบ้านนอกก็มิปาน เล่นดีดลูกหิน ลูบหัวปลาหลีฮื้อในสระ สุดท้ายก็เดินเล่นต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงเรือนหลักโดยไม่รู้ตัว


 


 


แม่เคยบอกว่า ที่นี่เป็นที่พักของอารองกับอาสะใภ้


 


 


เด็กเจ็ดขวบอย่างอาเม่ากำลังยืนชะเง้อมองอยู่หน้าประตูวงเดือน เขาเห็นว่าเรือนนี้ที่มีพื้นที่กว้างขวางกว่าเรือนอื่นๆ แม่บอกว่าอารองเป็นขุนนางในราชสำนัก เรือนที่พักนอกจากสวยแล้ว ด้านในยังมีของเล่นสนุกๆ ซ่อนไว้ไม่น้อยอีก


 


 


ลำพังอาหารและเครื่องดื่มในหลายวันมานี้ ก็ล้วนเป็นของที่อาเม่าไม่เคยเห็นที่บ้านนอกมาก่อน ดังนั้นเรือนหลักย่อมต้องมีมากกว่า


 


 


เสียดาย ที่แม่บอกอีกว่า อาสะใภ้ใจแคบ ไม่เคยเรียกเราให้ไปเที่ยวเรือนหลักเลย


 


 


เด็กในวัยนี้ จะว่าโตก็ไม่โต จะว่าเด็กก็ไม่เด็ก ย่อมเชื่อฟังคำของแม่ และจดจำทุกถ้อยทุกคำจนขึ้นใจ


 


 


อาเม่าชะเง้อชะแง้อยู่สักพัก ก็ค่อยๆ ย่องผ่านประตูวงเดือนเข้าไป


 


 


พี่เฉียวในตอนนี้ มีฐานะเป็นเด็กรับใช้ของเรือนหลัก จึงไม่สะดวกเข้าไปรับใช้ด้านใน ได้แต่ทำงานจิปาถะอยู่ด้านนอกเช่นเดียวกับบ่าวรับใช้คนอื่นๆ และวันนี้ก็เหมือนทุกๆ วัน เขาลากแคร่ไม้ไผ่มาใกล้หน้าประตูเรือน แล้วเอนกายพักกลางวันอย่างเย็นสบาย


 


 


ขณะกำลังเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่นอกประตูวงเดือน จึงลืมตาแล้วมองตาม


 


 


เห็นเด็กผิวคล้ำคนหนึ่ง ท่าทางลับๆ ล่อๆ มองซ้ายมองขวาอยู่ข้างประตู


 


 


พี่เฉียวขมวดคิ้ว ที่แท้ก็หลานของนายท่านที่มาจากชนบทนี่เอง ฮูหยินมักบ่นว่าเด็กนี่เสียงดัง ไม่ชอบเป็น


 


 


ที่สุด เขาจึงรีบลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าไป กางมือขวางไว้ ไม่ให้อาเม่าเข้ามา


 


 


“โอ้ คุณชายน้อย ที่นี่เดินเพ่นพ่านไม่ได้ขอรับ ฮูหยินกำลังพักผ่อนอยู่”


 


 


เรือนหลักนี่สวยจริงๆ ด้วย อาเม่ากวาดตามองโดยไม่ขยับไปไหน และพอหันมามองผู้ที่อยู่ตรงหน้า ก็รู้ว่าเป็นบ่าวของอาสะใภ้


 


 


ก่อนมาเมืองหลวง หวงน้าสี่เกรงว่าจะถูกคนในเมืองหลวงดูถูก จึงบอกลูกๆ ว่า ชาวเมืองหลวงส่วนใหญ่จะกีดกันคนต่างถิ่น โดยเฉพาะคนบ้านนอกอย่างเรา ดังนั้นถ้าเจอใครก็ตาม ให้ยืดอกไว้ก่อน ถ้าเจอบ่าวรับใช้ ก็ไม่ต้องเกรงใจ เพราะถ้ายิ่งเกรงใจ เขาก็ยิ่งดูหมิ่นเราเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ต้องพูดเสียงดังๆ เขาถึงจะเห็นเจ้าอยู่ในสายตา!


 


 


การนี้ อาเม่าจึงไม่เห็นพี่เฉียวอยู่ในสายตา เท้าสะเอวพลางว่า


 


 


“ข้าจะเข้าไปซะอย่าง! เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ประสาอะไร แม่ข้าบอกว่า เราเป็นแขก เจ้ามีหน้าที่ต้อนรับแขก แต่กลับขวางทางข้าเสียนี่!”


 


 


หลายวันก่อน ทุกครั้งที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกลับจากเรือนตะวันตก แล้วอารมณ์เสียเพราะหวงน้าสี่ ก็จะปิดประตูห้อง แล้วด่าว่าครอบครัวที่มาจากบ้านนอกพวกนี้อยู่พักใหญ่ และพี่เฉียวก็ได้ยินจนหูชาไปหมด คำโบราณว่าไว้ ถ้าหัวไม่ส่าย หางก็ไม่กระดิก เมื่อนายไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา บ่าวก็ต้องคล้อยตาม พี่เฉียวในตอนนี้จึงคิดว่า ไฉนตนต้องสนใจอาเม่าด้วย


 


 


ยิ่งพอเห็นเด็กที่ยังติดกลิ่นโคลนสาบควาย หน้าตามือไม้มอมแมม ไม่รู้ไปเล่นอะไรมา พี่เฉียวก็เย้ยหยันในใจ ก่อนบีบไหล่ทั้งสองข้างของอาเม่า แล้วดันให้ออกไป ปากก็พูดอย่างไม่เกรงใจ


 


 


“ใช่ๆๆ คุณชายน้อยเป็นแขก! แต่แขกมาบ้านคนอื่น ก็ต้องมีมารยาทเหมือนกัน สงสัยลุงกับป้าสะใภ้อยู่บ้านนอกจะเอาแต่ทำไร่ทำนาหาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็น่าจะเคยสอนเรื่องเหล่านี้กับคุณชายน้อยนะ”


 


 


พี่เฉียวนึกว่าเด็กคงไม่เข้าใจคำเย้ยหยัน แต่อาเม่ากลับเหมือนแม่หวงน้าสี่ เห็นบ้านนอกคอกนาเช่นนี้ แต่ลำไส้ที่ควรมี ก็มิได้ทิ้งไป รู้ว่าคำพูดที่บ่าวรับใช้พูดมิใช่คำดีแต่อย่างใด จึงเท้าสะเอว แต่ขณะกำลังจะโต้ตอบ กลับถูกอุ้มออกมา


 


 


พี่เฉียวยืนขวางอยู่ตรงประตูวงเดือน อาเม่าเข้าไปไม่ได้ จึงได้แต่ถอยหลังสองเก้า แล้วหันกายเดินจาก


 


 


พอเห็นเขาจากไป พี่เฉียวก็มองตามด้วยสายตาดูหมิ่น พลางก่นด่า


 


 


“ถุย กะอีแค่เด็กบ้านนอกโชคเข้าข้าง ให้มาดื่มด่ำชีวิตในจวนรองเจ้ากรมได้ไม่กี่วัน ก็ลืมกำพืดซะแล้ว!” ว่าเสร็จก็เดินเข้าไป


 


 


อาเม่ารู้สึกหมดสนุกและกำลังจะกลับเรือน ก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมา


 


 


พอหันมองไป ก็เห็นญาติผู้พี่สวมชุดผ้าไหมยาวสีฟ้าตุ่นกำลังเดินทอดน่องผ่าน ด้านหลังมีเด็กรับใช้ถือหนังสือเดินตาม คล้ายเพิ่งกลับจากโรงเรียน


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งเพิ่งเลิกเรียน และกำลังจะเดินไปทำการบ้านที่ห้องหนังสือ โดยไม่คิดว่าจะเห็นเหตุการณ์นี้เข้า


 


 


แม้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เคยบอกน้องชาย เรื่องที่สงสัยว่าพี่เฉียวอาจได้รับคำสั่งจากไป๋เสวี่ยฮุ่ย ให้มาทำร้าย


 


 


เขา แต่อวิ๋นจิ่นจ้งก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เขามีความคิดเป็นของตัวเอง ยังโกรธพี่เฉียวไม่หายจากเหตุที่เกิดขึ้นบนเขาหลงติ่ง โดยยังไม่ลืมว่า ถ้าไม่ใช่พี่เฉียว เขาไหนเลยจะตกหน้าผา และพี่สาวก็ไม่ต้องหายตัวไปหลายวัน ตอนนี้พอเห็นพี่เฉียวมีนายใหม่ หายเจ็บแล้วลืมความเจ็บ ยกหางสุนัขขึ้นอีก อาจเพราะยังไม่โตดี เขาจึงคิดยืมความดื้อและความซนของอาเม่า สั่งสอนบ่าวสุนัขตัวนี้เสียหน่อย


 


 


เมื่ออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นพี่เฉียวเดินเข้าไปนอนกลางวันต่อ เขาจึงต้องสนใจเรื่องอาเม่าเข้ามาก่อกวน จงใจหันหน้าไปมองญาติผู้น้อง พลางทักทาย “อ้าว อาเม่า ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ”


 


 


อาเม่ารีบเช็ดน้ำมูก ด้วยเห็นว่า หลังจากมาบ้านอารอง ท่านย่าก็เอาแต่ชมญาติผู้พี่ไม่ขาดปาก วันนี้บอกว่าเกิดมาหล่อน่ารักบ้างล่ะ พรุ่งนี้บอกว่าฉลาดรู้กาลเทศะบ้างล่ะ พอฟังหลายวันเข้า เขาก็ชักรู้สึกชื่นชมและนับถือขึ้นมา จึงรีบก้าวเข้าหา ตีหน้าซื่อ พลางพูดจาวิงวอน


 


 


“พี่จิ่นจ้ง แม่ข้าว่า เรือนของอารองนี่ ดีกว่าเรือนตะวันตกของพวกเราอีก มีของกินและของเล่นมากมาย จริงไหม ท่านพาข้าเข้าไปเที่ยวหน่อยสิ บ่าวสุนัขที่อยู่ข้างในไม่ให้ข้าเข้าไปน่ะ”


 


 


พออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นน้ำลายของเขาใกล้หกเต็มที จึงยิ้มพลางว่า “ท่านแม่นอนกลางวันอยู่ พี่ไม่กล้าเข้าไปรบกวนหรอก แต่…”


 


 


ว่าแล้วก็หันไปพูดข้างหู คล้ายเป็นความลับ “เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่บอก ทุกวันช่วงบ่าย หลังจากท่านแม่ตื่นนอน ก็จะทานของว่างกับน้ำชา ซึ่งสักพักน่าจะมีสาวใช้นำมาให้ เจ้าก็ดักรออยู่ข้างนอก ขอชิมจากนางนิดหน่อยก็พอแล้ว ดูว่าเหมือนกับของท่านย่าและป้าสะใภ้หรือไม่ เฮ้อ ไม่ได้การ ข้าต้องรีบไปห้องหนังสือแล้ว อาจารย์ใกล้มาถึงเต็มที ไปก่อนล่ะ”


 


 


อาเม่าเป็นคนซุกซนและไม่กลัวใครอยู่แล้ว พอได้ยินญาติผู้พี่ทิ้งท้ายเช่นนี้ ก็กระฉับกระเฉงขึ้นมา จึงนั่งยองๆ รออยู่หน้าประตูดู ไม่นานก็เห็นสาวใช้มวยผมสองข้าง สวมเสื้อกั๊กสีน้ำเงินลายดอกเดินเข้ามาจริงๆ


 


 


อาเถาถือสำรับของว่างเดินจากห้องครัวมาถึงประตูวงเดือน จู่ๆ ตรงหน้าก็มีเด็กกระโดดออกมาขวางทาง นางสะดุ้งตกใจ ก่อนตบหน้าอกเบาๆ ไปสองที เพราะพอจ้องมองดีๆ ค่อยพบว่าเป็นลูกชายของนายใหญ่สกุลอวิ๋น คุณชายน้อยที่ตามท่านย่ามาเมื่อไม่กี่วันก่อน


 


 


“คุณชายน้อย ท่าน ท่านมายืนขวางบ่าวทำ ทำไม ฮูหยินตื่น ตื่นแล้ว บ่าวต้อง ต้องนำของไปให้ฮูหยิน” เมื่อเห็นว่าอาเม่าไม่ยอมหลีกทางให้ อาเถาก็พูดจากระอึกกระอัก


 


 


อาเม่าจึงฉวยโอกาสขณะที่นางไม่ทันสังเกต ‘ฟึ่บ’ เสียงเปิดฝาสำรับของว่าง พลางยื่นหน้าเข้ามา


 


 


“ของอะไรน่ะ ขอดูหน่อย”


 


 


อาเถารีบกดฝาปิดลง ฮูหยินพิถีพิถันเรื่องอาหารมาก ไม่อนุญาตให้คนรอบข้างมายุ่มย่าม พอเห็นคุณชายน้อยน้ำมูกไหล มือน้อยๆ ทั้งสองข้างดำมอมแมม กลัวว่าจะพลอยทำอาหารสกปรกไปด้วย


 


 


“คุณ คุณชายน้อย นี่คือของของฮู ฮูหยินนะ ท่าน ท่านอยากกินอะไร ก็ไป ไปบอกสาวใช้ที่เรือนตะวันตกได้ พวกนางจะหามาให้ท่านเอง”


 


 


พออาเม่าเห็นนางติดอ่าง ก็ยิ่งอยากเยาะเย้ย จึงอ้าปากเลียนแบบ


 


 


“ใน ในถาดมีอะไร ข้าอยาก อยากลองชิมดู”


 


 


ของว่างในถาดจัดไว้อย่างดี ถ้าหายไปชิ้นหนึ่ง ต้องถูกฮูหยินด่าว่าแน่ อาเถากลัวไป๋เสวี่ยฮุ่ยมาก จึง


 


 


ไม่ยอมถ่ายเดียว


 


 


อาเม่าถลึงตามอง ก่อนใช้มือทั้งสองข้างโอบถาดของว่างไว้ แย่งเอามา แล้วหันกายวิ่งหนี


 


 


“อึ๋ย…คุณ คุณชายน้อย ท่านอย่าเอาไปนะ…ฮูหยินต้องด่าว่าบ่าวแน่…”


 


 


อาเถาแตกตื่น ไหนเลยจะเคยพบเคยเจอเด็กที่ทั้งดื้อทั้งซนเช่นนี้ จึงรีบวิ่งตามไปเอาคืน แต่ก็ไม่ปราดเปรียวเท่าอาเม่า



ตอนที่ 70-2 ตบตีไป๋ฮูหยิน

 


 


 


ทั้งสองวิ่งไล่กันเป็นวงกลมสองรอบเหมือนแมววิ่งไล่หนูอยู่หน้ากำแพงประตูวงเดือน สุดท้ายก็เป็นอาเถาที่อายุมากกว่า ต้อนอาเม่าเข้ามุมกำแพงสำเร็จ ก่อนยื่นมือออก พลางหอบหายใจ


 


 


“คุณ คุณชายน้อย เอามาให้บ่าว เร็ว เร็ว”


 


 


เดิมทีอาเม่าแค่อยากรู้ว่าในถาดมีของอร่อยๆ อะไร แต่พอได้ยินอาเถาพูด ก็รู้สึกตลบขบขัน คล้ายไม่ได้คิดอะไรมาก อยากแหย่นางเล่นแบบเด็กๆ จึงจงใจทำท่าทางทะเล้น ลิ้นพันกัน ล้อเลียนการพูดติดอ่างของนาง


 


 


“ก็ ก็ไม่ ไม่ ไม่ให้เจ้า จะ จะแหย่ให้เจ้าโกรธ อิ อิ!”


 


 


อาเถาโกรธแล้ว จึงย่ำเท้า “คุณ คุณชายน้อยพูด พูดล้อเลียนบ่าวทำไม รีบส่ง ส่งสำรับมา มาให้บ่าว…”


 


 


ทั้งสองไม่มีใครยอมใคร วิ่งไล่กันต่อ พลางตะเบ็งเสียง จนไปเข้าหูพี่เฉียวซึ่งอยู่ด้านในและเพิ่งจะเอนตัวลงนอน “รนหาที่ชะมัด ทำอะไรกันน่ะ! เห็นว่าช่วงเช้าฮูหยินยังเหนื่อยไม่พอรึไง ถึงมารบกวนกันอยู่ได้!”


 


 


พี่เฉียวพับแขนเสื้อ พลางก้าวยาวๆ ออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ และพอเห็นว่าเด็กบ้านนอกนั่นยังไม่ไปไหน ก็โมโห


 


 


ด้านอาเถา พอเห็นคนมาช่วย ก็รีบชี้ไปที่คุณชายน้อย พลางทำท่าจะร้องไห้ขณะบอกพี่เฉียว


 


 


“เขา เขาแย่งสำรับของ ของว่างของฮูหยินไป…”


 


 


เจ้าลิงป่านี่ก่อเรื่องอีกแล้ว มิน่าเล่าฮูหยินถึงได้ด่าไม่เลี้ยงทุกทีที่กลับถึงเรือน ที่แท้ก็เหลือขอจริงๆ!


 


 


พี่เฉียวเป็นนักเลงมาแต่เด็ก ไม่ใช่คนใจดีอยู่แล้ว เพียงเห็นว่าอาเม่าเป็นญาติของนายท่าน ถึงอดทนมาตลอด “เลิกเล่นได้แล้ว คุณชายน้อย! ส่งคืนมาเร็ว!”


 


 


อาเม่าเพิ่งถูกบ่าวผู้นี้ค่อนขอด แล้วจับโยนออกจากเรือน ยังขุ่นเคืองไม่หาย ตอนนี้จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะเอว


 


 


“ข้าไม่ให้! เจ้าเป็นใคร! ทำไมข้าต้องฟังเจ้าด้วย! อย่านึกว่าเป็นคนข้างกายอาสะใภ้ แล้วข้าจะกลัว แม่ข้าบอกแล้วว่า เจ้ามันก็แค่บ่าวรับใช้…”


 


 


พี่เฉียวสบถออกมาคำหนึ่ง ขี้คร้านที่จะพูดมากกับกระต่ายน้อยหมีน้อย อาศัยทีเผลอ ชิงสำรับคืน


 


 


แต่ครั้งนี้ อาเม่าคว้าข้อมือเขาไว้ได้ ก่อนอ้าปาก กัดลงไป


 


 


“โอ๊ยยย…” พี่เฉียวร้องเสียงดัง ก่อนเหวี่ยงแขนออกอย่างแรง


 


 


อาเม่ายังเด็ก ตัวก็เล็ก ถูกเหวี่ยงทีก็กระเด็นไปชนกำแพง เสียง ‘กึก’ ศีรษะแตก


 


 


พี่เฉียวกับอาเถาตกใจ อาเม่ากุมศีรษะตนเองแล้วรีบลุกขึ้นยืน เด็กบ้านนอกไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน พลังต่อสู้ปะทุ เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อย่าว่าแต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นบ่าวของอาสะใภ้เลย ต่อให้นายมาเองก็ห้ามไม่อยู่ เขาย่อขาลง แล้วพุ่งตัวเข้าใส่


 


 


“กล้าตีข้ารึ! เจ้ากล้าตีข้า ข้าขอสู้ตาย…”


 


 


พี่เฉียวไม่ทันตั้งตัว จึงถูกคุณชายน้อยกดลงกับพื้น หอบหายใจสองที ถูกต่อยไปสองหมัด


 


 


ถึงพี่เฉียวกล้าดีขนาดไหน ก็ไม่กล้าลงมือกับหลานชายของนายท่านแน่ จึงได้แต่ด่าออกมาสองคำ พยายามอดทน ผลักอาเม่าออกด้านข้าง


 


 


“คุณชายน้อยเซไปชนกำแพงเอง อย่ามาโทษบ่าว!”


 


 


อาเม่ากลิ้งไปกับพื้น หอบหายใจอยู่สองที ขณะจะกระโจนเข้าหาอีก ก็รู้สึกว่าเจ็บแปลบบริเวณหลังศีรษะ พอยกมือไปจับ ฝ่ามือก็เต็มไปด้วยโลหิต เป็นบาดแผลจากการชนกำแพงเมื่อครู่


 


 


พี่เฉียวเห็นก็ตะลึงงัน กระวนกระวายใจขึ้นมา นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่!


 


 


ทั้งสองต่างตกตะลึง จึงยืนนิ่งกันอยู่สักพัก และในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงแหลมปรี๊ดดังขึ้นที่ด้านหลังของอาเม่า พร้อมเสียงร้องไห้


 


 


“โอ้แม่เจ้า อาเม่า อาเม่าของข้า…เจ้าบ่าวสุนัข กล้าดียังไงมาตีลูกข้า!”


 


 


ยังไม่ทันสิ้นเสียง หน้าผากของพี่เฉียวก็ถูกสิ่งของกระแทกอย่างแรง จนต้องกุมศีรษะ แล้วนั่งยองๆ ลงพลางร้องโอดโอย


 


 


ที่แท้ พออวิ๋นจิ่นจ้งยุแหย่อาเม่าเรียบร้อย ก็แอบดูอยู่ข้างๆ พอเห็นพี่เฉียวเดินออกมาด่า คล้ายโมโหมาก ก็รีบให้เด็กรับใช้ข้างกาย วิ่งไปบอกหวงน้าสี่ที่เรือนตะวันตก


 


 


หวงน้าสี่เพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน พอไม่เห็นลูกชาย ก็เที่ยวตามหาทั่วเรือน และพอได้ยินว่าลูกชายถูกบ่าวด่าว่าที่เรือนของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็อารมณ์ขึ้น พับแขนเสื้อ สาวเท้าผ่านระเบียงทางเดินอย่างรวดเร็ว ไม่กี่ก้าวก็มาถึง


 


 


พอเห็นอาเม่านั่งอยู่กับพื้น กำลังจับศีรษะ ง่ามนิ้วคล้ายมีคราบโลหิต ก็เดือดดาลยิ่ง ถอดรองเท้า แล้วเขวี้ยงออกไป โดนหน้าผากพี่เฉียวอย่างจัง จนมึนไปหมด


 


 


ขณะพักอาศัยในจวนรองเจ้ากรม หวงน้าสี่มักคิดว่าตนเองต่ำต้อย และมักรู้สึกว่าบ่าวในจวนน่าจะดูถูกครอบครัวนาง บวกกับหลายวันก่อน นางกับลูกสาวถูกไป๋เสวี่ยฮุ่ยทำให้อับอาย เปลวไฟที่สุมทรวงยังหาทางระบายออกไม่ได้ ตอนนี้พอเห็นว่าบ่าวของน้องสะใภ้ยังกล้าลงมือกับลูกชายนางอีก จึงสติแตก ขนาดเผาจวนสกุลอวิ๋นให้วอดวายยังได้


 


 


เด็กชายตามชนบทในวัยอย่างอาเม่า มีหรือจะไม่เคยชกต่อยมาก่อน เขาเคยหัวแตกกลับบ้านมาหลายครั้งแล้ว และครั้งนี้อันที่จริงก็ไม่มีอะไร แต่พอเห็นแม่ร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวด ก็รู้สึกไม่เป็นธรรม จึงปล่อยโฮออกมา พลางชี้หน้าพี่เฉียว


 


 


“แม่ บ่าวคนนี้ล่ะ ที่ไม่ให้ข้าเข้าไปก่อน ซ้ำยังหาว่าบ้านเราไม่มีการสั่งสอน หาว่าแม่กับพ่อเป็นพวกบ้านนอก เอาแต่ทำไร่ไถนา สอนลูกไม่เป็น สุดท้ายก็จับข้าโยนออกมา ตอนนี้ยังมาตีหัวข้าอีก”


 


 


พี่เฉียวงงเป็นไก่ตาแตก เด็กบ้านี่ ใส่สีตีไข่เป็นด้วย!


 


 


“แม่เจ้า มันจะมากเกินไปแล้ว!” หวงน้าสี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าบ่าวไม่มีนายคอยหนุนหลัง ไหนเลยจะขวัญกล้าเทียมฟ้าเช่นนี้ หัวโจกก็คือคนที่อยู่ในเรือน


 


 


เดิมทีความแค้นเรื่องเอาชุดบ่าวรับใช้มาให้ใส่ ยังฝังใจไม่หาย ตอนนี้กลับหนักมากกว่าเก่า หวงน้าสี่จึง


 


 


เท้าสะเอว หันหน้าไปทางเรือน พลางตะโกนด่า


 


 


“ข้ามาเป็นเพื่อนท่านแม่ มาเป็นแขกบ้านน้องสามี ไม่ได้มาคอยดูสีหน้าใคร! ใช่ เราเทียบคนรวยอย่าง


 


 


พวกเจ้าที่มีบ้านหลังใหญ่โตไม่ได้ ถ้าไม่ชอบ ก็แค่พูดออกมาตรงๆ ข้าจะพาลูกกลับทันที! ทำไมต้องบอกให้บ่าวมาซ้อมลูกข้าด้วย!


 


 


ในเรือน


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเพิ่งตื่นนอนกลางวัน ยังไม่ทันหวีผมให้เรียบร้อย กำลังนั่งผมยุ่งอยู่หน้าคันฉ่อง ก็ได้ยินเสียงด่ากราดแบบชาวบ้านร้านตลาดของผู้หญิงดังมา หัวใจพลันเต้นแรง จึงพามอมอคนหนึ่งออกไปดู


 


 


พอมาถึงหน้าประตูวงเดือน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ตกตะลึงพรึงเพริด


 


 


อาเม่านั่งฟ้องแม่อยู่บนพื้น ฝ่ามือเลอะไปด้วยโลหิต


 


 


พี่เฉียวหน้าเปื้อนดิน นั่งหดตัวอยู่ที่มุมกำแพง ไม่กล้าส่งเสียง มือกุมศีรษะ ข้างตัวมีรองเท้าสตรีข้างหนึ่งตกอยู่


 


 


หวงน้าสี่กำลังยืนเท้าสะเอว ด่าทออย่างดุเดือด พอเห็นนางออกมา ก็ถลึงตามอง สายตาเช่นนี้ จ้องจะกินเลือดกินเนื้อกันชัดๆ


 


 


“พี่สะใภ้ ทำอะไรน่ะ!” ความอดทนที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมีต่อหวงน้าสี่แทบจะดำเนินมาถึงขีดสุด


 


 


หวงน้าสี่ยิ้มเย็นชา พลางชี้ไปที่ศีรษะลูกชาย “โอ้ น้องสะใภ้ยังมีหน้ามาถามอีก ดูสภาพหัวลูกชายพี่สิ ถูกบ่าวของเจ้าตีซะจนเป็นแบบนี้!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตกใจ หันไปมองพี่เฉียว


 


 


พี่เฉียวรีบก้าวเข้ามา “ฮูหยินขอรับ บ่าวไม่ได้ตั้งใจ คุณชายน้อยจะแย่งสำรับของว่างของท่านท่าเดียว บ่าวบอกแล้วว่า นี่เป็นของของฮูหยิน คนอื่นทานไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ฟัง บ่าวจึงต้องแย่งคืน คุณชายน้อยก็กัดมือบ่าว บ่าวทนเจ็บไม่ไหว ไม่ทันระวัง…พอขวางเขา เขาก็พุ่งชนกำแพงไปเอง จากนั้นยังจะตีบ่าวอีก!”


 


 


ถ้าต่างฝ่ายต่างมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็คงพายเรือตามน้ำ ด่าว่าพี่เฉียวต่อหน้าต่อตาไปยกหนึ่ง กระทั่งตบไปฉาดหนึ่งด้วยซ้ำ เพื่อระงับความโกรธให้หวงน้าสี่ แต่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเกลียดพี่สะใภ้คนนี้เข้าไส้ เพราะนาง ทำให้ก่อนหน้านี้ตนต้องรองรับอารมณ์แม่สามีไปไม่น้อย ตอนนี้จะให้เอาใจนางได้อย่างไรกัน



ตอนที่ 70-3 ตบตีไป๋ฮูหยิน

 


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหัวเราะเบาๆ แล้วจึงหันไปพูดกับหวงน้าสี่


 


 


“พี่สะใภ้ก็ได้ยินแล้วนี่ เป็นเพราะอาเม่ามักง่าย แย่งสำรับของว่างข้าก่อน แล้วพลาดไปชนกำแพงเข้า บ่าวข้าไม่ได้แตะต้องอะไรแม้แต่น้อย!”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักเล็กน้อย แอบขำ น้ำเสียงแฝงเจตนาดูหมิ่น “หึ อยากกินของว่าง ทำไมจะไม่มีล่ะ ที่เรือนตะวันตกก็มีส่วนของพวกเจ้าอยู่ การเลี้ยงลูกให้เที่ยวแย่งของกินคนเขาไปทั่ว ข้าว่า มีก็แต่ขอทานเท่านั้นล่ะที่ทำได้ หึๆ เลี้ยงลูกยังไง”


 


 


“เจ้า…พวกเจ้าสมคบคิด รวมหัวกัน รังแกลูกข้า…”


 


 


หวงน้าสี่เห็นลูกชายบาดเจ็บขนาดนี้ แล้วยังถูกไป๋เสวี่ยฮุ่ยสั่งสอนอีก ก็โกรธจนควันออกหู ยิ่งเห็นอาเม่าร้องไห้ครวญคราง ก็ยิ่งเดือดดาล ความแค้น ความเกลียดชังทั้งเก่าทั้งใหม่ บวกกับความอิจฉาริษยา ทับถมกันจนแน่นหน้าอก ไหนเลยจะยอมให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ใจ จึงก้าวเข้าไป จับผมที่สยายประบ่า ที่ยังไม่ทันได้มวยของนาง แล้วดึงทึ้งอย่างแรง


 


 


“อยากรังแกลูกข้านักใช่ไหม! นางจิ้งจอกดัดจริต! นางจิ้งจอกดัดจริต!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไหนเลยจะคิดว่า หวงน้าสี่จะหยาบคายได้ถึงเพียงนี้!


 


 


นางจิ้งจอกดัดจริต นางมีสิทธิ์อะไรมาว่าตนเช่นนี้ ตนไม่เคยนอนกับผัวนางนี่ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตะลึงงัน เจ็บศีรษะไปหมด หนังศีรษะแทบจะหลุดออกมาได้ แต่พอเจ็บจนน้ำตาเล็ด ก็ได้สติ พยายามดิ้นรนและกรีดร้อง


 


 


“หญิงบ้า! ปากสุนัข! กล้าดียังไง มาทำหยาบคายในบ้านข้า! เด็กๆ ยังไม่รีบจับตัวนางไว้อีก…อูย…เร็วสิ…”


 


 


หวงน้าสี่ไหนเลยจะยอมปล่อย พอได้ยินคำด่าว่า หญิงบ้า ก็จับผมนางไว้แน่น แล้วดึงให้แรงขึ้น


 


 


เวลาผู้หญิงตบตีกัน ไม่ตบหน้า ดึงผม ขีดข่วน ก็ด่าทอ สี่ขั้นตอนหลักๆ นี้ หวงน้าสี่ถนัดทุกขั้นตอน เพราะช่วงอยู่บ้านนอก นางต้องแย่งก้อนหินซักผ้าที่ริมแม่น้ำกับบรรดาเมียๆ ของชาวบ้าน ต้องรบกับเจ้าของสุนัขที่เที่ยวปล่อยสุนัขมากัดไก่ในบ้านตนตายแล้วไม่ยอมรับ นางสะสมเพดานบินด้านนี้มาพอสมควร จึงเด็ดขาดทุกการเคลื่อนไหว จัดการจนไป๋เสวี่ยฮุ่ยร้องไห้ครวญครางอย่างน่าเวทนา


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาสิบกว่าปี ไหนเลยจะสู้ไหว รู้สึกแต่ว่าหนังศีรษะระบมไปหมด วิญญาณก็แทบถูกกระชากออกจากร่างอยู่รอมร่อ หอบหายใจพลางว่า


 


 


“ปล่อยข้า หญิงบ้า บ้าไปแล้ว…”


 


 


วันนี้หวงน้าสี่ถูกอสูรร้ายสิงร่างจริงๆ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรนั้น นางไม่สนใจทั้งสิ้น คิดว่าอย่างไรตนก็เป็นหญิงคนแรกที่แต่งเข้าสกุลอวิ๋นตามประเพณี เป็นสะใภ้ใหญ่ที่คลอดลูกชายให้สกุลอวิ๋นสามคน น้องชายสามีไม่มีทางไล่ตนออกจากบ้านแน่


 


 


ด้วยยังไม่หายแค้น นางจึงตบแก้มไป๋เสวี่ยฮุ่ยเบาๆ ไปสองที “หญิงบ้าแล้วไง เดินออกไปก็ยืดอก นั่งก็


 


 


หลังตรง! สู้หน้าได้ทุกคน! แล้วเจ้าล่ะ จิ้งจอกดัดจริต ชอบทำร้ายคน! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องเลวๆ ของเจ้าล่ะ…”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินก็สะดุ้ง ขุ่นเคืองจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดง ถึงตอนนี้แล้ว ตนยังจะมาสงวนท่าทีอะไรอีก จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน บีบเข้าที่คอของพี่สะใภ้


 


 


“นังบ้านนอก! ไร้ยางอาย! อยู่บ้านคนอื่น มารยาทสักนิดก็ไม่มี! พ่อแม่ไม่สั่งสอน!” แล้วหันไปมองด้านข้าง “พวกเจ้านี่มันบ่าวประสาอะไร ตายกันหมดแล้วรึไง! ยังไม่รีบแยกตัวนางออกไปอีก!”


 


 


หวงน้าสี่กรำแดดกรำฝนกลางท้องไร่ท้องนาจนชิน จึงมีแรงดุจวัวควาย อีกอย่าง ทั้งสองยังพัวพันกันแน่น ราวกับฝาแฝดอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะแยกออกจากกัน ขนาดพี่เฉียว อาเถา กับมอมอ สามคนรวมพลังกัน ทำทุกวิถีทาง ก็ยังแกะหวงน้าสี่ไม่ออก และไม่เพียงแกะไม่ออก สุดท้ายยังเข้าใกล้ไม่ได้ด้วย ได้แต่ยืนมองคนทั้งสองกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น…


 


 


ชาตินี้ ถ้าว่าด้วยเรื่องอยู่บ้านแล้วใช้เล่ห์เพทุบายทำร้ายคน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถนัดนัก แต่ถ้าว่าด้วยเรื่องลงไม้ลงมือตบตี นางสู้พี่สะใภ้ไม่ได้แม้กระผีกริ้น


 


 


ไม่ว่าความสูง ความหนา พลังแขน พลังข้อมือ ความอึด หวงน้าสี่ล้วนชนะเลิศคู่ต่อสู้อย่างไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่วันๆ เอาแต่อยู่ในบ้าน หาแต่วิธีเล่นงานคน


 


 


ซึ่งไม่นานนัก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็กรีดร้องออกมาประหนึ่งสุกรถูกเชือด จนได้ยินไปทั่วทั้งเรือน


 


 


แต่พอบ่าวจากทุกทิศทุกทางมาถึง ก็ได้แต่ยืนห้อมล้อม เพราะหนึ่ง เห็นบ่าวข้างกายไป๋เสวี่ยฮุ่ยหลายคนทำอะไรไม่ได้ สอง เห็นว่าหวงน้าสี่เป็นสะใภ้ใหญ่ ถือเป็นผู้อาวุโส แถมยังดุดันมากเป็นพิเศษ จึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี


 


 


พอชูซย่าได้ยินเสียงร้อง ก็วิ่งออกจากเรือนฝูหยิง ไปยืนดูในระยะไม่ไกล ดูไปก็ส่ายหน้าทอดถอนใจ เสียดายที่คุณหนูไม่ได้มาเห็น ไว้กลับไป ต้องบรรยายสภาพให้ฟังอย่างละเอียด


 


 


และขณะที่ทั้งสองยังแยกออกจากกันไม่ได้ ก็ได้ยินเสียงตะคอกของผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น


 


 


“เหลวไหล! พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”


 


 


ตอนถงฮูหยินเห็นสะใภ้ใหญ่วิ่งออกจากเรือน ก็รีบสาวเท้าก้าวตามมา


 


 


เมื่อมาถึง และเห็นสะใภ้ทั้งสองตบตีกัน หญิงชราก็หน้าแดง ก่อนตะคอกเสียงแหบแห้ง!


 


 


พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นหญิงชรา ก็ปล่อยมือ น้ำตาของความรู้สึกไม่เป็นธรรมหลั่งไหลดุจสายน้ำ ผู้ช่วยชีวิตมาถึงเสียที ให้ท่านแม่ดูว่า นังสะใภ้บ้านนอกที่ไร้ยางอาย ทำขายหน้าขนาดไหน


 


 


ทันทีที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยปล่อยมือ หวงน้าสี่ก็ฉวยจังหวะทึ้งผมของนางอย่างแรงทีหนึ่ง พอเห็นนางร้องโหยหวน ก็รีบปล่อยมือ แล้วก้าวถอยหลัง


 


 


อาศัยช่วงน้องสะใภ้กุมศีรษะพลางร้องโอดโอย หวงน้าสี่พลันเปลี่ยนสีหน้า ใบหน้าอันดุร้ายสุดจะเปรียบเมื่อครู่ หายไปทันทีราวกับลมฝนในฤดูใบไม้ผลิ นางกะพริบตาปริบๆ ตบน่อง จากนั้นก็ร้องไห้ คุกเข่าเสียงดัง ‘กึก’ กอดขาถงฮูหยินพลางว่า


 


 


“ท่านแม่ ข้าอยู่บ้านน้องสามีต่อไม่ได้แล้ว ท่านดูสิ ครั้งก่อนนางทำข้ากับอาจู้ขายหน้า ด้วยการจงใจ


 


 


เอาเสื้อผ้าของบ่าวให้เราใส่ แต่พอท่านแม่บอกว่าอย่าถือสาหาความนางเลย ข้าก็เชื่อฟัง คิดเสียว่านางอายุน้อย


 


 


กว่า อาจไม่รู้จักกาลเทศะ แต่ตอนนี้…ท่านดูหลานท่านสิ ถูกบ่าวข้างกายน้องสะใภ้ตีจนมีสภาพเช่นนี้ และจุดที่บาดเจ็บ ก็ไม่ใช่อื่นไกล จุดสำคัญสุดของร่างกายอย่างหัวสมอง แถมได้เลือดด้วย ต่อไปถ้าอาเม่ากลายเป็นคนปัญญาอ่อน ข้ายังจะมีหน้าพบบรรพชนสกุลอวิ๋นอีกหรือ! ข้าแค่อยากพูดเหตุผลกับน้องสะใภ้ แต่นางกลับเอาแต่ปกป้องบ่าวนั่น แถมยังหันมาแว้งกัดข้าอีก บอกว่าอาเม่าไม่ได้รับการสั่งสอน ไม่มีมารยาท แย่งของกินผู้อื่น เป็นขอทาน…สวรรค์ อาเม่าก็แค่เด็กคนหนึ่ง เด็กพอเห็นของกินสวยๆ งามๆ ก็ตื่นตาตื่นใจ ขอเขาชิมสักชิ้น แบบนี้ก็กลายเป็นขอทานแล้วหรือ! ท่านแม่ น้องสะใภ้ข่มเหงเราสามแม่ลูกขนาดนี้ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับเรานา…..”


 


 


พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นนางรีบแจ้นเข้าไปฟ้องคนคุ้นเคยก่อน ทำนองว่า ตนเป็นชาวบ้านที่ฟังเหตุผลของบัณฑิตไม่รู้เรื่อง ก็โกรธ พลันชี้ผมเผ้ายุ่งเหยิงของตนที่ถูกพี่สะใภ้ดึงทึ้ง


 


 


“ท่านแม่ ท่านดูสิ นี่คือสิ่งที่คนเขาทำกันหรือ พอมาถึง พูดจาได้ไม่กี่คำ ก็จิกหัวตบกันแล้ว นี่ไม่ใช่บ้านนอกคอกนา! นี่คือเมืองหลวง คือจวนรองเจ้ากรม!”


 


 


หวงน้าสี่ไม่ยอมแพ้ ชูลำคอให้ถงฮูหยินดู “ท่านแม่ดูที่คอข้านี่ ถูกนางบีบจนเป็นแบบนี้ ที่ข้าดึงผมนาง ก็ไม่ได้ทำให้นางถึงแก่ชีวิต แต่พอนางลงมือ กลับเอาชีวิตข้า!”


 


 


สะใภ้ทั้งสองพูดไปร้องไห้ไปอย่างเป็นวรรคเป็นเวร จนถงฮูหยินปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แม้บอกว่าเรื่องพี่สะใภ้ทำร้ายน้องสะใภ้ในบ้านของน้องสามีเป็นเรื่องน่าอาย แต่เรื่องหลานหัวแตกเลือดอาบ ย่อมหนักหนากว่า และเป็นความจริงที่โต้เถียงไม่ได้


 


 


ถงฮูหยินกังวลใจยิ่ง รีบนั่งยองๆ ลงไปดูศีรษะของอาเม่า แล้วรีบเรียกบ่าวให้พาไปทำแผลใส่ยาก่อน จากนั้นค่อยยืนขึ้น โบกมือให้บ่าวแยกย้ายกันไป ก่อนทอดถอนใจ


 


 


“พอเถอะๆ! รีบแยกย้ายได้แล้ว ยังอับอายไม่พอหรือไง!”


 


 


เมื่อไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นถงฮูหยินเลิกราเพียงเท่านี้ ก็รู้สึกว่านางกำลังปกป้องครอบครัวลูกชายคนโต แต่ตนถูกจับคลุกดินจนกลายเป็นแบบนี้ วันนี้แม้จับหวงน้าสี่มาเฆี่ยนตีไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเรียกมาดุด่าเยี่ยงบ่าวสักตั้ง ถ้าไม่จัดการอะไรสักอย่าง ต่อไปตนจะคุมหลังบ้านได้อย่างไร


 


 


จู่ๆ ก็…แยกย้ายเช่นนี้หรือ


 


 


“ท่านแม่ พี่สะใภ้บุกรุกเรือนข้า แล้วยังตบตีข้าอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ บ้านมีกฎบ้าน ไหนเลยจะจบเรื่องได้ง่ายๆ เช่นนี้ ข้าให้เกียรตินางในฐานะแขกและพี่สะใภ้ แต่ไม่สามารถยอมให้ได้ขนาดนี้!”


 


 


ต้องให้ถงฮูหยินเป็นผู้กล่าวโทษ เพราะมีเพียงผู้อาวุโสเท่านั้น ที่จะลงโทษลูกหลานได้


 


 


หวงน้าสี่ยิ้มเย็นชา “น้องสะใภ้ เจ้าให้ข้าสวมชุดบ่าว ข้าไม่พูดสักคำ แต่เจ้าเหยียดหยามลูกสาวข้า ตอนนี้ยังตีลูกชายข้าอีก ข้าถึงทนไม่ได้จริงๆ และข้าก็ไม่เชื่อว่า ถ้าเฟยเอ๋อร์ของเจ้าถูกคนเหยียดหยาม เจ้าจะสามารถนิ่งดูดายอยู่ได้!”



ตอนที่ 70-4 ตบตีไป๋ฮูหยิน

 


 


 


พอถงฮูหยินได้ยิน รอยย่นบนหน้าผากก็ยิ่งขยักมาเบียดกัน นางคิดทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้ไม่มีเรื่อง จึงจ้องมองสะใภ้รองพลางว่า


 


 


“แล้วสะใภ้ใหญ่จะให้ทำเช่นไร เจ้าดูสิ เจ้าเองก็บาดเจ็บ พี่สะใภ้เจ้าก็บาดเจ็บ หัวโจกต่างไม่มีใครได้เปรียบใคร อีกอย่างอาเม่าก็ถูกบ่าวของเจ้าทำบาดเจ็บ ถือว่าเสมอกัน แล้วๆ กันไปเถอะ”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเชิดหน้า แล้วๆ กันไปเช่นนี้หรือ ต่อไปหวงน้าสี่ก็ยิ่งกล้าแผลงฤทธิ์สิ จึงแค่นเสียงเย็นชา


 


 


“เฮอะ เสมอกัน? ท่านแม่จะลำเอียงเช่นนี้ไม่ได้! บ่าวข้าไม่ได้แตะต้องอาเม่าสักหน่อย เด็กน้อยไม่มีเรี่ยวแรง เซไปชนกำแพงเอง แต่พี่สะใภ้ไม่ถามอะไรสักคำ ก็เข้ามาตบตีข้าแล้ว เช่นนี้ก็เสมอกันหรือ”


 


 


เมื่อพูดถึงลูกชาย หวงน้าสี่ก็ปาดน้ำตา กะพริบตาปริบๆ อีก แล้วรีบหลบเข้าด้านหลังถงฮูหยิน ก่อนกัดฟัน พูดเสียงงึมๆ งำๆ


 


 


“ตัวเองไม่มีลูกชาย ถึงได้อยากให้ลูกชายผู้อื่นตายๆ ไปเสีย! โหดร้าย”


 


 


คำพูดนี้มีความหมายแฝง หนึ่ง ฟ้องว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นคนสั่งบ่าวให้ทำอาเม่าหัวแตก สอง บอกเป็นนัยว่าอวิ๋นจิ่นจ้งถูกนางผลักไสให้ไปบ้านสวนจนเกือบเกิดเรื่องขึ้น


 


 


ถงฮูหยินจ้องมองสะใภ้รองด้วยสีหน้าที่ยิ่งมาก็ยิ่งดูไม่ได้ ในที่สุด ความยุติธรรมในใจทั้งหมดก็เอนเอียงเข้าหาหวงน้าสี่ จะไม่เป็นเช่นนี้อย่างไรได้ ในเมื่อสะใภ้รองดูแลทายาทสืบสกุลอย่างจิ่นจ้งได้ไม่ดีพอ แล้วจะหวังให้นางเมตตากรุณาอาเม่าได้อย่างไร


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ ถงฮูหยินก็ทำหน้าเครียด


 


 


“ข้าบอกว่า แล้วกันไปก็แล้วกันไปสิ ทำไม เจ้าเป็นผู้อาวุโสของบ้าน หรือข้าเป็นกันแน่! ถ้าไม่งั้น รอเจ้ารองกลับมา เจ้าก็ไปฟ้องข้าเลย บอกว่าข้าจัดการเรื่องไม่เป็นธรรม!”


 


 


ว่าแล้วก็ลากตัวสะใภ้ใหญ่ ให้รีบกลับเรือนไปดูแผลอาเม่า


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเลิกงานกลับถึงจวน เดิมทีจะตรงไปเรือนหลัก พอถงฮูหยินรู้เช่นนี้ ก็เกรงว่าสะใภ้ใหญ่จะไปฟ้องก่อน จึงกลอกตาไปมา รีบบอกให้สาวใช้ ไปเชิญนายท่านมามาหาตนก่อน


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินว่ามารดาเรียกพบตน ก็ไปยังเรือนตะวันตกทันที พอก้าวเข้าประตู ก็เห็นหมอแบกกล่องยากำลังเดินออกมา และพอได้ยินว่าหลานบาดเจ็บ ก็ตกใจ รีบซอยเท้าก้าวเข้าไป


 


 


ตอนเห็นอาเม่าพันผ้าพันแผลไว้บนศีรษะ ก็คิดว่าเด็กๆ คงเล่นซนจนไปชนถูกอะไรเข้า แต่พอถาม ถึงได้รู้ว่า วันนี้หลังบ้านเกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้น


 


 


ท่านหมอที่ทำแผลให้อาเม่าบอกว่าไม่เป็นไร เด็กๆ เพียงหนังศีรษะบาง แค่ถลอกนิดหน่อย หมอใช้กรรไกรตัดผมตรงปากแผลออก แล้วโปะยาลงไปชั้นหนึ่ง สามวันให้หลังค่อยเปลี่ยนยาครั้งหนึ่ง กำชับต่ออีกไม่กี่คำ ก็ขอลา


 


 


ถงฮูหยินเห็นว่าหลานไม่เป็นไรแล้ว ค่อยโล่งอก เมื่อเห็นลูกชายมา จึงใช้โอกาสที่ได้พูดก่อน พูดรับรองว่า


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นอุบัติเหตุ และสุดท้าย ด้วยเกรงว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยจะฟ้อง จนทำให้ลูกชายโทษว่าตนลำเอียง จึง


 


 


พูดอย่างเย็นชาว่า


 


 


“เมียเจ้าน่ะ ปากคอเราะราย ข้าแค่อยากให้เรื่องสะใภ้ตบตีที่น่าอายเช่นนี้จบแบบเงียบๆ แต่นางกลับอยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ยังหาว่าข้าไม่ยุติธรรมอีก เสวียนฉั่ง ถ้าข้าไม่ยุติธรรม แล้วทำให้บ้านเจ้ายุ่งวุ่นวาย พรุ่งนี้ข้าก็จะพาน้าสี่กับลูกๆ กลับบ้านนอกเสีย”


 


 


การเป็นนายใหญ่ของบ้าน เขาไม่อาจเข้าข้างคนในบ้านตัวเอง แม้รู้ทั้งรู้ว่าพี่สะใภ้เป็นคนหาเรื่องก่อน เขาก็ได้แต่ไม่ถือสาหาความ และยิ่งได้ยินมารดาบอกว่าจะกลับบ้านนอก ก็ร้อนรนทันที นี่อยู่แค่ไม่กี่วันก็จะไปเสียแล้ว ถ้าคนนอกรู้เข้า จะพูดกันอย่างไร จึงยกชุดยาวขึ้น คุกเข่าลง พลางว่า


 


 


“ท่านแม่ หลายปีมานี้ ลูกเอาใจนาง จนนางเคยตัว จึงมักทำอะไรตามใจ ไม่รู้จักกาลเทศะ ท่านก็อย่าถือสาคนรุ่นหลังอย่างนางเลย” จากนั้นก็ปลอบใจอีกสักพัก พอเห็นว่ามารดาหายโกรธแล้ว ค่อยจากมา


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรอสามีพลางชะเง้อมอง จนคอยืดคอยาวไปหมดแล้ว


 


 


ตอนกลับถึงห้อง นางเลิกผมขึ้น ส่องดูสภาพตัวเองกับคันฉ่อง ดีที่ยังไม่ถึงกับกระอักโลหิต


 


 


หวงน้าสี่ลงมือหนักมาก ชนิดไม่สนใจผลที่จะตามมา เส้นผมตรงรอยต่อระหว่างหน้าผากกับหนังศีรษะของนางเป็นสีแดงไปส่วนหนึ่ง และบวมขึ้นมาอย่างน่ากลัว ผมร่วงไปมากมาย ใบหน้ารูปไข่ที่นางทะนุถนอมดั่งทองให้ขาวเนียนละเอียดในทุกๆ วัน ตอนนี้มีรอยเล็บราวนิ้วกว่าๆ อยู่สองรอย หนังถลอกออก โดยไม่รู้ว่าจะเป็นแผลเป็นหรือไม่!


 


 


นางไม่เคยรองรับอารมณ์โกรธขนาดนี้มาก่อน จึงร้อง อ๊าก ออกมาคำหนึ่ง ก่อนฟุบลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง ร้องไห้พลางตีอกชกหัวตัว สาวใช้พูดปลอบใจอย่างไรก็ไม่เป็นผล


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งที่ผละออกจากเรือนมารดามาถึง พอก้าวเข้าห้องและเห็นสภาพไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็เป็นอันผงะ เมื่อเห็นว่านางเกือบเสียโฉมแล้ว


 


 


ส่วนไป๋เสวี่ยฮุ่ยพอเห็นท่านพี่ ก็รู้ว่ามีที่พึ่งแล้ว จึงยิ่งแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้รับความเป็นธรรม ร้องห่มร้องไห้ได้ไม่ทันไร ก็เลิกเส้นผมที่เลอะโลหิตบนหน้าผากให้ดู แล้วโอดครวญ


 


 


“สุดท้าย ท่านแม่ก็ไม่ได้ลงโทษพี่สะใภ้แม้แต่น้อย สักนิดก็ไม่ให้ความเป็นธรรมกับข้า ท่านพี่ ท่านต้องตัดสินอย่างมีเหตุผลนะ”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งถูกมารดาใช้ไม้ตายขู่ว่าจะกลับบ้านนอก และยังฟังเรื่องราวจากมารดามาก่อน ตอนนี้พอได้ยินไป๋เสวี่ยฮุ่ยบอกเป็นนัยว่าถงฮูหยินตัดสินผิด ความสงสารก็พลันหายไปกว่าครึ่ง ขมวดคิ้วพลางว่า


 


 


“เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร ไปตำหนิแม่ว่าลำเอียงรึ? บอกว่านางจัดการเรื่องได้ไม่ยุติธรรม จากนั้นก็ปล่อยให้นางร้องไห้สะอึกสะอื้น แบกสัมภาระ พาครอบครัวออกจากเมืองหลวงกลับบ้าน?”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยสำลักเล็กน้อย ลำคอตีบตัน นางเป็นคนฉลาด รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแย่งความรักกับแม่สามี อีกทั้งไม่กล้าต่อว่าอะไรแม่สามีแต่อย่างใด ครุ่นคิดสักพัก ค่อยเชิดดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้น


 


 


“ทุกอย่างเพราะพี่สะใภ้เป็นต้นเหตุ ท่านพี่ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องไล่หญิงบ้านั่นกลับบ้านนอกให้ได้”


 


 


ก่อนหน้านี้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยคิดว่าจะอดทนให้แล้วๆ กันไป เพราะใช่ว่าต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันชั่วชีวิต จะช้า


 


 


จะเร็วพี่สะใภ้ก็ต้องไปอยู่ดี แต่พอเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น นางไหนเลยจะยอมให้พี่สะใภ้อีก เกลียดมานานแล้ว นับนิ้วทุกวัน ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ ถ้าอยู่นาน ตนมิต้องอึดอัดใจแย่หรือ!


 


 


ไม่ได้การ ต้องไล่หวงน้าสี่กลับบ้านให้ได้!


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งรู้สึกลำบากใจ พี่สะใภ้มาเป็นเพื่อนท่านแม่ ถ้าท่านแม่อยู่ในจวนวันหนึ่ง พี่สะใภ้ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนวันหนึ่ง ไม่มีทางที่จะเชิญให้พี่สะใภ้กลับไปเพียงลำพังดื้อๆ จึงปลอบนางว่า


 


 


“แล้วกันไปเถอะ อดทนอีกหน่อย อาเม่าหัวแตกก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จะว่าไป เจ้าก็ส่วนรับผิดชอบอยู่เหมือนกัน ที่พี่สะใภ้ทำอะไรบุ่มบ่าม ก็น่าจะให้อภัยกันได้”


 


 


พอพูดถึงอาเม่า ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็นึกถึงตอนที่พี่สะใภ้ถากถางนางเรื่องไม่มีลูกชาย


 


 


หัวแตก? พูดเสียน่าตกใจ! แค่เลือดไหลไม่กี่หยด หนังหัวถลอกนิดหน่อย นางเพิ่งให้อาเถาไปสืบดู ได้ความว่าเจ้าลิงป่านั่น กำลังเล่นสนุกอยู่เชียว แบบนี้เรียกว่าบาดเจ็บหรือ


 


 


อาเม่านั่น เมื่อเทียบกับนางที่ถูกดึงทึ้งเส้นผม แก้มกับหนังศีรษะเป็นแผลแล้ว ถือว่าบาดเจ็บน้อยมาก!


 


 


คิดๆ แล้ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็โอดครวญขึ้นอีก “แต่ถ้าให้นางอยู่ต่อ ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่อีกนานแค่ไหน พี่สะใภ้กับข้านิสัยเข้ากันไม่ได้ ขัดแย้งกับแทบทุกเรื่อง ท่านแม่อยู่กับนางมานาน ย่อมปกป้องนาง ข้าทำอะไรก็ผิดไปหมด…ท่านพี่ ข้าเครียดจนกังวลไปทุกเรื่อง ถ้านางอยู่นาน ข้าก็อาจโมโหจนล้มป่วย ท่านพี่ ข้ายินยอมพร้อมใจปรนนิบัติท่านแม่ แต่ถ้าข้าต้องคอยดูสีหน้าพี่สะใภ้ไปด้วยล่ะก็ ข้ายากรับไหวจริงๆ ข้ารับไม่ไหวไม่เป็นไร แต่ถ้าน้องสาวในวังรู้เรื่อง นางต้องกลุ้มใจแทนแน่”


 


 


พอพูดถึงนางในไป๋ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็รู้แล้วว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำลังกดดันตน ซึ่งพอนึกถึงพฤติกรรมของพี่สะใภ้ ก็ทำให้ผู้คนปวดหัวได้จริงๆ ถ้าทะเลาะกันบ่อยๆ แล้วเรื่องเล็ดลอดออกไป จวนรองเจ้ากรมจะเสียเอา อย่างเรื่องกฎบ้านไม่ยุติธรรม เรื่องญาติที่มีทุกรูปแบบ จึงขมวดคิ้ว


 


 


“เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาหน่อยสิว่า ทำอย่างไรถึงจะให้พี่สะใภ้กลับบ้านไปได้ ถ้าให้ข้าออกปากไล่ตรงๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่สนใจหน้าตา แต่ข้าสน”


 


 


เช่นนี้ย่อมไม่ได้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา พลางพูดเสียงเบา


 


 


“ก็ทำให้นางอยากกลับไปเองสิ พี่สะใภ้ยังมีลูกชายคนโตอีกคนมิใช่หรือ ถ้าพี่ใหญ่บอกนางว่า ลูกชายคนโตป่วย นางต้องรีบกลับแน่ หรือต่อให้นางไม่กลับ บ้านนอกที่ไม่มีผู้หญิงคอยดูแล ท่านแม่ย่อมเป็นห่วง และจะเป็นคนบอกให้นางกลับไท่โจวไปก่อนเอง…ท่านพี่ก็ค่อยส่งจดหมายบอกพี่ใหญ่คำหนึ่ง เตี๊ยมกันให้ดี พอพี่สะใภ้กลับถึงบ้านแล้วจะได้ไม่รู้ว่าถูกหลอก มิฉะนั้นต้องโวยวายจนบ้านแตกแน่”


 


 


ตั้งแต่อวิ๋นเสวียนฉั่งได้เป็นขุนนางในราชสำนัก ก็มักให้คนนำของขวัญไปมอบให้พี่ใหญ่เสมอ พี่ใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนาที่ซื่อสัตย์ใจดี มองว่าน้องเป็นปราชญ์ของบ้าน จึงยกย่องเทิดทูนเต็มที่ ยิ่งได้ของขวัญจากน้องก็ยิ่งเชื่อในคำพูดขุนนางอย่างน้องทุกอย่าง ถ้าส่งจดหมายไปบอกสักคำ คนซื่ออย่างพี่ใหญ่น่าจะไม่เพียงทำตาม กระทั่งยังรู้สึกละอายใจว่าหวงน้าสี่อยู่บ้านน้อง ยังทำให้น้องขายหน้าอีก


 


 


แม้รู้สึกผิดต่อพี่ใหญ่อยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกใดๆ ยิ่งทำอะไรไม่ได้กับการกดดันบวกกับท่าทางออดอ้อนของไป๋เสวี่ยฮุ่ย


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงตัดสินใจลุกเดินออกจากห้อง เรียกม่อไคไหลมาพบ กำชับเรื่องทั้งหมด และให้เขาไปที่ไปรษณีย์ ส่งจดหมายให้พี่ใหญ่ทันที




ตอนที่ 70-5 ตบตีไป๋ฮูหยิน

 


 


 


 


ม่อไคไหลรู้ว่า วันนี้หวงน้าสี่อารมณ์ร้ายและเสียมารยาทจนเกินไป ไม่มีนายหญิงบ้านไหนยอมลงให้ญาติที่มีพฤติกรรมแบบนี้หรอก แต่ถ้าหวงน้าสี่ถูกไล่ออกไปเช่นนี้ ก็น่าอดสูจริงๆ ถ้านางไม่รู้ความจริงก็แล้วกันไป แต่ถ้ารู้ในภายหลัง ย่อมต้องสาปแช่งน้องสะใภ้อย่างสาดเสียเทเสียแน่ และชาตินี้ก็จะไม่มีหน้ามาเมืองหลวงอีก 


 


 


ทว่าคำสั่งของนายท่านขัดไม่ได้ ม่อไคไหลจึงรับคำ แล้วไปดำเนินการตาม 


 


 


แต่พอออกจากเรือนหลักไม่กี่ก้าว ก็เจอกับเมี่ยวเอ๋อร์ 


 


 


ตั้งแต่เมี่ยวเอ๋อร์รู้ชาติกำเนิดของตนเอง ความสนิทสนมที่มีต่อม่อไคไหล ไม่เพียงไม่ลดน้อยถอยลง กลับเพิ่มพูนมากขึ้น ตอนนี้พอได้เจอ ก็แย้มยิ้มแล้วก้าวเข้าหา จับแขนเขาเขย่าสองครั้ง  


 


 


“ท่านพี่จะออกไปหรือ วันนี้จะไปทำธุระอะไรอีกล่ะ” 


 


 


ม่อไคไหลเห็นเมี่ยวเอ๋อร์เป็นน้องสาวมาตลอด ตอนนี้แม้นางรู้สถานะที่แท้จริงของตนเอง แต่ก็ยังต้องเรียกตนว่าพี่ชายต่อ ตนจึงรู้สึกสงสารนางยิ่ง จึงยิ้มตอบอย่างรู้กัน  


 


 


“ไปอยู่กับคุณหนูใหญ่แล้ว ก็ยังไม่สำรวมเหมือนเดิม ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่สองสามวันนี้ เจ้าก็ยุ่งกับสองเรือนนี้ให้น้อยๆ หน่อยก็แล้วกัน เพราะเขากำลังทะเลาะกันรุนแรง สตรีทั้งสองคนล้วนไม่น่าตอแยด้วย เจ้าก็ไม่ควรเล่นกับไฟ” 


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ยืนมือไพล่หลังโยกตัวไปมา จงใจพูด “อย่าพูดไป วันนี้ฮูหยินเรานับว่าถูกพี่สะใภ้จัดการอย่างน่าอนาถ ตั้งแต่ฮูหยินแต่งเข้าจวนรองเจ้ากรม นางก็เอาแต่ใส่อารมณ์กับคนอื่น โดยไม่มีใครกล้าใส่อารมณ์กับนาง และการตบตีครั้งนี้ นางก็ไม่ได้ว่าอะไร ต่อไปเจอหน้าพี่สะใภ้ ก็น่าจะโค้งคำนับให้” 


 


 


ม่อไคไหลรู้ว่าเมี่ยวเอ๋อร์กำลังสืบข่าวให้คุณหนูใหญ่ แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ลากนางไปหลบด้านข้าง ก่อนพูดเสียงต่ำ  


 


 


“ทะเลาะกันขนาดนี้ ด้วยนิสัยของฮูหยิน ยังจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพี่สะใภ้ได้หรือ นี่อยู่ในห้องก็คงบ่นอุบ พูดเข้าข้างตัวเองให้นายท่านฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะนายท่านให้ข้าส่งจดหมายไปแจ้งพี่ชายที่ไท่โจว ให้พี่ชายอ้างว่าลูกชายคนโตป่วย หวงน้าสี่จะได้รีบกลับบ้าน” 


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์อึ้ง “นี่มันไล่กันเห็นๆ เลยนะ ถ้าพี่สะใภ้กลับไปแล้วรู้ว่าถูกหลอก ต้องรู้ว่าฮูหยินเป็นผู้บงการแน่ แล้วก็ต้องแค้นฮูหยินฝังใจ อีกทั้งถ้าคนแถวบ้านรู้ว่า พี่สะใภ้ถูกน้องสะใภ้ไล่กลับมา ไหนเลยจะเห็นพี่สะใภ้อยู่ในสายตาอีก อารมณ์ของพี่สะใภ้ก็รุนแรงใช่ย่อย อาจโมโหจนตายได้นา” 


 


 


ม่อไคไหลสั่นศีรษะ “ถ้าเป็นเจ้าล่ะ จะยอมให้คนที่ชอบข่มเหงเจ้า อยู่ข้างกายเจ้าตลอดทั้งวี่ทั้งวันหรือเปล่า ก็ต้องไล่ศัตรูคู่แค้นออกไป เอาเถอะ ไม่พูดมากกับเด็กอย่างเจ้าแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ ที่ทำการไปรษณีย์กำลังจะปิด ถ้าไปไม่ทัน วันนี้ก็ส่งจดหมายไม่ได้” 


 


 


“อืมๆ พี่รีบไปเถอะ” เมี่ยวเอ๋อร์ก็ไม่มีเวลาคุยสัพเพเหระต่อ รีบโบกมือลา 


 


 


พอเห็นม่อไคไหลไปแล้ว นางค่อยหันกาย คิดไปบอกคุณหนูใหญ่ที่เรือนฝูหยิง ทว่าขณะเดินออกจาก 


 


 


ประตูวงเดือน ผ่านระเบียงเชื่อม ก็เห็นด้านหน้ามีเงาร่างที่คุ้นเคยของเด็กหญิง กำลังนั่งยองๆ มือจับลำไม้ไผ่ 


 


 


ปล้องเล็ก ขีดๆ เขียนๆ อยู่บนพื้นทราย อาจู้นั่นเอง 


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์คิดอะไรขึ้นได้ จึงหยุดฝีเท้า พอดีเลย! 


 


 


น้องชายอาจู้หัวแตก ถูกอุ้มกลับเรือนตะวันตก อารองนางก็มานั่งอยู่ครึ่งค่อนวัน เพิ่งจากไป ท่านย่าก็เอาแต่อุ้มและปลอบโยนอาเม่า ส่วนแม่ก็กำลังทายาให้ตัวเอง ไม่มีใครสนใจนาง 


 


 


วันนี้ไม่มีใครคุยกับอาจู้เลย นางเซ็ง จึงออกมาเดินเล่นแก้เซ็ง… 


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ยิ้มตาหยีพลางก้าวเข้าไป แล้วนั่งยองๆ ลง  


 


 


“เอ๊ะ คุณหนูอาจู้นั่นเอง ไม่อยู่ในเรือนล่ะเจ้าคะ ออกมาข้างนอกทำไม” 


 


 


อาจู้ชำเลืองมอง รู้สึกหน้าคุ้นๆ แต่ก็ก้มหน้าเล่นลำไม้ไผ่ต่อ แล้วใบหน้ากลมแป้นก็เศร้าหมองลง พลางพูดอย่างเบื่อหน่าย  


 


 


“ท่านแม่ทะเลาะกับอาสะใภ้จนคอถลอกไปหมด กำลังทายาอยู่ ท่านย่าก็กำลังปลอบอาเม่า คนในเรือนเสียงดัง หนวกหูชะมัด ข้าไม่มีอะไรทำ เลยเดินออกมา แต่จวนรองเจ้ากรมของพวกเจ้าก็ไม่มีอะไรน่าสนุก ท่านแม่กับท่านย่าพูดอยู่ได้ว่าที่นี่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ข้าว่า นอกเรือนยังพอได้ แต่ในเรือนนี่สิ ไม่มีชีวิตชีวาเลย เบื่อจะแย่อยู่แล้ว” 


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ส่งเสียง “อ้าว” ออกมาคำหนึ่ง ก่อนพูดตามน้ำ “ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วัน คุณหนูอาจู้ก็จะได้ตามท่านแม่ของคุณหนูกลับบ้านแล้ว ทีนี้ก็ไม่เบื่อแล้วล่ะ” 


 


 


“หา ท่านย่าไม่ได้บอกนี่ว่า จะกลับเร็วแบบนี้” อาจู้ได้ยินก็หยุดเล่นลำไม้ไผ่ในมือ 


 


 


“อ้อ บ่าวไม่ได้บอกว่าถงฮูหยินจะกลับนา บ่าวยังมีเรื่องต้องทำอีก ไม่พูดมากแล้ว” เมี่ยวเอ๋อร์กะพริบตาที่ทอประกายแวววาว แล้วจึงจากไป 


 


 


อาจู้อึ้งอยู่สักพัก ค่อยตื่นตัว วางลำไม้ไผ่ลง วิ่งกลับเรือนตะวันตก  


 


 


“ท่านแม่ เราอยู่อีกไม่กี่วัน ก็กลับแล้วหรือ” 


 


 


“อะไร กลับอะไร เพิ่งมาได้ไม่กี่วันเอง!”  


 


 


หวงน้าสี่เพิ่งใช้ขี้ผึ้งทาถูรอยแดงที่คอ จึงปวดแสบปวดร้อนขณะถาม อาจู้ก็ยังไม่สิบขวบดี จึงนำคำพูดไม่กี่คำของเมี่ยวเอ๋อร์มาถามมารดา 


 


 


ซึ่งจริงๆ แล้ว เมี่ยวเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรชัดเจน แต่หวงน้าสี่กลับเดาจากคำพูดของลูกสาวว่า น้องสะใภ้น่าจะคิดที่จะให้ตนม้วนเสื่อกลับบ้าน พาลูกๆ กลับเพียงลำพัง! 


 


 


โลหิตคำหนึ่งติดอยู่ในลำคอ แต่หวงน้าสี่กลับเยือกเย็นผิดคาด การทะเลาะตบตีก่อนหน้านี้ นางยังพอมีเหตุผล แต่ตอนนี้ ถ้าจะลงมืออีก ก็กลายเป็นไม่มีเหตุผลแล้ว 


 


 


อยากให้ตนไป แล้วคิดว่าตนอยากอยู่นักรึ แต่ถ้าตนไป ชาตินี้ พี่สะใภ้อย่างตน ก็ไม่มีวันเชิดหน้าชูตาได้อีก! สามีที่บ้านก็ทั้งซื่อทั้งดี เหมือนก้อนแป้งที่ถูกน้องชายนวดมาตลอด หรือนางต้องยอมให้น้องสะใภ้กดขี่อีก 


 


 


หวงน้าสี่ยอมไม่ได้จริงๆ! 


 


 


 


 


 


เรือนฝูหยิง 


 


 


พอฟังเมี่ยวเอ๋อร์เล่าจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็หัวเราะ 


 


 


“เจ้านี่มือไม้คล่องแคล่วว่องไว เร็วกว่าข้าอีก” 


 


 


แต่รอจนตกกลางคืน เรือนตะวันตกก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าจึงแปลกใจอยู่บ้าง 


 


 


ตามหลักแล้ว คนหัวไวและแรงมาแรงไปอย่างหวงน้าสี่ ถ้ารู้ว่าน้องสะใภ้คิดไล่ตนไป ไหนเลยจะนั่งติด ต่อให้ไม่ไปตบตีอีก ก็ต้องร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด 


 


 


แต่ตอนนี้ กลับเงียบมาก 


 


 


หลังอาหารมื้อเย็น ทุกเรือนต่างจุดดวงโคม 


 


 


พอเก็บจานชามเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นก็อยากออกไปเดินย่อยเสียหน่อย แต่เพิ่งลุกออกจากห้อง เมี่ยวเอ๋อร์ก็วิ่งหน้าแดงเข้ามา ดึงมือนาง แล้วว่า 


 


 


“คุณหนูใหญ่ เรื่องน่าสนุกมาแล้ว เร็ว รีบไปเรือนหลักดูกัน!” 




ตอนที่ 71-1 ตกเลือด

 


 


 


ต้นฤดูใบไม้ร่วง กลางวันยาวกว่ากลางคืน


 


 


พอเข้าสู่ช่วงค่ำ ท้องฟ้าจึงมืดไม่สนิท ดวงจันทร์ก็ไม่ปรากฏให้เห็น


 


 


เมฆแดงกองพะเนิน ลอยไปซ้อนทับกันที่ขอบฟ้า สีแดงดำปกคลุมไปทั่ว อากาศร้อนอบอ้าว ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฝนกำลังจะตก


 


 


เรือนภายในจวนรองเจ้ากรม ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ตลอดจนระเบียงทางเดิน สว่างไสวไปด้วยแสงโคมในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน โดยแสงสีส้มตรงทางเดิน ให้ความรู้สึกเหมือนหิ่งห้อยเริงระบำ


 


 


หวงน้าสี่ยืนอยู่หน้าเรือนหลัก ใบหน้าปรากฏความเคร่งเครียดและกดดัน พอๆ กับสภาพอากาศ มือซ้ายจูงอาเม่า มือขวาจูงอาจู้ แต่งตัวเรียบร้อยหมดจด ใส่เสื้อผ้าตัวเดียวกันกับวันแรกที่มาถึง ข้างเท้ามีห่อผ้าขนาดใหญ่สองห่อ คล้ายสัมภาระ


 


 


นอกประตูวงเดือน เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่ายืนเป็นเพื่อนอวิ๋นหว่านชิ่นในระยะไม่ไกล ทั้งสามกำลังมองดูเหตุการณ์ในเรือนหลัก


 


 


ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ เสียงฟ้าร้องดังมาแต่ไกล อากาศอบอ้าวมากขึ้น แต่ฝนกลับยังดื้อดึง ไม่ตกลงมาเสียที ทั่วเรือนจึงอบอวลไปด้วยท่วงทำนองอันตึงเครียดก่อนพายุจะมาถึง


 


 


“คุณหนูใหญ่ พี่สะใภ้ฮูหยินจะขอตัวกลับก่อนหรือเจ้าคะ” เมี่ยวเอ๋อร์สงสัย “นางไม่เหมือนคนที่พูดจากันได้ง่ายๆ แบบนี้นี่”


 


 


“แต่แบบนี้ก็เป็นไปตามเจตนาของฮูหยินมิใช่หรือ” ชูซย่าขมวดคิ้ว


 


 


หวงน้าสี่ย่อมมิใช่ผู้ที่ชักธงขาวยอมแพ้ง่ายๆ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแหงนหน้ามองท้องฟ้า ป้าสะใภ้หาฤกษ์ยามได้เหมาะเจาะจริงๆ คืนนี้ แม้แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้างนาง บรรยากาศเช่นนี้ สุดยอดแล้ว


 


 


คืนนี้ไม่เพียงเป็นโอกาสทองของหวงน้าสี่ ยังเป็นโอกาสทองของอวิ๋นหว่านชิ่นด้วย


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ ครั้งก่อนที่ข้าวานให้ญาติผู้พี่ช่วยหาหลักฐาน เรียบร้อยแล้วใช่ไหม” อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปถามเสียงต่ำ


 


 


“เจ้าค่ะ เมื่อวานตอนออกไปซื้อของ บ่าวแอบแวะไปที่บ้านสกุลสวี่ คุณชายญาติผู้พี่บอกบ่าวว่าเรียบร้อยแล้ว ทั้งพยานและหลักฐาน โดยเก็บรักษาไว้ชั่วคราวที่บ้านหลังหนึ่งในซอยหอมหมื่นลี้ทางตะวันออก คุณหนูใหญ่ต้องการใช้เมื่อไหร่ ก็ไปนำมาได้ทุกเมื่อ” เมี่ยวเอ๋อร์ตอบเสียงเบา


 


 


ดีมาก


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าปราดเปรียวว่องไว ตอนนี้ไปนำหลักฐานและเชิญพยานมาก่อน”


 


 


“เจ้าค่ะ บ่าวขอตัว” เมี่ยวเอ๋อร์ทำอะไรรวดเร็ว หันกายจากไปในทันที


 


 


ในเรือนหลัก อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งทานมื้อค่ำเสร็จ และกำลังพูดคุยอยู่กับไป๋เสวี่ยฮุ่ย ซึ่งพอนางรู้ว่าม่อไค


 


 


ไหลได้ส่งจดหมายไปบอกพี่ใหญ่ที่ไท่โจวตามที่ท่านพี่สั่งเรียบร้อย ก็พอใจยิ่ง


 


 


ระยะนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกังวลเรื่องปรนนิบัติแม่สามี หรือไม่พอใจในตัวพี่สะใภ้ จึงรู้สึกพะอืดพะอม กินไม่ค่อยลง เหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ แต่เมื่อครู่พอได้ข่าวดี นางก็รู้สึกหิวขึ้นมา กระทั่งทานข้าวเย็นไปสองชาม รอให้หวงน้าสี่นั่นไสหัวไปให้พ้นๆ


 


 


ขณะพูดคุย เด็กรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งหน้าตื่นมาจากนอกเรือน รายงานว่า พี่สะใภ้ฮูหยินเก็บข้าวเก็บของ พาเด็กสองคนมาบอกลานายท่าน สองสามีภรรยาจึงตะลึงงัน หันมามองหน้ากัน แล้วรีบออกไปดู


 


 


ชานบ้าน อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นพี่สะใภ้หอบหลานสองคนยืนอยู่ด้านใน ข้างๆ มีข้าวของวางกองไว้ เห็นชัดว่าเป็นลักษณะของคนที่กำลังจะเดินทาง จึงสูดหายใจเข้า ด้วยเขายังไม่ได้บอกพี่สะใภ้เรื่องหลานชายคนโตป่วย แล้วเหตุใด ตอนนี้นางถึงคิดจะจากไปเองเล่า


 


 


ไม่ถูกต้อง อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบก้าวลงบันได แล้วพูดตะกุกตะกัก “พี่ พี่สะใภ้ ท่านกำลังทำอะไรน่ะ”


 


 


หวงน้าสี่ยิ้มเศร้าๆ แล้วว่า


 


 


“ไม่มีอะไร พี่ตัดสินใจพาอาเม่ากับอาจู้กลับไท่โจวในวันนี้ จึงมาบอกลาเจ้าเสียหน่อย เดี๋ยวจะถูกคนหาว่าอยู่บ้านเจ้ามานาน มารยาทสักนิดก็ไม่มี หรือไม่ก็ด่าว่า เป็นพวกบ้านนอก ไม่มีการศึกษา”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยืนอยู่หลังสามี กำผ้าเช็ดหน้า กัดริมฝีปากครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยิ้มออก ทำไมจู่ๆ หญิงบ้านางนี้ถึงได้อายเป็นล่ะ หายากจริงๆ ก็ไม่รีบบอก ทำให้ตนเสียเวลาคิดหาวิธีไล่อยู่นานสองนาน


 


 


แม้พูดได้ว่า อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นด้วยกับการคิดหาวิธีให้พี่สะใภ้กลับบ้าน แต่ถ้าจะกลับ ก็ต้องเลือกวันที่อากาศดีหน่อย แล้วให้บ่าวขี่รถม้าส่งกลับไป ไหนเลยจะให้แขกรีบร้อนกลับไปกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ไม่เหมาะสมยิ่ง ซึ่งถ้าสามแม่ลูกฉวยโอกาสจากไปกลางดึก แล้วถูกใครพบเห็นเข้า แม้เขาไม่ได้ไล่ ก็จะกลายเป็นไล่ในทันที แถมยังถูกพูดต่อๆ กันไปด้วยว่าบ้านสกุลอวิ๋นข่มเหงรังแกผู้หญิงและเด็กที่อ่อนแอ ไม่เห็นแก่ความเป็นญาติ อีกทั้งครึ้มฟ้าครึ้มฝนเช่นนี้ ขืนสามแม่ลูกเกิดอุบัติเหตุกลางทาง ตนย่อมหนีความรับผิดชอบไปไม่พ้น คิดๆ แล้ว จึงพูดอย่างเด็ดขาด


 


 


“พี่สะใภ้ ฟ้ามืดไปหมดเช่นนี้ ท่านจะไปอย่างไร ประตูเมืองก็ใกล้ปิดแล้ว ไม่น่าจะออกนอกเมืองทัน มิสู้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันดีกว่า”


 


 


หวงน้าสี่ยิ้มเย็นชา พูดเช่นนี้ก็แปลว่าตั้งใจไล่ตนสามแม่ลูกไปจริงๆ เพราะถ้าไม่คิดไล่ ต้องพูดให้ตนอยู่ต่อแล้ว และถ้าไม่อยากให้ตนไป ทำไมต้องพูดว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากันด้วย แต่นางก็ไม่แสดงสีหน้าอะไร ตอบสบายๆ


 


 


“ไม่เป็นไร พี่ถามจากเด็กรับใช้ในเรือนเจ้าแล้ว ยังเหลืออีกครึ่งชั่วยามกว่าประตูเมืองจะปิด รีบไปตอนนี้ยังทัน เมื่อบอกลาเจ้าเสร็จ พี่ก็ไปล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน”


 


 


“เดี๋ยวก่อน” อวิ๋นเสวียนฉั่งร้อนใจ “ที่พี่สะใภ้กับหลานสองคนจะไปนี่ ท่านแม่รู้เรื่องหรือยัง”


 


 


ถ้ายังไม่รู้ แล้วเขาปล่อยให้พี่สะใภ้หอบหลานกลับไปเช่นนี้ บ้านแตกแน่ ท่านแม่ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วเรียกคนมาสั่งสอน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าสนุก ตามธรรมเนียมแล้ว วิธีการสั่งสอนของผู้อาวุโสในบ้าน จะยึดหลักรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ซึ่งจนถึงวันนี้ แม้อวิ๋นเสวียนฉั่งได้เป็นขุนนางชั้นสามแล้ว แต่ก็ยังเกรงกลัวอยู่ไม่หาย


 


 


“เจ้าวางใจ”


 


 


หวงน้าสี่ค่อยๆ พูดทีละคำทีละประโยค ด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง เป็นคนละคนกับที่ก่อเรื่องเมื่อช่วงกลางวันอย่างสิ้นเชิง พลางคิดในใจ เดี๋ยวพอท่านแม่ได้ข่าว ก็จะรีบรุดมาที่นี่ ตอนนี้จึงต้องถ่วงเวลาต่ออีกหน่อย


 


 


“เนื่องด้วยลูกชายลูกสาวของพี่ทั้งสองคน ทำให้ผู้อาวุโสอย่างท่านแม่ขายหน้า พี่จึงคิดกลับบ้านไปสำนึกผิด กลับตัวกลับใจเสียใหม่ ถ้าอยู่ต่อ ก็รังแต่จะทำให้ท่านแม่กลุ้มใจไปเปล่าๆ คิดว่าท่านแม่ก็น่าจะปล่อยให้พี่กลับไป”


 


 


หญิงบ้าอย่างหวงน้าสี่ ยังไม่ทันข้ามวัน ไฉนจึงเปลี่ยนนิสัยเป็นสะใภ้ที่น่ารักไปได้ รู้จักยอมรับผิด ยอมคนเป็นเหมือนกัน? ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง รู้สึกหวานชื่นจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว อารมณ์สงบนิ่ง รอยเล็บบนใบหน้าที่ถูกหวงน้าสี่ข่วนก็คล้ายไม่เจ็บแล้ว


 


 


คำพูดนี้คลุมเครือยิ่ง ไม่รู้ว่าตกลงท่านแม่เห็นด้วยหรือเปล่า อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงไม่กล้าให้พี่สะใภ้จากไป ได้แต่แอบบอกเด็กรับใช้ให้ไปเชิญท่านแม่มา


 


 


เด็กรับใช้รับคำ แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากเรือน ก็เห็นสาวใช้พยุงถงฮูหยินที่อารมณ์กำลังขุ่นมัวเดินเข้ามา


 


 


เมื่อครู่ตอนทานมื้อค่ำ ถงฮูหยินก็ไม่เห็นสะใภ้ใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าสะใภ้ใหญ่คงรู้สึกอับอายที่วันนี้ไปก่อเรื่องมา เกรงว่าจะถูกตนอบรมขณะทานข้าว จึงไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะกับตน คิดไม่ถึงว่า พอทานข้าวเสร็จ อาเม่ากับอาจู้จะถูกสะใภ้ใหญ่เรียกเข้าไปในห้อง จากนั้นสามแม่ลูกก็หายตัวไป พอตนเข้าไปดูในห้อง ก็เห็นเก็บข้าวของเสียเกลี้ยง พอไม่เห็นห่อผ้าสัมภาระ ค่อยรู้ว่า ที่แท้นางตัดสินใจกลับบ้านนอก


 


 


ถงฮูหยินจึงยืนงง พอได้ข่าวว่าหวงน้าสี่หอบเด็กสองคน ไปบอกลาเจ้ารอง ก็รีบพาสาวใช้บึ่งตามมา


 


 


ถ้าหวงน้าสี่บอกนางสักคำว่าตัดสินใจกลับบ้าน นางก็ไม่ว่าอะไร แต่ตอนนี้หวงน้าสี่กลับจะจากไปอย่างเงียบๆ โดยแอบพาเด็กๆ ไปเช่นนี้ นางก็รู้สึกพูดไม่ออกอยู่เหมือนกัน


 


 


พอก้าวเข้ามาในเรือนหลัก ก็เห็นหวงน้าสี่จูงหลานทั้งสองไว้ มือถือห่อผ้าขนาดใหญ่สองห่อ ท่ามกลางความมืด ภายใต้แสงโคมที่สาดส่อง แผ่นหลังของสะใภ้ใหญ่ดูอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวยิ่ง เจ้ารองถามอะไร นางก็ไม่กระด้างกระเดื่องเหมือนเคย เพียงตอบอย่างสงบเสงี่ยม จึงรู้สึกอ่อนไหว ตาแดง ก้าวเข้าไปแล้วว่า


 


 


“น้าสี่…เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ ทำไมคิดจะไปก็ไปเลยหรือ”


 


 


“ท่านแม่…” พอเห็นมารดามา อวิ๋นเสวียนฉั่งก็รีบบอกให้บ่าวเข้าไปในเรือน ยกเก้าอี้ทรงกลมมีพนักพิงออกมา แล้วเชิญมารดานั่ง



ตอนที่ 71-2 ตกเลือด

 


 


 


พอหวงน้าสี่เห็นหญิงชรามา ก็ยังคงไม่ร้องห่มร้องไห้ เพียงทำท่าเหมือนจะร้องไห้แต่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ ก่อนพูดละล่ำละลัก


 


 


“ท่านแม่ วันนี้ข้า ข้าทำให้ท่านไม่สบายใจ จึงไม่มีหน้าไปบอกลาท่าน เมื่อท่านมาแล้ว ข้าก็ขอบอกท่านว่า ข้าจะพาอาเม่ากับอาจู้กลับบ้าน น้องรองกับน้องสะใภ้จะได้อยู่กันอย่างสงบสุข ท่านก็อย่าโกรธข้าเลย อาชิงอยู่กับท่านจนเคยชิน ไม่ยอมไปจากท่านหรอก ท่านเอ็นดูเขามากสุด ข้าจึงได้แต่ให้เขาอยู่กับท่านต่อ”


 


 


แล้วจึงก้มหน้าลง บอกกับลูกๆ ทั้งสองคน “อาเม่า อาจู้ ยังไม่รีบลาท่านย่าอีก บอกว่าเราจะกลับบ้านแล้ว”


 


 


อาจู้แอบหยิกแขนตนเองอย่างแรง พอเจ็บจนน้ำตาไหล ก็พูดเสียงอ่อนตัวอ่อนพลางน้ำตาคลอเบ้า


 


 


“ท่านย่า เดิมทีหลานอยากอยู่ปรนนิบัติท่านมากๆ แต่ตอนนี้ต้องตามท่านแม่กลับแล้ว ท่านย่าอยู่บ้านอารองดูแลตัวเองดีๆ นะ”


 


 


ส่วนอาเม่าก็เลียนแบบท่าทางพี่สาว ลูบศีรษะที่พันผ้าขาวไว้ พลางว่า “ท่านย่า หลานกลับก่อนล่ะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ท่านก็รีบกลับมานะ หลานคิดถึง”


 


 


ตอนนี้ถึงกับทำให้ถงฮูหยินแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มองบนสักพัก ค่อยลุกขึ้นยืน


 


 


“ใครบอกให้ไป ใครเป็นคนพูด! ผู้ใดคิดไล่พวกเจ้าไป ไม่ให้ไป ล้วนไม่ให้ไป!”


 


 


“ไม่มี ไม่มีใครไล่เรา ท่านแม่” หวงน้าสี่กลั้นใจพูด แต่แม้พูดเช่นนี้ ก็กวาดตามองไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่อยู่บนบันได ซึ่งสายตานี้ ถงฮูหยินเห็น จึงพอจะเข้าใจอะไรแล้ว


 


 


หรือสะใภ้รองเป็นคนไล่พวกนางสามแม่ลูกไป เช่นนี้ก็ไร้เหตุผลสิ้นดี แม้บอกว่าวันนี้สะใภ้รองไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่อาเม่าก็หัวแตกนี่ ก็บอกแล้วมิใช่หรือว่าเสมอกันไป หรือต่อหน้า สะใภ้รองทำเป็นไม่มีอะไร แต่ลับหลังกลับไล่สามแม่ลูกไปเสียนี่? เจ้ารองกตัญญูและเกรงใจพี่สะใภ้ ไม่กล้าไล่แน่ ใช่แล้ว ต้องเป็นสะใภ้ไป๋ที่ไปพูดยุแหย่แน่ๆ!


 


 


แม้คนในครอบครัวทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ก็ยังคงเป็นคนในครอบครัว กระดูกถึงถูกตีจนหัก ก็ยังมีเนื้อติดกระดูกอยู่ เหตุใดถึงพูดยุแหย่ญาติกันเองเช่นนี้ได้ลงคอ!


 


 


คิดพลาง คิ้วขาวๆ ของถงฮูหยินก็ขมวดเข้าหากัน


 


 


และตอนนี้เอง หวงน้าสี่ก็หันมองน้องสามี พลางพูดเสียงเรียบ แต่สั่นน้อยๆ


 


 


“นี่ก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว พี่มาที่นี่ นอกจากมาบอกลาน้องรองแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง อยากให้น้องรองเรียกบ่าวมาตรวจดูสัมภาระของพี่ด้วย ให้แน่ใจว่าไม่มีของชิ้นใดในจวนอยู่ในนั้น พี่รู้ว่า ตั้งแต่พี่มาอยู่ในจวนรองเจ้ากรม ก็มีคนกลุ่มหนึ่งดูแคลนเราสามแม่ลูก หาว่าเราเป็นคนบ้านนอก ไม่มีการศึกษา รังเกียจที่เรากินมากดื่มมาก เหมือนเกิดมาไม่เคยเห็นของมีค่าอย่างไรอย่างนั้นมิใช่หรือ พวกเจ้าตรวจดูได้เลย ตรวจหรือยัง ให้พวกเจ้าวางใจ พี่ถึงจะสบายใจ”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งอึ้ง “พี่สะใภ้ ข้าจะตรวจสัมภาระของท่านได้อย่างไรกัน ท่าน ท่านพูดอะไรออกมา คนครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ข้ามีหรือที่จะคิดว่าท่านเป็นโจร”


 


 


สัญชาตญาณของไป๋เสวี่ยฮุ่ยไวกว่าสามี เมื่อครู่ยังนึกว่าหวงน้าสี่เปลี่ยนนิสัยไปแล้ว แต่พอลิ้มลองรสชาติไปเรื่อยๆ ค่อยรู้แล้วว่า ที่แท้หวงน้าสี่ก็กำลังแสร้ง ทำตัวให้ดูน่าสงสาร ซึ่งตนต้องไม่หลงกลนาง จึงขยับคิ้วพลางว่า


 


 


“พี่สะใภ้ เราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน จะแค้นกันไปไย ทำไมถึงพูดเลยเถิดถึงเรื่องตรวจสัมภาระไปได้ บ่าวในจวนเราเวลาออกนอกจวน ก็ยังไม่เข้มงวดขนาดต้องตรวจค้นร่างกาย พี่สะใภ้ก็พูดเกิน…”


 


 


ฟังถึงตรงนี้ ถงฮูหยินก็หมดความอดทน กระทืบเท้า แล้วใช้แววตาดุจเปลวเพลิงมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย


 


 


“ก็มิใช่เจ้าหรอกหรือ ที่บีบจนสะใภ้ใหญ่ต้องทำถึงขั้นนี้ ตอนนี้ยังเอานางมาเทียบกับบ่าวอีก! วันก่อนเอาชุดบ่าวให้สองแม่ลูกใส่ วันนี้ยังปล่อยให้บ่าวเสียมารยาทกับอาเม่าอีก กะอีแค่สำรับของว่าง ถ้าจิ่นจ้งเป็นคนแย่งเอาไป บ่าวนั่นย่อมไม่ถือสา แต่พอเป็นอาเม่า บ่าวนั่นกลับกล้าแย่งเอาคืน แสดงว่าเจ้าดูถูกพวกนางสามแม่ลูกมาตลอด บ่าวนั่นถึงได้มีพฤติกรรมเช่นนั้น ไม่เห็นอาเม่าอยู่ในสายตา! ขนาดปิ่นปักผมอันเดียว เจ้ายังผูกใจเจ็บ คอยหาทางเอาคืนจากพวกเขา วันนี้พอถูกน้าสี่ก่อกวน เจ้าจะยอมรามือหรือ พวกเขาสามคนคิดจะจากไปกลางดึกเช่นนี้ เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับเจ้าอีก เจ้าใช่ไหมที่คอยพูดกรอกหูเจ้ารอง ให้ไล่พวกเขาไป!”


 


 


แม้ก่อนหน้านี้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเคยถูกถงฮูหยินว่ากล่าวอบรมเป็นครั้งคราว แต่นั่นก็เป็นการเข้มงวดเรื่องกฎระเบียบที่ผู้อาวุโสมีต่อลูกหลาน ซึ่งเป็นเช่นนี้ทุกหลังคาเรือน แต่ตอนนี้ กลับเป็นการต่อว่าต่อขานอย่างหมดเปลือก คิดไม่ถึงว่าหญิงชราจะมาไม้นี้ จึงรู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็ยังปากแข็ง


 


 


“ท่านแม่ ข้าไม่เคยเอ่ยปากไล่พี่สะใภ้ ทั้งๆ ที่พี่สะใภ้มาบอกเองว่าจะไป ไฉนถึงมาโทษข้าได้”


 


 


ปกติอวิ๋นเสวียนฉั่งไม่ชัดเจนเรื่องหลังบ้านอยู่แล้ว ตอนนี้พอได้ยินมารดาพูดถึงชุดบ่าว พูดถึงปิ่นปักผม ค่อยเข้าใจแล้วว่า ที่แท้หลายวันมานี้ ไป๋ฮูหยินรู้สึกไม่ค่อยดีกับพี่สะใภ้เท่าไหร่ มิน่าเล่า วันนี้พี่สะใภ้ถึงได้ทำรุนแรงเช่นนี้ เป็นความขัดแย้งที่สะสมมานาน จึงมองแรงไปที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ย


 


 


พอเห็นสายตาแปลกๆ ของสามีมองมา ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็รู้สึกว่ามีส่วนคล้ายกับท่าทางตอนที่เขาทำสงครามเย็นกับนางก่อนหน้านี้ จึงตะลึงงัน ไม่กล้าพูดมากอีก


 


 


พอหวงน้าสี่เห็นบรรยากาศนิ่งค้าง ก็ไม่คิดสงบนิ่งแล้ว ปล่อยมือลูกสาว ก้าวเข้าหาถงฮูหยิน คุกเข่าลงตรงหน้า โขกศีรษะติดต่อกัน น้ำตาพรั่งพรูดั่งสายน้ำ ดั่งทำนบพังทลาย พูดพลางร้องไห้พลาง ใบหน้าโศกเศร้ายิ่ง


 


 


“ท่านแม่ แล้วกันไปเถิด ท่านให้ข้ากลับบ้านเถิด ขืนพูดต่ออีก ข้าจะกลายเป็นคนบาปที่ทำให้บ้านน้องรองต้องแตกแยกไป! น้องรองกับน้องสะใภ้อย่างไรก็เป็นสามีภรรยา ไม่ควรบาดหมางกัน ข้าเองล่ะ ที่เป็นคนนอก เมื่ออยากให้ข้าไป ข้าก็ต้องไป นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาเรื่องหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกัน! เพียงแต่ข้าตามท่านแม่มา เดิมทีก็อยากดูแลท่านแม่เหมือนทุกๆ วัน แต่วันนี้ข้าไปแล้ว ก็คงดูแลไม่ได้ ท่านแม่ยังต้องอยู่ในเมืองอีกหลายวัน ตอนมาเป็นหน้าร้อน ตอนนี้เข้าสู่ใบไม้ร่วงแล้ว อากาศในเมืองเปลี่ยนแปลงเร็ว จึงเย็นลงทุกๆ วัน ท่านแม่ต้องเอาใจใส่เรื่องอาหารการกินให้ดี ยังมีโรคกระดูกต้นคอและข้อเข่าเสื่อมของท่านอีก อย่าให้ถูกลมเย็นเป็นอันขาด เพราะถ้าป่วยขึ้นมา ก็จะปวดไปอีกหนึ่งถึงสองเดือน…ข้าวางผ้าพันคอกับผ้าพันเข่าที่ถักจากขนแกะโดยเฉพาะ ไว้ใต้ที่นอนท่าน พับทบกันหลายชั้นหน่อย น่าจะพอต้านอากาศหนาวของเมืองหลวงได้ พออากาศเปลี่ยน ท่านก็ต้องรีบนำมาพัน อย่าลืมเสียล่ะ…”


 


 


หวงน้าสี่พูดด้วยท่าทางเรียบๆ แต่ขณะพูด ใบหน้ากลับเปล่งแสงแห่งความอ่อนโยนปนความเศร้าเสียใจชนิดหนึ่งออกมา ตอนน้ำตาหยดลง ยิ่งทำให้คนเห็นใจและสงสารสุดจะเปรียบ


 


 


ถงฮูหยินน้ำตาคลอ โรคกระดูกต้นคอและข้อเข่าเสื่อม เกรงว่าคนทั้งบ้าน มีเพียงสะใภ้ใหญ่เท่านั้นที่จำได้ว่าตนมีโรคประจำตัวเช่นนี้อยู่ และยังถักผ้าพันคอกับผ้าพันเข่าให้ตนในทุกๆ ปีด้วย


 


 


ตอนอยู่บ้านนอก นางกับหวงน้าสี่ก็เคยโต้เถียงกัน เคยรุนแรงใส่กันด้วยซ้ำ สะใภ้ใหญ่นี่ จริงๆ แล้วหญิงชราก็ใช่ว่าจะชอบมาก แต่พอมาถึงเมืองหลวง ก็เหมือนยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกัน จะมากจะน้อยก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน พอได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้ ถงฮูหยินก็นึกถึงแต่เรื่องดีๆ ของสะใภ้ใหญ่ นึกถึงตอนอาเม่าเพิ่งครบเดือนได้ไม่นาน ตอนนั้นเป็นหน้าหนาว ตนรู้สึกเจ็บเข่า จนต้องนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน เพราะลุกไม่ขึ้น หวงน้าสี่ที่ต้องทำงานในไร่ แล้วยังต้องทำงานบ้านอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจฝ่าลมหนาว เดินทางเข้าเมือง ไปโรงหมอ ซื้อสมุนไพรประคบร้อนมาให้ตน ซึ่งตอนนั้นนางเองก็เพิ่งออกจากการอยู่ไฟ


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ ถงฮูหยินก็ก้มตัวลง พยุงสะใภ้ใหญ่ลุกขึ้น แล้วว่า


 


 


“น้าสี่ เด็กโง่! นี่เป็นบ้านของลูกข้า ไม่มีใครเจ้ากี้เจ้าการได้หรอก! นอกจากเขาจะเอ่ยปากให้เจ้าไปด้วยตัวเอง หาไม่แล้วก็ไม่มีใครขับไล่เจ้าได้ ข้าบอกให้เจ้าอยู่ เจ้าก็ต้องอยู่ เรามาด้วยกัน ถ้าเจ้าไป ข้าจะอยู่ต่อคนเดียวไปทำไม”


 


 


แล้วจึงหันไปพูดเสียงสั่นกับลูกชาย “อย่างไร เจ้ารอง เจ้าคิดจะไล่พี่สะใภ้เจ้า หรือเปล่าล่ะ”


 


 


เมื่อมารดาพูดขนาดนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่กลืนน้ำลาย “ลูกไม่เคยพูดเช่นนั้น”


 


 


พอถงฮูหยินได้รับการยืนยัน ก็ค้อนไป๋เสวี่ยฮุ่ยทีหนึ่ง ก่อนกุมมือหวงน้าสี่ไว้ พลางพูดอย่างอ่อนโยน


 


 


“ได้ยินหรือยัง ไม่มีใครอยากให้เจ้าไปหรอก เจ้าก็เชื่อฟังข้า อยู่ปรนนิบัติข้าเถิด อย่าบุ่มบ่ามทำอะไรโง่ๆ อีก” ชะงักเล็กน้อย ค่อยพูดเสียงเย็นชา “บ้านนี้ต่อให้ใครคิดจะไป ผู้ที่ควรไปมากที่สุดก็ไม่ใช่เจ้า ข้าแม้อายุมากแล้ว แต่บ้านนี้ ใครทำอะไรไว้ ข้ายังคงมองเห็น”


 


 


พอได้ยินคำนี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็กำมือแน่น นี่หมายความว่าอะไร หรือตนต้องยอมให้คนนอกก่อเรื่องในบ้านตนโดยที่ตนทำอะไรไม่ได้ ผู้ที่ควรจะถูกไล่ออก เป็นนายหญิงอย่างตนหรือ เหตุผลบ้าบออะไรนี่ แม้ตนจะเกรงกลัวแม่สามีเพียงใด ก็ไม่คิดทนอีก


 


 


“ท่านแม่ แม้ข้าไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนข้างกายท่านเป็นระยะเวลานาน แต่ถ้าพูดถึงหลายวันมานี้ ข้าก็ดูแลท่านแม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เช้าถึงเย็นถึงทุกวัน ไม่เคยปล่อยปละละเลย แต่ท่านกลับลำเอียงเข้าข้างพี่สะใภ้ มิหนำซ้ำยังไม่เห็นนายหญิงของบ้านอย่างข้าอยู่ในสายตาอีก ท่านก็ช่าง…ไม่เป็นธรรมเกินไปแล้ว! ท่านแม่ หรือท่านมองไม่ออกว่าพี่สะใภ้มีแผนร้ายในใจ จงใจทำให้คนเห็นอกเห็นใจ ถ้านางรู้สึกว่าทำให้ท่านขายหน้าจริงๆ ก็ไม่น่าจะทำให้ท่านลำบากใจ แอบหอบลูกๆ จากไปแต่แรกแล้ว ไหนเลยยังมาตีโพยตีพายเรื่องแบบนี้อยู่อีก!”


 


 


“หุบปาก!” อวิ๋นเสวียนฉั่งเอ็ดเสียงต่ำ แต่ก็ไม่ทันการแล้ว


 


 


เมื่อถงฮูหยินได้ยินสะใภ้ใหญ่บอกว่าตนไม่เป็นธรรม กลับไม่โกรธ ยิ้มเย็นชา รอยย่นบนหน้าผากที่ลึกและชัด นิ่งอยู่อย่างนั้น ขณะมองนาง


 


 


“ทำให้คนเห็นอกเห็นใจ? มีแผนร้ายในใจ? พี่สะใภ้เจ้าแสร้งทำหรือไม่ มีแผนอะไรในใจนั้น ข้าไม่รู้ รู้แต่ว่า เจ้าน่ะ เดิมทีเป็นญาติห่างๆ ของแม่จิ่นจ้ง อยู่บ้านนอกเกือบอดตาย พอหนีความยากลำบากมาเมืองหลวงได้ ก็ยั่วยวนเจ้ารอง ทำให้แม่ของจิ่นจ้งโมโหจนล้มป่วย ถ้าพูดถึงเรื่องแสร้งทำให้เห็นอกเห็นใจ มีแผนร้ายในใจนี่ พี่สะใภ้เจ้าสู้เจ้าได้หรือ พอเจ้าได้เป็นฮูหยินก็แล้วกันไป แต่เจ้าก็ยังไม่มีลูกชาย และไม่เคยเอ็นดูลูกชายคนคนอื่น จิ่นจ้งข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง! ครั้งนี้ก็ถึงคราวอาเม่าอีก แล้วคนอย่างเจ้า ยังมีหน้ามาว่าผู้อื่นมีแผนร้ายในใจอีกหรือ”


 


 


แต่ละคำ แต่ละประโยคที่ถามกลับ เชือดเฉือนดุจกรีดด้วยใบมีดที่คมกริบเข้ามาพร้อมๆ กัน 

 

 


ตอนที่ 71-3 ตกเลือด

 

ใบหน้าเรียวสวยของไป๋เสวี่ยฮุ่ยซีดขาว


 


 


ในใจแม่สามี ที่แท้ก็ไม่เคยเห็นตนเป็นลูกสะใภ้ที่ถูกต้องตามประเพณีมาแต่ไหนแต่ไร อย่างมากก็เห็นตนเป็นเพียงเครื่องมือผลิตหลาน หลังจากที่เมียของลูกชายเสียชีวิต


 


 


และตนที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอ มีแผนร้ายในใจมาครึ่งชีวิต ไหนเลยจะรู้ว่าวันนี้กลับถูกหวงน้าสี่เล่นงานด้วยวิธีเดียวกัน จึงโกรธจนปวดท้องน้อยเฉียบพลัน ต้องทรุดลงนั่งอย่างเสียไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประจำเดือนใกล้มา บวกกับอารมณ์พลุ่งพล่านหรือเปล่า ถึงได้ปวดเป็นทวีคูณ สุดท้ายก็ต้องเอามือขึ้นมากุมท้องจนได้ อยากลุกก็ลุกไม่ขึ้น


 


 


เมื่อหวงน้าสี่เห็นสถานการณ์เปลี่ยน ก็โล่งอก แต่ยังคงจู่โจมศัตรูต่อ ด้วยการเงยหน้าขึ้น น้ำตายังไม่ทันแห้งเหือด ก็บีบออกมาอีก


 


 


“น้องสะใภ้ อันที่จริง พี่ก็ไม่อยากพูดหรอก แต่เจ้าพูดอยู่ได้ว่าท่านแม่ไม่มีความเป็นธรรม เช่นนี้พี่ก็ต้องแจงสี่เบี้ยต่อหน้าทุกคนแล้ว จะได้รู้กันไปว่า ใครกันแน่ที่มีแผนในใจ บ่าวบ้านเจ้าบอกเองว่า อีกไม่กี่วันจะส่งพี่กลับบ้าน นี่ถ้าไม่เรียกว่าไล่ แล้วจะเรียกว่าอะไร ซึ่งถ้าพี่กลับไปแล้ว จะมีหน้าพบใครได้อีก จะอธิบายอย่างไรว่าทำไมถึงกลับมาคนเดียว สะใภ้ที่กระทั่งบ้านน้องสามียังอยู่ไม่ได้ ต้องชั่วร้ายจนยากคบหาขนาดไหน! เจ้าจะบีบให้พี่ตาย ให้พี่ถูกเพื่อนบ้านหัวเราะเยาะหรือ เจ้าว่าพี่มีแผนในใจ ถูก พี่ก็ต้องมีบ้างล่ะ เพราะต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง แล้วก็พบว่า ก่อนพลบค่ำพ่อบ้านในจวนเจ้าไปยังที่ทำการไปรษณีย์ ส่งจดหมายไปไท่โจว แจ้งให้สามีพี่รู้ก่อน จากนั้นก็ค่อยลวงให้พี่กลับบ้าน ถูกไหม! เรื่องแบบนี้ พี่ไม่เชื่อว่าน้องรองเป็นคนทำ น่าจะเป็นความคิดของน้องสะใภ้มากกว่า!”


 


 


มีบ่าวปล่อยข่าวออกไป?


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตกใจ พยายามข่มความไม่สบายตัวและไม่สบายใจ “ผู้ใดพูดจาเหลวไหล!”


 


 


หวงน้าสี่ยังไม่ทันตอบ อาจู้ก็รีบเอ่ยปากช่วยมารดาโต้ตอบอาสะใภ้ “ก็บ่าวของกายญาติผู้พี่คนนั้นไง! คนที่นั่งรถม้าคันเดียวกับเราตอนออกนอกบ้านน่ะ”


 


 


เป็นนังสารเลวที่ไม่ถูกเฆี่ยนตีจนตายนั่นอีกแล้ว! ครั้งก่อนก็ทำร้ายลูกสาวข้า ครั้งนี้ยังมาทำร้ายข้าอีก? น่าจะได้ยินมาจากม่อไคไหล! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ต้องเป็นอวิ๋นหว่านชิ่นบงการอยู่เบื้องหลังแน่!


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยแค่นเสียงเย็นชาออกมาสองที


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินดังนี้ ก็รู้ว่าแม่เลี้ยงต้องรีบให้คนไปตามตนอย่างแน่นอน แต่กลับเรือนไปตอนนี้ก็ไม่ทัน หลบก็ไม่ทัน จึงไม่ทำอะไรมาก จัดชุดกระโปรงให้เรียบร้อย แล้วเดินนำชูซย่าเข้าไปในเรือนหลัก


 


 


“คุณหนูใหญ่…”


 


 


“ญาติผู้พี่…”


 


 


โอ๊ะ ที่แท้ก็อยู่ข้างนอก กำลังดูเรื่องสนุกๆ อยู่ล่ะสิ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเกลียดนัก


 


 


ใต้แสงโคมตรงระเบียงทางเดิน คุณหนูใหญ่คล้ายปัดแก้มสีชมพูสดใสชั้นหนึ่ง สีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีความกังวลใดๆ ให้เห็น เดินตัวเบา ไม่ช้าไม่เร็ว เหมือนบังเอิญเดินผ่านเรือนหลักเมื่อครู่ แล้วได้ยินเสียงคนโต้เถียงกัน จึงเข้ามาดู


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นถอนสายบัวให้อวิ๋นเสวียนฉั่งกับท่านย่าที่อยู่บนชานเรือน แล้วว่า


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ได้ยินเสียงดังจากเรือนท่านพ่อ จึงเดินเข้ามา แต่ก็ยืนลังเลอยู่นาน ไม่กล้าเข้า พอได้ยินว่าเรื่องนี้คล้ายเกี่ยวกับเมี่ยวเอ๋อร์ จึงถือวิสาสะเดินเข้ามาถาม”


 


 


“หึ บังเอิญจริงนะ” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยคิดลากคนให้ลงเรือลำเดียวกัน “บ่าวที่เจ้าเพิ่งเอาไปอยู่ด้วย เที่ยวพูดจาเหลวไหลในบ้าน บอกอาจู้ว่าข้าจะไล่พวกนางสามแม่ลูกกลับบ้านอะไรกัน!” แล้วหันมองอวิ๋นเสวียนฉั่ง พลางเปลี่ยนสีหน้า “ท่านพี่เจ้าคะ เมี่ยวเอ๋อร์ไม่ได้ทำผิดเป็นครั้งแรก เห็นชัดว่ามีคนสั่งให้นางทำ ครั้งก่อนก็ยุให้เฟยเอ๋อร์ไปจวนโหว หรือครั้งนี้ยังจะยกโทษให้นางอีก!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะพลางก้าวเข้าหาอาจู้ “อาจู้จ๊ะ สาวใช้ของข้าคนนั้นเคยบอกเจ้าหรือว่า อีกไม่กี่วันฮูหยินจะไล่พวกเจ้าสามแม่ลูกไป พูดแบบนี้หรือเปล่า นางไม่มีเหตุผลที่จะพูดแบบนี้กับเจ้านี่ ไหนเจ้าลองเล่าเหตุการณ์ในช่วงบ่าย ที่พวกเจ้าสองคนคุยกันให้เราฟังอย่างละเอียดหน่อยจะได้ไหม”


 


 


อาจู้จึงเล่าตามตรง “นางไม่ได้พูดแบบนี้สักหน่อย ตอนนั้นข้าเบื่อๆ จึงใช้ลำไม้ไผ่วาดภาพบนทรายไปคุยกับนางไป บอกว่า จวนรองเจ้ากรมไม่มีอะไรน่าสนุก เบื่อจะตายชัก นางก็ยิ้มแล้วว่า อีกไม่กี่วันพอข้าตามแม่กลับบ้านไป ก็จะไม่เบื่อแล้ว ข้าก็ว่า ท่านย่าเคยบอกว่าเรายังไม่รีบกลับ นางก็ว่า ถงฮูหยินไม่กลับหรอก”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองถงฮูหยินกับอวิ๋นเสวียนฉั่ง “ท่านพ่อกับท่านย่าก็ได้ยินแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์บังเอิญเจออาจู้ที่หลังเรือน พอเห็นนางมีท่าทางเบื่อหน่าย ก็เอ็นดูเข้าไปปลอบสองคำ บอกว่าถ้าอีกไม่กี่วันได้กลับบ้านก็ไม่เบื่อแล้ว ซึ่งนี่เป็นแค่คำพูดปลอบใจ ไม่ได้หมายความว่าอีกไม่กี่วันจริงๆ ส่วนที่บอกว่าถงฮูหยินไม่กลับนั้น น่าจะเป็นเพราะเห็นอาจู้เข้าใจผิด จึงพูดเสริมไป โดยตั้งแต่ต้นจนจบ เมี่ยวเอ๋อร์ไม่เคยพูดว่า ฮูหยินจะไล่ป้าสะใภ้กับลูกๆ กลับเลย เพียงแต่คนบางคนชอบเบี่ยงเบนประเด็น ก็เท่านั้น”


 


 


เล่นลิ้น เล่นลิ้นชัดๆ! ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำลังจะซักค้าน แต่โทนเสียงเปลี่ยนและอวิ๋นหว่านชิ่นปากไวกว่า ยกมุมปากขึ้น เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ พลางมองนางนิ่งอย่างมีนัย


 


 


“บ่าวของข้าอยากมากก็แค่พูดไม่เก่ง พูดโดยไม่ทันคิด แต่บังเอิญไปเปิดโปงเรื่องไม่ดีของใครบางคนเข้า อย่าหาว่าข้าพูดตรงๆ เลย ที่ครั้งนี้บ้านเราเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้น ญาติผู้น้องบาดเจ็บ ท่านย่าโกรธ ผู้ที่จุดชนวน ควรเป็นพี่เฉียว ทว่าเหตุใดคนทั้งบ้านทะเลาะกันวุ่นวาย แต่กลับลืมผู้ที่เป็นต้นตอของปัญหาไปได้!?”


 


 


คำพูดนี้พอหลุดจากปาก ไม่เพียงสลายข้อกล่าวหาเรื่องหัวโจกของเมี่ยวเอ๋อร์ ยังทำให้ถงฮูหยินหูตาสว่าง ก็ดีเหมือนกัน ลากบ่าวสุนัขนั่นออกมา แล้วโยนความผิดให้ ปัญหาความไม่สงบของบ้านจะได้หมดสิ้นลง ทุกคนจะได้มีบันไดให้ลงจากเวที ปิดฉากเรื่องนี้ให้จบๆ ไป จึงตัดสินใจเอ่ยปาก


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์พูดถูก เราหลงทางกันหมด มองข้ามคนทำผิดจริงๆ ไป ยังไม่ไปลากบ่าวนั่นออกมาอีก”


 


 


พี่เฉียวนึกว่าเรื่องที่ตนพลั้งมือทำร้ายคุณชายน้อยจะเป็นหมันไปแล้ว เมื่อมีฮูหยินคอยปกป้องเสียอย่าง


 


 


จะกลัวไปทำไม ฮูหยินเกลียดชังสะใภ้หวง ย่อมไม่ตำหนิตนให้สะใภ้หวงได้หน้า แต่ตอนนี้ไฉนตนถูกบ่าวในบ้านหิ้วตัวออกจากที่พักคนรับใช้มายังเรือนหลัก


 


 


พอมาถึง พี่เฉียวก็กวาดตามองไปรอบๆ รอบด้านคล้ายถูกปิดตาย ผู้ที่ควรมา ล้วนมากันหมด จึงตะลึงงันชั่วขณะ พอจะเดาได้ว่า ทุกคนกำลังจะลงมือแล่เนื้อเถือหนังตน!


 


 


“ฮูหยิน…นายท่าน…ท่านย่า” พี่เฉียวคุกเขาเสียงดังกึก อวัยวะบนใบหน้าที่แก่กว่าวัยเพราะฤทธิ์สุรา กระจุกรวมกัน เห็นแล้วทั้งเศร้าทั้งตลก “บ่าวไม่ได้ลงมือกับคุณชายน้อยจริงๆ มันเป็นอุบัติเหตุจริงแท้แน่นอน คุณชายน้อยไม่ทันระวังเอง ถึงได้ชนกับกำแพงเข้า…”


 


 


“บ่าวสุนัขเหิมเกริมจริงๆ ยังพูดจาเล่นลิ้นอีก! ถ้าเจ้าไม่แย่งไม่จับ อาเม่าจะไม่ทันระวังได้อย่างไรกัน บ่าวที่กล้าล่วงเกินนาย โทษถึงตาย!”


 


 


สตรีที่สามารถครองตัวเป็นม่ายเพียงลำพัง ลำบากตรากตรำเลี้ยงดูลูกชายทั้งสองจนเติบใหญ่ จนคนหนึ่งได้เป็นขุนนางในเมืองหลวง ย่อมไม่ใช่สตรีที่อ้อนแอ้นอ่อนแอ หญิงชราเพิ่งมาถึงบ้านลูกชายคนรองได้ไม่นาน จึงมีบารมีดุจนายของบ้าน ตะคอกเสียงดังออกมา


 


 


เมื่อพี่เฉียวเห็นฮูหยินหลับตาลง หน้าซีดขาว มีเจตนาสลัดตนออกโดยไม่สนใจอีก ก็ตกใจ ตอนอยู่บ้านสวนโย่วเสียน ตนยอมทนให้เฆี่ยนตี เพราะคิดเสมอมาว่ามีฮูหยินเป็นที่พึ่ง แต่ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว เห็นทีตนอาจหนีความตายไม่พ้น!


 


 


“สะใภ้รอง อย่างไรบ่าวคนนี้ก็เป็นคนของเจ้า เจ้ามักพูดว่าข้าลำเอียง ดี ครั้งนี้ข้าขอถามเจ้าก่อน จะได้ไม่ถูกเจ้าเอาแต่ว่าข้าไม่เป็นธรรมอีก เจ้าว่า บ่าวเช่นนี้ ควรลงโทษหรือไม่ ลงโทษอย่างไร”


 


 


ถงฮูหยินแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง 

ตอนที่ 71-4 ตกเลือด

 

พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินหญิงชราพูดเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าหืออือ เนื้อตัวเย็นเฉียบ ท้องน้อยปวดบิดไม่หาย ปวดเป็นพักๆ สภาพเช่นนี้ ตนเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะช่วยพี่เฉียวได้อย่างไร จึงพูดพึมพำ


 


 


“ท่านแม่เอาอะไรมาพูด เมื่อผิด ก็ลงโทษสิ ส่วนจะลงโทษอย่างไรนั้น ก็แล้วแต่ท่านแม่เถิด สะใภ้ไม่กล้าพูดแทรก”


 


 


“ฮูหยิน…” พี่เฉียวคลานเข้าหา จับข้อเท้าไป๋เสวี่ยฮุ่ยไว้ “ท่านจะไม่สนใจบ่าวเช่นนี้ไม่ได้นา บ่าวภักดีต่อท่านมาตลอด ป้าเถาของบ่าวก็รับใช้ท่านมากว่าครึ่งชีวิต…คนทั้งสองรุ่นล้วนเป็นวัวเป็นควายให้ท่านใช้…ไม่ว่าจะอย่างไร ท่านจะไม่สนใจบ่าวเช่นนี้ไม่ได้…”


 


 


กระทั่งเถามอมอที่ซื่อสัตย์ภักดี อยู่ข้างกายข้ามาสิบกว่าปี ข้ายังถีบถิ้ง แล้วนับประสาอะไรกับกระต่ายน้อยอย่างเจ้าเล่า เป็นวัวเป็นควาย? ใช่ว่าข้าไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนให้นี่ พวกเจ้าก็แค่ยอมทนให้ตี ยอมทนให้ทรมาน โดยเฉพาะเจ้า พี่เฉียว ทำเรื่องหนึ่งให้ข้าไม่สำเร็จ แต่กลับได้ผลประโยชน์จากข้าไป ซึ่งที่ข้ายอมเสียเงินให้ ก็นับว่าซื้อชีวิตบัดซบสิบชีวิตของเจ้าแล้ว มากเกินพออย่างแน่นอน แล้วเจ้ายังต้องการอะไรอีก


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงไม่ลังเล สลัดเท้า เตะพี่เฉียวออก


 


 


“เด็กๆ” ถงฮูหยินเหลือบมองผ้าพันแผลบนศีรษะอาเม่า แล้วว่า


 


 


“ตอนจิ่นจ้งตกหน้าผาที่บ้านสวน บ่าวสุนัขนี่มีความผิดฐานละเลยหน้าที่ ถูกตีไปชุดหนึ่ง และถูกขังอยู่นานหลายวัน แต่ก็ยังไม่รู้จักสำนึก กลับหนักข้อยิ่งกว่าเดิม มาข่มขู่ถากถางคุณชายน้อยอีก แสดงให้เห็นว่า มีจิตคิดไม่ซื่อเข้ากระดูกดำ! เมื่อสะใภ้รองไม่คัดค้าน ข้าจึงเห็นว่า ต้องลงโทษสถานหนัก…เด็กๆ ลากตัวไปที่ห้องบูชาบรรพชน ตีห้าสิบไม้! ถ้ายังไม่ตาย ให้ลากออกนอกจวน ขายไปเป็นกรรมกรแบกหาม!”


 


 


ถูกตีอีกแล้ว? แผลที่บั้นท้ายยังไม่หายสนิท ครั้งก่อนแค่สามสิบไม้ ยังตายแล้วฟื้นไม่รู้กี่ครั้ง ตอนนี้ห้าสิบ จะรอดหรือ ผิวหนังอ่อนๆ ตรงรอยแผลเพิ่งประสานเข้าด้วยกัน ยังไม่ทันไรก็จะตีอีกแล้ว อย่าว่าแต่ห้าสิบไม้เลย แค่ไม้เดียว ผิวก็แตก โลหิตสาดกระจายแล้ว!


 


 


พี่เฉียวมึนงง หญิงชราไม่เหมือนอนุฟาง ตนไม่มีทางรอดตายเหมือนครั้งก่อนแน่ จึงคลานเข้าไปใหม่


 


 


“ฮูหยิน บ่าวทำเรื่องต่างๆ ให้ท่านมากมาย…” ยังไม่ทันพูดจบ บ่าวสองคนก็ก้าวเข้ามา จับแขนพี่เฉียวคนละข้าง แล้วลากออกไป


 


 


แววตาไป๋เสวี่ยฮุ่ยเย็นชา พี่เฉียวกำลังข่มขู่ตน พอเห็นเขาขยับปากขึ้นลง ก็เกรงว่าจะพูดเรื่องสกปรกอะไรออกมา จึงรีบอ้าปากเอ็ด “บรรพบุรุษสั่งสอน เจ้ายังไม่ยอมรับ! สมควรตี! รีบอุดปากมันไว้! ห้าสิบไม้พอที่ไหน บวกของข้าไปอีกยี่สิบไม้!”


 


 


บ่าวไม่พูดไม่จา ดึงผ้าออกมาผืนหนึ่ง ยัดเข้าไปในปากพี่เฉียว


 


 


นี่มันฆ่าคนปิดปากชัดๆ พี่เฉียวส่งเสียงดังอู้อี้ พูดไม่เป็นภาษา พลางจ้องมองไป๋เสวี่ยฮุ่ยอย่างเคียดแค้น


 


 


พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นว่าเขาพูดไม่ได้อีก รอให้บ่าวลากตัวเขากลับมา ก็น่าจะกลายเป็นศพไปแล้ว จึงถอน


 


 


หายใจอย่างโล่งอก


 


 


ทว่าในตอนนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ก็กลับมา พอเข้ามาในเรือน ก็เข้ากระซิบที่ข้างหูอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“คุณหนูใหญ่ คนเข้ามาในจวนแล้ว รออยู่นอกกำแพงผนังกั้น สามารถเรียกเข้ามาได้ทุกเมื่อ”


 


 


“เรียกเข้ามาเลย” อวิ๋นหว่านชิ่นขยับริมฝีปากกำชับ จากนั้นค่อยก้าวไปข้างหน้าสองเก้า “ช้าก่อน”


 


 


นี่ย่อมเป็นการพูดกับบ่าวสองคนที่กำลังนำตัวพี่เฉียวไป


 


 


บ่าวอึ้ง หันมองหญิงชรา ด้วยหญิงชราเป็นผู้ออกคำสั่ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหันไปพูดอย่างอ่อนน้อมกับท่านย่า “เรื่องที่พี่เฉียวทำ หนีไม่พ้นสองข้อหา เมื่อต้องการสอบสวน ก็ต้องสอบสวนให้ถึงที่สุด ขอท่านย่าให้เขาอยู่ต่ออีกสักพัก”


 


 


ถงฮูหยินสงสัย จึงโบกมือ ส่งสัญญาณให้บ่าวลากตัวพี่เฉียวกลับเข้ามา


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่รู้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะมาไม้ไหน หัวใจจึงเต้นโครมคราม จนแทบหลุดออกจากทรวงอก แต่ก็ส่งเสียงไม่ได้ ทำได้เพียงจ้องมองเมี่ยวเอ๋อร์ที่กำลังพาใครคนหนึ่งเข้ามา


 


 


เป็นหญิงสาว


 


 


อายุราวสิบเจ็ดปี ประคองกล่องไม้ใบเล็กไว้ในมือ แม้ใส่ชุดกระโปรงแบบหญิงชาวบ้านและแต่งหน้าเรียบๆ แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับมีเสน่ห์ชวนหลงใหล เท้าดอกบัว แขนหน่อไม้ เอวบาง แก้มชมพู เวลาก้าวเดิน สะโพกส่ายไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นความงามที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก มองปราดเดียวก็รู้ว่า มิใช่สาวบริสุทธิ์


 


 


หญิงสาวเพิ่งเดินเข้ามาในเรือนขุนนาง คล้ายตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็รู้อย่างรวดเร็วว่าควรทำเช่นไร จึงสำรวม แล้วย่อกายลง “ข้าน้อยหงเยียน คารวะท่านรองเจ้ากรม ฮูหยิน ผู้อาวุโส และคุณหนู”


 


 


การพูดจาการจา ทั้งน้ำเสียง โทนเสียง และท่าทาง ไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไป ทว่ารื่นหูและมีจริตจะก้านแบบคนในสถานเริงรมย์ อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงถามเสียงเข้ม


 


 


“เจ้าเป็นใคร”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกัดฟันกรอด เหงื่อเม็ดโป้งหยด


 


 


“ก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนของเรือสำราญว่านชุน ภายหลังได้ถูกพี่เฉียวไถ่ตัวออกมา”


 


 


หงเยียนหันไปมองพี่เฉียว แต่ไม่ได้มองแบบซาบซึ้งในบุญคุณที่ไถ่ตัว กลับเป็นความรู้สึกเคียดแค้นที่พูดไม่ออกอย่างหนึ่ง


 


 


“หลังจากข้าถูกเขาซื้อตัวไว้ ก็ถูกพาไปอาศัยที่บ้านป้าสี่ของเขาชั่วคราว”


 


 


กลุ่มคนพอได้ยินว่าผู้มาเป็นนางโลม ก็หน้าแดงกันเป็นแถบ จวนขุนนางที่สูงส่ง กลับมีนางโลมจากหอโคมเขียวมาเยี่ยมเยียน พอได้ยินอีกว่าเป็นคนรักของพี่เฉียว ก็อึ้งไปตามๆ กัน


 


 


โสเภณี คือของฟุ่มเฟือยสำหรับชาวบ้านร้านตลาด สาวๆ บนเรือสำราญว่านชุนแต่ละคนมีค่าตัวมิใช่ย่อย หงเยียนหน้าตาดี แม้ไม่ใช่ตัวชูโรง แต่ค่าตัวก็มากโขอยู่ คนธรรมดาสามัญถ้าอยากจะอยู่กับพวกนางคืนหนึ่ง ยังต้องทำงานจนเลือดตาแทบกระเด็น นับประสาอะไรกับการซื้อตัว! พี่เฉียวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ไหนเลยจะ


 


 


มีเงินมากมายถึงเพียงนี้


 


 


“แม่นางหงเยียน” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองนาง


 


 


ดวงตาหงเยียนกระจ่างใสบริสุทธิ์ ทั้งสวยทั้งคม สามารถจ้องมองคน จนคนไม่กล้าสบตาด้วย และไม่มีคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนใดจ้องมองนางอย่างดูแคลน แต่นางกลับถูกเด็กสาวคนนี้จ้องมองจนรู้สึกละอายใจ


 


 


นางมิใช่ไม่เคยเห็นคุณหนูลูกผู้ดีมาก่อน เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าอ่อนกว่านางไม่กี่ปี แต่รูปร่างหน้าตายังดูเด็กอยู่ แม้มีส่วนที่ดูสวยอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนดอกไม้ที่ยังบานได้ไม่เต็มที่ มีบางส่วนขาดๆ เกินๆ ถ้าเทียบกับเหล่าคุณหนูที่หงเยียนเคยเห็นมา ยังไม่ถือว่าสวยสุด แต่ไม่รู้ทำไม ขณะยืนอยู่หน้าเด็กสาว นางมักหายใจเข้าลึกๆ โดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าไม่กล้าทำอะไรลวกๆ อาจเพราะเด็กสาวสวยเท่ ท่าทางก็สง่างาม เหมือนมีประสบการณ์มากกว่านาง ดวงตาก็ดุจน้ำใสไหลเย็นไร้สิ่งเจือปน แต่พอมองมาที่นาง กลับดุจเปลวเพลิง ที่แผ่ความร้อนวูบอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ความอ่อนโยนที่ผสานเข้ากับความเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างกลมกลืนเช่นนี้ ทำให้หงเยียนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นถามคำถามที่ทุกคนอยากรู้ “ขอทราบจำนวนเงินค่าไถ่ตัวของแม่นาง”


 


 


“ทั้งงวดแรกและงวดหลังรวมกันก็ หกร้อยตำลึงเงิน”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “แม่นางหงเยียนเข้าใจผิดหรือเปล่า พี่เฉียวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของบ้านสกุลอวิ๋น และไม่มีมรดกส่วนตัว เงินเดือนบวกกับเงินรางวัลในแต่ละเดือน อย่างไรก็ไม่เกินสองถึงสามตำลึงเงิน หกร้อยตำลึงเงินสำหรับเขาแล้ว ต่อให้ไม่กินไม่ดื่ม ก็ต้องเก็บหอมรอมริบหลายสิบปี เป็นลาภก้อนโตทีเดียว เขาไหนเลยจะมีเงินมากมายเช่นนี้มาไถ่ตัวเจ้า แม่นางหงเยียนจำผิดหรือเปล่า คิดดูให้ดีๆ”


 


 


หงเยียนขมวดคิ้วสวย “ข้าก็ไม่ชัดเจนนัก รู้แต่ว่าวันที่ถูกไถ่ตัวออกมา มาม่าซังบนเรือสำราญบอกว่า ต่อจากนี้ไป นายของข้าก็คือพี่เฉียว และยังบอกอีกว่า ผู้ที่จ่ายค่าไถ่ตัวนั้น มือเติบมาก ไม่ต่อรองใดๆ ยื่นตั๋วแลกเงินที่มีตราสัญลักษณ์หรู มูลค่าหกร้อยตำลึงเงินใบหนึ่งให้ทันที ซึ่งแขกมั่งคั่งเช่นนี้ นางไม่ได้พบเห็นมานานแล้ว จากคำพูดนี้ ข้าจึงรู้ว่า ผู้ที่ไถ่ตัวข้าไม่ใช่พี่เฉียว แต่ยกข้าให้กับพี่เฉียว”


 


 


ถงฮูหยินถามเย็นชา “เจ้าของตั๋วแลกเงินเป็นชายหรือหญิง รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร”


 


 


“มาม่าซังไม่เคยบอกข้า” หงเยียนตอบ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองท่านย่า พลางพูดเป็นนัย “ท่านย่าจำเป็นต้องรู้ด้วยหรือว่าคนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เฉพาะเลขที่และตราสัญลักษณ์บนตั๋วแลกเงิน ก็น่าจะชัดเจนพอ”


 


 


ถงฮูหยินไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเพิ่งมาเมืองหลวง จึงหันไปถามลูกชาย “เจ้ารอง ไหนเจ้าลองว่ามาซิ!”

 

 


ตอนที่ 71-5 ตกเลือด

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งฟังถึงตรงนี้ ก็พอจะชัดเจนบ้างแล้ว จึงชายตามองไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่นั่งอยู่ข้างกาย พอเห็นนางเหงื่อกาฬหลั่งไหล ก็รู้แล้วว่านางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ แต่ทำไมนางถึงต้องดีกับพี่เฉียวขนาดนี้ด้วยเล่า


 


 


และเมื่อได้ยินมารดาถาม อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงได้แต่ตอบ


 


 


“โดยทั่วไป เจ้าของตั๋วแลกเงินที่มีเลขที่และตราสัญลักษณ์ก็คือขุนนางในราชสำนัก และเงินทองในจวนข้าส่วนใหญ่ สะสมไว้ในรูปแบบของตั๋วแลกเงินมีเลขที่และตราสัญลักษณ์…”


 


 


“หมายความว่า เงินค่าไถ่ตัวแม่นางหงเยียน แปดเก้าส่วนมาจากภายในจวนของเรา” อวิ๋นหว่านชิ่นพูด พลางจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวของไป๋เสวี่ยฮุ่ย “ซึ่งนอกจากท่านแม่แล้ว ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่า ยังมีนายคนไหนในจวนที่ดีกับพี่เฉียวได้ถึงเพียงนี้อีก”


 


 


ถ้ามิใช่ภารกิจสำคัญ นายไหนเลยจะตกรางวัล จ่ายค่าเหนื่อยให้มากมายขนาดนี้ ถงฮูหยินประสบการณ์มากกว่า สมองพลันวาบ เมื่อเดาได้เช่นนี้ ก็กัดฟันแน่น


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เห็นคุณหนูใหญ่คุมสถานการณ์สำเร็จ จึงนำกล่องใบเล็กในมือของหงเยียนมาไว้ในมือตน เปิดออก แล้วหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ขึ้นมาปึกหนึ่ง เห็นรอยนิ้วมือสีแดงประทับไว้ที่ด้านหลังของกระดาษทุกแผ่น มองผ่านๆ เหมือนรอยนิ้วมือของคนเดียวกัน


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งกับถงฮูหยินรับกระดาษมาดูคนละแผ่น เป็นใบแจ้งหนี้ของบ่อนการพนันจี๋เล่อ ซึ่งทั้งหมดเป็นของพี่เฉียว น้อยหน่อยก็ไม่กี่ตำลึง มากหน่อยก็หลายสิบตำลึง ปึกๆ หนึ่งนับคร่าวๆ อย่างน้อยก็มีหนี้รวมหลายร้อยตำลึง


 


 


“บ่อนในเมืองหลวงที่ใดไม่มีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังบ้าง ผู้ที่ติดหนี้แล้วไม่ใช้หนี้ บ่อนจะหักแขนหักขาแทน ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่ผู้ที่มีหนี้บานเบอะอย่างพี่เฉียว กลับไม่ถูกบ่อนเล่นงาน นี่ก็แปลก ลูกจึงให้คนไปสืบดู ถึงได้รู้ว่า มีคนใช้หนี้แทนพี่เฉียวจนเกลี้ยง ชนิดไม่ต้องพูดจากันอีก”


 


 


ริมฝีปากอวิ๋นหว่านชิ่นขยับ “หนี้สินมากมายก่ายกองเช่นนี้ เขาไม่จ่ายเป็นตัวเงินกัน จึงยังต้องใช้ตั๋วแลกเงิน ซึ่งตั๋วแลกเงินนี้ มีตราสัญลักษณ์และเลขที่กำกับไว้หรือไม่นั้น ท่านพ่อสามารถตรวจดูได้”


 


 


เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ ยังจะต้องพูดจาอะไรกันอีก การใช้เงินเกือบพันตำลึงซื้อตัวบ่าวคนหนึ่ง ยังจะใช่เรื่องอะไรเล็กๆ อีก


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งขยำใบแจ้งหนี้ทั้งหมด แล้วบีบให้เป็นก้อนๆ เดียว ก่อนโยนลงบนพื้น


 


 


“หญิงชั่ว! มีอะไรปิดบังข้ากันแน่! หรือต้องให้ข้าสืบด้วยตัวเองก่อน เจ้าถึงจะยอมพูดความจริงออกมา!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหงื่อไหลไม่หยุด กล้ามเนื้อท้องคล้ายบิดตัวอย่างต่อเนื่อง ในท้องปวดเสียดขึ้นมา ฟ้าแลบแปลบปลาบ นางรู้สึกแต่เพียงเมฆดำปกคลุมเหนือศีรษะ แต่ให้ตายอย่างไรก็ยอมรับไม่ได้ จึงพูดตะกุกตะกัก


 


 


“เถามอมอมีบุญคุณกับข้า แม้นางทำผิด แต่สุดท้ายก็มีจุดจบที่อเนจอนาถ ข้าเห็นใจนางเป็นอย่างยิ่ง จึงอยากดีกับหลานของนางให้มากๆ…”


 


 


ผียังไม่เชื่อคำพูดเช่นนี้ กระทั่งนางเองก็ยังขาสั่น ยืนไม่ขึ้น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นดึงผ้าอุดปากพี่เฉียวออก


 


 


“โอกาสสุดท้าย ถ้าสารภาพ ก็ทรมานน้อยลง…ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว”


 


 


พี่เฉียวแค้นที่ไป๋ฮูหยินที่ไม่ช่วยตนอยู่ก่อนหน้า พอเห็นด้านหนึ่งเกิดเรื่อง คุณหนูใหญ่พาหงเยียนเข้ามา พร้อมใบแจ้งหนี้ของตน ตรงหน้ามีพยานหลักฐานครบถ้วน ตนยังจะแก้ต่างอะไรได้


 


 


ต้องรักษาตัวให้รอดก่อน จึงตัดสินใจเด็ดขาด


 


 


“ผู้อาวุโส นายท่าน คุณหนูใหญ่! บ่าวถูกฮูหยินบีบบังคับ! ฮูหยินสั่งให้บ่าวไปเป็นเพื่อนคุณชายที่บ้านสวน แล้วกำชับบ่าวว่า ถ้ามีโอกาส ก็…”


 


 


“ก็อะไร!” ถงฮูหยินชี้ถามอย่างดุดันพลางหน้าพี่เฉียว


 


 


หวงน้าสี่ถอยไปอยู่อีกด้านแต่แรกแล้ว คิดไม่ถึงว่าการก่อเรื่องของตนในครั้งนี้ กลับกลายเป็นการเปิดโปงเรื่องชั่วช้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ยไปได้ จึงลอบดีใจ พลางตั้งใจฟังจนหูผึ่ง


 


 


พี่เฉียวกลืนน้ำลาย “…ถ้ามีโอกาส ก็อย่าปล่อยให้คุณชายกลับมาอีก!”


 


 


กลุ่มคนถลึงตามองไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นจุดเดียว


 


 


“พูดจาเหลวไหล!” ตีให้ตายไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ไม่ยอมรับ


 


 


“ตอนนั้นบ่าวตกใจมาก ไม่กล้า…แต่” พี่เฉียวพูดต่อ


 


 


“แต่ฮูหยินรู้ว่าบ่าวเคยไปเที่ยวที่เรือสำราญว่านชุนมาก่อน และถูกใจในตัวหงเยียน จึงบอกว่าถ้าเรื่องนี้สำเร็จ จะไถ่ตัวหงเยียนให้ และจะใช้หนี้ที่บ่อนจี๋เล่อแทน อีกทั้งจะช่วยสร้างครอบครัว สร้างกระท่อมหลังเล็กๆ แยกออกมาต่างหากให้บ่าว! ตอนนั้นบ่าวโลภ จึงรับปากนาง บ่าวอยู่ข้างกายคุณชายมาหลายปี มีความผูกพันอยู่ แล้วจู่ๆ จะให้บ่าวฆ่าคุณชายกับมือ บ่าวทำไม่ลง พอคิดว่าบนเขาหลงติ่งมีหน้าผาสูงชัน มีสัตว์ร้าย และสัตว์มีพิษมากมาย บ่าวจึงพาคุณชายขึ้นเขาไปเที่ยวเล่น แล้วปล่อยปละละเลย ทิ้งคุณชายไว้ คิดว่าคุณชายไม่น่าจะรอดกลับมา…นี่…นี่เป็นก้าวที่ผิดมหันต์…นายท่าน ผู้อาวุโส ยกโทษให้บ่าวด้วย! ถ้าไม่ใช่เพราะฮูหยินหลอกล่อและบีบบังคับ รับรองว่าบ่าวไม่มีทางคิดทำอะไรชั่วร้ายเช่นนั้นเป็นอันขาด! ขอพวกท่านเห็นแก่บ่าวที่สารภาพ เมตตาลดโทษให้บ่าวด้วย!”


 


 


พอฟังถึงตรงนี้ ถงฮูหยินก็สั่นไปทั้งตัว นังงูพิษ ชั่วช้าสามานย์!


 


 


ทีแรกนางคิดว่าสะใภ้รองแค่ขาดความระมัดระวังในการเลี้ยงดูทายาทสืบสกุล คิดไม่ถึงว่าจะใจดำอำมหิตถึงเพียงนี้ และเนื่องจากนางโกรธจัด ร่างจึงโงนเงน จนเกือบหงายหลังล้ม ดีที่หวงน้าสี่ตาไวมือไว พยุงนางไว้ได้ก่อน


 


 


“ท่านแม่เย็นไว้ โกรธไปก็เสียสุขภาพเปล่าๆ!”


 


 


ถงฮูหยินยืนขึ้น ฟันสั่นกระทบกันขณะพูด “บ้านสกุลอวิ๋นข้าโชคร้ายมานานหลายปี ที่แท้ในบ้านก็เลี้ยงงูพิษต่ำทรามเอาไว้นี่เอง! เจ้ารอง เจ้าจัดการเอาเองก็แล้วกัน มีฐานะเป็นเมียน้อย แต่ไม่ทำดีกับเมียหลวงก็แล้วไป ยังมีจิตคิดร้ายอีก! ไข่ในหินคนเดียวของเจ้า เกือบจบชีวิตด้วยเงื้อมมือเมียน้อยของเจ้าแล้วไหมล่ะ!”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังโมโหจนหอบหายใจ ไม่แม้แต่มองคนข้างกาย ตวาดเสียงดัง


 


 


“เด็กๆ ลากตัวฮูหยินไปที่ห้องบูชาบรรพชน!”


 


 


ฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว สายฟ้าฟาดเปรี้ยง ราวกับจะแยกท้องฟ้าออกจากกันก็มิปาน และกำลังแยก


 


 


เขี้ยวกางกรงเล็บ ฉีกม่านราตรีที่คลี่คลุมอยู่ด้านล่างอย่างโหดร้าย


 


 


แสงสีเงินส่องต้องใบหน้าไป๋เสวี่ยฮุ่ย ทำให้ยิ่งขาวซีดผิดมนุษย์มนา นางพลันสติแตก ก้าวเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ด้านล่างพลางเงื้อมือขึ้น


 


 


“นังตัวดี! นังสารเลว! ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้า ล้วนเป็นเพราะเจ้า เจ้าทำร้ายข้า เป็นเจ้าที่ทำร้ายข้า เพราะเจ้าไม่อยากเห็นข้าได้ดีใช่ไหม ข้าจะบอกให้ แม่เจ้าน่ะไม่ได้เรื่อง ถูกข้าเหยียบจนตาย เจ้าก็เหมือนกัน ช้าเร็วก็ต้องตายกลายเป็นผี ด้วยน้ำมือข้า…”


 


 


ถึงขั้นนี้แล้ว นางยังปากแข็งเหมือนปากเป็ด อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้านางซีดขาวราวหิมะ ดวงตาแดงก่ำ น่าเกลียดสุดจะเปรียบ ก็คร้านที่จะหลบหลีก


 


 


“ยังไม่รีบขวางนังแพศยาที่เจตนาฆ่าคนทำร้ายคนไว้อีก!” ถงฮูหยินตะคอก


 


 


เสียงซู่ซ่า ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาพร้อมเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบ ในที่สุดก็ตกลงมาจนได้


 


 


บ่าวที่อยู่ข้างหน้าก้าวเข้ามาขวางทางไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่ด่าทอไม่หยุด ทว่านางยังไม่ทันเข้าใกล้อวิ๋นหว่านชิ่น อาการปวดท้องแบบบีบๆ บิดๆ ก็ถึงขีดสุด!


 


 


นางหยุดชั่วขณะ ด้วยมีอะไรบางอย่างไหลลง แล้วหลุดออกมา “อา…”


 


 


นางทรุดลงกับพื้น แต่พยายามประคองตัวให้ลุกขึ้นยืน พอจับหลังกระโปรง มือก็เต็มไปด้วยโลหิต และมีก้อนอะไรแข็งๆ ชิ้นเล็กๆ ปะปนมาด้วย


 


 


“อา…อา! ฮู ฮูหยินเลือดไหลเยอะมาก!” อาเถาร้องเสียงดังเป็นคนแรก!

 

 

 


ตอนที่ 72-1 แม่เลี้ยงแท้ง คุณหนูเปิดร้าน

 

ฝ่ามือไป๋เสวี่ยฮุ่ยแดงไปหมด ทั้งเหนียวทั้งเยิ้ม ทีแรกนางคิดว่าเป็นน้ำฝน ต่อมายังนึกว่าบาดถูกอะไร แต่พอได้ยินอาเถาร้อง ถึงตระหนักได้ในทันที!


 


 


หลังจากที่นางเข้าใจแล้วว่า โลหิตเหล่านี้คืออะไร สีหน้านาง นอกจากขาวไร้เลือดฝาด ภายใต้สายฝนอันหนาวเย็นของฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ยังปรากฏสีเขียวซีดให้เห็น ขณะกำลังดูให้แน่ใจว่าก้อนเลือดที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างนี้ค่อยๆ ไหลออกจากร่างกายนางจริง ใบหน้านางก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวด จนหลั่งน้ำตาไม่ออก นั่งอยู่บนพื้นชานเรือนท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ตีอกชกหัว ส่ายศีรษะไปมาอย่างโง่งม หัวใจเหมือนถูกกรีดด้วยคมมีด 


 


 


“ไม่ เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…สวรรค์กำลังเล่นตลกกับข้า…เป็นไปไม่ได้!”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งมีลูกมาหลายคน ย่อมมีประสบการณ์ มองดูก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่นาน


 


 


พอเห็นนายไม่พูดไม่จา บ่าวและสาวใช้ทั้งหลายก็ไม่รู้ว่าควรลากฮูหยินไปห้องบูชาบรรพชนต่อหรือไม่ หรือควรพยุงฮูหยินให้เข้าไปหลบฝนด้านในดี ทุกคนต่างไม่กล้าขยับชั่วขณะ ปล่อยให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยนั่งตากฝน และร้องไห้พลางพูดกับตัวเอง อยู่บนชานเรือนคนเดียว


 


 


พอฝนตก อวิ๋นหว่านชิ่นก็ถูกชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์พยุงเข้าไปยืนใต้ชายคา ตอนนี้พอเห็นสภาพไป๋เสวี่ยฮุ่ย อวิ๋นหว่านชิ่นก็สะทกสะท้อนใจ


 


 


ชาติก่อน แม้นางไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ แต่เมื่อได้แต่งเป็นภรรยาผู้อื่น ก็เคยหวังที่จะให้กำเนิดบุตรกับบ้านสามี ดังนั้นจึงเข้าใจในสามัญสำนึกและอาการอยากตั้งครรภ์ของหญิงสาวอยู่พอสมควร ต่อมายังเคยเห็นอนุของมู่หรงไท่ตั้งครรภ์ จนถูกฮว่าซั่นทำร้ายจนแท้ง ในระยะประชิดอีก


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตั้งครรภ์?


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ชาติก่อนตอนที่ตนแต่งเข้าจวนโหวได้ไม่นาน แม่เลี้ยงค่อยตั้งครรภ์ แล้วคลอดลูกชายในเวลาต่อมา แต่ตอนนี้สถานการณ์และลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ยุ่งเหยิงไปหมด อย่างการตั้งครรภ์ของไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็มาก่อนเวลา เพียงแต่ชาติที่แล้ว คุณชายรองสกุลอวิ๋นคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ผิวขาว อ้วนจ้ำม้ำ หนักราว 7.8 จิน (3.9 กิโลกรัม, 1 จิน = 500 กรัม) ทำให้ชายวัยกลางคนอย่างอวิ๋นเสวียนฉั่งดีใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตของน้องชายนางก็แย่ลงอย่างรวดเร็ว…คิดไม่ถึงว่าชาตินี้ ครรภ์นี้จะมาก่อน ทว่าต้องประสบกับความเสี่ยงเช่นนี้


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูสภาพของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ที่คล้ายไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ใบหน้ามีแต่ความเจ็บปวดชนิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เกือบบ้าก็ว่าได้!


 


 


ตั้งแต่ให้กำเนิดอวิ๋นหว่านเฟย ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีกเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ซึ่งนางรอคอยการมา


 


 


ของลูกชายจนแทบบ้า แอบกินอาหารเสริมช่วยเจริญพันธุ์ไม่รู้มากน้อยเท่าไหร่ เสียเงินไปไม่น้อย แต่ตอนนี้กลับ


 


 


ตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว ถ้าต้องแท้งอย่างมึนงงเช่นนี้ มิต้องเจ็บลึกจนถึงขั้วหัวใจหรอกหรือ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกำปลายแขนเสื้อแน่นขณะจ้องมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย หรือนี่คือกฎแห่งกรรม ชาติที่แล้ว เพราะเด็กคนนี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถึงกับทำร้ายน้องชายนางให้เป็นคนไร้บ้าน จนตายทั้งเป็น สุดท้ายยังยึดมรดกสกุลอวิ๋น รวมทั้งสมบัติทั้งหมดของมารดาตนไว้ได้ ทว่าชาตินี้ เด็กคนนี้ กระทั่งโอกาสเกิดก็ยังไม่มี!


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์กุมมือคุณหนูใหญ่ไว้ตลอด ด้วยรู้สึกว่านางเยือกเย็นมาก โดยเฉพาะตอนเปิดโปงไป๋เสวี่ยฮุ่ย นางทำได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ตอนนี้ กลับนั่งตัวสั่นน้อยๆ ตัวเย็นอยู่บ้าง จึงอดไม่ได้ที่จะกุมมือให้กำลังใจ


 


 


สาเหตุการตกเลือดของไป๋ฮูหยิน กว่าครึ่งเป็นเพราะวันนี้นางถูกแฉจนโกรธจัด แม้คุณหนูใหญ่ยังสงบนิ่งอยู่ได้ แต่นางอายุยังน้อย ย่อมรู้สึกผิดบาปในใจ เมี่ยวเอ๋อร์จึงขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงเบาที่ข้างหูนาง


 


 


“คุณหนูใหญ่ นี่เป็นกรรมทันตาเห็นของฮูหยิน นางคิดร้ายต่อคุณชาย สวรรค์จึงเอาลูกของนางคืน”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มน้อยๆ รู้สึกว่าตนอ่อนแออยู่บ้าง จึงกุมมือเมี่ยวเอ๋อร์ตอบ และรู้สึกว่าแม้มือของเมี่ยวเอ๋อร์หยาบกระด้างและหนา แต่ก็อบอุ่นและทำให้ตนสบายใจว่า มีที่พึ่งพาไปอีกครึ่งชีวิต จึงพูดเสียงเรียบ


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าเห็นใจนางหรือ ข้าไม่กลัวหรอก ที่ใครจะว่าข้า ว่าใจหิน เจ้ารู้ไหม ตอนนี้ข้าดีใจมาก ถอนหายใจอย่างโล่งอก เด็กคนนี้จะเกิดมาไม่ได้…ต่อให้เจ้าว่าข้า ว่าโหดร้าย ข้าก็ต้องพูดความจริงจากใจออกมา”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์น้ำตาคลอหน่วย คุณหนูใหญ่อายุไม่มาก ทว่าตั้งแต่ใกล้ชิดนางมาไม่กี่วัน ตนกลับดูออกว่า แม้ต่อหน้าคนส่วนใหญ่ นางดูนิ่ง เย็นชา ไม่แยแสสนใจ ไม่สุข ไม่ทุกข์ แทบเข้มงวดกับตัวเองให้มีวินัยแบบผู้ใหญ่ โดยไม่ปล่อยให้ตัวเองหย่อนยานหละหลวมแม้แต่น้อย บางครั้งตอนอยู่คนเดียว พอเห็นแววตาคุณหนูใหญ่ว่างเปล่าและเฉยชา นางก็ตกใจอยู่เหมือนกัน นี่ไม่ใช่แววตาของเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน แต่เป็นแววตาของคนที่เต็มไปด้วยเรื่องในใจ


 


 


ทว่า…เมี่ยวเอ๋อร์รู้ดีว่า แท้จริงแล้ว คุณหนูใหญ่มีจิตใจอ่อนโยน ใสสะอาด เช่นเดียวกับดอกไม้สวยๆ ที่มีกลิ่นหอม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด รอบๆ กลีบดอกไม้ที่นุ่มนิ่มอ่อนโยน มักคล้ายมีเกราะครอบอยู่หนึ่งชั้น ป้องกันไม่ให้ใครได้กลิ่นหอมของนาง อาจเป็นเพราะนางสูญเสียมารดาก่อนวัยอันควร…อีกอย่าง คืนนี้ ในที่สุดคุณหนูใหญ่ก็สามารถปิดประตูน้ำได้สำเร็จชั่วคราว เป็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าที่หายากจริงๆ…ซึ่งนี่ทำให้เมี่ยวเอ๋อร์ค่อนข้างปลื้มใจ แต่ก็ปวดใจมากๆ ด้วย ถ้าถามว่าตนอยากได้อะไร ก็ต้องบอกว่า ตนได้แต่หวังว่า ในวันข้างหน้า น้องสาวต่างมารดาคนนี้จะได้พบกับบุรุษที่สามารถทำให้นางปลดเกราะป้องกันหัวใจลง บุรุษที่เข้าใจและอ่านความคิดของนางออก


 


 


ท่ามกลางความคิดอันหลากหลายของกลุ่มคน กลับเป็นถงฮูหยินที่มีปฏิกิริยาตอบสนองไวสุด แม้กำลังโกรธและเกลียดไป๋เสวี่ยฮุ่ย จนอยากจะสับนางให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น แต่พอเห็นนางเลือดไหลไม่หยุด ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


สตรีนางนี้แม้น่ารังเกียจ แต่ชิ้นเนื้อในท้องนาง อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลอวิ๋น


 


 


ถงฮูหยินจึงขมวดคิ้ว พลางตวาดเสียงดังใต้ชายคา


 


 


“ยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบไปพยุงนางเข้ามาอีก อย่างอื่นค่อยว่ากัน!”


 


 


“ท่านแม่…ไม่ลากไปห้องบูชาบรรพชนแล้วหรือ” อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งได้สติ


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย ถ้านางได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของท่านพ่อ จะเจ็บปวดรวดร้าวขนาดไหน!


 


 


ซึ่งไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็คล้ายได้ยิน จึงกำหมัดยันพื้น ห่อตัว แล้วครางอย่างเจ็บปวดอยู่ในลำคอ


 


 


“สภาพแบบนี้ ยังจะเอาตัวไปไว้ที่ห้องบูชาบรรพชนอีกรึ จับเจ้าเฉียวมัดไว้ แล้วนำตัวไปที่ห้องบูชาบรรพชนก่อน” ค่อยชี้ไปที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ย “ให้คนพยุงนางกลับห้อง แล้วไปตามหมอมา!”


 


 


ถงฮูหยินสั่งเสียงเข้ม ด้วยหวังว่ายังจะรักษาชีวิตของหลานไว้ได้ ส่วนตัวแม่ ค่อยว่ากันทีหลัง


 


 


พอพ่อบ้านได้ยิน ก็รีบบอกให้คนพยุงฮูหยินเข้าไปยังห้องด้านใน แล้วส่งคนออกจากจวน ไปตามหมอทันที


 


 


อากาศไม่ดี ลมฝนแรงขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าหลั่งน้ำตาอย่างโศกาอาดูรพร้อมๆ กับเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบ ฝนตกจนฟ้าดินเปลี่ยนสี สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย


 


 


หวงน้าสี่ได้ในสิ่งที่ต้องการ การก่อเรื่องของนางในคืนนี้ นอกจากไม่ได้ตั้งใจเปิดแผลเรื่องน้องสะใภ้คิดร้ายทายาทสืบสกุลแล้ว ยังได้เห็นนางตกเลือดกับตาอีก จากลักษณะของนาง น่าจะไม่รู้ว่าตนเองตั้งท้องอยู่ ขณะเหลือบมองคราบโลหิตที่ถูกน้ำฝนชะล้างจนไหลเป็นทางบนพื้นหินของชานเรือน ก็คิดว่า เห็นที เด็กคนนี้ น่าจะยากรักษาเอาไว้แล้ว


 


 


ตอนนี้ ไม่ว่าความแค้นความชิงชังอะไร ตนก็ได้ล้างจนหมดสิ้น หวงน้าสี่จึงพยุงหญิงชรา และเดินนำเด็กทั้งสองกลับเรือนตะวันตกอย่างพึงพอใจ


 


 


ความจริงหญิงชราอยากอยู่ต่อ เพื่อดูว่าเด็กในท้องของไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังอยู่หรือไม่ แต่พอหวงน้าสี่เตือนว่า ฝนตกกะทันหันเช่นนี้ อากาศจะเย็นลงทันที เกรงว่าถ้าโดนลมเย็นนานไป ข้อเข่าจะเจ็บอีก ถงฮูหยินจึงยอมเดินกลับเรือนตะวันตกกับสะใภ้ใหญ่แต่โดยดี


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นให้ชูซย่าอยู่ก่อน เพื่อสืบดูสถานการณ์ต่อ ก่อนเดินกลับเรือนฝูหยิงกับเมี่ยวเอ๋อร์


 


 


พอถึงยามสอง ชูซย่าก็ถือร่ม ฝ่าฝนกลับมา


 


 


ท่านหมอมาถึงจวนกลางดึก เพื่อตรวจดูอาการไป๋เสวี่ยฮุ่ย ชูซย่าอยู่ตรงระเบียง เห็นอาเถากับมอมอและสาวใช้สองสามคนของเรือนหลัก ยกน้ำร้อนเข้าไปกะละมังแล้วกะละมังเล่า จากนั้นก็ยกน้ำที่เลอะโลหิตออกมาสาดทิ้งกะละมังแล้วกะละมังเล่า…สุดท้าย มอมอคนหนึ่งก็ยกเตาถ่านใบเล็กมาตั้งไว้ตรงระเบียงแล้วนำพัดใบตาลมาพัดเร่งไฟ ต้มน้ำร้อนกันตรงนั้นเสียเลย จะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา


 


 


ชูซย่าเป็นสาวโสด ไม่เคยออกเรือน ไหนเลยจะเคยเห็นเหตุสตรีตกเลือดมาก่อน อีกทั้งยังได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนดังมาจากด้านในเป็นระยะ จึงตกตะลึงพรึงเพริด


 


 


เสียงนี้ เป็นเสียงของฮูหยินชัดๆ แต่คล้ายไม่เหมือน อาจเพราะเจ็บปวดและเจ็บใจในตัวเองมากจนถึงขีดสุด เสียงจึงแตกและเพี้ยนไปบ้าง


 


 


ท้ายที่สุด ในห้องก็มีมอมอนำกรรไกรอะไรหลายอันออกมา แช่ไว้ในน้ำร้อน บอกว่าท่านหมอต้องการฆ่าเชื้อโรค


 


 


ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ท่านหมอจึงเดินเหงื่อแตกออกจากห้อง แล้วค่อยเดินออกจากบ้านสกุลอวิ๋น 

 

 


ตอนที่ 72-2 แม่เลี้ยงแท้ง คุณหนูเปิดร้าน

 

 


 


รอจนสาวใช้ที่รับใช้อยู่ด้านในนางหนึ่งก้าวออกมา ชูซย่าก็รีบลากนางไปสอบถามที่มุมระเบียง


 


 


สาวใช้ยังไม่ทันล้างมือ ฝ่ามือจึงมีโลหิตเลอะเป็นจุดๆ พลางพูดอย่างหวาดกลัว


 


 


“น่ากลัวมาก เกิดมาข้าก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงเลือดออกมากขนาดนี้มาก่อน ท่านหมอตรวจดูแล้ว ยืนยันว่าตั้งครรภ์แน่นอน ตัวอ่อนสามเดือนแล้ว อาจเป็นเพราะหมู่นี้ทำงานหนักเกินจากการเตรียมของออกเรือนให้คุณหนูสาม แล้ววันนี้ยังทะเลาะกับฮูหยินพี่สะใภ้ก่อน จากนั้นก็โมโหโทโสอีก จึงรักษาเด็กไว้ไม่อยู่ ไหลออกมา”


 


 


เลือดออกเป็นกะละมังขนาดนี้ รักษาไม่อยู่แน่นอน ชูซย่ามองผ่านบานหน้าต่างเข้าไป ก่อนพูดเสียงต่ำ


 


 


“แล้วฮูหยินล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“จะเป็นอย่างไรได้ ขนาดร้องไห้ก็ยังไม่มีแรงเลย หายใจพะงาบๆ อยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าสลบหรือนอน หลับตานิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน” สาวใช้ว่า


 


 


ขณะจะถามอีกสองคำ ก็เห็นร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก้าวออกจากห้อง เป็นอวิ๋นเสวียนฉั่ง


 


 


ชูซย่าพูดมากต่อไม่ได้ จึงถอยไปอยู่อีกด้าน เห็นเพียงม่อไคไหลที่ยืนเฝ้าหน้าประตูตั้งแต่แรกก้าวเข้าหา


 


 


“นายท่าน นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านเหนื่อยมาทั้งคืน ควรพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าไปขานชื่อ ท่านจะพักที่เรือนหลัก หรือเรือนของอนุฟาง…”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหันมองเขา พลางขมวดคิ้ว ตนยุ่งมาทั้งคืน อ่อนล้าทั้งกายและใจ รู้สึกว่าสองสามวันนี้ไม่อยากพบหน้าสตรีอีก จึงสะบัดแขนเสื้อ


 


 


“เรือนนี้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง โชยไปทั่ว ดมจนสะอิดสะเอียนไปหมด ไหนเลยจะพักได้ ไคไหล เจ้าให้คนไปปัดกวาดห้องหนังสือที่เรือนน้อยทางปีกตะวันออกเฉียงเหนือให้หน่อย คืนนี้ข้าจะนอนที่นั่น”


 


 


ม่อไคไหลขานรับติดต่อกัน ก่อนกางร่มให้นายท่าน เดินไปจากเรือนหลัก


 


 


ชูซย่าจึงไม่ร่ำไรอีก รีบกลับเรือนฝูหยิงไปรายงานคุณหนู


 


 


พอฟังชูซย่าสาธยายจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ประเมินสถานการณ์ ก่อนถาม


 


 


“ตอนนี้นางยังคงพักอยู่ในเรือนหลัก? แล้วนางมีปฏิกิริยาเช่นไร ท่านพ่อปลอบนางอย่างไร”


 


 


การแท้งลูกครั้งนี้ สำหรับไป๋เสวี่ยฮุ่ย ใช่ว่าจะแย่ไปเสียทั้งหมด เดิมทีนางควรถูกลงโทษด้วยการทิ้งให้อยู่ในห้องบูชาบรรพชน เมื่อทำเรื่องน่าอดสูขนาดนี้ หลังรับโทษ ก็ต้องถูกหย่าร้าง น้องสาวที่อยู่ในวังของนาง ก็คงไม่มีอะไรจะพูด


 


 


ทว่า เพราะแท้งลูก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงถูกหามกลับห้อง ซึ่งสำหรับนางแล้ว เป็นโอกาสหนึ่งที่จะได้รับการลดโทษเป็นสถานเบา


 


 


ชูซย่าตอบ “เจ้าค่ะ ฮูหยินเลือดออกไม่หยุด ตอนนี้ยังพักอยู่ในเรือนหลัก ก่อนไปบ่าวแอบแง้มหน้าต่าง ฟังเสียงดู ได้ยินนางร้องคร่ำครวญซ้ำไปซ้ำมา สลับกับด่าไม่หยุด คล้ายด่าคุณหนูเจ้าค่ะ นายท่านก็รังเกียจว่าห้องสกปรก จึงไปนอนที่ห้องหนังสือ บ่าวเห็นสภาพแล้ว ระยะนี้แม้ฮูหยินยังไม่ถูกลงโทษ แต่นายท่านก็ไม่มีทาง


 


 


สนใจนางอีก คุณหนูวางใจได้”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบอยู่เนิ่นนาน


 


 


เด็กในท้องคนนี้ อาจเป็นลูกชายคนที่สองของจวนรองเจ้ากรม ถ้าตอนนี้ไม่อยู่แล้ว จะมีผลอย่างไรในอนาคต ต่อไปไป๋เสวี่ยฮุ่ยจะมีลูกได้อีกหรือเปล่า


 


 


การแท้งในครั้งนี้ เป็นเพราะนางกลับชาติมาเกิดใหม่หรือเปล่า เรื่องมากมายเปลี่ยนแปลงและถูกแทรกด้วยหนึ่งเหตุสุดวิสัย คุณชายรองสกุลอวิ๋นจึงยังไม่ถือกำเนิด แล้วต่อไปจะถือกำเนิดหรือไม่


 


 


ถ้าเป็นเช่นนี้…


 


 


ก็ยังประมาทไม่ได้


 


 


เกิดใหม่ครั้งหนึ่ง เปลี่ยนแปลงเรื่องราวส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกันแล้ว อนาคตกลับยิ่งมีเรื่องที่คาดเดาไม่ได้อีกมากมาย แต่ไม่เป็นไร ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน ไม่ว่าจะมาวิธีไหน นางก็รับมือได้หมด ชาตินี้นางต้องปกป้องคนข้างกายไม่ให้ถูกทำร้ายให้จงได้


 


 


ยังมี…


 


 


ลูก นางลูบท้องน้อยที่แบนราบตามจิตใต้สำนึก พอเห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยเลือดออก จริงๆ แล้วใจนางก็เหมือนถูกขึงตึง เรื่องบางอย่าง นางอดไม่ได้ที่จะคิดมาก ตอนเห็นว่าที่เท้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ยมีเลือดไหลลงมากองมากมาย พร้อมกับชิ้นเนื้อเล็กๆ อารมณ์นางก็พลุ่งพล่าน


 


 


ชาติก่อน พอรู้ว่าตนเองถูกไป๋เสวี่ยฮุ่ยวางยาจนร่างกายไม่สามารถเจริญพันธุ์ได้อีก นางก็ทำการสืบดูว่ายาพิษชนิดนี้คือยาอะไร และพบว่ามันคือยารักษาโรคเรื้อรังที่ก่อให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ชื่อ “อวี้ฟู่จื่อ” ถ้าบวกเข้ากับสมุนไพรในปริมาณที่เหมาะสม จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แถมยังใช้รักษาโรค ช่วยชีวิตคนได้อีก แต่ถ้าใช้โดดๆ ในปริมาณที่มาก ก็จะออกฤทธิ์อัตโนมัติในมดลูกของผู้หญิง ทำให้เยื่อบุมดลูกเป็นพิษ หรือพูดได้ว่า ต่อให้ตั้งครรภ์ เด็กก็จะไม่สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษได้ พอเกิดการปฏิสนธิ ตัวอ่อนที่ฝังอยู่ในมดลูก ก็จะถูกพิษฆ่าตาย กลายเป็นก้อนเลือดสกปรก ที่ค่อยๆ ไหลออกมาโดยอัตโนมัติ


 


 


หลังแต่งงาน ตอนนางกับมู่หรงไท่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้น นางเคยเลือดออกครั้งหนึ่ง กะปริบกะปรอย ขาดๆ หายๆ ติดต่อกันสามสี่วัน แต่เพราะนางมีรอบเดือนไม่แน่ไม่นอนมาโดยตลอด เร็วบ้างช้าบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าเป็นรอบเดือน


 


 


ตอนที่รู้ว่าอวี้ฟู่จื่อทำให้คนตั้งครรภ์ไม่ได้อย่างไรนั้น นางก็รู้สึกตกใจ นึกขึ้นได้ว่า ครั้งนั้นที่เลือดออกแปลกๆ อาจเป็นเพราะแท้ง เพียงแต่ตัวอ่อนยังเล็กมาก ไม่ถึงเดือนดี จึงเลือดออกไม่มาก ปวดท้องก็ไม่มาก จึงรับรู้ไม่ได้ถึงความรู้สึกของร่างกายแม่ ขณะก้อนพิษไหลออก…


 


 


แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของอวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนั้น โดยที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม


 


 


ทว่ามีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วน


 


 


ถ้าเป็นจริง ก็พูดได้ว่า เมื่อชาติที่แล้ว ในร่างกายนาง จริงๆ แล้ว เคยมีชีวิตเล็กๆ ชีวิตหนึ่งถือกำเนิดขึ้น


 


 


เหตุการณ์ในคืนนี้ จึงกระตุ้นอารมณ์นาง ให้คิดถึงเรื่องนี้


 


 


น้ำอุ่นๆ คลออยู่ในดวงตาอวิ๋นหว่านชิ่น ขนตางอนยาวเหมือนถูกเมฆหมอกปกคลุม บดบังทัศนวิสัยในการมอง มือเรียวบางลูบไล้เบาๆ ที่ท้องน้อย ลูกแม่ ชาตินี้ถ้าไม่ได้พบกับคนที่รักแม่ด้วยใจจริง แม่ก็ยังคงให้เจ้าเกิดใหม่ในโลกนี้ไม่ได้ แต่ถ้าโชคดี แม่ได้พบกับพ่อที่ดี เพื่อเจ้าแล้ว แม่ต้องไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้แม้แต่ปลายเล็บอย่างแน่นอน


 


 


เมื่อหวนระลึกถึง ก็เหมือนเปิดประตูน้ำออก ยากที่จะปิดลง


 


 


ย้อนกลับไปตอนอายุสิบสี่ ชาติที่แล้วดุจดังหน้าปกหนังสือ…พอนึกถึง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังคงรู้สึกหนาวเหน็บอย่างอดไม่ได้ ตอนนั้น ก่อนวันแต่งงาน นางกินของหวานบำรุงร่างกายที่แม่เลี้ยงยกเข้ามาให้จนหมดเกลี้ยง ที่แท้ก็เป็นการป้อนพิษให้ตัวเอง ทุกคำที่กินเข้าไป ตอนน้ำหวานที่หอมหวานและลื่นคอไหลไปตามลำคอนั้น มดลูก ส่วนที่ผู้หญิงถนอมที่สุดได้ถูกยาพิษรุกรานและทำลายไปทีละน้อยๆ…


 


 


ชีวิตสั้นๆ ที่เกิดมาไม่ถึงยี่สิบปี นางไม่มีสิทธิ์ได้ยินเสียงใสๆ ที่เรียกตนว่า “แม่” และไม่มีทางที่จะมีเลือดเนื้อเชื้อไขที่เชื่อมโยงกับชีพจรของตนได้ตลอดกาล ได้แต่จ้องมองอนุและนางบำเรอแต่ละคนของสามีท้องโต จากนั้นก็ให้กำเนิดทายาทของสามีแทนตนอย่างมีความสุข


 


 


ความเจ็บปวดเช่นนี้ สำหรับผู้หญิงแล้ว ยังเจ็บปวดกว่าโดนแส้โบยตีทุกวันร้อยเท่า


 


 


บาดแผลทางกาย ยังมีวันรักษาหาย หรือต่อให้ไม่หาย ก็แค่มีแผลเป็น แต่ไม่เจ็บแล้ว


 


 


ทว่าบาดแผลทางใจกับจิตวิญญาณที่ถูกทำลายล่ะ?


 


 


…ตอนนี้ ไม่รู้ว่าแม่เลี้ยงจะมีความเจ็บปวดเช่นนี้หรือไม่?!


 


 


ชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์สบตากัน ท่าทางของคุณหนูใหญ่ในคืนนี้แปลกไปมาก พอเห็นฮูหยินตกเลือด ก็นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ดูเศร้าๆ อยู่บ้าง ตอนนี้พอรู้ข่าวคราวของฮูหยิน ก็นิ่งเงียบอยู่ครึ่งค่อนวัน


 


 


หรือพอเห็นฮูหยินได้พักต่อที่เรือนหลัก ก็กลัวว่านางจะไม่ถูกลงโทษ?


 


 


ชูซย่าจึงปลอบโยน


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ วางใจได้ แม้ฮูหยินไม่ได้ถูกนำตัวไปที่ห้องบูชาบรรพชนเพราะแท้งลูก แต่ก็เป็นแค่ชั่วคราว ถ้านางรักษาเด็กไว้ได้นี่สิ อาจได้รับการยกโทษให้ แต่ตอนนี้เด็กไม่อยู่แล้ว เบี้ยต่อรองที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวไม่มีแล้ว ผู้อาวุโสต้องไม่ญาติดีกับนางแน่ และท่าทางของนายท่านที่บ่าวเห็น ก็ฟังผู้อาวุโสในทุกๆ เรื่อง ยิ่งพอรู้ว่าคุณชายเกือบถูกฮูหยินทำร้าย ก็ต้องรู้สึกเกลียดนางสุดๆ ตอนนี้แม้แต่เรือนหลัก ก็ยังไม่อยากอยู่ ยอมไปนอนที่ห้องหนังสือแทน และที่ไม่ลากฮูหยินออกมา ก็เพราะนางเพิ่งตกเลือด ถ้าตายไป เกรงว่าผู้คนอาจนำไปนินทาได้ รอให้ฮูหยินหายจากอาการตกเลือด ย่อมไม่มีทางได้รับจุดจบที่ดี!”


 


 


แววตาของอวิ๋นหว่านชิ่นบ่งบอกว่าสติกลับคืนมาแล้ว พลางยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง ใครจะให้จุดจบแก่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอย่างไร ตนไม่สนใจ อย่างไรตนก็ไม่มีทางให้จุดจบที่ดีกับนางแน่ จึงว่า


 


 


“ชูซย่า สองสามวันนี้ เจ้ายังต้องจับตามองความเคลื่อนไหวที่เรือนหลักต่อ”

 

 

 


ตอนที่ 72-3 แม่เลี้ยงแท้ง คุณหนูเปิดร้าน

 

เรือนตะวันตก


 


 


ถงฮูหยินรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ครึ่งค่อนคืน ในที่สุดผลก็ออกมาว่า…สะใภ้ไป๋แท้งลูก ไม่สามารถรักษาเด็กเอาไว้ได้


 


 


หญิงชราถอนหายใจยาวๆ ออกมา ตาค้างอยู่พักหนึ่ง รู้สึกเศร้า ไม่ใช่เพราะสงสารสะใภ้ไป๋ แต่สงสารทายาทอันบอบบางคนที่สองของเจ้ารอง


 


 


“เฮ้อ…เมียของเจ้ารองแต่ละคนไม่เก่งเหมือนเจ้า ต่างคนต่างเอาแต่อยู่ในบ้าน ทำให้ที่ผ่านมามีลูกชายแค่คนเดียว โอกาสติดลูกว่ายากแล้ว แต่ก็ยัง…”


 


 


หวงน้าสี่ได้ยินก็เสียวสันหลังวาบ ขนลุกซู่ เรื่องนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตนก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดความลำบากใจในภายหลัง มิสู้ยอมรับก่อนจะดีกว่า


 


 


นางก็ฉลาดเหมือนกัน จึงกลอกตาไปมา แล้วคุกเข่าลง จับเข่าหญิงชรา


 


 


“ท่านแม่ ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ถ้าข้าไม่ไปที่นั่น ครรภ์ของน้องสะใภ้ก็อาจไม่กระทบกระเทือน และอาจไม่แท้ง น้องรองต้องเกลียดข้าไปจนตายแน่!”


 


 


ก่อนหน้านี้ถงฮูหยินเห็นใจสะใภ้ใหญ่ โกรธสะใภ้รอง ตอนนี้ไหนเลยจะโทษสะใภ้ใหญ่ได้ พอได้ยินนางบอกว่า ‘ถ้าข้าไม่ไปที่นั่น’ ก็รู้สึกว่า หรือตนก็ผิดเหมือนกัน เพราะตนเดินตามนางไป จึงรีบดึงนางลุกขึ้น แล้วว่า


 


 


“ทำไมถึงโทษตัวเองอีกล่ะ เจ้านะเจ้า ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปจนคล้ายเมียน้อยเข้าไปทุกทีๆ ที่ชอบบอกว่าอะไรๆ ก็ตนผิดเอง คำนี้อย่าเที่ยวพูดเป็นอันขาด เจ้ารองไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้าได้ยินคำนี้เข้าก็อาจคิดมากได้ นางแท้งแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า เป็นนางเองชัดๆ ที่ไม่ได้เรื่องสักนิด ไม่เพียงลงมืออำมหิตกับจิ่นจ้งข้า กระทั่งครรภ์ตัวเองก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ นางใกล้จะสามสิบแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ท้องแรก ยิ่งไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่เคยคลอดลูกมาก่อน แต่กลับไม่ระมัดระวังตัวเอง! แสดงให้เห็นว่านางไม่ใส่ใจเรื่องสืบทอดสกุลอวิ๋นเรา! เฮ้อ…นึกแล้วข้าก็เกลียดนัก เด็กอยู่ดีๆ ก็ถูกนางทำให้ตายเสียนี่”


 


 


หวงน้าสี่ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แล้วรีบเข้าไปบีบนวดที่ไหล่ของหญิงชรา พูดปลอบโยนพลางไม่ลืมที่จะเหยียบไป๋เสวี่ยฮุ่ยซ้ำ


 


 


“ท่านแม่ น้องรองยังหนุ่มอยู่ สามสิบกว่าเอง ยังไม่ถึงสี่สิบ ยังไม่แก่สักหน่อย ตาแก่ข้าเมื่อปีกลายยังมีอาชิงเพิ่มให้ท่านได้ ท่านไยต้องร้อนใจไป มิใช่ยังมีอนุฟางหรอกหรือ แม้นางไม่น่าดึงดูดใจและมีเสน่ห์อย่างน้องสะใภ้ แต่หน้าอกใหญ่ บั้นท้ายสะบึม น่าจะติดลูกง่ายคลอดง่าย หรือถ้ายังไม่สำเร็จ ท่านก็ยังอยู่ในเมืองหลวงนี่ ไม่มีทางกลับในเร็วๆ นี้แน่ เมืองหลวงมิใช่มี…สมาคมม้าผอม[1]อะไรหรอกหรือ ในนั้นมีสาวๆ ที่สะอาดบริสุทธิ์ สามารถมีลูกได้ ไว้ขายให้คนนำไปเป็นอนุมากมาย ถึงตอนนั้นท่านแม่ก็เลือกอนุอีกคนให้น้องรอง น้องรองจะได้มีทายาทสืบสกุลเพิ่ม รับรองว่าปีหน้าต้องมีเด็กกองหนึ่ง มาเรียกท่านว่าท่านย่าแน่”


 


 


“เจ้านะเจ้า ปากหวานจริงๆ” ถงฮูหยินถูกแซวจนอารมณ์ดีขึ้นมาก สะใภ้ใหญ่พูดไม่ผิด เมื่อตนมาที่นี่ทั้ง


 


 


ที ก็ควรทำอะไรดีๆ ให้เจ้ารองบ้าง สมาคมม้าผอม? วันหลังต้องไปดูสักหน่อย


 


 


ทว่านางอารมณ์ดีได้ไม่ทันไร พอนึกถึงเรื่องสะใภ้ไป๋คิดฆ่าอวิ๋นจิ่นจ้ง ก็ไม่สบายใจอีก วางถ้วยชาร้อนที่สะใภ้ใหญ่รินให้ลงบนโต๊ะอย่างโมโห


 


 


“สะใภ้ไป๋นี่ ทำข้าอารมณ์เสียจริงๆ! คนที่สวยแต่รูปแบบนี้ มีคุณสมบัติเป็นฮูหยินรองเจ้ากรมรึ! เฮอะ ข้าว่าเจ้ารองเรียนเก่ง สอบเป็นขุนนางได้ก็จริง แต่เรื่องเลือกเมียใหม่กลับมึน เลือกนางมาได้อย่างไร”


 


 


หวงน้าสี่เห็นหญิงชราบ่นถึงไป๋เสวี่ยฮุ่ยมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ลอบดีใจ แต่ไหนแต่ไรมา มีสามีภรรยากี่คู่บ้างที่สามารถเอาชนะการแทรกแซงของแม่สามี นับประสาอะไรกับไป๋เสวี่ยฮุ่ยในตอนนี้ ที่ไม่ได้เป็นคนโปรดอันดับหนึ่งของน้องรองแล้ว จึงเปลี่ยนความคิด ฉวยโอกาสใช้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดึงหญิงชราให้มาเป็นพวกตนดีกว่า จึงหัวเราะราวกับกำลังคุยเล่นกัน


 


 


“ก็อาจใช่ ข้าเคยได้ยินมาว่า การเลื่อนอนุเป็นฮูหยินนั้น โดยทั่วไปไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามประเพณี คนจึงมักเอาไปพูดลับหลัง ซึ่งที่น้องรองปฏิบัติกับน้องสะใภ้เช่นนี้ ถือว่าดีมากแล้ว เลื่อนนางให้ขึ้นมาเป็นฮูหยินโดยไม่สนใจคำครหานินทา เพียงแต่น้องสะใภ้ไม่ฉลาดเอง เฮ้อ…ตอบแทนบ้านสกุลอวิ๋นสักนิดก็ไม่มี”


 


 


คำพูดนี้โดนใจถงฮูหยินยิ่ง นางกำมือ ทุบโต๊ะ ก่อนด่าว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยออกมาอีกชุดหนึ่ง ค่อยนับว่าระบายอารมณ์ออกมาจนหมด


 


 


ด้านพี่เฉียว ถูกบ่าวในบ้านลากตัวมาที่ห้องบูชาบรรพชนขณะฝนตก


 


 


ลานหน้าห้องด้านหน้าติดตั้งกระโจมชั่วคราว เอาไว้ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ตะเกียงน้ำมันซึ่งแขวนไว้ที่หัวเสาส่ายไปมาทำท่าว่าจะหล่น เปลวไฟในตะเกียงท่ามกลางความมืดและลมฝนจึงวูบไหวตาม


 


 


พี่เฉียวถูกมัดคว่ำหน้าบนเก้าอี้ยาว พอเห็นผู้คุมกฎกล้ามเป็นมัดๆ ถือไม้ตียาวราวหนึ่งศอกเหนือด้ามจับเดินเข้ามา ก็ตื่นตกใจ


 


 


“พี่ชาย คุณหนูใหญ่ว่า ขอเพียงข้าสารภาพ ก็จะลงโทษสถานเบา ท่านอย่าลืมเป็นอันขาดเชียว! ตีข้าไม่กี่ไม้ก็พอ!”


 


 


ผู้คุมกฎสบตากับบ่าวที่ยืนอยู่อีกด้านในกระโจม แล้วชายกำยำทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน รอยยิ้มของทั้งสองขณะอยู่ใต้แสงสีส้มของตะเกียง ร้ายกาจและมืดมนสุดจะเปรียบ ทำให้พี่เฉียวรู้สึกหนาวเหน็บ


 


 


“ยังคิดจะรับโทษสถานเบา? เจ้าลองไปถามแต่ละบ้านดูซิว่า มีบ้านไหนที่บ่าวคิดฆ่านายแล้วถูกลงโทษสถานเบาบ้าง คุณหนูใหญ่พูดว่า ถ้าเจ้าพูดความจริง ก็จะทรมานน้อยลง ไม่ได้พูดว่าต้องตีให้น้อยลงนี่!” บ่าวคนหนึ่งหัวเราะ


 


 


“ก็ไม่ต่างอะไรกัน…ทรมานน้อยลง ก็คือลงโทษสถานเบา ตีให้น้อยลงไง!” พอพี่เฉียวเห็นไม้ตียื่นเข้ามาใกล้ ก็ร้องเสียงดัง แหวกเสียงฝน


 


 


ผู้คุมกฎจึงพูดดูถูก “ที่คุณหนูใหญ่ว่า ทรมานน้อยลงก็คือ ตีให้หนักหน่อย ส่งเจ้าให้ขึ้นสวรรค์ก่อนห้าสิบไม้ของผู้อาวุโส! คุณหนูใหญ่ดีกับเจ้าจริงๆ นา เห็นอกเห็นใจเจ้าแบบนี้ ยังไม่สำนึกบุญคุณอีก!”


 


 


พี่เฉียวเบิกตากว้าง “คุณหนูใหญ่…” เล่นลิ้นกับตน!


 


 


บ่าวอีกคนมองมาอย่างดุดัน บอกใบ้ว่าไม่ต้องพูดจาไร้สาระกับคนตายแล้ว


 


 


“เจ้าเฉียว ข้าว่านะ เจ้าน่ะโง่มาทั้งชีวิต หงเยียนบนเรือสำราญว่านชุนถูกเจ้าซื้อตัวมา นับว่านางได้ดื่มด่ำความสุขอย่างเต็มที่แล้ว!”


 


 


ผู้คุมกฎหัวเราะเยาะอย่างมีเลศนัย ก่อนเปลี่ยนสีหน้า ยกไม้ฟาดลงไปแรงๆ!


 


 


นอกห้องบูชาบรรพชนของบ้านสกุลอวิ๋นอันเงียบสงัด เสียงร้องโหยหวนแทรกเสียงไม้กระทบเนื้อ ท่ามกลางพายุฝนในค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วง จึงดังเป็นพิเศษ


 


 


ยังไม่ถึงสิบไม้ เสียงร้องอันน่าสังเวชใจก็เบาลง จากนั้นก็ค่อยๆ หายไปในความมืดแห่งรัตติกาล


 


 


ไม่ไกลจากห้องบูชาบรรพชน หงเยียนยืนถือร่มข้างพุ่มไม้ใหญ่ คิ้วโค้งปลายดั่งต้นหลิวของนางขมวดเข้าหากัน เสียงฝนดังเปาะแปะอยู่ข้างเท้า กระเด็นใส่กระโปรงจนเปียกแฉะ นางถอนหายใจยาวๆ


 


 


ตอนเห็นพี่เฉียวถูกลากตัวมา หงเยียนก็รู้แล้วว่า เขาจบสิ้นลงแล้ว เสียอย่างก็ตรงที่เขายังหวังอยู่ว่าครั้งนี้อาจรอดชีวิตไปได้ เขาไม่เห็นหรือไงว่า รอยยิ้มของคุณหนูใหญ่บ้านอวิ๋นแฝงเจตนาสังหารอยู่


 


 


หงเยียนฉวยจังหวะที่บ้านสกุลอวิ๋นยุ่งวุ่นวาย ไม่มีใครสังเกตเห็น เดินเงียบๆ มาที่นี่


 


 


นางมิได้มีความรักอะไรในตัวพี่เฉียว และไม่เพียงไม่รัก ยังแค้นมากด้วย


 


 


เดิมที หงเยียนเป็นลูกสาวขุนนางฝ่ายบู๊ชั้นล่างในแนวหน้า ซึ่งรบแพ้แคว้นเหมิงหนูเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ต้าเซวียนสูญเสียดินแดนส่วนหนึ่งไป ผู้บัญชาการในสนามรบทุกคนในตอนนั้น จึงถูกกังขังหรือไม่ก็ถูกสังหาร


 


 


โชคไม่ดี บิดานางเป็นหนึ่งในนี้


 


 


ส่วนนางกับครอบครัวถูกเนรเทศไปที่ทะเลทรายทางตอนเหนือ ระหว่างเดินทาง คนในครอบครัวพากันล้มตายไปทีละคนสองคน นางอาศัยปณิธานอันแน่วแน่และจิตวิญญาณอันเข้มแข็งเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงและความทุกข์ทรมาน จนรอดชีวิตมาได้


 


 


ตอนใกล้ถึงสถานที่ร้างราผู้คน หรือก่อนเข้าสู่ทะเลทรายนรก ไม่รู้ว่านางโชคดี หรือโชคร้ายกันแน่ ผู้มีหน้าที่ควบคุมและนำส่งครอบครัวขุนนางนักโทษคนหนึ่งเกิดโลภ แวะเข้าบ่อนและเสียพนันไปมาก พอเห็นหงเยียนหน้าตาดี จะส่งไปทำงานหนักในทะเลทรายก็เท่ากับเสียของไปเปล่าๆ จึงลอบนำตัวนางออกมา เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ ให้หลุดจากชื่อนักโทษ แล้วขายนางให้กับพ่อค้าคนกลางเป็นการส่วนตัว หลังจากชะตาชีวิตพลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบ นางก็ถูกขายให้กับเรือสำราญว่านชุนในเมืองหลวง


 


 


ตั้งแต่ขึ้นมาอยู่บนเรือสำราญว่านชุน หงเยียนก็ใช้ความฉลาดและความกล้าหาญต่อสู้กับแมงดามาตลอด สู้จนไม่ต้องเข้าห้องกับแขก โดยยอมใช้แรงงานเป็นเวลาสิบชั่วยามในทุกๆ วัน นั่งดื่มเป็นเพื่อนแขกและทนให้แขกแต๊ะอั๋งนิดๆ หน่อยๆ แต่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย หรือทำลายแนวป้องกันสุดท้ายของตัวเอง


 


 


นางถือกำเนิดในครอบครัวทหาร จึงฝึกวรยุทธ์กับบิดามาแต่เด็ก มีพลังและแรงมากอยู่ ทุกครั้งที่พวกแมงดาทั่วไปในหอนางโลมสู้นางไม่ได้ ก็จะจับนางมัดและเฆี่ยนตี นางจึงต้องกัดฟันทน ถึงเจ็บก็ไม่ร้องสักแอะ


 


 


พอแมงดาตัวพ่อบนเรือสำราญว่านชุนเห็นนางดื้อด้าน ก็เกรงว่าวันหนึ่งวันใด ถ้านางคิดไม่ตก กัดลิ้นตัวเองหรือผูกคอตายขึ้นมา เงินที่ลงทุนไปก็เท่ากับเสียเปล่า จึงไม่บีบบังคับนางชั่วคราว


 


 


จนถึงวันนั้น วันที่พี่เฉียวขึ้นเรือมาแล้วถูกใจนาง จึงนำเงินที่มีอยู่ในบ้านทั้งหมดมาวาง บอกว่าอย่างไรก็จะเปิดห้องกับนาง เหล่าแมงดาเห็นเงินก็ตาลุกวาว ไม่ยอมตามใจหงเยียนอีก แต่พอรู้ว่านางไม่เชื่อฟัง คืนนั้นก็แอบผสมยาให้นางดื่ม แขนขานางจึงอ่อนแรง ต่อสู้ไม่ได้ พี่เฉียวจึงสมปรารถนาในที่สุด


 


 


แม้รู้ว่า เมื่อเป็นคนของหอนางโลม ก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีวันนี้ แต่พอตื่นขึ้น หงเยียนก็ยังคงเกลียดชังพี่เฉียว


 


 


เนื่องจากนางพยายามรักษาความบริสุทธิ์มาโดยตลอด แต่กลับถูกพี่เฉียวทำลายจนหมดสิ้น และต่อให้แทงพี่เฉียวตาย ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก ซ้ำนางยังต้องถูกตัดสินประหารชีวิต จึงต้องอดทนไปก่อน


 


 


ซึ่งต่อมา หงเยียนก็ถูกไถ่ตัว แล้วถูกพาไปไว้กับป้าสี่ของพี่เฉียวชั่วคราว นางจึงตัดสินใจว่า ถ้าวันใดสบโอกาส ต้องหนีออกไปแน่ ไม่คิดว่า วันนั้น ในที่สุดก็มาถึง


 


 


 


 


——


 


 


[1] สมาคมม้าผอม (瘦马馆) สมาคมฝึกฝนหญิงสาวบริสุทธิ์ให้เป็นอนุภรรยา สำหรับผู้ที่อยากมีอนุได้คัดเลือกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

 

 

 


ตอนที่ 72-4 แม่เลี้ยงแท้ง คุณหนูเปิดร้าน

 

ตอนนี้หงเยียนจึงมาแอบดูพี่เฉียว คิดว่ามาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น อยากดูว่า บ่าวรับใช้ที่สมคบคิดกับแมงดาวางยาแล้วข่มขืนตน ทำลายพรหมจรรย์ตนนั้น จะมีจุดจบอย่างไร


 


 


ทว่า ถ้าไม่ใช่พี่เฉียว ตนก็อาจยังเป็นนางบำเรออยู่บนเรือสำราญว่านชุน และอาจถูกแขกคนอื่นๆ ทำลายความบริสุทธิ์สักวัน…พอคิดได้เช่นนี้ ความแค้นภายในใจก็ค่อยๆ สลายหายไป


 


 


เรื่องที่ผ่านมา ก็ผ่านพ้นไป ถือว่าฝันร้ายก็แล้วกัน!


 


 


นางเป็นลูกสาวนายทหารผู้แข็งแกร่ง มิใช่คุณหนูอ้อนแอ้นอ่อนแอที่จะเป็นจะตายให้ได้ แม้โชคไม่ดีเสียสาว ผิดต่อวงศ์ตระกูล แต่นั่น ก็ไม่ใช่ความผิดของนาง!


 


 


ไม่ว่าอย่างไร นางก็ต้องสู้อีกสักตั้ง เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป


 


 


จวบจนไม่ได้ยินเสียง หงเยียนจึง ‘ถุย’ น้ำลายใส่ทิศที่ตั้งกระโจมไปคำหนึ่ง จากนั้นก็ยืนถือร่ม หันกายและหันมองไปรอบๆ ก่อนเดินตรงไปที่เรือนฝูหยิง


 


 


ในเรือนฝูหยิง


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินบ่าวรายงานว่า หงเยียนยังไม่ได้ไปไหน รออยู่นอกเรือน ขอพบตน


 


 


ชูซย่าก็ขมวดคิ้ว ทำไมนางโลมคนนี้ถึงยังไม่ไปไหน คิดจะทำอะไรกันแน่


 


 


ตอนคุณชายญาติผู้พี่ช่วยตามหาพยานอย่างหงเยียน ก็น่าจะให้ค่าตอบแทนนางไปไม่น้อยแล้วนี่! ตอนนี้ยังจะมารบกวนคุณหนูใหญ่อีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโลภมาก หรือยังมีแผนอะไร แต่อย่างไร คืนนี้ถ้าไม่ได้หงเยียน เรื่องฉาวโฉ่ของฮูหยิน ก็ต้องจนด้วยหลักฐานอย่างแท้จริง


 


 


อีกอย่าง มีหญิงสาวกร้านโลกมาหาคุณหนูยามค่ำคืน อาจมีผลต่อเกียรติยศชื่อเสียง


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ ชูซย่าก็รีบก้าวเข้าไปในม่าน โบกมือให้บ่าวที่อยู่ด้านนอก


 


 


“ดึกป่านนี้แล้ว บอกให้นางกลับไปเถิด”


 


 


“ชูซย่า” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ็ดเบาๆ “บอกให้แม่นางหงเยียนเข้ามา”


 


 


ผู้คนต่างมองว่า หญิงสาวในสถานบันเทิงสกปรก แต่ใครจะรู้เล่าว่า ฮูหยินขุนนางที่ภายนอกดูสูงส่ง สง่างาม สะอาดสะอ้าน จะมีหัวใจที่สกปรกยิ่งกว่า ฟอนเฟะยิ่งกว่า


 


 


คืนนี้ ยังชัดเจนไม่พอหรือ


 


 


พอถูกเรียก หงเยียนก็เดินก้มหน้าก้าวเข้ามา ซึ่งนางก็รู้สถานะตนเองดี ไม่เข้ามาในม่าน ยืนอยู่นอกม่าน มือประสานไว้ที่เอวข้างหนึ่ง ย่อตัวลง แสดงความเคารพ


 


 


“คารวะคุณหนูใหญ่”


 


 


เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าขนาดตนไม่ถือสา หงเยียนก็ยังไม่เดินเข้ามาในม่าน กลับรักษาระยะห่างกับตน


 


 


รู้จักธรรมเนียมปฏิบัติว่าควรเข้ามาหรือถอยออก ก็แปลกใจอยู่บ้าง และเมื่อเห็นว่า ท่าทางสงบนิ่งของนางใน


 


 


ตอนนี้ ต่างจากตอนอยู่ในเรือนหลักอยู่บ้าง ก็พอจะเดาอะไรออก อีกทั้งการถอนสายบัวเมื่อครู่ ก็มิได้มีกิริยาไม่จริงจังแบบหญิงขายบริการในสถานบันเทิง…กิริยาของหงเยียนเป็นการทำความเคารพแบบลูกสาวผู้ดีมีสกุล


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบ ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ขอบคุณแม่นางหงเยียนที่คืนนี้มาเป็นพยานให้ข้ากับน้องชาย พูดความจริงให้ทุกคนฟัง ตอนที่ฝนลงเม็ด บ้านข้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีก ข้าจึงไม่ทันได้พูดขอบคุณแม่นางหงเยียน ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางยังมีอะไรที่อยากจะกำชับอีก ถึงต้องมาด้วยตนเองเช่นนี้”


 


 


พอได้ยินน้ำเสียงที่นอบน้อม หงเยียนก็ตัดสินใจ ย่อตัวลงผ่านม่านอีกครั้ง


 


 


“หงเยียนไม่มีที่พึ่งพิง ลอยไปลอยมาในทะเลเหมือนจอกแหน หลังจากถูกไถ่ตัวออกมา ก็ไม่มีที่ไป จึงอยากจะมาขอเป็นวัวเป็นม้าใช้ให้คุณหนูอวิ๋น”


 


 


ชูซย่าเกือบหลุดขำออกมา ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ตกน้ำแล้วฟื้นตื่น ร่างกายก็ราวกับมีแม่เหล็ก ดูดคนที่เข้าใกล้ คนแล้วคนเล่าให้เข้ามาหมอบราบคาบแก้วให้ ที่แท้…หงเยียนก็มีเจตนามาศิโรราบนี่เอง มิใช่โลภมาก อยากได้เงินเพิ่ม คิดๆ ดูก็ใช่ แม้หงเยียนหลุดจากวงโคจรนางโลมมาได้ กลายเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่กลับต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ซึ่งไม่สบายหรอก ถ้ามีคนรู้อดีตของนาง ก็ไม่แน่ว่าจะถูกประณามหยามเหยียด


 


 


พอได้ยินหงเยียนพูดตรงๆ เช่นนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ยิ้มบางๆ


 


 


“ข้าเป็นเพียงลูกสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งของรองเจ้ากรมกลาโหม มิใช่ลูกสาวนายพลอะไร ไหนเลยจะใช้แม่นางหงเยียนเยี่ยงวัวเยี่ยงม้าได้ ตอนนี้นอกจากแม่นางหลุดพ้นจากเรือสำราญว่านชุน เป็นหญิงสาวที่ดีคนหนึ่งแล้ว ข้ายังเห็นว่าแม่นางเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว คล้ายเคยเรียนหนังสือมาก่อน มือไม้ก็ว่องไว ไปถึงไหน ก็ไม่มีทางอดตาย แม่นางควรจะหาที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ทำงานสักอย่าง แล้วใช้ชีวิตให้ดีๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”


 


 


จากนั้นก็ว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เข้าไปด้านใน หยิบตั๋วแลกเงินมาใบหนึ่ง ให้แม่นางหงเยียนใช้เป็นทุนตั้งตัว”


 


 


พอได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นปฏิเสธตน หงเยียนก็ร้อนใจ รีบยับยั้งเมี่ยวเอ๋อร์ไว้ “ไม่ต้อง!”


 


 


แล้วค่อยหันมาพูดกับอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“คุณหนูอวิ๋น ข้ามิได้มาหาท่านเพื่อขอเงิน! ไม่ปิดบังท่าน ตอนคุณชายสวี่เจอข้าที่ตรอกดอกบัว และต้องการให้ข้าไปเป็นพยานให้คุณหนูอวิ๋นนั้น ได้ตัดสินใจให้ตั๋วแลกเงินหนึ่งพันตำลึงกับข้า แต่ข้าให้คืนเขาไป เพราะตัวเองก็อยากหลุดพ้นจากพี่เฉียวอยู่แล้ว อีกอย่าง แค่พูดความจริงจากใจ ทำไมต้องรับเงินด้วย ข้าอยากรับใช้คุณหนูอวิ๋นจากใจจริง แต่ถ้าคุณหนูอวิ๋นหมิ่นข้า ใช้เงินฟาดหัวข้าเพื่อไล่ให้ไป ก็แล้วกันไป ข้าไร้มารยาท ขอตัว!”


 


 


หงเยียนยังไม่ทันหันกาย อวิ๋นหว่านชิ่นก็หัวเราะ ช่างเป็นผู้หญิงใจเด็ดจริงๆ


 


 


“แม่นางหงเยียนเข้าใจผิดแล้ว ชาติกำเนิดแม่นางสูงส่ง ถ้าข้าให้เป็นบ่าว วิ่งไปวิ่งมาทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มิเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรบุคคลโดยใช่เหตุหรอกหรือ”


 


 


“คุณ คุณหนูอวิ๋นรู้ชาติกำเนิดของข้าได้อย่างไร…หรือคุณชายสวี่สืบมาก่อน” หงเยียนอึ้ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นสำรวจมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ก่อนสั่นศีรษะ


 


 


“ญาติผู้พี่ข้าไม่เคยสืบประวัติแม่นางหรอก แต่พอข้าย้อนนึกดูดีๆ ก็พบว่า ตอนแม่นางหงเยียนเข้ามาใน


 


 


จวนรองเจ้ากรมนั้น แม้ท่าทางดูตื่นเต้น แต่น่าจะเป็นการแสร้งทำ เพราะแววตากลับเฉยเมย เหมือนสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ นี่แสดงว่าแม่นางเคยเห็นจวนขุนนางมาแล้ว จึงไม่รู้สึกตื่นตาตื่นใจ และตอนนี้ ก็ไม่ได้เข้ามาในม่าน ได้แต่ยืนอยู่ด้านนอก รักษาระยะห่างกับข้า เพราะรู้ว่า กฎของคุณหนูบ้านขุนนาง ไม่สะดวกให้คนนอกเข้ามาโดยพลการ อีกอย่าง กิริยาการถอนสายบัวของแม่นางก็เป็นแบบที่ใช้กับคุณหนูบ้านขุนนางที่มีอายุพอๆ กัน ยังมี ข้าสังเกตตรงโคนนิ้วและง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ของแม่นางมีความด้าน คล้ายกับของเพื่อนข้าคนหนึ่งที่ถือกำเนิดในตระกูลแม่ทัพ น่าจะเกิดจากการจับดาบหรือกระบี่มาก่อน…จะว่าไป แม่นางหงเยียนตกอยู่ในแวดวงคาวโลกีย์แค่สามปี มิได้ขายตัวแต่เด็ก…คิดว่าเมื่อก่อนต้องเป็นคุณหนูบ้านใดบ้านหนึ่งแน่ และน่าจะเป็นบ้านขุนนางฝ่ายบู๊”


 


 


เมื่อเห็นนางเดาถูกเกือบหมด หงเยียนก็เงียบไปสักพัก แต่ก็ยังไม่กล้าพูดทุกอย่างออกมา เพียงว่า


 


 


“ข้าเป็นลูกสาวนายทหารทางเหนือคนหนึ่งจริงๆ พ่อข้ารักษาการณ์ชายแดนตอนเหนือ ได้ร่วมรบกับแม่ทัพนายกองคนอื่นๆ ต้านทานการบุกและรุกล้ำดินแดนของแคว้นเหมิงหนูมานาน แม้ไม่มีตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็ถือว่าเป็นขุนนางคนหนึ่ง พอที่บ้านตกต่ำลง ข้าก็ต้องระหกระเหินมาอยู่เย่ว์จิง ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสามปีก่อน โชคไม่ดีต้องไปเป็นโสเภณี ปีนี้มีวาสนา หลุดพ้นจากความทุกข์ยากมาได้ และพอเห็นว่าคุณหนูอวิ๋นไม่เหมือนคุณหนูทั่วไปในเมือง ก็คิดว่าเจอที่พึ่งแล้ว เสียดายที่สถานะข้าแปดเปื้อนมาก่อน ถ้าอยู่รับใช้ข้างกายคุณหนูในจวนรองเจ้ากรม ก็ถือว่าไม่เจียมตัว ซึ่งข้าก็บุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ ไม่เพียงตอบแทนบุญคุณไม่ได้ ยังทำให้คุณหนูอวิ๋นถูกครหานินทาอีก…เป็นเพราะหงเยียนไม่คิดให้รอบคอบก่อน”


 


 


ที่แท้หงเยียนก็เป็นลูกสาวนายทหารคนหนึ่ง


 


 


ชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์สบตากัน รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกะพริบตายิ้ม “ถ้าเจ้ามีใจอยู่ในเมืองหลวง ไม่คิดจะไปไหนจริงๆ แล้วล่ะก็ ข้าก็พอจะมีที่ทางให้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างกายข้า ซึ่งถ้าช่วยงานข้าได้ เจ้าเองก็สามารถตั้งหลักเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง พูดได้ว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”


 


 


“คุณหนูอวิ๋นมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถิด” พอเห็นจุดเปลี่ยน หงเยียนก็ดีใจยิ่ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกะพริบขนตาดำขลับปริบๆ หลุบตาลงเล็กน้อย แล้วว่า


 


 


“อีกไม่นาน ข้าจะเปิดร้านขายเครื่องประทินผิว แต่ไม่สะดวกที่จะอยู่ดูแลร้านทุกวัน น่าจะสิบวันหรือครึ่งเดือนถึงจะมีโอกาสไปสักครั้ง และแม้ข้าคุ้นเคยกับสาวใช้สองคนข้างกาย แต่ก็ไม่สะดวกที่จะให้พวกนางออกไปทำหน้าที่นี้ ซึ่งภายในร้าน จำเป็นต้องมีผู้จัดการที่ไว้ใจได้ช่วยข้าบริหารงาน อีกอย่าง การหาทำเลที่ตั้งร้านและติดต่อเช่าซื้อ ก็ต้องให้เจ้าช่วยจัดการอีกแรง”


 


 


คุณหนูอวิ๋นอยากเป็นเจ้าของกิจการ แล้วให้ตนช่วยนางบริหารร้านขายเครื่องประทินผิว เป็นเถ้าแก่ที่คอยประสานงาน และจัดการธุระข้างนอก?


 


 


หงเยียนตกใจ แม้บอกว่า หญิงสาวเป็นเถ้าแก่เนี้ย ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่ออก


 


 


เรือนแล้วและมีอายุมากหน่อย แต่คุณหนูอวิ๋นเหมือนยังไม่ถึงสิบห้า ดูๆ ไป ก็ยังมีแววใสๆ ของเด็กสาวอยู่ เหตุใด


 


 


จึงมีความคิดเช่นนี้เล่า


 


 


ทว่า ดูอีกทีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


 


 


จากเรื่องในคืนนี้ สามารถดูออกว่า คุณหนูอวิ๋นมีความคิดแน่วแน่แบบผู้ใหญ่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับอายุจริง ซึ่งถ้านางคิดเปิดร้าน ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่!


 


 


โชคหล่นมาจากฟากฟ้าจนทำอะไรไม่ถูก หงเยียนจึงอ้ำๆ อึ้งๆ


 


 


“คุณหนูอวิ๋นไว้ใจข้าหรือ ข้ามีความสามารถเช่นนั้นหรือ นั่นเป็นร้านร้านหนึ่งเชียวนะ ยังมีเรื่องหาทำเลที่ตั้งกับติดต่อเช่าซื้ออีก ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น แล้วยังเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ ด้วย ท่านเชื่อใจข้าหรือ”


 


 


“เครื่องประทินผิว เมื่อคุ้นเคยแล้ว มีผู้หญิงคนใดไม่รู้จักบ้าง ก็เหมือนพวกผู้ชายที่ชอบเล่นดาบเล่นปืน ล้วนมีความรู้สึกไวตามธรรมชาติ ไม่ต้องสอนอะไรมาก” อวิ๋นหว่านชิ่นว่า “แล้วทำไมแม่นางหงเยียนถึงไม่มีความมั่นใจในตัวเองเสียล่ะ ส่วนเรื่องความเชื่อใจ เมื่อการค้าคือการลงทุน ขาดทุนก็ต้องจ่าย เมื่อข้าเลือกเจ้าแล้ว ถ้าไม่เชื่อใจเจ้า ก็ต้องเชื่อในสายตาตัวเอง ถ้าเจ้าทำผิดต่อข้า ทำให้ข้าขาดทุน หรือยักยอกเงินข้า ข้าก็คงได้แต่โทษตัวเองที่ตาไม่ถึงพอ”


 


 


หงเยียนน้ำตาไหล นอกม่านมีเสียงดังกึก นางคุกเข่าโขกศีรษะอย่างไม่กระดากอาย ก่อนพูดอย่างมั่นใจ


 


 


“หงเยียนต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ จงรักและภักดี แม้ต้องตายก็ต้องดูแลจัดการร้านของคุณหนูใหญ่ให้ดี!”


ตอนที่ 72-5 แม่เลี้ยงแท้ง คุณหนูเปิดร้าน

 

ไม่เสียแรงที่เป็นลูกสาวนายทหาร รังสีพร้อมเข้าสู่สนามรบฟาดฟันศัตรู จัดการบริหารร้าน ถูกเปล่งออกมาแล้ว แม้แต่คำว่า พยายามอย่างสุดความสามารถ จงรักและภักดี ก็ล้วนหลุดออกมาหมด


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นลงจากตั่ง เดินไปข้างหน้า เลิกผ้าม่าน ก้าวเข้าไปพยุงนางให้ลุกขึ้นด้วยตัวเอง


 


 


“หงเยียน ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


หงเยียนน้ำตาคลอ ตั้งแต่ได้รับพระราชโองการเนรเทศ เดินทางไปยังทะเลทรายเหนือ จวบจนตกอยู่ในแวดวงคาวโลกีย์ นางมักถูกคนดูหมิ่นเหยียดหยามว่าเป็นหญิงชั้นต่ำ ไหนเลยจะเคยได้ยินคำพูดที่ อบอุ่นเป็นกันเองเช่นนี้ พูดกันตรงๆ คุณหนูอวิ๋นจะรับนางไว้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่ต่อไปคุณหนูอวิ๋นคือนายหญิงของนาง มีนายหญิงคนไหนปฏิบัติกับลูกน้องเช่นนี้บ้าง…


 


 


มืดค่ำมากแล้ว


 


 


หงเยียนยังคงพักอาศัยที่บ้านป้าสี่ในตรอกดอกบัวชั่วคราวพลางรอข่าวจากอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


ป้าสี่ของพี่เฉียวเป็นหญิงสูงวัยใจดีคนหนึ่ง อาศัยอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีลูก ไม่มีสามี ซึ่งปกติแล้ว พี่เฉียวก็มิได้สนใจไยดีป้าสี่ ถ้ามิใช่เพราะหงเยียนถูกนำตัวมาฝากไว้ พี่เฉียวก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนหญิงชราเลย แต่หงเยียนกลับดีต่อป้าสี่มาก หลายครั้งที่พี่เฉียวคิดถึงใบหน้าสวยๆ ของหงเยียน และบึ่งมาที่บ้าน คิดจะมีอะไรด้วย พอป้าสี่เห็นว่าหงเยียนรังเกียจ ก็จะช่วยนางขวางพี่เฉียวไว้


 


 


พูดคุยอีกไม่กี่คำ หงเยียนจึงคารวะอีกครั้ง แล้วกางร่มเดินออกจากจวนรองเจ้ากรมไป


 


 


พอนางไป ชูซย่าก็อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณหนูคิดเปิดร้านหรือเจ้าคะ”


 


 


คิดมานานแล้ว เพียงไม่ทันได้บอกใคร พอดีคืนนี้หงเยียนปรากฏตัวขึ้น


 


 


และตนก็ไม่อยากให้ทุกครั้งที่ใครต้องการเครื่องประทินผิวอะไรจากตน ก็ต้องมาที่จวนรองเจ้ากรม นานวันไป ถ้าคนภายนอกรู้เข้า จะไม่ค่อยดี ยิ่งถ้าท่านพ่อรู้ ก็ยิ่งไม่อนุญาต คิดว่าจวนรองเจ้ากรมเป็นร้านค้าที่ใครๆ ก็เข้ามาได้หรือ เรื่องเปิดร้าน จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ


 


 


อีกอย่าง ถ้าเจอลูกค้าที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอลูกค้าแบบครั้งก่อน ที่รับมือยากอย่างอวี้โหรวจวง ที่อะไรนิดอะไรหน่อยก็มาเบ่งถึงจวนด้วยตัวเอง ย่อมหงุดหงิดแย่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้มีใจบริการลูกค้าที่จงใจมาหาเรื่อง ถ้าเปิดร้านแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้จัดการช่วยดูแลไป ตนจะได้ใจจดใจจ่ออยู่กับการค้นคว้าสูตรสมุนไพร ไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอกมากนัก


 


 


รูปหล่อทองคำเณรน้อยจากคุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตมีมูลค่าไม่น้อย บวกกับเงินเก็บส่วนตัว คิดต้นทุนเบ็ดเสร็จแล้ว สามารถซื้อร้านเล็กๆ ริมถนนที่ไม่ถึงกับคึกคักมากนักได้ร้านหนึ่ง รวมค่าตกแต่งด้วย เงินสะสมในตอนนี้ ไม่มีปัญหาหรอก


 


 


ส่วนต้นทุนของสินค้าข้ามไปก่อน ส่วนผสมจากพืชพรรณธรรมชาติ ถ้าผ่านมือตน ส่วนใหญ่สามารถนำมาจากบ้านสวนโย่วเสียน


 


 


ด้านค่าแรงก็จ่ายได้สองสามเดือนอยู่ ค่อยดูทีหลัง


 


 


ไม่ว่าอย่างไร ต้องลองดูสักตั้ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเล่าแผนการคร่าวๆ ให้ชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์ฟัง เมี่ยวเอ๋อร์ก็สงสัยขึ้นมาอีก


 


 


“แต่…หงเยียนเชื่อใจได้หรือ แม้เชื่อใจได้ แล้วใช้งานได้รึเปล่า สามารถดูแลจัดการร้านได้หรือ ยิ่งเป็นร้านใหม่ด้วย การเริ่มต้นเป็นเรื่องที่ยากนะเจ้าคะ”


 


 


มองไป คนที่มีอยู่ก็ไม่มีใครสามารถใช้งานได้จริงๆ หรือต่อให้หาคนที่มีประสบการณ์มากมายมาได้ แต่ถ้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขา ก็ไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี อีกอย่าง หงเยียน…อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดสักพัก ค่อยว่า


 


 


“นางเป็นลูกสาวนายทหาร มีใจภักดีและรักศักดิ์ศรี ถ้าเป็นพวกฉลาดแกมโกง ทำไมไม่เอาเงินจากญาติผู้พี่ข้าล่ะ และต้องฉวยโอกาสโก่งราคาแต่แรกด้วย เมื่อครู่ก็ยังขอเงินจากข้าได้อีก ป่านนี้มิไปไหนต่อไหน ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีมีความสุขไปแล้วหรือ! อีกทั้งบ้านนางก็เป็นครอบครัวขุนนางฝ่ายบู๊ พอสถานการณ์ที่บ้านเปลี่ยน คนทั้งบ้านเสียชีวิต เหลือนางเพียงคนเดียว หัวใจย่อมต้องแข็งแกร่งมาก ผ่านความทุกข์ทรมานมาไม่น้อย ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ หรอก นี่เป็นเงื่อนไขของคนที่จะประสบความสำเร็จทางการค้า! อีกอย่าง สามปีมานี้ หงเยียนอยู่ในแวววงคาวโลกีย์ ยากดีมีจนอย่างไรนางเคยเห็นมาหมด ถูกเคี่ยวกรำจนมีนิสัยเข้าได้กับทุกฝ่าย จัดการได้ทุกอย่าง นี่ก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างของคนทำการค้า อ้อ…อย่าหาว่าข้าเข้าข้างนาง แล้วดูแคลนพวกเจ้าล่ะ พวกเจ้าสองคนน่ะ ไม่แน่ว่าจะตามหงเยียนทันด้วยซ้ำ!”


 


 


ชูซย่าชำเลืองมองเมี่ยวเอ๋อร์ แล้วทำปากยื่นปากยาว แก้มกลมๆ ทั้งสองข้างของนางยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนผลไม้ผิวบางใส นางพูดขำๆ


 


 


“บ่าวกับเมี่ยวเอ๋อร์ไม่อิจฉาหงเยียนหรอก เมื่อนางดีเช่นนี้ ใยคุณหนูไม่ให้นางมาอยู่ข้างกายล่ะเจ้าคะ จะได้เห็นหน้ากันทุกวันๆ! อย่างไรหงเยียนก็เกิดในตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊ น่าจะเหมือนคุณหนูเฉิน เป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง อยากจะไปก็ไป อยากจะมาก็มา ง่ายนิดเดียว”


 


 


นี่ก็คือเหตุผลที่ไม่สามารถให้หงเยียนตามติดอยู่ข้างกาย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะแล้วหยุดกะทันหัน “เมื่อสามปีก่อนทางเหนือมีสงครามที่ สมรภูมิถังโจว พวกเจ้าจำได้หรือไม่”


 


 


“จำได้เจ้าค่ะ” ทั้งสองพยักหน้า


 


 


สงครามในครั้งนั้น เด็กอายุต่ำกว่าสามขวบอาจไม่เคยได้ยิน ทหารแคว้นเหมิงหนูรุกล้ำเมืองถังโจวของแคว้นต้าเซวียน แม่ทัพในถังโจวดูแคลนศัตรู ปกป้องประชาชนไม่ได้ ทหารเหมิงหนูตีเมืองแตก สุดท้ายก็ยึดเมืองแล้วเรียกค่าไถ่จากต้าเซวียน ทำให้หนิงซีฮ่องเต้ได้รับความอัปยศ ทรงกริ้วมาก จึงส่งผู้ตรวจการและขุนนางส่วนหนึ่ง ไปจับกุมและประหารแม่ทัพในถังโจว พร้อมเนรเทศครอบครัวของพวกเขา


 


 


“สมรภูมิถังโจว เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิของปีนั้น ส่วนการเนรเทศครอบครัวของนายทหาร ก็น่าจะอยู่ราวฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่หงเยียนตกต่ำ อีกอย่าง พวกเจ้าฟังออกหรือไม่ว่า หงเยียนติดสำเนียงถังโจว”


 


 


หงเยียนคือทายาทของนายทหารในสมรภูมิถังโจว?


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าอึ้ง


 


 


มิน่าเล่า! แม้หงเยียนย้ายมาอยู่เมืองหลวง เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวนักโทษ ถ้าให้นางมาอยู่ข้างกาย แม้เป็นเพียงบ่าวรับใช้ในบ้านสกุลอวิ๋น แต่ถ้าวันใดสถานะถูกเปิดเผย สกุลอวิ๋นก็ต้องเดือดร้อน


 


 


เช่นนี้ ก็นับว่าดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ต่างบรรลุจุดประสงค์ของตนเอง


 


 


แล้วฟ้าก็เหมือนถูกคนเจาะรู ฝนตกไม่หยุดต่อเนื่องไปอีกหลายวัน ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่ตกลงอย่างกะทันหัน ทำให้อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ตัวคนในจวนสกุลอวิ๋นต่างก็ใส่เสื้อผ้าเนื้อหนากันแล้ว และแต่ละเรือนแต่ละห้องต่างก็มีเตาถ่านใบเล็กเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ความอบอุ่น


 


 


พี่เฉียวถูกตีไม่ถึงสิบไม้ ก็สิ้นลมเสียชีวิต ฟ้ายังไม่ทันสาง ศพก็ถูกบ่าวลากออกจากจวนรองเจ้ากรม ใส่เกวียน นำไปฝังที่สุสานบ่าวไพร่


 


 


พอความยุ่งวุ่นวายผ่านพ้น หวงน้าสี่ อาเม่า และอาจู้ ก็กลายเป็นหนึ่งในผู้กำชัยที่ยิ่งใหญ่ สามารถอยู่ในจวนต่อได้อย่างชอบธรรม ส่วนม่อไคไหล คืนนั้นก็ถูกถงฮูหยินเรียกไปตักเตือน เช้าตรู่ของวันถัดมา ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เขาก็รีบไปยังที่ทำการไปรษณีย์ ขอจดหมายที่เตรียมส่งไปชนบทของไท่โจวคืนกลับ


 


 


หลังจากคืนนั้น ทุกคนในบ้านสกุลอวิ๋นก็รู้ว่า ฮูหยินแท้งลูก


 


 


คืนนั้นไป๋เสวี่ยฮุ่ยเลือดออกไม่หยุดทั้งคืน จนเสื่อรองตัวซึ่งปูอยู่บนที่นอน เปียกแฉะไปหมด วันต่อมาก็นอนหายใจรวยริน ลุกไม่ขึ้น มีเพียงอวิ๋นหว่านเฟยที่เข้ามาเยี่ยม


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยไหนเลยจะคิดว่า เพียงระยะเวลาสั้นๆ ชั่วข้ามคืน มารดาจะร่วงหล่นจากฟากฟ้าสู่แดนดิน บาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าไม่ใช่เพราะช่วงล่างเลือดไหล เกรงว่าป่านนี้คงถูกขังไว้ในห้องบูชาบรรพชน ทิ้งไว้ในห้องมืดเล็กๆ นั่นแล้ว ก่อนที่นางจะมา พอได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก็ตกใจสะดุ้งโหยง เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันจนอยากจะจับหวงน้าสี่ กับพวกอวิ๋นหว่านชิ่นฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนกินลงไป


 


 


พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นลูกสาวมา ความแค้นและความโศกเศร้าที่สุมอยู่เต็มอกก็ไม่เก็บไว้ไม่อยู่ พรั่งพรูออกมาพลางปล่อยโฮขณะกอดลูกสาว


 


 


“เฟยเอ๋อร์ น้องชายเจ้าน่ะ ไม่มีไปเสียแบบนี้แล้ว! แม่ชะล่าใจเกินไปจริงๆ ระยะนี้ทำงานหนักเกินตัว แล้วยังถูกหวงน้าสี่ทำให้โมโหอีก แม่ไม่ได้ท้องมาหลายปีแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าครั้งนี้ดันท้องขึ้นมา!?…แม่…”


 


 


ว่าพลางกำมือที่ซูบผอมและซีดขาว ตีอกชกหัวตัวเองอีก เกลียดจนเสียงแหบเสียงแห้ง หลายวันก่อนก็รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนนิดหน่อย ซึ่งอาการแบบนั้น ไม่เหมือนกับตอนท้องลูกสาว ถ้าเดาตามมาตรฐานของคนทั่วไปว่าจะได้ลูกสาวหรือลูกชาย แปดหรือเก้าในสิบส่วนน่าจะเป็นลูกชาย ถ้าคลอดออกมาได้ สถานการณ์จะเปลี่ยนทันที ถึงมีความผิดมากแค่ไหน ท่านพี่กับท่านย่าก็ต้องเห็นแก่เด็กผู้ชาย อาจอภัยให้ตนเอง หลังเรือนในตอนนี้ไหนเลยจะยังมีที่ทางให้นังตัวดีอวิ๋นหว่านชิ่นพูดอีก


 


 


ทว่าตอนนี้ ไม่มีแล้ว ไม่มีไปเสียแบบนี้แล้ว…แล้วจะไม่ให้นางกระอักโลหิตอย่างไรได้


 


 


ถ้ามารดาล้ม อวิ๋นหว่านเฟยจะดีได้อย่างไร เข้าจวนโหวไป ก็รังแต่จะถูกคนดูหมิ่น เคราะห์ดี สินสอดได้เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย ถ้าช้าไปอีกสองสามวัน เกรงว่าของส่วนตัวก็อาจเอาไปไม่ได้!


 


 


นี่ก็สายมากแล้ว เฝ่ยชุ่ยเห็นว่านายท่านใกล้เลิกงานเต็มที ตอนนี้ฮูหยินยังมีความผิดติดตัว เกรงว่าถ้านายท่านเห็นคุณหนูรองมาเยี่ยมแม่ จะไม่พอใจ จึงแอบส่งเสียงเบาๆ เร่งรัดมา


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยก็กลัวว่าถ้าบิดามาเห็นเข้าจะไม่สบอารมณ์ จึงรีบพูดสองสามคำ ปลอบใจมารดาผู้อ่อนแอ “ท่านแม่วางใจ คอยดูก็แล้วกัน ตอนนี้ท่านก็ไม่ได้เข้าห้องบูชาบรรพชนนี่ ยังอยู่ในเรือนนายหญิงอย่างสง่าผ่าเผย ยังมีโอกาสหว่านล้อมท่านพ่อ…นี่ก็สายมากแล้ว ลูกต้องขอตัวก่อน อีกสักพัก ค่ำๆ ค่อยมาหาท่านแม่ใหม่…”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยผ่อนคลายลงไม่น้อย ขณะจะยืดตัวขึ้น มองตามลูกสาวไป ด้านนอกก็มีเสียงดังมา เป็นเสียงกล่องตกพื้นอีกแล้ว


 


 


สองแม่ลูกตกใจ อวิ๋นหว่านเฟยดีดตัวขึ้นก่อน และพอแง้มหน้าต่างดู ก็ตื่นตระหนก หน้าเปลี่ยนสีทันที พลางร้อง “ตายจริง! นั่นมันสินสอดข้า ทำไมถึงขนออกมาล่ะ!” ว่าแล้วก็รีบพุ่งตัวออกจากห้อง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยืดตัวสั่นๆ ขึ้นมอง


 


 


หวงน้าสี่เลิกม่านออก แล้วเดินอาดๆ มายืนอยู่หน้าสุด เผชิญหน้ากับอวิ๋นหว่านเฟย ขวางทางและผลักนางเข้าไปในห้อง


 


 


ด้านหลัง ถงฮูหยินเดินนำมอมอที่รูปร่างบึกบึนสองสามคนเข้ามา

 

 

 


ตอนที่ 73-1 สถานะอนุคนโปรดและชะตากรรม

 

อวิ๋นหว่านเฟยจำได้ว่า สินสอดที่กองไว้ในชานเรือนหลัก เดิมทีวางไว้ในเรือนตน รอจนถึงวันเข้าจวนโหวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ค่อยให้บ่าวส่งล่วงหน้าไปก่อน แต่ทำไมตอนนี้ถึงถูกคนแบกมาไว้ที่เรือนหลักเล่า


 


 


ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ก็ยังตกไม่ยอมหยุด ของที่กองไว้หลายต่อหลายลังด้านในบรรจุผ้าแพร ผ้าไหมนุ่มนิ่มเนื้อเนียนละเอียด และผ้าซาตินเนื้อดีไว้ โดนน้ำไม่ได้เป็นอันขาด!


 


 


นางตาแดง ใจร้อนดั่งไฟ ผลักหวงน้าสี่ออก คิดเข้าไปตรวจดู พลางว่า


 


 


“เหลวไหล! ฉวยโอกาสตอนข้าไม่อยู่ ขโมยของในห้องข้า บ่าวคนไหนอวดดี ทำเรื่องแบบนี้โดยไม่ขออนุญาตข้า!”


 


 


เช่นนี้ หวงน้าสี่ก็ไม่เกรงใจอีก ส่งสายตาให้มอมอสองคนเตรียมเข้ามากุมตัวอวิ๋นหว่านเฟยกลับห้อง


 


 


“คุณหนูรอง ผู้อาวุโสมาแล้ว ท่านมีเหตุผลของท่าน คุณหนูอย่าเพิ่งร้อนใจไป”


 


 


จะไม่ให้ร้อนใจได้อย่างไร! แหงล่ะ! ไม่ใช่สินสอดของพวกเจ้านี่! อวิ๋นหว่านเฟยกระทืบเท้า แต่พอหันมอง ก็เห็นรอยย่นบนใบหน้าชราของถงฮูหยินอย่างแจ่มชัด แววตานางดุดันโกรธเกรี้ยว เห็นชัดว่าไม่พอใจคำด่าทอของนางเมื่อครู่


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยขยับปาก กลืนคำพูดลงไป แล้วถอยหลังสองสามก้าว แต่ใจยังไม่ยอม จึงกัดริมฝีปากเรียก


 


 


“ท่านย่า”


 


 


“หึ คุณหนูรองยังรู้จักเรียกข้าว่าท่านย่า? มิกล้าๆ ทั้งๆ ที่คุณหนูรองเห็นข้ามา ก็ยังถามออกมาได้ว่า บ่าวคนไหนอวดดี กำลังด่าข้ารึ”


 


 


เมื่อวานช่วงอากาศเย็นลงกะทันหันและฝนตกไม่หยุด ถงฮูหยินยืนอยู่ในเรือนครึ่งค่อนวัน เช้าวันนี้พอตื่นนอน โรคข้อเข่าเสื่อมก็กำเริบ ปวดเข่าไปหมด เวลาเดินเหินต้องใช้ไม้เท้าช่วย ตอนนี้จึงใช้ไม้เท้ากระแทกพื้น เสียงดัง ‘กึก’ เปี่ยมพลังเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ยามปกติ ถงฮูหยินจะเรียกหลานของตนว่าหลาน หรือไม่ก็ชื่อตามด้วยเอ๋อร์ วันนี้พอมาถึง กลับเรียกคุณหนูรอง ทิ้งระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยหน้าเปลี่ยนสี เสียงเริ่มสั่น “ท่านย่า ท่านเอาอะไรมาพูด เป็นท่านย่าหรือที่บอกให้บ่าวขนสินสอดของหลานออกมา”


 


 


“สินสอด?” ถงฮูหยินแค่นเสียงหัวเราะ “ยังมีหน้ามาพูดอีก ไปเป็นอนุบ้านคนอื่น มีแต่ทำให้ที่บ้านเสื่อมเสียชื่อเสียง นอกจากไม่มีอะไรให้ที่บ้านแล้ว ยังแบมือขอของจากที่บ้านอีก! และข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า อนุคนไหนในใต้หล้ามีสินสอดด้วย!”


 


 


“แล้วท่านย่าจะเอาไง” อวิ๋นหว่านเฟยพยายามข่มอารมณ์


 


 


นางเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองอยู่แล้ว กับย่าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไหนเลยจะมีความผูกพันด้วย ตอนนี้พอรู้ว่าถงฮูหยินเป็นคนบอกให้บ่าวขนสินสมรสทั้งหมดออกจากห้องตน ก็อยากด่าใส่นางสักชุด


 


 


ถงฮูหยินสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเรียวยาวขยับ จากการพยุงของสะใภ้ใหญ่ นางเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ข้างหน้าต่างตัวหนึ่ง


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะออกเรือนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่แม่เจ้ากลับมีสภาพเช่นนี้ จะดูแลหลังบ้านได้อย่างไร ข้ากับพี่สาวเจ้าจึงต้องช่วยกันดูแลชั่วคราว เช้าวันนี้ ชิ่นเอ๋อร์ได้นำรายการสินสอดของเจ้ามาให้ข้าดู หลังจากข้าคิดคำนวณสินสมรสนี้แล้ว ก็สะดุ้งตกใจ นี่ถ้าไม่ดู ก็ไม่รู้เลยว่า มันมากจนเกินไป ไม่เหมาะสม จึงให้บ่าวยกออกมาก่อน รอจนข้าตรวจเสร็จ ค่อยจัดให้เจ้าใหม่ว่า สิ่งไหนควรเอาไป สิ่งไหนไม่ควรเอาไป!”


 


 


“ท่านย่า ทำไมถึงทำเช่นนี้ ท่านแม่เตรียมให้ข้าเรียบร้อยแล้ว…” เนื้อที่เข้าปากอวิ๋นหว่านเฟยแล้ว เหตุผลอะไรที่นางต้องคายออกมาอีก หญิงชราผู้นี้ยุ่มย่ามจนเกินไปจริงๆ!


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเป็นปฏิปักษ์กับถงฮูหยิน จึงได้แต่อดทนกับความเจ็บปวดขณะลุกจากเตียงแล้วพยายามยืนหยัดไว้ พลางว่า


 


 


“ท่านแม่ ท่านพี่เคยบอกว่า ไม่อนุญาตให้เฟยเอ๋อร์เอาของไปมากมาย ของส่วนใหญ่จึงเป็นของสะสมส่วนตัวของข้าในหลายปีมานี้ พวกผ้าผ่อนและเครื่องประดับ ไม่มีของของท่านพี่หรอก…”


 


 


“ตลก” ถงฮูหยินตัดบท ดวงตาคมกริบดุจใบมีดจ้องมองจนไป๋เสวี่ยฮุ่ยเจ็บปวดไปทั้งตัว หลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น “เจ้าเป็นแค่เมีย มีสมบัติส่วนตัวด้วยหรือ มิใช่ลูกชายข้าให้เจ้าในทุกๆ วันหรอกหรือ! ยังมีน้ำหน้ามาพูดอีก!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำมือแน่น นี่หญิงชรากำลังจะยึดของของตนไปดื้อๆ แบบนี้หรือ นี่เป็นของที่ตนสะสมจากน้ำพักน้ำแรงมาร่วมสิบปี เผื่อตนและลูกสาวจะได้ใช้เสวยสุขในวันข้างหน้า หรือตอนนี้ต้องมาเสียไปเปล่าๆ เสียเปรียบให้กับถงฮูหยิน? แค้นก็ได้แต่แค้น ตอนนี้ไม่มีแรงโต้ตอบใดๆ จัดการเรื่องอะไรก็ไม่ได้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้สึกถึงความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน โดยไม่คาดคิดว่า ยังมีเรื่องอัปยศที่ใหญ่กว่ารอนางอยู่


 


 


“เข้ามา…” พอหวงน้าสี่เห็นสายตาที่หญิงชราส่งให้ ก็หันไปเรียกคนที่อยู่นอกม่าน


 


 


มอมอวัยกลางคนร่างบึกบึนสองคนยกแคร่หามเข้ามา วางไว้ข้างเตียง ต้องการจะหามไป๋เสวี่ยฮุ่ย


 


 


“นี่จะทำอะไรน่ะ…” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยกมือทั้งสองข้างขึ้น พลางถอยหลัง ดวงตาเบิกกว้าง


 


 


“เมื่อวานเพราะเกิดเรื่องฉุกละหุก คิดรักษาเด็กในท้องของเจ้าไว้ จึงพยุงเจ้ามาที่เรือนหลัก เจ้ายังนึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในเรือนหลักอีกหรือ” ถงฮูหยินไม่พูดจาอ้อมค้อมอีก


 


 


“เมื่อเลือดเจ้าหยุดไหลแล้ว ก็ย้ายไปอยู่ในห้องเล็กข้างห้องบูชาบรรพชนก่อนก็แล้วกัน เนื่องจากเจ้ารอง พอเห็นเจ้าอยู่ในเรือนหลัก ก็เข้ามาพักผ่อนไม่ได้ ซึ่งจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ได้ที่ไหนกัน เขาต้องไปทำงานแต่เช้าทุกวัน ถ้าพักผ่อนไม่ดี สมองก็ไม่แจ่มใส อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ถ้าไม่ระวังเพียงนิดเดียว ทำให้ทรงพิโรธขึ้นมา ก็ต้องเสียตำแหน่งหน้าที่การงานไปและไม่ได้เป็นคนโปรดอีก!”


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยสั่นศีรษะพลางพึมพำ “ไม่ ข้าเป็นนายหญิงของบ้าน เป็นฮูหยินรองเจ้ากรมฝ่ายซ้าย…ข้าเพิ่งแท้งลูก พวกเจ้าจะทำกับข้าอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ไม่ได้…ท่านพี่ ท่านพี่รู้เรื่องนี้หรือไม่ ข้าไม่เชื่อว่าท่านพี่จะปฏิบัติกับข้าเช่นนี้…”


 


 


พูดยังไม่ทันขาดคำ มอมอคนหนึ่งก็ช้อนเข้าที่รักแร้นาง อีกคนก็จับเท้านาง แล้วยกขึ้นวางบนแคร่หาม


 


 


แต่เพราะนางดิ้นไม่หยุด มอมอทั้งสองก็ใช่ว่ามีแรงมาก จะบอกว่าวางนางลง มิสู้บอกว่าปล่อย แคร่หามก็ทำขึ้นอย่างง่ายๆ เอาปล้องไม้ไผ่มามัดรวมกันเป็นแพ กระทั่งที่นอนยัดนุ่นก็ยังมิได้ปูไว้ให้


 


 


เสียง ‘กึก’ ผู้หญิงแท้งลูกที่แผลยังไม่ปิดสนิทดี ไหนเลยจะทนแรงกระแทกเช่นนี้ไหว โลหิตไหลออกมาอีกกระโปรงแดงฉานไปหมด นางพลันเจ็บปวดจนสลบไสลไป


 


 


“ผู้อาวุโส นี่…” มือของมอมอคนหนึ่งเลอะไปด้วยโลหิต เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงหันไปมองถงฮูหยิน


 


 


ถงฮูหยินขมวดคิ้ว “นิดเดียวเอง เมื่อวานเลือดมากขนาดนั้นก็ยังไม่เห็นตายนี่ ดวงแข็งอยู่! หามออกไปเถอะ!”


 


 


มอมอทั้งสองยกแคร่หามขึ้นอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง หามฮูหยินที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น ออกจากเรือนหลักไป


 


 


พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยไปแล้ว ถงฮูหยินก็ออกคำสั่ง “แยกประเภทลังที่อยู่ตรงชานเรือนออก ลังใหญ่ให้ยกไปไว้ในห้องเก็บของข้างเรือนหลัก ส่วนลังเล็กที่ใส่เครื่องประดับ อัญมณี และของเก่า ให้นำไปไว้ในห้องหนังสือกับห้องนอนของนายท่าน”


 


 


กลุ่มคนทำตามคำสั่ง เดินยกของเข้าออกไม่หยุด


 


 


ของที่เดิมทีเป็นสมบัติส่วนตัวของสองแม่ลูก กลายเป็นสมบัติสาธารณะไปในชั่วพริบตา


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยยืนจ้องเป็นตอไม้อยู่แต่แรก ย่าท่านนี้ ร้ายกาจจริงๆ หรือเป็นเพราะอยู่บ้านนอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกมาสิบกว่าปี พอมาถึง ก็ประหัตประหารเสียใหญ่โต เสพติดการจัดการผู้คนไปแล้ว


 


 


ตอนนางถูกขังอยู่ในห้องนั้น รู้ดีว่ารสชาติของความทุกข์ทรมานเป็นเช่นไร ไม่รู้กลางวันกลางคืน เพราะท่านพ่อปิดตายประตูหน้าต่าง ด้วยเกรงว่าตนจะเอาของทุ่มทำลาย อีกทั้งยังล่ามโซ่ตนไว้ข้างเตียง…พูดง่ายๆ ก็คือ อเนจอนาถจนดูไม่ได้ อยู่ก็เหมือนตาย แต่อย่างไรนางยังสาว ร่างกายก็แข็งแรง แต่สภาพเช่นนี้ของท่านแม่…ไปอยู่ในห้องเก็บฟืนเล็กๆ ข้างห้องบูชาบรรพชนแบบนั้น จะทนได้สักกี่วันกัน


 


 


พออวิ๋นหว่านเฟยเห็นถงฮูหยินและกลุ่มคนจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ตื่นจากความงงงันที่สูญเสียทรัพย์สมบัติไป รีบก้าวเข้าจับแขนเสื้อของหญิงชราไว้ “ท่านย่า…”


 


 


“เสียดายวันแรกที่พบหน้ากัน คุณหนูรองยังโอ้อวดกับทุกคนอยู่เลยว่าเป็นกุลสตรี แล้วตอนนี้เหตุใดถึงลงมือลงไม้กับผู้อาวุโสท่านย่าเล่า” หวงน้าสี่ใช้แรงที่ไม่หนักไม่เบา ตีมือของอวิ๋นหว่านเฟยลงไป


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยอยากจับป้าสะใภ้นางนี้มัดแล้วโยนลงบ่อน้ำแทบไม่ทัน ทว่าก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน นางในตอนนี้ไม่มีมารดาคอยดูแลแล้ว ถ้าตบตีกันขึ้นมา ย่อมเสียเปรียบ และทำให้คนในเรือนฝูหยิงหัวเราะเยาะอีก จึงกดเสียงให้ต่ำลง พลางพูดเสียงสั่น


 


 


“ท่านย่า…ท่านคิดจะทำอย่างไรกับท่านแม่ข้า นางเองก็เลอะเลือนไปชั่วขณะ ท่านไม่ดูผลงาน ก็ควรดูที่ความทุ่มเทด้วย”


 


 


“โอ้ ข้ายังนึกว่าที่คุณหนูรองจับข้าไว้นั้น เพราะคิดขอสินสอดคืน นึกไม่ถึงว่ายังมีความกตัญญูอยู่บ้าง


 


 


อุตส่าห์มาขอร้องให้แม่ตัวเอง แต่เมื่อครู่ทำไมถึงไม่ขอล่ะ ตอนนี้คนก็ไปจนไม่เห็นเงาแล้ว เพิ่งมาร้องขอ นิสัยเหมือนแม่เจ้าไม่มีผิดจริงๆ ปากหวานก้นเปรี้ยว ปากไม่ตรงกับใจ!”


 


 


ถงฮูหยินไม่เหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย น้ำเสียงเน้นหนักไปที่สองประโยคสุดท้ายโดยเฉพาะ ว่าแล้วก็ปัดแขนเสื้อ เดินจากไป ปล่อยให้อวิ๋นหว่านเฟยยืนตัวสั่นอยู่กับที่

 

 

 


ตอนที่ 73-2 สถานะอนุคนโปรดและชะตากรรม

 

ตอนรู้ว่าสินสอดของอวิ๋นหว่านเฟยถูกปล้นจนเกลี้ยง อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังทำสุราจากดอกไม้สามชนิด


 


 


ซึ่งประกอบด้วย ดอกท้อ ดอกคำฝอย ดอกเหอฮวน ผสมกับเหล้าขาวหนึ่งพันกรัม น้ำตาลกรวดห้าสิบกรัม ใส่รวมกันในถุงกรอง แล้วคั้นออกมา ผสมน้ำผึ้ง ใส่ลงในภาชนะ ปิดฝา แช่น้ำแข็งไว้สามวัน ก็เปิดฝาดื่มได้


 


 


สุราดอกไม้ (ค็อกเทล) หวานชื่นใจ มีแอลกอฮอล์หรือดีกรีต่ำกว่าสุราที่ผู้ชายดื่ม รสชาติเหมาะสำหรับผู้หญิง อีกทั้งยังช่วยให้โลหิตไหลเวียน ผิวพรรณเปล่งปลั่ง


 


 


ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังปิดผนึกขวดสุรา ชูซย่าก็กลับมารายงานเรื่องในช่วงเช้าที่เรือนหลักให้ฟังว่า ไป๋ฮูหยินย้ายที่พักแล้ว ส่วนสมบัติที่สะสมมานานหลายปี ที่อุตส่าห์ยกให้เป็นสินสอดลูกสาว กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า ประหนึ่งใช้ตะกร้าสานตักน้ำ


 


 


ผลกรรมอีกหนึ่งระลอก


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดมือ เมื่อชาติที่แล้ว สองแม่ลูกฉวยโอกาสงาบกิจการสกุลสวี่ ซึ่งเป็นสินสอดของตนไป ชาตินี้ความมั่งคั่งที่สั่งสมมาสิบกว่าปี มลายหายสิ้น…ถ้าไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่โกรธจนตาย ก็คงจะกลั้นใจตาย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นฟังพลางสวมถุงมือผ้าบางๆ หยิบกระดาษสีแดงติดปากขวด กดลง แล้วจึงก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ เป้าหมายใหญ่สำเร็จ ฟังแล้วจึงพยักหน้า บ่งบอกว่ารับทราบ


 


 


ขณะเดียวกัน เมี่ยวเอ๋อร์ก็กลับมารายงานเช่นกันว่า นางเพิ่งออกไปทำธุระที่บ้านป้าสี่ในตรอกดอกบัวมา นำคำพูดของคุณหนูใหญ่ไปแจ้งต่อหงเยียนว่า ให้เริ่มหาร้านที่มีทำเลเหมาะๆ ในเมืองหลวงได้


 


 


ซึ่งหงเยียนเองก็กำลังรอคำสั่งให้เริ่มภารกิจอยู่ พอเห็นเมี่ยวเอ๋อร์มา ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ รีบพยักหน้าขานรับโดยไม่พูดอะไรมาก


 


 


เมื่อจะเปิดร้านค้าขาย ย่อมต้องเลือกสถานที่ที่คึกคักพอสมควร แล้วถนนเส้นใดในเมืองหลวงเล่า ที่จัดว่าคึกคัก ย่อมเป็นย่านที่ตั้งจวนเว่ยอ๋อง ถนนในย่านนี้เต็มไปด้วยร้านรวงและผู้คนเดินขวักไขว่ ส่วนถนนเส้นใดที่เงียบสุด ย่อมเป็นย่านที่ตั้งจวนฉินอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย ขนาดนกกาบินผ่านก็ยังไม่แวะพัก ประมาณว่าในหนึ่งชั่วยามจะมีรถม้าผ่านมาสักคัน…


 


 


เอ๋ ทำไมพอนึกถึงที่ที่คึกคัก กลับนึกถึงที่ที่เขาพักอาศัยไปได้ อวิ๋นหว่านชิ่นเขกหัวตัวเอง แล้วรีบเปลี่ยนความคิด


 


 


ทว่า ย่านพระราชฐานแม้ดี แต่ก็เป็นเพียงความฝันสำหรับนางในตอนนี้ ข้อแรก ค่าเช่าร้านย่อมแพงกว่าย่านปกติ จึงเลิกพูดถึงเรื่องซื้อขาดไปได้ ข้อสอง ต่อให้ท่านมีเงิน ก็ไม่แน่ว่าจะเช่าได้ ด้วยมีคนมากมายกำลังแย่งกับท่านอยู่ และแม้มีร้านให้เช่ามากมาย แต่แย่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องดูว่าร้านเหล่านี้มีใครอยู่เบื้องหลังด้วย และพอได้ยินความเป็นมาของเถ้าแก่ร้านแต่ละคน ก็สรุปได้ว่ามีผู้มีอิทธิพลสองคนที่หนุนหลังอยู่


 


 


สองข้อนี้…ทำให้ตอนนี้อวิ๋นหว่านชิ่นถูกใจทำเลนี้ไม่ลง ซึ่งความจริงแล้ว ต่อให้มีปัญญาแย่งชิงมาได้


 


 


นางก็ไม่แน่ใจว่า พอเปิดร้านแล้วจะขายดิบขายดี จึงสนใจอีกทำเลหนึ่งมากกว่า


 


 


ถนนจิ้นเป่าทางทิศใต้ ซึ่งพอได้ยินชื่อ ก็รู้ทันทีว่าเป็นย่านการค้าที่มีพ่อค้าแม่ขายมารวมตัวกันมากมาย แม้เทียบไม่ได้กับร้านหรูหราในย่านพระราชฐาน แต่ก็มีความหลากหลายอยู่ เป็นหนึ่งในย่านค้าปลีกที่คนในเมืองหลวงชอบไปเดินกัน


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงบอกให้หงเยียนไปดูแถวถนนจิ้นเป่าก่อนว่า มีทำเลที่เหมาะสมหรือไม่


 


 


ซึ่งหงเยียนก็ไปดูทุกวัน พอเห็นตรงไหนที่เหมาะสมก็จดบันทึกไว้ อย่างที่คุณหนูใหญ่ว่า ความจำดีมิสู้ลายมือแย่ และจากความต้องการของคุณหนูใหญ่ ทำให้นอกจากจดรายละเอียดของทำเล อย่างความกว้างความยาวของพื้นที่แล้ว นางยังต้องจดด้วยว่า แถวนั้นมีขายสินค้าอะไรบ้าง ในครึ่งชั่วยามมีลูกค้าเข้าร้านจำนวนเท่าไหร่ จำนวนคนเข้าในช่วงขายดีสุด กับช่วงเงียบสุด ต่างกันแค่ไหน รวมทั้งมีผู้จัดการและพนักงานขายในร้านกี่คน และหากเจอทำเลดีที่น่าสนใจ นางก็จะไปพูดคุยกับเจ้าของด้วยตัวเอง


 


 


หงเยียนจึงยุ่งทุกวัน แต่ก็ยุ่งอย่างมีความสุข แม้กลับถึงบ้านในสภาพเหงื่อไหลไคลย้อย ก็ยังมีความสุขกว่าอยู่บนเรือสำราญว่านชุนเป็นไหนๆ


 


 


ที่อวิ๋นหว่านชิ่นบอกให้นางเก็บข้อมูลทุกอย่าง มิใช่เพื่อหาทำเลที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่เพราะต้องการเปรียบเทียบกับร้านอื่นๆ บนถนนจิ้นเป่าด้วย จะได้เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่


 


 


หลังมื้อเที่ยง บ่าวของถงฮูหยินก็เข้ามาแจ้งว่า ผู้อาวุโสบอกให้คุณหนูใหญ่ลองสรุปหน่อยว่า การออกเรือนของคุณหนูรองในครั้งนี้ ควรเอาอะไรไปบ้างจึงจะเหมาะสม


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ สมบัติมากขนาดนี้ เมื่อท่านย่ายึดแล้ว ย่อมไม่มีทางให้คืนง่ายๆ ดูจากความขุ่นเคืองที่ท่านย่ามีต่อไป๋เสวี่ยฮุ่ย คิดว่าแม้แต่เครื่องประดับทองแดงสักชิ้นก็ยังคร้านที่จะให้อวิ๋นหว่านเฟย เพียงแต่ เมื่อหลานสาวออกเรือนทั้งที เพื่อหน้าตาของลูกชาย ก็ต้องให้อะไรบ้าง จะให้อวิ๋นหว่านเฟยเข้าบ้านเขามือเปล่า ก็ดูกระไรอยู่


 


 


ถงฮูหยินเพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรก ไม่รู้ธรรมเนียมการออกเรือนของคนเมือง กวาดตามองรอบกาย ก็ไม่เห็นมีใครเหมาะที่จะหารือด้วย อนุฟางแม้เป็นหญิงที่ออกเรือนแล้ว แต่เป็นการเลื่อนสถานะจากสาวใช้ขึ้นมาเป็นอนุ หนังสือก็รู้ไม่ครบทุกตัว คิดไปคิดมา คงต้องถามจากหลานสาวคนโตนี่ล่ะ นางเป็นคุณหนูที่อายุมากสุดของบ้าน ก่อนหน้านี้ก็เคยดูแลจัดการหลังบ้านอยู่ระยะหนึ่ง แม้ยังไม่เคยออกเรือน แต่เมื่ออยู่ในแวดวงกุลสตรีในเมือง จะมากจะน้อยก็ต้องเคยรู้มาบ้าง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดสักพัก ก็บอกให้บ่าวแจ้งกลับไปว่า “เรียนท่านย่า หลานขอแนะนำว่า การให้สินสมรส มิสู้ให้โต๊ะเครื่องแป้งไม้เนื้อแดงคันฉ่องหยก ผ้าห่มปักคำอวยพรทำนองลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง มุ้งกระโจมฝ้ายสีน้ำเงิน ความหมายกำลังดี เหมาะกับคุณหนูรอง”


 


 


บ่าวสงสัย “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ แต่ละอย่างหมายความว่าอะไรบ้าง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “โต๊ะเครื่องแป้ง หมายถึง เมื่อเข้าบ้านเขาแล้ว คุณหนูรองต้องดูแลรักษารูปร่างหน้าตาให้ดีอยู่เสมอ อนุกับฮูหยินไม่เหมือนกัน ฮูหยินแม้แก่ชราลง ก็ยังมีตำแหน่งและสถานะสูงส่ง ไม่มีใครกล้าดูหมิ่น ลูกๆ ที่เกิดจากนาง ก็ต้องเรียกนางว่าท่านแม่อย่างเคารพนอบน้อม นางจึงอยู่อย่างแข็งแรงและมีความสุข ทว่าอนุนั้น ถ้าอยากเป็นคนโปรดนานๆ ก็ต้องรักษารูปร่างหน้าตาให้ดี ขืนปล่อยตัว ไม่ดูแลตัวเอง ก็จะยิ่งไม่มีใครให้ความสำคัญ ดังนั้นจึงต้องมีโต๊ะเครื่องแป้งไว้เตือนสติ ให้หมั่นส่องคันฉ่อง อย่าปล่อยให้ตัวเองแห้งเ**่ยวไปตามกาลเวลา ผ้าห่มปักคำมงคลว่า ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เมื่อรับอนุเข้าบ้าน สามีย่อมหวังให้นางออกดอกออกผล สามปีสองคน ยิ่งมากเท่าไหร่ สามีก็ยิ่งชอบเท่านั้น ส่วนมุ้งกระโจมฝ้ายสีน้ำเงิน ก็คือการรวมความหมายทั้งสองอย่างข้างต้นไว้ด้วยกัน สีน้ำเงินหมายถึงยามค่ำคืน มุ้งกระโจมเป็นส่วนหนึ่งของเตียง อันนี้ ข้าก็พูดมากไม่ได้แล้ว ท่านย่าเข้าใจดี…”


 


 


พอบ่าวฟังถึงของชิ้นสุดท้าย ก็หน้าแดง ถึงคุณหนูใหญ่พูดไม่หมด นางกลับก็เข้าใจ อนุเป็นได้ก็เพียงที่รองรับแรงปรารถนาของผู้ชายชั่วคราว มุ้งกระโจมสีน้ำเงิน เตือนให้คุณหนูรองรักษาเวลาชั่วคราวนี้ไว้ให้นานๆ ให้สามีเข้ากระโจมนางทุกคืน


 


 


ทว่า อย่าพูดไป ของขวัญที่คุณหนูใหญ่เสนอนั้น ตรงไปตรงมาจริงๆ เรียบง่ายแต่ทรงพลัง และน่าจะถูกใจผู้อาวุโสด้วย เพราะผู้อาวุโสในตอนนี้ อยากจะให้สินสอดอะไรกับคุณหนูรองที่ไหนกัน ของขวัญเช่นนี้ ไม่เพียงมีความหมายเหมาะกับการรับอนุเข้าบ้าน ที่สำคัญคือ ไม่ฟุ่มเฟือย ผู้อาวุโสย่อมเห็นด้วย


 


 


บ่าวจึงจำให้ขึ้นใจ ถอนสายบัว แล้วรีบขอตัวกลับเรือนตะวันตก ถ่ายทอดคำพูดของคุณหนูใหญ่ให้ถงฮูหยินฟัง


 


 


และเป็นไปตามที่นางคาดไม่มีผิด พอฟังจบ ถงฮูหยินก็ยิ้มหน้าบาน


 


 


“ข้าว่าแล้ว ยังคงเป็นชิ่นเอ๋อร์ที่รู้ใจข้ามากที่สุด และรู้จักกาลเทศะมากที่สุด!”


 


 


หวงน้าสี่กำลังปรนนิบัติถงฮูหยิน รินน้ำชาและทุบขาอยู่ด้านข้าง ไหนเลยจะไม่รู้ว่าหญิงชราคิดอย่างไร จึงยิ้มรับ


 


 


“จริงด้วย ลูกสาวทั้งบ้าน ชิ่นเอ๋อร์น่ะฉลาดสุด ลูกเมียหลวง อย่างไรก็เก่งกว่าลูกเมียน้อยที่ชั่วร้ายนั่น แต่อย่าพูดไป ข้าว่าลูกสาวของน้องรอง ก็มีแต่นางนี่ล่ะที่จะประสบความสำเร็จ ได้แต่งกับเจ้าใหญ่นายโต นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่สกุลอวิ๋น!”


 


 


หวงน้าสี่พูดไปเช่นนั้นเอง แต่พอถงฮูหยินได้ยิน หัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา แต่ก็พยายามสงบจิตสงบใจ จะว่าไป ชิ่นเอ๋อร์ก็เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปี ถึงจะเข้าเกณฑ์แต่งงาน ผู้หญิงในเมืองแต่งช้ากว่าผู้หญิงในชนบทนิดหน่อย แต่อายุในตอนนี้ของชิ่นเอ๋อร์ แม้ยังแต่งงานไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรมีคู่หมั้นแล้ว ซึ่งเดิมทีนางกับจวนโหวเคยหมั้นปากเปล่ากันอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว น่าเสียดายจริงๆ…


 


 


หญิงชราถอนหายใจเบาๆ ถ้าช่วงที่ตนอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ได้จัดการเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลใหญ่ๆ ให้หลานสาวคนโตสำเร็จ ก็จะเบาใจลง กลับบ้านไป ยังคุยโวได้อีก


 


 


ถงฮูหยินทำอะไรรวดเร็วตรงไปตรงมา ถ้าบอกว่าจะทำก็ต้องทำ จึงทำตามความคิดของอวิ๋นหว่านชิ่น เตรียมของขวัญสามอย่างไว้เรียบร้อย คืนก่อนวันออกเรือนของอวิ๋นหว่านเฟย ก็เรียกให้คนบรรจุใส่ลัง แล้วยกออกไป


 


 


เมื่ออวิ๋นหว่านเฟยได้ยินว่า ถงฮูหยินยังให้สินสมรสตนติดตัวมาส่วนหนึ่ง ก็ไม่ต้องพูดแล้ว ต้องต่างกับที่


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเตรียมไว้ให้ราวฟ้ากับเหวแน่ และพอส่งคนไปสืบดู ก็ได้ความว่า มีเพียงลังเดียว


 


 


ลังเดียวเท่านั้น…ของดีอะไรนักหนา


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยมิได้หวังสูงขนาดที่ว่า ข้างในคือทองหยอง แต่ลึกๆ แล้ว ก็หวังอยู่ส่วนหนึ่ง


 


 


อีกทั้ง สินสมรสแม้มีเพียงลังเดียว ถงฮูหยินก็เหมือนไม่ไว้ใจ ก่อนตนออกเรือน ยังเรียกคนให้ยกมาไว้ที่เรือนตนอีก


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยจึงอดรนทนไม่ไหว พอตกดึก ก็เรียกเฝ่ยชุ่ยกับปี้หยิงที่กำลังจะตามตนไป ยกลังเข้ามาเปิดออกดู

 

 

 


ตอนที่ 73-3 สถานะอนุคนโปรดและชะตากรรม

 

เฝ่ยชุ่ยกับปี้หยิงจึงรวมพลังกันยกลังไม้ขนาดสามศอก สูงราวหนึ่งศอกเข้ามา


 


 


พอเปิดออกดู ของเหล่านี้ยังไม่ถึงกับทำให้อวิ๋นหว่านเฟยโกรธจนควันออกหู แค่ยกมือ ‘ฟึ่บ’ ปัดของที่อยู่ในลังพลิกคว่ำ แต่คิดๆ ก็ยังไม่หายแค้น จึงดึงม้วนผ้าห่มปักลายออกมา แล้วหยิบกรรไกร คิดจะตัด


 


 


ปี้หยิงรีบโผเข้าห้าม ก่อนส่งสายตาให้เฝ่ยชุ่ยรีบนำลังไม้ออกไปเพื่อความปลอดภัย นี่เป็นของขวัญที่ผู้อาวุโสจัดเตรียมไว้ให้ และพรุ่งนี้เช้า ฟ้ายังไม่ทันสาง ก็ต้องนำไปไว้ที่จวนกุยเต๋อโหวก่อน จึงเสียหายไม่ได้


 


 


พอเฝ่ยชุ่ยวิ่งออกไป อวิ๋นหว่านเฟยก็เขวี้ยงกรรไกรลงบนพื้น เสียงดัง ‘แคร๊ง’ ก่อนสาปแช่งอย่างดุเดือด


 


 


“นี่เป็นสินสอดที่สกุลอวิ๋นเตรียมไว้ให้รึ! ดี ดี! แต่ละคนพากันดูถูกอนุอย่างข้า ต่อไปถ้าข้าได้เลื่อนตำแหน่งล่ะก็ อย่ามานับญาติกับข้าล่ะ! ยายแก่นั่น หญิงบ้านนอกบ้าบอนั่นอีก ยังมีนังตัวดีที่เรือนฝูหยิง…ข้าจะให้พวกมันแต่ละคนไม่ตายดี!”


 


 


ปี้หยิงทนไม่ไหว “คล้ายคุณหนูใหญ่เป็นคนเสนอนะเจ้าคะ ผู้อาวุโสถึงได้เตรียมให้เช่นนี้”


 


 


ว่าแล้วก็พูดความหมายของขวัญทั้งสามอย่างให้ฟังแบบเดียวกับต้นฉบับเจ้าของความคิดไม่ผิดเพี้ยน


 


 


พอฟังจบ อวิ๋นหว่านเฟยก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขวี้ยงของมั่วซั่วอีกรอบ ไม่ง่ายเลยกว่าที่ปี้หยิงจะเตือนสติจนสงบ พอเห็นอารมณ์นางชะงักไปพักหนึ่ง ก็ลองพูดเสียงต่ำ


 


 


“คุณหนูรอง พรุ่งนี้จวนโหวจะมารับคนแต่เช้า คืนนี้ท่านน่าจะไปพบหน้าฮูหยินหน่อย ต่อไปคงยากที่จะพบหน้ากันอีก”


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยถูกสินสอดในลังทำให้โกรธจนสำลัก สินสอดเพียงเท่านี้ถ้าส่งไป มิถูกคนในจวนกุยเต๋อโหวหัวเราะเยาะจนฟันร่วงหรือ โดยเฉพาะภรรยาของมู่หรงอัน ท่านหญิงที่มาจากจวนอ๋องนั่น ซึ่งเดิมทีตนคิดใช้สินสอดที่มารดาเตรียมไว้ให้อย่างอลังการ ผงาดขึ้นมายืนอยู่แถวหน้า แต่ตอนนี้เป็นไงล่ะ ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าธุลีไปหมด!


 


 


จะว่าไป ต้องโทษมารดา ที่ดันมามีเรื่องในตอนนี้ ส่งผลให้ตนต้องซวยไปด้วย


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยรู้สึกกระวนกระวายใจ จึงเหวี่ยงวีนไม่หยุด “มองอะไร มีอะไรน่ามอง ใช่ว่าลูกสาวอย่างข้าอยากต่อว่านาง แต่นางเป็นฮูหยินรองเจ้ากรมอีท่าไหน ถึงได้ถูกหญิงบ้านนอกสองคน กับเด็กสาวอายุสิบกว่าปีเหยียบจนมิด! จนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางโดนคนเดียวไม่พอ ยังพาให้ข้าพลอยโดนไปด้วย! ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องขึ้นกับนาง ข้าไหนเลยจะมีสินสอดแค่ลังเดียว แล้วข้างในยังมีแต่ผ้าห่วยๆ หยาบๆ อีก ถ้าข้าเอาของพวกนี้เข้าบ้านสามี จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! ใครยังจะเห็นหัวข้าอีก!”


 


 


ปี้หยิงตกใจมาก ที่นางเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ปกตินึกว่าคุณหนูรองแค่ดื้อด้านเอาแต่ใจตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะถึงขั้นไม่มีน้ำใจกับแม่บังเกิดเกล้า วันนี้ตนบังเอิญได้เจออาเถาที่ดูแลฮูหยินในห้องเล็กข้างห้องบูชาบรรพชน ซึ่งกำลังเดินออกมาเอาอาหาร อาเถาบอกว่าหลังจากฮูหยินเลือดออก ปากแผลก็อักเสบ คล้ายบางส่วนติดเชื้อ สองวันนี้จึงไข้ขึ้น ตัวร้อนไม่หาย สะลึมสะลือ อยากนอนตลอด


 


 


ยาที่ท่านหมอให้ไว้ในคืนที่มาตรวจอาการแท้ง อาเถาต้มให้ฮูหยินกินก็แล้ว แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น จึงวานปี้หยิงให้ช่วยบอกคุณหนูรองหน่อย ให้นางหาโอกาสไปขอนายท่าน ให้หาหมอตำแยที่ดีกว่านี้มารักษาฮูหยิน


 


 


แต่ดูจากท่าทางของคุณหนูรองในตอนนี้ จะเสี่ยงไปหานายท่านเพื่อขอหมอคนใหม่ให้แม่หรือ ขนาดแค่ไปเยี่ยมแม่ก็ยังไม่ยอมไป ทว่าปี้หยิงไม่ใช่คนใจดำ รับปากอาเถาแล้ว และทนไม่ได้จริงๆ ที่จะปล่อยให้ฮูหยินไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเรือนไป จึงยังคงเอ่ยปากเตือน


 


 


“คุณหนูรองเจ้าคะ ได้ยินอาเถาว่าฮูหยินเป็นไข้ตัวร้อน แต่ก็ยังเค้นแรงที่มีอยู่ทั้งหมดเรียกแต่ชื่อท่าน อย่างไร ท่านไปดูนางหน่อยเถิด”


 


 


พอได้ยินว่ามารดาป่วยหนัก อวิ๋นหว่านเฟยก็สงบปากสงบคำลง แต่ก็ยังลังเลอยู่นาน ก่อนขมวดคิ้ว


 


 


“ใช่ว่าข้าอกตัญญูหรือไม่มีหัวใจ แต่เรื่องที่ท่านแม่ทำร้ายคน เป็นความผิดร้ายแรง ถ้าอยู่นอกบ้าน ไม่ได้เป็นฮูหยิน ป่านนี้ถูกโยนเข้าคุกไปแล้ว สภาพหมิ่นเหม่แบบนี้ ข้าจะไปเยี่ยมได้อย่างไร วันนั้นเจ้าไม่รู้หรอก ข้าไปที่เรือนหลักแค่ครั้งเดียว ท่านย่าก็พาคนบุกเข้ามาใหญ่โต น่ากลัวมาก…ข้าก็พลอยเคราะห์ร้ายไปด้วย สินสอดถูกตัดจนเหลือแค่นี้ ถ้าไปเยี่ยมนางอีก แล้วถูกใครเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษเช่นไร! แต่เอาเถอะๆ สักพักพอเจ้าออกไป ก็คิดหาวิธีไปเจออาเถา วานนางให้บอกท่านแม่ว่า อย่าคิดมาก รักษาตัวเองให้ดี อดทนไว้ หลังจากข้าเข้าจวนโหวแล้ว จะหาโอกาสมาเยี่ยมนางเอง”


 


 


ขนาดอยู่บ้านห่างกันไม่กี่ก้าว ก็ยังไม่ยอมไปเลย แล้วยังจะหวังให้นางออกเรือนแล้วกลับมาเยี่ยมอีกหรือ ปี้หยิงลอบทอดถอนใจ ก่อนเปลี่ยนความคิด


 


 


“คุณหนูรองมิใช่กำลังกังวลใจว่าสินสอดน้อยไปหรือ เกรงว่าพอแต่งไปแล้วจะไม่มีสมบัติติดตัวไว้ให้อุ่นใจ บ่าวขอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดเรื่องหนึ่ง อย่างไรฮูหยินก็อยู่ในจวนรองเจ้ากรมมาสิบกว่าปี สินสอดที่เตรียมไว้ให้ท่าน ก็ใช่ว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมด”


 


 


พอได้ยิน อวิ๋นหว่านเฟยก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า มารดาอาจยังมีทรัพย์สินที่กำไว้อย่างแน่นหนาอยู่ สาวใช้นางนี้หัวดีมาก จึงพลันเด้งตัวขึ้น จากที่ขี้เกียจสันหลังยาวอยู่ “ไป ไปห้องบูชาบรรพชนกัน”


 


 


ฝนฤดูใบไม้ร่วงหยุดตกแล้ว ท้องฟ้ายามค่ำคืนดุจอัญมณีเม็ดใหญ่ ใสเหมือนถูกล้าง ดวงดาวดารดาษ


 


 


ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง อยู่ติดข้างห้องบูชาบรรพชน หน้าร้อนหลบลมร้อนไม่ได้ หน้าหนาวหลบลมหนาวไม่ได้ หลังคามีรอยรั่วซึม กันลมฝนไม่ได้ ฝนจึงสาดเข้ามาบ่อยๆ เป็นที่ที่ใช้ขังเถามอมอในช่วงแรก


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหมือนซากศพอย่างไรอย่างนั้น เอนหลังอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว นอกจากอาเถาที่มาส่งข้าวส่งน้ำและป้อนยาให้กินวันละสองเวลาแล้ว ก็ไม่มีใครถามถึงอีก


 


 


วันนี้พอตกดึก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็เจ็บแผลขึ้นมา ขณะกำลังนอนครางอยู่บนที่นอนเก่าขาด ประตูก็ส่งเสียงดัง ‘แอ๊ด’ พอฝืนยกศีรษะขึ้นดู ก็พบว่าเป็นลูกสาว


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยสะเทือนใจสุดจะเปรียบ เมื่อเห็นสภาพมารดา ไหนเลยจะคิดว่า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน นางจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หลายวันก่อนตอนที่ยังไม่ถูกลากตัวมาที่นี่ ตอนอยู่ในเรือนหลักนั้น ยังมีความเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง…แต่สภาพที่เห็นตรงหน้า อเนจอนาถยิ่งกว่าตอนที่ตนถูกขังให้อยู่แต่ในห้องเสียอีก


 


 


ผมเผ้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ยพันกันยุ่งเหยิงจนกลายเป็นก้อนสังกะตังและมีกลิ่นเหม็น ด้วยไม่ได้สระมานานหลายวัน กระทั่งมีผมขาวแซมอยู่หลายเส้น ตาโหล เบ้าตาลึก ริมฝีปากแห้งแตก


 


 


เดิมทีนางเป็นคนผอมอยู่ แต่นั่นเป็นรูปร่างผอมเพรียวที่ทำให้บุรุษหลงใหล แต่หลังจากแท้ง ร่างกายนางก็มีสภาพดุจเปลวเทียนที่สั่นไหวในสายลมแบบเดียวกับเหล่าหญิงชรา ผิวพรรณสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งเ**่ยวสุดๆ แก่ลงร่วมสิบยี่สิบปีเห็นจะได้


 


 


พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นลูกสาว ก็ดีใจยิ่ง “เฟย เฟยเอ๋อร์…มาแล้ว รีบ รีบเข้ามาหาแม่เร็ว พ่อเจ้ากับย่าเจ้าเห็นเจ้าหรือเปล่า”


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยได้กลิ่นอะไรตุๆ น่าจะเป็นปัสสาวะราด แต่ยังไม่ได้ทำความสะอาด จึงกลั้นหายใจ แล้วพูดห้วนๆ แค่ “แม่” จากนั้นก็หลบไปนั่งริมเตียง ห่างออกไปหลายศอก ไม่กล้าเข้าใกล้


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูออกว่าลูกรังเกียจตน แต่กลับไม่ตำหนิอะไร ด้วยลูกถูกเลี้ยงอย่างตามใจจนเคยตัวมาแต่เด็ก จึงเป็นธรรมดาที่จะรับไม่ได้ ลูกมาในเวลานี้ได้ ก็กตัญญูพอแล้ว


 


 


ทว่าปี้หยิงกลับรู้สึกสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช้เพราะตนพูดเปรยๆ ว่า ฮูหยินอาจยังมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่ คุณหนูรองไหนเลยจะมา นางไม่ได้มาเพราะกตัญญูเอาใจใส่ แต่มาปล้นต่อต่างหาก ฮูหยินช่างน่าสงสารจริงๆ


 


 


และแล้ว ยังนั่งได้ไม่ทันไร อวิ๋นหว่านเฟยก็เล่าให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยฟังว่า ท่านย่ายึดสินสอดของตนไป และให้โต๊ะเครื่องแป้ง ผ้าห่มปักลาย กับมุ้งกระโจมเป็นของขวัญวันออกเรือนแทน ตามคำแนะนำของอวิ๋นหว่านชิ่น จากนั้นก็พูดเข้าประเด็นทันที ใบหน้าเรียวแหลมขาวเล็กพลันบีบเข้าหากัน ก่อนเค้นน้ำตาออกมาสองหยด


 


 


“ท่านแม่ ถ้าลูกนำของพวกนี้เข้าบ้านสามีไป ภายหลังก็ต้องอยู่อย่างเชิดหน้าชูตาไม่ได้แน่ ท่านแม่ลองดูให้หน่อยสิว่า ยังพอจะมีหนทางอะไรอีกบ้าง”


 


 


แม้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยป่วยจนเลอะเลือน ก็ยังเดาได้ว่า ลูกสาวมาแบมือขอเงิน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจ ที่แท้ลูกสาวที่ตนให้กำเนิดและเลี้ยงดูมา พอถึงยามคับขัน กลับไม่คิดที่จะช่วยเหลือนาง และไม่ได้มาถามไถ่ทุกข์สุขกับนางจากใจจริง แต่มาเพื่อปอกลอกนาง


 


 


แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น ในเมื่อนางมีลูกสาวเพียงคนเดียวที่พึ่งพาได้…


 


 


การเตรียมสินสอดให้อวิ๋นหว่านเฟยในครั้งนี้ แม้แทบจะล้างกรุสมบัติน้อยๆ ของนาง แต่นางยังมีทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ยังมิได้นำออกมาจริงๆ


 


 


เป็นเงินจำนวนไม่น้อยที่ฝากไว้กับธนาคารอวี้เหา ซึ่งนางแลกออกมาเป็นตั๋วแลกเงิน แล้วนำมาเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยซึ่งไม่มีใครรู้ เคราะห์ดีที่นางทำเช่นนี้ มิเช่นนั้น ต้องถูกหญิงชรายึดคืนกลับไปไว้ในคลังของจวนสกุลอวิ๋นแน่


 


 


ทรัพย์สินส่วนนี้จะซี้ซั้วแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด…เพราะตอนนี้นางไม่เหลืออะไรแล้ว จึงต้องมีเงินเผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ถ้าไม่มีเงินส่วนนี้ ก็เท่ากับนางหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งอย่างจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 73-4 สถานะอนุคนโปรดและชะตากรรม

 

“เฟยเอ๋อร์” ริมฝีปากที่แห้งผากของไป๋เสวี่ยฮุ่ยสั่นเทา โทนเสียงแฝงเจตนาขอโทษ


 


 


“แม่ก็อยากให้เจ้าได้เชิดหน้าชูตา แต่ แต่เงินที่แม่มีอยู่ ได้ลงไปกับสินสอดของเจ้าหมดแล้ว ไม่ ไม่เหลือหลอ…”


 


 


นางเงียบไปนานกว่าจะพูดออกมาได้ โกหกหรือเปล่า? ต้องซ่อนเงินไว้แน่ ไม่ยอมเอาออกมา


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยเป็นคนใจร้อน พอเห็นมารดาไม่ยอมให้เงิน ก็ลุกขึ้นพรวด คราวนี้ไม่มีน้ำตา


 


 


“ถึงขั้นนี้แล้ว แม่จะซ่อนเงินไว้ทำไม หรือเห็นเงินสำคัญกว่าลูกสาวคนนี้”


 


 


“แม่ไม่มีจริงๆ” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกัดฟันพูด ยืนยันตามคำเดิม


 


 


ลูกสาวชอบพูดจาเกินจริง นิสัยก็เย่อหยิ่ง แต่สมองกลับไม่ค่อยมีเหตุผล เงินมากขนาดนี้ จะให้อยู่ในมือนางไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้น ต้องถูกผู้อื่นเอาเปรียบแน่


 


 


ปี้หยงรีบก้าวเข้าเตือนสติ


 


 


“คุณหนูรอง ฮูหยินอาจกระเป๋าแห้งจริงๆ ท่านอย่าทำให้ฮูหยินลำบากใจไปเล…”


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยยิ้มเย็นชา พลางผลักปี้หยิงออก แล้วพูดอย่างไม่ไว้หน้า


 


 


“กระเป๋าแห้งอะไร ข้าเป็นลูกสาวนาง นิสัยนางเป็นเช่นไร มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ดูแลจัดการบ้านสกุลอวิ๋นมานานหลายปี เป็นไปไม่ได้ที่จะมีทรัพย์สินส่วนตัวแค่นี้ แม่ อย่าหาว่าข้าพูดจาหยาบคายไป ที่ข้าต้องออกเรือนอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ ก็เป็นผลพวงจากท่าน ยังมี ตอนนี้ข้าเป็นลูกสาวคนเดียวของท่าน ท่านไม่มีลูกชายแล้ว ลูกชายที่ท่านอยากได้มาตลอดนั้น ตายไปแล้ว! ต่อไปท่านจะทำอะไรได้อีก โดยพื้นฐานแล้วก็ต้องพึ่งพาข้า ถ้าข้าได้ดิบได้ดี ก็ไม่แน่ว่า พูดเพียงคำสองคำ ท่านพ่อกับท่านย่าก็ให้อภัยท่านแล้ว มิหนำซ้ำยังยกตำแหน่งเดิมคืนให้ท่านอีก!”


 


 


“เจ้า…” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเลือดขึ้นหน้า


 


 


นี่คือลูกสาวแสนดีที่ตนอุ้มทองมาเกือบสิบเดือน แล้วคลอดออกมาอย่างยากลำบากหรือ จึงรวบรวมกำลังทั้งหมด จับหมอนขว้างใส่


 


 


“ลูกอกตัญญู! ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ตีเจ้าให้ตาย! รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากเจ้าตั้งแต่เกิดไปแล้ว!”


 


 


ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเอง เพราะนางตามใจลูกจนเกินเหตุ ถึงได้เลี้ยงจนโตมาเป็นคนเห็นแก่ตัว เลือดเย็นไร้น้ำใจ ไม่รู้จักผิดถูก อีกทั้งยังไม่มีสมองด้วย!


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยเอี้ยวตัวหลบหมอนได้ พอเห็นว่าไม่มีทางได้เงินแน่ๆ ก็ร้องแรกแหกกระเชออย่างโกรธแค้น


 


 


“เช่นนั้นจากนี้เป็นต้นไป ลูกก็จะใช้ชีวิตอันหรูหรามั่งคั่งในจวนโหวของลูก ส่วนแม่ก็เฝ้าเงินของแม่ไปจนตายก็แล้วกัน!” ว่าแล้วก็เดินนำปี้หยิงออกจากห้องไป


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยันกายให้นั่งนิ่งอยู่บนเตียงสักพัก น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ นางยัง


 


 


นับว่ามีความหวังอยู่บ้าง แต่หลังจากบาดหมางกับลูกสาว นางก็คล้ายตกลงไปในหล่มโคลนจริงๆ สูดอากาศ


 


 


บริสุทธิ์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย


 


 


หรือนางต้องรบกวนน้องสาวอีก


 


 


ก่อนหน้านี้ เรื่องออกเรือนของลูกสาวยังพอทำเนา แต่ตอนนี้เป็นเรื่องในครอบครัว…น้องสาวจะเข้ามาแทรกแซงได้อย่างไร


 


 


ต่อให้เป็นฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องในบ้านของขุนนาง!


 


 


ความหนาวเหน็บค่อยๆ คืบคลานเข้าห่อหุ้มร่างกายนาง จนนางแทบจะลืมความเจ็บปวดจากแผลฉีกขาดช่วงล่าง


 


 


ไม่ ชีวิตนางไม่ควรเป็นแบบนี้…


 


 


ตามเป้าหมาย นางควรให้กำเนิดทายาทสกุลอวิ๋นแก่ท่านพี่ได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็ค่อยๆ กำจัดทายาทของฮูหยินคนก่อนชนิดไม่มีใครจับได้ ทำลายยอดอ่อนโดยไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว!


 


 


ส่วนลูกสาวคนโตก็ไม่ต้องพูดถึง อาศัยที่นางเกิดก่อนลูกสาวตนไม่กี่ปี คิดจะออกเรือนไปเป็นฮูหยินน้อยของจวนโหวรึ ไม่มีปัญหา อยากไปก็ไปสิ แค่ป้อนยาแรงให้นางกินก็สิ้นเรื่อง ทำให้นางสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดของความเป็นผู้หญิงอย่างความสามารถในการเจริญพันธุ์ไป แล้วค่อยใช้ตำแหน่งฮูหยินของนางเป็นสะพาน ให้ลูกสาวตนฉวยโอกาสตีสนิทคุณชายรองนั่น เพื่อเข้าแทนที่นาง…สุดท้าย ตำแหน่งของนางก็จะเป็นของลูกสาวตน


 


 


แต่ละขั้นของแผนการ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจัดเตรียมไว้อย่างไร้ที่ติแต่แรก โดยซักซ้อมอยู่ในหัวสมองนับครั้งไม่ถ้วน! ถ้าเป็นไปตามนี้จริง ผู้ชนะของจวนสกุลอวิ๋น ช้าเร็วก็คือพวกตนสองแม่ลูก!…แต่ทำไม ทำไมตนยังไม่ทันได้ลงมือ ก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่! ทั้งหมดล้วนต่างจากที่ตนจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง!


 


 


ไป๋เสวี่ยฮุ่ยส่งเสียงครางออกมาคำหนึ่ง แล้วจึงจับผ้าห่มแน่นดุจตัวแม่ที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนปล่อยโฮเสียงดังลั่นอย่างโศกาอาดูร


 


 


……


 


 


วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังไม่ปรากฏแสงสว่าง บ่าวในบ้านก็มาที่เรือนคุณหนูรอง ยกลังสินสอดออก ฉวยโอกาสก่อนอรุณเบิกฟ้า ส่งไปยังจวนโหว


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยก็ตื่นแล้วเช่นกัน พออาบน้ำเสร็จ ปี้หยิงก็มาช่วยมวยผมและแต่งเนื้อแต่งตัวให้                  


 


 


ในคันฉ่อง ช่วงอายุสิบสาม คือช่วงที่ดีที่สุดของหญิงสาว นางดูงดงามดั่งดอกไม้แรกแย้ม คางแหลมเรียว แก้มชมพู แต่แล้วก็พลันเปลี่ยนสีหน้า อดไม่ได้ที่จะโศกเศร้าและขุ่นเคือง


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง เดิมทีตนควรมีขบวนขันหมากที่ยาวเหยียดมารับ แล้วตนก็สวมชุดและมงกุฎเจ้าสาว เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผยภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง ขึ้นเกี้ยวสีแดงหลังใหญ่แปดคนหาม เข้าสู่จวนกุยเต๋อโหว แต่ตอนนี้เล่า ต้องสวมชุดเจ้าสาวสีชมพูที่บ่งบอกว่าเป็นอนุ ด้านหลังมีเพียงสาวใช้คนเดียวติดสอยห้อยตาม สินสอดมีแค่หนึ่งลังไม้ คนของจวนโหวที่มารับก็มีเพียงบ่าวสูงอายุสองคน โดยอาศัยช่วงที่ฟ้ายังไม่สาง รับตนออกไป พอไปถึงก็ต้องเข้าทางประตูข้าง ไม่สามารถเข้าทางประตูใหญ่


 


 


“นี่ก็สายแล้ว ได้เวลาออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรอง”


 


 


ปี้หยิงพูดเสียงเบา จากนั้นก็หันไปจับชายกระโปรงอวิ๋นหว่านเฟย เพื่อให้ก้าวเดินออกจากห้อง


 


 


ท่ามกลางท้องฟ้ากึ่งมืดกึ่งสว่าง สรรพสัตว์ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่น อวิ๋นหว่านเฟยพยายามข่มความไม่พอใจ แล้วเดินไปจนถึงหน้าประตู ซึ่งเกี้ยวหลากสีสำหรับอนุได้จอดรอมาครึ่งชั่วยามแล้ว


 


 


ป้าจัน หญิงวัยกลางคนของจวนโหว ผู้นำส่งเจ้าสาวในครั้งนี้ พอเห็นเจ้าสาวก้าวออกมา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ พร้อมแนะนำตัวเอง ก่อนที่จะพูดจากลางๆ “อนุอวิ๋น ขึ้นเกี้ยวเถิด ฟ้าใกล้สว่างแล้ว”


 


 


พออวิ๋นหว่านเฟยได้ยินคำว่าอนุอวิ๋น ก็รู้สึกโมโห และพอเห็นท่าทางไม่แยแสของป้าจัน ก็คิดว่าป้าต้องรู้สึกว่าขบวนเกี้ยวของตนน่าสมเพชแน่ จึงเอามือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนยื่นถุงเงินใบเล็กให้ถุงหนึ่ง


 


 


“ลำบากป้าจันแล้ว”


 


 


ป้าจันเหลือบมองถุงเงินใบเล็ก นางเป็นบ่าวในจวนโหวแต่เด็ก เห็นอะไรมามาก จะไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากได้อย่างไร มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีแต่เศษเงินอยู่ในนั้น จึงยิ่งดูแคลน ถอยหลังสองก้าว


 


 


“อนุอวิ๋น ถ้าไปถึงจวนโหวแล้ว ขออย่าใช้วิธีนี้อีก เราเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ชอบใช้วิธีที่ชาวบ้านทั่วไปชอบใช้กัน”


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยอึ้ง เห็นเพียงป้าจันหันกายไปบ่นพึมพำกับบ่าวในจวนโหวที่มาด้วยกันคนหนึ่ง แม้เสียงที่ลอยมาเบา แต่เห็นชัดว่าไม่สนใจแม้ใครจะได้ยิน


 


 


“…แค่สิบตำลึงเงินก็ยังไม่มี ให้ขอทานรึ ชิ เสียเวลาชะมัด หลายวันก่อนข้าแค่ออกจากจวนไปซื้อของหวานให้ฮูหยินคุณชายใหญ่ ยังได้ที่ติดผมสีทองมาอันหนึ่ง ขนาดฮูหยินหลับหูหลับตาให้นะ”


 


 


ฮูหยินคุณชายใหญ่ที่ว่าก็คือท่านหญิงคังหนิง ภรรยาของมู่หรงอัน


 


 


เหมือนถูกบีบให้ยอมจำนน อวิ๋นหว่านเฟยหน้าแดง กัดฟันกรอด ขณะที่ป้าจันหันกลับมา แล้วว่า


 


 


“อนุอวิ๋น ยังไม่ขึ้นเกี้ยวอีกหรือ”


 


 


ตามหลักแล้ว บ่าวรับใช้ควรแบกเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว อวิ๋นหว่านเฟยจึงขมวดคิ้ว


 


 


“คนของจวนโหวควรแบกข้าขึ้นเกี้ยวมิใช่หรือ”


 


 


ป้าจันว่า “ขามา ป้าเกิดปวดเอว ถ้าฝืนแบกท่านไว้ อาจทำให้ท่านร่วงหล่นได้ เรื่องมงคลก็จะกลายเป็นเรื่องอัปมงคลไป ส่วนอีกคนที่มากับป้าก็เป็นผู้สูงอายุและเป็นผู้ชาย ไม่สะดวกหรอก ท่านน่ะ ก้าวขึ้นไปเองจะดีกว่า”


 


 


พอปี้หยิงเห็นคนของจวนโหวมีท่าทีเช่นนี้ ก็แปลกใจยิ่ง ต่อให้มารับอนุ ก็ไม่ควรมีท่าทีไม่แยแสเช่นนี้ จึงพูดเสียงเบา “คุณหนูรอง บ่าวแบกท่านขึ้นเกี้ยวเอง…”


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยสะบัดแขน ก่อนเอ็ด “แบกเบิกอะไรกัน!” ว่าแล้วเดินไปข้างหน้า ก้าวขึ้นเกี้ยวไปเอง


 


 


จากนั้น เกี้ยวหลากสีก็ถูกแบกโยกไปเยกมา ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปบนท้องถนนที่มีคนเดินไปมาค่อนข้างน้อยอย่างอ้างว้างเดียวดาย และในที่สุด ก็หยุดลงก่อนฟ้าสว่าง


 


 


ประมาณว่าอวิ๋นหว่านเฟยได้มาถึงประตูข้างของจวนกุยเต๋อโหวแล้ว ขณะจะเลิกผ้าม่านตรงหน้าขึ้น ป้า


 


 


จันก็ยื่นมือเข้ามา คลุมผ้าคลุมศีรษะผืนหนึ่งให้นาง แล้วจึงพยุงนางลงจากเกี้ยว จากนั้นก็ร่วมกันกับปี้หยิงเข้า


 


 


พยุงนางคนละข้าง พาเข้าจวนไป


 


 


ซึ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็เข้าไปในห้องหนึ่ง


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จวนโหวจัดให้นางอยู่ที่ไหนกันแน่


 


 


จวนโหวกว้างใหญ่ไพศาล แต่…ทำไม พอเข้าประตูข้างมา ก็คล้ายถึงห้องหอแล้ว


 


 


ขณะนั่งอยู่บนเตียงแข็งๆ อวิ๋นหว่านเฟยกำลังจะถามว่าเมื่อไหร่มู่หรงไท่จึงจะมา ป้าจันก็ส่งเสียงดังมาจากหน้าประตู


 


 


“ตามธรรมเนียม อนุอวิ๋นต้องรอคุณชายรองอยู่ในห้องหอ ห้ามเดินและทำอะไรสะเปะสะปะ ยิ่งห้ามออกนอกห้อง เพราะจะไม่เป็นมงคล” ว่าแล้วก็ปิดประตู เดินจากไป


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยไหนเลยจะเชื่อฟัง พอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าป้าจัน ก็รีบเลิกผ้าคลุมหน้าขึ้น หันมองไปรอบๆ พลันหายใจเข้าลึกๆ!


 


 


นี่เป็นห้องแคบๆ ห้องหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าอยู่ในเรือนของมู่หรงไท่หรือไม่ เครื่องเรือนในห้องเรียบง่ายมาก มีเพียงเตียงติดผนังหนึ่งเตียง โต๊ะเก้าอี้สำหรับกินข้าวหนึ่งชุด บนโต๊ะมีรอยเลอะที่น่าสงสัยอยู่ ราวแขวนเสื้อหนึ่งราว ไม่มีอื่นใดอีก


 


 


ไม่มีเทียนแดงมังกรหงส์ ไม่มีขนมมงคล ไม่มีสุรามงคล…ทั้งห้อง ไม่มีบรรยากาศของห้องหอแต่อย่างใด


 


 


จึงดึงผ้าคลุมหน้าลง เขวี้ยงลงบนที่นอน อวิ๋นหว่านเฟยโกรธจัด พลางเรียก


 


 


“ปี้หยิง! ปี้หยิง! เจ้าไปตายที่ไหนแล้ว รีบเข้ามาเร็ว!”


 


 


ไม่มีเสียงขานรับ


 


 


รออยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ไม่มีใครมา นี่ก็เที่ยงแล้ว วันนี้นางตื่นแต่เช้า จึงไม่ได้กินอะไร ท้องร้องอยู่นาน รู้สึกหิวมาก แต่ห้องที่มองทั่วถึงได้ในปราดเดียว ไหนเลยจะมีของกินรองท้อง


 


 


จึงได้แต่ทนรอต่อ แล้วก็ค่อยๆ ง่วง จนผล็อยหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกที ท้องฟ้านอกหน้าต่างก็เป็นสีส้มในยามพลบค่ำแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 73-5 สถานะอนุคนโปรดและชะตากรรม

 

พอตื่น ก็ยิ่งหิว อวิ๋นหว่านเฟยหิวจนท้องกิ่วท้องแขวน ตะโกนเรียกปี้หยิงไปหลายครั้ง ทว่าไม่มีเสียงตอบรับเหมือนเดิม


 


 


ความมืดค่อยๆ คลี่คลุม


 


 


ไม่ถูกต้อง ดูแปลกๆ อวิ๋นหว่านเฟยลุกพรวดขึ้นยืน


 


 


อยู่ในห้องมาทั้งวัน ไม่มีบ่าวมาดูแลก็แล้วกันไป แต่ทำไมด้านนอกไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย อย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนโหว ต้องมีสาวใช้เดินไปเดินมาอยู่บ้าง


 


 


จึงย่องเบาๆ ไปที่ประตู แล้วใช้แรงเปิดกลอนประตูออก


 


 


พอประตูเปิดออก ม่านราตรีก็คลี่คลุมไปทั้งสี่ทิศแล้ว ค่ำคืนอันยาวนานได้เริ่มต้นขึ้น


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยเบิ่งตามองขณะยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน นางยืนตะลึงชั่วขณะ จากนั้นก็วิ่งออกไปยังลานด้านหน้าราวกับคนบ้า ก่อนหันมองรอบๆ อีกครั้ง


 


 


ตอนคบกับมู่หรงไท่ นางเคยไปที่เรือนของเขา แต่ที่นี่ไม่ใช่เรือนหลังนั้น ยิ่งไม่ใช่จวนกุยเต๋อโหว


 


 


ที่นี่คือที่ไหน


 


 


ด้านนอกยิ่งเรียบง่ายกว่าด้านในอีก มีเพียงบ่อน้ำโดดเดี่ยวบ่อหนึ่ง ต้นไม้เก่าแก่ที่ใบไม้หนึ่งใบกำลังร่วงหล่นลง หัวมุมมีห้องเล็กๆ ที่สร้างจากดิน ดูไปแล้ว เหมือนเตาไฟเล็กๆ เตาหนึ่ง


 


 


“ที่นี่คือที่ไหน…มีใครอยู่บ้าง มีใครอยู่บ้าง…”


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยใกล้สติแตกเต็มที นางมิได้ถูกบ่าวของจวนโหวรับเข้าจวนโหวหรอกหรือ มิใช่รอมู่หรงไท่อยู่ในห้องหอหรอกหรือ…นี่คือสถานที่บ้าบออะไรกัน!


 


 


ในที่สุด ประตูรั้วของเรือนน้อยก็เปิดออก มีเงาคนรีบวิ่งเข้ามา พอใกล้ถึงตัวอวิ๋นหว่านเฟย ก็คุกเข่าลงร้องไห้ “คุณหนูรอง!”


 


 


เป็นปี้หยิง


 


 


“เจ้าไปไหนมา ที่นี่มันที่ไหนกันแน่ ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน…” อวิ๋นหว่านเฟยจ้องมองปี้หยิงเขม็ง พลางจับไหล่นางเขย่าไปมาอย่างแรง


 


 


วันนี้พอเกี้ยวหยุด และปี้หยิงเห็นเรือนน้อย ก็ตกใจ แม้นางไม่เคยมาจวนโหว ก็มั่นใจว่าที่นี่ไม่ใช่จวนโหวอย่างแน่นอน รู้สึกเหมือนบ้านของชาวบ้านที่เรียบง่ายหลังหนึ่ง แต่ป้าจันพลันกวาดตามองมาอย่างดุดัน นางจึงไม่กล้าส่งเสียง เมื่อแต่งเข้าจวนโหว ก็คือคนของจวนโหว ไม่ว่าจะให้คุณหนูรองอยู่ตรงไหน นางก็เป็นเพียงสาวใช้ จะพูดอะไรได้


 


 


หลังจากที่นางกับป้าจันพยุงคุณหนูรองเข้าห้องเรียบร้อย ปี้หยิงก็ถูกป้าจันลากตัวออกมาด้านนอก นางจึงรีบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมไม่เข้าจวนโหว ทำไมพามาที่นี่


 


 


ป้าจันกระหยิ่มยิ้มย่อง ชายตามองนาง แล้วว่า “แม้ไม่ได้อยู่ในจวนโหว แต่ก็อยู่ไม่ไกลนักหรอก ในซอย


 


 


ข้างๆ จวนโหวนี่เอง ที่นี่เป็นเรือนที่แยกออกมาเดี่ยวๆ ไม่ดีรึ จะได้ไม่ต้องไปมาหาสู่กับคนในเรือนใหญ่ ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ทำอะไรไม่ต้องคอยดูสีหน้าใคร สบายดีออก ข้าน่ะ ยังอยากอยู่จะแย่!”


 


 


ปี้หยิงยืนตะลึง หมายความว่าอะไร นี่กำลังพูดว่าให้คุณหนูรองใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในเรือนหลังน้อย ข้างๆ จวนโหว ไม่สามารถเข้าจวนโหวหรือ


 


 


เช่นนี้จะต่างอะไรกับชู้นอกบ้าน


 


 


ชู้ มีสถานะต่ำกว่าอนุ อนุต้องผ่านพิธีการ มีคนเป็นสักขีพยาน สามารถอยู่กับสามีในเรือนใหญ่ได้อย่างเปิดเผย!


 


 


ปี้หยิงสับสนชั่วขณะ “ป้าจัน คุณหนูรองบ้านบ่าวแต่งเข้ามาในฐานะอนุ เหตุใดจึงให้อยู่ข้างนอก ใครเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ท่านโหวรู้หรือไม่!”


 


 


“เด็กโง่” ป้าจันเอ็ด “ยังจะมีใครจัดการได้อีก แต่งเข้ามาในฐานะอนุแล้วไง กฎหมายข้อไหนบอกว่า อนุเหมือนพระพุทธรูปทองคำ ต้องบูชาอยู่แต่ในบ้าน เลี้ยงไว้นอกบ้านไม่ได้บ้าง? คุณหนูรองก็อยู่ๆ ไปก่อน จวนโหวใกล้แค่นี้เอง อีกไม่กี่วัน ถ้าท่านโหวอารมณ์ดี ก็ไม่แน่ว่าจะเชิญคุณหนูรองให้กลับเข้าไป!”


 


 


ปี้หยิงยืนตัวแข็ง ป้าจันจึงตบไหล่นาง “เจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะตัวเองจะว่าง เมื่อเป็นสาวใช้ที่คุณหนูเจ้าพามาด้วย เจ้าก็คือคนของจวนโหวเราแล้ว ต่อไปทุกวันต้องไปทำงานในห้องครัวจวนโหวแต่เช้าจรดเย็น พอฟ้ามืดถึงจะกลับมาที่นี่ได้ โดยสามารถนำอาหารที่พอสำหรับหนึ่งวันติดไม้ติดมือมาให้คุณหนูเจ้า”


 


 


นี่ นี่มิใช่เห็นคุณหนูรองเป็นหมูเป็นหมา แล้วเลี้ยงไว้นอกบ้านรึ


 


 


ปี้หยิงหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอด แต่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบกลับ ก็ถูกป้าจันกับบ่าวอีกคนของจวนโหวลากตัวไป


 


 


และนางก็เพิ่งเสร็จจากการทำงานในห้องครัวเล็กๆ ของจวนโหวหนึ่งวันเต็มๆ ถึงได้กลับมา


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยสำลักตั้งแต่ฟังปี้หยิงเล่าแต่แรก จนพูดไม่ออกไม่ครึ่งค่อนวัน พอเห็นที่แขนปี้หยิงสะพายตะกร้าขาดๆ มาหนึ่งใบ ก็รีบเปิดออกดู เห็นกับข้าวที่กินเหลือไม่กี่จาน กับข้าวเปล่าอีกหนึ่งชาม ก็โมโหจนอยากจะปัดทิ้ง แต่ไม่สามารถ…วันนี้ทั้งวัน ไม่มีอะไรตกถึงท้องตนเลย นี่จึงเป็นอาหารที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวของวันนี้ ถ้าปัดทิ้ง ตนก็ต้องหิ้วท้องอย่างโหยหิว


 


 


“คุณชายรองล่ะ เจ้าเห็นบ้างไหม เขาพูดอะไรบ้าง วันนี้…เขาไม่มาแล้วหรือ” นี่เป็นความหวังสุดท้าย


 


 


ปี้หยิงก้มหน้าลง “ตอนบ่าวเห็นคุณชายรองนั้น คุณชายรองกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้หลังเรือน…นี่เพิ่งเป็นวันแรก ท่านโหวเพิ่งออกคำสั่ง แม้คุณชายรองอยากมาหาคุณหนูรองแค่ไหน ก็น่าจะให้เลยไปอีกสักสองสามวัน…”


 


 


อวิ๋นหว่านเฟยหัวเราะเย็นชา “ทิ้งให้ข้าอยู่ข้างนอกคนเดียวเช่นนี้ พวกเขาไม่กลัวว่าข้าจะหนีไปรึ!” คำพูดนี้พอพูดออกมา นางก็นิ่งไป น่าหัวร่อตัวเองจริงๆ


 


 


หนี? เกรงว่าพวกเขาอยากให้นางหนีแทบไม่ทัน ก็แค่อนุหนีไปคนเดียว สลัดหลุดจากตัวพอดี


 


 


ไหนเลยจะคาดคิดมาก่อนว่า คุณหนูรองจวนรองเจ้ากรมที่สง่างามจะมีวันตกต่ำถึงเพียงนี้ อวิ๋นหว่านเฟยกล้ำกลืนฝืนทน ค่อยๆ ปิดตะกร้าลง ท่านโหวอาวุโสมู่หรงนั่น คงเกลียดชังตนเองมากจริงๆ…


 


 


เนื่องจากท่านอาเข้ามาไกล่เกลี่ย ท่านโหวอาวุโสถูกบีบจนอับจนหนทาง เมื่อเบื้องบนมีนโยบายมา เบื้องล่างก็มีวิธีรับมือ เมื่อให้ตำแหน่งอนุคนโปรดแล้ว ก็ต้องให้ตนได้ซึมซับกับชะตากรรมของชู้นอกบ้าน แม้แต่ประตูจวนโหวก็ไม่อนุญาตให้เข้า


 


 


นิ้วมือที่เรียวยาวสั่นน้อยๆ อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา สุดท้ายนางก็เข้าใจแล้วว่า คำพูดของอวิ๋นหว่านชิ่นที่ว่า “ขอให้น้องมีชีวิตที่ดีในจวนโหวก็แล้วกัน” หมายความว่าอะไร


 


 



 


 


ด้านจวนสกุลอวิ๋น หงเยียนวิ่งวุ่นอยู่หลายวัน ดูทำเลไปหลายร้าน และนัดพบเมี่ยวเอ๋อร์นอกจวนทุกวัน เพื่อบรรยายรายละเอียดทำเลที่เล็งไว้ให้ฟังคร่าวๆ หรือไม่ก็เขียนจดหมายฝากไปให้อวิ๋นหว่านชิ่นโดยตรง


 


 


ซึ่งจากทำเลที่หงเยียนหามา อวิ๋นหว่านชิ่นก็เลือกได้ที่หนึ่ง


 


 


หน้าร้านตั้งอยู่ริมถนนจิ้นเป่าบริเวณกลางๆ ของถนนทั้งสาย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีมาก


 


 


โดยถ้าอยู่หัวถนนจนเกินไป ลูกค้าส่วนใหญ่มักไม่หยุดดูเพราะเพิ่งเดินเข้ามา แต่ถ้าอยู่ท้ายถนนจนเกินไป ลูกค้าหลายคนก็คร้านที่จะเดินเข้าไปลึกๆ


 


 


ร้านนี้เดิมทีเป็นร้านขายของกินประเภทของแห้ง ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนไม่มีร้านขายเครื่องประทินผิว หรือพูดได้ว่าไม่มีคู่แข่ง เจ้าของร้านเป็นคนชนบทรูปร่างอ้วน ตัดสินใจปิดกิจการกลับบ้านเกิด จึงต้องการโอนสิทธิ์การเช่าร้านอยู่พอดี


 


 


เพียงแต่เถ้าแก่อ้วนตั้งราคาขายไว้สูงมาก ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมลด ซึ่งเกินกว่างบประมาณที่อวิ๋นหว่านชิ่นตั้งเอาไว้ จึงได้แต่บอกให้หงเยียนช่วยต่อรองราคา


 


 


ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นดูคนไม่ผิด หงเยียนคลุกคลีอยู่ในแวดวงบันเทิงมาก่อน จึงช่างเจรจาพาที ถ้าเป็นคนธรรมดามาตื๊อหลายวันเข้า เถ้าแก่ก็คงคร้านที่จะฟังและคว้าไม้กวาดไล่ไปแต่แรกแล้ว


 


 


แต่หงเยียนเป็นคนพูดเก่งและมีเสน่ห์ ทุกครั้งที่เถ้าแก่เห็นนาง ก็จะอารมณ์ดี ต้อนรับนาง เชิญให้นั่งดื่มน้ำชา


 


 


แต่ไม่ว่าอย่างไร เถ้าแก่อ้วนก็ยังคงไม่ยอมลด


 


 


วันนี้ หงเยียนมาที่ถนนจิ้นเป่าอีก แล้วตรงไปยังร้านเดิมทันที บทพูดก็เตรียมมาแล้ว ขณะเดินเข้าร้านและกำลังคิดว่าวันนี้จะเจรจาอย่างไรนั้น เถ้าแก่อ้วนก็ไม่รอให้นางเอ่ยปาก โบกมือไหวๆ ก่อนพูดทำนองค่อนข้างเสียดาย


 


 


“แม่นาง ขออภัยด้วย เมื่อครู่มีคนมาจองร้านแล้ว”


 


 


หงเยียนสูดหายใจเข้า อวิ๋นหว่านชิ่นถูกใจแต่ร้านนี้ร้านเดียว ตอนนี้จึงแทบจะสิ้นหวัง แต่ต้องฮึดดูอีกครั้ง


 


 


“เถ้าแก่ คนค้าขายกันทำไมทำกันแบบนี้ ข้าก็บอกท่านแล้วว่า ข้าต้องการเช่าร้านจริงๆ ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นคุยราคา มิเช่นนั้นก็คงไม่ไปๆ มาๆ ตั้งหลายวันหรอก แล้วทำไมกลับให้คนอื่นมาตัดหน้าเล่า เมื่อวานข้ามาก็ไม่เห็นบอกสักคำ ทำไมถึงให้คนอื่นจองเร็วขนาดนี้ ท่านไม่รักษาสัญญาเลย! ไม่ได้ ข้ามาก่อน ถ้าท่านต้องการเงินค่าจอง ข้าจะให้ทันที แต่ท่านต้องปฏิเสธคนคนนั้นก่อน!”


 


 


เถ้าแก่อ้วนไม่มีทางเลือกเช่นกัน จึงแบมือ


 


 


“แม่นาง สัญญาปากเปล่าน่ะ นับเป็นอะไรได้ ก่อนหน้านี้เจ้าก็ไม่ได้ให้ค่าจองไว้ แต่เขาเป็นถึงข้าราชการ มาถึงก็ไม่พูดอะไรมาก ยื่นตั๋วแลกเงินแบบมีเลขที่และตราสัญลักษณ์ให้ทันที ข้า…ข้าไม่สามารถปฏิเสธเงินน่ะ!”

 

 

 


ตอนที่ 74-1 ธุรกิจร่วมทุนกับเรื่องหน้าแตกในวัง

 

หงเยียนยังไม่ยอมแพ้ กลอกดวงตาสุกสกาวไปมา กะพริบตาปริบๆ แล้วยื่นหน้าเข้าใกล้


 


 


“เถ้าแก่ คนผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน ชื่ออะไร”


 


 


เถ้าแก่อ้วนไม่ใช่คนโง่ รู้ว่านางคิดจะไปเจรจา จึงยิ้มพลางสั่นศีรษะ


 


 


“จะไปหาเขาแล้วเจรจาให้เขาหยวนให้เจ้าหรือ ข้าเป็นคนชอบทะนุถนอมดอกไม้ เห็นว่าเจ้าเป็นคนสวย ไม่อยากให้เสียแรงเปล่า จะบอกให้ ผู้ที่จองไว้น่ะ มาถึงก็วางตั๋วแลกเงินลงใบหนึ่ง มูลค่าเงินจองมากกว่าราคาที่ข้าบอกห้าเท่า ตั้งห้าเท่าเชียว แล้วยังกำชับนักกำชับหนาว่า จะมาดูร้านเรื่อยๆ เห็นชัดว่า ข้าราชการท่านนี้น่ะ เล็งร้านข้ามานานแล้ว ไม่ใช่แค่วันสองวันนี้แน่ หาไม่แล้วจะบอกข้าว่าอย่าให้คนอื่นได้อย่างไร พูดก็พูด ต่อให้เขายอมให้เจ้า แล้วเจ้ามีเงินจองอีกห้าเท่าให้เขาหรือเปล่าล่ะ…”


 


 


ตาสวยๆ ของหงเยียนมองนิ่ง บิดเอวได้รูปทีหนึ่ง กึ่งงอนกึ่งโกรธ กระเง้ากระงอดไปตามบท


 


 


“ท่านน่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้ตั้งมากมาย ข้าถามอะไร ท่านก็ตอบอะไรสิ ต่อความยาวสาวความยืดอยู่ได้!”


 


 


เถ้าแก่อ้วนจึงตีหน้าเศร้า “ผู้วางเงินจองเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าๆ หน้าตาหล่อเหลากว่าข้านิดหน่อย สูงกว่านิดหน่อย…ไม่ได้บอกชื่อไว้ แต่อย่างไรวันนี้บ่ายสามสี่สิบห้า เขานัดเจอข้าที่ร้านน้ำชาฮุ่ยตง แถวทิศเหนือของเมือง ให้ข้าจัดการเรื่องโฉนดกับหนังสือสัญญาโอนสิทธิ์การเช่า แล้วเอาไปให้เขา”


 


 


หงเยียนไตร่ตรองสักพัก ก็หันกายจากไป


 


 


แผนการในตอนนี้ ก็มีแต่ต้องไปหาผู้เช่าซื้อลึกลับคนนั้น ดูว่าพอจะขอร้องเขาได้หรือไม่


 


 


เมื่อผู้เช่าซื้อกระเป๋าหนักเช่นนี้ ย่อมมิใช่พ่อค้าธรรมดาทั่วไป เกรงว่าลำพังตัวคนเดียวอาจเอาไม่อยู่ พอดูเวลา ก็พบว่ายังเช้า ยังห่างจากเวลานัดอยู่มาก หงเยียนคิดๆ ก็ตัดสินใจไปบ้านสกุลสวี่


 


 


คุณชายสวี่เป็นญาติผู้พี่ของคุณหนูอวิ๋น และเป็นคุณชายในตระกูลพ่อค้าที่ทำการค้ากับราชสำนักมานาน น่าจะเชี่ยวชาญเรื่องการเจรจาธุรกิจ คิดบัญชีก็รอบคอบ ถ้ามีเขาอยู่ด้วย ย่อมช่วยได้มาก


 


 


เมื่อมาถึงบ้านสกุลสวี่ หงเยียนก็ก้าวขึ้นบันได และเคาะประตู


 


 


พอบ่าวเปิดประตูออก ก็พบสาวสวยในชุดแดงยืนอยู่หน้าประตู ท่าทางมีจริตจะก้าน คล้ายผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่แต่งตัวแบบยังไม่ได้แต่งงาน ไหนๆ ตนก็ตื่นจากการงีบแล้ว ก็ไปแจ้งให้คุณชายทราบเสียหน่อย


 


 


เดิมทีวันนี้สวี่มู่เจินมีนัดตีคลีกับรัชทายาท แต่กลับถูกบิดารั้งตัวไว้ ให้ดูสมุดบัญชีอยู่แต่ในห้องทั้งวัน จนกระทั่งตัวเลขในสมุดบัญชีดูเขา ไม่ใช่เขาดูตัวเลขในสมุดบัญชี ตาลายไปหมด พอได้ยินว่ามีคนมาหา ก็นับว่ามีข้ออ้างแล้ว จึงทิ้งสมุดบัญชี ยืดเส้นยืดสาย ไม่สนใจว่าผู้มาเป็นชายหรือหญิง พุ่งตัวออกจากห้อง ดุจลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง


 


 


จะว่าไป หงเยียนกับคุณชายสวี่เคยพบหน้ากันแค่ครั้งเดียว และวันนั้นก็เป็นตอนกลางคืนพอดี ทั้งสอง


 


 


ยืนคุยกันในลานบ้านป้าสี่ นางรู้แต่เพียงว่าผู้มาเยือนเป็นหนุ่มหล่อไร้ที่ติ แต่งตัวแบบคุณชายรุ่มรวย แม้สามปีที่


 


 


ผ่านมา นางเคยต้อนรับแขกเจ้าสำอางรุ่นราวคราวเดียวกันบนเรือสำราญมากมาย แต่ก็ไม่มีใครเทียบเขาได้


 


 


วันนี้เป็นครั้งที่สองของการพบหน้า หงเยียนยืนอยู่หน้าประตูใหญ่สกุลสวี่ พอเห็นคุณชายสวี่เดินตัวปลิวออกมา ภายใต้ท้องฟ้าสีครามและแดดยามเช้าที่สดใส ก็รู้สึกสะดุดตายิ่ง


 


 


ชายหนุ่มมีท่าทีสบายๆ ดวงตาเจ้าชู้ทอประกายแวววาว ใส่ชุดอยู่บ้านผ้าทิ้งตัวสีขาวตุ่น จึงเห็นรูปร่างอย่างชัดเจน จนแทบจะเห็นมัดกล้ามเนื้อช่วงอกและช่วงท้องแบบคนหนุ่มที่แข็งแรง


 


 


ถ้าเป็นคุณหนูลูกผู้ดี อาจร้องว้าย แล้วรีบหันหน้าไป


 


 


แต่หงเยียนไม่ใช่ นางยังคงติดท่าทางบางอย่างจากเรือสำราญมา จึงชม้ายตามอง ยกมือขึ้นปิดริมฝีปากครึ่งหนึ่งอย่างไม่เหนียมอาย ยิ้มแย้มแล้วว่า


 


 


“คุณชายสวี่ไยต้องรีบเช่นนี้ เสื้อผ้าใส่ให้เรียบร้อยค่อยมาก็ยังทัน หงเยียนรอได้”


 


 


ครั้งก่อนตอนเมี่ยวเอ๋อร์มายืมหนังสือให้คุณหนูใหญ่ที่บ้านสกุลสวี่นั้น ได้บอกสวี่มู่เจินไว้ว่า ญาติผู้น้องรับหงเยียนไว้ ให้ช่วยวิ่งเต้นนอกบ้าน หาทำเลที่ตั้งร้าน คิดไม่ถึงว่าผู้มาในวันนี้จะเป็นนาง เอาเถอะๆ ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงสามารถลากตนให้ออกจากกองสมุดบัญชีได้ ก็ล้วนเป็นผู้มีพระคุณทั้งนั้น ขณะตื้นตันใจ สองมือพลันจับหมับเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้างของนาง


 


 


“พอได้ยินว่ามีคนมาหา อย่าว่าแต่เสื้อเลย แม้แต่กางเกงข้าก็ไม่ทันได้ใส่ รีบว่ามา มีเรื่องอะไร คิดขอร้องให้ข้าออกไปใช่หรือไม่…”


 


 


ชายหนุ่มเข้าใกล้จนหงเยียนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา แต่ไหล่ของนางถูกกดไว้ และนางยังฝังใจเรื่องที่ถูกพี่เฉียวข่มเหงบนเรือสำราญ จึงมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ด้วยการยกมือที่เรียวยาวขึ้นแกะนิ้วสวี่มู่เจินออก แล้วขยับตัว ถอยไปด้านหลัง


 


 


สวี่มู่เจินไหนเลยจะรู้ว่านางมีวรยุทธ์ พอจับได้แต่ความว่างเปล่า ก็หน้าคะมำ เมื่อหงเยียนรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป และเห็นเขากำลังจะล้ม ก็รีบจับเอวเขาไว้ แล้วดึงเข้ามา


 


 


หนึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง ทำให้คนสองคนได้ใกล้ชิดกัน สวี่มู่เจินได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ จึงอดไม่ได้ที่จะซบลงไปในซอกคอขาวๆ ของหญิงสาว พลางสูดหายใจเบาๆ ก่อนทำตาเยิ้ม “หอมมาก”


 


 


ถ้าหงเยียนเป็นแม่ทัพหญิงที่ดุดันแล้วล่ะก็ คงฟาดใส่สวี่มู่เจินไปหลายฝ่ามือจนเขาไม่มีหน้าไปพบบุพการีแล้ว แต่ตอนนี้ดวงตาสวยกลับมองไปที่เส้นผมของสวี่มู่เจิน ก่อนใช้มือจับ แล้วยกออกพร้อมศีรษะของเขาด้วยแรงที่ไม่เบาและไม่แรงจนเกินไป เบี่ยงคอเนียนๆ ออกเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะเอว พลางพูดด้วยโทนเสียงที่นุ่มนวล “เช่นนั้นก็ต้องล้มอีกครั้ง?”


 


 


สวี่มู่เจินจึงยอมผละออกจากนางอย่างว่านอนสอนง่าย โดยถอยหลังไปหลายก้าว คิดเสียว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย รับเสื้อคลุมที่เด็กรับใช้ยื่นมาให้ สวมทับและยกมือผูกผ้ารัดเอวอย่างรวดเร็ว ลืมสัมผัสที่อบอุ่นเมื่อครู่ในทันที


 


 


หงเยียนก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด หัวใจของตนถึงได้เต้นตึกตักไม่หยุด จวบจนเสียงของคุณชายสวี่ดังมา


 


 


“ญาติผู้น้องมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


 


 


หงเยียนสงบสติอารมณ์ลง แล้วเล่าเจตนาการมาให้ฟัง


 


 


สวี่มู่เจินขมวดคิ้ว


 


 


“เจ้างั่งคนไหน ริอ่านมาแย่งร้านกับญาติผู้น้องข้า ไป ข้าขอไปดูน้ำหน้ามันกับเจ้าเสียหน่อย”


 


 


พอหงเยียนเห็นว่าเขายอมช่วย ก็ออกจากจวนพร้อมเขา


 


 


ทั้งสองมาถึงร้านน้ำชาฮุ่ยตงก่อนเวลานัดไม่นาน แต่เถ้าแก่อ้วนกับผู้เช่าซื้อยังไม่มา ทั้งสองจึงเลือกนั่งโต๊ะตรงมุมร้าน แล้วสั่งน้ำชาอย่างดีมากาหนึ่ง นั่งดื่มขณะรอ


 


 


ราวบ่ายสาม ดวงตาหงเยียนก็ทอประกาย ใช้ปลายรองเท้าสะกิดสวี่มู่เจิน “นี่ๆ มาแล้วๆ”


 


 


เถ้าแก่อ้วนมาถึงก่อน เลือกนั่งโต๊ะริมหน้าต่างได้ไม่นาน ก็ต้องยืนขึ้น คล้ายกำลังจะต้อนรับใคร


 


 


ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าๆ ก้าวเข้ามา นั่งลงตรงข้ามกับเถ้าแก่อ้วน


 


 


ดูจากท่าทางน่าจะเป็นชายหนุ่มผู้วางเงินค่าจองที่เถ้าแก่อ้วนเล่าให้ฟังเมื่อเช้า เขามีรูปร่างกำยำ แม้ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกับคนทั่วไป แต่ผ้าที่ใช้เป็นแพรเนื้อละเอียด ทอลายสีเดียวกัน ดูค่อนข้างหรู ไม่เหมือนคนทั่วไป


 


 


เถ้าแก่อ้วนรับตั๋วแลกเงินในส่วนที่เหลือมาไว้ พร้อมยิ้มหน้าบานเป็นจานกระด้ง แล้วค่อยยื่นเอกสารสัญญาโอนสิทธิ์การเช่าที่มีตราประทับจากที่ทำการอำเภอให้เขา และสุดท้ายก็เดินจากไปอย่างมีความสุข


 


 


สวี่มู่เจินขมวดคิ้ว คนผู้นี้หน้าตาคุ้นๆ ชอบกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก…ไม่สนใจแล้ว ตนเป็นคนกว้างขวาง รู้จักคนมากมาย ใครจะไปรู้ว่าเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน


 


 


อีกอย่าง คนผู้นี้ก็แปลกมาก…


 


 


เขาจ่ายเงินเรียบร้อย ได้รับเอกสารเซ้งร้านเรียบร้อย ทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่เขากลับยังไม่เดินออกจากร้านเหมือนเถ้าแก่อ้วน นั่งจิบน้ำชาตากแดดฤดูใบไม้ร่วงข้างหน้าต่างอย่างใจเย็น คล้ายกำลังรอใครอยู่


 


 


ทว่าผ่านไปเนิ่นนาน ก็ไม่เห็นมีใครมา แต่เขาก็ยังคงไม่จากไปไหน


 


 


ขณะสวี่มู่เจินกำลังครุ่นคิด หงเยียนก็อดรนทนไม่ไหว ลุกออกจากโต๊ะ


 


 


เดินไปข้างโต๊ะ แล้วพูดตรงประเด็นทันที “คุณชายคือผู้เช่าซื้อร้านตรงถนนจิ้นเป่าใช่หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าพอจะนั่งคุยด้วยได้ไหม”


 


 


ชายหนุ่มผายมือ แสดงท่าทีเชื้อเชิญ


 


 


พอนางนั่งลง ปากแดงได้รูปก็ขยับ คำพูดแต่ละคำไพเราะเสนาะหู กังวานใสดุจหยกร่วงใส่จาน


 


 


“ไม่ปิดบังคุณชาย ร้านที่คุณชายเช่าซื้อนั้น ข้าก็มองมานานอยู่เหมือนกัน และหลายวันมานี้ก็ได้คุยกับเถ้าแก่ไว้ คิดไม่ถึงว่าสุดท้าย จะถูกคุณชายคว้าไป ข้าดูออกว่า เจ้านายคุณชายต้องเป็นผู้มีอิทธิพลที่มั่งคั่งผู้หนึ่ง ซึ่งเราเทียบไม่ได้อย่างแน่นอน และร้านก็เป็นเพียงห้องเล็กๆ คุณชายให้เราเถิด ถือว่าช่วยเราให้สมปรารถนา ข้ามีทุนน้อย แม้จ่ายให้ได้ไม่มากนัก แต่จักไม่ลืมพระคุณของคุณชายเป็นอันขาด ข้าทำธุรกิจเครื่องประทินผิว ต่อไปถ้าผู้หญิงในบ้านเจ้านายคุณชายต้องการสินค้าอะไร ข้าสามารถจัดส่งให้ตลอดปีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม