แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 683-689

 บทที่ 683 วิ่งหัวโขกกำแพงเข้าแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฉันมาแล้ว” เงาร่างนั้นพูด


ซอมบี้นกยังไม่ทันผิดปาก ก็รีบคลานไปทางเงาร่างนั้นทันที


“ไม่คิดเลยว่านายจะบาดเจ็บถึงขนาดนี้ เพิ่งจะแยกจากกันไม่นานเอง…”


ขณะเดียวกัน เงาร่างนั้นเดินเข้ามาแล้วนั่งลงตรงหน้าซอมบี้นก จากนั้นก็ยกมือวางบนหัวซอมบี้นก


มองจากมุมนี้ จะเห็นมือของเงาร่างนั้นยื่นออกมาจากเงามืดพอดี หลังมือที่ปรากฏอยู่ใต้แสงอาทิตย์ เผยให้เห็นผิวซีดขาวกับเส้นเลือดสีแดงชัดเจน และยิ่งดูชัดเจนขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับผิวสีดำไหม้เกรียมของซอมบี้นก


“เป็นฝีมือของเพื่อนร่วมสายพันธุ์?” มือเรียบบางของเงาร่างลูบไปลูบมาอยู่บนหัวซอมบี้นก เสียง “ครืดๆ” ดังชวนเสียวฟัน


ซอมบี้นกอ้าปากทำเสียงอู้อี้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดออกมาได้ในที่สุด “มนุษย์…กับ…เพื่อนร่วมสายพันธุ์…”


“แยกกันมา?” มือของเงาร่างสะดุดกึกชั่วขณะ


ซอมบี้นกส่ายหัว แล้วทำเสียงอู้อี้อีกสองสามคำ


“มาด้วยกันอย่างนั้นหรอ?” เงาร่างแปลกใจเล็กน้อย


“มนุษย์…ผู้ชาย…” ซอมบี้นกพูดอย่างยากลำบาก


เทียบกับเพื่อนร่วมสายพันธุ์หญิงเหล่านั้นแล้ว ซอมบี้นกกลับจดจำมนุษย์คนนั้นได้ขึ้นใจยิ่งกว่า


เพราะแม้แต่เพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับธรรมธรรมดาตัวนั้นที่ทำมันแทบคลั่ง แล้วยังมีเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนั้นที่เข้ามาวางเพลิงมันในตอนสุดท้าย ล้วนแล้วแต่มีกลิ่นอายของเจ้ามนุษย์คนนั้นติดอยู่


เวลานี้อาหารมื้อใหญ่ไม่สำคัญอีกต่อไป มันอยากจะฉีกทึ้งร่างมนุษย์คนนั้นให้เป็นชิ้นๆ ก่อน


แต่ถูกไฟเผาจนมีสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายอย่างนี้ ทำให้มันไม่สามารตามไล่ล่าได้ชั่วคราว


“อึกๆ…”


ซอมบี้นกพยายามแหงนคอขึ้น แล้วเอื้อมมือไปคว้าแขนเงาร่าง


ผิวหนังที่ติดกันพลันฉีกขาดออกจากันทีละนิดๆ เหมือนกำลังถูกลอกผิวอย่างไรอย่างนั้น


“ฉันรู้แล้ว” มือของเงาร่างยังวางอยู่บนหัวซอมบี้นก เพื่อจำกัดให้มันเคลื่อนไหวอยู่ที่เดิม


หลังจากลูบไล้นิ้วมือบนผิวหนังไหม้เกรียมสองสามครั้ง มือซูบผอมของเงาร่างก็ค่อยๆ ลูบไล้ลงด้านหลังศีรษะของซอมบี้นก แล้วแทงเข้าไปในท้ายทอยทันที


ซอมบี้นกร่างกายค้างแข็ง มันอ้าปากเปล่งเสียงร้องประหลาดฟังไม่เป็นภาษา


ขณะเดียวกัน มือของมันที่ค่างเติ่งอยู่กลางอากาศและห่างจากแขนของเงาร่างไม่กี่เซนติเมตรก็กำลังสั่นกระตุกอยู่


“นายหมดประโยชน์แล้ว หากจะฟื้นตัวก็ไม่รู้ต้องใช้เวลานานขนาดไหน ตามกฎแห่งการอยู่รอดของพวกเรา นายสมควรถูกกำจัด มันเป็นกฎธรรมชาติ”


เงาร่างพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ขณะเดียวกับที่กดนิ้วมือให้แทงลึกเข้าไปอีก


ระหว่างนั้น ร่างกายของซอมบี้นกกระตุกสั่นตลอด


เหมือนเป็นทังปฏิกิริยาตอบสนองตามจิตใต้สำนึก และเป็นกาสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ของซอมบี้นกด้วย…ถ้าหากมันมีอารมณ์แบบนี้ล่ะก็นะ


เมื่อเงาร่างดึงมือออกช้าๆ ร่างกายของซอมบี้นกก็ยืดเกร็งไปด้วย


พรวด!


หยาดเลือดและของเหลวมากมายหลายชนิดพุ่งกระจายกลางอากาศ พร้อมกับที่ประกายสีม่วงระยิบหล่นเข้ามาในฝ่ามือของเงาร่าง


“นายอ่อนแอเกินไปแล้ว แต่อย่างน้อยนายก็จะกลายเป็นเสาหลักที่ทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นได้” เงาร่างใข้มือที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดตบหัวซอมบี้นกเบาๆ


เมื่อเงาร่างลุกขึ้นยืน ซอมบี้นกก็นอนหมดแรงอยู่บนพื้น โดยที่ดวงตาปูดโปนคู่นั้นยังเบิกค้างอยู่ แต่กลับไร้วี่แววของการมีชีวิตอยู่


“น่าเสียดายจริง เนื้อกินไม่ได้ซะแล้ว…”


เงาร่างถอนหายใจเสียงเบา


เมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดเฉียงลงมาเริ่มเลือนหายไปภายในซอยแคบๆ นั้น เงาร่างก็ทอดมองไปทางเมือง


“มนุษย์แบบไหนกัน ที่อันตรายถึงเพียงนี้…” เงาร่างพูดพึมพำกับตัวเอง


ในเวลาเดียวกันนั้น จู่ๆ หลิงม่อที่กำลังหลับลึกก็สูดหายใจลึก แล้วเบิกตาโพลงผุดลุกขึ้นนั่งทันที


“…เป็นอะไร…ไป?” เย่เลี่ยนจ้องเขาด้วยความตกใจ แล้วถาม


สีหน้าของหลิงม่อดูแย่มาก บนหน้าผากก็มีเหงื่อผุดพรายอาบไปทั่ว


เขานั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จนเย่เลี่ยนยื่นมือไปแตะหน้าผาก เขาจึงสะดุ้งรู้สึกตัว


“ไม่เป็นไร…” หลิงม่อยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา แล้วกระพริบตาถี่ๆ


“ฝันร้าย?” หลิงม่อยังคงมึนๆ อยู่เล็กน้อย


เมื่อกี้ในความมืด เขารู้สึกเหมือนเห็นดวงตาคู่หนึ่งอยู่ในสมองของตัวเอง


ความรู้สึกที่เหมือนถูกแอบมองนั่นสมจริงมาก จนทำให้หลิงม่อหวาดหวั่นเหงื่อไหลท่วมตัว


“คงอ่านสิ่งที่อยู่ในใจไม่ได้หรอกมั้ง…” หลิงม่อพยายามข่มใจที่เต้นรัวเร็วอย่างบ้าคลั่งของตัวเอง แล้วคิด


และไม่รู้ทำไม ในวินาทีที่เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองมองเห็นราชินีแมงมุม…


ราวกับว่าเธอซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายของเขามาโดยตลอด และเมื่อใดที่มีแรงกระตุ้นจากภายนอก เธอก็จะโผล่มา


ทำไมรู้สึกเหมือน…ถูกรุกล้ำอาณาเขต?


หลิงม่อขนลุก รีบยกมือขึ้นลูบคลำทั่วร่างกาย แล้วปลอบใจตัวเอง “ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย ตัวเราจะมีที่กว้างขนาดนั้นให้ยัยราชินีแมงมุมซ่อนได้ที่ไหนกัน…”


“ไม่เป็นไร…จริงๆ ใช่ไหม?” เย่เลี่ยนอดถามขึ้นอีกครั้งไม่ได้


พอลืมตาตื่นมา หลิงม่อก็จมอยู่กับความคิดแล้วลูบๆ คลำๆ ร่างกายตัวเองอยู่อย่างนั้น ซ้ำสีหน้าก็เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เย่เลี่ยนย่อมไม่สบายใจ


“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…” หลิงม่อยิ้มฝืด เรื่องที่ยังไม่ชัดเจนอย่างนี้ อย่าพูดให้เย่เลี่ยนไม่สบายใจจะดีกว่า


เขาหันไปมองภายในห้อง แล้วก็ตะลึงไปทันที


ยัยสองคนนั้นตั้งใจจะรื้อห้องหรือไงเนี่ย!


ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหลับอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเหล่านี้ได้ ไม่น่าล่ะถึงได้ฝันร้าย…


“พวกเธอ…” เย่เลี่ยนอึกอัก พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


“ฉันรู้” หลิงม่อยกมือตบหน้าผากแล้วบอกว่า “ยังอัพเกรดไม่เสร็จกันสินะ”


ในระหว่างการอัพเกรด ซอมบี้จะถูกสัญชาตญาณเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์ พวกเธอแค่พังห้องนี้ไม่ได้พังทั้งตึก เท่านี้ก็ถือว่าพยายามข่มตัวเองเต็มที่แล้ว


ถ้าหากอัพเกรดกันทีละคน หลิงม่อยังสามารถอาศัยสายสัมพันธ์ทางจิตเพื่อควบคุมและปลอบโยนได้


แต่พอต้องอัพเกรดพร้อมกันอย่างนี้ หลิงม่อเองก็รับมือไม่ไหวเหมือนกัน…


“พวกเราอยู่ในโรงแรมนั่นหรอ?” หลิงม่อพยายามนั่งตัวตรงอย่างทุลักทุเล แล้วมองออกไปข้างนอก


“อื้ม…” เย่เลี่ยนพยักหน้า


“แล้ว…สวี่ซูหานที่อยู่ในสภาพกึ่งกลายร่างเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” หลิงม่อนึกถึง “แขก” ของตัวเองในครั้งนี้ขึ้นมาได้ ในแผนการเดิมคือเขาจะพาพวกเย่เลี่ยนกลับมาหลังจากที่พวกเธออัพเกรดเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะเสียเวลาไปมากขนาดนี้


ไม่รู้ว่าสวี่ซูหานจะอดทนไว้ได้หรือเปล่า แต่ตามการคาดเดาในตอนแรกของหลิงม่อ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรมากนักถึงจะถูก…


“อย่างมาก จากกลายร่าง 50% ก็เพิ่มเป็นกลายร่าง 80% ล่ะมั้ง? เอาเป็นว่าหากยังไม่ถึง 100% ก็ยังพอมีโอกาสดึงกลับมาได้อยู่…”


หลิงม่อรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย แต่ความคิดกลับชัดเจนแล้ว


ช่วยไม่ได้ ก็เขาถูกทำให้สะดุ้งตื่น…


“ดูเหมือน…” เย่เลี่ยนนึกย้อนไปถึงสภาพของสวี่ซูหานที่เพิ่งเห็นเมื่อกี้ ถึงแม้เธอจะดูทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว แล้วยังยกมือกุมหัวไว้ แต่…


“ยังดี…อยู่มั้ง…” เย่เลี่ยนพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ


“ฉันไปดูหน่อยแล้วกัน”


หลิงใอคว้าแขนเย่เลี่ยนแล้วดึงตัวขึ้น จากนั้นก็เดินตุปัดตุเป๋ไปทางประตูโดยลำพัง “เด็กโง่ เธออยู่เฝ้าพวกนั้นที่นี่นะ อย่าปล่อยให้พังประตูหน้าต่างหมดล่ะ”


ตอนที่เดินผ่านซย่าน่า หลิงม่อยกมือขึ้นตบหัวเธอเบาๆ “หยุดใช้มือซ้ายมือขวาสลับกันหยิกแก้มตัวเองได้แล้ว…ยอมๆ กันเถอะ พวกเธอมีแรงเท่ากัน หยิกจนบวมก็ตัดสินแพ้ชนะไม่ได้หรอกนะ”


“อื้อๆๆ…” ซย่าน่าทำเสียงอู้อี้ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์


“ไว้พวกเธอตัดสินได้แล้วว่าใครมีสิทธิ์พูด แล้วค่อยมาพูดกับฉันแล้วกัน…”


หลิงม่อดึงประตูห้อง แล้วเดินออกไปพร้อมดึงประตูปิดด้วย


ตอนนี้ โถงทางเดินที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า ไม่เพียงมืดมิด แต่ยังยุบและนูนสูงไม่เท่ากันด้วย แม้แต่กำแพงก็ยังเคลื่อนไหวเหมือนระลอกคลื่น ความรู้สึกเหมือนคนเมาอย่างไรอย่างนั้น


ทว่าความคิดที่ชัดเจนผิดปกติ กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกแปลกใจ


ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวจากความเหน็ดเหนื่อย แต่พลังจิตกลับฟื้นเป็นปกติบางส่วนแล้ว ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอย่างนี้ช่างน่าแปลกใจ


“มู่เฉิน? สวี่ซูหาน?”


หลิงม่อยกมือวางบนกำแพงประคองตัวเองเดินไป พลางตะโกนเรียก


“อ้าว นายตื่นแล้วหรอ?” เดินไปได้ไม่ไกล มู่เฉินก็โผล่ออกมาจากสุดทางเดิน แล้วตะโกนอย่างแปลกใจ


หลิงม่อสะบัดหัวไปมาอยู่หลายที กว่าจะมองเห็นเงาร่างเลือนร่างนั้นได้อย่างชัดเจน


ขณะที่มู่เฉินเดินเข้าไปหาหลิงม่อ เขาก็คิดว่าในที่สุดก็มีโอกาสแล้ว จึงรีบถามอย่างไม่รีรอ “ใช่แล้ว ฉันอยากถามตั้งนานแล้ว ตกลงว่าไฟนั่นมันยังไงกันแน่ แล้วนายไปหลับกลางทางได้ยังไง แล้วยังมีไอ้ลูกบอลกลม…”


“สวี่ซูหานล่ะ?” หลิงม่อตัตดบทอย่างไร้เยื่อใย


มู่เฉินอึ้ง แล้วตอบว่า “ฉันก็กำลังตามหาอยู่เหมือนกัน ที่นี่ใหญ่มาก แล้วเธอก็โมโหร้ายมากด้วย ฉันเลยไม่กล้าตะโกนเรียก…”


“ถ้าอย่างนั้นก็ตามหาต่อ แยกกันหา”


หลิงม่อเดินต่อ แล้วพูดเสริมว่า “ฉันต้องช่วยเธอจัดการ…”


“อ้อ…” มู่เฉินเดินไปในทางตรงข้ามได้ไม่ถึงสองก้าว แล้วจู่ๆ ก็ได้สติ แล้วหันกลับมาถามว่า “ไฟนั่น…” เขาพูดได้ครึ่งเดียว ก็ยกเท้ากระทืบปึงปัง “ช่างเถอะ! ไว้ถามคราวหน้าก็ได้!”


“ทำไมมีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยซักอย่าง!”


มู่เฉินคำรามอย่างขัดใจ


แล้วเสียงตวาดด้วยความโมโหหนึ่งก็ดังสะท้อนอยู่ในตึกใหญ่ “หุบปากซะ!”


“เสียงมาแล้ว รีบตามหาเร็ว!” หลิงม่อโบกมือโดยไม่หันมอง


มู่เฉินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง ทำไมเรื่องซวยๆ ถึงได้มาตกอยู่ที่เขาตลอดเลยนะ…


“อึก!”


สวี่ซูหานยกมือขึ้นกุมศีรษะอยู่ในมุมมืด เธอสะบัดหัวไปมาอย่างหงุดหงิด


ทรมานเหลือเกิน…แทนที่จะทนอยู่อย่างนี้ สู้เลือก…


ไม่ ไม่!


เมื่อดิ่งลงไปในเหวลึก ก็จะไม่มีโอกาสปีนขึ้นมาอีกแล้วจริงๆ…


“สวี่ซูหาน?”


เธอนิ่งอึ้ง จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากเขา มองไปยังบันไดที่อยู่ในเงามืด


“หลิงม่อ?”


เสียงเมื่อกี้ ฟังดูคุ้นหูจัง…


“ใช่แล้ว หลิงม่อเราได้!”


สวี่ซูหานพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เธอพุ่งตัวไปที่ปากบันไดด้วยแรงเฮือกเดียว จากนั้นก็เดินเซลงไปข้างล่างทันที


“สวี่ซูหาน เธออยู่ข้างบนนั้นใช่ไหม?”


เสียงที่ทำให้เธอแทบคลั่งเมื่อกี้ พอเปลี่ยนเป็นออกมาจากปากหลิงม่อ กลับทำให้สวี่ซูหานรู้สึเหมือนมองเห็นความหวัง


ถ้าหากมู่เฉินรู้ เขาคงอยากจะวิ่งเอาหัวโขกกำแพงเพราะความสองมาตรฐานนี้แน่ๆ


หลิงม่อจับราวบันได แล้วสาวเท้ายาวบ้างสั้นบ้างขึ้นไปข้างบน


หลังจับทิศจากการฟังเสียงแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงดวงแสงแห่งจิตของสวี่ซูหานได้รางๆ


แต่คลื่นดวงจิตนั่นรุนแรงมาก กอปรกับร่างกายของเขาตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพดีมากนัก ดังนั้นเขาจึงระบุตำแหน่งชัดเจนไม่ได้


ช่วยไม่ได้ คงต้องแค่ใช้วิธีดั้งเดิม…


คนหนึ่งตะโกนเรียก อีกคนระบุตำแหน่งจากเสียงที่ได้ยิน ผ่านไปไม่นานทั้งสองก็เจอกันกลางทางในที่สุด


“หลิงม่อ…” ทันทีที่เห็นหน้ากัน สวี่ซูหานก็พุ่งเข้าไปหาเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้


หลิงม่อสายตาพร่าเลือนเห็นเพียงหญิงสาวดวงตาแดงก่ำคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางตัวเอง ก็สะดุ้งตกใจ และเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้างตามสัญชาตญาณทันที


ปรากฏว่าในขณะที่เขามองดูสวี่ซูหานวิ่งผ่านตัวเองไป แล้วเสียง “ตุบ” ก็ดังตามมาติดๆ พื้นอาคารสั่นสะเทือนเล็กน้อย


“เอ่อ…เธอไม่เป็นไรนะ?” หลิงม่อถามอย่างเก้ๆ กังๆ


สวี่ซูหานยืนตัวติดกำแพง พูดเสียงแหบๆ ว่า “คนเลว…”


—————————————————————————–


บทที่ 684 จุดเด่นเดียวของซอมบี้ก็คือทนมือทนเท้าไม่ใช่หรอ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางความมืดมิด เงาร่างของคนสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนขั้นบันได


เดิมหลิงม่ออยากพาสวี่ซูหานไปที่ห้อง แต่เห็นสีหน้าของสวี่ซูหานที่เหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ บวกกับอาการไม่สู้ดีของตัวเองแล้ว เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป…


ตอนนี้นอกจากความเหน็ดเหนื่อยทางกาย หลิงม่อยังต้องแบกรับผลกระทบจากการที่เหล่าซอมบี้สาวอัพเกรดพ่วงด้วย


ไม่เพียงอาการมึนขั้นรุนแรงเท่านั้น แต่กล้ามเนื้อในร่างกายยังบิดตัวเหมือนฉีดฮอร์โมนเข้าไป ส่งผลให้สมองของหลิงม่อปวด “ตุบตับ” ไปด้วย


“นายดื่มมาหรอ?” สวี่ซูหานขดตัวอยู่ในมุม มองหลิงม่อนั่งอยู่บนขั้นบันได แล้วถามขึ้น


สภาพของหลิงม่อที่กำลังเอนหัวพิงผนัง แล้วจ้องเธอด้วยสายตาเลื่อนลอยอย่างนั้น เหมือนคนเมามากจริงๆ


“ที่ไหนกัน” หลิงม่อโบกมือไปมา แล้วบอกว่า “ไม่คิดว่าพวกเราหัวอกเดียวกันหรอ?”


“ชิ…” สวี่ซูหานสะบัดเสียงอย่างไม่ปลื้ม


ทิ้งให้เธออยู่ที่โรงแรมตั้งนาน แถมเพิ่งจะเจอกันก็ปล่อยให้เธอวิ่งหัวโขกกำแพง นี่หรอที่เรียกว่า “หัวอกเดียวกัน” ?! ก็รู้อยู่หรอกว่าทั้งหมดคือการแลกเปลี่ยน แต่ “ผู้ร่วมมือ” ที่อวดเก่งอย่างนี้เพิ่งจะเคยเจอครั้งแรกนี่แหละ!


“คือว่า…ฉันเดาว่ามู่เฉินคงยังไม่ได้บอกนาย…” หลังเงียบไปสองวินาที สวี่ซูหานก็ลังเล แล้วก้มหน้าพูดงึมงำเสียงเบา “ขอบใจนายมากนะ”


“ห๊ะ?” หลิงม่อเงยหน้าอย่างมึนๆ งงๆ แต่ดวงตาเหม่อลอยนั่นดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนตื่นดีแล้ว


“ไม่มีอะไร!” สวี่ซุหานหงุดหงิด


“ยังไงก็มีรางวัลตอบแทนนี่…” หลิงม่อเอนหัวกลับไปพิงผนังเหมือนเดิม แล้วหรี่ตาพูด


สวี่ซูหานอึ้ง จากนั้นก็หันไปมองรอบตัวเพื่อหาอาวุธที่พอจะขว้างออกไปโจมตีอีกฝ่ายได้ “นายนี่มัน…” การค้นหาอาวุธไม่เป็นผล เธอทำได้เพียงจ้องหลิงม่ออย่างขุ่นเคือง “ทำไมนายถึงได้โง่อย่างนี้นะ!”


“รางวัลตอบแทนที่ฉันให้มันคุ้มค่ากับชีวิตฉันหรอ? หรือนายคิดว่าแค่ให้เจ้าโง่มู่เฉินทำงานให้ไม่กี่วันก็พอแล้ว?”


สวี่ซูหานถามเขาอย่างโกรธจัด


“นั่นมันแค่ดอกเบี้ย…” หลิงม่อพูดแก้


“ที่นายทำนั่นเรียกว่าช่วยรับเขาไว้! อย่างมากก็ถือว่าเป็นการเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่เรียกว่าดอกเบี้ย!” สวี่ซูหานตัดบทหลิงม่อ แล้วจี้ถามต่อ “แล้วฉันล่ะ? นายคิดว่าอย่างฉันต้องจ่ายเท่าไหร่ ถึงจะคุ้มค่าให้นายช่วยชีวิตฉัน?”


หลิงม่อพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ตอนนี้เงินตราก็ไม่มีประโยชน์แล้ว…ถ้าอย่างนั้นก็ 5 เหมา…”


“นายมันโง่เง่า!” สวี่ซูหานทนไม่ไหวแล้ว เธอยกมือขึ้นทึ้งสิ่งของบนร่างกาย แล้วขว้างออกไปทันทีโดยทันมองว่าของสิ่งนั้นคืออะไร


อาการมึนศีรษะของหลิงม่อเกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองทางกายที่ย่ำแย่ แต่ด้านพลังจิตนั้นกลับไม่มีปัญหา


พอเห็นว่าของชิ้นนั้นกำลังจะกระแทกหน้าตัวเองแล้ว หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งก็คว้ามันลงมา แล้วหลิงม่อก็นำมากำไว้


“นี่มันจี้สร้อยคอเธอไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อยกขึ้นมาหรี่ตามองดู แล้วถามขึ้น


คุณภาพของจี้นั้นธรรมดา เหมือนเป็นจี้สังเคราะห์ทั่วไป


สามารถเก็บรักษาให้ผิวเรียบเงาได้ถึงขนาดนี้ เห็นชัดว่ามีอายุไม่น้อยแล้ว


สวี่ซูหานตกใจ รีบยกมือขึ้นลูบคอเสื้อตัวเอง แล้วตะโกน “คืนมานะ!”


“ไม่คืนอ่ะ ถือว่ามัดจำไว้ก่อน” หลิงม่อยัดเก็บในกระเป๋า แล้วบอกว่า “ดีไหมล่ะ?”


“ดีกับ…” สวี่ซูหานเกือบจะตบะแตกแล้ว แต่โชคดีที่ระงับไว้ทันในวินาทีสุดท้าย


หลิงม่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เลวนี่ ยังรู้จักรักษาภาพพจน์…ดูเหมือนเธอจะยังห่างไกลจากการกลายร่างโดยสมบูรณ์อยู่ ฉันวางใจแล้วล่ะ”


สวี่ซูหานกัดฟันกรอดมองหน้าหลิงม่ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็เอนหลังพิงผนังอย่างหมดแรง “นายเก็บไว้เถอะ…”


“พูดจริงนะ ฉันดูนายไม่ค่อยออก ทำไมนายถึงไม่ยอมรับว่าธาตุแท้นายเป็นคนดีล่ะ? อย่างน้อยบางเรื่อง นายก็มีความเป็นคน…”


“พอๆๆ ฉันไม่รับการ์ดคนดี” หลิงม่อโบกมือไปมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“นายช่วยจริงจังหน่อยได้ไหม!” สวี่ซูหานโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าบ้านี่ขัดจังหวะได้ตลอดเวลาเลยให้ตาย!


“เอาล่ะ มัดจำก็ได้แล้ว…” ท่าทางของหลิงม่อบอกชัดว่าไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้นัก เขายกมือยันกำแพงแล้วพยุงตัวลุกอย่างยากเย็น


“เดี๋ยวก่อน คำถามสุดท้ายแล้ว” สวี่ซูหานเม้มปาก แล้วถามว่า “นาย…นายอยู่กับพวกเธออย่างนี้…เคยคิดบ้างไหมว่าต่อไปจะทำยังไง?”


หลิงม่อสะดุดกึกไปชั่วขณะ เขามองสวี่ซูหานเงียบๆ สายตาพลันประกายขึ้น แต่กลับไม่ได้ฉายแววตื่นตระหนก


“ฉัน…ฉันไม่รู้ว่านายคุมพวกเธอยังไง…แต่ถ้าเกิดว่าในอนาคตพวกเธอหลุดจากการควบคุมล่ะ? นายดูฉันสิ…สัญชาตญาณอย่างนี้ยากที่จะต่อสู้ด้วยได้! หรือถ้าหาก…ถูกใครจับได้ล่ะ?” ตอนแรกสวี่ซูหานดูร้อนรุ่ม แต่ยิ่งพูด เสียงของเธอก็ยิ่งเบาลงอย่างไม่รู้ตัว


หลิงม่อไม่ได้ตัดบทเธอ ดวงตาเปล่งประกายเจิดจรัสคู่นั้น กลับทำให้สวี่ซูหานตระหนักได้ว่า ตัวเองได้ถามคำถามโง่ๆ ออกไปเสียแล้ว


สิ่งที่เธอถาม บางทีหลิงม่ออาจไตร่ตรองผ่านสมองไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน


ส่วนคำตอบ…ทุกอย่างที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ ก็เป็นคำตอบที่ชัดอยู่แล้ว


“แล้ว…นายเหนื่อยไหม?” สวี่ซูหานถามเสียงเบา


หลิงม่อไม่เปล่งเสียงใดๆ หลายวินาทีผ่านไป เขาก็จับราวบันไดแล้วก้าวลงไปหาเธอ จากนั้นก็นั่งลงตรงหน้าเธอ “ดูสิ ตอนนี้เธอสงบกว่าเมื่อกี้เยอะเลย”


นี่มันข้ามประเด็นไปไกลเกินไปไหม!


สวี่ซูหานอึ้งไปครู่ใหญ่ จนในที่สุดก็ตั้งตัวได้


เธออ้าปากเล็กน้อย แล้วเบิกตากว้างจ้องหลิงม่อ พลางพยักหน้าอย่างเหนือความคาดหมาย “จริงๆ เลยนะ ฉันไม่ได้ร้อนรนเท่าเมื่อกี้แล้ว…แต่นายก็ยัง…”


“แค่เฉไฉไปพูดเรื่องอื่นนิดหน่อย ทำให้เธอเสียสมาธิ แล้วหันไปสนใจเรื่องอื่นแทน ไม่นานร่างกายของเธอก็จะคุ้นเคยกับความรู้สึกอย่างนั้นไปเอง มนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวสูง ซอมบี้ยิ่งเหนือกว่าในด้านนี้ นอกจากนี้เธอก็ยังสามารถประคองสติให้ตื่นได้ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ แสดงว่าพลังจิตตานุภาพของเธอก็แกร่งไม่เบาเหมือนกัน”


หลิงม่อหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น


สายตาของสวี่ซูหานไหวระริก ถ้าไม่ใช่เพราะซย่าน่าเตือนเธอ อาศัยแค่เธอลำพังคงจะทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก


“อย่างนี้เองสินะ…”


“แต่ ขั้นตอนการรักษาด้วยบทสนทนาคงต้องจบแต่เพียงเท่านี้ พวกเราคงต้องเริ่มอะไรที่จริงจังกว่านี้หน่อยแล้วล่ะ” หลิงม่อพูดไป ก็ล้วงขวดยาออกมาจากกระเป๋า


“นั่นอะไร?” สวี่ซูหานทำหน้าตกใจ


“ยาที่หมายเลข 0 ใช้ ทำขึ้นจากการใช้หัวเชื้อเดิมที่ถูกปรับส่วนผสมให้เหมาะสม แล้วเอาเชื้อไวรัสของซอมบี้มาเจือจาง ความเข้มข้นถือว่าอยู่ระดับปานกลาง น่าจะรักษาสมดุลกับเชื้อไวรัสในร่างกายเธอได้…” หลิงม่อบิดฝาขวดเพื่อเปิด พลางอธิบายไปด้วย


“ฉันรู้ ฉันรู้จักเจ้านี่! แต่นายเอามันออกมาทำไม?” สวี่ซูหานเห็นเชื้อไวรัสแล้วขนลุกไปทั้งตัว ตอนนี้เธอเกลียดเชื้อไวรัสที่สุด!


ถึงแม้จะคงสติรู้คิดไว้ได้ แต่ความทรงจำของสวี่ซูหานนั้นสับสนยุ่งเหยิงมาก


หรือพูดอีกอย่างคือ เธอได้ลืมเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เธอเคยสัมผัสในเหตุการณ์วุ่นวายโกลาหลเหล่านั้นแล้ว


ถึงแม้มู่เฉินจะเล่าให้เธอฟังไม่น้อยแล้ว แต่บางเรื่องมู่เฉินเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


หลิงม่อวางจมูกตรงปากขวดแล้วสูดดม “หอมมาก”


กลิ่นของเชื้อไวรัสลอยโชยเข้าไปในจมูกของสวี่ซูหาน ลมหายใจของเธอถี่ระรัวขึ้นมาทันใด ร่างกายตึงเกร็งไปทั่ว


“นายอย่าเข้ามานะ…นายจะทำอะไรน่ะ!” สวี่ซูหานร่นถอยอย่างตื่นตระหนก ตอนนี้ในสายตาเธอ หลิงม่อไม่ต่างจากชายหนุ่มที่กำลังย่างกรายเข้ามาพร้อมกับเข็มฉีดยาในมือ โดยมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมประดับอยู่บนใบหน้า


“มาเถอะน่า” หลิงม่อก้าวตามไป “ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อย จะตื่นเต้นไปทำไม…”


“อย่าเข้ามานะ…” สวี่ซูหานนั่งชิดกำแพงไร้ทางหนี สองเท้ายกขึ้นตีไปมา เพื่อไม่ให้หลิงม่อเข้ามาใกล้กว่านี้ “ไปไกลๆ เลยนะ”


หลิงม่อเกือบถูกถีบจนล้ม เขานั่งยองๆ อยู่กับที่แล้วถอนหายใจอย่างหมดคำพูด


นี่คือข้อเสียของการรักษาสติรู้คิดไว้สินะ…


เขาแกว่งขวดยาไปมา จากนั้นก็เป่าปากขวดนั้นแรงๆ สองที “อยากได้ใช่ไหมล่ะ? ยังทนได้อีกหรอ?”


สวี่ซูหานแทบอยากจะมุดเข้าไปในผนังเสียให้รู้แล้วรู้รอด ตอนนี้กำลังใช้เล็บขุดและจิกกำแพงไม่หยุด


“นายมัน ไอ้คนเลว…”


แม้สติจะร้องตะโกนว่า “ไม่เอา” แต่สัญชาตญาณทางร่างกายกลับกรีดร้องด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า


นี่มันกลิ่นของเชื้อไวรัสเชียวนะ…


มนุษย์อาจรู้สึกฉุนกับกลิ่นนี้ แต่สำหรับซอมบี้มันช่างหอมหวนชวนหิวจนเลือดในกายพลุ่งพล่าน


ถึงแม้จะสามารถควบคุมความปรารถนาที่มีต่อกลิ่นได้ แต่สุดท้ายเชื้อไวรัสก็จะเป็นตัวครอบงำให้พวกมันยอมแพ้ เพื่อที่จะได้รับการวิวัฒนาการ


“โอ๊ย หยุเตะได้แล้ว นี่มันยาดีเชียวนะ ถ้าเธอไม่อยากกลายร่างจนสมบูรณ์แบบ ก็ต้องดื่มเจ้านี่เท่านั้น…โอ๊ยๆ ยังจะเตะ…”


พอเห็นว่าเป็นตายอย่างไรสวี่ซูหานก็ไม่ยอมฟัง หลิงม่อจึงจำใจต้องใช้หนวดสัมผัส


ขาทั้งสองข้างถูกเชือกที่มองไม่เห็นผูกรัดทันใด ไม่นานแขนที่กำลังเหวี่ยงไปมาก็ถูกยกขึ้นสูงเหนือหัว


สวี่ซูหานเบิกดวงตาแดงก่ำกว้าง มองหลิงม่อที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา ลมหายใจถี่ระรัวขึ้นเรื่อยๆ


“อย่า…”


เธอตัวสั่น และพูดขึ้นอย่างต่อต้านและสับสน


“ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก”


หลิงม่อบีบคางสวี่ซูหาน แล้วยื่นขวดยาเข้ามาใกล้


ยิ่งขวดยาเคลื่อนเข้ามาใกล้ กลิ่นก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงกรีดร้องจากร่างกายของสวี่ซูหานเริ่มกลบเสียงร้องเตือนจากสมองอย่างช้าๆ


และในตอนที่ปากขวดยังยื่นมาไม่ถึงปากเธอ จู่ๆ สวี่ซูหานก็อ้าปากกว้าง แล้วยื่นหน้าเข้าไปงับขวดอย่างห้ามใจไม่ไหวอีกต่อไป


หลิงม่อสะบัดมือข้างที่เกือบถูกกัดออก แล้วจากนั้นก็ยกขวดยาขึ้นสูง มองดูของเหลวในขวดไหลลงไปในปากของสวี่ซูหาน “ช้าหน่อย อย่ากัดขวดจนแตกล่ะ…ช่างเถอะ ยังไงน้ำย่อยในกระเพาะของซอมบี้ก็คงเอาอยู่ทุกอย่าง…มั้งนะ”


เมื่อยาถูกดื่มจนเกลี้ยง สวี่ซูหานยังคงอ้าปากอยู่อย่างนั้น สีแดงเลือดในดวงตากลับเข้มกว่าเมื่อกี้ไม่น้อย


หลิงม่อหยิกแก้มเธอเบาๆ พลางหยิบเศษกระจกที่ติดอยู่ตรงมุมปากของเธอออก “อย่าคิดมาก ฉันกลัวว่าเธอจะกัดฉัน…”


ทว่าสวี่ซูหานกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร เธอดูเหม่อลอย เห็นชัดว่ากำลังเข้าสู่ช่วงการต่อสู้กันระหว่างเชื้อไวรัสอีกครั้ง


“เท่านี้ก็น่าจะพอยืนหยัดได้จนกว่าจะไปถึงสำนักงานใหญ่แล้วล่ะ”หลิงม่อโอบเอวสวี่ซูหาน แล้วแบกเธอขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างเซๆ “นึกว่าพอศักยภาพด้านร่างกายอัพเกรดแล้ว จะสามารถแบกปูนสามกระสอบได้สบายๆ ซะอีก…แต่นี่แค่กระสอบเดียวก็แทบทรุดแล้ว…โชคดีที่อันนี้ทนมือทนเท้าดี”


“ว่าแต่…เจ้าทึ่มนั่นไปไหนซะแล้ว?”


ในขณะที่หลิงม่อกำลังแบกสวี่ซูหานจับราวบันไดและเดินขึ้นข้างบนอย่างยากลำบากอยู่นั้น เจ้าทึ่มที่เขากำลังพูดถึงก็กำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในโถงทางเดินเส้นหนึ่ง


มู่เฉินยกมือขึ้นป้องปาก แล้วตะโกนเสียงเบา “สวี่ซูหาน? หัวหน้าทีม? หลิงม่อ? พี่หลิง? พวกนายอยู่ไหนน่ะ…ใครก็ได้ตอบฉันทีสิ…”


—————————————————————————–


บทที่ 685 ดูสิ เล่นจนได้เรื่องเลย

โดย

Ink Stone_Fantasy

แผ่นป้ายติดประกาศที่ถูกเผาจนบิดเบี้ยวป้ายหนึ่ง ร่วงหล่นลงมาจากข้างบนพร้อมกับควันคลุ้ง มันพุ่งดิ่งลงมายังเงาร่างใครคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ข้างล่าง


“ฮู่ว…”


ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เงาร่างนั้นพลันลืมตาที่ปิดแน่นขึ้นมาทันที


“เคร้ง!” เสียงกระทบดังขึ้นทันใด


แต่หลังจากที่ควันจางหายไป ในซอยเล็กแคบแห่งนี้ กลับหลงเหลือเพียงแผ่นป้ายติดประกาศที่กำลังสั่นไหวไปมาอยู่บนพื้น และศพไหม้เกรียมที่นอนอยู่บนพื้นซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่านั้น…


เงาร่างหัวโตกำลังโฉบไปมาอยู่ในเงามืดที่ลึกเข้าไปในซอย “ช่างเป็นมนุษย์ที่น่าสนใจ…น่าสนใจจริง…ฮ่าๆๆ…”


“บึ้ม!”


เปลวเพลิงขนาดใหญ่กระแทกบานกระจกชั้นล่างสุดจนแตกกระเจิง ไอร้อนแผ่ขยายปกคลุมไปไกลกว่าครึ่งซอย


แต่เงาร่างหัวโตนั่น กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว…


“อา ในที่สุด…” ณ ห้องพักห้องหนึ่งในโรงแรม ซย่าน่าลดแขนทั้งสองข้างที่กำลังทะเลาะกันลง แล้วนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง “หยุดซักทีสินะ…”


“เธอ…” เย่เลี่ยนจ้องซย่าน่าตาโต เหมือนประหลาดใจนิดๆ


“ฉันไม่เป็นไรแล้ว” ซย่าน่าส่งยิ้มให้เย่เลี่ยน จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองหนึ่งครั้ง


เมื่อเธอลดฝ่ามือลง ดวงตาสีนิลลึกซึ้งคู่หนึ่งก็ปรากฏออกมาให้เห็น


เธอขยิบตาอย่างซุกซน แล้วยกมือทำอย่างเดิมซ้ำอีกครั้ง


แต่ครั้งนี้ ดวงตาของเธอกลับกลายเป็นสีแดงขาวแยกชัด


“อ๊ะ!” เย่เลี่ยนปิดปากด้วยความตกใจ


“ยังมีอีกนะ…”


ซย่าน่าหัวเราะคิกคัก และคิดไม่ถึงว่าเธอจะทำแบบเดิมอีกเป็นครั้งที่สาม


ซย่าน่าค่อยๆ แยกนิ้วออก เผยให้เห็นดวงตาทั้งคู่ด้านหลังนิ้วมือที่เปิดแง้มเล็กน้อย ข้างหนึ่งเป็นสีแดงเหมือนเดิม แต่อีกข้างหลับกลายเป็นสีดำไปแล้ว!


“ว้าว!” เย่เลี่ยนเบิกตากว้าง มองดูอย่างไม่ยอมละสายตาจากไป


“อย่ากระพริบตาเชียวล่ะ…” ซย่าน่าจิ้งเย่เลี่ยน แล้วพูดแปลกๆ


ประกายสีแดงสะท้อนในดวงตาของเย่เลี่ยน ไม่นาน “ซย่าน่า” อีกคนก็เดินออกมาจากตัวของเธอ


ถึงแม้จะเคยเห็นหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปมาก


ครั้งนี้แตกต่างจากการแยกร่างโดยสิ้นเชิงในเมื่อก่อน เพราะร่างดวงจิตนั้นปรากฏอยู่เบื้องหลังร่างจริง


ดูเหมือนเป็นสองคน แต่กลับเชื่อมต่อกันอยู่เลือนราง


ผมขาวและผมแดงผสมผสานรวมกัน เกิดเป็นร่างที่มีดวงตาสีแดงหนึ่งข้างสีดำหนึ่งข้าง


ร่างจริงที่อยู่ข้างหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาเฉียบขาดของสีดำ แต่ร่างดวงจิตที่ประชิดอยู่ข้างหลังกลับดูกระฉับกระเฉงและฉลาดปราดเปรื่อง


ประกายสีแดงอ่อนๆ ปกคลุมทั่วตัวเธอ ทำให้ความปราดเปรื่องของเธอมีกลิ่นอายของความอำมหิตเพิ่มขึ้นมา


แต่เพราะความขัดแย้งที่เหมือนไม่ลงตัวนี้ กลับทำเธอมีเสน่ห์สุดพิเศษที่เกิดจากการเอาความบริสุทธิ์และเลือดมาผสมผสานรวมกัน


“ซย่าน่า” ทั้งสองหลับตาพร้อมกัน และเมื่อลืมตาอีกครั้ง แม้ว่าภายนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แต่ออร่ากลับแตกต่างออกไป


สายตาเย็นชาผสมความเจ้าเล่ห์ของร่างจริง พลันแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง สีหน้ากวนๆ แก่นเซี้ยวก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ไม่ต่างจากเด็กสาวทั่วไปนัก แล้วยังฉายแววดื้อรันอยู่ในที


แต่ร่างดวงจิตที่อยู่ข้างหลังกลับกระดกยิ้มมุมปาก ดวงตาหรี่เล็กลง ดูอันตรายและน่ากลัว


“น่าสนุกใช่ไหมล่ะ?” ซย่าน่าลดมือลง แล้วหัวเราะ


“เปลี่ยน…เปลี่ยนหน้า…” เยเลี่ยนทำท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก


“คิกคิก เหมือนการแสดงเปลี่ยนหน้าหรอ?” ซย่าน่าพูดแทนเธอ


เย่เลี่ยนพยักหน้าอย่างดีใจ “อื้ม!”


“อย่างนี้ดีมากเลย ใช่ไหมล่ะ? แต่พอต้องอัพเกรดทีไร ตัว “ฉัน” ทั้งสองคนก็จะทะเลาะกันทุกครั้ง พี่เย่เลี่ยน พี่ว่า…” สีหน้าของซย่าน่าพลันเปลี่ยนเป็นลึกลับ เธอลดเสียงเบาลง “ถ้าหากว่าน่าน่าเป็นฝ่ายชนะเพียงหนึ่งเดียว ฉันจะกลับไปเป็นคนไหม?”


เย่เลี่ยนมึนงงไปแล้ว แล้วจะให้เธอตอบคำถามนี้อย่างไร?


หากแยกศัพท์ออกเป็นทีละคำก็พอจะทำความเข้าใจได้อยู่ แต่พอเอามารวมกัน เย่เลี่ยนกลับไม่เข้าใจความหมายของมัน


เธอใช้สติปัญญาที่วิอัพเกรดขึ้นของเธอไปกับการแสดงออกเหล่านั้นของหลิงม่อไปหมดแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้


พอเห็นว่าเย่เลี่ยนไม่ตอบ ซย่าน่าก็หัวเราะแล้วตอบคำถามด้วยตัวเอง “คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? เพรายังไงสมองก็กลายร่างไปแล้ว จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไง? ดังนั้น อีกหน่อยก็คงต้องทะเลาะกันต่อไป…เมื่อก่อนน่ะ ชอบท้าทายตัวเอง ทำเรื่องที่ไม่อยากทำอยู่เสมอ แต่คิดไม่ถึงว่าพอต้องแข่งกับตัวเองอย่างนี้ขึ้นมาจริงๆ จะกลายเป็นเรื่องยุงยากขนาดนี้…”


หลังฟังเงียบๆ จนจบ จู่ๆ เย่เลี่ยนก็ยื่นมือออกมา แล้วลูบเบาๆ ที่หัวซย่าน่า


ซย่าน่านิ่งงันไปหนึ่งวินาที เธอค่อยๆ เลื่อนสายตาลงมองตรงไปที่กระดูกไหปลาร้าของเย่เลี่ยนเงียบๆ


“ฉันต้องไม่สูงแล้วแน่เลย…แล้ววิวัฒนาการที่ตกลงกันไว้เล่า!”


“ฮู่ว!” ทันใดนั้นปุยนุ่นกองโตและเศษผ้ามากมายก็กระเจิง เงาร่างสูงเพรียวเงาหนึ่งพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนอยู่ตรงนั้น


หลี่ย่าหลินพ่นลมหายใจยาวๆ เพื่อเป่าเศานุ่นที่ติดอยู่บนปาก หลังจากมองซ้ายมองขวาอย่างมึนๆ ก็หันมาหยุดมองที่เย่เลี่ยนและซย่าน่า


ดวงหน้างามคมคายมีมิติของเธอฉายยิ้มบางๆ เงาร่างไหววูบเพียงครั้งเดียว เธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าเย่เลี่ยนและซย่าน่าในเวลาเพียงชั่วพริบตาแล้ว


ซย่าน่ายกมือขึ้นปัดเศษนุ่นที่ลอยลิ่วอยู่ตรงหน้า แล้วเงยหน้ามองหลี่ย่าหลิน “รุ่นพี่ เรียบร้อยแล้วเหมือนกันหรอ?”


“ใช่แล้ว” หลี่ย่าหลินยิ้มแล้วหยิกแก้มซย่าน่าหนึ่งที เธอทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าอึ้งๆ ของซย่าน่า แล้วหมุนเอวไปมาบอกว่า “ฉันรู้สึกเหมือนตัวอ่อนขึ้นกว่าเดิมล่ะ”


เพิ่งจะพูดจบ ซย่าน่ากับเยเลี่ยนก็เห็นเงาร่างตรงหน้าไหววูบอีกครั้ง


ไม่นาน เย่เลี่ยนพลันรู้สึกว่ามีลมเย็นๆ เป่ามาที่หูเธอ


หลี่ย่าหลินมุดเข้าไปในเส้นผมยาวๆ ของเธอ แล้วสูดหายใจลึก “กลิ่นหอมจังเลย…”


“กลิ่นของระดับสูงกว่า” ซย่าน่าพูดเสริม


“ฮิฮิ…” ดวงตาของหลี่ย่าหลินพลันประกายสีเหลืองอำพันชั่วเสี้ยววินาที และวินาทีนั้นก็เหมือนกับว่ามีเงาของงูพิษตัวหนึ่งสะท้อนชัดอยู่ในดวงตาเธอ “หลิงม่อล่ะ? ฉันรู้สึกเหมือนสามารถให้กำเนิดลูกได้ทุกเมื่อ ไม่แน่นะถ้าคลอดลูกแล้วฉันอาจก้าวข้ามสำเร็จก็ได้!”


“เป็นไปไม่ได้มั้งนั่น…อีกอย่าง พูดถึงเรื่องคลอดลูก จะคลอดออกมาเป็นแบบไหนยังไม่รู้เลย” ซย่าน่ากลอกตาขาว


แอ๊ด—


ประตูห้องเปิดออกทันใด หลิงม่อที่กำลังแบกร่างสวี่ซูหานยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขามองสามสาวซอมบี้ที่อยู่ในห้องด้วยสีหน้าซีดขาว “ใครก็ได้มาช่วยฉันที”


ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินวิวัฒนาการเสร็จแล้ว แต่เนื่องจากเฮยซือและอวี๋ซือหรานยังอยู่ในสภาพหนอนดักแด้อยู่ ดังนั้นผลกระทบที่หลิงม่อได้รับจึงยังไม่จบเพียงเท่านี้


หลังจากส่งสวี่ซูหานให้หลี่ย่าหลิน หลิงม่อก็กวาดมองรอบตัวอย่างมึนๆ สุดท้ายก็เลือกนั่งลงบนหนอนดักแด้ตัวใหญ่นั่น


นั่งได้ไม่มั่นคงนัก แต่ก็นุ่มไม่เบา…


“เอ๋ ซย่าน่าเธอ…” หลิงม่อสังเกตเห็นความผิดปกติของซย่าน่าทันที เขาเกือบนึกว่าซย่าน่ากลายร่างไปแล้ว


ทว่าพอมองดูดีๆ แล้ว ความจริงนี่เป็นเพียงวิวัฒนาการอย่างหนึ่ง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงถึงระดับแก่นแท้


ส่วนเรื่องที่ในอนาคตร่างกายของซย่าน่าจะเกิดการกลายพันธุ์ไปอย่างไรนั้น กลับไม่มีเบาะแสอะไรเลย


“รุ่นพี่ล่ะ?” หลิงม่อเพิ่งจะอ้าปากถามถึง ก็รู้สึกหนักอึ้งที่หน้าตักทันที พอก้มหน้ามองก็เห็นสาวสวยร่างสูงเพรียวผู้มีเสน่ห์เหลือล้นอยู่ตรงหน้า


หลี่ย่าหลินใช้มือโอบแขนหลิงม่อ พร้อมสั่นเอวไปมาหน้าหลัง “หลิงม่อ…”


เธอไม่ได้จงใจทำเสียงออดอ้อน แต่หลิงม่อกลับรู้สึกได้ถึงแรงเย้ายวน จนทำให้รู้สึกซาบซ่านไปทั้งตัว


แต่ในสายตาของหลิงม่อ หลี่ย่าหลินที่กำลังสั่นเอวไปมาอยู่ตรงหน้ากลับเหมือนเงาทับซ้อนมากมาย เสียงพูดเหมือนล่องลอยมาจากที่ไกลๆ


เงาซ้อนที่เห็นดูสวยมาก แต่ก็ทำให้ตาลายมากเช่นกัน…


“รุ่นพี่ ระวังเจ้าลูกบอลที่อยู่ข้างล่างนี่จะแตกเอา…” หลิงม่อบอก


“ก็ระวังแล้วไง…” หลี่ย่าหลินสะบัดผม เพิ่มกลิ่นอายดิบเถื่อนในชั่วขณะ


“นี่มันไม่เห็นเหมือนท่าทางของคนระวังเลยนะ…” หลิงม่อเอือม


ทั้งสองคนขย่มไปขย่มมาอยู่บนหนอนดักแด้โดยทำเหมือนว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ในขณะที่หนอนดักแด้ตัวนั้นกำลังดิ้นขยุกขยิกอยู่ข้างล่าง


หลิงม่อเองก็ไม่ได้ดึงรุ่นพี่ออกจริงๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนใกล้หมดเรี่ยวแรงแล้ว จะยังมีแรงเหลือที่ไหนล่ะ…


ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหนอนดักแด้นี่ก็ผ่านการทดลองใช้งานจริงมาแล้ว ไม่พังง่ายๆ แน่นอน…


หลี่ย่าหลินเองก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น เหมือนอยากอยู่ใกล้ๆ หลิงม่อเท่านั้น


ซย่าน่าและเย่เลี่ยนหันไปสนใจสวี่ซูหานแทน ซอมบี้สาวสองตัวยืนอยู่รอบๆ ตัวผู้ประกาศข่าวสาวที่ตอนนี้กำลังเบิกตากว้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คนหนึ่งทำท่าครุ่นคิด อีกคนค่อยๆ ยกนิ้วจิ้มๆ ไปทั่วตัวสวี่ซูหานอย่างมึนๆ


กร๊อบ…


เสียงแตกหักของวัตถุดังขึ้นเบาๆ ส่งผลให้บรรยากาศในห้องนิ่งงันไปทันที


หลิงม่อจ้องหลี่ย่าหลิน รู้สึกเหงื่อไหลท่วมหน้าผากในชั่วพริบตา


“เล่นจนได้เรื่องแล้วสิ…” หลิงม่อไม่กล้าขยับเขยื้อน เขารู้สึกว่าด้านในของหนอนดักแด้กำลังดิ้นชลุกขลัก


ขณะเดียวกัน รอยร้าวเล็กๆ นั่น ก็เริ่มกว้างขึ้นทีละนิดๆ…


“ถือว่าคลอดก่อนกำหนดได้ไหมน่ะ…” ซย่าน่าจ้องรอยร้อยบนหนอนดักแด้ แล้วพูดพึมพำกับตัวเอง


หลี่ย่าหลินมองตาหลิงม่อชั่วขณะ ทันใดนั้นเงาร่างเธอไหววูบ เพียงชั่วพริบตาก็ไปปรากฏอยู่ตรงอีกฝั่งของห้อง


หลิงม่อเบิกตากว้าง เขายังคงนั่งอยู่ท่าเดิม แล้วคำรามเสียงต่ำ “มาทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นเอาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหม! แล้วไหนๆ ก็ต้องอยู่ท่าเดิมห้ามขับ อย่างน้อยก็น่าจะให้ฉันนั่งกอดสาวสวยเหมือนเดิมสิ! อีกอย่าง…”


เขาทำหน้ายุ่ง “รุ่นพี่ทำให้น้ำหนักมันเบาลงนะ!”


แกร่กๆๆๆ…


เสียงแตกหักติดต่อกันหลายครั้งดังขึ้นด้านล่างหลิงม่อ หนอนดักแด้ทรงกลมขนาดใหญ่นั่นเริ่มร้าวจากตรงกลางด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นก็ “แคร่ก” แตกออกเป็นสองส่วน


ซึ่งในระหว่างนี้ หลิงม่อได้แต่ทำหน้าชะงักงัน และไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย


เขาตกใจมาก เพราะเมื่อก่อนทำ “อย่างนั้นอย่างนี้” บนหนอนดักแด้เท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เขาแค่นั่งมันก็แตกซะแล้ว!


ไม่ใช่แล้ว! เมื่อกี้เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองนะ!


เมื่อเปลือกของหนอนดักแด้แตกออก เงาร่างมนุษย์ที่กำลังขดตัวก็เผยสู่สายตา


ร่างดังกล่าวปิดตาเบาๆ ขนตางอนยาวเป็นแพสั่นกระเพื่อม ใต้ผิวหนังขาวราวกระเบื้องเซรามิคมีเยื่อสีชมพูบางๆ อยู่หนึ่งชั้น มือทั้งสองข้างโอบเข่าตัวเองไว้ เหมือนตัวอ่อนในครรภ์ที่กำลังหลับไหลอยู่


มองแวบแรก เหมือนตุ๊กตาหุ่นขี้ผึ้งความละเอียดสูงที่ถูกสร้างขึ้นโดยโรงงานศิลปะแห่งใดแห่งหนึ่ง


พรึ่บ!


ทันใดนั้น เด็กสาวลืมตาโพลงขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาสีแดงเลือดหมูคู่หนึ่ง ดวงตาสีขาวมีม่านตาสีแดงเป็นใจกลาง ยิ่งขับให้โดดเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้น


เธอหมุนศีรษะช้าๆ พลางช้อนตามองขึ้นข้างบนไปด้วย


“กรี๊ดดดด!”


เสียงกรีดร้องของเด็กสาว ดังออกไปนอกห้องและสะท้อนก้องอยู่ในทางเดินที่ลึกและมืดมิด


ณ ชั้นล่างของโรงแรม มู่เฉินที่กำลังทำหน้าบึ้งตามหาสวี่ซูหานพลันสะดุ้งโหยง เขาเงยหน้าด้วยความตกใจ “นั่นมัน…เสียงนักร้องโซปราโนจากที่ไหนกัน?”


—————————————————————————–


บทที่ 686 ธาตุแท้เป็นสีดำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หยุด…อย่าร้องสิ! ชู่ว!”


หลิงม่อรีบนั่งลงปิดปากอวี๋ซือหราน จากนั้นก็สำรวจดูอย่างกังวล “เธอเป็นยังไงบ้าง? เฮยซือล่ะเป็นยังไงบ้าง?”


เสียงกรีดร้องเมื่อกี้ทำให้เขาร้อนใจมาก ออกจากกระดองก่อนกำหนดจะทำให้มีผลกระทบอะไรหรือเปล่า?


ทว่าพอสำรวจดูอย่างละเอียดแล้ว กลับไม่เหมือน…


ไม่นานอวี๋ซือหรานก็เงียบลง เพียงแต่เธอยังคงเบิกตากว้างอยู่อย่างนั้น


เห็นหลิงม่อทำหน้าสงสัย ซย่าน่าก็พูดขึ้นจากอีกฝั่ง “เธอแค่ตื่นเต้นเท่านั้นแหละ ลืมตาตื่นมาก็เห็นไส้กรอกที่ได้แต่เฝ้าฝันหาอยู่ตรงหน้า จะไม่ให้ร้องได้ไงล่ะ…”


อวี๋ซือหรานที่กำลังถูกปิดปากกระพริบตาปริบๆ พลางพยักหน้าหงึกๆ


หลิงม่อก้มหน้ามองร่างกายท่อนล่างของตัวเองโดยอัตโนมัติ แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “กางเกงก็ไม่ได้ขาดนี่ จะมองเห็นได้ไง…”


“มีแค่ผ้าบางๆ กั้นไว้ชั้นเดียว ไม่ได้ทำให้จินตนาการยากขึ้นเลย” ซย่าน่าพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา


“มนุษย์คิดค้นเสื้อผ้าขึ้นมา ก็เพื่อไม่ให้พวกโรคจิตคิดจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ไงล่ะ…” หลิงม่อพูดอย่างระอา


เมื่อความจริงถูกเปิดเผย หลิงม่อก็รู้สึกว่าสายตาที่อวี๋ซือหรานมองตัวเองเต็มไปด้วยประสงค์ร้าย ทำเอารู้สึกขนลุกเลยทีเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตรงนั้นของเขาจะรู้สึกเย็นวาบขนาดไหน


“อย่าร้องอีกล่ะ เดี๋ยวซอมบี้ก็แห่กันมาหรอก” หลิงม่อกำชับอย่างจริงจัง จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากปากอวี๋ซือหราน


ซอมบี้โลลิเพิ่งจะได้รับอิสรภาพคืนมา แต่สิ่งแรกที่ทำคือกระโจนเข้ามากอดหลิงม่อทันที “พรึ่บ”


“เดี๋ยวก่อน ไม่ต้องกอดต้นขาฉันแน่นขนาดนี้ก็ได้ ไหนเธอลองบอกอาการตอนนี้ของตัวเองให้ฉันฟังหน่อย…”


หลิงม่อเพิ่งจะพูดจบ ก็พบว่าอวี๋ซือหรานไม่ได้ทำแค่กอดเท่านั้น


หน้าเล็กๆ ของเด็กสาวแนบอยู่ตรงต้นขาของเขา เธอทำหน้าอิ่มเอมใจ กระทั่งหลับตาอย่างเคลิบเคลิ้ม


“……”


หลิงม่อมองอวี๋ซือหรานด้วยสายตาที่เหมือนเห็นผี จากนั้นก็เงยหน้ามองพวกเย่เลี่ยน


“นี่มันอะไรกัน?!” หลิงม่อถามเสียงเบา


แต่ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แม้แต่พวกเย่เลี่ยนก็อึ้งเหมือนกัน


การที่อวี๋ซือหรานกระโจนเข้าไปหมายจะงับหลิงม่อนั้น เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว


แต่ท่าทางใกล้ชิดเกินเหตุขนาดนี้ ต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ!


ซย่าน่าทำไม้ทำมือให้หลิงม่อ เป็นการส่งซิกว่าให้หลิงม่อลองลูบหัวอวี๋ซือหรานดู


“ดูซิว่าเป็นผลจากการถูกรบกวนระหว่างที่กำลังวิวัฒนาการไปได้ครึ่งเดียวหรือเปล่า…”


“นั่นสินะ…” ถึงอย่างไรลองดูก็ไม่เสียหายนี่


ทว่าแค่ตบหัวคงจะไม่สามารถรู้ได้ ต้องสัมผัสสภาวะดวงจิตดูด้วย…


ในขณะที่หลิงม่อกำลังจะวางมือลงบนหัวอวี๋ซือหราน จู่ๆ เขากลับได้ยินเสียงร้องเบาๆ ดังมาจากปากของซอมบี้โลลิ “บ๊อก…”


“เฮ้ยย!”


หลิงม่อชะงักด้วยความช็อก!


นี่มันอะไรกันอีกละเนี่ย!


ถึงแม้เสียงของอวี๋ซือหรานจะแตกต่างจากเสียงร้องต้นฉบับของแท้ เหมือนเด็กสาวทำเสียงเลียนแบบเพื่อออดอ้อนมากกว่า แต่ทั้งการออกเสียงที่คล้ายกัน และในระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้ หลิงม่อไม่มีทางฟังผิดแน่!


หลังจากค่อยๆ ดึงสติกลับมาจากความตะลึง สิ่งที่หลิงม่อนึกขึ้นได้ในแวบแรก คือ “กายสังขาร” ของเฮยซือเมื่อก่อน ซอมบี้หญิงที่สวมชุดเมดตัวนั้น…


“แต่…แต่อวี๋ซือหรานเป็นร่างร่วมนะ!”


หลิงม่อยังคงสติไม่เข้าที่เข้าทาง เขารีบยื่นมือออกไปแหวกผมอวี๋ซือหรานดู


“ก็ยังอยู่นี่…”


ผ้าพันคอปุกปุยผืนนั้นยังคงพันไว้รอบคออวี๋ซือหราน อีกทั้งหากดูด้วยตาเปล่า ก็จะเห็นว่ามันหลวมออกเล็กน้อย


เพื่อให้มั่นใจกว่าเดิม หลิงม่อจึงยื่นมือลูบคลำดูสองสามที


“นึกว่ารวมร่างกันซะแล้ว…”


แต่พฤติกรรมที่ดูยังไงก็เหมือนเฮยซือนี่ล่ะ จะอธิบายยังไง?


ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ตัวอวี๋ซือหรานก็กระตุกสั่น แล้วเบิกตาโพลงทันที


การตอบสนองแรกของเธอคือจ้องต้นขาหลิงม่อที่อยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นข้างบน…


“หยุดเลย” หลิงม่อปากว่ามือถึง รีบยกมือดันหัวเธอไว้ทันที


เมื่อกี้ช็อกติดๆ กันหลายครั้ง หลิงม่อจึงไม่ทันสังเกตว่าตัวเองก็มีสิ่งที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเหมือนกัน


เมื่อวิวัฒนาการของอวี๋ซือหรานและเฮยซือหยุดลงชั่วคราว หลิงม่อก็เริ่มฟื้นตัวตามมา


ไม่เพียงร่างกายกลับมามีเรี่ยวแรงทีละนิดๆ แต่เขาเริ่มควบคุมร่างกายทุกส่วนได้อีกครั้งแล้ว


ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหายวับไปกับตา ซ้ำยังมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นไม่น้อย แขนขาทั้งสี่ข้างกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วกว่าเดิมมาก


“อาการปวดเอวเรื้อรังก็หายไปด้วยแฮะ…”


หลิงม่อยกมือขึ้นลูบเอวด้านหลังโดยอัตโนมัติ พลางแอบคิดในใจ


ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนความเย็นระลอกหนึ่งแล่นเข้ามาโจมตีแผ่นหลังเขาอย่างรวดเร็ว


เหลือบมองหางตา กลับพบว่าเป็นหลี่ย่าหลินที่กำลังจ้องมือเขาอยู่


“ชิ กะผิดซะได้…”


“มนุษย์ไส้กรอก…” อวี๋ซือหรานเงยหน้าช้าๆ ดวงหน้าเล็กๆ ที่กำลังฉายรังสีอาฆาตมาดร้ายเต็มที่ จ้องมองมาที่หลิงม่ออย่างเย็นชา


หลิงม่อยังไม่ทันได้เปิดปากพูด เธอก็ยกแขนยกขาสั้นๆ ขึ้นตีโพยตีพาย “ครั้งนี้ความคิดของเฮยซือกับฉันหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว ตอนนี้ฉันจะเป็นซอมบี้ก็ไม่ใช่สัตว์กลายพันธุ์ก็ไม่ใช่อย่างนี้นายจะรับผิดชอบยังไง! บอกมานะ! นายจะรับผิดชอบยังไง!”


“ป้านเยว่ต้องไม่เอาฉันแล้วแน่ๆ เลย แล้วถ้าหากต่อไปเฮยซืออยากหาคู่ครองขึ้นมาบ้าง จะแบ่งกันยังไงเล่า…ป้านเยว่ต้องไม่เอาฉันแล้วแน่ๆ! ไปเลย! นายไปตามหาป้านเยว่กลับมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”


ซอมบี้โลลิโวยวายอย่าบ้าคลั่ง หลิงม่อที่ได้ยินกลับนิ่งอึ้ง


“หลอมรวม?”


เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่นานก็แผ่หนวดสัมผัสทางจิตแทรกเข้าไป


ระหว่างที่กำลังตรวจสอบ สีหน้าของหลิงม่อก็ดูประหลาดขึ้นเรื่อยๆ


“จริงด้วยแฮะ…”


โดยปกติแล้ว ดวงแสงแห่งจิตที่แตกต่างกันสองดวงจะไม่สามารถหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์ หรือถึงแม้อาศัยแรงกระตุ้นภายนอกทำจนสำเร็จ อย่างไรก็ต้องมีผลข้างเคียงที่ตามมาไม่น้อยแน่นอน


อย่างเช่นหมายเลข 0 ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว…


ทว่าสถานการณ์ของอวี๋ซือหรานและเฮยซือกลับพิเศษมาก ร่างร่วมของพวกเธอทั้งสองวิวัฒนาการร่วมกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว


ก่อนหน้านี้ระดับความเข้าใจที่หลิงม่อมีต่อการดำรงชีวิตอย่างนี้ของพวกเธอ หยุดอยู่แค่ “ร่างภาชนะ” มาโดยตลอด


แต่ตอนนี้ เรื่องไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นอีกต่อไป


ในเวลาปกติพวกเธอไม่ใช่ร่างที่เชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียว แต่ในระหว่างวิวัฒนาการ พวกเธอกลับกลายเป็นร่างเดียวกันอย่างแท้จริง


และคาดว่านี่คงเป็นประโยชน์ของหนอนดักแด้นั่น ในขณะที่ดวงแสงแห่งจิตของพวกเธอหลอมรวมเป็นหนึ่ง หนอนดักแด้จะช่วยคุ้มกันพวกเธอ โดยการสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา


เมื่อการวิวัฒนาการจบลง ดวงแสงแห่งจิตแยกตัวกัน หนอนดักแด้ก็จะหดตัวและหายไปภายใต้การควบคุมของเฮยซือ


แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าครั้งนี้หนอนดักแด้จะอ่อนแอขนาดนี้…ทั้งที่เส้นไหมสีเงินของเฮยซือออกจะเหนียวแน่นและแข็งแรงขนาดนั้น!


พอคิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็ดึงเส้นไหมสีเงินจาก “ผ้าพันคอ” ขึ้นมาหนึ่งเส้น แล้วกระตุกหนึ่งที “ทำไมจู่ๆ ถึงได้กากอย่างนี้ล่ะ…”


แต่เพิ่งจะกระตุกครั้งแรก หลิงม่อก็อึ้ง


เขากระตุกครั้งที่สองอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วสุดท้ายจึงยอมรับ


นี่มันอ่อนแอซะที่ไหนล่ะ ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเหล็กเส้นเสียอีก!


แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วหนอนดักแด้ที่เกิดจากการถักทอเหล็กเส้นพวกนี้เข้าด้วยกันนั่น ทำไมถึงได้แตกออกง่ายๆ อย่างนั้นล่ะ


หลิงม่อหันไปมองบนพื้น แล้วหยิบเส้นไหมสีเงินขึ้นมาหนึ่งเส้น


แค่มองแวบแรก หลิงม่อก็เข้าใจทันที


เส้นไหมสีเงินบนพื้นและบนตัวเฮยซือ อาจดูเหมือนกัน แต่ถ้าหากลองดึงเบาๆ ดูล่ะก็…


ปึ๊ด!


เส้นไหมสีเงินที่ขาดออกจากกันเกี่ยวอยู่บนนิ้วมือหลิงม่อ และสายตาที่หลิงม่อมองไปที่ “ผ้าพันคอ” ก็เปลี่ยนไปจากเดิม


ทั้งๆ ที่เป็นแค่ผ้าพันคอขนปุกปุย ที่บางครั้งอาจโผล่หัวเล็กๆ เท่านิ้วโป้งโผล่ออกมา แล้วเอียงคอมองหน้าผู้คนอย่างสงสัยแท้ๆ…


แต่ทำไมแกถึงได้ร้ายขนาดนี้!


เมื่อก่อนตอนได้ยินซย่าน่าบอกว่า ธาตุแท้ของเฮยซือก็คือสีดำ หลิงม่อไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว!


ยิ่งไปกว่านั้น แพะรับบาปก็คือตัวเขานี่เอง!


ไอเย็นแผ่จากปลายเท้ากระจายไปทั่วร่าง แต่ไม่นาน หลิงม่อก็พบว่าอวี๋ซือหรานไม่โวยวาย และไม่ขยับแล้ว…


“เป็น…เป็นอะไรไป?” หลิงม่อถามเสียงเบา


อวี๋ซือหรานเงียบไป 2 วินาที แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงเบิกกว้างจ้องมองมายังเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “นายรู้แล้ว”


ถึงหลิงม่อจะจิตแข็งยิ่งกว่านี้ แต่วินาทีนี้เขาก็อดใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มไม่ได้


น้ำเสียงนี้ สีหน้านี้ แล้วยังคำพูดนี้อีก…


ใครกันล่ะเนี่ย?!


“ได้โอกาสซักที ฉันรอมานานมากแล้ว…”


“อวี๋ซือหราน” ยังคงพูดต่ออย่างนิ่งๆ “ไอ้ร่างกายที่เหมือนของแถมนั่นจะทำให้ฉันพอใจได้อย่างไร…ถึงแม้ร่างนี้จะต้องใช้ร่วมกับยัยเด็กโง่นั่น แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีพลังมากพอ…เตี้ยไปหน่อยก็ไม่เป็นไร อวัยวะส่วนที่สำคัญมีขนาดใช้ได้ก็พอ…”


หลิงม่อปากอ้าตาค้างจ้อง “อวี๋ซือหราน” อย่างตกตะลึง ถ้าหากไม่ใช่ว่าสมองตื่นตัวเต็มที่ และรอบตัวก็ไม่มีคลื่นดวงจิตอื่นๆ อยู่ เขาคงคิดว่าตัวเองเห็นภาพลวงตาแล้ว!


สำเนียงการพูดนี้มัน…เฮยซือชัดๆ เลยนี่!


“เอาล่ะ ใกล้หมดเวลาแล้ว เรามาพูดสั้นๆ กันเถอะ ตอนนี้ฉันเพิ่งจะหลอมรวมกับเธอ ยังไม่มั่นคงมาก แต่หากคงสภาพนี้ไว้และก้าวข้ามวิวัฒนาการขั้นต่อไปได้ ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิม”


อวี๋ซือหราน…ไม่สิ เฮยซือส่งยิ้มทื่อๆ ให้หลิงม่อ แล้วบอกว่า “ความจริงฉันอยากทักทายนายมาตลอด แล้วฉันก็มีเรื่องสำคัญอยากพูดกับนายมานานแล้วด้วย”


“ว่ามาเถอะ…” หลิงม่อพยักหน้า


ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาด ถึงจะรู้ว่าเฮยซือได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับไปแล้ว แต่หลิงม่อไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันได้พูดคุยตัวต่อตัวกับเธออย่างนี้


แต่เสียงของเฮยซือฟังดูแปลกๆ เล็กน้อย เทียบกับซอมบี้ น้ำเสียงเธอแข็งกระด้างเหมือนหุ่นยนต์ และไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าซอมบี้เสียอีก


หลิงม่อกระทั่งไม่รู้สึกว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิต…


หรือพูดอีกอย่างคือ เธอเหมือนเป็นร่างดวงจิตบริสุทธิ์มากกว่าสิ่งมีชีวิต


“การต้องอยู่กับยัยเด็กบ้าที่มีพลังต่อสู้เป็น 0 แล้วยังอยากปิดบังเรื่องที่ตัวเองไม่มีพลังต่อสู้ด้วยการทำตัวเป็นผู้ชายคนนั้น ทำฉันแทบบ้า! ได้มาอยู่กับนายช่างเป็นเรื่องที่โชคดี นายคือเจ้านายในอุดมคติของฉันเลยนะ! ถึงจะป้อนอาหารไม่เร็วเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เอาแต่ลูบหัวฉันแล้วสั่งให้กลิ้งไปมาอยู่ทั้งวัน…อ้อ บอกอะไรไว้อย่าง ตอนนี้พลังต่อสู้ของฉันสูงกว่ามาตรฐานอีกนะ”


เฮยซือยืดอกอย่างภาคภูมิ เธอยกมือขึ้นข้างหนึ่งวางบนฝ่ามือหลิงม่อ ดวงตาเปล่งประกายสุกใสขึ้นมาทันที “เจอกันใหม่คราวหน้านะ”


“บาย…”


“เดี๋ยวๆๆ ฉันลืมอีกแล้ว ตอนนี้นายสามารถสื่อสารกับฉันผ่านกระแสจิตได้โดยตรงเลยนะ แต่เนื่องจากสมองของฉันไม่ใช่ของฉันแค่คนเดียว ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก ยังไงก็ทำเหมือนตอนนี้จะดีกว่า ยังไงฉันก็ไม่ใช่ร่างหลัก มีเวลาออกมาจำกัดในแต่ละวัน แต่ถ้าหากพยายามวิวัฒนาการต่อไปเรื่อยๆ ซักวันต้องกลายเป็นยอดซอมบี้สัตว์กลายพันธุ์ได้แน่ๆ พอถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องถูกจำกัดอย่างนี้แล้ว…”


เฮยซือพูดยาวเป็นพรวน แล้วทันใดนั้นร่างก็กระด้างแข็งไป ไม่นานสีหน้าก็ค่อยๆ กลับไปเป็นอวี๋ซือหราน


“เมื่อกี้ฉันพูดถึงไหนแล้วนะ? แล้วก็เฮยซือ อย่ามาแย่งร่างฉันตามใจชอบอย่างนี้สิ!” อวี๋ซือหรานโวย


“ที่แท้ก็เป็นพวกพูดมากสินะ…” หลิงม่อยังคงนิ่งอึ้ง


—————————————————————————–


บทที่ 687 ดวงตาที่ซ่อนอยู่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เมื่อกี้…” หลิงม่อพูดติดๆ ขัดๆ


“ไม่ใช่ภาพลวงตา” ซย่าน่าพูดต่อ


สามสาวซอมบี้พากันพยักหน้า เป็นการแสดงว่าเห็นด้วยกับที่เธอพูด


หลิงม่อทำหน้าเครียด “ถ้าอย่างนั้น…”


“ถูกต้อง ตอนนี้อวี๋ซือหรานกลายเป็นซอมบี้หนึ่งร่างสองดวงวิญญาณไปแล้ว…เอ๊ะ ไม่สิ สถานการณ์อย่างเธอน่าจะเรียกว่า…ดวงจิตสองดวงที่เป็นอิสระจากกันแต่ก็เกี่ยวพันกันด้วย พวกเธออยู่ในร่างกายหนึ่งพร้อมๆ กัน เหมือนกับอาหารบางประเภทของมนุษย์ อย่างเช่นขนมเกลียวหรือปาท่องโก๋ เพียงแต่กรณีของเธอไม่มีขั้วต่อ หรือจุดเชื่อมโยงที่แท้จริงเท่านั้นเอง…ฉันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนี้นะ?”


หลังพูดรวดเดียวจบ ซย่าน่าก็มองหลิงม่อด้วยสายตาเชิงขอความเห็น


“ไม่เสียชื่อที่เป็นเด็กเรียน…แต่การเปรียบเทียบของเธอมันแปลกๆ นะ…”


หลิงม่อยังพูดไม่ทันจบ ซย่าน่าก็หันหน้าไปทางอวี๋ซือหราน เธอยกมือจับคางทำท่าครุ่นคิด แล้วถามอย่างสนใจใคร่รู้ “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า เธอก็สามารถหันมาควบคุมร่างกายของเฮยซือได้ด้วยน่ะสิ?”


“ใครจะไปสนเรื่องนั้นกันเล่า!”


อวี๋ซือหรานทำหน้ารังเกียจ “วิวัฒนาการจนกลายสภาพเป็นตัวประหลาดอย่างนั้น ถึงจะบอกว่าเป็นสัตว์กลายพันธุ์ก็ไม่มีใครเชื่อหรอก! ถามหน่อยตอนนี้มีใครจำรูปร่างตอนแรกของมันได้บ้าง?”


“ฉันจำได้…” หลิงม่อพูด พลางทำหน้าเสียดาย


สุนัขยักษ์สุดเท่ห์ของเขา…


“ฉันจะกัดนาย!” อวี๋ซือหรานโวยลั่น


“ก็แค่อดนึกถึงอดีตอันเจ็บปวดไม่ได้น่า” หลิงม่อบอก


“เรื่องของฉันตอนนี้ต่างหากที่น่าเจ็บปวดกว่า!”


อวี๋ซือหรานดึงชายเสื้อหลิงม่อ แล้วกระชากเขามาข้างหน้า ขณะที่กำลังคิดจะอ้าปากถามเสียงแข็ง เธอก็พบว่าองศามันแปลกๆ…


“นายคุกเข่าสิ!…เหอะ ไม่คุกเข่าก็ช่างปะไร! นายว่ามา ตอนนี้ฉันต้องทำยังไง! จะยังไงก็ช่าง มนุษย์ไส้กรอก ทั้งหมดเป็นความผิดของนายคนเดียว นายต้องรับผิดชอบ!”


“ฉันรับผิดชอบ?”


ความผิดบาปนี้คงขว้างไม่พ้นตัวแล้วจริงๆ…


“เอาล่ะ เธออยากให้ฉันชดใช้ยังไง?” หลิงม่อถาม พลางถอยหลังชิดกำแพง แล้วเริ่มปัดเศษฝุ่นบนร่างกาย


“แยกความคิดของพวกฉันออกจากกัน!” อวี๋ซือหรานเดินประชิดตามมาติดๆ


“ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะทำทุกวิธีทางเพื่อกินนายซะ!” เธอพูดกำชับส่งท้ายอย่างจริงจัง


เห็นชัดว่าวิวัฒนาการครั้งนี้ทำให้สติปัญญาของอวี๋ซือหรานสูงขึ้น ถึงแม้จะสูงไม่เกินเด็กวัย 12 ขวบ แต่ก็ถือว่าเริ่มมีพฤติกรรมของเด็กหัวรั้นขึ้นมาบ้างแล้ว


หลังจ้องหลิงม่อด้วยสายตาเย็นชาหลายวินาที อวี๋ซือหรานก็แค่นเสียงไม่สบอารมณ์ แล้วสะบัดผม “ฉันจะไปหาเสี่ยวป๋าย ไม่ต้องมาย้ำฉัน…เจ้ามนุษย์ทึ่มนั่นไม่มีทางเห็นฉันหรอก…”


หลังจากมองดูอวี๋ซือหรานเดินไปทางหน้าต่างแล้วดึงบานหน้าต่างออก จากนั้นก็กระโดดลงไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของหลิงม่อกลับเป็นแววตาครุ่นคิด


“เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้ว ฉันควรบอกข่าวร้ายกับเธอทีหลังดีไหมนะ?”


“ข่าวอะไรหรอ?” หลี่ย่าหลินถามอย่างอยากรู้


หลิงม่อลูบจมูกสองสามที แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนนี้เธอกลายเป็นหุ่นซอมบี้ของฉันไปแล้ว…”


ถึงแม้สายสัมพันธ์ทางจิตของหลิงม่อจะไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับดวงแสงแห่งจิตของอวี๋ซือหราน แต่ในเมื่อเฮยซือยังสามารถควบคุมร่างกายของเธอได้ หลิงม่อก็ย่อมทำได้เหมือนกัน


แต่เห็นชัดว่าอวี๋ซือหรานยังไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงสติหลุดไปนานแล้ว


“พอคิดอย่างนี้แล้วก็สงสารเธอขึ้นมาหน่อย ทั้งๆ ที่เป็นกายสังขารของตัวเองแท้ๆ แต่กลับอาจถูกคนอื่นมาสวมรอยแทนได้ทุกเมื่อ…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้


ฟึบ!


มู่เฉินที่กำลังวิ่งเหยาะๆ อยู่ในทางเดินเส้นหนึ่งพลันชะงักเท้ากึก แล้วหันไปมองประตูห้องด้านข้างที่เปิดแง้มไว้


เสี้ยววินาทีเมื่อกี้ เขารู้สึกเหมือนหางตาเหลือบไปเห็นเงาดำแวบๆ


หลังประตู มู่เฉินเห็นห้องที่ถือว่าดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กลับถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหนาเตอะทุกซอกทุกมุม


เขาเหลือบไปเห็นมุ้งลวดเก่าผุพังห้อยเฉียงอยู่บนหน้าต่าง พอลมพัดผ่านก็ลอยไหวไปมา


“ตาฝาดล่ะมั้ง…”


มู่เฉินจ้องมุ้งลวดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไปอย่างงงๆ


“ถ้าอย่างนั้น…จะช่วยเธอยังไงล่ะ?”


พอได้ยินคำถามของหลี่ย่าหลิน หลิงม่อก็ละสายตาออกจากหน้าต่าง “เรื่องนี้ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะ…”


“แล้วทำไมต้องเก๊กท่าเหมือนกำลังทอดสายตามองที่ไกลๆ เพื่อใช้ความคิดด้วยล่ะ…” ซย่าน่าค่อนแคะ


“ฉันเองก็มีคำถามอยู่เต็มหัวเหมือนกันนะ…ฉันจำได้ว่าก่อนที่เฮยซือจะกลายพันธุ์หน้าตาของมันดูไสซื่อมาก ทำไมพอกลายพันธุ์แล้วกลายเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่นิสัยแย่และเจ้าเล่ห์ไปได้ล่ะ! เกิดอะไรขึ้นในระหว่างนี้กันแน่?” หลิงม่อยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว แล้วถาม


“ไปถามเชื้อไวรัสสิ…” ซย่าน่าเบนหน้าไปอีกทางเงียบๆ


“พออวี๋ซือหรานปรากฏตัวก็ถูกเธอหมายตาเข้าทันที เดาว่าน่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นสินะ ที่เป้าหมายของเธอไม่ได้หยุดอยู่แค่การหาร่างร่วมที่แข็งแกร่งเท่านั้น…เธอจงใจวางแผนแย่งร่างตั้งแต่แรกแล้ว! อีกอย่าง…ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเธอเลือกอวี๋ซือหรานเป็นพิเศษ เพื่อแก้แค้นป้านเยว่?”


ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวกับเฮยซือ หลิงม่อก็อดที่จะคิดเชื่อมโยงกับแผนชั่วร้ายไม่ได้


“ไปถามเธอสิ…” ซย่าน่ายังคงเบนหน้าไปอีกทาง


“แต่สิ่งที่น่ายินดีคือ ดูจากสภาพดวงแสงแห่งจิตแล้ว อย่างน้อยเฮยซือก็จะไม่มีทางกลืนกินอวี๋ซือหราน และยึดครองร่างของเธอโดยสมบูรณ์แน่นอน…


หลิงม่อหลับตาช่วงสั้นๆ เพื่อผ่อนคลายประสาทที่ตึงเครียดมาตั้งแต่เมื่อกี้


บอกตามตรง ถึงแม้จะรู้มานานแล้วเฮยซือไม่ใช่สัตว์กลายพันธุ์ธรรมดาอีกต่อไป แต่พอได้พูดคุยกับเธอด้วยตัวเอง ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้


โลกของเชื้อไวรัส ช่างเต็มไปด้วยเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ…


ตุ้บ!


อวี๋ซือหรานทิ้งตัวลงบนพื้นเบาๆ พร้อมเก็บเส้นไหมสีเงินกลับมา


เธอมองซ้ายมองขวา แล้วมองไปทางกลุ่มควันโขมงที่อยู่ห่างออกไป


“เสี่ยวป๋าย?”


อวี๋ซือหรานขานเรียกเสียงเบา พลางเลือกเดินไปยังเส้นทางหนึ่ง


แต่เพิ่งจะเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว จู่ๆ ซอมบี้โลลิก็ชะงักไป


เธอยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน แต่กลับกลอกลูกตามองไปด้านข้าง


ในครรลองสายตา นอกจากกำแพงสกปรกและถนนวังเวง ก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีก


เธอยืนนิ่งในท่าเดิม ในขณะที่เส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่งเลื้อยตามแนวแผ่นหลังของเธอลงไป จากนั้นก็เลื้อยตามพื้นมุ่งหน้าไปข้างหลังราวกับงูพิษ


เส้นไหมสีเงินเส้นนั้นหลบเลี่ยงเศษเสื้อผ้าเก่าขาดๆ บนพื้นอย่างคล่องแคล่ว แล้วมุดเข้าไปใต้ซากรถยนต์อย่างเงียบงัน จากนั้นก็เลื้อยไปยังมุมหนึ่งของกำแพง


อวี๋ซือหรานกำลังใช้หางตาจ้องเงามืดตรงนั้น หากมองด้วยตาเปล่า จะเห็นว่าตรงนั้นมีเพียงถังขยะเก่าๆ สนิมเขรอะอยู่ใบเดียว


แต่เมื่อกี้ อวี๋ซือหรานกำลังรู้สึกชัดเจนว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมาที่ตัวเอง


เส้นไหมสีเงินเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า มันเลื้อยขึ้นบนถังขยะ จากนั้นก็พันรอบตัวถังขยะ…


แกร๊ก!


เมื่อเสียงวัตถุแตกหักดังเบาๆ ถังขยะใบนั้นก็บิดเบี้ยว และเอียงไปเอียงมาเหมือนตุ๊กตาล้มลุกทันที


และแทบจะในเวลาเดียวกัน อวี๋ซือหรานที่กำลังยืนนิ่งอยู่กับที่ก็หันขวับกลับไป แล้วจ้องเขม็งเข้าไปยังในเงามืดนั้น


ถังขยะเอียงไปเอียงมาพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ แต่ด้านหลังนั่น กลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย…


อวี๋ซือหรานกระพริบตาปริบๆ “แปลกจัง…”


หลังจากยืนอยู่ที่เดิมอีกสักพัก แล้วเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วจริงๆ อวี๋ซือหรานจึงเม้มปาก แล้วหมุนตัวเดินจากไป


ทว่าในขณะที่เธอหมุนตัว เงามืดตรงนั้นกลับปรากฏระลอกคลื่นเบาๆ


ผิวกำแพงราวกับกำลังบิดเบี้ยว แล้วทันใดนั้นดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น


ดวงตาคู่นี้มีม่านตาสีม่วงดูน่าพิศวง มันกำลังจ้องอวี๋ซือหรานอย่างไม่ยอมขยับไปไหนอยู่บนกำแพงอัน “บิดเบี้ยว”


ในมุมมองสายตาลึกลับคู่นี้ แผ่นหลังของอวี๋ซือหรานก็กำลังบิดเบี้ยวเหมือนระลอกคลื่น และเลือนรางไม่ชัดเจนด้วยเช่นกัน เหมือนมันกำลังดำน้ำ เพื่อแอบมองสถานการณ์บนฝั่ง…


“ไม่คิดเลยว่าจะมีแบบนี้ด้วย น่าประหลาดใจสุดๆ เลยนะเนี่ย! ฮ่าๆๆๆๆๆ…คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีของดีที่ไม่ได้อยู่ในแผนด้วย…รีบร้อนไม่ได้ จะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาด…รอให้ย่อยอาหารหมดก่อน แล้วค่อยจัดการดีกว่า…วางใจ ฉันไม่มีทางปล่อยพวกแกไปแน่นอน…ในระหว่างนี้ก็ปล่อยให้พวกแกเติบโตกว่านี้ อร่อยกว่านี้…”


ประกายความชั่วร้ายฉายผ่านดวงตาคู่นี้ ผ่านไปไม่นาน ดวงตาคู่นี้ก็ดำลึกเข้าไปในระลอกคลื่นบนผิวกำแพงอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง…


หลังพักผ่อนหนึ่งคืน อาการของสวี่ซูหานถือว่าคงที่ขึ้นมาก


เธอฟื้นตัวจนเกือบจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อคืนแล้ว แต่อารมณ์กลับสงบลงมาก


ทว่าขณะที่เธอกำลังจะหันไปหยิบปืนไรเฟิลเก็บเสียงตามความเคยชิน ปืนของเธอกลับถูกมู่เฉินแย่งไปก่อน


“ฉันเองๆ” มู่เฉินยิ้มเอาใจ


เขายิ้มแป้น แต่จู่ๆ ก็มีเงาสีดำเงาหนึ่งหล่นวูบตรงหน้า แล้วเขาก็รู้สึกหนักอึ้งที่แขนทันที


ซย่าน่าเดินผ่านเขาไป แล้วพูดโดยไม่หันมามองว่า “ถ้าอย่างนั้นกระเป๋าใบนี้ก็ฝากนายด้วยแล้วกัน ข้างในมีแต่ของมีค่า อย่าทำหล่นล่ะ”


“ในเมื่อมีค่าแล้วยังจะโยนให้ฉัน…โถ่เว้ย! ฉันมาเป็นครูฝึก ไม่ใช่เบ๊นะโว้ย!”


แต่การคัดค้านของเขาจะมีประโยชน์อะไร…มู่เฉินแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เดินรั้งท้ายขบวนลงไปชั้นล่างอย่างทุลักทุเล


สวี่ซูหานเดินข้างซย่าน่า ในใจแอบคิดไปว่าสัดส่วนของกลุ่มนี้ช่างแปลกจริงๆ


ซอมบี้สาวสามตัว มนุษย์สองคน แล้ว แล้วยังมีคนที่อยู่ระหว่างมนุษย์กับซอมบี้อย่าง…


และในกลุ่มนี้ ก็มีเพียงมู่เฉินคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย


ยิ่งไปกว่านั้น เขายังคิดว่าสวี่ซูหานคือคนที่อันตรายที่สุด ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าซอมบี้สาวสามตัวที่เดินอยู่ข้างหน้านั่น ล้วนสามารถฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ


“การไม่รู้ถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน…” สวี่ซูหานลอบถอนใจ


พอคิดได้ว่าไม่ช้าก็เร็วอย่างไรตัวเธอก็ต้องกลายพันธุ์อยู่ดี เธอก็เริ่มสนใจเรื่องของพวกเย่เลี่ยนขึ้นมา


สังเกตการณ์ไว้ล่วงหน้า ยังไงก็ดีกว่ามืดแปดด้านเมื่อประสบปัญหา…


ทว่าคนที่เธอสนใจอย่างแท้จริง กลับเป็นหลิงม่อ…


ปฏิกิริยาที่มู่เฉินแสดงออกต่อซอมบี้ ถึงจะเรียกว่าเป็นท่าทางของคนปกติทั่วไป


แต่หลิงม่อล่ะ?


สวี่ซูหานมองหลิงม่อด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ตอนนี้เขากำลังก้มหน้าคุยอะไรบางอย่างกับเย่เลี่ยน รอยยิ้มมุมปากนั่นดูทั้งจริงใจและผ่อนคลาย…


“ในเมื่อพวกนายเคลียร์เส้นทางเสร็จแล้ว ก็แสดงว่าวันนี้เราจะออกจากอำเภอซินหลาน ไปเมืองเฮยสุ่ยแล้วใช่ไหม?”


“ก็ประมาณนั้น…” หลิงม่อเพิ่งจะตอบออกไป แต่จู่ๆ กลับลังเลขึ้นมาชั่วขณะ


ก่อนหน้านี้ตอนที่สู้กับซอมบี้นก เขารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ…


“ยังไงก็แวะไปดูที่เมืองชุ่ยหูหน่อยแล้วกัน” หลิงม่อเปลี่ยนใจ


“ทำไมเล่า!” มู่เฉินโวย ไม่เคยคาดเดาได้เลยจริงๆ ว่าในสมองของเจ้าบ้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่!


“ก็แค่ผ่านทางเลยแวะ…” หลิงม่อตอบส่งๆ


“นั่นมันต้องเดินอ้อมหลายสิบลี้เลยนะโว้ย!” (ลี้ มาตราวัดระยะทางของจีน 1 ลี้ ยาวประมาณครึ่งกิโลเมตร)


—————————————————————————–


บทที่ 688 ถ้าฉันทนต่อไปไม่ไหวก็เป็นเพราะนาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เคร้งคร้างๆ…


แผ่นเหล็กสีดำเกรียมแผ่นหนึ่งหล่นลงมาจากซากอาคารผุพัง แล้วกลิ้งมาหยุดอยู่ข้างเท้าหลิงม่อ


หลิงม่อยืนอยู่ที่เดิม แล้วมองไปที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งยังคงถูกกลุ่มควันโขมงปกคลุมอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก


คิดไม่ถึงว่าไฟจะลุกลามไปจนเกือบครึ่งถนน ผ่านไปหนึ่งคืนเต็มๆ ที่ท้องฟ้าบริเวณนั้นสว่างไสวเพราะเปลวเพลิง


จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่าง ระดับความรุนแรงของไฟถึงได้ค่อยๆ ลดลง


ถึงแม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่พอหลิงม่อพาทุกคนมาถึงที่นี่ แล้วเห็นสภาพที่เกิดเหตุ เขาก็ยังตะลึงกับถาพที่เห็นอยู่ดี


“ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย…” หลิงม่อยกมือตบหน้าผาก แล้วพูดขึ้น


ไฟไหม้รุนแรงขนาดนี้ กอปรกับซอมบี้ทั่วทั้งเมืองถูกล่อมาที่นี่หมด ไม่ว่าซอมบี้นกจะตายหรือไม่ตาย ตอนนี้ก็คงไม่มีทางหาศพมันเจอแล้ว


“ทำไม เสียดายก้อนนางพญาหรอ?” เสียงซย่าน่าดังมาจากด้านข้าง


หลิงม่อหันไปมองเธอ แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “ก็ใช่น่ะสิ ระดับซอมบี้ราชาเชียวนะ…”


“มีโอกาสได้โชว์สกิลการตั้งชื่อกากๆ อีกแล้วสินะ…แต่ว่า ถึงก้อนนางพญาจะสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพี่กับพี่เย่เลี่ยนรอดมาได้อย่างปลอดภัยนะ ดังนั้นก็อย่าเสียใจมากนักเลย” ซย่าน่าเอียงคอแล้วยิ้มบางให้เขา


“ก็ใช่…” หลิงม่อเองก็ยิ้มตอบ


หลังจากอัพเกรด ดูเหมือนว่าด้านที่มีความเป็นมนุษย์ของซย่าน่าจะแสดงออกมามากว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย…


“อีกอย่าง ไวรัสนางพญาความบริสุทธิ์สูงขนาดนี้ปรากฏขึ้น คิดว่าจะมีซอมบี้ธรรมดาตัวไหนที่มีปัญญากินจริงๆ หรอ? ถึงจะกลืนลงไปแล้ว แต่ก็ต้องถูกตัวอื่นๆ ผ่าท้องควักออกมาแน่นอน”


ท่าทางของซย่าน่าเปลี่ยนไปทันทีใน 1 วินาทีต่อมา น้ำเสียงที่พูดออกมาก็กดต่ำลง


หลิงม่อนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เปลี่ยนอารมณ์เร็วเกินไปหน่อยไหม…


ทว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่คำพูดของซย่าน่า พอลองคิดดูดีๆ ก็เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ…


“ซอมบี้ในอำเภอนี้ คงจะมีไม่น้อยสินะ? แต่ตัวที่ระดับสูงจริงๆ กลับมีมันแค่ตัวเดียว เห็นได้ชัดว่า หากมีซอมบี้ระดับสูงหน่อยถือกำเนิดขึ้น ซอมบี้เหล่านั้นก็จะกลายเป็นอาหารของมันไปโดยอัตโนมัติ บวกกับซอมบี้ระดับปานกลางเหล่านั้นก็ถูกพวกเราฆ่าหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ก็เท่ากับว่า ในฝูงซอมบี้ของเมืองนี้ ไม่มีซอมบี้ตัวไหนสามารถกลืนนางพญาก้อนนั้นลงท้องไปได้”


“ดังนั้นเป็นไปได้มากว่า เจ้าซอมบี้ราชาตัวนี้ อาจจะยังไม่ตาย”


หลังจากวิเคราะห์เสร็จสรรพ ซย่าน่าก็หันไปขยิบตาให้หลิงม่ออย่างซุกซน


หลิงม่อมองซย่าน่าอย่างอึ้งๆ หลังทิ้งสัญชาตญาณมนุษย์ไป ซย่าน่าก็ฉลาดหลักแหลมขึ้นมาก ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าตอนที่เป็นมนุษย์ซย่าน่าไม่ฉลาด แต่นิสัยที่ชอบคิดถึงคนอื่นมากไป มักส่งผลให้เธอเลือกทำอะไรโง่ๆ ในความคิดหลิงม่อ


ตอนนี้หลังจากกลายเป็นซอมบี้ บุคลิกทั้งสองเติมเต็มซึ่งกันและกัน จนทำให้เธอสมบูรณ์แบบมากขึ้น


อย่างน้อยเธอก็มีความสามารถในการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยมมาก ตอนเกิดเรื่องเธอยังอยู่ในสภาวะไม่มั่นคง ถึงมีหลายเรื่องที่เธอไม่ได้เจอกับตัวเอง แต่หลังจากได้ยินหลิงม่อเล่าคร่าวๆ เพียงหนึ่งรอบ ประกอบกับเห็นที่เกิดเหตุ เธอก็สามารถวิเคราะห์อะไรออกมาได้มากมาย


สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอไม่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์ ไม่เหมือนหลิงม่อที่กำลังหงุดหงิดกับเรื่องนี้


“ฟังดูมีเหตุผลมาก…น่าเสียดายจริงๆ ความสามารถในการอำพรางตัวของซอมบี้ราชาร้ายกาจมาก ยากที่จะเป็นฝ่ายตามหาเจอ เดาว่าหลังได้รับบาดเจ็บคงจะยิ่งซ่อนตัวอย่างมิดชิดกว่าเดิม” หลิงม่อพูดอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย


“ถ้ามันยังไม่ตายจริงๆ มันไม่ปล่อยพี่ไปแน่นอน วางใจเถอะ”


ซย่าน่าพูดพร้อมหัวเราะ


“ประโยคนี้ไม่ว่าฉันจะตอบยังไงก็คงดูแปลกอยู่ดีสินะ…” หลิงม่อหางตากระตุก


พอเห็นหลิงม่อกับซย่าน่าเดินกลับมาจากแนวกำแพงผุพังด้านหน้านั่น พวกมู่เฉินที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆ ก็รีบเดินเข้าไปสมทบ


“เป็นไงบ้าง?” มู่เฉินถาม


“ข้างหน้ามีแต่ซอมบี้ เดินไปทางนี้ต่อไม่ได้แล้ว แต่ข่าวดีก็คือซอมบี้เกือบทั้งหมดในเมืองนี้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราสามารถเดินออกไปได้อย่างสง่าผ่าเผย” หลิงม่อพูดีรวบรัดตัดความ


“นี่คือวิธีเคลียร์เส้นทางของพวกนายสินะ? ไม่เลวจริงๆ” มู่เฉินกล่าวชม


“ใช่แล้ว…” หลิงม่อยิ้มรับคำชม


ถือเป็นผลพลอยได้อย่างหนึ่ง หลังจากที่ทุกคนเดินออกจากพื้นที่นั้นอย่างระมัดระวัง พวกเขาก็เข้าสู่ “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ไม่มีซอมบี้เลยซักตัวเดียว


มู่เฉินที่เอาแต่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เริ่มติดใจการเดินกลางถนนเข้าแล้ว เหลือก็แต่ไม่ได้ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นเท่านั้น


หลังจากแน่ใจว่าเสี่ยวป๋ายและอวี๋ซือหรานยังคงเดินตามมาอย่างปลอดภัย หลิงม่อเองก็รู้สึกคลายใจเหมือนกัน


ถนนที่ทอดยาวมองไม่เห็นปลายทาง แต่กลับไม่มีเงาของซอมบี้แม้แต่ตัวเดียว ความรู้สึกที่สามารถเดินเหินได้อย่างสบายใจไม่ต้องคอยระวังตัวอย่างนี้ เป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ


ทว่ามีเพียงอำเภอเล็กๆ อย่างซินหลานเท่านั้นที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ หากเป็นเมืองใหญ่อย่างเมือง X ซอมบี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เจอ


“ไม่รู้ว่านิพพานสาขาใหญ่จะเป็นยังไง…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้


เย่เลี่ยนก้าวข้ามแล้ว เหล่าซอมบี้สาวและสัตว์กลายพันธุ์ก็ได้รับการอัพเกรดกันถ้วนหน้า ตอนนี้หลิงม่อถือว่ามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นไม่น้อย


การได้สัมผัสกับคนของนิพพานในหลายครั้งที่ผ่านมา ทำให้หลิงม่อสนใจในความลึกลับและพลังของคนกลุ่มนี้มาก


องค์กรประเภทนี้ จะตั้งรากฐานอยู่ในที่แบบไหนกันนะ?


เขาเอื้อมมือไปลูบกระเป๋าเป้บนหลังตัวเอง ในใจคิดไปถึงสมุดโน๊ตเล่มนั้นอีกครั้ง


แล้วคนที่เขียนบันทึก…เป็นคนแบบไหนกันนะ…


“ใช่แล้ว” จู่ๆ สวี่ซูหานที่ไม่ค่อยพูดมาตลอดทางก็เปิดปากอย่างลังเลเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวช่วยหาร้านเสื้อผ้าให้หน่อยได้ไหม…”


พูดไป เธอก็กระตุกเสื้อตัวนอกที่ขาดวิ่นของตัวเองให้ดูอย่างกระอักกระอ่วน


ในระหว่างที่สติอยู่ในสภาวะไม่มั่นคงเธอข่วนเสื้อผ้าตัวเองจนขาดเกือบทั้งตัว แล้วคนพวกนี้ก็ยังคิดจะให้เธอเดินไปจนถึงสำนักงานใหญ่ในสภาพนี้เนี่ยนะ!


ทั้งที่เห็นแต่ก็ทำเป็นไม่เห็นกันหมด?!


ซอมบี้สาวสามตัวไม่มีความรู้ทั่วไปก็แล้วไป เจ้าทึ่มมู่เฉินก็คงจะไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้…


สวี่ซูหานมองหลิงม่อด้วยสายตาที่ทั้งอายและโกรธ พลางยกมือขึ้นจับคอเสื้อตัวเองและกระแอมเบาๆ


“ใช่สิ เสื้อผ้าฉันก็ใกล้หมดสภาพเต็มทีแล้วเหมือนกัน…” หลิงม่อตบเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองสองสามที แล้วพูดขึ้น


“หมดสภาพบ้านนาย…ฉันไปรู้จักตาโง่นี่ได้ยังไงกันนะ!” สวี่ซูหานกัดฟันกรอด ดวงตาสีแดงพลันเข้มขึ้นเล็กน้อย เธอคิดว่าหากจะมีอะไรที่ทำให้ตัวเธออดกลั้นไม่ไหวก่อนจะไปถึงสำนักงานใหญ่ ก็คงจะเป็นเพราะโดนเจ้าคนเลวนี่ยั่วโมโหจนอกแตกตายแน่นอน…


“แต่ว่าถนนสายนี้เป็นเขตชายแดนของซินหลานและชุ่ยหูแล้ว จะมีร้านเสื้อผ้าได้ยังไงล่ะ…ถึงชุ่ยหูแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” หลิงม่อพูด พลางโยนเสื้อนอกให้สวี่ซูหานตัวหนึ่ง “ใส่แก้ขัดไปก่อน”


สวี่ซูหานรับไว้ พร้อมกับใบหน้าที่แดงซ่านเล็กน้อย


เมื่อกี้ยังแอบด่าเขาในใจอยู่เลย…


“ขอบใจ” สวี่ซูหานพูดเสียงเบา


“ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงก็จะเปลี่ยนอยู่พอดี” หลิงม่อพูดอย่างใจกว้าง


“…” สวี่ซูหานกัดริมฝีปากล่าง ท่าทีของหลิงม่อ เหมือนไม่ได้มองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ…


ไม่รู้ทำไม จู่ๆ สวี่ซูหานก็นึกไปถึงภาพที่เห็นบนบันไดในตอนนั้น


เย่เลี่ยนก้มหน้า ส่วนหลิงม่อก็กระเถิบเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างข้างหูเธอ สีหน้าอ่อนโยนในตอนนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับจากหลิงม่อเลยซักครั้ง…


สายตาอย่างนั้นของหลิงม่อ เกิดขึ้นแค่เวลาที่อยู่กับพวกเย่เลี่ยนเท่านั้น


“ในสายตาเขา ซอมบี้คงไม่ต่างอะไรกับคนล่ะมั้ง?” พอคิดอย่างนี้ จู่ๆ สวี่ซูหานก็หายโกรธทันที


หากเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ตัวเธอจะกลายพันธุ์ไป อย่างน้อยก็ยังมีอดีตเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่รังเกียจและมองว่าตัวเธอเป็นสัตว์ประหลาด


ส่วนมู่เฉินนั้น…แค่คิดถึงท่าทางช็อกตาเหลือกของเขา สวี่ซูหานก็กลอกตาขาวทันที


ถ้าต้องกินใครซักคนจริงๆ ยังไงเธอก็ไม่มีทางกินเขาหรอก!


ทุกคนเดินๆ หยุดๆ มาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่า จนในที่สุดก็เข้าสู่เขตเมืองชุ่ยเหอ


ระหว่างทางมีซอมบี้ปรากฏตัวบ้างประปราย เดิมคิดว่ามีจำนวนไม่มากฆ่าทิ้งให้หมดก็สิ้นเรื่อง แต่ทันทีที่ลงมือพวกเขากลับพบว่าซอมบี้เหล่านี้แกร่งกว่าซอมบี้ธรรมดาในเขตเมืองอื่นมาก


ถึงแม้ซอมบี้เหล่านี้จะยังจัดว่าอยู่ในระดับล่างของฝูงซอมบี้ แต่เห็นได้ชัดว่าสัญชาตญาณและพรสวรรค์ของพวกมันเหนือกว่าซอมบี้เขตอื่นๆ ไปหนึ่งขั้น


ปฏิกิริยาแรกหลังจากที่พวกมันเจอเหยื่อไม่ใช่กระโจนเข้าใส่ แต่เป็น…ส่งเสียงคำราม!


เสียงคำรามกึกก้องของพวกมันดังออกไปในรัศมีวงกลมหลายร้อยเมตร และถ้าหากบวกกับความสามารถในการได้ยินของซอมบี้ พวกที่อยู่ไกลออกไปหน่อยก็สามารถถูกดึงดูดเข้ามาได้เหมือนกัน


เริ่มแรก พวกหลิงม่อแทบรับมือไม่ทัน เพราะกว่าหนวดสัมผัสของหลิงม่อจะแทงทะลุร่างซอมบี้หญิงตัวนั้น เสียงคำรามของมันก็ดังขึ้นมาแล้ว


ซอมบี้ตัวอื่นๆ พากันกระโจนออกมาจากซอกหลืบต่างๆ แล้วเริ่มส่งเสียงคำรามกันต่อไปเป็นทอดๆ เหมือนคลื่น


“บ้าเอ๊ย แม่เอ็งเป็นนักร้องวงประสานเสียงรึไงวะ!”


มู่เฉินยกปืนขึ้นเล็งเพื่อป้องกันตัวอย่างระมัดระวัง


พอถึงเวลาเอาจริง เขาก็สงบนิ่งได้เหมือนกัน


หลิงม่อฆ่าซอมบี้ที่กระโจนเข้ามาตรงหน้าติดกันหลายตัวแล้ว ทุกคนสู้ไปด้วย ก้าวถอยไปด้วย จนกระทั่งเข้าใกล้อู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งที่อยู่ริมถนน


ซอมบี้บนถนนก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพอพวกมันเห็นซอมบี้ตัวก่อนๆ ถูกฆ่าตาย ก็เริ่มเรียนรู้อย่างรวดเร็ว พวกมันไม่รีบกระโจนเข้ามา แต่กลับค่อยๆ เดินล้อมเข้ามาเป็นวงกลม


หลิงม่อสังเกตศพเหล่านั้นแวบหนึ่ง แล้วก็ค้นพบว่าซอมบี้ส่วนใหญ่กลับไม่มีอาการคึกกว่าปกติแต่อย่างใด


“มีอย่างนี้ด้วย…”


หลิงม่อขมวดคิ้วและจัดการซอมบี้อีกหนึ่งตัว จากนั้นก็รีบถอยเข้าไปในอู่ซ่อมรถท่ามกลางเสียงเร่งเร้าของมู่เฉิน


มู่เฉินและสวี่ซูหานที่เตรียมตัวไว้แล้วรีบดึงประตูม้วนลงพร้อมกันอย่างรวดเร็ว


แม้ว่าประตูม้วนบานนี้จะขึ้นสนิมจนฝืดไปนานแล้ว แต่คนที่ดึงประตูลงต่างไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อเสียง “โครม” ดังขึ้น แสงสว่างจากภายนอกก็ถูกสกัดกั้นไว้หลังบานประตูทันที


“ประตูนี่ทำได้แค่บดบังการมองเห็นของพวกมันได้ชั่วคราวเท่านั้น รีบออกไปทางข้างหลังกันเถอะ” มู่เฉินเร่ง


โดยปกติ อู่ซ่อมรถอย่างนี้มักจะมีลานจอดรถติดอยู่ด้วย ประตูด้านหน้าส่วนมากจะเป็นห้องรับรอง หลิงม่อไม่คุ้นเคยกับสถานที่อย่างนี้เท่ามู่เฉิน จึงเดินแผ่หนวดสัมผัสคุ้มกันอยู่ท้ายสุด


“ทางนี้! เมื่อก่อนฉันชอบมาซ่อมรถในอู่แบบนี้บ่อยๆ…” ขณะนำทาง มู่เฉินมิวายอวดตัวเอง


“มีรถมีบ้าน เมื่อก่อนชีวิตไม่เลวเลยนี่…” หลิงม่อพูดโดยไม่คิดอะไรมาก


“แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เหลือ 0 …” ซย่าน่าพูดต่อ


มู่เฉินเกือบกัดลิ้นตัวเอง เขาหันกลับไปมองซย่าน่าด้วยสีหน้าเจ็บปวด


“ทำไม? เมื่อก่อนฉันมีบ้านพักตากอากาศเชียวนะ รอดมาได้ก็บุญแล้ว จะคิดถึงเรื่องเมื่อก่อนเพื่ออะไร” ซย่าน่าแค่นเสียงเบาๆ แล้วพูดขึ้น


“ต้องใจร้ายกันขนาดนี้เลยหรอ? ฉันอุตส่าห์นึกว่าในที่สุดก็หาความเชื่อมันในตัวเองกลับคืนมาได้บ้างแล้ว…” มู่เฉินพูดอย่างเหนื่อยหน่าย


ทุกคนเดินไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เสียง “ปึงปังๆๆ” ดังต่อเนื่องมาจากบานประตูม้วน


—————————————————————————–


บทที่ 689 นายคิดว่าฉันจะช่วยนายทำลายความทรงจำวัยเด็กหรอ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซอมบี้ธรรมดาพวกนั้นไม่รู้วิธีเปิดประตู แต่แค่มีพลังทำลายล้างสูงก็เพียงพอแล้ว


“แกร๊ก” เสียงบานประตูหักดังขึ้น พร้อมกับเสียงคำรามของเหล่าซอมบี้ที่ดังก้องเข้ามาในตัวอาคาร


“ไปเร็ว!” มู่เฉินเร่งฝีเท้า เขารีบผลักประตูนิรภัยที่เปิดทิ้งไว้ออก


แสงสว่างจ้าพลันส่องเข้ามาข้างใน ขณะเดียวกันก็มีซอมบี้สองตัวกระโจนเข้ามา


มู่เฉินตกใจตามสัญชาตญาณ แต่การเคลื่อนไหวกลับว่องไว เขายืนขวางประตูแล้วรีบชักมีดออกมาแทงทันที


คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะยกมีดขึ้น จู่ๆ หน้าผากและท้องของซอมบี้สองตัวนั้นก็ถูกแทงทะลุเป็นรู


เคียวดาบของซย่าน่าพุ่งผ่านจากด้านข้าง เกี่ยวซอมบี้ตัวที่ยังไม่หมดลมขึ้น แล้วทุ่มร่างมันลงกับพื้นแรงๆ


ภาพน่าสะพรึงขวัญอย่างนี้หากไม่เห็นกับตา คงยากที่จะเชื่อว่าเป็นฝีมือของเด็กสาวอย่างซย่าน่า


มู่เฉินหันกลับไปมองหลิงม่อด้วยสีหน้าตกตะลึง แต่กลับเห็นหลิงม่อทำหน้าเรียบเฉย “ก็ฉันมีพลังสัมผัสรู้นี่…”


“เรื่องนั้นฉันรู้น่า…ถ้างั้นนายก็น่าจะเตือนกันก่อนเซ่!” มู่เฉินโวยลั่น


“ถ้ายังไม่ไปอีกจะทิ้งนายไว้คนเดียวแล้ว” ซย่าน่าชายตามองมู่เฉิน แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา


“กรร กรร!”


ซอมบี้สามสี่ตัววิ่งเข้ามาถึงทางเดินแล้ว พวกมันกำลังวิ่งพุ่งมาหาพวกหลิงม่อที่กำลังยืนอยู่ตรงทางออก


ในด้านความเร็วและพละกำลังของซอมบี้เหล่านี้ยังใกล้เคียงกับซอมบี้ธรรมดาที่หลิงม่อเคยเจอที่เขตอื่น แต่รูปแบบพฤติกรรมกลับแสดงออกถึงความฉลาดกว่าอย่างเห็นได้ชัด


หนึ่งในนั้นพอพุ่งตัวมาอยู่ข้างหน้า ก็ตวัดสายตามองไปทางสวี่ซูหานทันที


มันถอยไปชิดกำแพง เพื่อพยายามเดินผ่านเย่เลี่ยนที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้า


แม้ว่าเย่เลี่ยนจะเก็บซ่อนกลิ่นอายแล้ว แต่พลังของซอมบี้เจ้าเมืองไม่ใช่สิ่งที่สามารถปิดบังได้ ซอมบี้พวกนั้นจึงสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ


แน่นอน หลิงม่อกับมู่เฉินย่อมต้องเป็นเป้าหมายแรกในการโจมตี แต่ยังมีซอมบี้ชนชั้นสูงอย่างหลี่ย่าหลินและซย่าน่าคอยป้องกันอยู่อีกชั้น


ดังนั้นเป้าหมายที่ดูจัดการง่ายที่สุด ก็เหลือแต่สวี่ซูหานเท่านั้น


“นึกไม่ถึงว่าจะมีสติปัญญาขั้นพื้นฐานแล้ว…” หลิงม่อหันกลับไปมองในตัวอาคาร แล้วคิดในใจ


“ชิบ ช่วยเธอเซ่!” มู่เฉินหน้าถอดสีครั้งใหญ่ เขาตัดสินใจจะเลี้ยวกลับเข้าไปทันที


แต่เพิ่งจะย้อนกลับไปได้ก้าวเดียว เขาก็เห็นเย่เลี่ยนที่ตอนแรกเอาแต่ยืนเหม่ออยู่กับที่โฉบไหวร่างกาย และยกมือขึ้นคว้าต้นคอซอมบี้ตัวนั้นที่พยายามจะวิ่งผ่านเธอไปอย่างแม่นยำ จากนั้นก็เหวี่ยงร่างของมันใส่ซอมบี้ตัวอื่นๆ อย่างแรง


การโจมตีของเธอไม่เพียงทำให้พวกมันล้มระเนระนาด เพราะในสายตาของมู่เฉินกำลังสะท้อนภาพหยาดเลือดมากมายพุ่งกระฉูดอยู่กลางอากาศ


แล้วเย่เลี่ยนก็รีบหมุนตัวกลับมา พร้อมกับคว้าแขนสวี่ซูหานวิ่งออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว


“เมื่อกี้…” มู่เฉินทำหน้าช็อก ไม่เจอกันแค่วันเดียว ความเร็วและเรี่ยวแรงของเย่เลี่ยนล้วนเข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เรียกได้ว่าเหนือชั้นกว่าเดิมมาก!


แถมเมื่อกี้ถึงเธอจะดูเหมือนคว้าต้นคอได้สบายๆ แต่ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ซ้ำอีกฝ่ายก็ยังเป็นซอมบี้อีก เย่เลี่ยนคว้าต้นคอซึ่งถือเป็นส่วนที่ปลอดภัยอย่างแม่นยำได้ยังไงกัน?


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระเบิดซอมบี้ที่ถูกขว้างออกไปอย่างง่ายดายตัวนั้นเลย ซอมบี้สองสามตัวที่เหลือไม่ได้ยืนอยู่ในแนวเดียวกัน แต่กลับถูกขว้างจนล้มทุกตัว…


เซียนโบว์ลิ่งยังชิดซ้าย!


พอลองนึกถึงสีหน้าและปฏิกิริยาอันสงบนิ่งของหลิงม่อเมื่อกี้แล้ว เหมือนเขาจะเชื่อมั่นในตัวเย่เลี่ยนมาก


เป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นที่พวกเขาอยู่นอกสายตามู่เฉิน ในช่วงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !


“อย่าพูดมากน่า รีบๆ ไปเร็ว” หลิงม่อกระชากประตูนิรภัย แล้วรีบวิ่งไป


เสี่ยวป๋ายกับอวี๋ซือหรานไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อาศัยแค่เสี่ยวป๋ายตัวเดียวก็ยังเอาอยู่


เทียบกับพวกหลิงม่อ พวกเธอสามารถอำพรางกายได้ดีกว่าด้วยซ้ำ


หลิงม่อรู้ตัวว่ากลิ่นของตัวเองเป็นที่ดึงดูดของเหล่าซอมบี้ แต่ถ้าจะให้พกผ้าห่อศพติดตัวไว้กลบกลิ่นตลอดเวลา…เขาก็คงทำไม่ได้


ยิ่งพอมีมนุษย์จริงๆ อย่างมู่เฉินอยู่ด้วยแล้ว ถึงจะมีซอมบี้อยู่ในทีมเพิ่มอีกเท่าไหร่ ก็ไม่อาจหยุดยั้งการไล่ล่าได้


ด้านหลังมีลานจอดรถอยู่ตามคาด ไม่เพียงมีรถเบนซ์จอดอยู่เต็มไปหมด บนทางรถยังมีซากรถยนต์คันหนึ่งที่ถูกชนยับเยินจอดขวางไว้ตรงกลาง


พวกหลิงม่อเดินลัดเลาะผ่านรถยนต์เหล่านั้นเข้าไปตรงกลาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงลมแรงปะทะเข้ามาจากด้านข้าง


หลิงม่อโฉบกายหลบออกด้านข้างทันที มู่เฉินเองก็รีบหมอบลงอย่างรวดเร็ว


เงาดำตวัดผ่านด้านบนศีรษะ ตามมาด้วยเสียง “ปัง” ที่ดังขึ้น


เมื่อซากรถยนต์คันนั้นโยกเยกไปมาครู่หนึ่ง ทุกคนก็เห็นรูปร่างที่แท้จริงของเจ้าเงาดำนั่น


ซอมบี้ร่างใหญ่สวมชุดพนักงานซ่อมรถตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้น โดยถือคีมเหล็กไว้ในมือหนึ่งอัน


หลังคารถถูกแรงขณะทิ้งตัวของมันทำให้ยุบลงไป ตอนที่พวกหลิงม่อจ้องมองมัน ก็เห็นหน้าต่างรถแตกร้าวดัง “แคร่ก”


“แรงเยอะมาก…” มู่เฉินเห็นแล้วลำคอแห้งผาก โดยเฉพาะรูปร่างของซอมบี้ตัวนี้ ถึงแม้จะไม่น่ากลัวเท่าซอมบี้เจ้าเมืองที่เมืองตงหมิง แต่เขาคิดว่าไม่ควรดูถูกจะดีกว่า


พอคีมเหล็กอยู่ในมือของมัน กลับดูเหมือนเป็นของเล่นชิ้นเล็กๆ ไปเลย


“ประเด็นคือมันใช้อาวุธเป็นต่างหากเล่า…” หลิงม่อเองก็จ้องซอมบี้ตัวนั้นอย่างไม่ยอมละสายตาเหมือนกัน “นายว่ามันจะเห็นพวกเราเป็นเห็ดน้อยรึเปล่า?”


“อย่ามาทำลายความทรงจำในวัยเด็กของฉัน ฉันไม่มีทางตอบนายแน่” มู่เฉินกลอกตามองบน


หลิงม่อพูด พลางค่อยๆ แอบเหลือบมองไปข้างหลัง


ทางออกลานจอดรถอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ยังไม่เห็นซอมบี้โผล่มา แต่เดาว่าคงอีกไม่นาน


ถ้าหากถูกดักทั้งหน้าทั้งหลัง ลำพังแค่พวกหลิงม่อก็ยังเอาตัวรอดได้สบาย แต่ในการต่อสู้อันโกลาหลนี้ อาการของสวี่ซูหานคงจะแย่ลงมาก


ตอนนี้เธอกำลังซบไหล่เย่เลี่ยนอย่างอ่อนแรง และหายใจถี่ระรัวเพราะถูกกลิ่นเลือดกระตุ้น ดวงตาสองข้างจับจ้องไปที่ซอมบี้ร่างใหญ่อย่างเลื่อนลอย


“ไม่ต้องสู้กับมัน ล่อมันไปด้วยเลย” หลิงม่อตัดสินใจอย่างรวดเร็ว


“ล่อไปด้วย? พวกเราจะวิ่งเร็วสู้มันได้ไง!” มู่เฉินตะลึง


เขาเพิ่งจะพูดจบ ซอมบี้ร่างใหญ่ตัวนั้นก็กระโดดสูง พุ่งตัวเข้ามาข้างบนศีรษะพวกเขาอีกครั้ง


ขณะที่ตัวยังอยู่กลางอากาศ ซอมบี้ร่างใหญ่ก็ยกคีมเหล็กขึ้นสูง และเป้าหมายของมันคือศีรษะของมู่เฉิน


มู่เฉินไม่กล้าตั้งรับตรงๆ จึงรีบเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง


แต่พอซอมบี้ตัวนี้ทิ้งตัวลงพื้น คีมเหล็กในมือก็ถูกเหวี่ยงเข้ามาในแนวขวางอย่างไม่มีจังหวะหยุดพัก


“เคร้ง!”


มู่เฉินตั้งรับหนึ่งครั้ง แล้วเขาก็รู้สึกชาไปทั้งแขน


เป็นผู้มีความสามารถพิเศษยังขนาดนี้ ถ้าเป็นคนธรรมดา ถึงแม้จะมีความสามารถในการตอบสนองที่เร็วเหมือนกัน แต่ต้องมีกระดูกหักแน่นอน


“ทำไมมันจ้องเล่นงานฉันอีกแล้ววะ! มู่เฉินไม่คิดจะสู้ตาต่อตากับมันต่อ ทำได้เพียงหลบซ้ายเลี่ยงขวาอย่างน่าอนาถ


“ใครใช้ให้นายเกิดมาหัวโตล่ะ…” หลิงม่อตอบเสียงเรียบ แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนสั่งเสียงดัง “ไปทางซ้าย!”


มู่เฉินรีบโฉบหลบไปทางซ้าย ไม่นานเขาก็เห็นร่างกายของซอมบี้ร่างใหญ่ที่กำลังควงคีมเหล็กพุ่งตามมาหยุดชะงักไป แล้วหัวเข่าของมันมีเลือดพุ่งกระฉูดออกมา


พรวด!


เจ้าร่างใหญ่ล้มลงกับพื้น เปล่งเสียงครวญครางทันที


และไม่ต้องมีเสียงเตือนใดๆ มู่เฉินรีบเปิดแนบทันที


ทว่าพอเหลือบไปเห็นปืนไรเฟิลในมือเย่เลี่ยนแล้ว มู่เฉินอดรู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้


เมื่อกี้เป็นจังหวะที่เกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น เย่เลี่ยนเริ่มเตรียมพร้อมและจ้องหาโอกาสตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ทั้งที่ไม่กี่วินาทีก่อนยังเห็นเธอตัวติดกับสวี่ซูหานอยู่เลย…


คงไม่ใช่ในเสี้ยววินาทีที่หลิงม่อตะโกนบอกให้เขาไปทางซ้ายหรอกนะ…


ในขณะที่ทุกคนกำลังจะพุ่งตัวออกไปทางประตูใหญ่ ซอมบี้ร่างใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง


มันกะเผลกขาข้างหนึ่ง แล้วกระชับคีมเหล็กวิ่งตามมา ทว่าความเร็วของมันกลับลดลงไปมาก


“เฮ้ หัวหน้า มันกำลังเลือดไหลนะ พวกเราเอามันมาด้วยอย่างนี้ไม่เป็นการล่อซอมบี้ตัวอื่นมาด้วยหรอ?” มู่เฉินที่วิ่งหอบแฮ่กๆ อยู่ข้างหลิงม่อ ถามขึ้น


“ตัวนี้เป็นซอมบี้วิวัฒนาการ ซ้ำยังถึงช่วงกลางของระดับวิวัฒนาการแล้วด้วย มันแค่บาดเจ็บ แต่ยังมีรังสีอำมหิตอยู่ ซอมบี้ตัวอื่นอาจวิ่งตามมา แต่ไม่เข้ามาใกล้เกินไปแน่ๆ ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อเรา ยังไงก็ยังดีกว่าถูกพวกมันล้อม” หลิงม่ออธิบาย


มู่เฉินเริ่มเคยชินกับ “สารานุกรมความรู้ประจำวันเกี่ยวกับซอมบี้” ของหลิงม่อแล้ว สิ่งที่เขาสนใจคืออีกเรื่องหนึ่ง “ฟังดูไม่เลว แต่หลังจากนั้นล่ะ? ซอมบี้ที่ไล่ตามเราก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่รึไง!”


“ถ้ามีซอมบี้เยอะเมื่อไหร่ก็ฆ่ามันทิ้ง ศพซอมบี้ธรรมดาไม่สามารถทำให้พวกมันละทิ้งการไล่ล่าได้ แต่ศพของซอมบี้ระดับวิวัฒนาการนั้นไม่เหมือนกัน” ซย่าน่ายิ้มประหลาด พูดจบเธอก็แลบลิ้นออกมาเลียมุมปากเบาๆ


“แต่มันจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน?” มู่เฉินหันกลับไปมองอย่างกังวล


ซอมบี้ร่างใหญ่ตัวนั้นยังวิ่งไล่ตามมาอย่างไม่ยอมลดละ นอกจากนี้ความเร็วของมันก็ไม่ได้ช้าขนาดนั้น เมื่อใดที่พวกหลิงม่อหยุด ไม่กี่สิบวินาทีก็คงจะถูกไล่ตามทันแล้ว


ทว่าเข่าของมันถูกโจมตีจนเละหมดแล้ว มันวิ่งลากแข้งและฝ่าเท้าบิดๆ เบี้ยวมากับพื้น เหมือนมีแค่ผิวหนังที่เป็นตัวยึดให้ติดกันเท่านั้น


ตลอดทางที่วิ่งตามมา มันทิ้งรอยเลือดเป็นเส้นยาวไว้บนพื้นข้างหลัง ไม่เพียงเท่านั้น ในเลือดพวกนั้นยังมีเศษเนื้อเล็กๆ ปะปนอยู่ด้วย


“อย่าดูถูกความสามารถในการฟื้นตัวของซอมบี้” หลิงม่อบอก


สวี่ซูหานเองก็อดหันไปมองไม่ได้ หนึ่งเป็นเพราะแรงกระตุ้นจากกลิ่นเลือด สองเพราะจู่ๆ เธอเกิดความคิดประหลาดๆ ขึ้น…


มองดูสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้ว จู่ๆ เธอก็นึกตัวตัวเอง…


แข้งขาที่บิดเบี้ยวอย่างนั้นยังสามารถหายดีได้…แต่สิ่งที่เธอรู้สึกไม่ใช่ความดีใจ กลับเป็นหวาดกลัว!


ถึงแม้จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ และเธอก็เริ่มคุ้นเคยกับประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ไวเกินเหตุของซอมบี้แล้ว แต่ถ้าจะให้ยอมรับตัวตนใหม่อย่างการเป็นซอมบี้ สำหรับมนุษย์มันเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ…


หลังออกจากลานจอดรถไป ก็จะเห็นถนนหลวงอีกเส้นอยู่ด้านหน้า


หลิงม่อรีบวิ่งนำทุกคนไปยังทางเดินแคบๆ ซึ่งอยู่ระหว่างกลุ่มอาคารก่อสร้างอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพัก


มีซอมบี้พุ่งเข้ามาจากข้างหน้าบ้างเป็นครั้งคราว แต่หนวดสัมผัสของหลิงม่อที่รวมพลังสำรวจและพลังโจมตีไว้ในเส้นเดียว ก็ได้แสดงให้เห็นถึงพลังอันยอดเยี่ยมออกมาให้เห็น


ทุกครั้งที่มีซอมบี้โผล่มา และในขณะที่มู่เฉินหัวใจหล่นวูบ บนหัวของซอมบี้พวกนั้นก็จะมีรูแผลเหมือนถูกเจาะปรากฏขึ้น และล้มลงไปทั้งที่ยังไม่ทันได้อ้าปากด้วยซ้ำ


ในสภาพแวดล้อมแคบๆ อย่างนี้ ไม่มีทางที่ซอมบี้อีกตัวจะอ้าปากคำรามก้องทันทีที่ซอมบี้ตัวแรกถูกฆ่าทิ้งแน่นอน…


ซอมบี้ร่างใหญ่ที่ไล่ตามหลังมาดึงดูดซอมบี้มาได้เยอะตามคาด แต่ในทางเดินที่กว้างสุดไม่เกิน 3 เมตรอย่างนี้ พวกมันไม่สามารถวิ่งแซงมาโจมตีพวกหลิงม่อได้ แล้วก็ไม่กล้าเข้าใกล้ซอมบี้ร่างใหญ่มากไปด้วย ทำได้เพียงตามห่างๆ อยู่ข้างหลังต่อไป


ตอนแรกมู่เฉินยังหวาดระแวงอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ผลจริงๆ


การติดตามหลิงม่อ ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ถึงแม้เขาจะถูกรังแกมาไม่น้อยก็ตาม…


—————————————————————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม