วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 697-703

ตอนที่ 697 คุณตัวเปียกกว่าฉันอีก เช็ดตัวเองให้แห้งก่อนเถอะ!

 

เมื่อฮั่วจิงจิงรู้ความจริง เธอก็รู้สึกเหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไป ตอนที่สุนัขตัวนั้นเข้ามาโจมตี เธอเพียงแค่อยากปกป้องฟังเย่ว์ ดังนั้นเธอจึงเต็มไปด้วยความกล้าหาญและไม่มีเวลามารู้สึกตกใจหรือหวาดกลัว


 


 


เหนือสิ่งอื่นใด เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีแผนการอันน่ารังเกียจซ่อนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ถึงเธอจะรู้เรื่องนี้ เธอก็คงไม่เป็นเหมือนถังหนิงที่เฝ้าระวังศัตรูของเธออย่างลับๆ มาเป็นเวลานานเพื่อรอการแก้แค้น


 


 


หลายครั้งที่เธอชื่นชมความอดทนและความตั้งใจของถังหนิง ถังหนิงเคยพูดว่าวงการนี้คือสถานที่ที่ผู้คนคอยเหยียบย่ำกันเอง หากไม่มีใครสร้างกฎและชี้แจงว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของพวกเขา ใครบางคนก็คงจะเหยียบไหล่คนเหล่านั้นเพื่อส่งเสริมตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง ศพของคนเหล่านั้นก็จะถูกพบอยู่บนพื้นโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง


 


 


หากเรื่องที่สุนัขโจมตีไม่เคยเกิดขึ้น ฮั่วจิงจิงอาจไม่ได้รับผลกระทบทางคววามรู้สึกขนาดนี้ ทว่าเมื่อผู้คนได้เผชิญหน้ากับชื่อเสียงเงินทอง พวกเขาก็ยอมทำทุกอย่าง ยอมใช้ทุกทางลัดแม้มันจะหมายความว่าต้องทำร้ายคนอื่นๆ ก็ตาม


 


 


“ต่อจากนี้เธอยังต้องรับมือกับซ่งซินอีกนะ วางแผนว่าจะทำอะไรเหรอ” ฮั่วจิงจิงเอ่ยถามผ่านทางโทรศัพท์


 


 


“เธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะนั่งอยู่เงียบๆ แล้วไม่ทำอะไรเลยเหรอ” ถังหนิงถามกลับ


 


 


“แต่ข่าวของต้วนจิ่งหงทำให้หล่อนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแล้วนะ เธอจะจับตาดูพฤติกรรมของหล่อน ใช่ไหม”


 


 


อันที่จริงความตั้งใจของถังหนิงคือกำราบความโอหังของซ่งซิน แต่เธอไม่คิดว่าเธอจะสามารถควบคุมซ่งซินได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น


 


 


“พอเถอะ เราเลิกคุยเรื่องน่าหงุดหงิดนี่กันดีกว่า ฉันเห็นว่าฟังอวี้กำลังเตรียมโปรโมตภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเธออยู่ เรื่องที่สามกำลังจะออกฉายแล้วสินะ ยินดีด้วย!”


 


 


ภาพยนตร์เรื่องที่สาม…


 


 


ความรู้สึกมันเหมือนนานมาแล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ถังหนิงนึกถึงใบหน้าอันพึงพอใจของเหล่าผู้ชมในขณะที่พวกเขาเดินออกจากโรงภาพยนตร์แล้ว เธอก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะได้สัมผัสความรู้สึกนั้นอีกกี่ครั้ง เธอก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย


 


 


เพราะถึงอย่างไร เธอก็เป็นนักแสดงหญิงที่ตั้งตารอปฏิกิริยาของเหล่าผู้ชม


 


 



 


 


มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในช่วงนี้ ทว่าอันจื่อเฮ่ากลับจดจ่ออยู่กับเฉินซิงเยียนและไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำของถังหนิงเลย


 


 


คืนนั้นฝนตกลงมาอีกครั้ง หลังจากถ่ายฉากในป่าเสร็จ ทีมถ่ายทำก็พากันรีบกลับไปที่โรงแรม แต่เมื่ออันจื่อเฮ่าไปถึง เฉินซิงเยียนกลับไม่อยู่ที่นั่น ดังนั้นชายหนุ่มจึงไปถามหาเธอกับผู้กำกับ


 


 


ผู้กำกับกุมหัวและคิดอย่างถี่ถ้วน หลังจากผ่านไปสองสามนาที เขาก็ตอบกลับมาในที่สุดว่า “ผมถ่ายฉากสุดท้ายกับหลิงหลง หลังจากนั้นผมก็แจ้งคนในกองทุกคนให้เก็บของกลับ เด็กกองพวกนั้นคงไม่ลืมแจ้งเธอหรอกใช่ไหม”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่รอฟังประโยคต่อไปของผู้กำกับ รีบวิ่งลงไปยังชั้นล่างเพื่อเตรียมรถทันที เขาจะขับกลับไปที่กองถ่ายในป่า


 


 


ในตอนนั้นหลิงหลงกำลังอยู่ที่ชั้นล่าง ทันทีที่เธอเห็นอันจื่อเฮ่า หญิงสาวก็หยุดเขาเอาไว้ “ผู้กำกับอันคะ ฉันจำได้ว่าเฉินซิงเยียนพูดว่าเธอจะกลับปักกิ่ง อยากลองโทรไปถามเธอก่อนไหมคะ”


 


 


ทันทีที่อันจื่อเฮ่าได้ยินเช่นนั้น เขาก็กดโทรหาเฉินซิงเยียนทันที ทว่าโทรศัพท์ของเธอถูกปิดเครื่องไปเสียแล้ว ในสภาพอากาศที่มีฝนตกโปรยปรายเช่นนี้ หากเฉินซิงเยียนวางแผนจะไปที่ไหน เธอคงบอกเขาไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่าแบตโทรศัพท์ของเธอจะหมด


 


 


หลังจากนั้น อันจื่อเฮ่าก็ก้าวขึ้นรถแล้วรีบกลับไปที่ปักกิ่ง ตอนนั้นเองที่หลิงหลงหยิบเอาโทรศัพท์ของเฉินซิงเยียนออกมาแล้วโยนมันลงถังขยะ


 


 


“นั่นคือสิ่งที่หล่อนได้รับจากการทำตัวอวดดีล่ะนะ”


 


 


หลิงหลงผู้นี้เพิ่งถูกลดระดับให้มาเป็นนักแสดงสมทบ ในขณะที่เฉินซิงเยียนได้รับบทนักแสดงนำหญิงกลับคืน


 


 


หลิงหลงนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก เธอรอโอกาสที่จะจัดการกับเฉินซิงเยียนมานาน ดังนั้นเมื่อได้รับโอกาสอันหายาก เธอจึงอยากเห็นว่าเฉินซิงเยียนจะอยู่รอดบนภูเขาที่มีสภาพอากาศอันโหดร้ายเช่นนี้ได้นานแค่ไหน


 


 



 


 


ระหว่างทางกลับไปยังปักกิ่ง อันจื่อเฮ่าเอาแต่คิดถึงคำพูดของหลิงหลงไม่หยุดหย่อน มีคนพูดอยู่บ่อยๆ ว่าผู้คนมักจะรู้สึกสับสนเมื่อปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตัวเองเกิดขึ้น ดังนั้นทำไมเขาถึงวางใจกับคำพูดของหลิงหลงอย่างง่ายดายและเชื่อว่าเฉินซิงเยียนกลับไปที่ปักกิ่งแล้วกันล่ะ


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ อันจื่อเฮ่าจึงรีบกลับรถแล้วขับตรงไปที่ภูเขาทันที ทว่าด้วยความที่ฝนตกหนักและถนนที่ไม่เสมอกัน รถของเขาจึงไปได้ไม่เร็วเท่าใดนัก


 


 


แต่เพราะเป็นเฉินซิงเยียน ชายหนุ่มจึงไม่สามารถคิดอะไรมากกว่านี้ได้ เขากระโดดออกจากรถโดยไม่หยิบร่มมาด้วยและตรงเข้าไปในป่าเพื่อตามหาเฉินซิงเยียนท่ามกลางสายฝน


 


 


“เสี่ยวซิง”


 


 


“ซิงเยียน”


 


 


เสียงหนึ่งลอยไปหาเฉินซิงเยียนจากระยะไกลๆ ชั่วขณะหนึ่งหญิงสาวคิดว่าตัวเองกำลังหลอน เธอติดอยู่ในป่าแห่งนั้นจริงๆ เพราะไม่มีใครบอกเธอว่าการถ่ายทำจบลงแล้วและเธอก็ผล็อยหลับไปที่กองถ่าย ทว่าหญิงสาวพบว่าโทรศัพท์ของเธอหายไปตอนที่ตื่นขึ้นมา


 


 


เดิมทีเธอตัดสินใจแล้วว่าจะนอนที่นั่นและออกจากภูเขาในตอนเช้า แต่หญิงสาวต้องประหลาดใจเพราะ…อันจื่อเฮ่าออกมาตามหาเธอ


 


 


เฉินซิงเยียนไม่ใช่ผู้หญิงบอบบาง แต่เมื่อเธอเห็นอันจื่อเฮ่าปรากฏตัวท่ามกลางสายฝน หญิงสาวก็แทบไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอจะโผเข้าใส่อ้อมแขนของเขา


 


 


โชคดีที่คนในกองถ่ายสร้างกระท่อมไม้เอาไว้ หญิงสาวจึงใช้มันหลบฝน ไม่อย่างนั้นแล้วเธอจะทนผ่านค่ำคืนนี้ไปได้อย่างไร


 


 


“เธอโอเคไหม” อันจื่อเฮ่าเอ่ยถามพลางกอดหญิงสาวไว้


 


 


“ฉันไม่เป็นไร” เฉินซิงเยียนพึมพำตอบ


 


 


อันจื่อเฮ่าตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะและระลึกขึ้นได้ว่าเสื้อของเขาเปียกชุ่มไปหมด เดิมทีเขาอยากจะผลักเฉินซิงเยียนออก แต่หญิงสาวไม่ยอมปล่อยเขา


 


 


“ฉันเปียกอยู่นะ เดี๋ยวเธอก็เป็นหวัดหรอก”


 


 


“ฉันไม่กลัว” เฉินซิงเยียนเถียงกลับอย่างเด็กๆ


 


 


“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ มาช่วยกันคิดหาทางออกจากภูเขานี้กันเถอะ” อันจื่อเฮ่าสังเกตเห็นว่ากระท่อมนั้นไม่สามารถกันลมได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงถอดเสื้อแจ็กเกตของตัวเองออกแล้วคลุมตัวซิงเยียนและตนเอง “ลงไปทั้งแบบนี้กันเถอะ รถฉันจอดอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่”


 


 


“ฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้นนะ…”


 


 


“ตอนนี้เธอมีฉันแล้วนะ ถึงเธอจะไม่ได้บอบบาง แต่ก็ควรทำตัวบอบบางต่อหน้าฉันหน่อย” อันจื่อเฮ่ากอดเฉินซิงเยียนพลางนำทางเธอออกมาจากกระท่อมหลังนั้น คู่รักเดินฝ่าฝนไปถึงรถของอันจื่อเฮ่าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ก้าวขึ้นรถกันแล้ว อันจื่อเฮ่าก็เอื้อมไปหยิบผ้าห่มจากเบาะด้านหลังมายื่นให้เฉินซิงเยียน “เช็ดตัวให้แห้งเลย…”


 


 


“นายตัวเปียกกว่าฉันอีก เช็ดตัวเองให้แห้งก่อนเถอะ!”


 


 


“หยุดว่าฉันได้แล้ว ฉันต้องขับรถ” อันจื่อเฮ่ากล่าวก่อนจะติดเครื่องยนต์แล้วขับกลับที่ยังโรงแรมที่เหล่านักแสดงและคนในกองถ่ายพักอยู่


 


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา อันจื่อเฮ่าก็ดันตัวเฉินซิงเยียนเข้าไปในห้องของเขาแล้วออกคำสั่งว่า “อาบน้ำซะสิ”


 


 


“แล้วนายล่ะ”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่ตอบพลางพุ่งตัวไปที่ห้องของหลิงหลงแล้วเคาะประตู แน่นอนว่าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด ชายหนุ่มพาพนักงานโรงแรมคนหนึ่งมากับเขาด้วย


 


 


หลิงหลงเปิดประตูด้วยความสงสัยและพบว่าอันจื่อเฮ่ากำลังยื่นมือข้างหนึ่งออกมา “เอาโทรศัพท์เครื่องนั้นคืนมา!”


 


 


“ฉันไม่เข้าใจค่ะ”


 


 


“ต้องเข้าใจสิ โทรศัพท์เฉินซิงเยียนอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของอันจื่อเฮ่าแฝงไปด้วยความอันตราย “ถ้าคุณไม่บอกผมตอนนี้ ผมขอรับประกันได้เลยว่าคุณจะถูกไล่ออกจากทีมนักแสดงภายในวันพรุ่งนี้ ผมมั่นใจว่าคุณรู้นะครับว่าเฉินซิงเยียนคือน้องสาวของโม่ถิง”


 


 


ใบหน้าหลิงหลงซีดเผือดไปด้วยความหวาดกลัว


 


 


แต่เธอยังคงไม่ยอมรับว่าเธอมีโทรศัพท์เครื่องนั้น “ฉะ…ฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะว่าคุณกำลังพยายามพูดเรื่องอะไรอยู่ ผู้กำกับอันคะ ฉันคิดว่าเรากำลังเข้าใจผิดกันแล้วนะคะ”


 


 


“เยี่ยมครับ เยี่ยมที่สุด!” พูดจบอันจื่อเฮ่าก็ไปจากห้องของหลิงหลง 

 

 


ตอนที่ 698 งั้น...ขอจูบบ่อยกว่านี้อีกได้ไหม?

 

ครู่ต่อมา อันจื่อเฮ่าก็กดโทรหาถังหนิง เขาอยากให้โม่ถิงช่วยเฉินซิงเยียนแก้แค้น…


 


 


ในที่สุดเมื่อชายหนุ่มกลับถึงห้อง เฉินซิงเยียนนั้นเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ และเมื่อเธอเห็นความโกรธบนใบหน้าของอันจื่อเฮ่า หญิงสาวก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาไปเอาคืนหลิงหลงมา ดังนั้นเธอจึงส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “นายไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้”


 


 


“ฉันไปยืนหยัดเพื่อเธอมานะ บ่นทำไมเนี่ย”


 


 


“เมื่อก่อนไม่เคยมีใครยืนหยัดเพื่อฉันมาก่อนเลย” เฉินซิงเยียนหัวเราะ “แล้วชีวิตของฉันก็ยังออกมาราบรื่นดี ใช่ไหมล่ะ”


 


 


นั่นเป็นเพราะเฉินซิงเยียนปกป้องตัวเองมาโดยตลอดจนเธอกลายเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครและมีความเป็นตัวเองสูงมาก


 


 


“นั่นมันเมื่อก่อน…”


 


 


เฉินซิงเยียนโผกอดอันจื่อเฮ่าอีกครั้ง ร่างนุ่มๆ ของเธอแนบชิดกับร่างที่เปียกปอนของชายหนุ่ม…


 


 


“ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนสักหน่อยเถอะ…” อันจื่อเฮ่าดันตัวเฉินซิงเยียนออกด้วยความกลัวว่าเขาจะทำตัวหุนหันและทำบางอย่างที่ไม่น่าให้อภัยลงไป


 


 


“แต่นายก็ต้องอาบน้ำเหมือนกันไม่ใช่เหรอ…”


 


 


“อย่าสนใจฉันเลย” อันจื่อเฮ่าจับหัวเฉินซิงเยียนให้อยู่กับที่เพื่อป้องกันไม่ให้เธอซี้ซั้วขยับตัว “ฉันเองก็มีความต้องการนะ ถ้าเธอยังซี้ซั้วขยับตัวอยู่แบบนี้ ฉันอาจจะกินเธอไปทั้งตัวก็ได้นะ”


 


 


เฉินซิงเยียนตัวแข็งทื่อแล้วมองหน้าอันจื่อเฮ่าด้วยสายตาว่างเปล่า


 


 


อันจื่อเฮ่าถอนหายใจ ขณะที่เขากำลังจะหมุนตัวกลับหลัง เฉินซิงเยียนก็เข้าสวมกอดเขา “ฉันไม่เชื่อหรอก!”


 


 


“อย่าทำตัวเหมือนนักเลงสิ การตัดสินใจของผู้หญิงควรผ่านการคิดทบทวนอย่างรอบคอบนะ”


 


 


“งั้น…ทุกอย่างที่ผ่านการคิดทบทวนอย่างรอบคอบคือสิ่งที่ถูกเหรอ การตัดสินใจของผู้หญิงสักคนไม่ได้เปลี่ยนไปตามผู้ชายที่เธอพบงั้นเหรอ”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่อันจื่อเฮ่าแพ้เฉินซิงเยียนด้วยวาจา


 


 


“คืนนี้นอนที่นี่เถอะ”


 


 


“คนในกองถ่ายจะรู้เข้านะ”


 


 


“ทุกคนเขาดูออกกันหมดแล้วล่ะว่านายชอบฉัน” เฉินซิงเยียนกล่าวพร้อมแก้มที่แดงขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


“มันจะทำลายชื่อเสียงของเธอหมดน่ะสิ” อันจื่อเฮ่ากล่าวด้วยท่าทีเข้มงวด “ฟังฉันนะ ไปนอนได้แล้ว”


 


 


“ถ้านายปฏิเสธฉันอีก พรุ่งนี้ฉันจะจูบนายต่อหน้าคนทั้งกองถ่าย!” เฉินซิงเยียนขู่อย่างเด็กๆ


 


 


“สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สนใจเรื่องอาชีพนักแสดงของเธอเลยใช่ไหม ผู้หญิงที่ไหนเขาทำอะไรตามอำเภอใจอย่างเธอกัน เธอขอให้ผู้ชายค้างคืนด้วยง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน”


 


 


อันจื่อเฮ่าดูเหมือนจะพร้อมระเบิดความโกรธออกมาทุกที ทว่า…เฉินซิงเยียนเอาหัวถูกับหน้าอกของชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “ไม่มีใครเคยทำกับฉันอย่างที่นายทำมาก่อน นายใจดีกับฉัน นายเป็นห่วงและดูแลฉัน ตั้งแต่พ่อจากไป ฉันก็ไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกของการถูกปกป้องอีกจนกระทั่งตอนนี้ ที่ฉันขอให้นายอยู่ไม่ใช่เพราะฉันอยากให้มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา ฉันก็แค่อยากจะเก็บความรู้สึกของการถูกปกป้องนี้เอาไว้ให้นานขึ้นอีกนิด”


 


 


อันจื่อเฮ่าตะลึงกับคำพูดของเฉินซิงเยียน หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ ชายหนุ่มก็พลันคลุมตัวเธอด้วยเสื้อแจ็กเกตของเขา “ไปกันเถอะ”


 


 


“ไปไหน”


 


 


“ไปถึงแล้วเธอจะรู้เอง”


 


 


ไม่พูดเปล่า อันจื่อเฮ่าพาเฉินซิงเยียนออกมาจากห้อง ชายหนุ่มคุยโทรศัพท์กับผู้กำกับไปด้วยขณะที่เดิน “ผู้กำกับครับ หลิงหลงขังเฉินซิงเยียนเอาไว้บนภูเขาและทำให้เธอเปียกฝนไปทั้งตัว ตอนนี้ผมกำลังพาเธอไปโรงพยาบาล ช่วยเตรียมตารางถ่ายทำของวันพรุ่งนี้ทีครับ”


 


 


ทันทีที่ผู้กำกับได้ยินว่าหลิงหลงทำอะไรลงไป เขาก็ตอบทันทีว่า “ได้ ดูแลเธอให้ดีล่ะ”


 


 


อันจื่อเฮ่าไม่พูดอะไรอีกและนำทางเฉินซิงเยียนออกจากโรงแรมต่อไป ชายหนุ่มลงเอยด้วยการพาเธอไปโรงพยาบาลตามที่บอกกับผู้กำกับไว้ แต่เขาไปซื้อแค่ยาแก้ไข้หวัด


 


 


หลังจากนั้น อันจื่อเฮ่าก็พาเฉินซิงเยียนไปที่บ้านตากอากาศริมทะเลเพื่อนอนค้างคืน


 


 


สถานที่แห่งนั้นเงียบสงบและเป็นของเพื่อนคนหนึ่งของชายหนุ่ม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เสี่ยงถูกตามหรือถ่ายภาพ


 


 


เฉินซิงเยียนไม่ได้คาดคิดว่าอันจื่อเฮ่าจะพาเธอมายังที่พักอีกแห่ง หัวใจเธอเริ่มเต้นระรัวด้วยความตกใจและความคาดหมาย…


 


 


“เอาเลยสิ ในที่สุดเธอก็สามารถอาบน้ำและพักผ่อนได้แล้วใช่ไหม” อันจื่อเฮ่าเอ่ยถามอย่างเสียมิได้


 


 


หากเฉินซิงเยียนเชื่อฟังตั้งแต่แรก ตอนนี้เธอคงได้หลับฝันหวานไปแล้ว


 


 


“แต่…มันมีแค่เตียงเดียวเองนะ…” เฉินซิงเยียนกล่าวพลางชี้ไปที่เตียงเตียงนั้น “นาย…”


 


 


“ดูเข้าสิ เธอไม่ใช่หญิงชราสักหน่อยนี่ ทำไมความคิดเธอถึงได้ซับซ้อนแบบนี้”


 


 


ขณะที่อันจื่อเฮ่ากำลังจะพูดว่าเขาจะนอนที่โซฟา เฉินซิงเยียนก็พลันเขยิบตัวเข้ามาใกล้และกัดริมฝีปากเขาอย่างเย้ายวน


 


 


ดวงตาอันจื่อเฮ่าเบิกกว้าง เขาอยากจะผลักเธออก แต่หญิงสาวเริ่มลูบไล้มือทั้งสองข้างไปทั่วทั้งร่างของเขา


 


 


อันจื่อเฮ่านั้นต้านทานความต้องการไม่ไหว ดังนั้นชายหนุ่มจึงกดเฉินซิงเยียนลงกับเตียงแล้วจูบเธอด้วยความหลงใหล แก้มของพวกเขาแดงระเรื่อ ทว่าหลังจากผ่านไปสักพัก อันจื่อเฮ่าก็ปล่อยเธอแล้วเตือนว่า “ไปนอนพักผ่อนเลย หยุดคิดอะไรมากเกินไปได้แล้ว แค่จูบเท่านั้น ห้ามคิดจะทำอย่างอื่น!”


 


 


“เมื่อไหร่จะทำได้มากกว่าจูบล่ะ”


 


 


“เธอยังอายุไม่ถึงยี่สิบเลย อย่ามาคุยเรื่องผู้ใหญ่ๆ กับฉันสิ” อันจื่อเฮ่ากล่าวพลางบีบจมูกของหญิงสาว


 


 


“งั้น…ฉันขอจูบนายบ่อยกว่านี้ได้ไหม”


 


 


อันจื่อเฮ่าลุกจากปลายเตียงแล้วคลุมหัวหญิงสาวด้วยผ้าขนหนูแห้งๆ “ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเธอ”


 


 


“ที่นี่ดูเงียบสงบมากเลยเนอะ” เฉินซิงเยียนพึมพำขณะที่เพลิดเพลินไปกับบริการเช็ดผมอันแสนพิเศษที่อันจื่อเฮ่ามอบให้


 


 


“เพื่อนฉันเปิดกิจการนี้น่ะ ทำเลไม่เลวเลย” อันจื่อเฮ่าตอบ


 


 


“งั้นจากนี้ไปมาทำที่นี่ให้เป็นจุดนัดพบลับของเราสองคนกันเถอะ คิดว่าไง เราไม่น่ามีโอกาสไปออกเดตกันบ่อยนักเพราะตัวตนของเราทั้งสองคน”


 


 


เมื่อได้ยินคำบ่นของเฉินซิงเยียน อันจื่อเฮ่าก็หยุดเช็ดผมของเธอ ชายหนุ่มพลันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้กีดกันหลายๆ สิ่งที่ไม่ควรถูกกีดกันจากเธอ เด็กสาวที่โหยหาความรักและความหวานที่เธอปรารถนาจากคนรักของเธอ


 


 


เป็นผลให้อันจื่อเฮ่าตอบตกลง แม้ว่าเดิมทีเขาอยากจะปฏิเสธก็ตาม


 


 


ชายหนุ่มรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าพวกเขาถูกจับได้ แต่เขาก็ยังตรงดิ่งไปยังความอันตรายนั้น


 


 


เพราะเฉินซิงเยียนนั้นช่างน่าอัศจรรย์และเขาก็ไม่อยากเสียเธอไป…


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน ถังหนิงเล่าเรื่องที่อันจื่อเฮ่าโทรมาให้โม่ถิงฟังขณะที่กำลังนอนพิงแผงอกของชายหนุ่ม


 


 


“ถิงคะ…เรื่องเฉินซิงเยียนน่ะ ไม่คิดว่าอันจื่อเฮ่าทำเกินขอบเขตของเขาไปหน่อยเหรอคะ”


 


 


“นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากเห็นหรอกเหรอครับ” โม่ถิงกอดถังหนิงพลางวางฝ่ามืออุ่นๆ ลงบนท้องของเธอแล้วเพลิดเพลินไปกับการเคลื่อนไหวของเด็กที่อยู่ในนั้น


 


 


“คุณเป็นพี่ชายคนโตของซิงเยียนนะคะ ในเมื่อน้องสาวของคุณกำลังเป็นทุกข์ ฉันก็คิดว่าคุณควรช่วยเธอ”


 


 


โม่ถิงไม่ตอบอะไร เขาเพียงแต่จดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวใต้ฝ่ามือเขา หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดชายหนุ่มก็กระซิบที่ข้างหูของถังหนิงอย่างยั่วยวนว่า “รีบๆ คลอดสักทีสิครับ…”


 


 


“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันตัดสินใจได้นะคะ” ถังหนิงประคองหลังของเธออย่างเหน็ดเหนื่อย “เมื่อไหร่ตึกข้างๆ จะปรับปรุงเสร็จคะ”


 


 


“ลูกของเราจะย้ายเข้าไปอยู่ได้หลังจากที่คุณคลอดเขาแล้วครับ”


 


 


“มันจะไม่ดีกับลูกหรือเปล่าคะ”


 


 


“เราปรับปรุงตามแนวทางอย่างเข้มงวดครับ จะไม่เป็นอันตรายกับลูกอย่างแน่นอน” โม่ถิงตอบ “ผมเกือบจะลืมไปแล้วนะครับว่าคุณดูเป็นยังไงตอนที่ยังไม่ตั้งท้อง…”


 


 


“ฉันอ้วนเหรอคะ ฉันต้องดูแย่แน่ๆ” ถังหนิงปิดแก้มทั้งสองข้างแล้วถอนหายใจ


 


 


โม่ถิงหัวเราะโดยที่ไม่ตอบคำถามของถังหนิง เขาเพียงแต่เอนตัวไปหาหูของหญิงสาวแล้วพูดบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิงออกมา “คุณไม่ได้ดูแย่หรอกครับ…ก็แค่เราทำกิจกรรมอย่างว่าได้ไม่ค่อยสะดวกเท่านั้นเอง…” 

 

 


ตอนที่ 699 สู้จนหลังชนฝา

 

โม่ถิงจะไม่สนใจเรื่องเฉินซิงเยียน ไม่อย่างนั้นแล้ว งานของอันจื่อเฮ่าก็คงจะไร้ความกังวลจนเกินไป


 


 



 


 


หลายวันที่ผ่านมา ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องใหม่ล่าสุดของถังหนิงหรือ ‘คนรักที่สาบสูญ’ ที่มีความยาวสามสิบวินาทีถูกฉายซ้ำๆ บนจอภาพขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านนอกไห่รุ่ย เนื่องจากมันกำลังจะออกฉายอีกในไม่ช้า


 


 


ทุกคนที่เดินผ่านจะชำเลืองมอง แม้แฟนคลับจำนวนมากจะเคยเห็นตัวอย่างภาพยนตร์นี้มาก่อน ถังหนิงก็ยังมีแรงดึงดูดอันวิเศษอยู่ดี นักสู้ผู้เยือกเย็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่พบได้ในชีวิตประจำวัน แต่วิธีที่ตัวละครของเธอตามหาสามีอย่างเต็มที่และวิธีที่เธอแสดงออกมาอย่างสมจริงสมจังนั้นทำให้ผู้หญิงคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนพวกเขาเข้าใจและสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเธอ


 


 


เดิมทีภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกฉายในช่วงวันหยุด แต่เพราะหลายๆ อีเวนต์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ทำให้สาธารณชนมีมุมมองด้านลบ โม่ถึงตัดสินใจเลื่อนวันออกฉายขึ้นมาและใช้โอกาสนี้ดึงดูดความสนใจของพวกเขา


 


 


ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นทั้งในด้านดราม่าและการต่อสู้ ดังนั้นไห่รุ่ยจึงคาดหวังกับมันเป็นอย่างยิ่ง มันจะออกฉายในวันที่ยี่สิบเอ็ดเมษายนและทำให้ถังหนิงโด่งดัง พวกเขาคาดว่ายอดขายจะถล่มทลาย ทว่ามีโรงภาพยนตร์เจ้าหนึ่งที่ไม่คิดจะฉายมันเลย โรงภาพยนตร์ไคหวงนั่นเอง!


 


 


พวกเขาเป็นดาวดวงใหม่ในวงการและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทว่าการตัดสินใจของพวกเขาทำให้ทุกคนต้องตกใจ


 


 


โม่ถิงขอให้ฟังอวี้รับมือกับปัญหานี้ แต่อีกฝ่ายติดต่อหาพวกเขาก่อนและบอกว่าเจ้านายของพวกเขาต้องการเชิญโม่ถิงและภรรยามาร่วมทานอาหารเที่ยงด้วยกัน


 


 


โชคร้ายที่ถังหนิงผู้ตั้งท้องได้เก้าเดือนนั้นไม่ชอบขยับตัวไปมามากนัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรับคำเชิญให้ไปที่ไหนเลย อีกอย่าง หญิงสาวเองไม่รู้จักหรือเกี่ยวข้างกับชายคนนี้


 


 


“ผมเพียงแต่ขอให้คุณมาร่วมทานอาหารกับผมเท่านั้นครับ คุณกลัวว่าผมจะทำอะไรคุณอย่างนั้นเหรอ หรือบางทีไห่รุ่ยจะไม่อยากมีความสัมพันธ์อันกลมเกลียวภายในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ หรือคุณไม่คิดจะทำงานกับคู่ค้าเจ้าใหญ่ๆ ของไคหวง?”


 


 


ถังหนิงถูกผลักให้เข้าไปอยู่ในจุดที่ยากจะแข็งขืนด้วยคำพูดของเซียวอวี่เหอ เพราะถึงอย่างไร ไห่รุ่ยก็ยังมีผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ อยู่ หากเธอไม่ไป การขยายธุรกิจนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบเท่าไร ทว่าผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ก็คงจะไม่พอใจ


 


 


เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้มีเจตนาไม่ดี


 


 


“งั้นมาพบกันครับ” โม่ถิงตอบ


 


 


สองวันต่อมา ภายในโรงแรมในเครือไคหวง เซียวอวี่เหอเชิญโม่ถิงและถังหนิงไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารชั้นบนสุด


 


 


“ประธานโม่กับคุณหญิงโม่นี่เชิญตัวมาได้ยากจริงๆ ครับ…ผมพยายามอย่างมากที่จะพาคุณทั้งสองคนมาที่นี่” เซียวอวี่เหอสวมชุดสูทสีเทา ยืนด้วยท่าทางที่สง่างามดุจสุภาพบุรุษ จากภายนอกแล้ว เขาดูจะเป็นคนที่ค่อนข้างโดดเด่นเลยทีเดียว


 


 


“ฉันใกล้จะคลอดแล้วน่ะค่ะ ก็เลยขยับตัวไปไหนไม่ค่อยสะดวก” ถังหนิงยิ้ม “ขอโทษจริงๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รักษาน้ำใจคุณ”


 


 


“ผมเคยได้ยินเรื่องที่ประธานโม่กับคุณหญิงโม่รวมพลังกันสร้างธุรกิจจนประสบความสำเร็จ…”


 


 


“ประธานเซียวคะ เลิกพูดจาอ้อมค้อมแล้วว่ากันมาตรงๆ ดีกว่าค่ะ” ถังหนิงพูดขึ้นมาจนเหมือนกับว่าเธอคือผู้จัดการของโม่ถิง ถึงอย่างไร โม่ถิงก็ไม่คิดจะพูดกับชายคนนี้เพราะโม่ถิงไม่สนใจเขา


 


 


“ซ่งซินเป็นแฟนสาวของผม ผมจึงอยากเห็นความก้าวหน้าของเธอในไห่รุ่ย ผมอยากให้ประธานโม่และคุณหญิงโม่ช่วยเบามือกับเธอหน่อย ผมยังหวังอีกว่าพวกคุณจะหยุดกดขี่เธอมากเช่นนี้” เซียวอวี่เหอเลิกระแวงหลังจากเห็นความตรงไปตรงมาของถังหนิง


 


 


“ภาพยนตร์ของคุณหญิงโม่กำลังจะออกฉาย ผมลองดูแล้วและรู้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดี…แต่คุณพ่อของผมกลับไม่คิดเช่นนั้น นั่นคือเหตุผลที่เรายังไม่ได้กระจายมันไปยังโรงภาพยนตร์ในเครือของเรา


 


 


“ที่ผมพยายามจะพูดก็คือ ผมขอหาทางออกร่วมกันกับประธานโม่ได้ไหมครับ หากคุณมอบงานที่ดีที่สุดให้ซ่งซิน ผมก็จะมอบแผนการฉายที่ดีที่สุดให้กับภาพยนตร์ของคุณหญิงโม่”


 


 


แสดงว่า…เป็นเพราะซ่งซินสินะ…


 


 


“ประธานโม่ควรจะเข้าใจผมมากที่สุดใช่ไหมครับ เพราะถึงอย่างไรคุณก็มีคุณหญิงโม่เพียงคนเดียว ผมเพียงแต่ไม่อยากให้ซ่งซินของผมต้องเจ็บปวด ดูเธอสิครับ ไม่มีใครสนใจหรือช่วยเธอจัดการอะไรเลยนับตั้งแต่ผู้จัดการของเธอได้รับบาดเจ็บ…แค่คิดถึงมันผมก็ปวดใจแล้วครับ”


 


 


เซียวอวี่เหอนั้นไม่เหมือนซ่งซิน เขาดูเป็นคนน่าเชื่อถือ แต่อ่านออกได้ยาก


 


 


หากพิเคราะห์ดูดีๆ แล้วจะรู้ว่า เขาดูทั้งยืดหยุ่นและคุกคามในคราวเดียวกัน


 


 


ตอนนั้นเองที่โม่ถิงตอบโต้ ชายหนุ่มพาดแขนกับพนักเก้าอี้ของถังหนิงพลางมองหน้าเธอแล้วเอ่ยว่า “ในกรุงปักกิ่งนี้มีคนไม่มากนักที่กล้าพอจะขู่ผม”


 


 


“งั้นเหรอครับ ผมว่าประธานโม่ต้องทำตัวให้ชินแล้วล่ะ…” เซียวอวี่เหอหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ


 


 


“แต่ประธานเซียวครับ ผมว่าคุณอาจจะเข้าใจผิด…” โม่ถิงถอนสายตาจากถังหนิงขณะที่ดวงตาสีดำดุจเพชรของเขาลุกโชนขึ้นด้วยประกายแห่งความชาญฉลาด “ซ่งซินเป็นศิลปินของผมและผมก็ไม่ชอบเวลาที่ศิลปินของผมแหกกฎที่อยู่ในสัญญา ยกตัวอย่างเช่น ในสัญญาของซ่งซินมีกฎบอกอยู่อย่างชัดเจนว่าเธอไม่สามารถคบใครได้ระหว่างที่มีสัญญากับบริษัท


 


 


“นอกจากนี้ รองประธานของเราเป็นคนจัดการปัญหาของซ่งซิน ถ้าผมต้องดูแลศิลปินทุกคนด้วยตัวเอง ผมจะเหนื่อยแค่ไหนล่ะครับ หืม..


 


 


“อันดับสุดท้าย ไม่ว่าคุณจะอยากจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้หรือไม่ ก็เป็นการตัดสินใจของคุณ แต่คุณประเมินค่าสถานการณ์นี้สูงเกินไปแล้วครับ ผมไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เหมือนที่คุณคิดหรอก คุณคิดว่าไห่รุ่ยจะเสียหายแค่ไหนเหรอครับ ผมว่าคุณควรควบคุมทัศนะในการข่มขู่ของคุณนะ จากที่ผมเห็น คุณควรจะอ้อนวอนผมแทนด้วยซ้ำ”


 


 


พูดจบโม่ถิงก็มองหน้าถังหนิง น้ำเสียงเขาไม่เย็นชาอีกแล้ว “ดื่มซุปไก่สักหน่อยนะครับ พักหลังมานี้คุณทานน้อยมากเลย”


 


 


“อือฮึ” ถังหนิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟังพลางสนใจเรื่องของตัวเองแล้วดื่มซุปไก่นั้น


 


 


เจตนาเดิมของเซียวอวี่เหอคือกดดันคู่รักคู่นี้ ทว่าเขาต้องประหลาดใจเมื่อตัวเองพูดไม่ออกเพราะคำพูดของโม่ถิง เขาเถียงกลับชายคนนี้ไม่ได้เลย


 


 


เซียวอวี่เหอหัวเราะ ร้องไห้ หรือรู้สึกโกรธไม่ได้ ทว่าเขาไม่ต้องการยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาทานอาหารเที่ยงเสร็จ ชายหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อซ่งซินไม่ได้อยู่ในสายตาของประธานโม่ ทำไมถึงไม่ช่วยผมด้วยการยกเลิกสัญญากับเธอล่ะครับ ผมยินดีเสียยิ่งกว่ายินดีที่จะฝึกฝนและสนับสนุนเธอ”


 


 


“คุณโทรหารองประธานของไห่รุ่ยเพื่อหาปรึกษาเรื่องสัญญาของซ่งซินได้เลยครับ เราจะทำตามข้อตกลงที่อยู่ในสัญญา” โม่ถิงพูดปัด


 


 


“ประธานโม่ไม่คิดว่าตัวเองกำลังทำตัวแปลกๆ เหรอครับ ปฏิกิริยาของคุณทำให้ผมรู้สึกว่าซ่งซินเคยทำให้คุณไม่พอใจในทางใดทางหนึ่ง”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น โม่ถิงก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องเซียวอวี่เหอ


 


 


บางสิ่งนั้นก็ไม่จำเป็นนำมาต้องอธิบายกัน


 


 


เขาจะปล่อยซ่งซินไปได้อย่างไร เขาจะปล่อยคนที่พยายามทำร้ายถังหนิงและลูกของเขาไปได้อย่างไร


 


 


“จากนี้ไป ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับซ่งซิน คุณสามารถพูดกับรองประธานของไห่รุ่ยได้โดยตรง ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่น วันหนึ่งผมจะตอบแทนคืนให้คุณอย่างแน่นอน”


 


 


ในตอนท้าย เซียวอวี่เหอก็ทำตามเจตนาของเขาไม่สำเร็จแม้ว่ามื้ออาหารทั้งมื้อจะจบลงแล้ว


 


 


เขาขู่โม่ถิงไม่ได้ มิหนำซ้ำเขายังเอาการดูแลเป็นพิเศษมาให้ซ่งซินไม่ได้อีก และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขาเอาสัญญาของเธอกลับคืนมาไม่ได้


 


 


ตลอดช่วงเวลานั้น ซ่งซินถูกแยกออกจากทั้งสามด้วยกำแพงกระจก หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่โม่ถิงพูด ซ่งซินก็เข้าใจทัศนคติของเขาที่มีต่อเธอในที่สุด


 


 


ซ่งซินรู้สึกว่าทั้งร่างของเธอกำลังพลุ่งพล่านไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ ในตอนท้าย หญิงสาวไม่มีทางเลือกนอกเสียจากถูกถังหนิงกดขี่ เธอถูกถังหนิงกดขี่อย่างหนักหน่วง!


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งเดียวที่เธอทำได้ก็คือทุ่มไปให้สุดและสู้จนหลังชนฝา! 

 

 


ตอนที่ 700 ใครลอกใครกันแน่

 

‘คนรักที่สาบสูญ’ กำลังจะออกฉาย และผู้คนทุกช่วงวัยก็ให้ความสนใจมันอย่างใกล้ชิดด้วยความคาดหวัง ถังหนิงนั้นดึงดูดช่องขายตั๋วและภาพยนตร์ต่อสู้ก็เป็นโปรดักชั่นใหญ่ ดังนั้นตัวอย่างภาพยนตร์ความยาวสามสิบนาทีจึงมากพอที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกอัศจรรย์ใจ ไม่ต้องพูดถึงภาพยนตร์ตัวเต็มที่มีความยาวสองชั่วโมงเลย


 


 


ทุกคนตั้งตารอวันที่ยี่สิบเอ็ดเมษายนในขณะที่เหล่าแฟนคลับแสดงการสนับสนุนของพวกเขาด้วยวิธีการมากมาย ทว่าหนึ่งวันก่อนการออกฉายอย่างเป็นทางการ…


 


 


…โพสต์ออนไลน์ที่มีชื่อเรื่องว่า [ยืนยันแล้ว ‘คนรักที่สาบสูญ’ ลอกเขามา สนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้เท่ากับสนับสนุนอาชญากรรม!] ก็เข้ามาดึงดูดความสนใจของทุกคน


 


 


ด้วยความตระหนักถึงลิขสิทธิ์ของสาธารณชนที่เพิ่มสูงขึ้น ตอนนี้คนส่วนมากจึงไม่ยอมทนกับการคัดลอกผลงาน ในโพสต์นั้นมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ‘คนรักที่สาบสูญ’ นั้นขโมยความคิดมาจากนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ ตั้งแต่เส้นเรื่องหลักไปจนถึงโครงสร้างของเรื่องราวทั้งหมด ทุกอย่างนั้นคล้ายคลึงกันจนน่าหวาดกลัว ดังนั้นโพสต์ที่ว่าจึงดึงดูดความโกลาหลขนาดย่อมๆ ทันทีที่มันถูกปล่อยออกมา


 


 


[ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นความคิดที่ถูกขโมยมา! น่าเกลียดจริงๆ! ทีแรกฉันอยากดูภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะการแสดงของถังหนิง แต่ความคาดหวังของฉันมันพังทลายลงไปหมดแล้วล่ะ]


 


 


[การขโมยความคิดนั้นเป็นการกระทำที่น่าอับอาย กำจัดภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไปและอย่าทำให้ตัวเองขายหน้าเลย!]


 


 


[โทษที พวกเราจะไม่ทนกับการลอกผลงานคนอื่น]


 


 


[ถังหนิงรู้เรื่องการขโมยผลงานนี้หรือเปล่านะ]


 


 


[แต่…ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินชื่อเรื่อง ‘นักแกะรอย’ มาก่อนเลยล่ะ]


 


 


 


 


ตามข้อมูลบนโลกออนไลน์ ‘นักแกะรอย’ คือนวนิยายออนไลน์ที่อัปเดตครั้งล่าสุดเมื่อสามปีก่อนซึ่งมีจำนวนตัวอักษาทั้งหมดห้าแสนสี่หมื่นตัว บางทีอาจเป็นเพราะผลตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร นักเขียนคนนี้จึงเขียนนวนิยายออกมาเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวและไม่เคยออกมาปรากฏตัวอีก


 


 


ทว่าสิ่งที่แปลกที่สุดเกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้ก็คือ ทำไมถึงไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้และทำไมบนโลกออนไลน์ถึงมีข้อมูลเกี่ยวกับมันน้อยเหลือเกิน


 


 


แต่ไม่ว่าจะทางไหน นวนิยายเรื่องนี้ก็ถูกปล่อยออกมาก่อน ‘คนรักที่สาบสูญ’ จริงๆ ดังนั้นคำครหาที่ว่าจึงยิ่งดูน่าเชื่อถือ


 


 


[พวกเขาลอกมันมาเพราะมันไม่ดังอย่างนั้นเหรอ]


 


 


[พวกขี้เลียนแบบ น่าอายจริงๆ!]


 


 


ในส่วนนี้ ไห่รุ่ยตอบโต้ทันทีและประกาศว่าพวกเขาจะเริ่มต้นการสอบสวนและเปิดเผยข้อเท็จจริง


 


 


หลังจากนั้น ไห่รุ่ยก็ติดต่อคนเขียนบทนี่โกรธเกรี้ยวและรู้สึกไม่ชอบมาพบกล “นี่คือการดูถูกตัวละครของผมชัดๆ ในอดีตผมเขียนบทภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลมามากมาย ทำไมผมต้องลอกงานของใครบางคนเพื่อทำลายชื่อเสียงของตัวเองด้วยล่ะ”


 


 


ในตอนท้าย นักเขียนบทส่งมอบชิ้นงานสร้างสรรค์ของเขาทั้งหมดให้ดูโม่ถิงเป็นหลักฐานด้วยความกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่เชื่อเขา


 


 


“ท่านประธานโม่ครับ ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมก็รับประกันได้เลยครับว่าผมไม่ได้ลอกงานใคร รบกวนสืบเรื่องปัญหานี้อย่างละเอียดและช่วยให้ผมได้รับความยุติธรรมด้วย ผมไม่ทราบจริงๆ ว่านิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ มาจากไหน”


 


 


คำอ้างนั้นมีข้อบกพร่องอยู่จริง


 


 


ทว่าสาธารณชนไม่สนใจที่จะมองหาความจริง สิ่งเดียวที่พวกเขารู้ก็คือ หากใครบางคนคัดลอกผลงานของคนอื่นมา พวกเขาก็ต้องคว่ำบาตรมันง่ายๆ เช่นนั้นเลย


 


 


ผลของการคัดลอกผลงานนั้นรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ถังหนิงเคยสัมผัสประสบการณ์นี้มาก่อนตอนที่บทภาพยนตร์เรื่อง ‘โง่’ รั่วไหลออกไปและโม่ถิงก็ปล่อยหนังสือออกมาเพื่อถือเอาลิขสิทธิ์ไว้ ทว่าเรื่องราวเช่นนี้กลับเกิดขึ้นในตอนที่ภาพยนตร์กำลังจะออกฉายอยู่รอมร่อ แล้วพวกเขาจะยังปล่อยฉายมันอยู่หรือไม่


 


 


พูดกันโดยหลักการแล้ว คนทั่วๆ ไปจะเดินหน้าปล่อยตารางฉาย และเริ่มฉายภาพยนตร์ตามปกติพร้อมกับบอกสาธารณชนไปด้วยว่าพวกเขาจะสืบสวนเรื่องนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาจะใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงที่เกิดขึ้นจากข่าวฉาวเพื่อจำหน่ายตั๋วให้หมด


 


 


อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับไห่รุ่ยและนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องรับมือกับปัญหาเช่นนี้ ดังนั้นเหล่าคณะผู้บริหารจึงให้ความสำคัญกับมันเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ โม่ถึงจึงออกมาประกาศด้วยตัวเองว่า “จนกว่าความจริงจะเปิดเผย เราจะเลื่อนการฉายภาพยนตร์ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ไห่รุ่ยจะไม่ทำให้สาธารณชนต้องเสียสายตาเพราะของที่ถูกคัดลอกมาและถังหนิงจะไม่มีวันใช้มันเป็นเครื่องพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเธอ


 


 


“โปรดรอให้เราคลี่คลายความเป็นจริง”


 


 


คนส่วนมากเห็นด้วยกับการตอบโต้ของไห่รุ่ย ถึงอย่างไร ไห่รุ่ยก็เป็นผู้นำของวงการบันเทิงและพวกเขาก็ทรงอำนาจดังเคย การเลื่อนฉายภาพยนตร์ออกไปนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขา แถมพวกเขายังไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความสูญเสียอีกด้วย


 


 


อย่างไรก็ตาม มีคนบางกลุ่มที่เชื่อว่าไห่รุ่ยกำลังหลีกหนีความรับผิดชอบ พวกเขายังสามารถรักษาเกียรติของตัวเองเอาไว้ได้ด้วยการทำเช่นนั้น


 


 


เพื่อให้การสืบสวนก้าวไปอีกขั้น โม่ถิงเชิญนักเขียนบทคนนั้นมายังห้องทำงานของเขาโดยตรง เพราะเห็นแก่ชื่อเสียงของตนเอง ชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบกว่าปีนำต้นฉบับทั้งหมดของเขามาที่ไห่รุ่ยด้วย “ผมไม่มั่นใจว่าทำไมมันถึงคล้ายกันขนาดนี้ ผมเขียน ‘คนรักที่สาบสูญ’ เอาไว้เมื่อสองปีก่อนจริงๆ แต่ผมไม่เคยลอกงานใคร”


 


 


โม่ถิงไม่พูดอะไรพลางส่งสายตาไปหาถังหนิง


 


 


ในตอนท้าย ถังหนิงตอบชายคนนั้นอย่างชัดเจนว่า “เราเชื่อคุณค่ะ”


 


 


“อันที่จริงผมคิดว่าคนเขียนเรื่อง ‘นักแกะรอย’ ลอกโคงสร้างจากบทของผม เพราะถึงยังไง เราก็มีฉายรอบพิเศษกันไปแล้วและเส้นเรื่องนั้นก็ไม่ใช่ความลับ” นักเขียนบทอธิบาย


 


 


“ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับนิยายออนไลน์ไหม คุณรู้ไหมคะว่ามันทำงานยังไง” ถังหนิงเอ่ยถาม


 


 


“ผมมีเพื่อนที่ทำงานอยู่ในวงการนั้นครับ ได้ยินมาว่าพวกเขาอัปเดตทุกวันตามจำนวนอักขระที่แน่นอน แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะได้เงินตามยอดผู้เข้าอ่าน” ชายวัยกลางคนตอบ


 


 


ถังหนิงตกอยู่ในห้วงคิดขณะที่โม่ถิงอธิบายว่า “เราจำเป็นต้องตรวจสอบนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ เพื่อหาคำตอบ”


 


 


“แต่มันถูกเขียนขึ้นก่อนบทของผมจริงๆ นะครับ”


 


 


นี่คือปัญหาที่ยุ่งยากที่สุด!


 


 


หากพวกเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าใครมาก่อน บทบาทของทั้งคู่ก็จะกลับกันทันที


 


 



 


 


ภาพยนตร์ถูกเลื่อนฉายและเหล่าสาธารณชนก็ตกอยู่ในความโกลาหล นี่แหละคือผลลัพธ์ที่ซ่งซินต้องการเห็น


 


 


เธอเตรียมการเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรงั้นหรือ อาจเป็นเพราะเธอคือส่วนหนึ่งของวงการนักเขียนเช่นกัน พูดกันโดยทั่วไปแล้ว นักเขียนหนังสือนั้นไม่มักใหญ่ใฝ่สูงเหมือนกับนักเขียนบท ดังนั้นพวกเขาจึงยินดีรับสิ่งใหม่ๆ ที่น่าสนใจภายในวงการ เป็นผลให้หญิงสาวคุ้นเคยกับนิยายออนไลน์และเข้าใจว่าพวกมันทำงานยังไง


 


 


ในเมื่อถังหนิงจะทำให้เธอลำบาก เธอเองก็สามารถทำให้ภาพยนตร์ของถังหนิงถูกขังลืมและไม่มีวันได้ออกฉายเช่นกัน


 


 


เธออยากเห็นว่าถังหนิงจะชนะรางวัลเฟยเทียนสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมได้อย่างไรหากเคยมีประวัติว่าไปปรากฏตัวในภาพยนตร์ที่คัดลอกงานของคนอื่นมา


 


 


ไม่แม้แต่จะคิดถึงมัน!


 


 


พวกเขากำลังพูดถึงการคัดลอกผลงานอยู่นะ! ทุกคนเกลียดการคัดลอกผลงาน!


 


 


อย่างไรก็ตาม ถังหนิงไม่ได้ทนทุกข์อย่างที่ซ่งซินสันนิษฐานเอาไว้ ด้วยว่าเธอก็คุ้นชินกับการพลิกผันมาหลายครั้งหลายคราวเสียแล้ว อีกอย่างหญิงสาวศรัทธาว่านักเขียนบทคนนี้ไม่ได้ลอกงานของคนอื่นและเชื่อว่ามีเหตุผลอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลังข่าวฉาวนี้


 


 


เธอเพียงแต่ต้องการเวลาอีกสักเล็กน้อยเพื่อทำความเข้าใจกับวงการที่ไม่คุ้นเคยและหาคำตอบอย่างเอาจริงเอาจัง เธอเองก็อยากรู้ความจริงและแก้ปริศนาที่อยู่เบื้องหลังช่วงเวลานั้น


 


 


ใครลอกใครกันแน่


 


 


เธอจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าผู้อาวุโสอู๋ไม่ได้คัดลอกผลงานของใคร


 


 


“พอได้แล้วค่ะ คุณใกล้จะคลอดแล้วนะคะ พักสักสองสามวันแล้วปล่อยให้ฟังอวี้จัดการกับเรื่องสืบสวนไม่ได้เหรอคะ” หลงเจี่ยทนดูถังหนิงรับมือกับปัญหานี้ด้วยตัวเองไม่ไหว


 


 


“ฉันพักได้ แต่คนที่กำลังจะโจมตีฉันจากมุมมืดน่ะไม่พักอยู่เฉยๆ หรอก” ถังหนิงตอบพลางมองนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’


 


 


“แต่มันก็เห็นได้ชัดเลยนะคะว่าเป็นการคัดลอกผลงานกัน นิยายเรื่องนั้นออกมาก่อนบทภาพยนตร์อยู่เป็นปีเลยนะคะ”


 


 


“มันต้องมีปัญหาอยู่อย่างแน่นอน ฉันหามันเจอแน่” ถังหนิงกล่าวพลางพลิกอ่านข้อมูลในมือ “หลงเจี่ย บอกฉันซิ เธอคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมที่จะแก้ไขวันปล่อยนิยายออนไลน์” 

 

 


ตอนที่ 701 ยังไงก็ต้องมีจุดบกพร่อง

 

หลงเจี่ยยักไหล่ทั้งสองข้าง เธอเองก็ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของวงการใหม่นี้เช่นกัน


 


 


เพื่อที่จะเร่งกระบวนการตามหาความจริง โม่ถิงสั่งให้ลู่เช่อติดต่อเจ้าของเว็บนิยายนั้นแล้วขอให้พวกเขาส่งหลักฐานมาให้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่อาณาจักรขนาดยักษ์อย่างไห่รุ่ย แต่ก็ยังมีเอกสารที่มีผลตามกฎหมายและรีบดึงไฟล์จากเมื่อสามปีก่อนออกมาอย่างรวดเร็ว สัญญาที่ประทับตราอย่างเป็นทางการของนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ นั้นพิสูจน์ว่าเมื่อสามปีก่อนนิยายเรื่องนี้มีอยู่จริง นี่เป็นหลักฐานที่แน่นหนามาก


 


 


“ท่านประธานครับ ทุกอย่างบ่งชี้ไปที่การคัดลอกผลงานอย่างเห็นได้ชัดและอีกฝ่ายก็ส่งหลักฐานมาให้เราแล้ว บทของผู้อาวุโสอู๋นั้นเป็นผลงานที่คัดลอกมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ”


 


 


โม่ถิงมองไปยังกระดาษสัญญาที่มีสีเหลืองจางๆ แล้วอ่านเนื้อหาของมันอย่างละเอียดก่อนจะโยนมันไว้ข้างๆ


 


 


“สืบต่อไป”


 


 


“คุณยังอยากสืบสวนต่อเหรอครับ” ลู่เช่อเอ่ยถาม เมื่อโม่ถิงเงยหน้าขึ้นมา ลู่เช่อก็จับศีรษะของเขาอย่างประหม่า “ที่ผมจะสื่อก็คือ เราควรคิดหาทางเยียวยาสถานการณ์แทนไหมครับ”


 


 


“ถ้าฉันพยายามเยียวยาสถานการณ์ก่อนที่จะรู้ความจริง ฉันอาจเจอปัญหาอื่นๆ ได้ ไห่รุ่ยจะมีแต่ต้องตบหน้าตัวเอง”


 


 


โม่ถิงเป็นผู้นำของไห่รุ่ย ทว่าเขาไม่เคยปล่อยให้ใครใช้ลูกเล่นสกปรกเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพวกเขา แม้หลายๆ ครั้งคนดีกับคนเลวจะได้พบกันในวงการบันเทิงบ้างก็ตาม


 


 


“แล้วถ้าผลการสืบสวนของเรายังเป็นเหมือนเดิมล่ะครับ”


 


 


“ยังไงก็ต้องมีจุดบกพร่องบ้างนั่นล่ะ”


 


 


ทำไมเขาถึงมั่นใจมากอย่างนั้นหรือ เพราะชายหนุ่มหยิบบทนี้ขึ้นมาจากกองบทเรื่องอื่นๆ ตอนที่เขานำบทฉบับนั้นไปให้ถังหนิง เขาได้ทำการค้นคว้ามาแล้ว ไห่รุ่ยไม่มีวันปล่อยให้เกิดการคัดลอกผลงาน ดังนั้นนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ นี้มาจากที่ไหนและมีสัญญาเป็นหลักฐานได้อย่างไร โม่ถิงพบว่ามันแปลกมากเหลือเกิน


 


 


ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจ


 


 


อย่างไรก็ตาม เวลาดูจะไม่ปรานีความคืบหน้าอันแสนเชื่องช้า หลังจากที่ข่าวฉาวเรื่องการคัดลอกผลงานบานปลายออกไป นักเขียนนิยายออนไลน์คนนั้นก็ออกมาพูดในที่สุด เขาจ้างทนายความมาหนึ่งคนและพร้อมที่จะร้องเรียนลิขสิทธิ์


 


 


เขาถึงกับบรรยายว่าไห่รุ่ยเป็นดั่งฉลามยักษ์ที่สามารถกลืนกินปลาเล็กๆ อย่างเขาได้ทั้งเป็น ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องชี้แจงสถานการณ์ดังกล่าวอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต นี่เป็นหนทางเดียวที่เขาจะสามารถทำให้ไห่รุ่ยถูกจับตามองและถูกตรวจสอบได้


 


 


เขาเรียกไห่รุ่ยว่าเป็นฉลามยักษ์!


 


 


นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้ไห่รุ่ยประพฤติตนให้เหมาะสมและหยุดปกป้องนักเขียนบทคนนั้นเสียที เขาไม่เพียงแต่เรียกร้องค่าชดเชยและคำขอโทษแต่ยังบอกให้ไห่รุ่ยระงับการฉาย ‘คนรักที่สาบสูญ’ ในโรงภาพยนตร์ทุกแห่งโดยอ้างว่านี่คือหนทางเดียวที่จะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว


 


 


ในฐานะที่เป็นเหยื่อ ทุกคำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผล


 


 


แล้วจู่ๆ เขาก็ดูเหมือนจะพูดแทนนักเขียนทุกคนในประเทศ นักเขียนทุกคนรวมตัวกันคว่ำบาตร ‘คนรักที่สาบสูญ’ อย่างรวดเร็วและเรียกร้องให้ผู้อาวุโสอู๋ออกมาขอโทษต่อหน้าสาธารณชน


 


 


ในตอนนั้นหลักฐานทุกชิ้นบ่งชี้ว่าผู้อาวุโสอู๋เป็นพวกลอกเลียนผลงานคนอื่น มันรู้สึกเหมือนกับไม่มีใครสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้


 


 


ผู้อาวุโสอู๋ทั้งโกรธทั้งรู้สึกแย่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสาธารณชนที่ไร้ความสามารถในการแยกแยะถูกผิด เขาก็ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ


 


 


[รีบออกมาขอโทษได้แล้ว! หยุดขี้ขลาดเสียที!]


 


 


[เมื่อก่อนนักเขียนบทคนนี้เขียนบทดีๆ เอาไว้มากมาย ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำเรื่องผิดพลาดอย่างนี้ หรือบางทีพรสวรรค์ของเขาจะหมดลงแล้ว]


 


 


[ไม่ว่ายังไงฉันก็คิดว่าพวกนักลอกผลงานควรจะตายๆ ไปให้หมดซะ]


 


 


 


 


เมื่อเห็นความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ ครอบครัวของผู้อาวุโสอู๋ก็ไม่กล้าบอกเขาเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือพากันนั่งถอนหายใจ


 


 


ขณะเดียวกัน ถังหนิงรุดไปเยี่ยมชายชราหลังจากที่รู้ว่าเขาล้มป่วย


 


 


“คุณไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เลยค่ะคุณถัง มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อีกอย่างคุณเองก็ใกล้จะคลอดแล้ว นี่มันอันตรายมากเลยนะคะ” ภรรยาของผู้อาวุโสอู๋อุทาน “ตาแก่ของฉันเป็นคนซื่อสัตย์มาตลอดทั้งชีวิต ฉันไม่เชื่อว่าจะมีคนตัดสินใจมาใส่ร้ายเขาและจะไม่มีวันเชื่อว่าเขาลอกงานของใคร ในทางกลับกัน”


 


 


“หลานชายของฉันกลับเรียกคุณปู่ของเขาว่าคนไร้ยางอายระหว่างที่ทานอาหารเย็นเมื่อวานนี้! ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่บอกฉันสิคะว่าตาแก่ของฉันจะรับมือกับทั้งหมดนี่ยังไงด้วยอายุปูนนี้”


 


 


หลังจากได้ยินเช่นนั้น ถังหนิงก็พยายามปลอบใจหญิงชรา “ฉันเชื่อในตัวผู้อาวุโสอู๋ค่ะ ดังนั้นฉันจึงยังไม่ยอมแพ้เรื่องล้างมลทินให้เขา ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แสดงบทของเขาค่ะ”


 


 


“ขอบคุณมากค่ะคุณถัง”


 


 


ถังหนิงส่ายหน้า ในความเป็นจริงแล้ว หญิงสาวรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ เพราะเธอสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเพ่งเป้ามาที่เธอและผู้อาวุโสอู๋ก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง


 


 


ถังหนิงไม่สงสัยเลยว่าใครคือผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังความยุ่งเหยิงนี้ นอกเหนือจากซ่งซินแล้วจะมีใครอีกล่ะ


 


 


อันดับแรก ซ่งซินเป็นเพียงคนเดียวที่มีความแค้นกับเธอ และอย่างที่สอง ซ่งซินเป็นนักเขียน เธอย่อมเข้าใจว่าเว็บอ่านนิยายออนไลน์นั้นทำงานอย่างไร


 


 


อย่างไรก็ตาม ถังหนิงยังคงต้องการหลักฐานที่แน่นหนา


 


 


ดังนั้นหลังจากไปเยี่ยมผู้อาวุโสอู๋เสร็จ ถังหนิงจึงกลับไปที่บ้านแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานเพื่ออ่านนิยายทั้งห้าแสนสี่หมื่นตัวอักษรนั้นตั้งแต่ต้น…


 


 


ทว่า…ถังหนิงไม่ได้คาดว่าปัญหานี้จะร้ายแรง ใต้ความกดดันอันรุนแรงของโลกอินเทอร์เน็ตรวมถึงความเข้าใจผิดและความแคลงใจจากครอบครัว ผู้อาวุโสอู๋เขียนพินัยกรรมและกินยาเกินขนาดเพื่อที่จะฆ่าตัวตายในวันที่สามหลังจากที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แม้ครอบครัวจะพบตัวเขาได้ทันเวลา ปริมาณยาจำนวนมากนั้นก็ได้ส่งผลกระทบทำให้สมองเสียหายและทำให้เขายังไม่ฟื้นจากอาการโคม่า ขณะเดียวกัน เหล่าคุณหมอก็เตือนว่าถึงชายชราจะฟื้น ความเสียหายนั้นก็ยังร้ายแรงและอาจส่งผลให้เป็นโรคสมองเสื่อม


 


 


ทว่าจนกระทั่งตอนนี้ โลกอินเทอร์เน็ตก็ยังคงอ้างว่าสมควรกับเขาแล้ว และการที่เขาฆ่าตัวตายเพราะความรู้สึกผิดนั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง พวกเขาถึงกับสงสัยว่าทำไมชายชราถึงไม่ตายและจบทุกอย่างให้เรียบร้อยไปเสีย


 


 


“ไร้สาระสิ้นดี! เดี๋ยวนี้โลกอินเทอร์เน็ตน่ากลัวจริงๆ ชายชราคนนั้นโดนผลักมาจนถึงจุดนี้แล้วแต่พวกเขาก็ยังพูดเรื่องไร้สาระกันอยู่ได้ ฉันรู้สึกแย่แทนผู้อาวุโสอู๋จังค่ะ…”


 


 


หลังจากได้ยินความคิดเห็นของหลงเจี่ย ถังหนิงก็ตบโต๊ะเสียงดังลั่น หลงเจี่ยยกมือขึ้นมาทาบอกด้วยความหวาดกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นถังหนิงบันดาลโทสะ อารมณ์ของหญิงสาวนั้นไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของเธอมาก่อน


 


 


“คุณถังหนิงคะ…”


 


 


“ขอฉันอยู่เงียบๆ หน่อยนะ…”


 


 


หลงเจี่ยเข้าใจว่าถังหนิงอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าแล้วถอยออกจากห้องทำงานอย่างเงียบเชียบ ขณะที่กำลังจะหมุนตัวจากไป เธอก็พบว่าร่างสูงๆ ของโม่ถิงกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู


 


 


ผู้กอบกู้มาถึงแล้ว!


 


 


“นายใหญ่คะ…คุณถังหนิงกำลังโกรธค่ะ”


 


 


“ฉันได้ยินแล้วล่ะ” โม่ถิงตอบนิ่งๆ “เธอไปได้แล้ว ฉันจะดูแลถังหนิงเอง”


 


 


“ค่ะ” หลงเจี่ยวางใจขึ้นเยอะเมื่อมีโม่ถิงอยู่ ไม่มีใครอยากเห็นผลลัพธ์ในตอนที่อะไรๆ เลยเถิดมาจนถึงจุดนี้


 


 


ครู่ต่อมา โม่ถิงผลักประตูเข้าไปในห้องทำงาน ทันทีที่เห็นถังหนิงนั่งสิ้นท่าอยู่บนโต๊ะคอมพิวเทอร์ ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปดึงตัวหญิงสาวมาไว้ในอ้อมแขน “คุณจะเป็นแม่คนแล้วนะ ไม่รู้วิธีวิเคราะห์สถานการณ์และตอบโต้อย่างเหมาะสมเหรอครับ”


 


 


“ถิงคะ…ดูเหมือนฉันจะหาคำตอบของปัญหาในครั้งนี้ไม่ได้เลย ฉันหามันไม่เจอจริงๆ …”


 


 


“คุณแค่รู้สึกสับสนครับ ใช่ว่าจะหาคำตอบไม่ได้สักหน่อย” โม่ถิงปลอบพลางกอดเธอเอาไว้ “นี่คือสภาพที่ศัตรูอยากจะเห็นคุณครับ ยิ่งคุณโทษตัวเองมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งมีความสุข”


 


 


“แต่ว่า…” 

 

 


ตอนที่ 702 ถ้าผู้อาวุโสอู๋ไม่ได้ลอกงาน ไหนล่ะหลักฐาน

 

“ไม่มีคำว่าแต่ครับ ไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับถังหนิงที่ผมรู้จัก แม้ว่าจะไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน คำคำเดียวจากผมก็มากพอที่จะให้เธอเริ่มตั้งแต่ต้น ตอนนี้เองก็ไม่ต่างกัน คุณแค่กำลังสับสน…” โม่ถิงปลอบ “ผมลองอ่านบทของผู้อาวุโสอู๋แล้ว สไตล์การเขียนของเขามีความสอดคล้องกัน ดังนั้นความหวังเดียวของเราก็อยู่ในห้าแสนสี่หมื่นคำนี้แหละครับ”


 


 


ได้ยินคำพูดของโม่ถิง ถังหนิงก็สงบลงแล้วพยักหน้าในที่สุด “ค่ะ ฉันจะฟังคุณ คุณไม่เคยคิดผิด”


 


 


“คุณต้องเหนื่อยแล้วแน่ๆ ไปพักผ่อนนะครับ…”


 


 


ถังหนิงมองหน้าโม่ถิงเพื่อดูว่ามีโอกาสที่เธอจะเลี่ยงคำสั่งของเขาได้หรือไม่ ทว่าสีหน้าโม่ถิงนั้นหนักแน่น ดังนั้นเธอจึงไม่มาทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้า “ค่ะ ฉันจะไปพักผ่อน แต่ฉันจำเป็นต้องอยู่ข้างๆ คุณเพื่อให้ใจสงบนะคะ”


 


 


หญิงสาวไม่อาจใจร้อนกับเรื่องการหาคำตอบ สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้ก็คือฟื้นความสงบของเธอ


 


 


หลังจากนั้น ถังหนิงก็เอนกายลงในอ้อมแขนของโม่ถิงแล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป


 


 


ดูเหมือนเธอจะเหนื่อยจริงๆ …


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ โม่ถิงจึงเปิดแลปท็อปของเขาแล้วเลือกนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ โม่ถิงลงเอยด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกวาดสายตาอ่านนิยายทั้งเรื่องทีละคำ แน่นอนว่าเขาได้อะไรมามากมายจากการทำเช่นนี้…


 


 


เช้าวันถัดมา ถังหนิงตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของโม่ถิง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจดจ่ออยู่กับนิยายเรื่องนั้น ถังหนิงก็รู้สึกปวดใจ “นี่คุณนั่งอ่านมาทั้งคืนเลยเหรอคะ”


 


 


“อย่าเพิ่งไปใส่ใจเรื่องนั้นเลยครับ มาดูนี่ก่อนสิ”


 


 


โม่ถิงเปิดภาพจากหน้าจอให้ถังหนิงดู “ดูสิครับว่าคุณจะเจออะไร”


 


 


ถังหนิงนั่งอยู่ระหว่างแขนของโม่ถิง หญิงสาวโน้มตัวไล่ดูภาพนั้นบนจอแล็ปท็อป ไม่ช้าเธอก็สังเกตเห็นปัญหา “สไตล์การเขียนไม่เหมือนกัน คำศัพท์ก็ไม่เหมือนกัน มันให้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้มาจากคนคนเดียวกันเลยค่ะ”


 


 


“ความต่างพวกนั้นอยู่ที่ช่วงคำที่สองแสน ช่วงคำที่สองแสนห้าหมื่น ช่วงคำที่สี่แสน และช่วงคำที่สี่แสนห้าหมื่นครับ”


 


 


“คุณจะบอกว่านิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดยคนจำนวนหนึ่งเหรอคะ” ถังหนิงเอ่ยถามด้วยท่าทางไม่แน่ใจ


 


 


“ครับ และมันก็เขียนขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นด้วย” โม่ถิงตอบ “ผมขอให้ลู่เช่อไปค้นคว้าเรื่องคนในวงการนิยายออนไลน์และพบว่าสถิติในการแต่งนิยายของนักเขียนดังๆ นั้นอยู่ที่ประมาณห้าหมื่นถึงแปดหมื่นคำภายในเวลาสามถึงสี่วัน หากคนจำนวนหนึ่งแบ่งกันไปคนละหนึ่งหมื่นคำ หนังสือเรื่องหนึ่งก็สามารถเขียนให้จบได้ภายในสิบวัน”


 


 


“แต่สัญญาฉบับนั้นมันมีมานานแล้วนะคะ…” ถังหนิงนึกถึงสัญญาแผ่นนั้นขึ้นมา


 


 


“สัญญานั้นเป็นของจริงครับ แต่ใครจะการันตีได้ล่ะว่านี่คือเนื้อหาดั้งเดิมของมัน”


 


 


ถังหนิงตื่นตัวขึ้นด้วยคำถามอันเรียบง่ายนี้ “พูดอีกอย่างก็คือ อีกฝ่ายจงใจโกหกเรา ไปดูสัญญานั่นแล้วตั้งคำถามพวกเขาเรื่องเนื้อหากันดีกว่าค่ะ”


 


 


“ผมบอกให้ลู่เช่อไปดูมาแล้วครับ นิยายออนไลน์นั้นต่างจากหนังสือที่จับต้องได้ มันเป็นไปได้ที่ผู้เขียนจะแก้ไขนิยายเรื่องนั้นหลังจากที่ถูกเผยแพร่ออกมาแล้ว การที่เรายังหาข้อมูลอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือออนไลน์เล่มนี้ไม่ได้นั้นพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งครับ ถ้าไม่ได้ถูกดัดแปลง…ก็คงไม่มีคำเยอะมากขนาดนี้มาตั้งแต่แรกและมีใครบางคนแต่งเติมมันเข้าไปครับ”


 


 


หลังจากฟังการวิเคราะห์ของโม่ถิง ถังหนิงก็ต้องยอมรับว่าเธอประทับใจในตัวชายคนนี้จริงๆ


 


 


แน่นอนว่าเธอประทับใจในความชั่วร้ายของซ่งซินเช่นกัน


 


 


“งั้นถ้าเราหาตัวนักเขียนพวกนี้และบันทึกการแก้ไขนิยายได้ เราจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสอู๋ได้ไหมคะ”


 


 


“ผมไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวด้วยตัวเองเลย” “สิ่งเดียวที่เราต้องทำก็คือเปิดเผยการค้นพบของเราให้สาธารณชนได้รับรู้ ผมเข้าใจว่านักเขียนที่ดีที่สุดในกลุ่มนั้นเริ่มเข้าไปทำให้นิยายสมบูรณ์ขึ้นและแก้ตัวบท นี่แปลว่าพวกเขากลัวว่าจะถูกจับได้แน่ๆ


 


 


ในเมื่อใครบางคนกำลังแก้ไขมันอยู่ งั้นเรามาเข้าหามันจากอีกมุมหนึ่งแล้วกล่าวหาเจ้าของแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์ว่ามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ดีกว่า”


 


 


“อันที่จริง ฉันเชื่อในการตัดสินของชาวเน็ตมากกว่าค่ะ” ถังหนิงกล่าวหลังจากสงบลง “เหตุผลเดียวที่พวกเขาโกรธขนาดนั้นก็เพราะพวกเขาสนับสนุนนักเขียนต้นฉบับและเกลียดการคัดลอกผลงาน แต่ผู้อาวุโสอู๋…”


 


 


“ทุกอย่างจะผ่านไปครับ”


 


 


หลังจากได้ยินคำปลอบโยนของโม่ถิง ถังหนิงก็พยักหน้า


 


 


“ฉันรู้สึกเหมือนสมองของฉันไม่ทำงานอีกแล้วเลยค่ะ”


 


 


“เด็กในท้องส่งผลต่อสมองของคนเป็นแม่นานถึงสามปีครับ ผมไม่โทษคุณหรอก” โม่ถิงจูบหน้าผากของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน


 


 


แน่นอนว่า เสียงของชาวเน็ตที่เรียกร้องให้ไห่รุ่ยออกมาขอโทษและระงับการฉายภาพยนตร์นั้นยังคงดังเหมือนเช่นเคย และในขณะเดียวกัน การด่าทอผู้อาวุโสอู๋ของพวกเขาก็ยังไม่สิ้นสุดลง เมื่อครอบครัวของเขาไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป ภรรยาของผู้อาวโสอู๋จึงตัดสินใจให้สัมภาษณ์กับสื่อเพื่อแสดงต้นฉบับ บันทึกการสร้างตัวละคร ข้อมูลสถานที่ที่สามีของเธอไปเยี่ยมเยียนและผู้คนที่เขาได้สัมภาษณ์ให้พวกเขาดู


 


 


“สามีของฉันทุ่มเทชีวิตของเขาให้กับงานศิลปะของตัวเอง เพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาทำทุกอย่างที่เป็นไปได้ ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเขาจะถูกด่าทอ


 


 


“ฉันไม่รู้ว่าเจตนาของคนร้ายคืออะไร แต่พวกเขาไม่ควรคิดฝันจะได้อะไรไปจากเรา


 


 


“กรรมจะตามสนองเสมอ คนชั่วคนนี้จะได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน”


 


 


เพราะความสมัครใจที่จะออกมาพูดของคุณนายอู๋ เหล่าคนที่ผู้อาวุโสอู๋เคยสัมภาษณ์จึงเริ่มออกมายืนยันให้เขา


 


 


“ผู้อาวุโสอู๋มักจะออกไปทำการวิจัยผู้คนในชีวิตจริงเวลาที่เขาออกแบบตัวละครเพื่อที่เขาจะได้เข้าใจอารมณ์ของตัวละครนั้นๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นักลอกเลียนแบบทำเลย”


 


 


ทว่า…ยังมีคนอีกมากมายที่ต่อต้านผู้อาวุโสอู๋


 


 


“ลอกก็คือลอก จบนะ”


 


 


“ถ้าผู้อาวุโสอู๋ไม่ได้ลอกงานใคร แล้วไหนล่ะหลักฐาน”


 


 


ไม่มีหลักฐานใด!


 


 


ถ้าเขามีหลักฐาน เขาจะฆ่าตัวตายไหม


 


 


ตอนนั้นเองที่ผู้เขียน ‘นักแกะรอย’ ทนการถูกใส่ร้ายไม่ได้ ดังนั้นทัศนคติของเขาจึงเริ่มจองหองยิ่งกว่าเดิม “ถ้าเขาไม่ได้ลอกงานผม ผมจะหักมือตัวเอง!”


 


 


ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนเหยื่อ แต่หลักฐานนั้นเอื้อให้ทางผู้เขียนเรื่อง ‘นักแกะรอย’ เพียงอย่างเดียว…


 


 


อย่างไรก็ตาม ระหว่างช่วงเวลาที่น่าท้อแท้นี้ ในที่สุดไห่รุ่ยก็ออกมาพูดและปล่อยคำแถลงการณ์ที่มีหัวเรื่องว่า ‘จำที่พูดเอาไว้ด้วย’


 


 


จุดประสงค์หลักของคำแถลงการณ์นี้ก็เพื่อบอกทุกคนว่าไห่รุ่ยจะเริ่มปล่อยหลักฐานที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสอู๋ตอนหนึ่งทุ่มตรง หากไห่รุ่ยพิสูจน์ได้ว่าผู้อาวุโสอู๋บริสุทธิ์ ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ ควรจะจำสัญญาของเขาเอาไว้ให้ดี


 


 


เขาพูดว่าเขาจะหักมือตัวเอง!


 


 


ผู้เขียนรายนั้นไม่คิดว่ามันเป็นไปได้ที่ไห่รุ่ยจะค้นอะไรเจอ ดังนั้นเขาจึงตอบไปอย่างมั่นใจว่า “ถ้าผมสัญญาอะไรไว้ ผมก็จะทำ!”


 


 


ผลก็คือเหตุการณ์ยิ่งบานปลายกันไปใหญ่ ครั้งนี้มีมือคู่หนึ่งเขามาเกี่ยวข้องด้วย!


 


 


[ไห่รุ่ยมีหลักฐานอะไรจะแสดงให้พวกเราได้เห็นกันนะ ฉันสงสัยจังว่าพวกเขาวางแผนจะพลิกสถานการณ์ยังไง]


 


 


[พวกเขาจะไม่ใช้ข้ออ้างเห่ยๆ กับตรรกะป่วยๆ มาบงการสาธารณชนใช่ไหม]


 


 


[ไห่รุ่ยไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นมาก่อน พวกเขาซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาเสมอ ดังนั้นฉันจึงคาดหวังกับคืนนี้มากๆ เลยล่ะ]


 


 


[พวกเขายังพลิกสถานการณ์ได้อยู่เหรอ หลักฐานมันไม่ได้ชัดเจนอยู่แล้วหรือยังไง ฉันไม่อยากได้ยินข้ออ้างอะไรทั้งนั้น!]


 


 


[ถ้าไห่รุ่ยวางแผนที่จะแก้ตัวให้ไอ้หมาขี้ลอกนั่น ฉันจะเกลียดพวกเขาไปทั้งชีวิตเลย! ถึงฉันจะชอบเซเลบจากไห่รุ่ย ฉันก็จะไม่ยอมรับพวกเขาอยู่ดี] 

 

 


ตอนที่ 703 สับสนขึ้นเรื่อยๆ

 

“หลักฐานเหรอ” ซ่งซินจิบกาแฟอย่างสบายใจเฉิบอยู่ที่บ้าน “ฉันอยากจะเห็นจังว่าไห่รุ่ยจะสร้างหลักฐานอะไรมา”


 


 


หญิงสาวสันนิษฐานว่าแผนการของเธอนั้นสมบูรณ์แบบ อย่างน้อยที่สุดก็สำหรับคนนอกวงการ เธอไม่ได้คาดคิดว่าพวกเขาจะเห็นจุดบกพร่องใดๆ


 


 


โชคไม่ดีที่คนที่เธอกำลังต่อกรคือถังหนิงกับโม่ถิง


 


 


ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ รู้สึกสำนึกผิดเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงโทรขอความช่วยเหลือจากซ่งซิน ทว่าซ่งซินบอกชายคนนั้นอย่างนิ่งๆ ว่า “อย่าห่วงไปเลย ไห่รุ่ยสร้างหลักฐานอะไรขึ้นมาไม่ได้หรอก ตราบใดที่คุณยังหนักแน่น ไห่รุ่ยก็ทำอะไรเราไม่ได้”


 


 


“แต่…เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับมือของผมเลยนะ…”


 


 


“ไม่มีคำว่าแต่”


 


 


ซ่งซินทึกทักเอาว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องที่เธอเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงได้วิตกกันนักล่ะ นี่คือจุดที่ซ่งซินฉลาด เธอรู้จักการอยู่นอกจุดสนใจหลักของศึกนี้ แม้ความจริงจะถูกเปิดเผยออกมา เธอก็รู้ว่าเธอจะเดินหนีไปอย่างไร้รอยขีดข่วนโดยที่ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องกลับมาหาเธอ


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นเพียงแผนประชาสัมพันธ์ของไห่รุ่ย เพราะถึงอย่างไรไห่รุ่ยก็มักจะรับมือกับปัญหาเช่นนี้


 


 


อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนนั้นวิตกกว่าซ่งซินมาก เขาพนันเกมนี้ด้วยมือทั้งสองข้างของตัวเอง หากไห่รุ่ยมีหลักฐานจริง เขาจะทำอย่างไร


 


 


สาธารณชนให้ความสนใจกับความคืบหน้าของเหตุการณ์นี้เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาอยากรู้ว่าไห่รุ่ยจะหาหลักฐานมาได้หรือไม่ สัญญาของนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ ก็ถือว่าเป็นหลักฐานที่เป็นข้อสรุปแล้วไม่ใช่หรือ พวกเขามีบางอย่างที่เด็ดขาดยิ่งกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ


 


 


ตลกสิ้นดี!


 


 


เป็นไปไม่ได้หรอก!


 


 


ทุกคนต่างเฝ้ารอให้เวลาหนึ่งทุ่มตรงมาถึง โดยเฉพาะเหล่านักเขียนบทและเหล่านักเขียนหนังสือที่รวมตัวกันคว่ำบาตร ‘คนรักที่สาบสูญ’ พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความเดือดดาลอย่างชอบธรรมและพร้อมที่จะกลืนกินผู้อาวุโสอู๋ทั้งเป็น แต่ถ้าไห่รุ่ยมีหลักฐานขึ้นมาจริงๆ …


 


 


…จะเกิดอะไรขึ้นกับความภาคภูมิใจของพวกเขากันนะ


 


 



 


 


เวลาผ่านไปทีละหนึ่งวินาที รู้สึกเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยนั้นก็มาถึง


 


 


ในระหว่างนี้ ไม่มีข่าวอะไรจะน่าดึงดูดใจไปกว่าการประกาศว่าจะแสดงหลักฐานของไห่รุ่ย


 


 


[หยุดถ่วงเวลาแล้วละไห่รุ่ย! รีบแสดงให้พวกเราเห็นได้แล้วว่าพวกแกมีหลักฐานอะไร!]


 


 


[ไห่รุ่ย หยุดล้อเล่นกับความรู้สึกของพวกเราสักที นี่มันเลยหนึ่งทุ่มมาหนึ่งนาทีแล้วนะ]


 


 


[ไหนล่ะหลักฐาน เป็นแค่เรื่องโกหกทั้งเพใช่ไหม]


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น เว็บไซต์ของไห่รุ่ยก็ปล่อยคำแถลงการณ์ประชาสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยการค้นพบของพวกเขา มันประกอบด้วยหลักฐานอันชัดเจนที่มีความยาวถึงเก้าหน้า


 


 


ในคำแถลงการณ์นั้น ไห่รุ่ยอ้างถึงทุกส่วนที่ไม่สอดคล้องกันที่อยู่ในนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ และอธิบายว่า [สไตล์การเขียนของนักเขียนนั้นควรจะเป็นเหมือนเดิม คำศัพท์ วลี เครื่องหมายวรรคตอนและโทนที่ใช้ในการเล่าเรื่องควรจะสอดคล้องกัน แต่ดูนิยายความยาวห้าแสนสี่หมื่นคำนี้สิ ในเรื่อง ‘นักแกะรอย’ นี้มีสไตล์การเขียนที่แตกต่างกันอยู่จำนวนหนึ่ง หรือบางทีผู้เขียนอาจจะเป็นผู้ป่วยจิตเภทก็ได้


 


 


[ผมมั่นใจว่าผู้ที่ชื่นชอบการอ่านนวนิยายนั้นจะสามารถชี้ความแตกต่างได้ในทันที หากผู้เขียนไม่ได้เป็นผู้ป่วยจิตเภท เขาจะสร้างงานแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร]


 


 


ณ จุดนี้ ไห่รุ่ยใช้อีกแปดหน้าที่เหลือชี้ให้เห็นความไม่สอดคล้องและจุดบกพร่องอื่นๆ ที่อยู่ในนวนิยายดังกล่าว


 


 


ไห่รุ่ยให้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่พวกเขาค้นพบก่อนเพื่อที่พวกเขาจะได้อธิบายมันออกมาในแบบของตัวเอง พวกเขาอยากให้สาธารณชนเชื่อว่าไห่รุ่ยกำลังแสดงหลักฐานของจริงและไม่ได้กำลังกล่าวหาใครส่งเดช


 


 


พวกเขาถามหาหลักฐานไม่ใช่หรือ


 


 


ไห่รุ่ยก็กำลังมอบมันให้พวกเขา!


 


 


เนื่องจากไห่รุ่ยไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน เหล่าคนที่ให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้จึงรีบเข้าไปดูหลักฐานบนเว็บนิยายออนไลน์อย่างรวดเร็ว


 


 


ก่อนจะเข้าไปดู พวกเขาไม่ได้สงสัยอะไรเลย ทว่าทันทีที่ได้ดู พวกเขาก็สงสัยว่าทำไมนิยายเรื่องเดียวถึงได้มีสไตล์การเขียนมากถึงห้าหกแบบ


 


 


โอ้พระเจ้า!


 


 


[เดิมทีฉันคิดว่าไห่รุ่ยพยายามจะเล่นไม่ซื่อ แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะละเอียดถึงขนาดที่เอาภาพถ่ายหน้าจอมาเป็นหลักฐาน]


 


 


[ผู้เขียนปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะ ไห่รุ่ยถ่ายภาพหน้าจอพวกนี้มาจากเว็บอ่านนิยาย มันแสดงที่อยู่เว็บไซต์และวันที่อย่างชัดเจน ไม่มีทางเป็นของปลอมหรอก]


 


 


[โว้ว ช่างเป็นการพลิกสถานการณ์ที่น่าตกใจอะไรอย่างนี้! ผู้เขียนต้องเป็นบ้าแน่ๆ นี่มันถูกเขียนขึ้นโดยคนตั้งห้าหกคนเลยนะ]


 


 


[ผู้เขียนคนนี้ป่วยทางจิตหรือเปล่า]


 


 


[ก่อนที่ผู้เขียนจะอ้างว่าคนอื่นลอกงานตัวเอง เขาควรออกมาอธิบายก่อนนะว่าทำไมนิยายของเขาถึงมีคนเขียนด้วยตั้งห้าหกคน]


 


 


[ดูเหมือนไห่รุ่ยจะจริงจังกับการหาหลักฐานมากจริงๆ พวกเขาถึงกับค้นพบบางอย่างที่ละเอียดขนาดนี้เลยนะ]


 


 


[หลักฐานจากไห่รุ่ยโคตรเจ๋งเลย! มันเหมือนกับพวกเขาปูทางมาเพื่อตบหน้าอีกฝ่าย!]


 


 


 


 


นี่คือความฉลาดของไห่รุ่ย พวกเขาไม่เปิดไพ่ตายของตัวเองในทันทีแต่กลับสร้างภาพลวงว่าไห่รุ่ยสามารถสร้างหลักฐานอะไรขึ้นมาก็ได้ พวกเขาแค่เหลือความภาคภูมิใจเอาไว้ให้เหล่าผู้สนับสนุนของผู้เขียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


 


[เวลาสองทุ่มตรง ทางเราจะตอบคำถามของทุกคนและอธิบายว่าทำไมนวนิยายเรื่องนี้ถึงมีผู้เขียนมากถึงห้าหกคน] ไห่รุ่ยทิ้งให้ทุกคนคอย


 


 


ความจริงนั้นดูใกล้เข้ามาทุกที และด้วยเหตุนี้ ความคิดเห็นของผู้คนจึงเริ่มไขว้เขว


 


 


ผู้ที่มั่นใจว่าผู้อาวุโสอู๋คัดลอกผลงาน ผู้ที่ด่าทอเขาอย่างโกรธเกรี้ยวและกดดันเขาให้จบชีวิตของตัวเองนั้นไม่มั่นใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว หากตัวผู้เขียนไม่ได้ผิดปกติอะไร เขาก็คงไม่หานักเขียนอีกห้าหกคนมาช่วยเขาเขียนนิยายของตัวเอง


 


 


อีกอย่าง ไม่เคยมีใครเคยได้ยินชื่อนิยายของเขามาก่อน มีความจำเป็นอะไรที่ต้องหานักเขียนมาหลายคนเช่นนั้นกันล่ะ


 


 


ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่ามีความลับอีกมากที่ยังไม่ถูกเปิดเผย


 


 


 


 


[เรื่องราวทั้งหมดนี่มันน่าสับสนขึ้นเรื่อยแล้วนะ!]


 


 


[หลักฐานของผู้เขียนไม่ได้ดูเหมือนของปลอมนะ แต่หลักฐานของไห่รุ่ยก็เป็นของจริงเหมือนกัน ฉันไปอ่าน ‘นักแกะรอย’ มาแล้วก็เห็นว่าเนื้อหาของนิยายเรื่องนี้เหมือนกับภาพถ่ายจากหน้าจอของไห่รุ่ยเปี๊ยบเลย มีหลายๆ ส่วนที่ไม่ต่อเนื่องกันอย่างแรง เห็นได้ชัดเลยว่ามีคนหลายคนเขียนมันขึ้นมา]


 


 


[ฉันอยากรู้ความจริงมากเลย ทั้งหมดนี่มันอะไรกัน]


 


 


 


 


เมื่อได้เผชิญหน้ากับปฏิกิริยาของสาธารณชน ผู้เขียนก็เปลี่ยนจากรู้สึกวิตกเป็นรู้สึกผิด


 


 


เขารู้ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ได้ทำให้เขาต้องอับอายเพียงอย่างเดียว แต่เขากำลังจะต้องเสียมือทั้งสองข้างไปเพราะมัน!


 


 


ทว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ยังคงสนับสนุนเขาอย่างดื้อรั้น


 


 


[ถึงผู้เขียนจะไม่ปกติ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อาวุโสอู๋ไม่ได้คัดลอกผลงานสักหน่อย]


 


 


[ใช่แล้ว อย่างมากหลักฐานพวกนี้ก็แค่พิสูจน์ว่าผู้เขียนไม่ได้ซื่อสัตย์เหมือนกันเท่านั้น ทุกวงการมีความอยุติธรรมอยู่ มันเป็นเรื่องปกติ!]


 


 


[ช้าก่อน ไห่รุ่ยบอกว่าพวกเขาจะเปิดเผยทุกอย่างตอนสองทุ่ม ทุกคนต้องใช้เวลาไล่ดูหลักฐานอีกสักหน่อย หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าและทุกอย่างที่หล่อนคิดมันถูกหมดหรือไง]


 


 


 


 


ทันใดนั้น โลกอินเตอร์เน็ตก็เต็มไปด้วยความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน แต่มันชัดเจนว่าก้าวแรกของไห่รุ่ยนั้นประสบความสำเร็จ ถึงอย่างไร ถังหนิงนั้นไม่ได้มีเจตนาแค่จะลงโทษนักเขียนเพียงอย่างเดียว เธอยังต้องการฉีกผู้บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดออกเป็นชิ้นๆ ด้วย


 


 


ทว่าซ่งซินไม่ได้ปรากฏตัวเลยตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาจะพิสูจน์การมีส่วนเกี่ยวข้องของเธอได้อย่างไร


 


 


ถังหนิงจะไม่ปล่อยให้ซ่งซินโชคดีอยู่อย่างนี้


 


 


เธอจะหาโอกาสจับซ่งซินให้ได้คาหนังคาเขา!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม