เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 701-708

 ตอนที่ 701 แต่งเป็นหญิงออกบ้าน


 


 


“นายน้อย…แบบนี้ นี่จะไม่เป็นอะไรจริงเหรอเจ้าคะ?” ไป๋ฉินหอบสิ่งของเข้ามา ในตอนที่เห็นซูหลีตรงหน้ากระจกก็แข้งขาอ่อนเกือบคุกเข่าลง


 


 


ซูหลีแต่งตัวเป็นผู้หญิง!


 


 


นี่ก็ช่างแล้ว!


 


 


นี่เป็นชุดผู้หญิงที่สวยงามประณีตอย่างมาก


 


 


เสื้อสีแดงปักดอกเหมยด้วยดิ้นทองสาดกระจาย ด้านล่างเป็นกระโปรงสีขาวนวล บนศีรษะประทับปิ่นหยกระย้าด้วยทับทิมสีแดงสด แถมยังแต้มสีชาดด้วย!


 


 


นี่ นี่เป็นการแต่งตัวอย่างงดงามครั้งหนึ่ง!


 


 


“สวยหรือไม่?” เหมือนซูหลีไม่ได้ยินคำพูดไป๋ฉิน หรี่ตามองนางแล้วถามว่าสวยหรือไม่


 


 


ไป๋ฉินผงกศีรษะอย่างเผอเรอ ทำไมจะไม่สวย สวยจะตายอยู่แล้ว


 


 


นางไม่เคยเจอคนที่งดงามอย่างนายน้อยของตนเองมาก่อน


 


 


แต่ว่า!


 


 


ที่นี่บ้านสกุลซู นายน้อยบ้าไปแล้วหรือ?


 


 


“สวยก็ใช้ได้แล้ว เย่ว์ลั่วเอาเสื้อคลุมมาแล้วเหรอยัง?” ซูหลียิ้มเย็น โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ


 


 


นางพูดกับซูไท่อย่างชัดเจนแล้วว่าจะปลอมตัวออกนอกบ้าน อีกทั้งทำให้คนในบ้านไม่สังเกตเห็นนาง จะได้ปล่อยให้นางออกไป


 


 


แต่งตัวคราวนี้ ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน


 


 


ขอแค่ซูไท่ไม่เป็นบ้า คงต้องไม่แฉนาง อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรชายของซูไท่ พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าได้ดีก็ได้ดีด้วยกัน ถ้าล่มจมก็ไปด้วยกัน ซูไท่รู้ดีที่สุด


 


 


แต่ที่จริงทำไมถึงปลอมตัวเป็นผู้หญิง ก็มีแค่ซูหลีที่รู้แจ้งแก่ใจที่สุด


 


 


ในวันนั้น หลังจากที่นางเปลี่ยนใส่ชุดผู้หญิงในทรงอักษรยั่วยวนฉินเย่หานไป


 


 


ถือเป็นการล้างแค้นเล็กๆ เรื่องที่ฉินเย่หานทำรุ่มร่ามกับนางในห้องทรงอักษร แต่ฉินเย่หานฮ่องเต้ใจแคบแบบนั้น ย่อมต้องจำขึ้นใจ


 


 


วันนี้นางเข้าวังไป เพื่อไปขอร้องเขา


 


 


หากไม่เอาอกเอาใจ นางจะไปขอร้องเขาได้อย่างไร?


 


 


ทันทีที่นึกถึงวิธีที่จะปลอบประโลมฉินเย่หานให้ทรงพระเกษมสำราญ ซูหลีก็หน้าแดงระเรื่อ…


 


 


 “ทำไมหน้าแดงแบบนี้ล่ะเจ้าคะ ร้อนหรือเปล่า?” เย่ว์ลั่วหยิบเอาเสื้อคลุมของซูหลีมา เห็นใบหน้ากระเบื้องเคลือบขาวของนาง เต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อชวนหลงใหล แล้วถามเสียงแผ่ว


 


 


“แค่ก! ไม่มีอะไร” ซูหลีกระแอมเสียงเบา นี่นางคิดอะไรวุ่นวายประหลาด นางกำลังทำเรื่องจริงจังอยู่!


 


 


เย่ว์ลั่วได้ยินเช่นนี้ก็เหลือบตามองซูหลีน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะคลุมผ้าคลุมในมือบนร่างนาง


 


 


เสื้อคลุมตัวนี้เป็นสีดำล้วน ด้านบนปักลายเมฆสีดำ ทั้งใหญ่และทั้งหนัก


 


 


นี่เป็นของขวัญที่ส่งมอบให้ซูหลีหลังจากที่นางเป็นถ้านฮวา


 


 


ตอนนั้นนางเห็นก็เก็บของชิ้นนี้เอาไว้ และเป็นไปอย่างที่คาดวันนี้ได้ใช้แล้ว


 


 


ซูหลีสวมชุดคลุมเอาไว้ แล้วสวมหมวกขนาดใหญ่ไว้ด้วยพอปกปิดเอาไว้แล้ว มองไม่ออกเลยว่านางแต่งเป็นอิสตรี ถึงจะเป็นในจวนต่อให้เจอคนที่สนิทกับนางเกรงว่าก็คงมองไม่ออกเหมือนกัน


 


 


ไป๋ฉินอยู่ข้างๆ ใบหน้าตะลึงค้าง พลางคิดว่านายน้อยของนางทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนี้?


 


 


“เอาล่ะ ข้าไปแล้ว พวกเจ้าสองคนเฝ้าบ้านให้ดีๆ อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา รู้หรือไม่?” ซูหลีหันมากำชับ


 


 


หญิงสาวทั้งสองรับคำ


 


 


แล้วนางถึงได้ก้มหน้าลง กำปกชุดคลุมแน่น แล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างรีบร้อน


 


 


นางเดินสาวเท้าอย่างรวดเร็ว บวกกับซูไท่ได้จงใจกำชับให้คนในจวนเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว จึงไม่เจอใครเลยตลอดทาง จนมาถึงประตูหน้า ซูหลีก็รีบร้อนถอดชุดคลุมออกแล้วเดินออกไป


 


 


นางทำผมแบบอิสตรี เดินกระมิดกระเมี้ยนออกมา ชุยตานที่เฝ้าอยู่ข้างรถม้าก็ตะลึงค้างไปเล็กน้อย


 


 


 “คุณหนู!” ซูหลีเคยกำชับเขาไว้ก่อนแล้ว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 702 เหมาะสมกันมาก


 


 


ดังนั้นยามเห็นซูหลีปราดแรก เขาจึงเรียกว่าคุณหนูซูหลี ไม่ใช่นายน้อย


 


 


ซูหลีผงกศีรษะและไม่เอ่ยอะไรมาก เพียงก้าวสาวขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นรถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนออกจากประตูจวนซู


 


 


เวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ผู้สอดแหนมที่สกุลป๋ายส่งมาคอยสอดส่องที่นี่อยู่ตลอดเวลา หลังจากซูหลีเดินทางออกไป ผู้สอดแนมผู้นั้นก็ค่อยๆ ปรากฏมองไปทางที่พวกเขาออกไปปราดหนึ่ง


 


 


นายท่านให้เขาจับตาดูคนทางนี้ ทว่าคนที่เดินทางออกไปเห็นได้ชัดว่าเป็นอิสตรี คนขับรถม้ายังเรียกขานว่าคุณหนู คงจะเป็นคุณหนูคนไหนในจวนซูสักคนกระมัง


 


 


ตอนนี้ยังไม่ถือว่าไม่ดึกมากนัก หากออกไปข้างนอกก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ


 


 


ผู้สอดแนมคนนั้นเพียงมองปราดหนึ่ง จากนั้นจึงหันเหสายตาของตนกลับ ไม่สนใจรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปอีก


 


 


ส่วนซูหลีที่อยู่บนรถม้า กลับเถิดเสื้อคลุมของตนเองออกเผยให้เห็นอาภรณ์ด้านในของตนเอง นางนำเสื้อคลุมที่ถอดออกวางได้อย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงเอนหลังลงบนหมอนพิงที่อยู่ด้านหลังและหลับตาลง


 


 


“ถึงแล้วขอรับ”เสียงของชุยตานดังมาจากด้านนอกทำให้นางได้ลืมตาขึ้น หลังจากลงจากรถม้าก็เดินตรงเข้าสู่วังหลวง


 


 


ที่แปลกมากก็คือ ท่าทางการแต่งกายของสตรีนอกวังอย่างนาง กลับหาผ่านเข้าประตูวังได้โดยไม่มีใครขัดขวาง เพียงแต่เดินตามนางไปเท่านั้น


 


 


ราตรีนี้ไร้จันทร์ มีเพียงดาวดวงเล็กไม่กี่ดวงที่ทอสายบนท้องฟ้า ดังนั้นสีท้องฟ้าจึงค่อนข้างจะมืดครึ้มเป็นอย่างมาก


 


 


ซูหลีเดินไปไม่กี่ก้าวก็สวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ท้องฟ้าที่ครึ้มกอปรกับผ้าคลุมหน้า ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน


 


 


นางไม่ลังเลเท่าไหร่นัก เพียงเดินตรงไปที่ห้องทรงอักษร


 


 


ดีที่แม้จะอยู่ไกลก็สามารถเห็นแสงไฟของห้องทรงอักษรอยู่บ้าง นางผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นจึงเดินไปทางห้องทรงพระอักษรด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา


 


 


“ใคร…!” หวงเผยซานที่เดินออกมาด้านนอกพอดี ก็เห็นสตรีผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ เขาจึงตีหน้าขรึม


 


 


ทว่าเมื่อคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ก็มีประกายความตกตะลึงพรึงเพริดปรากฏบนใบหน้าของเขา ซูหลีไม่เอ่ยอะไรออกมา เพียงส่ายศีรษะให้แก่เขา


 


 


หวงเผยซานหวนสติกลับมา หลังจากผงกศีรษะต่อหน้าแล้วก็นำนางเดินเข้าไปภายในห้องทรงอักษร


 


 


“ถวายบังคมฝ่าบาท!” ซูหลีหยุดที่หน้าโต๊ะทรงงาน จากนั้นจึงคุกเข่าทำความเคารพ


 


 


การปรากฏตัวอย่างกะทันหันในยามราตรีเช่นนี้ ทำให้ฉินเย่หานผงะไปเล็กน้อย เขาวางพระราชฎีกาในมือลง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “ลุกขึ้น”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีลุกขึ้นยืน ฉินเย่หานถึงได้ทราบว่าวันนี้ซูหลีสวมอาภรณ์ของสตรีและประทินโฉมแบบอิสตรี อีกทั้งยังมีกลิ่นอายที่มีเสน่ห์กว่าที่อยู่ในห้องทรงอักษรวันนั้นอยู่หลายส่วน


 


 


เอวบางที่เล็กจนมือข้างหนึ่งสามารถโอบรอบ ทรวงอกที่ดูอวบอิ่ม รูปร่างที่ดูอรชรอ้อนแอ้น


 


 


ฉินเย่หานมองดูแล้ว ดวงตาพลันลุ่มลึกขึ้นกว่าเดิม


 


 


“กระหม่อมเข้ามาในเมืองหลวงอย่างเลินเล่อ ก็เพราะมีเรื่องด่วนที่ต้องการปรึกษากับฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีคล้ายกับไม่เห็นสายตาที่ฉินเย่หานจับจ้องที่ร่างของตนมิปาน นางก้มศีรษะและเอ่ยเสียงเบา


 


 


“เรื่องอะไร” ซูหลีได้ยินเสียงที่มีความตื่นเต้นของตนเอง ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงอะไรออกมา


 


 


“…กระหม่อมพูดแล้ว ฝ่าบาทอาจจะทรงกริ้วได้” ซูหลีพลันหยุดข้างไว้


 


 


ฉินเย่หานผงะเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “สู้พูดออกมาเสียดีกว่า”


 


 


ในเวลานี้ซูหลีช้อนดวงตารูปดอกท้อที่ทำให้ผู้หวั่นไหวขึ้นมา นัยน์ตาเป็นประกายแวววาวราวกับแสงดาวมิปาน


 


 


“ทูลฝ่าบาท ป๋ายไต้ซือให้คนมาสู่ขอกระหม่อมที่จวนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ทว่าหลังจากซูหลีพูดจบ บรรยากาศภายในห้องนี้ก็เย็นลงอย่างเฉียบพลัน


 


 


ซูหลีเม้มปาก ไม่ใช่บอกว่าจะไม่โกรธหรือ


 


 


“ป๋ายไต้ซือเสนอบุตรีคนรองที่เกิดจากอนุของเขาให้แก่กระหม่อม กล่าวเป็นนางโดดเด่นเหมาะสมกับกระหม่อมมากพ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานี้นางไม่กล้ามองหน้าฉินเย่หาน จึงก้มศีรษะและหลุบตาลง


 


 


ทว่าเมื่อนางหลุบตาลงก็เหมือนจะได้ยินเสียงฉินเย่หายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ซูหลีจึงอดที่จะเงยหน้ามองเขาอีกครั้งมิได้



ตอนที่ 703 ความสามารถในการยั่วยุ


 


 


ทันทีซูหลีเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าฉินเย่หานมองนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ในดวงตามีความนัยอย่างบอกไม่ถูก เขาจ้องมองจนซูหลีใจเต้น


 


 


สายตาของเขาคืออะไรกัน นั่นเป็นคำพูดของป๋ายไต้ซือไม่ใช่คำพูดของนางเสียหน่อย


 


 


อีกทั้งบุตรีของป๋ายไต้ซือเป็นสตรี แม้แต่สตรีเขาก็ยัง…


 


 


“ฝ่าบาทมีบางอย่างที่ทรงมิทราบ” ซูหลีหันไปมองอย่างแข็งกร้าว นางหลุบตาลงและเอ่ยว่า “กระหม่อมได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบเรื่องผงฝิ่น ก่อนนี้ป๋ายไต้ซือจะมาสู่ขอกระหม่อมที่จวน กระหม่อมกลับได้จับกุมหนึ่งในตัวการสำคัญของเรื่องนี้เอาไว้”


 


 


“ป๋ายไต้ซือเป็นผู้อาวุโสสองรัชสมัย ทั้งยังเป็นบิดาของเล่อผินเหนียงเหนียง กระหม่อมมิกล้าคาดคะเนอย่างสะเปะสะปะ ทว่าเรื่องของผงฝิ่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญ กระหม่อมมิกล้าตัดสินด้วยตนเอง นี่จึงทำให้กระหม่อมเข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยมิได้รายงานก่อน อย่างไรก็ขอให้ฝ่าบาททรงยกโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


คำพูดของซูหลีทำให้สีหน้าหวงเผยซานถึงกับเปลี่ยนสี


 


 


พูดตามความจริง หวงเผยซานยังไม่เคยขุนนางอย่างซูหลีมากก่อน นางเหมือนจะไม่เอ่ยอะไรออกมา ถามเมื่อเอ่ยออกมาแล้วกลับตรงไปตรงมา คล้ายกับนางกำลังเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า นางสงสัยว่าป๋ายไต้ซือจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น


 


 


ต้องรับรู้ว่านางเพิ่งจะเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก อำนาจของป๋ายไต้ซือบนราชสำนักนั้น แม้แต่สกุลใหญ่ที่สุดอย่างสกุลเซี่ยวก็ยังไม่กล้าต่อต้านอย่างตรงไปตรงมา


 


 


ซูหลีจึงนำเรื่องนี้รายงานต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้โดยตรง


 


 


นี่ช่าง…


 


 


“เจ้านี่เก่งกาจโดยแท้” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด กลับได้ยินฉินเย่หานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น


 


 


“ความสามารถในการยั่วยุผู้คนรอบด้าน ในเมืองหลวงมิมีใครเก่งกาจเกินเจ้า”


 


 


ซูหลี…


 


 


พวกเขามิใช่กำลังพูดเรื่องสกุลป๋ายอยู่หรือ ไยจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นความสามารถในการยั่วยุผู้คนแล้ว?


 


 


นางไปยั่วยุใครกัน?!


 


 


“อันดับแรกก็สกุลลู่ แล้วก็สกุลป๋าย และแม้แต่ไทเฮาก็ยังมาหาเราเพื่อต้องการให้องค์หญิงจินหยางหมั้นหมายกับเจ้า!” สายตาที่ฉินเย่หานมองซูหลีนั้น มีความหนาวยะเยือก คลุมเครือ และยังมีโทสะอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ซูหลี???


 


 


ยังไม่ต้องพูดเรื่องฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องสกุลลู่ได้อย่างไร เรื่องขององค์หญิงจินหยางนั้นคืออะไรกัน


 


 


ไทเฮา?


 


 


นางยังจำได้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไทเฮาไม่ดีนี่นา! ไยคนที่มีความสัมพันธ์กับนางเหล่านี้กลับเห็นเป็นขนมหวานที่น่าลิ้มลองไปได้!?


 


 


อีกทั้งนางจำองค์หญิงจินหยางไม่ค่อยได้นัก ก่อนหน้านี้ก็เคยพบแค่ตอนงานชมบุปผาของฉินม่อโจวแค่ครั้งเดียว แค่ในเวลานางช่วยเหลือองค์หญิงไว้…


 


 


มิน่าเล่า!


 


 


มุมปากของซูหลีกระตุก จู่ๆ ก็มีดอกท้องามสะพรั่ง อีกทั้งยังเป็นดอกท้อเช่นนี้ นางจะเอ่ยอะไรออกมาดี


 


 


หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างพยายามกลั้นขำเอาไว้


 


 


เป็นเพราะซูหลีนั่นเป็นขุนนางที่ได้รับการสู่ขอและถูกตำหนิมากที่สุดอันดับหนึ่ง


 


 


เพียงแต่หวงเผยซานมองท่าทีของฮ่องเต้แล้ว อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดต่อไป ฮ่องเต้ทรงแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้ นี่ถือว่าเป็นการเมตตาซูหลีที่สุดแล้ว


 


 


แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ทรงคิดอย่างไรกับสกุลป๋าย นางพูดอยู่นานทว่าเขากลับไม่แสดงท่าทีในเรื่องที่ซูหลีพูดออกมา


 


 


“ฝ่าบาท…” ซูหลีลูบที่จมูกของตนเอง ใบหน้ามีความกระอักกระอ่วนใจ ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า. “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรรูปลักษณ์ของกระหม่อม จะสามารถแต่งภรรยาได้ที่ไหนกัน หากหมั้นหมายองค์หญิงให้แก่ข้า นั่นมิใช่การทำร้ายชีวิตทั้งชีวิตขององค์หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เจ้าฝันไปเถอะ ยังอยากจะแต่งกับองค์หญิงอีก!” ฉินเย่หานกวาดสายตาเย็นชามองนาง


 


 


ซูหลี…


 


 


นางมิได้เอ่ยว่าจะแต่งองค์หญิงเข้ามา นางมิเคยคิดเช่นนี้มาก่อน!


 


 


“ทางด้านของไทเฮา ฝ่าบาทโปรดช่วยปฏิเสธแทนกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีมิกล้าเอ่ยอะไร เพียงก้มหน้าก้มตาตอบเขา


 


 


ฉินเย่หานเห็นท่าทางของนางแล้ว สีหน้าถึงได้ดีขึ้นมาบ้าง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 704 อย่าลืม


 


 


“เรื่องของสกุลป๋าย เจ้ามีหลักฐานหรือไม่” หลังจากชะงักไปพักหนึ่ง ฉินเย่หานพลันเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน เขามองซูหลีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


ซูหลีผงะเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจความหมายของฉินเย่หานขึ้นมาทันใด


 


 


หากสกุลป๋ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉินเย่หานไม่จำเป็นต้องทราบ ทว่าเขาหมายความว่า ตำแหน่งของสกุลป๋ายในราชสำนัก ทั้งยังมีตำแหน่งขุนนางอาวุโส 2 รัชสมัย ดังนั้นจักต้องมีหลักฐานที่แน่นหนา


 


 


แม้ฮ่องเต้จะทรงลงโทษผู้อื่น อย่างไรก็จักต้องมีเหตุผล


 


 


เรื่องในมือของนางเป็นแค่คำพูดที่เลื่อนลอย ดังนั้นจักต้องทำให้คำพูดที่เลื่อนลอยนี้หากกลายเป็นเรื่องจริง จากนั้นส่งต่อให้ฉินเย่หาน นี่ถึงจะสามารถให้ฉินเย่หานใช้เรื่องนี้สร้างความลำบากให้กับสกุลป๋ายได้


 


 


“กระหม่อมเข้าใจแล้ว พรุ่งนี้กระหม่อมจักนำนักโทษตัวการพามาชี้ตัวในราชสำนัก!” ขณะที่เอ่ยนางแหงนศีรษะมองฮ่องเต้ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า


 


 


“คนที่กระหม่อมจับกุมไว้ได้ก็คือ ติ้งอันโหวเสิ่นฉางชิง!”


 


 


ฉินเย่หานมองนางตาไม่กะพริบ ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาทั้งสิ้น หลังจากเอ่ยชื่อของเสิ่นฉางชิงออกมา สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิด


 


 


ซูหลีพลันฉุกคิดถึงฉินลิ่วที่ตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ข้างกาย


 


 


ต่อหน้าดูเหมือนฉินลิ่วคอยติดตามนาง ทว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนของฉินเย่หาน การเคลื่อนไหวของนางจักต้องถูกฉินลิ่วรายงานกับฉินเย่หานหมดแล้ว


 


 


เรื่องของเสิ่นฉางชิง ไม่แน่ฉินเย่หานก็ทราบเรื่องหมดแล้ว


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูหลีจึงรีบก้มศีรษะลง แล้วปิดบังความรู้สึกในแววตาของตนเอาไว้


 


 


“ตั้งแต่นี้ไปอย่ายุแหย่ผู้อื่นนัก” ฉินเย่หานกลับไม่ตอบคำพูดของนาง กลับเปลี่ยนเรื่องสนทนา วกกลับมาพูดเรื่องก่อนหน้านี้


 


 


ซูหลี “…”


 


 


เขาทำเหมือนเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นนางที่หาเรื่องใส่ตัวมิปาน


 


 


แม้ว่า…เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะดูเป็นเช่นนี้จริงๆก็ตาม


 


 


“อย่าลืมว่าเจ้าเป็นคนของเรา ฉินเย่หานจ้องนางตาไม่กะพริบ ในดวงตาของเขาแสดงความเป็นเจ้าของโดยไม่ปิดบังท่าทีอย่างแรงกล้า


 


 


บรรยากาศเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาบ้าง หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างถึงกับหลุบตาลง แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น


 


 


ใบหน้าของซูหลีแดงระเรื่อ คำตรัสของฮ่องเต้ตรงไปตรงมาทุกครั้งโดยแท้


 


 


คล้ายกับความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนเดิมควรจะเป็นเช่นนี้มิปาน


 


 


“ฟ้ามืดแล้ว คืนนี้อยู่ที่นี่” ในขณะที่ซูหลีกำลังก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองเขา เขาพลันเอ่ยประโยคนี้ออกมา


 


 


ซูหลี “…”


 


 


อะไรนะ!?


 


 


นี่จะให้นางพักในวังหลวงหรือ เอาเถอะ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางพักที่นี่ ทว่าตอนที่พักครั้งแรกนั้นพวกเขายังไม่ได้เป็นอะไรกันนี่นา


 


 


ในช่วงเวลานี้เมื่อเห็นแววตาของฉินเย่หานที่จ้องมองนาง หัวใจของซูหลีก็เต้นตึกตักอย่างอดไม่ได้ มีภาพบางอย่างผุดออกมาอย่างควบคุมมิได้


 


 


“แค่ก! ทูลฝ่าบาท บ่าวให้คนจัดเตรียมก่อนพ่ะย่ะค่ะ” บนใบหน้าของหวงเผยซานปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย จะทำอย่างไรหวงเผยซานก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็รีบเดินไปด้านนอก


 


 


ท่าทางเช่นนั้น…


 


 


ซูหลีดูแล้ว คล้ายกันพ่อเล้าในหอหร่วนเซียงมิปาน!


 


 


มุมปากนางกระตุกเล็กน้อย จากนั้นจึงขยับขาไปมาอย่างไม่สงบนิ่ง ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธอะไรออกมา


 


 


ฮ่องเต้ต้องการให้นางอยู่ที่นี่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้นางเปิดปากอนุญาต!


 


 


ในราตรีนี้บรรยากาศภายในห้องทรงอักษรคึกคักมาก ขันทีผู้น้อยที่อยู่ด้านนอกนั้นนำน้ำชาเข้าไปส่งตอนกลางดึกครั้งหนึ่ง ภายในนั้นหยอกล้อกันจนถึงเวลาฟ้าสว่าง และการเคลื่อนไหวก็สงบลงในเวลานี้


 


 


อีกด้านหนึ่ง ก็มีคนที่ยังไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน


 


 


ยามราตรีในจวนสกุลป๋าย


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ!?” จวนสกุลป๋ายนั้นใหญ่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ในเวลานี้ภายในนี้กลับมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ภายในห้องโถงที่ไม่สะดุดตาเท่าไรนัก


 


 


คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีขาวดุจพระจันทร์ บนศีรษะประดับไว้ด้วยมงกุฎหยก ใบหน้าดุจหยก ยามที่อยู่ภายใต้แสงไฟกลับดูหล่อเหลาอย่างเหลือเชื่อ


ตอนที่ 705 หึ


 


 


ป๋ายไต้ซือที่ยืนอยู่เบื้องล่างนั้น หลังจากเขาได้ยินคำพูดของคนผู้นี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “มีอะไรที่เอ่ยมิถูกหรือขอรับ”


 


 


ผู้ที่นั่งอยู่นั้นถึงกับลงมายืนด้านล่าง ใบหน้ามีความเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก


 


 


“ซื่อจื่อ ในเมื่อต้องการเป็นพันธมิตรกับซูหลี การแต่งงานจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด หากไม่กระทำเช่นนี้ จะสามารถมั่นใจได้อย่างไรว่าซูหลีจะไม่กลับคำ?” ใบหน้าของป๋ายเฮ่อที่อยู่ข้างๆไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมฉินมู่ปิงถึงมีท่าทีตอบโต้ถึงเพียงนี้


 


 


มิผิด ในยามค่ำคืนผู้ที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยอยู่นั้นคือ จิ้งหนานอ๋องซื่อจื่อ ฉินมู่ปิง!


 


 


ใบหน้าของฉินมู่ปิงเผยความเย็นยะเยียบออกมา ท่าทีของเขามิคล้ายยามปกติที่แสดงออกเลยสักนิด หลังจากเขายืนขึ้นก็เดินไปเดินมาในห้องโถงแห่งนี้


 


 


“เขามีท่าทีอย่างไร” ผ่านไปนานมาก ฉินมู่ปิงจึงเอ่ยถามประโยคนี้ขึ้น


 


 


ป๋ายไต้ซือได้ยินดังนั้นจึงผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ในเวลานั้นเขามิได้มีท่าทางโต้ตอบอะไรมากนัก หลังจากได้ยินเรื่องที่พวกเรามาสู่ขอ เพียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเหตุผลต่างๆนานา เขาเอ่ยว่าจะใช้เวลาช่วงหนึ่งในการพิจารณาขอรับ!”


 


 


หลังจากฉินมู่ปิงได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าดูไม่น่ามองเป็นอย่างมาก เขาไม่แสดงอารมณ์ดีใจหรือโมโหมาโดยตลอดนั้น อดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้ว่า


 


 


“พูดส่งเดช!”


 


 


ท่าทางของฉินมู่ปิงนี้ ทำให้ป๋ายเฮ่อมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาขยับริมฝีปากอยากจะพูดโต้แย้งฉินมู่ปิง ทว่าคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันจะพูดโต้แย้ง ก็ถูกป๋ายไต้ซือยื้อเอาไว้เสียก่อน


 


 


ป๋ายไต้ซือส่ายศีรษะให้กับป๋ายเฮ่อ สื่อให้ป๋ายเฮ่อใจเย็นๆเอาไว้อย่าเพิ่งวู่วาม


 


 


ป๋ายเฮ่อเห็นดังนั้นจึงขมวดคิ้ว สุดท้ายก็มิได้เอ่ยอะไรออกมา


 


 


“ซื่อจื่อคิดว่า ซูหลีจะไม่ร่วมมือกับพวกเราหรือ” หลังจากป๋ายไต้ซือชะงักก็เอ่ยคำถามที่สงสัยในใจออกมา


 


 


ฉินมู่ปิงขมวดคิ้วจ้องมองเขาปราดหนึ่ง แค่นยิ้มเย็นและเอ่ยว่า “ข้าคิดมาตลอดว่าป๋ายไต้ซือเป็นคนเฉลียวฉลาด นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะถูกตบตาได้ง่ายเช่นนี้!”


 


 


“ซื่อจื่อหมายความอย่างไรกัน” เขานั้นเป็นขุนนางอยู่หลายปี จึงมีความอดกลั้นมากกว่าป๋ายเฮ่อ เขาจึงพยายามอดกลั้นไม่เอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจออกมา และชำเลืองตามองไปที่ฉินมู่ปิง


 


 


“ซูหลีไม่คิดจะเกี่ยวดองกับสกุลของพวกเจ้าตั้งแต่แรก!” ฉินมู่ปิงใช้น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเอ่ยขึ้น เรื่องนี้ทุกคนอาจจะไม่เข้าใจอย่างชัดเจน ทว่าเขานั้นเข้าใจเป็นอย่างดี


 


 


หากซูหลีเป็นบุรุษคนหนึ่ง และมีใจที่อยากจะก้าวหน้า เช่นนั้นแผนการที่ป๋ายไต้ซือวางเอาไว้อาจจะมีประโยชน์อะไรบ้าง


 


 


ทว่าซูหลีไม่ใช่เช่นนั้น


 


 


อันดับแรกนางไม่ใช่บุรุษ จะแต่งสตรีเข้าเรือนไปเพื่ออะไรกัน


 


 


นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายเรื่องของตัวเองหรือ


 


 


“ท่าทีของนางก็แค่ต้องการยื้อเวลาออกไปเท่านั้น!” สีหน้าของป๋ายไต้ซือเปลี่ยนไป ในใจมีความมืดหม่น


 


 


“ทว่าซื่อจื่อทราบได้อย่างไรว่าเขาจะไม่ยินยอมเรื่องแต่งงาน ตั้งแต่ซูหลีผู้นี้เข้ามาในราชสำนักก็กระทำเรื่องตั้งมากมาย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนกระหายอำนาจเป็นอย่างมาก หากเขาเกี่ยวดองกับสกุลป๋าย นั่นมิใช่เรื่องดีที่ต่อเขาหรือ…”


 


 


ป๋ายเฮ่อรู้สึกไม่ค่อยยินยอมนัก ที่สำคัญก็คือพวกเขาเข้าใจโอกาสที่สกุลป๋ายมอบให้เป็นอย่างดี สกุลป๋ายนั้นมองคนเหล่านี้อย่างปรุโปร่งหมดแล้ว


 


 


แม้กระทั่งซูหลีก็คงไม่ต่างกัน


 


 


นี่เป็นโอกาสที่จะได้ก้าวเดินสู่สวรรค์เชียวนะ!


 


 


“หึ!” ฉินมู่ปิงได้ยินเขาย้อนถามเช่นนี้ ก็หัวเราะเยาะอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าเผยความดูแคลนอย่างบอกไม่ถูก


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 706 อย่างไรก็ไม่มีทางเกี่ยวดอง


 


 


ป๋ายเฮ่อถูกเขาใช้ท่าทางเช่นนี้มองมา สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก เขาก็ไม่เข้าใจว่าซื่อจื่อผู้เสเพลไปวันๆ เช่นนั้นมีอะไรที่เก่งกาจกัน


 


 


หากไม่ใช่เพราะบิดาของเขาต้องยืนหยัดร่วมมือกับฉินมู่ปิงแล้วล่ะก็ อย่างไรเขาก็ไม่มีทางคบค้าสมาคมกับพวกสมองขี้เลื่อยอย่างคนสำนักเต๋อซั่น โดยเฉพาะคนที่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้เอ่ยโต้แย้งคำพูดของบิดาตน


 


 


แผนการนี้ในสายตาของป๋ายไต้ซือและป๋ายเฮ่อถือเป็นแผนที่ไร้ข้อผิดพลาดแล้ว


 


 


“หากคุณชายป๋ายไม่เชื่อล่ะก็ ก็ไม่ต้องสนใจคำพูดที่เปิ่นซื่อจื่อเอ่ยมาทั้งหมดในวันนี้ และคอยดูเถิด ดูว่าซูหลีจะกลืนสกุลป๋ายของพวกเจ้าลงไป หรือจะแต่งงานเกี่ยวดองกับพวกเจ้ากัน!” ฉินมู่ปิงพูดจบก็หัวเราะน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นจึงเตรียมตัวก้าวเท้าเดินออกไป


 


 


“ซื่อจื่อช้าก่อน!” ขณะที่เขากำลังจะออกไป ป๋ายไต้ซือพลันก้าวไปหน้าก้าวหนึ่งเพื่อขวางทางเขาเอาไว้


 


 


“บุตรของข้าโง่เขลานัก หากเขาทำให้ซื่อจื่อโมโห ซื่อจื่อโปรดอย่าถือสาเขาเลยขอรับ” ป๋ายไต้ซือคลุกคลีอยู่ในสนามของขุนนางมาหลายต่อหลายปี หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขากลับคิดว่าที่ฉินมู่ปิงเอ่ยมากนั้น ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล


 


 


แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉินมู่ปิงถึงได้มั่นใจขนาดนี้ว่า ซูหลีจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน


 


 


ทว่าเมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ซูหลีนั้นมิได้มีความกระตือรือร้นต่อท่าทีของพวกเขาตั้งแต่แรก


 


 


แน่นอนว่าเป็นเพราะซูหลีกำลังเล่นตัว ทว่าที่มีมากกว่าก็ถือความแปลกประหลาดอยู่ภายใน


 


 


ฉินมู่ปิงก็ไม่อยากจะสนใจพวกเขาเท่าไรนัก โดยเฉพาะหลังจากเขาได้ยินว่าซูหลีต้องการยื้อเวลาออกไป ในใจก็เกิดความไม่สบายมาโดยตลอด หลังจากนั้นเขาชะงักไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า


 


 


“เสิ่นฉางชิงผู้นั้นถูกซูหลีจับกุมเอาไว้แล้ว ซูหลีดูเหมือนจะมีเจตนาร้ายต่อเสิ่นฉางชิงมาโดยตลอด เสิ่นฉางชิงผู้นั้นมิใช่คนที่สามารถแบกรับเรื่องต่างๆ ได้อย่างมั่นคงเท่าไรนัก!”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ สีหน้าของป๋ายไต้ซือก็เปลี่ยนไปไม่สู้ดีโดยถนัดตา


 


 


“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราจักทำอย่างไรดี…”


 


 


ฉินมู่ปิงได้ยินดังนั้นจึงเงียบไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้ซูหลีไม่รู้ว่าเขาและสกุลป๋ายมีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนที่เขาจะข่มขู่ซูหลี เขาเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ นางมิได้เอ่ยเรื่องของพวกเขาออกมา


 


 


เช่นนี้แสดงว่าพวกเขายังมีโอกาส


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าส่งคนไปคนหนึ่ง…”


 


 



 


 


ทันทีที่ฟ้าสว่าง ทางด้านซูหลีก็ได้รับข่าวว่าเสิ่นฉางชิงยอมรับผิดแล้ว ฉินลิ่วก็นำเขาไปที่วังหลวงแล้ว ต่อจากนี้ต้องดูนางแล้ว


 


 


“ใต้เท้าซู บ่าวมาปรนนิบัติอาบน้ำแต่งกายให้ท่านเจ้าคะ” ซูหลีนั่งอยู่บนเตียงมังกร ฉินเย่หานนั้นออกไปก่อนแล้ว แต่กลับสั่งให้สาวใช้สองคนช่วยนางอาบน้ำแต่งตัว


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า จากนั้นจึงเงยหน้ามองชุดขุนนางที่สาวใช้นำมาให้


 


 


ชุดขุนนางของนางถูกฉินเย่หานดึงทึ้งจนขาดแล้ว จากนั้นเขาจึงให้กรมวังภายในส่งให้นางอีกชุดหนึ่ง ชุดขุนนางในวันนี้ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนกัน


 


 


ซูหลีมองดูแล้วก็อดมุมปากกระตุกมิได้ ฉินเย่หานเตรียมการเอาไว้อย่างดีโดยแท้ แม้แต่ชุดที่ให้นางใส่นอนก็ยังเตรียมไว้ให้แล้ว


 


 


ยาปลอมตัวที่นางพกติดตัวเอาไว้ บัดนี้ฉินเย่หายล้วนทราบทั้งหมดแล้ว ของสิ่งนี้นางจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง จะให้นางแสร้งเล่นละครตบตาต่อหน้าฉินเย่หาน ซูหลีก็ไม่มีความกล้าเช่นนั้น


 


 


เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและกินยาปลอมตัวเข้าไปแล้ว ซูหลีก็จับเวลาเดินออกจากประตูด้านหลังของห้องทรงอักษรจนโอบไปทางประตูของวังหลวง จากนั้นแสร้งทำท่าทีเหมือนกับตนเพิ่งจะมาว่าราชกิจยามเช้า


 


 


ตลอดทางที่เดินมาขุนนางจำนวนมาก ทุกคนต่างหยุดฝีปากทักทายซูหลี สีหน้าของซูหลีนิ่งเฉยไม่ขาดความมั่นใจเลยสักนิด และไม่มีผู้ใดทราบว่าที่จริงแล้วนางพักในวังหลวง


 


 


นางจึงค่อยๆเดินไปถึงด้านหน้าของตำหนักอวิ๋นเซียว


ตอนที่ 707 คนควรมาก็มาแล้ว คนไม่ควรมาก็มาแล้วเช่นกัน


 


 


บนท้องพระโรงในวันนี้ดูเหมือนจะแตกต่างกับยามปกติมากนัก คนที่ควรมาก็มาแล้ว


 


 


ส่วนคนที่ไม่ควรมา…


 


 


ซูหลีกวาดสายตามองไปที่ฉินมู่ปิงที่ยืนเอ้อระเหยลอยชายอยู่ข้างฉินม่อโจว


 


 


ได้ยินมาว่าฉินมู่ปิงก่อความวุ่นวาย จนถูกขุนนางฝ่ายบุ๋นฟ้องร้อง วันนี้เขาจึงถูกฮ่องเต้เรียกให้เข้าเฝ้า


 


 


ซูหลีผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นจึงไม่ได้สนใจเขานัก


 


 


นางหันกลับมามองฉินลิ่วที่สวมชุดทหารทั่วไปที่ยืนอยู่ด้านนอกของตำหนัก


 


 


ฉินลิ่วสบตากับนางปราดหนึ่ง จากนั้นจึงผงกศีรษะให้แก่เขา


 


 


ซูหลีเก็บสายตาของตนกลับมา เป็นประจวบที่ฮ่องเต้เสด็จมาถึงที่นี่พอดี ขุนนางทุกคนจึงทำความเคารพฮ่องเต้


 


 


“มีเรื่องก็รายงาน หากไม่มีเรื่องก็จบการว่าราชกิจ!” น้ำเสียงของฉินเย่หานดังก้องกังวานไปทั่วทั้งตำหนักอวิ๋นเซียว


 


 


“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องรายงานพ่ะย่ะค่ะ” บนท้องพระโรงมีเพียงไม่กี่คนที่เตรียมพร้อมที่จะลงมือบุก และหนึ่งในนั้นก็คือซูหลีผู้ซึ่งเอ่ยประโยคนี้ออกมาเป็นคนแรก


 


 


ซูหลียังไม่ทันได้ออกมายืน เสียงก็มาก่อนตัวแล้ว


 


 


และในเวลานี้ทุกคนต่างแหงนศีรษะมองทางนาง


 


 


เพราะว่าใบหน้าของนางเผยความเย็นชาออกมา บนใบหน้าจิ้มลิ้มขาวลออมีความเคร่งขรึมที่พบได้น้อยครั้ง


 


 


นางได้รับราชโองการให้ไปตรวจสอบเรื่องนั้น ในใจของหลายลายคนนั้นทราบดี ในเวลานี้เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ทุกคนต่างมองนางอย่างห้ามไม่ได้ เรื่องนั้นมีความคืบหน้าอะไรแล้วหรือ


 


 


“พูดมา” ฉินเย่หานที่อยู่เบื้องบนมีสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์


 


 


“กระหม่อมได้รับราชโองการให้ตรวจสอบเรื่องของผงฝิ่น บัดนี้ดูเหมือนจะมีเค้าเรื่องแล้ว กระหม่อมส่งคนไปแฝงตัวดูอยู่หลายวัน ในที่สุดก็จับตัวการจากหลังม่านได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีพูดจบก็แหงนศีรษะขึ้นมา สายตาของนางกวาดไปทั่วท้องพระโรงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า


 


 


“เพียงแต่กระหม่อมนึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นคนของราชสำนัก เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นกระหม่อมมิกล้าจัดการอย่างส่งเดชพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


คำพูดของซูหลี เสมือนโยนหินลงไปในผิวน้ำที่นิ่งสงบมิปาน ทั้งท้องพระโรงก็ครึกครื้นขึ้นมาทันใด


 


 


นึกไม่ถึงว่าขุนนางของราชสำนักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย!


 


 


ป๋ายไต้ซือที่จ้องมองซูหลีมาตั้งแต่เดินเข้ามาในตำหนัก หลังจากได้ยินคำพูดของซูหลีแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างห้ามมิได้


 


 


ทว่าซูหลีกลับก้มหน้าก้มตา แสดงท่าทีที่นอบน้อม ไม่แม้แต่จะส่งสายตาให้เขาสักนิด


 


 


ในขณะเดียวกันผู้ที่ยืนอยู่ในแถวของขุนนางของราชสำนักนั้นยังมีซูไท่


 


 


ซูไท่คิดไม่ถึงว่าวันนี้ซูหลีจะเผยเรื่องนี้ออกมา เขามองไปทางป๋ายไต้ซืออย่างอดไม่ได้ จึงเห็นใบหน้าเขียวคล้ำของป๋ายไต้ซือ


 


 


ในเวลานี้หัวใจของซูไท่เต้นกระหน่ำอย่างห้ามไม่ได้ เรื่องในวันนี้ซูหลีคงจะมีความมั่นใจอะไรบางอย่างกระมัง


 


 


หากไม่มีความมั่นใจ อาจถูกอีกฝ่ายโต้แย้ง เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางเป็นเรื่องที่ดีแน่แท้


 


 


“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้มิใช่ใครอื่น ดังนั้นก็คือติ้งอันโหว เสิ่นฉางชิง” ทางด้านซูหลีกลับเอ่ยชื่อของเสิ่นฉางชิงออกมาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนไป


 


 


ทันทีที่คำพูดเอ่ยถูกออกมาออกมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยรอบก็ดังกระหึ่มขึ้นกว่าเดิม


 


 


“ใต้เท้าฉิน รบกวนเจ้านำคำพูดนั้นเข้ามา” ซูหลีหันไปด้านข้างและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา


 


 


“ขอรับ” หลังจากฉินลิ่วที่อยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดของนางเขาก็ขานรับ จากนั้นทุกคนก็มองที่เสิ่นฉางชิงที่มีใบหน้าซีดขาว เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวสีเทาและถูกคนผลักร่างเข้ามา


 


 


ฝีเท้าของเขาโซซัดโซเซ ใบหน้านั้นเปรอะเปื้อนดูสกปรกเป็นอย่างมาก ดูแล้วช่างจนตรอกโดยแท้


 


 


ในความทรงจำของคนเหล่านี้ เสิ่นฉางชิงนั้นเป็นบุคคลที่สง่ามาโดยตลอด แต่ก่อนยามที่ถูกฮ่องเต้แต่งตั้งตำแหน่งโหว เขายังเป็นคนดังของราชสำนัก ทว่าไยผ่านไปถึงสองปี เขาถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสิ่นฉางชิงทราบดีว่า เขาหนีไม่รอดแล้ว ดังนั้นทันทีที่เดินเข้ามาในท้องพระโรงก็คุกเข่าลงในทันที


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 708 การใช้ทายาทในการข่มขู่


 


 


พระพักตร์ของฮ่องเต้ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ไม่แม้กระทั่งจะแลพระเนตรมองเขา


 


 


“ใต้เท้าเสิ่น สบายดีหรือไม่” ทันทีที่ซูหลีเห็นเขาเข้ามา ก็ยกยิ้มให้กับเขาครู่หนึ่ง


 


 


เสิ่นฉางชิงเห็นรอยยิ้มของซูหลีแล้ว ใบหน้าก็ย่นมู่ทู่ทันที


 


 


หากให้พูดว่าบัดนี้เขา เกลียดใครมากที่สุด คนผู้นั้นต้องเป็นซูหลีอย่างแน่นอน


 


 


คนผู้นี้ทำให้เขาร่วงหล่นลงมาจากตำแหน่งอย่างสาหัส จนต้องกลายเป็นเช่นนี้!


 


 


“ซูหลี!!!” เสิ่นฉางชิงนอนไม่สบายตลอดทั้งคืน เป็นเพราะในฝันของเขามีแต่ใบหน้าของหลี่จื่อจินในอดีตและซูหลีพัวพันเต็มไปหมด!


 


 


เสิ่นฉางชิงนั้นรู้สึกเสียดายโดยแท้ แม้เขาจะรู้ว่าซูหลีรู้จักหลี่จื่อจิน เขาก็ควรจะหาวิธีจัดการกับซูหลีตั้งแต่ต้นแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ตกต่ำถึงเพียงนี้


 


 


“ท่านโหวมีเสียงเพียงพอขนาดนี้ ดูเหมือนจะพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำไมรึ ท่านโหวเตรียมสารภาพผิดแล้วหรือ” ซูหลีนั่งยองๆลงตรงหน้าเขา ดวงตาที่ดำลุ่มลึกคู่นั้นมีประกายวูบไหว


 


 


กอปรกับใบหน้าที่งดงามของนาง กลับให้ความมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก


 


 


แน่นอนว่า ในสายตาของผู้อื่นนั้นเป็นความงาม ทว่าในสายตาของเสิ่นฉางชิงกลับมิต่างอะไรกับปีศาจที่จ้องเอาชีวิตคน โดยเฉพาะยามที่ซูหลีเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าในรอยยิ้มนั้นมีกลิ่นอายข่มขู่จำนวนมาก


 


 


“ซูหลี เจ้าให้คนพาข้ามาที่นี่ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะแว้งกัดเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้หรือ” เสิ่นฉางชิงเห็นท่าทางของซูหลี พลันรู้สึกไม่สมัครใจ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นกลับมองเขาด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางพลันยกมือจัดคอเสื้อของเขาแล้วเอ่ยว่า


 


 


“ดูสิ ข้ารับใช้เหล่านี้ช่างเหิมเกริมนัก จะพูดอย่างไรท่านก็เป็นถึงขุนนางตำแหน่งโหว ไยเขาถึงปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้ได้” มือขาวดุจหิมะของนางสัมผัสที่คอเสื้อที่สกปรกของเสิ่นฉางชิง จนดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด


 


 


เสิ่นฉางชิงขมวดคิ้วจ้องมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาต


 


 


“ขอเพียงเจ้าพูดออกมา อยากพูดอะไรก็พูดออกมา ทว่าข้าขอเตือนสติเจ้าประโยคหนึ่ง…” จากนั้นซูหลีก็เข้าไปใกล้เสิ่นฉางชิง แล้วใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกับเพียงสองคนแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา


 


 


“เจียงโม่อวี้ และยังมีบุตรชายตัวน้อยที่นางให้กำเนิดถูกรับไปอยู่ในจวนของข้าแล้ว”


 


 


เสิ่นฉางชิงได้ยินดังนั้น จึงมองนางด้วยสายตาเหลือเชื่อ ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก


 


 


เขารู้ดีว่าวันนี้อย่างไรก็หนีความตายไปไม่ได้ ทว่าเขาก็ยังไม่ยินยอมใจ และไม่ต้องการให้ซูหลีอยู่ดีมีสุข


 


 


ทว่าเขานึกไม่ถึงว่า ซูหลีจะสั่งให้คนจับตัวเจียงโม่อวี้และบุตรของเขาเอาไว้


 


 


“ข้ารู้ดีว่าท่านโหวใจคอโหดเ**้ยม อย่างไรก็เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง แม้ตายไปก็ยังมีสตรีใต้หล้าอีกมากมาย ทว่าข้าขอเตือนเจ้าประโยคหนึ่ง วันนี้อย่างไรเจ้าก็ต้องตาย เด็กคนนั้นที่เจียงโม่อวี้ให้กำเนิดเพื่อเจ้านั้น ก็เป็นทายาทคนสุดท้ายของสกุลเสิ่นแล้ว”


 


 


“เจ้าคิดให้ดีก็แล้วกัน” ซูหลีพูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ หางตาของนางมีความชั่วร้ายอย่างบอกไม่ถูก


 


 


คนผู้นี้เป็นเสมือนยาพิษโดยแท้ ยามที่ยิ้มก็สามารถดึงพลังชีวิตของผู้อื่นไปได้!


 


 


มีความอันตรายอย่างร้ายแรง และมีความยั่วยวนอย่างไม่อาจพรรณนาได้


 


 


ฉินมู่ปิงที่ยืนอยู่ข้างฉินม่อโจว กลับเห็นการกระทำของซูหลีอย่างชัดเจน เพียงแต่นางเจตนาพูดเสียงเบา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน


 


 


ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางนั้น กลับให้ความรู้สึกงดงามจนน่าตื่นใจ


 


 


ทำให้ในเวลานี้เขาไม่อยากจะละสายตาออกจากนาง


 


 


“ทูลฝ่าบาท ผู้จัดการร้านขายของเก่าได้สารภาพแล้วว่า เขาได้รับคำสั่งจากเสิ่นฉางชิงให้กระทำเรื่องนี้ นี่เป็นคำให้การของผู้จัดการร้านพ่ะย่ะค่ะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม