เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 685-692

 ตอนที่ 685 มีเรื่องต้องคุย


 


 


ซูหลีมึนงงไปหมดแล้ว


 


 


อะไรที่เรียกว่า คิดว่าลู่เหมียนเหมียนของพวกเขาเป็นอย่างไรกัน


 


 


นางตะลึงค้างและเงยหน้าขึ้นมองลู่เหมียนเหมียนอย่างห้ามไม่ได้ กลับเห็นใบหน้าแดงระเรื่อคล้ายกับดื่มของมึนเมาของลู่เหมียนเหมียน


 


 


“…” ซูหลีพูดไม่ออก


 


 


คงไม่ใช่อย่างนางคิดกระมัง


 


 


ซูหลีถึงกับมุมปากกระตุก นี่หากนางเป็นบุรุษ ที่จริงนางก็รู้สึกชื่นชมลู่เหมียนเหมียน ถึงจะต้องแต่งลู่เหมียนเหมียนเข้ามาก็ดี ทว่าปัญหาก็คือนางไม่ใช่บุรุษจริงๆ!


 


 


นี่เป็นเรื่องที่จัดการค่อนข้างยาก อย่างไรนางก็ไม่สามารถแต่งลู่เหมียนเหมียนเข้ามาได้ จะให้นางบอกผู้อื่นว่าเป็นสตรีอย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่การทำร้ายลู่เหมียนเหมียนไปทั้งชีวิตหรอกรึ


 


 


เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูหลีรู้สึกตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้เอ่ยว่า “เหมียนเหมียนถือว่าเป็นคนดีขอรับ”


 


 


นางเรียกลู่เหมียนเหมียนว่า ‘เหมียนเหมียน’ ทำให้ลู่เหมียนเหมียนตะลึงค้าง จากนั้นความเขินอายบนใบหน้ายิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม


 


 


ซูไท่เห็นดังนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ จะพูดอย่างไรชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว เขาไม่ยอมให้ซูหลีแต่งนางเข้ามาอย่างแน่นอน


 


 


ทว่านี่…


 


 


“แม่ทัพลู่ ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับเหมียนเหมียนขอรับ” หลังจากซูหลีพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย นางกลับมองที่แม่ทัพลู่ปราดหนึ่ง


 


 


ในสายตาของแม่ทัพลู่ บัดนี้ซูหลีไม่ต่างอะไรกับว่าที่สามีของบุตรีเขา อีกทั้งยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกพอใจ นอกจากร่างกายที่ดูบอบบางเล็กไปบ้าง เรื่องอื่นก็ไม่มีข้อด้อยอะไร!


 


 


“ดีๆๆ พวกเจ้าไปเถอะ” แม่ทัพลู่ปัดมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ ซูหลีเห็นดังนั้นจึงผงกศีรษะแล้วมองที่ลู่เหมียนเหมียนปราดหนึ่ง ลู่เหมียนเหมียนถูกนางมองเช่นนี้ ดวงตาจึงยิ่งเป็นประกาย


 


 


“ท่านพ่อ” ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดลู่อวี้เหิงที่อยู่ด้านข้างกลับทนมองต่อไปไม่ไหว เขามองเห็นซูหลีมองลู่เหมียนเหมียนด้วยสายตาเมินเฉย จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ลูกขอตามน้องสาวไปด้วยเถิด”


 


 


แม่ทัพลู่ไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้มากนัก เมื่อได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะ จากนั้นจึงหันไปพูดกับซูไท่ต่อ


 


 


ในขณะที่ซูไท่กำลังสนทนากับแม่ทัพลู่ ทว่าสายตาคู่นั้นของเขากลับมองที่ซูหลีอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


ซูหลีผงกศีรษะให้เขาอย่างเข้าใจ ซูไท่เห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงเก็บงำความกังวลใจของเขาเอาไว้


 


 


ช่างเถอะ อย่างไรซูหลีก็เป็นคนที่ประเมินสถาณการณ์ได้บ้าง


 


 


หากนางชื่นชอบลู่เหมียนเหมียนจริง แต่งเข้ามาในบ้านก็คงไม่เป็นไร


 


 


ฐานะตำแหน่งของซูหลีในเวลานี้ มีเรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ซูไท่กล่าวไปประโยคหนึ่งแล้วจะสามารถแก้ปัญหาได้


 


 


ซูหลีคิดไม่ถึงว่า ลู่อวี้เหิงจะตามพวกเขาไปด้วย ที่จริงแล้วในใจของนางมีความรู้สึกทะแม่งๆ กับลู่อวี้เหิงคนนี้ ทว่านางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้


 


 


แม้นางจะไม่ทราบว่า หลายปีมานี้ลู่อวี้เหิงจักต้องประสบกับเรื่องอะไรบ้าง ทว่าพวกเขาก็เติบโตมาด้วยกัน และนางก็เชื่อใจลู่อวี้เหิง คำพูดที่นางจะเอ่ย ให้ลู่อวี้เหิงรับฟังด้วยก็ดีเหมือนกัน


 


 


“เชิญ” หลังจากออกจากห้องรับรอง ซูหลีก็นำลู่อวี้เหิงกับลู่เหมียนเหมียนทั้งสองคนเดินไปยังเรือนที่พักของนาง


 


 


ตลอดทางที่เดินไปนั้น ลู่เหมียนเหมียนก้มศีรษะไม่กล้าพูดอะไรกับซูหลี


 


 


พูดตามความจริง ในขณะที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย คนที่ถูกซูหลีช่วยเอาไว้ในขณะนั้น คงเป็นไปได้ยากมากที่จะไม่รู้สึกหวั่นไหว


 


 


ทว่าเมื่อพูดถึงความหวั่นไหว ที่จริงแม้แต่ลู่เหมียนเหมียนก็ยังไม่แน่ใจนัก


 


 


นางรู้เพียงว่าเป็นเพราะการปรากฏตัวของซูหลี ทำให้ความหลงใหลที่นางมีต่อเฉิงเค่อเบาบางลง


 


 


ซูหลีกลับทำให้นางปล่อยวางจากคนที่นางไม่สามารถปล่อยวางได้มาตลอดหลายปี


 


 


“นายน้อย!” เมื่อเห็นซูหลีกลับมา เย่ว์ลั่วกับไป๋ฉินสองคนจึงออกมาต้อนรับ


 


 


ลู่เหมียนเหมียนได้ยินดังนั้น จึงเงยหน้าขึ้นก็พบกับสาวใช้ข้างกายของซูหลีทั้งสองคน คนหนึ่งนั้นเป็นสาวงาม อีกคนนั้นเป็นคนน่ารักไร้เดียงสา แต่ละคนต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทว่ากลับมีความงดงามที่เหมือนกัน!


 


 


ลู่เหมียนเหมียนชะงักไปเล็กน้อย ทว่าในใจกลับไม่มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 686 เป็นข้าที่ไม่คู่ควร


 


 


ที่แปลกมากก็คือ แม้นางจะรู้ว่าตนเองชื่นชอบซูหลีเป็นอย่างมาก


 


 


ทว่ายามที่นางเห็นสาวใช้ทั้งสองคนปรากฏตัวข้างกายซูหลี นางกลับไม่รู้สึกริษยาเลยแม้แต่น้อย


 


 


ไม่เหมือนกับตอนที่นางชื่นชอบเฉิงเค่อ เพียงข้างกายของเฉิงเค่อปรากฏสตรีคนหนึ่งขึ้น นางจะรู้สึกตึงเครียดและว้าวุ่นเป็นอย่างมาก


 


 


ความรู้สึกที่แปลกประหลาดนี้ ลู่เหมียนเหมียนตั้งข้อสรุปว่า ซูหลีหน้าตาดีเกินไปแล้ว


 


 


จึงเป็นเหตุทำให้ความงามของสาวใช้ทั้งสองคนถูกลดทอนลง


 


 


“ไปชงชามากาหนึ่ง!” เมื่อนำทั้งสองคนเข้าไปในห้อง ซูหลีก็นำนางมาที่ห้องที่ใช้รับรองแขกในยามปกติ จากนั้นจึงออกคำสั่งด้วยเสียงแผ่วเบา


 


 


ไป๋ฉินรับคำสั่งของนางและเดินออกไปข้างนอก จึงเหลือเพียงเย่ว์ลั่วที่อยู่ข้างกายนาง


 


 


“เย่ว์เอ๋อร์ ไปเฝ้าด้านนอกเอาไว้ หากไม่มีคำสั่งของข้า อย่าให้ใครสักคนเข้ามา” ซูหลีเห็นเช่นนั้นจึงนั่งที่ตำแหน่งของตนเอง จากนั้นจึงเอ่ยกำชับประโยคหนึ่ง


 


 


“เจ้าค่ะ” เย่ว์ลั่วขานรับ


 


 


ทว่าลู่อวี้เหิงกับลู่เหมียนเหมียนก็มองนางอย่างไม่เข้าใจนัก


 


 


มีเรื่องอะไร ที่จะต้องแยกคนของตนเองออกไป อีกทั้งยังไม่ให้คนอื่นได้ยิน


 


 


ในชั่วขณะนี้ ลู่อวี้เหิงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงมองวิเคราะห์ซูหลีที่อยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน


 


 


อย่างไรก็ต้องกล่าวว่า ซูหลีมีรูปโฉมงดงามเป็นอันดับต้นๆ


 


 


หากมิใช่เพราะการแต่งกายของซูหลี คงจะมีคนคิดว่านางเป็นสตรีคนหนึ่ง…


 


 


“เหมียนเหมียน ข้าสามารถเรียกเจ้าเช่นนี้ได้หรือไม่” เมื่อเห็นเย่ว์ลั่วออกไป ซูหลีจึงแย้มยิ้มให้กับลู่เหมียนเหมียนอีกครั้งหนึ่ง


 


 


ลู่เหมียนเหมียนผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงผงกศีรษะอย่างว่านอนสอนง่าย


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา นางมองลู่เหมียนเหมียนอย่างจริงจังและเอ่ยว่า “เหมียนเหมียน เฉิงเค่อผู้นั้นเขาไม่ใช่คู่ชีวิตที่ดีของเจ้า บัดนี้เจ้าสามารถตัดใจจากเขาได้แล้ว นั่นถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุด ทว่า…”


 


 


ไม่รู้ว่าซูหลีผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ นางยิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ใช่คู่ชีวิตที่ดีอะไรเช่นกัน”


 


 


ลู่เหมียนเหมียนได้ยินดังนั้น สีหน้านางจึงขาวซีด ดังนั้นที่ซูหลีเรียกนาง มาภายในเรือนที่พักของตนเองนั้น ก็เพื่อต้องการปฏิเสธนางหรือ


 


 


ความงามของสตรีที่ได้รับความนิยมในราชวงศ์นี้ ล้วนเป็นสตรีที่มีรูปร่างบอบบางและดูนิ่มนวล ลู่เหมียนเหมียนนั้นเติบโตขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะตั้งแต่ยังเด็ก นางก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจตนเองเป็นอย่างมาก


 


 


หัวใจของนางนั้น ดูอ่อนแอกว่ารูปลักษณ์ภายนอกของนางเป็นอย่างมาก หลังจากนางได้ยินคำพูดของซูหลีถึงกับแข็งค้างไปทั้งร่าง


 


 


“ใต้เท้าซู นี่ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน” ลู่อวี้เหิงที่มองซูหลีอย่างขัดตามาโดยตลอด เขากลับรู้สึกว่าการกระทำของซูหลีนี้ เป็นการดูแคลนลู่เหมียนเหมียน


 


 


“พี่ลู่อย่าเพิ่งร้อนใจไป” ซูหลีมองเขาปราดหนึ่ง นางเกือบจะพูดคำว่า ‘สวี่อวี้เหิง’ ทว่านางเม้มริมฝีปากและเมื่อควบคุมตนเองได้จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลว่า


 


 


“ข้าไม่ได้มีความหมายอื่น เพียงแต่ตัวตนของข้าไม่เหมาะสมที่จะอยู่เคียงข้างเหมียนเหมียนก็เท่านั้น”


 


 


“ตัวตนของเจ้า!? ตัวตนอะไรของเจ้ากัน!? ซูหลีหากเจ้าจะอาศัยตำแหน่งบันฑิตถ้านฮวาของการสอบเคอจวี่เพื่อดูแคลนเหมียนเหมียนเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องพูดแล้ว!” ลู่อวี้เหิงถูกซูหลียั่วให้โมโหจนถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและจูงมือลู่เหมียนเหมียนเตรียมจะเดินออกไป


 


 


สายตาของลู่เหมียนเหมียนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง เมื่อทราบความคิดของซูหลีแล้ว ไยนางจึงจะไม่รู้สึกผิดหวังหรือปวดใจ เพียงแต่ประหลาดใจมากก็คือ นางไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งใจเหมือนกับตอนที่รู้ว่าเฉิงเค่อต้องการปฏิบัติกับนางเช่นนั้น


 


 


นางมีความตื่นตระหนกและถูกลู่อวี้เหิงจูงมือเตรียมจะออกไปโดยไม่รู้สึกตัว


 


 


“พี่ลู่ อย่าเพิ่งใจร้อนไป คำพูดของข้านี้ไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งสิ้นและไม่ได้ดูแคลนเหมียนเหมียน เพียงแต่ปัญหาอยู่ที่ร่างกายของข้า ข้าไม่คู่ควรกับเหมียนเหมียน” ซูหลีขวางทางลู่อวี้เหิงเอาไว้จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน


ตอนที่ 687 เดิมเป็นสตรี


 


 


ลู่อวี้เหิงได้ยินคำพูดประโยคนี้จึงอดสงสัยไม่ได้ เขาตวัดตามองนางปราดหนึ่ง


 


 


กลับเห็นดวงตาที่ใสแวววาวของนางที่มีไม่ความรู้สึกใดๆ


 


 


ในความทรงจำ มีสตรีผู้หนึ่งก็มีแววตาเช่นนี้


 


 


ลู่อวี้เหิงถึงกับตะลึงค้างไปในทันที จากนั้นจึงหยุดฝีเท้าลง เมื่อเขาหยุดลู่เหมียนเหมียนที่ถูกเขาจูงเอาไว้ก็หยุดฝีเท้าลงด้วยเป็นธรรมดา


 


 


“พูดตามความจริงอย่างไม่ปิดบัง หากข้าสามารถแต่งสตรีอย่างเหมียนเหมียนเข้ามาได้ ข้านั้นยินยอมสมัครใจ ทว่าปัญหาก็คือ…ข้าไม่สามารถแต่งงานได้!”


 


 


“ทำไมจะแต่งไม่ได้กัน” ลู่อวี้เหิงขมวดคิ้ว พลันคืนสติกลับมา สีหน้าของเขาแม้จะยังดูย่ำแย่ ทว่าก็ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่หลายส่วน


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงมองไปที่ทั้งสองคน นางคล้ายกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง นางสูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ผ่านไปนานมากนางถึงได้เอ่ยว่า


 


 


“ข้า…ไม่ใช่บุรุษโดยแท้!”


 


 


ทันทีที่พูดจบ แม้แต่ลู่เหมียนเหมียนที่กำลังมีความรู้สึกตกต่ำและยังไม่สามารถเดินออกมาจากความรู้สึกเหล่านั้นได้ ก็อดมองซูหลีด้วยความตะลึงพรึงเพริดมิได้


 


 


นะ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน


 


 


ซูหลีชำเลืองมองสายตาที่เปลี่ยนไปของทั้งสองคน จากแววตาที่จ้องมองนางด้วยโทสะในเวลาแรก เปลี่ยนเป็นสงสาร นางไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี จากนั้นจึงรีบเอ่ยอธิบายว่า


 


 


“ไม่ใช่เช่นนั้น แต่…ที่จริงแล้วข้าเป็นสตรีคนหนึ่ง”


 


 


คำพูดนี้กลับเหลวไหลกว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นเสียอีก!


 


 


ลู่เหมียนเหมียนเบิกตากว้างมองที่ซูหลี


 


 


ทว่าลู่อวี้เหิงกลับขมวดคิ้วเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงหวนคิดถึงงานวันเกิดของซูหลีก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าแม่เลี้ยงของซูหลีจะเปิดโปงว่าซูหลีเป็นสตรี


 


 


บัดนี้เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ จึงทำให้เขาหวนคิดเรื่องในวันนั้นขึ้นมา


 


 


หากที่หลี่ซื่อกล่าวมาเป็นเรื่องจริงเล่า?


 


 


ในเวลานี้สีหน้าของลู่อวี้เหิงกับลู่เหมียนเหมียนเปลี่ยนเป็นสับสนอย่างมาก


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “สถานการณ์ในครอบครัวของข้า พวกเจ้าคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว บิดาของข้าไม่มีบุตรชาย ในปีนั้นมารดาของข้าเพื่อให้นางสามารถอยู่ในสกุลซูได้อย่างมั่นคง ตั้งแต่ให้กำเนิดข้า นางก็บอกบิดาว่าข้าเป็นบุตรชาย”


 


 


“ตลอดหลายปีมากนี้ ข้าจึงถูกเลี้ยงดูแบบบุรุษมาโดยตลอด ทว่าข้าเป็นสตรีอย่างแท้จริง หากเหมียนเหมียนไม่เชื่อ ก็สามารถเข้าไปในห้องกับข้าได้”


 


 


ความหมายของซูหลีนั้นเข้าใจง่ายมาก ในเมื่อเป็นสตรีเช่นเดียวกัน นางจึงต้องการให้ลู่เหมียนเหมียนเข้าไปพิสูจน์ความจริง จะได้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง


 


 


ทว่าเมื่อลู่เหมียนเหมียนหวนสติกลับคืนมา จึงส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน


 


 


ซูหลีเห็นนางขบริมฝีปาก ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เอ่ยว่า “คุณชาย…ใต้เท้าซู บุรุษใต้หล้านี้คงจะไม่มีใครนำเรื่องนี้มาพูดเล่น”


 


 


ใครจะเสียสติ ใช้ข้ออ้างว่าตนเป็นสตรีเพื่อปฏิเสธการแต่งงานกัน


 


 


แต่ก่อนลู่เหมียนเหมียนนั้นชอบเฉิงเค่อจนเกินไป จึงไม่ใส่ใจกับตนเอง ทว่านางมิใช่คนเขลา


 


 


อีกทั้งซูหลียังเคยช่วยเหลือนางหลายต่อหลายครา นางยังถือว่าเชื่อมั่นในตัวของซูหลีอยู่


 


 


สามารถกล่าวได้ว่า…เรื่องนี้ทำให้คนตกตะลึงจนเกินไป ทว่าเมื่อลู่เหมียนเหมียนพินิจพิเคราะห์ซูหลีอย่างถี่ถ้วน กลับพบว่ารูปโฉมของซูหลีนั้นควรจะเกิดเป็นสตรีจริงๆ


 


 


หากนางแต่งกายอย่างสตรีทั่วไป เกรงว่าแม้แต่สตรีชั้นสูงในเมืองหลวงก็ยังเทียบกับนางมิได้


 


 


น่าแปลกที่เรื่องนี้จะดูเหลวไหลเป็นอย่างมาก ทว่าหลังจากลู่เหมียนเหมียนได้ยินก็ควรมีความรู้สึกอื่นๆบ้าง ทว่านางกลับยังนิ่งเฉย


 


 


นิ่งเฉยราวกับทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าซูหลีเป็นสตรี


 


 


“ดังนั้นเหมียนเหมียน ไม่ใช่ข้าไม่อยากแต่งเจ้าเข้าบ้าน ทว่าหากข้าแต่งเจ้าเข้ามาจริง นั่นก็เป็นความผิด เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่” ซูหลียิ้มอย่างขมขื่น บัดนี้เรื่องที่สตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษนั้น…


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 688 เหมือนกับมิตรสหายผู้หนึ่ง


 


 


สิ่งที่ควรจะรู้และไม่ควรจะรู้ ก็รู้ไปหมดแล้ว


 


 


 “…ข้ารู้แล้ว” ลู่เหมียนเหมียนนิ่งไปครู่ใหญ่ จากนั้นจึงพูดออกมาสามคำ


 


 


ซูหลีเหลือบตาขึ้นมองนาง ก็เห็นใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาเป็นประกาย


 


 


“ข้าไม่โทษเจ้า” ลู่เหมียนเหมียน คงจะพอเข้าใจความหมายในดวงตาซูหลี ลู่เหมียนเหมียนส่ายศีรษะ นางจึงยิ้มน้อยๆ เพียงแต่ในรอยยิ้มนี้ยังเจือไปด้วยความทุกข์ทรมาน เพราะนางไม่มีความสามารถในการแยกแยะคน


 


 


ไม่ว่าจะก่อนหน้าหรือตอนนี้ นางก็ไม่รู้ว่าเฉิงเค่อเป็นคนแบบไหนกันแน่ และก็มองความเป็นผู้หญิงของซูหลีไม่ออก


 


 


มอบใจของตนเองออกมาเช่นนี้ พูดไปแล้วก็เป็นความผิดของตัวนาง


 


 


“หากไม่เพราะไม่มีเจ้า เกรงว่าวันนี้ข้าก็คงไม่อยู่ที่นี่แล้ว” ลู่เหมียนเหมียนจึงได้สติและเอ่ยเช่นนี้ออกมาด้วย นางมองซูหลีอยู่ครู่ใหญ่ แล้วนางก้าวเดินขึ้นมาในทันทีดึงมือซูหลีพลางเอ่ย


 


 


“เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำ จะโทษเจ้าได้อย่างไร?”


 


 


ซูหลีเห็นเช่นนี้จึงกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้


 


 


ลู่เหมียนเหมียนเป็นคนเช่นนี้ นางใจกว้างอย่างยิ่ง


 


 


ในจุดนี้เป็นจุดที่ไม่ได้ทำให้ซูหลีเสียใจภายหลังที่ช่วยนาง


 


 


“เพียงแต่หวังว่าต้องขอทั้งสองท่านช่วยเก็บความลับเรื่องนี้ให้ข้า วันนี้ข้าขึ้นหลังเสือแล้วหากมีคนอื่นล่วงรู้เข้าเกรงว่าคง…”


 


 


“เจ้าวางใจเถอะ” นางยังไม่ทันพูดจบ ลู่เหมียนเหมียนตบมือนางเบาๆ เป็นการปลอบใจแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “หากข้าไม่พูด พี่ชายไม่พูด เรื่องนี้ก็จะไม่มีใครล่วงรู้อีก”


 


 


ซูหลีได้ยินเช่นนี้ก็โล่งอก นางเองก็กำลังวางเดิมพันอยู่เช่นกัน


 


 


นางวางเดิมพันว่าลู่เหมียนเหมียนจะไม่เสียคำพูด ดูแล้วคราวนี้นางไม่ได้พนันผิด


 


 


ซูหลีคิดถึงจุดนี้นี้ก็เหลือบตามองลู่อวี้เหิงเล็กน้อย ก็เห็นลู่อวี้เหิงมองนางด้วยแววตาประหลาด


 


 


ใจซูหลีเต้นกระตุก นางลืมไปว่าสวี่อวี้เหิงคนเก่าก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง


 


 


“ต้องขอถามใต้เท้าซูทำไมท่านถึงต้องแต่งตัวเป็นผู้ชายด้วย ทั้งยังรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง แถมยังเข้าร่วมสอบเคอจวี่ด้วย ตอนนี้ยัง…” สวี่อวี้เหิงไม่รู้ว่าตนเองว่าควรจะพูดอะไรดี


 


 


แต่เขามักนึกถึงคนผู้หนึ่งเมื่อเห็นซูหลี


 


 


คนผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้ ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแอบอบบาง แต่นิสัยพื้นฐานแล้วเป็นคนพยศ ดื้อดึง และดื้อรั้น


 


 


ตัวนางเองก็เคยป่าวถามว่าทำไมอิสตรีถึงเข้าร่วมสอบเคอจวี่ไม่ได้ ใต้หล้านี้มีอิสตรีที่มีความรู้ ไม่แน่ว่าอาจจะพอๆ กับพวกผู้ชายเสียด้วยซ้ำไป


 


 


ซูหลีในตอนนี้ทำพลอยนึกถึงคนผู้นั้นอย่างง่ายดาย


 


 


ลู่อวี้เหิงย้อนคิดอย่างละเอียดแล้ว ค้นพบว่าทั้งสองคนมีจุดเหมือนกันอย่างมาก


 


 


หลังเขาเปียกเหงื่อเย็นๆ จนชุ่มโชก เขาเองก็ไม่ได้จะคิดอะไรประหลาดๆ เพียงแต่คิดว่าจะมีใครยอมปล่อยบ้านสกุลหลี่หรือไม่


 


 


ซูหลีจงใจทำเช่นนี้หรือไม่


 


 


ซูหลีเห็นท่าทางลู่อวี้เหิง แววตานางเป็นประกายวิบวับ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงแหบแห้ง


 


 


“เรื่องนี้พูดไปแล้วมันยาวและจะเกี่ยวโยงกับคนจำนวนมาก จึงต้องขอโทษด้วยที่ข้าไม่สามารถพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ว่า…”


 


 


“แต่ว่าอะไร?” ลู่อวี้เหิงมองนาง


 


 


“ตอนแรกที่ได้ยินชื่อพี่ลู่ ข้าก็รู้สึกแปลกๆ เพราะข้าเองก็เคยมีมิตรเก่า เมื่อก่อนนางมีพี่ชายชื่ออวี้เหิง แต่ว่าไม่ใช่ลู่อวี้เหิงแต่เป็นสวี่อวี้เหิง!”


 


 


พอนางเอ่ยเช่นนี้ใบหน้าลู่อวี้เหิงก็เปลี่ยนสีไปอย่างมาก กระทั่งสีหน้าลู่เหมียนเหมียนที่อยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนตามไปด้วย


 


 


ซูหลีเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจในทนัที สีหน้าราบเรียบและเอ่ยอย่างสงสัย “พี่ลู่รู้จักคนผู้นั้นหรือไม่?”


ตอนที่ 689 พี่ชายของหลี่จื่อจิน


 


 


“..ย่อมต้องไม่รู้จักอยู่จักแล้ว!” ลู่อวี้เหิงนิ่งไปชั่วครู่ ก็เอ่ยด้วยใบหน้าแข็งกระด้างทันที


 


 


ซูหลีเห็นเช่นนี้หัวใจพลันหนักอึ้ง แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงถามต่อ แต่ยิ้มและเอ่ยเท่านั้น “ข้าไพล่คิดไปว่าคนที่มีชื่อเหมือนกัน พี่ลู่ก็น่าจะรู้จักบ้างกระมัง!”


 


 


“ใต้หล้านี้มีคนชื่อเหมือนกันเยอะไป ย่อมไม่รู้จักคนที่ชื่อเหมือนกันไปทุกคนกระมัง” ลู่อวี้เหิงเอ่ยหน้าแข็ง ด้วยใบหน้าขึงขังอย่างบอกไม่ถูก


 


 


แต่หลังจากเขานิ่งไปชั่วครู่ก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้และเอ่ย “เพียงแต่ว่า คนที่ใต้เท้าซูรู้จักนั้น เป็นคนอย่างไร?”


 


 


เขาปิดปากเงียบ ซูหลีก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาเพียงแต่เงียบนิ่งและเอ่ย “คนผู้นั้นจากไปนานแล้วและเป็นสตรีที่เติบโตในเหย้าในเรือน พูดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าพี่ลู่จะรู้จักหรือไม่”


 


 


 “เจ้าลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ!” ลู่อวี้เหิงเกร็งไปทั้งร่าง หมัดที่กำแน่นนั้นถือเป็นการระบายอารมณ์ของเขา


 


 


ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เหมียนเหมียนเห็นลู่อวี้เหิงมีสภาพเช่นนี้


 


 


ในความทรงจำของนาง ลู่อวี้เหิงเป็นบุตรบุญธรรมที่ไม่รู้ว่าบิดาของนางไปเอามาจากที่ไหน ท่านพ่อบอกแค่ว่า เขาไร้ที่ไป บิดามารดาของเขาตายไปหมดแล้ว ท่านพ่อสงสารเขาจึงรับเขามาเลี้ยงดู


 


 


ส่วนเรื่องอื่นนั้นลู่เหมียนเหมียนก็ไม่รับรู้แล้ว


 


 


“คนผู้นั้นแซ่หลี่ นามจื่อจิน เป็นบุตรสาวคนโตของเสนาบดีหลี่รุ่ยอิง! และเป็นชายาของติ้งอันโหวเสิ่นฉางชิง!” ซูหลีมองลู่อวี้เหิงเอ่ยช้าๆ เนิบๆ แต่หนักแน่น


 


 


หน้าลู่อวี้เหิงเปลี่ยนสีอย่างมาก ถึงเขาตั้งใจจะปิดบัง แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดได้


 


 


เดิมเขารู้สึกว่าซูหลีและหลี่จื่อจินมีอะไรเหมือนกันอย่างไม่ถูก เช่นหลี่จื่อจินทำขนมเค้กเป็น หรือหลี่จื่อจินเคยพูดจาประหลาดชวนต้องตะลึงมาแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าซูหลีจะรู้จักกับหลี่จื่อจินด้วย


 


 


ซูหลีเห็นทั้งสีหน้าและท่าทางเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถึงข้ากับพี่จื่อจินเป็นสหายเก่า ดังนั้นถึงได้รู้ว่านางก็มีพี่ชายที่มีชื่อเดียวพี่ลู่ เพียงแต่หลังจากที่พี่จื่อจินตายไปแล้วก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาอีก…”


 


 


นางก้มหน้าสีหน้าดูไม่ใคร่ดีนัก ประหนึ่งพูดถึงเรื่องที่ทำให้นางไม่ค่อยมีความสุขนัก


 


 


ลู่อวี้เหิงได้ยินถึงตรงนี้พลันได้สติกลับมา


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาหลี่จื่อจินก็เป็นคนขวางโลก ถึงแม้เขาจะอยู่ในบ้านสกุลหลี่หลายปี แต่ก็ไม่สนิทสนมอะไรกับจื่อจินนัก โดยเฉพาะหลังจากที่เขาปฏิเสธเรื่องที่หลี่รุ่ยอิงอยากจะให้สมรสกับจื่อจินแล้ว เขาก็จงใจอยู่ให้ห่างจากนาง


 


 


ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยรู้ว่าหลี่จื่อจินอยู่ในเรือนเป็นอย่างไร และคบหากับผู้ใดบ้าง


 


 


เพียงแต่…


 


 


ลู่อวี้เหิงอดมองไม่ได้ เขาจ้องซูหลีอยู่นาน


 


 


ตามนิสัยของจื่อจินแล้ว จะมีความสนใจในเรื่องเดียวกับซูหลีก็ไม่แปลกนัก อย่างไรเสียทั้งสองคนก็ไม่ใช่กุลสตรีที่ว่าสอนง่ายอะไรเสียหน่อย!


 


 


โดยเฉพาะอย่ายิ่งซูหลีคนนี้ เป็นอิสตรีแต่กลับสอบได้ถ้านฮวา ถ้าคนใต้หล้ารู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะมีคนอีกสักเท่าไหร่ที่คงอ้าปากไม่หุบแน่!


 


 


สีหน้าลู่อวี้เหิงซับซ้อนอย่างมาก แล้วเขาก็ไม่ได้ฟังสิ่งที่ซูหลีพูดต่ออีก


 


 


แต่กลับดำดิ่งครุ่นคิดเรื่องของตนเอง


 


 


ซูหลีเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้บีบคั้นอะไรเขาอีก นางรู้ว่าควรหยุดที่ตรงนี้แล้ว


 


 


ถึงจะเรื่องเกิดใหม่ที่แสนประหลาดเกิดกว่าจะอธิบาย อย่างน้อยๆ ก็ต้องอย่าให้ลู่อวี้เหิงเป็นศัตรูกับนางมากนัก


 


 


บ้านสกุลหลี่ถูกล้างบางไปแล้ว ลู่อวี้เหิงรอดชีวิตกลับมาซูหลีเองก็รู้ดีอย่างยิ่ง เขาไม่ใช่คนที่ตระบัดสัตย์อะไร เกรงว่าการที่เขาเป็นลู่อวี้เหิงอาศัยอยู่ในบ้านสกุลลู่ คงเป็นวิธีรับมือระยะสั้นเท่านั้น


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 690 บุคคลหลังม่าน


 


 


ความแค้นของสกุลหลี่ นางจะเป็นคนแก้แค้นเอง


 


 


ทว่านางไม่ต้องการให้ลู่อวี้เหิงเป็นปฏิปักษ์กับตน วิธีที่ดีที่สุดก็คือบอกเขาว่า ตนรู้จักตนเองในอดีต


 


 


ซูหลีทราบดีว่า แต่ก่อนสวี่อวี้เหิงจักต้องไม่เคยสนใจคนที่ไปมาหาสู่กับหลี่จื่อจินอย่างแน่นอน


 


 


ดังนั้นนางถึงได้กล้าพูดเช่นนี้


 


 



 


 


ยามคนสกุลลู่จากลาจากจวนสกุลซูนั้น ลู่เหมียนเหมียนกับไม่มีท่าทางเขินอายเหมือนกับก่อนหน้านี้ ทว่ากลับดูสนิทสนมกันมากกว่าเดิม


 


 


ผ่านไปไม่นานนางก็ให้ซูหลีกลายเป็นสหายคนสนิทที่จริงใจของตน ทำให้ซูหลีรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


 


อย่างไรครานี้นางก็อธิบายอย่างชัดเจนแล้ว นางละทิ้งความทุกข์ในใจทั้งหมดและได้สหายมาอีกคน สรุปแล้วนี่ก็ถือเป็นเรื่องดี


 


 


ทว่าซูไท่นั้น…


 


 


“ทำไมก่อนหน้านี้ คุณหนูสกุลลู่ยังมีใจให้เจ้าอยู่เลย ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็กลับกลายเป็นเหมือนกับพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว! นี่ช่าง…”


 


 


“แค่ก แค่ก แค่ก!” ซูหลีที่กำลังดื่มชาอยู่ด้านข้าง ทันทีที่ได้ยินซูไท่เอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา ก็แทบสำลักอออกมา


 


 


“ท่านพ่ออย่าได้สนใจอะไรมากเลย สกุลลู่ไม่มีทางที่จะอยากเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเราอีก”


 


 


“จริงรึ” ซูไท่มองซูหลีอย่างสงสัยปราดหนึ่ง ทว่าเขากลับพยักหน้า เดิมเขาก็รู้สึกว่า ซูหลีกับลู่เหมียนเหมียนไม่เหมาะสมกัน เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว


 


 


“เช่นนั้นเจ้ามีสตรีที่ถูกใจแล้วหรือยัง”


 


 


“…” ซูหลีชะงักไปครู่หนึ่ง “เรื่องเหล่านี้ ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องสนใจ การเป็นลูกผู้ชายจะต้องสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ เรื่องของสกุลเฉิง ข้าจะคอยจัดการให้ดี!”


 


 


ซูหลีทนนั่งต่อไปไม่ไหว นางโบกมือไปมา จากนั้นจึงหนีออกไปอย่างรวดเร็ว และไม่เปิดโอกาสให้ซูไท่ตอบสนองเลยแม้แต่เล็กน้อย


 


 


ซูไท่มองซูหลีที่หนีเตลิดออกไป เขาลูบเคราของตนเอง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


เรื่องของสกุลเฉิง สุดท้ายยังไม่มีการตัดสิน ต่อจากนี้ไปซูหลีจะเริ่มไม่ว่างแล้ว


 


 


การจัดการกับคนที่อยู่เบื้องหลังผงฝิ่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยแท้


 


 


โชคดีที่ซูหลีมีวิธีการของตนเอง ในระยะสั้นๆ ก็สามารถค้นพบกลุ่มคนที่ขายผงฝิ่นในเมืองหลวงแล้ว จะให้พูดอย่างละเอียดเกรงว่าคงจะเป็นกลุ่มค้าฝิ่นกลุ่มหนึ่ง


 


 


อีกทั้งยังอยู่ภายใต้การร่วมมือของผู้ตรวจราชการเขตซุ่นเทียน[1] จึงจะต้องกวาดล้างผงฝิ่นให้สิ้นซาก!


 


 


ขุนนางในท้องพระโรง ต่างพากันสรรเสริญนาง แม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจนางนัก อีกทั้งยังมีหนังสือยื่นมติไม่ไว้วางใจนาง ทว่าฮ่องเต้ทรงไม่ทอดพระเนตรเลยแม้แต่น้อย


 


 


หลังจากนั้นยังมีการปูนบำเหน็จ และยังคิดที่จะมอบยศถาบรรดาศักดิ์ให้แก่ซูหลีอีกด้วย


 


 


ในเวลานี้ซูหลีมันมีเกียรติยศกว้างไกลที่สุดในราชสำนัก ในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยมาสกุลซูเพื่อสู่ขอซูหลี!


 


 


การที่ครอบครัวฝ่ายหญิงมาสู่ขอฝ่ายชายถือเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก ทว่าเป็นซูหลีเป็นคนเช่นนี้ี่จึงถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก


 


 


ครานี้หากจัดการกับเรื่องนี้เรียบร้อย เกรงว่าก่อนอายุยี่สิบปี นางจะสามารถเข้าเป็นคณะเสนาบดีอาวุโสได้ สินค้าที่แย่งกันซื้อเช่นนี้ สกุลฝ่ายหญิงก็มิได้สามารถห่วงศักดิ์ศรีมากมายอะไรได้


 


 


หวังว่าตำแหน่งอำมาตย์ของคณะเสนาบดีอาวุโส จะสามารถกำหนดไว้ล่วงหน้าได้!


 


 


อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ ซูหลีกลับไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงแต่หลักจากตรวจสอบต้นตอของสิ่งนี้แล้วกลับพบว่ามีขุนนางจำนวนไม่น้อย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย


 


 


เมื่อคิดดูแล้วของสิ่งนี้ถือเป็นการค้าที่ได้กำไรมหาศาล


 


 


หากสามารถทำได้ เงินที่ขาวเรืองรองคงคล้ายดั่งเงินที่ร่วงหล่นจากฟ้ามิปาน ที่ใครก็สามารถไปหยิบมันขึ้นมาได้


 


 


ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้นางสนใจ แต่หลังจากที่จับกลุ่มการค้าฝิ่นนี้ได้ ก็เป็นการค้นหาจนเจอเบาะแส และจะสามารถจับตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังได้


 


 


อีกทั้งคนผู้นี้เป็นคนที่นางคุ้นเคยดี!


 


 


จะพูดให้ถูกต้องนี้เป็นที่นางคิดไม่ถึง!


 


 


นั่นก็คือเสิ่นฉางชิงที่ถูกย้ายกลับมาประจำการที่เมืองหลวงก่อนปีใหม่


 


 


 


 


——


 


 


[1] ผู้ตรวจราชเขตซุ่นเทียน เป็นชื่อตำแหน่ง มีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจปราบปราบความไม่สงบในแว่นแคว้น


ตอนที่ 691 ยังคิดจะร้องเรียน


 


 


หลังจากเสิ่นฉางชิงกลับมาประจำการที่เมืองหลวง นางก็ไม่เคยพบเขาเลยสักครั้ง


 


 


เพียงแต่ได้ยินคนลือว่า เขาถูกย้ายมาประจำการที่กรมโยธา ควบคุมโครงการเล็กๆ อยู่


 


 


จะว่าไปเขาก็เป็นติ้งอันโหว การกระทำเรื่องเช่นนี้ถือว่าทำให้เขาลำบากเป็นอย่างมาก ทว่าเป็นเพราะเรื่องที่กระทำผิดเหล่านั้น การที่สามารถรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ถือเป็นโชคดีแล้ว อย่าว่าแต่ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ เลย


 


 


และไม่รู้ว่าเสิ่นฉางชิงเดินเส้นทางไหนกัน หลังจากที่กระทำผิดเช่นนั้นแล้ว ยังสามารถกลับเข้าเมืองหลวงได้อีก


 


 


ทว่าเรื่องเหล่านี้ซูหลีไม่สนใจ นางเพียงรับรู้ว่าบัดนี้เสิ่นฉางชิงถูกนางจับพิรุธได้ เช่นนั้นนางจักต้องจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม! ไม่โอนอ่อนแม้แต่น้อย!


 


 


“ใต้เท้า ข้านำคนมาแล้ว!” สถานที่ที่โดดเด่นและเงียบสงบมากในเรือนของซูหลี ได้ถูกนางใช่เป็นห้องหนังสือ


 


 


ที่นี่ถือเรือนรับรองเก่า ไปไหนมาไหนก็สะดวก อีกทั้งโดยรอบยังมีสวนไผ่ที่แน่นขนัด ดูสง่างามและเงียบสงบเป็นอย่างมาก ในช่วงนี้ซูหลีมักจะจัดการเรื่องต่างๆ ที่นี่


 


 


คนใต้อาณัติของนางล้วนมาที่นี่จนคุ้นชินแล้ว ในเวลานี้ฉิวลิ่วได้นำทหารสองทหารที่มัดคนผู้หนึ่งอย่างแน่นหนาเข้ามา และผลักร่างของเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าซูหลี


 


 


ฉินลิ่วคือทหารที่ฉินเย่หานคัดเลือกให้แก่ซูหลี นอกจากเขาแล้วยังมีทหารที่มาจากในวังหลวงอีกหลายคน ทุกคนล้วนเป็นผู้มีฝีมือ


 


 


ทุกคนล้วนทราบดีว่า ฮ่องเต้ประทานคนเหล่านี้ให้แก่ซูหลี นี่หมายความว่าพระองค์ต้องการให้ตรวจสอบเรื่องนี้ไปถึงต้นตอ


 


 


ดังนั้นคนฉลาดก็จะไม่เคลื่อนไหวสะเปะสะปะ เรื่องวุ่นวายที่ซูหลีคาดคะเนเอาไว้จึงยังไม่ปรากฏขึ้น


 


 


ทว่า…


 


 


นางมองที่เสิ่นฉางชิงที่ถูกทหารจับกุมมาด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ซึ่งเขากำลังคุกเข่าอยู่และยังถูกปิดปากเอาไว้


 


 


เกรงว่าเสิ่นฉางชิงจะมีความยุ่งยากตั้งแต่แรก!


 


 


“อื้อๆๆ!” เสิ่นฉางชิงถูกผ้ายัดเอาไว้ในปากเขา ยามที่เห็นซูหลี เขาก็พยายามส่งเสียงร้องอู้อี้อยู่หลายครา สายตาที่จับจ้องซูหลีนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น


 


 


ซูหลีคล้ายกับไม่เห็นเขามิปาน นางใช้มือทั้งสองข้างเท้าคาง และมองเสิ่นฉางชิงด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจแล้วเอ่ยว่า


 


 


“ท่านโหว ไม่ได้เจอกันนานแล้ว!”


 


 


“อื้อ!” สิ่งที่ตอบนางนั้นกลับเห็นเสียงคลุมเครือดังกลับมา


 


 


สีหน้าของซูหลีเต็มไปด้วยความตกใจ นางตวัดสายตามองคนที่อยู่ด้านข้างปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “มัวทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบนำผ้าออกจากปากท่านโหวอีก!”


 


 


“ขอรับ!” ชุยตานได้ยินดังนั้นจึงรีบสาวเท้าเข้าไปนำผ้าออกจากปากของเสิ่นฉางชิง


 


 


“ซูหลี!!! เจ้ากล้าลักพาตัวขุนนางของราชสำนัก กล้าลักพาตัวข้า นี่เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วใช่หรือไม่!?” หลังจากนำผ้าผืนนั้นออกมา ดวงตาแดงก่ำของเสิ่นฉางชิงก็จ้องมองที่ซูหลี


 


 


ทันทีที่ซูหลีได้ยินคำพูดของเขา นางก็เบิกบานใจในทุกที นางหัวเราะและเอ่ยว่า “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ท่านโหวยังคงมีบุคลิกที่น่าเกรงขามเหมือนเดิม หากไม่รู้คงคิดว่าเจ้าทำเรื่องดีงามอะไรแล้ว!”


 


 


“ถุย!” เสิ่นฉางชิงมีใบหน้าแดงก่ำ เขาถ่มน้ำลายออกจากและเอ่ยอย่างถากถางว่า “ซูหลี หากเจ้ายังรู้ความทางที่ดีก็ปล่อยข้าไปเสีย มิเช่นนั้น…”


 


 


“มิเช่นนั้นอะไรรึ จะไปฟ้องร้องต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาหรืออย่างไร” ซูหลีเอียงหน้ามองเขา ในดวงตากลับมีประกายอันตรายวูบไหวอยู่


 


 


“ไป รีบไปฟ้องร้องเลย! ท่านโหว อย่าหาว่าข้าไม่เตือนสติเจ้า เรื่องที่เจ้ากระทำผิดในครานี้ แม้แต่คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ยังปกป้องเจ้าไม่ได้!”


 


 


“ตุบ!” ซูหลีพูดจบก็โดนสมุดเล่มหนึ่งทิ้งลงตรงหน้าเสิ่นฉางชิง


 


 


เสิ่นฉางชิงถูกคนมัดเอาไว้จนแทบจะขยับตัวไม่ได้ ทว่าเมื่อเห็นของสิ่งนั้นทิ้งอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขากลับหดตัวอย่างชัดเจน เมื่อสมุดเล่มนั้นเปิดออก เนื้อความในสมุดก็ทำให้ร่างของเขาเย็นวาบในทันที


 


 


โทสะบนใบหน้าพลันมลายหายไปในทันใด


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 692 นี่ให้โอกาสเจ้า


 


 


และบนใบหน้าก็ซีดเผือดเกินจะเปรียบ!


 


 


 “นี่…เจ้าใส่ร้ายข้า!” เสิ่นฉางชิงยังคงอยากจะแก้ตัว


 


 


 “ใส่ร้าย?” ใบหน้าซูหลีเย็นชาทันที เลิกคิ้วกวาดตามองเขาและเอ่ย “ในเมื่อท่านโหวบอกว่าเป็นการใส่ความ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีวิธีอื่นอีก นอกจากสิ่งนี้ข้ายังมีพยานอีกหลายคน ที่ไปเจอของดีจำนวนไม่น้อยไม่จวนท่าน”


 


 


 “ว่าอย่างไร ท่านโหวอยากจะ…ไปดูหรือไม่?”


 


 


หลังจากเสิ่นฉางชิงได้ยินคำพูดนางแล้ว ก็ควบคุมตนเองไม่ได้ จู่ๆก็ล้มพับลงไปกองกับพื้นทันที สีเลือดบนใบหน้าก็หายไปจนหมด ใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก


 


 


ซูหลีหัวเราะเสียงเย็น นางเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าอนาคตที่ใสสะอาดของเสิ่นฉางชิงซึ่งสิ่งที่หลี่รุ่ยอิงให้ความสำคัญเมื่อก่อนนั้น เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี อนาคตที่ว่าของเขาจะกลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้


 


 


กล้าไปยุ่งกับของจำพวกฝิ่นนี่ไปเสียได้!


 


 


ช่างไม่รักตัวกลัวตายเสียจริงๆ!


 


 


ตอนที่นางยังคงเป็นชายาของเสิ่นฉางชิง เคยเก็บกวาดเรื่องเละเทะของเขามาไม่น้อย กระทั่งเรื่องที่เขาเข้าหาฮ่องเต้นางก็เป็นคนสอนเสียด้วยซ้ำไป


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่านางตายไปไม่เท่าไหร่ เสิ่นฉางชิงจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้


 


 


ดังนั้นพูดได้ว่า เรื่องในโลกนี้ยากจะคาดเดาจริงๆ!


 


 


ซูหลีหัวเราะเยาะมองเขาแล้วเอ่ย “พูดมาเถอะ”


 


 


“พูด พูดอะไร?” ในตอนนี้ใบหน้าเขาหมดอาลัยตายอยากไปแล้ว ไม่ได้มีท่าทีองอาจเหมือนเมื่อครู่แม้แต่น้อย พอเห็นซูหลีถามเรื่องนี้แล้วเขาก็ยืนตัวแข็งเหลือบตามองนาง


 


 


“พูดมา!” มือซูหลีตบไปลงบนโต๊ะไม้แดงข้างหน้านางแรงๆ ก้มศีรษะลงน้อยๆ และเอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา


 


 


“คนสั่งเจ้าเป็นใคร ใครที่เป็นคนเอาของมาให้เจ้าขาย และเป็นใครที่เป็นคนรวบรวมเงินทองให้จ้ามากมาย และเป็นใครที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเจ้า!”


 


 


ซูหลีถามหลายๆคำถามติดต่อกัน และทุกครั้งที่เอ่ยถาม สีหน้าเสิ่นฉางชิงก็แย่ลงไปหลายส่วน


 


 


จนสุดท้ายแล้วดำมืดราวก้นหม้อ


 


 


แต่ต่อให้ตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากให้ซูหลีได้ชักจูงเขาตามใจปรารถนา ดังนั้นเขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ามีความสามารถขนาดนี้แล้ว เอาของพวกนี้มาได้ด้วยซ้ำ ก็ไปหาเอาคนเดียวสิ!”


 


 


“พลั่ก!” ซูหลีตบโต๊ะเสียงดัง ลุกขึ้นยืน และมองเขาจากด้านบน “เจ้าคิดว่าข้าจะสืบไม่ได้เหรอ?”


 


 


“เสิ่นฉางชิง เจ้าก็ถือเป็นคนใหญ่คนโต จากที่เป็นคนที่ไม่มีความสำคัญพื้นเพอะไร จนได้มาเป็นท่านโหวในวันนี้ ระหว่างทางก็ลงทุนลงแรงไปมา คงไม่ต้องให้ข้าสาธยายให้ฟังกระมัง?”  ซูหลีมองเขาสายตาเย็นชา ทุกคำที่พูดแทงใจเขา


 


 


 “เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้ามัดเจ้าไว้เพราะอะไร? นี่กำลังให้โอกาสเจ้าอยู่!”


 


 


“คราวนี้หากเจ้าบอกชื่อคนที่อยู่เบื้องหลัง อย่างน้อยก็ยังทำดีลบล้างความผิดได้บ้าง เพื่อให้ตนเองได้ตายศพดีๆ หากเจ้ายังดึงดันไม่พูด เจ้าคิดว่าข้าจะสืบไม่ได้เชียวหรือ? เจ้าเองก็รู้นี่ ว่าถ้าตอนนี้ข้าไปถวายฎีกาเรื่องเจ้าให้ฮ่องเต้ ก็จะมีแต่ความตายรอเจ้าอยู่!”


 


 


ซูหลีมองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยแววเย็นชา ใบหน้าไม่ใคร่สู้ดีนัก


 


 


ฉินลิ่วที่อยู่ด้านข้างลอบมองนางอย่างอดไม่ได้


 


 


เขาติดตามซูหลีมาก็หลายวัน เห็นซูหลีมีวิธีในการจัดการเรื่องนี้อย่างมีหลักมีการ อีกทั้งไม่ว่าเมื่อไหร่ก็วางเฉยนิ่งเงียบ เหมือนไม่แยแสสิ่งใด เขาออกจะนับถือซูหลีเล็กน้อย


 


 


แต่ตอนจัดการเสิ่นฉางชิง ซูหลีเหมือนเป็นคนละคนเลยทีเดียว


 


 


ฉินลิ่วเพิ่งเคยเห็นสีหน้าเย็นชาที่แฝงไปด้วยความสะใจเช่นนี้ ปรากฏบนใบหน้าซูหลี


 


 


อย่าว่าแต่เขาเลยกระทั่งชุยตานก็ยังชะงักนิ่งไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม