ลิขิตกลกาล 70-76

ตอนที่ 70 ว่าด้วยเรื่องกระบี่

 

“คนที่ติดหนี้ข้าไว้มาก?” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นจากโต๊ะหิน “ใครกัน…”


 


 


มีบุคคลผู้นี้อยู่ด้วย? ทำไมนางถึงจำอะไรไม่ได้เลย


 


 


แม้ว่าเมื่อชาติก่อนนางจะมิใช่นักโทษที่ทำความผิดฉกรรจ์ แต่ก็มิใช่พระผู้เป็นเจ้าที่ลงมาโปรดมนุษย์ให้พ้นทุกข์


 


 


คนที่ติดหนี้นางไว้มาก…คนผู้นั้นคือใครกัน


 


 


กล่าวได้ว่า บางครั้งสมองของมนุษย์ก็สามารถเข้าสู่ทางตันและหาทางออกไม่ได้ เช่นเดียวกับซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าคนผู้นั้นคือใคร


 


 


เมื่อหรงซู่เห็นท่าทางเดี๋ยวเกาศีรษะ เดี๋ยวเกาหูของนางก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยถ้อยคำใดดี


 


 


เขาจึงเอ่ยว่า “ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง” จากนั้นเขาก็กลับไปวางท่าสูงส่งเหนือโลกียวิสัยอีกครั้ง


 


 


“อ้อ…ก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นคุ้นเคยกับนิสัยเฉลยครึ่งหนึ่งเก็บงำไว้ครึ่งหนึ่งของหรงซู่ดี ทว่าในตอนนี้ นางห้ามเผยท่าทางว่าที่แท้แล้วตนก็อยากรู้เรื่องนี้ออกไปอย่างเด็ดขาด เพราะหากถูกหรงซู่จับได้ เขาจะกุมจุดอ่อนนั้นของเราไว้ทันที


 


 


“เจ้ามิอยากรู้?” หรงซู่เลิกคิ้ว เจ้าเด็กคนนี้ทำไมถึงไม่ซักไซ้ต่อ เขาได้เตรียมบทพูดไว้หมดแล้ว หากนางไม่ถาม เขาจะพูดต่อได้อย่างไรเล่า


 


 


คอยดูเถอะ…ซูเหลียนอวิ้นแอบคิดอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน


 


 


“มิอยากรู้” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “ในเมื่อติดหนี้ข้าไว้เยอะนัก ข้าได้รับการตอบแทนเช่นนี้ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว ดังนั้นข้าจะสงสัยไปทำไมกัน ถึงอย่างไรข้าก็ควรจะเป็นคนตัดสินใจเองมิใช่หรือ”


 


 


เมื่อหรงซู่เห็นนางไม่ติดกับดักก็ลอบถอนใจ คงไม่เจอกันนานแล้วจริงๆ ร่างกายไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่ความคิดเติบโตขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ ในเมื่อไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เช่นนั้นพวกเรามาลับฝีมือกันสักกระดานเถิด” หรงซู่เก็บกระดานหมากล้อมที่ยังเล่นไม่เสร็จเมื่อครู่ไปพลางเอ่ยขึ้น “หากเจ้าชนะอาจารย์ได้ อาจารย์จะมีรางวัลให้เจ้า”


 


 


“หากข้าแพ้?” ซูเหลียนอวิ้นหาได้ใส่ใจว่าชนะแล้วจะได้อะไร นางสนใจว่าแพ้แล้วจะเป็นอย่างไรมากกว่า


 


 


“หากเป็นฝ่ายแพ้…” หรงซู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ครั้งนี้จะไม่มีบทลงโทษสำหรับฝ่ายแพ้ อาจารย์แค่อยากเห็นว่าฝีมือของเจ้าว่าพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็คงเอาชนะข้าไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นอย่าคิดมากนักเลย”


 


 


“ฮึ!” ซูเหลียนอวิ้นแค่นเสียงแต่ไม่มีอากัปกิริยาอื่น เนื่องจากสิ่งที่หรงซู่พูดนั้นคือความจริง นางเอาชนะเขาไม่ได้อยู่แล้ว


 


 


“ทว่าอย่าถอดใจไปเสียก่อน เพราะถ้าชนะข้าขึ้นมาละก็…” หรงซู่เอ่ยต่อช้าๆ


 


 


“ได้ๆ อย่ามัวแต่เสียเวลากันอยู่เลย รีบเล่นให้เสร็จเถิด” ตอนนี้นางเริ่มหิวแล้ว


 


 


หรงซู่ยิ้ม ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ และครั้งนี้เขาเลือกใช้หมากดำจึงได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองเห็นการลงหมากที่คุ้นเคยจึงลงหมากสีขาวตามลงไป ครั้งนี้นางมิได้ทำตัวใสซื่อสงวนท่าทีวางหมากป้องกันเพียงอย่างเดียว เพราะการประลองกับหยางอวี้หลินคราวนั้นจุดประกายให้เกิดขึ้นในใจนางอย่างใหญ่หลวง หากตอนนี้คิดจะเอาชนะแล้วละก็…


 


 


“ท่านอาจารย์ ตอนนี้อายุท่านก็ไม่น้อย ข้าเองก็จวนจะปักปิ่นอยู่แล้ว ท่านอาจารย์วางแผนจะแต่งงานเมื่อไหร่กัน”


 


 


เมื่อหรงซู่ได้ยินคำถามประโยคนี้ของซูเหลียนอวิ้น มือที่สัมผัสหมากของเขาจากเดิมที่หนักแน่นเริ่มสั่นเทา ทว่าเพียงครู่เดียวเขาก็สามารถเก็บอาการได้เป็นปกติดังเดิมแล้วตอบว่า “อยากกวนสมาธิข้า? เช่นนั้นอาจารย์ขอถามเจ้าบ้าง เจ้ากับคุณชายต้วน ต้วนเฉินเซวียน ช่วงนี้ความสัมพันธ์เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


ซูเหลียนอวิ้น “…”


 


 


“ท่านอาจารย์ สุภาพชนจะไม่วิจารณ์ระหว่างดูการลงหมาก แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีคนดู แต่พวกเรากำลังแข่งขันกันอยู่ ดังนั้นอย่าเพิ่งสนทนาอะไรกันเลย”


 


 


คุยกันดีๆ ไม่ได้เลย! ในมือของนางมีจุดอ่อนของหรงซู่เพียงข้อนี้ข้อเดียว แต่จุดอ่อนของนางที่หรงซู่กำไว้นั้นมีมากมายนัก ดูท่าแล้วหุบปากไว้จะดีกว่า


 


 


กลยุทธ์ครั้งนี้ที่ซูเหลียนอวิ้นเลือกใช้ล้วนเป็นการเดินหมากเพื่อโจมตีทั้งสิ้น เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าคือหรงซู่ หากเลือกกลยุทธ์เพื่อป้องกัน เกรงว่าจะต้านทานไม่อยู่ อีกทั้งนางยังปรารถนาเป็นฝ่ายกำชัยจึงทุ่มเทความหวังทั้งหมดไว้กับการเดินหมากครั้งนี้ ไม่แน่นางอาจจะเป็นฝ่ายชนะก็ได้


 


 


ท้ายที่สุด เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ผลแพ้ชนะก็ปรากฏออกมา


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ ฝีมือหมากล้อมของเจ้า ยังคงต้องพยายามให้มากขึ้น” หรงซู่มองหมากกระดานนี้แล้วกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพอใจ


 


 


“อืม ศิษย์ทราบแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเบะปาก แล้วเบือนหน้าหนีสีหน้าพออกพอใจของอีกฝ่าย มิเช่นนั้นแล้วนางเกรงว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ คันมือคันไม้ แม้จะรู้ดีว่าต่อให้ลงมือก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้อยู่ดี


 


 


“อืม…ในเมื่ออาจารย์ได้เห็นฝีมือหมากล้อมของเจ้าแล้ว เช่นนั้นให้อาจารย์ได้เห็นฝีมือกระบี่ของเจ้าบ้างได้หรือไม่? ดูว่าเจ้าขี้เกียจฝึกฝนในด้านนี้หรือไม่” หรงซู่ลุกขึ้น จากนั้นจึงเดินกลับไปยังกระท่อมไม้ไผ่ด้านหลังแล้วหยิบกระบี่เล่มหนึ่งออกมาโยนให้ซูเหลียนอวิ้น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นรับมันมาแล้วสัมผัสกระบี่เล่มนี้ ทันใดนั้นพลันเบิกตากว้าง


 


 


นี่…นี่คงมิใช่กระบี่เหยี่ยนชิงกระมัง! เมื่อชาติที่แล้วนางอยากสัมผัสมันตลอดมา แต่น่าเสียดายที่หรงซู่หวงแหนมันอย่างกับอะไรดี ไม่ยอมให้นางแตะต้องเด็ดขาด


 


 


ตอนนั้นหรงซู่บอกเอาไว้ว่า ‘กระบี่เล่มนี้นับว่าคมเกินไปสำหรับเจ้า อาจารย์เกรงว่าหากพลาดพลั้งไปอาจทำให้บาดเจ็บได้ ดูได้แต่ตา มือห้ามแตะต้อง’


 


 


แต่วันนี้หรงซู่กลับส่งกระบี่เล่มนี้ให้นางง่ายๆ? โดยที่ไม่เกรงว่าจะเกินกว่าที่นางจะรับได้ แม้จะยังไม่ชักออกจากปลอกกระบี่ เช่นนี้หากไม่ทันระวังจนพลาดพลั้งทำนางบาดเจ็บเล่า!


 


 


“ท่านอาจารย์…ท่านเคยบอกมิให้ข้าแตะต้องกระบี่เล่มนี้มิใช่หรือ วันนี้เหตุใดท่านถึงได้ใจกว้างหยิบยื่นให้ข้าง่ายๆ เช่นนี้”


 


 


หรงซู่สืบเท้าเข้าหานางพลางเอ่ย “นั่นคือเมื่อก่อน แต่เจ้าในตอนนี้…ใช้กระบี่เล่มนี้ได้แล้ว มา เจ้าใช้กระบี่เล่มนี้ ส่วนอาจารย์จะใช้เล่มนี้ เรามาประลองกันสักเพลง” สิ่งที่หรงซู่ถืออยู่ในมือเป็นไม้ก้านหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเก็บขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


“แต่ครั้งนี้หากแพ้จะต้องมีบทลงโทษ และแน่นอนว่าหากเจ้าชนะ อาจารย์รับปากว่าจะบอกเล่าเรื่องที่ตกลงกับเจ้าเมื่อตอนประลองหมากให้ได้รู้ มีเพียงสองตกลงนี้”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นลูบไล้กระบี่เหยี่ยนชิงที่อยู่ในมือ นางรู้สึกลังเลอยู่บ้าง แต่เงื่อนไขที่หรงซู่เสนอตอนนี้น่าสนใจมาก! ทั้งนางเองก็อยากเห็นว่าคมของกระบี่เหยี่ยนชิงนั้นเป็นอย่างไร ไม่ใช่เพียงมองปลอกกระบี่อยู่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงอยากจะสะบัดกระบี่เหยี่ยนชิงดูสักครา


 


 


“ตกลง” ซูเหลียนอวิ้นใช้มือขวาชักกระบี่ออกจากปลอก “ลองดูสักตั้งเถิด” ทันทีที่สิ้นเสียง ซูเหลียนอวิ้นก็รุกเข้าจู่โจมราวกับไม่อาจยับยั้งตนเองไว้ได้


 


 


แม้ว่าสิ่งที่หรงซู่ถืออยู่ในมือจะเป็นเพียงกิ่งไม้ แต่กลับแข็งแรงทนทานยิ่งนัก จึงรับมือการบุกโจมตีของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ได้


 


 


ทว่า เมื่อหรงซู่เห็นกระบวนท่าของซูเหลียนอวิ้นแล้ว ดวงตาของเขาก็ปรากฏความกังวล


 


 


หลังจากลงมือกันอยู่หลายกระบวนท่า หรงซู่ก็ถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว แล้วเหวี่ยงกิ่งไม้นั้นขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะกลับมายืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไร้อาวุธในมือ


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของหรงซู่ก็ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร จึงได้แต่หยุดฝีเท้าของตนไว้ เม้มริมฝีปากเพราะไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี


 


 


ทว่าในช่วงเวลาที่กิ่งไม้นั้นกำลังร่วงหล่นลงมา หรงซู่กลับใช้มือขวาคว้ามันเอาไว้ แล้วตวัดเข้าที่กระบี่ในมือของซูเหลียนอวิ้นจนกระบี่หลุดจากมือนางไป ซูเหลียนอวิ้นเมื่อถูกกำลังภายในโจมตีกะทันหันเช่นนี้ก็ถอยกรูดออกไปสองสามก้าว ก่อนจะเสียหลักล้มลงกับพื้น


 


 


หรงซู่ไม่รอให้นางได้ทันตั้งตัว พอซูเหลียนอวิ้นรู้สึกตัวอีกที กิ่งไม้กิ่งนั้นก็ได้จ่ออยู่ที่คอของนางเสียแล้ว 

 

 


ตอนที่ 71 ล่าสัตว์

 

“ในตอนที่ข้าหยุดมือเมื่อครู่นี้ เจ้าสามารถโจมตีข้าได้นี่ เจ้ามิอยากชนะหรือ” หรงซู่ทำเสียงแข็ง บนสีหน้าไม่มีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏอย่างเมื่อครู่อีกต่อไปแล้ว


 


 


“ข้า…” ซูเหลียนอวิ้นพึมพำอยู่กับตัวเอง แต่กลับมิรู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี


 


 


“ช่องโหว่เมื่อครู่ของข้าชัดเจนยิ่งนัก ต่อให้ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถอะไรเลยก็คงจะไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน แต่ทำไมเจ้าถึงไม่ลงมือ?” หรงซู่บีบเค้นต่อ ไม่เว้นช่องว่างให้ซูเหลียนอวิ้นได้ตั้งตัว


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเงียบงัน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นางอยากเป็นฝ่ายกำชัย แต่เหตุใด…


 


 


อีกทั้งหรงซู่ได้เผยช่องโหว่ที่ชัดเจนให้นางถึงขนาดนี้แล้ว แต่นางกลับหยุดฝีเท้าลง ปล่อยให้ตนเองพลาดโอกาสนั้นไปอย่างเปล่าประโยชน์


 


 


เมื่อหรงซู่เห็นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ หดเล็กลงไปเรื่อยๆ ก็ถอนหายใจ แล้วยื่นมือออกไปดึงนางเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าใจอ่อนเกินไป”


 


 


หรงซู่รู้ดีว่าเมื่อครู่ตนอาจมีท่าทีที่เข้มงวดจนเกินไป แต่ความจริงใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ด้วยสถานการณ์ของซูเหลียนอวิ้นแล้ว ย่อมไม่สามารถปล่อยให้นางใจอ่อนเช่นนี้ได้อีกต่อไป


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเองก็ถอนใจตาม แม้ว่าช่องโหว่เมื่อครู่จะสามารถทำให้นางกำชัยได้ แต่หากนางลงมืออย่างไม่ระมัดระวังแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะแทงโดนหรงซู่เข้าจริงๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกการหยุดฝีเท้า


 


 


นางเข้าใจดีที่หรงซู่ตำหนินางว่าใจอ่อน เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดกับหยางอวี้หลินและหยางอวี้ฉินในวันนั้น แม้ว่านางจะสั่งสอนพวกเขาอย่างโหดเ**้ยม แต่นางก็ยังคงเหลือโอกาสให้กับพวกเขา ไม่ได้จัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


 


 


สำหรับหยางอวี้หลิน ตัวนางเพียงต้องการทำให้นางอับอาย ส่วนหยางอวี้ฉิน ตัวนางก็เพียงต้องการข่มขู่ให้เขาหลาบจำเท่านั้น


 


 


เพราะหากนางต้องการให้พวกเขาได้รับบทเรียนและกำจัดแบบถอนรากถอนโคนจริง สิ่งที่นางจะทำก็คงไม่ใช่การลงมือเพียงเท่านี้


 


 


ตอนนี้หยางอวี้ฉินก็ยังคงพูดคุยได้ตามปกติ ส่วนหยางอวี้หลินก็เพียงได้รับการสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น


 


 


แต่ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าหลังจากที่หยางอวี้ฉินหายดีแล้วจะไม่กลับมาแว้งกัดนางอีกรอบ? เพราะสิ่งที่นางลงมือในวันนั้นนับว่ารุนแรงพอตัว อีกทั้งใครจะรับประกันว่าหยางอวี้หลินจะสำนึกได้ว่าตัวเองนั้นเป็นฝ่ายผิด และไม่ได้กลับไปเตรียมแผนร้ายกาจไร้ที่ติไว้เพื่อกลับมาเล่นงานนางอีก? เพราะถึงอย่างไรพี่สาวของพวกเขาทั้งสองก็เป็นถึงพระสนมกุ้ยเฟย


 


 


นั่นจึงเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้


 


 


เนื่องจากในครั้งนี้หยางอวี้หลิงไม่ได้เอาโทษกับนางถึงขั้นให้เจ็บตัวรุนแรงนักและปล่อยตัวนางกลับมา แต่สุดท้ายแล้วคงจะเป็นการปล่อยเสือเข้าป่า หรือโปรดสัตว์ได้บาปเสียมากกว่า


 


 


“เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอ มีกำลังเหลือล้นแต่มีแรงจูงใจไม่มากพอ ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เจ้ากลับหยุดมือ” หรงซู่เอ่ยขึ้น “แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าเจ้าจะพบกับความลำบากสาหัสยิ่งกว่า”


 


 


ก็ใช่ หรือความเมตตาสงสารอาจเป็นสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาของคนในจวนแม่ทัพ ไม่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ก็มักจะให้โอกาสพวกเขาเสมอ นางเป็นคนประเภทที่ว่าไม่บีบให้มั่น ไม่คั้นให้ตาย เพราะวันหน้าอาจจะมีวันเวลาดีๆ ร่วมกัน ทว่าหากได้พบกันอีกครั้ง จะรับรองได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายจะจดจำได้ว่าเราเคยให้โอกาสเขา แล้วเขาจะยอมปล่อยเราไป?


 


 


“ช่างเถิด” เมื่อหรงซู่เห็นซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยคำเช่นนี้ ก็เริ่มคิดทบทวนตัวเอง อวิ้นเอ๋อร์ยังเด็ก อีกทั้งเรื่องราวใดๆ ในโลกล้วนต้องพัฒนาไปตามขั้นตอน เรื่องกะทันหันอย่างเช่นในตอนนี้…ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าหิวหรือไม่”


 


 


พอซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำถามนี้จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อครู่บรรยากาศยังอึดอัดอยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนเป็นเรื่องนี้ได้? แต่เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้…ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มรู้ตัวว่าตนเองหิวอยู่จริงๆ


 


 


“หิวหรือ?” รอยยิ้มเดิมของหรงซู่กลับคืนมาอย่างเก่า “อาจารย์เองก็หิวเช่นกัน อวิ้นเอ๋อร์ ในเมื่อครู่นี้เจ้าเป็นฝ่ายแพ้ เช่นนั้นเจ้าต้องทำตามเงื่อนไขของข้า นั่นก็คือออกไปล่าสัตว์แล้วนำกลับมาที่นี่ พวกเราจะได้กินด้วยกัน”


 


 


“หา? เพราะเหตุใดกัน?” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว ถ้าหิวก็ไปกินอาหารเจของวัดสิ เหตุใดจะต้องออกไปล่าสัตว์ด้วย


 


 


เมื่อหรงซู่มองหน้าซูเหลียนอวิ้นก็เข้าใจความในใจของนาง เขาจึงเอ่ยว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าหากเจ้าลงจากภูเขาไปตอนนี้ เมื่อไปถึงวัดแล้วจะยังเหลืออาหารเจไว้ให้เจ้ากินอยู่อีก?”


 


 


เพราะในตอนนี้ตะวันทอแสงเพียงน้อยนิด อีกทั้งหากลงเขาจากตรงนี้ย่อมยากกว่าขาขึ้นมามากหากนางลงเขาไปแล้วรีบกลับไปที่วัด ถึงตอนนั้นอาหารคงจะหมดไปนานแล้ว!


 


 


“ดังนั้น อวิ้นเอ๋อร์ ตอนนี้มิสู้เจ้ารีบไปล่าสัตว์แล้วรีบกลับมาจะดีกว่า พวกเราจะได้รีบปรุงอาหารแล้วกินกัน มิเช่นนั้นขืนรอจนฟ้ามืดแล้วเจ้าค่อยออกไปล่าสัตว์ เกรงว่าถึงตอนนั้นเหยื่อจะเป็นฝ่ายตามล่าเจ้าเสียมากกว่า” หรงซู่มองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง


 


 


“แต่ ท่านอาจารย์ ข้าไม่เคยล่าสัตว์มาก่อนเลยนะ!” ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็เริ่มชักสีหน้า “ท่านอาจารย์เปลี่ยนเงื่อนไขดีหรือไม่?”


 


 


หรงซู่ส่ายหน้า “ไม่ได้ ตอนที่เจ้าขึ้นเขามาก็คงจะเห็นแล้วว่าอาจารย์ไม่ได้ลงเขามานานแล้ว ดังนั้นเสบียงอาหารที่นี่จึงไม่มีเหลือแล้ว อาจารย์รอให้เจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อที่เจ้าจะได้ไปล่าสัตว์มาให้ อีกทั้งอาจารย์สามารถทนความหิวได้ แต่สำหรับอวิ้นเอ๋อร์แล้ว เจ้าทนได้หรือ?”


 


 


ทนไม่ไหว


 


 


นภาแผ่ไพศาลผืนดินกว้างใหญ่ แต่เรื่องกินกลับใหญ่กว่า มนุษย์คือแร่เหล็ก อาหารนั้นไซร้คือเหล็กกล้า ไม่กินข้าวแม้แต่มื้อเดียวจะทำให้หิวจนแทบทนไม่ได้ อีกทั้งเมื่อครู่นางใช้ทั้งสมองและใช้กำลัง ซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้จึงหิวจนท้องแทบจะแบนไปติดกับแผ่นหลังอยู่แล้ว


 


 


หรงซู่ไม่พูดไร้สาระอะไรกับนางต่ออีก จากนั้นจึงยื่นมือไปหยิบกระบี่เหยี่ยนชิงที่ปักอยู่กับพื้นขึ้นมาแล้วส่งไปที่มือนาง “ข้าให้เจ้ายืมกระบี่เหยี่ยนชิง ดังนั้นตอนนี้เจ้ารีบไปล่าสัตว์เถิด อย่าลังเลอีกต่อไปเลย”


 


 


ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเองก็รู้ว่าตนติดกับหรงซู่เข้าให้แล้ว นางจึงโกรธจนแก้มสั่นระริก แต่พยายามข่มไว้แล้วตัดสินใจออกไปล่าสัตว์


 


 


เนื่องจากหรงซู่เป็นคนปากร้ายและชอบขัดคอนาง ทว่าคำพูดของเขานั้น หากเอ่ยว่ามีเพียงหนึ่งก็มีเพียงหนึ่ง มีสองก็มีสอง หากวันนี้เขาพูดว่านางล่าสัตว์ไม่ได้จะไม่ได้กินข้าว ดังนั้นหากวันนี้นางไม่ไป นางก็จะไม่ได้กินข้าวอย่างแน่นอน…


 


 


หรงซู่มองเงาด้านหลังของนางที่โกรธจนเนื้อเต้นและเดินไปกระทืบเท้าไปบนพื้นจนพื้นแทบจะเป็นหลุมลงตรงหน้านั้นก็หัวเราะขึ้น ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะทำใจแข็งอยู่ได้หรือไม่


 


 


ตะวันค่อยๆ ลาลับตีนเขา ความมืดค่อยๆ ปกคลุมนภา ดังนั้นตอนที่หรงซู่กำลังจะลงไปตามหาซูเหลียนอวิ้นอยู่นั้น ซูเหลียนอวิ้นก็อุ้มกระต่ายตัวหนึ่งกลับมาพอดี


 


 


เมื่อหรงซู่เห็นสภาพซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ คิ้วของเขาพลันเลิกสูงขึ้นแล้วเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์ อาจารย์ให้เจ้าไปล่าสัตว์ แถมยังให้เจ้าเดินไปมิใช่หรือ? แต่ดูท่าเจ้าแล้ว เหมือนเจ้าจะกลิ้งลงเขาไปมากกว่า เหตุใดเสื้อผ้าของเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ได้?


 


 


ชุดที่ซูเหลียนอวิ้นใส่ในวันนี้เป็นชุดสีฟ้าอัญมณี ทว่าสีฟ้าอัญมณีในยามนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นสีฟ้าน้ำหมึก ฟ้าบ้างดำบ้าง แถมเสื้อผ้าชุดนั้นขาดด้านซ้ายรูหนึ่ง ขวารูหนึ่ง ดูจากสภาพแล้วน่าอนาถยิ่ง


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์แล้วเจ้าล่ากระต่ายมาได้เพียงตัวเดียวแค่นั้นหรือ? อันที่จริงข้าเองก็ไม่ได้ให้เจ้าไปล่าเสือ เหตุใดเจ้าจึงหมดสภาพเช่นนี้?”


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินน้ำเสียงดูถูกของหรงซู่เช่นนี้อารมณ์ของนางจึงเริ่มเดือดปุดๆ ขึ้นมา “ข้าล่าได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว! ท่านอาจารย์ลองไม่หยุดดูถูกข้าอีกสักคราดูสิ!” 

 

 


ตอนที่ 72 ตายอย่างคุ้มค่า

 

“เอาล่ะๆ ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว ข้าไม่ว่าเจ้าแล้ว…” หรงซู่เอามือลูบจมูกแล้วไม่เอ่ยอะไรต่ออีก ดูท่าแล้วอวิ้นเอ๋อร์คงโกรธไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงได้ใส่อารมณ์ขนาดนี้


 


 


ซูเหลียนอวิ้นนั้นโกรธไม่น้อยจริงๆ แต่มิอาจพูดได้ว่าโกรธหรงซู่ ตอนนี้นางกำลังระบายอารมณ์ใส่ตัวเองอยู่ เพราะโมโหที่ตัวเองออกไปล่าสัตว์นานขนาดนั้นแต่กลับล่ากระต่ายมาได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น แถมยังเปลืองแรงไปมากขนาดนี้ ทว่าเรื่องนี้นางรู้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นมาบอกนางเรื่องนี้! ดังนั้นคำที่สามารถใช้บรรยายซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ได้ก็คือ ขายหน้าจนโมโห…


 


 


“เฮอะ!” ซูเหลียนอวิ้นแค่นเสียงออกมา แล้วไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นจึงอุ้มกระต่ายไปนั่งบนม้านั่งหินพลางลูบกระต่ายขาวที่อยู่ซุกในอกตน แม้ว่ากระต่ายตัวนี้จะยังมีอาการตื่นกลัวอยู่บ้าง แต่เมื่อถูกซูเหลียนอวิ้นลูบขนเช่นนี้ก็ค่อยๆ สงบลง


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์” หรงซู่ตะโกนเรียกแล้วยื่นมือออกมา “เอากระต่ายมาให้ข้าสิ พวกเราจะได้กินข้าวกัน”


 


 


แม้ว่าระหว่างที่ซูเหลียนอวิ้นอุ้มมันกลับมาจะรู้ว่าผลสุดท้ายต้องเป็นเช่นนี้ แต่ว่า…นางลุกขึ้นยืนเงียบๆ อุ้มกระต่ายถอยหลังไปสองสามก้าว


 


 


“ท่านอาจารย์…” ในน้ำเสียงจริงจังนี้ไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดต่อก็บอกความหมายโดยนัยได้ “เจ้า เจ้ากระต่ายตัวนี้น่ารักมากเลย ท่านดูขนมันสิขาวมาก ท่านอาจารย์ แถมตอนนี้มันยังเป็นเด็กดีอยู่ในอกข้า ข้าอยากเอามันกลับเรือนไปเลี้ยงได้หรือไม่ ท่านอาจารย์…”


 


 


เมื่อหรงซู่ได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนขอร้องเช่นนี้ก็ไม่แปลกใจ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นคืนนี้เจ้ายังจะกินข้าวอยู่หรือไม่”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นอุ้มกระต่ายอยู่ในอกพลางเอาเท้าเขี่ยพื้นไปมา นางไม่เอ่ยสิ่งใด แต่ในที่สุดบรรยากาศความเงียบรอบด้านนี้ก็ถูกเสียงท้องร้องของซูเหลียนอวิ้นทำลายลง


 


 


หรงซู่ถอนใจแล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้าดูมือทั้งสองของเจ้าสิ โดนข่วนจนเป็นรอยแดง คงโดนกระต่ายน้อยแสนน่ารักแสนเชื่อฟังในอกข่วนเอาล่ะสิ หากมันน่ารักและเป็นเด็กดีขนาดนั้น เหตุใดมันจึงข่วนเจ้าได้”


 


 


“นั่นเป็นเพราะว่า…” ซูเหลียนอวิ้นคิดอยากจะอธิบาย แต่กลับรู้สึกว่ามาอธิบายเรื่องนี้ตอนนี้คงจะไม่มีประโยชน์อะไร ด้วยเหตุนี้จึงจ้องกับกระต่ายในอกอย่างเงียบเชียบ เมื่อเจ้ากระต่ายขาวนั่นรับรู้ว่ามีสายตาจับจ้องก็หันหัวขึ้นมามองแล้วกะพริบตาปริบๆ


 


 


หรงซู่เฝ้ามองทั้งคู่ที่แลกสายตากันราวกับมีกันอยู่เพียงสองคน และไม่สนใจว่ามีเขาอยู่ตรงนี้ก็ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วดึงหูทั้งสองข้างของกระต่ายตัวนี้ขึ้น จากนั้นจึงนำมันมาไว้ในฝ่ามือ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “อวิ้นเอ๋อร์ ตอนนี้อาจารย์หิวมากแล้ว รอเจ้ามานานขนาดนี้ เจ้าอย่าทำให้อาจารย์ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไปเลย ถึงอย่างไรในตอนสุดท้าย เจ้ากระต่ายตัวนี้ก็ต้องลงไปอยู่ในท้องอยู่ดี ดังนั้นอย่ามัวแต่มองอยู่เลย ยิ่งมองยิ่งสงสาร”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยังคงไม่ยอมพูดจา เพียงเฝ้ามองขาหลังของเจ้ากระต่ายตัวนั้นถีบเปะปะอย่างสุดแรง ราวกับต้องการจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของหรงซู่ให้ได้ ทว่าสายตาของกระต่ายตัวนั้นยังคงจ้องมองมาที่ซูเหลียนอวิ้นตลอดเวลา


 


 


เมื่อหรงซู่เห็นว่านางไม่เอ่ยสิ่งใดและไม่ได้มีทีท่าว่าจะพูดอะไรต่อ จึงเดินอ้อมไปด้านหลังของนางแล้วดึงกระบี่เหยี่ยนชิงออกมา พอหรงซู่เห็นว่ากระบี่เหยี่ยนชิงยังไม่ได้ถูกถอดออกจากปลอกก็ไม่รู้จะหาคำใดมาเอ่ย


 


 


 “อวิ้นเอ๋อร์ อาจารย์รู้แล้วว่าทำไมสภาพของเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ เจ้าคงมิได้ใช้มือเปล่าล่ากระต่ายกระมัง? ฝีมือเจ้าร้ายกาจมากทีเดียว! เช่นนั้นอาจารย์ให้กระบี่เจ้าไปเพื่ออะไรกัน? ให้เจ้าแบกมันออกไปอวดชาวบ้านงั้นหรือ? มีกระบี่ไม่ยอมใช้ กลับใช้มือจับ?”


 


 


พอซูเหลียนอวิ้นโดนหรงซู่ต่อว่าเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหลบหลีกอย่างไร จึงไพล่มือเอาไว้ด้านหลังเพื่อที่จะซ่อนเอาไว้ เพราะสิ่งที่หรงซู่พูดนั้นมิผิด เขาให้กระบี่นางมาใช้ แต่นางกลับมิได้หยิบออกมาใช้เลยแม้แต่น้อย…


 


 


เพราะระดับความคมของกระบี่เหยี่ยนชิงนั้น ขอเพียงลงมือ ไม่ต้องคิดว่าจะบาดเจ็บหรือไม่! ขอแค่ลงมือต้องได้เห็นโลหิตหลั่งไหลอย่างแน่นอน


 


 


เมื่อหรงซู่หยิบกระบี่ออกมาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เขาแทงตรงลงไปที่คอของกระต่ายตัวนั้น เจ้ากระต่ายตัวนั้นก็คงไม่ได้คิดว่าความตายจะมาเยือนตัวเองเร็วเช่นนี้ จึงดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งแล้วแน่นิ่งไป ตายอย่างรวดเร็วเช่นนี้คงจะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก


 


 


ทว่าบริเวณพื้นดินใต้ดาบเต็มไปด้วยเลือดที่สาดกระเซ็น


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วเช่นนี้ พลันตกตะลึงนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำพูดใดออกไป จะบอกว่ากลัว? ดูเหมือน…จะกลัวเพียงเล็กน้อย แต่ในใจของนางตอนนี้กลับมีความรู้สึกว่า ท้ายที่สุดนางก็สามารถปล่อยวางความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้มากขึ้นแล้ว


 


 


“กลัวหรือ?” หรงซู่เอ่ยปากขึ้น


 


 


“เปล่า…” เสียงของซูเหลียนอวิ้นแหบแห้ง “ตายเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่รู้สึกเจ็บปวด หากเป็นข้า คงไม่สามารถลงมือแบบดาบเดียวปลิดชีวิตได้เช่นนี้”


 


 


ไม่สามารถลงมือดาบเดียวปลิดชีวิตได้ นั่นก็หมายความว่า นางจะทำให้กระต่ายตัวนี้ทรมานแสนสาหัสมากกว่า


 


 


“ไปจุดไฟเถิด” หรงซู่เอ่ยแค่นี้แล้วก็นำร่างของกระต่ายตัวนั้นไปจัดการถลกหนังออกอย่างใจเย็น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นถูกฝึกฝนจนชำนาญในการหาฟืน ไฟจึงค่อยๆ ติดขึ้นอย่างช้าๆ ท่าทางของความลังเลไม่มีอีกต่อไป ทว่าความรู้สึกที่แฝงอยู่ในแววตาของนางกลับสามารถดูออกได้อย่างง่ายดายว่าความรู้สึกของนางในตอนนี้กำลังทุกข์ใจอย่างมาก


 


 


“ได้แล้ว” เมื่อหรงซู่หันมาแล้วเห็นซูเหลียนอวิ้นจุดไฟติดแล้วก็เอ่ยปากชมคำหนึ่ง “เสร็จแล้ว ไฟติดเร็วยิ่ง”


 


 


หรงซู่จึงนำกระต่ายที่ถลกหนังออกเรียบร้อยแล้ววางลงบนกองไฟกองนั้น ผ่านไปไม่นาน กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ก็ลอยคลุ้งออกมา


 


 


หรงซู่ฉีกขาหลังของกระต่ายออกมาขาหนึ่ง เขาเคี้ยวมันช้าๆ แล้วมองซูเหลียนอวิ้นที่กำลังเหม่อมองไฟกองนั้นแล้วก็ไร้คำพูด บางเรื่องราวคงจะต้องให้ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดช่วยนางได้ ต่อให้เป็นเขา เขาก็คงทำไม่ได้เช่นกัน


 


 


หรงซู่กินอย่างรวดเร็วยิ่ง ดูจากท่าทางแล้วราวกับไม่ได้ตั้งใจจะเหลือไว้ให้ซูเหลียนอวิ้นเลย


 


 


สุดท้ายแล้วตอนที่หรงซู่กินทุกอย่างจนหมด เหลือไว้เพียงขากระต่ายเพียงข้างเดียวนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็ไม่ยอมนั่งเหม่อลอยอีกต่อไป นางจึงฉีกขาข้างนั้นออกมา จากนั้นจึงเอาเข้าปากคำโต


 


 


มือของหรงซู่ที่ยื่นออกไปค้างอยู่กลางอากาศ เขาหัวเราะและเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะนั่งเหม่อลอยเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เสียอีก ทำไมถึงตัดสินใจกินได้เสียทีเล่า?”


 


 


เนื่องจากเนื้อในปากของซูเหลียนอวิ้นยังไม่ได้กลืนลงไป ดังนั้นจึงพูดแบบอู้อี้ว่า “ทำไมจะไม่กินเล่า? หากไม่กินจะไม่เป็นการดูถูกท่านหรือ? จะดีจะร้ายอย่างไรข้าก็เป็นคนจับมาเอง” จากนั้นจึงกัดเข้าอีกคำ


 


 


“อ้อ~เช่นนี้เอง” หรงซู่พยักหน้า “แต่เมื่อครู่เจ้ากับกระต่ายตัวนั้นมิใช่ยังอาลัยอาวรณ์แยกจากกันไม่ได้อยู่หรือ ตอนนี้เจ้ากินเข้าไปไม่รู้สึกเสียใจรึ? ไม่กลัวว่าเจ้ากระต่ายตัวนั้นจะเสียใจจนมาล้างแค้นเจ้า? เพราะเจ้ากินมันอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกลืนเนื้อกระต่ายลงไปเงียบๆ จากนั้นจึงกลอกตาแล้วเอ่ยว่า “มันตายไปแล้ว! ท่านจะไม่ให้การตายของมันคุ้มค่าหน่อยหรือ? อันที่จริงแล้ว ท่านเป็นคนฆ่ามันต่างหาก เกี่ยวอะไรกับข้า! แถมท่านยังกินไปไม่น้อยเลย หากจะมาแก้แค้นคงมาแก้แค้นท่านมากกว่า” 

 

 


ตอนที่ 73 ของขวัญ

 

เมื่อหรงซู่เห็นซูเหลียนอวิ้นอธิบายเหตุผลอย่างขึงขังจริงจังเช่นนี้ก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ดูท่าเจ้าคงไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าคงกังวลมากเกินไป ข้ายังหวังว่าคืนนี้เจ้าจะไม่กินเลยสักคำ จากนั้นกระต่ายทั้งตัวนี้จะได้เป็นของข้า” ระหว่างพูดไปน้ำเสียงก็เริ่มเสียดาย


 


 


“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว…” เศร้าครู่เดียวก็พอแล้ว จะยังคิดมากอยู่ทำไม หรืออีกอย่างหนึ่ง ตายก็ตายไปแล้ว…สู้เอาเวลามาคิดว่าจะกินอย่างไรให้อร่อยดีกว่า


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยังคงฉีกเนื้อกระต่ายกินต่อไป เพียงครู่เดียว กระต่ายที่ดูอวบอ้วนอยู่เมื่อครู่เหลือแต่เพียงโครงกระดูก


 


 


เมื่อดื่มกินจนอิ่มหนำแล้ว ซูเหลียนอวิ้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี จึงเริ่มเดินวนอยู่รอบกระท่อมไม้ไผ่ ทว่าในขณะที่กำลังจะลุกขึ้น นางก็เหลือบไปเห็นกระบี่เหยี่ยนชิงที่วางอยู่บนโต๊ะหิน


 


 


ภายใต้แสงจันทราสาดส่อง กระบี่ล้ำค่านี้ดูนุ่มนวลวิบวับ แต่มิได้ดูคมปลาบเท่าตอนกลางวัน ชั่งเป็นกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่ง ซูเหลียนอวิ้นคว้ากระบี่เข้ามาอยู่ในมือแล้วลองกวัดแกว่งไปมา แต่น่าเสียดาย…


 


 


“ท่านอาจารย์เจ้าคะ ท่านอาจารย์!”


 


 


“อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น! หมาป่ามาหรือ? ถึงตะโกนได้น่าตกอกตกใจเช่นนี้…” หรงซู่เดินออกมาจากกระท่อมอย่างไม่มีทางเลือก ในอกยังคงอุ้มของจำพวกขวดและกระถางอยู่


 


 


“ท่านอาจารย์ ข้าใกล้จะต้องปักปิ่นแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นพยายามทำตาปริบๆ เพื่อให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจน


 


 


“อื้ม แล้วอย่างไรต่อ?” หรงซู่ใช้สีหน้าแล้วอย่างไร เกี่ยวอะไรกับข้า มองไปยังนาง


 


 


จากนั้นจึงวางขวดและถังเหล่านั้นไว้บนโต๊ะ เขาเดินลงมาแล้วยื่นมือไปดึงมือซ้ายของซูเหลียนอวิ้นเข้ามา ใช้แสงของเปลวเทียนส่องดูรอยแผลข่วนอย่างละเอียด


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือขวาไปข้างหน้าอย่างใสซื่อแล้วเอ่ยต่อว่า “ท่านอาจารย์เจ้าคะ กระบี่ของท่านเล่มนี้เยี่ยมมากและงามมากเช่นกัน!


 


 


“ไร้สาระ! เจ้าก็ดูสิว่าเจ้าของมันคือใคร จะไม่ดีได้อย่างไร”


 


 


“ท่านอาจารย์เจ้าคะ…” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหรงซู่ไม่ยอมใส่ใจบทสนทนาของตนก็ก้มหน้ามองพื้น “ท่านอาจารย์ ข้าก็อยากมีกระบี่สักเล่ม หรือไม่ก็เป็นอาวุธติดมือสักชิ้นหนึ่งก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกระบี่ก็ได้!”


 


 


“อื้ม” หรงซู่ไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมามอง


 


 


“อื้ม?” ซูเหลียนอวิ้นไม่พอใจคำตอบนี้เป็นอย่างมาก “อื้ม หมายความว่าอย่างไร? ท่านอาจารย์เจ้าคะ เมื่อชาติที่แล้วตอนข้าปักปิ่นท่านก็ไม่ได้ให้ของขวัญอะไรข้าเลย!”


 


 


“ไร้สาระ! เจ้าเรียนวิชาตัวเบาแล้วหรือยัง? เจ้าฝึกสำเร็จในฝันร้ายของเจ้าใช่หรือไม่?” หรงซู่เอ่ยขึ้น น้ำหนักมือของเขาพลันหนักขึ้นตามไปด้วยแล้วเอ่ยต่อว่า “วิชาที่อาจารย์สอนแก่เจ้ายังไม่มีค่ามากพอหรือ? สายตาของเจ้าชั่งตื้นเขินนัก วันๆ มัวแต่สนใจวัตถุสามัญเหล่านั้น”


 


 


“เจ็บๆๆ! นั่นเป็นเพราะข้าเป็นคนธรรมดาสามัญนี่เจ้าคะ คนธรรมดาสามัญย่อมชอบของสามัญ”


 


 


หรงซู่ “…”


 


 


“ดูแล้วเจ้ายังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ในวิชาที่ข้าสอน เงินทองเป็นของนอกกาย! เด็กน้อยอย่างเจ้าถึงได้พร่ำร้องหาแต่เงิน รสนิยมต่ำเหลือทน!”


 


 


“ท่านอาจารย์แล้วตอนที่ท่านตะโกนร้องขายยาให้แก่ชาวบ้าน ท่านไม่ได้พูดเช่นนี้นี่เจ้าคะ หากมีผู้ให้เงินท่านขาดไปแม้แต่เหรียญเดียวท่านก็คงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน” ซูเหลียนอวิ้นวางกระบี่เหยี่ยนชิงลงแล้วยื่นมือขวาของตนออกไป จากนั้นจึงพูดขัดคอต่อไปว่า


 


 


“อีกอย่างตัวท่านเอง เสื้อตัวนี้ของท่าน…ดูแล้วคงจะเป็นผ้าต่วน[1]เย่ว์หัวกระมัง? ราคาก็คงไม่ต่ำกว่าสองพันตำลึงต่อหนึ่งพับ ท่านอาจารย์ดูถูกเงินเป็นที่สุด แต่สิ่งที่ท่านสวมใส่อยู่ในตอนนี้ก็นับว่าเป็นเงินเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงมิอาจให้วัตถุนอกกายเหล่านั้นมาแปดเปื้อนความบริสุทธิ์และความสูงส่งเหนือวัตถุอย่างท่านอาจารย์ได้ เช่นนั้นท่านอาจารย์มอบเสื้อตัวนี้ให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่รังเกียจของนอกกาย”


 


 


หรงซู่ฟังคำพูดประชดประชันต่างๆ ของซูเหลียนอวิ้นแล้วก็มิได้แสดงท่าทีอะไรออกไป เพียงทายาให้นางต่ออย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงบิดแก้มของนางแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียงไม่กี่วัน ความสามารถในการประชดประชันของอวิ้นเอ๋อร์ร้ายกาจมากทีเดียว หุบปากไปซะเดี๋ยวนี้!”


 


 


“วางใจเถิด” หรงซู่ก้มหน้าก้มตาเก็บยาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยต่อขึ้น “อีกไม่นานเจ้าก็จะมีกระบี่ชั้นยอดของตัวเองแล้ว ในพิธีปักปิ่นของเจ้าวันนั้น”


 


 


“จริงหรือเจ้าคะ?” ซูเหลียนอวิ้นเบิกตากลมทั้งสองข้าง เพราะนางไม่ได้คาดหวังว่านางจะได้อะไรจากหรงซู่ จากคำพูดของหรงซู่แล้ว วิชาต่างๆ ที่เขาสอนให้นางนั้น คุณค่าของมันมีค่ามากกว่ากระบี่ชั้นยอดเล่มใดๆ ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่นางจะอยากได้ของอะไรจากเขา เมื่อครู่ที่นางเอ่ยปากก็เพียงพลั้งปากพูดไปก็เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้ของขวัญจริงๆ?


 


 


“อืม” หรงซู่พยักหน้า


 


 


“ท่านอาจารย์เจ้าคะ โชคหล่นทับท่านหรือ? ถึงได้ใจกว้างเพียงนี้” เพราะฐานะด้านเงินทองของหรงซู่นั้น…


 


 


หรงซู่เหล่ตามองนาง “ข้าบอกหรือว่าข้าจะเป็นคนให้เจ้า?”


 


 


“เช่นนั้นใครจะให้ข้าเล่า?” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้น เพราะพิธีปักปิ่นบ้านไหนที่เขาให้กระบี่เป็นของขวัญกันหรือ? แม้ว่านางจะเป็นคนของตระกูลแม่ทัพก็ตาม แต่ของเช่นกระบี่…แถมนางยังเป็นสตรีนางหนึ่ง


 


 


บางทีคนผู้นั้นอาจจะรู้ว่านางมีความสนใจในด้านนี้ก็ได้?


 


 


“คือ…” หรงซู่อ้าปากจะเอื้อนเอ่ย ทว่าคล้ายคิดสิ่งใดขึ้นมาได้ จึงเปลี่ยนคำพูดไปจากเดิมแล้วเอ่ยว่า “เป็นคนที่เจ้ารู้จัก มอบให้เจ้า”


 


 


“ท่านอาจารย์วาจาของท่าน พูดก็เหมือนไม่ได้พูด” ซูเหลียนอวิ้นมีสีหน้าไร้อารมณ์ “หากเป็นคนที่ข้าไม่รู้จัก แล้วจู่ๆ ยื่นมือมอบกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่งให้ข้า คนผู้นั้น หากมิใช่เป็นคนที่อยู่ในตระกูลที่ร่ำรวยมากๆ ก็คงจะเป็นคนที่สมองมีปัญหาแน่”


 


 


“ทำไมถึงไม่คิดว่าคนผู้นั้นแอบชอบเจ้าเล่า? ดังนั้นจึงพยายามเอาอกเอาใจเจ้า?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็ผงะถอยไปด้านหลัง แล้วใช้สายตาราวกับมองตัวประหลาดจ้องมองหรงซู่ “ท่านอาจารย์ ท่านสบายดีใช่หรือไม่?”


 


 


ชอบนางหรือ? เอ่อ ก็ได้ ก็พอเป็นไปได้ แอบชอบธิดาของแม่ทัพผู้ปกป้องแผ่นดิน พอเข้าใจได้


 


 


ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า นางในตอนนี้ แม้มิได้ไล่ตามต้วนเฉินเซวียนต้อยๆ ไปทั่วเมืองจนได้ชื่อว่าไม่ห่วงชื่อเสียงตัวเอง แต่ตัวนางไม่ว่าจะในสายตาของคุณชายตระกูลไหน ก็คงไม่มีทางมีอะไรดีอย่างแน่นอน


 


 


เพราะจะมีตระกูลใดเต็มใจหรือเตรียมจะยอมรับสตรีที่ก้าวร้าวโผงผาง จิตใจโหดเ**้ยมและชอบลงไม้ลงมือมาเป็นนายหญิงของบ้าน? แถมคนผู้นี้ยังทำให้พระสนมผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดอย่างหยางกุ้ยเหรินไม่พอใจอีกด้วย


 


 


แม้ว่าช่วงนี้ซูเหลียนอวิ้นจะไม่ค่อยได้ออกจากเรือน แต่นางอ้างอิงเอาจากข่าวลือต่างๆ ในเมืองหลวงของเมื่อชาติที่แล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานฉลองวสันตฤดู สุดท้ายแล้วข่าวลือจะต้องถูกปล่อยออกมาว่านางเป็นสตรีที่ก้าวร้าวโหดเ**้ยมและชอบลงไม้ลงมืออย่างแน่นอน ทั้งยังได้ภาพลักษณ์ของสตรีที่ไม่มีใจเมตตาผู้อื่นอีกด้วย


 


 


เป็นเพราะตระกูลหยางไม่มีทางปล่อยนางเอาไว้อย่างแน่นอน หากไม่พูดสาดโคลนให้นางสักหน่อย คงถือว่าไม่ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานฉลองวสันตฤดูคืนนั้น


 


 


หากกล่าวเช่นนี้แล้วยังมีคนชอบนางอยู่อีก ซูเหลียนอวิ้นคงต้องเอ่ยปากชมคนผู้นั้นสักประโยค พี่ชายช่างมีรสนิยมดียิ่ง! สตรีที่อ่อนโยนบอบบางราวกับดอกต้นผักไหมมีอยู่ทั่วเมืองกลับมิชอบ แต่กลับ…ชอบดอกไม้อย่างนาง…


 


 


ถึงอย่างไรในชาตินี้ นางก็มิเคยมีความคิดว่าจะแต่งงานกับผู้ใด นางเพียงคิดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคนในครอบครัวและเสพสุขอยู่ในช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้ เรื่องการแต่งงานอะไรนั่น อย่าเพิ่งไปคิดถึงมันเลย


 


 


เมื่อหรงซู่เห็นซูเหลียนอวิ้นตกอยู่ในภวังค์เช่นนั้นก็แอบถอนหายใจ จากนั้นก็นึกคำพูดใดไม่ออกอีก จึงทำได้เพียงแอบถอนใจให้คนผู้หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์คงพูดได้เพียงเท่านี้ เพราะหากไม่ถึงเวลา ก็มิอาจล่วงรู้ลิขิตฟ้าได้”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ผ้าต่วนเย่ว์หัว เป็นผ้าต่วนชนิดหนึ่งของมณฑลเสฉวน 

 

 


ตอนที่ 74 ไม่มั่นใจ

 

“ได้ๆๆ” ซูเหลียนอวิ้นเมื่อเห็นท่าทางของหรงซู่ที่กลับคืนสู่ท่าทางสูงส่งเหนือมนุษย์เดินดินอีกครั้งพลันทำตาละห้อย


 


 


เนื่องจากนางรู้ว่าแท้จริงแล้วหรงซู่เป็นคนเช่นไร แต่พอเห็นท่าทางของเขาในตอนนี้แล้ว….ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตนปวดหัวตุบๆ


 


 


แม้ว่าจะยังมีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่ได้พูดคุยและยังคุยกันไม่จบ แต่ซูเหลียนอวิ้นต้องกลับแล้ว เพราะหากนางยังไม่กลับ ซูเหลียนอวิ้นกลัวว่าอีกประเดี๋ยวหลีมู่จะเกณฑ์คนขึ้นมาตามหานางถึงบนภูเขานี้


 


 


“ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ค่อยแวะมาหาท่านใหม่” ในดวงตาของซูเหลียนอวิ้นสะท้อนเป็นประกาย ดูท่าแล้วนางคงยังไม่อยากกลับ


 


 


“เจ้ารีบกลับไปสิ! หากตอนนี้เจ้าไม่ยอมกลับ อีกประเดี๋ยวข้าคงจะไล่เจ้ากลับไปเอง!” หรงซู่โบกมือไล่เบาๆ ตอนนี้หรงซู่รู้สึกว่าตนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสนใจสีหน้าท่าทางของซูเหลียนอวิ้นว่าเป็นอย่างไรอีกต่อไปแล้ว


 


 


เพราะเมื่อเหลือบไปเห็นนางก็จะเห็นสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นกอดเอาไว้ในอก สิ่งที่เขาทำขึ้นมาเองกับมือ ยาราคาแสนแพงขวดนั้น! แม้จะได้ชื่อว่าเป็นยา แต่ก็นับว่าเป็นเงินได้เช่นกัน! เพราะยาแต่ละขวดหากนำไปขายจะแลกเงินมาได้เป็นพันชั่ง


 


 


สาเหตุอะไรที่ทำให้หรงซู่ยอมให้ซูเหลียนอวิ้นเอายาขวดนี้ติดตัวไปได้เล่า? นั่นย่อมเป็นเพราะว่าซูเหลียนอวิ้นได้รับบาดแผลนั้นมาจากการออกไปล่ากระต่าย แถมตัวเขาเองก็กินกระต่ายตัวนั้นลงไปไม่น้อยเสียด้วย และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถหาข้ออ้างที่จะไม่ให้ยากับซูเหลียนอวิ้นได้ เขาจึงใช้ยาขวดนี้ปิดปากนางซะ นางจะได้ไม่ต้องพูดมากอีก


 


 


“ท่านอาจารย์ ข้าลาก่อน” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วก็ไม่ยุแหย่หรงซู่ต่ออีก เพราะหากหรงซู่โดนยุแหย่จนโมโหขึ้นมา คาดว่ายาที่นางได้มายังไม่ทันจะถูกจับจนอุ่นก็คงจะโดนเขาเอากลับคืนไป


 


 


“อ้อ จริงสิ” เมื่อหรงซู่เห็นเงาด้านหลังของนางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น “อวิ้นเอ๋อร์ วิชาตัวเบาที่อาจารย์สอนเจ้า เจ้ายังจำได้อยู่หรือไม่? เจ้าต้องใช้วิชาตัวเบาลงเขา ห้ามเดินลงเด็ดขาด!”


 


 


“ฮะ?” ซูเหลียนอวิ้นเตะกิ่งไม้ที่ระเกะระกะอยู่บนพื้น ถือเป็นการส่งสัญญาณอย่างเงียบๆ บอกกับเขาว่าวุ่นวายกับนางเสียจริง


 


 


เนื่องจากวิชาอย่างเช่นวิชาตัวเบานี้ ต้องใช้กำลังภายในถึงจะสำเร็จ พลังลมปราณจะต้องโคจรทั่วร่างถึงจะทำให้ฝีเท้าเบาและรวดเร็ว จากนั้นร่างกายจะเบาราวกับนกนางแอ่น ย่ำไปบนหิมะได้อย่างไร้ร่องรอย


 


 


ทว่าการโคจรของลมปราณอะไรนั่น สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ฝึกวรยุทธ์อย่างซูเหลียนอวิ้นแล้ว คงมิสู้ให้นางวิ่งหรือเดินลงไปจะสะดวกและรวดเร็วกว่า เพราะหากให้นางต้องกำหนดลมหายใจอยู่ตลอด คงจะ…อีกทั้งตอนที่พัก หากโชคดีก็แค่เดินสะดุดนิดหน่อย แต่หากโชคร้ายฝีเท้าไม่มั่นคงแล้ววูบตกลงมาจะทำอย่างไร


 


 


แน่นอนว่าหากฝึกฝนจนชำนาญ วิชาตัวเบาจะสะดวกและรวดเร็วกว่าการเดินและวิ่งอย่างแน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางไม่ค่อยชำนาญนัก!


 


 


“อย่ามัวแต่เหลวไหลอยู่” หรงซู่ทำเสียงแข็งขึ้น “สุดท้ายแล้วไม่ว่าเจ้าจะใช้วิชาตัวเบาลงเขาไปหรือไม่ หากพรุ่งนี้เจ้ากลับมาหาข้าอีก ข้าก็จะดูออก ยกเว้นว่าพรุ่งนี้เจ้าจะไม่กลับมา”


 


 


ซูเหลียนอวิ้น “…เจ้าค่ะ” ดูท่าแล้วท่าอาจารย์คงโมโหมากถึงได้ดุขนาดนี้!


 


 


แค่เอายามาไม่กี่ขวดเอง! มิได้กวาดยาจากโกดังออกมาทั้งหมดเสียหน่อย ซูเหลียนอวิ้นแอบบ่นพึมพำ ดูๆ ไปแล้วหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน คนที่เปลี่ยนไปไม่ได้มีแค่นางคนเดียวเท่านั้น แต่เป็นท่านอาจารย์ด้วย! งกเงินมากขึ้น…


 


 


เมื่อหรงซู่เห็นเงาด้านหลังที่ก้าวออกไปอย่างหนักๆ เบาๆ ก็ถอนใจ เมื่อครู่ตอนที่เขาใส่ยาให้ซูเหลียนอวิ้น เขาได้แอบตรวจชีพจรของนางไปด้วย


 


 


 อวิ้นเอ๋อร์…มีบางสิ่งในตัวนางเริ่มเปลี่ยนไป


 


 


ช่างเถิด พรุ่งนี้ก็จะรู้เอง


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกำหนดลมหายใจ ฝีเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่านางมิกล้าประมาทมากนัก เพราะตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว แม้ว่าแสงจันทร์จะสว่างสดใสทำให้ถนนไม่มืดสลัวจนเกินไปนัก แต่ก็ต้องระวังอย่างดีจึงจะดีที่สุด


 


 


“ย่ะ!” ทันใดนั้นเองซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าใจของนางกระตุกวูบ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้นางไม่ได้สนใจเรื่องอื่นอีก ขาของนางอ่อนแรง จากนั้นจึงพลัดตกลงมาจากต้นไม้ทันที


 


 


ทว่ายังดีที่นางมีสมาธิและคอยระวังตัวอยู่ตลอด นางไม่กล้าเหยียบลงบนต้นไม้ที่สูงมากจนเกินไป ดังนั้นเมื่อกลิ้งตกลงมาอย่างฉับพลันเช่นนี้ นางกลับมิได้เป็นอะไรมากนัก เพราะใต้ต้นไม้มีแนวป้องกันธรรมชาติอย่างใบไม้สุมเป็นกองอยู่ ทำให้นางไม่เจ็บเท่าไหร่ตอนร่วงลงมา อย่างน้อยก็ไม่เจ็บก้น


 


 


ทว่าที่หัวเข่า…


 


 


เนื่องจากร่วงลงมาด้วยท่าคุกเข่า จึงทำให้เกิดเป็นบาดแผลไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ความรู้สึกเจ็บปวดคลายลงไปโดยเร็วที่สุด ทว่าความเจ็บปวดนี้…เป็นความเจ็บปวดที่นางค่อนข้างจะคุ้นเคย


 


 


เนื่องจากที่ผ่านมานางมีร่างกายแข็งแรง อีกทั้งหัวใจยังเป็นส่วนที่สำคัญ หากเคยได้รับบาดเจ็บแล้วครั้งหนึ่ง อย่างไรก็จะกลายเป็นความทรงจำที่ฝังลึกในใจ ความรู้สึกนี้คล้ายคลึงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในคืนวันงานฉลองวสันตฤดูคืนนั้น


 


 


มือข้างหนึ่งของซูเหลียนอวิ้นเกาะต้นไม้ ส่วนอีกข้างก็กุมบริเวณหัวใจของตนเอาไว้แล้วเดินต่อไปอย่างเงียบเชียบ เนื่องจากในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นหัวใจหรือร่างกาย ล้วนทำให้นางรู้สึกว่านางไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาเดินต่อไปได้อีก ดังนั้นจึงทำได้เพียงเดินลงไปทีละก้าว แม้ว่าจะช้าไปสักหน่อยแต่อย่างน้อยก็จะถึงอย่างแน่นอน!


 


 


โชคดีที่ตอนนี้นางอยู่ห่างจากวัดฝ่าฝัวไม่ไกลแล้ว ซูเหลียนอวิ้นแอบให้กำลังใจตัวเอง สู้ๆ! เจ้าใกล้จะได้กลับไปนอนพักในห้องเต็มทีแล้ว อดทนหน่อย!


 


 


“คุณหนู!”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกอย่างสุดแสนร้อนใจ จากนั้นจึงหรี่ตามองไปยังแสงของโคมไฟที่ส่องสว่างอยู่ไกลลิบๆ


 


 


คนผู้นั้นคือหลีมู่หรือ?


 


 


“คุณหนูใหญ่!” หลานเย่ว์ย่อมมีสายตาที่แหลมคมกว่าหลีมู่ อีกทั้งฝีเท้ายังรวดเร็วไม่เป็นสองรองใคร


 


 


หลานเย่ว์ไม่ได้สนใจว่าหลีมู่จะเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาได้วิ่งมาถึงตรงหน้าของซูเหลียนอวิ้นก่อนแล้ว ตอนที่เขาได้เห็นซูเหลียนอวิ้นชัดๆ นั้น ตาของเขาพลันเบิกโพลงขึ้นแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู!”


 


 


เมื่อหลานเย่ว์เห็นทั่วทั้งตัวของซูเหลียนอวิ้นเปอะเปื้อนไปด้วยโคลนจึงตกใจอย่างมาก


 


 


คงมิได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนูจริงๆ กระมัง?! แต่เหตุใดจึงไม่เป่านกหวีดเรียกตนเล่า?


 


 


“ไม่เป็นไรๆ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายศีรษะ “ข้าเพียง…ข้าไม่ทันระวังจึงหกล้ม ไม่เป็นไร เจ้าดูสิ นกหวีดของเจ้ายังอยู่ที่ข้า ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เลยไม่ได้เรียกเจ้ามา”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหยิบนกหวีดออกมาจากในอกแล้วส่งคืนให้หลานเย่ว์ จากนั้นจึงก้มหน้าลงเพื่อปิดบังสีหน้าบิดเบี้ยวที่เกิดจากความเจ็บปวดตรงหัวใจของตน


 


 


พอหลานเย่ว์เห็นซูเหลียนอวิ้นพูดจาอย่างสดชื่นแจ่มใสเช่นนี้ จึงเข้าใจทันทีว่าไม่ควรถามอะไรต่อให้มากความ เพราะหากสังเกตดูดีๆ จะพบเพียงเสื้อผ้าที่สกปรกเลอะเทอะและรอยขีดข่วนเล็กน้อยไม่กี่รอยเท่านั้น ดูท่าแล้วรอยบาดแผลขีดข่วนเหล่านี้คงจะเกิดขึ้นตอนที่นางหกล้ม


 


 


“คุณหนู!” เมื่อหลีมู่เห็นหลานเย่ว์วิ่งทะยานไปข้างหน้าเช่นนั้นก็เดาได้ว่าเขาคงจะพบคุณหนูแล้ว จึงยกชายกระโปรงขึ้นแล้วรีบสาวเท้าตามไป


 


 


ทว่าหลีมู่มิใช่หลานเย่ว์ มิอาจโดนคำพูดว่าไม่เป็นไรของซูเหลียนอวิ้นหลอกและวางใจลงได้ง่ายๆ


 


 


เมื่อหลีมู่เห็นเสื้อผ้าสกปรกเปื้อนโคลนทั้งตัวรวมทั้งผมเผ้ายุ่งเหยิงของซูเหลียนอวิ้น แต่คุณหนูกลับยังพูดคุยกับพวกตนได้อย่างร่าเริงราวกับตัวเองไม่เป็นไร ทำให้คำพูดที่เดิมทีเตรียมเอาไว้เพื่อจะบ่นนางสักตั้งต้องมลายหายไปอย่างไร้รูปไร้รอย เหลือเพียงคำพูดที่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “คุณหนูเจ้าคะ…ขอเพียงคุณหนูไม่เป็นไรก็พอแล้ว พวกเรารีบกลับกันเถิด กลับไปบ่าวจะอาบน้ำแต่งตัวให้คุณหนูใหม่”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยิ้มให้พวกเขาทั้งสอง เพราะนางเองก็เดาได้ว่าพวกเขาคงตกใจไม่น้อยเช่นกัน ต้องโทษตัวนางเองที่เดินไม่รู้จักระวัง! 

 

 


ตอนที่ 75 บาดแผล

 

“ก็ดี” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนี้อัปลักษณ์กว่าตอนที่นางร้องไห้เสียอีก เนื่องจากพอต้องเดินกลับไปเช่นนี้ส่งผลให้บาดแผลบริเวณหัวเข่าของซูเหลียนอวิ้นเจ็บระบมจนทำให้รอยยิ้มของนางบิดเบี้ยว


 


 


“พวกเรารีบกลับไปที่ห้องเถิด ข้าต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อยแล้ว” แน่นอนว่าที่พักของหรงซู่ไม่มีเสื้อผ้าของนาง ด้วยเหตุนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงต้องอดทนใส่เสื้อผ้าสกปรกตัวนี้เป็นเวลานาน หากเทียบเสื้อผ้าของนางในตอนนี้กับเสื้อผ้าของหลีมู่แล้ว สภาพของมัน…แม้แต่นางเองก็ยังทนดูต่อไปไม่ได้


 


 


“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูยังมีแผลตรงอื่นอีกหรือไม่? พวกเราเดินกันช้าหน่อยก็ได้ ไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ” หลีมู่เอ่ยพลางลนลานเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตน นางพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ เพราะตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นมีสภาพเช่นนี้เสียแล้ว หากนางร้องไห้ออกมาอีกก็คงไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ดีขึ้น ดังนั้นหากยิ้มได้ก็ยิ้มไปเถิด อย่างน้อยก็ยังน่ามองกว่า


 


 


เมื่อหลานเย่ว์เห็นซูเหลียนอวิ้นแสร้งทำเป็นแข็งแรงไม่เป็นอะไร ในใจของเขาพลันหนักอึ้งจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูขอรับ ให้ข้าแบกคุณหนูไปดีหรือไม่”


 


 


เขามองออกว่าขาของซูเหลียนอวิ้น…ได้รับบาดเจ็บ


 


 


“ไม่เป็นไรๆ” ตอนนี้แขนซ้ายของซูเหลียนอวิ้นโอบรอบตัวของหลีมู่เอาไว้ นางแทบจะทิ้งน้ำหนักทั้งตัวของนางแขวนไว้บนตัวหลีมู่ ว่ากันตามจริงแล้ว นางแทบจะไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงบนขาของนางเท่าใดนัก


 


 


“อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ข้าเดินกลับเองดีกว่า” นางเชื่อว่าหลานเย่ว์หวังดีกับนางและไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงอย่างแน่นอน แต่…ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตัวนางยังคงไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงในใจของตนได้ หากจะกล่าวอีกแง่หนึ่ง หลานเย่ว์ก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง อีกทั้งซูเหลียนอวิ้นเองยังคงรู้สึกว่าพวกเขาสองคนยังไม่ได้สนิทกันมากนัก ดังนั้นนางขอเดินเองทีละก้าวจะดีกว่า


 


 


แม้ว่าการเดินจะช้าแต่หนทางย่อมมีจุดสิ้นสุด เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นแสงสว่างที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าจึงรู้สึกว่าน้ำตาอุ่นๆ ของตนปริ่มล้น


 


 


สุดท้ายก็ถึงสักที!


 


 


“อ้อ คุณหนูขอรับ” ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังจะก้าวเข้าห้องอยู่นั้น เสียงของหลานเย่ว์ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง


 


 


“คุณหนูใหญ่…ข้า ตอนบ่ายข้าน้อยนำเรื่องที่คุณหนูเดินทางมาที่นี่เขียนจดหมายแล้วส่งไปให้พี่ชายของคุณหนูขอรับ เพราะคุณชายใหญ่เคยกำชับข้าเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องการเดินทางของคุณหนู…และ…” คำพูดหลังจากนี้หลานเย่ว์ไม่ได้พูดต่อให้จบ เพราะซูเหลียนอวิ้นเพิ่งจะกลับมาเอาตอนดึกป่านนี้ หากบอกว่าไม่ต้องกังวล ย่อมเป็นคำโกหกอย่างแน่นอน


 


 


เมื่อหลานเย่ว์พูดจบก็คุกเข่าลงกับพื้น “คุณหนูใหญ่โปรดลงโทษ”


 


 


เนื่องจากบ่าวหนึ่งคนมิอาจมีนายสองคนได้ ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเป็นนายของเขาแล้ว เขากลับยังไปรายงานซูมั่วเยี่ยถึงแผนการเดินทางของซูเหลียนอวิ้น…แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก


 


 


พอซูเหลียนอวิ้นเห็นหลานเย่ว์คุกเข่าลงกับพื้นเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นเกาบริเวณคิ้ว เอาล่ะ เดิมทีนางเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้หลานเย่ว์ยอมรับตนเป็นนายเร็วขนาดนี้ แต่เมื่อเขาสารภาพออกมาตรงๆ เช่นนี้…พูดตามตรงแล้ว นางเองก็รู้สึกผิดหวังไม่น้อย


 


 


“เช่นนั้นเจ้ารายงานอะไรไปบ้าง?” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเสียงค่อย


 


 


“ข้าน้อย ข้าน้อยเพียงรายงานถึงเรื่องการเดินทางมาที่วัดฝ่าฝัวและแผนการเตรียมจะค้างคืนที่นี่เท่านั้น เรื่องอื่นมิได้รายงาน”


 


 


“ไม่ได้บอกพี่ชายข้าใช่ไหมว่าข้าแอบหนีไปกลางทางคนเดียว?”


 


 


“เปล่า ขอรับ”


 


 


“อ้อ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นเบาใจลง “ลุกขึ้นเถิด”


 


 


จากนั้นนางถึงเอ่ยต่อว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้านายเก่ายากจะตัดขาด โชคดีว่าเจ้ามิได้พูดอะไรมาก จุดนี้พอจะกล่าวชมเชยได้บ้าง ต่อไปหากท่านพี่ถามอะไรเจ้าอีกหรือให้เจ้ารายงานอะไร เจ้าก็รายงานไปตามจริงเถิด เพราะ…” ซูเหลียนอวิ้นบีบนวดหัวไหล่ตนเอง น้ำเสียงของนางเนิบช้าและผ่อนคลายลง “ข้าเองมิได้ทำเรื่องผิดศีลธรรมและเรื่องโหดร้ายทารุณอะไร ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัว แต่ที่มิได้บอกกล่าวพวกเจ้าก็เป็นเพราะว่า ทุกๆ คนย่อมมีความลับเล็กๆ น้อยๆ เป็นของตัวเองถูกหรือไม่?”


 


 


“ดังนั้นหลานเย่ว์ เจ้าจงจำไว้อย่างหนึ่งก็พอ ทุกครั้งที่เจ้าจะรายงานเรื่องราวประจำวันของข้าให้ท่านพี่ทราบ จะต้องได้รับการยินยอมจากข้าก่อน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ขอให้เกิดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่าให้มีครั้งหน้าอีก”


 


 


“ขอรับ…” หลานเย่ว์พยักหน้าเกร็งๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนที่หลานเย่ว์ได้ยินประโยคสุดท้ายของซูเหลียนอวิ้นประโยคนั้น เขารับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องและสอดส่องบนร่างเขาอย่างละเอียด ในสถานการณ์ที่มีสายตาจับจ้องเช่นนี้ ตัวเขาเองจึงคิดคำพูดใดไม่ออกเลยแม้แต่คำพูดเดียว สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ก็คือพยักหน้าและรับปากอย่างเงียบๆ


 


 


“เอาล่ะ ดึกมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด” ซูเหลียนอวิ้นกวาดตามองไปที่เขาอีกคราหนึ่งและไม่ได้พูดอะไรต่ออีก จากนั้นก็เดินเข้าห้องไป


 


 


ภายในห้อง หลีมู่จัดที่นอนไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น้ำที่อยู่อ่างไม้ดูท่าแล้วอุณหภูมิคงจะกำลังพอเหมาะพอดี เมื่อซูเหลียนอวิ้นกลับมาจะเริ่มทำอะไรก่อนก็ได้ทั้งสิ้น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ยื่นมือไปดึงฉากกั้นเพื่อเตรียมตัวถอดเสื้อผ้าสกปรกของตัวเองไว้บนพื้น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลีมู่ เจ้าไปตระเตรียมของอยู่ด้านนอกเถิด ข้าขออาบน้ำก่อน”


 


 


หลีมู่ได้ยินดังนั้นก็ตอบรับคำหนึ่ง


 


 


ถึงแม้ว่าองครักษ์ของวัดฝ่าฝัวจะค่อนข้างเข้มงวด แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างตระเวนอยู่ด้านนอก ดังนั้นจะจัดการเรื่องอะไรก็ต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน


 


 


ทว่าซูเหลียนอวิ้นเพียงนั่งหลบอยู่บนเก้าอี้หลังฉากกั้นเท่านั้น นางยังมิได้เริ่มอาบน้ำ เพราะตอนนี้ทั่วตัวนางมีบาดแผลเล็กๆ เต็มไปหมด ดังนั้นหากไม่โดนน้ำได้จะดีที่สุด เพราะหากไม่ระวังแผลเล็กๆ เหล่านั้นจะกลายเป็นแผลใหญ่ได้


 


 


อีกทั้งนางอยากใช้โอกาสตอนนี้แอบทายาให้ตัวเองด้วย เพราะสำหรับเรื่องการทายาแล้ว…นางคิดว่าทำด้วยตัวเองจะดีกว่า


 


 


เนื่องจากในอดีต นางเคยปักดอกไม้แต่ซุ่มซ่ามทำเข็มทิ่มนิ้วมือตัวเองเข้า แม้ว่าเลือดจะออกเพียงเล็กน้อย แต่ในสายตาของหลีมู่แล้ว นิ้วอันนั้นเสมือนถูกทำให้ขาดออกเป็นสองท่อนอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เพียงเข็มทิ่มนิ้วมือยังทำราวกับว่านางบาดเจ็บร้ายแรง เมื่อคิดทบทวนดูแล้วหากให้หลีมู่เห็นบาดแผลบนตัวนางตอนนี้…ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าเรื่องนี้จะไปกระทบกับจิตใจอันบอบบางของหลีมู่เข้าอีกครั้ง


 


 


นางถอดกางเกงออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นเมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นผิวบริเวณหัวเข่าชัดเจนนางถึงกับตกตะลึงไป


 


 


ดีมาก


 


 


แผลหกล้มร้ายแรงขนาดนี้ นางเดินกลับมาถึงที่นี่ได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์โดยแท้! ซูเหลียนอวิ้นเป่าแผลของตัวเองไปพร้อมๆ กับใส่ยาแสนแพงที่ล่อลวงมาจากหรงซู่ในวันนี้อย่างระมัดระวัง


 


 


เมื่อรู้สึกถึงความเย็นจากแผลของตน ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มผ่อนคลายลง นางรู้สึกว่าตัวเองมีลางสังหรณ์ล่วงหน้าดีจริงๆ ! ยังดีที่เอายามาจากท่านอาจารย์ได้ มิเช่นนั้นแล้ว…ณ พื้นที่รกร้างกลางป่ากลางเขาเช่นนี้ ต่อให้มีเงินก็คงหาซื้อยาไม่ได้อยู่ดี


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ ยังไม่เริ่มอาบน้ำอีกหรือ?” เสียงเอ่ยเร่งของหลีมู่ดังขึ้นจากด้านนอกฉากกั้น “การอาบน้ำนานๆ ก็ไม่ดีต่อร่างกายเช่นกันนะเจ้าคะ แถมตอนนี้น้ำคงเย็นหมดแล้วกระมัง?”


 


 


“จะเสร็จแล้ว ข้าขอเปลี่ยนชุดก่อน!” ซูเหลียนอวิ้นไม่กล้าอ้อยอิ่งอีกต่อไป จึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวนั้นแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว 

 

 


ตอนที่ 76 ปั่นหัว

 

“คุณหนู…” เมื่อหลีมู่มองเห็นซูเหลียนอวิ้นที่ใส่เพียงชุดด้านในกับผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงเดินออกมา ขอบตาของตนจึงเริ่มแดงก่ำ เพราะ…หากมองจากมุมนี้แล้วยิ่งทำให้เห็นรอยแดงบนมือของนาง ชัดมากยิ่งขึ้น


 


 


หลีมู่อดกลั้นเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวรู้ดีว่าคุณหนูไม่เหมือนเดิมแล้ว”


 


 


คำพูดของหลีมู่เพียงหลุดปากออกไป น้ำตาของนางที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลทะลักออกมาอย่างยากจะควบคุม นางเช็ดแล้วเช็ดอีก “คุณหนูเจ้าคะ ถึงคุณหนูจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่หลีมู่เชื่อว่าคุณหนูก็ยังคงเป็นคุณหนู คนรอบกายคุณหนูมีมากมาย ดังนั้น…ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนู หลีมู่ หลีมู่จะอยู่เคียงข้างคุณหนูเองเจ้าค่ะ”


 


 


หลีมู่เอ่ยขึ้นอย่างสับสน ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับเข้าใจ


 


 


นี่หลีมู่…โทษตัวเองที่ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนนางเมื่อตอนบ่ายจนสุดท้ายนางได้รับบาดเจ็บ นี่คงคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองกระมัง!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปลูบหัวของหลีมู่แล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่เจ้าพูดนั้นข้าเข้าใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ค่อนข้างกะทันหัน ดังนั้นจึงไม่ทันได้บอกพวกเจ้า ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะไม่ปิดบังพวกเจ้าและตัดสินใจทำอะไรคนเดียวโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้อีก”


 


 


หลีมู่รับรู้ถึงความอบอุ่นที่มาจากฝ่ามือของซูเหลียนอวิ้น น้ำตาที่ไหลออกมาจึงค่อยๆ หยุดลง สาเหตุที่นางร้องไห้นั้นอันที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเพราะเรื่องที่ซูเหลียนอวิ้นแยกตัวไปโดยที่ไม่บอกนางแล้วกลับมาโดยมีบาดแผล


 


 


สาเหตุที่แท้จริงคือ คำพูดประโยคนั้นที่หลานเย่ว์พูดกับนาง


 


 


หลานเย่ว์เป็นบุรุษ จิตใจของบุรุษย่อมไม่ซับซ้อนเหมือนของสตรี สาเหตุที่เขาเอ่ยเรื่องนั้นกับหลีมู่ในวันนี้กลับมิใช่เป็นเพราะว่าต้องการจะยั่วยุอารมณ์ของหลีมู่ เขาเพียงแค่เอ่ยความจริงเท่านั้น ทว่ายิ่งเอ่ยความจริงมากเท่าไรก็จะยิ่งทำให้คนเสียใจมากขึ้น


 


 


เขาบอกนางว่า จากความสามารถและไหวพริบของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้แล้ว หากมีบางเรื่องที่ไม่ต้องการให้พวกเรารับรู้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากสตรีที่เงียบทึ่มมานานหลายปี จู่ๆ ก็ผลิบานสวยงามราวบุปผา ดังนั้นไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล


 


 


อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่ได้เป็นองครักษ์ให้ซูเหลียนอวิ้น เขาก็พอรับรู้เรื่องราวของซูเหลียนอวิ้นอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวของซูมั่วเยี่ยจะให้ไม่รู้จักเลยได้อย่างไร


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาเขาเองก็ไม่เคยได้ยินว่าตระกูลซูมียอดฝีมือด้านหมากล้อมมาก่อน และก็ไม่เคยได้ยินว่าซูเหลียนอวิ้นเคยเชิญอาจารย์หมากล้อมมาสอนวิชาด้านนี้ให้นาง ทว่าผู้ที่ไม่มีความสามารถในด้านหมากล้อมเลยกลับทำให้หยางอวี้หลินผู้มีชื่อว่าเป็นยอดฝีมือด้านหมากล้อมมาตลอดพ่ายแพ้ยับเยินในคืนงานฉลองวสันตฤดูได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะไม่ให้ผู้คนเกิดความสงสัยได้อย่างไร ที่ผ่านมาซูเหลียนอวิ้นคงมิได้ปลอมเป็นหมูเพื่อหวังกินเสือ[1]กระมัง? หรือในความเป็นจริงแล้วอาจจะมีความลับสำคัญอื่นใดแฝงอยู่?


 


 


ทว่าสาวน้อยนางหนึ่งปิดบังความลับไว้แน่นหนาเพียงนี้ แท้จริงแล้วเพื่ออะไรกัน? มีแผนการลับบางอย่าง? หรือว่า…


 


 


ความสามารถที่หลานเย่ว์และคนอื่นๆ คิดไม่ถึง ทั้งซูเหลียนอวิ้นเองก็ปิดบังมานานเพียงนี้ ทว่าจู่ๆกลับเปิดเผยออกมาอย่างกะทันหัน คงเป็นเพราะทนคำวิจารณ์เรื่องเสียหายของตนในเมืองหลวงไม่ได้ใช่หรือไม่? หรือว่าเพียงต้องการกู้คืนชื่อเสียงของตัวเองขึ้นมาบ้าง


 


 


หมอกหนามวลหนึ่ง ทำให้บทบาทเดิมของซูเหลียนอวิ้นที่โดดเด่นอยู่แล้ว ส่องประกายความเด่นชัดมากยิ่งขึ้น


 


 


ดังนั้นพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของนางในวันนี้ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถทลายหมอกหนามวลนี้ให้คลี่คลายลงได้ ในมุมมองของหลานเย่ว์นั้น ในเมื่อซูเหลียนอวิ้นไม่อยากบอกกล่าว พวกเขาก็ไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่งมากจนเกินไป


 


 


พอหลีมู่ได้ฟังการวิเคราะห์ของหลานเย่ว์ทีละข้อ ใจของนางก็เริ่มจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ


 


 


เดิมทีนางคิดว่าคุณหนูมาที่นี่เพื่อไหว้พระและแก้บนเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าความเป็นจริงจะซับซ้อนมากกว่าที่นางคิดมากนัก


 


 


หลีมู่ทราบดีว่าคุณหนูของตนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว แต่นางกลับคิดว่าไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย เพราะตั้งแต่ต้นจนจบนางก็ยังคงเป็นสาวใช้ใกล้ตัวที่สุดของซูเหลียนอวิ้น ผู้เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซูมิใช่หรือ? แต่หากฟังจากที่หลานเย่ว์บอกแล้ว หากซูเหลียนอวิ้นเป็นคนซับซ้อนอยากหยั่งถึงเพียงนั้น…


 


 


เช่นนั้นหลีมู่อยู่ที่ใดในใจของซูเหลียนอวิ้น?


 


 


“คุณหนู…หลีมู่ไม่สนใจว่าคุณหนูจะเปลี่ยนไปในแง่ดีหรือแง่ร้ายหรอกเจ้าค่ะ หลีมู่รู้เพียงว่า คุณหนูเป็นเจ้านายคนเดียวของบ่าว เป็นคุณหนูคนเดียวของบ่าว” หลีมู่เงยหน้าขึ้นแล้วสบตากับซูเหลียนอวิ้น คำพูดของนางแต่ละคำพูดนั้นผ่านการคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ดังนั้นท่าทางของนางจึงหนักแน่นราวกับกำลังกล่าวคำสาบาน


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินและได้เห็นปฏิกิริยาตรงหน้าของหลีมู่นางก็เริ่มสับสน เพราะนางได้จินตนาการถึงปฏิกิริยาต่างๆ ของหลีมู่ล่วงหน้าไว้มากมายในขณะที่นางเดินออกมา ทว่ากลับมิได้คิดว่านางจะมีท่าทีเช่นนี้ได้


 


 


เป็นความผิดของตนที่ทำให้ผู้อื่นต้องร้อนใจเช่นนี้หรือจะกล่าวอีกแง่คือนางไม่เห็นค่าของตัวเอง เรื่องราวเหล่านี้ซูเหลียนอวิ้นได้คิดเอาไว้หมดแล้ว แต่ผลสุดท้ายที่ออกมากลับทำให้เกิดบรรยากาศซึ้งตรึงใจเช่นนี้?


 


 


นี่นางทำอะไรลงไปหรือ! แค่ไม่ได้อยู่กับหลีมู่ตลอดทั้งบ่ายเท่านั้น! นี่มัน…บ่ายนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…


 


 


จากนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “เอ่อ หลีมู่ เรื่องนั้น แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ หรือเจ้าไปรับรู้เรื่องราวอะไรมา แต่เจ้ามิต้องห่วง ในใจของข้ายังคงมีเจ้าอยู่เสมอ! เจ้า…เจ้าอย่าคิดมากเลย รีบเข้านอนเถิด จะได้รีบพักผ่อน”


 


 


บางทีการได้นอนสักตื่นอาจช่วยให้ดีขึ้นได้ เพราะขืนหลีมู่ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตนคงต้องนั่งละเมอแน่


 


 


เมื่อหลีมู่เห็นว่าซูเหลียนอวิ้นมีท่าทางอยากจบบทสนทนาเต็มที ในใจก็ยิ่งจมดิ่ง ทว่าการพูดให้คำมั่นของซูเหลียนอวิ้นกลับทำให้นางรู้สึกได้ถึงความร้อนที่กรุ่นขึ้นในดวงตา


 


 


เฮ้อ คุณหนูก็ยังคงเป็นคุณหนู เรื่องอื่น…ใครจะพูดว่าอย่างไรก็ช่าง


 


 


“เจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูรีบขึ้นไปพักผ่อนบนเตียงก่อนเถิด บ่าวจะปูที่นอนข้างล่างนี้”


 


 


“อื้ม ก็ได้”


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหลีมู่กลับคืนสู่ท่าทางปกติได้ดังเดิมก็รู้สึกโล่งใจ นางรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้หลีมู่ไม่อยู่ในอาการปกติ! ทว่ายังดีที่กลับมาเป็นดังเดิมได้ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงน่ากลัวไม่น้อย!


 


 


สิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นทนเห็นไม่ได้มากที่สุดก็คือน้ำตาของสตรี หากเป็นของนางเองนางคงไม่สนใจ แต่หากเป็นของคนอื่นเล่า? ก็คงต้องปล่อยวางเช่นกัน


 


 


จากนั้นราตรีนี้ก็ไร้ซึ่งคำพูดใด


 


 


เนื่องจากวันนี้หลีมู่ประสบกับเรื่องน่าตื่นเต้นมากเกินไปจึงไม่ทันได้พลิกตัวแม้แต่ครั้งเดียวก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว ทว่าซูเหลียนอวิ้นที่นอนอยู่บนเตียงกลับพลิกตัวซ้ายทีขวาทีราวกับหนอนตัวหนึ่ง จะทำอย่างไรก็ไม่ยอมหลับ!


 


 


อันที่จริงแล้วใช่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะไม่อยากนอน เพียงแค่…ที่นอนอันนี้ไม่มีความนุ่มแม้แต่น้อย!


 


 


แม้ว่าหลีมู่จะเลือกห้องที่ดีมากแล้วให้ซูเหลียนอวิ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงเทียบกับที่นอนบ้านตัวเองไม่ได้ แถมซูเหลียนอวิ้นเองยังเป็นคนประเภทติดที่อีกด้วย ดังนั้นนางก็อยากนอนแต่จะนอนอย่างไรก็ไม่หลับ


 


 


สุดท้าย ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตนมิสามารถทนนอนกระสับกระส่ายแบบนี้ได้อีกต่อไป ก็ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างมิหวาดกลัวสิ่งใด สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างจากนั้นจึงถอนใจ


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เป็นสำนวน หมายถึง คนที่มีความสามารถอยู่แล้วแต่ทำเป็นไม่มีความสามารถเพื่อให้ฝ่ายตรงข้าย่ามใจ เพื่อให้บรรลุแผนการที่วางไว้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม