อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 698-703

 ตอนที่ 698 รักจนหมดทางหนี (4)

โดย

Ink Stone_Romance

ชีวิตของลูกน้องมากมายขนาดนั้น ทุกชีวิตล้วนสำคัญกว่าชีวิตของเขามากนัก


สิบปีที่ผ่านมานี้…


เขาแทบไม่เคยหลับสนิทสักคืน


เขาแบกรับความรู้สึกผิดต่อชีวิตเหล่านั้น ความละอายใจกับความเคียดแค้น ความเกลียดชังที่มีต่อเธอ ทรมานตัวเองนานนับสิบปี


หากเลือกได้จริงๆ เขายอมให้เธอเอาชีวิตเขาไปตั้งแต่สิบปีก่อน


คนที่มีชีวิตอยู่ ไม่ได้มีความสุขไปกว่าคนที่ตาย…


หัวข้อนี้ทำให้ไป๋ซู่เย่พูดไม่ออกถึงขั้นหายใจไม่ทั่วท้อง


เธอเป็นสายลับ เธอแบกรับหน้าที่สำคัญที่ต้องจัดการพวกเขาให้สิ้นซาก แลกกับความรู้สึกตัวเอง ไม่ว่าจะความรักหรือมิตรภาพเพื่อให้ได้มาซึ่งสายข่าวสำคัญแก่ทางองค์กร ป้องกันไม่ให้เกิดการลอบฆ่าหรือสงครามร้ายแรงที่มากไปกว่านี้ นั่นเป็นภารกิจที่เธอต้องทำให้สำเร็จ


เพียงแต่…


เธอกับเย่เซียว ไม่เคยอยู่ในสถานะเดียวกันอยู่ดี


เย่เซียวไม่มีครอบครัวที่แท้จริงตั้งแต่เล็กจนโต สภาพแวดล้อมที่โหดเหี้ยมรุนแรงทำให้โลกของเขาไร้ความศรัทธา มีเพียงกฎระเบียบของตัวเขาเอง ประเทศชาติ รัฐบาล ประชาชนต่างก็ไม่ได้อยู่ในโลกของเขา ในโลกของเขามีผลประโยชน์ มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของลูกน้องที่ฝ่าฝันความตายมาด้วยกัน…


เพื่อสิ่งเหล่านี้ เขายอมสละได้ทั้งชีวิต


แต่การปรากฏตัวของเธอได้ทำลายผลประโยชน์ของเขา ทำร้ายพี่น้องของเขา ทรยศความสัมพันธ์ของเขา…


ความจริงเธอควรตายพันครั้งหมื่นครั้งแล้ว…


 “เย่เซียว ขอโทษ…” ไป๋ซู่เย่ที่ซบอกเขาเอ่ยปากเบาๆ


เย่เซียวไม่ได้พูดอะไรอีก ปากบางเม้มแน่น คำว่า ‘ขอโทษ’ ฟังดูไร้เรี่ยวแรงยามอยู่ต่อหน้าความทรยศและชีวิต


เขาไม่อาจให้อภัยเธอได้ เพราะเขาเองยังให้อภัยตัวเองไม่ได้


เมื่อนั้นหากเขาไม่ถูกเธอหลอกล่อ หากไม่โง่ถึงขั้นฝากฝังลูกระเบิดอย่างเธอให้พี่น้องที่ฝ่าฝันความตายมาด้วยกันเหล่านั้น ทุกอย่างคงไม่เกิดขึ้น…


…………


บรรยากาศหนักอึ้งและกดดันขึ้นในพริบตาเพราะหัวข้อเรื่องเมื่อสิบปีก่อน ทำให้คนหายใจไม่ออก


เพราะหนักอึ้งเกินไปเลยไม่มีใครยอมคุยเรื่องนี้ต่อ นั่นเป็นแผลที่สมานไม่หายต่อให้ผ่านมาสิบปี พูดถึงหนึ่งครั้งก็ทำให้แผลปริจนเลือดไหลได้ทุกครั้ง


ไม่รู้เดินมานานเท่าไร ในที่สุดก็ถึงที่กว้างแห่งหนึ่ง


ระหว่างทางไป๋ซู่เย่ขอให้เย่เซียวปล่อยเธอลง เธอกลัวว่าหากเขาอุ้มนานเกินไปจะสะเทือนถึงแผลที่ยังไม่หายดีของเขา แต่เย่เซียวดื้อดึงไม่ยอมปล่อยเธอ คำขอร้องของเธอถูกเขาเพิกฉาย


หากไม่ใช่เพราะเขาพูดถึงเรื่องสิบปีก่อนที่เป็นการเตือนเธอว่าความจริงแล้วระหว่างพวกเขามีความเกลียดชังมากมายกั้นไว้อยู่ มีระยะห่างที่ไกลขนาดไหน เธอคงยากจะห้ามใจไม่ให้จินตนาการได้ จินตนาการว่าถูกเขาอุ้มอยู่อย่างนี้…อุ้มไปตลอด อุ้มไปจนถึงสุดปลายทางของชีวิต…


 “ที่นี่เห็นหิมะได้ เราไปนั่งในศาลากัน” เธอตบบ่าเย่เซียว


เย่เซียวรับคำในลำคอก่อนอุ้มเธอไปที่ศาลา ที่ตรงนี้หิมะก่อตัวค่อนข้างหนาแล้ว ในคืนที่เงียบสงบเท้าคู่หนึ่งเหยียบย่ำลงเป็นรอยหนักเบาสลับกันไปซึ่งสามารถได้ยินเสียงได้


เย่เซียวนั่งลงในศาลา ไป๋ซู่เย่จะลุกออกจากขาเขาโดยอัตโนมัติ แต่เกิดแรงกระชับที่เอวเพราะถูกมือเขาจับไว้


เธอชะงักนิ่ง


ไม่ขยับ


นั่งอยู่บนหน้าขาเขาอย่างนั้น


เธอไม่กล้าหันไปมองสีหน้าของเย่เซียว เธอไม่กล้าถามเย่เซียวให้ชัดเจนด้วยซ้ำว่าพาตนมาที่นี่ทำไม


เขาดึงผ้าห่มที่หุ้มตัวเธอไว้หุ้มสองขาที่เปลือยเปล่าของเธอ


มือของเธอยังคงโอบลำคอเขาไม่ปล่อย


 “เย่เซียว…”


 “หืม?”


 “ทำไม…อยู่ๆ คุณถึงตัดสินใจพาฉันมาที่นี่?”


เย่เซียวเงียบไปครู่ใหญ่ แค่เบี่ยงหน้าหันหนีทอดสายตาไปยังพื้นที่กว้างไกล ไปยังสุดขอบฟ้าที่ห่างไกล อาศัยแสงจันทร์สลัว ไป๋ซู่เย่เห็นความเหนื่อยอ่อนบนใบหน้าเขาได้ชัดเจน


ความเหนื่อยอ่อนเช่นนี้มันมาจากจิตใจ…


ราวกับเส้นบางอย่างในใจที่แน่นตึงมานาน พร้อมจะขาดสะบั้นลงทุกเมื่อ


เดิมทีคิดว่าเขาคงไม่พูดอีกแล้ว แต่ทันใดนั้นเขากลับเอ่ยเสียงเรียบ “แค่อยู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยมาก อยากมาดูพระอาทิตย์ขึ้น”


หัวใจของไป๋ซู่เย่บีบรัดแน่น


เธอรู้ว่าเขาเหนื่อย ความทรมานช่วงสิบปีนี้ ความเจ็บปวดของเขามีแต่จะหนักอึ้งกว่าเธอร้อยเท่าพันเท่า แต่จากกันไปสิบปีกลับเป็นครั้งแรกที่เขาเผยด้านอ่อนแอต่อหน้าเธอ…


ก่อนหน้านี้ระหว่างพวกเขามีแต่ความระแวง ความบ้าบั่นหรือความคลุ้มคลั่งเสมอ


ไม่เคยเป็นอย่างคืนนี้ เขาบอกเธอว่าเหนื่อยอย่างสงบ…


สงบจนใจเธอเริ่มลน เพียงรู้สึกเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก


ทั้งที่เธอกอดเย่เซียวอยู่แต่กลับรู้สึกว่าความจริงคนคนนี้กำลังห่างไกลจากเธอทีละก้าวๆ ยิ่งอยู่ยิ่งไกล ไกลมากขึ้นเรื่อยๆ…


เป็นผลลัพธ์ที่เธออยากได้มากที่สุด แต่ส่วนลึกของหัวใจกลับกลัวผลลัพธ์เช่นนี้


จู่ๆ เธอกระชับแขนกอดเอวเขาไว้แน่นอย่างห้ามใจไม่อยู่ เย่เซียวหันกลับมามองเธอ ทั้งคู่ประสานสายตา ภายใต้แสงจันทร์ที่สะท้อนให้เห็นแววตาเศร้าหมองปนอ่อนแอของเธอกำลังฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา


ดวงตาของเขาเข้มขึ้น ความรู้สึกกำลังทะลักล้น


จู่ๆ นิ้วยาวเขาจับปลายคางเธอ นิ้วโป้งแตะสัมผัสพวงแก้มเล็กที่เย็นเฉียบพลางลูบไล้ไปมาเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน


ไป๋ซู่เย่แสบจมูกและสะอื้นฮัก อยู่ๆ ยกหน้าขึ้นประกบจูบเขา


ชั่วขณะทุกอย่างได้หลุดจากการควบคุม


ทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นดอกฝิ่น เป็นพิษที่ฝังรากอยู่ในร่างกายเขาแต่ก็ต้านทานไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ ไป๋ซู่เย่ยิ่งทำให้สติสัมปชัญญะทุกอย่างพ่ายแพ้ไป


ริมฝีปากพัวพันกันและกันราวกับใกล้จะวันสิ้นโลกหรือถึงจุดจบของชีวิต พวกเขาเกี่ยวกระหวัดราวกับจะตราประทับช่วงเวลานี้เข้ากับจิตวิญญาณของกันและกันถึงจะสาแก่ใจ


ความต้องการของเย่เซียวไม่เคยจะควบคุมได้ยามอยู่ต่อหน้าเธอ ทิ้งผ้าห่มที่เป็นส่วนเกินบนตัวเธอทิ้งลงพื้น มือสอดใต้กระโปรงเธอไปเสียแล้ว


ในค่ำคืนเวลานี้ไม่มีผู้คนขวักไขว่ไปมา


มีเพียงพวกเขา…


พวกเขาราวกับจมน้ำ กำลังคว้าจับอีกฝ่ายเป็นเส้นฟางช่วยชีวิต…


นิ้วมือเย่เซียวล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายเธอ


ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้ามากนักแต่ร่างกายของเธอกลับอ่อนไหวกว่าเวลาไหนๆ ยอมรับการรุกล้ำของเขามากกว่าเวลาไหน หรืออาจจะบอกว่ากำลังคาดหวังจะได้ยอมรับเขา


เธอจูบเขา จูบใต้คางเขา จูบลำคอเขา…


นิ้วมือของเขาเอาแต่ใจอยู่ภายในร่างกายเธอ เธอใช้มือปัดป่ายเขาไปอย่างทรมาน ในเสียงหอบกระเส่านั่นครวญครางจนคนฟังแทบหลอมละลาย


 “เย่เซียว ตอนนี้ฉันกำลังยั่วคุณจริงๆ…คุณกล้าทำอะไรฉันตรงนี้ไหม?”


วินาทีนี้เธอละทิ้งความเย่อหยิ่ง ละทิ้งความละอายใจ หรือสติที่ถูกเธอลืมทิ้งไว้ด้านหลัง…


ทุกอย่างเธอปล่อยให้ใจนำทาง


นี่นานๆ ทีจะเป็นการปล่อยตามใจตัวเอง


ที่แทบจะปล่อยให้ดำเนินไปได้ไม่นานนัก


นิ้วมือของเธอเกี่ยวกระดุมเสื้อเชิ้ตบนตัวเย่เซียวพร้อมสอดมือเข้าไปจากคอเสื้อ เย่เซียวครางฮึมที “ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณที่นี่…แต่คุณอาจทำผมเป็นบ้า…”


 “แล้วคุณจะทำไหม?” ไป๋ซู่เย่หอบหายใจ ดวงตาฉ่ำวาวมองเขาอย่างพร่ามัว เสียงนั้นกระเส้าเสียจนเย่เซียวรู้สึกเลือดในตัวพลุ่งพล่านและไหลรวมไปจุดกึ่งกลางลำตัว


…………………………


ตอนที่ 699 รักจนหมดทางหนี (5)

โดย

Ink Stone_Romance

นอกศาลาพักร้อน


ลมหนาวโบกสะพัด


ภายในศาลากลับเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สองคนที่กอดก่ายกันแน่นจนแทบลุกเป็นไฟ


เสียงครางกระเส่าของหญิงสาวคลอเคล้าไปพร้อมกับเสียงหอบหายใจหนักอึ้งและผิดจังหวะของชายหนุ่ม ท้ายที่สุดก็ถูกลมพัดกระจายไป


ทั้งสองคนเก็บความหวังที่ราวกับได้ถลำลึกลงหุบเหว ราวกับสูดอากาศเฮือกสุดท้าย พร่ำต้องการกลิ่นอายหยาดสุดท้ายของกันและกัน อุณหภูมิหรือจะเป็น…ความใกล้ชิดครั้งสุดท้าย…


ไป๋ซู่เย่ปล่อยใจตัวเองไม่ให้คิดถึงวันพรุ่งนี้ ได้แต่ตัวอ่อนระทวยในอ้อมกอดชายหนุ่ม


คราวนี้การรุกล้ำของเย่เซียวใจร้อนทว่าร้อนแรงเหมือนเดิม แต่ก็คล้ายจะอ่อนโยนกว่าครั้งที่ผ่านมามากนัก


ครั้งเดียวสำหรับเขาแล้วไม่มีวันพอ เย่เซียวเล่นงานเธอไปสองครั้งซึ่งก็นับว่าหักห้ามใจเต็มที่แล้ว


ในเรื่องนี้พละกำลังของไป๋ซู่เย่ย่อมเทียบกับเย่เซียวไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยว หลังเสร็จสิ้นครั้งที่สองเธอได้แต่ปล่อยให้เย่เซียวกอดร่างอ่อนเพลียไว้


 “ตอนนี้ทำไง?” เธอพึมพำเสียงถามอย่างไม่เหลือสภาพ ทั้งสองคนไม่มีใครคิดถึงว่าจะปล่อยให้ความต้องการชักนำถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้กลางเขา แถมยังทำติดต่อกันสองครั้ง


 “ตอนนี้ได้แค่ใช้ผ้าห่มไปก่อน?” ห้วงอารมณ์ที่ยังไม่จางไปไหนทำให้เสียงของเขาแหบแห้งเซ็กซี่และเรียกให้คนฟังยิ่งรู้สึกหวั่นไหวในค่ำคืนเช่นนี้


ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับอย่างขวยเขิน เธอรู้สึกโชคดีมากว่ารอบข้างมืดสนิทจึงไม่เห็นท่าทางเขินอายของเธอในตอนนี้ได้


………………


ไป๋ซู่เย่จัดการตัวเองเสร็จพอเงยหน้าอีกทีเห็นเพียงเย่เซียวกำลังยืนอยู่นอกศาลาสูบบุหรี่ หัวบุหรี่ที่กำลังเผาไหม้จู่ๆ ก็ถูกลมพัดให้สะเก็ดไฟปลิวไปตามทิศทางลม สะท้อนให้เห็นใบหน้ามุมข้างของเขา


ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าดวงนั้นยิ่งขับให้ดูเย็นชา โดดเดี่ยวและอ้างว้าง


หัวใจไป๋ซู่เย่เจ็บอยู่เนืองๆ ความต้องการจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความสิ้นหวังปนความเหนื่อยล้าที่พุ่งกระฉูดราวกับกระแสน้ำ


 “มานี่” คล้ายว่าเย่เซียวจะจับสายตาเธอได้ โยนบุหรี่ทิ้งหันสายตามาทางเธอ


ไป๋ซู่เย่วางผ้าห่มในมือลงเหยียบรองเท้าส้นสูงไป เย่เซียวยื่นมือกุมมือเธอ ร่างเธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะถูกเขาจูงเข้าไปในหิมะ


แสงจันทร์ให้ความรู้สึกเงียบเหงา


หิมะขาวโพลนไปทั่วอาณาบริเวณ


ท้องฟ้าเริ่มสว่างทีละน้อย


 “ให้ผมอุ้มไหม?” เย่เซียวถาม


เธอส่ายศีรษะ “เดินสักหน่อยดีกว่า”


 “ข้างบนนั่นมีที่ให้ดูพระอาทิตย์ขึ้นดีๆ ที่หนึ่ง เราเดินขึ้นไปกัน”


ไป๋ซู่เย่รับคำสั้นๆ “คุณ…เคยมาเมื่อไหร่งั้นเหรอ?”


 “สิบปีก่อนเคยมา” สิบปีก่อนตอนที่ยังอยู่ด้วยกันกับเธอเคยกลับประเทศมาเพียงลำพังอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นเนื่องด้วยตารางงานที่ค่อนข้างเร่งรีบต้องปฏิเสธคำเชิญร่วมมื้ออาหารมากมาย สิ่งเดียวที่ไม่ได้ตัดออกไปคือตารางที่ปีนเขามู่เจี้ย คนที่มาด้วยตอนนั้นล้วนคิดว่าเขามีงานอดิเรกคือปีนเขา ซึ่งความจริงนั้น…


เขาแค่ต้องการมาสำรวจพื้นที่ก่อนเท่านั้น


สิบปีก่อนขณะที่เขาปีนเขาลูกนี้ ในหัวคิดถึงเธอทุกวินาที


สิบปีหลัง สิ่งที่เขาคิดถึงยังคงมีแค่เธอ


สิบปีก่อน เขาก้าวเดินตัวปลิวทุกก้าวอย่างว่องไว


สิบปีหลัง ทุกย่างก้าวของเขาล้วนหนักอึ้งผิดปกติ


…………………………


ไม่ถึงระยะทางห้าร้อยเมตรก็มีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นขนาดใหญ่ เมื่อพวกเขามาถึงกลับพบว่ามีคู่รักอยู่มาก่อนแล้วประปราย มีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเธอกับเย่เซียวนั่นคือพวกเขาโรแมนติกและมีความสุข


เย่เซียวดึงมือเธอนั่งลงตำแหน่งกึ่งกลาง ทั้งสองคนไหล่ชนไหล่


ไป๋ซู่เย่ซบไหล่เขาเบาๆ ไร้บทสนทนาจากพวกเขา แค่ทอดมองไปทางทิศตะวันออกเงียบๆ


ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ


 “พระอาทิตย์ขึ้น! พระอาทิตย์ขึ้น!” ข้างกายมีหญิงสาวคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ


ดวงตาของไป๋ซู่เย่รื้นด้วยน้ำใสจางๆ


 “เย่เซียว” เธอเรียกเขาด้วยเสียงที่แหบแห้งน้อยๆ


 “หืม”


 “…คุณไปจากประเทศ S เถอะ”


เย่เซียวตัวนิ่งค้างไม่พูดอะไร


แสงตะวันพยายามทะลุชั้นเมฆ มีเพียงแสงเล็กน้อยสาดส่องมาจนคนดูรู้สึกอัดอั้น


 “คุณเหนื่อยไม่ใช่เหรอ? ความจริง ฉันเองก็เหนื่อยมาก…” เสียงไป๋ซู่เย่เริ่มสะอื้นฮัก เธอยังคงซบไหล่เขาดังเดิม “ในเมื่อคุณลงมือฆ่าฉันไม่ได้ งั้น…ก็สู้…


ให้เราไว้ชีวิตกันและกันสักทางเถอะ…”


ประโยคสุดท้ายเธอหยุดชะงักค้างไปพักใหญ่ถึงเฟ้นหาเสียงตัวเองกล่าวออกมาด้วยลมหายใจที่หอบหนักทุกตัวอักษร ราวกับได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด


สายตาเย่เซียวทอดมองที่ชั้นเมฆไกลออกไป “เครื่องดักฟังนั่น ผมอยากฟังคำอธิบายเป็นครั้งสุดท้ายจากคุณ”


 “หน่วยกรองข่าวไม่ยอมให้ข้อมูลที่แม่นยำกับฉัน หน่วยกรองข่าวได้ข่าวที่คุณมาอยู่บ้านฉันครั้งก่อน ดังนั้น…ฉันเดาว่าน่าจะฉวยโอกาสที่เราไม่อยู่กันทั้งคู่ พวกเขาเข้ามาที่ห้องฉันแล้วติดตั้งเครื่องดักฟังนั่น นี่เป็นคำอธิบายครั้งสุดท้ายและคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันให้คุณได้”


เย่เซียวไม่ตอบ


ไป๋ซู่เย่ดูไม่ออกว่าสุดท้ายนั้นเขาเชื่อหรือไม่เชื่อกันแน่


เมื่อชั่วขณะที่ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาให้แสงสีทองอร่ามปกคลุมไปทั่วหล้า บนหิมะขาวละเอียดมีแสงสีทองสาดส่อง จู่ๆ เย่เซียวหันหน้ามาจูบเธออย่างลึกซึ้ง


เธอปวดตาอย่างรุนแรง


แต่ไม่ได้ดิ้นท้วงครู่ใหญ่


นั่งนิ่งตรงนั้นไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ และไม่ได้ตอบรับเขา


แค่ได้ยินเสียงแผ่วของเขาที่พูดเล็ดลอดทั้งที่แนบปากติดปากเธออย่างอื้ออึง “ผมปล่อยคุณไป…กระสุนนัดก่อนถือว่าคุณได้ชดใช้หนี้เมื่อสิบปีก่อนให้ผมแล้ว”


เดิมทีเขาอยากให้เธอมีชีวิตแบบตายทั้งเป็น เคยพร่ำบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าต้องทรมานเธอถึงสุด แต่สุดท้ายเขากลับพบความจริงที่ทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ว่าการพัวพันอย่างที่ตนทำ ก็คือการปล่อยวางไม่ได้…แค่ยังรักอยู่…


ความทรมานทั้งหมดที่มอบให้เธอ ท้ายที่สุดแล้วคนที่เจ็บก็ไม่พ้นตัวเอง


อย่างเช่นกระสุนนัดนั้น หรือนิ้วมือที่ถูกเขาหัก…


ไป๋ซู่เย่ได้ยินคำของเขาแพขนตาสั่นไหว หลับตาลงแรงๆ มือจับเสื้อเชิ้ตเขาแน่นจนจิกปลายเล็บเข้าฝ่ามือ แต่ร่างกายของเธอเหมือนเหน็บชาไปทั้งร่าง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บจากฝ่ามือ…


เสียงเย่เซียวปนด้วยความรู้สึกท้อใจ “เครื่องบินวันนี้ ผมจะไปจากที่นี่”


นิ้วเธอจิกแรงกว่าเดิม


ที่แท้เขาวางแผนไว้แล้ว…


ธุรกิจของเขาอยู่ที่นี่ด้วยหากไม่ใช่เพราะวางแผนไว้ทุกอย่างล่วงหน้าคงไม่มีทางอยู่ๆ บอกจะไปก็ไปได้


แสงอาทิตย์ค่อยๆ จุดแสงสว่างให้แก่โลกทั้งใบ ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ต่างกระโดดโลดเต้นอย่างปลื้มปีติ เธอกลับรู้สึกเหมือนแสงแยงตาไม่กล้าลืมตา


 “เราควรไปแล้ว” ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสียงเย่เซียวที่ทุ้มต่ำทว่าเรียบนิ่งดังขึ้นข้างหู


เรียบนิ่งเสียจนน่าปวดใจ


ระหว่างพวกเขาได้เดินมาถึงทางตัน ไม่มีทางให้เดินต่อไปอีกแล้ว…


เธอใช้แรงสุดกำลังที่จะกลั้นน้ำตาไว้ ลืมตาขึ้นยิ้มมองเขา “คุณอุ้มฉันขึ้นมา งั้นก็แบกฉันลงไปเถอะ”


……………………………


ตอนที่ 700 ปล่อยมือจากไป (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ลืมตาขึ้นยิ้มมองเขา “คุณอุ้มฉันขึ้นมา งั้นก็แบกฉันลงไปเถอะ”


ท่าทางตอนเธอยิ้มกลับดูบริสุทธิ์อยู่บ้าง สร้างความสะเทือนไหวแก่หัวใจเย่เซียวราวกับถูกคนควักออกไปส่วนหนึ่ง


ว่างเปล่า…


 “…” เขามองรอยยิ้มเธอนิ่งๆ เงียบไปสามวินาทีโดยไร้เสียงตอบกลับ


ไป๋ซู่เย่หัวเราะน้อยๆ “ฉันล้อเล่น คุณเดินไปก่อนเถอะ ฉันอยากนั่งอีกแป๊บ”


เย่เซียวก้มตัวนั่งลงตรงหน้าเธอ


เธอชะงักงัน มองแผ่นหลังกว้างใหญ่นั่นพานน้ำตาก็ห้ามไว้ไม่ได้อีกต่อไป


เย่เซียวไม่ได้หันกลับมาแค่ตบหลัง “ขึ้นมา”


ไร้ความลังเลใดๆ เธอเกาะหลังเขาไม่กล้าให้ใบหน้าเปียกชื้นแตะโดนท้ายทอยเขาเพราะกลัวน้ำตาจะเปิดโปงเธอ เขาแบกเธอลงไปตามเขาโดยมีลมพัดหวิวปัดเป่าน้ำตาเธอไปตลอดทาง


ไป๋ซู่เย่กัดปากแน่นไม่ให้ตนปล่อยโฮจนมีเสียงออกมาขณะอยู่หลังเขา


เธอรู้ว่าตั้งแต่วันนี้ไป ทุกอย่าง…จบสิ้นแล้ว…


เย่เซียวปล่อยเธอไป ในเวลาเดียวกัน…ก็ปล่อยตัวเองไปเช่นกัน…


ระยะนี้ ทั้งสองคนต่างทรมาน พัวพัน ขยับเข้าใกล้และผลักไสกันและกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหนื่อยกันทั้งคู่แล้ว…


สายสัมพันธ์ที่ไร้อนาคต การตัดขาดทันท่วงทีเป็นหนทางที่มีสติที่สุด


ความจริงเธอกับเย่เซียวต่างเป็นคนที่มีความคิดแยกแยะดีกันทั้งคู่ ผลลัพธ์นี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่…ก็เจ็บปวดที่สุด เอือมระอาที่สุด…


เส้นทางที่ไปสู่ใต้ภูเขา เย่เซียวได้เดินเชื่องช้าเต็มที แต่ก็เร็วกว่ายามขึ้นเขาอยู่ดี


ตลอดทางเห็นคุณลุงคุณป้ามากมายที่มาวิ่งตอนเช้า ทุกคนมองพวกเขาสองคนแล้วหัวเราะคิกคักพร้อมกล่าว “วัยรุ่นสมัยนี้นะ มีความรักที่โรแมนติกดีจัง”


ไป๋ซู่เย่ได้แต่กัดปากเงียบไม่กล้าตอบ เธอกลัวว่าหากอ้าปากแล้วจะร้องไห้ออกมา


 “พ่อหนุ่ม เมื่อยขาไหม แบกมาไกลขนาดนี้” คุณป้ายิ้มถามเย่เซียว


เย่เซียวไม่ใช่คนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เวลาอารมณ์ไม่ดียิ่งไม่ยอมตอบคำถามของคนแปลกหน้า


ข้างๆ คุณป้าหัวเราะเก้อเขิน “ยังต้องถามอีกเหรอ แบกคนที่ตัวเองชอบจะเมื่อยได้ยังไง? แบกไปตลอดชีวิตยังยอมเลย!”


ไป๋ซู่เย่แทบร้องไห้ออกมารอมร่อ สองมือเธอผละห่างจากเย่เซียวเล็กน้อย “เย่เซียว คุณวางฉันลงเถอะ…”


 “อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ!” เสียงนิ่งขรึมและทุ้มต่ำของเขา ขณะกล่าวประโยคนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงติดแหบน้อยๆ


ไป๋ซู่เย่จึงไม่ได้ขยับตัวอีก มองแผ่นหลังเขาจนในที่สุดก็โอบลำคอเขาใหม่ ซุกหน้ากับแผ่นหลังเขาพร้อมสูดดมกลิ่นอายของเขาด้วยความรักใคร่


จากนี้…


ไม่มีโอกาสอีกแล้ว


“เย่เซียว…” เมื่อมาถึงใต้ภูเขา เธอเรียกเขาเบาๆ


 “อืม”


 “วันหน้า…หาคุณหมอที่เชื่อถือได้กว่าถังซ่งสักคนผ่ากระสุนออกมา แล้วก็…ต้องมีชีวิตรอดตอนผ่าเสร็จ” ไป๋ซู่เย่กลั้นก้อนสะอื้นในลำคอไว้


 “ได้”


 “แล้วก็…ฉันหวังว่าคุณจะมีความสุข มีความสุขมากๆ…”


ต่อให้ความสุขนั้นจะไม่เกี่ยวกับเธอ ต่อให้นับแต่นี้ไปเธอจะอยู่ในเหวลึก เธอก็หวังว่าเขาจะมีความสุข


เย่เซียวไม่ได้พูดคำว่า ‘ได้’ อีก


ความสุข?


คำนี้สำหรับเขาแล้วไม่คุ้นเคยและฟุ่มเฟือย


ตั้งแต่วันที่เสียคุณแม่ไป ชีวิตเขาก็ไม่มีคำว่า ‘ความสุข’ อีก


สิบปีก่อนขณะได้พบเธอ เขาคิดว่าตนจะใกล้มีความสุขแล้ว แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นเพียงภาพลวงตา ไม่สิ เป็นระเบิด…ที่ระเบิดความต้องการทั้งหมดของเขาแตกละเอียด


ตั้งแต่นั้นผ่านมาสิบปีจนถึงตอนนี้ ไม่มีวันไหนที่เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ในวังวนแห่งความเจ็บปวดและความกดดัน


ใช้ชีวิตแบบนี้จนเคยชิน แล้วจะมีใจอะไรไปหาความสุขอีก?


…………


ระยะทางที่ยาวไกลแค่ไหนสักวันก็ต้องเดินถึงสุดทาง


ทั้งคู่ที่ใกล้ชิดมากขนาดไหน สักวันก็ต้องบอกลา


เย่เซียวนั่งบนตำแหน่งคนขับ ไป๋ซู่เย่กลับไม่ได้ขึ้นรถ เธอยืนอยู่นอกรถโบกมือให้เขาผ่านหน้าต่างที่ลดเหลือครึ่งเดียว “คุณไปก่อนเถอะ ฉันเรียกรถกลับเอง”


มือของเย่เซียวกำพวงมาลัยแน่นแล้วผ่อนแรงลง สุดท้ายเหยียบคันเร่งขับออกไปโดยไม่พูดอะไร


ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่กับที่ ลมพัดเสื้อโค้ทและชายกระโปรงเธอให้ปลิวพลิ้ว ผมยาวสลวยสยายท่ามกลางอากาศ


เธอมองรถคันนั้นค่อยๆ หายไปจากการมองเห็น เดิมคิดว่าจะร้องไห้จนพังทลายแต่ชั่วอึดใจนั้นเพิ่งพบว่าน้ำตาทุกหยด ได้เหือดแห้งไปพร้อมกับสายลม…


ตอนที่เศร้าถึงขีดสุด ที่แท้น้ำตาก็ไม่ไหลเลยสักหยด


……


สายตาของเย่เซียวยังคงมองที่กระจกหน้าไว้แต่แรก


เขาคิดว่าหากในวินาทีที่แยกจากกันจะเห็นน้ำตาของเธอ บางทีเขาอาจละทิ้งทุกอย่างแล้วเลี้ยวรถกลับ ต่อให้อนาคตจะตายด้วยกัน เขาก็จะกระชากเธอให้เข้ามาในชีวิตเขาอีกครั้ง


แต่สุดท้ายเขาก็ผิดหวัง


ผู้หญิงคนนี้ ความจริงแล้วไม่มีน้ำตา…


……………………


ไป๋ซู่เย่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายลมสิบนาทีเต็ม หนาวจนตัวแข็งถึงหลุดจากภวังค์


เธอเรียกแท็กซี่เข้าเมือง


เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ตลอดทางนี้ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ ศีรษะเอียงแนบหน้าต่างรถ ดวงตาว่างเปล่ามองไปข้างนอก เธอไม่ได้คิดอะไร เจ้าตัวเหมือนตุ๊กตาที่ถูกดูดวิญญาณไป


แต่ว่า…


ในที่สุดเย่เซียวก็ไปแล้ว…


เธอควรรู้สึกโชคดีสินะ…


ไม่ต้องกังวลความคิดเหล่านั้นของกระทรวงความมั่นคงอีก แต่เธอกลับดีใจไม่ขึ้น…


ระหว่างทางโทรศัพท์แผดเสียงดัง เป็นสายจากไป๋หลาง เขาโทรมาซี่งประโยคแรกคือ “รัฐมนตรี ได้รับข่าวมาว่าเย่เซียวคิดจะออกจากประเทศแล้ว!”


 “…อืม”


 “คุณรู้แล้วเหรอ?”


 “…รู้ก่อนนายสิบกว่านาทีเอง”


 “แล้ว…อนาคตเขาจะกลับมาอีกไหม?”


 “นายเป็นห่วง?”


 “ผม? ผมไม่ห่วง” ไป๋หลางพูดเสริมอีกประโยค “ผมแค่เป็นห่วงคุณ ได้ยินว่าเขาหาผู้จัดการคนหนึ่งช่วยจัดการเรื่องบริษัททางนี้ พวกหยูอันถูกเขาพาไปด้วย แล้วก็…น่าหลัน เขาก็พาไปแล้ว”


ไป๋ซู่เย่แย้มปาก “น่าหลันเป็นแฟนของเขา จะไม่พาเธอไปได้ยังไง?”


แม้จะมีโทรศัพท์กั้นไป๋หลางยังจับความเศร้าจากน้ำเสียงเธอได้ ไป๋หลางเงียบไปอึดใจแล้วกล่าว “กระทรวงความมั่นคงส่งคนตามเย่เซียวไปเพื่อป้องกันว่าวันสุดท้ายเขาจะทำอะไร คุณ…”


 “เมื่อคืนฉันไม่ได้นอนทั้งคืน ไม่ไปแล้วกัน”


ไป๋หลางไม่พูดอะไรอีก ไป๋ซู่เย่วางสาย


เธอหลับตา รู้สึกเพียงอกเหมือนมีรูโบ๋ที่เริ่มเจ็บอีกระลอก


……………………


รถยนต์ขับไปที่ใต้ตึกเซียงเซี่ยกู่ที่เธออาศัยโดยตรง หลังไป๋ซู่เย่เข้าห้องก็รีบค้นยาคุมกำเนิดที่หยูอันเคยให้ไว้มาใส่ปากกลืนลงโดยไม่ดื่มน้ำตามสักคำ


หัวใจเจ็บอย่างรุนแรง ทวีความเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ


เธอจึงทานยานอนหลับอีกสองเม็ด อาบน้ำล้มตัวลงบนเตียง


เข้าสู่ห้วงนิทรา จะไม่นึกอะไรขึ้นมาอีก…


เพียงแต่…


วินาทีสุดท้ายที่หลับตาลง ในหัวเธอกลับยังเป็นประโยคนั้นของเย่เซียว…


ผมปล่อยคุณไป…


ผมปล่อยคุณไป…


……………………………


ตอนที่ 701 ปล่อยมือจากไป (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เครื่องบินส่วนตัวของเย่เซียวลงจอดในสนามบินระหว่างประเทศของประเทศ S โดยตรง


รอกลุ่มคนทั้งหมดเดินออกทาง VIP มีรถเก๋งคันดำหลายคันได้ขับมาจอดอยู่นอกสนามบินอย่างเป็นระเบียบแล้ว


 “นายน้อย ยินดีต้อนรับกลับมา!” ชายวัยกลางคนสวมสูทสีดำลงจากรถ เปิดประตูรถให้อย่างนอบน้อม


 “ลุงหมิง” เย่เซียวก้มหัวทักทายหน่อยๆ


 “คุณไฟเรนเซ่รอคุณกลับมานาน ดังนั้นเลยมอบหมายให้ผมต้องมารับคุณที่สนามบินด้วยตัวเอง”


ลุงหมิงเป็นผู้ติดตามของไฟเรนเซ่ที่ติดตามไฟเรนเซ่มาหลายปี เป็นผู้ช่วยมือฉกาจที่สุดของไฟเรนเซ่ ต่อให้เป็นเย่เซียวก็ต้องให้ความเคารพนับถือเขาอยู่บ้าง


 “ลุงหมิง ไม่ได้เจอกันนานนะคะ” น่าหลันเดินออกมาจากหลังเย่เซียวพลางยิ้มทักทายลุงหมิง


 “คุณน่าหลัน ไม่ได้เจอกันระยะหนึ่ง คุณโตขึ้นหรือเปล่า”


 “ใช่สิคะ” น่าหลันโอบแขนลุงหมิง “ลุงหมิง ตอนนี้หนูอายุสิบเก้าแล้ว ลุงได้เตรียมของขวัญครบรอบสิบเก้าปีของหนูไว้หรือเปล่า?”


ลุงหมิงหัวเราะ “มียายตัวแสบอย่างคุณที่ไหน? ไปเที่ยวข้างนอกลับมาไม่เอาของฝากมาให้พวกเราแล้ว ยังมาขอของขวัญอีก”


 “แปลว่าไม่ได้เตรียมไว้สินะคะ?” น่าหลันแสร้งเบ้ปากอย่างผิดหวัง


 “ฮ่าฮ่า สบายใจได้ ลุงหมิงไม่ได้เตรียมไว้แต่คุณไฟเรนเซ่ได้เตรียมไว้ให้คุณตั้งนานแล้ว พอแล้ว ทุกคนไว้กลับไปค่อยคุย อย่าให้คุณไฟเรนเซ่รอนาน คนแก่อย่างท่านกำลังรอต้อนรับพวกคุณอยู่”


 “ค่ะ เชื่อฟังลุงหมิงหมดเลย” น่าหลันรับคำอย่างเชื่อฟังและเข้าไปนั่งรถคันหลังของเย่เซียวตามกฎเดิม


ลุงหมิงกับเย่เซียวนั่งรถคันเดียวกัน


 “กลับคฤหาสน์” ลุงหมิงสั่งคนขับรถ


คนขับรถรับคำและขับรถไปนิ่มๆ


ลุงหมิงนั่งอยู่ตำแหน่งฝั่งขวาของเย่เซียว หลังกวาดตามองเขาอย่างใจดีทีก็ถอนหายใจกล่าว “เพราะเจ็บหนักจากครั้งก่อนหรือเปล่า ผมว่าช่วงนี้คุณผอมลงไปเยอะเลย”


 “นอนบนเตียงนานไปก็ต้องส่งผลกระทบบ้างไม่มากก็น้อย”


“เมื่อคืนหลับไม่สนิทเหรอ? ทำไมตาแดงขนาดนั้น?”


เย่เซียวไม่ตอบ แค่ทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง เมืองโยวของประเทศ T กำลังฝนตกพรำ เรียกให้คนมองรู้สึกเปียกชื้นไปถึงทรวงอก


ลุงหมิงมองใบหน้ามุมข้างของเขาแล้วถอนหายใจกล่าว “เรื่องครั้งก่อนคุณอย่าถือสาพ่อบุญธรรมคุณเลย ความจริงคนที่ปวดใจที่สุดก็คือท่าน คุณรู้ไหมว่าท่านได้ตั้งความหวังกับคุณไว้มาก ของทุกอย่างที่ท่านสู้เพื่อได้มา อนาคตก็เป็นของคุณทั้งหมด เรื่องครั้งนี้มีสายตาหลายคู่คอยมองอยู่ ท่านในฐานะผู้นำที่ปกครองคนมากมาย ไม่มีทางเลือกอื่น คุณน่าจะเข้าใจได้”


 “ใจผมรู้ดี ในเมื่อเรามีกฎของเราก็ต้องทำตาม ผมไม่เคยโทษพ่อบุญธรรม” เย่เซียวยังคงท่าทีเฉยชา ใบหน้าเย็นชานั่นไม่มีอารมณ์อื่นปะปน


ลุงหมิงถอนหายใจอีกเฮือกแล้วพูดอย่างหนักใจ “โลกของเราไม่เหมือนคนสายขาวพวกนั้นที่ใช้เหตุผลปกครอง ในโลกของเรา มีแค่เลือดกับความโหดเหี้ยมถึงจะปกครองคนได้ คุณก็น่าจะเข้าใจที่สุด”


เย่เซียวพยักหน้า ไม่ได้ตอบกลับลุงหมิงอีก


ตั้งแต่เล็กจนโตเขาได้รับการเลี้ยงดูเช่นนี้เสมอ เลือด ความรุนแรง ความโหดเหี้ยม ความมืด โรงเรียนที่เขาเล่าเรียนก็เป็นโรงเรียนทหารที่โหดเหี้ยมที่สุด


ไฟเรนเซ่เคยตักเตือนเขาว่าอย่ามีใจที่ลังเล ความรักยิ่งเป็นสิ่งที่จะแตะต้องไม่ได้ เขาในวัยหนุ่มรู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านี้เกินจริงเกินไป จนกระทั่งภายหลังที่ตกอยู่ในกำมือผู้หญิงคนหนึ่งโดยสิ้นเชิงถึงเข้าใจว่าคนที่มีชีวิตในโลกพวกเขา ไม่ควรมีใจวาดฝันถึงแสงสว่างและความสวยงามเลย


เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์ พวกเขาไม่คู่ควร


………………


รถขับอ้อมเมืองโยวไปกว่าครึ่งและจอดลงหน้าคฤหาสน์ตระกูลไฟ


คฤหาสน์ตระกูลไฟเป็นปราสาทหลังหนึ่ง


ตั้งอยู่ในสายถนนที่มั่งคั่งที่สุดของเมือง T เพื่อนบ้านข้างๆ ไม่ใช่เจ้าหญิงจากราชวงศ์ที่อาศัยอยู่แต่เป็นเศรษฐีระดับโลก ดังนั้นความปลอดภัยในที่แห่งนี้จึงเข้มงวดที่สุดของประเทศ


เย่เซียวลงจากรถ


 “นายน้อย!” ลูกน้องเรียงเป็นแถวยืนตรงหน้าประตูอย่างเป็นระเบียบ มีคนกางร่มมาช่วยบังฝนให้เขากับน่าหลัน


เย่เซียวแค่พยักหน้าน้อยๆ ถือว่าทักทาย ลุงหมิงจึงรับร่มของคนข้างๆ มาช่วยกางไว้เหนือศีรษะเย่เซียวด้วยตัวเอง จากนั้นโบกมือไล่ลูกน้องเหล่านั้นไป “ถอยไปซะ”


คนเหล่านั้นจึงถอยไป


ไฟเรนเซ่ในตอนนี้กำลังรออยู่ตรงประตู เขาเป็นคนที่มีอายุคนหนึ่งที่นั่งบนเก้าอี้เข็น ใบหน้าคงไว้ซึ่งความใจดีและรอยยิ้มที่เป็นมิตร แม้จะมีผมขาวขึ้นเต็มหัวแต่ยังคงดูแข็งแรงดี เห็นเย่เซียวรอยยิ้มเขากว้างกว่าเดิม


หากมองคนแก่คนนี้จากภายนอกไม่มีใครคิดได้ว่าเขาคือพ่อค้าผู้เด็ดขาดเย็นชา แค่ยกมือก็สามารถสร้างความปั่นป่วนไปหลายประเทศ


 “คุณพ่อ” เย่เซียวโค้งคำนับน้อยๆ เป็นการทักทายไฟเรนเซ่


 “กลับมาแล้วเหรอ” ไฟเรนเซ่หยักศีรษะ


 “คุณลุงไฟ” น่าหลันก็รีบทักทายตาม ต่อหน้าไฟเรนเซ่เธอก็ระมัดระวังไม่กล้าทำอะไรตามใจตัวเอง


ไฟเรนเซ่มองเธอ “ยายหนู เมื่อกี้ได้ยินว่าเธอทวงของขวัญกับลุงหมิง ทำไมมาอยู่หน้าฉันแล้วกลับไม่พูดอะไรสักคำล่ะ”


น่าหลันมองลุงหมิงแวบหนึ่ง ยู่ปากอย่างลำบากใจ “ลุงหมิงปากไวจริงๆ คนยังไม่ถึงก็รายงานกับคุณลุงแล้ว คุณลุงเป็นคนมีตำแหน่ง หนูแค่เด็กคนหนึ่งจะกล้าเอาแต่ใจได้ยังไงกัน”


 “ใช่ แค่เด็กคนหนึ่ง” ไฟเรนเซ่กวาดมองหน้าเย่เซียวด้วยสายตาล่ำลึก จากนั้นก็กลับมามองหน้าน่าหลัน “แต่อายุสิบเก้าก็ไม่น้อยแล้ว ตามกฎที่นี่ของเรา เด็กผู้หญิงอายุสิบเก้าก็หาคนแต่งงานด้วยได้แล้ว เฉิงหมิง แกว่าถูกไหม”


คุณลุงหมิงที่ถูกเรียกถามก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วหยักหน้ายิ้ม “คุณไฟพูดถูก จะว่าไปปีที่ผมแต่งงานยังไม่ยี่สิบดีเลย ตอนนี้นายน้อยก็สามสิบแล้ว”


ความหมายแอบแฝงนี้ไม่ว่าใครก็เข้าใจ


ใบหน้าดวงเล็กของน่าหลันแดงแปร๊ด เผลอปรายสายตาไปทางเย่เซียวด้วยสีหน้าเคอะเขิน


เย่เซียวกลับไร้สีหน้าใดๆ บนใบหน้ามีเพียงความนอบน้อมและเย็นชามาตั้งแต่ต้น


ใครก็ดูไม่ออกว่าเขาในขณะนี้กำลังคิดอะไร แต่ใครก็รู้ว่าเขาฉลาด ไม่มีทางไม่เข้าใจความหมายที่แอบแฝงนี้


 “พอแล้ว เราจะยังไม่คุยเรื่องนี้ เฉิงหมิง พายายหนูไปเอาของขวัญ แล้วก็รอที่ห้องอาหาร เดี๋ยวเราจะรีบไป” ไฟเรนเซ่เองก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ


 “ครับ” ลุงหมิงรับคำ จากนั้นหันไปบอกน่าหลัน “คุณน่าหลัน ผมจะพาคุณไปเอาของขวัญ”


 “ขอบคุณค่ะลุงหมิง”


………………


น่าหลันเดินจากไปพร้อมลุงหมิง


ไฟเรนเซ่ถึงหันมามองเย่เซียวแวบหนึ่ง “ทำไมไม่พูดอะไรเลย”


 “ท่านรู้ดีว่าผมพูดน้อย”


 “อืม พูดน้อยๆ ถึงจะทำอะไรได้มาก” ไฟเรนเซ่ตอบ “มานี่ เข็นฉันไปที่ห้องโถงรอง”


เย่เซียวเข็นไฟเรนเซ่เข้าไปในห้องโถงรอง ในห้องโถงรองนั้นมีคุณหมอประจำตัวของท่านรออยู่แล้ว ข้างในมีอุปกรณ์ทางการแพทย์เพียบพร้อม


…………………………


ตอนที่ 702 ปล่อยมือจากไป (3)

โดย

Ink Stone_Romance

“นายน้อย” คุณหมอประจำข่ายปินถอดหน้ากากอนามัยออก “คุณไฟรอคุณนานแล้ว”


เย่เซียวก้มมองพ่อบุญธรรมตนวูบหนึ่ง


ไฟเรนเซ่เป็นคนที่รอบคอบและมีความระมัดระวังสูง คุณหมอส่วนตัวของเขาเคยให้การรักษาแค่เขาคนเดียวมาโดยตลอด ยังไม่เคยมีใครจะได้รับการรักษาจากข่ายปินเป็นคนที่สอง


 “อย่ามัวแต่มอง รีบไปนอน ให้ข่ายปินตรวจร่างกายให้แกละเอียดหน่อย”


 “ก่อนหน้าถังซ่งเคยตรวจแล้ว”


 “เจ้าเด็กถังซ่งนั่นจะให้ฉันไว้วางใจได้ยังไง พอแล้ว ไปนอน” ท่าทีของไฟเรนเซ่ไม่อ่อนโยนหรือกระโชกโฮกฮาก แต่ความน่าเกรงขามนั่นกลับไม่มีใครกล้าแย้งคำพูดของเขาได้


เย่เซียวไปนอนบนเตียงอย่างเชื่อฟัง ข่ายปินทำการตรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด ด้วยความที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนและต้องขับรถอีกหลายชั่วโมงไปที่สนามบินประเทศ S โดยตรงก่อนจะบินมาที่เมืองโยวประเทศ T การเดินทางยาวนานมาหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันโดยแทบไม่ได้พักสายตา พอตอนนี้ได้นอนเย่เซียวรู้สึกเพียงหนักอึ้งที่เปลือกตา ผ่านไปสักพักก็ผล็อยหลับไป


รอตื่นมาอีกทีแสงบนเหนือศีรษะยังสว่างแยงตา เขามุ่นคิ้วจ้องไฟสว่างนั่นหลายวินาทีและรู้สึกถึงความว่างเปล่าเต็มอก วินาทีนี้เขารู้สึกเหมือนเหยียบอยู่บนผืนหญ้าโล่งเปล่าแห่งหนึ่ง บนผืนหญ้านั่นกว้างใหญ่ไพศาล ราวกับว่าเขาเดินอย่างไร เดินจนหมดเรี่ยวแรงก็เดินไม่สุดทางสักที


สักพักหนึ่งถึงได้ยินเสียงของข่ายปินดังแว่วมาข้างหู


 “คุณไฟ กระสุนนัดนี้ของนายน้อยจัดการไม่ง่ายเลย”


 “อะไรคือจัดการไม่ง่าย?” น้ำเสียงไฟเรนเซ่คุกรุ่น “ฉันเสียค่าอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยให้นายทุกปีหลายร้อยล้าน ค้นหายารักษาที่ทันสมัยที่สุด ร่ำเรียนเทคนิคทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุด สิ่งที่แกตอบแทนฉันก็คือคำว่า ‘จัดการไม่ง่าย’?”


 “คุณไฟ ขออภัยที่เราไม่สามารถ ลูกกระสุนที่ติดอยู่ในร่างกายของนายน้อย ถ้าตอนผ่าพลาดเอียงไปนิดเดียวก็อาจจะเกิดผลที่คาดไม่ถึง ทีมรักษาของเราเลยเห็นพ้องต้องกันว่าลูกระสุนของนายน้อยนี้ต้องปล่อยให้สังเกตการณ์ไปเรื่อยๆ ก่อน”


 “สังเกตการณ์ไปเรื่อยๆ ก็เท่ากับปล่อยให้ลูกระเบิดเวลาทิ้งไว้ในตัวเขา อันตรายต่อชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ!ข่ายปิน แกยังไม่รู้หนักเบาอีกเหรอ? เย่เซียวเป็นลูกชายคนเดียวของฉัน ถ้าเขาเป็นอะไรไปเพราะลูกกระสุนลูกนี้ อย่าว่าแต่แก คนในทีมรักษาแกหนีไม่พ้นแม้แต่คนเดียว!ต้องตายไปพร้อมกับเขาทั้งหมด!”


ข่ายปินหายใจขาดห้วง ยืนตัวเกร็งตรงนั้นไม่กล้าส่งเสียง


ตอนนี้กำลังอยู่บนหลังเสือชัดๆ


 “คุณพ่อ ท่านอย่าทำให้ข่ายปินลำบากใจเลย” เย่เซียวลุกขึ้นนั่งบนเตียง จดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ดๆ เทียบกับอารมณ์แทบจะลุกเป็นไฟของไฟเรนเซ่ในตอนนี้แล้วเจ้าตัวเป็นตัวการสำคัญกลับใจเย็นผิดปกติ “กระสุนลูกนี้ถ้าจะเอาออกมาตอนนี้ให้ได้ ผมอาจจะตายไปเลยก็ได้ ทิ้งไว้ในร่างกายก็เหมือนรอดูว่าชีวิตผมดวงแข็งมั้ย ถ้ายมบาลคิดจะพาผมไป ก็ต้องดูว่าเขาสามารถหรือเปล่า”


ไฟเรนเซ่ได้ยินคำพูดของเขาสีหน้าที่เรียบตึงถึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย สุดท้ายโบกมือใส่ข่ายปินแล้วพูดอย่างรำคาญใจ “ถอยออกไปให้หมด!”


 “…ครับ” ข่ายปินไม่กล้าชักช้าเพราะกลัวอยู่นานกว่านี้คุณไฟจะออกโจทย์ยากให้เขาอีก ดังนั้นรีบพาทีมรักษาของตนกระจายออกมาอย่างรวดเร็ว


ในห้องโถงรอง


ชั่วขณะเหลือเพียงไฟเรนเซ่กับเย่เซียวสองคน


 “ลูกกระสุนพวกนั้น แกโทษพ่อมั้ย?” ไฟเรนเซ่ถามเสียงนิ่ง


 “ผมไม่กล้า”


 “ในเมื่อไม่กล้าแล้วแกสำนึกผิดมั้ย?” ไฟเรนเซ่หมุนล้อเก้าอี้เข็นไปเทน้ำชาให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ยกจิบคำหนึ่งแล้วหันหน้ามามองเย่เซียวอีกทีด้วยสายตาที่แหลมคมกว่าเดิมมาก “เย่เซียว ตกอยู่ในกำมือของผู้หญิงหนึ่งครั้งไม่น่ากลัว ตกอยู่ในกำมือผู้หญิงคนละคนหลายครั้งก็ไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือแกกลับตกอยู่ในกำมือของผู้หญิงคนเดิมสองครั้ง!ลูกชายของฉัน ไม่ออมมือกระทั่งตอนหันปลายกระบอกปืนใส่พ่อแท้ๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ หรือว่าจะก้าวข้าม ‘ความรัก’นี้ไม่ได้เชียว? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ งั้นฉันต้องประเมินผู้หญิงคนนั้นดีๆ ต้องหาโอกาสไปเจอเธอด้วยตัวเองสักหน่อยใช่มั้ย?”


มือเย่เซียวที่กำลังจดกระดุมกระชับแรงแน่นเพราะประโยคสุดท้ายของไฟเรนเซ่ แต่ใบหน้ากลับเรียบนิ่งดังเดิมไร้การเปลี่ยนแปลง “ท่านไม่ต้องคิดมากเรื่องผู้หญิงคนนั้น ไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว”


 “ไม่มีครั้งต่อไปจริงเหรอ?” ไฟเรนเซ่หรี่ตา


 “ครับ!”


ได้ยินคำรับปากของเย่เซียวสีหน้าไฟเรนเซ่ถึงผ่อนคลายลงบ้าง ความแหลมคมในแววตาก็กระจายหายไปในพริบตาเปลี่ยนเป็นแววตาเป็นมิตรเหมือนยามแรก “ดีมาก ฉันเลี้ยงดูแกตั้งแต่เล็กจนโต ฉันเชื่อที่แกรับปากไว้ โอเค เราไม่คุยเรื่องที่หนักอึ้งอันนี้แล้ว มาคุยเรื่องที่มีความสุขหน่อยดีกว่า…”


น้ำเสียงไฟเรนเซ่ฟังดูผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว สองแขนของเขาวางไว้บนพนักวางแขนแล้วสอดประสานมือ “ฉันรู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาแกตามหาแม่ของแกมาโดยตลอด”


เย่เซียวหายใจติดขัด เงยหน้าใช้สายตาเรียบขรึมมองไฟเรนเซ่ “คุณพ่อ…”


 “แกอย่าประหม่าไป พ่อแค่อยากแบ่งเบาภาระของแก แกสบายใจได้ อีกไม่นานแกจะได้เจอแม่ของแกแน่ๆ พ่อรักแก แกอยากเจอใครก็ไม่มีปัญหา แค่ว่า…คำสัญญาของแก แกก็ต้องจำไว้ให้ดี ห้ามทำให้พ่อผิดหวังอีก เข้าใจมั้ย?”


สีหน้าเย่เซียวเรียบนิ่งไม่ตอบกลับใดๆ ไฟเรนเซ่กลับไม่พูดอะไรอีก กดกริ่งให้คนเข็นตัวเองออกไป เมื่อถึงประตูถึงหันมามองเย่เซียววูบหนึ่ง “ออกมาทานข้าวเถอะ วันนี้ครัวทำกับข้าวที่แกชอบหมดเลย แล้วก็…ฉันว่ายายหนูน่าหลันใส่ใจแกดี แกก็ชอบผู้หญิงอย่างเธอไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวเรื่องของพวกแกสองคน พ่อจะช่วยตัดสินใจให้เอง”


ไม่ปล่อยโอกาสให้เย่เซียวได้พูดอะไร ไฟเรนเซ่ก็ให้คนรับใช้เข็นตัวเองออกไปแล้ว


ประตูห้องโถงรองถูกปิดลง ภาพแผ่นหลังไฟเรนเซ่หายไปอย่างสิ้นเชิง สีหน้าเย่เซียวเย็นยะเยือกขี้นมาฉับพลัน สองมือกำหมัดอยู่ข้างลำตัว


 “นายท่าน” หยูอันดันประตูมาจากข้างนอก


สีหน้าระแวงในตอนแรกของเย่เซียวผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นเขา หยูอันปิดประตูเดินเข้ามาใกล้พลางถามอย่างเป็นห่วง “ได้ยินว่าคุณหมอข่ายปินตรวจร่างกายให้ท่าน เป็นยังไงบ้าง?”


 “เหมือนที่ถังซ่งบอก”


สีหน้าหยูอันนิ่งลงมากทีเดียว “หรือว่า…ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือครับ?”


 “ชีวิตมีเกิดมีตาย ไม่ต้องฝืนมัน”


สายตาเย่เซียวทอดมองไกลออกไปนอกหน้าต่าง หยาดฝนที่ตกพรำอยู่ข้างนอกเรียกให้คนรู้สึกอึดอัด สักพักเขาหันมามองหยูอัน “ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ฝากดูแลแม่ฉันด้วย ถ้าฉันเดาไม่ผิด ตอนนี้ท่านน่าจะอยู่ในมือของพ่อบุญธรรมฉันแล้ว”


หยูอันตัวสะท้านวาบ “ในเมื่อท่านยังห่วงคุณหญิงอยู่ก็อย่าฝากฝังผม ผมรู้ว่าคุณจะต้องไม่เป็นไร…”


 “พอแล้ว” เย่เซียวยกมือขึ้นขัดคำพูดของหยูอัน แค่นหัวเราะที “แกคิดจริงๆ หรือว่าใครจะดวงแข็งถึงขั้นต่อกรกับยมบาลได้? คำพูดเหล่านั้นก็แค่หลอกตัวเองเท่านั้น ระหว่างเรา ไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระ”


……………………………………


ตอนที่ 703 ปล่อยมือจากไป (4)

โดย

Ink Stone_Romance

หยูอันยังอยากพูดท้วงเขาแต่พอเห็นใบหน้าเย็นชาของเขาดีๆ แล้วกลับพูดอะไรไม่ออก


ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าที่เย่เซียวเหมือนใจตายไปในคืนเดียว…ราวกับว่าการมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่นั้นไม่ได้สำคัญอีกต่อไป…


สาเหตุที่หยูอันคิดได้ก็มีแค่ผู้หญิงที่ชื่อไป๋ซู่เย่เท่านั้น…


……………………


ประเทศ S


เมืองที่เข้าสู่ฤดูหนาว ลมหนาวเย็นเข้ากระดูก


วันที่ 18 เดือน 11 วันเกิดของเธอ


ฮูหยินไป๋โทรมาตั้งแต่วันที่สิบห้าว่าเธอต้องเว้นช่วงเวลามื้อเย็นของวันที่สิบแปดไว้ ส่วนงานเลี้ยงของเพื่อนร่วมงานเลยถูกเลื่อนไปเป็นเวลากลางคืนของวันที่สิบแปด


พวกไป๋หลางดีใจกว่าเธอเสียอีกและได้วางแผนทุกอย่างของคืนวันที่สิบแปดไว้หมดแล้ว


เธอที่เป็นตัวหลักของงานกลับไม่รู้สึกสนุกสนานด้วยแต่แค่ไม่อยากขัดอารมณ์ทุกคน วันที่สิบเจ็ดหลังเลิกงานไป๋ซู่เย่ขับรถไปที่ภูเขามู่เจี้ยเพียงลำพังหลายชั่วโมง เธอจอดรถในโซนให้บริการของเมืองมู่ ลงมานั่งตำแหน่งที่เขาเคยนั่ง ทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคนเดียว


รอบข้างยังคงมีคู่รักประปรายเช่นเคย เธอเงยหน้ายิ้มให้พวกเขา


จากนั้นลุกขึ้นเดินฝ่าลมหนาวจากไปเพียงลำพัง


เธอปีนเขามู่เจี้ยคนเดียว นั่งตรงจุดชมวิวคนเดียว ดูพระอาทิตย์ขึ้นคนเดียว นั่งอยู่ตรงนั้นตลอดคืนนิ่งๆ รอแสงตะวันปกคลุมเขาทั้งลูก ขณะหิมะสีขาวโพลนได้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามนั้นเธอก็เดินลงเขาทีละก้าวๆ คนเดียว…


ไม่มีใครอุ้มเธอขึ้นเขาอีก และไม่มีใครจะแบกเธอลงเขาอีก…


มีบางประสบการณ์ที่อาจมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต ซึ่งไม่ว่าอย่างไร…ก็ไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต…


…………………………


ไม่ได้พักสายตาสักนาทีเดียวก็ขับรถกลับกระทรวงความมั่นคงหลายชั่วโมงก่อนจะทำงานต่อ หนึ่งเดือนนี้เธอเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่รู้จักเหนื่อย เครื่องจักรทำงานตลอดไม่มีพัก


เมื่อมาถึงห้องทำงานของขวัญจากเพื่อนร่วมงาน ลูกน้องหรือหัวหน้าต่างกองพะเนินเทินทึกบนโต๊ะเธอ


 “รัฐมนตรี สุขสันต์วันเกิด!” เลขาอุ้มช่อดอกไม้หนึ่งเข้ามา “คุณอวิ๋นเป็นคนให้ค่ะ”


 “ขอบคุณ” เธอยิ้มตอบบางๆ


รับดอกไม้มาดม


ทั้งที่หอมมากแต่เธอกลับไม่ได้กลิ่นของความสุข


ของขวัญที่ไป๋หลางให้เธอนั้นเป็นน้ำมันหอมหนึ่งกล่องที่แบกมาจากอีกฟากของโลก


 “คืนนี้คุณอย่าลืมจุดอันนี้นอนนะ ผมเคยถามมาว่ามันได้ผลดีต่อการนอนหลับที่สุด”


 “ขอบคุณ” ไป๋ซู่เย่ดมเทียนหอม “คืนนี้ก็จะลองจุดดู”


ไป๋หลางมองเธอหลายที ไป๋ซู่เย่ไม่รู้สึกถึงสายตาของเขา ปลายนิ้วเกี่ยวผมที่ปรกข้างแก้มไปหลังหูและเปิดโน้ตบุ๊คไปพูดไปพลาง “ทำไม ไม่คิดจะทำงาน คิดจะมาจ้องหัวหน้าของนายทั้งวันอยู่ตรงนี้เหรอ?”


 “เมื่อคืนคุณไม่ได้นอนอีกแล้วใช่ไหม?” ไป๋หลางอดถามไม่ได้


ไป๋ซู่เย่ระอาเล็กน้อย “นายถามคำถามนี้ทุกวัน มาติดตั้งกล้องวงจรปิดบ้านฉันเลยดีไหม”


 “ไม่ใช่แค่ตาแดงแต่ยังขอบตาดำขนาดนี้ ผมเดาว่าคุณไม่ได้นอนเลยสักนาทีเดียว”


ไป๋ซู่เย่ไม่อยากถูกเขามองออกเลยแสร้งออกปากไล่อย่างหงุดหงิด “พอแล้ว นายรีบออกไปเถอะ คืนนี้ต้องเลิกงานเร็วหน่อย ฉันยุ่งมาก”


ไป๋หลางถอนหายใจพยักหน้าเตรียมหันหลังเดินออกไป


แต่พอเดินได้ก้าวเดียวสุดท้ายก็อดไม่ได้ หันกลับมามองเธอแวบหนึ่ง “รัฐมนตรี คุณรู้ไหม…”


ประโยคกล่าวถึงนี่ก็หยุดชะงัก


 “มีอะไร?” ไป๋ซู่เย่เงยหน้าขึ้นมา


 “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร”


 “ไป๋หลาง มีอะไรก็พูด!”


 “…เขา จะแต่งงานแล้ว”


ในหัวไป๋ซู่เย่เกิดเสียงดังอื้ออึงก่อนที่ทุกอย่างจะขาดห้วง จากนั้นถามเสียงเบา “ใคร?”


 “จากข่าวที่เราได้ตรวจสอบมาบอกว่า…เย่เซียว อีกไม่นานจะแต่งงานกับน่าหลัน”


สิ้นเสียงไป๋หลาง


ภายในห้องทำงานเงียบสงัดอยู่พักใหญ่


เงียบจนได้ยินเสียงหายใจที่หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ของเธอ…


ไป๋หลางยืนอยู่ตรงนั้นทั้งที่ในหัวเองก็วุ่นวาย เขาถึงขั้นคิดว่าหากเดี๋ยวรัฐมนตรีร้องไห้ต่อหน้าตัวเอง เขาควรพูดปลอบเธออย่างไรดี ในเมื่อไม่เคยเห็นเธอน้ำตาตกสักครั้งจริงๆ


 “โอเค นายออกไปเถอะ…”


ครู่ใหญ่เธอถึงกล่าว


คำสั้นๆ ที่ติดสั่นเครือคล้ายใช้แรงหมดทั้งตัว


ไป๋หลางกำลังจะพูดอะไรไป๋ซู่เย่ก็หยิบเอกสารฉบับหนึ่งบนโต๊ะให้เขา “ช่วยเอาไปส่งให้ปลัดกระทรวงชั้นบนให้ฉันหน่อย ถ้าฉันไม่ให้นายเข้ามา นายห้ามเข้ามา!”


 “รัฐมนตรี!”


 “รีบไป!” เธอไม่ได้เงยหน้าเลยตั้งแต่ต้น


ไป๋หลางเงียบไปอึดใจพลางมองเธออย่างปวดใจแวบหนึ่ง สุดท้ายหยิบเอกสารเดินออกไปโดยไม่กล่าวคำใดๆ


ประตูปิดลงเบาๆ หลังไป๋หลางหายไป ไป๋ซู่เย่ก็หันหลังอย่างรวดเร็ว ให้ร่างกายที่สั่นเทาพิงโต๊ะทำงานและทิ้งสายตาไปนอกหน้าต่าง เธอพยายามเบิกตาให้กว้างราวกับว่าแบบนี้น้ำตาจะไม่ไหล แต่เธอพบว่าทุกอย่างเป็นแค่ความคิดเท่านั้น…


น้ำตาไม่ไหล แต่หัวใจกลับกำลังฝนตก…


ฝนห่าใหญ่…


ชโลมหัวใจเธอจนเปียกโชก หนาวยะเยือกเข้ากระดูก…


เธอรู้สึกแค่หนาว หนาวจนเลือดในร่างกายแทบจะแข็งตัว


…………………………


กลางคืน


งานฉลองวันเกิดกับเพื่อนร่วมงาน


ไป๋ซู่เย่ที่ควบคุมดูแลตัวเองมาตลอดคืนนี้กลับไม่เคยวางแก้วน้ำเมาลงสักครู่เดียว


ทุกคนล้วนสังเกตถึงความผิดปกติแต่ช่วงนี้รัฐมนตรีไป๋ก็ผิดปกติอยู่แล้ว แม้จะมาทำงานเหมือนเช่นเคย ยิ้มให้ทุกคนไม่ว่าใครก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าทรุดโทรมกว่าเมื่อก่อนและหนักขึ้นเรื่อยๆ


ทุกคนต่างคาดเดาว่าจะได้รับความสะเทือนใจจากอะไร


แต่ผู้หญิงดั่งสวรรค์ฟ้าประทานอย่างรัฐมนตรีไป๋ ราบรื่นทุกอย่างทั้งเรื่องครอบครัวและการงาน จะมีอะไรที่กระทบใจเธอได้? ความรัก?


แต่คุณอวิ๋นที่ตามจีบเธอ ทุกคนก็รู้ว่าเป็นคนประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ


ไป๋ซู่เย่เมาอย่างสมบูรณ์แบบ


ไป๋หลางมองแล้วรู้สึกแย่แต่กลับเป็นคนที่รู้สาเหตุดีที่สุด และไม่กล้าแม้แต่จะปลอบใจ


ชำระเงินให้ทุกคนสนุกต่อไป ส่วนตัวเองกลับพยุงเธอที่เมามายไม่ได้สติออกไปจากคลับแห่งนี้


 “ผมจะส่งคุณกลับไปก่อน”


ไป๋ซู่เย่ปัดมือเขา ดวงตาหยาดเยิ้มและรื้นด้วยน้ำใสบางๆ “ไม่ต้องให้นายไปส่ง ฉันไม่ได้เมา”


คนที่เมาแล้วควรไม่รู้สึกอะไรอีก…


หัวใจต้องไม่เจ็บขนาดนี้…


เจ็บเหมือนปริแตกออก…กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้อีก…


 “คุณกลับไปนอนดีๆ สักตื่น พอตื่นมาพรุ่งนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรอีกแล้ว!” ไป๋หลางนึกปวดใจ อยากแบกเธอไปที่รถ


 “ให้ฉันเดินคนเดียวสักพัก…” ไป๋ซู่เย่ไม่ยอมขึ้นรถ แค่ใช้ดวงตาแดงก่ำร้องขอเขา “ให้ฉันอยู่คนเดียวสักพัก ได้ไหม? นายอย่ามาสนใจฉัน”


…………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม