แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 697-703
บทที่ 697 พรสวรรค์ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก๊อกๆๆๆ—
หลิงม่อเดินเข้าใกล้ผนัง แล้วยกมือเคาะ
เขาออกแรงเคาะไปไม่เบา แต่กลับรู้สึกเจ็บข้อต่อนิ้วมือเบาๆ เท่านั้น
การอัพเกรดร่วมกันเป็นกลุ่มของเหล่าซอมบี้สาวในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อตัวเขาไม่น้อย
ถึงแม้จะก้าวพลาดเข้ามาติดในกับดักอย่างนี้ แต่หลิงม่อกลับไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
ที่เขาเป็นห่วงก็มีแต่อวี๋ซือหรานเท่านั้น…
ขณะที่เสียงเคาะดัง ผิวผนังก็สั่นไหวเบาๆ ด้วยเช่นกัน
ไหนๆ ก็อยู่ในถิ่นของคนอื่นแล้ว คงไม่ต้องเบาไม้เบามือกลัวใครจับได้อีก ไม่แน่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายอาจกำลังจ้องเขาอยู่ก็ได้…
“ของจริง…”
หลิงม่อลูบนิ้วมือเบาๆ เขายืนยันแล้วว่าสัมผัสที่นิ้วมือคือของจริง
หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเองก็หยุดเดินในขณะที่เขาเคาะผนัง แล้วใช้หูแนบฟัง
“อืม หุ่นซอมบี้สัมผัสได้ถึงแรงสะเทือน แสดงว่าพวกเราอยู่ในสถานที่เดียวกัน…แต่ในเมื่อต้องการแยกเราออกมา แล้วทำไมไม่ตัดสายสัมพันธ์ทางจิตของเรากับหุ่นซอมบี้ล่ะ?”
หลิงม่อครุ่นคิด แล้วส่ายหัวไปมา
มีเบาะแสน้อยเกินไป คิดไปก็ไม่ได้ผลสรุปอยู่ดี ยังไม่ต้องเสียเวลาคิดเรื่องนี้ดีกว่า
ทว่า หลิงม่อได้จดจำทุกข้อสงสัยไว้ขึ้นใจหมดแล้ว ไม่แน่ว่าบางทีมันอาจมีประโยชน์ขึ้นมาก็ได้
ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายทำอย่างนี้เพื่ออะไร…เหตุผลมีมากเกินไป
เหตุผลที่ง่ายที่สุด อาจเป็นเรื่องการแย่งชิงทรัพยากร…
ถึงแม้สิ่งของจำเป็นของพวกหลิงม่อจะอยู่กับเสี่ยวป๋ายทั้งหมด แต่อย่างอื่นยังไม่พูดถึง แค่ปืนไรเฟิลเทพเจ้าสายฟ้าในมือเย่เลี่ยนก็มากพอที่จะทำให้ผู้รอดชีวิตคนอื่นจ้องตาเป็นมันแล้ว
พวกนั้นไม่สนหรอกว่าตัวเองจะใช้เป็นไหม แย่งมาได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะถึงอย่างไรคนส่วนมากก็มีแค่อาวุธเย็นมากกว่า…
อาวุธร้อนไม่ใช่ว่าหาไม่ได้ แต่อาวุธร้อนที่เก็บเสียงได้ด้วยนั้นหายากเกินไป…
อีกอย่างการค้นหาของในเมือง ไม่ว่าตามหาอะไรก็ต้องแบกรับความเสี่ยงอันใหญ่หลวงไว้บนบ่าทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้
นอกจากนี้ หน้าที่แบกกระเป๋าเป้ ไม่ใช่หน้าที่ที่จะมีกันได้ในกลุ่มผู้รอดชีวิตทั่วไป
กระเป๋าเป้น่ะหาไม่ยาก แต่ที่หายากคือของที่จะเอามาใส่ให้เต็มกระเป๋าต่างหาก
สภาพอาคารก่อสร้างส่วนใหญ่อาจยังดูสมบูรณ์อยู่ แต่ในความเป็นจริงผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน ทรัพยากรที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ก็ลดลงอย่างน่าสงสาร
บรรจุภัณฑ์ที่ถูกทำให้เสียหาย อาหารหมดอายุ ธัญพืชที่ปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอม แล้วยังมีแมลงสาบและหนูที่วิ่งยั้วเยี้ยอยู่ในโซนอาหารของซุปเปอร์มาเก็ตอีก…
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนตอนที่พวกมันยังไม่ติดเชื้อไวรัส มนุษย์อาจยังสามารถเพิ่มสิ่งที่ถูกพวกมันกัดแทะเข้ามาในรายการอาหารที่สามารถกินได้ แต่ตอนนี้แค่เห็นดวงตาสีแดงนั่น ก็ไม่มีใครกล้ากินแล้ว…
หลิงม่อยังนึกไม่ออกว่าพวกมันก้ามข้ามมาได้อย่างไร แต่ทันทีที่เหล่าสัตว์ประหลาดตัวน้อยที่เข้าออกทุกซอกทุกมุมพวกนี้ปรากฏกายขึ้น ทรัพยากรก็ลดฮวบจนขาดแคลนหนักกว่าเดิม
กลุ่มที่มีความสามารถในการผลิตธัญพืช ก็มีแต่ค่ายขนาดใหญ่
แต่ถึงแม้จะเป็นค่ายขนาดใหญ่ ก็เกรงว่ามีมีธัญพืชไม่พอแบ่งเหมือนกัน…
การมีชีวิตอยู่ ช่างลำบากจริงๆ…
“ถ้าหากทำเพื่อแย่งชิงสิ่งของจริงๆ ก็คงต้องโทษที่เลือกเล่นงานผิดคนแล้วล่ะ”
หลิงม่อยกมือวางผนัง หนวดสัมผัสทางจิตแผ่ออกไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ค่อยๆ แทงทะลุผ่านผิวผนัง
ถึงแม้จะเป็นหนวดสัมผัสไร้รูป แต่เวลาแทงทะลุผ่านสิ่งกีดขวาง การเผาผลาญพลังงานก็จะเพิ่มขึ้นทันที
ทว่าตอนนี้หลิงม่อไม่สนใจการเผาผลาญพลังงานเพียงเท่านี้แล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่มียาจำพวกฟื้นพลังติดตัวอยู่ด้วย อย่างไรก็เพลาๆ มือหน่อยดีกว่า ใช้หนวดสัมผัสสำรวจแค่เส้นเดียวก็พอแล้ว
เมื่อหนวดสัมผัสแทงทะลุออกจากอีกฟากของผนัง สายตาของหลิงม่อก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย
เดาว่าอีกฝ่ายคงคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความสามารถประเภทนี้อยู่ด้วยสินะ…
แต่ในตอนนั้นเอง หลิงม่อก็หน้าถอดสีอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น?”
ภายใต้การควบคุมพลังจิตตานุภาพของเขา หนวดสัมผัสกำลังสั่นไหวไปมาอยู่อีกฟากของผนัง และกำลังยืดยาวออกไปเรื่อยๆ ด้วย
แต่ว่า…เขาหาสิ่งกีดขวางชิ้นต่อไปไม่เจอ!
“เดี๋ยวก่อน…ไม่แน่อาจเป็นถนนใหญ่ข้างนอกก็ได้…”
หลิงม่อรีบควบคุมให้หนวดสัมผัสหักเลี้ยวลงข้างล่าง และพุ่งแทงลงไป
ไม่นาน สีหน้าของหลิงม่อก็ยิ่งกลายเป็นเหมือนคนที่เห็นผีเข้าแล้ว
เป็นไปไม่ได้!
นอกจากว่าเขาจะอยู่บนตึกสูง ถ้าไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็น่าจะพุ่งถึงพื้นแล้วสิ!
แต่เขามั่นใจว่าตั้งแต่เข้ามาในห้องบันได เขาก็เริ่มเดินตามหาได้แค่ 2 – 3 นาทีเท่านั้น แถมตึกสูงที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่อีกฝั่งของถนนด้วย เขาจะข้ามไปได้อย่างไร?
ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาหรืออะไร ล้วนถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานความแกร่งของพลังจิตของอีกฝ่าย
ถึงอีกฝ่ายจะมีพลังจิตที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ก็คงไม่สามารถทำให้เขาเดินขึ้นตึกสูงโดยไม่รู้ตัวได้…
ก็เหมือนกับหลิงม่อ เขาแทบจะฝึกซ้อมพลังจิตอยู่ตลอดเวลา และยังมีพลังกลืนกินด้วย
ทว่าเขาก็ไม่ได้ออกไปใช้พลังกลืนกินกับซอมบี้อยู่ตลอด เพราะแค่มีพลังจิตอย่างเดียวยังไม่พอ แต่ต้องมีพลังจิตตานุภาพที่แข็งแกร่งด้วย
หรือพูดอีกอย่างก็คือ จะเอาแต่วางท่อแล้วสูบน้ำใส่อย่างเดียวไม่ได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือบ่อน้ำต้องแข็งแรงมั่นคง และต้องขยายขนาดก่อน
และระดับความยากของการทำอย่างนั้น ก็สูงมากด้วย…
พลังจิตของหลิงม่อถือได้ว่าแกร่งกว่าผู้รอดชีวิตทั่วไปมาก เหตุผลหลักเป็นเพราะเขาควบคุมหุ่นซอมบี้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องรับการฝึกซ้อมอยู่ทุกวินาที เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ว่าใครก็ทำกันได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ที่จริงหลิงม่อยืนอยู่บนความเป็นความตายมาโดยตลอด
หากเขาผ่อนคลายเกินไป สายสัมพันธ์ทางจิตอาจถูกตัดขาด
โดยเฉพาะเสี่ยวป๋ายกับอวี๋ซือหราน ตัวหนึ่งเป็นสัตว์กลายพันธุ์ขนานแท้ สัญชาตญาณสัตว์ป่าเต็มร้อย
อีกตัวตอนนี้อยู่ในสภาวะไม่ปกติ แค่การรักษาสายสัมพันธ์ทางจิตให้คงอยู่ก็ต้องใช้พลังจิตมากกว่าพวกเย่เลี่ยนแล้ว แต่นี่ยังคิดจะหนีอยู่ตลอดเวลาอีก…
ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ พลังจิตตานุภาพของหลิงม่อย่อมต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว…
แต่ตอนนี้ เหตุการณ์ตรงหน้าเหนือความคาดหมายไปมากจริงๆ หลิงม่ออดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
พลังควบคุมหุ่นซอมบี้ของเขา ความจริงไม่ใช่พลังที่อาศัยความแกร่งของร่างจริงเป็นหลัก
แต่เขาอาศัยความพยายามของตัวเอง เปลี่ยน “ร่างจริงอันอ่อนแอ” ที่ตอนแรกอาจซ่อนตัวอยู่ในมุมเล็กๆ แล้วอาศัยหุ่นซอมบี้ให้ต่อสู้และหาอาหารแทนตัวเอง ให้กลายเป็นเหมือนตอนนี้
บอกได้เลยว่า หากวัดกันแค่พรสวรรค์ ความสามารถพิเศษของหลิงม่อนับได้ว่าอยู่แค่ระดับกลาง
ถึงแม้คนอื่นจะมีความสามารถพิเศษนี้ ก็ไม่มีทางคิดหาทางให้หุ่นซอมบี้อัพเกรด และยิ่งไม่มีทางปกป้องหุ่นซอมบี้แน่นอน เพราะการทำอย่างนั้นก็เหมือนกับสลับความสำคัญกันไม่ใช่หรือ …
ก็แค่หุ่นซอมบี้ตายไปหนึ่งตัว เปลี่ยนตัวใหม่ก็สิ้นเรื่อง…
ในทางความสามารถพิเศษ หากเปรียบเทียบกับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตที่สามารถสร้างภาพลวงตา กระทั่งส่งผลกระทบต่อจิตใจคนได้อย่างนี้ หลิงม่อถือว่าด้อยกว่าหนึ่งก้าว
“กลัวอะไร ถ้าไม่มีพลังควบคุมหุ่น เราจะได้อยู่กับพวกเย่เลี่ยนหรอ…พลังนี้แหละที่เหมาะกับเราที่สุด ช่างหัวภาพลวงตาสิ ถ้ายังอยู่ในพื้นที่เมื่อกี้อยู่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร ขอบเขตพื้นที่ก็ต้องเป็นเหมือนเดิมแน่นอน”
หลิงม่อคิดถึงตรงนี้ ก็สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อทำใจให้สงบ
เขาเริ่มนึกย้อนถึงโครงสร้างของทางเดินสำหรับพนักงานเส้นนี้…
เพราะมีพลังสำรวจทางจิต เขาจึงรู้ว่าในทางเดินนี้ไม่มีซอมบี้ ดังนั้นหลิงม่อจึงพาทุกคนเดินผ่านทางเดินหลักโดยตรง ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด
พอมานึกดูตอนนี้ เหมือนจะมีทางเดินแยกออกไปเส้นหนึ่ง แต่เพราะเป็นทางไปห้องกล้องวงจรปิด หลิงม่อจึงยกไฟฉายส่องเข้าไปดูผ่านๆ เท่านั้น
นอกจากนี้ก็ยังมีห้องน้ำ และห้องเก็บของอีกจำนวนหนึ่ง
ประตูห้องเหล่านั้นถูกเปิดทิ้งไว้ แต่ข้างในก็ไม่มีอะไรให้น่าค้นหา
ทางเดินหลักเป็นรูปตัว Z มีทางเลี้ยวอยู่แค่ 2 – 3 ที่เท่านั้น ปลายทางเดินด้านหนึ่งเชื่อมติดกับบันได ส่วนอีกด้านก็ติดกับทางออก
“ไม่เลือกสภาพแวดล้อมที่มันซับซ้อนกว่านี้หน่อยล่ะ…”
ตอนนี้หลิงม่อสงบใจได้แล้ว ความสามารถพิเศษที่เขายังไม่เคยเห็นมีอยู่มากมาย ถึงแม้จะเป็นสายพลังจิตเหมือนกันแต่ก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกับที่เขาเคยเจอ การที่เกิดเหตุการณ์แปลกๆ อย่างนี้ขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร
การสู้กับผู้มีความสามารถพิเศษ วัดกันที่ว่าไพ่เด็ดของใครจะถูกหงายก่อน ยิ่งถูกจับได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้น
หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเริ่มเดินเลียบตามแนวผนังอีกครั้ง พร้อมกับฉาบเลือดบนผิวหนังไปด้วย
ในเมื่อยังอยู่ในพื้นที่เดิม ถ้าอย่างนั้นกลิ่นคาวเลือดจะต้องทำหน้าที่บอกทิศทางได้อย่างดีแน่นอน…
“ความเป็นไปได้ที่พวกเย่เลี่ยนจะได้กลิ่นมีน้อยมาก แต่อวี๋ซือหรานน่าจะได้กลิ่น…ถ้ามู่เฉินก็ถูกขังอยู่ในนี้เหมือนกัน เดาว่าคงจะคิดหาทางพันแผลให้มิดชิดไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นอวี๋ซือหรานก็คงหาเขาไม่เจอ”
หลิงม่อครุ่นคิด พลางเดินไปไม่หยุด
ตอนนี้เขากำลังหลับตา และเดินกลับไปทางเดิมตามที่เขาจำได้
การมองเห็นถูกบิดเบือน พลังจิตก็ถูกรบกวน จึงทำได้เพียงลองใช้วิธีนี้เท่านั้น…
“ทำไมพวกเขายังไม่กลับมาอีก?”
สวี่ซูหานชะเง้อมองเข้าไปในตัวห้างฯ พลางถามขึ้น
เธอหันกลับไปมองพวกเย่เลี่ยนที่อยู่อีกทางหนึ่ง แต่กลับพบว่าพวกเธอกำลังร่วมวงกันพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่
“ไม่รู้ว่าซอมบี้รู้จักเป็นห่วงกันบ้างไหม…” สวี่ซูหานอดคิดไม่ได้
ในตอนนั้นเองซย่าน่าก็เงยหน้าขึ้น เธอหลับตาแล้วสัมผัสรู้อยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็ลืมตาบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก เขายังอยู่ทางนั้น คงกำลังตามหาอยู่”
—————————————————————————–
บทที่ 698 ตกหล่น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยังพอสัมผัสถึงทิศทางคร่าวๆ ของหลิงม่อได้ ถึงแม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าเขากำลังเคลื่อนไหวในพื้นที่ใกล้ๆ หรือไม่ แต่ในเมื่อหลิงม่อไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยอะไรผ่านสายสัมพันธ์ทางจิตมา ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น…
“เธอรู้ได้ยังไง ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลย…” สวี่ซูหานถามเสร็จก็รู้สึกเสียใจที่พลั้งปากทันที คนอื่นเขาเป็นถึงซอมบี้ระดับสูง ส่วนตัวเธอยังอยู่ในระหว่างกลายพันธุ์ จะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร…
ไม่น่าล่ะพวกเธอถึงได้ดูสงบกันอย่างนี้ ที่แท้ก็รู้กันอยู่แล้วนี่เอง…
สวี่ซูหานไม่เพียงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว แต่ในความอับอายนั้นก็แฝงไปด้วยความคาดหวัง
ในเมื่อเธอไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขเรื่องกลายพันธุ์ได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องฝากความหวังในการใช้ชีวิตไว้กับการวิวัฒนาการ…
ถ้าหากสามารถวิวัฒนาการจนถึงระดับเดียวกับพวกเย่เลี่ยนได้ ก็จะดูไม่ค่อยแตกต่างจากมนุษย์มาก…
แต่ไม่รู้ว่าทำไมดวงตาของพวกเธอถึงได้เป็นแบบนั้นได้…
สวี่ซูหานรู้ว่าสิ่งตอบแทนที่ตัวเองสามารถจ่ายให้มีจำกัด ไม่อาจเรียกร้องมากไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากโลภมากไม่รู้จักพอ…
“อิจฉาพวกเธอจัง…”
แวบหนึ่งความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวี่ซูหานถึงกับตกใจจนต้องแอบหยิกฝ่ามือตัวเองเงียบๆ หนึ่งที
บ้าไปแล้วหรือไง! อิจฉาใครไม่อิจฉา แต่อิจฉาซอมบี้เนี่ยนะ…
นี่คงไม่ใช่ขั้นแรกของการสูญเสียความเป็นมนุษย์หรอกนะ…
“แต่ว่า…”
จู่ๆ หลี่ย่าหลินก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองซ้ายมองขวา “พวกเธอรู้สึกได้ถึงอะไรอย่างอื่นไหม?”
“หืม?” ซย่าน่าและเย่เลี่ยนมองไปรอบกาย แต่กลับทำหน้างุนงง
ถึงแม้เย่เลี่ยนจะมีระดับวิวัฒนาการสูงกว่าหลี่ย่าหลิน ส่วนซย่าน่าก็อยู่ในระดับที่ไม่ต่างกับหลี่ย่าหลินมากนัก แต่หลี่ย่าหลินไม่ใช่ซอมบี้ 100%
เชื้อไวรัสในร่างกายเธอ ถูกงูกลายพันธุ์ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่…
เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมรอบข้าง สัตว์หลายชนิดมีความรู้สึกที่ไวกว่ามนุษย์มาก และในหมู่ซอมบี้ หลี่ย่าหลินที่มีลักษณะเด่นของสัตว์จำพวกงูก็ได้เปรียบในเรื่องนี้มาก
เย่เลี่ยนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก แต่ซย่าน่ากลับตั้งท่าระวังตัวขึ้นมาทันที
ที่หลิงม่อให้พวกเธออยู่ที่นี่ก็เพื่อเฝ้าสวี่ซูหานไว้ และเพื่อให้พวกเธอช่วยเหลือกันหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วจริงๆ?
พวกซย่าน่าต่างรู้ดีว่าชั้นล่างมีแต่ซอมบี้ แล้วก็รู้ด้วยว่าหลิงม่อส่งหุ่นซอมบี้ไปสำรวจมาแล้ว แต่ในเมื่อหลิงม่อไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรมา ก็แสดงว่าข้างล่างน่าจะปลอดภัยสิ…
หลังสบตากันชั่วขณะ ซย่าน่ารีบคว้าแขนสวี่ซูหาน แล้วบอกว่า “พวกเราไปดูกัน”
“หา?” ถึงสวี่ซูหานจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าจู่ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนไป
จู่ๆ ซอมบี้สาวกลุ่มนี้ก็เข้าสู่โหมดจริงจังกันขึ้นมา ซึ่งนี่กลับทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว…
“นี่เราจะไปไหน?” เธอถามอย่างตระหนกเล็กน้อย
ใครจะไปรู้ล่ะว่าซอมบี้กำลังคิดอะไรอยู่ เกิดพวกเธออยากล่าเหยื่อขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?
ไม่ได้ๆ ฉันยังไม่ได้เตรียมใจเลยนะ!
สวี่ซูหานยังไม่ได้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ ทำให้เธอลนลานทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“ชู่ว พวกเรารีบไปเถอะ ไปหาพี่หลิงกัน” ซย่าน่าพูดพลางขมวดคิ้ว
หลี่ย่าหลินเอาแต่กวาดมองไปรอบตัว สีเหลืองอำพันในดวงตาประกายระยิบระยับไม่หยุด นั่นแสดงว่าสัญชาตญาณของเธอรับรู้ได้ถึงอันตรายบางอย่าง และร่างกายของเธอก็กำลังปรับตัวเข้าสู่สภาวะเตรียมรับมือ
ถึงตอนนี้เย่เลี่ยนเองก็กระชับปืนเทพเจ้าสายฟ้าในมือบ้างแล้ว สายตาของเธอเริ่มสะท้อนความเย็นชาออกมา
“มีบางอย่าง…กำลังมา…
คำพูดของเย่เลี่ยนทำให้สวี่ซูหานสะดุ้งโหยง แถวๆ นี้เงียบมาก มีอะไรกำลังมากันล่ะ?!
จนถึงตอนนี้ซย่าน่าก็ยังสัมผัสอะไรไม่ได้เลย แต่เย่เลี่ยนกลับสัมผัสได้แล้ว นั่นแสดงว่ามีอะไรกำลังมาจริงๆ…
บางทีกว่าเธอจะสัมผัสได้ ก็อาจสายไปแล้ว
หลิงม่อไม่อยู่ พวกเธอจะพลาดท่าไม่ได้เด็ดขาด…
“ไป!”
ซน่าน่าตะโกนสั่งเสียงเบา พร้อมคว้ามือสวี่ซูหานแล้วออกวิ่งทันที
พวกเธอรู้ทิศทางคร่าวๆ ของหลิงม่อ ขอเพียงไปรวมตัวกันทันเวลา แล้วพาหลิงม่อหนีไปจากที่นี่พร้อมกับพวกเธอเท่านั้น…
ซย่าน่าไม่รู้ว่าอันตรายนั้นคืออะไร แต่สามารถทำให้หลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนมีปฏิกิริยาอย่างนี้ได้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
ยังไม่พูดถึงหลี่ย่าหลิน แต่เย่เลี่ยนเป็นถึงซอมบี้ระดับเจ้าเมืองเชียวนะ…
สวี่ซูหานเองก็ดูเหมือนจะตระหนักได้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ในตอนนี้แล้วเช่นเดียวกัน รอบข้างมีแต่ความมืด และในความมืดนี้ ก็มีบางสิ่งกำลังเข้าใกล้พวกเธอด้วยความเร็ว!
“โฮก!”
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามที่ดังมาจากชั้นล่างก็ได้ทำลายความเงียบลง
ในวินาทีถัดมา พวกเธอก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้น!
แรงสั่นสะเทือนอย่างนี้หากเป็นมนุษย์อาจไม่สามารถรับรู้ได้ แต่ซอมบี้นั้นรู้สึกได้แน่นอน
แม้แต่สวี่ซูหานก็ยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติรางๆ เหมือนจู่ๆ ชั้นใต้ดินก็เดือดพล่านขึ้นมา…
“เกิดอะไรขึ้น…”
เธอก้มมองพื้นอย่างตื่นตระหนก บนพื้นถูกเคลือบด้วยวัตถุเนื้อหนืด และแรงสะเทือนก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหมือนมีบางอย่างกำลังแหวกพื้นอาคาร และโผล่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ!
ในตอนนั้นเอง เย่เลี่ยนตวัดสายตามองไปที่ประตูบานหนึ่ง
“ข้างนอกนั่น…”
เธอเพิ่งจะพูดจบ เสียงคำรามหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังประตู
ซย่าน่าหันไปมองประตูลิฟท์ที่อยู่ไม่ไกล แล้วหันไปมองทางประตูห้องบันได
“โฮก!”
เสียงคำรามของซอมบี้ประสานรับกัน ซย่าน่ามองประตูลิฟท์ ส่วนเย่เลี่ยนมองไปทางบานประตูที่เปิดแง้มไว้นั่น
“กรร!”
ทันใดนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งโผล่มาเกาะขอบประตูลิฟท์เอาไว้
ขณะเดียวกัน ก็มีขาคู่หนึ่งโผล่เข้ามาทางช่องประตูบานนั้นด้วยเช่นกัน
“ถอย!”
ซย่าน่ารีบละสายตาออกมา แล้วตะโกนสั่งเสียงเบา
ขณะเดียวกับที่พวกเธอกำลังถอยอย่างช้าๆ ด้านหลังประตูบานนั้นก็มีขาหลายสิบคู่กำลังวิ่งพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
ซอมบี้จำนวนมากกำลังไหลทะลักเข้ามาทางห้องบันได……
ซอมบี้พวกนี้เหมือนคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกมันเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งอย่างเต็มที่ภายในชั่วพริบตา
สถานการณ์อย่างนี้ เกรงว่าแม้จะเป็นซอมบี้ระดับสูงก็คงจะต้านพวกมันไม่อยู่ กลับจะกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีด้วยซ้ำ!
“ฮู่ว…”
ขณะเดียวกัน ซย่าน่าพบว่าสวี่ซูหานที่อยู่ข้างหลังจู่ๆ ก็มีอาการผิดปกติไป
เธอหันกลับไปมอง เห็นสวี่ซูหานกำลังก้มหน้า ร่างกายแข็งทื่ออย่างควบคุมไม่ได้
“เธอเป็นอะไรไป…”
มืออีกข้างของซย่าน่ากระชับเคียวดาบแน่น
พอได้ยินเสียงถาม สวี่ซูหานก็เงยหน้าขึ้นทันที เผยให้เห็นดวงตาที่แดงก่ำยิ่งกว่าเดิม
เธออ้าปากกว้าง แล้วกระโจนเข้าใส่ซย่าน่าทันที “กรร!”
ซย่าน่าเบิกตากว้าง…
“กว้างจนไม่มีจุดสิ้นสุดจริงๆ ด้วย แต่ความจริงเรากำลังเดินวนอยู่ที่เดิมสินะ?”
หลิงม่อถอนหายใจ แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ตามคาด รอบกายยังคงมีแต่ความมืด ไฟฉายขนาดพกพาที่แสงอ่อนล้าเต็มทีของเขาก็ส่องไปได้ไม่ไกลมากนัก
ที่นี่เหมือนทางเดินที่ไม่มีจุดสิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น…
“ไม่สิ ถ้าหากเดินไปทางห้องน้ำหรือห้องเก็บของล่ะ? ในสภาพแวดล้อมแคบๆ อย่างนั้นจะยังใช้พลังนี้ได้อีกหรือเปล่า? อย่างเช่นในห้องน้ำเล็กๆ ที่แคบถึงขนาดแค่หันหลังก็ยังชนชักโครก อีกฝ่ายจะยังทำให้เรารู้สึกว่าพื้นที่ตรงนั้นมันกว้างจนไร้ขอบเขตเหมือนที่นี่ได้หรือเปล่า…ลองดูดีกว่า…”
หลิงม่อกำลังคิดจะลอง แต่ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
ความรู้สึกไม่สบายใจนั่น เหมือนจะรุนแรงขึ้นในพริบตา…
การที่ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นไม่ใช่เรื่องดี หลิงม่อเคยคิดว่าในพื้นที่โซน A แห่งนี้ไม่มีอะไรเลย แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มสงสัยในการตัดสินใจของตัวเองแล้ว
ถึงแม้เขาจะสำรวจทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้เขาจะต้องตกหล่นอะไรบางอย่างไปแน่ๆ
แต่เขาตกหล่นอะไรไปกันแน่…
“ไม่ได้ ต้องรีบออกให้เร็วที่สุด!”
หลิงม่อคิดในใจ พลันรีบควบคุมหุ่นซอมบี้ตัวเล็กให้รีบย้อนกลับไป
ครั้งนี้มันเดินตามกลิ่นเลือดของตัวเองกลับไป แล้วดูว่าจะเจออวี๋ซือหรานหรือเปล่า
อีกหนึ่งจุดประสงค์คือเพื่อทดสอบสมมติฐานของหลิงม่อ ว่าโลกภาพลวงตาแห่งนี้กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า
ส่วนเรื่องทุบกำแพงหรืออะไรทำนองนั้น เขาคิดดูแล้วก็ได้ผลสรุปว่าไม่ทำดีกว่า
ถึงแม้เขาไม่ต้องลงมือเอง แต่ก็เขาก็ยังต้องเผาผลาญพลังจิตไม่น้อยอยู่ดี และหุ่นซอมบี้เพียงตัวเดียวที่เขาสามารถควบคุมได้ก็จะสูญเสียเรี่ยวแรงจำนวนมากเช่นเดียวกัน
อีกอย่าง ในเมื่อหลุดเข้ามาในโลกแห่งภาพลวงตาของคนอื่นแล้ว ไม่ยากที่จะคาดเดาเลยว่าเขาอาจกำลังขุดพื้นดิน แทนที่จะเป็นกำแพงหรือเพดานอย่างที่เขาเข้าใจ…
ส่วนตัวเขานั้น ก็กำลังหลับตา และนึกภาพทางเดินต่อไป
หลังจากที่พลังจิตแกร่งขึ้น ความจำของเขาก็ดีขึ้นด้วย ห้องน้ำอยู่ติดกับทางเดินนี้แหละ ขอเพียงแค่เขาไม่ได้ถูกขังไว้ในพื้นที่เล็กๆ เขาต้องหาเจอแน่นอน
เขาลองใช้หนวดสัมผัสทางจิตโจมตีไปทั่วแล้วหนหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ผล
“น่าจะอยู่แถวๆ นี้แหละ…น่าแปลก เราใช้หนวดสัมผัสทางกวาดสำรวจไปทั่วมาตลอดทาง แต่กลับไม่เห็นสัมผัสได้ถึงร่างกายคน…หรือพวกเราจะถูกขังแยกไว้คนละที่ และไม่มีทางมาเจอกันจริงๆ…”
แต่การแยกขังคนหลายคน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ…
หลิงม่อคิดก็ส่วนคิด แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่ได้ช้าลงแม้แต่น้อย
ความรู้สึกไม่สบายใจนั่นทำให้เขากระวนกระวายเล็กน้อย แต่ในสถานการณ์อย่างนี้เขาจะเสียสมาธิไม่ได้
ทันทีที่พลาดรายละเอียดอะไรไป คนที่เผยจุดอ่อนออกมาก่อนอาจกลายเป็นเขาก็ได้…
—————————————————————————–
บทที่ 699 ภาพลวงตาฆ่าคน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางทางเดินที่มืดมิด อวี๋ซือหรานกำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เธอวิ่งไล่ พลางตะโกนเรียกอย่างฉุนเฉียว
คิดไม่ถึงว่าเงาร่างที่หน้าตาเหมือนตัวเองในสมัยก่อน จะวิ่งเร็วขนาดนี้…
“ตึกๆๆๆ…”
แต่เสียงที่ตอบกลับมาจากข้างหน้า กลับมีเพียงเสียงฝีเท้าที่ชัดเจน
ฟังจากเสียงเหมือนอยู่ไม่ไกล แต่ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือเฮยซือต่างก็วิ่งตามอีกฝ่ายไม่ทัน
ภายในเวลาสั้นๆ เพียง 3 นาที อวี๋ซือหรานก็วิ่งตามไปไกลมากแล้ว
เธอไม่รู้ว่าโครงสร้างของภายในอาคารแห่งนี้เป็นอย่างไร แต่ก็เริ่มรู้สึกตงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
ทำไมทางเดินเส้นนี้ถึงได้ยาวจัง…
อีกอย่าง ระหว่างทางก็ไม่เห็นหน้าต่างซักบานเลย
เธอขมวดคิ้วมองไปข้างหน้า พลางกัดเม้มปากเบาๆ
เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ…
“หืม? แกว่าไงนะ?” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็กระดกคิ้วขึ้น
หลังจากยืนอึ้งในท่ายกมือป้องหูเหมือนกำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่างอยู่กับที่ 2 วินาที อวี๋ซือหรานก็ทำหน้าตะลึงพรึงเพริดขึ้นมา “ใช่แล้ว…ฉันวิ่งตามมันมาตลอดทาง แต่ไม่เห็นทางแยกเลยซักทาง แถมระยะห่างก็ไม่ได้ไกลมาก แต่ทำไมไม่เห็นตัวมันซักนิดเลยล่ะ?”
อวี๋ซือหรานมองไปที่ผนังสองฝั่ง แล้วเธอก็รู้สึกว่าภาพที่เห็นเบลอๆ ไม่ชัดเจนอย่างที่คิดไว้จริงๆ
เธอขยี้ตา แล้วมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอบ
“เฮ้ย! เฮยซือ ฉันตาบอดแล้ว!” อวี๋ซือหรานร้องเสียงหลง เธอรีบยกมือขึ้นมาตรงหน้า จากนั้นก็ร้องขึ้นอย่างประหลาดใจอีกครั้ง “แกพูดถูก ฉันยังมองเห็นตัวเองได้จริงๆ ด้วย”
แต่ดีใจได้ไม่ถึง 2 วินาที อวี๋ซือหรานก็เบะปากอย่างเคืองๆ “ชิ ฉันก็แค่ลืมเท่านั้นเอง แกไม่ต้องมาย่ามใจเลยนะ…”
ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่สิ่งเดียวที่เธอมองเห็นในนี้ มีเพียงตัวเองเท่านั้น…
ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก และอวี๋ซือหรานก็เริ่มตระหนักได้แล้ว ว่าการที่ตัวเองวิ่งตามมาเป็นการตัดสินใจที่วู่วามมาก
แต่จู่ๆ ก็มองเห็นคนที่มีหน้าตาเหมือนกับตัวเองในสมัยก่อนอย่างนั้น จะไม่ให้วิ่งตามได้ยังไงล่ะ…
“เฮยซือ ไหนแกลองบอกมาซิ ว่าทำไมถึงได้มีซอมบี้ที่เหมือนฉันอีกตัว?”
อวี๋ซือหรานเอียงคอถามอย่างสงสัย
แต่เห็นชัดว่าคำถามนี้เฮยซือก็ไม่รู้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อวี๋ซือหรานก็ยังคงตัดสินใจตามต่อไป
เธอหันกลับไปมองข้างหลัง โถงทางเดินมืดมิดด้านหลังก็เป็นภาพเบลอๆ
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เดินตามเสียงฝีเท้าไปข้างหน้าดีกว่า
“ไม่รู้ว่าเจ้ามนุษย์ไส้กรอกนั่นจะเป็นยังไงบ้างแล้ว เจ้านั่นให้ฉันเข้ามาช่วย แต่ฉันช่วยไม่ได้ คงจะไม่ให้ฉันอดข้าวอดน้ำ แล้วก็ห้ามไม่ให้ฉันออกล่าหรอกนะ?”
อวี๋ซือหรานเดินไปข้างหน้า พลางพูดขึ้นเสียงเบา
“ใช่แล้ว ถ้าฉันจับเจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ประหลาดตัวนี้ได้ก็เท่ากับเป็นการช่วยเขาไม่ใช่หรอ…”
อวี๋ซือหรานพยักหน้าหงึกๆ
ทว่าคราวนี้ไม่ต้องให้เฮยซือบอก เธอก็สังเกตได้ด้วยตัวเองแล้ว
เมื่อกี้ตอนที่เธอหยุดเดิน เสียงฝีเท้านั้นก็หยุดด้วยเช่นกัน
ตอนนี้พอเธอเริ่มเดินอีกครั้ง เพียงแต่เดินช้ากว่าเมื่อกี้มาก
คาดไม่ถึงเลยว่าเสียงฝีเท้านั่น ก็ช้าลงเช่นกัน…
“มันจงใจล่อให้ฉันเดินตามหรอ?” อวี๋ซือหรานมองไปข้างหน้าอย่างสงสัย เพราะเป็นซอมบี้ ความคิดของเธอจึงตรงไปตรงมา
“เหอะ ตามก็ตามสิ อยากรู้นักว่ามันจะทำอะไร!”
หลังตัดสินใจได้ อวี๋ซือหรานกลับเดินตามอยู่ข้างหลังช้าๆ เหมือนกำลังเดินเล่นอย่างไม่รีบร้อน
ทว่าข้างหลังเธอ มีเส้นไหมสีเงินมากมายกำลังลอยไหวอยู่ หนึ่งในนั้นยื่นออกไปทางกำแพงอย่างเงียบเชียบ แล้วทันใดนั้นก็เกร็งตัวจนตรงแน่วเหมือนไม้บรรทัด…
“ตรงนี้แหละ!” หลิงม่อหยุดเดินทันที
จากการคำนวณของเขา บริเวณนี้น่าจะเป็นห้องน้ำไม่ผิดแน่
ทว่าประตูห้องน้ำที่เคยมี ตอนนี้กลับหายไปเสียแล้ว
อาศัยหลับตาแล้วคลำหาคงจะไม่ได้ผล ตอนนี้ไม่ว่าสภาพแวดล้อมแบบไหน ก็คงจะถูกทำให้กลายเป็นเหมือนทางเดินเส้นนี้หมด อย่างน้อยในความรู้สึกของหลิงม่อก็เป็นอย่างนี้
แต่หลิงม่อยังมีวิธีอื่นอยู่อีก เพราะเขามีหนวดสัมผัส…
อีกฝ่ายอาจก่อกวนประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขา แต่กลับไม่สามารถทำอะไรตัวเขาได้
ที่นี่มีพื้นที่ไม่กว้างมาก ถึงจะใช้พลังหลอกตาอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมภายนอกได้
“ทางเดินกว้างสุดไม่เกิน 3 เมตร น่าจะกว้างประมาณ 2 เมตร…ถึงเราจะโชคไม่ดีเดินไปถึงทางเลี้ยว แต่ความกว้างก็ไม่น่าจะต่างจากเดิมไปมากเท่าไหร่…”
ความจริงวิธีการนี้ของหลิงม่อไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ใช้ได้ แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนที่มากที่สุดโดยแลกกับการสูญเสียพลังจิตน้อยที่สุด หลิงม่อจึงตัดสินใจเลือกมาใช้ตรงนี้
หลังจากยืนในตำแหน่งที่เลือกเสร็จ ครั้งนี้หลิงม่อกลับไม่ได้หลับตาเหมือนเมื่อกี้ หนวดสัมผัส 2 – 3 เส้นแผ่ออกมาจากดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อ แล้วค่อยๆ กระจายตัวยื่นออกไปบริเวณรอบๆ
ผลจากการหลับตาก่อนหน้านี้ได้บอกชัดเจนแล้วว่า ความสามารถในการเลือกทิศทางของเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
หากหลับตาไม่แน่ว่าหนวดสัมผัสทั้งหมดอาจมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็สู้ลืมตาไว้ดีกว่า
ขอเพียงเขาเปลี่ยนหนวดสัมผัสให้เป็นรูปสสาร เขาก็สามารถแทงทุกสิ่งที่อยู่รอบกายให้พรุนเป็นรังแตนได้ในพริบตา
หากทำอย่างนี้ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งภาพลวงตาแบบไหน ก็น่าจะสามารถทำลายได้…
ทว่าหลิงม่อไม่ได้รีบร้อนลงมือ…
ไม่นาน หุ่นซอมบี้ตัวเล็กก็คลำทางจนกลับมาถึงตำแหน่งเดิม แต่ก็ไม่พบอะไรเช่นเคย
คราบเลือดหายไปแล้ว…
ถ้าไม่ใช่ว่าฝ่ามือยังมีร่องรอยบาดแผลอยู่ หลิงม่อถึงขั้นสงสัยว่าตัวเองเคยออกคำสั่งนั้นผ่านกระแสจิตจริงหรือเปล่า
“อยู่ในสภาวะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจริงๆ ด้วย ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเป็นไปได้มากว่ากำลังเดินวนอยู่ทีเดิม ที่เหลือก็แค่ต้องยืนยันว่าอยู่ใกล้ห้องน้ำหรือเปล่าก็จะมั่นใจได้แล้ว ถึงจะไม่สามารถทำลายโลกแห่งภาพลวงตาได้ แต่อย่างน้อยก็สัมผัสได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบข้างมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม…”
“เดี๋ยวก่อน…”
ทันใดนั้น หลิงม่อก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง
ในเมื่อเดินวนอยู่ที่เดิม แต่ทำไมเขาถึงสัมผัสได้ว่าหุ่นซอมบี้ตัวเล็กกำลังเดินห่างจากเขาไปเรื่อยๆ ล่ะ?
แล้วระยะห่างนี้…ก็เหมือนจะไกลกว่าความยาวโดยรวมของทางเดินเส้นนี้เสียอีก!
นับตั้งแต่รู้ตัวว่าตัวเองติดกับดัก หลิงม่อก็เริ่มนับก้าวเดินของตัวเองอย่างมีสติตลอดเวลา
บวกรวมกับทั้งตอนมาและตอนกลับ อาจดูเหมือนเขาเดินหลายรอบแล้ว แต่เขามั่นใจว่าตัวเองยังอยู่ในทางเดินเส้นนี้แน่นอน
ถ้าหากเขากลับเข้าไปในตัวห้างฯ พวกเย่เลี่ยนต้องหาเขาเจอ
หรือถ้าหากเขาเดินออกไปนอกประตูเหล็กแล้ว เสี่ยวป๋ายก็ต้องหาเขาเจอเช่นกัน
แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังถูกขังไว้ในโลกแห่งภาพลวงตานี้อยู่ ซึ่งนั่นก็บ่งบอกชัดเจนแล้ว
อีกฝ่ายสามารถควบคุมได้แค่ทางเดินเส้นนี้เท่านั้น และเจ้าตัวก็อยู่ในนี้ด้วยอย่างแน่นอน…
“ความจริงเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะถึงยังไงสภาพแวดล้อมที่นี่ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย…ใช่แล้ว ไม่ซับซ้อน…”
หลิงม่อขมวดคิ้ว สภาพแวดล้อมไม่ซับซ้อน แล้วก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่กลับไม่สามารถเดินออกไปได้…
วิธีที่คนทั่วไปนึกถึง คงจะเป็นการทำลายในวงกว้างสินะ?
ก็เหมือนกับหลิงม่อ…
ถึงแม้หลิงม่อจะทำอะไรหลายอย่าง เพื่อทำความเข้าใจความสามารถพิเศษนี้ให้มากยิ่งขึ้น แต่เมื่อทุกวิธีไร้ผล สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจใช้วิธีการจู่โจมรอบทิศ…
ถ้าหากว่ามีเขาถูกขังอยู่ที่นี่แค่คนเดียวก็ไม่มีปัญหา แต่ที่นี่ยังมีมู่เฉินกับอวี๋ซือหรานอยู่ด้วย…
“เชี่ยย!”
หลิงม่อร้องอย่าตะลึงพรึงเพริด ระยะห่างระหว่างเขากับหุ่นซอมบี้ตัวเล็กไม่ใช่ของจริง นั่นแสดงว่าหากเขาทำการจู่โจมจริงๆ เป็นไปได้มากว่าเขาอาจเห็นหุ่นซอมบี้ตัวเล็กยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง!
ไม่ใช่แค่หุ่นซอมบี้ตัวเล็ก อาจรวมถึงมู่เฉินและอวี๋ซือหรานด้วย!
“อยู่ไหน?”
หลิงม่อกลอกลูกตามองรอบตัว เขารู้ว่าถึงแม้พวกเขาจะอยู่ข้างๆ ตัวเอง อย่างไรก็ไม่อาจสัมผัสถึง
ทุกคนถูกภาพลวงตาหลอก แม้จะเดินเฉียดไหล่กันก็ยังไม่รู้ตัว…
“ทุกคน?”
จู่ๆ หลิงม่อก็นึกถึงสิ่งที่เขาพลาดไปขึ้นมาได้
เขายกมือตบหน้าผาก ทำไมเมื่อกี้ถึงคิดไม่ออกนะ!
มัวแต่คิดจะใช้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่กลับลืมไปว่ามันเป็นหุ่นซอมบี้ที่ถูกเขาควบคุม ไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตาแต่แรกอยู่แล้ว!
สาเหตุที่มองเห็นเหมือนกัน เป็นเพราะผลกระทบต่อเนื่องจากตัวเขาเอง…
และที่อวี๋ซือหรานได้รับผลกระทบด้วยนั้น เป็นเพราะหลิงม่อมีสายสัมพันธ์ทางจิตกับเฮยซือเท่านั้น ไม่ได้ควบคุมเธอโดยตรง
บวกกับดวงแสงแห่งจิตของอวี๋ซือหรานค่อนข้างแยกตัวเป็นอิสระอยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบไปด้วย
“หวังว่าจะไม่ทำให้ดวงแสงแห่งจิตของเจ้าหุ่นซอมบี้ตัวเล็กบาดเจ็บมากไปนะ…”
หลิงม่อตื่นตัวขึ้นมาทันใด เมื่อกี้เขาเกือบโดนหลอกเสียแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับมีโอกาสสูงที่จะถูกมู่เฉินกับอวี๋ซือหรานโจมตี
ในเมื่อเขาไม่ลงมือ ไม่แน่ว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอาจทำให้มู่เฉินกับอวี๋ซือหรานเป็นฝ่ายลงมือแทน
ยังไม่พูดถึงมู่เฉิน การโจมตีของอวี๋ซือหรานจะต้องรุนแรงมากอย่างแน่นอน…
“เมื่อกี้ยังคิดจะทำลายภาพลวงตาอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับต้องมาห่วงว่าจะถูกพรรคพวกโจมตี…”
หลิงม่อรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาก็เพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นได้เหมือนกัน
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาทดลองทำทุกวิธีที่มีความเป็นไปได้ซ้ำไปซ้ำมา เขาก็คงไม่รู้เรื่องนี้
ผลกระทบที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นเป็นแบบรอบด้าน หากไม่ใช่ว่าหลิงม่อเป็นคนที่แตกต่าง เขาก็คงไม่มีทางรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน
“พลังนี้น่ากลัวจริงๆ…แต่ในเมื่อจะให้พวกเราฆ่ากันเอง ก็แสดงว่าคนคนนี้ไม่สามารถใช้โลกแห่งภาพลวงตาฆ่าคนได้ เป็นข้อจำกัดที่ใหญ่ทีเดียว…”
———————————————————————
บทที่ 700 เอามีดพกไปกิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสามารถใช้โลกแห่งภาพลวงตาฆ่าคนได้หรือไม่ อย่างไรที่นี่ก็เต็มไปด้วยอันตรายทุกที่…
“ใจเหี้ยมดีจริงๆ…” หลิงม่อขมวดคิ้ว
ต้องรีบแล้ว จะปล่อยให้คนคนนี้ทำสำเร็จไม่ได้!
“พลังพิเศษนี้ร้ายกาจมากจริงๆ แต่เล่นผิดคนซะแล้วล่ะ…”
หลังจากมั่นใจแล้วว่าหุ่นซอมบี้ตัวเล็กยังหลงเหลือสัญชาตญาณอยู่ หลิงม่อก็ควบคุมให้มันกลับมาก่อน พอเตรียมการเสร็จ เขาก็เอาก้อนเหนียวหนืดก้อนเล็กๆ มาห้อยไวบนหนวดสัมผัสทางจิตของตัวเอง
เมื่อทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เขาก็หลบออกไปยืนด้านข้าง พร้อมตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิตกับหุ่นซอมบี้ตัวเล็กทันที
เนื่องจากหลิงม่อเป็นฝ่ายตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิตเอง ดังนั้นดวงจิตของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแน่นอน
แต่หลังจากที่ตัดขาด เขาก็จะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของหุ่นซอมบี้ตัวเล็กแล้ว
เวลานี้ ถึงแม้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กจะอ่อนแอมาก แต่มันยังหลงเหลือสัญชาตญาณอยู่ หากเจอมนุษย์จะต้องทำการจู่โจมอย่างแน่นอน
แต่ถึงหลิงม่อจะไม่เห็น เขาก็มีความสามารถในการป้องกันตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีก้อนเหนียวหนืดเป็นเหยื่อล่ออยู่อีกด้วย
ถึงแม้กลิ่นอายของหลิงม่อจะทำให้ซอมบี้คลั่ง แต่ก้อนเหนียวหนืดก้อนนี้สะดุดตากว่าตัวเขามาก
หลิงม่อในตอนนี้ยังอยู่ในโลกแห่งภาพลวงตา รอบกายมีแต่ความมืดมิด ไม่มีใครรู้ว่าจู่ๆ จะมีอะไรโผล่ออกมาจากความมืดนี้หรือไม่
แม้แต่ตอนที่มีคนโจมตีเขา เขาก็อาจมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
ตอนนี้หลิงม่อพุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่ก้อนเหนียวหนืดก้อนนั้น…เมื่อกี้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กอยู่ด้านหน้าเขาในระยะที่ห่างจากเขาไม่ถึง 3 เมตร ถึงแม้เขาจะมีปัญหาเรื่องการกะระยะในตอนนี้ แต่ในเสี้ยววินาทีที่ตัดขาดสายสัมพันธ์ หลิงม่อมองเห็นตัวเองผ่านดวงตาของหุ่นซอมบี้ตัวเล็ก
และในเสี้ยววินาทีนั้น ความจริงหุ่นซอมบี้ได้หลุดพ้นจากผลกระทบต่อเนื่องแล้ว
เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่ามีความถูกต้องแม่นยำถึง 100%…
ระหว่างรอคอยเป็นช่วงเวลาที่ประหลาดมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีซอมบี้อยู่ตรงหน้าตัวเอง แต่กลับมองอะไรไม่เห็น และไม่รู้ว่ามันจะเริ่มจู่โจมเมื่อไหร่
หากเปลี่ยนเป็นผู้รอดชีวิตคนอื่นตกอยู่สถานการณ์อย่างนี้ เดาว่าแค่ความกดดันก็คงทำให้พวกเขาคลั่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะรักษาความเงียบเอาไว้ได้
“เร็วเข้าสิ…”
หลิงม่อร้อนรนเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาควบคุมหุ่นซอมบี้ตัวเล็กโดยสมบูรณ์ ซึ่งการบังคับถ่ายเทพลังจิตอย่างนี้จะนำมาซึ่งความเสียหายต่อตัวมัน โดยซอมบี้ระดับธรรมดาอย่างหุ่นซอมบี้ตัวเล็กจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
ความสามารถพิเศษควบคุมหุ่นซอมบี้ หรือความจริงก็คือพลังควบคุมหุ่นเชิด…
การที่หลิงม่อยังคงรักษาสติรู้คิดของตัวหุ่นเอาไว้ แล้วยังทำให้พวกเธอร่วมมือกับตัวเองอย่างดีได้ เดิมก็ถือว่าแหกกฎพื้นฐานของพลังพิเศษชนิดนี้ไปมากแล้ว…
“คงไม่ใช่ว่ายังไม่ฟื้นตัวหรอกนะ? เมื่อกี้เวลาในการควบคุมก็ไม่ถือว่านานมาก…” หลิงม่อลนลานขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากล้มเหลว เขาก็ต้องคิดหาทางอื่นอีก
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงไอเย็นที่พวยพุ่งขึ้นมาจากปลายเท้า
“มาแล้ว!”
หนวดสัมผัสมีสัมผัสที่ว่องไวกว่าตัวเขา ขณะที่สายลมแรงพัดเข้ามา สัญญาณอันตรายก็ได้แจ้งเตือนหลิงม่อผ่านหนวดสัมผัสแล้ว
เพราะถึงอย่างไรหนวดสัมผัสก็คือพลังงานทางจิตกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อพลังงานภายนอกอยู่แล้ว…
หลิงม่อไม่ชักช้า เขาเพ่งสมาธิ หนวดสัมผัสเส้นนั้นเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับก้อนเหนียวหนืดที่เกี่ยวไว้บนนั้น
ขณะเดียวกันหลิงม่อก็เริ่มออกวิ่ง โดยเขาวิ่งตามอยู่ข้างหลัง
หนวดสัมผัสเคลื่อนไหวโดยแนบติดกับพื้นดิน จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ไปทำร้ายใครเข้า…
อีกฝ่ายทำให้เขาเห็นภาพลวงตาได้ แต่ไม่สามารถทำให้เขาห้อยหัวเดินบนเพดานได้…
เขาไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ และภาพลวงตาก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาต้านแรงโน้มถ่วงได้ด้วย…
สัญญาณอันตรายถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง นั่นแสดงว่าหุ่นซอมบี้ตัวเล็กกำลังวิ่งตามก้อนเหนียวหนืดก้อนนี้ไปติดๆ
หลิงม่อที่วิ่งตามหลังอยู่กำก้อนเหนียวหนืดก้อนที่ 2 ไว้ในมือ เขาเองก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่ในแนวเส้นตรง
ทว่าในเมื่อหุ่นซอมบี้ตัวเล็กไม่ได้วิ่งชนหลิงม่อ ก็แสดงว่าหนวดสัมผัสไม่ได้วิ่งวนรอบตัวเขา ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจกำลังวิ่งบนเส้นทางประหลาดๆ อยู่ก็ได้
ถ้าหากว่าก้อนเหนียวหนืดวนอยู่รอบตัวคนหนึ่งคน ถ้าอย่างนั้นหุ่นซอมบี้ตัวเล็กคงจะจัดการทั้งก้อนเหนียวหนืดและคนคนนั้นไปนานแล้ว…
หลิงม่อระวังการโจมตีของมันที่อาจเกิดขึ้นอยู่ตลอด แต่โชคดี ที่ไม่ได้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น
ถ้าหากไม่มีสิ่งนำทาง แล้วหลิงม่อเอาแต่เดินตามหนวดสัมผัสต่อไป ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังเดินวนเป็นวงกลมหรือกำลังเดินกลับไปกลับมา…
“โครม!”
ก้อนเหนียวหนืดกระแทกเข้ากับสิ่งกีดขวาง นั่นแสดงว่าตอนนี้อาจถึงคราวต้องวิ่งย้อนกลับมาแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยความเร็วของหนวดสัมผัสหุ่นซอมบี้ไม่มีทางตามทันแน่นอน
แต่ไม่เป็นไร เพราะก้อนเหนียวหนืดคือสิ่งที่หลิงม่อมีพร้อมเสมอ…
ในการวิวัฒนาการครั้งที่แล้วไม่ได้กินจนหมด ก้อนเหนียวหนืดคุณภาพต่ำที่เพิ่งตกผลึกถูกหลิงม่อยัดเก็บไว้ในกระเป๋า เขาชอบใช้ก้อนเหนียวหนืดมาล่อซอมบี้ เพราะมันปลอดภัยกว่าใช้ของจำพวกเครื่องเล่นเสียงมาก ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือทันทีที่ใช้ก้อนเหนียวหนืดล่อ ซอมบี้ก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พอถึงตอนนี้ก็คงมีเหยื่อล่อตัวใหม่มาแทนแล้ว
ทว่าผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ไม่มีใครใช้วิธีนี้ เพราะคงไม่มีใครที่สติดีๆ ไปควักสมองซอมบี้เล่น …
ความจริงหากอีกฝ่ายรู้ทัน ก็อาจจะคิดหาทางดึงหุ่นซอมบี้ตัวเล็กเข้ามาในโลกแห่งภาพดวงตาทันที
แต่ปัญหาคือ…เมื่อหุ่นซอมบี้ตัวเล็กหลุดพ้นจากการควบคุมของหลิงม่อ มันก็จะตกอยู่ในสภาวะความคิดยุ่งเหยิง เหลืออยู่เพียงสัญชาตญาณ
ในอีกด้าน ก่อนที่จะหลุดพ้น หลิงม่อได้ทำให้มันปิดตาปิดหู เหลือเพียงจมูกไว้ดมกลิ่นเท่านั้น
ถึงการดมกลิ่นอาจถูกก่อกวน แต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องอย่างนั้นเขาจะต้องฉวยจังหวะได้ก่อนอย่างแน่นอน!
“เร็วเข้าสิ…”
เมื่อขว้างก้อนเหนียวหนืดออกไป 3 ก้อนติดๆ กัน หลิงม่อก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ขืนช้ากว่านี้ อีกฝ่ายจะต้องรู้ตัวก่อนแน่ๆ!
“ตึง!”
ก้อนเหนียวหนืดก้อนที่ 3 ถูกสกัดไว้ ตามมาด้วยก้อนที่ 4 ติดๆ…
ในที่สุด หุ่นซอมบี้ตัวเล็กไม่ได้วิ่งตามก้อนที่ 4 มา!
และทันใดนั้น ภาพตรงหน้าหลิงม่อก็สว่างวาบขึ้นมาทันที ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าบันไดแล้ว
หุ่นซอมบี้ตัวเล็กกำลังพุ่งกระโจนเข้ามา หลิงม่อรีบควบคุมมันอีกครั้ง
ทว่าการควบคุมครั้งนี้กลับทำให้หลิงม่อตะลึงไปชั่วขณะ ไม่รู้เพราะอะไร สัญชาตญาณต่อต้านของหุ่นซอมบี้ตัวเล็กถึงได้รุนแรงมากเป็นพิเศษ แถมยังคลุ่มคลั่งมากด้วย…
ดวงแสงแห่งจิตได้รับบาดเจ็บ มีแต่จะทำให้หลิงม่อควบคุมได้ง่ายขึ้น แต่นี่กลับมีผลข้างเคียงที่ให้ผลตรงกันข้ามอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ไม่สนแล้ว ตามหาพวกเขาก่อนแล้วกัน…”
การหลุดพ้นจากโลกแห่งภาพลวงตาเป็นเพียงก้าวแรก ต่อไปต้องพามู่เฉินกับอวี๋ซือหรานออกมาให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องฆ่ากันเองแน่ๆ
เพราะมีประสบการณ์ถูกหลอกมาก่อน ดังนั้นหลิงม่อจึงให้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเดินนำไป ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่ที่เดิมก่อน
ทำอย่างนี้ขอเพียงเขาไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตา หุ่นซอมบี้ตัวเล็กก็จะไม่มีปัญหาอะไร
เพิ่งจะเดินเลี้ยวไปได้ไม่นาน หลิงม่อก็เห็นมู่เฉิน หมอนั่นกำลังเดินเข้าเดินออกห้องเก็บของห้องหนึ่ง ราวกับต้องมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น
หุ่นซอมบี้ตัวเล็กค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เขา จนกระทั่งเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าเขา แต่มู่เฉินกลับเหมือนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ทว่าแววตาของเขาดูลนลาน เหมือนกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่
ท่าทางเขาห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กลับวิ่งวนกลับไปกลับมาอยู่ที่เดิม ดูแล้วทั้งประหลาดทั้งตลกในเวลาเดียวกัน…
แต่ร่างกายเขาไม่มีบาดแผล นั่นทำให้หลิงม่อลอบถอนหายใจเบาๆ
คนที่บาดเจ็บ ต้องเป็นผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นแน่ๆ…
หลิงม่ออยากทดสอบอะไรดูหน่อย จึงสั่งให้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กยกมือขึ้นกระตุกแขนเสื้อมู่เฉิน 2 – 3 ครั้ง
มู่เฉินสะดุ้งเกร็งไปทั้งตัว แถมยังทำหน้าเหมือนเห็นผี
เขาหันหน้ามองซ้ายมองขวาอย่างหวาดผวา จากนั้นก็ก้าวถอยหลังช้าๆ แล้ววิ่งเตลิดทันที
ทว่าระยะทางที่เขาวิ่งหนี…ความจริงก็อยู่ภายในระยะทางที่ไม่ถึง 20 เมตรด้วยซ้ำ
ไม่นึกเลย ขนาดนี้แล้วยังทำให้เขารู้ตัวว่ามีอะไรผิดปกติไม่ได้อีก…
“ร้ายกาจจริงๆ…”
หลิงม่อลูบจมูก พลางคิดในใจ
เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ซอมบี้แตกตื่น ถึงแม้จะร้องออกมาแต่พวกเขาก็พยายามร้องให้เบาที่สุด เหมือนมู่เฉินที่ถึงแม้จะตกใจแค่ไหน แต่ก็ยังคงพยายามเงียบที่สุด
ถ้าเปลี่ยนเป็นสวี่ซูหาน ป่านนี้คนที่อยู่ในห้างฯ คงได้ยินเสียงเธอกรี๊ดกันหมดแล้ว
ระหว่างกลายพันธ์ มักควบคุมอารมณ์ได้ยาก…
หากทำอย่างนั้นย่อมได้รับการช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันซอมบี้ที่อยู่ชั้นล่างก็อาจถูกดึงดูดขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเดินเข้าไปเคาะขอบประตูอีกครั้ง แต่มู่เฉินกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“ถูกเล่นงานทั้งการมองเห็นและการได้ยินงั้นหรอ…”
หลิงม่อทำการทดสอบอีกหลายครั้ง จึงมั่นใจได้ว่านี่เป็นการก่อกวนแทบจะทุกด้าน
ดูเหมือนว่าที่หุ่นซอมบี้ตัวเล็กไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย เป็นเพราะดวงจิตบาดเจ็บจริงๆ
“แต่ว่า…ต้องหุบหัวเขาให้สลบแล้วค่อยลากออกมาหรอ?”
หลิงม่อลูบคางทำท่าครุ่นคิด
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ มู่เฉินก็ชะงักกึก
เขากัดฟันกรอด ทำสีหน้าเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หลิงม่อรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที
ตามคาด มู่เฉินยกมีดในมือขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เขาก็เงยหน้า แล้วมองไป “ข้างหน้า”
“กำลังจะทำให้เขากับอวี๋ซือหรานฆ่ากันเองสินะ…”
หลิงม่อคิดในใจ
ดีเหมือนกัน พาอวี๋ซือหรานออกมาด้วยเลย
ตามคาด มู่เฉินถือมีดเดินออกมาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม จากนั้นไม่นาน เงาร่างของใครคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องอีกห้อง
อวี๋ซือหราน…
ทว่ามู่เฉินกลับมองไม่เห็นอวี๋ซือหราน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแค่ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นของเธอก็คงทำให้เขาช็อกตายไปแล้ว
สองคนนั้นเหมือนมองไม่เห็นอีกฝ่าย แต่กลับเหมือนกำลังมองเห็นเงาลวง และต่างทำท่าเตรียมจะลงมือทั้งคู่
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ มู่เฉินห็ถูกมีดพกทุบท้ายทอยอย่างแรงหนึ่งครั้ง
เดิมหลิงม่อคิดว่าอวี๋ซือหรานจะลงมือ แต่คิดไม่ถึงว่าในขณะที่เธอกำลังจะลงมือ จู่ๆ เธอกลับหลับตา
พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง อวี๋ซือหรานก็ดูแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
เธอแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ แต่การเคลื่อนไหวกลับดูเป็นอิสระ
เธอหันหลังกลับไป แล้วดึงเส้นไหมสีเงินขึ้นมาดู พร้อมกับพึมพำว่า “กว้างแค่ 2 เมตรกว่า ยังอยู่ในทางเดิน”
จากนั้นเธอก็เดินหน้าไปอีก 2 – 3 ก้าว แต่ดูเหมือนเธอเริ่มจะเดินเซนิดๆ
ซอมบี้โลลิหันหน้าเฉียงเข้าหากำแพง แล้วพูดด้วยเสียงทื่อๆ เหมือนหุ่นยนต์ว่า “หึ หึ หึ แน่จริงแกก็ ต่อยฉันสิ…”
—————————————————————————–
บทที่ 701 ขว้างระเบิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิงม่อถึงขั้นพูดไม่ออก ทำไมมันดูแปลกๆ…
“ฮิๆ ไม่ต่อยใช่ไหม? ฉันว่าแล้วเชียว แกมันก็แค่เงาลวง จากที่ฉันเข้าใจ ไม่มีทางที่จะมีคนที่เหมือนกันทุกอย่างโผล่ขึ้นมาแน่นอน อวี๋ซือหรานไม่มีพี่น้องฝาแฝดซักหน่อย” ซอมบี้โลลิแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา
“ที่แท้ก็เฮยซือ…” หลิงม่อเข้าใจแล้ว
แต่ในเมื่อรู้ว่าเป็นเงาลวงแล้วยังจะไปคุยกับกำแพงอย่างออกรสอย่างนั้นอีกทำไม…
พูดไม่ออกก็ส่วนพูดไม่ออก หลังจากลากมู่เฉินกลับมาไว้ข้างๆ หลิงม่อก็ควบคุมหุ่นซอมบี้ให้เดินเข้าไปอีกครั้ง เพื่อจะลากอวี๋ซือหรานกลับมาด้วย
การจะจัดการอวี๋ซือหรานได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อสิทธิ์ในการคุมร่างเปลี่ยนไปอยู่ในมือเฮยซืออย่างตอนนี้แล้ว
หากหุ่นซอมบี้ใช้มือสับลงไป เป็นไปได้มากว่าถึงฝ่ามือของมันจะเละ ก็ยังไม่สามารถทำให้อวี๋ซือหรานสลบ
ดึงเส้นไหมสีเงิน?…เกรงว่าทันทีที่ดึงมันต้องโดนแทงแน่นอน…
หลิงม่อเกาหัวอย่างหงุดหงิด เขามองข้ามเฮยซือที่เอาแต่พูดกับกำแพงไม่หยุด แล้วตัดสินใจลากตัวการของเรื่องทั้งหมดออกมาก่อน
เฮยซือมองออกว่าเป็นภาพลวงตาได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว แค่คุยกับกำแพงไม่เห็นมีอะไรน่าอาย…
“อืมม…ไม่ต่อยฉัน ก็แสดงว่าเป็นเงาลวงจริงๆ ไม่ใช่หลิงม่อแปลงกายมา…” เฮยซือพูดอย่างครุ่นคิด
คราวนี้หลิงม่อถึงขั้นตะลึงไปจริงๆ ที่แท้เธอก็กำลังทดสอบอยู่…
ถึงขั้นคิดว่าเงาลวงอาจเป็นพรรคพวกของตัวเอง ถือว่าเก่งมากจริงๆ…
“แต่นี่เธอกล้าเรียกชื่อฉันเฉยๆ หรอ!” หลิงม่อเคือง เจ้าสัตว์เลี้ยงไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!
ระหว่างที่ตามหาผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้น ความกล้าของหลิงม่อก็ค่อยๆ ตื่นจากความตระหนกก่อนหน้านี้
ความสามารถพิเศษนี้ร้ายกาจมากจริงๆ แต่พอลองคิดดูอีกที มันกลับไม่มี “พลังชีวิต” เลย
เหมือนสร้างโลกแห่งภาพลวงตาไว้ที่นี่ แต่กลับไม่มีใครดำเนินการควบคุมมัน
ผู้มีความสามารถพิเศษไม่ได้คิดวิธีเตรียมรับมือคนที่ติดกับดัก แต่กลับปล่อยให้พวกเขาเดินเตร่อยู่ข้างในเอง…
ในวินาทีที่มู่เฉินและอวี๋ซือหรานปรากฏตัวพร้อมกัน ถึงแม้หลิงม่อจะคิดว่ามีคนกำลังเล่นสกปรกอยู่ แต่พอคิดดูดีๆ จะเป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่อมีซอมบี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตายืนอยู่ข้างๆ ทั้งตัว…
อีกอย่าง ดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าอวี๋ซือหรานและเจ้าหุ่นซอมบี้เป็นซอมบี้ แต่ผู้มีความสามารถพิเศษไม่รู้จุดนี้ได้อย่างไร?
“ประหลาดจริงๆ…”
หลิงม่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีจุดขัดแย้งมากมาย แต่ไม่ว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออก ดูเหมือนคงต้องหาตัวผู้มีความสามารถพิเศษให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
หลังจากที่ค้นห้องไปหลายห้องแต่ก็ยังไม่เจออะไร หลิงม่อกลับเห็นรอยเลือด 2 หยดตรงข้างกำแพง
ดูจากสี เหมือนจะยังใหม่อยู่…
พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่ามีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ
“ซ่อนอยู่ข้างใน? เป็นเหมือนที่คิดไว้จริงๆ…”
ก่อนหน้านี้ที่หลิงม่อตามหาห้องน้ำ ก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายต้องซ่อนตัวอยู่ในนั้นแน่ๆ
ตอนที่นึกย้อนไปถึงภาพโครงสร้างทางเดินพนักงาน ไม่ว่าคิดยังไงก็มีแต่ห้องน้ำที่เหมาะเป็นที่ซ่อนตัวที่สุด
ข้างในมีห้องแยกอยู่อีกตั้งหลายห้อง เหมาะแก่การซ่อนตัวที่สุดแล้ว
หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ให้เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง แต่กลับได้กลิ่นประหลาดบางอย่าง
กลิ่นจางมาก แต่ทันทีที่เข้ามาก็ได้กลิ่นเลย
หุ่นซอมบี้ค่อยๆ หันไปทางห้องน้ำห้องหนึ่งตามกลิ่นที่ลอยโชยมา
ไม่มีคลื่นดวงจิต…แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครอยู่
ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่าหุ่นซอมบี้เข้ามาในนี้แล้ว หากอยู่ในสภาวะอำพรางกาย แม้จะเป็นผู้มีพลังจิตก็ไม่แน่ว่าจะรู้ตัวทันที
ทว่ามันเป็นเพียงซอมบี้ธรรมดา จะหวังสูงเกินไปไม่ได้
พอคิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็ควบคุมให้หุ่นซอมบี้พุ่งตัวเข้าไปถีบประตูห้องน้ำออกอย่างอุกอาจ
บานประตูแตกเป็นเสี่ยงๆ และในห้องน้ำก็มีเงาร่างของใครคนหนึ่งที่เนื้อตัวมอมแมมสกปรกนั่งอยู่บนชักโครก
หุ่นซอมบี้เคลื่อนไหวต่อเนื่อง หลังจากถีบประตูกระเด็นก็พุ่งเข้าไปคว้าคอเงาร่างที่นั่งอยู่ในนั้นทันที
ทว่าทันทีที่สัมผัสถูกตัวอีกฝ่าย หลิงม่อก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
ตามคาด พอหุ่นซอมบี้ปล่อยมือ เงาร่างนั้นก็ตัวอ่อนล้มพับลงไปด้านข้างทันที
ใต้เส้นผมยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำไร้พลังชีวิตคู่หนึ่งกำลังจ้องหน้าหลิงม่อผ่านดวงตาของหุ่นซอมบี้
“ซอมบี้?”
หลิงม่ออึ้งค้าง…
คนที่สร้างกับดักคือซอมบี้ตัวหนึ่ง?! แถมยัง…ตายแล้วด้วย!
หลังจากได้สติ หลิงม่อรีบควบคุมหุ่นซอมบี้ให้สำรวจศพซอมบี้ตัวนี้ แต่นอกจากบาดแผลบนมือมัน ก็ไม่เจออะไรอย่างอื่นอีก…
“นี่มัน…”
หลิงม่อเบิกตากว้าง ไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรต่อสถานการณ์ตรงหน้าไปชั่วขณะ
นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย?!
แต่ขณะเดียวกันนั้น ณ ตึกสูงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีเงาร่างของใครคนหนึ่งโฉบผ่านบานหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว
“พอจะรู้คร่าวๆ แล้วล่ะว่าเป็นมนุษย์แบบไหน เจ้าโง่นั่นถูกทำร้ายจนมีสภาพอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลจริงๆ สินะ…แต่ฉันไม่ใช่เจ้าโง่นั่น การจะต่อกรกับเหยื่อ ต้องทำความเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรก ความรู้ง่ายๆ ของมนุษย์เจ้าโง่นั่นกลับจำไม่ได้…”
“สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือ ไม่อาจทำความเข้าใจเจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์พวกนั้นได้ในครั้งเดียว…มนุษย์นั่นรอบคอบมาก แต่ถึงยังไงก็บรรลุเป้าหมายในการใช้เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนั้นขังพวกแกไว้ในห้างฯ แล้ว”
เงาร่างส่ายหัวอย่างนึกเสียดาย จากนั้นก็แสยะยิ้ม “ที่ลากยาวมาจนถึงตอนนี้ ก็เพื่อให้พวกแกได้ลิ้มรสของดีเมืองชุ่ยเหอไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ…”
คำพูดประโยคนี้ฟังดูเหมือนคำพูดของมนุษย์ทั่วไปมาก แต่กลับถูกเสียงหัวเราะประหลาดๆ ในตอนท้ายทำพังหมด
“ของดีต้องค่อยๆ กิน…เอาเป็นว่าในเมื่อพวกแกมาถึงนี่แล้ว ก็หนีไปไหนไม่พ้นแล้วล่ะ เจ้ามนุษย์คนนี้ถึงแม้ไม่ได้ฉลาดมากนัก แต่สมองน่าจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง…”
พูดถึงตรงนี้ เงาร่างก็แลบลิ้นออกมาเลียปากดัง “แผล็บ”
“ขอให้สนุกล่ะ สุดท้ายที่นี่จะขัดเกลาให้พวกแกกลายเป็นอาหารรสเลิศ…”
แต่พอพูดถึงตรงนี้ เงาร่างกลับดูเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“จะให้ดี ทำให้เหยื่อตัวที่รสชาติดีที่สุดตัวนั้นบาดเจ็บหนักๆ ยิ่งดี…”
หลังจากทอดมองมาทางห้างสรรพสินค้าครู่หนึ่ง เงาร่างนี้ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
…………
“แปลกมาก…”
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าหลิงม่อจะดึงสติกลับมาจากอาการอึ้ง ทว่าพอได้ยินเสียงเฮยซือพูดพล่ามอยู่อีกฝั่ง เขาก็ทำใจให้เย็นลง
ภาพลวงตายังอยู่!
ไม่ว่าจะช็อกแค่ไหน ก็ต้องคิดหาทางแก้ปัญหาให้ได้ก่อน
ถ้าหากเป็นฝีมือของซอมบี้ตัวนี้จริง ถ้าอย่างนั้นก็จะยิ่งน่ากลัวกว่าผู้มีความสามารถพิเศษมาก
หากคราวนี้ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด ครั้งหน้าหากโดนอีกต้องแย่แน่นอน
หลังจากค้นห้องน้ำห้องอื่นจนทั่วแล้ว อย่างแรกที่หลิงม่อมั่นใจก็คือบุคคลที่ 4 ที่อยู่ในนี้ คือซอมบี้ตัวนี้
แต่ในเมื่ออวี๋ซือหรานยังอยู่ในโลกแห่งภาพลวงตา ก็แสดงว่าบนตัวซอมบี้ตัวนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดภาพลวงตาอย่างแน่นอน
สิ่งที่สามารถทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกบิดเบือน กระทั่งทำให้คนสูญเสียความสามารถในการรับรู้ทิศ แต่กลับไม่ส่งผลกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสติรู้คิดในตัวเอง…
“มันคืออะไรกันแน่…”
หุ่นซอมบี้ค้นตัวศพซอมบี้อยู่ครู่ใหญ่ แม้แต่รอยแผลบนฝ่ามือของมันหลิงม่อก็ตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว
บาดแผลเริ่มสมานตัวจนใกล้จะเป็นรอยแผลเป็นแล้ว ความจริงไม่มีอะไรหลงเหลือให้ดู
“ไม่สิ…มันบาดเจ็บได้ยังไง? อีกอย่าง บาดแผลแค่นี้ ทำไมเลือดถึงไหลมากขนาดนั้น…”
หุ่นซอมบี้มองไปที่เสื้อผ้าของมัน ถึงแม้ทั้งตัวจะมีแต่รอยเลือด แต่ก็ยังแยกแยะได้ว่ารอยไหนเป็นรอยเก่ารอยไหนเป็นรอยใหม่…
ทั้งที่เป็นเลือด แต่กลับไม่มีกลิ่นคาวเลือดฉุนๆ ซ้ำยังมีกลิ่นประหลาดๆ ปะปนอยู่ด้วย…ถึงมันจะมีกลิ่นประหลาดอยู่ตั้งแต่แรกแล้วก็เถอะ…
ถ้าหากเป็นซอมบี้ ได้กลิ่นอย่างนี้ก็คงไม่คิดอะไรมาก
และถ้าเป็นมนุษย์ ก็คงจะไม่ได้กลิ่นแน่นอน
มีเพียงหลิงม่อที่มีความสามารถพิเศษควบคุมหุ่นเท่านั้น ที่จะได้กลิ่นและสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ได้
“เลือดพวกนี้มาได้ยังไงกันแน่?”
หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ตรวจสอบดูอีกครั้ง แล้วเขาก็พบรายละเอียดเล็กๆ ในที่สุด
ปากของซอมบี้ตัวนี้ เหมือนจะมีรอยเลือดอยู่เล็กน้อย…
เป็นเรื่องปรกติที่ซอมบี้จะมีเลือดติดปาก ทว่าในเวลาอย่างนี้หลิงม่อไม่อาจมองข้ามทุกรายละเอียดไปได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า หุ่นซอมบี้เพิ่งจะเช็ดปากศพซอมบี้ตัวนี้ เลือดสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากปากของศพทันที
หุ่นซอมบี้พุ่งหลบออกไปด้านข้าง เลือดจึงกระจายใส่พื้นแทน
“ขนาดตายแล้วยังโจมตีด้วยการพ่นเลือดอีก…” หลิงม่อขนลุก
ทว่าพอเหลือบมองเลือดสดๆ บนพื้นพวกนั้นแล้ว หลิงม่อกลับอึ้งไปชั่วขณะ
เขารีบควบคุมให้หุ่นซอมบี้เดินเข้าไป แล้วนั่งลงสำรวจอย่างละเอียด
สีแบบนี้…พบเจอได้น้อยมาก!
ไม่น่าล่ะกลิ่นถึงได้แปลกมาก นี่มันเป็นสิ่งที่เกิดจากการเอากลิ่นคาวเลือดผสมกับของเหลวอย่างอื่นชัดๆ…
“ถ้าอยากรู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่หรือเปล่า ก็ไม่ใช่เรื่องยาก…”
หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ฉีกส่วนชายเสื้อออกมา จากนั้นก็ซับของเหลวขึ้นมาเล็กน้อย
หุ่นซอมบี้กลับไปนั่งตรงหน้าศพ แล้วยกหมดขึ้นชกท้องศพเต็มแรง
พอปากอ้าออก ของเหลวจำนวนหนึ่งที่ผ่านการเจือจางมาแล้วก็พุ่งออกมาอีกครั้ง
หลิงม่อหันกลับไปมองบริเวณรอบๆ บาดแผลของศพ คราบเลือดตรงนั้นเป็นสีปรกติ…
“ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่าจงใจสร้างแผลขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อน?”
ข้อต่อกระดูกของศพยังสามารถขยับเขยื้อนได้ไม่ติดขัด ซึ่งนั่นบ่งบอกว่ามันเพิ่งตายได้ไม่นาน
แต่การโจมตีที่ทำให้ดูเหมือนฆ่าตัวตายอย่างนี้ หลิงม่อเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
การล่ามนุษย์คือสัญชาตญาณของซอมบี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องใช้วิธีเป็นตายไปด้วยกันอย่างนี้หรือเปล่า…
“ลองอีกครั้ง!”
“ปั๊ก!”
หุ่นซอมบี้ชกหมัดแล้วหมัดเล่า
หลังจากชกไปหลายหมัด ศพของซอมบี้ตัวนั้นกลับไม่พ่นอะไรออกมาอีก
“ตามคาด อยู่ในปากจริงๆ!”
หลิงม่อเข้าใจทันที ซอมบี้ตัวนี้เป็นระเบิดที่ถูกขว้างออกมา!
ผู้ขว้างระเบิดคืออีกคน!
—————————————————————————–
บทที่ 702 เครื่องซุ่มสังหารในห้องน้ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ลึกลับจริงๆ นี่ถ้าเราไม่มีหุ่นซอมบี้ ก็คงจะไม่รู้เหมือนกัน…แต่มีเรื่องหนึ่งที่แปลกมาก…”
หลิงม่อจ้องศพอย่างสงสัย “ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นใครก็ตาม…แต่การเผาศพทำลายหลักฐานก็เป็นความรู้พื้นฐานไม่ใช่หรอ!”
ไม่ว่าจะเป็นการปกปิดที่แนบเนียนแค่ไหนแต่ก็มีโอกาสผิดพลาดได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดย่อมต้องเป็นการจัดการ “ระเบิด” ลูกนี้ไปพร้อมกันเลย เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็น่าจะคิดได้นี่นา!
แต่ว่า…เหมือนอีกฝ่ายจะคิดว่า “ฆ่าได้ก็ฆ่า ฆ่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”…
เพราะถ้าหากหวังจะฉวยโอกาสนี้ฆ่าพวกเขา ตอนนี้คงจะซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ เพื่อรอจังหวะแล้ว
ถึงแม้การลงมามีส่วนร่วมด้วยตัวเองจะอันตรายมาก เพราะแม้แต่มู่เฉินก็ยังระมัดระวังตัวมาก…
…แต่ถ้าไม่เสี่ยงเข้าร่วมด้วยแล้วจะทำสำเร็จได้อย่าไร? ถึงแม้ผู้รอดชีวิตทุกคนต่างรักตัวกลัวตาย แต่ถ้าหากฮึดสู้ขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็กล้าได้กล้าเสียเหมือนกัน
แค่พายแห้งหนึ่งห่อยังสู้ตายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลประโยชน์ที่มากกว่าเลย…
“หรือจะเป็น…การทดสอบ?” หลิงม่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาทันที
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้…คนที่อยู่เบื้องหลังคนนั้น สามารถซ่อนตัวสังเกตการพวกเขาจากที่ปลอดภัยได้…
โชคดีที่หลิงม่อเป็นผู้มีพลังจิต ดังนั้นถึงแม้จะลอบสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกก็ไม่เห็นเงาหลิงม่ออยู่ดี
ถึงจะเป็นผู้มีพลังจิตเหมือนกัน ก็ไม่แน่ว่าจะรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายใช้วิธีการต่อสู้แบบไหน
นอกจากนี้ ตั้งแต่ที่เจอศพซอมบี้ตัวนี้ หลิงม่อก็ไม่คิดว่านี่เป็นฝีมือของผู้มีความสามารถพิเศษอีกแล้ว…
เพราะทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพลังจิตเลย!
ในทางกลับกันเขาสามารถมั่นใจได้ว่า อีกฝ่ายไม่มีความสามารถในการตรวจสอบลักษณะคลื่นของพลังงานทางจิตแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นคงสังเกตเห็นไปนานแล้วว่าหุ่นซอมบี้ไม่ปกติ…
อีกฝ่ายกำลังทดสอบหลิงม่อ แต่หลิงม่อกลับได้รู้อะไรไม่น้อยเหมือนกัน
“แม้แต่เบาะแสที่สำคัญที่สุดก็ไม่ทำลายทิ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามั่นใจในตัวเองเกินไป ก็เป็นเพราะคิดว่าถึงแม้คนอื่นจะเจอ ก็ไม่มีทางรู้ว่ามันคืออะไร ถึงได้ไม่เกรงกลัวอะไรเลยแบบนี้…ก็จริง มีความสามารถที่แปลกประหลาดอย่างนี้ ก็ไม่แปลกที่จะหลงตัวเองจนหูตามืดบอด”
หลิงม่อมองเศษผ้าในมือหุ่นซอมบี้ แล้วยิ้มเย็นชา
เขาใช้ประโยชน์จากการที่หุ่นซอมบี้ไม่ได้รับผลกระทบ ควบคุมให้มันดมกลิ่นที่ติดมากับเศษผ้าอย่างละเอียด
ในของเหลวนี้มีเลือดของซอมบี้ปนอยู่แน่นอน แต่ไม่รู้เพราะอะไร กลิ่นของเชื้อไวรัสกลับไม่ค่อยเข้มข้นนัก
“ไม่…ไม่ใช่ไม่เข้มข้น แต่เป็นเพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้มีกลิ่นที่แตกต่างจากซอมบี้ตัวอื่น” หลิงม่อขมวดคิ้ว กลิ่นของส่วนผสมอื่นในของเหลวนี้ไม่เหมือนกลิ่นของยา กลับกัน มันเหมือนกลิ่นของสิ่งที่ถูกขับออกมาจากร่างกายซอมบี้มากกว่า
ซอมบี้จมูกไว หากมีองค์ประกอบทางเคมี พวกมันจะแยกแยะออกได้อย่างรวดเร็ว
“แต่ซอมบี้อะไรกันที่สร้างของเหลวอย่างนี้ขึ้นมาได้? อีกอย่างถ้ามีซอมบี้อย่างนี้อยู่จริงๆ การจะดูดของเหลวจากตัวมันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ คงไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเปล่า…”
หลิงม่อหันไปมองศพซอมบี้อีกครั้ง ศพที่เห็นตรงหน้านี้เป็นเพียงภาชนะ แต่บนร่างกายของมันกลับไร้ซึ่งกลิ่นอายมนุษย์คนอื่น
ใครพามันเข้ามาในนี้กันแน่…
บนพื้นมีฝุ่นเคลือบไว้หนึ่งชั้น ทว่านอกจากรอยเท้าของหุ่นซอมบี้แล้ว ที่เหลือก็เป็นรอยเท้าขนาดเดียวกันหมด
และเมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว ก็พบว่าขนาดเท่ากับเท้าของศพซอมบี้ตัวนี้พอดี
“มันเดินเข้ามาเอง?” ถึงแม้ผลสรุปนี้จะน่าตกใจ แต่หลิงม่อกลับอึ้งไปเพียงชั่วขณะ และดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
ก็เหมือนกับเวลาที่คนอื่นไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขามีสายสัมพันธ์กับซอมบี้ ทุกการคาเดาที่ฟังดูไร้สาระและบ้าบอ สุดท้ายแล้วอาจเป็นคำตอบที่กำลังตามหาอยู่ก็ได้
ทุกสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ บางทีอาจกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้…
ทว่าแค่การคาดเดายังไม่อาจถือว่าเป็นผลสรุปได้ หลิงม่อจดจำรายละเอียดเหล่านี้ไว้เงียบๆ จากนั้นก็ควบคุมใหุ่นซอมบี้ให้ยัดเศษผ้าใส่กระเป๋า แล้วเดินออกมา
พอได้ยินเสียงเฮยซือยังคงพูดเจื้อยแจ้วอยู่กับกำแพง และเดินคลำหาทางออกวนไปวนมาอยู่ในพื้นที่เล็กๆ อย่างจริงจัง หลิงม่อก็นึกขำขึ้นมา
นี่ไม่ใช่สติปัญญาที่สัตว์กลายพันธุ์ควรจะมีอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตลึกลับนี้จะละทิ้งการวิวัฒนาการด้านร่างกาย แล้วหันมาเอาดีด้านพัฒนาสมองแทนแล้วสินะ
อัพเกรดคราวนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่วนที่วิวัฒนาการมากที่สุดคือดวงจิต
หากใช้เวลาอีกหน่อย เฮยซืออาจกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆ ก็ได้
นี่ยังเป็นเพียงการประมาณการที่ต่ำที่สุดของหลิงม่อ…
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งที่เป็นร่างของอวี๋ซือหรานยืนอยู่ตรงหน้าเขาแท้ๆ แต่ด้านในกลับเป็นอีกหนึ่งดวงจิตหนึ่ง อย่างไรเขาก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี…
หลิงม่อกระทั่งอดคิดไม่ได้ วิวัฒนาการของซอมบี้ไม่เท่าไหร่ แต่ทิศทางในการวิวัฒนาการประหลาดๆ ของสัตว์กลายพันธุ์พวกนี้น่ะสิ ไม่รู้อีกหน่อยจะมีตัวน่ากลัวอะไรเกิดขึ้นบ้าง…
หลังจากที่หุ่นซอมบี้เดินออกมา มันปิดประตูห้องน้ำดัง “ปัง” ทันที
ทันทีที่กลิ่นถูกปิดกั้น เฮยซือร้อง “เอ๋” แล้วกวาดมองรอบกายอย่างงุนงง
เดาว่าภาพลวงตาที่เธอเห็น คงกำลังค่อยๆ เลือนหายไป…
“เสียเวลาอยู่ตั้งหลายนาที ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ต้องทำก็มีแค่ต้องปิดประตูห้องน้ำเท่านั้น…ไม่น่าล่ะเขาถึงได้บอกว่าให้ปิดประตูทุกครั้งที่เข้าออก เพราะห้องน้ำตอนนี้มัน “เหม็น” มากจริงๆ…”
นี่แหละที่เขาเรียกว่าอันตรายรอบทิศ!
ก่อนหน้านี้หลิงม่อคิดว่าในห้องน้ำแค่มีซอมบี้ซ่อนตัวอยู่เท่านั้น ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เกิดภาพหลอนได้ด้วย…
แต่แทนที่จะบอกว่าเป็นภาพลวงตา สู้บอกว่าพวกเขาสูดกลิ่นเชื้อไวรัสชนิดนี้เข้าไป จึงทำให้ได้รับผลกระทบจะเหมาะสมกว่า
หลักการของมันคล้ายกับสิ่งเสพติด แต่มันส่งผลร้ายแรงกว่าสิ่งเสพติดมาก
หลิงม่อรอไม่ถึง 1 นาที ไม่นานเฮยซือก็มองเห็นทุกสิ่งชัดเจน
ร่างกายเธอกระตุกสั่น จากนั้นสายตาก็เริ่มจับจุดโฟกัสช้าๆ
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงม่อคาดไม่ถึงคือ ทันทีที่เธอได้สติ คลื่นดวงจิตของเธอกลับรุนแรงขึ้นในเสี้ยววินาที ขณะเดียวกันดวงตาก็ฉายแววคลุ้มคลั่งเหมือนกับที่หุ่นซอมบี้เป็น
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นถึงสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับสูง ดังนั้นเพียงชั่วครู่เธอก็สงบลง แล้วมองมาทางหุ่นซอมบี้อย่างสงสัย
อวี๋ซือหรานนั้นไม่มีความรู้สึกที่คุ้นเคยกับหุ่นซอมบี้ แต่เฮยซือต่างออกไป
เธอไม่รู้หรอกว่าหุ่นซอมบี้ตัวนี้ถูกหลิงม่อควบคุมไว้ แต่รู้ว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับหลิงม่อแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงต้องระงับความคิดที่อยากจะจัดการหุ่นซอมบี้ทิ้งอย่างเงียบๆ แล้วหันมาพิจารณามันอย่างสงสัยแทน…
ขณะเดียวกันหลิงม่อเกิดสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา เพราะดูเหมือนว่าสาเหตุที่หุ่นซอมบี้ได้รับผลข้างเคียงจะไม่ได้เกิดจากการที่ถูกตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิต แต่เกิดจากที่มันได้หลุดพ้นจากโลกแห่งภาพลวงตา…
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ชั่วขณะหนึ่งความรู้สึกไม่สบายใจนั้นได้เพิ่มขึ้น พร้อมกับที่เสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ดังมาจากข้างหลังหลิงม่อ
ถึงจะได้ยินไม่ชัด แต่หลิงม่อก็ยังหันกลับไปมองประตูห้องบันไดอย่างระแวดระวังทันที
มีเสียงเกิดขึ้นจริงๆ…
หรือว่าในห้างฯ จะเกิดเรื่องแล้ว!
“ตื่นๆ!”
หลิงม่อกระชากมู่เฉินขึ้นมา แล้วเขย่าตัวเขาแรงๆ
หลิงม่อควบคุมแรงในการเหวี่ยงมีดพกได้พอดี เมื่อกี้เขาเพียงทำให้มู่เฉินสลบไปเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรก็เขาถูกกระแทกอย่างแรง ดังนั้นในเวลาสั้นๆ คงจะหลีกเลี่ยงอาการหน้ามืดตาลายได้ยาก…
มู่เฉินถูกเขย่าแรงๆ 2 – 3 ครั้ง จนในที่สุดก็ลืมตาช้าอย่างมึนงง แต่ทันทีที่อ้าปากเขาก็ร้อง “หัวฉัน…”
“ใครสนหัวของนายกันเล่า!”
พอหลิงม่อเห็นเขาฟื้น ก็ปล่อยมือออกจากตัวเขา พร้อมรีบถ่ายทอดคำสั่งผ่านทางกระแสจิตทันที
ส่วนตัวเขานั้นรีบวิ่งด้วยความเร็วพุ่งไปทางประตู ระหว่างนั้นเขาได้สับเปลี่ยนมุมมองสายตาไปยังเย่เลี่ยน
ทันทีที่สื่อสารกับพวกเย่เลี่ยน การเผาผลาญพลังจิตของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว…
เขาสัมผัสได้รางๆ ว่าตอนนี้ในตัวห้างฯ ที่อยู่ด้านหลังประตู มีดวงแสงแห่งจิตอยู่มากมาย และดวงแสงแห่งจิตเหล่านั้นก็กำลังอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่ง…
เมื่อกี้ตอนที่มองเห็นภาพลวงตา การรับรู้ทั้งหมดของเขาได้ถูกปิดกั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
และตอนนี้พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเหล่านี้ เขาจึงเพิ่งตระหนักขึ้นได้
เป้าหมายของอีกฝ่าย คือทดสอบ…และถ่วงเวลา!
ไม่คิดเลยว่าในไม่กี่นาทีที่ผ่านไปนี้ สถานการณ์ในห้างกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง
คลื่นดวงจิตที่รุนแรงจำนวนมากขนาดนี้ บ่งบอกถึงเรื่องจริงที่น่าสะพรึงกลัว
เหล่าซอมบี้…กำลังคลั่ง!
หลิงม่อไม่ได้วู่วามกระโขนเข้าไปในตัวห้างฯ พวกเย่เลี่ยนต่างก็เป็นซอมบี้ระดับสูง สวี่ซูหานเองก็ถือว่าเป็นไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่หลิงม่อนั้นต่างกัน ดูจากแรงดึงดูดที่ตัวเขามีต่อซอมบี้ หากตอนนี้เขาเดินเข้าไป ก็ไม่ต่างจากการบีบแตรเพื่อประกาศว่า “มนุษย์อยู่ตรงนี้ ใครอยากกินเชิญเข้ามา” เลยแม้แต่น้อย
เสียงวุ่นวายดังแว่วมาจากในตัวห้างฯ อย่างต่อเนื่อง พอแง้มประตูออก กลิ่นคาวเลือดก็ลอยโชยเข้ามาทันที
เสี้ยววินาทีที่สับเปลี่ยนมุมมองสายตา ภาพแรกที่หลิงม่อมองเห็นคือซอมบี้ตัวหนึ่งถูกฟันหัวขาด หัวของมันกระเด็นออกไปท่ามกลางเลือดที่กระฉูดกลางอากาศ แต่มือของซอมบี้ตัวนั้นกลับยังคงไล่ตะปบอย่างบ้าคลั่ง
แต่เย่เลี่ยนหลบเลี่ยงได้ทัน พร้อมยกเท้าถีบซอมบี้อีกตัวที่พุ่งเข้ามาอย่างว่องไว
ภาพที่เห็น เต็มไปด้วยเลือด!
—————————————————————————–
บทที่ 703 ตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
รอบกายมีแต่เลือดสดๆ สาดกระเซ็น ชิ้นส่วนแขนขาปลิวว่อน แล้วยังมีซอมบี้มากมายที่กำลังกรูเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
แวบที่แรกที่เห็น รอบกายเต็มไปด้วยซอมบี้มากมายกำลังเบียดเสียดกัน แค่เห็นแวบเดียวก็ทำเอาขนลุกขนพองแล้ว
ซอมบี้ระดับสูงน่ากลัว แต่ทันทีที่ซอมบี้ธรรมดารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ก็น่ากลัวไม่ต่างกัน
ถูกดวงตาสีแดงก่ำมากมายจดจ้อง ทั้งหน้าหลังซ้ายขวาเต็มไปด้วยกรงเล็บที่กำลังไล่ตะปบอย่างบ้าคลั่ง แค่ความกดดันเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนเสียสติแล้ว
ในเสี้ยววินาทีที่เย่เลี่ยนกระโดดหลบซอมบี้ตัวหนึ่ง หลิงม่อเหลือบไปเห็นประตูหลัก
ประตูถูกแหวกออกจนกลายเป็นช่องทางเข้าออกได้อย่างสะดวก ซ้ำยังมีซอมบี้มากมายที่กำลังแทรกตัวเข้ามาผ่านช่องนั้น
เสียงขู่คำรามของซอมบี้ดังขึ้นเป็นระยะ หากอยู่ในห้างจะได้ยินอย่างชัดเจน แต่เมื่อเดินทางมาถึงร่างจริงของหลิงม่อ มันก็กลายเป็นเพียงเสียงแว่วๆ แล้ว
หลิงม่อรู้สึกเหมือนยังคงได้รับผลกระทบจากกลิ่นเชื้อไวรัสชนิดนั้นอยู่รางๆ ถึงแม้จะไม่เห็นภาพลวงตาแล้ว แต่ความสามารถในการสัมผัสรู้กลับลดลงไปมาก
เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นทางเดินที่ค่อนข้างปิดสนิท บริเวณใกล้ห้องน้ำกลิ่นอาจจะฉุนกว่า แต่บริเวณอื่นก็ยังคงได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
หรือพูดให้ถูกก็คือ นับตั้งแต่หลิงม่อเดินเข้ามาในทางเดินเส้นนี้ เขาก็ได้เข้าสู่อาณาเขตที่ถูกกลิ่นนั้นปกคลุมแล้ว
ในสถานการณ์ที่เพ่งสมาธิขั้นสูง เขาไม่อาจรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แล้วไม่นานเขาก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในพื้นที่หลักจนเห็นภาพหลอนในที่สุด
“ซอมบี้แบบไหนกันนะที่วิวัฒนาการจนกลายเป็นเครื่องผลิตยากล่อมประสาท…” หลิงม่อคิด “วิวัฒนาการแปลกใหม่เหมือนซอมบี้ศพน้ำ…”
ส่วนชั้นใต้ดินนั้น ไม่ต้องดูก็รู้ว่าซอมบี้ข้างในนั้นกรูขึ้นมาข้างบนหมดแล้ว
เสียงคำรามของซอมบี้เหล่านี้ดึงดูดพวกเดียวกัน ตะโกนเสียงสูงต่ำสลับกันขนาดนี้ เดาว่าซอมบี้บนถนนคงจะมารวมตัวกันในห้างฯ หมดแล้ว
พวกเย่เลี่ยนไม่ได้เป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของซอมบี้ทุกตัว เพราะบางจุดก็กำลังมีเหตุการณ์สู้กันอย่างดุเดือดจนเลือดสาดเช่นกัน
ทว่าเหล่าซอมบี้ที่เข้าใกล้พวกเย่เลี่ยน กลับกระโจนเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย ซึ่งภาพอย่างนี้ยากที่จะเกิดขึ้นในเวลาปกติ…
มนุษย์กึ่งซอมบี้อย่างสวี่ซูหานอาจกระตุ้นความปรารถนาในการโจมตีของซอมบี้ แต่เย่เลี่ยนที่เป็นซอมบี้เจ้าเมืองนั้น เมื่อเธอปลดปล่อยกลิ่นอายของเธอออกไป ซอมบี้ทั่วไปล้วนไม่กล้าเข้าใกล้!
แต่ซอมบี้ที่นี่ กลับซัดสาดข้ามาราวคลื่นลูกแล้วลูกเล่า แม้จะต้องเหยียบศพเพื่อกระโจนเข้ามา พวกมันก็ไม่มีท่าทีคิดถอยเลยแม้แต่น้อย
ลักษณะพื้นที่ในนั้นไม่เป็นผลดีต่อพวกเย่เลี่ยน อาจเพราะต้องการระวังให้กันและกัน พวกเธอจึงตั้งใจยืนหันหลังชนกันอยู่ในมุมมุมหนึ่ง
ซย่าน่าและหลี่ย่าหลินล้วนกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด แต่หลิงม่อกลับไม่เห็นการเคลื่อนไหวของสวี่ซูหาน
เย่เลี่ยนไม่หันกลับไป หลิงม่อก็มองไม่เห็นเธอ ทว่าเขากลับได้ยินเสียงหายใจถี่ระรัวของเธอแว่วๆ
สนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอยู่แค่ตรงหน้า เชื้อไวรัสในร่างกายเธอย่อมต้องกระเหี้ยนกระหือรืออยู่แล้ว…
“ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรชั่วคราว แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจถูกกระตุ้นให้กลายพันธ์จนสมบูรณ์ก็ได้…”
หลิงม่อขมวดคิ้ว
“เอ๋…นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง? ไม่ใช่สิ ฉัน…”
มู่เฉินลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล เขาหรี่ตาเล็กทำหน้ามึนงง
แต่หลิงม่อมีเวลาตอบคำถามพวกนั้นของเขาเสียที่ไหน เขารีบโบกไม้โบกมือแล้วบอกว่า “พวกเราถูกซอมบี้ล้อมไว้แล้ว”
“ห๊ะ? หมายความว่าไง…”
ขณะที่มู่เฉินถาม เงาร่างของใครคนหนึ่งก็เปิดประตูเหล็กที่อยู่ปลายทางอีกด้านหนึ่งเงียบๆ
ที่นี่ค่อนข้างลับตาคน แล้วซอมบี้โลลิก็เป็นถึงซอมบี้ชนชั้นสูง หากต้องการเข้าออกโดยไม่ดึงดูดความสนใจจากซอมบี้ตัวอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร…
ในเมื่อมีผู้อยู่เบื้องหลังอยู่ด้านนอกนั่น หลิงม่อจึงตัดสินใจให้อวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋ายซุ่มอยู่บริเวณใกล้ๆ เพื่อเป็นแนวป้องกันรอบนอก
ขณะเดียวกันก็สามารถอาศัยมุมมองสายตาของอวี๋ซือหรานสังเกตดูสถานการณ์ข้างนอกว่าเป็นอย่างไรกันแน่
ทว่าตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นอวี๋ซือหรานหรือพวกเย่เลี่ยน ดูเหมือนว่าพวกเธอจะมีอาการคลุ้มคลั่งเล็กน้อย…
ในขณะที่ความรู้สึกไม่สบายใจของเขา ก็ไม่เคยหายไปเลยเช่นกัน…
ซอมบี้ระดับสูงต่างมีอาการอย่างนี้ได้เหมือนกัน ส่วนซอมบี้ธรรมดาในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรมาสะกดสัญชาตญาณ พวกมันก็ย่อมตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งอย่างง่ายดายได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ต้องไม่ใช่เชื้อไวรัสกล่อมประสาทที่เขาเจอในห้องน้ำอย่างแน่นอน…
“เมืองชุ่ยเหอนี่มันยังไงกันแน่…”
หลิงม่อเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเมืองชุ่ยเหอถึงได้ถูกจัดให้เป็นพื้นที่ระดับความอันตรายสูง ทว่าแค่ปัญหาซอมบี้คลุ้มคลั่ง คงไม่ส่งผลกระทบไปจนถึงกองทัพอากาศ ในเมืองนี้ต้องมีอะไรอย่างอื่นซ่อนอยู่อีกแน่ๆ
“หัวหน้า นายรู้สึกว่ามันร้อนๆ บ้างไหม…”
จู่ๆ มู่เฉินก็กระตุกคอเสื้อขึ้นลง แล้วพูดอย่างมึนๆ
ท่าทางเขาเหมือนคนที่ยังไม่ได้สติ เพราะคำพูดที่หลิงม่อบอกเขาว่าถูกซอมบี้ล้อมกลับไม่ได้ทำให้เขาสนใจเท่าไหร่
“ร้อนอะไรล่ะ…” หลิงม่อตอบโดยไม่หันกลับมามอง
เขาไม่เพียงกำลังครุ่นคิด แต่ยังต้องคอยสับเปลี่ยนมุมมองสายตาไปมาระหว่างเย่เลี่ยนกับเฮยซืออีก
โดยเฉพาะทางฝั่งเฮยซือ เวลาที่มันจะได้ควบคุมร่างกายของอวี๋ซือหรานใกล้จะหมดลงแล้ว นั่นหมายความว่าหลิงม่อจะไม่สามารถสับเปลี่ยนมุมมองสายตาไปยังซอมบี้โลลิได้อีกแล้ว
ดังนั้นอาการผิดปกติของมู่เฉิน จึงไม่ได้ทำให้หลิงม่อหันมาสนใจมากยัก
“ร้อนแบบ…”
มู่เฉินสะบัดหน้าอย่างแรง แล้วยกมือลูบท้ายทอย
เป็นเพราะมึนหัว?
แต่ความรู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่สุขนั่น กลับกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
มู่เฉินจ้องไปยังช่องประตูที่หลิงม่อเปิดแง้มไว้ ในใจพลันรู้สึกสั่นวาบไปชั่วขณะ
“ให้ฉันเข้าไปดูหน่อย…” มู่เฉินว่า พลางยื่นมือไปตบไหล่หลิงม่อ
หลิงม่อหันหน้ากลับมาเล็กน้อย แล้วบอกว่า “ตอนนี้ยังเข้าไปไม่ได้ ขอฉันสังเกตการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน…”
แต่หลิงม่อไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ได้เข้าหูมู่เฉินแม้แต่น้อย
มู่เฉินกำลังจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง เมื่อกี้ตอนที่หลิงม่อหันหน้ากลับมา เขามองเห็นดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมรางๆ…”
“ไม่นะ…นี่มันภาพลวงตา?”
มู่เฉินสะบัดศีรษะแรงๆ อีกครั้ง แต่เหมือนอาการคลุ้มคลั่งนั่นกำลังทำลายสติปัญญาของเขา
เขาจ้องคอของหลิงม่อ แต่หางตากลับเหลือบไปมองของที่ตกอยู่บนพื้น
มีด…
ตอนที่หลิงม่อควบคุมให้หุ่นซอมบี้ลากเขากลับมา เขาสั่งให้มันเอามีดกลับมาด้วย และตอนนี้มีดก็กำลังวางอยู่บนชั้นบันไดใกล้ๆ นี้
มู่เฉินจ้องหลิงม่ออีกครั้ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ก้าวถอยไปข้างหลัง
“ตึกตัก!”
เสียงหัวใจเต้นรุนแรงชัดเจนราวกับเสียงกลองที่ดังอยู่ในสมอง…
เขาคว้ามีดได้แล้ว และสายตาของมู่เฉินก็จดจ้องอยู่ที่ท้ายทอยของหลิงม่อตลอดเวลา
ตอนนี้หลิงม่อพุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่ในห้างฯ อาศัยพลังความสามารถของพวกเย่เลี่ยนอย่างไรก็เอาอยู่ แต่เขาก็ต้องพาพวกเธอออกจากสถานการณ์ยากลำบากนั้นให้เร็วที่สุดเช่นกัน…
ฟึ่บ!
มู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังหลิงม่อ ยกมีดขึ้นเหนือศีรษะอย่างเงียบเชียบ
ตอนนี้แววตาของเขาประหลาดมาก ทั้งเลื่อนลอย แต่ก็ดูคลุ้มคลั่งในขณะเดียวกัน
เมื่อเขาแทงลงไปด้วยสีหน้าไร้ความปราณี ประกายมีดก็สะท้อนแสงวาบ …
“กึกๆๆ…”
ทันใดนั้น ปลายมีดพลันชะงักค้างกลางอากาศในขณะที่อยู่ห่างจากตัวหลิงม่อไม่ไกลนัก ฟังจากเสียงใบมีดสั่นก็รู้ว่ามู่เฉินกำลังใช้แรงกดลงไป
แต่ว่า…แทงอย่างไรก็แทงไม่ได้
มือเล็กๆ ข้างหนึ่งเอื้อมมาขับแขนเขาจากด้านข้าง ไม่รอให้เขาทันตั้งตัว ข้อพับเข่าถูกโจมตีอย่างแรงจนเขาต้องคุกเข่าลงทันที
“พลั่ก!”
ภาพตรงหน้าดับวูบ แล้วมู่เฉินก็ล้มลงไปอีกครั้ง
หลิงม่อหันกลับมามองหุ่นซอมบี้ตัวเล็กที่เป็นคนลงมือ จากนั้นก็มองมู่เฉินแล้วส่ายหน้า “คนที่ไม่ใช่ผู้มีพลังจิตคุกเข่าง่ายตามคาด(คำเสียดสี สื่อถึงคำว่า คุกเข่ายอมแพ้)…”
เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ระวังตัว แม้แต่ตัวเขายังได้รับผลกระทบประหลาดๆ นี้ด้วย แล้วเขาจะมองข้ามมู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังตัวเองได้อย่างไร?
ทันทีที่คลื่นดวงจิตของมู่เฉินผิดปกติไป เขาก็เริ่มระวังตัวแล้ว
แต่เขาอยากรู้ว่าผลกระทบแปลกประหลาดนี้จะส่งผลให้คนทำเรื่องแบบไหนกันแน่ ดังนั้นเขาจึงได้ทำเหมือนไม่รู้ตัว ทั้งที่ในความเป็นจริง หุ่นซอมบี้ตัวเล็กได้เตรียมพร้อมรับคำสั่งอยู่ที่ทางเลี้ยวใกล้ๆ นี้แล้ว
“สรุปแล้วคือทำให้คนฆ่ากันเองสินะ…”
หลิงม่อคิด
ผลกระทบนี้ดูเหมือนเพิ่งจะถูกแพร่กระจายได้ไม่นาน มู่เฉินนั้นเป็นเพราะเดิมเขามีอาการมึนงงอยู่แล้ว บวกกับไม่ใช่ผู้มีพลังจิตด้วย จึงทำให้ได้รับผลกระทบเป็นคนแรก
ที่สถานที่แห่งนี้ทำให้กองทัพอากาศต่างพากันหวาดกลัว เป็นเพราะเหตุผลนี้แน่ๆ
หากต้องการพิสูจน์ว่าเขาคิดถูกหรือไม่ ก็แค่ลองตามหาแถวๆ นี้ดูว่ามีซากเครื่องบินตกอยู่ไหมก็จะรู้เอง…
หลังจากตามหาเสี่ยวป๋ายจนเจอ เฮยซือก็เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างถนน แล้วมองลอดพุ่มหญ้าออกไปดูข้างนอก
เหมือนกับที่หลิงม่อคาดเดาไว้ บนถนนแทบไม่มีซอมบี้เหลืออยู่ให้เห็นแล้ว
ซอมบี้แถวๆ นี้ ถูกดึงดูดเข้าในห้างฯ หมดแล้ว…
รอบห้างสรรพสินค้าในตอนนี้เต็มไปด้วยซอมบี้มากมาย บางตัวถึงขนาดปีนขึ้นบนหัวพวกเดียวกัน และพยายามมุดเข้าไปในช่องลอดต่างๆ สุดชีวิต
หลังมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอบ เฮยซือพลันพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยซากรถยนต์ผุพังเป็นกำบังอำพรางกาย
—————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น