วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 690-696

ตอนที่ 690 ผู้หญิงคนนั้นแค่ต้องการสร้างความยุ่งยากให้ฉันไม่ใช่เหรอ

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ถังหนิงได้เจอกับคนที่มีความมั่นใจมากขนาดนี้ ดูเหมือนซ่งซินจะมาถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว


 


 


ดังนั้นถังหนิงจึงอ้าแขนรับและรอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้


 


 


“ฉันละเกลียดการที่คุณทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ลึกๆ แล้วคุณเป็นพวกโหดเ**้ยมอำมหิต”


 


 


“เธอยังเด็ก…”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น ซ่งซินก็สะบัดเก้าอี้และเดินจากไป ถังหนิงได้ทำการอ่านใจอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ สำหรับซ่งซินแล้วไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการถูกถังหนิงเมิน


 


 


ชั่วครู่จากนั้น ฟังอวี้ก็เดินเข้ามาหาเธอและถาม “ทุกอย่างโอเคไหม”


 


 


“คุณคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรฉันงั้นเหรอ” ถังหนิงถามกลับ


 


 


“ก็คุณกำลังท้อง…”


 


 


“ไม่ว่าฉันจะท้องหรือไม่ท้อง ซ่งซินก็ไม่มีโอกาสเอาชนะฉันได้หรอก” ถังหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่จริงฉันรู้สึกสนุกกับการที่ผู้หญิงคนนั้นดูถูกฉันด้วยซ้ำนะ”


 


 


อีคิวของถังหนิงนี่สูงขนาดไหนกันแน่ ตลอดปีแห่งการฝึกฝนมันทำให้เธอมาถึงจุดที่สูงจะน่ากลัวแล้ว


 


 


กระนั้นซ่งซินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทั่วไปเช่นกัน…


 


 



 


 


“ถังหนิงพูดว่ายังไงบ้าง” ต้วนจิ่งหงถามขณะที่เธอเดินตามหลังซ่งซิน


 


 


“จะพูดอะไรอีกล่ะ มันก็ปฏิเสธน่ะสิ!” ซ่งซินเย้ย “ฉันละเกลียดคนที่ไม่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำที่สุด เหลวไหลสิ้นดี!”


 


 


“เป็นแบบนั้นแล้วเราควรทำยังไงกันต่อดี” ต้วนจิ่งหงถาม “ตอนนี้เรามั่นใจแล้วว่าถังหนิงกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ลับหลังและไห่รุ่ยก็กำลังกดเธอลง เราจะทำอะไรได้บ้าง”


 


 


“เรายังทำอะไรได้อีกเยอะแยะ ใช่ว่าฉันต้องผูกติดกับไห่รุ่ยสักหน่อย เรายังมีตัวเลือกอื่นอยู่” ซ่งซินตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถังหนิงแก่ ดูจากท่าทีของมันวันนี้ เห็นได้ชัดว่ามันพยายามจะใจเย็นเพราะไม่รู้จะสู้กับฉันยังไง ฉันอดใจรอดูว่ามันจะยังชูคอแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนไม่ไหวแล้วสิ”


 


 


นี่คือการตีความท่าทีของถังหนิงในสายตาของซ่งซิน แต่เธอไม่รู้เลยว่าถังหนิงเผชิญหน้ากับทุกคนด้วยท่าทีสงบนิ่งไม่ต่างกัน ถังหนิงไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้ใครเห็น


 


 


แต่… เธอเพิ่งพูดว่าถังหนิงแก่อย่างงั้นเหรอ


 


 



 


 


เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ซ่งซินมีการวางแผนมากกว่า อย่างน้อยภายใต้ความหยิ่งผยองก็ยังรู้ที่จะตัดสินสถานการณ์ต่างๆ


 


 


เธอรู้ดีว่าตอนนี้ถังหนิงครอบครองทรัพยากรส่วนใหญ่ของไห่รุ่ย หากเธอต้องการที่จะโดดเด่น เธอจำเป็นต้องแสดงให้ถังหนิงเห็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย


 


 


แต่อะไรกันล่ะ


 


 


บางทีเธออาจทำเป็นว่าบริษัทอื่นๆ ต่างก็กำลังต่อสู้เพื่อให้ได้ตัวเธออยู่เช่นกัน


 


 


ด้วยข่าวเกี่ยวกับการกดดันของไห่รุ่ย ทำให้มีบริษัทเอเจนซี่มากมายต่างพากันเสนอทางออกให้เธอ โดยเฉพาะบริษัทหน้าใหม่อย่างเฉิงเทียน นอกจากนั้นยังมีบริษัทภาพยนตร์และโทรศัพท์เจ้าอื่นๆ ที่แสดงความสนใจในตัวเธอเช่นกัน


 


 


ด้านหนึ่งซ่งซินกำลังแสดงความซื่อสัตย์ของเธอที่มีต่อไห่รุ่ย ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เธอเริ่มแสดงให้ทุกคนเห็นว่าไห่รุ่ยไม่เป็นมืออาชีพ เธอต้องการให้ทุกคนรู้ว่าโม่ถิงกดขี่บรรดาศิลปินของเขาอย่างไร้เหตุผลเพื่อให้ถังหนิงได้อยู่บนจุดสูงสุด ด้วยการปฏิบัติตัวราวกับสัญญาและความเป็นมืออาชีพเป็นเรื่องไร้สาระ


 


 


แต่เธอไม่รู้เลยว่าถังหนิงเคยใช้วิธีการนี้มาแล้วในอดีตโดยไม่เคยมีใครล่วงรู้มาก่อน


 


 


ซ่งซินต้องการให้ไห่รุ่ยปั่นป่วน เธอต้องการให้พวกเขายอมรับถึงความสำคัญของเธอ แต่… หลังจากสร้างความสับสนวุ่นวาย ไห่รุ่ยกลับไม่ออกมาโต้ตอบอะไรเลย


 


 


ไม่สิ พูดให้ถูกคือไม่ถึงกับไม่ออกมาตอบโต้อะไร อย่างน้อยในระหว่างการสัมภาษณ์หนึ่งของฟังอวี้ เขาได้พูดกลับสื่อว่า “ซ่งซินถูกกดขี่อย่างนั้นหรือครับ ไม่เห็นมีใครในไห่รุ่ยทราบเรื่องนี้เลย”


 


 


“ถ้างั้นคุณได้ยินเรื่องที่เอเจนซี่เจ้าอื่นยื่นข้อเสนอให้เธอหรือเปล่าคะ”


 


 


“ทางเอเจนซี่ไม่ได้รับแจ้งเรื่องนี้เช่นกันครับ”


 


 


ฟังอวี้เป็นใคร เขาเป็นถึงอดีตผู้จัดการฝ่ายพีอาร์ของไห่รุ่ย เขาจะไม่อาจจัดการกับปัญหาอันน้อยนิดเช่นนี้ได้เชียวหรือ เพียงแค่ใช้การหันเหความสนใจเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะขจัดความข้องใจของสื่อได้อย่างง่ายดาย


 


 


กระนั้นซ่งซินกลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เธอถึงขนาดปล่อยภาพตัวเธอเองขณะกำลังทานมื้อค่ำกับบอสของอีกเอเจนซี่หนึ่งออกมา


 


 


ดังนั้น…


 


 


“ผมคิดว่าซ่งซินรู้จักที่จะเคารพสัญญา”


 


 


ด้วยประโยคง่ายๆ เพียงประโยคเดียวจากไห่รุ่ยก็เพียงพอที่จะเน้นย้ำให้เห็นถึงขีดจำกัดของไห่รุ่ย หากซ่งซินกล้าที่จะย้ายเอเจนซี่ ไห่รุ่ยก็จะมุ่งหน้าเรียกร้องค่าเสียหายเพียงอย่างเดียว


 


 


แม้แต่ฟังอวี้เองก็อดไม่ได้ที่จะทั้งหัวเราะและร้องไห้ ทำไมซ่งซินถึงเอาแต่สร้างปัญหาแบบนี้นะ


 


 


เธอไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับไห่รุ่ยมากขนาดนั้น ส่วนถังหนิงเองก็แค่คิดจะเอาคืนอีกฝ่าย ถังหนิงไม่เคยรู้สึกว่าซ่งซินเป็นคู่ต่อสู้ที่ควรค่าด้วยซ้ำ


 


 


ในความเป็นจริง ซ่งซินนั้นตั้งใจจะย้ายเอเจนซี่จริงๆ แต่เธอไม่ต้องการจากไปง่ายๆ เธอต้องการให้ไห่รุ่ยได้รู้สึกหวาดกลัวเสียก่อน


 


 


ดังนั้นเธอจึงปล่อยเพลงออกมาตามปกติ ที่จริงผลตอบรับของมันดีมากจนเธอได้ปรากฏตัวในข่าวบันเทิงและติดอันดับต้นๆ ของการจัดอันดับเพลง


 


 


แต่หลังจากศึกอันยาวนานและยากลำบาก ไห่รุ่ยกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ กลับกัน ซ่งซินกลายเป็นฝ่ายหมดเรี่ยวแรง เพราะเธอขาดคนหนุนหลังที่เหมาะสม


 


 


หากมองไปที่เหล่าเซเลบสาวที่อยู่ๆ ก็โด่งดังขึ้นมาแล้วละก็ ชัดเจนว่าคนพวกนั้นล้วนแล้วแต่มีคนรวยคอยหนุนหลังทั้งสิ้น


 


 


ในอดีต เธอปฏิเสธผู้ชายฐานะร่ำรวยไปมากมายเพราะความหยิ่งผยองของตัวเอง บัดนี้เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนั้นมันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย


 


 


“จิ่งหง เธอคิดยังไงถ้าฉันจะหาใครสักคนมาหนุนหลัง”


 


 


“ในที่สุดเธอก็คิดเรื่องนี้ได้แล้วงั้นเหรอ” ก่อนหน้านี้จิ่งหงเคยเสนอเรื่องนี้มาแล้ว แต่เมื่อเป็นเรื่องของพื้นเพครอบครัวแล้ว คนมากมายต่างก็มีพื้นเพครอบครัวที่แตกต่างกัน ดังนั้นซ่งซินจึงต้องหาคนหนุนหลังที่มีความค่อนข้างมั่นคง


 


 


ซ่งซินเคยเป็นคนหยิ่งผยองมากจนคิดว่าการมีพ่ออุปถัมภ์หรือเป็นเมียน้อยใครเป็นเรื่องสกปรกโสมม แต่ตอนนี้…


 


 


…เธอไม่พูดอะไรเช่นนั้นเลย


 


 


“ฉันเคยบอกเธอไปแล้วไงว่าทายาทของไคหวงฟิล์มพยายามจะขอเธอออกเดต แต่เธอไม่สนใจเขา เธอต้องการให้ฉันจัดนัดระหว่างเธอกับเขาไหมล่ะ เธอควรรู้ไว้นะว่าครอบครัวเขาเป็นเจ้าของโรงหนังกว่าครึ่งในประเทศ…”


 


 


ซ่งซินสูดควันบุหรี่ก่อนพยักหน้า “เอาสิ ฉันจะไปพบเขา


 


 


“นี่ถือเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ต่อถังหนิงหรือเปล่า”


 


 


“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ” ต้วนจิ่งหงตอบ “ผู้หญิงคนนั้นก็มีโม่ถิงเป็นคนหนุนหลังไม่ใช่หรือไง สิ่งที่เราทำก็แค่ช่วยให้เธออยู่ในจุดที่ยุติธรรมเท่านั้นเอง”


 


 


ใช่แล้ว!


 


 


หากถังหนิงใช้ความเป็นสามีภรรยาฟ้องเรื่องต่างๆ ได้ แล้วทำไมเธอจะหาตัวช่วยอื่นบ้างไม่ได้


 


 


“ฉันจะให้เธอจัดการเรื่องนัดหมายแล้วกัน”


 


 


ต้วนจิ่งหงปฏิเสธที่จะยอมรับว่าซ่งซินกำลังใช้ทางลัด ไม่สิ นี่ไม่ใช่ทางลัด มันเป็นรางวัลของคนฉลาดต่างหาก!


 


 



 


 


ขณะที่ซ่งซินกำลังสร้างความปั่นป่วนอยู่นั้น ถังหนิงก็กำลังนอนหลับอยู่ที่บ้านเพื่อพักผ่อนและอ่านบทละครของเธอ เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อให้ซ่งซินตื่นตระหนก


 


 


“บอกฉันหน่อยสิว่าซ่งซินวางแผนจะทำอะไรต่อไป” หลงเจี่ยเต็มไปด้วยความสงสัยขณะที่เธอช่วยถังหนิงหั่นผลไม้


 


 


เพราะถังหนิงไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อมานานแล้ว


 


 


“ฉันคำนวณว่าเด็กนี่ตอนเด็กน่าจะขาดความรักนะ มีแต่คนที่ขาดความรักเท่านั้นถึงจะพยายามเรียกร้องความสนใจ


 


 


“เด็กนี่กำลังรู้สึกดีกับตัวเองอยู่ตอนนี้และต้องการให้นายใหญ่เสียใจในสิ่งที่เขาทำลงไป แล้วยังต้องการให้คุณสำนึกอีกด้วย ฉันว่ามันน่าจะยังมีแผนซ่อนไว้อีกเยอะเลยล่ะค่ะ”


 


 


ถังหนิงยิ้มหยัน “ฉันจะรอดูว่าเด็กคนนั้นจะสร้างฉากน่าตื่นเต้นแบบไหนได้บ้าง”


 


 


“คุณรู้แล้วเหรอคะว่าเด็กนั่นกำลังวางแผนจะทำอะไร” หลงเจี่ยถามพลางมองถังหนิงปิดเปลือกตาลง


 


 


“ผู้หญิงคนนั้นแค่ต้องการสร้างความยุ่งยากให้ฉันไม่ใช่เหรอ” 

 

 


ตอนที่ 691 ตบหน้า

 

‘ชาวเน็ตลือสนั่น ไห่รุ่ยกำลังกดขี่ซ่งซินเพื่อที่จะรักษาสถานะของถังหนิงเอาไว้!’


 


 


‘ซ่งซินจอมอัจฉริยะ ศิลปินผู้เก่งรอบด้านที่แม้แต่ถังหนิงยังหวาดกลัว’


 


 


‘ทำไมถังหนิงถึงกลัวซ่งซิน แผนภูมิการวิเคราะห์จะอธิบายทุกอย่าง’


 


 


 


 


เหล่านี้คือพาดหัวข่าวบันเทิงล่าสุดที่เปรียบเทียบถังหนิงกับซ่งซินว่าอยู่ระดับเดียวกัน จุดเริ่มต้นของซ่งซินนั้นอยู่สูงเกินไปมาโดยตลอดและถังหนิงก็ถูกนำไปเทียบกับเธออยู่บ่อยๆ ทันใดนั้น ก็ดูเหมือนกับว่าไม่มีใครในปักกิ่งที่สามารถแข่งขันกับเธอได้และมีเพียงถังหนิงเท่านั้นที่ขวางทางเธออยู่


 


 



 


 


วันนี้เป็นวันที่ฮั่วจิงจิงได้ออกจากโรงพยาบาล ในฐานะเพื่อนทีดี ถังหนิงไปรับเธอจากโรงพยาบาลด้วยตัวเองแม้ว่าเธอจะกำลังตั้งท้องอยู่


 


 


เมื่อไรก็ตามที่ฮั่วจิงจิงรู้สึกเบื่อ เธอจะอ่านข่าวบันเทิง ข่าวลือที่กำลังแพร่ไปในขณะนี้สามารถทำให้หญิงสาวโกรธได้เพียงแค่เธอชายตามองเท่านั้น


 


 


“ท่านประธานโม่จะปล่อยให้ซ่งซินทำแบบนี้เหรอ”


 


 


“กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ” ถังหนิงตอบอย่างสงบ “เราไม่ต้องการให้สื่อเกาะติดเธอและเปิดเผยแผลเป็นเก่าของเธอ”


 


 


“เธอจะปล่อยให้ยัยเด็กหน้าใหม่จอมโอหังนั่นเหยียบย่ำเธออย่างนั้นเหรอ”


 


 


“ตอนนี้เขามีชื่อเสียงที่สุดในปักกิ่งนะ” ถังหนิงหัวเราะขณะพูดความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ “อีกอย่าง ฉันกำลังตั้งท้องอยู่นะ ฉันจำเป็นต้องไปทะเลาะกับเขาเหรอ”


 


 


“เธอควรจะสั่งสอนบทเรียนมัน…”


 


 


ฮั่วจิงจิงไม่ได้สนใจตัวเอง เธอเพียงแต่ไม่อยากเห็นถังหนิงถูกรังแกและเหยียบย่ำโดยเด็กหน้าใหม่อย่างซ่งซิน หล่อนมีสิทธิ์อะไรมาทำอย่างนั้นกัน


 


 


“กลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่าไหม” ถังหนิงส่งสัญญาณบอกให้ฟังอวี้พาฮั่วจิงจิงกลับบ้าน นอกจากจะหยุดการพูดจาเรื่อยเปื่อยของฮั่วจิงจิงแล้ว ถังหนิงเองก็รู้สึกแย่ที่ได้เห็นสภาพขาของเธอ


 


 


ความแค้นที่หญิงสาวมีนั้นฝังลึกอยู่ในใจ เธอจะไม่มีวันลืมมันเลย


 


 


ขณะเดียวกัน เหล่าคนนอกก็เพลิดเพลินไปกับความตื่นเต้น การถกเถียงและเสียงอื้ออึง ทว่าเหล่าคนที่อยู่ภายในวงการบันเทิงนั้นรู้ดีว่าซ่งซินกำลังเสแสร้งอยู่ หากเธอถูกกดขี่จริงๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องใช้ถังหนิงสร้างกระแสและส่งเสริมตัวเอง


 


 


และหากซ่งซินฉลาดมากพอ เธอจะรู้ว่าต้องยั้งมือตอนไหนเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าสาธารณชนรู้สึกไม่พอใจ ไม่อย่างนั้นแล้ว สังคมจะอยากสอนเธอว่าควรประพฤติตัวอย่างไร


 


 


แต่แน่นอนว่าในเมื่อตอนนี้ซ่งซินได้ทำตัวโอหังมาเป็นเวลานานแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับเธอ


 


 



 


 


อันที่จริง คนกลุ่มแรกที่ตอบโต้คือแฟนคลับของถังหนิง เมื่อได้เผชิญกับความก้าวร้าวของซ่งซิน พวกเขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอทำอะไรตามใจชอบ [ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ พวกลูกหมาลูกแมวที่ฟันแท้เพิ่งจะขึ้นพยายามมาท้าทายถังหนิงของเรา ไม่มีใครสอนพวกเขาเรื่องความอ่อนน้อมเหรอ ดูหนิงของเราสิ…เธอเคยเหยียบย่ำรุ่นพี่ของเธอไหม]


 


 


[อันที่จริงฉันติดตามเหตุการณ์มานานแล้วนะ ฉันรู้สึกว่าซ่งซินมีความหมกมุ่นกับถังหนิงของเราแค่ฝ่ายเดียว พวกเขาทั้งคู่อยู่ในสายงานที่แตกต่างกัน แต่พวกเขากลับถูกนำมาเปรียบเทียบกันเสมอ เห็นได้ชัดเลยล่ะว่าใครกันแน่ที่พยายามเกาะดูดความนิยมของอีกคน]


 


 


[ถังหนิงก็แค่กำลังจดจ่อกับการตั้งครรภ์ของเธอ ผู้สังเกตการณ์ไม่จำเป็นต้องใส่ใจข่าวลือก็ได้นี่]


 


 


[ฉันคิดว่าหนิงของเราควรออกมาแสดงความคิดเห็นสักหน่อย ถึงซ่งซินจะไม่ใช่สำคัญที่ไหน แต่แฟนๆ ก็ไม่ชอบเห็นเธอถูกเกาะแกะหรอกนะ ทำให้นังชั่วนั่นเห็นสิว่าความนิยมที่แท้จริงคืออะไร]


 


 


จริงๆ แล้วถังหนิงอยู่ในกลุ่มแช็ตนั้นและกำลังอ่านบทสนทนาเหล่านี้อยู่ด้วย หลังจากเห็นข้อเสนอแนะสุดท้าย หญิงสาวก็ตอบด้วยบัญชีส่วนตัวของเธอว่า [ได้เลย!]


 


 


ทีแรกเหล่าแฟนคลับไม่ได้สังเกตเห็นข้อความนั้น แต่เมื่อตระหนักได้ในที่สุด พวกเขาก็กรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น!


 


 


[นี่ฉันเพิ่งเห็นอะไรเนี่ย]


 


 


[นี่ฉันกำลังเห็นภาพหลอนหรือเปล่า]


 


 


[นั่นมันถังหนิง! ถังหนิงพูดว่า ‘ได้เลย’ ด้วยล่ะ!]


 


 


ถังหนิงไม่ได้ดูปฏิกิริยาของเหล่าแฟนคลับต่อและโทรหาฟังอวี้แทน “เร็วๆ นี้มีอีเวนต์อะไรที่ซ่งซินต้องไปไหม”


 


 


“คุณวางแผนจะโจมตีกลับเหรอครับ” ฟังอวี้เอ่ยถาม


 


 


“ฉันเกรงว่าถ้าฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง จิงจิงอาจจะควบคุมตัวเองไม่ให้โจมตีกลับแทนฉันไม่ได้น่ะสิ นายอยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเหรอ” ถังหนิงใช้ฮั่วจิงจิงเป็นข้ออ้าง แน่นอนว่ามันไม่ใช่ข้ออ้างเสียทีเดียว มีความเป็นไปได้มากเลยที่ฮั่วจิงจิงจะพูดบางอย่างกับสื่อมวลชน


 


 


“เร็วๆ นี้เธอมีอีเวนต์ต้องไปเยอะเลยล่ะครับ รวมถึงงานดนตรีเพื่อการกุศลด้วย”


 


 


“เข้าใจล่ะ” ถังหนิงตอบอย่างเรียบง่ายโดยที่ไม่อธิบายว่าเธอจะโจมตีกลับอย่างไรและต้องการความช่วยเหลือใดหรือไม่ จากนั้นหญิงสาวก็มองไปยังโม่ถิงที่สวมชุดนอนซาตินสีดำอยู่แล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน “สามีคะ…”


 


 


“ถ้ามีอะไรที่คุณต้องการ บอกผมมาได้เลยครับ คุณไม่จำเป็นต้องถาม” โม่ถิงเดินมาที่เตียง ยกผ้าห่มขึ้นแล้วสวมกอดถังหนิง


 


 


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ ฉันก็แค่อยากไปปรากฏตัวต่อหน้าสื่อสักหน่อย” ถังหนิงไม่เปลี่ยนน้ำเสียงที่อ่อนหวานของเธอพลางซุกตัวลึกเข้าไปในอ้อมแขนโม่ถิงยิ่งกว่าเดิม “ฉันสัญญาว่าลูกจะไม่ได้รับบาดเจ็บค่ะ”


 


 


โม่ถิงเอื้อมมือออกมาจับคางของหญิงสาวไว้และบังคับให้เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขา “คุณต้องรู้เอาไว้นะครับว่าผมจะไม่มีวันละเลยเรื่องความปลอดภัยของคุณ แต่ผมก็ไม่อยากห้ามไม่ให้คุณทำสิ่งที่อยากทำ เพราะงั้น


 


 


“ไปทำสิ่งที่คุณวางแผนเอาไว้เถอะครับ แต่ถ้ามีข้อกังวลด้านความปลอดภัยขึ้นมาละก็ ผมจะไม่ยกเว้นอะไรให้ทั้งนั้น คุณต้องให้ผมปกป้องคุณนะครับ”


 


 


“เข้มงวดอย่างนั้นเลยเหรอคะ” ถังหนิงพึมพำ


 


 


“คุณคิดว่าไงล่ะครับ” โม่ถิงถามกลับด้วยความจริงจัง


 


 


“งั้นถ้าฉันทำแบบนี้ล่ะ” ถังหนิงประกบจูบริมฝีปากของโม่ถิง


 


 


“ต่อรองไม่ได้ทั้งนั้น!” โม่ถิงไม่ขยับเขยื้อน


 


 


“งั้น…” ถังหนิงฉีกชุดคลุมของโม่ถิงให้เปิดออกแล้วงับลงบนแผ่นอกของเขา “…ถ้าแบบนี้ล่ะ”


 


 


เมื่อคิดถึงความร้ายกาจของถังหนิง โม่ถิงก็พลันยิ้มและเผยสีหน้าที่ชั่วร้ายออกมาเล็กน้อย “ถึงคุณจะขืนใจผม…ผมก็ไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจนั้นหรอก”


 


 


“ใครอยากจะขืนใจคุณเหรอคะ” ถังหนิงโน้มตัวลงไปซบอกโม่ถืง เท่านี้เธอก็รู้สึกขอบคุณสำหรับความเข้าใจของโม่ถิงแล้ว


 


 


“งั้น…คุณต้องการเหรอ”


 


 


ถังหนิงสังเกตเห็นความปรารถนาอันลุกโชนภายในดวงตาของโม่ถิงและกัดริมฝีปากของเธอพลางพยักหน้า “ต้องการสิคะ”


 


 



 


 


อันที่จริง การจะพลิกสถานการณ์และทำให้ซ่งซินต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแทนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ยากเลย แต่ว่าถังหนิงไม่ได้แจ้งใครล่วงหน้าเพราะการตบหน้าของเธอมักจะมาโดยไม่มีการเตือนเสมอ


 


 


งานดนตรีเพื่อการกุศล…


 


 


ตอนนี้ทุกอีเวนต์นั้นสำคัญสำหรับซ่งซิน ความขยันและความจริงจังของเธอสร้างโอกาสมากมายให้เธออย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ยังสามารถสู้อยู่ภายใต้การกดขี่ของไห่รุ่ยได้นั้นถือเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเธอมีความมุ่งมั่นแน่วแน่


 


 


คืนนั้น ซ่งซินได้รับเชิญให้ไปเป็นนักแสดงรับเชิญ นี่คือการแสดงครั้งแรกของเธอนับตั้งแต่เป็นนักแต่งเพลงมา ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวอีพีใหม่ของเธอ


 


 


แต่เธอคงไม่เคยคิดเลยว่าในค่ำคืนที่เธอควรจะได้เจิดจรัสนั้น ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผน


 


 


ไม่นานนัก ค่ำคืนก็ย่างกรายเข้ามา…


 


 


เพื่อที่จะทิ้งความประทับใจอันยั่งยืนไว้ที่งานการกุศลนั้น ซ่งซินจึงเลือกสวมชุดเดรสสีดำประดับเพชรที่มีชายผ้ายาว…


 


 


“คืนนี้จะเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ฉันจะเอาใจช่วยนะ ซ่งซิน!” ต้วนจิ่งหงพูดให้กำลังใจอยู่ข้างๆ เธอ 

 

 


ตอนที่ 692 โกหกตัวเอง

 

ขณะที่รถตู้ของซ่งซินเข้าจอดเทียบที่ปลายพรมแดง แขกคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยเดินทางมาถึง


 


 


ซ่งซินนั้นกำลังเป็นประเด็นร้อนในกรุงปักกิ่ง ดังนั้นจึงมีนักข่าวจำนวนมากมารอสัมภาษณ์เธออยู่ที่ทางเข้างาน


 


 


เป็นผลให้เหล่านักข่าวเข้าไปล้อมซ่งซินทันทีที่เธอปรากฏตัวที่ปลายพรมแดง…


 


 


ซ่งซินเพลิดเพลินกับความสนใจที่ได้รับ มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ราวกับยาเสพติดชนิดหนึ่ง เธอสนุกกับการได้อยู่บนจุดสูงสุด


 


 


ต้วนจิ่งหงตามไปข้างๆ ซ่งซินขณะที่เหล่านักข่าวเดินตามเธอทุกฝีก้าว ใบหน้าเธอประดับด้วยรอยยิ้มที่ลบไม่ออกเพราะภาพตรงหน้าเธอคือหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความนิยมของซ่งซิน จะมีสักอีกกี่คนในปักกิ่งที่อยู่ในระดับเดียวกันนี้


 


 


อย่างไรก็ตาม…ความเย่อหยิ่งของต้วนจิ่งหงนั้นคงอยู่ได้ไม่นานนักเพราะจู่ๆ ก็มีรถโรลส์รอยซ์คันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบที่ปลายพรมแดงและดึงความสนใจของทุกคนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างที่คุ้นเคยก้าวลงมาจากรถ เหล่านักข่าวที่ล้อมซ่งซินอยู่ก็กรีดร้องด้วยความตื่นเต้นและวิ่งไปทางร่างนั้นพร้อมกับอุปกรณ์ในมือทันที


 


 


“นั่นมันถังหนิงนี่…”


 


 


“ถังหนิงมาแน่ะ รีบถ่ายภาพไว้เร็ว”


 


 


“โอ้ว…ถังหนิง! โอ้พระเจ้า คุณคือผู้หญิงท้องที่สวยที่สุดที่ผมเคยเห็นเลยครับ!”


 


 


ภายในไม่กี่นาที ซ่งซินก็ได้สัมผัสว่าการตกจากสวรรค์และดิ่งตรงไปยังนรกทันทีนั้นรู้สึกอย่างไร


 


 


หญิงสาวมั่นใจมาตลอดว่าเธออยู่ในระดับเดียวกันกับถังหนิง อันที่จริง เธอถึงกับคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่เธอจะนำหน้าถังหนิงแล้วเพราะผู้หญิงคนนี้ห่างหายจากวงการไปพักหนึ่ง ทว่าความเป็นจริงนั้นช่างแตกต่างจากความคาดหมายของเธอ การปรากฏตัวอันเรียบง่ายของถังหนิงนั้นก็มากพอที่จะทำให้เหล่านักข่าวเป็นบ้ากันได้แล้ว


 


 


และทุกคนที่เพิ่งจะห้อมล้อมเธอนั้น ก็วิ่งกรูกันไปหาถังหนิง…


 


 


“ถังหนิง…”


 


 


เหล่านักข่าวอยากจะเข้าใกล้ถังหนิงมากกว่านี้ แต่ถังหนิงกลับประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วขอบคุณทุกคน “ขอโทษด้วยนะคะ เพราะกำลังตั้งท้อง ฉันจึงไม่สามารถยืนนานๆ ได้ หวังว่าทุกคนจะระมัดระวังกับฉันนะคะ”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของถังหนิง เหล่านักข่าวก็ถอยหลังกลับไปคนละสองสามก้าวทันที พวกเขาไม่ได้ลืมว่าเธอกำลังตั้งท้อง


 


 


ดังนั้นถังหนิงจึงเดินให้เร็วขึ้นและตามซ่งซินจนทัน โดยหลักการแล้ว ในเวลาเช่นนี้เหล่าสื่อมวลชนจะต้องลากทั้งคู่มายืนด้วยกันและเอ่ยถามพวกเขามากมาย ทว่าเพื่อที่จะได้เห็นถังหนิงนานขึ้นอีกนิด เหล่านักข่าวกลับเมินซ่งซินกับผู้ช่วยก่อน


 


 


ใช่แล้ว พวกเขาถูกเมิน!


 


 


ความตื่นเต้นที่ซ่งซินรู้สึกในตอนแรกนั้นได้กลับกลายเป็นความเกลียดชังไปแล้วในตอนนี้


 


 


ที่สำคัญที่สุด ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นถูกบันทึกเอาไว้อย่างไม่ตั้งใจโดยแฟนคลับคนหนึ่ง


 


 


“มีข่าวลือบนโลกออนไลน์แพร่ออกมาว่าถังหนิงอิจฉาซ่งซิน เธอก็เลยคุยกับโม่ถิงบนเตียงและขอให้เขากดขี่เธอซะ”


 


 


“เธอเชื่ออะไรอย่างนั้นด้วยเหรอ นี่เธอได้คิดถึงความแตกต่างระหว่างผู้หญิงทั้งสองคนนี้หรือยัง”


 


 


“คนที่สื่อมวลชนติดตามก็คือคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในตอนนี้ยังไงล่ะ”


 


 


“นี่ ฉันขอเล่าเรื่องกับคลิปตลกๆ ที่เพิ่งดูไปหน่อยนะ ตอนแรกซ่งซินกำลังเดินบนพรมแดงพร้อมกับนักข่าวที่เดินตามหลังเธอไป แต่ทันทีที่ถังหนิงปรากฏตัวก็ไม่มีใครสนใจซ่งซินอีกเลย ไม่ใช่แค่นี้นะ ซ่งซินโดนนักข่าวคนหนึ่งชนจนเกือบล้มด้วยล่ะ ฮ่าๆๆ พวกเธอไม่คิดว่ามันตลกเหรอ นี่แหละที่เขาเรียกว่าความแตกต่างกันด้านความสามารถและข้อพิสูจน์ความแตกต่างของพวกเขา”


 


 


เซเลบหญิงจำนวนหนึ่งกำลังสุมหัวนินทากันอยู่ในพื้นที่นั่งสำหรับแขก จู่ๆ ซ่งซินก็กลายเป็นเรื่องที่ตลกที่สุด


 


 


“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าหล่อนไปเอาความมั่นใจมาจากไหน”


 


 


ที่นั่งของซ่งซินเองก็อยู่ในละแวกนั้นเช่นกัน ทันทีที่ได้ยินคำเยาะเย้ยของทุกคน หญิงสาวก็อดเถียงกลับไปไม่ได้ว่า “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าความมั่นใจของฉันมาจากไหน แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าฉันดีกว่าพวกแกก็แล้วกัน”


 


 


ผู้หญิงกลุ่มนั้นไม่คาดคิดว่าซ่งซินจะตอบโต้ ดังนั้นเสียงหัวเราะของพวกเขาจึงดังยิ่งขึ้นไปอีก “ดีกว่าพวกเรานี่มันดียังไงเหรอ เธอดีกว่าถังหนิงไหมล่ะ”


 


 


“หล่อนพูดไม่ใช่เหรอว่าถังหนิงอิจฉาในความสามารถของหล่อน หล่อนพูดไม่ใช่เหรอว่าหล่อนเป็นภัยกับเธอ หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นบนพรมแดง หล่อนสำนึกหรือยังล่ะว่าหล่อนคิดผิด”


 


 


“เดิมทีถังหนิงจะไม่มางานการกุศลนี้หรอกนะ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็มา…หล่อนรู้ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง


 


 


“มันหมายความว่าตบฉาดที่เธอมอบให้หล่อนบนพรมแดงนั่นมันสะใจมากเลยยังไงล่ะ”


 


 


“ถังหนิงมาเพื่อแสดงให้หล่อนเห็นว่าความนิยมที่แท้จริงคืออะไร”


 


 


ซ่งซินอดทนกับการเย้าแหย่จากผู้หญิงกลุ่มนั้นเพราะไม่สามารถสู้กลับได้ นี่ยังไม่นับเรื่องที่เธอต้องประหลาดใจกับการแสดงอำนาจของถังหนิงบนพรมแดงและการโจมตีที่เธอได้รับ


 


 


ความมั่นใจของซ่งซินนั้นบอบช้ำอย่างรุนแรงขณะที่เธอจ้องไปยังถังหนิงที่กำลังนั่งอยู่ในโซนวีไอพี


 


 


การปรากฏตัวของถังหนิงนั้นสร้างความอัปยศอันใหญ่หลวงให้ซ่งซิน ดังนั้นการแสดงของเธอจึงได้รับผลกระทบเช่นกัน มีหลายครั้งที่เธอเกือบร้องเพลงเพี้ยนระหว่างที่กำลังทำการแสดง


 


 


ในทางตรงกันข้าม ถังหนิงเป็นอย่างไรบ้างล่ะ


 


 


เธอทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม ไม่สนใจซ่งซินเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือไม่มีแขกในงานคนไหนโต้ตอบกับซ่งซินเลยตลอดการแสดงของเธอ


 


 


ไม่มี!


 


 


ความเป็นจริงนั้นแสนโหดร้าย


 


 


“ซ่งซิน คืนนี้เธอเป็นอะไรน่ะ เป็นเพราะถังหนิงเหรอ นี่เธอเป็นได้ขนาดนี้เพราะเขาเลยเหรอ” ต้วนจิ่งหงรู้ว่าอารมณ์ของซ่งซินได้รับผลกระทบ แต่เธอไม่คิดว่ามันจะกระทบกับการแสดงของเธอด้วย


 


 


“อย่าพูดอะไรได้ไหม ขอฉันอยู่เงียบๆ เถอะ” ซ่งซินกำหมัด


 


 


ต้วนจิ่งหงถอนหายใจพลางตบบ่าซ่งซิน ทว่าทันทีที่ซ่งซินสังเกตเห็นว่าถังหนิงกำลังจะลุกไปเข้าห้องน้ำ หญิงสาวก็รีบไล่ตามเธอไปทันที


 


 


ต้วนจิ่งหงกลัวจะเกิดเรื่อง จึงตามหลังซ่งซินไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองเห็นถังหนิงกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ ตอนนั้นเองที่ซ่งซินกระโจนเข้าไปขวางทางถังหนิง “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”


 


 


ในห้องน้ำมีเซเลบอยู่กันประมาณสองสามคน ทันทีที่พวกเขาเห็นซ่งซินเข้าไปขวางทางถังหนิง พวกเขาก็พุ่งตัวเข้ามาปกป้องเธอ “ไม่เห็นหรือไงว่าถังหนิงกำลังท้องอยู่ นี่หล่อนพยายามจะทำอะไรน่ะ”


 


 


“แกจงใจทำแบบนั้นใช่ไหม” ซ่งซินเอ่ยถามถังหนิงข้ามหัวผู้หญิงอีกสองคนที่เข้ามาขวางเธอ “แกจงใจมาที่นี่เพื่อทำให้ฉันต้องลำบากใช่ไหม”


 


 


“ซ่งซิน ฉันไม่เข้าใจว่าเธอพูดเรื่องอะไรอยู่” ถังหนิงตอบด้วยความสับสน “ฉันไปทำให้เธอลำบากยังไงเหรอ”


 


 


“หยุดเจ้าเล่ห์ได้แล้ว แกโผล่หน้ามาทั้งๆ ที่เดิมทีแกไม่ควรจะมาร่วมงานนี้ ที่แกมาที่นี่ก็เพื่อจะแสดงอำนาจให้ฉันเห็นไม่ใช่เหรอ”


 


 


“เชื่อเขาเลยจริงๆ ซ่งซิน ฉันว่าหล่อนควรกลับเข้าไปในท้องแม่และเรียนรู้ศีลธรรมมาใหม่แล้วล่ะ” ผู้หญิงสวมชุดเดรสสั้นสีม่วงที่กำลังปกป้องถังหนิงหัวเราะพลางยกมือขึ้นมากอดอก “เขารู้กันหมดแล้วว่าหล่อนใช้ถังหนิงสร้างกระแส ไม่ละอายบ้างเหรอที่พูดพร่ำมาตลอดว่าถังหนิงกลัวหล่อนนักหนา


 


 


“แค่เพราะหล่อนโกหกเพื่อสร้างกระแสไม่ได้แปลว่าถังหนิงจะออกมาจากบ้านไม่ได้สักหน่อย


 


 


“พอเจ็บปวดกับความพ่ายแพ้และตระหนักถึงระยะห่างของตัวเองแล้ว หล่อนก็โทษถังหนิงที่มาออกอีเวนต์เดียวกัน ตอนที่สร้างกระแสหล่อนไม่คิดว่าตัวเองกำลังทำสิ่งผิดเหรอ ไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเหรอ


 


 


“ทุกคนในวงการรู้ว่าหล่อนน่ะห่างจากถังหนิงอยู่อีกไกลโข มีแต่หล่อนแหละที่กำลังโกหกตัวเอง…” 

 

 


ตอนที่ 693 น่ากลัว

 

อาจเป็นเพราะคำพูดของผู้หญิงคนนั้นรุนแรงและเจ็บปวดเกินไป ต้วนจิ่งหงจึงเดินพุ่งเข้าไปลากซ่งซินออกมา


 


 


“พอได้แล้วค่ะ คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าศิลปินของฉันทำอะไร”


 


 


ซ่งซินรู้สึกเหมือนได้รับความอัปยศอดสูอันใหญ่หลวง เธอโกรธมากเสียจนอยากจะมุดรูหนี แต่ตอนนี้ถังหนิงเป็นอย่างไรงั้นหรือ หญิงสาวมีท่าทีไม่แยแสและเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของซ่งซินไปโดยสิ้นเชิง


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นศิลปินของหล่อนกำลังพยายามทำให้ผู้หญิงท้องลำบากละก็ พวกเราจะมาเปลืองแรงตัดสินยัยนั่นกันทำไมล่ะ”


 


 


“แก…”


 


 


ซ่งซินไม่อยากให้ต้วนจิ่งหงต้องอับอายไปด้วย ดังนั้นเธอจึงจ้องหน้าถังหนิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “พอได้แล้ว”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังหนิงจึงตบบ่าผู้หญิงทั้งสองคนที่กำลังช่วยเหลือเธอแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ พวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเลย พวกเขาไม่มีทางทำอะไรฉันในที่แบบนี้หรอกค่ะ”


 


 


เนื่องจากผู้เป็นเหยื่อรับมือกับสถานการณ์ได้ ผู้หญิงสองคนนั้นก็ย่อมไม่มีเหตุผลจะต้องอยู่ต่อ ก่อนที่ทั้งสองจะจากไป พวกเธอยิ้มให้ถังหนิงด้วยความสุภาพ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรค่ะ”


 


 


หลังจากนั้น พวกเธอก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้ถังหนิงและต้วนจิ่งหงยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องน้ำ


 


 


ดวงตาซ่งซินเป็นสีแดงระเรื่อ ดูจากหน้าอกที่กำลังกระเพื่อมของเธอแล้ว บอกได้ไม่ยากเลยว่าเธอพยายามอย่างมากที่จะกักเก็บความโกรธเอาไว้…


 


 


“ฉันจะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยนะ” ซ่งซินกล่าวก่อนจะเดินจากไป ทุกวินาทีที่อยู่ตรงหน้าถังหนิงทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ


 


 


ต้วนจิ่งหงมองซ่งซินเดินออกไป จากนั้นหญิงสาวก็มองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ในที่สุดเธอก็พูดกับถังหนิงว่า “คนนอกวงการลือกันว่าคุณเป็นคนเหลี่ยมจัด ก็ถูกของพวกเขานะ ถังหนิง คุณมันน่ากลัว คุณรู้อยู่เต็มอกว่าความนิยมของคุณห่างจากซ่งซินอยู่หลายโยชน์แต่คุณก็ยังทำให้เธอต้องอับอายในที่แบบนี้ คุณช่างน่ากลัวจริงๆ”


 


 


“แล้วเธอล่ะ เธอรู้ดีว่าความนิยมของฉันสูงกว่าเขาแต่เธอก็ไม่เตือนหรือหยุดเขาไว้ เธอแค่ปล่อยให้เขาทำตามต้องการ คิดอะไรอยู่งั้นเหรอ” ถังหนิงเอ่ยถามพลางเชิดคางขึ้น “จากที่ฉันเห็น เธอจงใจให้เขาทำตัวเองอับอายมากกว่า”


 


 


“คุณคิดว่าคนอื่นเขาวางแผนทำร้ายคนรอบๆ ตัวอย่างที่คุณทำเหรอคะ ทีนี้คุณก็ได้ทำให้ซ่งซินอับอายแล้ว ฉันเดาว่านั่นคือการเอาคืนเรื่องที่เธอใช้คุณสร้างกระแสสินะ ดังนั้นจากนี้ไปเราหายกันแล้วนะคะ” พูดจบ ต้วนจิ่งหงก็พยายามจะเดินจากไป ทว่าเธอได้ยินเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นขณะที่เดินผ่านถังหนิง


 


 


“หายกัน แน่ใจเหรอ” ถังหนิงล้อเลียนอย่างเป็นนัยๆ “ฉันชอบให้มีการหายกันในวงการนี้มาก แต่…เธอแน่ใจเหรอว่าเธอชดใช้ฉันหมดแล้ว”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ต้วนจิ่งหงก็รู้สึกสะท้านไปทั้งร่างโดยฉับพลัน ฝ่ามือทั้งสองข้างของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ…


 


 


ถังหนิงหมายความว่าไง


 


 


เธอรู้อะไรบางอย่างงั้นเหรอ


 


 


ไม่…เป็นไปไม่ได้


 


 


“เห็นได้ชัดว่าเรามีความเข้าใจกับคำคำนี้คนละแบบ” ถังหนิงหมุนตัวไปจ้องหน้าต้วนจิ่งหงก่อนจะกระซิบข้างหูเธอว่า “นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น”


 


 


ดวงตาต้วนจิ่งหงเบิกกว้าง ทว่าถังหนิงได้เดินจากไปเสียแล้ว


 


 


แน่นอนว่าต้วนจิ่งหงคาดไว้ว่าคนจากวงการบันเทิงนั้นเล่นตบตากันเก่ง โดยเฉพาะถังหนิงผู้ที่กำลังตั้งท้อง ยิ่งคนเราไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสร้งว่าไม่มีอะไรทำให้พวกเขากังวลเท่านั้น นี่คือหนทางเดียวที่จะข่มคู่แข่ง ดังนั้นต้วนจิ่งหงจึงไม่เก็บเอาคำของถังหนิงมาใส่ใจ เธอสนใจแค่การปลอบโยนซ่งซินและรีบลืมทุกอย่างที่ถังหนิงพูดอย่างรวดเร็ว


 


 


แต่ถังหนิงไม่เคยตบตาใคร…


 


 



 


 


‘ถังหนิงไม่เคยชี้แจงข่าวลือและให้ความนิยมของเธอพูดออกมาเอง!’


 


 


‘ความจริง ณ งานการกุศลเปิดเผย ไหนล่ะความนิยมที่ซ่งซินโม้ไว้’


 


 


นี่คือข่าวบันเทิงที่ถูกเผยแพร่ในคืนนั้น ดูเหมือนว่าภาพจากบนพรมแดงจะได้เปลี่ยนซ่งซินให้กลายเป็นตัวตลกในวงการไปเสียแล้ว มีคนมากมายที่อิจฉาเธอเพราะความโด่งดังของเธอเมื่อเร็วๆ นี้ การได้เห็นเธอถูกถังหนิงเอาชนะด้วยวิธีเช่นนั้นทำให้เหล่าคนที่เคยถูกเธอกดขี่ไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงความประชดประชันได้


 


 


บางทีแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าความนิยมของเธอจะเป็นภัยได้ถึงเพียงนี้…


 


 


เพราะหญิงสาวไม่รู้จริงๆ ว่าเธอเทียบกับถังหนิงไม่ติด เธอคิดว่าตัวเองสูงส่งมาโดยตลอด


 


 


ซ่งซินไม่พูดอะไรสักคำหลังจากกลับถึงบ้าน ดังนั้นต้วนจิ่งหงจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันเตรียมนัดทานอาหารเที่ยงกับท่านประธานเซียวเอาไว้แล้ว ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เธอไม่อยากมอบความประทับใจแย่ๆ ให้เขาหรอก”


 


 


ซ่งซินนิ่งเงียบ หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หญิงสาวก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาและเข้าไปในห้องน้ำ


 


 


อย่างที่เขาว่ากัน มีวันเวลาอยู่อีกมากมาย ซ่งซินมั่นใจว่าวันหนึ่งเธอจะทำให้ถังหนิงได้ชดใช้


 


 



 


 


คืนนั้นถังหนิงนอนรอโม่ถิงอยู่บนเตียง ทันทีที่เธอเห็นโม่ถิงกลับมาจากที่ทำงาน หญิงสาวก็ลุกขึ้นเอนหลังแล้วเอ่ยแนะว่า “ฉันอยากเลี้ยงหมาไว้ในห้องทำงานค่ะ”


 


 


“ห้องทำงานใครครับ” โม่ถิงเอ่ยถามพลางโน้มตัวพิงถังหนิง


 


 


“คุณไงคะ”


 


 


โม่ถิงยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้ครับ บอกลู่เช่อเลยว่าคุณอยากได้พันธุ์ไหน แต่ก่อนอื่น ผมต้องให้หมอยืนยันก่อนว่ามันจะไม่มีผลกระทบกับคุณ”


 


 


“ได้ค่ะ” ถังหนิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


 


 


ไม่กี่วันต่อมา ทุกคนในไห่รุ่ยก็ได้รู้จักกับสุนัขพิตบูลที่แสนดุร้ายตัวใหม่ในห้องทำงานของโม่ถิง สุนัขพันธุ์นี้ได้ชื่อว่าเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมูสุนัข


 


 


แน่นอนว่าเมื่อมีสุนัข พวกเขาจึงจ้างครูฝึกสุนัขมืออาชีพมาคนหนึ่ง นอกจากนี้สุนัขตัวที่ว่ายังได้รับพื้นที่เฉพาะของมันในห้องทำงานนั้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ โม่ถิงถึงรับสุนัขที่ดุร้ายเช่นนี้มาเลี้ยงในห้องทำงาน


 


 


แม้แต่ฟังอวี้เองก็ยังกลัวทุกครั้งที่เข้าไปพบโม่ถิง “ท่านประธานโม่ครับ…ทำไมถังหนิงถึงรับเลี้ยงตัวอะไรแบบนั้นมาล่ะครับ”


 


 


โม่ถิงเงยหน้าขึ้นมามองสุนัขพิตบูลตัวนั้นแล้วพูดปัดฟังอวี้ “มันทำให้เธอมีความสุขยังไงล่ะ!”


 


 


“แต่มันดุมากนะครับ”


 


 


“มันไม่กัดนายหรอก” โม่ถิงมองเอกสารในมือของฟังอวี้ “เอาเอกสารมาให้ฉันแล้วไปซะ”


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ฟังอวี้เองก็ไม่กล้าอยู่ที่ห้องของโม่ถิงนานๆ


 


 


ไม่นานนักฟังอวี้ก็จากไป หลังจากนั้นโม่ถิงก็ชำเลืองมองเจ้าสุนัขพิตบูลหน้าดุแล้วยิ้มออกมา เขารู้ว่าถังหนิงกำลังคิดอะไรอยู่ นี่คือเรื่องประหลาดใจที่เธอเตรียมไว้ให้ใครบางคนอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ครู่ต่อมา พนักงานที่ดูธรรมดาและไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้องทำงานของโม่ถิง หากไปไล่ถามคนในไห่รุ่ยว่าเขาเป็นใครก็คงจะไม่มีใครจำเขาได้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วคนคนนี้กลับอยู่ในห้องทำงานของโม่ถิงนานถึงยี่สิบนาที…


 


 



 


 


บ่ายวันนั้น เฉกเช่นเดียวกับอีกหนึ่งธุรกิจ ซ่งซินกำลังดื่มชายามบ่ายกับทายาทชายผู้เลวทราม แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามปกปิดแค่ไหน ชายคนนั้นก็สัมผัสได้ถึงความเกลียดของเธอ


 


 


“คุณซ่งครับ…คุณไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ออกมาทานมื้อเที่ยงนี้ก็ได้นะครับ” ชื่อของชายคนนี้คือเซียวอวี่เหอ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับสองของไคหวงฟิล์มและเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ถึงครึ่งหนึ่งของกรุงปักกิ่ง ไคหวงฟิล์มลงทุนเงินจำนวนมากไปกับการซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศมาใช้ในโรงภาพยนตร์ของพวกเขา พวกเขายังพยายามจะมอบประสบการณ์ชั้นเลิศในโรงภาพยนตร์และเป็นดาวดวงใหม่ของวงการอีกด้วย


 


 


“ฉันก็แค่อารมณ์ไม่ดีน่ะค่ะ…”


 


 


“เป็นเพราะถังหนิงเหรอครับ” ชายผู้สวมแว่นกรอบสีน้ำตาลและเสื้อสูทลายทาง ผมของเขาถูกปาดไปด้านหลังด้วยความประณีต “คุณรู้หรือเปล่าว่าภาพยนตร์ใหม่ของเธอที่ชื่อ ‘คนรักที่สาบสูญ’ กำลังจะออกฉายเร็วๆ นี้ ตารางฉายถูกเลื่อนขึ้นมาน่ะครับ” 

 

 


ตอนที่ 694 การแก้แค้นของถังหนิง

 

“คุณพยายามจะพูดอะไรคะ” ซ่งซินไม่เข้าใจเท่าใดนัก


 


 


“ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ยินดีที่ผมสามารถช่วยเหลือคุณได้ ผมสามารถจำกัดการขายตั๋วของภาพยนตร์เรื่องใหม่ของถังหนิงได้ครับ” เซียวอวี่เหอยิ้ม “ถ้าเป็นภาพยนตร์ของถังหนิง ไคหวงก็จะไม่ฉายและช่วยให้คุณได้รับการแก้แค้น ว่ายังไงล่ะครับ”


 


 


“มันจะได้ผลเหรอคะ คนอื่นๆ ในไคหวงจะไม่พูดอะไรเลยเหรอ” ซ่งซินเอ่ยถามด้วยความข้องใจ


 


 


“ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสอง ผมสามารถทำการตัดสินใจเล็กๆ พวกนี้ได้ครับ มารอดูถังหนิงถูกทำให้กลายเป็นตัวตลกกันดีกว่า” เซียวอวี่เหอกล่าวในขณะที่ถือถ้วยกาแฟเอาไว้พร้อมกับส่งสายตาอันล้ำลึกและลึกลับ นี่คือวิธีการเอาใจซ่งซินของเขา โม่ถิงนั้นมีความสามารถ แต่เสียงของเขานั้นไร้น้ำหนักกับการตัดสินใจภายในของบริษัทอื่นๆ


 


 


หลังจากได้ยินข้อเสนอของเซียวอวี่เหอ ซ่งซินก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและผ่อนคลายหน้าผากตึงๆ ของเธอได้ในที่สุด


 


 


ทว่าระหว่างเปิดตัวภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องก่อนของถังหนิง มีปัญหาอะไรบ้างล่ะที่เธอไม่สามารถเอาชนะได้


 


 



 


 


คืนนั้น แสงไฟในไห่รุ่ยยังคงสว่างสุกใส


 


 


ต้วนจิ่งหงกลับมาที่ไห่รุ่ยเพราะถูกฟังอวี้เรียกพบ อย่างไรก็ตาม ขณะที่ก้าวเข้าไปในห้องของซ่งซิน เธอก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปมาอยู่ด้านนอก ต้วนจิ่งหงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงเปิดประตูและมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น “หล่อนมาจากแผนกไหนน่ะ อย่าเดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงนี้จะได้ไหม”


 


 


ผู้หญิงคนนั้นอายุประมาณยี่สิบปี ทันทีที่เธอเห็นต้วนจิ่งหง เธอก็เริ่มมาท่าทีลังเล


 


 


“พูดอะไรสักอย่างสิ…”


 


 


ผู้หญิงคนนั้นสูดหายใจเข้าลึกราวกับว่าต้องการความมุ่งมั่นอันแรงกล้าก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเธอแล้วยื่นมันให้ต้วนจิ่งหง


 


 


“นี่มันหมายความว่ายังไง” ต้วนจิ่งหงเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้


 


 


“ดูแล้วคุณจะเข้าใจเองค่ะ คุณสามารถเก็บมันไว้ได้ถ้าคุณให้เงินฉัน ส่วนที่เหลืออยู่ในห้องทำงานของท่านประธานโม่ค่ะ”


 


 


ต้วนจิ่งหงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ยังหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้กับผู้หญิงคนนั้น ทว่าต้วนจิ่งหงรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้คลี่ออกมาดู มันคือชิ้นส่วนหนึ่งของรายงานการประเมินผลที่เกี่ยวข้องกับถังหนิงและซ่งซินซึ่งถูกเขียนขึ้นมาโดยคณะผู้บริหารระดับสูงของไห่รุ่ย แต่กระดาษแผ่นนั้นเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนเล็กๆ อันที่จริงมันดูเหมือนเป็นแค่ฉบับร่างเท่านั้น ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนทำความสะอาดที่หยิบมันมาจากถังขยะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงพูดว่าชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ในห้องทำงานของประธานบริษัท


 


 


ต้วนจิ่งหงอยากรู้ว่าคณะผู้บริหารคิดอย่างไรกับซ่งซินและแผนในอนาคตที่พวกเขาวางไว้ให้เธอ แต่เธอจะไปอ่านรายงานตัวเต็มได้อย่างไรล่ะ


 


 


เธอต้องหาทางเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธาน…


 


 


วิธีที่ดีที่สุดที่เธอคิดได้คือตามหาคนทำความสะอาดคนนั้น


 


 


เป็นผลให้ต้วนจิ่งหงคอยตามหาคนทำความสะอาดคนนั้นและหาทางติดต่อกับเธอหลังจากที่ผ่านความยากลำบากมามากมาย หญิงสาวรีบอธิบายเจตนาของเธออย่างรวดเร็วว่าเธอต้องการการ์ดผ่านประตูของผู้หญิงคนนั้น


 


 


คนทำความสะอาดเพียงแค่อยากได้เงินจำนวนเล็กน้อยและไม่ต้องการทำอะไรสุ่มเสี่ยง ดังนั้นเธอจึงพักอยู่ในห้องพักพนักงานและเพิกเฉยต่อคำขอนั้น ทว่าต้วนจิ่งหงใช้โอกาสนี้ขโมยการ์ดผ่านประตูของคนทำความสะอาดมาแล้วยัดมันใส่กระเป๋าถือของเธอราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


คืนนั้นขณะที่ต้วนจิ่งหงกำลังจะมุ่งหน้ากลับไปที่บริษัท ซ่งซินก็หยุดเธอเอาไว้ “ดึกดื่นป่านนี้จะไปไหนของเธอ พักหลังมานี้เธอทำตัวลับๆ ล่อๆ จังนะ”


 


 


“ไปนอนก่อนเลย เดี๋ยวฉันจะกลับมาก่อนเที่ยงคืน อย่าถามอะไรมากเลย” ต้วนจิ่งหงพูดปัด


 


 


ซ่งซินถอนหายใจ ว่ากันตามตรงแล้ว เธอไม่เคยขอให้ต้วนจิ่งหงมาใจใส่เธอมากมาย เพราะถึงอย่างไรต้วนจิ่งหงก็มีพื้นที่และเวลาเป็นของตัวเอง ดังนั้นซ่งซินจึงไม่ยืนกรานที่จะเอาคำตอบพลางโบกมือให้ต้วนจิ่งหงเพื่อเป็นการบอกให้หญิงสาวออกไปได้


 


 


แต่ซ่งซินคงไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากที่ต้วนจิ่งหงออกไปคราวนี้ การที่เธอจะได้กลับมานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…


 


 



 


 


ต้วนจิ่งหงนั้นระมัดระวัง เมื่อก่อนเธอเคยทำเรื่องพวกนี้ให้ซ่งซินมานักต่อนักแล้ว เธอคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างยิ่งในขณะที่ก้าวเข้าไปในห้องทำงานของโม่ถิงโดยไม่มีใครสังเกตเห็น


 


 


หลังจากนั้น หญิงสาวก็ก้าวเข้าไปที่โต๊ะทำงานของโม่ถิงและเปิดลิ้นชักออกด้วยความระมัดระวัง แต่เธอไม่รู้เลยว่าลิ้นชักของโม่ถิงนั้นมีสัญญาณเตือนภัยติดตั้งอยู่ เหงื่อกาฬท่วมตัวหญิงสาวทันทีที่เธอได้ยินเสียงสัญญาณ ขณะที่เธอกำลังโดดผึงขึ้นเพื่อหลบหนี สิ่งมีชีวิตร่างยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของต้วนจิ่งหงก่อนจะกัดเข้าที่ขาของหญิงสาวแล้วลากเธอไปกับพื้นอีกสองสามเมตร


 


 


“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย!”


 


 


ครู่ต่อมา ครูฝึกสุนัขก็ตื่นขึ้นและรีบวิ่งออกมาจากห้องของเขาทันที เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ชายหนุ่มก็รีบสั่งให้สุนัขตัวนั้นปล่อย ทว่าในตอนนั้นขาของต้วนจิ่งหงก็ได้อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และกลายเป็นกองเลือดและเนื้อไปแล้ว


 


 


ครูฝึกสุนัขโทรหารถพยาบาลทันทีและทั่วทั้งไห่รุ่ยก็ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องนี้


 


 


ต้วนจิ่งหงถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว หลังจากการตรวจอย่างละเอียดแล้ว แน่นอนว่าอาการบาดเจ็บของเธอนั้นไม่เบาเลย โชคดีที่สุนัขตัวนั้นฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโรคครบทุกชนิดซึ่งรวมถึงพิษสุนัขบ้าด้วย ไม่อย่างนั้นต้วนจิ่งหงคงจะไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้


 


 


“ฉันต้องการโทรหาตำรวจ! ฉันต้องการตำรวจ!”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ครูฝึกสุนัขก็มองเธออย่างซื่อๆ เธอโทรหาตำรวจให้ต้วนจิ่งหงเหมือนกับการทำดีอย่างหนึ่ง


 


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกส่งตัวไปที่นั่นภายในสิบนาที หลังจากที่เดินทางมาถึงโรงพยาบาล พวกเขาก็เริ่มสอบสวนต้วนจิ่งหง “คุณแน่ใจเหรอครับว่าประธานบริษัทของคุณจงใจส่งสุนัขตัวนั้นมาทำร้ายคุณ”


 


 


ดวงตาต้วนจิ่งหงแดงก่ำและพร้อมที่จะหลั่งน้ำตา ทว่าครูฝึกสุนัขกล่าวขึ้นด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า “คุณตำรวจคะ ฉันคือคนที่โทรหาคุณเองค่ะ เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้หญิงคนนี้เล่าเลย ฉันยืนยันได้ค่ะว่าเธอแอบเข้ามาในห้องทำงานของท่านประธานเพื่อขโมยบางอย่าง แต่เธอไม่รู้ว่ามีระบบเตือนภัยติดตั้งอยู่ที่โต๊ะท่านประธาน สุนัขตัวนี้ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี เมื่อมันรู้ว่ามีโจรเข้ามา มันจะตอบสนองตามธรรมชาติค่ะ


 


 


“ฉันสามารถช่วยเธอเรื่องยื่นขอเงินชดเชยได้ แต่ฉันกับสุนัขของฉันจะต้องไม่ถูกตำหนิว่าจงใจทำร้ายคนอื่นค่ะ


 


 


“เธอคือคนที่ก้าวเข้ามาในที่อันตรายเอง อย่าบอกนะคะว่าคนอื่นต้องรับผิดชอบด้วย”


 


 


หลังจากได้ยินเช่นนี้ ตำรวจก็ชี้ไปที่ต้วนจิ่งหงแล้วเอ่ยถามครูฝึกสุนัขว่า “คุณมีหลักฐานไหมครับ”


 


 


“คุณตำรวจคะ ท่านประธานของเรามีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ในห้องทำงานของเขานะคะ เชิญคุณตำรวจเข้ามาดูภาพวงจรปิดได้เลยค่ะ” ครูฝึกสุนัขตอบ


 


 


ต้วนจิ่งหงนั้นได้รับบาดเจ็บและมีความผิด ดังนั้นหลังจากที่ตำรวจกลับไป เธอจึงหันหลังให้ครูฝึกสุนัขและแสร้งทำเป็นพักผ่อน


 


 


“หึๆ น่าสมเพชซะจริง…”


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะถูกสุนัขกัดอย่างรวดเร็วเช่นนี้ อันที่จริง อาการบาดเจ็บของเธอนั้นร้ายแรงกว่าอาการบาดเจ็บของฮั่วจิงจิงเสียอีก ก็สุนัขบูลด็อกจะมาเทียบเคียงกับสุนัขพิตบลูได้อย่างไรล่ะ


 


 


ขณะที่ต้วนจิ่งหงนึกถึงสุนัขที่ดุร้ายตัวนั้น เธอก็อยากจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ แทบแย่


 


 


ทีนี้เธอจะทำอย่างไรล่ะ เธอถามคนทำความสะอาดคนนั้นมาอย่างชัดเจนแล้วว่าที่ห้องทำงานของโม่ถิงมีกล้องวงจรปิดหรือไม่และเธอก็แน่ใจว่าไม่มี…


 


 


แต่ถ้าเกิดมันมีขึ้นมาจริงๆ ล่ะ


 


 


เธอจะทำอย่างไร


 


 


แล้วไหนจะขาของเธออีก


 


 


ต้วนจิ่งหงนอนน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่บนเตียงพักฟื้น เธอไม่กล้าติดต่อซ่งซิน ทว่าขณะที่นอนอยู่ตรงนั้น หญิงสาวก็พลันนึกถึงบางอย่างที่น่ากลัวขึ้นมา


 


 


หรือนี่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้แค้นของถังหนิง 

 

 


ตอนที่ 695 ผู้จัดการของฉันถูกสุนัขกัด

 

ต้วนจิ่งหงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวและเสียวสันหลังวาบมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุด เธอก็หาเหตุผลมากมายมาปลอบโยนตัวเอง


 


 


“เป็นไปไม่ได้ ถังหนิงไม่มีทางฉลาดกว่าซ่งซินหรอก ถังหนิงไม่มีทางรู้หรอกว่าฉันทำอะไรลงไป”


 


 


แต่ทุกอย่างช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน ความบังเอิญเช่นนี้มีอยู่จริงงั้นหรือ


 


 


เช้าวันถัดมา ซ่งซินมุ่งหน้าไปที่ไห่รุ่ยด้วยตัวเองและรู้จากพนักงานคนหนึ่งที่นั่นว่าผู้จัดการของเธอถูกสุนัขกัด “เมื่อคืนมีใครบางคนประเมินตัวเองสูงเกินไป พยายามเข้าไปขโมยบางอย่างจากห้องทำงานของท่านประธาน แต่คนคนนั้นกลับถูกสุนัขท่านประธานกัดอย่างคาดไม่ถึง ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้เขากำลังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่านะ”


 


 


“ก็เรื่องจริงน่ะสิ! คนคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้จัดการของซ่งซินที่ชื่อต้วนจิ่งหงนั่นละ เมื่อเช้ามีตำรวจเข้ามาตรวจดูสถานการณ์และเอาสำเนาภาพจากกล้องวงจรปิดไป น่าตลกชะมัด! หล่อนหาเรื่องใส่ตัวเองและถูกจับได้คาหนังคาเขาแท้ๆ!”


 


 


ซ่งซินบังเอิญได้ยินคนทำความสะอาดคุยกันระหว่างที่เธออยู่ในลิฟต์ ทันทีที่หญิงสาวก้าวออกมา เธอก็โทรหาต้วนจิ่งหงทันที “ตอนนี้เธออยู่ไหน”


 


 


“ฉะ…ฉันต้องกลับบ้านเกิดสักพักน่ะ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน” ต้วนจิ่งหงสร้างเรื่องโกหกทันที


 


 


“จิ่งหง เธอก็รู้นี่ว่าจะเป็นยังไงถ้าโกหกฉัน” ซ่งซินพุ่งตัวเข้าไปในห้องทำงานของฟังอวี้โดยไม่รอคำตอบของต้วนจิ่งหงและจ้องหน้าชายหนุ่ม “ผู้จัดการของฉันถูกสุนัขกัดเหรอคะ”


 


 


“เธอเป็นผู้จัดการของคุณนะ คุณควรจะถามตัวเองไหมครับ มาถามผมทำไม” ฟังอวี้ถามกลับโดยไม่ตอบคำถามของซ่งซิน


 


 


“การกระทำของท่านประธานโม่มันหมายความว่ายังไงคะ ทำไมเขาถึงปล่อยให้สุนัขมากัดผู้จัดการของฉัน”


 


 


“สุนัขของท่านประธานโม่เลี้ยงอยู่ในห้องทำงานของเขาครับ มันยังไม่เคยกัดใครเลย ผมก็เลยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมมันถึงกัดผู้จัดการของคุณ” ฟังอวี้เลี่ยงตอบความถามต่อไป “ตำรวจกำลังสืบเรื่องนี้และได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วครับ มันเป็นความผิดของผู้จัดการของคุณที่ไม่หลับไม่นอนตอนดึกๆ ดื่นๆ และแอบย่องเข้าไปในห้องทำงานของท่าประธานโม่เพื่อขโมยบางอย่างแทน นั่นเป็นเหตุผลที่เธอถูกกัด”


 


 


“ฉันไม่เชื่อคุณหรอก”


 


 


ฟังอวี้ดูจะคาดเดาคำตอบนี้เอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดในคอมพิวเตอร์ที่ตำรวจได้ดูไปเมื่อก่อนหน้านี้ให้ซ่งซินดู “ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ หลักฐานมันก็อยู่ตรงหน้าคุณแล้วครับ”


 


 


ซ่งซินดูไม่พอใจนัก โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด เธอไม่เคยคิดเลยว่าต้วนจิ่งหงจะโง่ถึงขนาดแอบย่องเข้าไปในห้องทำงานของโม่ถิง


 


 


ดังนั้นหญิงสาวจึงหลับตาลงแล้วเบือนหน้าหนีไปจากจอภาพ


 


 


“ไห่รุ่ยจะประกาศให้สาธารณชนได้ทราบความจริงก่อนจะเตรียมค่าสินไหมให้เธอ จากนี้ไป ผมก็ขออวยพรให้เธอได้ดีด้วยตนเอง


 


 


“อีกอย่าง เพื่อไม่ให้เรื่องนี้กระทบคุณมากเกินไป จะดีที่สุดถ้าคุณรักษาระยะห่างจากผู้จัดการของคุณและแยกแยะให้ได้”


 


 


หลังจากได้ยินเช่นนั้น ซ่งซินก็จับแขนของฟังอวี้ทันที “ไห่รุ่ยจะประกาศความจริงไม่ได้ แล้วจากนี้ฉันจะสู้หน้าคนบนโลกยังไงล่ะ”


 


 


“ไห่รุ่ยมีภาระผูกพันที่จะให้ความร่วมมือกับทางตำรวจและเปิดเผยความจริงครับ” ฟังอวี้ตอบนิ่งๆ “อีกอย่าง สุนัขของท่านประธานโม่อยู่ของมันดีๆ มาโดยตลอดและไม่เคยโจมตีใครมาก่อน ทำไมมันต้องถูกตำหนิเพราะผู้จัดการไร้สมองของคุณด้วยล่ะครับ ถ้าคนอื่นไม่รู้ พวกเขาคงคิดว่าท่านประธานโม่เป็นคนหัวรุนแรง”


 


 


ซ่งซินไม่มีเหตุผลหรือสิทธิ์อะไรในการยืนหยัดเพื่อต้วนจิ่งหงเลย ด้วยว่าเธอก็ถูกจำได้คาหนังคาเขาและมีภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน


 


 


แต่หญิงสาวนึกไม่ออกเลยว่าทำไมต้วนจิ่งหงถึงทำลงไปเช่นนั้น


 


 


ก่อนที่เรื่องราวดังกล่าวจะเริ่มแพร่ออกไป ซ่งซินปลอมตัวอย่างแนบเนียนและไปเยี่ยมต้วนจิ่งหงที่โรงพยาบาล เธอกลัวว่าผู้คนจะเชื่อมโยงเธอกับคำว่า ‘ขโมย’


 


 


“ซ่งซิน เธอมาแล้ว รีบช่วยฉันที”


 


 


ขาต้วนจิ่งหงปกคลุมไปด้วยผ้าพันแผลขณะที่เธอนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายไปด้วยความหวังทันทีที่เห็นซ่งซิน


 


 


“ช่วยเธอ?” ซ่งซินผลักต้วนจิ่งหงออกด้วยความผิดหวังอย่างที่สุด “คนทั้งปักกิ่งกำลังจะได้ยินเรื่องราวอันน่าอับอายของเธอ ฉันควรจะช่วยเธอยังไงล่ะ พวกตำรวจตรวจสอบความจริงแล้ว ส่วนไห่รุ่ยก็พร้อมที่จะประกาศความจริง ฟังอวี้ขอให้ฉันรักษาระยะห่างจากเธอ ดังนั้นเธอจึงต้องเป็นทุกข์เล็กน้อยและจัดการตัวเองต่อหน้าแสงสปอตไลต์ด้วยตัวเอง” พูดจบ ซ่งซินก็หยิบบัตรธนาคารออกมาจากกระเป๋าถือของเธอ


 


 


“ในนี้มีเงินจำนวนมากพอให้เธอได้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปอีกทั้งชีวิตเลย รักษาไว้ดีๆ ล่ะ…”


 


 


“นี่เธอวางแผนจะทอดทิ้งฉันในเวลาแบบนี้เหรอ” ต้วนจิ่งหงตกใจกับการกระทำของซ่งซิน


 


 


“ฉันไม่ได้ทอดทิ้งเธอ ฉันแค่หลบหน้าเธอไปสักพักเท่านั้นเอง เธอไม่อยากให้เราทั้งคู่ต้องถูกทำลายหรอกใช่ไหม ให้เวลามันหน่อย หลังจากที่เธอไม่ได้เป็นจุดสนใจแล้ว เธอก็เปลี่ยนชื่อและกลับมาอยู่เคียงข้างฉันได้”


 


 


ต้วนจิ่งหงนิ่งเงียบ เพราะถึงอย่างไร สิ่งแรกที่ซ่งซินทำทันทีที่เธอมาถึงนั้นไม่ใช่การเอ่ยถามเธอว่าจะทำอย่างไรดีหรือถามถึงอาการของขาเธอ แต่หญิงสาวกลับมอบเงินให้เธอและพยายามกำจัดเธอแทน


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ต้วนจิ่งหงก็ถามขึ้นมาในที่สุดว่า “เธอไม่กลัวว่าฉันจะแทงข้างหลังเธอเหรอ”


 


 


“เธอไม่ทำแบบนั้นหรอก เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่” ซ่งซินตอบอย่างมั่นใจ


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองรู้ความลับของอีกฝ่าย หากมีคนใดคนหนึ่งทรยศอีกคน พวกเขาทั้งคู่ก็จะต้องทุกข์ทรมาน ต้วนจิ่งหงจะประชันขันแข่งกับซ่งซินที่กำลังเป็นที่นิยมและมีพ่อเป็นผู้พิพากษาได้อย่างไรล่ะ


 


 


ดังนั้นต้วนจิ่งหงจึงแสยะยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหมองหม่น “ไปเถอะ อย่าลืมล็อกประตูด้วยล่ะ”


 


 


ซ่งซินมั่นใจแล้วว่าต้วนจิ่งหงรู้ว่าต้องทำอะไร เธอจึงบอกให้หญิงสาวไปพักผ่อน ครู่ต่อมา ต้วนจิ่งหงก็หายเข้าไปในห้องของโรงพยาบาลราวกับว่าซ่งซินไม่เคยไปปรากฏตัวที่นั่น


 


 


ดังเช่นคำที่พูดกันบ่อยๆ ว่าคนเราจะแสดงธาตุแท้ให้ได้เห็นตอนที่ลำบาก กลับกลายเป็นว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน


 


 


ต้วนจิ่งหงทำได้เพียงอวยพรให้ซ่งซินโชคดีกับชื่อเสียงของเธอ…


 


 



 


 


ไม่นานนัก ไห่รุ่ยก็ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าต้วนจิ่งหงถูกสุนัขกัดในระหว่างที่เธอพยายามขโมยบางอย่าง ชื่อ ‘ต้วนจิ่งหง’ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงบนโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเธอคือประเด็นร้อนแรงของคนทั่วทั้งประเทศในฐานะที่เป็นตัวตลก


 


 


[ผู้จัดการคนนี้นี่เป็นตัวสร้างปัญหาจริงๆ เธอลากซ่งซินให้ตกต่ำลงไปด้วยมากเกินไปแล้ว]


 


 


[ยัยนั่นสมองหมูหรือยังไงนะ กล้าดียังไงถึงพยายามไปขโมยของจากห้องทำงานของท่านประธานโม่ ก็สมควรแล้วล่ะที่ถูกหมากัดเอา!]


 


 


[ฉันรู้สึกละอายแทนหล่อนจริงๆ หล่อนทำตัวเองอับอายต่อหน้าคนทั้งประเทศเลยนะ]


 


 


[ไห่รุ่ยจัดการกับปัญหานี้ได้ดีทีเดียวเลยนะ ถึงผู้จัดการคนนี้จะไร้สมอง พวกเขาก็ยังช่วยเธอเรื่องเตรียมค่าสินไหม ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะไม่ให้หล่อนเลยแม้แต่สลึงเดียว เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าหล่อนไปแหย่หมามันเอง]


 


 


[ตอนนี้พอฉันมองหน้าซ่งซินทีไร ฉันก็รู้สึกอับอายนิดๆ ไปด้วยเลยแฮะ ไม่รู้ว่าทำไม!]


 


 


[ฮ่าๆ เธอไม่ใช่คนเดียวหรอก]


 


 


ทั่วทั้งโลกออนไลน์เต็มไปด้วยความคิดเห็นมากมาย แม้ซ่งซินจะพยายามทำตัวกลมกลืน แต่ก็ยังได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี เพราะถึงอย่างไร ต้วนจิ่งหงก็เป็นผู้จัดการของเธอและการกระทำของต้วนจิ่งหงก็ทำให้มันยากที่จะแยกทั้งสองออกจากกัน


 


 


[ฉันรู้สึกเหมือนซ่งซินรู้เรื่องนี้และมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดนะ]


 


 


[ซ่งซินกำลังอยู่ในจุดที่น่ากระอักกระอ่วน สิ่งที่ดีที่สุดที่เธอทำได้ในตอนนี้คืออยู่เงียบๆ เอาไว้]


 


 



 


 


 


 


สาธารณชนถกเถียงกันเรื่องปัญหานี้ต่อไปอย่างกระตือรือร้น แต่แน่นอนว่าฟังอวี้พบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ช่างแปลกประหลาด ต้วนจิ่งหงดูไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้น เธอทำพลาดครั้งใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร


 


 


ที่แปลกที่สุดก็คือ ทำไมจู่ๆ ถังหนิงที่กำลังจะคลอดลูกถึงรับเลี้ยงสุนัขตัวนั้น 

 

 


ตอนที่ 696 เธอเองก็อยากเห็นโชคชะตาของซ่งซินเช่นกัน!

 

ฟังอวี้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาจำเป็นต้องรู้ความจริง ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจโทรหาถังหนิง ทว่าถังหนิงอยู่ที่ไห่รุ่ยพอดี “ถ้ามีคำถามล่ะก็ มาถามฉันที่ห้องทำงานสิ”


 


 


ฟังอวี้กดวางสายแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของประธานบริษัท ทันทีที่เขาเห็นถังหนิงนั่งอย่างปลอดภัยอยู่บนโซฟาและไม่เห็นสุนัขตัวนั้นอีกแล้ว สายตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความสับสน


 


 


“สุนัขตัวนั้นทำร้ายคน เราก็เลยส่งมันไปที่อื่นแล้วน่ะ” ถังหนิงชี้แจงอย่างเป็นธรรมชาติ


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” ฟังอวี้เอ่ยถามโดยที่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อย่างน้อยคุณก็ควรบอกผมหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


 


“นายไม่คิดเหรอว่าภาพนี้มันดูคุ้นๆ” ถังหนิงมองหน้าฟังอวี้อย่างจริงจัง


 


 


ฟังอวี้จ้องหน้าถังหนิงอยู่หลายนาที ความเป็นไปได้ที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้พลันแล่นเข้ามาในหัวของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยถามว่า “นี่มันไม่เกี่ยวกับฮั่วจิงจิงใช่ไหมครับ”


 


 


“นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นติดค้างจิงจิง ขาและอาชีพของเธอ แม้ว่าเธอจะเทียบเคียงกับจิงจิงไม่ได้ แต่มันคือการชดใช้ของเธอสำหรับตอนนี้” ถังหนิงกล่าวนิ่งๆ ทว่าฟังอวี้ไม่เข้าใจความเย็นชาในดวงตาของเธอเลย “ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอก ก็แค่อยากจะตาต่อตาฟันต่อฟันกับเธอเท่านั้น แต่เธอยังติดค้างอยู่อีกเรื่องหนึ่ง เร็วๆ นี้ฉันจะส่งมันไปให้เธอในนามของจิงจิงเอง”


 


 


“การบาดเจ็บของจิงจิงไม่ใช่อุบัติเหตุเหรอครับ”


 


 


“แน่นอนว่าไม่ มีคนเห็นกับตาว่าต้วนจิ่งหงอยู่แถวๆ อะพาร์ตเมนต์ของนายในคืนที่ฮั่วจิงจิงได้รับบาดเจ็บ บนโลกใบนี้ ถ้ามีใครทำอะไรลงไป มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย” ถังหนิงตอบก่อนจะมองฟังอวี้ด้วยสีหน้ามืดมน “นายเป็นสามีของฮั่วจิงจิง ถ้านายรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า นายคงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ไหนจะเรื่องที่มันเป็นศึกระหว่างผู้หญิงอีก ดังนั้นฉันจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้นายเข้ามาพัวพันด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันรับมือกับมันโดยไม่ปรึกษานายก่อน โดยเฉพาะตอนที่ฉันเองก็อยากได้รับการชดใช้ด้วยเหมือนกัน”


 


 


ฟังอวี้พลันพูดไม่ออก เขาตกใจกับความจริงเพราะเขารู้สึกว่าหัวใจมนุษย์นั้นช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน


 


 


แน่นอนว่าเขาไม่มีวันสงสารต้วนจิ่งหง ไม่อย่างนั้นแล้วภรรยาผู้บริสุทธิ์ของเขาล่ะ


 


 


“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมคือคนสุดท้ายที่รู้…”


 


 


“ไม่หรอก จิงจิงเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”


 


 


ฟังอวี้ไม่พูดอะไรอีก เพราะเขารู้ว่าทุกอย่างที่ถังหนิงทำลงไปนั้นก็เพื่อช่วยให้ฮั่วจิงจิงได้แก้แค้น


 


 


ในตอนท้าย ฟังอวี้จำไม่ได้ว่าเขาออกมาจากห้องทำงานของโม่ถิงตอนไหน อย่างเดียวที่เขาจำได้คือ ก่อนที่เขาจะออกมา โม่ถิงบอกกับเขาว่า “เตรียมโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง ‘คนรักที่สาบสูญ’ ด้วย เนื่องจากวันปล่อยฉายถูกเลื่อนออกไป เราจึงจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด”


 


 


จากนั้นฟังอวี้ก็เดินทางไปเยี่ยมต้วนจิ่งหงที่โรงพยาบาลในนามของไห่รุ่ย หลังจากที่คนเยี่ยมไข้คนอื่นๆ อวยพรเธอเสร็จ ฟังอวี้ก็ขออยู่กับต้วนจิ่งหงเพียงลำพังสักพักหนึ่ง


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่รู้ว่าฟังอวี้ต้องการคุยเรื่องอะไร บางทีเขาอาจจะแค่อยากบอกให้เธอไม่ฉุดซ่งซินลงไปด้วยหรืออะไรอย่างนั้น ทว่าหญิงสาวต้องประหลาดใจเมื่อฟังอวี้เอ่ยถามว่า “มันเป็นความคิดของคุณหรือซ่งซินครับ”


 


 


ต้วนจิ่งหงตัวแข็งทื่อ เธอไม่แน่ใจนักว่าฟังอวี้พยายามจะถามอะไร


 


 


“ใช้ให้หมาดุตัวหนึ่งมาโจมตีจิงจิง เป็นความคิดของคุณหรือซ่งซิน”


 


 


เมื่อได้ยินชื่อจิงจิง ต้วนจิ่งหงก็ประสานมือขึ้นด้วยความประหม่าแล้วส่ายหน้า “ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่ค่ะ”


 


 


“ผมมั่นใจว่าคุณรู้ว่าตัวเองมาลงเอยแบบนี้ได้ยังไง ผมอยากทราบว่าใครคือคนบงการ ตอบผมสิ”


 


 


ฟังอวี้แสดงตนอย่างชัดเจน ต้วนจิ่งหงลงเอยด้วยสภาพเช่นนี้เพราะมันถูกวางแผนเอาไว้และมันก็ไม่ใช่อุบัติเหตุ


 


 


แต่มันคือการเอาคืน!


 


 


หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ดวงตาต้วนจิ่งหงก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ในเมื่อซ่งซินคิดถึงแต่ตัวเอง งั้นเธอก็จะทิ้งปัญหาเอาไว้ให้ซ่งซินรับมือเพียงลำพัง “ซ่งซินค่ะ”


 


 


“ไม่มีใครเตือนคุณเหรอว่าอย่าไปแหย่ถังหนิง ผมเคยเห็นคนที่มั่นใจจนเกินตัวมามากมาย แต่ชะตาของพวกเขาน่ะ…คุณดูด้วยตัวเองยังได้เลย…” น้ำเสียงฟังอวี้เยือกเย็นดุจน้ำแข็ง “ผมได้ยินมาว่าคุณกับซ่งซินแตกหักกันแล้ว คิดถึงสิ่งที่คุณทำเพื่อเธอแล้วดูวิธีที่เธอปฏิบัติกับคุณเป็นการตอบแทนสิ ผมพูดได้อย่างเดียวเลยว่าหว่านพืชยังไงย่อมได้ยังงั้น!”


 


 


ต้วนจิ่งหงไม่สามารถตอบโต้ได้เลย เพราะถึงอย่างไรทุกอย่างที่ฟังอวี้พูดก็คือความจริง


 


 


ผู้คนบนโลกใบนี้ช่างน่าหวาดกลัว เหมือนกับซ่งซินและถังหนิง


 


 


ซ่งซินไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลในการทำร้ายใครสักคน มันอาจเป็นแค่เพราะเธอไม่ชอบหน้าคนคนนั้น


 


 


ทว่าบนโลกนี้ก็ยังมีคนอย่างถังหนิงที่มักจะให้ผู้คนชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเสมอ เธอไม่เคยเย้าแหย่คนอื่นๆ แต่เธอก็ได้แก้แค้นทุกครั้ง


 


 


เมื่อนำผู้หญิงทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันแล้ว เธอชอบวิธีการของถังหนิงมากกว่า อย่างน้อย…


 


 


…ถังหนิงก็มีบรรทัดฐานของเธอ


 


 


“ฉันรู้ว่าฮั่วจิงจิงคือภรรยาของคุณ ถ้าคุณอยากจะแก้แค้นละก็ มาทำฉันเลย ฉันรับมือไหว”


 


 


“ไม่จำเป็นครับ คุณเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างคุณก็ชดใช้มาพอแล้วด้วย” ฟังอวี้พยายามจะพูดว่าคนที่สำคัญที่สุดในเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นซ่งซิน


 


 


ถึงกระนั้น ฟังอวี้ก็ยังทิ้งของของขวัญเล็กๆ เอาไว้ให้ต้วนจิ่งหงขณะที่จากมา


 


 


โรงพยาบาลที่เคยปลอดภัยในตอนแรกนั้นพลันเต็มไปด้วยนักข่าวมากมาย เมื่ออยู่ต่อหน้ากล้อง ศักดิ์ศรีเสี้ยวสุดท้ายของต้วนจิ่งหงนั้นก็ได้หมดลง…


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน ซ่งซินนั้นหวาดกลัวจนไม่กล้าสูดหายใจเข้าลึกๆ สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือซ่อนตัวอยู่ในบ้าน เธอหวาดกลัวเกินกว่าจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของต้วนจิ่งหง


 


 


หลังจากเหตุการณ์ของต้วนจิ่งหง งานของซ่งซินจึงถูกพักไปชั่วคราว ไห่รุ่ยเองก็ไม่มีเจตนาที่จะจัดผู้จัดการคนใหม่ให้เธอเช่นกัน ดังนั้นสถานการณ์ในปัจจุบันของเธอจึงหยุดนิ่ง


 


 


ซ่งซินรอจนกระทั่งสถานการณ์ซาลงก่อนจะนั่งคิดถึงเรื่องต้วนจิ่งหงในที่สุด จากความเข้าใจของเธอ ต้วนจิ่งหงไม่ใช่คนโง่เช่นนั้น


 


 


ทว่าในช่วงเวลาที่เร่งรีบนั้น หญิงสาวเพียงแต่จดจ่ออยู่กับการตัดขาดกับต้วนจิ่งหงและไม่ได้ถามถึงเหตุการณ์นั้นโดยละเอียด แม้ว่าไห่รุ่ยจะประกาศผลการสืบสวนแล้ว พวกเขากลับไม่เคยเอ่ยถึงเจตนาของต้วนจิ่งหงเลย


 


 


หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ ซ่งซินก็โทรหาต้วนจิ่งหง “จิ่งหง คิดยังไงฉันก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้สึกเหมือนใครบางลอบวางแผนทำร้ายเรา”


 


 


ต้วนจิ่งหงถือโทรศัพท์ไว้แล้วแสยะยิ้ม “ฉันก็แค่ไม่ระวังให้มากพอ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ…”


 


 


หญิงสาวบอกไม่ได้และจะไม่บอกซ่งซินว่าถังหนิงรู้เรื่องเล่ห์กลของซ่งซินแล้ว เธออยากเห็นถังหนิงค่อยๆ กลืนกินซ่งซินไปทั้งตัว


 


 


ซ่งซินคิดว่าเธอเป็นอัจฉริยะ เธอคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้าน ใครจะไปคิดล่ะว่าเธอเป็นได้แค่อีกาที่สะกดรอยตามพญาหงส์เมื่อได้เผชิญหน้ากับถังหนิง


 


 


เธอจินตนาการไม่ออกหรอกว่าถังหนิงอีคิวสูงแค่ไหนและเธอก็คงไม่อยากจะเดาหรอกว่าถังหนิงรู้มากแค่ไหน…


 


 


“จิ่งหง เธอต้องบอกความจริงกับฉันนะ นั่นเป็นทางเดียวที่ฉันจะสามารถรับรองความปลอดภัยของเราทั้งสองคนได้”


 


 


เธอแค่กำลังปกป้องตัวเองเท่านั้นแหละ ซ่งซินคิดกับตัวเอง


 


 


“ไม่มีอะไรมากกว่านี้จริงๆ ฉันก็แค่ถูกความโลภเข้าครอบงำชั่ววูบ ฉันเหนื่อยแล้วนะ ขอไปพักผ่อนก่อนนะ” ต้วนจิ่งหงกล่าวก่อนจะกดวางสาย


 


 


ซ่งซิน…


 


 


จากนี้ไป เธอต้องจัดการกับทุกๆ เรื่องด้วยตัวเอง


 


 


หลายๆ ครั้งที่ต้วนจิ่งหงรู้สึกเกลียดซ่งซิน หลังจากที่เธอทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ซ่งซินไปนั้น ผลลัพธ์มันเป็นอย่างไรล่ะ


 


 


เธอเองก็อยากเห็นโชคชะตาของซ่งซินเช่นกัน!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม