เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 693-700

 ตอนที่ 693 ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน


 


 


แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยก็คือ ซูหลีเห็นคนผู้นี้คุกเข่าลงตรงหน้าตนนั้นพลันให้หวนนึกถึงคืนที่นางถูกยั่วโมโหจนตาย


 


 


นางก็ล้มลุกคลุกคลานบนพื้น อ้อนวอนขอเขาอย่างทุกข์ทน


 


 


ขอให้เขาช่วยครอบครัวนาง ขอให้ช่วยเหลือนาง!


 


 


แต่เขานั้นกลับปกปิดปล่อยให้คนสกุลหลี่ตาย และปกปิดนางไปหลายวัน เฝ้ามองนางกินไม่ได้ นอนไม่หลับ


 


 


ซูหลีแหงนศีรษะขึ้น ดวงตานางร้อนชื้น อารมณ์ที่นางเพียรสะกดกลั้น จนน้ำตาแห่งอารมณ์ก็จะทะลักออกมา


 


 


ท่านพ่อ ท่านเห็นแล้วเหรอยัง?


 


 


หากว่าท่านอยู่บนสรวงสวรรค์จริงๆ ท่านดูสิ ไอ้คนต่ำช้าที่ลืมบุญคุณคนนี้จบสิ้นแล้วในเงื้อมมือนาง!


 


 


หนี้ชีวิตที่ติดค้างสกุลหลี่นางจะต้องให้เขาใช้คืนด้วยชีวิตเช่นกัน!


 


 


“เจ้าจะช่วยข้า?” หลังจากเสิ่นฉางชิงได้ยิน เขาก็จมอยู่ในความคิดตนเองไปนาน และไม่ได้สังเกตเห็นความประหลาดบนใบหน้าซูหลี


 


 


เขานิ่งไปนานแล้วจู่ๆ ก็เอ่ย “เจ้าจะใจดีเช่นนี้? ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ข้าไปล่วงเกินอะไรเจ้ากันแน่ เจ้าทำให้เจ้าสรรหาวิธีต่างๆ นานามาหาเรื่องข้า เอาแต่รังควานข้ามาโดยตลอด?”


 


 


ซูหลีได้ยินคำพูดเขาก็ได้สติกลับมา


 


 


นางก้มหน้าเห็นใบหน้าเสิ่นฉางชิงเต็มไปด้วยความสงสัย เหมือนจะไม่เข้าใจขึ้นมาจริงๆ


 


 


จู่ๆ นางก็ไม่อยากให้เขาได้มีความสุขนัก


 


 


นางกระตุกมุมปากและยิ้ม “เกรงว่าท่านโหวอาจจะยังไม่รู้ ข้าผู้นี้มีนิสัยประหลาด ปกติก็ไม่ได้มีเพื่อนเท่าไหร่นัก”


 


 


เสิ่นฉางชิงจ้องนางแล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการที่นางต้องหาเรื่องเขาให้ได้ด้วย?


 


 


“แถมยังมีสหายคนสำคัญที่สุดชื่อ หลี่ จื่อ จิน!”


 


 


“อะไรนะ!?” พอเสิ่นฉางชิงได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าที่นับว่าหล่อเหลาก็บิดเบี้ยวไปทันที


 


 


เขาเบิกดวงตาตนเองกว้าง มองซูหลีอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง


 


 


แล้วพลันเห็นซูหลีมองเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย ในดวงตาดอกท้อที่งดงามอย่างยิ่งนั้น ฉายแววเย็นชา ไม่มากแต่คนที่สบตากลับทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเกินจะเปรียบ


 


 


 “ไม่! เป็นไปไม่ได้ !” เสิ่นฉางชิงนิ่งชะงักไปก่อนจะส่ายศีรษะ “เจ้าไม่มีทางรู้จักนาง!”


 


 


“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้!? หากไม่เพราะเหตุนี้ ก่อนหน้าข้าก็ไม่ได้รู้จักอะไรเจ้า ไยต้องหาเรื่องเจ้าด้วยจำได้ว่าตอนข้าเพิ่งกลับมา ข้าก็เป็นแค่บุตรชายที่สกุลซูไม่เหลียวแล แต่เจ้า เจ้าเป็นข้าราชบริพารผู้ภักดีที่ช่วยให้ฮ่องเต้ได้ทรงขึ้นครองราชย์”


 


 


“ข้าก็ไม่ได้บ้า ก็ไม่ควรจะหาเรื่องเจ้า ข้าจะทำไปทำไมล่ะ?” ตอนซูหลีพูดเช่นนี้ นางก็จ้องเสิ่นฉางชิงไปวางตา


 


 


เห็นสีหน้าที่เหลือเชื่อของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงสัย แล้วสุดท้ายก็ประเดี๋ยวดำคล้ำ ในแววตาที่มองนางนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


 


 


ซูหลีไม่ได้ใส่ใจนางก็แค่ยิ้มๆ


 


 


“เสิ่นฉางชิง ข้าขอเตือนเจ้าหน่อย เจ้าและข้าต่างรู้กันดีแก่ใจว่าในตอนนั้นหลี่จื่อจินตายอย่างไร ตอนนี้เจ้าอยู่ในเงื้อมมือข้าแล้ว ข้ามีเป็นร้อยวิธี ที่จะทำให้เจ้า อยากจะตายมากกว่าจะขอชีวิต!  หากเจ้าไม่กลัวตายก็ปิดปากเจ้าให้สนิทแล้วกัน”


 


 


“ครบรอบสองปีที่หลี่จื่อจินตายพอดี ข้าสะกดกลั้นอารมณ์โกรธมามากจนเกินไป ให้ข้าได้ระบายอารมณ์บ้างถือว่าเจ้าชีวิตเจ้าไม่ได้ไร้ค่าแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” ซูหลีเดินมาตรงหน้าเขา นั่งยองๆ ลงหยิบหนังสือที่นางโยนออกมา


 


 


แล้วหมุนเล่นในมือ


 


 


แต่คำพูดของนางกลับไม่เหมือนกับรอยยิ้มบนใบหน้านางแม้แต่น้อย จึงทำให้คนที่ได้ยินขนพองสยองเกล้า เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว!


 


 


“อย่าว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้าเลยนะ หากเจ้ายังไม่อยากจะพูดอะไรคืนนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน! หืม!?”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 694 ป๋ายเฮ่อมาหาถึงที่


 


 


แสงไฟสีส้มที่กระทบลงที่ใบหน้าด้านข้างของซูหลี ทำให้สว่างบ้างมืดบ้าง


 


 


มีใบหน้าที่งามโดดเด่นยิ่งกว่าใคร ไม่ว่าจะหน้าบึ้งหรือขมวดคิ้วล้วนมีเสน่ห์


 


 


ทว่าเมื่ออยู่ในสายตาของเสิ่นฉางชิง ซูหลีกลับน่ากลัวกว่าปีศาจที่ชั่วร้ายอยู่หลายส่วน ทำให้คนรู้สึกกลัวจนตัวสั่น


 


 


“นำเขาเข้าไปขังไว้ อย่าให้เขากินอะไรทั้งสิ้น และห้ามปลดเชือกให้เขาเด็ดขาด พรุ่งนี้ข้าจะมาไต่สวนด้วยตนเอง” ซูหลีลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเบา


 


 


“ขอรับ!” หลังจากทหารได้ยินคำพูดของนางแล้ว ก็รีบเข้าไปลากร่างของเสิ่นฉางชิง


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบเสิ่นฉางชิงยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา สีหน้าของเขาซีดขาว อยู่ในท่าทีหมดอาลัยตายอยาก ถูกทหารลากออกไปด้วยร่างกายแข็งทื่อ


 


 


จนกระทั่งเงาร่างของเขาหายไปจากตรงหน้า ซูหลีก็เก็บอาการที่แสดงออกทางสีหน้าในทันที


 


 


เก็บเสิ่นฉางชิงไว้ ไม่ใช่เพราะนางใจอ่อน ทว่าในปีนั้นสกุลหลี่ยังสงบสุขดี ทำไมจู่ๆ ถึงถูกประหารทั้งครอบครัวได้กัน


 


 


เรื่องเหล่านี้ จำเป็นต้องมีคนตอบคำถามนาง


 


 


และเสิ่นฉางชิงก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด


 


 


ดังนั้นในเวลานี้เขายังตายไม่ได้!


 


 


อย่างน้อยเรื่องของผงฝิ่น ในหัวของนางก็มีภาพร่างที่เลือนรางเอาไว้แล้ว


 


 


นางจำได้ในเหมันต์ฤดูปีก่อน ตอนที่นางไปสวนดอกเหมย นางบังเอิญพบเจียงโม่อวี้กับสตรีผู้หนึ่ง ในเวลานั้นทั้งสองยังเอ่ยถึงนางด้วย


 


 


เดิมนางคิดว่า พวกนางคงจะไม่ชื่นชอบนางเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังยังจะแฝงไปด้วยเรื่องบางอย่าง


 


 


ในเมืองหลวงนับวันยิ่งวุ่นวายโดนแท้


 


 


“นายน้อย” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด เย่ว์ลั่วก็รีบเดินเข้ามาจากด้านนอก


 


 


นี่ถือว่าเป็นเรือนรับรองเก่า โดยทั่วไปแล้วเย่ว์ลั่วและคนอื่นๆจะอยู่ในห้องของเรือนรับรองด้านหลัง หากไม่มีอะไรไม่มีทางที่จะมาที่นี่ ซูหลีชำเลืองเห็นใบหน้าที่ร้อนรนของนางและอารมณ์ของนางจึงผงะไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า


 


 


“มีอะไรหรือ?”


 


 


ท่านรีบออกไปดูเถิด คุณชายสกุลป๋ายมาหาถึงจวน เขาบอกว่าจะมาทำตามสัญญาที่เคยเดิมพันกับท่าน!” เย่ว์ลั่วพูด


 


 


ซูหลีผงะไปเล็กน้อย สัญญาที่เคยเดิมพัน!?


 


 


ใช่แล้ว นางเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว


 


 


ก่อนหน้านี้นางเคยพนันกับป๋ายเฮ่อ อีกทั้งนางยังชนะพนันเป็นเงินหลายแสนชั่ง


 


 


เพียงแต่ช่วงเวลาที่ป๋ายเฮ่อมานั้น ดูเหมือนจะบังเอิญเกินไปแล้ว นางเพิ่งจะจับกุมเสิ่นฉางชิงเอาไว้ได้ ป๋ายเฮ่อก็มาหาถึงหน้าจวน


 


 


ในดวงตาของนางทอประกายลุ่มลึก นางพลันเหลือบตาขึ้นมองฉินลิ่วและเอ่ยว่า “ใต้เท้าฉิน”


 


 


ฉินลิ่วผงะเล็กน้อย จากนั้นจึงผงกศีรษะ


 


 


“ในจวนมีแขกบางคนมาหา เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจะมีความวุ่นวาย อย่างไรก็ขอให้ใต้เท้าฉินจับตาดูเสิ่นฉางชิงเอาไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้าใกล้ทางนั้นแม้แต่ครึ่งก้าวจักได้หรือไม่”


 


 


ซูหลีทราบดีว่า ในบรรดาคนที่อยู่ที่นี่ ฉินลิ่วเป็นคนที่มีพลังยุทธ์ขั้นสูงที่สุด และยังเป็นคนที่เก่งกาจเป็นอย่างมาก


 


 


“ขอรับ” ฉินลิ่วไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ซูหลีกำชับเช่นนี้ ทว่าเขาเป็นคนที่ฉินเย่หานคัดเลือกมาให้นาง ดังนั้นแน่นอนว่าเขาจักต้องฟังคำสั่งซูหลี


 


 


“ไปกันเถอะพวกเราไปด้วยกัน คุณชายป๋ายมาหาเราถึงที่ เขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่!” ซูหลีพูดจบก็ฉีกยิ้มบางและนำเย่ว์ลั่วเดินออกไป


 


 


ที่บังเอิญมากก็คือ ทันทีที่นางก้าวเท้าออกจากห้องหนังสือ ก็ได้ยินเสียงดังอื้ออึงออกมาจากด้านนอก


 


 


ซูหลีเลิกคิ้วขึ้น นางจำได้ว่าป๋ายเฮ่อเป็นคนที่รักเกียรติยศของตนเองที่สุด ไยบัดนี้เขาถึงมาทำตามสัญญาที่เคยเดิมพันกันเอาไว้กัน อีกทั้งยังก่อเรื่องเอิกเกริกขึ้นมาเช่นนี้อีก


 


 


นางไม่ได้คิดอะไรมาก ซูหลีเพียงผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก้าวเท้าเดินไปทางด้านนั้นอย่างไม่รีบร้อนและไม่ช้าจนเกินไป


 


 


“ใต้เท้าซูมาแล้ว!”


 


 


“เร็วเข้า!”


 


 


ทันทีที่นางออกมาก็เห็นบรรยากาศครึกครื้นที่ด้านนอก ผู้ที่มาเยือนกลับมีคนจำนวนไม่น้อย!


 


 


มิหนำซ้ำ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่นางคุ้นเคยดี!


ตอนที่ 695 ไยถึงมาส่งที่นี่


 


 


ซูหลีเดินนำชุยตานอย่างรีบเร่งมาที่ห้องรับแขกด้านหน้า


 


 


ทันทีที่เข้าไปก็พบกับป๋ายเฮ่อที่สวมชุดสีน้ำเงินปักลวดลายไผ่เขียว และยังมี…ป๋ายไต้ซือ


 


 


ฝีเท้าของซูหลีผงะไปเล็กน้อย ใบหน้าของซูหลีมีความคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นี่ช่างน่าสนใจโดยแท้ แค่เรื่องการพนันของคนหนุ่มเท่านั้น แม้แต่ป๋ายไต้ซือก็มาที่นี่ด้วย


 


 


หากไม่รู้ยังจะคิดว่าสกุลป๋ายให้ความสำคัญกับการเดิมพันครั้งนี้มาก หรือยังมีคนยกย่องที่สกุลป๋ายรักษาสัจจะกัน! ทำให้การที่พวกเขาโผล่มาที่นี่อย่างกะทันหัน…ซูหลีเม้มริมฝีปาก เก็บซ่อนความซับซ้อนในแววตาของตนเอาไว้


 


 


“คุณชายป๋าย ป๋ายไต้ซือ!” ทันทีที่ซูหลีเดินออกไป ก็ยกมือขึ้นทำความเคารพทั้งสองคน


 


 


ซูไท่ที่อยู่ด้านข้างมองนางปราดหนึ่ง บัดนี้ซูหลีช่างมีอนาคตกว้างไกลโดยแท้


 


 


ดูสิเพิ่งจะไม่เท่าไหร่ ก็มีแต่บุคคลที่เก่งกาจในเมืองหลวงมาหาที่จวนหลายท่านแล้ว! ครานี้ก็เป็นสกุลป๋าย สกุลขุนนางเก่าแก่อันดับต้นๆ แห่งเมืองหลวง!


 


 


“พี่ซู” ป๋ายเฮ่อได้ยินดังนั้นจึงมองไปทางนาง เขาเห็นแววตาซับซ้อนของซูหลี และขานเรียกซูหลีด้วยสรรพนามที่ประหลาดนัก


 


 


บัดนี้ซูหลีเป็นขุนนางเต็มตัว เขากลับเรียกซูหลีว่า ‘พี่ซู’ ก่อนหน้านี้ยามที่พวกเขาอยู่ในการเดิมพัน ก็ยังเรียกนางตามมารยาทว่า คุณชายซู เท่านั้น


 


 


บัดนี้คำเรียกว่า พี่ซู คล้ายกับมีสัญญาณอะไรบางอย่างมิปาน


 


 


ซูหลีชำเลืองมองและคาดคะเนอย่างลึกซึ้ง นางเพียงมองทั้งสองคน ทว่าป๋ายไต้ซือที่ยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา จากนั้นจึงเอ่ยอย่างคล้อยตามว่า “พี่ป๋าย”


 


 


“ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อมาทำตามที่เดิมพันเอาไว้” ป๋ายเฮ่อมองซูหลี ใบหน้าที่มีความซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก ทว่ายามที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา กลับไม่มีความสมัครใจเลยสักนิด


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาอย่างพิจารณา


 


 


ป๋ายเฮ่อนั้นแตกต่างหวังเฮ่อโดยสิ้นเชิง จิตใจของครอบครัวเขาไม่อาจเปรียบกับครอบครัวของหวังเฮ่อได้ ที่รู้ว่าแพ้ก็คือแพ้


 


 


ป๋ายเฮ่ออาจจะไม่ค่อยสมัครใจนัก ทว่ายามที่มาถึงที่นี่แล้วก็ยังแสดงท่าทีออกมาได้อย่างนิ่งเฉย ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้ยาก


 


 


ซูหลีถอนหายใจอยู่ในใจ แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้า ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดว่าป๋ายเฮ่อแล้ว นางก็เลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยว่า “ทว่าข้าจำได้ว่า ยามที่พวกเราเดิมพันนั้น เพียงแค่ให้พี่ป๋ายนำป้ายที่หนึ่งใต้หล้าไปไว้ที่สำนักเต๋อซั่นเท่านั้น อีกทั้งยังให้พี่ป๋ายเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาว่า สำนักเต๋อซั่นดีกว่าสำนักฉยงสือ…แล้วไยบัดนี้พี่ป๋ายถึงมาที่นี่กัน”


 


 


ความหมายที่ซูหลีต้องการจะสื่อก็คือ ถ้าจะทำตามที่เดิมพันไว้ ก็ควรไปจัดการที่สำนักเต๋อซั่น ไม่ใช่มาหานางถึงที่นี่


 


 


ป๋ายเฮ่อนั้นถือว่าเป็นคนสุขุม ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดของซูหลีแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง ทว่าเขายังสามารถเก็บอาการเอาไว้ได้ เขามองไปที่บิดาของตนปราดหนึ่ง และพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งเฉยว่า


 


 


“ในเมื่อเดิมพันกับพี่ซู แน่นอนว่าก็ควรทำตามเดิมพันกับพี่ซู อีกทั้งพี่ซูเป็นคนของสำนักเต๋อซั่น อย่างมากข้าก็แค่นำป้ายนี้ไปไว้ที่สำนักเต๋อซั่นพร้อมกับพี่ซู”


 


 


ขณะที่พูด เขาก็ชี้นิ้วไปทางด้านหลัง ซูหลีมองตามสายตาของเขาก็เห็นป้าย ‘ที่หนึ่งใต้หล้า’ ที่ถูกเด็กรับใช้หลายคนแบกเอาไว้ทันที


 


 


ป้ายนี้สร้างขึ้นงดงามประณีตเป็นอย่างมาก ตัวอักษรสีทองตัวใหญ่ที่เขียนว่า ‘ที่หนึ่งใต้หล้า’ นั้นมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น เป็นประกายต่อหน้าทุกคน


 


 


ซูหลียกมุมปากขึ้น ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม แต่เอ่ยอย่างไม่คลุมเครือว่า “เช่นนั้นก็ลำบากพี่ป๋ายแล้ว ที่ต้องเดินทางไปกับข้าวันพรุ่งนี้อีกครั้ง!”


 


 


มุมปากของป๋ายเฮ่อชะงักค้างไป เขาเห็นท่าทางที่ดื้อรั้นหัวแข็งของซูหลี เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปขายหน้าต่อหน้าผู้คนครั้งหนึ่งถึงจะจบเรื่อง!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 696 มีคนมาขอแต่งงานอีกแล้ว


 


 


“ใต้เท้าซูเป็นคนที่มีอารมณ์ขันจริงๆ!” บรรยากาศออกจะตึงเครียดน้อยๆ แต่คนที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างๆ จู่ๆ ก็หัวเราะเสียงแหลมออกมา


 


 


ในแววตาที่มองซูหลีเจือไปด้วยความชื่นชม


 


 


“พี่ซูช่างโชคดีจริงๆ!” คราวนี้พี่ซูของป๋ายไต้ซือมิใช่ซูหลี แต่หมายถึงบิดาซูลี ซูไท่


 


 


ไม่ว่าอย่างไรป๋ายไต้ซือก็ถือเป็นผู้อาวุโสกว่าซูหลี จึงไม่มีทางที่จะเรียกซูหลีเป็นคนในวัยเดียวกัน


 


 


ซูไท่ได้ยินเช่นนั้น ก็รีบร้อนประสานมือเข้ากันพร้อมรีบร้อนเอ่ย มิกล้าๆ


 


 


ที่จริงในใจเขาเองก็ลังเลสับสน เพราะที่จริงแล้วเขาและป๋ายไต้ซือก็เป็นข้าราชการด้วยกันมานานหลายปี แต่ไม่เคยติดต่อพูดคุยกันมาก่อน


 


 


ด้วยสถานภาพของเขาย่อมไม่เห็นหัวเขาย่อมไม่คิดจะคบค้าสมาคมกับเขา


 


 


แต่ว่า…


 


 


คำว่าพี่ซูนี้พูดเสียจนซูไท่เองก็รู้สึกเช่นเดียวกับซูหลีขึ้นมาตงิดๆ ก็คือรู้สึกแปลกๆ แบบบอกไม่ถูก


 


 


“พี่ซูถ่อมตัวเกินไปแล้ว อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถเป็นขุนนางซ่าวซือระดับหนึ่ง หากการเริ่มต้นเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาแล้วละก็บุตรชายข้าเฮ่อเอ๋อร์ก็คงยิ่งกว่าธรรมดา”


 


 


ใบหน้าซูไท่กระด้างอีกฝ่ายพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็คงจะถ่อมตัวไปมากกว่านี้ก็ไม่ได้ มิฉะนั้นแล้วจะเป็นการพูดถึงบุตรชายอีกฝ่ายว่าเป็นคนธรรมดาดาษดื่นเกินไปแบบอ้อมๆ


 


 


ถึงแม้ว่าป๋ายเฮ่อจะธรรมดากว่าซูหลีจริงๆ ก็เถอะ


 


 


ซูไท่คิดถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างขึ้น ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาต่ำต้อยกว่าทุกคน แต่แล้วมันจะอย่างไร ตอนนี้บุตรชายเขาอยู่เหนือกว่าบุรุษทุกคนในเมืองหลวง


 


 


กระทั่งคนอย่างป๋ายไต้ซือก็ยังพยายามสนิทสนมกับเขา คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง


 


 


และเพราะเหตุนี้เอง แววตาที่มองบุตรชายก็อ่อนโยนลงไปอย่างบอกไม่ถูก


 


 


“มาที่นี่วันนี้ นอกจากจะพาเฮ่อเอ๋อร์มาชดใช้สิ่งที่เดิมพันกับใต้เท้าซูแล้ว ก็ยังมีเรื่องสำคัญอ่ย่างยิ่งอยากจะหารือกับใต้เท้าทั้งสอง” เขาพูดอ้อมวกวนอยู่นานกว่าจะพูดเจตนาของเขา


 


 


ซูหลีได้ยินเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นมองป๋ายไต้ซือที่พูดเจื้อยแจ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


 


 


“ป๋ายไต้ซือพูดมาเถอะ!” ซูหลีมีตำแหน่งสูงกว่าซูไท่ แต่พูดไปแล้วทั้งซูไท่และป๋ายไต้ซือต่างก็เป็นผู้อาวุโส พวกเขาทั้งสองคุยกัน นางย่อมไม่มีสิทธิ์สอด


 


 


ท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัยพึ่งพาเช่นนี้ ซูไท่เองก็รู้แจ้งแก่ใจ จึงยังพอสามารถรับมือได้อย่างชำนาญ


 


 


“คือแบบนี้” ในใจป๋ายไต้ซือรู้ดี ถึงแม้เขาจะพูดคุยกับซูไท่อยู่ แต่เขามาเพื่อซูหลี ตอนที่พูดจาอยู่นั้นก็เหลือบมองซูหลีอย่างอดไม่ได้ และเอ่ยต่อ


 


 


“ซูหลีโดดเด่นแต่เด็ก พี่ซูเองก็เป็นง่ายๆ ส่วนข้าเองก็ได้ยินว่าซูหลียังไม่ได้แต่งงาน ก็เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมาไม่สู้…” เขาพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักนิ่งไป ดวงตาเป็นประกายวิบวับ


 


 


 “เราสองครอบครัวจะมีโอกาสสนิทแนบชิดกันมากยิ่งขึ้นหรือไม่?”


 


 


พอเอ่ยเช่นนี้แล้วอย่าว่าแต่ซูหลีเลย กระทั่งซูไท่ยังนิ่งชะงักไป


 


 


แปลว่าป๋ายไต้ซือผู้นี้อยากจะเป็นทองแผ่นเดียวกับสกุลซู!?


 


 


นี่ นี่ออกจะ…


 


 


“บุตรสาวข้าที่ไม่เอาไหนเข้าวังไปแล้ว มิฉะนั้นคงเหมาะกับซูหลีนัก” ป๋ายไต้ซือเห็นท่าทางตกใจของซูไท่จึงรีบร้อนอธิบาย


 


 


 “แต่ลูกสาวคนรองของข้า ตอนนี้อยู่ในวัยเหมาะสมที่จะออกเรียน ดูไปแล้วถือว่าคู่ควรกับซูหลีอยู่เหมือนกัน!”


 


 


ป๋ายไต้ซือยังมีบุตรีอีกคนหนึ่ง?


 


 


ซูหลีนิ่งชะงักไปน้อยๆ ทำไมในความทรงจำของนาง จำถึงจำได้ว่าป๋ายถานเป็นที่รักที่ทะนุถนอมเพียงหนึ่งเดียวในจวนสกุลป๋าย?


 


 


แต่คิดไปแล้วก็เห็นจะจริง ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือความสามารถของป๋ายถานก็ล้วนแต่เป็นที่หนึ่ง ทำให้ยามอยู่ในบ้านก็เป็นที่หนึ่ง และเมื่ออยู่ด้านนอกก็มีชื่อเสียงโดดเด่น ต่อให้มีพี่น้องร่วมสายเลือดอยู่ในจวน ก็คงถูกป๋ายถานข่มบดบังจนหมดสิ้น!


ตอนที่ 697 ซูหลีคิดว่าอย่างไร


 


 


“ภายหน้าหากพวกเราได้เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ซูหลีก็ถือเป็นบุตรชายข้าครึ่งหนึ่งด้วย!” มีบางคำพูดที่ไม่ต้องพูดตรงไปตรงมามากนัก แต่ป๋ายไต้ซือยังสามารถชี้ช่องให้เห็นประโยชน์ในนั้นได้


 


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาและสกุลป๋ายอยู่ในราชสำนักมาก็นาน มีเส้นสายคนรู้จักอยู่เต็มไปหมด มีอิทธิพลในราชสำนักก็พอๆ กับตระกูลเซี่ย พอได้คำสัญญาเช่นนี้จากปากเขาถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง


 


 


ถึงแม้ซูหลีจะเริ่มต้นด้วยตำแหน่งที่สูงมาก อีกทั้งได้เริ่มเป็นขุนนางระดับหนึ่ง พูดไปที่แล้วนางก็ไม่ได้มีรากฐานอะไรในราชสำนัก รู้จักคนก็อยู่ในวงจำกัด


 


 


ถึงแม้ว่าคนในสำนักเต๋อซั่นจะสูงศักดิ์กันอย่างยิ่ง แต่คนเหล่านั้นอายุยังน้อย จึงยังไม่ได้เข้ารรับราชการกัน


 


 


คนที่ยังอยู่ในราชสำนักตอนนี้ก็มีแต่คนแก่อย่างพวกเขา พอพูดแบบนี้แล้วการสมรสครั้งนี้ ไร้ซึ่งผลเสีย และมีแต่ผลดีต่อตัวซูหลีทั้งสิ้น


 


 


อีกทั้งขุนนางมีจำนวนมากแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากสมรสกับบุตรีของป๋ายไต้ซือ ต่อให้บุตรสาวไม่มีชื่อเสียงอะไร ไม่ได้โด่งดังเท่าป๋ายถาน แต่ก็ถือว่ากลายเป็นพวกเดียวกับป๋ายไต้ซือ


 


 


ภายหน้าอยู่ในราชสำนัก ย่อมมีคนเข้าข้างซูหลีไม่น้อย


 


 


ทันทีที่ป๋ายไต้ซือเปิดปากเอ่ย ในใจซูไท่ก็ครุ่นคิดในทันที เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็รู้สึกได้เลยว่าความคิดนี้ของป๋ายไต้ซือก็ไม่เลวนัก!


 


 


ขนาดเขาได้ยินยังใจสั่นไม่ได้!


 


 


หากได้เป็นทองแผ่นเดียวกับสกุลป๋ายละก็ อนาคตในภายหน้าของซูหลีก็คงรุ่งโรจน์เรืองรอง!


 


 


“ลูกสาวคนรองของข้าถึงแม้ว่าจะเกิดจากภรรยารองในบ้าน แต่ก็เติบโตอยู่ในสายตาฮูหยินของข้า มีมารยาทและความรู้อย่างมาก ซูหลีมีนิสัยซุกซนหากได้มีครอบครัว ก็ควรจะหาคนที่มีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล บุตรสาวคนรองของข้าไม่ด้อยไปกว่าใครแน่ในด้านนี้!”


 


 


ป๋ายไต้ซือผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นราชครู ยิ่งพูดซูไท่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้เข้าท่าเอาการ


 


 


โดยเฉพาะเมื่อเขาครุ่นคิดไปแล้ว ตำแหน่งขุนนางของซูหลีคือเซ่าซือ


 


 


หากตอนนี้ฮ่องเต้ทรงมีทายาท ซูหลีอาจบังเอิญกลายเป็นคนในอาณัติของป๋ายไต้ซือ เป็นผู้ช่วยของป๋ายไต้ซือ


 


 


หากว่ามีความสัมพันธ์เช่นนี้เพิ่มเข้าไปด้วยก็คงจะ…


 


 


ซูหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ เอาแต่ยิ้มไม่พูดไม่จานางเคาะพัดที่ถืออยู่กับฝ่ามือตนเองอย่างไม่ใส่ใจ


 


 


ป๋ายไต้ซือเอาแต่พูดคุยกับซูไท่ ทว่าถึงพูดกับซูไท่ แต่เขาเอาแต่เหลือบมองซูหลีอยู่ตลอดเวลา


 


 


เห็นซูหลีไม่พูดไม่จาเพียงแต่ยิ้มละไม กระทั่งตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเช่นนี้ ใบหน้านางก็แค่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ หัวใจพลันหนักอึ้งลง


 


 


ซูหลีอายุอานามเพียงเท่านี้ ไม่พูดเรื่องอื่น เพียงแค่ใบหน้าท่าทางที่สุขุมนุ่มลึกนี้ ทำให้หวาดระแวงอย่างมาก


 


 


วันนี้มาทาบทามขอลูกเขย ป๋ายไต้ซือเองก็มีเจตนาแฝงอยู่


 


 


นี่คือมิตรไมตรีเขายื่นให้ซูหลี หากซูหลีรับไมตรีนั้นจะเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง และหลังจากนี้เป็นต้นไปข้างกายเขาก็จะมีแขนขาที่แข็งแรงเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง


 


 


คำพูดเหล่านั้นที่เขาพูดไปเมื่อครู่ ไม่ใช่จงใจชมเชยซูหลี แต่เป็นความในใจของเขา


 


 


ได้คนฉลาดแบบนี้มาอยู่ข้างกาย คงจะมีบางเรื่องเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น


 


 


แต่หากซูหลีไม่ยอมรับปากขึ้นมา…


 


 


แววตาป๋ายไต้ซือพลันหนักอึ้ง เช่นนั้นแล้วก็จำต้องกำจัดคนผู้นี้ ไม่พูดเรื่องตำแหน่งของเขาในตอนนี้ แต่พูดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายมี และจากข่าวคราวที่เขาได้มาเรื่องคนที่ซูหลีจับมา


 


 


สามารถทำให้ป๋ายไต้ซือตกที่นั่งลำบากได้!


 


 


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ป๋ายไต้ซือก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก มองซูหลีพลางเอ่ย “ซูหลีเจ้าคิดว่าอย่างไร?”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 698 ขอพิจารณา


 


 


ถามนางหรือ


 


 


ซูหลีเลิกคิ้วขึ้น นางไม่รู้อะไรทั้งสิ้น


 


 


ป๋ายไต้ซือต้องการให้บุตรีของอนุของเขาแต่งงานกับนาง แน่นอนว่าแม้จะเป็นบุตรีของอนุ ทว่าก็มีคนไม่น้อยที่ต่อแถวรอสู่ขอบุตรีของป๋ายไต้ซือ


 


 


ทว่าซูหลีมิใช่บุรุษที่แท้จริง นางจะแต่งภรรยาเข้ามาเพื่ออะไรกัน


 


 


นางยังไม่คิดที่จะแต่งงาน!


 


 


แน่นอนว่า เรื่องนี้นางไม่อาจพูดกับป๋ายไต้ซือได้


 


 


นางได้ยินดังนั้นสีหน้าจึงผ่อนคลายลงไปครู่หนึ่ง จากนั้นคล้ายกับมีความฮึกเหิมบางอย่าง นางรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงคารวะป๋ายไต้ซือแล้วเอ่ยว่า


 


 


“ข้าน้อยไม่รู้มาโดยตลอดว่า ป๋ายไต้ซือจะให้ความสำคัญกับข้าน้อยขนาดนี้ อีกทั้งยังต้องการบุตรีของไต้ซือแต่งงานกับข้าน้อย”


 


 


หลังจากซูไท่ได้ยินคำพูดของซูหลีแล้ว ใบหน้าก็วูบไหวเล็กน้อย ซูหลีนี่ช่างเฉลียวฉลาดโดนแท้


 


 


งานแต่งครั้งนี้ เขารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้


 


 


หากสามารถเกี่ยวดองกับสกุลป๋ายในเวลานี้ได้ อนาคตซูหลีคงเป็นดั่งเสือติดปีก ที่สามารถกระโดดมาเป็นบุคคลที่มีอำนาจในเมืองหลวงได้ทันที!


 


 


“เพียงแต่…” ทว่าซูหลีไม่เปิดโอกาสในทางนั้นตั้งตัว ซูหลีพูดประเด็นด้วยเสียงเบาว่า


 


 


“เรื่องการแต่งงาน การดูตัวนั้นเป็นหน้าที่ของมารดา แม้ซูหลีไม่มีมารดา ทว่าบัดนี้บิดายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องได้รับการอนุญาตจากบิดาเสียก่อน”


 


 


ซูหลีพูดจบก็มองที่ซูไท่ปราดหนึ่ง


 


 


ซูไท่ถึงกับอึ้งไป นี่นางหมายความว่าอย่างไรกัน


 


 


ทว่าเขากลับเห็นนางส่ายหน้าเล็กน้อย ซูไท่ขมวดคิ้ว นี่ต้องการให้เขาปฏิเสธหรือ


 


 


ทว่างานแต่งครั้งนี้เป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะเหตุใดซูหลีที่ต้องการปฏิเสธกัน


 


 


ซูไท่ไม่เข้าใจ และกลับไม่ต้องการปฏิเสธป๋ายไต้ซือเช่นนี้


 


 


“ไต้ซือคงมีเรื่องที่ไม่ทราบ ก่อนหน้านี้บิดานั้นกลัดกลุ้มใจกับเรื่องของข้าเป็นอย่างมาก บิดารู้สึกกังวลใจและมักเอ่ยว่าเรื่องภรรยาและเรื่องของครอบครัวนั้นไม่สำคัญ ทว่าจักต้องมีคุณสมบัติที่ดี เป็นคนที่อ่อนหวาน และสามารถเติมเต็มอุปนิสัยของข้าได้…”


 


 


ซูไท่…


 


 


เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?


 


 


ไยแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบ


 


 


คนที่ไม่เข้าใจซูหลีนั้น ยังมีป๋ายไต้ซือกับป๋ายเฮ่อ


 


 


ป๋ายไต้ซือขมวดคิ้วมองนาง ดังนั้นความหมายของนางคือต้องการปฏิเสธหรือ


 


 


“เช่นนี้ก็แล้วกัน ป๋ายไต้ซือสู้ให้เวลาข้ากับบิดาเสียหน่อย สามวันภายหลังข้าจักให้คำตอบแก่ท่าน ท่านว่าเป็นอย่างไร” ซูหลีดึงหลายสิ่งหลายอย่างมาพูด สุดท้ายกลับกล่าวว่าขอเวลาพิจารณา


 


 


ความเคร่งขรึมพาดผ่านในดวงตาของป๋ายไต้ซือ ทว่ากลับคลี่คลายไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หากหลังจากซูหลีได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ตกปากรับคำในทันที เกรงว่าเขาจะมีความสงสัยและรู้สึกว่านี่ซูหลีต้องการหลอกลวง!


 


 


ทว่านางเอ่ยว่าต้องพิจารณาเสียก่อน นั่นก็หมายความว่าซูหลีเกิดความหวั่นไหวกับอำนาจของสกุลป๋าย


 


 


เพียงแต่เรื่องสำคัญขนาดนี้แม้จะถือเป็นเรื่องดีมาก แน่นอนว่าไม่อาจตอบตกลงอย่างลวกๆ ได้


 


 


ป๋ายไต้ซือคิดดังนั้น เขามีข้อสรุปในใจแล้ว จากนั้นจึงลุกขึ้นและเอ่ยกับซูหลีว่า


 


 


“การแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ จักต้องใช้เวลาพิจารณาเป็นธรรมดา พี่ซูที่ช่างโชคดีโดยแท้ ซูหลีนั้นเป็นคนสุขุมเยือกเย็นนัก!”


 


 


สุขุมเยือกเย็น…


 


 


ซูไท่ถึงกับมุมปากกระตุก เขามีชีวิตอยู่มาตั้งนาน ตลอดครึ่งชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินใครเอ่ยว่าซูหลีเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาก่อน!


 


 


เมื่อได้ยินป๋ายไต้ซือเอ่ยเช่นนี้ ซูไท่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี


 


 


“เช่นนั้นข้าจะรอคำตอบจากพี่ซู! หวังว่าซูหลีจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” ป๋ายไต้ซือปรายตามองซูหลีด้วยท่าทางมีเลศนัย


 


 


จากนั้นจึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วจึงได้ขอตัวลากับซูไท่ และออกจากสกุลซูพร้อมกับป๋ายเฮ่อ


ตอนที่ 699 การข่มขู่ของสกุลป๋าย


 


 


“เรื่องนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร” หลังจากพ่อลูกสกุลป๋ายกลับไป ซูไท่ก็มองซูหลี ผ่านไปพักใหญ่ก็พลันเอ่ยถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมา


 


 


นางนั้นเป็นคนมองทุกอย่างอย่างเที่ยงตรง แม้จะเผชิญหน้ากับสิ่งยั่วยวนใจชิ้นใหญ่ แต่กลับสามารถรักษาสติสัมปชัญญะได้อย่างดี


 


 


“ท่านพ่อคิดว่า สกุลป๋าย ป๋ายไต้ซือต้องการเกี่ยวดองเป็นครอบครัวเดียวกับเราจริงๆ หรือ” ซูหลีมองซูไท่อยู่นาน จากนั้นถึงได้เอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา


 


 


ซูไท่ได้ยินดังนั้นจึงผงะไปเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงขมวดคิ้ว “เจ้ารู้สึกว่าพวกเขาไม่จริงใจ?”


 


 


ซูหลีส่ายศีรษะ “จริงใจแน่นอนว่าจักต้องจริงใจอยู่แล้ว หากมิจริงใจป๋ายไต้ซือจะมาหาถึงที่หรือ”


 


 


“เช่นนั้น…” ซูไท่ขมวดคิ้ว นี่นางหมายความว่าอย่างไรกัน


 


 


“ข้ากับป๋ายเฮ่อไม่ถูกกันนัก ทั้งยังเคยพนันในที่สาธารณะจนสุดท้ายป๋ายเฮ่อเป็นผู้แพ้ อีกทั้งยังเคยมีเรื่องผิดใจกับป๋ายถาน ยามที่ป๋ายถานจะเข้าไปอยู่ในวังหลวงในตอนแรก ก็ถูกข้าทำให้เสียเรื่อง” ซูหลีมองซูไท่ด้วยดวงตาที่เป็นประกายปราดหนึ่ง


 


 


“ป๋ายถานและป๋ายเฮ่อเป็นพี่น้องกัน เป็นบุตรของป๋ายไต้ซือ อีกทั้งยังถือว่าเป็นบุตรที่ยอดเยี่ยมที่สุด ท่านพ่อคิดว่าในใจของป๋ายไต้ซือ บุตรของตนเองสำคัญหรือว่าคนนอกอย่างข้าสำคัญกัน”


 


 


หลังจากซูไท่ได้ยินคำพูดของซูหลี สีหน้าพลันเข้มขึ้น เมื่อครู่ยามป๋ายไต้ซือเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา เขามัวแต่ดีใจจนลืมคิดไปว่า ซูหลีกับบุตรของสกุลป๋ายมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก


 


 


“สำหรับสกุลป๋ายนั้น แต่ก่อนยังคิดว่าข้าเป็นตัวถ่วง บัดนี้พวกเขามาถึงจวนเพื่อต้องการเกี่ยวดอง ท่านพ่อไม่รู้สึกแปลกบ้างเลยหรือ”


 


 


เมื่อซูหลีเอ่ยเช่นนี้ ซูไท่ก็เริ่มครุ่นคิด


 


 


หลังจากที่ซูหลีได้เป็นถ้านฮวา ผู้ที่ไปมาหาสู่กับสกุลของพวกเขาก็มีมากเป็นพิเศษ ทว่าภายในนั้นมิเคยมีเงาของคนสกุลป๋ายเลยแม้แต่น้อย


 


 


ใครก็ล้วนทราบดีว่า ผู้ที่เพิ่งสอบคัดเลือกขุนนางผ่าน การไปมาหาสู่กันในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ป๋ายไต้ซือคลุกคลีอยู่ในสนามของขุนนางมานาน เขาจะไม่ทราบหรือ


 


 


เพียงพวกเขามิได้แสดงท่าทีที่ต้องคบค้าสมาคมหรือใกล้ชิดกับซูหลีตั้งแต่แรก


 


 


“เรื่องในราชสำนัก ท่านพ่อคงจะทราบดีว่า ข้าถูกฮ่องเต้สั่งให้ตรวจสอบเบื้องหลังของเรื่องผงฝิ่นอย่างทะลุปรุโปร่ง ยามข้าทำงานอยู่ที่เรือนส่วนหน้า ท่านพ่อก็ไม่เคยให้คนมาวุ่นวายกับข้า ดังนั้นจึงไม่ทราบว่า ที่จริงแล้ววันนี้ข้าได้จับกุมบุคคลที่มีความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากเอาไว้”


 


 


“คนผู้นี้เพิ่งจะถูกจับกุม คนสกุลป๋ายก็รีบมาที่นี่แล้ว ท่านพ่อไม่รู้สึกว่าแปลกมากหรือ”


 


 


คำพูดทุกประโยคของซูหลี ทำให้สีหน้าของซูไท่ดูย่ำแย่ลงหลายส่วน จนถึงช่วงสุดท้าย สีหน้าของเขาทั้งมีความเคร่งขรึมและความหวาดหวั่น มิหนำซ้ำแผ่นหลังยังเต็มไปด้วยเหงื่อ


 


 


เขาใช้ชีวิตมาครึ่งค่อนชีวิต อ่านเรื่องต่างๆ อย่างไม่ปรุโปร่งเหมือนกับซูหลีที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเลย


 


 


เรื่องนี้ดูแปลกประหลาดเกินไปจริงๆ ในเมื่อสกุลป๋ายไม่มีความหวั่นไหวกับเรื่องนี้ ไยถึงมาถึงที่นี่เพื่อพูดเรื่องการแต่งงานก่อน นอกจากว่าพวกเขาจะมีแผนการ…


 


 


ทว่าซูหลีกำลังตรวจสอบเรื่องนี้ ในขณะที่ซูไท่กำลังครุ่นคิดก็รู้สึกว่าบนหน้าผาก เหงื่อกาฬไหลพรู


 


 


“เจ้ากำลังพูดว่า สกุลป๋ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้หรือ”


 


 


“จากการเคลื่อนไหวของสกุลป๋าย เป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วน” ซูไท่เป็นบิดาของซูหลี ซูหลีจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้


 


 


อีกทั้งคนสกุลป๋ายมาหานางในเวลานี้ ก็ไม่กลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้ทรงเกิดความสงสัย นางก็ไม่จำเป็นต้องช่วยสกุลป๋ายปิดบัง


 


 


“นี่…” เมื่อทราบหัวใจสำคัญของเรื่องนี้แล้ว สีหน้าของซูไท่กลับยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม


 


 


“เช่นนี้จักทำอย่างไร แม้เขาจะมาสู่ขอ แต่นี่มิใช่กำลังข่มขู่เจ้าอยู่หรือ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 700 เข้าวังกลางดึก


 


 


ในที่สุดซูหลีก็เข้าใจเจตนาที่ไป๋ไต้ซือมาวันนี้!


 


 


หากว่าซูหลีไม่ยอมรับการสมรสครั้งนี้ จะเท่ากับเปิดโปงสกุลป๋ายและเปิดเผยเรื่องราวในคดีฝิ่นทั้งหมด เช่นนั้นแล้ว


 


 


จะเท่ากับว่าเปิดเผยว่าเขาไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมในเรื่องฝิ่น หากเปิดโปงสกุลป๋าย เช่นนั้นแล้วขั้วอำนาจของสกุลป๋ายย่อมต้องหันมารับมือกับซูหลีแน่


 


 


พอถึงตอนนั้นซูหลีก็คงจะลำบาก…


 


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเพิ่งเข้ารับราชการ ไหนเลยจะเทียบเทียมกับผู้มีสายสัมพันธ์เครือข่ายเช่นนี้ได้


 


 


แต่ซูไท่ยังมองซูหลีอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าซูหลีงดงามราวหยกสลัก ดวงตาคู่นั้นสุขุมอย่างยิ่ง และยังเอาแต่เล่นพัดในมือ แต่ซูไท่ก็ไม่กล้าจะประมาทเจ้าลูกคนนี้


 


 


ซูหลีไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย เรื่องที่ขนาดเขายังไม่สังเกต ซูหลีกลับสังเกตเห็นได้ทันที


 


 


เด็กคนนี้…


 


 


ในใจซูไท่ตะขิดตะขวงใจอย่างยิ่ง เขาเองก็ไม่รู้ว่ามีบุตรชายเช่นนี้เป็นโชคดีหรือร้ายกันแน่


 


 


“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนนี้ตอนที่ฮ่องเต้ทรงมีพระเสาวนีย์ให้ข้าสืบเรื่องนี้ ก็ทรงคาดเดาไว้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ธรรมดา ข้ามีพระบรมราชโองการของฝ่าบาท อีกทั้งทำเรื่องให้ยืดเยื้อไป เรื่องนี้คนที่ควรจะรีบร้อนคือพวกเขาไม่ใช่ข้า”


 


 


สีหน้าซูหลีผ่อนคลาย แต่ละน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นก็แฝงไปด้วยความปลอบประโลม


 


 


หลังจากซูไท่คิดถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น บนหลังก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เรื่องนี้นับว่าจัดการยาก หลังจากรับปากบ้านสกุลป๋ายแล้วก็จะต้องช่วยปกปิดเรื่องสกุลป๋ายต่อฮ่องเต้


 


 


นี่ถือว่าผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง แต่หากไม่รับปากสกุลป๋าย ก็จะมีเรื่องกับคนจำนวนมากในตอนที่ซูหลียังไม่แข็งแรงมั่นคงในราชสำนัก


 


 


นี่…


 


 


ก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน!


 


 


เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางนิ่งเฉยไม่แยแสเช่นนี้ของซูหลี ทำให้ซูไท่วางใจอย่างอดไม่ได้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองซูหลีด้วยแววตาสับสนพลางเอ่ย


 


 


“เมื่อครู่ตอนเจ้าได้ยินว่าบ้านสกุลป๋ายมาก็เดาได้แล้วว่าใครใช่หรือไม่?”


 


 


ซูหลีหันหน้ามาเล็กน้อยแล้วก็ผงกศีรษะลงน้อยๆ


 


 


ซูไท่สูดลมหายใจเข้าปอด ความฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ของซูหลี ไม่เป็นขุนนางระดับสูง คงจะสิ้นเปลืองคนมีความสามารถจริงๆ !


 


 


“พวกเราสกุลซูอยู่ในราชสำนัก ไม่ได้มีพรรคมีพวกอะไร และไม่เข้าฝักเข้าฝ่ายพวกไหน ก่อนหน้าเป็นแบบนี้ ภายหน้าก็ควรจะเป็นเช่นนี้” ซึ่งนี่เป็นจุดที่ซูหลีชื่นชมซูไท่ที่สุด ถึงแม้ซูไท่จะล้มลุกคลุกคลานหลายปีดีดัก ยังเคยไปอยู่ในจุดเรืองอำนาจเลย


 


 


แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ระแวดระวัง ไม่ไปเข้าร่วมการชิงดีชิงเด่นของสกุลต่างๆ


 


 


นี่ก็เพียงพอแล้ว


 


 


“ท่านพ่อคิดเหมือนกันกับข้า อยากจะเป็นเพียงข้าราชบริพารในฝ่าบาท เช่นนั้นแล้วเราไม่ควรจะปกปิดพระองค์”


 


 


ซูไท่ได้ยินยังผงกศีรษะอย่างอดไม่ได้


 


 


ซูหลีพูดถูก อีกทั้งฝ่าบาทมิใช่คนที่จะหลอกลวงได้ง่าย ทรงอ่านคนได้ง่ายราวกระจก


 


 


เมื่ออยู่ในเงื้อมมือของฮ่องเต้แบบนี้ ก็ไม่ต่างกับรัชกาลก่อน หาทางเดียวที่พวกเขาทำได้คือจงรักภักดีต่อพระองค์


 


 


“ท่านพ่อไม่ต้องกังวลไป ข้าได้ให้ชุยตานไปเตรียมตัวแล้ว อาศัยช่วงดึกๆ เข้าในวัง ถึงแม้คนสกุลป๋ายจะกลับไปแล้ว แต่จะต้องทิ้งคนไว้แถวบ้านเรา ข้าจะปลอมตัวก่อนเข้าวัง ท่านพ่อทำเป็นไม่รู้เรื่องก็พอ”


 


 


ซูไท่ได้ยินเช่นนี้ก็เหลือบตามองซูหลีอย่างอดไม่ได้


 


 


ใจเขาเต้นระรัวเร็ว ยังดี! ดีที่คนผู้นี้เป็นบุตรชายเขา


 


 


มิฉะนั้นหากเขาต้องรับมือกับคนแบบนี้ในราชสำนัก เกรงว่าจุดจบที่ต้องเจอก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก


 


 


“ในเรือนพักของข้ามีองครักษ์ที่ฝ่าบาทยกให้พวกเขาดอยจับตาคนผู้นั้นอยู่ ท่านพ่อไม่ต้องกังวล เพียงแต่ต้องขอให้ท่านพ่อกำชับคนอื่นเสียหน่อย ว่าหากไม่มีเรื่องอื่น อย่าให้คนเข้าไปให้ห้องหนังสือข้าก็พอ!”


 


 


“…ตกลง!” ซูไท่ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผงกศีรษะรับปากอย่างลังเล

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม