อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 690-697

ตอนที่ 690 โซ่ตรวนรัก (5)

 

มีบางความคิดหากได้ผุดขึ้นมาในใจก็ยากจะถอนตัว


 


 


ราวกับถูกหลอกล่อยั่วยวน เธอโน้มหน้าประกบปากชายหนุ่มอย่างงงงวย


 


 


เธอจูบเขาแผ่วเบา


 


 


ปนด้วยความรักที่ลึกซิ้ซึ้ง ความเจ็บปวดที่แสนเข้มข้น ละทิ้งสติสัมปชัญญะทั้งหมด ปล่อยตัวไปตามอำเภอใจ ไม่กล้าไปพิจารณาว่าการกระทำเช่นนี้ของตนนั้นถูกหรือผิด


 


 


แต่ต่อให้ทำตามอำเภอใจขนาดไหนก็เป็นเพียงชั่วคราว ไป๋ซู่เย่คอยหักห้ามใจไว้ คอยอดทนอดกลั้นไว้ไม่กล้าให้ตัวเองจมดิ่งไปมากกว่านี้ แค่แนบริมฝีปากชายหนุ่มอยู่ชั่วครู่ก่อนจะบีบบังคับให้ตัวเองถอนตัว แต่ขณะที่เธอกำลังจะถอนตัวนั้นแขนยาวของชายหนุ่มกลับยื่นออกมาจากผ้าห่มคว้ามือเธอไว้


 


 


เธอสะดุ้งน้อยๆ


 


 


เขาตื่นแล้วหรือ?!


 


 


เธอลืมตาก้มมองเขา ท่าทางเขาไม่ได้มีสติ ดูจากสีหน้าท่าทางกำลังพยายามหยัดตัวขึ้นมาแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว สติพร่ามัวแต่มือยังดื้อดึงจะกุมมือเธอไม่ปล่อย


 


 


“เย่เซียว?” เธอขานเรียกชื่อเขาเบาๆ


 


 


เพราะพิษไข้ทำให้ฝ่ามือเขาร้อนผ่าว กลีบปากขาวซีดขยับคล้ายกำลังพึมพำบางอย่าง ไป๋ซู่เย่โน้มตัวลงเงี่ยหูชิดปากเขาเพื่อฟังรายละเอียด


 


 


“ซู่ซู่…”


 


 


เธอตัวสะท้านเฮือก


 


 


หัวใจเจ็บปวดรุนแรง หัวใจเหมือนกำลังจะปริแตก


 


 


คำนี้…ไม่ได้ยินมานาน…


 


 


เธอคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้ยินเขาเรียกตัวเองเช่นนั้นอีก…


 


 


“ฉันอยู่นี่” เธอวางแก้วน้ำลงคว้ามือเขากลับ


 


 


“…เจ็บมั้ยไหม?” เขาพึมพำเสียงถามด้วยสติที่พร่ามัว


 


 


“ไม่เจ็บ ไม่เจ็บเลยสักนิด…” เธอส่ายหัว ขอบตาเริ่มแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะแผลตรงไหล่หรือแผลตรงนิ้ว ชั่ววินาทีนี้เหมือนหายเป็นปลิดทิ้ง


 


 


เย่เซียวกึ่งหลับกึ่งตื่น อยู่ๆ แขนยาวโอบตัวเธอให้คร่อมทับบนตัวเขา ไป๋ซู่เย่กลัวจะทับโดนแผลบนตัวเขาเลยชะงักท่าไว้ จากนั้นเลิกผ้าห่มออกมุดเข้าไปในผ้าห่มเขาด้วยตัวเอง ขยับเข้าใกล้เรือนร่างที่ร้อนระอุของเขา เขาแทบจะรั้งตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอดด้วยสัญชาตญาณราวกับได้รับกลิ่นที่ทำเขาเป็นบ้าได้


 


 


กอดแน่นเกินไปจนเหมือนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด จะล็อกตัวเธอไว้ข้างกายตลอดเวลา ให้หลอมตัวเป็นร่างเดียวกัน


 


 


ไป๋ซู่เย่รู้สึกแสบจมูก สองแขนโอบลำคอเขาอย่างรักใคร่ ซุกหน้าตรงซอกคอเขาอย่างหักห้ามใจไม่ไหว หัวใจที่หนาวเหน็บมานานเพิ่งรู้สึกอุ่นขึ้นเล็กน้อยในยามนี้


 


 


ได้กอดเธอ จังหวะหายใจของเขาก็เริ่มคล่องขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนทำท่าเหมือนคิดถึงกันและกัน ยิ่งขยับก็ยิ่งใกล้ ยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ…


 


 


………………………………


 


 


ค่ำคืนนี้เขานอนหลับสนิท เธอเองก็เช่นกัน


 


 


ราวกับเป็นคืนแรกในสิบกว่าวันที่ผ่านมา เพียงแต่วันรุ่งขึ้นเช้าตรู่ขณะที่นอกหน้าต่างยังไม่ทันฟ้าสว่างด้วยซ้ำ เธอก็ตื่นแล้ว ตลอดทั้งคืนนี้ความจริงนอนไปแค่ไม่ถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น


 


 


เขาไม่ได้ตื่น


 


 


ตรงเอวเธอ มือของเขายังคงใช้แรงมหาศาลในการยึดตัวเธอไว้


 


 


เธอลูบจับร่างกายของเขาและใช้หน้าผากของตนแนบชิดหน้าผากของเขา มั่นใจว่าอุณหภูมิตัวเขาคงที่ถึงโล่งอก


 


 


อาศัยแสงไฟสลัวตรงหัวเตียง เธอซบไหล่เขามองเขาอยู่นานแสนนาน…


 


 


เธอต้องไปแล้ว…


 


 


การหลับใหลไปพร้อมอ้อมกอดนี้ ไม่คู่ควรกับพวกเขาในยามตื่น


 


 


จับมือเขาเลื่อนออกจากเอวอย่างระมัดระวังด้วยความขมขื่น คล้ายความรู้สึกว่างเปล่านั่นทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก เดิมทีหัวคิ้วที่ผ่อนคลายเริ่มขมวดคิ้วตึงเพราะการถอนตัวออกของเธอ ไป๋ซู่เย่กลัวเขาตื่นเลยหยิบหมอนใบหนึ่งมาให้เขากอดไว้ เป็นไปตามคาดเมื่อสีหน้าเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง


 


 


เห็นท่าทางเขาเช่นนี้ เธอยกยิ้มจางๆ


 


 


พลิกตัวลงจากเตียงแล้วจัดผม เข้าไปในห้องอาบน้ำเพื่อเปลี่ยนชุดของเขาออกก่อนสวมใส่ชุดนอนตัวเดิมของเมื่อคืนของตน ย่องเท้าเดินออกจากห้อง


 


 


ปิดประตูเหลือเพียงความเงียบไว้ในห้อง…


 


 


ถังซ่งคอยกังวลอาการของเขาตลอดเลยไม่กล้าหลับสนิทนัก ขณะนี้เขาเองก็ออกมาจากห้องในสภาพชุดนอนและหาววอด ทั้งคู่ปะทะหน้ากันตรงทางเดิน


 


 


“อรุณสวัสดิ์” ไป๋ซู่เย่ทักทายกับเขา


 


 


“อาการเขาเป็นยังไงบ้าง?”


 


 


“ยังดี หลังจากนั้นพอได้นอนไข้ก็ลด กลางคืนฉันเลยดึงหัวเข็มให้เขา”


 


 


“งั้นก็ดี” ถังซ่งหาววอดอย่างเกียจคร้าน ดวงตาที่ยังติดแดงนิดหน่อยมองเธอ “คุณไม่ได้นอนทั้งคืนเหรอ?”


 


 


“…นอนไปสักพัก”


 


 


“ตอนนี้อาการของเขาคงที่แล้ว คุณก็รีบไปพักผ่อนหน่อยเถอะ สายๆ ผมจะให้คนไปเปลี่ยนยาให้คุณ”


 


 


“โอเค ขอบคุณ” ไป๋ซู่เย่พยักหน้าเดินจากไป


 


 


กลับไปเรือนรอง เรื่องแรกที่ทำกลับเปิดหน้าต่างมองไปตึกตรงข้าม


 


 


ถังซ่งเข้าไปในห้องเขา เขายังคงหลับไม่ตื่น ถังซ่งแค่เช็คดูง่ายๆ ทีหนึ่งก็เดินออกไป ท่าทางทุกอย่างราบรื่นดี


 


 


หัวใจที่กังวลตลอดของไป๋ซู่เย่ก็ผ่อนคลายลง หาววอดย้อนกลับไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน


 


 


มีช่วงเวลาหนึ่งที่ในหัวมีแค่ประโยคเมื่อคืนของเย่เซียว ‘เจ็บมั้ยไหม’…


 


 


ความจริงเธอก็อยากถามมากเช่นกันว่า ‘เย่เซียว แผลเหล่านั้นเมื่อสิบปีก่อน…ตอนนี้ยังเจ็บเหมือนเดิมอยู่มั้ยไหม? แล้วต้องทำยังไง ถึงจะไม่เจ็บอีกต่อไป?’


 


 


………………………………


 


 


เก้าโมงกว่า


 


 


เย่เซียวตื่นแล้ว


 


 


ลืมตาขึ้นเรื่องแรกที่ทำกลับควานหาของในอ้อมกอด พบว่าเป็นหมอนสายตาก็เย็นชาลง มุ่นคิ้วโยนหมอนทิ้งบนพื้นไปไกล


 


 


ถังซ่งเข้ามาก็เห็นการกระทำนี้ของเขาพอดี


 


 


“เช้าตรู่ท่านก็เริ่มทะเลาะกับหมอนแล้วเหรอ?” ถังซ่งเดินเข้ามาเพียงลำพัง เก็บหมอนขึ้นมาโยนไว้บนโซฟาข้างๆ


 


 


เย่เซียวเหลือบมองเขาแวบหนึ่งไม่ตอบ


 


 


จากนั้นทิ้งสายตาเย็นชาไปนอกหน้าต่าง


 


 


“ดูอะไร?” ถังซ่งเองก็มองไปตามสายตาของเขา จากนั้นยกยิ้มมุมปาก “ดูไป๋ซู่เย่ที่อยู่ตรงข้าม?”


 


 


“ถังซ่ง ทางที่ดีนายอย่ามายั่วโมโหฉันแต่เช้า” เย่เซียวถอนสายตากลับมา


 


 


“เธออยู่ห้องนั้นไง” ถังซ่งพยักพเยิดปลายคางไปยังฝั่งตรงข้าม “นายมองไปนอกหน้าต่างไม่ได้จะดูเธอหรือไง?”


 


 


เย่เซียวชะงักนิ่งไปชั่ววูบก่อนจะเบนสายตาไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ครั้งนี้กำลังมองหน้าต่างบานนั้นจริงๆ


 


 


เพียงแต่ตรงบริเวณหน้าต่างกลับไร้เงาใดๆ


 


 


“เมื่อคืนดูแลนายทั้งคืนเลยไม่ค่อยได้นอน ตอนนี้น่าจะกำลังพักผ่อนอยู่” ถังซ่งพูดไปพลางหยิบเครื่องมือวัดอุณหภูมิง่ายๆ ออกมาจาก**บ


 


 


เย่เซียวถลึงตาใส่เขา “ที่นี่ไม่มีคนแล้วหรือไง นี่นายกล้าให้เธอเข้ามาอยู่ในห้องของฉัน!”


 


 


“นายสองคนชอบสู้กันไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้มีแผลกระสุนทั้งสองคน ถ้าสู้กันจริงๆ ไม่คนใดก็คนหนึ่งตาย ฉันคิดอยู่ว่าไม่แน่พวกนายสองคนอาจจะสร้างบทละครฉากใหญ่ออกมาได้ สุดท้ายพวกนายสองคนกลับทำให้ฉันผิดหวัง ไม่สิ น่าจะบอกว่าเธอทำให้ฉันผิดหวัง” ถังซ่งมองเขาแวบหนึ่ง “เธอเจ็บหนักเพราะนายขนาดนี้ เมื่อคืนไม่ได้ฉวยโอกาสแก้แค้นนาย กลับยังดูแลนายทั้งคืน นายว่า มันไม่สนุกเลยใช่มั้ยไหม”


 


 


เย่เซียวเขม่นตาใส่เขาวูบหนึ่ง


 


 


หน้าบึ้งตึงไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้กำลังคิดอะไร


 


 


ถังซ่งกำลังตรวจร่างกายให้เขา สักพักหนึ่งได้ยินแค่เสียงทุ้มต่ำของเขาถามขึ้น “มือ เป็นอะไรไป?”


 


 


……………………………

 

 

 


ตอนที่ 691 ไม่อาจถอนตัว (1) - ตอนที่...

 

ถังซ่งกำลังตรวจร่างกายให้เขา สักพักหนึ่งได้ยินแค่เสียงทุ้มต่ำของเขาถามขึ้น “มือ เป็นอะไรไป?” “หืม?” ถังซ่งมองมือตัวเองแวบหนึ่ง “มือฉันทำไม?” เย่เซียวไม่สบอารมณ์อย่างมาก “ใครถามนาย?” “นายถามไม่ชัดเจนนี่นา” ไม่นานถังซ่งก็เข้าใจทันที “ถามถึงไป๋ซู่เย่สินะ? นายสูญเสียความทรงจำไปหรือไง ไม่ใช่ว่าโดนนายยิงเหรอ? แต่ว่านายก็ไม่ต้องกังวลไป แผลกระสุนนั่นเทียบไม่ติดกับที่นายโดนเลย” “ฉันหมายถึงนิ้วมือ!” เขาพบว่าถังซ่งนี่ปากมากจริงๆ! ถังซ่งเชยตามองเขา “นิ้วมือโดนนายหักไง ฉันว่า นายนี่ทำได้ลงจริงๆ เลยนะ หักนิ้วทั้งอย่างนั้นเลย ไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วมีผู้หญิงกี่คนที่ต้องมาตายในมือนาย” “…” ปล่อยให้ถังซ่งพล่ามไป เย่เซียวกลับไม่ได้พูดอีก แค่ตีหน้าขรึมทำท่าขบคิดบางอย่างแล้วทิ้งสายตาไปนอกหน้าต่าง หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้นใหม่ “ให้คนเข้ามาปิดหน้าต่าง ปิดผ้าม่านด้วย เย็นนิดหน่อย” …………………… หลังไป๋ซู่เย่ตื่นมาเห็นแค่หน้าต่างอีกฟากที่ปิดสนิทอีกครั้ง นั่นเป็นความระแวงที่เย่เซียวมีต่อตน หัวใจดำดิ่งลงลึก สุดท้ายระหว่างพวกเขาก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจ เธอไม่มีสิทธิ์จะไปร้องขอ สามวันหลังจากนั้นไป๋ซู่เย่ไม่เคยเจอเย่เซียวอีก หรือไม่ได้ก้าวเข้าไปที่เรือนหลักแม้แต่ก้าวเดียว เช้าวันที่สี่หยูอันมาหาเธอด้วยตัวเอง “คุณไปได้แล้ว หน้าประตูมีรถรออยู่แล้ว” ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไร เดินตามหลังหยูอันไป ในเมื่อเธอสามารถกลับได้แล้วนั่นบ่งบอกว่าอาการของเย่เซียวค่อยๆ หายดี อย่างนี้ก็ดี ก่อนจากไปเธอทักทายถังซ่ง ถังซ่งส่งเธอตลอดทางจนถึงหน้าประตูเขตสวนหลวงของราชวงศ์ “จากนี้ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกมั้ยไหม” ไป๋ซู่เย่บอกถังซ่งขณะที่ยืนอยู่หน้าประตู ลมพัดผ่านไป น้ำเสียงที่เธอแสร้งพูดด้วยท่าทีสบายๆ ยังคงจับความเศร้าหมองได้บ้าง ไม่อาจเจอถังซ่งอีก ยิ่งไม่อาจได้เจอเย่เซียวอีก… ถังซ่งล้วงมือในกระเป๋าเสื้อกาวน์สีขาว “ต่อจากนี้ไม่เจอกัน เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งทั้งคุณและเขา หนึ่งเดือนที่ผ่านมาของพวกคุณสองคน จำนวนครั้งที่บาดเจ็บไม่น้อยแล้ว ถ้ายังเจอกันอีก ผมกลัวว่าพวกคุณจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตตัวเอง ดังนั้น จะอยู่ให้ทรมานตัวเองไปอีกทำไม?” ไป๋ซู่เย่พรูลมหายใจออก “นั่นสิ ต่อจากนี้…” พูดถึงนี่จู่ๆ เธอก็พูดไม่ออก ความจริงไม่มีคำว่าต่อจากนี้… ระหว่างเธอกับเย่เซียวไม่มีอนาคตกันจริงๆ อีกแล้ว… “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร” ส่ายศีรษะไม่พูดต่อแค่เปลี่ยนหัวข้อคุยอีกเรื่องแล้วถาม “เครื่องดักฟังที่ดักฟังเย่เซียว ติดตั้งไว้ตรงไหน คุณบอกฉันทีได้มั้ยไหม?” ถังซ่งใช้สายตาสงสัยมองเธอ “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอ?” “คุณก็ถือว่าฉันกำลังแสดงละครก็ได้ บอกตำแหน่งที่ชัดเจนให้ฉันทีได้มั้ยไหม?” ท่าทางที่ถังซ่งมีต่อเธอคล้ายกับเย่เซียวไม่มีผิด เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ยอมบอกความจริง “วันที่สองหลังจัดงานฉลองวันเกิดของตระกูลยวิ๋น เจอที่คลิปหนีบเนกไทเส้นหนึ่ง” “คลิปหนีบเนกไท? คลิปหนีบเนกไทที่น่าหลันให้เขา?” “อันนี้ผมก็ไม่รู้แล้ว แต่ได้ยินเย่เซียวบอกว่าคลิปหนีบเนกไทนั่น ไปเอาด้วยกันกับคุณที่บ้านคุณวันนั้น” “งั้นก็บังเอิญจริงๆ” ไป๋ซู่เย่แค่นหัวเราะที ดูเหมือนว่าคนของกระทรวงความมั่นคงเคยมาเยือนบ้านเธอแล้ว ติดตั้งเครื่องดักฟังเสร็จสรรพ แต่ว่าเธอกลับไม่ทันระวังตัว “ถ้าจะนับจริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับฉันจริงๆ” “ในเมื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณ งั้นผมหวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก ไม่อย่างนั้นคิดว่าคุณน่าจะไม่หลุดพ้นเหมือนคราวนี้ไปง่ายๆ” ไป๋ซู่เย่พยักหน้า “ฉันรู้” คนของหยูอันได้ขับรถมาแล้ว ไป๋ซู่เย่ไม่ได้คุยอะไรไปกับถังซ่งมากกว่านี้ ก่อนจากไปเผลอหันไปมองที่ชั้นสามของเรือนหลักแวบหนึ่ง… ตรงนั้นหน้าต่างปิดสนิทดังเดิม ไม่ค้างนาน เธอก้าวขึ้นรถให้อีกฝ่ายส่งเธอถึงท่าเรือหู่ซัน รถของไป๋หลางกลับมารออยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว “รัฐมนตรี!” ทันทีที่เห็นเธอไป๋หลางรีบลงจากรถ ดวงตาคู่นั้นไล่กวาดตาทั้งตัวของเธอด้วยความเป็นห่วง “นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง?” “ได้รับคำแจ้งจากพวกเขาแต่เช้าให้ผมมารับคุณ คุณไม่เป็นไรนะ?” “ไม่เป็นไร” ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ แผลตรงไหล่กับนิ้วมือกำลังอยู่ในช่วงสมาน ไป๋หลางเลยจับผิดสังเกตไม่ได้ เห็นเธอสบายดีจริงๆ ไป๋หลางเองก็โล่งอกไปที เธอเข้าไปนั่งในรถเปิดโทรศัพท์พบว่ามีทั้งอีเมลและสายที่ไม่ได้รับเข้ามามากมาย อย่างที่คิดเมื่อในสายที่ไม่ได้รับนั้นเป็นสายจากปลัดกระทรวงอยู่ไม่น้อย สีหน้าเธอขรึมลงเล็กน้อย ไป๋หลางกล่าว “หลายวันนี้ปลัดตามหาคุณจนแทบบ้า เขาสั่งไว้ว่าถ้าคุณกลับมาให้รีบไปหาเขา” “นายส่งฉันไปที่ห้องทำงานเขา” “ตอนนี้?” “อืม ตอนนี้” ไป๋ซู่เย่หยักหน้ารับ ไป๋หลางเองจึงไม่ชักช้าขับรถไปที่กระทรวงความมั่นคงโดยตรง ………………………… ไป๋ซู่เย่แสกนนิ้วมือขึ้นไปชั้นบนสุด มาถึงหน้าห้องทำงานถูกเลขาของปลัดขวางไว้ “รัฐมนตรี คุณรอสักครู่ ท่านนายพลทั้งห้าคนมากันหมด ตอนนี้กำลังประชุมอยู่ข้างใน” ไป๋ซู่เย่หยักหน้ารับ “ได้ ฉันจะรออยู่ข้างนอก” เลขาผงกศีรษะเล็กน้อย เคาะประตูห้องทำงานก่อนได้ยินเสียงของปลัดถึงผลักประตูเข้าไป แค่หนึ่งนาทีหลังจากนั้นก็กลับออกมา “รัฐมนตรีไป๋ ท่านปลัดให้คุณเข้าไปตอนนี้เลย” ไป๋ซู่เย่ผลักประตูเข้าไป “สวัสดีค่ะท่านปลัด นายพล” ทักทายสั้นๆ ปลัดทำท่าเป็นเชิงให้เลขาข้างหลังถอยออกไปก่อน จากนั้นนิ้วกดที่ปุ่มข้างๆ โซฟา ผ้าม่านของห้องทำงานทั้งหมดถึงค่อยๆ เลื่อนปิดลง หัวใจของไป๋ซู่เย่วูบโหวง ได้ยินเพียงเขากล่าว “เชิญนั่ง” ไป๋ซู่เย่ไม่มีอะไรจะพูด นั่งลงตรงข้ามปลัดกระทรวง “รัฐมนตรีไป๋ ขอให้คุณรายงานการเคลื่อนไหวในหลายวันนี้ของคุณด้วยตัวเองก่อน” สีหน้าปลัดตึงเครียด “ถูกพวกเขากักบริเวณ” “ดังนั้นคุณได้เห็นเย่เซียวด้วยตัวเอง?” ปลัดกระทรวงถามต่อ “เห็นเองกับตาจริงๆ” ได้ยินเธอว่าเช่นนี้ปลัดกลับหัวเราะ ยกน้ำชาตรงหน้าขึ้นจิบเบาๆ สองคำ ข้างๆ ท่านนายพลอู๋เองก็ส่งสายตาปลื้มใจไปทางไป๋ซู่เย่พร้อมพูดไปพยักหน้าชื่นชมไป “ใครๆ ก็ล้วนบอกว่ารัฐมนตรีไป๋ทำงานเก่ง ดูเหมือนว่าครั้งนี้ก็ไม่เว้น หลายวันนี้มีคนอยากเจอเย่เซียวมากเหลือเกินแต่ไม่มีใครได้เจอ ไม่คิดว่ารัฐมนตรีไป๋กลับมาปุ๊บก็ทำภารกิจสำเร็จ” มือของไป๋ซู่เย่ที่วางไว้หน้าขากระชับแน่น เพราะใช้แรงเกินไปทำให้แรงเกร็งตัวไปกระเทือนให้แผลตรงไหล่ปวดแปลบขึ้นมา แต่เธอไม่ได้เอ่ยปากใดๆ เพียงรอพวกเขาบอกจุดประสงค์มาให้ชัดเจนก่อน ปลัดวางแก้วน้ำชาลง “ซู่เย่ คุณเป็นคนฉลาดมาโดยตลอด ผมเองก็ไม่อ้อมค้อมกับคุณแล้วกัน” หยุดชะงักไปชั่ววูบ สายตาหนักแน่น น้ำเสียงจริงจังตามลำดับ “สำหรับเย่เซียวแล้วคุณยังคงพิเศษเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ผมคิดว่าจุดนี้คุณน่าจะรู้สึกเองได้ จากรูปภาพที่เราถ่ายมาได้เหล่านี้ก็ดูออก แล้วก็…วันที่คุณท่านคุณหญิงตระกูลยวิ๋นจัดงานฉลองวันเกิด คุณอยู่ในห้องของเย่เซียวทั้งคืน…” ………………………… 

 

 


ตอนที่ 692 ไม่อาจถอนตัว (2)

 

ลมหายใจไป๋ซู่เย่ติดขัด


 


 


วันนั้นเธออยากหนีเย่เซียวเพราะกลัวจะถูกกระทรวงความมั่นคงจับได้ แต่สุดท้าย…


 


 


“ตอนนี้สถานการณ์ในเวทีนานาชาติล้วนหวั่นเกรงมาก จะมัวเสียเวลาไม่ได้อีก เรื่องของไฟเรนเซ่ต้องรีบเร่งวัน เมื่อกี้ผมกับท่านนายพลทั้งหลายประชุมกันแล้ว เราทุกคนล้วนคิดว่ามีเพียงเข้าใกล้เย่เซียว ใช้เย่เซียวเป็นตัวเปิดทางถึงจะได้!”


 


 


ไป๋ซู่เย่หัวเราะทีหนึ่ง สายตาประสานกับของปลัดโดยตรง“ความหมายของคุณคืออยากมอบหมายให้ฉันไปเข้าใกล้เย่เซียว?”


 


 


ปลัดพยักหน้ายอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ “จากตำแหน่งของคุณในหัวใจของเย่เซียว การจะได้รับความเชื่อใจจากเขาใหม่ไม่ใช่เรื่องยากแน่ๆ ”


 


 


“แน่นอนเราเองก็รู้ว่าหลังผ่านเรื่องเมื่อสิบปีที่แล้ว ทั้งร่างกายและสภาพจิตใจของคุณได้บาดเจ็บอย่างหนัก แต่…” นายพลหนึ่งในนั้นพูดต่อ “รัฐมนตรีไป๋ ตอนนี้เป็นช่วงคับขันที่ประเทศชาติกำลังลำบาก ประชาชนทุกคนมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องก้าวออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรา เพื่อสัญญาอาวุธสงครามในมือไฟเรนเซ่ เราสูญเสียคนไปมากพอแล้ว หวังว่าครั้งนี้คุณจะทอดทิ้งความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อประเทศได้ แน่นอนว่าเราเชื่อว่ารัฐมนตรีไป๋ทำได้แน่ๆ ในเมื่อถ้าไฟสงครามมันลุกโชนขึ้น คนที่จะประสบภัยก็คือประชาชนทุกคนของประเทศ S เรา กวาดล้างผู้คน คงไม่ใช่ผลลัพธ์ที่รัฐมนตรีไป๋อยากเห็น”


 


 


นี่เป็นหน้าที่สำคัญ


 


 


เธอโตในค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่ได้รับการปลูกฝังและร่ำเรียนล้วนเป็นเกี่ยวกับหน้าที่ที่ต้องสละชีพเพื่อชาติ บนตำแหน่งนี้เธอจะผลักไสสักนิดไม่ได้ เรื่องความรู้สึกส่วนตัวจะเทียบกับความปลอดภัยของประเทศและประชาชนได้อย่างไร? ต่อหน้าความคับขัน แม้แต่ชีวิตตนก็เป็นสิ่งเล็กน้อย!


 


 


เพียงแต่…


 


 


“ท่านปลัด เกรงว่าพวกคุณจะเข้าใจผิด” ในที่สุดไป๋ซู่เย่ก็เอ่ยปาก เธอพยายามระงับอารมณ์ซับซ้อนที่กำลังพลุ่งพล่านในอก บังคับให้ตัวเองใจเย็นลง ไร้ท่าทางรู้สึกผิดสักนิด


 


 


“ไม่ผิดที่ฉันได้เจอเย่เซียว และไม่ผิดที่คนของเขาเป็นคนพาฉันไป แต่เขาไม่ใช่แค่อยากเจอฉันเฉยๆ แต่เขาอยากฆ่าฉัน” พูดถึงนี่เธอหยุดชะงักไป


 


 


คล้ายว่าคนข้างกายจะสงสัย ดังนั้นเธอจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตบนสองเม็ดอย่างไม่ลังเล ดึงผ้าพันแผลตรงไหล่ลงเปิดแผลที่กำลังสมานกันแต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี


 


 


“เย่เซียวสงสัยว่าเรื่องการดักฟังในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับฉันก็เลยให้คนของเขาพาฉันไป กระสุนนัดนี้เขาเป็นคนยิงด้วยตัวเอง แล้วก็นี่…” ไป๋ซู่เย่ดึงผ้าพันแผลตรงนิ้วลงเช่นกัน “นิ้วมือนี้ของฉัน ก็หักด้วยน้ำมือเขาเหมือนกัน”


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก หรือยำเกรงกระทรวงความมั่นคงกับทำเนียบประธานาธิบดีอยู่บ้าง ฉันคิดว่าวันนี้ฉันอาจจะไม่มีชีวิตรอดออกมาจากที่ของเขาได้”


 


 


“ภายใต้สถานการณ์แบบนี้พวกคุณคิดว่าฉันจะเข้าใกล้เย่เซียวได้อีกมั้ยไหม?” ไป๋ซู่เย่กวาดตามองคนรอบข้าง “เย่เซียวฉลาดมาก เคยถูกหลอกหนึ่งครั้งก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองถูกหลอกอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้าฉันยังเข้าไปใกล้เขาอีก ก็เหมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟไม่ว่า แต่ต้องเสียเวลาและพลังงานของทุกคนแน่ๆ ฉันคิดว่าถ้าต้องมาเสียเวลากับฉัน ไม่สู้หาทางจัดการไฟเรนเซ่ด้วยวิธีอื่นไม่ดีกว่าเหรอ ทุกท่านคิดว่าไงคะ?”


 


 


ปลัดกระทรวงกับนายพลท่านอื่นต่างมองกันและกัน เรื่องราวเหมือนจะหนักหนาขึ้น แผลบนตัวเธอก็ไม่เหมือนโกหก เย่เซียวดูจะไม่ออมมือให้เธอเลยจริงๆ


 


 


ปลัดกระทรวงถามเพื่อย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง “คุณกับเย่เซียว ตอนนี้เหมือนไฟกับน้ำจริงๆ เหรอ?”


 


 


“เหมือนที่คุณเห็นเองกับตา” แววตาที่ไป๋ซู่เย่ประสานมองกับเขาไม่มีวูบไหวสักนิด


 


 


สีหน้าปลัดกระทรวงหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เงียบไปพักใหญ่สุดท้ายโบกมือ “ได้ คุณออกไปเถอะ ไปทำแผลให้ดีๆ อย่าให้ติดเชื้อ ข้อเสนอในวันนี้ไว้เราค่อยประชุมกันอีกที”


 


 


ไป๋ซู่เย่จัดเสื้อผ้าบนตัวให้ดี ลุกขึ้นตะเบะมือเป็นการทำความเคารพ เตรียมออกไปแต่พอเดินถึงประตูพาลนึกบางเรื่องได้ หันกลับมาทอดสายตาไปทางปลัดกระทรวง “ท่านปลัด เรื่องที่ดักฟังเย่เซียวในครั้งนี้…”


 


 


“นี่เป็นภารกิจของทีมพิเศษ คุณไม่ได้เข้าร่วมย่อมไม่มีสิทธิ์รับรู้—นี่เป็นกฎ แน่นอนว่าถ้าคุณอยากเข้าร่วม เราก็ยินดี”


 


 


ไม่ผิดว่านี่คือกฎ


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ถามมากไปกว่านี้ ปิดประตูเดินออกไป


 


 


ยืนอยู่หน้าประตูสักครู่ก่อนก้มมองแผลบนไหล่ตนแวบหนึ่งด้วยห้วงความคิดที่ผุดขึ้นเลือนราง จู่ๆ เธอรู้สึกโชคดีที่เย่เซียวยิงกระสุนใส่ตนนัดนี้ หากเธอกลับออกจากถิ่นของเขาอย่างปลอดภัยไร้แผล นั่นสิถึงจะยากจะรายงานตัว


 


 


ต้องวางแผนใส่เย่เซียวอีกครั้ง…


 


 


เธอคิดว่า เธอ…ทำมันไม่ได้จริงๆ แล้ว…


 


 


ความทรมานสิบปีนี้ เพียงพอแล้ว…


 


 


แต่ปลัดกระทรวงพวกเขาเป็นคนมีเล่ห์กล แล้วจะยอมปล่อยเชือกฟางอย่างเธอไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน?


 


 


ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง


 


 


บัดนี้สิ่งที่เธอทำได้ คงมีแต่จะอยู่ห่างจากเขาได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี…


 


 


ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายิ่งรุนแรงกว่าน้ำกับไฟ ยิ่งจะทำให้ปลัดกระทรวงล้มเลิกความคิดนี้เสีย


 


 


………………………………


 


 


หลังจากวันนั้นแผลของไป๋ซู่เย่ก็เริ่มจะหายดี ปลัดได้ให้ยาลบรอยแผลเป็นแก่เธอด้วยตัวเอง จนถึงสุดท้ายไม่เหลือรอยแผลเป็นบนไหล่สักนิดจริงๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน หากแต่มาในฝันกลางดึก เธอกลับยังจดจำคืนนั้นที่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเย่เซียว ถามเธอด้วยสติที่มีน้อยนิดว่า ซู่ซู่ ยังเจ็บไหม…


 


 


ทุกครั้งที่นึกถึงหัวใจก็อัดอั้นจนเจ็บแปลบ


 


 


ราวกับหัวใจถูกควักออกมาแช่ในฟอร์มาลีน แช่ให้มันพองโต…


 


 


รอเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาเธอกำลังยืนเหม่ออยู่ตรงหน้าตู้เย็น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทานเยอะไปจะทำลายกระเพาะ แต่ตัวคนเดียวไม่อยากเปิดไฟเลยจริงๆ


 


 


คนที่โทรมาเป็นคุณแม่ของยวิ๋นอวิ๋นช่วน


 


 


“ซู่ซู่ ยังไม่ทานข้าวใช่มั้ยไหม?”


 


 


“ยังค่ะ”


 


 


“งั้นพอดีเลย ตอนนี้ยวิ๋นอวิ๋นช่วนไปรับหนู หนูมาทานข้าวเย็นบ้านเราเถอะ”


 


 


ไปตระกูลยวิ๋นอวิ๋น?


 


 


ไปทานข้าวกับพ่อแม่เขา?


 


 


ไป๋ซู่เย่อยากปฏิเสธโดยอัตโนมัติ แต่ยังไม่ทันปริปากคุณแม่ยวิ๋นอวิ๋นกลับยิ้มกล่าว “หนูอย่าคิดปฏิเสธนะ งานฉลองวันเกิดคราวก่อนมีแค่หนูที่ไม่ได้อยู่ทานข้าวกับคนแก่สองคน หนูว่าครั้งนี้ควรชดเชยให้หรือเปล่า?”


 


 


พอว่าเช่นนี้ดูเหมือนเธอจะไม่มีข้ออ้างให้ปฏิเสธ


 


 


จากนั้นยวิ๋นอวิ๋นช่วนรับโทรศัพท์ไปพูดแทน “ซู่ซู่ แม่ผมล้อเล่นกับคุณ คุณอย่าคิดมาก แต่ว่า…เราหวังว่าคุณจะมาทานมื้อเย็นกับเราจริงๆ”


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ปฏิเสธ “ได้ ให้ฉันขับรถไปหรือคุณมารับฉัน?”


 


 


น้ำเสียงยวิ๋นอวิ๋นช่วนร่าเริงขึ้นมากในพริบตา “เดี๋ยวผมออกไป คุณแค่รอก็พอ”


 


 


“โอเค”


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ เดินเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้อง


 


 


เธอคิดว่าออกไปเดินเล่นสูดอากาศหายใจหน่อยก็ใช่ว่าจะแย่ ถ้าอยู่หมกตัวต่อไปเธอกลัวว่าจะเป็นอย่างเมื่อสิบปีก่อนที่หมกตัวจนป่วยขึ้นมา


 


 


ตอนนี้ทุกคืนเธอก็แทบต้องอาศัยยานอนหลับถึงจะเข้านอนได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่แย่มากๆ เรื่องหนึ่ง


 


 


ไม่รู้ว่า…


 


 


เย่เซียว ทุกวันนี้จะหลับสนิทดีไหม


 


 


…………………………… 

 

 


ตอนที่ 693 ไม่อาจถอนตัว (3)

 

นึกถึงนี่เธอยิ้มฝืดเฝื่อนส่ายศีรษะ ทำไมถึงนึกถึงเขาอีกแล้วล่ะ?


 


 


ไม่ควรเลยจริงๆ


 


 


เปลี่ยนชุดในห้องนั่งเล่นสักครู่ก็ได้รับสายจากยวิ๋นอวิ๋นช่วนเธอถึงล็อกประตูลงไป


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนเห็นเธอก็ลงจากรถมาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้เธออย่างสุภาพบุรุษแต่ไกล


 


 


“ขอบคุณ” เธอนั่งในรถ


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนเอียงตัวมาหมายจะคาดเข็มขัดให้เธอ


 


 


“ฉันทำเองเถอะ” เธอรับมือแทน มองเห็นใบหน้ายวิ๋นอวิ๋นช่วนที่ใกล้กับตนขนาดนี้ในหัวกลับเป็นภาพที่วันนั้นเธอกับเย่เซียว ที่เธอจงใจกัดปากเขาเป็นการแก้แค้นในโรงจอดรถส่วนตัวของถังซ่ง…


 


 


บอกว่ากัดแต่ท้ายมา…ความจริงกลายเป็นกอดจูบที่หักห้ามใจไม่ได้…


 


 


คิดแล้วก็เหม่อลอย กระทั่งรถเคลื่อนตัวออกไปแล้วก็ไม่รู้ตัว


 


 


“ซู่ซู่?”


 


 


รอยวิ๋นอวิ๋นช่วนเรียกเธอเป็นครั้งที่สาม เธอถึงหลุดจากภวังค์


 


 


“หืม?”


 


 


“คิดอะไรอยู่?” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนขับรถไปพลางมองเธออย่างฉงนไปด้วยแววตาฉายแววเป็นห่วงเล็กน้อย “มีเรื่องในใจเหรอ?”


 


 


“เปล่า ไม่มี” เธอส่ายศีรษะและเก็บปมในใจทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวเองอย่างเคยชิน ยิ้มจางๆ “ฉันกำลังคิดว่า เดี๋ยวจอดที่ห้างจิ่นเฉิงสักหน่อย ฉันอยากซื้อของให้คุณลุงคุณป้าหน่อย ครั้งก่อน…ต้องขอโทษด้วย”


 


 


“ครั้งก่อนจู่ๆ คุณก็หายตัวไป ทำเอาเราตกใจกันหมดเลย”


 


 


“ฉันไม่ได้หายตัวไป แค่ว่า…” ไป๋ซู่เย่ไม่ได้พูดต่อ เรื่องคืนนั้นบัดนี้มาพูดถึงอีกล้วนมีแต่แผล…


 


 


ทุกหยาดอารมณ์ที่ผู้ชายคนนั้นมอบให้เธอ จดจำได้ขึ้นใจมากเท่าไร ความสิ้นหวังที่มีในใจก็มากเท่านั้น…


 


 


เธอไม่อยากย้อนคิดถึงมันอีก…


 


 


……………………


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนดูออกว่าเธอมีเรื่องให้หนักใจแต่เธอไม่อยากพูดเขาก็หาจุดให้ถามไถ่ไม่ได้ ระหว่างพวกเขาดูเหมือนกำลังพัฒนาช้าๆ แต่เขากลับรู้ดีว่าความจริงแล้วพวกเขาแค่ย่ำอยู่ที่เดิม ไม่เคยก้าวไปข้างหน้าสักก้าวเดียว


 


 


ในใจเธอมีกำแพงบานหนึ่งกั้นไว้ไม่เคยเปิดออก ตัวเธอก้าวออกมาไม่ได้ คนอื่นก็ก้าวเข้าไปไม่ได้


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนมักคิดว่า ไม่รู้ว่าผู้ชายที่สามารถทำลายกำแพงของเธอได้อย่างแท้จริงจะเป็นใครกัน หรือบางทีจะเป็นตัวเองหรือไม่


 


 


เขา ไม่มั่นใจเลยสักนิดเดียว


 


 


มาถึงหน้าห้างจิ่นเฉิง ยวิ๋นอวิ๋นช่วนจอดรถ ไป๋ซู่เย่กล่าว “นี่ก็สายแล้ว เราไม่เดินเที่ยวแล้ว ข้างในมีร้านที่คุณหญิงมาบ่อยๆ เข้าไปดูเสื้อผ้าถ้ามีตัวไหนที่รู้สึกเหมาะ เราก็ซื้อมันไว้ ดีมั้ยไหม?”


 


 


“คุณไม่ต้องเตรียมอะไรเลย แค่ตัวมาแม่ผมก็ดีใจมากแล้ว”


 


 


“ก็ถือว่าไถ่โทษแล้วกัน” ไป๋ซู่เย่กล่าวอย่างรู้สึกผิดไปก็เดินขนาบข้างเข้าไปในห้างพร้อมกับเขา


 


 


ร้านนี้เป็นร้านที่ฮูหยินคุณหญิงไป๋ชื่นชอบการออกแบบของมันมาก ทันสมัยแต่ไม่มีลวดลายมาก เหมาะกับวัยของพวกท่านพอดี


 


 


ไป๋ซู่เย่กวาดมองรอบหนึ่งเลือกของได้หลายอย่าง ถามความเห็นของยวิ๋นอวิ๋นช่วนไป ยวิ๋นอวิ๋นช่วนรู้สึกว่าแววตาเธอดีมาก เธอเลือกอะไรก็พยักหน้าซึ่งกลับทำให้เธอเริ่มตัดสินใจลำบาก ในเมื่อเธอไม่รู้รสนิยมความชอบของคุณพ่อคุณแม่ยวิ๋นอวิ๋น กลัวจะเลือกโดนตัวที่พวกท่านไม่ชอบ


 


 


ขณะกำลังเลือกของอยู่ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน จากนั้นก็เป็นเสียงนอบน้อมและพร้อมเพรียงของพนักงานในร้านทุกคน “สวัสดีค่ะเจ้านาย”


 


 


ไป๋ซู่เย่มองไปตามเสียงถึงพบว่าเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้ามาตรวจดู


 


 


แต่ว่า…


 


 


เมื่อมองร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มข้างเจ้าของให้ชัดนั้นเจ้าตัวก็ยืนนิ่งค้าง มือที่ถือเสื้ออยู่เกร็งแน่น เธอไม่เคยคาดมาก่อนว่าจะเจอเขาในที่แบบนี้ได้…


 


 


“เอ๋ นี่คุณยวิ๋นอวิ๋นไม่ใช่เหรอ?”


 


 


เจ้าของห้างสรรพสินค้าเจอยวิ๋นอวิ๋นช่วนเข้า


 


 


“ประธานเซียว ไม่เจอกันนาน” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนเข้าไปจับมือกับอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็เห็นเย่เซียวด้วยเช่นกัน “คุณเย่เซียว!”


 


 


เย่เซียวสีหน้าราบเรียบ ไม่แม้แต่ปรายตามองไป๋ซู่เย่ที่อยู่ไม่ห่างสักแวบเดียว ยื่นมือจับมือกับยวิ๋นอวิ๋นช่วนเรียบๆ “บังเอิญนะครับ”


 


 


“คุณยวิ๋นอวิ๋นมาซื้อของหรือครับ?” ประธานเซียวถาม


 


 


“…ครับ” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนหันกลับไปมองไป๋ซู่เย่แวบหนึ่งด้วยแววตาที่อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “มาซื้อของขวัญให้พ่อแม่ผมเป็นเพื่อนเธอน่ะครับ”


 


 


สีหน้าเย่เซียวเย็นยะเยือกกว่าเดิมอีกเท่าตัว


 


 


“คุณไป๋” ประธานเซียวถลาเข้าไปจับมือไป๋ซู่เย่อย่างนอบน้อม จากนั้นก็หันกลับมาบอกเย่เซียว “คุณเย่เซียว ท่านนี้คือคุณไป๋ ครั้งก่อนไม่ทราบว่าในงานฉลองวันเกิดของคุณท่านยวิ๋นอวิ๋นครั้งก่อนคุณเคยเจอมาก่อนมั้ยไหม แฟนสาวของคุณยวิ๋นอวิ๋น”


 


 


เย่เซียวถึงมองมาทางไป๋ซู่เย่จริงๆ แววตาเย็นชาตอบกลับจางๆ “ได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือมานาน”


 


 


ไป๋ซู่เย่กระตุกปากไม่แม้แต่จะกล่าวคำว่า ‘ไม่หรอก’ ได้ด้วยซ้ำ ยื่นมือให้เย่เซียวจับ ฝ่ามือของเขาเย็นมาก เย็นถึงขั้วหัวใจเธอ ชวนให้หนาวเหน็บ…


 


 


ไม่หยุดชะงักนานไปกว่านั้นราวกับเป็นเพียงการทักทายระหว่างคนแปลกหน้า หรือทำราวกับมือของเธอเปื้อนเชื้อโรค ทั้งคู่จับมือกันไม่ถึงสองวินาทีเขาก็ผละออกอย่างเย็นชา


 


 


“ทั้งคู่มาเลือกซื้อของขวัญให้ผู้ใหญ่ หมายถึงว่าใกล้มีข่าวดีหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ต้องบอกผมนะครับ!” ประธานเซียวหัวเราะร่า ไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติระหว่างเธอกับเย่เซียว คิดว่าเพียงเป็นความอึดอัดตามประสายามแรกพบเท่านั้น


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนอมยิ้มไม่อธิบาย แค่หันกลับไปมองไป๋ซู่เย่ข้างๆ


 


 


จู่ๆ ไป๋ซู่เย่ก็โอบแขนเขาไว้อมยิ้มน้อยๆ “ประธานเซียวเกรงใจกันเกินไปแล้ว ถ้ามีข่าวดีฉันกับยวิ๋นอวิ๋นช่วนจะส่งบัตรเชิญให้คุณด้วยตัวเองแน่ๆ”


 


 


สิ้นเสียงยวิ๋นอวิ๋นช่วนชะงักค้าง


 


 


เย่เซียวเงยหน้ามองเธอตรงๆ


 


 


ประธานเซียวหัวเราะออกมา “ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ผมก็คงดีใจมาก สองท่านหล่อเหลาสวยงาม เหมาะสมกันที่สุด”


 


 


“อันนี้คือของขวัญที่คุณเลือกเหรอ?” ขณะนั้นเองเย่เซียวเอ่ยปาก เทียบกับเสียงหัวเราะร่าเริงของประธานเซียวแล้วเสียงของเขาค่อนไปทางราบเรียบ พอเอ่ยปากทั้งอากาศเหมือนถูกแช่แข็ง


 


 


หัวใจของไป๋ซู่เย่เหมือนถูกก้อนหินใหญ่กดทับ แต่กลับหยักหน้า “ใช่”


 


 


เย่เซียวยื่นแขนยาวรับเสื้อผ้าหลายตัวไปภายใต้สายตางงงวยของทุกคนก็โยนให้พนักงานข้างๆ “คิดเงินแล้วใส่ถุงทั้งหมดนี้”


 


 


“เย่เซียว?” ไป๋ซู่เย่เดินตามไป จากนั้นกดเสียงถาม “คุณทำอะไร?”


 


 


ข้างนอกประธานเซียวกับยวิ๋นอวิ๋นช่วนสองคนมองหน้ากันอย่างคิดไม่ตกเช่นกัน


 


 


เย่เซียวดึงแบล็คการ์ดที่วงเงินไม่จำกัดให้รูดทันที พนักงานยิ้มส่งเสื้อผ้าให้เย่เซียวก็รับมา ภายใต้สถานการณ์ที่ไป๋ซู่เย่ไม่เข้าใจ เขายื่นมันมาให้เธอด้วยใบหน้าราบเรียบ “ถือว่าผมให้เป็นของขวัญแต่งงานแก่ทั้งสองท่าน”


 


 


หัวใจของเธอเจ็บแปลบ


 


 


แต่กลับยื่นมือช้าๆ…ช้า…รับถุงนั้นมา


 


 


“ขอบคุณ” คำสั้นๆ แต่เธอกลับพูดมันออกมาได้อย่างยากลำบาก


 


 


“ไม่หรอก แค่เรื่องเล็กน้อย” เย่เซียวไม่มองเธอมากกว่านั้นแต่หันกลับไปก้าวขายาวเดินนำไปล่วงหน้า จู่ๆ ก็หยุดคล้ายนึกบางอย่างได้ “นั่นสิ ลืมอวยพรให้ทั้งสองท่านว่าขอให้รักกันไปนานๆ!”


 


 


………………………… 

 

 


ตอนที่ 694 ไม่อาจถอนตัว (4)

 

รักกันไปนานๆ…


 


 


ไป๋ซู่เย่กอดถุงเสื้อผ้าไว้เสมือนในอ้อมแขนกำลังอุ้มก้อนหินขนาดยักษ์


 


 


เธอต้องมีสติ ต้องจัดการความสัมพันธ์ของเธอกับเย่เซียวด้วยความใจเย็น จะให้เขาเข้าใจผิดก็ดี ให้เขาเกลียดชังก็ดี ระหว่างทั้งคู่จะสงบสุขไม่ได้


 


 


“ผมถือเอง” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนยื่นมือแย่งถุงในมือเธอไป


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ผลักไส แค่มองเขาแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงหนักอึ้ง “ขอโทษนะ เมื่อกี้อาจจะทำให้ประธานเซียวเข้าใจผิดไปบ้าง”


 


 


แววตายวิ๋นอวิ๋นช่วนล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย “ความจริง…คุณไม่ได้อยากให้ประธานเซียวเข้าใจคุณผิด แต่อยากให้เย่เซียวเข้าใจคุณผิด”


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ปฏิเสธ


 


 


“ครั้งก่อน…ในงานเลี้ยง คนที่พาคุณไป คือเขา?” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนถามหยั่งเชิง


 


 


“…อืม”


 


 


“พวกคุณ…”


 


 


“มันผ่านไปหมดแล้ว…” ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ให้ยวิ๋นอวิ๋นช่วนถามต่อ


 


 


เธอหยุดชะงักฝีเท้าอยู่ตรงนั้น ดวงตามีน้ำใสเอ่อคลออยู่ชั้นบางๆ เจ็บปวดมาก เจ็บปวดจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้พักใหญ่ หากเป็นไปได้ เธอก็ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด เธอออกจะคิดถึงอ้อมกอดของเขา คิดถึงไออุ่นของเขา เธออยากกอดเขา อยากบอกเขาว่าเธอไม่ต้องการของขวัญวันแต่งงานที่เขามอบให้ ไม่ต้องการให้เขาอวยพรให้ตนรักกันไปนานๆ…


 


 


แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปไม่ได้


 


 


หากมาบรรจบกันอีกครั้ง มีหลายเรื่องจะอยู่เหนือการควบคุมของตน ถ้าเป็นเช่นนี้ผลสุดท้ายอาจจะเป็นอย่างที่ถังซ่งว่า ไม่เหลือแม้แต่ชีวิต…


 


 


เธอไม่อยากทำร้ายเขา…


 


 


และไม่อยากทรยศชุดเครื่องแบบชุดนั้นของตนตามหน้าที่…


 


 


แม้ยวิ๋นอวิ๋นช่วนจะไม่เข้าใจความลำบากใจของเธอแต่ท่าทางเช่นนี้ของเธอทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจเช่นกัน สุดท้ายอดไม่ได้ใช้แขนข้างเดียวรั้งไป๋ซู่เย่เข้ามากอด ไป๋ซู่เย่ชะงักไปอึดใจ หลับตาลงไม่ได้ดันเขาออก


 


 


หัวใจขมขื่นเกินไป ฝืดเคืองเกินไป…


 


 


ทำให้เธออดไม่ได้ที่อยากมีอ้อมแขนให้พึ่งพิงชั่วคราว…แต่เธอก็รู้ว่าอ้อมแขนที่เธอต้องการ ไม่มีวันเป็นอ้อมแขนของยวิ๋นอวิ๋นช่วน…


 


 


……………………


 


 


ชั้นสาม


 


 


ฝีเท้าของเย่เซียวชะงักงัน


 


 


สายตาทอดมองลงไปยังลานกว้างตรงกลางชั้นหนึ่งของห้าง สองคนที่กำลังกอดกันอยู่นั้นทำให้สายตาของเขาเย็นยะเยือกคล้ายกับว่าในดวงตามีแต่เกล็ดน้ำแข็งชิ้นเล็ก


 


 


“คุณเย่เซียว?” ประธานเซียวพบว่าเขาไม่ได้เดินต่อเลยหันกลับมา พอมองไปตามสายตาเขาก็เห็นคู่ชายหญิงที่กำลังโอบกอดกันอยู่จึงหัวเราะ “ที่แท้คุณเย่เซียวก็รู้จักกับพวกเขาเหมือนกัน ได้ยินว่าคุณไป๋เป็นพี่สาวของท่านประธานาธิบดี พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันมันคู่กิ่งทองใบหยกจริงๆ ชายหล่อหญิงสวย…”


 


 


ลมหายใจเย่เซียวหนักอึ้งขึ้น ตวัดตาเย็นชาไปเรียกให้ประธานเซียวสะท้านเฮือกรุนแรง ตกใจจนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น


 


 


ตัวเอง…พูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ?


 


 


สีหน้านี้ของคุณเย่เซียว…ช่างน่ากลัวจริงๆ นะ!เรื่องที่เจรจาร่วมงานเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้ากับเย่เซียวในครั้งนี้ เขาได้ทำความเข้าใจตัวเขามาก่อนล่วงหน้า ล้วนบอกว่าเขายากจะคบหา อารมณ์ไม่แน่นอน พอได้เห็นตอนนี้ก็เป็นอย่างที่ว่าไม่มีผิด


 


 


เย่เซียวไม่พูดอะไรสักคำ แค่ย่ำเท้าเดินไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ประธานเซียวก้มมองดูสองคนที่กอดอยู่ตรงชั้นหนึ่งได้เดินออกจากห้องสรรพสินค้าไปแล้ว


 


 


นี่…


 


 


หรือว่า…คุณเย่เซียวจะแอบชอบคุณไป๋อย่างนั้นหรือ?


 


 


…………………………


 


 


ทานข้าวเย็นที่บ้านตระกูลยวิ๋นอวิ๋น คุณแม่ยวิ๋นอวิ๋นได้โทรบอกฮูหยินคุณหญิงไป๋ไว้ก่อนแล้ว ฮูหยินคุณหญิงไป๋ดีใจอย่างมากและระหว่างนี้ได้ส่งข้อความหาเธอหลายครั้ง เธอไม่ได้ตอบกลับ


 


 


หลังทานอาหารเย็นคุณพ่อคุณแม่ยวิ๋นอวิ๋นต่างรั้งเธอให้ค้างอย่างอบอุ่น ไป๋ซู่เย่ไม่มีกะจิตกะใจจริงๆ ยวิ๋นอวิ๋นช่วนส่งเธอกลับเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ พอดีที่เธออยากคุยเรื่องระหว่างพวกเขากับยวิ๋นอวิ๋นช่วนอย่างจริงจัง


 


 


“อาหารเย็นถูกปากคุณมั้ยไหม?” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนขับรถไปยิ้มถามเธอไป


 


 


“อร่อยมาก” ไป๋ซู่เย่แย้มปาก


 


 


“แต่ว่าผมเห็นคุณทานน้อยมาก”


 


 


“…ยวิ๋นอวิ๋นช่วน” ไป๋ซู่เย่ทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง มองดูกิ่งต้นไม้โล้นรอบข้างที่เลยผ่านมา ดวงตาก็ฉายแววอ้างว้างมากกว่าเดิม จากนั้นค่อยๆ เบนหน้าหันมา “ขอโทษ…”


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนหันหน้ามามองเธอ


 


 


“แต่เดิมฉันคิดว่าฉันจะลองพยายามกับคุณดู แต่ช่วงนี้…ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก…”


 


 


“ผมทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเหรอ?” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนยิ้มขมขื่น


 


 


“ไม่ ไม่ใช่” ไป๋ซู่เย่สูดหายใจลึก ยิ้มขมขื่นที “ไม่เคยเกี่ยวกับคนอื่นเลย เป็นปัญหาที่ตัวฉันเอง ฉันจัดการความรู้สึกไม่เก่ง ไม่เคยทำได้อย่างคนอื่นที่จัดการความรู้สึกในอดีตกับปัจจุบันได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ฉันเหมือนจมอยู่ในบ่อโคลนดูด ฉันพยายามมาสิบปี อยากหลุดพ้นจากบ่อโคลนดูดนี้ แต่มาถึงสุดท้ายฉันพบว่าสิ่งที่ฉันพยายามมาทั้งหมดมันเปล่าประโยชน์ ยิ่งดิ้นรนกลับยิ่งจมลงลึกกว่าเดิม…”


 


 


“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมคุณไม่ลองยื่นมือให้ผมล่ะ บางทีมีคนช่วยดึงคุณสักครั้งคุณก็จะหลุดพ้นจากบ่อโคลนดูด” ยวิ๋นอวิ๋นช่วนมองเธออย่างลึกซึ้ง “ซู่ซู่ ผมยอมเป็นเส้นฟางช่วยชีวิตคุณ ในเวลาที่คุณต้องการคนช่วยดึง ผมยอมถูกคุณใช้ประโยชน์ ต่อให้คุณจะเห็นผมเป็นแค่กระดานที่ใช้กระโดดออกจากบ่อโคลน ให้คุณได้เห็นภาพวิวที่สวยงามกว่านี้หลังหลุดพ้น ผมก็ยอม”


 


 


ถ้อยคำนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น


 


 


หัวใจที่หนาวเหน็บของไป๋ซู่เย่รู้สึกอุ่นวาบมาเล็กน้อย เธอยิ้มทีหนึ่ง “ยวิ๋นอวิ๋นช่วน คุณโง่จริงๆ”


 


 


“ฉะนั้นคุณยอมมั้ยไหม? ยอมหลอกใช้ผมมั้ยไหม?” ดวงตายวิ๋นอวิ๋นช่วนมีแววประกายใสราวกับเด็กหนุ่มตัวโตที่กำลังตกหลุมรัก


 


 


ดวงตาเธอกลับรื้นด้วยน้ำใส ไม่อยากใจร้ายเกินไปแต่สุดท้ายก็ส่ายศีรษะอย่างมีสติ


 


 


“ขอโทษนะ ชีวิตนี้…บางทีฉันอาจจะอยู่ในบ่อโคลนดูดนั่น…ทั้งที่รู้ว่าเป็นแบบนี้แล้วยังจับมือคุณ มันไม่ยุติธรรมสำหรับคุณ”


 


 


“แต่ผมไม่คิดมาก”


 


 


“คุณไม่คิดมากแต่ฉันเกรงใจ เรื่องความรู้สึก ฉันไม่ถนัดจัดการมันอยู่แล้ว ดังนั้น…ก็ไม่อยากให้มันซับซ้อนไปมากกว่านี้ ขอโทษ…”


 


 


เธอคิดว่าอาจมีสักวันที่ตนจะหมดลมหายใจไปในบ่อโคลนดูดแห่งนั้นไปในที่สุด…


 


 


แต่ต่อให้ตายก็ไม่อาจหลุดพ้น…


 


 


เธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกแล้ว—เธอรักเย่เซียว รักเข้ากระดูก…ไม่ว่าจะเมื่อสิบปีก่อน หรือสิบปีหลัง…


 


 


แต่ยิ่งรักก็ยิ่งเข้าใกล้เขาไม่ได้…


 


 


ยวิ๋นอวิ๋นช่วนเป็นสุภาพบุรุษหรือจะบอกว่าเป็นคนรู้ขอบเขตที่ไม่เคยบังคับฝืนใจ ไป๋ซู่เย่ให้เขาจอดรถข้างทาง เขาจอด เธอเปิดประตูลงจากรถแล้วบอกลาเขา


 


 


อยู่ตัวคนเดียว เดินอยู่บนถนนด้วยแววตาที่ไร้จุดหมาย


 


 


ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ในเมืองล้วนเป็นภาพทิวทัศน์ที่แสนจะโดดเดี่ยวอ้างว้าง


 


 


ผู้คนที่เดินสวนทางอยู่ข้างกายตนกลับเป็นคู่รักคู่แล้วคู่เล่า เธอไม่ใช่คนอ่อนแออะไร แต่พอคู่รักคู่ที่ห้าสวนไหล่เธอนั้น ขอบตากลับเปียกชื้นโดยไม่รู้ตัว


 


 


ตั้งแต่เมื่อไรที่เธอจะเหมือนเด็กผู้หญิงเหล่านั้นได้ โอบแขนชายที่ตนรักเหมือนนกตัวน้อยๆ ที่ต้องการที่พึ่งพิง โอ้อวดความรักของตนได้อย่างเปิดเผย?


 


 


ชีวิตนี้…


 


 


เธออาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว…


 


 


ขณะกำลังเหม่อลอย รถคันคุ้นตากลับเข้ามาในกรอบการมองเห็นของเธอ


 


 


ทะเบียนรถคือ ‘京A50602’


 


 


………………………………

 

 

 


ตอนที่ 695 รักจนหมดทางหนี (1)

 

เธอคิดว่าตัวเองดูผิดไป


 


 


เมื่อกี้เจอเขาที่ห้างสรรพสินค้าก็นับว่าบังเอิญแล้ว ตอนนี้อยู่ที่นี่…บนถนนใหญ่ กลับเจอเขาอีก ก็นับว่าบังเอิญได้ไหม? หรือว่า…


 


 


หัวใจสั่นไหว ไม่กล้าคิดไปไกล


 


 


แต่ชายหนุ่มที่เหยียบเบรกตรงหน้าไฟจราจรขึ้นสีแดงคนนั้นจู่ๆ ก็หันหน้ามา ภายใต้แสงหลากสีของเมืองใหญ่ เธอยืนอยู่ริมถนน เขานั่งอยู่ในรถ ทั้งสองคนประสานสายตา


 


 


แววตาของเขาเรียบเย็น


 


 


เย็นเสียจนคนมองเห็นใจสั่นเทา


 


 


พักใหญ่…


 


 


เธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ครู่นานที่ไม่สามารถถอนสายตาจากแววตาของเขาได้


 


 


ตอนที่โทรศัพท์ดังขึ้นเธอถึงได้สติกลับมา หยิบออกมาดูแวบหนึ่งพบว่าบนหน้าจอเป็นเบอร์รหัสแปลก เย่เซียวได้หันหน้าไปทางอื่นโดยแนบโทรศัพท์ชิดหู


 


 


ไป๋ซู่เย่ได้สติทันที กำโทรศัพท์ไว้ไม่กล้ารับ


 


 


เธอเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ โทรศัพท์ก็ดังไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าดังเป็นครั้งที่เท่าไรเธอกดรับในที่สุด


 


 


“เย่เซียว ฉันไม่กล้ารับประกันว่าโทรศัพท์ฉันจะถูกกระทรวงความมั่นคงดักฟังมั้ยไหม ฉะนั้น…”


 


 


“ขึ้นรถ ผมจะรอคุณอยู่ในอีกหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้า” เขาวางสายเธอไปทันใด


 


 


“คุณไม่ต้องรอฉัน ฉันไม่ไปหรอก” เธอปรับเสียงตัวเองให้ฟังดูใจร้ายเด็ดขาดเสียบ้าง


 


 


“ผมจะรอคุณแค่สองนาที สองนาทีคุณไม่ขึ้นรถ พรุ่งนี้ผมจะไปหาคุณที่กระทรวงความมั่นคงโดยตรง”


 


 


“เย่เซียว!”


 


 


ไป๋ซู่เย่เน้นเสียงหนักแต่เย่เซียวได้วางสายไปแล้ว จากนั้นรถคันที่คุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้นตานั่นได้ขับผ่านไฟเขียวไปจอดข้างถนนนิ่ง เธอยืนอยู่ตรงนั้นคอยมองอยู่ห่างออกไปนิ่ง เขายื่นมือออกนอกหน้าต่างโดยคีบบุหรี่ที่ถูกจุดเผาให้เห็นประกายไฟท่ามกลางความมืดยามราตรี


 


 


ร่างกายของเขาในตอนนี้สูบบุหรี่ รับไหวหรือ?


 


 


เธอสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่พลางเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนเดินไปหาเย่เซียว หน้าต่างรถลดลง เธอไม่ได้ขึ้นไปแค่โน้มตัวตรงฝั่งข้างคนขับพูดกับเขาโดยรักษาระยะห่างไว้ “ถ้ามีเรื่องอะไร เราคุยกันแบบนี้เถอะ”


 


 


“พรุ่งนี้ไปคุยกันที่กระทรวงความมั่นคงแล้วกัน” เย่เซียวพูดจบก็เลื่อนหน้าต่างขึ้นบดบังใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั่นไว้ในรถ วินาทีถัดมารถถูกสตาร์ท


 


 


ไป๋ซู่เย่กังวลว่าเขาจะไปหาตนที่กระทรวงความมั่นคงจริงๆ หากเป็นเช่นนี้จะยิ่งทำให้ปลัดกระทรวงเกิดความคิดมากกว่านี้ เธอถอนหายใจเปิดประตูชิงขึ้นรถก่อนที่เย่เซียวจะขับรถไปก่อน


 


 


ภายในรถตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่


 


 


แสบจมูกนัก


 


 


เธอก้มมองดูพบว่าที่เขี่ยบุหรี่ในรถนั้นมีก้นบุหรี่กว่าสิบมวนแล้ว


 


 


ในมือเขายังคีบอีกหนึ่งมวน


 


 


ไป๋ซู่เย่นั่งข้างๆ ยังรู้สึกสำลักจนปวดไปทั้งปอด ยากจะคิดว่าชายหนุ่มที่สูบบุหรี่มากขนาดนี้จะรับไหวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นสุขภาพเขายังอาการแย่ขนาดนั้น จนบัดนี้แผลกระสุนยังคงไม่หายดีหรือเปล่า!


 


 


เธอลดกระจกลงเบนหน้าหันไปทางนอกหน้าต่าง แสร้งเอ่ยปากพูดเสียงเย็น “กลิ่นในรถเหม็นมากพอแล้ว คุณช่วยดับบุหรี่ทีได้มั้ยไหม?”


 


 


เย่เซียวสูบแรงๆ หนึ่งทีถึงบดขยี้หัวบุหรี่แรงๆ จากนั้นไม่รอไป๋ซู่เย่ไหวตัวทันตัวรถก็พุ่งทะยานไปราวกับกระสุน ทั้งเร็วทั้งแรงจนเกิดแรงดันให้ตัวเธอพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง หากไม่ใช่เพราะสองมือที่ยันข้างหน้าไว้ หน้าผากท่าจะชนกับกระจกหน้ารถนานแล้ว เกรงว่าคงจะชนจนหัวแตกเลือดออกทีเดียว


 


 


“รัดเข็มขัด”


 


 


เย่เซียวกล่าว


 


 


สังเกตแล้วพบว่าเขาเรียบเฉยดังตอนแรก


 


 


ไป๋ซู่เย่ดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาด รถของเขายังเคลื่อนตัวด้วยความแรงเช่นเดิมแต่ขับนิ่มมาก


 


 


……


 


 


ตลอดทางไร้บทสนทนา


 


 


รถยนต์กลับขับออกนอกตัวเมืองไปยังถนนซุปเปอร์ไฮเวย์


 


 


ไป๋ซู่เย่หันข้างมองเขา “นี่คุณจะไปไหน?”


 


 


เธอยกแขนขึ้นดูเวลาแวบหนึ่ง ใกล้จะสามทุ่มกว่าแล้ว


 


 


“นั่งก็พอ” เย่เซียวตอบกลับเธอแค่นั้น


 


 


ข้างนอกลมแรงมาก เธอใส่ชุดกระโปรงยาวสีเข้มและข้างนอกเสื้อคลุมสีเบจ สองขาที่เปลือยเปล่าและเสื้อผ้าชั้นบางทำให้ความเย็นลอดเข้ามายามมีลมพัดผ่าน เธอสูดจมูกเลื่อนกระจกขึ้นกล่าวเพียง “คุณขับช้าหน่อยได้มั้ยไหม? เมื่อกี้ฉันเพิ่งทานข้าวเย็นมา คุณขับรถเร็วขนาดนี้ ฉันรู้สึกคลื่นไส้”


 


 


เขาหันหน้ามา “ไปเจอว่าที่พ่อแม่สามีในอนาคตแล้วทานข้าวยังทำให้คุณไม่สบายได้งั้นเหรอ?”


 


 


ไป๋ซู่เย่กุมท้องไว้ไม่พูดอะไร แต่รู้สึกได้ชัดเจนว่าเย่เซียวลดความเร็วลงมาก คงไว้ที่ความเร็วหนึ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง


 


 


จากนั้นเธอไม่พูดอะไรอีก ภายในตัวรถกลับสู่ความเงียบ


 


 


ช่วงนี้เธอนอนไม่ค่อยหลับ ตอนนี้เย่เซียวอยู่ข้างๆ เธอนั่งอยู่ในรถของเขา ไม่รู้ทำไมความง่วงก็เริ่มจู่โจม


 


 


“ฉันนอนสักแป๊บได้มั้ยไหม?”


 


 


“ถึงแล้วผมจะเรียกคุณเอง”


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่รู้ว่าเย่เซียวอยากพาตนไปไหนแต่มองถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ตรงหน้า เธอเริ่มจินตนาการอย่างน่าขำ…ถ้ารถคันนี้สามารถขับต่อไปเรื่อยๆ ทิ้งทุกอย่างแล้วขับต่อไป ขับไปตลอดชีวิตคงไม่เลวเลย…


 


 


เธอจินตนาการไปแล้วค่อยๆ หลับตาลง


 


 


การหลับใหลในครั้งนี้ไม่รู้หลับไปนานขนาดไหน รอตื่นมาอีกทีรถกลับจอดอยู่โซนบริการ บนตัวมีเสื้อของเย่เซียวคลุมอยู่ แต่เบาะคนขับกลับไม่มีคนอีก


 


 


กวาดมองรอบข้างกับโซนให้บริการในเวลาดึกดื่น เงียบสงัดมากเสียจนใจเสีย โดยเฉพาะ…ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด


 


 


ความรู้สึกที่ตื่นมาเพียงลำพังในที่แปลกตาคล้ายถูกทอดทิ้ง ความรู้สึกนี้ทำให้เธอลนและย่ำแย่เหลือเกิน


 


 


เธอกอดเสื้อเขาลงจากรถขณะที่เท้าเหยียบรองเท้าส้นสูง สับเท้าเดินไปที่ร้านขายของชำในโซนให้บริการที่มีไฟสว่าง ยังไม่ทันเดินเข้าประตูร้านขายของชำก็ถูกเปิดจากข้างในก่อน


 


 


เรือนร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตขาวก้าวเดินออกมาภายใต้แสงไฟสลัว หยุดชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นเธอ แวบเดียวก็ดูออกถึงความกระวนกระวายที่เธอไม่ทันได้ปกปิด หัวคิ้วขมวดคิ้วน้อยๆ ถามเสียงทุ้มต่ำ “เป็นอะไร?”


 


 


ความอ่อนแอไม่น้อยพุ่งพรวดเข้ามาในใจของไป๋ซู่เย่ เธออยากวิ่งไปในอ้อมกอดเขาจริงๆ แต่สุดท้ายแค่กระชับกอดเสื้อเขาแน่น ผ่านไปพักใหญ่ถึงถามเสียงเบา “ที่นี่…ที่ไหน?”


 


 


“เมืองมู่ ถ้าไปข้างหน้าอีกก็ถึงภูเขามู่เจี้ย”


 


 


ภูเขามู่เจี้ย?


 


 


หัวใจของไป๋ซู่เย่บีบรัด “เราจะไปที่นั่น?”


 


 


ตาเข้มของเย่เซียวมองเธอแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรนอกจาก “ในเมื่อตื่นแล้วก็เข้ามาเถอะ ดูว่าจะทานอะไรหน่อยมั้ยไหม ต้องใช้เวลาอีกสักระยะถึงจะถึง”


 


 


เขาพูดจบพลางเดินเข้าไปในร้านขายของชำอีกครั้ง


 


 


ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่ข้างนอกรับลมหนาว มองแผ่นหลังนั่นจนรู้สึกแสบตรงปลายจมูก เขาไม่ได้คุยกับตนด้วยน้ำเสียงใจร้ายใจดำอย่างก่อนหน้าอีกแล้ว อีกทั้งเขาจะพาตนไปที่ภูเขามู่เจี้ย…


 


 


นั่นเป็นภูเขาหิมะลูกหนึ่ง


 


 


เป็นสถานที่ยอดนิยมของคู่รัก


 


 


สิบปีก่อนไป๋ซู่เย่เคยบอกเขาว่าหวังว่าหลังกลับประเทศจะมีสักวันที่ไปดูหิมะที่ภูเขามู่เจี้ยกับเขา ไปใช้เวลาของคู่รัก ไปทำหลายๆ สิ่งที่คู่รักมากมายมักทำกัน…


 


 


……………………………………………. 

 

 


ตอนที่ 696 รักจนหมดทางหนี (2)

 

ไป๋ซู่เย่ในตอนนั้นคุยเรื่องอนาคตกับเขาซึ่งความจริงนั้นกลับล่อยลอย ใจเธอรู้ดีกว่าใครกับมุมมองสถานะที่ต่างออกไปอย่างพวกเขา ไม่มีวันมีอนาคต


 


 


ดังนั้นความคาดหวังเหล่านั้นเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น


 


 


ยามที่หลอกเขาก็หลอกตัวเองไปด้วย แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้มาภูเขามู่เจี้ยกับเขาจริงๆ


 


 


รอไป๋ซู่เย่ได้สติอีกทีเย่เซียวก็เข้าไปแล้ว เธอจัดผมที่ถูกลมพัดเสียทรงก่อนเดินตามเข้าไป ข้างๆ ร้านขายของชำเป็นร้านอาหารซอมซ่อร้านหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้วแต่ภายในร้านอาหารยังมีคู่รักวัยรุ่นหลายคู่กำลังทานอาหาร


 


 


เย่เซียวนั่งตำแหน่งมุมสุดของร้านและทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จากมุมที่ไป๋ซู่เย่มองไปเห็นแค่แผ่นหลังหยัดตรงและน่าเกรงขามของเขา เธอเทน้ำร้อนสองแก้วไป วางหนึ่งแก้วไว้ตรงหน้าเขา


 


 


“ตอนเย็นคุณไม่ได้ทานข้าว?” เธอถาม


 


 


“อืม”


 


 


ไป๋ซู่เย่มองเขา ขยับปากทีสุดท้ายก็อดไม่ได้ “คุณอยู่กับประธานเซียวไม่ใช่เหรอ พวกคุณไม่ได้ทานมื้อเย็นด้วยกันเหรอ?”


 


 


“…” มือที่กำส้อมของเขาหยุดกึก ท้ายที่สุดกล่าวเสียงเย็นเพียงว่า “ไม่อยากอาหาร”


 


 


เธอนั่งตรงข้ามเขาโดยไม่พูดอะไรอีก ความจริงตลอดมื้อเย็นเธอเองก็ไม่อยากอาหารเท่าไรเลยแทบไม่ได้ทานอะไร


 


 


พวกเขาต่างคนต่างเงียบ


 


 


มีแค่เขาที่ก้มหน้าทานบะหมี่ไป ส่วนเธอยกน้ำร้อนจิบเป็นบางครั้ง


 


 


ข้างๆ คู่รักวัยรุ่นคู่หนึ่งเหมือนฝ่ายเด็กหนุ่มพูดเรื่องตลกไป เด็กสาวเลยหัวเราะเสียงใส “นิสัยไม่ดีเลยอ่ะ หนาวขนาดนี้แล้วยังพูดเรื่องตลกที่ไม่ตลกอีก แทบจะหนาวตายเพราะนายแล้ว”


 


 


แม้จะบ่นอุบอิบแต่น้ำเสียงกลับหวานชื่นอย่างชัดเจน เรียกให้คนรู้สึกอิจฉา


 


 


“หนาวใช่ไหม? ถ้าหนาวก็ถูกแล้ว” เด็กหนุ่มหัวเราะคิดคักยื่นหน้าไปจับมือทั้งคู่ของเด็กสาวพลางนวดคลึงไปก็พ่นลมใส่ไป “แบบนี้ยังหนาวอีกไหม?”


 


 


เด็กสาวเขินอายผลักเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “นายออกไปเลย มาจับมือฉันแบบนี้ ฉันกินอะไรไม่ได้ รีบออกไป”


 


 


“ก็ได้ ไม่จับแล้ว แต่คงกอดได้สินะ?” เด็กหนุ่มพูดจบไม่รอการขัดขืนที่เคอะเขินของเด็กสาว แขนยาวโอบรั้งตัวเด็กสาวเข้าไปในอ้อมแขนทันควัน เด็กสาวกำลังทานเกี๊ยวอยู่พอถูกเขากอดเข้าแทบสำลัก ไอไปก็ทุบเขาด้วยความหงุดหงิดไป แต่รอยยิ้มแสนสดใสบนใบหน้าของเด็กสาวกลับน่าประทับใจนัก


 


 


“เจ้าบ้า ปล่อยฉันนะ”


 


 


“ไม่ปล่อย ชีวิตนี้ฉันจะตามตื๊อเธอแบบนี้แหละ อย่าคิดจะให้ฉันปล่อยมือไปตลอดชีวิตเลย!”


 


 


“ใครจะอยู่กับนายไปตลอดชีวิตกัน”


 


 


“เธอไง”


 


 


วัยรุ่นสองคนสนทนากันประโยคแล้วประโยคเล่าเพิ่มความคึกคักแก่ร้านอาหารแสนเงียบร้านนี้ ไป๋ซู่เย่เบนหน้ามองฉากนี้จนขอบตาชื้นอย่างอดไม่ได้ ทั้งที่เป็นปกติสำหรับคู่รักแต่สำหรับเธอนั้นกลับเป็นความใฝ่ฝันที่ไม่อาจเอื้อม…


 


 


สายตาเย่เซียวก็ทิ้งอยู่ที่ตัวทั้งสองคนนั้นนานคล้ายขบคิดบางอย่าง แต่สายตาของเขาดึงดูดความสนใจได้ง่ายอยู่เสมอ ทั้งเย็นชาตลอดกาลเรียกให้คนไม่สามารถมองข้ามได้


 


 


สุดท้ายคู่รักคู่นั้นถูกเขาจ้องมองจนเหงื่อแตกพลั่กรีบเหยียดตัวนั่งตรงไม่กล้าหยอกล้อกันอีก สงสัยเหลือเกินว่าหากตนยังหยอกล้อกันต่อผู้ชายที่จ้องพวกเขานิ่งจะโยนพวกเขาออกทางหน้าต่างหรือไม่


 


 


ไป๋ซู่เย่เห็นทั้งสองคนเงียบลงเลยหันมามองเย่เซียวแวบหนึ่งจึงเข้าใจทันท่วงที ผู้ชายคนนี้ไม่ว่าเมื่อใดก็แสดงความอาฆาตได้รุนแรงเหลือเกิน


 


 


“คุณจ้องพวกเขาทำไม?” ไป๋ซู่เย่ดื่มน้ำเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย


 


 


“คุณก็รู้อยู่ไม่ใช่เหรอ?”


 


 


“คุณทำพวกเขาตกใจ คุณดูสิ ตอนแรกพวกเขาสนุกสนานมาก ตอนนี้แค่จะคุยกันยังต้องกระซิบกระซาบ”


 


 


เย่เซียวตวัดตาเยือกเย็นมองสองคนนั้นแวบหนึ่ง “ในที่สาธารณะ การแสดงความรักเดิมก็หน้าไม่อายอยู่แล้ว”


 


 


ไป๋ซู่เย่แย้มปาก “คุณกับน่าหลันก็แสดงความรักต่อหน้าฉันบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ?”


 


 


เย่เซียวเลิกตาเขม่นมองเธอวูบหนึ่งซึ่งเป็นสายตาที่ทำให้ไป๋ซู่เย่ชะงัก ค่อยมารู้สึกตัวทีหลังว่าคำพูดของตนแฝงด้วยความหึงหวงรวมถึงอารมณ์ที่ไม่ควรมีบางส่วน เธอรีบวางแก้วน้ำลงหยิบเสื้อสูทของเขาลุกขึ้น “ฉันไปเลือกของกินที่ร้านขายของสักหน่อย จะรอคุณที่นั่นนะ”


 


 


เย่เซียวไม่ได้ห้ามเธอ


 


 


เธอเดินเลือกซื้อของตรงชั้นวางของแถวแรกที่บนชั้นเต็มไปด้วยของกินจำพวกของทานเล่น ไป๋ซู่เย่เลือกช็อกโกแลตสองสามกล่อง คุกกี้สองกล่องแล้วก็น้ำเปล่าอีกหลายขวด ตอนชำระเงินถึงนึกได้ว่าลืมกระเป๋าใส่เงินรวมถึงกระเป๋าทั้งใบไว้บนรถ


 


 


เธอเผลอหันมามองเย่เซียวโดยอัตโนมัติ เย่เซียวเดินออกจากร้านอาหารทางนั้นพอดีพอเงยหน้าก็สบสายตาขอความช่วยเหลือจากเธอ ถาม “ไม่ได้พกเงินมา?”


 


 


“ลืมไว้ในรถ”


 


 


“เท่าไหร่?”


 


 


“แปดสิบหกหยวน”


 


 


เย่เซียวล้วงธนบัตรหนึ่งร้อยจากกระเป๋าให้เธอ จากนั้นก็หยิบของในมือเธอไปถือเองอย่างเป็นธรรมชาติโดยไร้คำพูดใดๆ ดันประตูเดินนำออกไปจากร้านขายของชำ ไป๋ซู่เย่รอพนักงานขายของทอนเงินอยู่สายตาจึงไล่มองตามแผ่นหลังที่หายเข้าไปในความมืดอย่างไม่รู้ตัว พนักงานขายของเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง คิดเงินไปก็ยิ้มคุยกับเธอไป “พี่สาว แฟนของพี่หล่อมากเลย เมื่อกี้นะ ตอนที่พี่ยังไม่ลงรถมีผู้หญิงสองคนขอเบอร์เขาแหละ”


 


 


ไป๋ซู่เย่ได้ยินกลับรู้สึกตะลึง มีคนใจกล้าขนาดนั้นเชียว? เย่เซียวเป็นคนหล่อจริงแต่กลับมีท่าทางห้ามคนนอกเข้าใกล้ คนที่อ้าปากขอเบอร์โทรเขาได้ต้องเป็นหญิงแกร่งกล้าแน่ๆ


 


 


“แต่ว่าแฟนพี่เท่จริงๆ อย่าว่าแต่จะสนใจพวกเธอเลย ไม่มองพวกเธอด้วยซ้ำ สุดท้ายอาจจะรำคาญจริงๆ แค่สายตาเดียวก็ทำเอาผู้หญิงสองคนนั้นตกใจจนวิ่งหนีไป”


 


 


“…” ไป๋ซู่เย่ได้ยินก็ทั้งอยากหัวเราะทั้งอยากขำ ในใจกลับมีความรู้สึกอื่นมากมายเพิ่มเข้ามา


 


 


ผู้ชายคนนี้นะ เหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องกับผู้หญิงจริงๆ…


 


 


สำหรับผู้หญิงที่ตามตื๊อเขา เขาไม่มีวันใช้คำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ ทุกครั้งล้วนจัดการอย่างเด็ดขาดและไร้ความปราณี เหมือนเย่เซียวเมื่อสิบปีก่อน ไม่มีผิด…


 


 


แต่ว่า…


 


 


กับเธอ สุดท้ายเขาก็ยอมปราณีแล้วสินะ


 


 


ไม่อย่างนั้น จากนิสัยที่ใจเ**้ยมอย่างเขา ความจริงเธอตายหมื่นครั้งยังไม่พอด้วยซ้ำไป…


 


 


………………


 


 


ได้เงินทอนมาเธอก็กลับไปที่รถ


 


 


คาดเข็มขัดเสร็จเย่เซียวถึงสตาร์ทรถ ไป๋ซู่เย่กล่าว “คุณเอากระเป๋าใส่เงินคุณให้ฉันหน่อย”


 


 


“เมื่อกี้โยนไว้ในลิ้นชักเก็บของ”


 


 


ไป๋ซู่เย่เปิดลิ้นชักหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา แวบเดียวก็เห็นคลิปหนีบเนกไทที่แตกหักนอนอยู่ในนั้น รวมถึงเครื่องดักฟัง


 


 


เป็นคลิปหนีบเนกไทที่เอาไปจากเธอจริงๆ ด้วย…


 


 


เธอรู้สึกว่าสายตาของเย่เซียวจรดที่หน้าเธอชั่วขณะ เธอไม่ได้อธิบายในเมื่อความจริงแล้ววันนั้นได้อธิบายทุกสิ่งที่ควรอธิบายไปแล้ว เธอเอาเงินที่เหลือยัดใส่กระเป๋าเงินเขา


 


 


ในกระเป๋าเงินมีรูปหนึ่งใบเสียบอยู่


 


 


เป็นรูปภาพถ่ายนิ้วธรรมดาที่ด้านหลังฉีกขาดอย่างเห็นได้ชัดแล้วถูกประกอบเข้าด้วยกัน สามารถเห็นรอยฉีกขาดจากด้านหลังได้


 


 


…………………………… 

 

 


ตอนที่ 697 รักจนหมดทางหนี (3)

 

ไป๋ซู่เย่มองด้านหลังของรูปอยู่สักครู่ อยู่ๆ ก็นึกครึ้มจะยื่นมือดึงรูปออกมาแต่ทันใดนั้นกระเป๋าเงินก็ถูกมือใหญ่แย่งไปก่อน


 


 


เย่เซียวเอาไปโยนไว้บริเวณหน้าคอนโซลรถ ถามเสียงนิ่ง “ดูอะไร?”


 


 


“เปล่า” ไป๋ซู่เย่ส่ายหน้า


 


 


เย่เซียวจึงไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


ทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรอีก รถขับไปตามถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เงียบๆ ไป๋ซู่เย่เบี่ยงหน้าหันไปนอกหน้าต่างซึ่งหน้าต่างนั้นสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเย่เซียว เธอยกนิ้วลูบไล้หน้าต่างรถอย่างไม่รู้ตัวราวกับได้สัมผัสกรอบใบหน้าเย็นชาของเขา สันจมูกโด่งจนถึงริมฝีปากที่เม้มแน่น…


 


 


สุดท้าย…


 


 


ยามรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นั้นหน้าอกก็โล่งเปล่าในฉับพลัน เกิดความรู้สึกขมขื่นอย่างยากจะเอื้อนเอ่ย


 


 


ผู้ชายคนนี้ทั้งที่อยู่ห่างจากตนเพียงเอื้อมมือ แต่ว่า…


 


 


สิ่งที่เธอสัมผัสแตะต้องได้ตามอำเภอใจ กลับมีเพียงเงา…


 


 


เธอพยายามหักห้ามไม่ให้สูญเสียการควบคุมต่อหน้าเขา เก็บมือกอดเสื้อเขาแน่น ทิ้งตัวลงเบาะนั่ง


 


 


มีระยะห่างประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ


 


 


มีความรักประเภทที่เรียกว่า การหักห้ามใจ…


 


 


……………………


 


 


รถยนต์ขับต่อไป


 


 


เมื่อขับถึงภูเขามู่เจี้ยก็เป็นเวลาตีสองกว่า ท้องฟ้ายามรัตติกาลมืดสนิท ดีที่คืนนี้พระจันทร์ดวงใหญ่ แสงจันทร์เปล่งประกายราวกับหยกนวลเนียน


 


 


ใต้ภูเขามีรถจอดอยู่มากมาย เย่เซียวจอดรถไว้บนสนามหญ้ากว้างแล้วเปิดประตูลง ไป๋ซู่เย่ก็ลงรถเช่นกัน ลมหนาวพัดโชยมาปัดเป่าผมยาวของเธอให้ยุ่งเหยิง


 


 


นี่เป็นใต้ภูเขาหิมะที่อุณหภูมิจะต่ำกว่าในตัวเมืองสิบกว่าองศา หากจะบอกว่าในเมืองนั้นกำลังอยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ถ้าอย่างนั้นตรงนี้ก็เป็นอุณหภูมิของฤดูหนาวแล้ว


 


 


ไป๋ซู่เย่สวมเพียงกระโปร่งยาวกับเสื้อโค้ท รู้สึกแทบทนไม่ไหวกับอุณหภูมิที่ได้สัมผัส เธอปรายตามองเย่เซียวแวบหนึ่งพลางยื่นเสื้อสูทเขาไปให้ “คุณใส่สิ”


 


 


เย่เซียวกวาดมองเธอโดยไม่ได้ขยับตัว


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ค่อยสบายตัวเพราะความหนาวแต่บนตัวเย่เซียวมีเพียงเสื้อเชิ้ตบางตัวเดียวยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ แผลบนตัวเขายังไม่หายดี กระสุนในอกยังไม่ผ่าออกมา หากเป็นหวัดอีกไม่แน่ระบบหัวใจทำงานผิดปกติอีก ไป๋ซู่เย่เห็นเขาไม่ขยับตัวจึงเอาเสื้อสูทคลุมตัวเขาด้วยตัวเอง “ในเมื่อคุณคิดจะมาที่นี่อยู่แล้วทำไมไม่เอาเสื้อโค้ทมาสักตัว? เดินขึ้นไปต้องหนาวตายแน่ๆ”


 


 


“คุณถูกฝึกร่างกายมาตั้งแต่เด็ก ทนหนาวแค่นี้ไม่ได้เลย?” เย่เซียวไม่ได้ห้ามเธอแค่ก้มมองเธอวูบหนึ่ง ค่ำคืนดึกดื่นมีเพียงแสงจันทร์โอบล้อมกันและกัน ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงคืบ เห็นโครงหน้าของเธอที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่เพราะบรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ดังนั้นเสียงหายใจของเธอ…ถึงได้ชัดเจนขนาดนั้น…


 


 


หรือกระทั่ง…


 


 


เหมือนได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้น…


 


 


“นั่นก็ตอนเด็ก ไม่ได้ฝึกทนหนาวมาหลายปีแล้ว อีกอย่าง…” ไป๋ซู่เย่เผลอเงยหน้าขึ้นและไม่คิดว่าจะสบตาที่มองมาของเขาพอดี หัวใจเต้นผิดจังหวะไปหลายที คำพูดที่จะเอื้อนเอ่ยชะงักค้างในหัวและตั้งตัวไม่ทัน


 


 


“อีกอย่างอะไร?” เย่เซียวถาม


 


 


มือของเธอเลื่อนลงจากไหล่เขา แย้มปากกล่าว “อีกอย่างตอนนี้ฉันไม่ได้อายุน้อยๆ แล้ว จะกลัวหนาวก็ปกติ”


 


 


ชั่ววินาทีที่มือเลื่อนลงจากไหล่เขา จู่ๆ เย่เซียวก็คว้ามือเธอไว้ สร้างความตะลึงแก่เธอ ฝ่ามือของทั้งคู่เย็นเฉียบและนิ้วมือเรียวของเธอที่งอตัวในการกอบกุมของเขา ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ แต่กลับทำใจให้ดึงออกมาไม่ได้


 


 


สุดท้าย…


 


 


เย่เซียวมองเธอแวบหนึ่งก็ดึงมือเธอให้เดินไปที่หลังรถ เปิดหลังรถมาก็มีผ้าห่มผืนบางข้างในหนึ่งผืน


 


 


“คลุมไว้” เย่เซียวโยนผ้าห่มให้เธอ


 


 


เธอทั้งอยากขำทั้งอยากร้องไห้ “เป็นเสื้อคลุมหรือไง?”


 


 


“ไม่งั้นก็ทนหนาวขึ้นไปแบบนี้?”


 


 


“มันก็ค่อนข้างน่าเกลียดจริงๆ”


 


 


“เพิ่งตัดสินใจมาที่นี่เลยไม่ได้เตรียมอะไร” เย่เซียวมองเธอวูบหนึ่ง “คลุมไว้ น่าเกลียดขนาดไหนตอนนี้ก็ดึกแล้ว ไม่มีใครเห็น”


 


 


ไป๋ซู่เย่เอาผ้าห่มพันตัวเองไว้ เมื่อกี้เขาบอกว่าเพิ่งตัดสินใจ…ไป๋ซู่เย่อดคิดไม่ได้ว่าจุดประสงค์ที่เขาทำการตัดสินใจนี้ เพื่ออะไร?


 


 


……………………


 


 


กลางคืนใส่กระโปรงกับรองเท้าส้นสูงมาปีนเขา ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าตนต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ


 


 


ดังนั้นปีนบันไดไม่ถึงสองร้อยขั้นดีสองขาเธอก็เริ่มอ่อนแรง


 


 


“เย่เซียว ฉันไม่เดินแล้ว ใส่รองเท้าส้นสูงปีนเขามันเป็นการทรมานชัดๆ”


 


 


เย่เซียวหันกลับมามองเธอแวบหนึ่ง หัวคิ้วสวยของเธอขมวดเบาๆ สายตาหงุดหงิดถลึงมองเขาอยู่ภายใต้แสงจันทร์ เธอมีความอดทนสั้นกว่าที่เขาคาดคิดไว้นัก เดิมทีเขาคิดว่าผู้หญิงดื้อด้านคนนี้จะยอมทนเดินบันไดหลายร้อยขั้นถึงจะยอมแสดงท่าทีอ่อนแอต่อหน้าเขา


 


 


แต่ว่า…


 


 


เขารอคอยให้เธอแสดงท่าทีอ่อนแอมาโดยตลอด


 


 


หันหลังช้อนตัวเธอขึ้นในทีเดียว หัวใจเธอเต้นระรัวพลางเงยหน้ามองเขา “เย่เซียว…”


 


 


“อ่อนแอกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ” เย่เซียวย่ำเท้าเดินขึ้นเขาขณะที่ปากก็จิกกัดเธอไม่ปล่อย “ขึ้นชื่อว่าวีรสตรีของประเทศ S พละกำลังกับความอดทนอย่างคุณน่ะเหรอ?”


 


 


พูดบ้าๆ!


 


 


“ผู้ชายอย่างพวกคุณไม่เคยใส่รองเท้าส้นสูง ไม่รู้ว่าหรอกว่ามันเป็นอาวุธพิฆาตขนาดไหน”


 


 


“ผู้ชายอย่างเราไม่โง่ถึงขั้นยอมใส่ของที่ทรมานตัวเองทุกวันเพราะความดูดี” เย่เซียวยังคงหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม ก้มมองเธอแวบหนึ่ง “กอดคอผมไว้ ไม่งั้นตกลงไปผมไม่รับผิดชอบ”


 


 


ไป๋ซู่เย่มองเขาด้วยแววตาล้ำลึกวูบหนึ่ง สุดท้ายค่อยๆ ยื่นแขนโอบลำคอเขา


 


 


เธอพิงอกเขาโดยมีลมพัดผ่านข้างหูไป เธอซบหน้าที่เย็นเฉียบกับอกเขาอย่างเผลอไผลเพราะความหนาว


 


 


รู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างสูงใหญ่ของเขาเกร็งอยู่นิดๆ


 


 


มีเสื้อเชิ้ตกันอยู่ เธอคล้ายจะได้ยินเสียงหัวใจดวงนั้นที่เต้นอยู่ตรงทรวงอกดัง ‘ตึกตัก–’ หนักแน่นแข็งแรง


 


 


ลมหายใจเย่เซียวหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย


 


 


ลมหายใจของไป๋ซู่เย่ก็ผิดจังหวะไปบ้าง


 


 


ทั้งคู่เดินขึ้นเขาทั้งอย่างนี้


 


 


“เย่เซียว…” ไป๋ซู่เย่ที่นอนขุดคู้ตัวตรงอกเรียกเขา


 


 


“อืม”


 


 


“กระสุนลูกนั้น…คุณผ่ามันออกมาหรือยัง?”


 


 


“…ยัง”


 


 


“คิดจะผ่าออกมาเมื่อไหร่?”


 


 


“วันไหนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อก็จะผ่าออกมา”


 


 


เขาพูดเสียงราบเรียบแต่ไป๋ซู่เย่กลับเจ็บแปลบที่หัวใจเมื่อได้ยินดังกล่าว เธอไม่ปริปากแต่มือที่โอบลำคอเขาอยู่กลับกระชับแรงแน่นกว่าเดิมมาก ราวกับว่าได้กอดเขาอย่างนี้เขาก็จะไม่ตาย จะไม่มีวันเป็นอะไรไป…


 


 


“กอดแน่นขนาดนี้ กลัวผมตายหรือไง?”


 


 


เย่เซียวถาม


 


 


ดวงตาไป๋ซู่เย่เริ่มมีน้ำใสคลอหน่วย “ใช่ ฉันกลัวคุณตาย…เย่เซียว ฉันไม่เคยคิดจะเอาชีวิตคุณเลย…”


 


 


“งั้นเหรอ?” เย่เซียวหัวเราะเสียงต่ำที เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกไร้ความอบอุ่น เขาไม่ได้มองเธอ แค่ทอดมองไปตรงหน้าเท่านั้น “คุณไม่เคยคิดจะเอาชีวิตผม แต่สิบปีก่อน กลับเอาของที่สำคัญกว่าชีวิตผมไปมากมาย…”


 


 


…………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม