เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 68.4-70.3

ตอนที่ 68 - 4 ราชินีโหดร้าย

 

คมมีดสว่างราวหิมะดุจทางช้างเผือกห้อยลงภายใต้แสงจันทร์ เรียกเสียงกรีดร้องจากราษฎรที่หลบอยู่ไกลห่างรอบด้าน 


 


 


เงาคนสีดำเหลือบเงินกะพริบวูบ มือคู่หนึ่งคล้ายดั่งพลันปรากฏกลางอากาศ ต้านมีดที่กำลังจะสะบั้นลงมาเอาไว้ ในขณะเดียวกันชายรูปร่างสูงใหญ่ร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง…หินก้อนหนึ่งพลันกระแทกบนหลังเท้าเขาอย่างรุนแรง! 


 


 


ชายรูปร่างสูงใหญ่ร้องโหยหวน ถูกเหยียลี่ว์ฉีที่รีบตามมาช่วยเหลือเตะล้มลงไปในเท้าเดียว จิ่งเหิงปัววิ่งตะบึงเข้ามา…เหยียบย่ำใบหน้าของชายรูปร่างสูงใหญ่โดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย 


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวเจือด้วยโทสะ พุ่งผ่านมารวดเร็วยิ่ง เรือนร่างพุ่งออกไปหลายก้าว เผชิญกับทางแยกตรอกหลิวหลีที่เชื่อมต่อทั่วถึงกันพอดี พอเงยหน้า รถม้าสีดำเทาคันหนึ่งพลันพุ่งเข้าสู่ม่านตา 


 


 


ในใจนางสั่นสะท้านหนักหน่วง 


 


 


รถม้าตระกูลซัง! 


 


 


ทำไมยังเหลืออยู่อีกคัน? 


 


 


พระปลอมกับทหารม้าชุดเหลือง มีเส้นทางหนึ่งขัดขวางไว้ไม่ได้เหรอ? อย่างนั้นยังเหลืออีกกี่คัน? จะมีอีกหรือเปล่า? วิกฤตกาลของราษฎรยังไม่ได้รับการแก้ไขเหรอ? 


 


 


ในสมองของจิ่งเหิงปัวดังก้องหวึ่งๆ ดวงใจที่เพิ่งปล่อยวางพุ่งขึ้นมายังปากคอหอยอีกครั้งทันที สถานการณ์พลันเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้ายยิ่งขึ้น! 


 


 


นางพุ่งเข้าไปโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ 


 


 


เรือนร่างกะพริบวูบเผชิญหน้ารถม้านั้นแล้ว ตอนนี้ขับไล่ราษฎรไม่ทันแล้ว มีแต่ต้องคิดหาวิธีจัดการรถม้านั้น! 


 


 


แต่คราวนี้ไม่ได้ง่ายดายเช่นดีดลูกคิดรางแก้วอีกแล้ว! 


 


 


รถม้าในคราวนี้พุ่งมารวดเร็วยิ่ง ครู่หนึ่งนั้นที่จิ่งเหิงปัวพบเข้า ในมือของคนบนรถมีประกายไฟผืนหนึ่งแฉลบผ่าน ร่วงหล่นลงบนตัวรถแล้ว! 


 


 


“พรึ่บ” เสียงหนึ่ง รถม้าระเบิดลุกไหม้ในพริบตา! ชั่วพริบตาเดียวกลายเป็นวัตถุขนาดมหึมาที่ทั่วคันเปี่ยมด้วยเปลวเพลิงแดงสดคันหนึ่ง พุ่งตรงเข้ามากลางฝูงชน 


 


 


ดุจโลงศพแ่งความตายโลงหนึ่ง พัดสายลมพาเปลวเพลิง พุ่งเข้าสู่ความตาย! 


 


 


แทบจะฉับพลัน เสียงกรีดร้องได้ท่วมท้นทั่วทั้งตลาดกลางคืน! 


 


 


ฝูงชนที่เอะอะวุ่นวายเบียดเสียดกันกรีดร้องร่ำไห้ รองเท้าถุงเท้าที่เหยียบย่ำหลุดร่วง รถม้าลุกไหม้ที่พุ่งมาตามใจไร้กฎเกณฑ์ ทั้งพ่อค้าแผงลอย ทั้งเด็กและผู้ชรานับไม่ถ้วนที่ล้มหมอบร้องไห้บนพื้นกันเละเทะระเกะระกะ…เปลวไฟลุกโชนสาดย้อมความมืดมิดยามราตรีให้สว่างไสว ส่องสะท้อนฝูงชนที่ตื่นตะลึงวุ่นวาย ชั่วครู่นั้นตลาดกลางคืนที่เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นปรโลกแดนมนุษย์ เสียงกรีดร้องทะยานสู่ท้องนภา 


 


 


ความยุ่งเหยิงในตรอกหลิวหลีก่อเกิดความติดขัดในทันใด ราชองครักษ์กับทหารคั่งหลงที่ได้เปิดทางจากไกลโพ้นตระเตรียมห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลและรักษาความสงบพลันถูกขัดขวางไว้ 


 


 


“เหยียลี่ว์ฉี!” จิ่งเหิงปัวตะโกนท่ามกลางความยุ่งเหยิงว่า “กระจายฝูงชน! กระจายฝูงชน!” 


 


 


ข้ามผ่านศีรษะมนุษย์คลาคล่ำ นางมองเห็นเหยียลี่ว์ฉีไม่ได้กระจายราษฎรแต่เหินขึ้นกลางอากาศ พุ่งตรงมาทางนาง 


 


 


“อย่าเพิ่งแสดงความสามารถ หลีกไป!” 


 


 


รถม้าพุ่งมาเบื้องหน้าตลอดทางระเบิดลุกไหม้ตลอดทาง เปล่งเสียงเปรี๊ยะๆ ดังกึกก้อง มีร่างคนที่ลุกไหม้ร่วงหล่นจากบนรถม้าดุจไม้ผุท่อนหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ยิ่งพาให้ผู้คนหวาดกลัวมากขึ้น ตัวรถม้าผ่านการออกแบบอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่เพียงพุ่งต่อไปข้างหน้าได้ประมาณสิบจั้งยามไร้คนขับเคลื่อน ยิ่งไปกว่านั้นโคลนน้ำมันภายในอัดแน่นแยกชั้น ทุกระยะทางหนึ่งซึ่งขยับเขยื้อน โคลนน้ำมันร่วงลงมาก่อเกิดการระเบิดกับการลุกไหม้ระลอกใหม่ รถม้ายังไม่ทันได้พุ่งสู่ฝูงชนโดยสิ้นเชิง ประกายไฟที่พุ่งออกมาทั่วทิศได้ก่อเกิดการเผาไหม้ผู้คนมากมาย มีคนถูกเบียดตกลงไปในน้ำ กรีดร้องอุทานอย่างตื่นตะลึง แลมีคนถูกเตือนสติด้วยเพราะเหตุนี้ ร้อนรนไร้ทางเลือกจนกระโดดน้ำเอาชีวิตรอด เสียงตกน้ำดังตู้มๆ ไม่หยุดหย่อน 


 


 


รถม้าพุ่งสู่บริเวณรถม้าที่ถูกบังคับให้หยุดก่อนหน้านี้คันนั้น ดังตูมตามเสียงหนึ่งในฉับพลัน ก่อเกิดเพลิงไหม้รถม้าคันนั้น เปลวเพลิงมืดฟ้ามัวดิน แทบจะชั่วครู่นั้นได้เผาทำลายกำแพงบ้านเรือนที่รถม้าแอบอิงอยู่ โชคดีที่รถม้าคันนั้นจอดสนิทแล้ว ผู้ได้รับบาดเจ็บไม่มาก ท่ามกลางเสียงถล่มลงมามีคนกรีดร้อง มีคนตะโกนลั่นว่า “ตรงนี้ยังมีอีกคัน!” ผู้คนส่วนมากเริ่มกระโดดลงในน้ำ เบียดเสียดกันบนผิวน้ำประหนึ่งต้มเกี๊ยว มีคนหลงลืมว่าตนเองว่ายน้ำไม่เป็น พอลงน้ำเริ่มเป็นตะคริวก็ส่งเสียงกรีดร้อง โผล่ศีรษะมาสักพักแล้วหายไป ทุกคนรอบด้านนั้นสับสนอลหม่าน ความตายของชีวิตหนึ่งไม่มีผู้ใดห่วงใยด้วยซ้ำ บนผิวน้ำลอยล่องด้วยเสียงกรีดร้องร่ำไห้และซากศพมากมาย 


 


 


พอมองเห็นสภาพน่าสังเวชของโลกมนุษย์คราวนี้ จิ่งเหิงปัวแทบจะเสียสติ…นางใช้เรี่ยวแรงมากมายขนาดนั้น ได้รับบาดเจ็บ ใช้ความคิดมากมายขนาดนั้น สุดท้ายแล้วยังคงไม่อาจกอบกู้สถานการณ์! 


 


 


ชั่วพริบตาหนึ่งนี้นางเกลียดชังคนออกแบบรถม้าคันนี้อย่างยิ่ง…เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์! แต่กลับเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ที่อำมหิตที่สุด! คนแบบนี้ให้เขามีชีวิตอยู่โดยมีความแค้น ต้าฮวงคงไร้ซึ่งวันเวลาแห่งความสงบสุขตลอดกาล! 


 


 


แต่ตอนนี้ไม่ทันได้คิดอาฆาตผู้ริเริ่ม นางหันหน้ากลับมามองดูฝูงชน ไม่ไหว ฝูงชนวิ่งหนีมั่วซั่วไปหมดแล้ว การกระจายฝูงชนคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน เรื่องที่ยิ่งแย่กว่าคือคล้ายว่ากองทัพก็กำลังรีบตามมา ขัดขวางทางออกทุกแห่งพอดี ขณะนี้ทั่วทั้งตรอกหลิวหลีมีแต่ผู้คน ขอเพียงรถม้าพุ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าจะพุ่งชนที่ไหนต่างต้องบาดเจ็บล้มตายย่อยยับ 


 


 


ตอนนี้เหลือเพียงวิธีเดียว 


 


 


ให้รถม้าพุ่งไปยังสถานที่ซึ่งมีคนน้อยที่สุด! 


 


 


เมื่ออันตรายไม่อาจหลีกเลี่ยง ได้แต่เลือกลดอันตรายลงให้น้อยที่สุด 


 


 


สถานที่ซึ่งมีคนน้อย… 


 


 


มีเพียงใต้สะพานที่ก่อนหน้านี้ได้ขับไล่ราษฎรไปแล้วมีคนน้อยที่สุด! 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา มองเห็นใต้สะพานที่โดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งขึ้นในขณะนี้แห่งนั้น เหล่าคุณชายร่ำรวยและเหล่าองครักษ์ที่อาศัยอิทธิพลกลั่นแกล้งคนของเขาต่างตกใจจนชะงักงัน อ้าปากค้างยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นหลงลืมแม้แต่วิ่งหนี 


 


 


พอหันหน้ากลับมามองรถม้าอีกครั้ง บนรถยังเหลือสารถีอีกคนหนึ่ง ด้วยเพราะนั่งอยู่บนแอกรถ การลุกไหม้ลุกลามมาจากท้ายรถ เขาจึงยังมีชีวิตอยู่ ยังคงบังคับรถด้วยร่างกายแข็งทื่อ คนคนนี้คล้ายสูญเสียความรู้สึกทุกสิ่งท่ามกลางเปลวเพลิงลุกโชนโชติช่วง ทั่วร่างมอดไหม้จนดำขลับ ทำให้คนเกิดความหวาดกลัวประหนึ่งผีดิบ 


 


 


จิ่งเหิงปัวกัดฟันกรอด เรือนร่างกะพริบวูบ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีที่เพิ่งพุ่งมาถึงข้างกายนางคว้าไว้ได้เพียงชายผ้าผืนหนึ่งของนาง 


 


 


พริบตาต่อมาท่ามกลางความตื่นตะลึง คนมากมายพลันมองเห็นสตรีนางหนึ่งปรากฏกายโดยพลันบนม้าลากรถของรถม้าที่ลุกไหม้อยู่เบื้องหน้า 


 


 


สตรีรวมทั้งท่าทางที่อัปลักษณ์นักของนาง ใบหน้าหันไปทางก้นม้าหมอบอยู่บนร่างม้า เรือนร่างถูกสะบัดจนอันตรายคล้ายอีกประเดี๋ยวจะร่วงหล่นลงมา 


 


 


ผู้คนอ้าปากค้าง ไม่เข้าใจว่าฉากหนึ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แทบจะหลงลืมว่าต้องวิ่งหนี 


 


 


ในท้องของจิ่งเหิงปัวกลับกำลังด่าทอยกใหญ่ 


 


 


ทำไมหายตัวมาทิศทางนี้! 


 


 


หน้าอกอึดอัดดวงใจเต้นเร่า วิงเวียนศีรษะสายตาพร่าเลือน นางรู้ว่าตนเองอ่อนล้าถึงขีดจำกัดแล้ว แต่จำต้องกลืนน้ำลายเจือโลหิตอึกหนึ่งลงไป เรือนร่างกะพริบวูบอีกครั้งร่วงหล่นลงบนแอกรถ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีที่ไล่ตามถึงบนหลังม้าเฉียดผ่านชายผ้าของนางอีกครั้ง 


 


 


“โอ๊ยแม่งเอ้ยร้อนชิบ!” จากนั้นเสียงกรีดร้องของนางดังขึ้น กระโดดเหย็งบนแอกรถสุดชีวิต “ร้อนชิบๆ จะตายแล้วๆ!” กรีดร้องไปพลางแย่งชิงแส้ม้าของสารถีนั้นไปพลาง พอคว้าแส้ไว้ได้กรีดร้องอีกเสียงหนึ่งว่า “บ้าเอ้ยทำไมมันร้อนขนาดนี้!” แม้ปากกำลังกรีดร้องทว่ามือไม่ชักช้าแม้เศษเสี้ยว ถีบเจ้าคนใกล้ตายลงจากรถม้าในเท้าเดียว หอบหายใจซี้ดซ้าดยกแส้สะบัดในทันใด สะบัดโดนบนก้นม้าฝั่งซ้ายอย่างรุนแรงดังเพียะเสียงหนึ่ง 


 


 


“ไปทางนั้น!” เสียงนางเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ใต้ท้องฟ้ายามราตรี กลบกลืนเสียงร้องโหยหวนของผู้อื่นและกลบกลืนเสียงฝีเท้าของทหารคั่งหลงที่รีบตามมายังปากตรอกข้างหลังกาย 


 


 


เชือกบังเ**ยนที่ผูกม้าเป็นเชือกที่ทำขึ้นเป็นพิเศษจึงยังไม่ถูกเผาไหม้จนขาด ม้าคำรามยืดยาวเสียงหนึ่ง กีบเท้าเชิดขึ้น เปลี่ยนทิศทางแล้ว 


 


 


พุ่งสู่ทิศทางที่จิ่งเหิงปัวได้ชี้ไป 


 


 


ใต้สะพาน คุณชายผู้บัญชาการและองครักษ์สุนัขรับใช้เกาะกลุ่มเป็นกลุ่มเล็กเบาบางกลุ่มหนึ่ง 


 


 


คุณชายผู้บัญชาการหลบอยู่ใต้สะพาน เดิมนึกว่าหากไม่อยู่บนทิศทางข้างหน้ารถม้า ต้องผ่านพ้นภัยร้ายครั้งนี้ได้แน่ ทว่ายามนี้พอเงยหน้าพลันมองเห็นรถม้าลุกไหม้ที่ตะบึงเข้ามา บนรถม้ามีสตรีที่ผมยาวปลิวสยายนัยน์ตาหนาวเหน็บ 


 


 


สตรีที่เมื่อครู่ยังถูกเขาเชยคางจะฉุดจะฆ่านางนี้ ยามนี้ทั่วหน้าเปี่ยมด้วยไอดุร้าย แส้ม้ามรณะในมือกำลังชี้มาที่เขาอย่างแม่นยำ! 


 


 


ในสมองเขาว่างเปล่าขาวโพลน อีกสักพักหนึ่งถึงได้เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมรันทดเสียงหนึ่งว่า “อย่า! ช่วยด้วย ท่านพ่อ…” 


 


 


“ตู้ม!” 


 


 


รถม้าเปลวเพลิงที่สาดกระเซ็นประกายไฟอย่างต่อเนื่องกลุ่มนั้นพุ่งเข้ามาปานพลิกภูผาคว่ำมหาสมุทรในพริบตา กลบกลืนคุณชายและบ่าวชั่วที่เผชิญอันตรายครั้งใหญ่ขยับเขยื้อนไม่ได้กลุ่มนั้น ตู้มเสียงหนึ่งประกายไฟที่ระเบิดออกทั่วท้องฟ้าลุกไหม้ต่อเนื่อง รถม้าเอนเอียงท่ามกลางเสียงครืนดังลั่น ชนราวสะพานจนพัง ม้าลากรถคำรามยืดยาวแหลมรันทด ดิ้นรนสะบั้นเชือกบังเ**ยนไฟลุกท่วมแล้วตะบึงจากไป ใต้กีบเท้าเหยียบย่ำคล้ายมีเลือดเนื้อดำเกรียมรำไร 


 


 


“ลูกข้า…” 


 


 


เสียงแหลมรันทดคำรามยืดยาวอีกสียงหนึ่ง ดังอยู่ปากตรอกที่ห่างไปไม่ไกล 


 


 


เงาคนสายหนึ่งพุ่งออกมากลางอากาศ เหยียบย่ำผ่านศีรษะคนนับไม่ถ้วน สองมือแยกออกกลางอากาศทยอยเหวี่ยงคนที่ขวางทางออกไปดุจลูกบอลหนัง ไม่สนใจเปลวเพลิงดุเดือดใต้สะพานช่วงนั้น เหยียบย่ำเศษซากที่ลุกไหม้ทั่วพื้นแล้วพุ่งเข้าไป 


 


 


“ผู้บัญชาการ!” 


 


 


ทหารคั่งหลงตรงปากตรอกที่เพิ่งรีบตามมาทยอยร้องโหยหวน บนใบหน้ามีสีหน้าตกตะลึง 


 


 


“เย่าจู่!” ผู้บัญชาการทหารคั่งหลงเฉิงกูมั่วแทบจะเสียสติแล้ว ลูกของเขานั่นหนา! เขาสืบทอดเพียงคนเดียวมาสี่ชั่วคน ขอร้องหมอเลื่องชื่อ ภรรยาสิ้นชีพไปสามนาง บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงหนึ่งเดียวคนนี้ที่ใช้ทรัพย์สินในจวนจนหมดสิ้นถึงได้มายามอายุสี่สิบ! 


 


 


เบื้องหน้าเขานั่นเอง กะพริบตาเพียงครั้งถูกรถม้าเพลิงที่พุ่งมาชนจนสิ้นชีพต่อหน้าต่อตา! 


 


 


ยามเขาไปถึงปากตรอก ห่างจากบุตรชายเพียงไม่กี่จั้ง! 


 


 


“เย่าจู่!” ผู้บัญชาการเสียสติแล้ว เผชิญไฟกองหนึ่งพุ่งเข้าไปในรถม้า ร้องโหยหวนไม่หยุดหย่อนพลางเขวี้ยงแผ่นไม้ที่ลุกไหม้แตกร้าว ค้นหาบุตรชายโดยเปล่าประโยชน์ท่ามกลางเปลวเพลิงเป็นกลุ่มก้อน ร้องว่า “เจ้าออกมา เจ้าออกมา! เย่าจู่!” 


 


 


ณ ปากตรอก กงอิ้นที่นั่งอยู่บนหลังม้ามีสีหน้าเขียวคล้ำ  

 

 


ตอนที่ 69 - 1 การปกป้องของเขา

 

จิ่งเหิงปัวมีสีหน้าเขียวคล้ำเช่นกัน


 


 


นางทำหน้าตาบิดเบี้ยวยกขาขึ้น รู้สึกว่าอาการเหน็บชาบนขาในชั่วพริบตาหนึ่งเมื่อครู่ได้สลายหายไปแล้ว


 


 


“บ้าเอ้ย!” นางสบถอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง


 


 


เมื่อครู่บังคับรถม้าพุ่งไปทางใต้สะพานที่ซึ่งมีคนน้อย แท้จริงแล้วนางยังเตรียมจะช่วยเหลือคนด้วย นางคำนวณไว้แล้วว่าครู่หนึ่งนั้นที่รถม้าพุ่งเข้าไป น่าจะหายตัวไปลากเฉิงเย่าจู่ออกมาได้ทันเวลา ส่วนองครักษ์พวกนั้น จะตายก็ตายไปเถอะ


 


 


ทว่ามนุษย์คิดไม่สู้ลิขิตฟ้า พริบตาหนึ่งนั้นที่หลังคารถม้าขยับเขยื้อน นางรู้สึกขึ้นมากะหันทันว่าข้อพับเข่าเหน็บชา แล้วขยับไม่ได้ขึ้นมาในฉับพลัน


 


 


พอเหน็บชาพลันฟื้นคืน แต่ไม่ทันเวลาแล้ว รถม้าแล่นตะบึงพาเปลวเพลิงพุ่งสู่เบื้องหน้า นางต้องเลือกระหว่างเสี่ยงเสียโฉมเสียชีวิตหายตัวไปช่วยเฉิงเย่าจู่หรือตนเองถอยสู่เขตปลอดภัยทันที


 


 


นางจะไม่ยอมตายเพื่อช่วยคนแบบเฉิงเย่าจู่คนนี้


 


 


นิ้วมือลูบตรงข้อพับเข่าครั้งหนึ่งไม่เจออะไรสักอย่าง ไม่มีอาวุธลับด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ว่ามีคนลอบทำร้ายหรือตนเองเส้นยึดกะทันหัน


 


 


จิ่งเหิงปัวกลืนความอึดอัดเจือคาวเลือดที่พุ่งสู่คอหอยอึกหนึ่งลงไปอย่างแรง หันหน้ามองพื้นที่ที่รถม้าลุกไหม้ซึ่งมีเปลวเพลิงลุกโชน แล้วมองดูกงอิ้นที่เงาร่างแลดูมัวสลัวผ่านควันไฟ ในใจทั้งจนปัญญาทั้งรู้สึกเสียใจ


 


 


ความยุ่งยากมาแล้ว


 


 


กงอิ้นกำลังมองดูนางเช่นกัน


 


 


ตำหนักอวี้จ้าวไกลจากที่นี่ ตลอดเส้นทางถูกราษฎรที่กระจัดกระจายขวางทางไว้ นึกไม่ถึงว่าพอถึงที่นี่จะมองเห็นฉากหนึ่งนี้


 


 


เขามองเห็นจิ่งเหิงปัวที่ยับเยินทั่วร่างแม้แต่เส้นผมยังถูกเผาไหม้ไปกระจุกหนึ่งในปราดเดียว นางกำลังพิงอยู่ข้างราวสะพานครึ่งหนึ่งพลางไอโขลกเล็กน้อย


 


 


กงอิ้นวางใจขึ้นมา จากนั้นสีหน้าพลันเย็นชา เขามองเห็นฉากหนึ่งนั้นเมื่อครู่ชัดเจนเช่นกัน เป็นจิ่งเหิงปัวที่บังคับรถม้าเพลิงพุ่งไปทางเฉิงเย่าจู่…


 


 


ความยุ่งยากมาแล้ว


 


 


“ทหารคั่งหลง!” เขาพลันเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “พาผู้บัญชาการออกมา!”


 


 


ทหารคั่งหลงกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปทั้งฉุดทั้งลากเฉิงกูมั่วที่ใกล้จะถูกไฟแผดเผาออกมา บนร่างผู้บัญชาการมีประกายไฟโผล่มาทุกหนแห่ง บนใบหน้าดำเทาลายพร้อย เหล่าทหารตบประกายไฟแทนเขาจนมือไม้พันกัน เฉิงกูมั่วคล้ายไม่มีความรู้สึกใดทั้งสิ้น เงยหน้ามองท้องฟ้าโดยไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย ผ่านไปเนิ่นนาน หยาดน้ำตาใสสว่างสองสายค่อยๆ รินไหลอย่างเงียบเชียบ ชะล้างคราบเขม่าบนใบหน้ากลายเป็นร่องน้ำชั้นแล้วชั้นเล่าสองสาย


 


 


เหล่าทหารหยุดมืออย่างสะเทือนใจ มองหน้ากันไปมา


 


 


คนผู้นี้คือเฉิงกูมั่วนั่นหนา ผู้บัญชาการที่บัญชาคั่งหลงมานานหลายปี ผ่านศึกนับร้อย โลหิตไหลไร้น้ำตาผู้เลื่องชื่อ ชายแกร่งแห่งต้าฮวงผู้ที่ร่างเคยต้องลูกธนูนับสิบดอกยังมิเคยร้องครวญคราง


 


 


บุรุษที่บิดามารดาสิ้นชีพ ทั้งตระกูลเคยถูกศัตรูสังหารยังมิเคยหลั่งน้ำตาสักหยด ยามนั้นดิ้นรนหลุดพ้นจากสถานการณ์เกือบจะไร้ทายาทที่เลวร้ายที่สุด ทุ่มเทสุดกำลังค้ำจุนเชื้อสายอันน้อยนิดของตระกูลเฉิงอีกครั้ง ความพยายามทุกสิ่งในชีวิตนี้ก็เพื่อสืบทอดการเซ่นไหว้และความรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉิง


 


 


ทว่าวันนี้ มองเห็นการเซ่นไหว้ของเขาดับสูญกับตา มองเห็นเขาสิ้นสุดเชื้อสายกับตา มองเห็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงหนึ่งเดียวที่ได้มาอย่างลำบากลำบนสิ้นชีพโดยอนาถกับตา สุดท้ายแลกมาซึ่งน้ำตาร้อนผ่าวสองสาย


 


 


ยามไร้น้ำตา คือโลหิต


 


 


ทุกผู้คนนิ่งเงียบสั่นเทิ้ม รู้สึกเพียงถูกความเจ็บปวดแสนสาหัสขนาดมหึมานั้นบีบเคล้นจนแทบจะหยุดหายใจ


 


 


เฉิงกูมั่วร่ำไห้เพียงพริบตาเดียว จากนั้นเขาพลันหันหน้าจดจ้องจิ่งเหิงปัว


 


 


ขณะนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าอ่อนเพลีย กำลังไอโขลกแผ่วเบาโดยตลอด พยายามควบคุมอาการหอบหืดตรงหน้าอก รู้สึกเพียงว่าใช้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้น ตอนนี้ไม่อยากขยับเขยื้อนแม้เพียงก้าวเดียว


 


 


นางรู้สึกถึงแววตาเ**้ยมโหดโกรธแค้นนักของเฉิงกูมั่ว ในใจมีความรู้สึกเสียใจและจนปัญญา แต่ว่าไม่มีความหวาดกลัว นางทุ่มเทสุดกำลังแล้ว ครู่สุดท้ายยังคงอยากช่วยเฉิงเย่าจู่ ถึงที่สุดแล้วทำไม่ได้ คนเป็นพ่อคนนี้มีเหตุผลจะมาแก้แค้นนาง แต่คงต้องดูว่าจะแก้แค้นหรือไม่เท่านั้น


 


 


กงอิ้นมาถึงแล้ว จะยอมให้เขาสังหารตนเองไหม?


 


 


เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นแฉลบเข้ามาดังคาดการณ์


 


 


ในขณะเดียวกันนั้นเองในสายตาของเฉิงกูมั่วมีประกายโหดเ**้ยมอำมหิตสายหนึ่งเฉียดผ่าน กระซิบกระซาบวาจาแผ่วเบาหลายประโยคกับองครักษ์ที่ไว้ใจข้างกายแล้วหันหลังกลับเข้าสู่กองทัพ


 


 


เห็นเขากลับเข้าสู่กองทัพ กงอิ้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าวางใจขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน มองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งแล้วตัดสินใจไม่เข้าไปหานางในฉับพลัน ปลอบโยนควบคุมเฉิงกูมั่วที่อยู่ในสภาวะอันตรายเสียก่อนแล้วค่อยเอ่ยเรื่องอื่น


 


 


ยามนี้เหยียลี่ว์ฉีได้กลับสู่รถม้าแล้วเริ่มล่าถอยเชื่องช้าเช่นกัน รอบด้านเป็นกองทัพของกงอิ้นทั้งสิ้น ยามเขาออกมาไม่ได้พาองครักษ์มามากมายเท่าใด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้โดยปกติแล้วเขาจะหลบลี้ไปก่อน


 


 


“ผู้บัญชาการ” กงอิ้นเผชิญหน้ากับเฉิงกูมั่ว จ้องมองดวงตาของเขา เอ่ยว่า “โปรดระงับความเศร้าโศก ผู้บัญชาการรักษาสุขภาพ อย่าได้โศกศัลย์มากหลาย ประเดี๋ยวเปิ่นจั้วจะหาวิธีเชิญท่านอาจารย์จื่อเวยแห่งเขาชีเฟิงให้เจ้า เจ้ายังคงมีโอกาส”


 


 


เขาไม่เก่งเรื่องการปลอบโยนผู้อื่น เอ่ยวาจานี้ด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือยเช่นเดิม ทว่าผู้คนรอบด้านต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ


 


 


ท่านอาจารย์จื่อเวยแห่งเขาชีเฟิงคือเซียนชราอายุร้อยปีที่มีความสามารถรอบรู้ทั่วฟ้าดินในตำนานของต้าฮวง คือผู้วิเศษลำดับหนึ่งแห่งต้าฮวงที่อยู่อย่างสันโดษนอกแดนมนุษย์ไม่ข้องเกี่ยวเรื่องทางโลกมานานหลายปี หลายปีมานี้ปลีกวิเวกใช้ชีวิตเพนจร คนมากมายต่างนึกว่าเขาคงสำเร็จเป็นเซียนแน่แล้ว ลูกศิษย์เจ็ดคนบนโลกมนุษย์ของเขาคือผู้แทนวาจาของเขา ยามนี้ต่างมีตำแหน่งสูงส่ง คนธรรมดายากจะได้พบเจอ ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงท่านอาจารย์จื่อเวย


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาราชครูไม่เคยผิดวาจา ในเมื่อเขาเอ่ยวาจานี้แล้ว เช่นนั้นย่อมมีความมั่นใจ หากเชิญท่านอาจารย์จื่อเวยมาได้จริง หากรักษาโรคมีทายายากตามตำนานของตระกูลเฉิงให้หายได้จริง เช่นนั้นบุตรชายสิ้นชีพไปคนเดียวคงไม่นับว่าเป็นอะไร


 


 


ทว่าคิดแล้วย่อมรู้ว่าท่านอาจารย์จื่อเวยเชิญยากเพียงใด? การเชิญเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนระดับใด? ราชครูเอ่ยวาจานี้โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ถึงการให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้และต่อผู้บัญชาการ


 


 


บนใบหน้าของเฉิงกูมั่วมิได้มีสีหน้ามากมาย พอเฉิงเย่าจู่สิ้นชีพ กำลังวังชาของเขาคล้ายหมดสิ้นไปด้วย ทว่ายังคงยกกำปั้นคารวะอย่างเปี่ยมด้วยมารยาท เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ขอบคุณราชครูที่เมตตาขอรับ”


 


 


สายตาของกงอิ้นข้ามผ่านเหนือศีรษะเขา มองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้บัญชาการคงจะเหน็ดเหนื่อยแล้ว อย่างไรเสียจงกลับไปพักผ่อนรักษาอาการบาดเจ็บเถิด เปิ่นจั้วย่อมจัดการเรื่องราวในภายหลังแทนเจ้า พวกเจ้า จงส่งผู้บัญชาการไปพักผ่อน”


 


 


อวี่ชุนกับเหมิงหู่ต่างตามขึ้นมาแล้ว มุมปากของเฉิงกูมั่วแบะครั้งหนึ่งคล้ายยิ้มเยาะคราหนึ่งแลคล้ายมิได้ยิ้มเยาะ ดุจดั่งมองไม่เห็นองครักษ์ของกงอิ้น หันหน้าเอ่ยกับกงอิ้นอย่างจริงจังว่า “ราชครู ในใจข้ามีข้อสงสัยยากแก้ไข ขอเอ่ยวาจาเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”


 


 


กงอิ้นจ้องมองดวงตาของเขา พยักหน้าเพียงน้อย ผายมือนำทางด้วยตนเอง


 


 


สองคนเดินไปยังข้างทาง


 


 


องครักษ์รอบด้านล้อมรอบขึ้นมาแน่นขนัด ครึ่งหนึ่งคือทหารคั่งหลง อีกครึ่งหนึ่งคือราชองครักษ์


 


 


“ราชครู” เฉิงกูมั่วเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาว่า “ท่านมองเห็นฉากหนึ่งเมื่อครู่หรือไม่?”


 


 


กงอิ้นตอบอย่างสงบเงียบว่า “มองเห็น”


 


 


“ท่านคิดอย่างไร?”


 


 


“เรื่องนี้คงมีลับลมคมใน จะต้องสืบสวนให้กระจ่างแจ้ง”


 


 


“ท่านและข้าต่างเห็นด้วยตาตนเอง”


 


 


“เมื่อครู่เปิ่นจั้วสอบถามราษฎร ต่างเอ่ยว่าก่อนหน้านี้ราชินีทรงเคยขัดขวางรถม้าคันหนึ่งซึ่งคล้ายกันไม่มีผิดเพี้ยน รถยังจอดอยู่ข้างนั้น ซ้ำยังเอ่ยว่าราชินีเคยได้ตรัสเตือนคุณชาย”


 


 


“ทว่าสิ่งที่ข้ามองเห็นคือราชินีทรงบังคับรถม้าพุ่งไปทางเย่าจู่”


 


 


“เปิ่นจั้วเอ่ยแล้ว เรื่องนี้คงมีลับลมคมใน มิอาจรีบร้อนกระทำการ”


 


 


“ราชครู”


 


 


“อืม?”


 


 


“ตลอดหลายปีมานี้ ข้าติดตามท่าน ท่านรู้สึกว่าข้ากระทำได้เป็นอย่างไร?”


 


 


“จิตใจซื่อสัตย์จงรักภักดี มิอาจทดแทนได้”


 


 


“เช่นนั้น ท่านรู้สึกว่าเรื่องนี้ ข้าควรจะกระทำอย่างไร”


 


 


“โปรดรอคอย รอคอยให้ข้าทูลถามราชินี มอบคำอธิบายให้เจ้า”


 


 


เฉิงกูมั่วนิ่งเงียบไประลอกหนึ่ง สีหน้าหม่นหมองในแสงสายัณห์มัวสลัว เวียนวนวูบวาบด้วยเงามืดของปีกวิหคไพรที่หวนคืนยามค่ำ


 


 


กงอิ้นยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ ดุจภูผาหิมะตั้งตระหง่านมิอาจสั่นคลอน


 


 


ผ่านไปสักพักเฉิงกูมั่วเอ่ยอย่างอ่อนเพลียว่า “ได้ ในเมื่อยากแรกเริ่มสาบานจะจงรักภักดีต่อท่าน คงมิอาจไม่รักษาคำสัตย์ในบั้นปลาย ข้าย่อมเชื่อฟังวาจาของท่าน…”


 


 


สีหน้าของกงอิ้นอ่อนโยนเล็กน้อย ยกมือไปตบไหล่ของเฉิงกูมั่ว เอ่ยว่า “เช่นนี้ใจข้าย่อมคลายกังวล…”


 


 


ไหล่ของเฉิงกูมั่วสั่นเทิ้ม หลบหลีกโดยสำนึก


 


 


มือของกงอิ้นหยุดค้างกลางอากาศ สีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน


 


 


เขากำลังหวาดผวา!


 


 


ในขณะเดียวกันนั้นเองสองนิ้วที่ไพล่ไว้ข้างหลังของเฉิงกูมั่วดีดเพียงครั้ง ดอกไม้ไฟสีแดงเข้มสายหนึ่งพุ่งตรงสู่ท้องฟ้า!


 


 


“ลงมือ!” เขาตะโกนลั่น


 


 


ท่ามกลางทหารคั่งหลงที่ยืนอยู่ที่เดิมยังคงช่วยดับไฟและค้นหาซากศพ พลันมีเงาคนหลายสายพุ่งออกมา มีดกระบี่สว่างวูบกลางอากาศ พุ่งตรงไปยังจิ่งเหิงปัว!


 


 


“เฉิงกูมั่ว!” กงอิ้นยากจะใช้เสียงสูงขนาดนี้ สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธยิ่งนัก สะบัดเฉิงกูมั่วออกในฝ่ามือเดียวแล้วพุ่งตรงไปยังจิ่งเหิงปัว ตะโกนว่า “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!”


 


 


เขาไม่อาจเคลื่อนกายออกไปได้


 


 


พอก้มหน้า เฉิงกูมั่วที่ล้มลงบนพื้นกอดขาของเขาไว้


 


 


“ราชครู!” เสียงของเฉิงกูมั่วเศร้าเสียใจ เอ่ยว่า “ท่านจะไปช่วยผู้ใด!”


 


 


“หลีกไป! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าแตะต้องราชินี!”


 


 


“นางสังหารบุตรชายข้า!” เสียงของเฉิงกูมั่วดุจเจือด้วยโลหิต เอ่ยว่า “ใจท่านคลายกังวลแล้ว แล้วผู้ใดจะคลายกังวลข้า? บุตรชายของข้า บุตรชายที่ได้มาอย่างยากลำบากของข้า!”


 


 


“ข้ารับปากเจ้าว่าจะมอบคำตอบให้เจ้า!”


 


 


“สิ่งที่เห็นด้วยตาตนเองยังหวังหลอกลวงให้ผ่านพ้น ท่านปกป้องเข้าข้างนางเช่นนี้ ยังจะมอบคำตอบใดให้ข้าได้!” เฉิงกูมั่วใช้เรี่ยวแรงทั่วร่างจนหมดสิ้น ผนึกขาสองข้างของกงอิ้นไว้ ร้องว่า “ราชครู! ข้าจะไม่ทรยศท่าน ข้าเพียงขอให้ท่านอนุญาตให้ข้าแก้แค้น! จากนั้นข้าจะขอรับโทษประหาร! ข้าติดตามท่านมานานหลายปีขนาดนี้ ทหารคั่งหลงมีจิตใจซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อท่าน ท่านจะไม่สนใจความทุกข์ที่บุตรชายข้าถูกสังหาร แล้วกระทืบข้าจนสิ้นชีพในเท้าเดียวเบื้องหน้าทหารคั่งหลงจริงหรือ?”


 


 


กงอิ้นสะท้านไปทั่วร่าง


 


 


พอเงยหน้าอีกครั้ง แม้ว่าทหารคั่งหลงรอบกายยังนิ่งเงียบเช่นเดิม ทว่าความเศร้าเสียใจและความสงสารในสายตาลุกโชนโชติช่วงแล้ว!


 


 


ยามนี้หากไร้ความเมตตาต่อเฉิงกูมั่วอีก สิ่งที่แลกมาต้องเป็นผลลัพธ์ยากจะกอบกู้แน่แท้!


 


 


อวี่ชุนกับเหมิงหู่ระมัดระวังโดยสำนึก นำพาราชองครักษ์ค่อยๆ เข้าใกล้ทางนี้ ทว่าถูกทหารคั่งหลงที่ขยับเขยื้อนฝีเท้าคล้ายตั้งใจแลมิได้ตั้งใจขวางไว้


 


 


ทหารกำลังจะก่อกบฏ! 

 

 


ตอนที่ 69 - 2 การปกป้องของเขา

 

จิ่งเหิงปัวพิงราวสะพานหอบหายใจ แต่ไม่ได้ละทิ้งความระแวดระวัง


 


 


ความตายของคุณชายผู้บัญชาการ เสียงร้องโหยหวนของผู้บัญชาการ นางฟังอยู่โดยตลอดจึงไม่อาจหมางเมินเฉยเมย


 


 


อย่างไรก็มาจากยุคปัจจุบัน ไม่อาจมองข้ามชีวิตได้ แม้ว่านางคิดว่าเฉิงเย่าจู่กับบ่าวชั่วร้ายกลุ่มนั้น สังเกตจากท่าทางฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาในวันนี้ ในเวลาปกติคงจะเคยรังแกผู้ชายฉุดคร่าผู้หญิงกระทำเรื่องชั่วร้ายมาไม่น้อย นับว่าตายไปยังไม่สาสมกับความผิด แต่เวลาปกติชื่อเสียงขุนนางของเฉิงกูมั่วไม่เลวร้าย ยิ่งมีจิตใจซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อกงอิ้น ทำให้เขาเจ็บปวดขนาดนี้ ตระกูลเฉิงสิ้นสุดทายาท ในใจนางก็มีความรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง


 


 


เฉิงกูมั่วได้ถูกกงอิ้นเรียกไปแล้ว แต่ทหารของเขายังคงอยู่ จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าแววตาเจตนาร้ายเหล่านั้นกวาดผ่านบนร่างตนเองทีละรอบ


 


 


รอบด้านยังมีราษฎรไม่น้อย บางคนกำลังสั่นเทิ้มบางคนกำลังร้องครวญคราง บางคนคลานขึ้นมาจากแม่น้ำ มีคนงงงวยไม่รู้จะทำอย่างไร ทว่าต่างชุมนุมอยู่ข้างกายนางอย่างคล้ายมิได้ตั้งใจ


 


 


“ลงมือ!”


 


 


ยามเสียงของเฉิงกูมั่วแว่วมา เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบเช่นกัน


 


 


แต่นางไม่ได้หายตัวออกไปในทันที


 


 


หน้าอกพลันเจ็บปวด นางมีสีหน้าซีดเผือด ก้าวหนึ่งนั้นหายตัวออกไปไม่ได้ พอเงยหน้าก็มองเห็นเงาดำกระโจนเหินปานวิหคดุร้ายกลางอากาศ คมมีดสว่างราวหิมะคลุมครอบลงมาดุจสาดน้ำ


 


 


นางแค่ทันได้ฝืนแรงกะพริบวูบไปข้างหลัง ก็ไม่รู้ว่าหายตัวออกไปได้มากแค่ไหน หายตัวพ้นขอบเขตคมมีดหรือยัง นางรู้สึกได้ถึงสายลมผนึกแน่นหนาวเหน็บประชิดใกล้ปลายจมูก รูขุมขนทั่วร่างรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวน่าครั่นคร้ามของอาวุธคม


 


 


ที่ซึ่งไม่ไกลเหยียลี่ว์ฉีพุ่งออกจากรถม้า


 


 


อีกทิศทางหนึ่งบนขากงอิ้นสั่นสะท้าน สะบัดเฉิงกูมั่วออกไป มุมปากของเฉิงกูมั่วมีโลหิตไหลร่างล้มลงบนพื้น กงอิ้นกะพริบกายพุ่งออกไป


 


 


“เคร้ง” เสียงหนึ่ง เสียงดังกังวานของโลหะกระทบกัน


 


 


หม้อใหญ่ใบหนึ่งพลันเหินออกมาจากข้างหลังจิ่งเหิงปัว ปะทะกับมีดที่สะบั้นลงมา น้ำมันที่เหลืออยู่ในหม้อสาดทหารหลายคนที่ลงมือนั้นทั่วร่าง


 


 


ในหูของจิ่งเหิงปัวดังหวึ่งๆ ผืนหนึ่ง คว้าราวสะพานข้างหลังไว้ เบิกตาโพลง มองเห็นหม้อใหญ่ใบหนึ่งกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น เปลวไฟหลายแห่งที่มอดดับแล้วเมื่อครู่ลุกไหม้ขึ้นมาอีกครั้ง ทหารหลายคนที่ลงมือเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยคราบน้ำมันทั่วร่าง อยากจะพุ่งมาข้างหน้าทว่าไถลไปข้างหลังอย่างจนตรอก


 


 


นางหันหน้ากลับมา


 


 


ข้างหลังมีคนยืนอยู่เต็มไปหมดไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร!


 


 


พ่อค้าคนหนึ่งสองมือเปรอะเปื้อนน้ำมันท่วม บนมือยังมีบาดแผลกว้าง กำลังคงไว้ซึ่งท่าทางยกหม้อเขวี้ยงคน ยิ้มแย้มด้วยในใจมีความหวาดผวาให้นาง


 


 


จิ่งเหิงปัวจำได้เลือนรางว่าเขาคือพ่อค้าที่ขายแป้งทอดน้ำมันข้างสะพาน ต่อมาถูกองครักษ์ของเฉิงเย่าจูไล่ไปอีกทาง


 


 


พ่อค้าคนนั้นยิ้มกว้างให้นาง เอ่ยว่า “แม่นาง เมื่อครู่พวกเรามองเห็นกันหมดแล้ว รถคันนั้นผิดปกติ รถคันแรกเจ้าเป็นผู้ทำให้หยุดลง รถคันที่สองเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนทิศทาง หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเราคงตายกันหมดแล้ว”


 


 


“ใช่ หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเราคงหนีไม่พ้น” ฝูงชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งข้างหลังเขาต่างพุ่งเข้ามา ก้าวผ่านนาง ปกป้องนางไว้ข้างหลัง ถลึงตามองทหารที่คิดจะคว้ามีดก้าวเข้ามาอีกครั้งเหล่านั้นด้วยความโกรธเคือง


 


 


“อย่าเข้ามา มิเช่นนั้นพวกเราจะไม่เกรงใจ!”


 


 


“นางเป็นผู้ขัดขวางรถม้าต้นเหตุเพลิงไหม้ไว้ พวกเจ้าอาศัยสิ่งใดมาสังหารนาง!”


 


 


“เฉิงเย่าจู่ก่อเรื่องอันธพาลในตี้เกอ สมควรถูกชนจนสิ้นชีพ เป็นเขาเองที่ยึดตำแหน่งใต้สะพานหาเรื่องตายด้วยตนเอง พวกเจ้าหวังจะอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว ถามพวกเราก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่!”


 


 


“ใช่ ถามพวกเราก่อน!”


 


 


ฝูงชนท่าทางโหดร้ายน่ากลัว ผู้ขัดขวางดุจกำแพง ทหารหลายนายคิดไม่ถึงว่าจะพบกับการต่อต้านเช่นนี้ สีหน้ากังวลเล็กน้อย ไม่กล้าก้าวไปเบื้องหน้าอีก ได้แต่คุมเชิงกันถลึงตามองด้วยความโกรธ ไม่ถอยร่นให้กันและกัน


 


 


จิ่งเหิงปัวน้ำตาคลอเบ้าในชั่วพริบตา


 


 


ลำบากลำบนติดตามขัดขวางตลอดทาง ทุกสิ่งที่นางทุ่มเทไปไม่ได้จมดิ่งใต้ละอองธุลี วันนี้ฟ้ารับรู้ ดินรับรู้ ราษฎรทุกคนที่อยู่ในตลาดกลางคืนตรอกหลิวหลีแห่งนี้ต่างรับรู้!


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขามอบการตอบแทนอย่างสาสมที่สุดให้นางในทันที…ใช้ชีวิตร่วมปกป้อง ต่อต้านอาวุธแห่งแคว้นอย่างอาจหาญ


 


 


ความรู้สึกถาโถมในใจ นางอดจะน้ำตารื้นไม่ได้ ยื่นมือจับไหล่ของราษฎรที่ไม่รู้ว่าเป็นใครข้างหน้า กล่าวว่า “เอ่อ…ข้าไม่เป็นไร อย่าได้โต้เถียงกับทหารเลย…”


 


 


“ฝ่าบาท!” จากที่ห่างไกล ไม่รู้ว่าผู้ใดโก่งคอตะโกนเต็มที่ว่า “พระองค์ทรงให้อาตมาไล่ตามขัดขวางรถม้าอีกสามคันที่ภายในซุกซ่อนโคลนไฟตลอดทาง อาตมาได้ช่วยพระองค์กระทำเสร็จสิ้น รถม้าสามคันถูกสกัดให้จอดแล้วทั้งสิ้น ไม่อาจก่อเรื่องได้อีก ขอพระองค์ทรงวางพระทัย!”


 


 


เสียงหนึ่งออกมาดุจมหาศิลากระแทกคลื่น ซัดสาดคลื่นเสียงอุทานอย่างตกตะลึงนับไม่ถ้วน


 


 


“ฝ่าบาท? นางคือองค์ราชินีหรือ?” นี่คือผู้ที่ประหลาดใจในฐานะ


 


 


“ยังมีรถม้าเพลิง! ยังมีอีกสามคัน! โอ้สวรรค์คราวนี้จะมีคนล้มตายมากเพียงใด!” นี่คือผู้ที่หวาดผวาว่าภัยพิบัติยังคงอยู่


 


 


“ถูกสกัดให้จอดแล้ว! ถูกฝ่าบาททรงส่งคนส่งทหารขัดขวางให้จอดแล้ว! โอ้สวรรค์ นึกไม่ถึงว่านอกจากรถม้าสองคันทางนี้ ฝ่าบาทยังทรงขัดขวางไว้อีกสามคัน! นี่คือบุญคุณยิ่งใหญ่ต่อผู้คนนับไม่ถ้วน!” นี่คือผู้ที่รู้สึกถึงข่าวสารที่แฝงนัยในวาจาประโยคนั้นในที่สุด


 


 


กงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีที่เฉียดเข้ามาชะงักไปแล้วเช่นกัน


 


 


พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่ารถม้าไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว แม้ว่ามองทิศทางการมาถึงรถม้า รถม้าที่ปรากฏตรงนี้คือรถม้าสองเส้นทาง ทว่านึกไม่ถึงว่ายังมีอีกหนึ่งเส้นทาง


 


 


ครุ่นคิดให้ลึกซึ้งเข้าไปอีก ในเมื่อรถม้าที่ถูกสกัดให้จอดอีกหนึ่งเส้นทางคือสามคัน เช่นนั้นรถม้าอีกสองเส้นทางคงจะไม่น้อยกว่าสามคันเช่นกันถึงจะถูกต้อง ทว่ารถม้าสองเส้นทางที่ปรากฏที่นี่ต่างมีเพียงหนึ่งคัน เอ่ยอีกอย่างหนึ่งคือแท้จริงแล้วบนเส้นทางคงจะมีรถม้าเช่นนี้ทั้งสิ้นเจ็ดคันถูกสกัดให้จอด!


 


 


เจ็ดคัน!


 


 


พอนึกว่าอาจจะยังมีรถม้าสยองขวัญเช่นนี้ พุ่งชนมั่วซั่วกลางตรอกหลิวหลีที่ซึ่งฝูงชนชุมนุมเช่นนี้ กลิ้งทับไม่หยุดหย่อน นำพาเปลวเพลิงและชีวิตคนนับไม่ถ้วนตลอดทางเข้าสู่ใจกลางตี้เกอ เส้นผมของทั้งสองคนต่างเริ่มลุกชัน


 


 


คราวนี้ต้องพลีชีวิตคนเพียงใด? ก่อเกิดความวุ่นวายมากเพียงใด? ก่อเกิดเงามืดให้ผู้คนมากเพียงใด ก่อเกิดความไม่สงบที่ตามมามากเพียงใด? คราวนี้จะกระทบทั่วทั้งตี้เกอ ถึงขนาดกระทบทั่วทั้งแคว้น! ประวัติศาสตร์ของต้าฮวงอาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเพราะเหตุนี้!


 


 


ช่วงหนึ่งนี้ทั่วร่างสองคนเหน็บหนาว ดวงใจกลับร้อนผ่าวขึ้นมา


 


 


เรื่องนี้คือการกระทำของจิ่งเหิงปัวผู้แม้ว่าฉลาดเฉลียวทว่าเกียจคร้าน แลดูมีน้ำใจไมตรีทว่ายังมีส่วนเฉยเมยในกระดูกหรือ?


 


 


ความสามารถของนางพลิกผันเปลี่ยนแปร ระหว่างนั้นจะทุ่มเทลำบากยากเข็ญอย่างไร?


 


 


แววตาของสองคนอดจะเบนไปทางจิ่งเหิงปัวไม่ได้


 


 


นางยับเยินไปทั่วร่าง ไร้ซึ่งเสน่ห์งดงามเพริศแพร้วยามปกติ ถึงขนาดกำลังสั่นเทาเล็กน้อย ทว่าพอมองดูในยามนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นความดีงามจวบจนสิ้นสุดแดนมนุษย์


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้สังเกตแววตาของทุกคน ยุ่งอยู่กับการเขย่งเท้าชะเง้อมองที่มาของเสียง นี่คือเสียงของพระปลอม ดูท่าเส้นทางหนึ่งนั้นของเขาคงสำเร็จจริงแล้ว


 


 


เขายังรีบตามมาโก่งคอตะโกนยากลำบากอีก เดิมทีนางยังกลัดกลุ้มว่าจะเปิดเผยฐานะโดยไม่เหลือร่องรอยอย่างไร? ทำความดีไม่เปิดเผยชื่อนั่นไม่ใช่การสวมชุดแพรท่องราตรีหรอกเหรอ? ราชินีที่ไร้เส้นสายแบบนางนี้ ไม่ฉวยโอกาสนี้สร้างฐานมวลชนจะฉวยโอกาสไหน?


 


 


นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนนี้จะช่วยนางแก้ไขปัญหายุ่งยาก จิ่งเหิงปัวอยากจะลากเขาออกมาจุ๊บๆ บนศีรษะของพระปลอมแบบเขานั้นสักฟอดเหลือเกิน


 


 


“องค์ราชินี!” ราษฎรพุ่งเข้ามามากยิ่งขึ้น สีหน้าทั้งตื่นตกใจทั้งปีติยินดีผสานความซาบซึ้งใจ มือของคนมากมายสั่นเทิ้มอย่างฮึกเหิม หวังลูบคลำชายผ้าของนาง ทว่ามิกล้าล่วงเกิน ยืนต่อกันทีละแถวด้วยท่าทางเคารพนบนอบ


 


 


ความประทับใจที่มีต่อความงามน่าตะลึงพรึงเพริดของราชินีในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จยามนั้นยังคงอยู่ ทว่านั่นเป็นเพียงความประทับใจในความเฉลียวฉลาด รูปโฉมงดงามและความอัศจรรย์เท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของราษฎร ผ่านไปไม่กี่วันย่อมจืดจางลงไป ทว่ายามนี้ย่านตลาดสะท้านวิญญาณ รอดชีวิตหลังภัยพิบัติ พอมองเห็นองค์ราชินีที่ช่วยราษฎรนับหมื่นเพียงผู้เดียวอีกครั้ง พลันรู้สึกว่าทั้งสนิทสนมทั้งบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ล่องลอยเหนือเมฆา ร่างเปล่งประกายรัศมีโดยไร้สรรพเสียง


 


 


ทว่าความรู้สึกของผู้มีฐานะแตกต่างกันมักจะตรงข้ามกัน


 


 


สำหรับเฉิงกูมั่ว สำหรับทหารคั่งหลง กลับรู้สึกเพียงว่าโกรธแค้น


 


 


รู้สึกถึงความโกรธแค้นที่ราชินีบีบบังคับเจตนารมณ์ของราษฎรมาต่อต้านอำนาจบารมีของกองทัพ


 


 


“ผู้ใดอนุญาตพวกเจ้าชุมนุมกันในย่านตลาด? ทหารคั่งหลง ใช้กำลังขับไล่!” เฉิงกูมั่วลุกขึ้นมาจากพื้น เสียงโกรธแค้นดังขึ้นมา


 


 


เสียงของกงอิ้นขานรับรวดเร็วยิ่งว่า “หยุดนะ! ทหารคั่งหลงไม่ได้รับคำสั่งข้า ห้ามกระทำการฉุนหันพลันแล่น!”


 


 


เฉิงกูมั่วเช็ดโลหิตตรงมุมปากครั้งหนึ่ง หันหน้ามาจ้องมองกงอิ้นอย่างโกรธแค้น สายตาดุจหมาป่าบาดเจ็บ


 


 


ในแววตาของกงอิ้นคือหิมะขาวโพลนชั่วกาล ไม่หวั่นไหวแม้มีสิ่งใดกระทบ เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เฉิงกูมั่วฝ่าฝืนต่อต้านคำสั่ง ขยับเขยื้อนกองทัพล้อมโจมตีราชินีโดยพลการ มีโทษล่วงเกินเบื้องสูง หยุดปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการชั่วคราว รอตรวจสอบ!”


 


 


ทหารคั่งหลงส่งเสียงเซ็งแซ่


 


 


เฉิงกูมั่วมีสีหน้าตกตะลึง หันหน้าฉับพลัน ตวาดว่า “ราชครู! จะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลจริงหรือ!”


 


 


“เบื้องบนมีกฎหมาย เบื้องล่างมีกฎเกณฑ์” กงอิ้นไม่อ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะข้อใดต่างไม่อนุญาตให้เจ้าล้อมปลงพระชนม์ราชินีกลางตลาด บัญชากองทัพโจมตีราษฎรบริสุทธิ์!”


 


 


“แล้วข้อใดเล่าอนุญาตให้ราชครูพักตำแหน่งมหาขุนพลในราชวงศ์นี้โดยพลการ?” เฉิงกูมั่วตะโกนอย่างเศร้าเสียใจว่า “ลููกน้องคั่งหลง! จงบอกข้า! หลายปีมานี้ ข้าพาพวกเจ้ารบรามากเพียงใด!”


 


 


“รัชศกเทียนสื่อปีแรกถึงรัชศกหมิงเฉิงปีที่ห้า ศึกน้อยใหญ่สี่สิบเอ็ดครั้ง!” เสียงขานรับเกรียงไกรดุจเสียงอสนีบาต


 


 


“รบชนะกี่ครั้ง!”


 


 


“ศึกน้อยใหญ่สี่สิบเอ็ดครั้ง!” เสียงสะเทือนท้องนภา


 


 


“มีกี่ครั้งที่สู้รบเพื่อตี้เกอ!”


 


 


“ศึกน้อยใหญ่สี่สิบเอ็ดครั้ง!” เสียงตะโกนกึกก้อง


 


 


“ศึกครั้งใดเกิดการบาดเจ็บล้มตาย?”


 


 


“ศึกน้อยใหญ่สี่สิบเอ็ดครั้ง!” เสียงยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น


 


 


“ครั้งใดศึกบาดเจ็บล้มตายมากที่สุด!”


 


 


“กบฏตี้เกอรัชศกหมิงเฉิงปีที่ห้า เพื่อปกป้องราชครู คั่งหลงบาดเจ็บสามพัน สิ้นชีพหนึ่งพัน ผู้บัญชาการต้องลูกธนูสิบเจ็ดดอก เอ็นมือซ้ายขาด จนบัดนี้ใช้การไม่ได้!”


 


 


แม่น้ำอวี้ไต้ ตรอกหลิวหลี โคมแดงสิบลี้แลแสงตะเกียงสามพันต่างสั่นสะท้านท่ามกลางเสียงตะโกนก้องของคั่งหลง


 


 


ทุกคนหน้าถอดสี เหล่าราษฎรหวาดกลัวสั่นเทิ้มกลายเป็นกลุ่มเดียว ใจรู้ว่าพริบตาต่อมาอาจจะต้องเผชิญหน้าภัยพิบัติครั้งหนึ่งอีกครา…การก่อกบฏของทหารที่เกิดขึ้นในย่านตลาดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ต้าฮวง!


 


 


มีเพียงใจกลางที่สุดของลมพายุ กงอิ้นคลายคิ้วหลุบตาต่ำ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง 

 

 


ตอนที่ 69 - 3 การปกป้องของเขา

 

“คั่งหลงคือกองทัพแห่งคุณูปการ ผู้บัญชาการเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการแห่งแคว้น บนหอคุณูปการ ในจดหมายเหตุ ไม่อาจเมินเฉยชั่วกาล” รอให้เสียงของคั่งหลงสงบลง เขาถึงเอ่ยปากเชื่องช้าด้วยเสียงเยือกเย็นชัดเจนว่า “ทว่ากองทัพตั้งขึ้นเพื่อปกป้องอาณาประชาราษฎร์ นี่คือภาระหน้าที่และเกียรติยศของทหาร วันนี้ในย่านตลาดหลิวหลี ต่อหน้าเหล่าราษฎรนับหมื่น กองทัพหันมีดใส่กษัตริย์ หันดาบใส่ราษฎรเพื่อความแค้นส่วนตัว เหตุผลอยู่ที่ใด? หลักการอยู่ที่ใด? ภาระหน้าที่เกียรติศักดิ์ในฐานะทหารของพวกเจ้าอยู่ที่ใด!”


 


 


ความรู้สึกเคร่งขรึมของทหารคั่งหลงขาดช่วงเล็กน้อย คนมากมายนึกถึงคำสาบานยามสมัครเป็นทหารนั้นและเกียรติยศจวบจนบัดนี้ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย


 


 


“กระบี่สะบั้นศีรษะศัตรู มีดละเลงโลหิตคู่อาฆาต ปกป้องแคว้นเพื่อราษฎร พลทหารดุจเหล็กกล้า” เสียงของกงอิ้นเย็นชาแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าเช่นกัน เอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าโลหิตของผู้บริสุทธิ์ทุกหยดที่หลั่งรินใต้คมมีดของพวกเจ้า จะลบล้างความดีความชอบทางทหารการสงครามที่พวกเจ้าอาบโลหิตต่อสู้สุดชีวิตจนได้รับมาก่อนหน้านี้? ต่อหน้าต่อตาราษฎร ผู้ปกป้องกลายเป็นผู้ทรยศ วีรบุรุษกลายเป็นผู้ก่อกบฏ ผู้อื่นเคารพเลื่อมใสกลายเป็นทุกคนทอดทิ้ง พวกเจ้าคิดจะเดินบนเส้นทางเช่นนี้จริงหรือ?”


 


 


ความนิ่งเงียบประหนึ่งวายชนม์


 


 


“การสิ้นชีพของบุตรชายผู้บัญชาการเป็นเพียงบุญคุณความแค้นส่วนตน มีเหตุผลกลใดยังไม่ได้จำแนกให้ชัดแจ้ง กองทัพไร้อำนาจแก้แค้นผู้อื่นด้วยเพราะเหตุนี้ ยิ่งไร้อำนาจใช้มีดกระบี่เผชิญหน้าราษฎรที่ในมือปราศจากอาวุธ!” เสียงของกงอิ้นดุดันมากยิ่งขึ้น เอ่ยว่า “หันอาวุธใส่หน้าอกของราษฎรบริสุทธิ์คือความอับอายของทหารแห่งต้าฮวงเรา!”


 


 


“ทว่าราชินีสังหารคนจะไม่ต้องรับโทษได้อย่างไร! ราชครูท่านปกป้องเข้าข้างสุดกำลัง ไม่กลัวสูญเสียขวัญกำลังใจของทหารหรือ!” มีผู้ตะโกนก้องด้วยเสียงดุดัน


 


 


กงอิ้นมิได้เอ่ยวาจา สายตาบริสุทธิ์แวววาวของเขาเฉียดผ่านฝูงราษฎรที่ยิ่งชุมนุมกันจนคลาคล่ำมากขึ้น


 


 


แทบจะฉับพลัน เสียงร้องของราษฎรดังขึ้น


 


 


“ราชินีทรงช่วยพวกเรา!”


 


 


“ราชินีทรงช่วยตี้เกอ!”


 


 


“หากคำนวณความดีความชั่วจริง คนที่พระนางทรงช่วยไว้นับพันนับหมื่น พวกกากเดนสิ้นชีพไปคนหนึ่งจะเป็นอะไรไป!”


 


 


“ความตายของคนชั่วเพียงผู้เดียว ช่วยเหลือชีวิตผู้บริสุทธิ์นับร้อยนับพัน ไร้ความผิด!”


 


 


“เฉิงเย่าจู่ขับไล่ราษฎร ยึดครองใต้สะพานจึงถูกรถม้าชนสิ้นชีพ หาเหตุใส่ตนเอง ยังมีหน้ามานับโทษที่เขาสิ้นชีพอีกหรือ? ชดใช้โทษที่หลายปีมานี้ราษฎรตี้เกอถูกเขากลั่นแกล้งทุบตีมาก่อนแล้วค่อยเอ่ยเรื่องอื่น!”


 


 


เสียงตะโกนก้องของราษฎรดังก้องเสียยิ่งกว่าเสียงของคั่งหลงเมื่อครู่ ขอบฟ้าเมฆครึ้มต่างคล้ายถูกฟาดสะบั้นจนสาดส่องแสงเรืองรองเย็นยะเยือกของแสงจันทร์


 


 


“ได้ยินหรือไม่?” กงอิ้นรอให้เสียงร้องของราษฎรหยุดลง มองไปทางทหารคั่งหลงอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “ข้ากลัวสูญเสียขวัญกำลังใจของทหาร ทว่าข้ากลัวสูญเสียขวัญกำลังใจของราษฎรยิ่งกว่า! กลัวจะสูญเสียสัจธรรม ความเป็นธรรม ความถูกผิด ศีลธรรมและบรรทัดฐานในการตัดสินความถูกผิดทุกสิ่งอย่างแท้จริงของโลกมนุษย์ใบนี้!”


 


 


สองมือของเฉิงกูมั่วกำหมัดแน่น นัยน์ตาเปี่ยมโลหิต พวงแก้มกระตุกเกร็ง ฟันเสียดสีส่งเสียงดังกรอดๆ ฟังแล้วน่าหวาดกลัว


 


 


“แน่นอนว่าข้าเองรักใคร่คั่งหลง รู้สึกซาบซึ้งใจที่คั่งหลงเคยอาบโลหิตต่อสู้สุดชีวิตเพื่อข้ามาโดยตลอด” กงอิ้นพลันทอดน้ำเสียงให้เชื่องช้า เอ่ยแผ่วเบาว่า “เพียงแต่รักใคร่ให้ความสำคัญ ด้วยรักใคร่ถึงให้ความสำคัญ ข้าพึ่งพาอาศัยคั่งหลง ยิ่งไม่อยากมองเห็นคั่งหลงเดินทางผิดก้าวเดียวแล้วไร้ทางฟื้นคืน ส่วนคั่งหลง พวกเจ้าติดตามข้ากับผู้บัญชาการมานานหลายปีขนาดนี้ พวกเจ้าไม่ควรเป็นอาวุธในมือของข้าหรือผู้บัญชาการ ทว่าควรเป็นมีดคมที่ทั่วทั้งต้าฮวงถือไว้ในมือ บัดนี้น้ำใจสำคัญหรือสัจธรรมสำคัญ ข้ามอบอำนาจในการตัดสินให้พวกเจ้า อวี่ชุนเหมิงหู่!”


 


 


“ขอรับ!”


 


 


“นำพาองครักษ์และราชองครักษ์ถอยไป!”


 


 


“นายท่าน!”


 


 


เหมิงหู่อวี่ชุนตกใจหน้าถอดสี…พวกเขาขวางอยู่เบื้องหน้าทหารคั่งหลงปกป้องกงอิ้นโดยตลอด ยามนี้กงอิ้นให้พวกเขาถอนกำลัง หากทหารคั่งหลงบุกโจมตีแม้เพียงผู้เดียว ราชครูคงต้องประสบอันตราย!


 


 


แต่ไหนแต่ไรมากำลังรบของคนเดียวไร้หนทางต้านทานกำลังของทหารนับหมื่น แม้มีวรยุทธล้ำเลิศ เบื้องหน้ากองทัพคงต้องได้รับบาดเจ็บเป็นแน่!


 


 


“ข้าไม่ถืออาวุธ ไม่ตั้งทัพองครักษ์ เผชิญหน้ากับพวกเจ้า” กงอิ้นไม่สนใจอวี่ชุนเหมิงหู่แลไม่มองเฉิงกูมั่ว เพียงมองดูเหล่าทหารคั่งหลง เอ่ยสืบต่อว่า “คิดให้ดีว่าจะพุ่งเข้ามาหรือไม่! จำไว้ว่าจงรับผิดชอบทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำออกมา!”


 


 


เหล่าทหารคั่งหลงเงยหน้าขึ้น ในดวงตาเปี่ยมโลหิตนั้นมีความไม่เข้าใจ มีความงงงวย มีความโกรธแค้น มีความไม่สงบ


 


 


อวี่ชุนเหมิงหู่ไม่กล้าต่อต้านคำสั่งของกงอิ้น กัดฟันจำใจพาทหารถอยไป


 


 


ยามนี้กงอิ้นยืนโดดเดี่ยวเดียวดายเพียงผู้เดียวตรงปากตรอก ฝั่งข้างเคียงคือราษฎรกลุ่มใหญ่ ข้างหลังคือทางเข้าตรอกว่างเปล่าไร้ผู้คนสายหนึ่ง เบื้องหน้าจัตุรัสกว้างขวางของตรอกหลิวหลีคือทหารคลาคล่ำนับพัน


 


 


แม้เผชิญหน้าทหารนับพันเพียงผู้เดียว สีหน้าเขายังคงเป็นเช่นปกติ ถึงขนาดเอามือไพล่หลังอย่างแผ่วเบา แขนเสื้อสีขาวราวหิมะถูกสายลมพัดขึ้นมา ร่างดุจไผ่สูงอาภรณ์ดุจผืนธง


 


 


“อย่าได้ถูกวาจาสองสามคำของราชครูมอมเมา!” เฉิงกูมั่วพุ่งสู่กลางทหารคั่งหลงพลางตะโกนลั่นว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล! พวกเราเคยต่อสู้สุดชีวิตเพื่อต้าฮวง เพื่อราชครูมานานหลายปี พวกเราได้รับสิ่งใดบ้าง? วันนี้บุตรชายคนเดียวของข้าถูกคนทำร้ายสิ้นชีพกลางย่านตลาด ทุกผู้คนเห็นด้วยตาตนเอง! เขายังไม่ยอมมอบความยุติธรรมให้ข้าเลย ข้ายังมีจุดจบเช่นนี้ พวกเจ้าคิดว่านับแต่วันนี้ไป พวกเจ้าจะมีจุดจบดีอย่างไร?”


 


 


เขามีสีหน้าเดือดดาลเสียงแหบแห้ง ใช้กำลังทั่วร่างจนหมดสิ้น…รู้ว่าหากวันนี้ไม่อาจฉวยโอกาสสังหารราชินีที่ย่านตลาด หลังจากผ่านพ้นเรื่องราวคงยากจะมีโอกาสแก้แค้น หากวันนี้ต่อต้านคำสั่งของกงอิ้นไม่ได้ ในภายภาคหน้าคงยากจะรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการ ทหารคั่งหลงที่เขาก่อร่างสร้างขึ้นด้วยมือตนเองอาจจะเปลี่ยนแซ่เป็นของผู้อื่นขึ้นมาจริง!


 


 


เหล่าทหารคั่งหลงกำอาวุธแน่น สายตาแปรเปลี่ยน ลังเลตัดสินใจไม่ได้ ฝ่ายหนึ่งคือที่ผู้บัญชาการที่บุญคุณมากล้นดุจบิดา อีกฝ่ายหนึ่งคือราชครูที่บารมีลึกล้ำเลื่อมใสศรัทธาดุจอยู่กลางเมฆามาเนิ่นนาน ทั้งเจ็บปวดใจที่ผู้บัญชาการสูญเสียบุตรชาย ทั้งหวาดกลัวท่าทางน่าเกรงขามของราชครู อยากช่วยแก้แค้นทว่านึกถึงชื่อเสียงเกียรติยศของทหารขึ้นมา อยากพุ่งเข้าไปสังหารทว่ามิกล้าล่วงเกินอำนาจของกษัตริย์ ยิ่งกลัวว่าหากก้าวไปก้าวหนึ่ง จะเหยียบย่ำคุณูปการและเกียรติยศในฐานะทหาร ทว่าฟังเสียงตะโกนเจือโลหิตของผู้บัญชาการ พลันนึกถึงบุญคุณที่เขามอบอาภรณ์มอบอาหารรักทหารดุจบุตรชาย ชั่วขณะหนึ่งนั้นทุกคนร้อนเร่าภายในดุจไฟเผา ผุดเผยสีหน้าเจ็บปวด


 


 


บรรยากาศบนลานกว้างดุจสายธนูตึงแน่น คล้ายหากสายลมพัดผ่านเพียงสายหนึ่ง ท้องนภาคงจะถล่มลงมาแล้ว


 


 


พวกอวี่ชุนเหมิงหู่เรือนร่างหดเกร็ง จิกฝ่ามือแน่น เหงื่อในฝ่ามือซึมแทรกออกมาทีละชั้น


 


 


แพ้ชนะในวันนี้อยู่ที่การกระทำนี้


 


 


ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของราชินี ยิ่งเกี่ยวข้องลึกซึ้งไปถึงเจ้าของแท้จริงของอำนาจทหาร หากผ่านด่านครั้งนี้ได้ นับแต่นี้ไปอันตรายจากการที่คั่งหลงทรยศจะลดลงไปมากหลาย


 


 


เนื้อร้ายก้อนนี้ คว้านได้หนักหน่วง รุนแรงแลเ**้ยมโหด เป็นนิสัยที่มีโดยตลอดมาของราชครู ทว่าอันตรายเกินไป!


 


 


แพ้ชนะเกี่ยวพันกับการกระทำนี้!


 


 


นอกฝูงชน เหยียลี่ว์ฉีหรี่ตาจ้องมองสองฝ่ายที่คุมเชิงกันอยู่ ในแววตามีท่าทางประหลาด


 


 


แต่ก่อนเขาไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งไม่มีเส้นสายเลยแม้แต่น้อยเช่นกงอิ้น ได้รับความเชื่อถือจากราชครูคนก่อน กระทำกิจการอันยิ่งใหญ่ในภายหลังจนสำเร็จได้อย่างไร


 


 


บัดนี้เขารู้แล้ว


 


 


ด้วยเพราะเขามีความกล้าหาญที่จะรุดไปข้างหน้าโดยตลอด มีไอดุร้ายที่ไม่สนใจความเป็นความตายและไอสังหารที่กล้าจะเผชิญหน้าผู้คนนับพันนับหมื่นแม้เพียงผู้เดียว


 


 


ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง สิ่งผูกมัดเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ความกล้าหาญถดถอยลงทุกวัน ความโกรธเกรี้ยวห้อตะบึงในยามอ่อนวัย ความภาคภูมิใจที่ควบอาชาบุกค่ายศัตรูเพียงผู้เดียวจะค่อยๆ ถูกกัดกร่อนด้วยชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ


 


 


ยามคนมีมากขึ้น ย่อมกลัวจะสูญเสียมากยิ่งขึ้น


 


 


มีเพียงกงอิ้นไม่เปลี่ยนแปลงไป


 


 


ศิลาหิมะบนภูผาสูง มิถูกสายลมกร่อนเซาะชั่วกาล


 


 


ส่วนคุณสมบัติเช่นนี้ ผู้ที่มาจากตระกูลใหญ่โตยากจะมียิ่ง…เจ้ายากจะให้ผู้ที่คาบช้อนเงินช้อนทองเติบโตคนหนึ่งนึกถึงการพลีชีพโดยง่ายดาย พวกเขาหล่อหลอมแนวคิดมั่นคงแนวคิดหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือชีวิตของตนเองล้ำค่าอย่างยิ่ง ส่วนชีวิตของผู้อื่นเป็นชีวิตไร้ค่าทั้งนั้น ใช้ชีวิตล้ำค่าแลกชีวิตไร้ค่า ผู้เฉลียวฉลาดไม่กระทำกัน


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม


 


 


ผู้เฉลียวฉลาดหรือ…


 


 


สายตาเขากวาดผ่านกลางเหล่าขุนพลเหล่าทหารคั่งหลง สังเกตสีหน้าของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาพลันสว่างวูบ


 


 


ขุนพลที่น่าจะเป็นรองขุนพลผู้หนึ่ง สีหน้าฮึกเหิมยิ่งนัก อยากจะเอ่ยปากหลายครั้งทว่าลังเลหลายครั้ง หัวเข่าของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อยโดยตลอดเช่นกัน นี่คือสัญลักษณ์ที่อยากจะพุ่งออกไป


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


ความกล้าหาญยังไม่พอน่ะ


 


 


เช่นนั้นช่วยเขาสักครั้งย่อมได้


 


 


“ราชครู! ผู้บัญชาการมีคุณูปการต่อแคว้น ยิ่งมีคุณูปการใหญ่ต่อท่าน! ไม่ว่าจะอย่างไร ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ท่านไม่อาจหยุดการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บัญชาการเรา!” รองขุนพลที่ลังเลผู้นั้นพลันเอ่ยปากด้วยเสียงโกรธเคือง


 


 


เขาเพียงอยากคัดค้านการจัดการไม่ยุติธรรมที่ราชครูมีต่อผู้บัญชาการ แลมิได้อยากพุ่งออกไป ทว่าพลันดัง “เพียะ” เสียงหนึ่งแผ่วเบา หัวเข่าของเขาสั่นสะท้าน ทั่วทั้งเรือนร่างโน้มไปเบื้องหน้าแล้วพุ่งออกไปดังสวบ!


 


 


มวลชนตกตะลึง


 


 


ขอเพียงมีฝีเท้าพุ่งออกไปหยั่งเชิงของคนแรก ย่อมอาจก่อเกิดการโหมซัดของคลื่นใหญ่!


 


 


ในยามนี้ อวี่ชุนที่แม้ว่าถอนองครักษ์ไปทว่ายืนหยัดยืนอยู่ข้างกายกงอิ้นโดยตลอด จิตใจตึงเครียดยิ่งนัก พอเห็นว่ามีคนพุ่งออกมาจริงก็ชักมีดโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ


 


 


สวบเสียงหนึ่งคมมีดดุจหิมะโปรย ร่วงลงกลางศีรษะรองขุนพลนั้น!


 


 


“หยุดนะ!” กงอิ้นตวาด


 


 


สายตาของเฉิงกูมั่วดีใจเป็นล้นพ้น


 


 


ทหารคั่งหลงตื่นตกใจ


 


 


ราษฎรส่งเสียงเซ็งแซ่


 


 


กงอิ้นยื่นมือไปคว้ามีดของอวี่ชุน ในหนามเอียงพลันมีสิ่งหนึ่งพุ่งเหินเข้ามาสู่ขมับของอวี่ชุนพอดี กงอิ้นได้แต่สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง สกัดอาวุธลับถึงแก่ชีวิตนั้นจนลอยไปเสียก่อน


 


 


พอเป็นเช่นนี้จึงช้าไปเล็กน้อย


 


 


มีดสะบั้นลง!


 


 


หากทำให้รองขุนพลทหารคั่งหลงบาดเจ็บ สถานการณ์จะเปลี่ยนไปในทางเลวร้าย ไร้หนทางหวนคืน!


 


 


เงาคนพลันกะพริบวูบ


 


 


“เคร้ง” เสียงหนึ่งดังกึกก้อง เสียงโลหะกระทบกันเสียดหูปานฆ้องแตก เคียงคู่ด้วยเสียงสตรีร้อง “โอ๊ย” เสียงหนึ่ง


 


 


“ไอ้เวรเอ้ยหนักจัง!”


 


 


สองมือของอวี่ชุนกำมีด มองดูสตรีที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย…หลับตา โค้งกาย ถอยเท้า สองมือชูหม้อใหญ่ใบหนึ่งเหนือศีรษะ ขวางไว้เบื้องหน้ารองขุนพลนั้น ค้ำมีดที่สะบั้นลงมาของเขาไว้


 


 


ไม่ต้องมองว่าผู้ที่ค้ำหม้อใหญ่ไว้คือผู้ใด เพียงความลึกลับซับซ้อนและความคิดโลดแล่นนี้ รวมทั้งน้ำเสียงอวดตนตลอดกาลนี้ ย่อมรู้ว่าในชั่วยามสำคัญ องค์ราชินีหายตัวมาแล้ว


 


 


อวี่ชุนน้ำตาคลอเบ้า มิเคยรักใคร่ราชินีดุจดั่งยามนี้ แทบอยากจะโยนมีดทิ้งกอดราชินีไว้จุมพิตแรงๆ สักฟอด…นางช่วยเหลือเขาไว้ ทำให้เขาไม่ต้องกลายเป็นนักโทษ!


 


 


แน่นอนว่าเพื่อชีวิตน้อยๆ เช่นนั้นช่างมันเถิด


 


 


กงอิ้นที่อยู่ข้างหลังถอนหายใจยืดยาวเฮือกหนึ่งแผ่วเบา


 


 


สตรีเกียจคร้านนางนี้ ในยามสำคัญมักจะอัศจรรย์เสมอ


 


 


จิ่งเหิงปัวน้ำตาคลอเบ้า…แม่งเอ้ยมีดของอวี่ชุนหนักหน่วงเกินไป สะท้านจนง่ามนิ้วนางเกือบจะแตกร้าวแล้ว


 


 


นางเหวี่ยงหม้อใหญ่ไปในครั้งเดียว หม้อใหญ่เป็นอุปกรณ์ที่พ่อค้าช่วยนางขวางมีดก่อนหน้านี้ คราวนี้ถูกนางนำมาขวางมีดอีกครั้งหนึ่ง ข้างหม้อมีรอยแยกกว้างใหญ่สองรอย ยามพ่อค้ารับมามีสีหน้าเจ็บปวดใจ จิ่งเหิงปัวตบไหล่เขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ภายหลังเจ้ายังใช้หม้อนี้ เขียนอธิบายเหตุการณ์ที่ผ่านมาหน้าแผงว่าหม้อนี้เคยขวางมีดที่สะบั้นลงมาทางราชินี แลเคยถูกราชินีชูขึ้นขวางมีดแทนผู้อื่น ราชินีพระราชทาน ‘หม้อหนึ่งเดียวในโลกหล้า’ เชื่อข้า หม้อใบนี้ อีกทั้งแป้งทอดน้ำมันของเจ้า ต้องโด่งดังเป็นแน่”


 


 


พ่อค้าเข้าใจโดยพลัน รับหม้อพังไปอย่างยินดีปรีดา ตะโกนหาช่างตีเหล็กคนหนึ่งซึ่งอยู่ไกลโพ้นเต็มเสียงว่า “เจ้าหวัง ประเดี๋ยวสลัก ‘ราชินีพระราชทานหม้อหนึ่งเดียวที่หนึ่งในโลกหล้า!’ ให้ข้าหน่อย”


 


 


กงอิ้นนิ่งเงียบ “…”


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเงียบงัน “…”


 


 


ทหารคั่งหลงอยากเอ่ยว่า…ในยามนี้เจ้ายังมีเวลาว่างสนใจเรื่องนี้อีก!


 


 


รองขุนพลที่รอดชีวิตหลังภัยพิบัติคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังจิ่งเหิงปัว สีหน้าสลับซับซ้อน


 


 


เขาพุ่งออกมาเพื่อจะลงโทษราชินี สุดท้ายแล้วกลับเป็นราชินีที่ลงมือช่วยเขา


 


 


เขาก้มศีรษะลง งกเงิ่นไม่อาจเอ่ยวาจา แม้ว่ายังไม่ได้สลายปมในใจโดยสิ้นเชิง ทว่ากำลังอันฮึกเหิมและจุดยืนต่อต้านเมื่อครู่พลันสลายหายไปแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวเช็ดน้ำมันบนมือ ยืนอยู่ข้างหน้ากงอิ้น ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง


 


 


“วันนี้น่ะ ข้ายืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน” นางเผชิญหน้าทหารนับพัน กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ผู้ที่ทหารคั่งหลงต้องรับมือแท้จริงคือข้า ไม่ควรจะเป็นราชครูของพวกเจ้า ในฐานะผู้ใต้บัญชา การทรยศเจ้านายคือความน่าอับอาย ในฐานะทหาร การถือมีดถือหอกใส่ราษฎรคือความต่ำทราม ฉะนั้น วันนี้หากผู้ใดคิดว่าข้ามีโทษ กวัดแกว่งอาวุธของพวกเจ้าพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าได้เลย…พุ่งใส่ข้า”  

 

 


ตอนที่ 70 - 1 ความรู้สึกที่แท้จริง

 

นางโบกไม้โบกมือ เล็บมือแวววาวกะพริบวูบวาบ เหล่าทหารมองดูนิ้วมือเรียวยาวของนาง บริสุทธิ์ขาวราวหิมะ ไม่เปรอะเปื้อนละอองธุลี ต่างรู้สึกว่าการยกอาวุธขึ้นเบื้องหน้ามือคู่หนึ่งเช่นนี้น่าอับอายยิ่งนัก ได้แต่ยืนเงียบกริบไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีสะท้านเล็กน้อย หันข้างมองดูเงาร่างที่ขวางไว้เบื้องหน้ากงอิ้นของนางแล้วเม้มปาก 


 


 


กงอิ้นนิ่งเงียบไม่ขยับเขยื้อน สายตาทอดลงบนเส้นผมยาวบนแผ่นหลังนาง นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อขยับเขยื้อนอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายอยากยกขึ้นสัมผัสเส้นผมของนาง แลคล้ายสะกดอารมณ์ดุเดือดในใจมิได้ 


 


 


ความไม่พอใจของราษฎรกลับถูกวาจาประโยคนี้กระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง ราษฎรกลุ่มใหญ่หลายกลุ่มพุ่งขึ้นมาข้างหน้า ขวางอยู่เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว 


 


 


“ฝ่าบาททรงมีโทษใด? ช่วยคนมากมายขนาดนี้กลับมีโทษหรือ?” 


 


 


“ผู้ใดมีคุณสมบัติตัดสินฝ่าบาท?” 


 


 


“จะข้ามพระวรกายฝ่าบาท ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน!” 


 


 


“ไอ้หลานเวร!” ตาเฒ่าผู้หนึ่งพลันเดินสั่นเทิ้มตระหง่านออกมาจากกลางฝูงชน เดินไปยังเบื้องหน้ากองทัพทหารด้วยท่าทางหายใจหอบฮืดฮาด ยื่นมือเพียงครั้งดึงหูของทหารนายหนึ่งไว้ ร้องว่า “ไอ้เจ้าหลานเวรคนนี้ ทำข้าโมโหนัก คุกเข่าลงเสีย!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องมองปากอ้าตาค้าง…ต้องกล้าหาญขนาดนี้เลยเหรอ? 


 


 


“เฮ้ๆ ท่านผู้ชรา อย่าทำเกินไป…” นางยังไม่ทันได้ขัดขวาง ทหารคนนั้นคุกเข่าลงดังตุ้บเสียงหนึ่งแล้ว ร้องอย่างเคารพนบนอบเสียงหนึ่งว่า “ท่านปู่!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวนิ่งเงียบ “…” 


 


 


“เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่าท่านปู่? เจ้าเกือบจะไม่มีท่านปู่แล้ว!” ตาเฒ่าใช้ไม้เท้าเคาะหัวเข่าของหลานชายอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังเพียะๆ พลั่กๆ ร้องว่า “ตลาดกลางคืนคืนนี้ พวกเราครอบครัวใหญ่ยังอยู่กันพร้อมหน้า หากไม่ใช่เพราะองค์ราชินี ยามนี้คงสิ้นชีพกันไปหมดแล้ว! ไอ้หลานเวร! เจ้าเลอะเลือนเป็นเช่นไรไปแล้ว? บ้านพวกเราส่งเจ้าไปเป็นทหารเพื่อให้เจ้าปกป้องบ้านปกป้องแคว้น ให้เจ้าปกป้องตี้เกอ แลปกป้องเหล่าราษฎรเช่นเดียวกับบ้านเรา ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าไปเป็นลูกสมุนของพวกขุนนางเหล่านั้น ให้เจ้าไปเป็นมีดในมือของคนร่ำรวย? ผู้ใดสอนให้เจ้าหันมีดใส่ราษฎรและสตรี? กระทำเรื่องกลับผิดเป็นถูกไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีเช่นนี้? หากเจ้าไม่เข้าใจเรื่องราวเช่นนี้ต่อไป ไม่สู้ฉวยโอกาสถอดเครื่องแบบทหาร ตาเฒ่าเช่นข้าจะพาเจ้ากลับบ้านไปทำนาเสียเดี๋ยวนี้!” 


 


 


“ท่านปู่!” ทหารคนนั้นมีสีหน้าลำบากยากเข็ญ หลบลี้ไม้เท้ามั่วซั่วจากท่านผู้ชราที่ยิ่งแก่ยิ่งรุนแรงของบ้านเขาสุดชีวิต ตาเฒ่าเอ่ยเสียงดังพลางหอบหืดฮาดว่า “ไม่ต้องมาเรียกข้า! ไอ้โง่! ไอ้โง่ฝูงหนึ่ง! เหล่าทหารเช่นพวกเจ้าเหล่านี้หลงลืมว่าตี้เกอยังมีญาติสนิทมิตรสหายของพวกเจ้าหรือ? หากมิใช่เพราะฝ่าบาท พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าเองจะสูญเสียญาติพี่น้องมิตรสหายมากมาย? นี่คือผู้มีพระคุณ! ผู้มีพระคุณ! พวกเจ้าเป็นทหารมานานหลายปี เรียนรู้เพียงใช้ความแค้นทดแทนบุญคุณหรือ!” 


 


 


เหล่าทหารหน้าแดงไปถึงหู ก้มหน้าโดยพร้อมเพรียงด้วยไร้หนทางโต้แย้ง เลือดอันเร่าร้อนและเพลิงโทสะที่ถูกเฉิงกูมั่วยั่วยุขึ้นมาในยามแรกเริ่ม ยามนี้ต่างถูกวาจาด่าทอของราษฎรสาดซัดจนมอดดับ คนมากมายก้มหน้าเศร้าซึม เริ่มรู้สึกว่าการโต้เถียงครั้งหนึ่งนี้ไร้เหตุผลแลพิลึกพิลั่น 


 


 


เหล่าราษฎรกลับโมโหโกรธาขึ้นมาจริง คนมากมายยิ่งขึ้นพุ่งเข้ามา จิ่งเหิงปัวเพ่งมองทหารที่เริ่มถอยหลัง มองดูราษฎรที่มีอารมณ์เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ถอนหายใจยืดยาวเฮือกหนึ่ง 


 


 


วิกฤตกาลครั้งนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว 


 


 


“เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ ขอบใจ ขอบใจนะ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มโบกมือต่อเนื่อง ร้องว่า “รีบกลับบ้านล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์เถิด ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ราชครู โปรดจัดหาคนจากสำนักแพทย์มาตรวจรักษาด้วย” 


 


 


“ฝ่าบาท ได้เห็นพระองค์ บาดแผลบนกายพวกเราย่อมไม่เจ็บปวดแล้ว” ในฝูงชนไม่รู้ผู้ใดตอบรับด้วยเสียงสูงประโยคหนึ่ง เหล่าราษฎรหัวเราะฮาเสียงหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะเช่นกัน นางเข้าใจว่าวาจานี้ไม่ใช่การแทะโลม ทว่าเป็นความใกล้ชิดและความอบอุ่นอีกแบบหนึ่ง บางทีนับแต่วันนี้ไป เหล่าราษฎรตี้เกอจะแปรเปลี่ยนจากยอมรับนางซึ่งเป็นราชินีองค์นี้กลายเป็นยอมรับตัวตนนางคนนี้ 


 


 


นางอมยิ้มชำเลืองมองกงอิ้นแวบหนึ่ง เดิมนึกว่าเขาได้ยินวาจานี้แล้วจะทำหน้าเครียด ไม่นึกว่าจะมองเห็นมุมปากเขากระหวัดเล็กน้อย รัศมีโค้งนุ่มนวล คล้ายมีความสุขหลายส่วนเช่นกัน 


 


 


รอยยิ้มนี้ทำให้ในใจนางยิ่งดีใจปลาบปลื้มมากขึ้น หลงระเริงเล็กน้อยไปชั่วขณะ เดินขึ้นไปก้าวหนึ่งประคองผู้เฒ่าที่ตีหลานชายด่ากองทหารสงบสถานการณ์คนนั้นไว้ ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องตีแล้ว จะโทษหลานชายของท่านมิได้ เขาคิดได้แล้วมิใช่เรื่องดีหรือ? มา ท่านพักสักหน่อย” 


 


 


ตาเฒ่าหัวเราะเหอะๆ ตบหลังมือของนางอย่างเงียบเชียบ มือแก่หง่อมเอ็นเขียวพาดซ้อนและมืออ่อนวัยอ่อนนุ่มขาวราวหิมะคลุมประสานอยู่ด้วยกันอย่างแผ่วเบา 


 


 


รอบด้านพลันไร้สรรพเสียง ผู้คนถอยออกโดยอัตโนมัติ แววตานับร้อยนับพันคู่จดจ้องบนมือคู่นี้ ใจผู้คนมากเพียงใดรู้สึกสะเทือนอารมณ์ แม้ยังครุ่นคิดไม่ทันเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นตัวแทนสิ่งใด ทว่าใจเกิดความอบอุ่นและความดีใจ 


 


 


บรรยากาศอบอุ่นก่อเป็นสถานการณ์นวลนุ่มดุจสายธาร กงอิ้นมีท่าทางนุ่มนวลผ่อนคลายแล้ว เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ห่างไกลยืนมั่นคงแล้วเช่นกัน ไม่ได้เล่นเล่ห์เหลี่ยมอีก ซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อ มองดูจิ่งเหิงปัวด้วยแววตาซับซ้อน 


 


 


ทว่ามีเสียงลมสายหนึ่ง ทะลุผ่านฝูงชน พุ่งไปทางจิ่งเหิงปัวโดยพลัน! 


 


 


“ฟิ้ว!” 


 


 


กงอิ้นพลันเงยหน้า มองเห็นเฉิงกูมั่วที่สูญเสียที่พึ่งสุดท้ายจึงลงมืออย่างบ้าคลั่งภายใต้ความผิดหวังความโกรธแค้น 


 


 


พริบตาหนึ่งนั้นที่แววตาเชิดขึัน เขามองเห็นจิ่งเหิงปัวที่มีสีหน้าตกตะลึงลำบากใจในขณะเดียวกัน 


 


 


อาวุธลับพุ่งมาสู่นาง นางหายตัวแวบออกไปได้ ทว่าพอนางหายตัวไป อาวุธลับจะเปลี่ยนเป็นพุ่งไปสู่ผู้ชรา! 


 


 


กงอิ้นลงมือโดยพลัน 


 


 


แสงโซ่ขาวเงินกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวและผู้ชราถูกม้วนส่งออกไปนอกฝูงชนไกลโพ้นแล้ว จิ่งเหิงปัวส่งผู้ชราลงกลางอากาศโดยสำนึก ผู้ชราลงพื้นอย่างมั่นคงดังเพียะเสียงหนึ่ง นางเองด้วยเพราะใช้แรงกลางอากาศจึงลอยออกไปอีกสักหน่อย ร่วงไปทางปากตรอก 


 


 


ลึกเข้าไปในทางตรอก มีรถม้าคันหนึ่งตะบึงเข้ามาพอดี 


 


 


ทว่ายามนี้ไม่มีผู้ใดสังเกต 


 


 


จิ่งเหิงปัวร่วงลงบนพื้นดังพลั่กเสียงหนึ่ง ยังดีที่กงอิ้นใช้แรงพอเหมาะ ล้มลงแล้วไม่นับว่าเจ็บปวด เพียงแต่นางวิงเวียนตาพร่าอยู่ชั่วขณะ หมอบอยู่บนพื้นหอบหายใจหลายเฮือก 


 


 


นางก็ไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นมา จะวิ่งไปข้างหน้าให้เฉิงกูมั่วมองเห็นแล้วโมโหอีกรอบเหรอ? ไม่สู้แอบหายไปเลยยังจะดีกว่า ถึงอย่างไรก็จัดการรถม้าไปหมดแล้ว 


 


 


พอคิดแบบนี้ขึ้นมา นางรู้สึกทันทีว่ามีอะไรผิดปกติ 


 


 


รถม้า… 


 


 


จัดการรถม้าหมดแแล้วจริงเหรอ? 


 


 


รถม้าสามเส้นทางที่ออกไปก่อน ทุกเส้นทางมีสามคัน พระปลอมสกัดให้จอดจนหมดไปเส้นทางหนึ่ง ตนเองสกัดรถสามคันของอีกเส้นทางหนึ่งให้จอดจนหมดหลังจากไปถึงตรอกหลิวหลี จากนั้นทหารม้าชุดเหลืองสกัดให้จอดแต่เล็ดลอดมาหนึ่งคัน ก่อให้เกิดภัยพิบัติตรอกหลิวหลี อืม สามเส้นทาง ครบแล้ว 


 


 


แต่ทำไมยังรู้สึกผิดปกติ? 


 


 


ไกลออกไปได้ยินเสียงของกงอิ้นรำไร ระคนด้วยเสียงรถกุกกักผืนหนึ่งว่า “จับไว้!” 


 


 


คงจะจัดการเฉิงกูมั่วแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด กงอิ้นคงไม่ปล่อยไปเป็นธรรมดา 


 


 


เดี๋ยวนะ เสียงรถกุกกัก? 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาทันที จากนั้นนางก็มองเห็นรถม้าสีดำเทาคันหนึ่ง! กำลังแล่นมาจากส่วนลึกของทางตรอก! ความเร็วว่องไวจนพาผู้คนตื่นตะลึง เพียงหันหน้าครั้งเดียว กีบเท้าหน้าของม้าพันธุ์ดีได้เฉียดผ่านข้างกายนางแล้ว! 


 


 


ชั่วพริบตาหนึ่งดุจแสงฟ้าแลบฟาดผ่าน! 


 


 


นางเข้าใจแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ไหน! 


 


 


คันนั้นของซังต้ง! 


 


 


นางรีบเร่งลุกขึ้น ถ้าไม่ลุกขึ้นหายตัวไม่ได้ แต่สายไปเสียแล้ว รถม้ากำลังเฉียดผ่านร่างนาง บนแอกรถมีมือคู่หนึ่งยื่นลงมาบีบครั้งหนึ่งคว้าบริเวณหัวไหล่ของนางไว้ เสียงดังพลั่กเสียงหนึ่ง ลากนางเข้าไปในรถม้า! 


 


 


จิ่งเหิงปัวเข้าสู่รถม้าด้วยสภาพหน้ามืดวิงเวียน มือผอมบางดุจกรงเล็บนกคู่หนึ่งพลันบีบคอหอยของนางไว้ 


 


 


เสียงหัวเราะของซังต้งไร้ซึ่งความสง่างามยามก่อนอีกแล้ว หวีดแหลมดุจนกฮูกราตรี เปี่ยมด้วยความรื่นรมย์ที่ได้พบศัตรูโดยบังเอิญและได้แก้แค้นครั้งใหญ่ 


 


 


“อ่ะฮ่าๆๆ นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจอฝ่าบาทด้วย เช่นนั้น โปรดเสด็จตามพวกเรามุ่งสู่เส้นทางแห่งความตายด้วยกันเถิด!” 


 


 


… 


 


 


ท่ามกลางฝูงชนกงอิ้นกำลังบัญชาให้คนจับเฉิงกูมั่วไว้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกส่งออกนอกเขตอันตราย เรื่องสำคัญที่ต้องกระทำคือจัดการบุคคลอันตรายเช่นเฉิงกูมั่วนี้ ภายหลังนางถึงจะปลอดภัยไร้กังวล 


 


 


คราวนี้ทหารคั่งหลงยอมรับการจัดการเฉิงกูมั่วอย่างสงบเงียบยิ่งนัก กงอิ้นเองไม่อยากให้คั่งหลงเจ็บปวดใจมากเกินไป เพียงประกาศให้เฉิงกูมั่วหยุดปฏิบัติหน้าที่รอตรวจสอบ เลือกรองขุนพลอีกคนปฏิบัติหน้าที่แทนตำแหน่งผู้บัญชาการ 


 


 


ยามเลือกคนสายตาเขาเฉียดผ่านบนใบหน้าขุนพลแถวหนึ่ง พลันพบข้อผิดพลาดข้อหนึ่งของตนเอง…ขุนพลทั้งหมดในที่นี้คือคนไว้ใจของเขาและเป็นคนไว้ใจของเฉิงกูมั่วเช่นกัน ยามนี้เขากลับหาคู่อริของเฉิงกูมั่วมารับภาระหน้าที่ของเขาชั่วคราวไม่ได้เลยสักคน 


 


 


เรื่องนี้คงด้วยเพราะผู้บัญชาการเฉิงอยู่ในค่ายทหารมานาน ตำแหน่งเปี่ยมบารมีรากฐานมั่นคง แลด้วยเพราะเขาเชื่อมั่นในความจงรักภักดีของเฉิงกูมั่วมาโดยตลอด จึงไม่ได้ดำเนินการเตรียมป้องกันเขาเพื่อความมั่นคงของกองทัพ ไม่ได้จัดวางกำลังสร้างอุบายโดยเฉพาะ ตั้งใจก่อสร้างทหารคั่งหลงที่สามัคคีอย่างยิ่งดุจเหล็กแผ่นเดียวกัน 


 


 


ยามไม่มีการกระทบกระทั่งใด การเลือกกระทำเช่นนี้ถูกต้องยิ่งนัก ทว่าบัดนี้ความเชื่อถือก่อเกิดอันตราย ข้อเสียของการจัดการเช่นนี้จึงปรากฏออกมา 


 


 


กงอิ้นจัดการให้ทหารกระจายฝูงชน นำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหาหมอช่วยรักษาไปพลาง จมดิ่งสู่ความคิด ครุ่นคิดว่าจะแก้ไขอันตรายแฝงเร้นของทหารคั่งหลงอย่างไรไปพลาง พลันรู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อย 


 


 


เหตุใดจิ่งเหิงปัวยังไม่มาอีก? 


 


 


เขาหันหน้าโดยพลัน  

 

 


ตอนที่ 70 - 2 ความรู้สึกที่แท้จริง

 

ในขณะเดียวกันนั้นเองเหยียลี่ว์ฉีที่เดิมทีเข้าสู่ภายในรถตระเตรียมจะจากไป หันกายมองไปทางปากตรอก


 


 


บนชายคาบ้านมืดมิดแถวหนึ่งเบื้องหน้า พลันมีเงาร่างปานนกตัวใหญ่เฉียดผ่าน เจ้าผู้หนึ่งตะโกนว่า “เฮ้ยๆ! บ้าเอ้ยเหตุใดยังมีอีกคันหนึ่ง! หยุดนะ! อาตมาบอกให้หยุด!”


 


 


ในเสียงตะโกนมีเสียงกุกกักดังขึ้น รถม้าคันหนึ่งแล่นตะบึงเข้ามา


 


 


ราษฎรที่กำลังเดินกระจัดกระจายกันสองสามคน ยามนี้ได้ยินเสียงรถม้าโลดแล่นเช่นนี้ ต่างมีปฏิกิริยาตอบกลับเพียงหนึ่งเดียวคือหันมองอย่างตกตะลึง


 


 


รถม้าสีดำเทาที่เปรียบเสมือนโลงศพเปลวเพลิงก่อนหน้านี้! ปรากฏอีกหนึ่งคัน!


 


 


สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ รถม้าในคราวนี้เปิดโล่ง มองเห็นภายในได้รำไร คล้ายมีคนผู้หนึ่งถูกกดถ่างแข้งถ่างขาบนผนังรถ บริเวณลำคอมีแสงประกายผืนหนึ่ง


 


 


นี่คือสิ่งที่ราษฎรส่วนใหญ่มองเห็นได้ในระหว่างเร่งรีบ


 


 


ส่วนกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉี นัยน์ตากะพริบวูบด้วยแสงดุร้าย


 


 


พวกเขามองเห็นผู้อยู่ภายในรถได้อย่างชัดเจน


 


 


คือจิ่งเหิงปัว!


 


 


ผู้ที่จับตัวนางไว้กลับกลายเป็นซังต้ง หัวเราะคิกๆ ไปพลาง มีดคมเล่มหนึ่งค้ำบริเวณลำคอของจิ่งเหิงปัวไว้


 


 


“ขวางรถคันนั้นไว้!” กงอิ้นตวาดแล้วกระโจนขึ้นไป


 


 


“หยุดนะ!” เสียงแหลมคมของซังต้งแว่วมาว่า “ผู้ใดขยับเขยื้อน มีดข้าจะกดลงไปโดยพลัน!”


 


 


ผู้คนเต็มถนนใหญ่ยืนแน่นิ่ง เรือนร่างของกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีที่เหินขึ้นมาแล้วลงพื้นโดยพลัน พระปลอมที่ยังเหินไล่ตามรถม้าพลันล้มหัวทิ่ม


 


 


“หยุดไว้!” กงอิ้นออกคำสั่งโดยพลัน


 


 


ทุกผู้คนยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม จ้องมองรถม้าคันนั้น แล่นผ่านปากทางปานลมเหินไปทางทิศใต้ของเมืองแล้ว


 


 


เหล่าราษฎรเพิ่งถอนใจเฮือกหนึ่ง…รถม้าแห่งความตายคันนี้กลับไม่ได้เลือกระเบิดตัวเองที่ตรอกหลิวหลี!


 


 


ทว่าพริบตาต่อมาดวงใจของพวกเขาถูกกระชากอีกครั้ง


 


 


พวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะบ้าคลั่งและเสียงเตือนแหลมคมที่แว่วออกมาจากในรถม้า


 


 


“กงอิ้น ต่อไปพวกเราจะไปตำหนักอวี้จ้าว เจ้าจะมาหรือไม่?”


 


 


“รถม้าของพวกเราจะพุ่งชนหน้าตำหนักอวี้จ้าว ได้ให้ราชินีพุ่งชนไปด้วยกัน นับว่าโชคดีทั้งสามชาติเสียจริง”


 


 


“กงอิ้น หากเจ้ารีบกลับไปเชือดคอปลิดชีพตนเองหน้าตำหนักอวี้จ้าวล่วงหน้า พวกเรามองเห็นซากศพของเจ้าแล้ว อาจจะโยนราชินีออกมาก่อนก็เป็นได้นะ ทว่าเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น เชื่อหรือไม่ แล้วแต่เจ้าละกัน”


 


 


“หากสิ่งที่มองเห็นเบื้องหน้าตำหนักอวี้จ้าวมิใช่ซากศพของเจ้า ทว่าเป็นกองทัพ เช่นนั้นสิ่งที่โยนออกมาจะเป็นเพียงซากศพของราชินี”


 


 


“หากมีผู้ใดกล้าจู่โจมขัดขวางตลอดเส้นทางนี้ สิ่งที่โยนออกมาจะเป็นเพียงซากศพของราชินีเช่นกัน”


 


 


“พวกเจ้าคอยดูเถิดฮ่าๆๆ”


 


 



 


 


ตรอกหลิวหลีเงียบสงัดไปชั่วครู่


 


 


ก่อเหตุใต้รักแร้ คาดคิดไม่ถึง


 


 


ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากเหตุการณ์มากมายหลายหลากสงบลง สุดท้ายยังมีรถม้าแห่งความตายอีกคันหนึ่งนี้!


 


 


ทุกผู้คนมองไปทางกงอิ้น


 


 


เงาคนสวมอาภรณ์ขาวดุจหิมะ คล้ายไม่มีความประหลาดใจใดแลไม่มีความลังเลใด เรือนร่างเฉียดผ่านเพียงครั้ง เหินออกไปอย่างแผ่วเบาตามทิศทางของรถม้า


 


 


ทุกคนมองดูเงาด้านหลังที่สูญสลายไปของเขาอย่างมึนงง จากนั้นส่งเสียงเซ็งแซ่ในทันใดดุจตื่นฟื้นขึ้นจากความฝัน


 


 


“เกิดเรื่องใดขึ้น!”


 


 


“ราชินีถูกจับตัวไปแล้ว!”


 


 


“รถม้านี้คล้ายรถม้าเมื่อครู่ ผู้บงการหลังม่านปรากฏกายแล้วเป็นแน่ คงโกรธเกลียดราชินีที่ทำลายแผนการของเขา จึงฉวยโอกาสยามพวกเราต่างไม่ระวังจับตัวราชินี”


 


 


“โอ้สวรรค์ เงื่อนไขนั้นเมื่อครู่…มิใช่ว่าทำอย่างไรต่างต้องตายหรือ?”


 


 


“ยามนั้นเหตุใดพวกเราถึงไม่หันกลับไปมองดู!”


 


 


“มิต้องเอ่ยให้มากความแล้ว ราชินีถูกจับตัวไปด้วยเพราะพวกเรา ไม่อาจไม่สนใจ เหล่าชาวบ้าน ตามไป!”


 


 


“ไล่ตามไป! พวกเราคนเยอะ คนเหล่านั้นอาจจะเห็นแล้วกลัว ปล่อยตัวราชินี”


 


 


“ไป!”


 


 


เอ่ยว่าไปก็ไป เหล่าราษฎรที่เมื่อครู่ยังกระจัดกระจายตระเตรียมกลับบ้านพักผ่อนถลกแขนเสื้อขึ้น ก้าวเท้าก้าวใหญ่ ปะปนเข้าสู่ฝูงชน ผู้ชราค้ำไม้เท้า สตรีทิ้งตะกร้า เหล่าพ่อค้าโยนข้าวของ ผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่กำลังรีบตามหมอหลวงมาพันแผลตรงริมทางผลักหมอหลวงออกแล้วตามไปด้วย


 


 


“เฮ้ๆ แผลของเจ้ายังพันไม่เสร็จ…”


 


 


“ชีวิตคนสำคัญเทียมฟ้า!”


 


 


ผู้บาดเจ็บทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วรีบร้อนวิ่งเข้าสู่ฝูงชน ฝูงชนที่ไล่ตามมายิ่งรวมกันมากยิ่งขึ้น ต่อแถวออกไปจากตรอกหลิวหลีคลาคล่ำมากมายไม่มีสิ้นสุด ค่อยๆ ครอบคลุมเส้นลมปราณทั่วทั้งตี้เกอ


 


 


ผู้ที่ถูกทำให้ตกใจนับไม่ถ้วนวิ่งออกมาจากในบ้าน สอบถามอย่างตื่นตระหนกว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ?”


 


 


หลังจากฟังผู้อยู่ในฝูงชนเอ่นเรื่องราวเมื่อครู่ แค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ร้องว่า “อำมหิตเกินไปแล้ว! ข้าไปกับพวกเจ้าด้วย!”


 


 


ฝูงชนเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง ขบวนทัพยิ่งยาวมากขึ้น แถวหน้าสุดถึงฉังจิ่งแล้ว แถวหลังตรงตรอกหลิวหลียังไม่ได้เริ่มเดินทาง


 


 


จวนขุนนางทุกขั้นริมทางต่างถูกทำให้ตกใจ ทหารคั่งหลงที่ติดตามไปด้วยเริ่มรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นกัน ทว่าราษฎรส่วนใหญ่มีท่าทางเงียบสงบ เพียงเงียบเชียบอยู่ เพียงโศกเศร้าเสียใจอยู่ พุ่งตรงไปยังตำหนักอวี้จ้าวด้วยฝีก้าวรวดเร็ว


 


 


ยามผ่านตรอกตงฉิง ในฝูงชนพลันมีผู้ตะโกนว่า “ที่นี่คือจวนของตระกูลซัง! ข้าจำได้แล้ว! ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นรถม้าเหล่านั้นที่ตระกูลซัง! มีช่วงหนึ่งบ้านข้าส่งข้าวปลาอาหารให้จวนนางโดยเฉพาะ มองเห็นรถคันนี้ซ่อนอยู่ในลานด้านหลังอย่างระมัดระวัง รถคันนี้เป็นของตระกูลซัง!”


 


 


วาจาประโยคเดียวดุจประกายไฟสาดโปรย ปะทุเพลิงโทสะของราษฎร


 


 


“แม่งเอ้ย ตระกูลซัง! เสียสติฟั่นเฟือน!”


 


 


“ตระกูลตนเองพ่ายแพ้แล้ว จะให้ทั่วทั้งตี้เกอตายตามไปด้วยหรือ?”


 


 


“ตระกูลเช่นนี้จะมันเหลืออยู่ในตี้เกอได้อย่างไร? ให้สร้างรถม้าเช่นนี้อีกหลายสิบคันมาเผาตี้เกอหรือ?”


 


 


“รื้อมันซะ รื้อมันซะ!”


 


 


“ใช่! รื้อมันซะ!”


 


 


เปล่งเพียงเสียงเดียวคนนับหมื่นตอบรับ คนกลุ่มใหญ่กลุ่มโตหลั่งไหลไปยังตระกูลซังที่ว่างเปล่าแล้ว ผู้เฝ้าประตูที่มีเหลือเพียงไม่กี่คนได้ยินเสียงต่างหลบลี้ แม้แต่ทหารคั่งหลงส่วนหนึ่งซึ่งเดิมทีได้รับคำสั่งของกงอิ้นให้ตรวจสอบอายัดตระกูลซังยังจงใจหายไป ปล่อยจวนโอ่อ่าตระการตาที่ครอบครองพื้นที่ครึ่งตรอกแห่งหนึ่งให้ราษฎรที่โกรธแค้น ฝูงชนพุ่งสู่ประตูใหญ่สีแดงม่วงประดับห่วงทองแดงมังกรซวนหนี[1]บานนั้นดุจกระแสน้ำ พัดผ่านห้องสูงสง่าศาลากระเบื้องทางเดินคดเคี้ยวสะพานโค้งของตระกูลซังประหนึ่งลมพายุ ยามพัดผ่านออกมาประดุจลมพายุอีกครั้ง ทั่วทั้งตระกูลซังดั่งคล้ายถูกพายุพัดผ่านถูกสายฟ้าฟาดถูกยักษ์นับหมื่นตนเหยียบย่ำ ข้าวของเครื่องใช้ที่แตกหักกระจายเกลื่อนทั่วพื้น ฉากกั้นสลักดอกไม้และหน้าต่างผุดเผยรูโหว่น่าสังเวชนับไม่ถ้วน บนสระบัวทิวทัศน์งดงามที่เคยเลื่องลือทั่วตี้เกอในยามก่อนมีอาภรณ์ลอยฟ่อง พอมองปราดเดียวคล้ายซากศพร่วงโรยนับไม่ถ้วน


 


 


แม้กระทั่งตระกูลใหญ่ร้อยปีธรณีประตูเหล็ก สุดท้ายแล้วยังจมอยู่ใต้เพลิงโทสะของมวลชน


 


 


เหล่าราษฎรที่รื้อถอนตระกูลซังหอบของใช้หลายชนิดที่แย่งมาจากตระกูลซัง ติดตามขบวนทัพใหญ่อีกครั้ง


 


 


มังกรนิลฝูงชนตัวหนึ่งทอดยาวจากตรอกหลิวหลีที่อยู่ใจกลางนครไปตามถนนสายหลักเลียบคูเมืองอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่ตำหนักอวี้จ้าวซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในนครหลวงแห่งนี้


 


 



 


 


ภายในรถม้า จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงดังเอะอะข้างหลังเช่นกัน


 


 


ซังต้งปล่อยนางลงมาแล้วจับนางมัดไว้ มีดค้ำอยู่บนคอหอยนาง นี่คือท่วงท่าที่ค่อนข้างสบายและสะดวกต่อการที่นางจะพินิจศัตรูที่เกลียดชังที่สุดคนนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า


 


 


ขณะนี้ในใจของจิ่งเหิงปัวรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย วันนี้ไม่ได้พาเฟยเฟยออกมาด้วย ตอนออกมาเฟยเฟยกำลังนอนหลับ นางขี้เกียจจะพามาด้วย ส่วนเจ้าหมาโง่นั้น รำคาญที่มันเอะอะโวยวายเกินไปเลยไม่ได้พามาด้วย ถ้าเจ้าสองตัวนี้อยู่ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีดีๆ บ้าง


 


 


ซังต้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเสื้อเปื้อนเลือด บาดเจ็บไม่เบา แต่คล้ายกินยาอะไรเข้าไป ไม่เพียงดูท่าทางมีชีวิตชีวา ยังคล้ายบ้าบิ่นเล็กน้อย จิ่งเหิงปัวสงสัยว่านางอาจจะกินยากระตุ้นกำลังกายชนิดหนึ่ง


 


 


นางเสียใจจริงๆ ว่าก่อนหน้านี้มีดหนึ่งนั้นของตนเองรีบร้อนเกินไป ไม่ได้เล็งให้แม่น ถ้าแทงตายในมีดเดียวคงไม่มีเรื่องราวมากมายขนาดนี้แล้ว


 


 


พอได้ยินเสียงดังเอะอะนางหันหน้าไปดูข้างหลังเล็กน้อย มองเห็นคลื่นมนุษย์นับไม่ถ้วนไล่ตามกระชั้นชิดอยู่ข้างหลังจากหน้าต่างรถที่เปิดกว้าง


 


 


แม้ว่าราษฎรไล่ตามรถม้ารวดเร็วคันนี้ไม่ทัน ทว่ากงอิ้นสั่งให้ทหารถ่ายทอดข่าวสารตลอดทาง เหล่าราษฎรที่รถม้าแล่นผ่านรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง คนมากมายเปิดประตูบ้านไล่ตามมา ในเสียงคนสับสนวุ่นวายจิ่งเหิงปัวได้ยินคนตะโกนลั่นว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องกลัว! พระองค์ต้องได้รับความช่วยเหลือแน่!”


 


 


“ตระกูลซังต้องไม่ตายดี ต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!”


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม รู้สึกว่าแม้ว่าทำความดีจนตนเองเข้าไปพัวพันพาให้เสียเปรียบเล็กน้อย แต่พอเห็นแบบนี้ ได้ยินแบบนี้ เหมือนว่าไม่ได้เสียเปรียบขนาดนั้นแล้ว


 


 


ได้ยินคนตะโกนอีกว่า “ฝ่าบาท รีบประทับวิหคเทวะของพระองค์แล้วเหินไปสิ!”


 


 


“ฝ่าบาท รีบใช้ตาทิพย์ของพระองค์มองสตรีนางนั้นให้สิ้นชีพสิ!”


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะออกมาดังพรืด


 


 


วิหคเทวะ? เจ้าหมาโง่เหรอ?


 


 


ตาทิพย์? โพลารอยด์ถ่ายภาพก่อนตายเหรอ?


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ในใจนางกระตุกวูบ


 


 


 


 


 


 


 


[1] มังกรซวนหนี หนึ่งในบุตรมังกรทั้งเก้า รูปลักษณะภายนอกคล้ายสิงโต สมัยโบราณนิยมนำมังกรซวนหนีมาประดับกระถางธูปหรือกระถางเผาไม้หอม 

 

 


ตอนที่ 70 - 3 ความรู้สึกที่แท้จริง

 

 “หัวเราะไปเถิด” ซังต้งเอ่ยอยู่ข้างกายนางอย่างเย็นชาว่า “หากไม่หัวเราะให้มากหน่อย ชาตินี้เจ้าคงไม่มีโอกาสได้หัวเราะอีกแล้ว”


 


 


“ผู้ใดเอ่ยเช่นนั้น” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าจะหัวเราะจนถึงที่สุด หัวเราะจนแก่ชรา หัวเราะจนฟันร่วงหมดปาก ยังคงเป็นยายแก่ที่งดงามที่สุด”


 


 


“เจ้าจะเพ้อฝันไปถึงชาติหน้าย่อมได้” ซังต้งเอ่ยว่า “เสียดายว่าชาตินี้ ข้าอยู่ไม่ถึงวันหนึ่งนั้นที่กลายเป็นยายแก่ เจ้ายิ่งไม่มีคุณสมบัติอยู่ถึงเข้าไปใหญ่”


 


 


“เอ๋” จิ่งเหิงปัวเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าไม่ใช่เป็นยายแก่แล้วหรือ?”


 


 


ซังต้งจ้องมองนางอย่างเดือดดาล ดั่งอสรพิษใกล้ตายตัวหนึ่งกำลังจ้องมองเหยื่อ


 


 


จิ่งเหิงปัวคล้ายไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ยังคงกล่าวอย่างอิจฉามากว่า “เอ่ยกันแล้วเจ้าอยู่ได้คุ้มค่ากว่าข้าโดยแท้ ถึงอย่างไรเจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว ยิ่งชรายิ่งอัปลักษณ์ อยู่ไปก็ไม่มีความหมายมาเพียงใดแล้ว ยังได้สิ้นชีพอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นครั้งหนึ่ง คุ้มแล้ว ข้าเนี่ยสิ อ่อนเยาว์อ่อนวัย งดงามดุจมวลผกา สิ้นชีพไปด้วยกันกับเจ้าเช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าโหดร้ายหรือ?”


 


 


“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเจ้าเองถึงโหดร้าย? ทั้งการกระทำทั้งวาจาอาฆาตมาดร้ายเช่นนี้เสมอ” ซังต้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ตระกูลซังทั้งตระกูลพินาศในเงื้อมมือเจ้า คนนับร้อยทั่วทั้งตระกูลซังถูกบังคับให้พลีชีพจนหมดสิ้น นี่คือบาปกรรมของเจ้าทั้งนั้น เจ้ายังมีหน้ามาเล่นลิ้นกับข้าตรงนี้อีกหรือ?”


 


 


“ปู่มาร์กซ์[1]บอกพวกเราว่า” จิ่งเหิงปัวกล่าวพลางยิ้มตาหยีว่า “สังหาคนเลวหนึ่งตระกูล เท่ากับช่วยราษฎรหมื่นครอบครัว ตระกูลซังของเจ้าสิ้นชีพไปหลายร้อยคน ทว่าผู้ที่ไล่ตามข้างหลังรถม้านี้มีเกินหมื่นคน สิ่งใดเรียกว่าจิตใจมนุษย์? สิ่งนี้น่ะคือจิตใจมนุษย์”


 


 


“คนโง่หลอกลวงง่ายเช่นไร คนโง่ย่อมเปลี่ยนแปลงง่ายเช่นนั้น! พวกเขาเหล่านี้เคยหมอบราบกราบกรานหน้ารถม้าตระกูลซังของข้า ซาบซึ้งในพระคุณเช่นกัน! เจ้าคอยดูละกัน รอให้เจ้าหมดอำนาจ ฝีเท้าที่ไล่ตามเจ้าเหล่านี้จะยังคงอยู่หรือไม่”


 


 


“เกรงว่าเจ้าคงมองไม่เห็นแล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม


 


 


“เจ้าคงรอไม่ถึงแล้วเช่นกัน” ซังต้งใช้สันมีดค่อยๆ เสียดสีคอของนาง เอ่ยว่า “นั่นสิ ซาบซึ้งยิ่งนักใช่หรือไม่? วันนี้ดูท่าเจ้าอาศัยเรื่องตระกูลซังของข้ากระตุ้นเจตนารมณ์ของราษฎรโดยแท้ ราชินีแต่ละสมัยในอดีตคล้ายจะไม่มีความโชคดีและชื่อเสียงในทางที่ดีเช่นเจ้านี้เลย…” นางหัวเราะขึ้นมาอย่างเสียดสี เอ่ยว่า “เสียดายว่ามาสายเกินไป เจ้าควรซาบซึ้งครูหนึ่งนี้ให้เต็มที่ หากผ่านไปอีกสักครู่หนึ่ง เจ้าย่อมต้องรอคอยซื้อใจคนอีกครั้งหนึ่งในชาติหน้าแล้ว!”


 


 


“อย่าถูจนข้าเกิดรอยย่น” จิ่งเหิงปัวเพียงกำชับประโยคหนึ่งแล้วหลับตาลงไม่สนใจนาง


 


 


นางต้องคิดว่าจะทำอย่างไร


 


 


เงื่อนไขของซังต้งอำมหิตเกินไป จะให้นางทำสำเร็จไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างนางไม่เชื่อแน่นอนว่าหากกงอิ้นฆ่าตัวตายหน้าตำหนักอวี้จ้าวแล้ว ซังต้งจะโยนจิ่งเหิงปัวที่ยังมีชีวิตอยู่ออกมา


 


 


ความปรารถนาจะสังหารนางของซังต้งมากกว่าสังหารกงอิ้นแน่นอน


 


 


หวังว่ากงอิ้นจะไม่โง่เง่าขนาดนั้น เขาไม่ควรโง่เง่าขนาดนั้น


 


 


แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดคือหนีไปให้ได้ก่อนหน้านั้น…


 


 


ข้างหูได้ยินเสียงคนเดิน เป็นพลกล้าตายอื่นอีกสองคน ซังต้งคล้ายร้อนรนยิ่งนัก ตำหนิว่า “เงียบสงบหน่อย”


 


 


นิ้วมือที่มัดไว้ทับอยู่ใต้ร่างของจิ่งเหิงปัวขยับเขยื้อนต่อเนื่อง หวังว่าจะหาวัตถุที่คว้าถึงมาตัดเชือกของตนเองให้ขาดได้


 


 


ในรถม้ากลับไม่มีวัตถุคมกริบอะไรเลย จิตใจซังต้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคล้ายจมดิ่งสู่ความบ้าคลั่งแล้ว หยิบกระบอกเชื้อไฟในมือขึ้นมาชมอย่างต่อเนื่อง จิ่งเหิงปัวมองดูด้วยความอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่านางจะพลาดพลั้งทำหลุดมือ แบบนั้นคงจบเห่แล้ว


 


 


นิ้วมือที่คลำหาพลันสัมผัสวัตถุแข็งกระด้างชิ้นหนึ่ง นางหยุดมือ ตอนแรกหวังว่าจะเป็นมีดพับสวิส จากนั้นนึกได้ว่าไม่ใช่มีดพับ น่าจะเป็นเพียงปากกาอัดเสียง


 


 


เวลาออกจากวังนางมักจะนำของล้ำค่าในกระเป๋ามาด้วยนิดหน่อย เพื่อเตรียมใช้ในการหลอกลวงเสแสร้งแกล้งโกงผู้อื่น บางครั้งไม่แน่ว่าจะคิดได้ว่าจะนำมาทำอะไรกันแน่ เตรียมไว้ใช้แค่นั้น


 


 


ไม่ใช่มีดพับทำให้นางผิดหวังเล็กน้อย แค่ปากกาอัดเสียงแท่งนี้จะทำอะไรได้บ้างล่ะ?


 


 


ความร้อนรนของซังต้งแจ่มชัดเช่นนี้ นางเล่นกระบอกเชื้อไฟ นิ้วมือสั่นเทา มีดที่บาดอยู่บนคอนางประเดี๋ยวชิดใกล้ประเดี๋ยวล่าถอย สายตาลอยล่องทุกสารทิศ ทอดไปทางนอกเมืองบ่อยครั้ง


 


 


“นายน้อยใหญ่คงออกไปแล้วกระมัง” นางพลันเอ่ยขึ้น


 


 


สองคนอื่นไม่กล้ารับวาจา ผ่านไปเนิ่นนานจึงกระซิบกระซาบว่า “…คงออกไปได้แล้ว”


 


 


ซังต้งถอนหายใจอย่างผิดหวัง ใช้สันมีดตบใบหน้าของจิ่งเหิงปัวอย่างแรงครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “เป็นเพราะนังเลวทรามคนนี้ ทำข้าเสียเรื่อง!”


 


 


ใบหน้าของจิ่งเหิงปัวพลันบวมขึ้นมาเล็กน้อย บนผิวกายขาวราวหิมะมีเส้นเลือดแดงเล็กน้อยซึมออกมา มองแล้วสะดุดตายิ่ง


 


 


สายตาของซังต้งทอดลงบนเส้นเลือดแดงเหล่านั้น แววตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความโหดเ**้ยมอำมหิต


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบร้องในใจว่าแย่แน่…ยายปีศาจตนนี้คงไม่ได้เกิดความคิดชั่วร้าย อยากกรีดใบหน้าของนางระบายความโกรธเหมือนตัวร้ายในละครน้ำเน่าพวกนั้นหรอกมั้ง?


 


 


ผู้หญิงชอบจงใจหาเรื่องใบหน้าที่งดงามไม่พอของตนเองกับใบหน้าที่งดงามเกินไปของผู้อื่นเป็นที่สุดแล้ว!


 


 


“อยากตบข้าหรือ?” นางเชิดหางตาขึ้น สายตาชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าซังต้ง ร้องว่า “ตบสิ รีบตบอีกอีกสิ!”


 


 


สีหน้าบนใบหน้านางผุดความตื่นเต้นดีใจเล็กน้อยที่ปิดไม่มิด พอมองดูแล้วกลับเป็นความมุ่งมาดปรารถนา


 


 


ซังต้งชะงักงัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความลังเล


 


 


“ยังอยากกรีดใบหน้าของข้าใช่หรือไม่?” จิ่งเหิงปัวไล่ตามไม่ยอมลดละ กล่าวว่า “เช่นนั้นกรีดสิ รีบหยิบมีดของเจ้ามาสิ เล็บมือก็ได้ นำของมีคมทุกสิ่งที่กรีดใบหน้าได้มากรีดสิ!”


 


 


ซังต้งเบิกตามองนางอย่างเหลือเชื่อ ไม่เข้าใจว่านางมีแผนการจะทำอะไรกันแน่


 


 


ในลำแสงมืดครื้มของรถม้าสีหน้าสวยสดงดงามของจิ่งเหิงปัวขับริมฝีปากแดงคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มให้เด่นชัด มีความรู้สึกแปลกประหลาดหลายส่วน


 


 


พลกล้าตายตระกูลซังผู้หนึ่งข้างกายอดจะแอบเตือนสติซังต้งไม่ได้ เอ่ยว่า “ผู้นำตระกูล ได้ยินว่าราชินีนางนี้มีความมหัศจรรย์ ท่านอย่าได้เข้าใกล้นางมาก ระวังตกหลุมพรางของนาง”


 


 


ซังต้งเงียบงัน เรือนร่างร่นถอยไปข้างหลัง ยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “จะเล่นลูกไม้ใดได้ เล่นลูกไม้มากมายเพียงใด อีกประเดี๋ยวย่อมหนีไม่พ้นต้องกลายเป็นเถ้า!”


 


 


แม้วาจาเอ่ยได้แข็งแกร่งยิ่งนัก มีดที่ค้ำอยู่บนคอของจิ่งเหิงปัวกลับมั่นคงขึ้นมา ไม่ยื่นคมมีดแสงเยือกเย็นวูบวาบนั้นมาบนใบหน้านางอีกแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือกหนึ่งในใจ พอเชิดสายตามองเห็นพลกล้าตายสองคนนั้น ได้ยิน “กลายเป็นเถ้า” ประโยคนั้นของซังต้ง บนใบหน้ามีสีหน้าเศร้าสลด


 


 


ในใจนางกระตุกวูบ


 


 


ก่อนหน้านี้นางเคยมีความงงงวย ทำไมพลกล้าตายของตระกูลซังเหล่านี้ถึงขับรถม้าพลีชีพโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยต่อไปได้ พบเจอการขัดขวางยังไม่เปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์ การที่คนไปพลีชีพมักจะเป็นความกล้าหาญชั่วขณะ หากถูกขัดขวางเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะยอมรามือแค่นั้น ยิ่งกว่านั้นคนพวกนี้ไม่ใช่คนตระกูลซังแต่เป็นแค่ทาสเท่านั้น นางไม่เชื่อว่าด้วยการวางตัวซังต้ง จะทำให้คนยอมตายแบบไม่ร้องขอชีวิตอย่างสุดหัวใจแบบนี้ได้


 


 


นางก็คิดไม่ตกว่าทำไมซังต้งถึงให้คนเหล่านี้ไปทำภารกิจต้องตายอย่างไว้ใจได้


 


 


แบบนั้น ถ้าคนที่ปฏิบัติการตามลำพังหลายกลุ่มนั้นเป็นคนที่ถูกตระกูลซังควบคุมเลยจำเป็นต้องไปตาย แล้วสองคนตรงหน้านี้ล่ะ?


 


 


ดูจากสีหน้า แท้จริงแล้วพวกเขาไม่อยากตาย


 


 


พวกเขาขึ้นรถมาด้วยกันกับซังต้งได้ คงจะเป็นคนไว้ใจในหมู่ของคนไว้ใจ ถ้าอย่างนั้นมีความเป็นไปได้ไหมว่าลูกน้องรอบนอกต่างถูกพิษ ลูกน้องเชื่อถือที่สุดสนิทสนมที่สุดถึงให้ยาถอนพิษเหมือนในนิยายกำลังภายใน


 


 


พูดอีกแบบหนึ่งคือสองคนนี้แตกต่างจากพลกล้าตายเหล่านั้น ยังมีโอกาสรอดชีวิต


 


 


นางอยากจะพิสูจน์สักหน่อย


 


 


“เอ๊ะ” นางจ้องมองคนหนึ่งในนั้น กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นคนตระกูลซังที่ขับรถเหล่านั้น บนใบหน้าต่างมีควันดำเจือจาง เหตุใดเจ้าถึงไม่มี? เจ้าคงไม่ได้สวมรอยมากระมัง?”


 


 


“เหลวไหล” คนผู้นั้นพลันเอ่ยว่า “นั่นด้วยเพราะพวกเขากินยาแดง ส่วนพวกเราไม่ได้…”


 


 


เขาคล้ายนึกได้ว่าตนเองเอ่ยวาจาที่ไม่สมควรเอ่ย หุบปากเงียบโดยพลัน มองซังต้งอย่างกระวนกระวายใจปราดหนึ่ง ซังต้งกลับจ้องมองนอกประตูเมืองด้วยท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม เป็นแบบนี้นี่เอง


 


 


 


 


 


 


 


[1] คาร์ล มาร์กซ์ ผู้วางรากฐานของลัทธิคอมมิวนิสต์

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม