แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 690-696
บทที่ 690 คุณลุงจอมคลั่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เร็ว! เร็วเข้า!” มู่เฉินเร่งไม่หยุด
ในทางเดินอันคับแคบนี้ พวกเขาทั้งต้องจัดการกับซอมบี้ที่โผล่ออกมาตลอดทาง แล้วยังต้องระวังทีมไล่ล่าที่อยู่ข้างหลังอีก จึงอาจทำให้เกิดอาการหลงทิศได้ง่ายๆ
แต่มีเย่เลี่ยนอยู่ ปัญหานี้ก็ไม่น่าเป็นห่วงอีกต่อไป
เพราะถึงอย่างไร หากพวกเขาวิ่งไปยังพื้นที่รวมพลของเหล่าซอมบี้ ก็เท่ากับว่ากำลังวิ่งไปยังศูนย์กลางของเมืองชุ่ยหู
ในด้านนี้ ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินด้อยกว่าเย่เลี่ยนไปหนึ่งขั้น หลังจากก้าวข้ามเป็นซอมบี้เจ้าเมืองสำเร็จ ระบบการรับกลิ่นของเย่เลี่ยนก็พัฒนาไปอีกหนึ่งระดับ
ขณะหายใจ เธอรับรู้สถานการณ์รอบข้างทั้งหมดผ่านกลิ่น ที่ไหนมีซอมบี้ ที่ไหนซอมบี้เยอะกว่า เธอล้วนสามารถตัดสินได้ด้วยการรับกลิ่น
มีเย่เลี่ยนคอยนำทางร่วมด้วย หลิงม่อจึงไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
“กรร กรรร!”
ฝูงซอมบี้ที่วิ่งตามมาไกลๆ ส่งเสียงคำรามเป็นช่วงๆ ทำให้มีซอมบี้โผล่ออกมามากกว่าเดิมทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง
มู่เฉินถามอย่างร้อนใจ “ตอนนี้จะทำยังไง?”
“ไม่ต้องกลัว…” หลิงม่อเพิ่งจะพูดจบ เย่เลี่ยนก็หันหลังกลับไปในขณะที่กำลังวิ่ง พอเธอยกปากปืนขึ้น เสียงครวญครางของซอมบี้ร่างใหญ่ก็ดังมาจากข้างหลัง
“กรร!”
ร่างกายกำยำของซอมบี้ร่างใหญ่เซไปด้านหลังหลายก้าว บนขาข้างที่บาดเจ็บพลันปรากฏรอยแผลเหวะหวะขึ้นมาอีกหนึ่งแผล
คราวนี้เดาว่าขาของมันคงหักแล้วจริงๆ แต่เจ้าร่างใหญ่กลับไม่ล้มลงไป ตรงกันข้าม มันกลับยกคีมเหล็กขึ้นทุบผนังใกล้ๆ อย่างแรงดัง “ปึง” ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว แล้วแยกเขี้ยวคำรามลั่น “โฮก!”
แรงสะเทือนทำให้มู่เฉินอดขมวดคิ้วไม่ได้ ส่วนสวี่ซูหานถึงกับต้องยกมือปิดหู “โอ๊ย!”
ขณะเดียวกัน ซอมบี้หลายตัวพุ่งออกมาจากด้านข้างไม่ไกลจากเจ้าร่างใหญ่นัก
แรงกระตุ้นจากกลิ่นคาวเลือด ส่งผลให้พวกมันคลั่งจนถึงขั้นใช้มือใช้เท้าเกาะเกี่ยวกำแพงพุ่งเข้าไป
ซอมบี้ข้างหลังก็ทำท่าเตรียมจู่โจมเต็มที่ แต่ถึงอย่างไรพวกนั้นก็ยังอยู่ห่างๆ ไม่ได้พุ่งเข้าใส่ทันทีทันใด
ทันใดนั้น ซอมบี้ตัวหนึ่งกระโดดตัวลอยพุ่งเข้าไปคว้าหัวของซอมบี้ร่างใหญ่ เล็บยาวๆ ของมันจิกเข้าไปในหนังหัวของเจ้าร่างใหญ่ ขณะที่เลือดพุ่งกระฉูด ซอมบี้ตัวนี้ยังพยายามสะบัดแขนไปมาอย่างสุดกำลัง เพื่อจะเด็ดศีรษะเจ้าร่างใหญ่ออกจากร่างกายกำยำของมันเสีย
ซอมบี้อีกสองตัวพุ่งเข้าไปร่วมวงด้วย พวกมันเกาะอยู่บนร่างเจ้าร่างใหญ่ จากนั้นก็อ้าปากกว้างงับลงไป
“กรร!”
เจ้าร่างใหญ่ดวงตาแดงก่ำ มันคำรามเสียงดังลั่นจากนั้นก็วิ่งชนกำแพงอย่างแรง
ซอมบี้ตัวที่เกาะแขนของมันอยู่ถูกหนีบไว้ตรงกลาง ส่งผลให้มันกระอักเลือดออกมาทันที
ซอมบี้อีกตัวถูกเจ้าร่างใหญ่กระชากลงมา แล้วเหวี่ยงลงพื้น ตามด้วยกระทืบซ้ำเต็มแรงอีกหนึ่งครั้ง
“แกร๊ก” เสียงกระดูกหักดังขึ้น พร้อมกับเลือดสีแดงฉานที่ไหลทะลักออกจากปากไม่หยุด
ซอมบี้ตัวที่จิกหนังหัวของมันก็ถูกกระชากลงมาด้วยเช่นกัน มันกดร่างซอมบี้ตัวนั้นติดกับผนัง จากนั้นก็กัดคอของมัน
เนื้อก้อนโตถูกกระชากติดปากออกมา พร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ
เจ้าร่างใหญ่หันหน้ามองมาทางพวกหลิงม่อ มันอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ แล้วคำรามลั่นอีกครั้ง “กรร! มนุษย์…”
“ชิบ! มันพูดเป็นแล้ว!” มู่เฉินหนังศีรษะชา พร้อมร้องอย่างตกตะลึง
“เดิมซอมบี้ในระดับนี้เริ่มมีการฟื้นฟูความสามารถด้านภาษาแล้ว เพียงแต่ส่วนใหญ่มักคลุกคลีอยู่แต่กับฝูงซอมบี้ ไม่มีความจำเป็นต้องสื่อสารด้วยการพูด นานไปๆ จึงคุ้นเคย บวกกับเวลาเจอมนุษย์ซอมบี้ส่วนมากก็มักจะเงียบไม่พูดอยู่แล้ว” หลิงม่ออธิบาย
“ขอบคุณที่แบ่งปันข้อมูล แต่เวลาอย่างนี้นายยังจะทำใจเย็นได้อีก…หนีสิโว้ย!”
มู่เฉินตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็หมุนกายออกวิ่งทันที
“ดูเหมือนเราจะประเมินมันต่ำไป หลังจากถูกอาการบาดเจ็บสาหัสกระตุ้น ตอนนี้มันกลับอัพเกรดเป็นซอมบี้วิวัฒนาการระยะสุดท้ายแล้ว ถึงแม้จะยังห่างจากชนชั้นสูงอีกไกล แต่ข้อได้เปรียบด้านร่างกายกำยำของมันกลับไม่อาจมองข้ามได้…” หลิงม่อวิ่ง พร้อมกับวิเคราะห์ไปด้วย
“ไอ้สัตว์ประหลาดนั่นมันดีไปหมดเลยสินะ…” มู่เฉินที่ได้ยินเข้าทำหน้ายุ่ง ความสนใจของหลิงม่อที่มีต่อซอมบี้เกิดขึ้นได้อย่างไรนะ? คนทั่วไปขอเพียงรู้ว่าพวกมันเป็นศัตรูกับมนุษย์ก็พอแล้วนี่!
“แต่เห็นชัดว่าซอมบี้ที่นี่ไม่ค่อยเหมือนกับซอมบี้ที่เคยเจอมา ไม่เพียงสลัดทิ้งยาก แต่ยังแกร่งมากอีกด้วย จำได้ไหมก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันมาก่อน? แต่ที่เจอตอนนั้นเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ…
หลิงม่อเมินมู่เฉิน แล้วพูดต่อลำพัง
ซย่าน่าควงเคียวดาบตวัดร่างซอมบี้ 2 ตัวที่โผล่ออกมาจากด้านหน้า แล้วหันกลับมาบอกว่า “ตอนนี้ยังด่วนสรุปไม่ได้หรอก”
“ใช่ แต่ฉันรู้สึกได้ว่าในเมืองชุ่ยเหอจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ…
ความรู้สึกดังกล่าวหลิงม่อไม่ได้เพียงทึกทักไปเอง ตั้งแต่ที่เข้ามาในเมืองนี้ เขามักรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ
ความรู้สึกนี้เหมือนตอนที่เขาวิ่งเข้าไปในลานจอดรถใต้ดินแห่งนั้นมาก ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายจากสัตว์ร้าย
“พวกเธอล่ะ รู้สึกว่าที่นี่มีอะไรผิดปกติบ้างไหม?” หลิงม่อถามเสียงเบา
“ไม่นะ” หลี่ย่าหลินส่ายหน้า
“งั้นหรอ…” หลิงม่อพยักหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ร้องเตือนอยู่ในตัวเขาก็ไม่ใช่เชื้อไวรัส แต่เป็นพลังจิต…
แต่มันคืออะไรกันแน่ ที่ทำให้เขากระวนกระวายได้อย่างนี้?
แล้วกองทัพอากาศเก่า พวกเขาเคยพบอะไรในที่แห่งนี้ ถึงได้กำหนดให้ที่นี่เป็นพื้นที่อันตราย?
ทีมทหารที่บินอยู่กลางอากาศ ถึงจะพบเจอสิ่งที่น่าตกใจมากแค่ไหน ก็คงไม่ถึงขั้นทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขนาดนั้นหรือเปล่า?
ขอเพียงไม่บินต่ำ ซอมบี้จะทำอะไรพวกเขาได้…
ถึงจะเป็นเจ้าซอมบี้นก อย่างมากมันก็กลายพันธุ์จนสามารถร่อนตัวได้เท่านั้น ยังไม่สามารถบินสูงได้จริงๆ…
“ที่นี่คงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนิพพานหรอกนะ?” จู่ๆ หลิงม่อก็นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา พลางถามขึ้น
“ฉันจะไปรู้ได้ไง แต่ไหนแต่ไร สาขาย่อยที่ฉันอยู่ก็แทบไม่ต่างอะไรจากตำหนักเย็นเลยเหอะ…” มู่เฉินกลอกตาขาว พร้อมกับพูดเสริมขึ้นอีก “และในตำหนักเย็น ฉันก็ได้นั่งม้านั่งเย็นอีกที แล้วฉันจะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาที่ไหนล่ะ!”
“ก็จริงนะ…” หลิงม่อพยักหน้า
พอพูดจบ จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกตงิดๆ เล็กน้อย…
หายากที่หลิงม่อจะเห็นด้วยกับเขา แต่ทำไมมันกลับทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิมล่ะ…
“กรร กรร!”
เจ้าร่างใหญ่ยังคงวิ่งตามมาข้างหลัง ซอมบี้ส่วนมากก็ยังคงวิ่งตามหลังมาห่างๆ
หลังจากแสดงพลังอันแข็งแกร่งที่เหนือชั้นกว่าซอมบี้ธรรมดาให้ได้เห็น ถึงแม้บาดแผลของเจ้าร่างใหญ่จะยังคงมีเลือดไหลไม่หยุด แต่กลับไม่มีซอมบี้ตัวไหนกล้าเข้าใกล้มันอีก
ซอมบี้ที่โผล่มาขวางตรงกลางระหว่างเจ้าร่างใหญ่กับพวกหลิงม่อเป็นบางครั้งบางคราว ล้วนถูกเจ้าร่างใหญ่จัดการหมด
ตอนนี้ดวงตาของมันแดงก่ำไปทั้งดวง ใครที่กล้าวิ่งมาขวางหน้ามันก็เท่ากับรนหาที่ตาย
ซอมบี้ที่วิ่งเข้ามาทางด้านหน้า เมื่อเจอพวกเย่เลี่ยนเข้าก็ตายตกตามกันไปทีละตัวๆ
การไล่ล่ากันท่ามกลางกลุ่มอาคารก่อสร้าง กลับทำให้พวกหลิงม่อเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างไม่น่าเชื่อ
“ทางนี้”
หลิงม่อพาทุกคนวิ่งเลี้ยว แต่เย่เลี่ยนหมุนตัวกลับไป แล้วยกปากปืนขึ้นเล็งอีกครั้ง
แต่เป้าที่เธอเล็งในครั้งนี้กลับเป็นสมองของเจ้าซอมบี้ร่างใหญ่…
ขณะเดียวกันฝั่งเจ้าร่างใหญ่ พอมันเห็นปากปืนสีดำๆ นั่นเป็นครั้งที่สาม มันก็เริ่มจำได้ในที่สุด แต่ในขณะที่มันกำลังคิดจะเบี่ยงตัวหลบ ลำคอของมันกลับถูกเชือกล่องหนเส้นหนึ่งมัดไว้แน่น
ฟึ่บ พรวด!
เลือดสดๆ ผสมกับเศษเนื้อเละๆ พุ่งกระฉูดออกจากศีรษะด้านหลัง เจ้าร่างใหญ่เบิกตากว้าง เลือดและเศษชิ้นส่วนมากมายไหลทะลักออกจากปากของมัน
วัตถุเหนียวหนืดสีแดงก้อนหนึ่งที่พุ่งตามออกมา ลอยล่องอยู่กลางอากาศราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นรับไว้
“มู่เฉิน” ซย่าน่าตะโกนเรียก
“หา?”
มู่เฉินหันหน้าไปตามเสียงเรียก ขณะเดียวกันก้อนเหนียวหนืดก้อนนั้นก็ถูกโยนขึ้นในแนวเส้นโค้ง และหล่นเข้าไปในถุงถนอมอาหารในมือหลิงม่ออย่างสวยงาม
สวี่ซูหานปากอ้าตาค้างมองหลิงม่อยัดก้อนเหนียวหนืดก้อนนั้นใส่กระเป๋า ยิ่งพอนึกถึงการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วของเขาเมื่อครู่ เธอก็ยิ่งอึ้งหนักเข้าไปอีก
“ตามคาด เมื่อกี้มันกำลังอัพเกรดเพราะถูกกระตุ้นจริงๆ แม้แต่ระดับความบริสุทธิ์ของก้อนเหนียวหนืดก็อัพเกรดขึ้นไม่น้อย…แต่ภายนอกดูไม่ค่อยต่างจากก้อนเหนียวหนืดของซอมบี้ทั่วไปเท่าไหร่เลยนี่นา…”
หลิงม่อคิดในใจ แต่จู่ๆ เขาก็พบว่าตัวเองกำลังถูกสวี่ซูหานจ้องด้วยสีหน้าตะลึง
เขากระแอมเบาๆ แล้วยื่นมือไปตบไหล่สวี่ซูหานเบาๆ “อีกหน่อยก็ชินเอง”
“ชะ…ชิน…”
สวี่ซูหานอึ้งสนิท นี่เขาอยากให้เธอชินกับอะไรกันแน่!
“ไม่มีอะไร” ซย่าน่าเห็นหลิงม่อจัดการเรียบร้อยแล้ว จึงหันกลับไปมองมู่เฉินที่กำลังรอคำตอบจากเธออย่างงงๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ก็นึกว่าจะโดนเธอแกล้งอะไรอีกหรือเปล่า…” มู่เฉินยกมือปาดเหงื่อ
หลังจากเจ้าร่างใหญ่ล้มลงไป เย่เลี่ยนก็ลั่นไกรัวติดกันอีกหลายนัด เพื่อจัดการซอมบี้กลายพันธุ์สองสามตัวข้างหลังให้ล้มตามไป
กลิ่นคาวเลือดฉุนๆ โดยเฉพาะกลิ่นจากเจ้าร่างใหญ่ กระตุ้นฝูงซอมบี้ให้แตกตื่นลุกฮือขึ้นมาทันที
เหมือนที่หลิงม่อบอกไว้ ศพของซอมบี้ธรรมดาพวกมันอาจไม่สนใจ แต่พวกมันไม่มีทางพลาดศพของซอมบี้วิวัฒนาการแน่นอน…
ซอมบี้ส่วนหนึ่งยังคงสูดดมกลิ่น เพื่อตามหาก้อนเหนียวหนืดที่เพิ่งหายไปเมื่อกี้
ทว่าหลิงม่อประสบการณ์มากล้น เขาได้ห่อถุงถนอมอาหารเอาไว้หลายชั้นแต่แรกแล้ว ทำให้กลิ่นของมันถูกกักเก็บไว้ข้างในอย่างมิดชิด
ในพริบตา นอกจากซอมบี้จำนวนน้อยแล้ว ตัวอื่นๆ ล้วนวิ่งกรูเข้าไปรวมตัวกันข้างศพเหล่านั้น
“ไป!”
หลิงม่อโบกมือ พร้อมวิ่งนำทุกคนเข้าไปในป่าสีเขียวด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
จากป้ายบอกทาง หากออกจากพื้นที่นี้ไป พวกเขาก็จะเข้าสู่เขตศูนย์กลางของเมืองชุ่ยหู
ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ซ่อนอะไรไว้กันแน่…
“กรร…”
ซอมบี้ตัวหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาจากพื้น ปากของมันเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ดวงตาสะท้อนชัดถึงกลิ่นอายคลุ้มคลั่ง
และรอบกายของมัน มีซอมบี้มากมายกำลังก้มหน้าฉีกทึ้งศพที่อยู่บนพื้น
ท่ามกลางแอ่งเลือดที่ไหลอาบไปทั่วพื้น คือชิ้นส่วนศพมากมายที่ถูกกระชากจนหลุดออกจากกันไม่เหลือชิ้นดี…
ทันใดนั้น ด้านหลังของซอมบี้ฝูงนี้ มีเงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในเงามืดอย่างเงียบเชียบ
“ไม่คิดว่าจะวิ่งมาถึงนี่ได้ ชักจะจัดการยากขึ้นแล้วแฮะ…แต่ ถือว่าเป็นโอกาสดี…”
เงาร่างนั้นแสยะยิ้มเยือกเย็น เสียงพึมพำกับตัวเองดึงดูดความสนใจจากซอมบี้ตัวที่เงยหน้าขึ้นทันที
มันหันขวับไปมองทางเงามืด
“กรร…”
เสียงคำรามนี้ฟังดูสั่นๆ เทียบกับการขู่ เหมือนมันกำลังแสดงความหวาดกลัวของตัวเองออกมามากกว่า
“ชู่ว”
เงาร่างนั้นกลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา แล้ววางนิ้วบนปากตัวเอง
ชั่วขณะหนึ่ง ในดวงตาสีแดงม่วงคู่นั้นสะท้อนความโหดเหี้ยมออกมารางๆ
ซอมบี้ตัวนั้นยืนนิ่งอยู่กับที่
“พอดีเลย ใช้แกนี่แหละ”
พูดจบ ซอมบี้ตัวเดิมก็ก้าวเท้าเดินโซเซเข้าไปในเงามืดนั้น…
—————————————————————————–
บทที่ 691 ความจริงมักทำให้คนอยากร้องไห้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฮู่ว…”
หลังออกจากเขตป่า ทุกคนก็วิ่งเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่ง มู่เฉินที่วิ่งเข้ามาคนสุดท้ายดึงประตูเหล็กปิด แล้วเอนหลังพิงประตูพลางหอบหายใจหนักหน่วง
เขาหอบหายใจจนใบหน้าและลำคอแดงเถือกไปทั้งแถบ แล้วก็อดเงยหน้ามองหลิงม่อที่ยืนอยู่ข้างหน้าอย่างหงุดหงิดไม่ได้ “วิ่งมานานขนาดนี้ ทำไมไม่เห็นนายหอบเหมือนหมาซักที…”
“นายแรงน้อยเกินไปแล้ว” หลิงม่อยกมือปาดเหงื่อบางๆ บนหน้าผาก แล้วพูดเรียบๆ
“ฉันเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายเชียวนะ…” มู่เฉินสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ในใจ เขาเป็นผู้มีความสามารถด้านศักยภาพร่างกาย แต่กลับถูกผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตพูดหยามเรื่องเรี่ยวแรง…
มากเกินไปแล้ว!
แต่น่าเสียดายที่ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาไม่เพียงต้องยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอกว่าหลิงม่อ แต่ยังต้องยอมรับเรื่องที่โหดร้ายอีกหนึ่งเรื่อง…
ในกลุ่มนี้ เขาคือคนที่อ่อนแอที่สุด…
“ตอนนี้จะเอาไงต่อ?” มู่เฉินทำใจยอมรับเรื่องนั้น แล้วหันมาถาม
“กว่าจะสลัดซอมบี้พวกนั้นหลุดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างไรก็พักที่นี่ก่อนแล้วกัน” หลิงม่อบอก พลางเปิดไฟฉายดัง “แกร๊ก” แล้วหันส่องไปด้านหลังตัวเอง
ประตูเหล็กบานนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่ประตูหลังที่เชื่อมต่อกับทางเดินอันมืดมิดเส้นหนึ่ง
เมื่อแสงไฟฉายสาดส่องไป เงาร่างของใครคนหนึ่งพลันปรากฏอยู่ด้านบนทางเดิน สวี่ซูหานตกใจร้อง “กรี๊ด” ยกมือตะครุบแขนเย่เลี่ยน แล้วเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังเธอ
มู่เฉินเองก็หนังศีรษะชา เขารีบถอยหลังชิดผนังด้านข้างทันที
ส่วนหลิงม่อนั้นตกใจเพราะสวี่ซูหาน เขาหันไปมองเธอ แล้วบอกว่า “ชู่ว แค่ศพคนตาย…”
เขาส่ายหน้า แล้วบ่นงึมงำ “ตัวเองใกล้จะกลายพันธุ์แล้วแท้ๆ ยังจะกลัวอะไรแบบนี้อีก…
“แล้วฉันกลัวอะไรแบบนี้ไม่ได้หรือไง…” สวี่ซูหานตอกกลับอย่างไม่พอใจ
ตอนนี้ความสามารถในการได้ยินของเธอเทียบเท่าซอมบี้ ดังนั้นคำพูดของหลิงม่อจึงไม่เหมือนเสียงของคนที่ตั้งใจพูดเบาๆ เลยแม้แต่น้อย
“ก็ต้องได้อยู่แล้ว…”
หลิงม่อรับคำส่งๆ แล้วสาดแสงไฟฉายไปที่ร่างนั้น
ตอนที่ยังไม่ทันได้เห็นสภาพแวดล้อมข้างในนี้ หลิงม่อรู้อยู่แล้วว่าข้างในนี้ไม่มีดวงแสงแห่งจิต
ดังนั้นตอนที่เห็นเงาร่างนั้น หลิงม่อจึงมีท่าทีเรียบเฉยไม่ตกใจแต่อย่างใด
คนที่ตกใจจนออกนอกหน้า ก็มีแค่สวี่ซูหานกับมู่เฉินเท่านั้น…
เมื่อมองดูดีๆ ก็เป็นเพียงศพที่ถูกห้อยโตงเตงอยู่บนเพดานอย่างที่คิดจริงๆ บนร่างกายที่อวัยวะขาดหายหลงเหลือเพียงเสื้อผ้าเก่าๆ และผิวหนังแห้งกรังติดกระดูกเท่านั้น
มู่เฉินรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาชั่วขณะ เขาแอบยืดตัวตรงเงียบๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “คราวหน้านายช่วยเตือนก่อนได้ไหม?”
“ถ้าฉันไม่ได้เตือนก็แปลว่าไม่มีเรื่องอะไร ยังต้องให้เตือนเป็นกรณีพิเศษอีกหรอ?” หลิงม่อเหล่มองเขาด้วยหางตา แล้วพูดขึ้น
“ศพศพนี้ถูกโยนขึ้นไปติดบนเพดานได้ยังไง?” หลิงม่อจ้องศพอยู่นานสองนาน จากนั้นก็ส่องไฟฉายไปยังจุดที่ไกลออกไป
เงาร่างตะคุ่มจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นในขอบเขตแสงไฟ คราวนี้สวี่ซูหานและมู่เฉินอยู่ในความสงบไม่แตกตื่นเหมือนครั้งแรก
เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นตู้ที่ล้มทับกันระเนระนาด โดยด้านบนถูกปกคลุมไปด้วยชั้นฝุ่นหนาเตอะ
“ตู้ล็อกเกอร์ของพนักงานในซุปเปอร์มาร์เก็ต…ดูจากพื้นที่ ที่นี่คงจะเป็นห้างสรรพสินค้าสินะ?” หลิงม่อส่องไฟไปด้านหน้าอีกครั้ง และตามคาด ห่างออกข้างหน้าไปไม่ไกล เขาเห็นบันไดที่มีตัวหนังสือเขียนติดไว้ว่า “ทางเดินพนักงาน”
“เธอจะเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าแก้ขัดไปก่อนไหม?” หลิงม่อหันไปมองสวี่ซูหาน แต่ก็ได้การกลอกตาขาวใส่แทนคำตอบกลับมา
“เวลาอย่างนี้แล้วยังจะเรื่องมากอีก…” หลิงม่อถอนหายใจ
สวี่ซูหานนึกเคืองในใจ เสื้อผ้าของพวกเย่เลี่ยนก็ไม่ใช่เสื้อผ้าทั่วไปเหมือนกันนี่!
ยิ่งไปกว่านั้นห้างฯ ก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว แล้วทำไมเวลาแบบนี้ยังต้องให้เธอใส่…
สวี่ซูหานก้มหน้ามองเข้าไปในตู้เหล่านั้น แล้วสีหน้าของเธอก็ยิ่งบึ้งตึงหนักกว่าเก่า…
เสื้อกั๊กพลาสติกสีส้มที่อยู่ในนั้นเรียกว่าเสื้อผ้าได้จริงๆ น่ะหรอ! ใส่แล้วไม่ช่วยปกปิดอะไรซักนิด! แล้วไหนจะหยากไย่ที่เกาะอยู่บนเสื้อนั่นอีก…อย่างนี้สู้ตัวเปลือยไม่ต้องใส่อะไรเลยยังจะดีกว่า!
ทุกคนเดินขึ้นบันไดกันอย่างเงียบๆ แต่เพิ่งจะเดินขึ้นไปได้ไม่กี่ขั้น จู่ๆ ซอมบี้หญิงสวมกระโปรงตัวหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาจากประตูห้องบันได แล้วกระโจนลงมาใส่หลิงม่อ
ทว่ากรงเล็บยาวๆ ยังไม่ทันแตะโดนตัวหลิงม่อ ร่างกายของมันก็กระด้างแข็งไปในขณะที่กำลังดิ่งลงมา ขณะเดียวกัน บนหน้าผากพลันมีรูแผลปรากฏขึ้นหนึ่งรู
ซอมบี้หญิงเบิกตากว้าง ร่างกายของมันถูกห้อยกลับหัวอยู่ตรงหน้าพวกหลิงม่อ เลือดสีแดงสดไหลตามแนวเส้นผม หยดลงบนพื้นดัง “ติ๋งๆๆ”
“นายช่วยเตือนล่วงหน้าก่อนไม่ได้หรอ…” มู่เฉินพยายามสงบหัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง พลางขมวดคิ้วมองหลิงม่อที่กำลังวางร่างซอมบี้ลงกับพื้นเบาๆ
“ก็ถ้าไม่ปล่อยให้ลอบโจมตี เกิดมันเริ่มเปิดวงร้องประสานเสียงขึ้นมาอีกจะทำยังไง?” หลิงม่อเหลือบมองเขา แล้วพูด
“จะบอกว่าตัวเองทำอะไรก็มีเหตุผลเสมอสินะ…” มู่เฉินค่อนแคะ
หลังศพถูกวางลงกับพื้น หลิงม่อก็เดินขึ้นบันไดไปอีกสองก้าวอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หันกลับมาโบมือเรียก “ซย่าน่า รุ่นพี่ ขึ้นมานี่”
สองสาวซอมบี้รีบขึ้นไปตามคำเรียกทันที หลิงม่อกำลังแนบตัวติดกำแพงหลบอยู่ด้านหลังประตูห้องบันไดที่เปิดแง้มไว้ แล้วมองเข้าไปในตัวห้างฯ “ตรงนี้มีซอมบี้อยู่ห้าตัว ตรงนั้นมีอีกสิบตัว แล้วก็ตรงนั้นอีก…รวมกันทั้งชั้นแล้ว อย่างน้อยสุดก็มีประมาณ 50 – 60 ตัว…”
“เยอะขนาดนั้นเชียว?” มู่เฉินอึ้ง
“ไร้สาระ มีห้างฯ ไหนซอมบี้ไม่เยอะบ้าง? แต่ถ้าเป็นที่อื่นสามารถล่อออกไปได้ ที่นี่ทำอย่างนั้นไม่ได้น่ะสิ หากทำให้พวกมันแตกตื่น ซอมบี้ที่อื่นก็จะกรูกันเข้ามารวมตัวกันที่นี่”
หลิงม่อบอก พลางหันไปมองช่องหน้าต่างเล็กๆ ที่อยู่ในห้องบันได เขาเดินไปดูสถานการณ์ข้างล่าง “บนถนนน่าจะมีอย่างน้อยอีก 100 ตัว บวกกับซอมบี้ฝูงใหญ่ที่อยู่ในชั้นหนึ่งของอาคารแห่งนี้ อีกอย่าง ที่นี่ยังเป็นแค่โซน A เท่านั้น…ยังมีทางเดินที่จะทะลุไปยังโซน B ที่คาดว่าน่าจะอยู่ข้างหน้าอีก…หากเป็นอย่างนี้ พวกเราก็น่าจะตกอยู่ในวงล้อมของซอมบี้ประมาณ 500 ตัว”
“ค่อนข้างเยอะนะ” ซย่าน่าพยักหน้า
“เรียกว่าเยอะมากต่างหากเล่า!” มู่เฉินเริ่มปาดเหงื่ออีกครั้ง ซอมบี้ในเมืองนี้รับมือยากมาก แค่ 50 ตัวก็แทบกระอักแล้ว 500 ตัวไม่ตายกันไปข้างเลยหรอ
ถ้าหากมีเจ้าตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาอีกสองสามตัวจริงๆ จะร้องไห้ก็คงร้องไม่ออกแล้ว
“ถ้าดวงซวยหน่อยก็อาจเจอเป็นพันเลยก็ได้…” หลิงม่อพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ถ้างั้น…พวกเราออกไปจากที่นี่ไหม?” สวี่ซูหานพูดอย่างลังเล ก็แค่เสื้อผ้าชุดเดียว ไม่ต้องเสี่ยงตายขนาดนี้ก็ได้…
“ข้างนอกก็ไม่มีที่ให้ซ่อนเหมือนกัน แถวๆ นี้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ฉันคิดว่าอยู่ในนี้ก็ไม่เลว อีกอย่างยังสามารถหาของที่ขาดเพิ่มได้ด้วย” หลิงม่อสาดแสงไฟฉายไปมา พร้อมกับบอก
“นี่ ความจริงนายอยากอยู่ที่นี่เพื่อสังเกตพวกมันมากกว่าล่ะมั้ง…” มู่เฉินบ่น
“ขอแค่อย่าเปิดโอกาสให้พวกมันแหกปากร้อง ก็พอแล้วนี่…” หลิงม่อเมินมู่เฉิน เขาขยับเข้าไปใกล้ประตู แล้วแผ่หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งเข้าไปในตัวห้างฯ
ความจริงมู่เฉินพูดถูก สาเหตุที่หลิงม่อเลือกห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ เป็นเพราะยิ่งเข้าใกล้ที่นี่ ความรู้สึกกระวนกระวายใจของหลิงม่อก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้คาดว่าน่าจะเป็นห้างฯ ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชุ่ยหูแล้ว ด้านข้างยังมีศูนย์แสดงสินค้าติดอยู่ ฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหารตั้งอยู่เป็นแถบ แล้วยังมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งซอมบี้ที่นั่นก็ไม่ได้มีน้อยไปกว่าในนี้เลย
เพราะอย่างไรที่นี่ ก็เป็นถึงพื้นที่ศูนย์กลางของเมือง…
หลิงม่อรู้สึกได้รางๆ ว่าไม่แน่เขาอาจเจออะไรบางอย่างที่นี่…
สาเหตุที่เมืองชุ่ยหูถูกจัดให้เป็นพื้นที่อันตราย อาจอยู่แถวๆ นี้ก็ได้
ทว่าหลิงม่อยังคงระมัดระวังอย่างดีที่สุด เขาไม่คิดจะไปเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเองแน่นอน
ถ้าหากไม่มีความสามารถในการควบคุมหุ่น หลิงม่อคงพาพวกเย่เลี่ยนหนีไปให้ไกลตั้งแต่ที่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแล้ว
แต่เพราะมีความสามารถพิเศษนี้อยู่ จึงเป็นหลักประกันได้ว่าอย่างน้อยเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงอันตราย และมีโอกาสหนีก่อนแน่นอน
ตอนนี้ซอมบี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด คือซอมบี้ตัวเล็กหนึ่งตัว และตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว
เจ้าตัวใหญ่กำลังเดินโงนเงนไปมาอยู่ระหว่างชั้นวางของตรงนั้น ส่วนเจ้าตัวเล็กเป็นเด็กสาวที่น่าจะอายุราว 5 – 6 ขวบ แต่ใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปนั่น หลงเหลือไว้เพียงความน่ากลัวเท่านั้น
“อย่าขยับไปไหนล่ะ…”
หนวดสัมผัสของหลิงม่อค่อยๆ คืบคลานเข้าไปใกล้ แต่เจ้าตัวเล็กกลับเดินโซเซไปด้านหลังชั้นวางของ และออกจากครรลองสายตาของหลิงม่อไปเรียบร้อยแล้ว
เจ้าตัวใหญ่ยังคงอยู่ระหว่างชั้นวางของ มันกำลังเอียงคอมองรองเท้าแตะกองหนึ่งอยู่
ตัวนี้น่าจะเริ่มมีสติรู้คิดแล้ว สายตาที่มองรองเท้าแตะถึงได้มีความอยากรู้อยากเห็นปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
“ช่างเถอะ ตัวนี้เปลืองพลังจิตมากกว่า…” หลิงม่อเปรียบเทียบดวงแสงแห่งจิตของซอมบี้ตัวเล็กและตัวใหญ่ สุดท้ายก็หันไปเล็งเจ้าตัวเล็กแทน
ในเมื่อยังมีสิ่งที่ไม่รู้รอตัวเองอยู่ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรมีพลังจิตเป็นหลักประกันความปลอดภัย แม้จะแค่เล็กน้อยก็ต้องประหยัดเอาไว้ก่อน ไม่แน่ว่าพอถึงเวลาอาจได้ใช้ประโยชน์มหาศาลก็เป็นได้
เมื่อหนวดสัมผัสทางจิตแทงเข้าไป ร่างกายของเจ้าตัวเล็กก็กระด้างแข็ง สายตาของมันเริ่มเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
มันค่อยๆ หันกายไปทางซอมบี้ตัวใหญ่ แล้วก้าวเดินเข้าไปช้าๆ
ในระหว่างที่เดินเข้าไปหาซอมบี้ตัวใหญ่ช้าๆ มือข้างหนึ่งของซอมบี้ตัวเล็กได้กางออกดัง “กร๊อบ”
หลิงม่อหันกลับไปมองสวี่ซูหานและมู่เฉิน พอเห็นว่าการมองเห็นของพวกเขาถูกซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินบังไว้ ก็คลายใจลงชั่วขณะ
สวี่ซูหานและมู่เฉินเองก็ไม่รู้ว่าหลิงม่อคิดจะทำอะไร จากมุมที่พวกเขายืนอยู่มองเห็นแค่เพดานของห้างฯ รางๆ เท่านั้น มองไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลย
“อึก…”
ในที่สุดซอมบี้ตัวใหญ่ก็ยื่นมือออกมา แล้วยกรองเท้าแตะข้างหนึ่งขึ้นมาจ้องอย่างพิจารณา
มันค่อยๆ อ้าปาก จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้รองเท้าแตะ…
“อึกๆ…”
รองเท้าแตะหล่นกลับไปอยู่บนชั้นวางของ ขณะเดียวกับที่ซอมบี้ตัวโตก้มหน้ามองท้องของตัวเอง
มือเล็กๆ ข้างหนึ่งแทงทะลุท้องของมัน และกำลังแบมืออยู่ตรงหน้ามัน บนฝ่ามือนั้นเต็มไปด้วยเลือด ในซอกเล็บมีเศษเนื้อติดอยู่เล็กน้อย
ไม่รอให้ซอมบี้ตัวโตขัดขืน ซอมบี้ตัวเล็กกระชากมันถอยหลัง และลากมันไปในชั้นวางของด้านหลังทันที
“พรวด!”
ไม่กี่วินาทีต่อมา หลังเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ซอมบี้ตัวเล็กก็เดินออกมาจากชั้นวางของเพียงลำพัง
มันปรายตามองมาทางที่ซ่อนตัวของพวกหลิงม่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองยังอีกฝั่งของห้างฯ
ท่ามกลางชั้นวางของสูงต่ำวางเรียงราย เงาร่างมากมายกำลังเดินขวักไขว่กันไปมาอยู่ระหว่างชั้นวางของเหล่านั้น
ตอนที่ซอมบี้ตัวโตตาย เงาร่างเหล่านี้ก็หันมามองแวบหนึ่ง แต่ซอมบี้ตัวเล็กเคลื่อนไหวรวดเร็ว ดังนั้นพวกมันเพียงชำเลืองมองครู่เดียว แล้วละความสนใจออกไปอย่างรวดเร็ว
ซอมบี้ตัวเล็กใช้เศษผ้าเก่าๆ พันมือไว้ แล้วเดินตรงเข้าไปหาเงาร่างเหล่านั้นช้าๆ
“ตาพวกแกแล้ว ตรงนั้นมีสิบกว่าตัว…”
หลิงม่อเพิ่งจะเบี่ยงตัวหลบ ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินก็เดินแทรกเข้าไปในประตูอย่างเงียบเชียบ
“นี่มัน…”
สวี่ซูหานและมู่เฉินเบิกตากว้าง เขาเพิ่งพูดว่าข้างในมีซอมบี้เต็มไปหมด ไม่ใช่หรอ?
—————————————————————————–
บทที่ 692 ซอมบี้ที่ขี้ขลาดที่สุดในประวัติศาสตร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอพวกเขามองเข้าไปข้างใน ด้านหลังประตูก็ไม่เห็นเงาของซอมบี้อีกแล้ว ซย่าน่าและหลี่ย่าหลินก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน
หลิงม่อยืนอยู่ข้างประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่าทางเหมือนคนยืนนิ่งไม่ได้ทำอะไร
แต่ในความเป็นจริง เขากำลังควบคุมซอมบี้ตัวเล็กตัวนั้น ให้จัดการเหล่าซอมบี้ที่กำลังเดินวนเวียนอยู่ระหว่างชั้นวางของ
ส่วนซย่าน่าและหลี่ย่าหลิน…ซอมบี้ชนชั้นสูงสองตัวเผชิญหน้ากับซอมบี้ธรรมดายังมีอะไรต้องห่วงอีก?
จะว่าไปแล้ว กลับเป็นเพราะตัวเขาและมู่เฉินมากกว่า ที่ทำให้เรื่องวุ่นวายมากกว่าเดิม…
สวี่ซูหานและมู่เฉินต่างไม่สบายใจ โดยเฉพาะสวี่ซูหาน หากเธอยกมือขึ้นป้องหู ก็ยังพอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาอยู่บ้าง แต่กลับไม่อาจเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หากอาศัยแค่จมูก เธอได้กลิ่นของซอมบี้จำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถระบุทิศทางและจำนวนได้แม่นยำเหมือนอย่างที่พวกเย่เลี่ยนทำ
อย่าว่าแต่ซอมบี้ชนชั้นสูงเลย ตอนนี้เธอยังเทียบไม่ได้กับซอมบี้ธรรมดาด้วยซ้ำ
การที่ต้องหยุดชะงักอยู่ในสภาวะกึ่งกลายพันธุ์อย่างนี้ เดาว่าเธอคงเป็นกรณีแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน
มู่เฉินเองก็อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย ทว่าถึงสวี่ซูหานจะดูเหมือนฟื้นสติปัญญากลับมาได้พอสมควรแล้ว แต่พอทั้งสองอยู่ใกล้กันเมื่อไหร่ เขาก็ยังคงเลือกถอยห่างไปทางเย่เลี่ยนตามสัญชาตญาณอยู่ดี
สวี่ซูหานไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนี้…ถ้าหากเธอรู้ เธอคงหัวเราะออกมา เพราะนั่นมันเหมือนกับการหนีลูกเสือ ไปขอความช่วยเหลือจากสัตว์ร้ายตัวจริง…
สิบนาทีกว่าผ่านไป จู่ๆ หลิงม่อก็ผ่อนลมหายใจ ขณะเดียวกันซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินก็เดินแทรกตัวเข้ามาในประตู “เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เข้าไปได้ละ”
“อืม แต่ยังไงก็ยังต้องเงียบเสียงหน่อย” หลิงม่อกำชับ พลางหันไปมองสวี่ซูหาน “จะกรี๊ดไม่ได้อีกแล้วนะ”
“นายคิดว่าระบบกั้นเสียงที่นี่มันแย่ขนาดนั้นจริงๆ หรือไง…” สวี่ซูหานหน้าแดง พร้อมกับตอกกลับด้วยความอายปนโมโห
กลัวความมืดแล้วทำไม…ผู้หญิงกลัวความมืดมันแปลกตรงไหนล่ะ!
ทั้งที่ตัวเองก็มีผู้หญิงอยู่ด้วยตั้งสาม…
พอคิดถึงตรงนี้ สวี่ซูหานก็นิ่งไป เธอแอบเหลือบมองพวกเย่เลี่ยนอย่างสงสัย ในใจคิดว่า ไม่รู้ว่าพวกเธออยู่กับหลิงม่อตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ตอนที่เป็นคน หรือว่าตอนที่กลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว?
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผู้หญิงข้างกายหลิงม่อก็ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไป…
“ไม่น่าล่ะถึงไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลย…” สวี่ซูหานลอบกลอกตาขาวลำพัง
หลังเปิดประตู ทุกคนก็เดินเข้ามาด้านในอย่างเงียบที่สุด จากนั้นก็เดินเลียบไปตามทางเดินแคบๆ ระหว่างชั้นวางของ และเข้าไปในตัวห้างฯ ช้าๆ
ห้างฯ แห่งนี้พื้นที่ไม่กว้าง แสงสว่างก็มีไม่มาก หากไม่เปิดไฟฉาย ก็จะรู้สึกว่าทุกที่เต็มไปด้วยเงาน่าสงสัยกำลังจับจ้องมา
สวี่ซูหานเกร็งร่างด้วยความกลัว เธอรู้สึกเหมือนเลือดในกายไหลเวียนเร็วขึ้น
แต่ “คำกำชับเป็นพิเศษ” ของหลิงม่อใช้ได้ผลกับเธออย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้สีหน้าดูแย่ แต่สวี่ซูหานก็กัดฟันปิดปากไว้แน่น
ด้านล่างของห้างฯ แห่งนี้ยังมีซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารรสเลิศอีกหนึ่งชั้น จำนวนซอมบี้มีไม่น้อย และพวกเขาก็อยู่ห่างกันเพียงเพดานกั้น อาจถูกพบได้ทุกเมื่อ
ชั้นที่พวกหลิงม่ออยู่ เป็นชั้นที่ขายเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าพอดี
“รีบหาเสื้อผ้าเร็วๆ เข้าล่ะ” หลิงม่อลดเสียงให้เบาลงที่สุด แล้วโบกมือ
สามสาวซอมบี้หายตัวไปในพริบตา มู่เฉินสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เดินหายเข้าไปในทางเดินเส้นหนึ่งเช่นกัน
“ส้นรองเท้าฉันจะขาดอยู่แล้ว…” มู่เฉินพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น
หลิงม่อกวาดตามองซ้ายขวาหนึ่งรอบ แล้วก็เหลือบไปเห็นช็อปขายแบรนด์กีฬา
ในขณะเดียวกัน ณ บันไดทางลงของชั้นเดียวกันนี้ ซอมบี้ตัวเล็กตัวหนึ่งกำลังเดินลงไปข้างล่างอย่างเชื่องช้า…
“นี่…”
หลิงม่อกำลังจะเดินไป ก็รู้สึกว่าชายเสื้อตัวเองถูกดึงไว้
พอหันกลับไป ก็เห็นสวี่ซูหานกำลังจ้องมองมาด้วยดวงตาประกายแดงจางๆ “ฉัน…ไปด้วยคน”
“ซอมบี้ในชั้นนี้กลายเป็นศพไปหมดแล้ว…” หลิงม่อพูดอย่างจนใจ ตอนนี้เขากำลังทำสองอย่างในเวลาเดียวกันนะ…
“แต่…แต่ฉันกลัว…” สวี่ซูหานฝืนพูดออกมา
ตอนแรกเธอจะไปกับพวกเย่เลี่ยน แต่พอคิดว่าต้องอยู่กับพวกเธอโดยลำพังก็อดลังเลไม่ได้อีก
แม้ร่างกายอยู่ในระหว่างกลายพันธุ์ แต่ความคิดของเธอยังเป็นมนุษย์อยู่…
ผลปรากฏว่าเพราะความลังเลเพียงวินาทีเดียว พอเธอตัดสินใจได้ พวกเธอก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว…
แค่คิดว่าต้องเดินไปเดินมาอยู่ในสภาพแวดล้อมวังเวงน่ากลัวอย่างนี้ แล้วอาจบังเอิญจ๊ะเอ๋กับศพเอยอะไรเอยอีก…พอถึงตอนนั้นถ้าเธอตกใจจนร้องกรี๊ดออกมา อาจทำให้ทุกคนต้องพลอยลำบากไปกันหมด
สวี่ซูหานมองมาด้วยสายตาที่ทั้งกระอักกระอ่วนและคาดหวัง หลิงม่อจึงทำได้เพียงถอนหายใจ
“อยากจะเอากระจกให้เธอส่องจริงๆ เลย สภาพแบบนี้ยังจะไปกลัวอะไรอีก…”
หลิงม่อเพิ่งจะพูดจบ ก็โดนตีแขนแรงๆ หนึ่งที
เขาขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงหมุนกายแล้วเดินตรงไป
สวี่ซูหานเดินตามหลิงม่อทุกฝีก้าว ดวงตาประกายแดงจางๆ กวาดมองซ้ายทีขวาที
“กึก…”
เท้าเล็กๆ ข้างหนึ่งก้าวลงบนบันไดขั้นสุดท้าย และเหยียบลงบนผิวพื้นเหล็ก
ซอมบี้ตัวเล็กหยุดเคลื่อนไหว มันก้มหน้ามองพื้น แล้วเงยหน้ามองไปรอบทิศ
หลายวินาทีผ่านไป เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ซอมบี้ตัวเล็กก็กระโดดไปข้างหน้า จากนั้นก็ทิ้งเท้าลงพื้นอย่างเงียบเชียบ
ชั้นนี้เป็นชั้นใต้ดิน นอกจากบริเวณใกล้ตัวลิฟท์แล้ว ที่อื่นล้วนถูกปกคลุมด้วยความมืด
ทว่าเพราะสายตาของซอมบี้ตัวเล็ก เขาจึงสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในความมืดได้
เพียงแต่บนพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือดมากมาย
ซอมบี้ตัวเล็กทำจมูกฟุดฟิด จากนั้นก็ค่อยๆ เดินหน้าไปช้าๆ ไม่นานมันก็เดินเลี้ยว และหายตัวเข้าไปในความมืด…
“นายคิดอะไรอยู่?” จู่ๆ สวี่ซูหานก็ถาม
หลิงม่อสะดุ้งเล็กน้อย เขาหันมาตอบว่า “ไม่มีอะไรนี่…”
เขาบอกสวี่ซูหานไม่ได้ ว่าตัวเองกำลังควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ตามหาสาเหตุของความไม่สบายใจนั้นอยู่
ถึงแม้สวี่ซูหานจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกซอมบี้แล้ว และเธอก็คงรู้เรื่องของพวกเย่เลี่ยนแล้วอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเผยความสามารถพิเศษของตัวเองให้เธอรู้…
“งั้นหรอ…ทั้งที่ดูตั้งอกตั้งใจขนาดนั้นน่ะนะ…” สวี่ซูหานงึมงำ เขาไม่คิดว่าตัวเองตอบส่งๆ เกินไปหน่อยหรอ…
“เธอล่ะ? ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เห็นเธอถือเครื่องอัดเสียงแล้วล่ะ?” หลิงม่อหันกลับไปถาม
“เรื่องที่เกิดขึ้นพักนี้…ไม่อัดเสียงเก็บไว้จะดีกว่า รอให้ฉันกลายพันธุ์แล้ว หากยังสามารถครองสติรู้คิดไว้ได้จริงๆ ฉันก็จะอัดเสียงต่อไป อัดเกี่ยวกับเรื่อง…บันทึกของซอมบี้” สวี่ซูหานอดยิ้มขมขื่นออกมาไม่ได้
“ใช้ได้เลยนี่ ถ้าหากเผยแพร่ออกไปได้ คงดังไม่เบา” หลิงม่อพูดติดหัวเราะ
“เผยแพร่…” สวี่ซูหานหัวเราะ สีหน้าดูเจ็บปวดเล็กน้อย “ใครจะไปรู้ว่าอนาคตมนุษย์จะเป็นอย่างไร? ไม่แน่อาจสูญพันธุ์กันหมด”
“อย่าคิดแง่ร้ายขนาดนั้นสิ มนุษย์เองก็กำลังวิวัฒนาการอยู่ไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อหันไปมองเธอ แล้วพูดขึ้น
สวี่ซูหานอึ้ง จู่ๆ เธอก็อยากถามหลิงม่อมากๆ ว่าระหว่างมนุษย์กับซอมบี้ เขาจะเลือกยืนอยู่ข้างไหน…
“อ๊ะ ที่นี่มีเสื้อผ้าผู้หญิงขายด้วย เธอใส่ชุดกีฬาได้ใช่ไหม? องศาในการเคลื่อนไหวของซอมบี้ค่อนข้างกว้าง ฉันคิดว่าน่าจะเหมาะกับเธอนะ” หลิงม่อเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป แล้วมองซ้ายมองขวาในตัวร้าน
สวี่ซูหานเม้มปาก สุดท้ายเธอก็ถามไม่ออก
เธอพยักหน้า “ได้สิ…”
“แต่ทำไมพวกเย่เลี่ยนถึงไม่ใส่แบบนี้ล่ะ…”
“อืมม ใส่แล้วคงไม่สวย…อีกอย่างพวกเธอก็ควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเองได้แล้วด้วย”
“นาย…ฉัน…”
“เธอจ้องฉันทำไม ก็มันเรื่องจริงนี่…เธอมันก็แค่ซอมบี้น้องใหม่เท่านั้น”
“…มนุษย์หน้าโง่”
แผงลอยขายของกินสองข้างทางถูกทิ้งร้างทั้งหมด อาหารที่วางไว้ข้างบนขึ้นราและกลายเป็นก้อนดำๆ มานาน ด้านในกระจกใสก็กลายเป็นสีดำไปทั้งแถบ
บางครั้งเสียงกัดแทะเบาๆ ก็ดังแว่วมา ไม่รู้ว่าเป็นหนูหรือแมลงสาบ
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้แข็งแกร่งจริงๆ หลังจากที่รอดจากการเน่าเพราะสัมผัสถูกเชื้อไวรัสมาได้ พวกมันก็เดินออกมาจากมุมมืดอีกครั้ง
ถึงแม้จำนวนลดลงมาก แต่ในจำนวนนี้ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกเชื้อไวรัสฆ่าตายอีกอย่างแน่นอน
ซอมบี้ตัวเล็กกำลังเดินอยู่ท่ามกลางโต๊ะและเก้าอี้ที่วางระเกะระกะ ม่านตาสีแดงกลอกมองไปมาอย่างต่อเนื่อง
“จี๊ดๆ…”
ทันใดนั้นแสงสีแดงอ่อนๆ สองจุดก็ปรากฏตรงมุมมืดมุมหนึ่ง แต่ไม่นานก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“สีแดง?”
ซอมบี้ตัวเล็กชะงักกึกชั่วขณะ ขณะเดียวกันร่างจริงอย่างหลิงม่อก็อึ้งไปเล็กน้อย
ถึงแม้จะอ่อนมาก แต่เป็นแสงสีแดงไม่ผิดแน่…
ติดเชื้อ? ดูไม่ค่อยเหมือนนะ…
แต่สภาวะอย่างนี้ ก็ถือว่ามีอันตรายต่อมนุษย์เช่นกัน
“สัตว์จำพวกหนู…ปกติจะเจอไม่ค่อยบ่อย แต่ว่า…”
หลิงม่อขมวดคิ้วบางๆ นี่ถือเป็นสัญญาณที่อันตรายมากอย่างหนึ่ง
สัตว์ที่มีร่างกายขนาดเล็กซึ่งเดิมไม่อาจต้านทานเชื้อไวรัสได้ ตอนนี้กลับสามารถต้านทานได้แล้ว กระทั่งอาจมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวด้วย…”
เหมือนพืช ที่เริ่มเจริญเติบโตไปในทิศทางแปลกประหลาดเมื่อต้องอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเชื้อไวรัส
ป่าสีเขียวในตอนนี้เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ไม่เพียงยุ่งเหยิงขึ้น แต่ยังหนาทึบจนผิดปกติไปมาก
รูปร่างก็เปลี่ยนแปลงไป ส่วนมากล้วนเจริญเติบโตไปในทิศทางที่เต็มไปด้วย “สัญลักษณ์โจมตี” ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นลงมือโจมตีมนุษย์จริงๆ แต่เมื่อใดที่ต้องแหวกป่าฝ่าดงก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกข่วนจนเกิดแผล
“โลกทั้งใบกำลังเข้าสู่ช่วงเชื้อไวรัสแพร่ระบาด…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้
“รับไว้” จู่ๆ ก็มีเสียงพูดเบาๆ ดังมาจากข้างหน้าดึงสติหลิงม่อให้ตื่นจากภวังค์ทันที
วัตถุสีดำลอยเข้ามาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว หลิงม่อยกมือขึ้นรับไว้ กลิ่นขึ้นราลอยโชยมาทันที
“ยังไม่ได้แกะห่อ แต่ก็มีกลิ่นนิดหนึ่งแล้ว…ตากลมหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว” สวี่ซูหานพูด ส่วนตัวเองก็กอดเสื้อผ้าไว้แล้วชะเง้อมองเข้าไปด้านหลังอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“รีบไปเปลี่ยนเถอะ ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้แหละ” หลิงม่อพูดอย่างเอือมระอา
“อย่าไปไหนล่ะ…”
สวี่ซูหานกำชับซ้ำ แล้วค่อยเดินเข้าไปด้านหลังชั้นวางของเงียบๆ
“ถ้าปล่อยให้เธอกลายพันธุ์ไปเสียอย่างนี้ เธอจะกลายเป็นซอมบี้ที่ขี้ขลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ไหมนะ?”
หลิงม่อสวมเสื้อนอกตัวใหม่ พลางคิดในใจ
คิดดูแล้วก็น่าจะเป็นไปได้…
—————————————————————————–
บทที่ 693 รูปแบบพฤติกรรมที่ไม่ปกติ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถนนกว้างๆ ที่อยู่ด้านนอกห้างฯ เส้นนั้น มองออกไปในเวลานี้เห็นแต่ความวังเวง
บนถนนเต็มไปด้วยซากรถยนต์ บางครั้งก็เห็นร่องรอยของการเกิดอุบัติเหตุ หรือกระทั่งร่องรอยของการระเบิด
หลังบานกระจกรถที่มีคราบฝุ่นเกาะหนาเตอะ คือตัวรถที่เต็มไปด้วยคราบเลือด หรือกระทั่งเศษชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์
ซอมบี้มากมายกำลังเดินวนเวียนไปมาอยู่ระหว่างซากรถยนต์เหล่านี้ พวกมันห้อยแขนลง เอียงคอในองศาที่แปลกประหลาด และอ้าปากออกเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำแต่ละคู่ดูไร้พลังชีวิต
แต่ความคลุ้มคลั่งที่แล่นผ่านดวงตาเป็นครั้งคราว กลับเหมือนกำลังส่งสัญญาณเตือนผู้อื่นว่า พวกมันล้วนเป็นสัตว์ร้ายที่อันตราย
ขณะเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่งของถนน คือสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวที่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้ารกร้าง
เหล่าพุ่มไม้ที่เดิมถูกตัดแต่งไว้อย่างประณีต ตอนนี้กลับกลายสภาพไปจนเหมือนสัตว์ประหลาดที่มีเขี้ยวเล็บงอกออกมา
บนกิ่งก้านมีหนามงอกขึ้นมา แม้แต่ส่วนใบก็กลายสภาพไปจนคล้ายใบเลื่อย…
ทว่าหากสังเกตอย่างละเอียด กลับจะเห็นได้ว่าบนพื้นที่สีเขียวซึ่งอยู่ใกล้กับตัวห้างฯ มีทางเดินเส้นหนึ่งถูกแหวกออกเพื่อใช้ชั่วคราว
แต่วัชพืชที่ถูกเหยียบย่ำเหล่านั้นกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และกำลังชี้หน้าขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ
ไม่นาน ทางเส้นนี้ก็กลับไปรกร้างเหมือนเดิมจนดูไม่ออกว่าเคยมีคนเดินผ่าน
แซ่ดๆๆ…
ทันใดนั้น ใบไม้และกิ่งก้านอันหนาแน่นถูกแหวกออกดังขึ้น เงาร่างของใครคนหนึ่งโผล่ออกมาจากพื้นที่สีเขียว
มันเบิกตาสีแดงก่ำก้มมองร่องรอยบนพื้นหญ้าด้านล่างด้วยแววตาที่เหม่อลอยเล็กน้อย
หลังจากสูดดมกลิ่น สายตาของซอมบี้ตัวนี้ก็เลื่อนขึ้นช้าๆ แล้วสุดท้ายก็หยุดจ้องไปที่ประตูเหล็กบานหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ประตูเหล็กบานนั้นปิดแน่นสนิท แต่บนมือจับประตูกลับปรากฏรอยฝ่ามือทาบทับอย่างชัดเจน
“อึกๆ…”
มันอ้าปาก แล้วเปล่งเสียงประหลาดฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา
ฟังคล้ายเสียงหัวเราะ แต่กลับแฝงไปด้วยความน่าขนลุก…
ในขณะเดียวกับที่ซอมบี้ตัวนี้เดินไปทางประตูช้าๆ ณ ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า หุ่นซอมบี้ตัวเล็กซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของหลิงม่อเหมือนกันก็กำลังสำรวจและค้นหาสิ่งผิดปกติอยู่ในความมืด
“กุกกักๆๆ…”
เสียงเล็กแหลมดังลอดออกมาจากความมืด ราวกับว่าในทุกมุมมืดมีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่ และกำลังแอบกระซิบกระซาบกัน
ซอมบี้ตัวเล็กหันไปมองรอบกาย จุดสีแดงเหล่านั้นที่หันไปมองปราดเดียวก็เห็นคือ “เพื่อนร่วมสายพันธุ์” หลายสิบหรืออาจเป็นร้อยตัว ที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในชั้นนี้
“กรร!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามหนึ่งดังขึ้น ตามด้วยเสียงโครมครามอีกหนึ่งระลอก
กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รอบด้านเกิดความแตกตื่นทันที
แต่ซอมบี้ตัวเล็กกลับกระโดดขึ้นบนโต๊ะ และกระโดดเข้าไปหลบด้านหลังเคาน์เตอร์อย่างว่องไวทันที
เสียงกระแทกชนข้าวของดังอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกลิ่นคาวเลือดก็ฉุนขึ้นเรื่อยๆ
ซอมบี้ตัวเล็กยกมือปิดจมูก เพื่อกลบซ่อนกลิ่นอายของตัวเองให้มิดชิด
“เสียงอะไรน่ะ?” สวี่ซูหานเดินออกมาจากด้านหลังชั้นวางของ แล้วถาม
“ชู่ว ข้างล่างน่าจะมีซอมบี้อยู่” หลิงม่อชี้ไปที่ชั้นล่าง
สวี่ซูหานหนังศีรษะตึงชา แต่พอเห็นหลิงม่อมีท่าทีสงบนิ่ง เธอก็ค่อยๆ คลายใจลง
“นายชินแล้วไม่ใช่หรอ?” สวี่ซูหานจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ พลางถาม
“ชินอะไร?” หลิงม่อถามกลับ
หุ่นซอมบี้ของเขากำลังหลีกเลี่ยงสงครามเล็กๆ ข้างล่างนั่น ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปิดอย่างนั้น หากจะมีการเข่นฆ่ากันเองของซอมบี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยังมีซอมบี้อยู่ข้างในมากขนาดนี้…แค่คิดก็รู้แล้วว่าหลังจากที่เพิ่งเกิดภัยพิบัติขึ้น ที่นั่นจะมีซอมบี้แออัดกันอยู่มากขนาดไหน
แน่นอนว่าในสภาวะที่ไม่ต้องต่อสู้ซอมบี้จะมีการเผาผลาญพลังงานต่ำมาก ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกมันสามารถรักษาจำนวนไว้ได้
นอกจากนี้…พวกมันยังมีการสืบพันธุ์อีก…
ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่เจออะไรที่ชั้นใต้ดินเลย และนั่นก็ทำให้หลิงม่อผิดคาดเล็กน้อย
ตามหลักปกติโดยทั่วไปแล้ว หากมีสิ่งผิดปกติอะไรซ่อนอยู่ ส่วนมากมักจะถูกค้นพบอยู่ในที่ที่มืดมิดอย่างนี้
ถึงแม้ซอมบี้จะไม่ได้กลัวแสง แต่ส่วนมากซอมบี้ระดับสูงมักจะหาสถานที่ที่ค่อนข้างปิดแน่นเป็นรังกบดานของตัวเองชั่วคราว จนกระทั่งเมื่อรอบกายไม่มีเหยื่อที่ต้องการแล้ว พวกมันจึงจะจากไปยังที่อื่น
เดี๋ยวก่อน!
จู่ๆ หลิงม่อก็คิดอะไรบางอย่างออก
ตามเนื้อหาในเอกสาร เขาควรเจอซอมบี้ระดับความแกร่งสูงสุดหรือก็คือซอมบี้ราชาในเมืองชุ่ยหู แต่นี่เขากลับเจอในอำเภอซินหลาน
เหยื่อดีๆ ในซินหลานมีอยู่มากมาย แต่ในชุ่ยหูก็มีไม่น้อยเหมือนกัน!
นอกจากนี้ซอมบี้ในเมืองชุ่ยหูก็ดูมีคุณภาพสูงกว่าอย่างชัดเจน จำนวนก็มากกว่าในระดับหนึ่ง
หรือพูดอีกนัยก็คือ รสชาติน่าจะดีกว่า…
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องออกจากเมืองชุ่ยหู แล้วมาที่ซินหลานด้วยล่ะ?
แล้วการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ที่เกิดในเมืองชุ่ยหู…เกิดจากอะไร?
………..
“ก็ไม่กลัวซอมบี้ไง” สวี่ซูหานพูดต่อ ทำให้หลิงม่อตื่นจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
คนทั่วไปที่ไหนจะกล้าเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างใจเย็น ทั้งที่รู้ว่ามีซอมบี้อยู่ชั้นล่างตัวเองอย่างนี้…
เธอถึงขั้นเกิดความคิดประหลาดๆ หรือว่าหลิงม่อมีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสอยู่ในตัว?
ถ้าหากมีภูมิคุ้นกันอย่างนี้อยู่ในตัวจริงๆ เกิดมีใครรู้เข้าไม่ว่าจะเป็นกองกำลัง…หรือเหล่าผู้มีความสามารถพิเศษ คงจะไล่ล่าตัวเขากันให้ทั่วหรือเปล่านะ?
จู่ๆ สวี่ซูหานก็เข้าใจทันทีว่าทำไมหลิงม่อจึงต้องซ่อนตัวจากผู้คน ข้อหนึ่ง แน่นอนเป็นเพราะมนุษย์ต่างก็เกลียดซอมบี้ ข้อสอง ตัวเขาเองก็เป็นเหมือนหมั่นโถวกลิ่นหอมสำหรับมนุษย์เช่นกัน…
“ทำไมจะไม่กลัว ก็แค่ตอนนี้ยังอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเท่านั้นเอง” หลิงม่อบอก
สายสัมพันธ์ทางจิตของเขาสามารถวัดระยะทางได้ด้วย ตอนนี้หุ่นซอมบี้ไม่ค้นพบอะไร ขอเพียงไม่ทำให้ซอมบี้พวกนั้นแตกตื่น ตอนนี้พวกเขาก็ถือว่ายังอยู่ในความปลอดภัย
การที่สามารถทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกันได้ขนาดนี้ เป็นผลพวงจากการฝึกฝนของหลิงม่อ
หากเป็นคนอื่น ดวงจิตไม่แตกซ่านก็คงเป็นเรื่องแปลก…
“ใช่ๆ นายพูดอะไรก็ถูกทั้งนั้นแหละ” สวี่ซูหานส่ายหัว
เธอไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องมันจะง่ายเหมือนที่หลิงม่อพูด ก็เหมือนกับเรื่องที่อาคารชั้นนี้ถูกจัดการจนสะอาดไร้เงาซอมบี้อย่างรวดเร็ว มู่เฉินคิดว่าเป็นเพราะซย่าน่าและหลี่ย่าหลินเก่งกาจ แต่เธอกลับรู้ว่าเป็นเพราะพวกเธอคือซอมบี้ระดับสูงต่างหาก
เอาเป็นว่าในสายตาเธอหลิงม่อในตอนนี้เต็มไปด้วยปริศนา และไม่รู้เพราะอะไร เธอรู้สึกว่ากลิ่นกายของหลิงม่อหอมเป็นพิเศษ
แต่พอลองดมดูดีๆ ก็ไม่ใช่กลิ่นของซอมบี้อีก…
แต่เปรียบเทียบกันแล้ว กลิ่นกายของเขาก็ต่างจากมู่เฉินอยู่บางส่วน
ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่สวี่ซูหานก็อยากอยู่ใกล้หลิงม่อมากกว่าจริงๆ
“ช่างเถอะ นายไม่อยากบอกฉันก็จะไม่ถาม อีกอย่าง…วางใจเถอะ” จู่ๆ สวี่ซูหานก็พูดขึ้น “ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”
“หา?” หลิงม่อกลับงุนงง ผ่านไปหลายวินาทีจึงค่อยยกมือโบกไปมาแล้วบอกว่า “เธอเป็นซอมบี้ จะมีโอกาสพูดเรื่องนี้กับใครที่ไหน…”
“นี่…” สวี่ซูหานพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ อย่างน้อยก็ช่วยแสดงความขอบคุณที่เธออุตส่าห์รูดซิปปากสนิทหน่อยก็ได้นะ!
อีกอย่าง…ไม่เห็นต้องมาพูดซ้ำเติมกันอย่างนี้เลย!
“ก็ถ้าเธอเป็นคนประเภทนั้น ฉันคงไม่ช่วยเธอแต่แรกแล้ว” หลิงม่อพูดเสริม
สวี่ซูหานพ่นลมหายใจ นี่เขาชมเธอ หรือจะอวดตัวว่าเป็นคนดูคนเป็นกันแน่ล่ะ…
“ฉันรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ” จู่ๆ หลิงม่อก็เปลี่ยนเรื่อง
“หืม?” สวี่ซูหานตามไม่ทัน
“มันเงียบสงบเกินไป” หลิงม่อพูดต่อ
“เงียบสงบ?” สวี่ซูหานหางตากระตุก อย่างนี้เขาเรียกสงบได้ที่ไหน ในเมื่อชั้นใต้ดินกำลังมีเสียงโครมครามอยู่อย่างนี้?
ถึงจะห่างกันหนึ่งชั้น และเธอก็ได้ยินเพียงเสียงเบาๆ แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ข้างล่างรุนแรงแค่ไหน
“อืม เธอคิดดูสิถึงข้างล่างจะเกิดเรื่องวุ่นวาย แต่ขอบแขตกลับไม่กว้างมาก” หลิงม่อพูดพลางขมวดคิ้ว
สวี่ซูหานจ้องพื้นใต้เท้าตัวเอง เธอไม่อาจมองทะลุพื้นเพดานที่หนาขนาดนี้แล้วเห็น “ขอบเขต” อะไรที่หลิงม่อพูดถึง และไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรกันแน่…
“เอาเป็นว่าหลังจากที่เราได้ของที่ต้องการครบแล้ว ก็ไปจากที่กันเถอะ” สวี่ซูหานเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อๆ แล้วพูดขึ้น
พอคิดว่าข้างล่างมีแต่ซอมบี้ เธอก็รู้สึกขนลุกขนพอง
ความคิดอย่างนี้ยากจะควบคุมและกำหนดได้ และยิ่งไม่มีทางที่จู่ๆ เธอจะรู้สึกเฉยๆ กับซอมบี้เพียงเพราะเธอกำลังอยู่ในระหว่างกลายพันธุ์อย่างแน่นอน
อีกอย่าง เธอก็ยังไม่ได้กลายร่างอย่างสมบูรณ์ด้วย…
“อืม” ถึงหลิงม่อจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่เขาก็คงไม่เลือกเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปตลอด
ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ก็คงทำได้เพียงคิดว่าตัวเขาคิดมากไปเอง…
ทว่าความรู้สึกไม่สบายใจนั่นรุนแรงมากจริงๆ ถึงขนาดทำให้หลิงม่อรู้สึกว่าคลื่นดวงจิตของตัวเองแปลกไป
มันทั้งเหมือนว่าเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง ขณะเดียวกันก็เหมือนถูกอะไรบางอย่างกระตุ้นด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
สิ่งสำคัญคือ เขารู้สึกเหมือนความคลุ้มคลั่งที่ตัวเองพยายามกดข่มไว้มาโดยตลอด กำลังจ้องจะเล่นงานเขาอีกครั้ง…
ความรู้สึกอย่างนี้ นอกเหนือจากตอนที่อัพเกรดร่วมกับเหล่าสาวๆ ซอมบี้แล้ว ก็มีแค่ตอนที่เขาถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงเท่านั้นจึงจะเกิดขึ้น
แต่จู่ๆ ความรู้สึกนี้ก็โผล่ขึ้นมา เป็นเพราะอะไรกันแน่ล่ะ…
หรือพูดอย่างเลื่อนลอยไม่มีเหตุผลหน่อยก็คือ หลิงม่อรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังดึงดูดเขาจากความมืดมิด
ที่เขาบอกว่าขอบเขตไม่กว้างเป็นเพราะมีเหตุผลให้กล่าวอ้างได้ ซอมบี้ตัวเล็กกำลังเกาะขอบเคาน์เตอร์และแอบมองเหตุการณ์ข้างนอก และเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีซอมบี้สิบกว่าตัวกำลังล้มซอมบี้ตัวหนึ่ง และกัดกินศพของมัน
จากกลิ่นคาวเลือด ปริมาณเชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายซอมบี้ตัวนี้ไม่เข้มข้น กระทั่งรู้สึกว่าความเข้มข้นต่ำกว่าซอมบี้ทั่วไปด้วยซ้ำ
ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นผู้อ่อนแอท่ามกลางฝูงซอมบี้ที่จะต้องถูกกำจัดทิ้งอยู่แล้ว
สิ่งที่แปลกคือ หากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้โดยปกติซอมบี้ทุกตัวที่อยู่ในชั้นนี้ต้องกรูกันเข้าไปหมดแล้ว
จากนั้นพวกมันก็จะต่อสู้กัน เพราะแย่งอาหารที่มีไม่มาก และซอมบี้ผู้อ่อนแอตัวใหม่ก็อาจกลายเป็นตัวที่ต้องพลีชีพลำดับต่อไป
ถึงแม้จะตายมาก แต่ซอมบี้ที่ได้รับโอกาสในการวิวัฒนาการก็มีเพิ่มขึ้นเหมือนกัน
แต่ไหนแต่ไร ฝูงซอมบี้ก็วิวัฒนาการโดยการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างนี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว
ซอมบี้ระดับสูงเหล่านั้น ก็เกิดขึ้นจากกระบวนการเหล่านี้ทั้งนั้น
แต่ที่นี่ พอซอมบี้ที่อยู่ห่างมองเห็นศพถูกล้อมไว้หมดแล้ว กลับไม่เข้ามาร่วมวงอีก…
ตอนที่พวกหลิงม่อเจอซอมบี้ครั้งแรก ก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน…
หากมีพวกเขาอยู่ พวกมันก็สามารถละทิ้งศพของเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับธรรมดาไปได้ง่ายๆ
และตอนที่เจ้าหัวโตถูกฆ่าตาย ซอมบี้ทั้งหมดก็ไม่ได้กรูกันเข้าไปเหมือนผึ้งตอมรัง
รูปแบบพฤติกรรมของซอมบี้เหล่านี้…ผิดปกติจริงๆ
หากเป็นอย่างนี้ วิวัฒนาการของพวกมันจะไม่ช้าลงมากหรือ?
ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลกับลักษณะเด่นที่เชื้อไวรัสสร้างให้พวกมันเลย…
พอเห็นว่าซอมบี้ที่อยู่ห่างออกไปไม่มีทีท่าว่าจะล้อมเข้ามาแน่นอนแล้ว ซอมบี้ตัวเล็กจึงเดินออกมาจากที่ซ่อนตัวช้าๆ
ชั้นใต้ดินก็หาจนทั่วแล้ว ความรู้สึกไม่สบายใจนั่นก็เหมือนจะอยู่แถวๆ นี้ตลอด แต่พอจะตามหาก็หาไม่เจอ…
เหตุการณ์อย่างนี้ เพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรก…
“แอ๊ดด…”
ประตูเหล็กที่ปิดสนิทถูกดึงออกช้าๆ ดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่งโน้มเข้าไปใกล้ช่องประตูที่เปิดแง้มออก แล้วจ้องเขม็งเข้าไปด้านใน
—————————————————————————–
บทที่ 694 สมาชิกทีมที่หายไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่หลิง พี่ดูนี่”
หลายนาทีต่อมา พวกเย่เลี่ยนก็เดินมาหา เทียบกับสวี่ซูหานที่ไม่กล้าไปไหนตัวคนเดียว สามสาวซอมบี้แทบไม่เกรงกลัวอะไรเลย
ดูจากที่พวกเธอเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าใหม่ทั้งตัว เดาว่าคงจะควานหากันทั่วทั้งชั้นมาแล้ว
หลิงม่อมองแวบแรกก็อึ้งไปเลย จากการแต่งตัวของพวกเธอ ดูไม่ออกเลยซักนิดว่าพวกเธอเป็นซอมบี้
มุมมองด้านความงามของซอมบี้ใกล้เคียงกับมนุษย์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ทว่าพอเห็นซย่าน่ายืนปิดปากยิ้มอย่างได้ใจอยู่ข้างๆ หลิงม่อก็ถึงบางอ้อ ที่แท้ก็ฝีมือยัยเด็กคนนี้เอง…
ในมือเธอถือเสื้อผ้าไว้อีกหนึ่งกระเป๋า หลิงม่อเหลือบมองผ่านๆ เดาว่าน่าจะเก็บไว้ให้อวี๋ซือหราน
ตอนนี้อวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋ายกำลังพักผ่อนอยู่ไกลๆ พวกเธอซ่อนตัวได้ดีมาก จึงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ในเวลาอย่างนี้สาวๆ ซอมบี้ยังนึกถึงเธอได้ ทำให้หลิงม่ออดนึกไปไม่ได้ว่าพวกเธอฟื้นฟูสัญชาตญาณความเป็นคนกลับมาได้แล้ว
“ชุดนี้ใส่แล้วเหมือนสวมบทบาทเป็นตัวละครเลยล่ะ มีปีกสีใสสองข้าง แล้วก็ไม้กายสิทธิ์อีกหนึ่งด้าม…” ซย่าน่ากระซิบเบาๆ ข้างหูหลิงม่อ
หลิงม่อจินตนาการตามที่เธอบรรยายให้ฟัง แล้วถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
นึกแล้วเชียวว่าที่เธอนึกถึงอวี๋ซือหรานขึ้นมาได้ เป็นเพราะอยากแกล้งแน่ๆ…
“พวกเธอแต่งตัวสวยกันขนาดนี้ โชคดีนะที่ระหว่างทางมีแต่ซอมบี้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะถูกรุมจ้องแน่ๆ” หลิงม่อพูดพร้อมหัวเราะ
ตัวซย่าน่านั้นยังคงใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนเหมือนเดิม เธอดูสดใสร่าเริงและเยาว์วัย ผมยาวสยายอยู่ด้านหลัง หากกอดหนังสือไว้เล่มหนึ่งก็กลายเป็นนางฟ้าประจำโรงเรียนได้เลย
ทว่าความเจ้าเล่ห์ในแววตาเธอ กลับทำให้บุคลิกและรูปลักษณ์ของเธอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เพราะอย่างนี้ ไม่เพียงไม่ได้ทำให้ดูขัดแย้ง แต่กลับยิ่งดึงดูดสายตามากกว่าเดิม
เย่เลี่ยนหน้าตาสระสวย บุคลิกของเธอคือความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในความบริสุทธิ์ บวกกับหุ่นที่ดีมากของเธอ ไม่ว่าใส่อะไรก็ดูดีมากทั้งนั้น คราวนี้ซย่าน่าเลือกเสื้อผ้าสีชมพูอ่อนให้เธอ ขับให้เธอดูเป็นสาวหวานขึ้นมาก ทำเอาหลิงม่อแทบจะละสายตาออกไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว
เทียบกันแล้ว ในบรรดาสามคนนี้ คนที่แต่งตัวร้อนแรงที่สุดก็คือหลี่ย่าหลิน
เธอมีหุ่นนางแบบหน้าสวยขายาวอยู่แล้ว ไม่คิดว่าครั้งนี้เธอจะใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น
ด้านบนสวมเสื้อยืดสีดำดูเรียบง่ายตัวหนึ่ง แต่เมื่อเสื้อยืดธรรมดาอยู่บนตัวเธอ มันกลับสามารถขับทรวดทรงองค์เอวอันร้อนแรงของเธอให้โดดเด่นขึ้น
บวกกับเอวพลิ้วๆ และท่าเดินมีเสน่ห์ของเธอ ทั้งที่เป็นแค่เสื้อผ้าลำลองธรรมดาชุดหนึ่ง แต่เมื่อไปอยู่บนตัวเธอกลับสามารถทำให้คนจ้องจนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้าได้
หลิงม่อไม่ได้พูดโอเวอร์จนเกินจริง หากย้อนไปสมัยก่อนเกิดภัยพิบัติ สาวงามสามคนที่มีลักษณะเด่นแตกต่างกันไปเดินอยู่ด้วยกันอย่างนี้ จะต้องเป็นที่สนใจอย่างล้นหลามแน่นอน
ส่วนหลิงม่อที่เดินอยู่ข้างๆ ก็คงไม่รู้จะต้องรับมือกับสายตาร้อนผ่าวที่รุมทึ้งเข้ามาอย่างไรดี
สวี่ซูหานยืนอยู่ข้างๆ ดูเธอสลดใจอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อก่อนเธอเองก็มั่นใจในรูปร่างและหน้าตาตัวเองไม่น้อย หลังเกิดภัยพิบัติก็มีความสามารถพิเศษถูกปลุกตื่นอีก ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในกลุ่มนิพพานก็ถือเป็นสาวในฝันของผู้รอดชีวิตหลายคนเช่นกัน
เพราะมีความสามารถ และระดับสมาชิกก็สูง ดังนั้นถึงแม้จะมีคนฝันไกลเกินเอื้อมอยู่ไม่น้อย แต่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าเข้ามาพูดคุยกับเธอ
ท่าทีของสวี่ซูหานเองก็ดูทะนงตัว เพราะถึงอย่างไรในยุคสมัยนี้ ความสามารถถือเป็นสิทธิ์ขาดในทุกสิ่ง ซึ่งนั่นก็เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมา และเข้าใจง่ายกว่าก่อนเกิดภัยพิบัติมาก
ผู้รอดชีวิตส่วนมากเองก็รู้ดีแก่ใจว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือมีชีวิตรอด ความเพ้อฝันเหล่านั้นละทิ้งได้ก็ละทิ้งเสีย
โดยเฉพาะเมื่อต้องมาอยู่ในสาขาย่อยเมืองตงหมิงซึ่งแทบไม่ต่างจากการโดนเนรเทศเลย ยิ่งต้องเพ้อฝันให้น้อยลง…
แต่ช่วงนี้ที่ได้อยู่กับพวกเย่เลี่ยน เธอถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองก็ไม่เท่าไหร่
โดยเฉพาะความรู้สึกของหลิงม่อตอนที่มองพวกเธอ เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเวลาที่เขามองเธอ…
สวี่ซูหานรีบดึงสติกลับมา เธอพบว่าแก้มของตัวเองกำลังร้อนผ่าว
ทำไมต้องสนใจด้วยว่าหลิงม่อจะมองยังไง เธอไม่ได้เป็นอะไรกับเขาซักหน่อย…
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีซอมบี้สาวอยู่ข้างกายตั้ง 3 ตัว…ซักวันเขาต้องเหนื่อยตายแน่นอน!
สวี่ซูหานสะบัดเสียงร้อง “ชิ” เบาๆ แล้วกระแอมเรียกสติหลิงม่อให้ตื่นจากภวังค์สวนดอกไม้ “ไปได้แล้วมั้ง? ที่นี่มีแต่ร้านเสื้อผ้า ถ้าเป็นพวกร้านข้าวของเครื่องใช้ น่าจะต้องไปโซน B”
“อืม” หลิงม่อกลับไม่ได้รู้สึกเคอะเขินอะไร ก็เขามองแฟนตัวเองผิดตรงไหน…
ทว่าสายตาเหยียดๆ ของสวี่ซูหาน ก็ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกไปบ้าง
เขาเลื่อนสายตาออกไป แล้วมองไปรอบข้างหนึ่งรอบ “ทำไมมู่เฉินยังไม่กลับมา?”
“เอ๋ จริงด้วย เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ทำไมใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้านานอย่างนี้ล่ะ?” สวี่ซูหานเองก็เหมือนจะฉุกคิดได้ด้วย
ช่วยไม่ได้ ถึงมู่เฉินจะเป็นคนพูดมาก แต่…เมื่อกี้เธอไม่รู้ตัวจริงๆ ว่ามู่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย…
พวกเย่เลี่ยนยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเธอไม่มีทางสนใจอยู่แล้ว กลับเป็นหลิงม่อเสียอีกที่ถึงแม้จะมองพวกเย่เลี่ยนจนใจลอย แต่กลับสังเกตได้ถี่ถ้วน
พอเห็นหลิงม่อมองมาทางตัวเอง ซย่าน่าก็ส่ายหัวบอกว่า “พวกเราไม่เจอเขาเลยนะ เสื้อผ้าผู้ชายกับผู้หญิงไม่ได้อยู่โซนเดียวกันซักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเธอรอฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะไปตามหาเขา”
“พวกเราไปด้วยกันไหม?” สวี่ซูหานโพล่งถาม
หลิงม่อโบกมือไปมา “ช่างเถอะ มันมืด เธอเดินช้าเกินไป อีกอย่างคนเยอะเสียงดัง”
เขาลองนึกย้อนดูว่ามู่เฉินเดินออกไปทางไหน จากนั้นก็เดินไปตามเส้นทางนั้น
สวี่ซูหานใบหน้าร้อนฉ่า กลัวความมืดคือจุดอ่อนที่แย่ที่สุดของเธอ ถึงแม้จะสามารถข่มใจไม่ให้ร้องออกมาได้ แต่อาการกลัวจนไม่กล้าก้าวเท้านั้นเลี่ยงยาก จะให้เธอเอาชนะในเวลาสั้นๆ ก็ทำไม่ได้
พวกเย่เลี่ยนเป็นคนที่สามารถช่วยหลิงม่อได้ดีที่สุด แต่สวี่ซูหานรู้ดีว่าเป็นเพราะอาการของตัวเองยังไม่มั่นคง เขาจึงให้พวกเธออยู่เฝ้าตัวเอง
ถึงแม้การเป็นตัวภาระจะทำให้สวี่ซูหานรู้สึกละอายใจ แต่สิ่งที่เธอกังวลมากกว่ากลับเป็นการปล่อยให้หลิงม่อออกไปตามหาคนเดียว…
“ถ้าไง…ให้เย่เลี่ยนอยู่กับฉันคนเดียวก็พอ…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นหลิงม่อยกมือโบกไปมาโดยไม่หันมามอง จากนั้นก็หายลับเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องเป็นห่วง พี่หลิงคิดว่าพวกเราอยู่ด้วยกันจะปลอดภัยกว่า หากแยกย้ายกันหมดจะไม่ดี เขาไปคนเดียวหากมีเรื่องอะไรขึ้นมา อย่างน้อยก็สามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยทันที” ซย่าน่าเดินไปหาสวี่ซูหาน แล้วบอกเสียงเบา
“อย่างนี้เองหรอ…” สวี่ซูหานใบหน้าร้อนฉ่าอีกครั้ง ที่แท้เป็นตัวเธอเองที่คิดไม่รอบคอบ
สวี่ซูหานหันไปมอง “รุ่นพี่ซอมบี้” สามตัวที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองมาก ทันใดนั้นเชื้อไวรัสในเลือดของเธอก็แสดงฤทธิ์เดชขึ้นมาอีกครั้ง
ความรู้สึกตัวเล็กกระจ้อยที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ ทำให้สวี่ซูหานรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเธอสามคน
“ใช่แล้ว เธอขี้ขลาดไม่ใช่หรอ? มา ฉันจะสอนอะไรเธออย่างหนึ่ง รับรองแก้ไขข้อเสียนี้ได้อย่างสมบูรณ์เลยล่ะ” หลังยืนเงียบกันไปหลายวินาที จู่ๆ ซย่าน่าก็พูดขึ้นมาอย่างมีลับลมคมใน
“วิธีอะไร?” สวี่ซูหานสงสัย
“หลังจากที่เธอกลายร่างสมบูรณ์แบบแล้ว ให้เธอไปที่ไหนก็ได้ที่หนึ่ง จัดการเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่นั้นให้สิ้นซาก ด้วยมือเปล่านะ จากนั้นเธอก็จะเริ่มมีนิสัยเคยชิน…มันจะดิ้นได้หรือไม่ก็ช่างมัน ฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนี่?” ซย่าน่าขยิบตาให้เธอ
สวี่ซูหานหน้าซีดเผือดทันที วิธีอะไรช่างโหดร้ายอย่างนี้…
“พอถึงตอนนั้นไม่ว่าอะไรที่เล็ดลอดเข้ามาในสายตาเธอ ล้วนกลายเป็นเหยื่อ เธอเคยรู้สึกกลัวไก่งวงที่ถูกเสิร์ฟขึ้นโต๊ะไหมล่ะ? มีแต่จะน้ำลายไหลมากกว่าล่ะสิ…” พูดถึงตรงนี้ ซย่าน่ายังแลบลิ้นออกมา แล้วเลียริมฝีปากเบาๆ เสริมด้วย
สวี่ซูหานได้ยินแล้วขนลุกขนพอง ตอนนี้สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอไม่ใช่ไก่งวง แต่เป็นภาพเหตุการณ์นองเลือดน่าสยดสยองต่างหาก…
“อุบ…” สวี่ซูหานยกมือปิดปาก ทำท่าจะอาเจียนออกมา
“ตกใจซะแล้ว…” หลี่ย่าหลินหัวเราะเบาๆ
สีหน้าของซย่าน่าพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา เธอขยับเข้าไปพูดเบาๆ ข้างหูสวี่ซูหาน “ถ้าเธออยากรักษาความคิดในตอนนี้ไว้ ก็ต้องอดทนแบกรับไว้อย่างนี้ แน่นอนว่ายังไม่อาจรับประกันได้ว่าพอถึงตอนนั้นเธอจะรักษาสัญชาตญาณความเป็นคนไว้ได้ไหม…ความเป็นไปได้น่าจะต่ำมาก”
สวี่ซูหานเงยหน้าซีดๆ ของตัวเองมองซย่าน่า แล้วหันไปมองหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนที่สีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยน
จู่ๆ เธอก็เหมือนจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมซอมบี้ถึงได้สูญเสียความเป็นคนไปจนหมด…
ระหว่างสัญชาตญาณของมนุษย์และซอมบี้ มีความขัดแย้งที่แตกต่างกันเกินไป…
ในระยะแรกที่ซอมบี้ติดเชื้อ เป็นเพราะความขัดแย้งที่รุนแรง และความคิดที่สับสนวุ่นวายนี้หรือเปล่า ที่ทำให้สูญเสียความสามารถในการไตร่ตรองไปอย่างนั้น?
เมื่อเริ่มวิวัฒนาการ ผลกระทบจากสัญชาตญาณเริ่มมีผลกับซอมบี้มากขึ้น ความเป็นมนุษย์ถูกกดข่มลงไปทีละนิดๆ แต่ในขณะเดียวกัน ซอมบี้ก็เริ่มฟื้นฟูสติรู้คิดกลับมาอย่างช้าๆ ด้วยเช่นกัน…
ทว่าหากเป็นอย่างนี้ ยิ่งวิวัฒนาการ ก็ยิ่งฟื้นความเป็นคนกลับมาได้ยากไม่ใช่หรือ?
แต่ในตอนที่เป็นซอมบี้ระดับต่ำ แม้แต่สติรู้คิดยังไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสัญชาตญาณมนุษย์เลย…
สวี่ซูหานคิดเพียงเท่านี้ แต่ถ้าหากเธอรู้ว่าเป้าหมายของหลิงม่อคือทำให้พวกเย่เลี่ยนมีสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ คงจะต้องรู้สึกว่ามันยากมากอย่างแน่นอน
เป้าหมายที่ยากเย็นอย่างนี้ ยากเกินไปที่จะทำให้มันกลายเป็นจริงได้…
แน่นอนว่าหลิงม่อไม่มีทางออกตามหาตัวคนเดียวในห้างฯ ที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ในเมื่อซอมบี้ตัวเล็กหาอะไรไม่เจอเลย เขาจึงสั่งให้มันขึ้นมา แล้วเริ่มตามหาจากอีกฝั่งของร้านเสื้อผ้าผู้ชาย
ประสาทรับกลิ่นของซอมบี้ตัวเล็ก บวกกับพลังจิตสำรวจของหลิงม่อ เมื่อรวมพลังกันตามหาจึงเร็วขึ้นมาก
ทว่าหลิงม่อยังนึกสงสัยอยู่เล็กน้อย ถึงแม้ในหลายๆ เรื่องมู่เฉินจะไม่ใช่คนที่พึ่งพาได้นัก แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมามาก ทำอะไรก็ระมัดระวังอยู่เสมอ
ซอมบี้ในชั้นนี้ถูกกำจัดหมดแล้ว เขาถึงได้ปล่อยใจกล้าเดินไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ทำไมถึงได้หายไปนานขนาดนี้ล่ะ?
ตามการคาดเดาของหลิงม่อตอนแรก มู่เฉินน่าจะเป็นคนแรกที่กลับมารวมตัวกับเขา…
เจ้าหมอนี่ปากว่างไม่ได้ เขาจะเดินเตร็ดเตร่คนเดียวได้นานแค่ไหนกันเชียว?
“น่าแปลก…”
หลิงม่อเดินหารอบๆ ช็อปเสื้อผ้าเหล่านั้นหนึ่งรอบแล้ว แต่กลับไม่พบร่องรอยของมู่เฉิน
ซอมบี้ตัวเล็กเพิ่งจะขึ้นมาถึง ซึ่งหมายความว่ามู่เฉินไม่ได้ลงไปข้างล่างแน่นอน
ซอมบี้ตัวเล็กเดินไปด้วยสูดดมกลิ่นไปด้วย แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอายของคนเลย กลิ่นคาวเลือดนั้นก็มีอยู่ แต่ดมดูแล้วก็ไม่ใช่กลิ่นเลือดสดใหม่
“ตะโกนเรียกก็ไม่ได้อีก…”
หลิงม่อรู้สึกอับจนหนทางเล็กน้อย
หากผู้มีความสามารถพิเศษจงใจซ่อนตัว พลังสำรวจทางจิตอาจพลาดได้ ทว่าด้วยระดับความแกร่งของพลังจิตของหลิงม่อ ความเป็นไปได้ที่จะซ่อนตัวสำเร็จน่าจะไม่สูงมาก
อีกอย่าง เขาจะซ่อนตัวไปทำไม?
“หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ไม่น่าเป็นไปได้นี่…”
หลิงม่อยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง สมาธิของเขาเริ่มแตกซ่าน
ไม่อยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าไปจากที่นี่แล้ว?
ที่นี่มีประตูหลัก แต่อยู่ในสภาพกึ่งปิด อาจเป็นประตูที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้ซอมบี้ตามเข้ามาในตอนที่ภัยพิบัติเพิ่งเกิด
แต่พอเห็นรอยเลือดจำนวนมากตอนที่เดินผ่านเมื่อกี้ก็รู้แล้วว่าทำไม่สำเร็จแน่ๆ
ข้างนอกนั่นมีแต่ซอมบี้ มู่เฉินไม่น่าจะวิ่งออกไปรนหาที่ตาย
ที่เหลือ ก็มีแค่ทางเดินซึ่งทอดลงด้านล่าง และทางเดินไปยังโซน B
หรือไม่ก็ ทางเดินที่พวกเขาใช้ตอนที่เพิ่งเข้ามาตอนแรก…
—————————————————————————–
บทที่ 695 รอยเลือดประหลาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หุ่นซอมบี้ถูกควบคุมให้เดินไปทางทางเดินสู่โซน B ส่วนตัวหลิงม่อนั้นหันหลังเดินย้อนกลับไปทางเดิมพร้อมความสงสัย
หรือเขาลืมอะไรทิ้งไว้?
ยังไม่พูดถึงความเป็นไปได้ที่ต่ำมาก…เพราะถึงแม้จะจริง เขาก็ไม่น่าจะวิ่งกลับไปเอาของโดยไม่บอกไม่กล่าวซักคำ…
สถานการณ์ไม่แน่ชัด หลิงม่อจึงไม่เปิดไฟฉาย
หลังจากคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมอันมืดมิดอย่างนี้แล้ว อาศัยแค่ความสามารถในการมองเห็นของเขา ถึงแม้จะไม่ชัดเจนเท่าซอมบี้ แต่ก็พอมองเห็นได้รางๆ แล้ว
ขณะเดียวกับที่หลิงม่อกำลังตามหาอยู่นั้น เงาร่างของใครคนหนึ่งก็โฉบเข้าไปในประตูห้องบันไดอย่างเงียบเชียบ
บานประตูปิดลงเบาๆ จากนั้นก็สั่นไหวไปมา
เอี๊ยดอ๊าด…เอี๊ยดอ๊าด…
หลิงม่อตวัดสายตามองไปทางประตูห้องบันไดทันที
เสียงเบามาก หากเป็นตอนที่มีคนเยอะต้องไม่ได้ยินแน่นอน
แต่ตอนนี้หลิงม่อกำลังรวบรวมสมาธิทั้งหมดเข้าด้วยกัน ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาจึงรับรู้ไวขึ้นไม่น้อย
เขาได้ยินเพียงเสียงเคลื่อนไหวเรือนราง เหมือนเขายืนอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่โล่งกว้างและมืดมิด แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเครื่องใช้ในบ้านหดตัวหรือขยายตัวเพราะสภาพอากาศ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไร ในสถานการณ์อย่างนี้อย่างไรก็ต้องไปตรวจสอบดูซักครั้ง
หลิงม่อเร่งความเร็ว ไม่นานเขาก็วิ่งไปถึงประตูห้องบันได
บานประตูเปิดแง้มไว้ แต่หยุดสั่นไหวแล้ว
หลิงม่อขมวดคิ้วมองช่องประตูมืดๆ ที่เปิดแง้มไว้ ถึงแม้จะตรวจจับอะไรไม่เจอหลังประตู แต่เขาก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังถูกดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่
“เราคงไม่ได้ติดโรคกลัวความมืดมาจากสวี่ซูหานหรอกนะ?” หลิงม่อดึงสติกลับมา แล้วพูดหยอกตัวเอง
แต่ในขณะที่เขากำลังยกมือขึ้นหมายจะจับมือตับประตู การเคลื่อนไหวกลับชะงักทันที
“เลือด?”
ถึงแม้แสงสว่างจะมีน้อยนิด แต่หากสังเกตดูให้ดี ก็จะพบว่าบนมือจับประตู มีคราบเลือดอยู่…
แถมยังเป็น…คราบเลือดใหม่
เพิ่งมีคนเดินผ่านทางนี้ และมือของคนนั้นก็เปื้อนเลือด…
หลิงม่อก้มมองบนพื้น ตามคาด บนพื้นมีหยดเลือดอยู่ 2 – 3 หยด
เขาค่อยๆ ผลักประตูออก แล้วมองดูพื้นข้างใน
รอยเลือดหยดลงบนพื้นบันไดที่ทอดลงไปข้างล่าง…
“มู่เฉินบาดเจ็บหรอ? หรือว่าเขาไปทำอะไรบาดเจ็บเข้า?” หลิงม่อคิดอย่างสงสัย
ถึงแม้ตอนที่อยู่ในห้างฯ เขาจะหยุดใช้หนวดสัมผัสเพื่อทำการตรวจจับ และหันไปเพ่งสมาธิควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ออกค้นหาชั้นใต้ดินแล้ว
แต่พวกเย่เลี่ยนก็อยู่ในห้างฯ เหมือนกัน ไม่ว่าฝ่ายที่เลือดไหลจะเป็นใคร พวกเธอก็น่าจะสัมผัสรู้ได้บ้างไม่มากก็น้อย…
ทว่า ตลอดทางที่เดินมาเขาไม่เห็นรอยเลือดเลยซักนิด แต่มันกลับมาปรากฏอยู่ตรงนี้…
ห้องบันไดตั้งอยู่ในมุมของตัวห้างฯ พวกเย่เลี่ยนสัมผัสไม่ได้ก็ไม่แปลก ไม่ว่าประสาทรับกลิ่นของซอมบี้จะดีอีกซักแค่ไหน แต่ก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นจะยังมีที่เหลือให้เหล่าผู้รอดชีวิตหายใจได้อีกหรือ…
“หรือเกิดอะไรขึ้นในห้องบันได? แล้วมู่เฉินได้ยินเข้า เลยตามมาแล้วเจอเรื่องโชคร้ายเข้า?” ความเป็นไปได้ที่หลิงม่อพอจะคิดออกในวินาทีนี้ ก็มีแค่นี้จริงๆ
เพราะถึงอย่างไรก็มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่เขาจะเดินชนอะไรเข้า และผู้มีความสามารถพิเศษก็ไม่น่าจะตกต่ำขนาดนั้น…
โดยเฉพาะผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ไม่ว่าพวกเขาจะมีศักยภาพร่างกายด้านไหน แต่ผิวหนังพวกเขาล้วนแข็งแรงกว่าคนทั่วไปมาก อีกทั้งเมื่อต่อสู้ระยะประชิดมาเป็นเวลานาน ถึงแม้เมื่อก่อนจะไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายไม่อ่อนแอแน่นอน
เหตุการณ์น่าอนาถอย่างการเดินชนหัวโขกอย่างนั้น เดาว่าคงจะเกิดแต่กับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตมากกว่า…
แต่ก่อนที่จะได้เห็นความจริง ก็ยังตัดสินอะไรไม่ได้
ก่อนที่จะไปเมืองชุ่ยหู รายงานฉบับนั้นทำให้หลิงม่อปักใจเชื่อว่า…เมืองชุ่ยหูอาจไม่มีผู้รอดชีวิตอยู่
ความจริงแล้ว “เมืองคนตาย” มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะพวกอำเภอเล็กๆ ที่ระหว่างทางมักจะพบเห็นผู้รอดชีวิตได้น้อยมาก
หลิงม่อคาดเดาว่าสิ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์อย่างนี้มีอยู่สองสาเหตุ หนึ่งคือผู้รอดชีวิตที่ใช้ชีวิตโดยลำพังมีโอกาสรอดชีวิตยากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกข้อคือ ค่ายพักแรมผู้รอดชีวิตอย่างนิพพานสำนักงานใหญ่ที่กำลังเติบโตและขยายตัวช้าๆ ได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญของการรวมตัวเหล่าผู้รอดชีวิตไปแล้ว
เสี้ยววินาทีหนึ่ง ความคิดประหลาดหนึ่งแวบผ่านสมองของหลิงม่อ
อนาคตข้างหน้า จะเป็นไปได้ไหมว่าในเมืองอันกว้างใหญ่ไพศาล จะเหลือเขาอยู่แค่คนเดียว…
ถ้าหากถึงเวลานั้นจริงๆ ตัวเขาจะรู้สึกอย่างไร?
“กลับมาๆ…แปลกจริง ทำไมวันนี้สมาธิชอบหลุดอยู่เรื่อยเลย…”
หลิงม่ออยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆ ซักครั้ง ทั้งที่จ้องคราบเลือดอยู่ก็ยังคิดไปถึงเรื่องนั้นได้
แถมพอเริ่มคิด ภาพในความคิดเหล่านั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่อง แถมยังให้ความรู้สึกสมจริงอีกด้วย
เมื่อกี้ตอนที่นึกไปถึงเรื่องที่ทั้งเมืองเหลือแค่ตัวเองเป็นมนุษย์คนเดียว หลิงม่อถึงขั้นเกิดอารมณ์สับสนขึ้นมาจริงๆ…
“เป็นเพราะช่วงนี้กดดันเกินไปหรือเปล่านะ…” หลิงม่อสะบัดหัวไปมา แล้วเพ่งสายตาไปที่คราบเลือดบนพื้น
ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้…มีมนุษย์ผู้รอดชีวิตอยู่ที่นี่ด้วย
“เป็นไปได้เหมือนกัน ที่นี่อยู่ห่างจากนิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ไกลมาก…”
หลิงม่อระวังตัวขึ้นมาทันที เขาหันข้างแนบตัวชิดกำแพงข้างประตู แล้วมองเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง หลังจากแผ่หนวดสัมผัสทางจิตเข้าไป เขาจึงค่อยๆ ยื่นมือไปทางบานประตู
ในเสี้ยววินาทีที่นิ้วมือเพิ่งจะสัมผัสถูกผิวเหล็กเย็นๆ ความรู้สึกราวถูกไฟช็อตแล่นผ่านหลังมือไปอย่างรวดเร็ว
หลิงม่อหนังศีรษะชา รีบดึงหนวดสัมผัสทางจิตกลับเข้ามาโดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันก็ชักมือกลับมาพร้อมกันด้วย
หนวดสัมผัสไม่เจออะไรเลย หลังมือของหลิงม่อก็ไม่มีร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้เช่นกัน
แต่ความรู้สึกเมื่อกี้นี้มันสมจริงเกินไป เหมือนมีคนเอาปลายเล็บครืดผ่านหลังมือเขาเบาๆ
หลิงม่อยืนอยู่ที่เดิม พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปรกติ
หนวดสัมผัสได้ทำการตรวจค้นในห้องบันใดหนึ่งรอบแล้ว แต่กลับไม่ค้นพบอะไร…
แต่หลิงม่อมั่นใจว่าเขาไม่ได้รู้สึกไปเอง
สวี่ซูหานอาจเกิดอาการหลอนเพราะความหวาดกลัว แต่เขาเป็นถึงผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต ซึ่งหมายความว่าเขามีชีวิตรอดอยู่ได้ด้วยพลังจิตตานุภาพ จะเกิดเรื่องอย่างนี้กับเขาได้ยังไง…
“มีปัญหา…”
หลิงม่อแนบตัวชิดกำแพง แต่หางตากลับเหล่มองไปทางช่องประตูมืดๆ นั้น
สถานการณ์อย่างนี้ โดยปกติควรให้พวกเย่เลี่ยนมาที่นี่…
แต่อาการของสวี่ซูหานยังไม่มั่นคง ถึงเธอจะสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ภายใต้แรงกระตุ้นจากความกลัว หากอะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน เธออาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้
พอถึงเวลานั้น จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายเสียเปล่าๆ…
อีกอย่างก็เหมือนกับที่ซย่าน่าบอก หากให้พวกเธอแยกย้ายกัน แล้วเหลือไว้เพียงหนึ่งคนหรือสองคน หลิงม่อก็ไม่วางใจเรื่องความปลอดภัยของพวกเธออีก
“เรียกอวี๋ซือหรานมาแล้วกัน…”
หลังจากถ่ายทอดคำสั่งผ่านกระแสจิต หลิงม่อก็ยืนรออยู่ข้างประตูอีกหลายสิบวินาที
ไม่นาน ประกายสีแดงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด และกำลังพุ่งเข้ามาใกล้หลิงม่อด้วยความเร็วสูง
ซอมบี้ระดับธรรมดาตัวเล็กๆ ในสภาพน่าสยดสยองมายืนตรงหน้าหลิงม่อ และเมื่อร่างจริงได้สบตากับหุ่นซอมบี้ ตัวหลิงม่อเองยังรู้สึกขนลุกเล็กน้อย
ใบหน้าบิดเบี้ยวนั่น…ช่างทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้อย่างไม่มีวันเหนื่อยจริงๆ…
ไม่น่าล่ะแรงขับเคลื่อนของซอมบี้ถึงได้มีแต่การวิวัฒนาการ หน้าตาอย่างนี้…ก็ต้องพยายามวิวัฒนาการกันหน่อยล่ะ…
หุ่นซอมบี้ตัวน้อยยื่นมือไปทางประตูเหล็กอีกครั้ง รออยู่ 2 วินาทีพอเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันจึงรีบแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังผ่านไป 1 – 2 นาที หลิงม่อจึงค่อยเดินตามเข้าไป…
ซ่า ซ่า…
หลังเสียงแหวกหญ้าดังแว่วเบาๆ ทันใดนั้น ท่ามกลางต้นหญ้าหนาทึบก็มีจมูกสีดำยื่นออกมา
หลังจากสูดดมแรงๆ สองครั้ง ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งก็ปรากกฎขึ้นหลังพุ่มหญ้าที่แหวกออก
ใบหญ้ารูปเลื่อยครืดผ่านขนสีขาวปุกปุย แต่กลับไม่สามารถดึงขนหลุดออกมาได้แม้แต่เส้นเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถสร้างบาดแผลอะไรได้ไหม…
“ระวังหน่อย อย่าปล่อยให้เพื่อนร่วมสายพันธุ์พวกนั้นเห็นนายเข้า”
มือเล็กๆ ข้างหนึ่งแหวกใบหญ้าออก อวี๋ซือหรานนั่งอยู่บนหลังหมีแพนด้ากลายพันธุ์ เธอกำลังจ้องไปยังประตูเหล็กที่อยู่ไม่ไกล
นี่คือแผนของหลิงม่อ ถ้าหากในทางเดินสำหรับพนักงานมีอะไรอยู่จริงๆ พวกเขาก็จะล้อมหน้าล้อมหลังไว้ได้พอดี
ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสให้พวกเธอสำรวจข้างนอกไปด้วย ดูว่ามู่เฉินออกมาข้างนอกหรือเปล่า
“ไม่มีกลิ่นเลือดใหม่ๆ…แต่ว่ามีกลิ่นอาหารอยู่มากมายเลย…”
อวี๋ซือหรานสูดหายใจลึกๆ พร้อมกับทำหน้าเคลิบเคลิ้ม
หมีแพนด้ากลายพันธุ์เสี่ยวป๋ายเองก็สะบัดหัวไปมา พร้อมกับหลับตาทำหน้าเหมือนกำลังดื่มด่ำกับหลิ่นหอมหวน
ป๊าบ!
หลังจากถูกตบหัวดังป๊าบ เสี่ยวป๋ายก็กลับสู่โลกแห่งความจริง
“บอกแล้วไงว่าให้ระวัง ว่ายังไงแล้วนะ…อ้อ อำพรางตัวน่ะเข้าใจไหม! อำพรางตัว…”
หลังจากบ่นสองสามคำ อวี๋ซือหรานก็มองประตูบานนั้น แล้วก้มหน้ามองเสี่ยวป๋ายอีกครั้ง
“เฮ้ย ไม่ใช่ละ! แกเข้าไปในประตูนั้นไม่ได้นี่!”
จากขนาดร่างกายของเสี่ยวป๋าย หากคิดจะเบียดตัวผ่านประตูบานนั้นไปได้ คงต้องผอมลงอีกซัก 2 – 3 รอบก่อน
ตอนนี้…อย่างมากก็คงทำได้แค่ยัดหัวเข้าไป…
ความจริงใช้ไม้แข็งก็ได้ แค่ประตูบานเดียว พุ่งชนเบาๆ ก็ปลิวแล้ว
แต่คำสั่งของหลิงม่อ คือต้องอำพรางตัวเข้าไปอย่างเงียบๆ…
อวี๋ซือหรานกระโดดลงมาอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็ยกมือตบเสี่ยวป๋ายเบาๆ “แกรออยู่ตรงนี้ ฉันจะเข้าไปเอง”
เพิ่งจะพูดจบ เธอก็กลอกตาขาว แล้วพูดเสริมอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉัน…ฉันกับเฮยซือจะเข้าไป…ชิ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้แกก็ยังจะใส่ใจอีก มีปัญญาก็ไปคุยกับเจ้ามนุษย์ไส้กรอกโน่นสิ เขาต่างหากล่ะที่ไม่ได้พูดถึงชื่อแก…”
กระทั่งเข้าไปในประตูแล้ว อวี๋ซือหรานก็ยังพูด “พึมพำกับตัวเอง” เสียงเบาๆ…
มองเข้าไปแวบแรก เธอกลับมองไม่เห็นเงาคน และไม่เห็นร่องรอยของหลิงม่อด้วย
อวี๋ซือหรานย่นจมูกขึ้นลง ไม่นานเส้นไหมสีเงิน 2 – 3 เส้นก็แผ่ออกมา พลางไหวเบาๆ อยู่รอบตัว
เธอมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอบ แล้วปิดประตูเบา จากนั้นก็เดินลึกเข้าไปในทางเดิน
ขณะที่เดินผ่านกระจกแขวนบนผนัง อวี๋ซือหรานหยุดเดิน แล้วทำหน้าทะเล้นใส่กระจกขุ่นๆ
“แน่จริงแกกัดฉันสิๆ…ใครใช้ให้แกมาว่าป้านเยว่ของฉันดีนัก ชอบพูดว่าเจ้ามนุษย์นั่นเป็นเจ้านายที่ดีที่สุด…อยู่กับเขาก็แค่ได้กินของดีหน่อยก็เท่านั้นเอง เหอะ ในหัวมีแต่เรื่องกิน ดูซิตอนนี้แกมีสภาพยังไงแล้ว…ฉันหรอ? ฉันไม่ได้ถูกจับตัวเพราะเห็นแก่กินซักหน่อยนะ!”
อวี๋ซือหรานยกกำปั้นใส่กระจก “หยุดพูดมากได้แล้วแกน่ะ เดี๋ยวถ้าทำเสียเรื่อง ฉันจะบอกเจ้ามนุษย์ไส้กรอกว่าเป็นความผิดของแกทั้งหมด…เป็นแค่สัตว์เลี้ยงแท้ๆ…โอ๊ย!”
จู่ๆ ซอมบี้โลลิก็ยกมือบิดจมูกตัวเองอย่างแรง เธอหมายจะใช้มืออีกข้างจับข้อมือตัวเอง แต่ปรากฏว่ามือข้างนั้นกลับเคลื่อนไปอีกทางแล้วหยิกหูตัวเองแทน
“หยุดเดี๋ยวนี้ๆ…”
หลังจากตบมือดังๆ หนึ่งครั้ง อวี๋ซือหรานก็ย่นจมูกใส่กระจกอีกครั้ง
ตอนที่กำลังจะเดินจากไป จู่ๆ เธอก็หยุดอีกครั้ง
“เอ๋?”
เสี้ยววินาทีที่เธอหมุนกายจะเดินจากไป ในกระจกเหมือนจะมีเงาโผล่ขึ้นมาหนึ่งเงา…
—————————————————————————–
บทที่ 696 ทางเส้นเดิมที่หายไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
อวี๋ซือหรานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ขณะที่เส้นไหมสีเงินทั้งสองเส้นเริ่มเคลื่อนไหว โดยที่เส้นหนึ่งยื่นขึ้นไปบนเพดาน และอีกเส้นเลื้อยไปตามพื้นด้านหลังเธอ
ซอมบี้โลลิสติปัญญาไม่สูง แต่ยังมีเฮยซืออยู่…
เส้นไหมสีเงินตรวจสอบบริเวณรอบๆ หนึ่งครั้งแต่ก็ไม่ค้นพบอะไร จึงได้หดตัวกลับมาอย่างช้าๆ
แต่อวี๋ซือหรานกลับกระพริบตาปริบๆ เหมือนยังไม่อยากเชื่อ เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วหันหน้าเข้าหากระจก
บนกระจกถูกเคลือบด้วยฝุ่นหนึ่งชั้น จึงทำให้เห็นแค่มัวๆ บวกกับแสงสว่างที่มีไม่มาก ถ้าหากอวี๋ซือหรานไม่ใช่ซอมบี้ เกรงว่าแม้แต่เงามัวๆ ที่สะท้อนในกระจกก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัด
“เอ๋ ทำไมถึงได้…เฮยซือ เงียบไปเลย ฉันไม่ได้ตาฝาดนะ!”
หลังจากจ้องกระจกครู่หนึ่ง อวี๋ซือหรานก็เบะปากแก้ตัว พร้อมกับยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดกระจกอย่างไม่ยอมแพ้
เมื่อคราบฝุ่นถูกเช็ดออกทีละนิดๆ เงาสะท้อนอวี๋ซือหรานที่อยู่ในกระจกก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
บนดวงหน้าขาวเกลี้ยงเกลา สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคงหนีไม่พ้นดวงตาที่แดงจนเหมือนกำลังสะท้อนแสง ส่วนของตาขาวไม่มีเส้นเลือดเลยแม้แต่เส้นเดียว เหมือนเครื่องลายครามสีขาวเนื้อดี ความแตกต่างที่ชัดเจนอย่างนี้ ดูแปลกประหลาดเมื่อสะท้อนอยู่ในกระจก แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนความงามที่แฝงไว้ด้วยความกระหายเลือดด้วยเช่นเดียวกัน
เครื่องหน้าที่อ่อนวัยแต่ประณีตงดงาม บุคลิกไร้เดียงสาแต่แอบแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจและเย็นชา ด้านหลังมีเส้นไหมสีเงินสิบกว่าเส้นลอยไหวไปมาอยู่กลางอากาศเป็นฉากหลัง…
ทว่าสำหรับผู้รอดชีวิตส่วนมาก ไม่สำคัญว่าซอมบี้จะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญหนึ่งเดียวที่พวกเขาจะต้องสังเกตก็คือดวงตาของพวกมันเป็นอย่างไรต่างหาก เพราะว่านั่นเกี่ยวโยงถึงเปอร์เซ็นต์การมีชีวิตรอด หรืออัตราความเร็วที่พวกเขาจะต้องตายโดยตรง
ตัวซอมบี้เองก็ไม่ได้สนใจรูปลักษณ์ของตัวเองแต่อย่างใด สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนในฝูงซอมบี้คือระบบการแบ่งลำดับขั้นที่โหดร้าย หากไม่มีพลังความสามารถ แม้จะเป็นดาราหรือซุปเปอร์โมเดลที่กลายร่างเป็นซอมบี้ สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นซอมบี้ที่หน้าตาบิดเบี้ยวผิดรูปและล่าเหยื่อได้แค่ระดับล่างเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นพวกมันยังต้องแบกรับความเสี่ยงที่อาจกลายเป็นเหยื่อได้ทุกเมื่ออีกด้วย
และถึงแม้ว่าในกลุ่มซอมบี้ระดับสูงก็ยังต้องฆ่าฟันกันเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่ามาก
อย่างน้อยซอมบี้ระดับสูงก็ไม่ต้องเดินเอื่อยเฉื่อยไปมาช้าๆ เหมือนหุ่นไม้เพื่อประหยัดพลังงานเหมือนซอมบี้ธรรมดาพวกนั้น …
ความจริงแล้ว ยิ่งซอมบี้ไต่ระดับขึ้นสูงเท่าไหร่ จำนวนครั้งที่ต้องออกล่าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
และซอมบี้สัตว์ป่าก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่เหมือนกับพวกเย่เลี่ยนที่อยู่กับหลิงม่อมาโดยตลอด
สาระสำคัญในการมีชีวิตอยู่ของพวกมันมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือการเข่นฆ่า
และเป้าหมายหนึ่งเดียวที่เป็นตัวขับเคลื่อนก็มีเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน นั่นคือการวิวัฒนาการ วิวัฒนาการอย่างไม่มีวันหยุด
เมื่อก่อนอวี๋ซือหรานเองก็ใช้ชีวิตคล้ายๆ กัน ถึงจะอยู่กับซอมบี้ความคิดแผลงๆ อย่างป้านเยว่ ทำให้สาระสำคัญในการใช้ชีวิตต่างออกไปบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ยังอยู่บนเส้นทางเดียวกัน
แต่หลังจากอยู่กับหลิงม่อ เธอก็ได้เดินบนทางอีกเส้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แน่นอน ตอนนี้อวี๋ซือหรานยังตระหนักไม่ได้ถึงจุดนี้ เธอกระทั้งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านับตั้งแต่ที่เธอถูกจับตัวมา สัตว์เลี้ยง 2 ตัวที่หลิงม่อได้มา ถูกมอบหมายให้เธอเป็นคนดูแล…
“ชิ…”
อวี๋ซือหรานมองซ้ายมองขวาในกระจก พอเห็นว่าไม่มีเงาอะไรจริงๆ ก็แค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
เส้นไหมสีเงินสิบกว่าเส้นนั้นพากันสั่นไหวเหมือนระลอกคลื่น ราวกับกำลังหัวเราะเยาะเธอเงียบๆ ดูแล้วน่าขนลุก
โชคดีที่แถวๆ นี้ไม่มีผู้รอดชีวิต ไม่อย่างนั้นถึงจะไม่รู้ระดับขั้นของอวี๋ซือหราน แต่แค่เห็นเส้นไหมเหล่านี้ก็คงจะตกใจจนขนลุกซู่ไปแล้ว
“หัวเราะอะไรไม่ทราบ…”
อวี๋ซือหรานหงุดหงิด แต่ในขณะที่กำลังจะเดินออกไป เธอก็สัมผัสได้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณทันที
ในขณะเดียวกันนั้น ภาพสะท้อนในกระจกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด…
เงาร่างหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากด้านหลังศีรษะของอวี๋ซือหราน ความสูงเกือบเทียบเท่าอวี๋ซือหราน เพียงแต่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ผิวขาวซีดเหมือนกระดาษ ศีรษะห้อยลงด้านข้างเล็กน้อย
สุดท้าย ศีรษะของเงาร่างนั้นก็มาโผล่อยู่ข้างๆ ใบหน้าของอวี๋ซือหราน เหมือนมีคนเอาหัวมาวางไว้บนไหล่อวี๋ซือหราน แล้วมองกระจกพร้อมกับเธอ
แม้นี่จะเป็นภาพที่น่าผวา แต่สำหรับซอมบี้ มันกลับไม่ได้ส่งผลอะไรเลยทั้งสิ้น…
แต่ตอนนี้ อวี๋ซือหรานกลับจ้องศีรษะของเงาร่างนั้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์อย่างเอาเป็นเอาตาย!
สัมผัสไม่ได้!
เส้นไหมสีเงินตรวจจับอะไรไม่เจอเลย ทั้งด้านหลังเธอและบนไหล่เธอด้วย…
ภาพที่อยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจทั้งหมด ทำให้ซอมบี้โลลิยืนอึ้งอยู่กับที่อย่างไม่รู้ตัว
เธออยากรู้มาก ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่…
และในตอนนั้นเอง ศีรษะของเงาร่างนั้นก็ค่อยๆ ยกคางขึ้น ทำให้เส้นผมที่ปรกหน้าแหวกออกเป็นสองฝั่ง
ปากที่เลอะคราบเลือด ดวงตาที่แดงก่ำไปทั้งดวงและดูยุ่งเหยิงสุดขีด แล้วยังมีใบหน้าที่ทั้งบิดเบี้ยวและดูคลุ้มคลั่งนั่นอีก…
สภาพอย่างนี้ แตกต่างกับอวี๋ซือหรานอย่างสิ้นเชิง!
แต่ในตอนที่อวี๋ซือหรานเห็นใบหน้านี้ชัดๆ กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว
ถึงแม้สีหน้าไม่เหมือน และดวงตาก็เปลี่ยนไปมาก แต่…
นี่มันหน้าของเธอชัดๆ…
“ปึง! เพล้ง!”
เส้นไหมสีเงินหลายเส้นพุ่งออกไปโจมตีกระจกจนแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ
ภาพในเงากระจกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และร่วงลงบนพื้น อวี๋ซือหรานถอยกรูดด้วยใบหน้าตะลึง จากนั้นก็หันไปมองที่ทางเดิน
แต่เพิ่งจะหมุนกายไป อวี๋ซือหรานก็อึ้งค้างไปทันที
ในความมืดตรงหน้า ดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่งกำลังจ้องเขม็งมาทางเธอ
เป็นดวงตาของคนในกระจก…หรือก็คือเธอในสมัยก่อน…
“นี่มันอะไรกัน…”
อวี๋ซือหรานยืนงงอยู่กับที่ 2 วินาที พอเธอได้สติ เงาร่างนั้นกลับถอยหลังกลับเข้าไปในความมืดแล้ว แต่ในระหว่างถอยหลัง สายตาของมันก็จับจ้องอยู่บนตัวอวี๋ซือหรานตลอดเวลา…
“ห้ามหนีนะ!”
อวี๋ซือหรานไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เงาร่างประหลาดที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนนี้กลับสามารถดึงดูดความสนใจจากเธอได้สำเร็จ
เธอไม่ได้ขัดคำสั่งของหลิงม่อ เขาแค่บอกให้เธอเข้ามาแล้วตรวจสอบดูอย่างละเอียด และให้ระวังอันตรายให้ดี…แล้วการที่จู่ๆ “ตัวเองในสมัยก่อน” ปรากฏตัวให้เห็นอย่างนี้ ก็เป็นเป้าหมายที่ต้องระวังอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว…
พอคิดถึงตรงนี้ อวี๋ซือหรานก็วิ่งตามไปอย่างไม่ลังเลทันที…
ทว่าซอมบี้โลลิกลับไม่รู้ตัวเลยซักนิด ว่าสภาพแวดล้อมที่เดิมยังมีแสงสลัวๆ อยู่ ตอนนี้กลับกลายเป็นมืดสนิทเหมือนน้ำหมึกไปแล้ว…และดวงตาที่เดิมไม่เคยสนใจความมืดของเธอ ตอนนี้กลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดแล้วว่าในทางเดินมีอะไรอยู่กันแน่…
“ปึง เพล้ง!”
เสียงกระแทกดังมาแต่ไกล ขณะเดียวกันเสียงวัตถุแตกละเอียดก็ดังตามมาเบาๆ ด้วย
หลิงม่อที่กำลังเพ่งสมาธิควบคุมหุ่นซอมบี้ตัวเล็กและหนวดสัมผัสเงยหน้าขึ้นทันที แล้วมองไปยังทางเดินข้างหน้าอย่างระแวดระวัง
“มีการเคลื่อนไหว…”
เขาสัมผัสได้ว่าอวี๋ซือหรานเข้ามาแล้ว ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาสลับมุมมองสายตา อีกอย่างตั้งแต่ที่ดวงแสงแห่งจิตของเฮยซือและอวี๋ซือหรานเข้าสู่สภาวะยุ่งเหยิง ทุกครั้งที่หลิงม่อสลับมุมมองสายตา ก็ต้องใช้พลังงานไม่น้อย…
แต่ถ้ามีอันตราย เขาก็ยังสามารถส่งสัญญาณเตือนอวี๋ซือหรานได้ทันที ขณะเดียวกันอวี๋ซือหรานก็ทำอย่างนั้นได้เช่นกัน
หรือว่าจะเป็นมู่เฉิน?
อาจเป็นมู่เฉินที่ได้รับบาดเจ็บจนเดินเซไปชนข้าวของก็ได้
แต่ในทางเดินก็เหลืออยู่แค่ตู้ล็อกเกอร์เท่านั้น แค่นี้ก็ยังเดินชนได้อีกหรอ…
“เดี๋ยวก่อน…”
จู่ๆ หลิงม่อก็หยุดเดิน จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับไป
หลังจากมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอบ หัวใจของเขาก็เต้นดัง “ตึกตัก”
ซวยแล้ว เขามัวแต่เพ่งสมาธิอยู่กับการตรวจจับดวงแสงแห่งจิต แล้วก็เอาแต่จ้องคราบเลือดบนพื้น แต่ดันลืมสังเกตสภาพแวดล้อมรอบข้างไปซะได้
แม้แสงสว่างจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่เขาเดินเข้ามาลึกจนไม่อาจวัดระยะทางได้อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…
“ติดกับซะแล้ว…” สีหน้าของหลิงม่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขายืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับควบคุมให้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กข้างหน้าหยุดเดินด้วย
เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้อยู่ไม่ไกลมาก และทางเดินสำหรับพนักงานที่หลิงม่อจำได้ก็ไม่ได้ยาวมาก ทางโค้งก็มีไม่เยอะ หุ่นซอมบี้ตัวเล็กวิ่งด้วยความเร็วระดับนี้ น่าจะมองเห็นจากที่ไกลๆ ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้านั่น
หลิงม่อควบคุมให้มันออกวิ่งทันทีที่ได้ยินเสียงกระแทก แต่จนถึงตอนนี้เขากลับยังไม่เจออะไรเลย
ตอนนี้พอรู้ตัวว่าสภาพแวดล้อมรอบกายเปลี่ยนไป รูปแบบการค้นหาแบบปกติก็หมดความหมายไปทันที
แต่หลิงม่อไม่ได้ตื่นตระหนก ไหนๆ ก็ติดกับแล้ว ตื่นตูมไปก็มีแต่จะตายเร็วขึ้น
ดูจากรูปการ น่าจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต
แต่เขาอัพเกรดมามากขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าจะยังมีผู้มีความสามารถพิเศษที่สามารถล่อเขามาติดกับได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวอย่างนี้ ร้ายกาจไม่เบาจริงๆ…
เห็นชัดว่ามู่เฉินเองก็โดนเข้าแล้วเหมือนกัน ส่วนอวี๋ซือหราน…
“เดี๋ยวนะ…สัมผัสไม่ได้แล้ว?”
ในที่สุด หลิงม่อก็หน้าถอดสี สายสัมพันธ์ทางจิตไม่ได้ถูกตัดขาด แต่เขากลับหาตำแหน่งของอวี๋ซือหรานไม่เจอแล้ว
ไม่ใช่แค่อวี๋ซือหรานเท่านั้น แม้แต่ตำแหน่งของพวกเย่เลี่ยนก็หายไปด้วย…
“เราแทบไม่รู้ตัวเลย…”
หลิงม่อกัดฟันกรอด คนคนนี้ร้ายกาจมาก แถมยังเป็นคนที่รู้จักเขาในระดับหนึ่งด้วย!
อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต และรู้ด้วยว่าเขามีพลังจิตสำรวจ!
“เริ่มด้วยการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งล่อมู่เฉินมาที่นี่ จากนั้นก็รอให้เรามาตามหา อีกฝ่ายรู้ว่าเราจะต้องรวบรวมสมาธิในการตามหามู่เฉินแน่ๆ และสุดท้ายก็ติดกับเพราะเพ่งสมาธิเกินไป…”
หลังปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ก็พบว่ามีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้น
ไม่ว่าหลิงม่อจะพาทุกคนมาด้วยหรือไม่ แต่อย่างน้อยมีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ คือตัวเขาต้งอมาแน่นอน…
หลิงม่อกลับรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย โชคดีที่ไม่ได้ให้พวกเย่เลี่ยนตามมาด้วยซักคน
อีกฝ่ายมีความสามารถพิเศษชนิดนี้ ถึงแม้พวกเย่เลี่ยนจะเข้ามา ผลที่ได้ก็เหมือนกัน แถมอาจแย่กว่าด้วยซ้ำ
หากต้องอสู้ขึ้นมาหลิงม่อคงห่วงหน้าพะวงหลัง พอถึงตอนนั้นพลังต่อสู้ของเขาคงลดลงไม่น้อย
ตอนนี้เขาก้าวเข้ามาในกับดักของอีกฝ่ายแล้ว แสดงว่าคนคนนี้กำลังต่อกรกับเขาเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นพวกเย่เลี่ยนก็จะปลอดภัย
ถึงอีกฝ่ายจะมีพรรคพวก แต่ผู้มีความสามารถพิเศษที่ไม่ใช่ด้านพลังจิตนั้นยากจะต่อกรกับพวกเย่เลี่ยนได้
ยิ่งไปกว่านั้น ชั้นใต้ดินยังมีซอมบี้อยู่เป็นร้อยตัว ซึ่งการมีอยู่ของพวกมันสามารถปิดบังตัวตนของพวกเย่เลี่ยนได้…
แต่คิดก็ส่วนคิด สุดท้ายหลิงม่อก็ยังคงอดห่วงไม่ได้
โดยเฉพาะอวี๋ซือหรานที่ตอนนี้ก้าวเข้ามาติดกับแล้ว…
“ต้องรีบคิดหาทาง! ต้องมั่นใจก่อนว่านี่ใช่ภาพลวงตาหรือเปล่า…”
หลิงม่อหันกลับไปมอง ข้างหลังมีแต่ความมืด ราวกับเส้นทางที่เดินมาถูกความมืดกลืนกินไปแล้ว
ตั้งแต่ที่เขารู้ตัว แสงสว่างก็น้อยลงมาก
ในเมื่ออยู่ในกับดักของอีกฝ่าย ซ่อนตัวไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว หลิงม่อจึงตัดสินใจเปิดไฟฉายเสีย
ปั๊กๆ…
หลังตบสองที ไฟฉายที่แสงอ่อนลงก็ไม่ได้สว่างขึ้นแต่อย่างใด หลิงม่อจึงทำได้เพียงย่นจมูกยอมรับอย่างช่วยไม่ได้
“ได้จังหวะจริงๆ…นึกว่าจะใช้ได้อีก 2 – 3 วันซะอีก”
หลิงม่อหมดคำพูด ทำไมรู้สึกว่าวันนี้ซวยเป็นพิเศษ แถมเขายังชอบใจลอยอีก?
เป็นเพราะความรู้สึกไม่สบายใจนั่น?
จะว่าไปแล้ว หลังจากที่มู่เฉินหายตัวไป เขาก็ยากจะควบคุมตัวเองให้อยู่ในสภาวะปกติ…
“เราไม่น่าจะเป็นห่วงหมอนั่นจนถึงขั้นจิตใจกระเจิดกระเจิงหรอกมั้ง น่าหงุดหงิดจริงๆ…” หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่ขณะเดียวกันกลับควบคุมให้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กเดินเลียบแนวกำแพงย้อนกลับมาหาตัวเองช้าๆ
เล็บแหลมคมของมันจิกเข้าไปในฝ่ามือตัวเอง ฝ่ามือเปื้อนเลือดแนบติดกับผิวกำแพง และลากเดินมาตลอดทาง…
ถึงแม้หลิงม่อจะร้อนใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าหากสติกระเจิงแล้ววิ่งไปทั่ว หรือรีบร้อนตามหาเจ้าตัว คือการรนหาตายที่แท้จริงต่างหาก
รอให้จับทางได้ก่อนว่าอีกฝ่ายมีความสามารถพิเศษอะไร จึงจะสามารถคิดว่าทางรับมือที่เหมาะสมได้
—————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น