จารใจรัก 68.2-71.2

ตอนที่ 68-2 หากพบอีกจะสังหาร

 

เสนาบดีฝ่ายขวาไตร่ตรองดูแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เขานวดคลึงหว่างคิ้ว “ตอนนี้เกิดอุทกภัยใหญ่ในหนานฉิน หลายพื้นที่ประสบภัย เดิมทีรัชทายาทเดินทางไปยังเมืองหลินอัน ตอนนี้กลับต้องติดอยู่ที่นั่นเพราะโรคห่าระบาด โดยปกติหากเกิดเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ย่อมไม่อาจหละหลวมได้ ทว่าฝ่าบาทกลับทรงผิดปกติไป มีพระบัญชาให้หยุดงานสามวัน เรื่องนี้ทำให้ทุกคนไม่เข้าใจ” พูดจบก็ยกมือปัด “ช่างเถอะ ในเมื่อเดาไม่ออกก็สังเกตสถานการณ์ไปก่อนแล้วกัน”


 


 


           หลี่มู่ชิงพยักหน้า


 


 


           “ยามนี้น้องสาวเจ้าน่าจะยังไม่เข้านอน เจ้าไปถามนางพร้อมกับข้าเถอะ เด็กคนนี้มีความคิดเป็นของตนเองมาตั้งแต่เล็ก บางทีอาจอาศัยจังหวะที่เราไม่ทันสังเกตกระทำบางสิ่งไปก็เป็นได้ ถึงอย่างไรนางก็ดื้อรั้น ทั้งชอบฉินเจิงมาตั้งหลายปี” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวอีก


 


 


           หลี่มู่ชิงครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ท่านพ่อไปถามเองเถิด ลูกว่าจะออกจากเมืองอีกรอบ”


 


 


           “หืม” เสนาบดีฝ่ายขวามองเขา


 


 


           “ข้าเป็นห่วงเซี่ยฟางหวา ช่วงนี้เกิดคดีขึ้นติดต่อกันในเมืองหลวง จากการตรวจสอบคาดว่าจะมุ่งเป้ามาที่นาง ตอนนี้นางออกจากเมืองไปกลางดึก หากมีคนประสงค์ร้ายกับนาง นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง แม้มีความสามารถอยู่บ้าง แต่กลัวว่าจะถูกวางแผนตลบหลัง” หลี่มู่ชิงถอนหายใจ


 


 


           “ฉินเจิงกับนางเป็นสามีภรรยากัน เขายังไม่ออกไปตามนาง แล้วเจ้าจะไปทำไม” เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินแล้วก็ไม่เห็นด้วย ขมวดคิ้วตั้งตรง


 


 


           “ตอนนี้ฉินเจิงกับนางไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว” หลี่มู่ชิงตอบ “พระราชโองการของฝ่าบาทออกมาแล้ว มีพระบัญชาให้ติดประกาศบอกใต้หล้าทุกหนแห่ง พรุ่งนี้เช้าทุกคนคงทราบเรื่องการหย่าร้างโดยทั่วกันแล้ว”


 


 


           “ถึงเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่อนุญาต!” เสนาบดีฝ่ายขวาบอกอย่างเด็ดขาด “ก่อนหน้านี้ตอนที่นางกับฉินเจิงเพียงข้องแวะกัน เจ้าเข้าไปร่วมแย่งชิงด้วย ข้าเห็นแก่ที่พวกเขาถอนหมั้นกันแล้ว จิตใจแห่งความริษยาต่างมีด้วยกันทุกคน ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อน รู้จักความรู้สึกเหล่านั้นดี ในเมื่อเจ้าชอบนางข้าก็เลยไม่ห้าม แล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจ แต่ตอนนี้สตรีที่ถูกหย่าร้างแล้วนั้นไม่เหมาะสมกับเจ้าอีกต่อไป เจ้าล้มเลิกความคิดนั้นเสียเถอะ”


 


 


           “ท่านพ่อ ท่านคิดอันใดเล่า ลูกมิได้มีความคิดเช่นนั้น แต่เพราะเคยบอกกับเซี่ยฟางหวาไว้ว่าหากนางมีเรื่อง ข้าจะปกป้องนางในฐานะพี่ชาย ยิ่งไปกว่านั้นข้ากับพี่จื่อกุยก็สนิทสนมกันดี ตอนนี้พี่จื่อกุยไม่อยู่ เกิดเรื่องกับนางเช่นนี้ข้าย่อมควรออกไปดู ไม่ควรนิ่งดูดาย วิญญูชนควรรักษาสัจจะ นี่เป็นสิ่งที่ท่านพ่อสอนลูกตลอดมา” หลี่มู่ชิงฝืนยิ้ม


 


 


           “เจ้า…” เสนาบดีฝ่ายขวาเถียงมิได้ ถลึงตามองหลี่มู่ชิง


 


 


           หลี่มู่ชิงคำนับต่อเขาอย่างลึกซึ้ง “ท่านพ่อโปรดอนุญาตลูกออกไปด้วยเถิด” หยุดเว้นช่วงแล้วกล่าวต่อ “ฉินเจิงไม่ยอมบอกสาเหตุที่จะสังหารน้อง หากข้าพบเซี่ยฟางหวา นางอาจบอกข้าก็เป็นได้ บางทีอาจแก้ไขปมนี้ มิฉะนั้นหรือว่าจะต้องให้น้องหลบหนีฉินเจิงไปตลอดชีวิตจริงๆ อยู่ในเมืองเหมือนกัน แม้น้องไร้เจตนานั้นแล้ว แต่จะหลบเลี่ยงอย่างไรเล่า แม้หลบได้เวลาหนึ่ง แต่จะหลบได้ไปตลอดชีวิตหรือ”


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนยกมือไล่ “ช่างเถอะ เจ้าเองก็พูดถูก เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ฟ้ามืดดึกดื่นแล้วนำคนไปมากหน่อย ระวังตัวด้วย”


 


 


           “ขอบคุณท่านพ่อ” หลี่มู่ชิงไม่มัวล่าช้าอีก ออกจากห้องหนังสือทันที


 


 


           หลังออกมาจากห้องหนังสือเขาก็สูดหายใจเต็มปอด มองฟ้ายามรัตติกาลแวบหนึ่ง ก่อนมุ่งหน้าไปที่หน้าประตูจวนโดยไม่แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า


 


 


           ไม่นานเขาก็นำผู้คุ้มกันออกจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวา มุ่งไปยังประตูเมือง


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาอยู่ที่ห้องหนังสือต่ออีกพักหนึ่ง เขาถอนหายใจออกมา ก่อนเดินไปยังเรือนของหลี่หรูปี้


 


 


           หลี่หรูปี้กำลังอ่านตำราภายใต้แสงตะเกียง เมื่อเห็นเสนาบดีฝ่ายขวามาหาก็รีบลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อ ดึกมากแล้ว ไฉนท่านถึงยังไม่พักผ่อนอีก”


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวามองนางยืนอยู่ภายใต้แสงตะเกียง ทรวดทรงสะโอดสะอง แลดูอ่อนโยนมีสติปัญญา ใบหน้างดงามอย่างยิ่ง บุตรีเช่นนี้หายากในระยะหมื่นลี้ ทว่าฉินเจิงดันไม่ชายตามอง ไม่เพียงแต่ฉินเจิงเท่านั้น แต่รัชทายาทเองก็หาได้ชายตามองไม่ เทียบกันกับเซี่ยฟางหวาแล้ว แม้สตรีตรงหน้าเป็นบุตรสาวของตน เขาเองยังต้องยอมรับว่าเซี่ยฟางหวานั้นไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์หรือนิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แท้จริงแล้วเหนือกว่าบุตรสาวตนขั้นหนึ่ง แต่หากเอ่ยถึงนิสัย เขาคิดว่าเซี่ยฟางหวาเทียบบุตรสาวตนมิได้ เซี่ยฟางหวาดูอ่อนโยน แต่ในความเป็นจริงแล้วมีนิสัยเข้มแข็ง เพียงแต่ภายนอกดูอ่อนแอจนบดบังความเข้มแข็งในตัวนางก็เท่านั้น หากเอ่ยถึงการสร้างความปรองดองในบ้าน เขาก็คิดว่าบุตรสาวตนเหนือกว่า


 


 


           ทว่าฉินเจิงกับฉินอวี้ต่างเป็นบุรุษโดดเด่นมากพรสวรรค์ ทั้งเกิดมาในสถานที่สูงส่งที่สุดในใต้หล้า โตมาในวังหลวงตั้งแต่เด็ก อย่าว่าแต่โฉมสะคราญในหกตำหนักของฝ่าบาทเลย ถึงเป็นหญิงงามในเมืองก็ได้พบเจอมานับไม่ถ้วน บุตรสาวซึ่งเพียบพร้อมรอบด้านในตระกูลใหญ่เช่นนี้ พวกเขาเห็นมาจนเบื่อแล้ว ต่อให้ขนมชั้นดีมาวางอยู่ตรงหน้าก็เป็นเพียงแค่ของเล็กๆ น้อยๆ สำหรับพวกเขาเท่านั้น แต่เซี่ยฟางหวานั้น ไม่ว่าอากัปกิริยาหรือนิสัยใจคอต่างโดดเด่นมีเอกลักษณ์ ดังนั้นเมื่อเทียบกับบุตรสาวตระกูลใหญ่ในเมืองแล้ว นางจึงเป็นดั่งหงส์ในฝูงกา


 


 


           วีรบุรุษที่แท้จริงย่อมหมายปองสตรีที่ควบคุมยาก


 


 


           เขายืนหน้าประตูพักหนึ่ง ระงับอารมณ์แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไฉนดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีก”


 


 


           “ยังไม่ดึกมาก ลูกนอนไม่หลับ จึงหาตำรามาอ่านสักพักหนึ่ง” หลี่หรูปี้ยิ้มแล้วส่ายหน้า


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า “คราวหลังอ่านตำราแค่ตอนกลางวันก็พอ อย่าล่วงเลยจนดึกดื่นเพียงนี้” พูดจบก็เดินมานั่ง


 


 


           หลี่หรูปี้สั่งสาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาแล้วรินน้ำชาให้เสนาบดีฝ่ายขวาด้วยตัวเอง


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาจิบน้ำชาแล้ววางถ้วยลง จากนั้นก็เอ่ยถามเข้าประเด็น “ปี้เอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าได้ทำสิ่งใดบ้างหรือไม่”


 


 


           หลี่หรูปี้เป็นคนฉลาด ทราบดีว่าเสนาบดีฝ่ายขวามาหาในยามนี้ต้องมีธุระกับนางเป็นแน่ นางส่ายหน้าแล้วถามด้วยความสงสัย “ท่านพ่อมาหาลูกดึกเช่นนี้มีเรื่องใดหรือ ช่วงนี้นอกจากสวดมนต์กับท่านแม่แล้ว ลูกก็มิได้ทำสิ่งใดเลย”


 


 


           “จริงหรือ” เสนาบดีฝ่ายขวาถาม


 


 


           “มิกล้าปิดบังท่านพ่อ” หลี่หรูปี้พยักหน้ายืนยัน


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาพินิจมองหลี่หรูปี้พักหนึ่ง พบว่าแววตานางซื่อตรง เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ


 


 


           “เกิดเรื่องใดขึ้น เกี่ยวกับลูกหรือ ท่านพ่อโปรดอธิบายให้กระจ่าง” หลี่หรูปี้มองหยั่งเชิง


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเล่าถ้อยคำที่ฉินเจิงฝากหลี่มู่ชิงมาบอกให้นางฟัง


 


 


           “นี่เพราะเหตุใด” หลี่หรูปี้ฟังจบก็สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นซีดขาวเล็กน้อย


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า


 


 


           “ลูกตระหนักได้นานแล้วว่าต้องตัดใจจากท่านอ๋องน้อยเจิง ตอนนี้ไร้เยื่อใยแล้ว ความจริงลูกนับถือเซี่ยฟางหวามาก รู้ตัวว่านางดีกว่า แต่ว่า…ระยะนี้ลูกไม่คิดว่าได้ไปล่วงเกินเขา” หลี่หรูปี้ตัวสั่น


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาเห็นนางไม่คล้ายเสแสร้งจึงปวดใจอยู่บ้าง กล่าวด้วยความนิ่งขรึม “คืนวันนี้เซี่ยฟางหวานำสาวใช้ทั้งแปดไปจากจวนอิงชินอ๋องกะทันหัน พอออกจากเมืองแล้ว พระชายาอิงชินอ๋องก็นำคนไล่ตามไปด้วย ทั้งสองเพิ่งจะออกไปไล่หลังกัน คนในจวนอิงชินอ๋องก็ไปตามหมอหลวงมาตรวจฉินเจิง หลังหมอหลวงกลับ พระราชโองการหย่าร้างที่ฝ่าบาทเป็นผู้ทรงออกก็มาเผยแพร่ที่จวนอิงชินอ๋อง ฉินเจิงเดือดจัด บุกเข้าวังหลวง จากนั้นพี่ชายเจ้าก็รอพบเขาระหว่างกลับจากวัง เขาพูดประโยคนี้กับพี่ชายเจ้า ด้วยความที่พี่ชายเจ้ารู้จักฉินเจิงมาตั้งแต่เด็ก จึงกล้ายืนยันว่าตอนฉินเจิงเอ่ยถึงเจ้านั้นมีจิตสังหารแรงกล้ามาก ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน”


 


 


           หลี่หรูปี้ฟังด้วยใบหน้าซีดขาว ความหวาดกลัวบังเกิดขึ้นในใจ


 


 


           “มีแต่ข้อสงสัยเต็มไปหมด คิดไม่ตกโดยแท้ ในเมื่อเจ้าก็ไม่ทราบสาเหตุ เช่นนั้นตอนนี้ก็ไม่ต้องสนใจ พี่ชายเจ้าออกจากเมืองไปแล้ว รอเขาถามเซี่ยฟางหวาดูว่านางพูดเช่นไร ตอนนี้รอข่าวจากเขาไปก่อน ช่วงนี้เจ้าก็อยู่สวดมนต์กับแม่เจ้าที่จวนต่อไปก่อนแล้วกัน” เสนาบดีฝ่ายขวาบอก


 


 


           “ลูกจะทำตามที่ท่านพ่อบอก” นัยน์ตาหลี่หรูปี้คลอไปด้วยม่านน้ำตา ทว่ายังกลั้นไว้สุดแรง


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาเห็นนางเป็นเช่นนี้ ทราบดีว่าเรื่องนี้กระทบกับนางมากกว่าเรื่องที่ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงวางพิษกามารมณ์กับฉินเจิง เขาลุกขึ้นยืนแล้วบีบไหล่นาง “เด็กดี ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


           หลี่หรูปี้ส่ายหน้า


 


 


           “อย่าคิดมากเลย รีบพักผ่อนเถอะ!” เสนาบดีฝ่ายขวาปลอบใจอีกครั้ง ก่อนออกจากเรือนของหลี่หรูปี้


 


 


           หลังเสนาบดีฝ่ายขวากลับออกไป หลี่หรูปี้ก็โถมตัวลงบนเตียง ซ่อนใบหน้าในผ้าห่มแล้วสะอื้นร้องไห้ ทว่ากลับสะกดกลั้นไม่กล้าส่งเสียงออกมา เสียใจอย่างถึงที่สุด 

 

 


ตอนที่ 69-1 ค่ายกลโบราณ

 

           เซี่ยฟางหวาออกจากเมืองทางทิศใต้แล้วเดินทางไปได้ห้าลี้ ฝั่งประตูเมืองก็มีการเคลื่อนไหวพร้อมกับคนและม้ากลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าตามมา


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อหันไปมอง เนิ่นนานถึงมองออกว่าคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นผู้คุ้มกันจวนอิงชินอ๋อง ทั้งสองรีบขี่ม้ามาขนาบข้างเซี่ยฟางหวาแล้วรายงาน “คุณหนู ข้างหลังคล้ายว่าคนของจวนอิงชินอ๋องตามมา ไม่รู้ว่าใช่ท่านอ๋องน้อยหรือไม่…”


 


 


           “ไม่ใช่เขา น่าจะเป็นพระชายา” เซี่ยฟางหวาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยภายใต้ยามราตรี


 


 


           “คุณหนู พระชายาออกจากเมืองกลางดึกเพื่อมาตามท่าน ทำเช่นไรดี” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อตกใจ


 


 


           “ไม่ต้องสนใจ” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “หากพระชายาตามมาตลอดทางเล่า” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากันแล้วเอ่ยเสียงเบา


 


 


           “เดินทางต่อไปอีกสามสิบลี้จะถึงภูเขาวงแหวน ข้าจะวางค่ายกลที่นั่นเพื่อขัดขวางพระชายา หลังจากนั้นเราก็อ้อมทางภูเขาเดินทางต่อ หากนางหาร่องรอยไม่พบ พระชายาก็ตามมาไม่ได้อีก” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเช่นนั้นก็เงียบเสียงลง


 


 


           พวกผิ่นจู๋ที่ขี่ม้าตามอยู่ข้างหลังต่างใคร่ครวญโดยพร้อมเพรียงกัน เห็นชัดว่าคุณหนูรักท่านอ๋องน้อย เคารพต่อพระชายามาก ยามนี้กลับเด็ดขาดเช่นนี้เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ แม้แต่พวกนางซึ่งเป็นสาวใช้ประจำกายยังมองไม่ออก


 


 


           ทั้งหมดเดินทางต่อ พระชายาอิงชินอ๋องพร้อมด้วยผู้คุ้มกันไล่ตามหลังมาตลอดทาง


 


 


           กำลังคนที่พระชายาอิงชินอ๋องนำมาด้วยเป็นทหารม้าติดอาวุธที่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษภายในจวนอิงชินอ๋อง เชี่ยวชาญเรื่องการตามร่องรอยและยิงธนูบนหลังม้า ส่วนม้าที่พระชายาอิงชินอ๋องขี่เป็นม้าล้ำค่าหายากในบรรดาม้าด้วยกัน ส่วนเซี่ยฟางหวาแม้มีทักษะการขี่ม้ายอดเยี่ยม ทั้งยังเป็นม้าอันดับหนึ่งในพันลี้ แต่เนื่องจากมีพวกซื่อฮว่าติดตามมาด้วย ดังนั้นเมื่อเดินทางไปได้อีกสามสิบลี้จนมาถึงภูเขาวงแหวนจึงเหลือระยะห่างใกล้กันมากไม่เกินสามลี้


 


 


           “หวาเอ๋อร์ หยุดก่อน!” พระชายาอิงชินอ๋องตะโกนขึ้น


 


 


           เซี่ยฟางหวาแสร้งไม่ได้ยิน


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หันกลับไปมอง


 


 


           “พระชายาน้อย โปรดหยุดก่อน!” ทหารม้าติดอาวุธจวนอิงชินอ๋องตะโกนขึ้นพร้อมกัน


 


 


           เสียงกีบเท้าม้าดังสนั่นลั่นฟ้า


 


 


           เมื่อเซี่ยฟางหวาอ้อมมาถึงแนวภูเขาก็พลันดึงเชือกบังเ**ยน พลิกกายลงม้าแล้วยกมือให้สัญญาณพวกซื่อฮว่า ทั้งแปดคนเข้าใจทันทีรีบอ้อมมาอยู่ข้างหลังนางโดยเว้นระยะค่อนข้างห่าง


 


 


           เซี่ยฟางหวาดึงกระบี่ใต้แขนเสื้อออกมา ตัดท่อนไม้ออกเป็นเก้าท่อน ทั้งขยับฝ่ามือเคลื่อนหินยักษ์เก้าก้อน ทั้งดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมาหักเป็นเก้าส่วน ก่อนเริ่มสร้างค่ายกล


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเคยเรียนค่ายกลมาบ้างเช่นกัน แต่พวกนางยืนอยู่ข้างหลังจึงมองไม่เห็นว่าคุณหนูสร้างค่ายกลอย่างไร


 


 


           เวลาต่อมาบริเวณที่เซี่ยฟางหวายืนอยู่ก็เริ่มมีหมอกปกคลุม ไม่นานไอหมอกก็แผ่ขยายเป็นวงกว้าง บดบังเงานางไว้ท่ามกลางม่านหมอก เวลาครึ่งถ้วยชาถัดมา เส้นทางสัญจรบริเวณแนวภูเขาทั้งหมดก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยืนอยู่นอกค่ายกล เบื้องหน้าสิบจั้งเต็มไปด้วยหมอกหนาแน่น มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ต่างตกใจจนพูดไม่ออก


 


 


           เวลาถัดมาเซี่ยฟางหวาก็เดินออกมาจากม่านหมอก ทว่าไม่ได้รีบขี่ม้าเดินทางต่อ หากแต่ยืนรอนอกค่ายกลด้วยความสงบนิ่ง


 


 


           ไม่นานเสียงกีบเท้าม้าห้อตะบึงมาด้วยความรีบร้อนก็ดังขึ้น


 


 


           “พระชายาระวังตัวด้วย ข้างหน้ามีหมอกหนา!” มีคนตะโกนขึ้น


 


 


           “ที่นี่ไฉนถึงมีหมอกลงจัดขนาดนี้ หวาเอ๋อร์ฝ่าหมอกเข้าไปหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องดึงเชือกบังเ**ยน มองหมอกหนาทึบเบื้องหน้าในบริเวณแนวภูเขาด้วยสีหน้าร้อนใจ


 


 


           “ตรงนี้มีเส้นทางเดียวให้ผ่าน พระชายาน้อยน่าจะฝ่าหมอกหนาเดินทางต่อขอรับ” มีคนตอบ


 


 


           “เดินทางต่อ ตาม!” สิ้นเสียง พระชายาอิงชินอ๋องก็มุ่งเข้าไปในม่านหมอก


 


 


           ผู้คุ้มกันสองคนเข้ามาประกบอารักขานาง


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง คนผู้นั้นก็เอ่ยขึ้น “พระชายา อย่าตามต่ออีกเลย หมอกยิ่งหนาทึบขึ้นทุกที ข้าน้อยอยู่ใกล้ท่านขนาดนี้ยังแทบมองไม่เห็นท่าน”


 


 


           “ไม่ได้ ต้องตาม” พระชายาอิงชินอ๋องบอก “หมอกหนาถึงเพียงนี้ ขนาดหวาเอ๋อร์ยังเดินทางฝ่าไปได้ เราก็ต้องทำได้เช่นกัน”


 


 


           ผู้คุ้มกันเห็นนางยืนกรานก็ต่างเงียบเสียงลง อารักขานางเดินทางต่อไป


 


 


           ผ่านไปอีกพักหนึ่งก็มีคนเอ่ยขึ้น “พระชายา นี่ผิดปกติ”


 


 


           “หืม ผิดปกติอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยถามทันที


 


 


           “ข้าน้อยคิดว่าเรากำลังเดินวนอยู่ที่เดิม นานถึงเพียงนี้แล้ว เดินมาไกลขนาดนี้ แต่คล้ายกับมิได้ก้าวไปข้างหน้าเลย” คนผู้นั้นกล่าว ทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง “คล้ายเป็นค่ายกล”


 


 


           “อะไรนะ!” พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ


 


 


           “จริงขอรับพระชายา เป็นค่ายกลที่ใช้หมอกพรางตาผู้คน พวกเราดูเหมือนฝ่าหมอกไปยังเบื้องหน้า แต่ความจริงแล้วกำลังวนอยู่ที่เดิม นี่เป็นค่ายกลที่ยอดเยี่ยมมาก” คนผู้นั้นกล่าวอีก “ข้าน้อยเคยศึกษาค่ายกลกับอาจารย์ตอนเด็กจึงพอรู้จักบ้างเล็กน้อย”


 


 


           “ในเมื่อเป็นค่ายกล แล้วเจ้าทำลายได้หรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องถามต่อ


 


 


           “ค่ายกลประเภทนี้ล้ำเลิศยิ่ง ข้าน้อยไม่เคยได้ยินค่ายกลแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นเช่นกัน หากุญแจหลักของค่ายกล ทิศทาง ทางออกไม่เจอ มิทราบอันใดเลย เพียงแต่อาศัยที่เคยศึกษามาสมัยเด็กคาดเดาว่าเป็นค่ายกลเท่านั้น หากเอ่ยถึงทำลายค่ายกล ข้าน้อยกล้ายืนยันกับพระชายาเลยว่า แม้ให้เวลาข้าน้อยศึกษาสามวันสามคืนก็ทำลายค่ายกลมิได้” คนผู้นั้นส่ายหน้า


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “พอเจ้าพูดแบบนี้ข้าก็คิดว่าเป็นค่ายกลเช่นกัน วันนี้อากาศดีมาก ที่นี่ไม่ใช่ภูเขาลึกด้วยซ้ำจึงไม่ควรมีหมอกลงจัดถึงเพียงนี้ นี่น่าจะเป็นค่ายกลที่หวาเอ๋อร์สร้างขึ้นเพื่อขัดขวางไม่ให้ข้าตามต่อไป”


 


 


           ทุกคนฟังแล้วก็ไม่มีใครเอ่ยขึ้นมา ต่างคิดในใจว่านึกไม่ถึงว่าพระชายาน้อยจะสร้างค่ายกลได้เก่งกาจเช่นนี้ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก


 


 


           “หวาเอ๋อร์ เจ้าอยู่หรือไม่!” พระชายาอิงชินอ๋องตะโกนขึ้นอีก


 


 


           เซี่ยฟางหวายืนอยู่นอกค่ายกล ไม่ส่งเสียงขานรับ


 


 


           “หวาเอ๋อร์ ไม่ง่ายเลยที่เจ้ากับเจิงเอ๋อร์จะได้สมรสเป็นสามีภรรยากัน ระหว่างนั้นได้รับความทุกข์ยากลำบากมามากน้อย ไม่ใช่ว่าก็ผ่านมันมาได้หรือ ขอเพียงพวกเจ้าสามีภรรยามีใจตรงกัน อุปสรรคใดใดบนโลกนี้ไหนเลยจะผ่านมันไปไม่ได้” พระชายาอิงชินอ๋องใช้ความรู้สึกสร้างความสะเทือนใจ ใช้เหตุผลทำความเข้าใจ “ฟังแม่แล้วกลับมาเถอะ หากเจิงเอ๋อร์ทำให้เจ้าเสียใจตรงไหน แม่จะจัดการเขาให้เจ้าเอง”


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปากเล็กน้อย ไม่ส่งเสียงใด


 


 


           “ข้ารู้จักลูกชายข้าดี ในใจเขานอกจากเจ้าแล้วก็ไม่เคยมีผู้ใดอีก หากระหว่างพวกเจ้าเกิดความเข้าใจผิดกันขึ้นก็ควรเปิดอกคุยกันให้เข้าใจ พวกเจ้าเพิ่งสมรสกันไม่กี่วัน ยังไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลยสักวันเดียว แม่ไม่เชื่อว่าใจเจ้าไม่มีเขาถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้ กล่าวกันว่าสะสมวาสนาสิบปีกว่าจะได้ลงเรือลำเดียวกัน สะสมวาสนาร้อยปีถึงจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอน*[1] พวกเจ้าไหนเลยมีความรักลึกซึ้งแต่วาสนาน้อย เห็นชัดว่ามีทั้งวาสนาและความรักต่อกัน ความรักและวาสนาลึกซึ้งอย่างยิ่ง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวอีก


 


 


           เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ


 


 


           “ส่วนพระราชโองการหย่าร้างของฝ่าบาทที่เจ้าพูดถึงนั้นเพราะเหตุใดกันแน่ ฝ่าบาททรงมอบสมรสพระราชทานถึงสองครั้งเพื่อการสมรสของพวกเจ้า หรือว่ายังทรงออกพระราชโองการหย่าร้างอีก ตอนที่ทรงออกพระราชโองการครั้งที่สอง ฝ่าบาทตรงตรัสไว้ว่าไม่อนุญาตให้เขาหย่าอีกตลอดชีวิต ทว่ายามนี้พระองค์ทรงออกพระราชโองการหย่าร้างเอง เท่ากับเป็นการตีฝ่ามือตนเองและตระบัดสัตย์ ข้อห้ามสำคัญของการเป็นจักรพรรดิคือห้ามไม่รักษาสัจจะวาจา ฝ่าบาททรงทำไม่ได้หรอก เจ้ากลับเมืองไปกับข้าเถอะ ข้าจะเรียกร้องความเป็นธรรมกับฝ่าบาทให้เจ้าเอง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวอีก


 


 


           เซี่ยฟางหวาหลับตาลง ยังคงเงียบกริบ


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนต่างกลั้นลมหายใจไม่กล้าส่งเสียง กระทั่งไม่กล้าหายใจแรง


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวขึ้นอีก แต่เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ


 


 


           ในที่สุดชุนหลันก็ก้าวขึ้นมาหาพระชายาอิงชินอ๋องอย่างทนไม่ไหว ก่อนโน้มน้าวนาง “พระชายา พระชายาน้อยคงไปแล้ว”


 


 


           “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้เด็ดขาดเช่นนี้ ฝากข้อความไว้ให้ข้าเพียงประโยคหนึ่ง ข้าไล่ตามนางมาจนห่างไม่เกินสามลี้แล้ว นางบอกเหตุผลกับข้าสักคำไม่ได้เลยหรือ เดินจากไปเงียบๆ เช่นนี้ แม้แต่เวลาที่จะพูดกับข้ายังไม่มีให้” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจ


 


 


           ชุนหลันองก็ไม่เข้าใจ “พระชายาน้อยไม่คล้ายเป็นคนโหดเ**้ยมไร้น้ำใจ ท่านอ๋องน้อยยิงธนูสามดอกใส่นาง นางยังออกเรือนกับเขาอย่างไม่มีความขลาดกลัว บางทีอาจเกิดเรื่องที่จำใจต้องทำเช่นนี้ก็เป็นได้” หยุดชั่วครู่แล้วโน้มน้าว “พระชายา ตอนนี้ไม่รู้ว่าในเมืองกับในจวนเป็นอย่างไรบ้าง ท่านอ๋องน้อยสลบไปก็ไม่รู้ว่าฟื้นขึ้นมาหรือยัง ในเมื่อทำลายค่ายกลมิได้ พวกเราก็ย้อนกลับกันดีกว่า มิอาจถูกขังอยู่ตรงนี้ตลอดได้ บางทีกลับเมืองแล้วอาจเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น”


 


 


           “ในเมื่อเข้ามาในค่ายกลแล้วจะออกไปเช่นไร” พระชายาอิงชินอ๋องค่อนข้างไม่สมัครใจ แต่คิดว่า


 


 


ชุนหลันพูดมีเหตุผล ในเมื่อตามเซี่ยฟางหวาไม่ทัน นางก็เป็นห่วงฉินเจิงที่อยู่ในเมืองด้วยเช่นกัน


 


 


           “ในเมื่อเจ้ามองออกว่านี่เป็นค่ายกล แม้ทำลายมิได้ แต่เราจะออกไปได้หรือไม่” ชุนหลันถามคนผู้นั้น


 


 


           คนผู้นั้นพยักหน้าตอบ “เรียนพระชายา ข้าน้อยบอกว่าค่ายกลนี้สร้างได้ยอดเยี่ยมมาก เหตุผลอยู่ตรงนี้ เรามิอาจเดินหน้าไปต่อ แต่ด้านหลังกลับเป็นประตูกลวง เพียงเดินย้อนกลับไปทางที่เดินเข้ามาก็ออกจากค่ายกลได้แล้วขอรับ” คนผู้นั้นอธิบาย “หากพระชายาน้อยเป็นผู้สร้างค่ายกลนี้จริง น่าจะสร้างเพื่อขัดขวางมิให้ท่านตามไป มิได้อยากกังขังท่าน”


 


 


           “หวาเอ๋อร์ตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้แล้ว คงไม่อยากให้ข้าตามไปจริงๆ” พระชายาอิงชินอ๋องฟังแล้วก็ถอนหายใจออกมาก่อนยกมือสั่ง “ช่างเถอะ เราไม่ต้องตามแล้ว กลับเมือง”


 


 


           ทุกคนขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน


 


 


           ไม่นานทั้งหมดก็ออกจากค่ายกล


 


 


 


 


*สะสมวาสนาสิบปีกว่าจะได้ลงเรือลำเดียวกัน สะสมวาสนาร้อยปีถึงจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอน เป็นการอุปมาว่า การได้พบคนที่มีใจตรงกันนั้นแสนยาก แต่การสูญเสียใครสักคนกลับเป็นเรื่องง่ายดาย 

 

 


ตอนที่ 69-2 ค่ายกลโบราณ

 

หลังพระชายาอิงชินอ๋องออกมาได้แล้วก็มองไปยังเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยหมอกหนาแผ่ปกคลุม ยังคงมองสิ่งใดไม่เห็นดังเดิม 


 


 


           “พระชายาน้อยมีพรสวรรค์มาก อย่าว่าแต่สตรีเลย ถึงเป็นบุรุษทั่วไปก็ยังสร้างค่ายกลเช่นนี้มิได้” ชุนหลันกล่าวด้วยความนับถือ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า “สมัยก่อนอวี้หวั่นก็มีพรสวรรค์เช่นนี้ แต่เทียบกับฟางหวาแล้วยังด้อยกว่าบ้าง กะแล้วว่าศิษย์ย่อมเก่งกว่าครู่ เพียงแต่น่าเสียดาย…” นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง ยกมือสั่งย้อนกลับไปทางเดิม 


 


 


           ชุนหลันกับผู้คุ้มกันจวนติดตามประกบพระชายาอิงชินอ๋องทั้งด้านข้างและข้างหลัง ไม่นานเสียงกีบเท้าม้าก็ค่อยๆ ดังห่างออกไปไกล 


 


 


           เซี่ยฟางหวายืนนิ่งมองค่ายกลที่นางสร้างด้วยตัวเอง หมอกหนาทึบแผ่ปกคลุมดุจตาข่ายที่สานต่อเนื่องกัน แน่นเสียจนลมผ่านเข้าออกมิได้ นางมองไม่เห็นคนที่อยู่ในหมอก คนฝั่งนั้นก็มองไม่เห็นนางเช่นกัน 


 


 


           นางยืนนิ่งเนิ่นนาน ไม่มีทีท่าว่าจะเดินทางต่อ 


 


 


           “คุณหนู” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองนางด้วยความเป็นห่วงพลางส่งเสียงเรียก 


 


 


           “เราเดินทางกันต่อเถอะ” เซี่ยฟางหวาละสายตาแล้วผินหน้ามอง 


 


 


           “แล้วค่ายกลนี้…” ซื่อฮว่าถามเสียงเบา 


 


 


           “หลังฟ้าสว่างหมอกก็จะจางไปเอง แล้วค่ายกลก็จะทำลายตัวเอง” เซี่ยฟางหวาพลิกกายขึ้นม้าแล้วออกเดินทางต่อ 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินแบบนั้นก็ขึ้นม้าขี่ตามหลังนางออกไป 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องนำผู้คุ้มกันย้อนกลับออกจากภูเขาวงแหวนมาได้สิบลี้ เบื้องหน้าก็มีคนและม้ากองหนึ่งมุ่งหน้ามา พระชายาอิงชินอ๋องมองออกผ่านแสงสว่างจากคบไฟว่าผู้นำขบวนเป็นหลี่มู่ชิง ฝั่งหลี่มู่ชิงก็อาศัยแสงจากคบไฟ ขณะเดียวกันก็มองออกว่าเป็นพระชายาอิงชินอ๋อง 


 


 


           “พระชายา” หลี่มู่ชิงดึงเชือกบังเ**ยนแล้วลงจากม้ามาคำนับ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องก็ดึงเชือกบังเ**ยนเช่นกัน นางเป็นผู้ใหญ่จึงไม่ต้องลงจากม้า ซับเหงื่อบนหน้าผากแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าหลี่ ไฉนถึงออกจากเมืองมาดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนหรือ” 


 


 


           หลี่มู่ชิงมองคนที่พระชายาอิงชินอ๋องนำมาด้วยทั้งหมด ทว่าไม่พบเงาคนที่ต้องการ เขาสงบอารมณ์แล้วตอบตามความจริง “ข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องที่จวนอ๋อง พระชายาน้อยกับพระชายาออกเมืองมากลางดึก ข้ากับพี่ฉินเจิงสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เขาออกจากเมืองมามิได้ ข้าไม่ไว้วางใจจึงตามมาดู เผื่อว่าจะเกิดเรื่องใดกัน” 


 


 


           “เจ้าช่างเป็นเด็กที่มีน้ำใจนัก” พระชายาอิงชินอ๋องเผยสีหน้าอบอุ่น 


 


 


           “พระชายาตามพระชายาน้อยทันหรือไม่” หลี่มู่ชิงถาม 


 


 


           “เดิมทีข้าใกล้ตามหวาเอ๋อร์ทันแล้ว แต่เมื่อมาถึงภูเขาเก้าวงแหวน นางก็สร้างค่ายกลขึ้น คนของข้าเพียงมองออกว่าเป็นค่ายกล กลับทำลายมันไม่ได้ เพราะทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ย้อนกลับมา ดูท่านางคงตัดสินใจแล้วว่าไม่ให้ข้าตามไป” พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้า บอกตามความจริงเช่นกัน 


 


 


           หลี่มู่ชิงได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “หลังท่านออกมา ในเมืองก็เกิดเรื่องขึ้น” 


 


 


           “หืม เกิดอะไรขึ้น” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินก็กระวนกระวายใจ 


 


 


           หลี่มู่งชิงเห็นนางกังวลก็รีบเล่าว่าหลังเซี่ยฟางหวากับพระชายาอิงชินอ๋องออกจากเมืองไล่หลังกัน มีการเชิญหมอหลวงมาที่เรือนลั่วเหมย หลังหมอหลวงกลับไป พระราชโองการหย่าร้างของฝ่าบาทก็มาเผยแพร่ที่จวนอิงชินอ๋อง ฉินเจิงทำลายพระราชโองการทิ้งแล้วบุกเข้าวัง ไม่นานก็ออกมา เขาเข้าไปขวางฉินเจิง และนำถ้อยคำที่ฉินเจิงพูดกับตนเล่าให้นางฟังคร่าวๆ 


 


 


           โดยเฉพาะเน้นย้ำถึงคำเตือนที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของฉินเจิงที่ว่าหากพบหลี่หรูปี้เมื่อไรจะสังหารทิ้ง 


 


 


           “น้องสาวเจ้าทำสิ่งใดยั่วโมโหเจิงเอ๋อร์หรือไม่ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่จะพูดแบบนี้ออกมาได้ หลายปีที่ผ่านมา ขนาดหลูเสวี่ยอิ๋งที่เอาแต่เกาะติดเขา เขาก็เพียงแค่แสดงออกว่ารังเกียจ สุดท้ายก็ออกอุบายผลักไสนางให้ฉินห้าว แต่ไม่เคยเอ่ยว่าจะสังหารมาก่อน” พระชายาอิงชินอ๋องฟังจบก็ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง 


 


 


           “นี่ก็เป็นจุดที่ข้าไม่เข้าใจเช่นกันจึงกลับจวนไปถามท่านพ่อ เขาก็บอกว่าระยะนี้น้องอยู่กินเจสวดมนต์กับท่านแม่ ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนนอกจวน และไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินอันใดพี่ฉินเจิงเข้าถึงกับคิดสังหารน้องสาวข้า” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า  


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “เจิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่หลูเสวี่ยอิ๋งเลย ขนาดฉินห้าว แม้เขารังเกียจเพียงใดแต่ก็ระลึกถึงความสัมพันธ์พี่น้อง ค่อยๆ ปล่อยเขาไป ด้วยนิสัยของเขาหากพูดเช่นนี้ออกมาได้ แสดงว่าน้องสาวเจ้าต้องกระทำสิ่งใดให้เขาแค้นเคืองอย่างยิ่งเป็นแน่” 


 


 


           “ข้าโตมากับพี่ฉินเจิงจึงรู้จักนิสัยเขาเช่นกัน ดังที่พระชายาบอก ทว่าตอนที่ข้าเอ่ยถามเขา กลับเค้นคำตอบจากปากเขาไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว ตอนนี้ข้าได้รับอนุญาตจากท่านพ่อเพื่อออกจากเมืองมาก็เพราะ หนึ่งเป็นความความปลอดภัยของพระชายาน้อย สองก็เพื่ออยากถามเหตุผลจากนาง” หลี่มู่ชิงบอก “ถึงอย่างไรก็อยู่ในเมืองเหมือนกัน น้องสาวข้าไม่อาจหนีพี่ฉินเจิงไปตลอดชีวิตได้ นอกจากนี้ เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับจวนอิงชินอ๋องในอนาคตด้วย” 


 


 


           “เจ้าพูดถูก” พระชายาอิงชินอ๋องผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่ตอนนี้ตามหวาเอ๋อร์ไปไม่ได้ ค่ายกลที่นางสร้างร้ายกาจอย่างยิ่ง หมอกพวกนั้นคล้ายเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ” 


 


 


           “พี่ฉินเจิงบุกเข้าวังหลวง ท่านอ๋องเองก็ตามไปด้วย ต่อมาพี่ฉินเจิงออกจากวังมา ฟังว่าฝ่าบาททรงเรียกท่านอ๋องไปสนทนาด้วย จริงสิ ยังมีเรื่องหนึ่ง หลังท่านออกมาและฝ่าบาททรงออกพระราชโองการหย่าร้างแล้ว ยังมีพระบัญชาอีกหนึ่งอย่างว่าให้ติดประกาศเรื่องการหย่าร้างของพี่ฉินเจิงทั่วทุกแห่งในใต้หล้า พรุ่งนี้เช้าทุกคนคงทราบเรื่องนี้โดยทั่วกันแล้ว” หลี่มู่ชิงกล่าวขึ้นอีก 


 


 


           “อะไรนะ” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป กล่าวด้วยโทสะ “ฝ่าบาททรงประสงค์สิ่งใด บีบบังคับจนตายเลยรึ” 


 


 


           “พระชายาอย่างเพิ่งร้อนใจ เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านรีบกลับเมืองก่อนดีกว่า ดูว่าพอจะมีทางให้ฝ่าบาทเรียกประกาศคืนหรือไม่ ข้าจะไปดูว่าพระชายาน้อยสร้างค่ายกลแบบใด ข้าก็พอสร้างค่ายกลเป็นบ้าง ดูว่าพอจะทำลายได้หรือไม่ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ข้า หากมีความคืบหน้า ข้าจะส่งข่าวไปบอกท่านที่เมือง” หลี่มู่ชิงรีบปลอบประโลม  


 


 


           “ก็ดีเหมือนกัน ลำบากเจ้าแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องผงกศีรษะ คิดว่าควรรีบกลับเมืองเพราะมีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบจัดการทันทีเช่นกัน 


 


 


           หลี่มู่ชิงยกมือให้คนข้างหลังหลีกทางให้ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องก็ไม่มัวเสียเวลา รีบนำคนห้อตะบึงม้ากลับเมือง 


 


 


           เมื่อเสียงกีบเท้าม้าห่างออกไป หลี่มู่ชิงก็ถอนหายใจออกมา “เพื่อฉินเจิง พระชายาถึงกับออกมาตามเซี่ยฟางหวาด้วยตัวเอง หากเป็นเหตุการณ์แบบเดียวกันแต่เกิดกับข้า เกรงว่าแม่ข้าคงไม่แม้แต่จะก้าวออกจากจวน นี่คือความแตกต่าง” 


 


 


           เสียงเขาแม้ไม่ดังมาก แต่คนสนิทที่อยู่ใกล้ก็ได้ยิน คนข้างๆ หันมามองเขาพร้อมกัน 


 


 


           “คุณชาย เราต้องเดินทางต่อหรือไม่” มีคนเอ่ยถามเสียงเบา 


 


 


           “แน่นอน” หลี่มู่ชิงพลิกกายขึ้นม้าแล้วมุ่งหน้าต่อไป 


 


 


           ผู้คุ้มกันคนสนิทตามเขาไป 


 


 


           ห้อตะบึงมาได้สิบลี้ก็มาถึงภูเขาเก้าวงแหวน เบื้องหน้ามีหมอกหนาปกคลุมจริงดังที่พระชายากล่าว มองไม่เห็นหนทางข้างหน้า 


 


 


           “คุณชาย มีหมอกหนาจริงด้วย” มีคนมองแวบหนึ่งแล้วถามหลี่มู่ชิง “ท่านทำลายได้หรือไม่” 


 


 


           หลี่มู่ชิงนั่งหลังตรงบนอานม้า มองเบื้องหน้าพักหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็ทำลายไม่ได้” 


 


 


           “เช่นนั้นทำอย่างไรดี” คนนั้นรีบถาม “หรือว่าต้องย้อนกลับ” 


 


 


           “ไม่ต้องย้อนกลับ เราแค่ต้องรอ” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า 


 


 


           “รอหรือ” คนผู้นั้นมองเขา 


 


 


           หลี่มู่ชิงพยักหน้า มองหมอกหนาทึบพลางเอ่ยขึ้น “รอจนฟ้าสว่าง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น หมอกพวกนี้ก็จะจางไปเอง เมื่อหมอกจางลง ค่ายกลก็สลายไปเอง” 


 


 


           “เพราะเหตุใด” คนผู้นั้นไม่เข้าใจ “หมอกนี้เกิดขึ้นเพราะค่ายกลไม่ใช่หรือ หรือว่าหมอกในค่ายกลนี้เป็นหมอกจริง จำต้องให้ดวงอาทิตย์ขึ้น ลมพัดผ่าน แดดผสมกับสายลมถึงจะจางลง” 


 


 


           หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ “หมอกนี้เป็นหมอกจริง ที่ข้าบอกว่าทำลายค่ายกลนี้ไม่ได้ สาเหตุเป็นเพราะค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายกลหมอกหนาทึบธรรมดา แต่เป็นค่ายกลโบราณชนิดหนึ่ง ฟังว่าถ่ายทอดมาจากเผ่าภูตผี มีชื่อว่าค่ายกลเก้าหยางเก้าหยิน ข้าเองก็เคยเอ่ยเจอคร่าวๆ ในตำราโบราณเล่มหนึ่ง ฟังว่าต้องเป็นผู้มีสายเลือดราชนิกุลเผ่าภูตผี ดึงดูดพลังเหนือธรรมชาติจากต้นไม้ใบหญ้ารอบภูเขารวบรวมเข้าด้วยกัน ข้างในมีด่านคู่อันยากซับซ้อน ด้านหนึ่งเป็นด่านหยาง ด้านหนึ่งเป็นด่านหยิน เมื่อเหยียบเข้ามาแล้วก็เหมือนเข้าสู่ทางเดินวัฏจักร เป็นด่านประตูผีที่มีแต่ความตายรออยู่” 


 


 


           เขาพูดจบทุกคนก็ตกใจยกใหญ่ 


 


 


           “แต่ค่ายกลนี้ได้รับการดัดแปลงแล้ว สร้างแค่ประตูเกิด ไม่ได้สร้างประตูตาย ดังนั้นแม้เข้ามาในค่ายกลแล้วก็สังหารผู้ใดไม่ได้ ทั้งกำหนดเงื่อนไขเวลาเพื่อขัดขวาง ไม่ใช่เพื่อสังหารผู้อื่น ดังนั้นหลังครบกำหนดเวลา หมอกก็จะจางหายไปเอง ค่ายกลก็ทำลายตัวเองเช่นกัน” หลี่มู่ชิงคล้ายถอนใจคล้ายชื่นชม “นำค่ายกลโบราณของเผ่าภูตผีมาดัดแปลงอย่างประณีตเช่นนี้ได้ ทั้งยังประยุกต์ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ช่าง…” 


 


 


           ถ้อยคำต่อจากนั้น เขาพลันไม่พูดต่อแล้ว  

 

 


ตอนที่ 70-1 เกรียวกราวทั่วใต้หล้า

 

 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องร้อนใจดุจถูกแผดเผา ควบม้าเร่งความเร็วย้อนกลับไปยังเมืองหลวง กว่าจะกลับมาถึงเมืองก็ดึกมากแล้ว 


 


 


           ทหารอารักขาเมืองเห็นพระชายาอิงชินอ๋องกลับมาก็รีบเปิดประตูเมืองที่ปิดไปก่อนแล้วให้นาง 


 


 


           หลังพระชายาอิงชินอ๋องผ่านประตูเมืองเข้ามาก็มุ่งหน้ากลับจวนอิงชินอ๋องโดยไม่หยุดพัก 


 


 


           ประตูใหญ่สีแดงเข้มของจวนอิงชินอ๋องปิดสนิท สิงโตหินและกิเลนหยกหน้าประตูตั้งตระหง่านท่ามกลางฟ้ายามราตรีอันเงียบสงัด คนเฝ้าประตูเห็นพระชายากลับมาก็รีบเปิดประตูให้ 


 


 


           “เจิงเอ๋อร์เล่า เขาเป็นเช่นไรบ้าง” พระชายาอิงชินอ๋องพลิกกายลงจากม้า คว้าตัวผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความร้อนรน  


 


 


           “เรียนพระชายา ตั้งแต่ท่านอ๋องน้อยกลับจากวังก็กลับไปยังเรือนลั่วเหมย ไม่ออกมาอีกเลยขอรับ” คนผู้นั้นรีบตอบ 


 


 


           “ท่านอ๋องเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องถามอีก 


 


 


           “ตั้งแต่ท่านอ๋องตามท่านอ๋องน้อยเข้าวังไปก็ยังมิกลับมา ตอนนี้ยังอยู่ที่วังขอรับ” คนผู้นั้นตอบ 


 


 


           สิ้นเสียงพระชายาอิงชินอ๋องก็สาวเท้าไปยังเรือนลั่วเหมยทันที 


 


 


           “พระชายา ท่านชะลอลงหน่อยเจ้าค่ะ” ชุนหลันตามพระชายาอิงชินอ๋องเข้าไปด้วยความรีบร้อน ตะโกนขึ้นด้วยเสียงติดหอบ “ใครก็ได้ รีบมาจุดโคมส่องทางให้พระชายา” 


 


 


           มีคนรีบไปนำโคมไฟมาแล้ววิ่งเหยาะนำทางไปยังเรือนลั่วเหมย 


 


 


           เมื่อมาถึงเรือนลั่วเหมยพบว่าประตูเรือนปิดสนิท ข้างในมีเพียงความมืดมิด ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย 


 


 


           “เปิดประตู พระชายามาหา” ชุนหลันรีบก้าวขึ้นมาตะโกนขึ้น  


 


 


           หลินชีกับอวี้จั๋วยังไม่นอน เกิดเรื่องใหญ่ที่จวนอิงชินอ๋องในวันเช่นนี้ ตั้งแต่ฉินเจิงกลับมาก็ขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น ทั้งสองต่างเป็นห่วงเขาจนนอนไม่หลับ ยามนี้ได้ยินว่าพระชายากลับมาแล้วก็รีบวิ่งมาเปิดประตูให้นาง 


 


 


           “เจิงเอ๋อร์เล่า อยู่ที่ไหน” พระชายาอิงชินอ๋องถามทั้งสอง 


 


 


           “เรียนพระชายา พอท่านอ๋องน้อยกลับมาก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น ภายในห้องไม่มีการจุดตะเกียงตลอดมา” หลินชีตอบเสียงเบา 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป 


 


 


           “พระชายา พี่สะใภ้เล่า ท่านตามนางทันหรือไม่” อวี้จั๋วตามพระชายาอิงชินอ๋องไปแล้วถามเสียงเบา  


 


 


           “ไม่ทัน” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ 


 


 


           ความกระตือรือร้นของอวี้จั๋วหายไปทันที ไม่เอ่ยถามขึ้นอีก 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องมาที่ประตูห้องแล้วผลักเข้าไป ทว่าประตูถูกลงกลอนจากข้างใน ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย นางจึงส่งเสียงเรียก “เจิงเอ๋อร์ เปิดประตูให้แม่หน่อย” 


 


 


           สิ้นเสียงตะโกนก็ไม่มีเสียงตอบรับดังมาจากข้างใน 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องส่งเสียงเรียกอีกหลายครั้ง ทว่ายังไม่มีเสียงตอบกลับมา 


 


 


           “พระชายา คงมิได้เกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋องน้อยหรอกใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรระยะนี้ร่างกายเขาก็ได้รับบาดเจ็บ ยังไม่หายดี” ชุนหลันก้าวขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยความลนลาน  


 


 


           “พวกเจ้าสองคนมานี่ พังประตูให้ข้า” พระชายาอิงชินอ๋องกวักมือเรียกอวี้จั๋วกับหลินชี 


 


 


           ทั้งสองก็เป็นห่วงฉินเจิงเช่นกัน ได้ยินคำสั่งก็รีบเดินเข้ามาหา 


 


 


           อวี้จั๋วมีวิทยายุทธ์ หลินชีแม้ได้ร่ำเรียนวิทยายุทธ์เบื้องต้นมา มีความรู้เพียงงูๆ ปลาๆ แต่ยังดีที่มีกำลัง ทั้งสองร่วมแรงกันดันประตู ไม่นานก็พังประตูเปิดออกได้ 


 


 


           เมื่อประตูเปิดออก พระชายาอิงชินอ๋องก็ยกกระโปรงเข้าไปข้างในทันที 


 


 


           ชุนหลัน อวี้จั๋ว และหลินชีเองก็ตามเข้าไปเช่นกัน 


 


 


           ภายในห้องรับรองไร้ผู้คน ห้องชั้นกลางก็ไม่เห็นเงา กระทั่งห้องชั้นในก็ไม่พบผู้ใด 


 


 


           “จุดตะเกียง” พระชายาอิงชินอ๋องมองหารอบห้องก่อนบอกชุนหลัน 


 


 


           ชุนหลันรีบไปหยิบหินเหล็กไฟ คลำทางไปยังโต๊ะเพื่อจุดตะเกียง 


 


 


           หลังจุดตะเกียงเพิ่มแสงสว่างแล้วก็ค้นหาทั่วทั้งห้องอีกครั้ง ทว่าก็ไม่พบเงาเจ้าของห้องเลย 


 


 


           ฉินเจิงไม่อยู่ในห้อง 


 


 


           “พระชายา ไฉนถึงไม่พบท่านอ๋องน้อย ท่านอ๋องน้อยหายไปไหน เขาคงไม่ออกไปตามพระชายาน้อยด้วยความร้อนใจด้วยหรอกใช่หรือไม่” ชุนหลันเอ่ยด้วยความร้อนใจ  


 


 


           “เป็นไปไม่ได้ ทางไปเมืองหลินอันมีเพียงเส้นทางเดียว ระหว่างทางในเมื่อเรายังพบหลี่มู่ชิง หากเจิงเอ๋อร์ตามไปด้วย มีหรือจะไม่พบเขา” พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้า 


 


 


           “เช่นนั้นไฉนท่านอ๋องน้อยจึงไม่อยู่ในห้อง คงไม่เกิดเรื่องใดขึ้นหรอกกระมัง” ชุนหลันกล่าว 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องเดิมทีรีบกลับเมืองมาด้วยความกระวนกระวายใจ ยามนี้พังประตูห้องฉินเจิง ทว่ากลับไม่พบเงาเจ้าของห้อง นางตั้งสติทำจิตใจให้สงบแล้วสั่งงาน “พวกเจ้าออกไปค้นหาให้ทั่วทั้งห้องหนังสือและทุกแห่งในเรือนลั่วเหมย” 


 


 


           “เจ้าค่ะ/ขอรับ” ชุนหลัน อวี้จั๋ว และหลินชีรีบเดินออกไป 


 


 


           “ช้าก่อน อย่าเคลื่อนไหวให้คนแตกตื่น” พระชายาอิงชินอ๋องกำชับ 


 


 


           ทั้งสามเข้าใจความหมาย ขานรับแล้วรีบออกไป 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องนั่งหน้าโต๊ะเพื่อพักผ่อน พินิจมองสภาพภายในห้องซึ่งไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย 


 


 


           พักใหญ่ต่อมาพวกชุนหลันก็กลับมา พร้อมส่ายหน้าให้พระชายาอิงชินอ๋อง “พระชายา ค้นหาในเรือนลั่วเหมยจนทั่วแล้ว แต่ไม่พบท่านอ๋องน้อยเลย” พูดจบก็หยั่งเชิงถาม “ให้พลิกจวนค้นหาหรือไม่” 


 


 


           “ไม่ต้องแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้า 


 


 


           “แล้วท่านอ๋องน้อย…หายไปไหน หากเกิดเรื่องใดขึ้นจะทำเช่นไรเจ้าคะ” ชุนหลันกังวล 


 


 


           “สมแล้วที่เห็นเขาโตมาตั้งแต่เด็ก เจ้ายังเป็นห่วงเขามากกว่าข้าเสียอีก” พระชายาอิงชินอ๋องบีบไหล่ชุนหลันแผ่วเบา “เขาโตแล้ว รู้ดีว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ ยามนี้ในเมื่อไม่อยู่ที่เรือนลั่วเหมย ไม่ว่าหายไปไหน แต่คงไตร่ตรองดีแล้วว่าตนกำลังจะทำสิ่งใด ถึงเรากังวลไปก็เปล่าประโยชน์” 


 


 


           “พระชายาน้อยก็จริงๆ เลยเชียว ทิ้งท่านอ๋องน้อยไว้เช่นนี้แล้วเดินจากไป ความรักที่ท่านอ๋องน้อยมีต่อพระชายาน้อยนั้นเราต่างเห็นในสายตา มีใจเกินร้อยด้วยซ้ำ ไม่เคยลดลงแม้แต่น้อย ไฉนนางถึงใจร้ายเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่พระชายาตามไปยังปฏิเสธไม่ขอพบอย่างเด็ดขาด บ่าวไม่เข้าใจเลยจริงๆ” ชุนหลันได้ยินเช่นนั้นก็นัยน์ตาแดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะตำหนิขึ้น  


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา “เจ้าก็อย่าไปตำหนิหวาเอ๋อร์เลย ฐานะบุตรีแห่งจวนจงหย่งโหวนั้นไม่ง่าย เรียกได้ว่าเมื่อเทียบกับบุตรีในเมืองหลวงกระทั่งทั่วทุกแห่งในใต้หล้าแล้วลำบากกว่ามาก การที่นางจากไปวันนี้ต้องมีเหตุผลเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการหย่าร้างแล้ว…” พูดจบ นางก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที “จริงด้วย พระราชโองการหย่าร้างต้องประกาศต่อใต้หล้า…เร็วเข้า รีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่วังหลวง” 


 


 


           พูดพลางพระชายาอิงชินอ๋องก็พรวดพราดออกจากห้อง เดินไปข้างนอกด้วยความรีบร้อน 


 


 


           ชุนหลันเองก็นึกขึ้นได้ รีบตามไปทันที 


 


 


           เมื่อออกจากห้อง พระชายาอิงชินอ๋องเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลงฉับพลัน ยกมือเรียกอวี้จั๋วกับหลินชีมาหาแล้วกำชับ “ปิดประตูให้สนิท พวกเจ้าสองคนเฝ้าเรือนลั่วเหมยไว้ ห้ามให้เรื่องท่านอ๋องน้อยไม่อยู่ที่เรือนลั่วเหมยแพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาด หากมีคนมาหาก็บอกไปอย่างก่อนหน้านี้ว่าท่านอ๋องน้อยเก็บตัวไม่พบผู้ใด” 


 


 


           “ขอรับ” หลินชีกับอวี้จั๋วรับคำ พยักหน้าพร้อมเพรียง 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องสั่งงานเสร็จแล้วก็นำชุนหลันออกจากเรือนลั่วเหมย หาได้กลับไปยังเรือนของตนเอง หากแต่ตรงไปยังประตูจวน แล้วขี่ม้าไปยังวังหลวง 


 


 


           เมืองหลวงกลางดึกเงียบสงัดอย่างยิ่ง เสียงกีบเท้าม้าวิ่งผ่าน สร้างความตกใจให้สุนัขชาวบ้านเห่าขึ้น 


 


 


           สุนัขเห่าขึ้นครั้งหนึ่ง สุนัขตัวอื่นบนถนนก็ส่งเสียงเห่าตาม 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องมาถึงหน้าประตูวังอย่างว่องไว ประตูวังตอนกลางดึกประดับด้วยโคมไฟเฉกเช่นปกติ รัตติกาลช่วยขับให้กำแพงวังหลวงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างหนักหน่วง 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องดึงเชือกบังเ**ยน ก่อนตะโกนบอกองครักษ์อารักขาประตูวัง “เปิดประตู ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างเร่งด่วน” 


 


 


           คนอารักขาประตูวังเห็นว่าเป็นพระชายาอิงชินอ๋องมา รองหัวหน้าขึ้นไปบนกำแพงแล้วตอบกลับด้วยความเคารพ “พระชายาโปรดรอสักครู่ กระหม่อมจะรีบไปทูลรายงานฝ่าบาท” 


 


 


           “ได้ เจ้าไปทูลรายงานฝ่าบาทว่าจำต้องเปิดประตูให้ข้าเข้าเฝ้า วันนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องพบฝ่าบาทให้ได้ หากทรงไม่ยอมพบข้า ข้าก็จะบุกเข้าไปเอง” พระชายาอิงชินอ๋องย้ำเตือนด้วยวาจาดุดัน 


 


 


           รองหัวหน้ารีบพยักหน้ารัว คิดในใจว่าสมกับเป็นแม่ลูกกัน นิสัยบางอย่างของท่านอ๋องน้อยเจิงต้องได้รับถ่ายทอดมาจากพระชายาอิงชินอ๋องเป็นแน่ เพราะท่านอ๋องค่อนข้างมีนิสัยอ่อนโยน ไม่โกรธเคืองง่ายๆ แม้พระชายาอิงชินอ๋องดูแล้วอ่อนโยนเช่นกัน แต่แท้จริงแล้วมิใช่คนที่จะคุยด้วยง่าย ท่านอ๋องน้อยยิ่งเป็นศิษย์เหนือกว่าครู  

 

 


ตอนที่ 70-2 เกรียวกราวทั่วใต้หล้า

 

รองหัวหน้ามายังตำหนักบรรทมฮ่องเต้ พบว่าข้างในตำหนักยังสว่างไสวอยู่ เขารีบควบคุมความลนลานแล้วทูลรายงาน “ฝ่าบาท พระชายาอิงชินอ๋องอยู่นอกประตูวัง บอกว่าขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “หืม” สุรเสียงของฮ่องเต้พลันเคร่งขรึมขึ้น “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว นางเข้าวังมาทำไม” 


 


 


           “บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทมิทรงให้เข้าพบ…” รองหัวหน้าสูดลมหายใจเต็มปอด “พระชายาบอกว่านางจะบุกเข้ามาเอง” 


 


 


           “สมกับเป็นแม่ลูกกัน แต่ละคนล้วนมาเพื่อขู่เข็ญสร้างความลำบากใจให้เรา เห็นว่าเราทำอะไรพวกเขาไม่ได้รึ” ฮ่องเต้ได้รับฟังเช่นนั้นก็ทรงกริ้ว 


 


 


           “ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงกริ้ว” อิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “ก่อนหน้านี้นางออกไปตามหวาเอ๋อร์ ตอนนี้คงเพิ่งกลับมาถึง ด้วยความรีบร้อนจึงมิได้คำนึงว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว” 


 


 


           “เป็นเพราะท่านตามใจจนเคยตัว” ฮ่องเต้ทรงตำหนิด้วยโทสะ 


 


 


           อิงชินอ๋องจนปัญญา “ใช่ เพราะกระหม่อมตามใจเอง” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “หากฝ่าบาทมิอยากพบนาง เช่นนั้นกระหม่อมจะออกไปห้ามนางเอง” 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งเพื่อไตร่ตรอง ครั้นแล้วก็ยกพระหัตถ์ไล่ “ท่านออกไปห้ามนางเถอะ นางเข้าวังมาเพื่อมาพบเราตอนกลางดึก ไม่ต้องถาม เราก็ทราบดีว่านางมาทำสิ่งใด จะต้องได้ยินเรื่องติดประกาศทั่วใต้หล้าเป็นแน่ มาเพื่อขู่ให้เราเรียกประกาศคืน” ตรัสจบก็ทรงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หากเราตัดสินใจเองได้ คงไม่ปล่อยให้พวกเขาผลัดกันมาขู่บังคับเราหรอก นิสัยเหมือนกันจริงๆ” 


 


 


           “เช่นนั้นฝ่าบาททรงพักผ่อนเถิด กระหม่อมขอตัวก่อน” อิงชินอ๋องลุกขึ้นแล้วทูลอำลา 


 


 


           ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ 


 


 


           อิงชินอ๋องออกจากตำหนักบรรทมฮ่องเต้ มองท้องฟ้าแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจยาว ก่อนมุ่งตรงไปยังนอกวังหลวง 


 


 


           เมื่อมาถึงหน้าประตูวังหลวง ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกก็พบว่าพระชายาอิงชินอ๋องกำลังขี่ม้าด้วยเนื้อตัวคลุกฝุ่น ใบหน้าเย็นยะเยือกเด่นชัดภายใต้ฟ้ายามรัตติกาล เขาเหม่อลอยครู่หนึ่ง ก่อนส่งเสียงเรียก “จื่อจิง” 


 


 


           พระชายาพบว่าผู้ที่เดินออกมาเป็นอิงชินอ๋องก็พินิจมองเขาตั้งแต่หัวจดเท้ารอบหนึ่ง พบว่านอกจากสีหน้าที่ค่อนข้างย่ำแย่แล้วก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด นางรีบลงจากม้าแล้วเอ่ยถาม “ไฉนเป็นท่านที่ออกมา ฝ่าบาทมิให้ข้าพบหรือ” 


 


 


           “กลับจวนก่อนเถอะ กลับไปแล้วข้าค่อยเล่าให้ฟัง” อิงชินอ๋องกุมมือนาง “มือเย็นถึงเพียงนี้ ร่างกายก็คงเย็นด้วยเช่นกัน กลับไปแล้วให้คนต้มน้ำขิงมาถ้วยหนึ่งด้วย” 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพลันอบอุ่นหัวใจแล้วส่ายหน้า “ไม่หนาว ข้าถามท่าน ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาเช่นนั้นจริงหรือ ติดประกาศทุกหนแห่ง ประกาศพระราชโองการหย่าร้างต่อใต้หล้า” 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า 


 


 


           “พระองค์ทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไร แค่ออกพระราชโองการยังไม่พออีกหรือ นึกไม่ถึงเลยว่าต้องป่าวประกาศต่อใต้หล้าด้วย พระองค์ทรงจะทำสิ่งใดกันแน่” พระชายาได้รับคำยืนยันจากอิงชินอ๋องก็กระวนกระวายใจ 


 


 


            “เจ้าอย่าเพิ่งกระวนกระวาย กลับจวนไปกับข้าก่อน เรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ไม่สะดวกพูดตรงนี้”  


 


 


อิงชินอ๋องรีบโอบนาง 


 


 


           พระชายาได้ยินว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังก็สงบลง มองไปยังอิงชินอ๋อง 


 


 


           “กลับจวนกันก่อน” อิงชินอ๋องบอก 


 


 


           พระชายามองประตูวังแวบหนึ่ง เมื่ออิงชินอ๋องเดินออกมา ประตูวังก็ปิดสนิทตามหลังทันที นางถลึงตาใส่ด้วยความโกรธเคือง จากนั้นก็ขี่ม้าตัวเดียวกับอิงชินอ๋อง กลับไปยังจวนอิงชินอ๋องด้วยกัน 


 


 


           เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงจวนอิงชินอ๋องก็มาที่เรือนหลักทันที พระชายาปิดประตูแล้วเอ่ยถามอิงชินอ๋องอย่างอดใจรอต่อไปไม่ไหวแล้ว “เกิดอันใดขึ้นกันแน่” 


 


 


           “ระหว่างเจิงเอ๋อร์กับหวาเอ๋อร์เกิดอะไรขึ้นกันแน่นั้นข้ายังไม่รู้ ทราบเพียงจากฝั่งฝ่าบาทว่า ก่อนหวาเอ๋อร์ออกจากจวนได้ส่งคนไปที่วังหลวง ขู่บังคับฝ่าบาทให้ทรงออกพระราชโองการหย่าร้าง หากฝ่าบาทมิทำตาม นางจะใช้อิทธิพลของตระกูลเซี่ยทั้งหมดตัดชีพจรในหนานฉิน” อิงชินอ๋องถอนหายใจ 


 


 


           “อะไรนะ” พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ 


 


 


           อิงชินอ๋องเห็นว่านางไม่อยากเชื่อก็ส่ายหน้ากล่าว “ตอนข้าได้ยินครั้งแรกก็ไม่อยากเชื่อเหมือนเจ้าเช่นกัน แต่ทั้งเจ้าและข้าต่างทราบดีว่าฝ่าบาทมิใช่คนพูดปด ตำแหน่งจักรพรรดิพันธนาการพระองค์มาหลายปีแล้ว ทุกสิ่งที่ตรัสออกมาคือสัจจะวาจาทองคำ มีหรือจะทรงกุเรื่องขึ้นตามอำเภอใจ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เจ้าก็ทราบว่าตระกูลเซี่ยเจริญรุ่งเรืองมาหลายร้อยปี สั่งสมมารุ่นสู่รุ่น อำนาจกระจายอยู่ทั่วหนานฉิน บัณฑิต เกษตรกร กรรมกร และพ่อค้าต่างมีคนของตระกูลเซี่ย ถึงแม้ไม่ได้ควบคุมชีพจรหนานฉินครบทั้งสิบส่วน แต่ก็ควบคุมบ้านเมืองครึ่งหนึ่ง เรื่องการแยกตระกูลและบรรพบุรุษเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น ลึกๆ แล้วยังเกี่ยวข้องเป็นหนึ่งเดียวกัน หากตัดชีพจรอย่างเด็ดขาด ผลที่ตามมาเป็นเช่นไรคงทราบดี” 


 


 


           “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องหน้าซีด “เหตุใดหวาเอ๋อร์ถึงเด็ดขาดเช่นนี้” 


 


 


           “นี่ต้องถามเจิงเอ๋อร์แล้ว เรื่องระหว่างพวกเขามีเพียงตัวพวกเขาที่ทราบ” อิงชินอ๋องตอบ 


 


 


           “หลังข้ากลับมาก็กลับมาที่จวนก่อน อวี้จั๋วกับหลินชีบอกว่าตั้งแต่เจิงเอ๋อร์กลับจากวังก็เก็บตัวอยู่ในเรือนลั่วเหมย” พระชายาอิงชินอ๋องลดเสียงลง “ข้าจึงไปเรือนลั่วเหมย ให้พวกเขาพังประตูเข้าไป พบว่าเจิงเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในห้อง” 


 


 


           “แล้วเขาหายไปไหน” อิงชินอ๋องมึนงง 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้า “ท่านเล่าเรื่องหลังเจิงเอ๋อร์ของข้าเข้าวังไปให้ฟังหน่อย” 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า เล่าว่าฉินเจิงบุกเข้าวังหลวงไปยังตำหนักบรรทมฮ่องเต้เพื่อซักถามให้ฟังคร่าวๆ กระทั่งเล่าถึงฝ่าบาทกับฉินเจิงคุยเรื่องใดกันนั้น ตัวเขาอยู่นอกตำหนักจึงไม่ทราบด้วย 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องฟังจบก็ถอนหายใจออกมา “ต่อมาฝ่าบาททรงให้ท่านอยู่ที่ตำหนักก่อน ได้ตรัสเรื่องใดหรือไม่” 


 


 


           “หลังเจิงเอ๋อร์ออกไป ฝ่าบาทก็ทรงเรียกข้าเข้าไปหา แรกเริ่มตำหนิเจิงเอ๋อร์ให้ฟังก่อน จากนั้นเมื่อพระองค์ระงับโทสะได้ก็สนทนาเรื่อยเปื่อยกับข้า” อิงชินอ๋องส่ายหน้า  


 


 


           “สนทนาเรื่อยเปื่อย” พระชายาอิงชินอ๋องไม่เข้าใจ 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วทอดถอนใจ “บัลลังก์มังกรกับตำแหน่งจักรพรรดิสร้างความทรมานให้ฝ่าบาทจนชราลงทุกวัน สะสมจนล้มประชวร ยามนี้เรี่ยวแรงอ่อนแอ มีอุดมการณ์ทว่าสังขารหาอำนวยไม่ ย้อนนึกไปถึงสมัยก่อนนั้นฝ่าบาททรงมีท่วงท่าสง่างามเพียงใด ที่อดีตฮ่องเต้และเสด็จแม่ทรงเลือกพระองค์ก็เพราะเห็นถึงพรสวรรค์ในตัวพระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยมอบหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ให้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ข้าอายุมากกว่าพระองค์ตั้งหลายปี ตอนนี้แม้จอนสองข้างมีผมหงอกแล้วเช่นกัน ทว่าร่างกายก็ยังแข็งแรงดี ที่ผ่านมาพระองค์ต้องทรงอดกลั้นในหลายสิ่ง แม้แต่คนให้สนทนาด้วยยังหาไม่ คิดดูแล้วข้ายังเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่พระองค์จะสนทนาเรื่อยเปื่อยด้วยได้” 


 


 


           “เวลาใดแล้ว นึกถึงไม่ว่าฝ่าบาทยังทรงมีกะจิตกะใจมาสนทนาเรื่องในครอบครัวอีก” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยความไม่พอใจ 


 


 


           “ฝ่าบาทตรัสว่าพระองค์ควบคุมไม่ไหวแล้ว และจะไม่สนพระทัยแล้วเช่นกัน ทั้งบอกให้ข้าไม่ต้องสนใจแล้วด้วย บ้านเมืองจำต้องมีอัจฉริยะบุคคลกำเนิดขึ้นมา คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า พวกเราต่างกลายเป็นคนรุ่นเก่าแล้ว ให้คนรุ่นใหม่บากบั่นกันเองเถอะ” อิงชินอ๋องบีบไหล่พระชายาด้วยความเหนื่อยล้า “เจ้าตามหวาเอ๋อร์ไปไม่ทันหรือ” 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า เล่าเรื่องเซี่ยฟางหวาสร้างค่ายกลขัดขวางนางให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง ทั้งบอกเรื่องที่หลี่มู่ชิงตามไปด้วย ขณะเดียวกันเรื่องที่ฉินเจิงลั่นวาจาอันโหดเ**้ยมต่อหลี่หรูปี้ว่าหากได้พบจะสังหารก็เล่าให้ฟังด้วยเช่นกัน 


 


 


           อิงชินอ๋องฟังจบก็เกิดความไม่เข้าใจ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน 


 


 


           สองสามีภรรยานั่งเข้าหากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ไม่เอ่ยคำใดชั่วเวลาหนึ่ง 


 


 


           กระทั่งถึงยามจื่อ*[1] อิงชินอ๋องก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ เจ้าวิ่งเต้นมารอบหนึ่งคงเหนื่อยแล้ว หากเหนื่อยจนล้มป่วยไปอีกคนคงไม่ดีนัก พักผ่อนก่อนเถอะ ฝ่าบาททรงให้พักราชการสามวัน ขุนนางทั้งหมดไม่ต้องเข้าราชสำนัก พรุ่งนี้ข้านัดเสนาบดีฝ่ายขวามาพูดคุย ดูว่าคุณหนูหลี่ทำสิ่งใดลงไปกันแน่” 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องเองก็เหนื่อยมากแล้วจึงพยักหน้าด้วยความเหนื่อยล้า 


 


 


           ราตรีนี้จวนอิงชินอ๋องดับตะเกียงในยามจื่อ จวนใหญ่ในเมืองต่างพากันคาดเดาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหันในจวนอิงชินอ๋อง ทว่าหาสาเหตุไม่กระจ่าง กลางดึกแล้วถึงล้มเลิกแล้วพักผ่อนเช่นกัน 


 


 


           อวี้จั๋วกับหลินชีเฝ้าเรือนลั่วเหมย ฉินเจิงไม่กลับมาตลอดทั้งคืน 


 


 


           รุ่งสางวันถัดมา ราษฎรที่ตื่นแต่เช้าก็เห็นประกาศพระราชโองการหย่าร้างถูกติดไปทั่วทั้งถนนใหญ่และตรอกซอกซอยในเมืองหลวง 


 


 


           เหล่าราษฎรแปลกใจอย่างยิ่ง ต่างพากันคาดเดาว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงทรงออกพระราชโองการหย่าร้างกะทันหันเช่นนี้ ทรงมีเจตนาเหยียดหยามจวนจงหย่งโหว หรือพระชายาน้อยทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่ กระทั่งฝ่าบาททรงออกพระราชโองการหย่าร้างหลังจากพวกเขาเพิ่งสมรสกันได้ไม่นาน ทั้งยังป่าวประกาศต่อใต้หล้า 


 


 


           นอกจากเมืองหลวง ทุกหนแห่งต่างมีประกาศติดอยู่ทั่วเช่นกัน ต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ราชการทำงานมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง พระบัญชาของฝ่าบาทเพิ่งออกมาตอนพลบค่ำเมื่อวาน แต่ดำเนินการติดประกาศไปแล้วภายในคืนเดียวถึงพันลี้ รัศมีพันลี้จากเมืองหลวงหนานฉิน ประชาชนในแต่ละมณฑลต่างเห็นพระราชโองการหย่าร้างบนประกาศในตอนเช้าของวันถัดมา 


 


 


           พระราชโองการหย่าร้างสร้างความแตกตื่นฮือฮายิ่งกว่าสมรสพระราชโองการสองครั้ง เนื่องจากเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หลายพื้นที่ยังมีควันหลงงานมงคลสมรสระหว่างฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาที่เพิ่งจัดไป ทว่าเมื่อมีพระราชโองการหย่าร้างเช่นนี้ รัศมีพันลี้จากเมืองหลวงตกอยู่ในสภาพดั่งน้ำเดือดปะทุขึ้น  


 


 


           ส่งเสียงเกรียวกราวทั่วใต้หล้าชั่วเวลาหนึ่ง 


 


 


           เมื่อฟ้าสว่าง หมอกก็จางลง ค่ายกลก็ถูกทำลายไปเองดังคาด 


 


 


           หลี่มู่ชิงใช้เวลาเดินวนรอบบริเวณค่ายกลเก้าหยางเก้าหยินที่ถูกสร้างขึ้นเนิ่นนานเพื่อเก็บรวบรวมเศษปิ่นปักผมเก้าชิ้น ทั้งมองภูเขาเก้าวงแหวนเบื้องหน้าอยู่พักใหญ่ถึงจะเก็บเศษปปิ่นปักผมจนครบเก้าชิ้น เขาพลิกกายขึ้นม้า นำคนเดินทางเลียบเส้นทางภูเขาตามไป 


 


 


 


 


 


[1] *ยามจื่อ คือ ช่วงเวลา 23:00 น. – 01:00 น.  

 

 


ตอนที่ 71-1 ตาข่ายไร้รูปร่าง

 

           เซี่ยฟางหวาพร้อมด้วยพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเดินทางตลอดทั้งคืน เมื่อฟ้าสว่างก็เดินทางห่างจากเมืองหลวงมาได้ห้าร้อยลี้แล้ว 


 


 


           ตั้งแต่ออกจากเส้นทางภูเขากระทั่งเข้าสู่ถนนทางการก็ได้ยินผู้คนสัญจรบนถนนวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องพระราชโองการหย่าร้างบนประกาศ 


 


 


           ฉินเจิงหย่ากับเซี่ยฟางหวา นับจากนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก ต่างฝ่ายต่างสมรสได้ใหม่ 


 


 


           มีพระราชโองการหย่าร้างเช่นนี้หลังเพิ่งเข้าพิธีสมรสกันได้ไม่กี่วันนับว่าหาได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบันยังไม่เคยมีการติดประกาศพระราชโองการหย่าร้างทั่วใต้หล้ามาก่อน เรื่องนี้ทำให้ทุกคนตกใจอย่างยิ่ง 


 


 


           กระทั่งเข้าสู่ตัวเมือง รอบกายยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไม่หยุด 


 


 


           หลังเข้ามาในเมือง ตัวเมืองชั้นในยิ่งมีคนเดินขวักไขว่มากยิ่งขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระราชโองการกันอย่างดุเดือดเหมือนเปลวเพลิงพุ่งสู่ท้องฟ้า 


 


 


           ทั้งถนนใหญ่หรือตรอกซอยเล็กๆ ต่างมีประกาศหย่าร้างติดจนทั่ว หน้าประกาศทุกแผ่นเต็มไปด้วยผู้คนมุงดูหนาแน่น 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองฝูงชนและเสียงวิจารณ์หนาหูแล้วลอบมองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           ตั้งแต่ออกจากเส้นทางภูเขา เซี่ยฟางหวาก็นำผ้าคลุมหน้ามาสวมเพื่อบดบังใบหน้า ใต้ผ้าคลุมหน้าสีขาวมีเพียงดวงตาที่โผล่พ้นออกมา แฝงความขมุกขมัวและความเยือกเย็นเงียบเหงา แสดงอากัปกิริยาสงบนิ่งอย่างมาก เพียงกวาดตามองป้ายประกาศแวบหนึ่ง ก่อนมองหาโรงเตี๊ยมแล้วเดินเข้าไป 


 


 


           ภายในโรงเตี๊ยมยามเช้าตรู่นั้นเงียบเหงา ไร้แขกแวะเวียนมา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันมาเหลือบมองให้ซื่อฮว่าเข้าไปพูดคุย 


 


 


           “มีห้องว่างหรือไม่ คุณหนูของข้าอยากพักผ่อนสักครึ่งวัน หลังบ่ายก็จะออกเดินทางต่อ” ซื่อฮว่ารีบเดินขึ้นมากล่าวกับเถ้าแก่  


 


 


           “มีห้องว่าง แม่นางทุกท่านเชิญตามข้าขึ้นไปชั้นบน” เถ้าแก่พินิจมองเซี่ยฟางหวาครูหนึ่งแล้วรีบยิ้มตอบ  


 


 


           เมื่อมาถึงห้องส่วนตัวบนชั้นสอง เถ้าแก่เปิดประตูออก ข้างในเป็นห้องกว้างอย่างมาก ประดับตกแต่งอย่างประณีต เครื่องเรือนเครื่องใช้ครบครันและสะอาดอย่างยิ่ง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเดินเข้าไป 


 


 


           ซื่อฮว่าขอน้ำอาบหนึ่งถังมาให้เซี่ยฟางหวา ทั้งสั่งอาหารมาจำนวนหนึ่ง เถ้าแก่รีบลงไปสั่งงาน 


 


 


           ไม่นานก็มีคนยกน้ำถังหนึ่งเข้ามา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเข้าไปอาบน้ำหลังฉากกั้น เพราะเดินทางผ่านเส้นทางภูเขามาตลอดคืน ร่างกายจึงตากกระแสความเย็น เมื่อถูกน้ำอุ่นชโลมอาบจึงขับความหนาวเย็นออกไปได้บ้าง 


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมา นางขึ้นจากถังไม้ อาหารก็ถูกยกเข้ามาในห้องพอดี 


 


 


           เมื่อทานอาหารเสร็จ เซี่ยฟางหวาก็บอกกับพวกซื่อฮว่าและซื่อม่อ “ไปจองห้องอีกห้องหนึ่งแล้วพักผ่อนด้วยกันเถอะ หลังบ่ายค่อยเดินทางต่อ วันนี้ต้องไปถึงเมืองหลินอันให้ได้” 


 


 


           ทั้งแปดพยักหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาล้มตัวนอนบนเตียง แม้เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง กลับไร้ซึ่งความง่วง นางหลับตานอนนิ่ง 


 


 


           นอกหน้าต่างคิดกับถนนพอดี เสียงวิจารณ์เกี่ยวกับพระราชโองการหย่าร้างดังแว่วเข้าโสตประสาทผ่านทางหน้าต่าง 


 


 


           มีคนพูดว่า ในเมื่อพระราชโองการออกมาแล้ว เช่นนั้นนับจากนี้ท่านอ๋องน้อยเจิงกับคุณหนูฟางหวาก็ไร้ความเกี่ยวข้องกันแล้วจริงหรือ 


 


 


           มีคนพูดว่า แน่นอน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้วเป็นแน่ 


 


 


           มีคนพูดว่า ฟังว่าแรกเริ่มเพื่อแต่งกับคุณหนูฟางหวา ท่านอ๋องน้อยเจิงพยายามต่อสู้ด้วยเหตุผล ต้องทนความลำบากทุกข์ยากมาไม่น้อย ตอนนี้เพิ่งสมรสกันไม่กี่วัน ฝ่าบาทก็ทรงออกพระราชโองการหย่าร้าง ท่านอ๋องน้อยเจิงยอมหรือ 


 


 


           มีคนพูดว่า ถึงท่านอ๋องน้อยเจิงไม่ยอมแล้วจะทำเช่นไรได้ นั่นเป็นฝ่าบาท หรือว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะต่อต้านฝ่าบาทเล่า 


 


 


           มีคนรีบอุดปากคนผู้นั้นทันที แล้วเตือนว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้ 


 


 


           เสียงกลุ่มคนเบาลงทันที 


 


 


           แต่ไม่นานก็ทนไม่ไหว กล่าววิจารณ์ตามอำเภอใจต่ออีก 


 


 


           โดยลอบตำหนิผู้เป็นฮ่องเต้เสียส่วนใหญ่ หลังดื่มชากินข้าวประชาชนส่วนใหญ่รักการดูงิ้ว เหตุการณ์นี้เหมือนกับบทงิ้วแนวกระบองตียวนยาง*[1]ที่นำมาออกแสดงอย่างไรอย่างนั้น ตั้งแต่โบราณกาล หลังฝ่ายบุรุษหย่าร้าง ไม่นานก็แต่งภรรยาคนใหม่เข้าบ้านแล้ว แต่หลังฝ่ายสตรีหย่าร้างกลับต่างกัน ยากจะหาคู่ครองดีๆ ออกเรือนด้วยอีกครั้ง ดังนั้นไม่ว่าผู้คนมากน้อยกำลังวิจารณ์อย่างไร ต่างก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเซี่ยฟางหวา น่าสงสารคุณหนูผู้สูงศักดิ์จากตระกูลเซี่ยอันร่ำรวยฟุ้งเฟ้อเช่นนี้ ยังหนีไม่พ้นจากโชคชะตาที่ต้องถูกหย่าร้างเช่นกัน 


 


 


           สำหรับเรื่องแบบนี้นางเป็นแค่สตรีบอบบางคนหนึ่ง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ คนนับไม่ถ้วนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความสงสาร 


 


 


           เซี่ยฟางหวานอนอยู่บนเตียงพลางหัวเราะไร้เสียง คล้ายเยาะเย้ยคล้ายถากถาง ผ่านไปพักหนึ่งก็ตัดสินใจเข้านอน 


 


 


           นอนหลับจนถึงตอนบ่าย หลังทานมื้อกลางวันแล้ว เซี่ยฟางหวาก็เตรียมเดินทางต่อ 


 


 


           เวลานี้เถ้าแก่คนเดิมก็เดินเข้ามาในห้อง คำนับต่อเซี่ยฟางหวาด้วยความเคารพ “คุณหนูฟางหวา คุณชายของข้าเพิ่งส่งจดหมายมา ขอให้ข้าน้อยมาบอกคุณหนูฟางหวาว่าให้พักผ่อนที่นี่ต่ออีกครึ่งวัน รอคุณชายของข้าก่อน” 


 


 


           “คุณชายของเจ้า” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว 


 


 


           “เรียนคุณหนูฟางหวา คุณชายของข้าคือคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ตอนนี้กำลังรีบเดินทางมาขอรับ” เถ้าแก่รีบตอบ 


 


 


           “ที่แท้โรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เป็นของหลี่มู่ชิง มิน่าข้าถึงรู้สึกคุ้นกับการตกแต่งนัก” เซี่ยฟางหวาได้ยินแบบนั้นก็มองเขา 


 


 


           “คุณชายตามท่านออกจากเมืองมาตั้งแต่เมื่อคืน เพียงแต่ถูกขัดขวางที่ภูเขาเก้าวงแหวน ยามเฉิน**[2]วันนี้เพิ่งจะออกจากที่นั่น ข้าได้รับข่าวเมื่อเช้าว่า หากท่านมาที่นี่ ขอให้แวะพักก่อนหนึ่งวัน” เถ้าแก่รีบประสานมือกล่าว  


 


 


           “เจ้าบอกเขาว่าให้กลับไปเถอะ!” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           เถ้าแก่ชะงักแล้วรีบกล่าว “คุณชายเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อรีบตามมา ทั้งยังเป็นห่วงท่านด้วยเช่นกัน คุณชายส่งจดหมายมาว่าขอให้ท่านรอเขาก่อน” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา “หลี่มู่ชิงรักษาสัจจะ ข้านับถือจากใจ เพียงแต่ตอนนี้ใต้หล้าต่างวิจารณ์เรื่องพระราชโองการหย่าร้าง เพื่อชื่อเสียงของเขา ตอนนี้อย่าเข้าใกล้ข้าจะดีกว่า จะได้ไม่โดนลูกหลงไปด้วย” พูดจบก็กล่าวกับเถ้าแก่ “คุณชายเจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าบอกเขาว่าให้กลับไปเถอะ! หากมีความจำเป็น ข้าจะขอความช่วยเหลือจากเขาเอง” 


 


 


           เถ้าแก่ชะงักไปครู่หนึ่ง คำนึงถึงชื่อเสียงคุณชายตนเช่นกัน “นี่…” 


 


 


           เซี่ยฟางหวายกมือปรามไม่ให้เขาพูดมากไปกว่านี้แล้วออกจากห้อง 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนรีบตามนางลงไปข้างล่าง 


 


 


           ทั้งหมดออกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้วออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


           หนึ่งชั่วยามถัดมา หลี่มู่ชิงก็ได้รับจดหมายจากพิราบส่งข่าว เขาแกะกระดาษที่ถูกผูกบนขานกพิราบ อ่านครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา 


 


 


           “คุณชาย” ผู้ติดตามคนสนิทมองเขา 


 


 


           “หากข้ากลัวโดนลูกหลง คงไม่ตามออกจากเมืองมาหรอก” หลี่มู่ชิงฉีกกระดาษจดหมาย ลมวูบหนึ่งพัดมา หอบเอากระดาษจดหมายลอยกระจายออกไป เขาพูดขึ้น “เดินทางต่อ” 


 


 


           ทุกคนพยักหน้ารับ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาออกจากเมืองก็ควบม้าตรงไปยังเมืองหลินอันต่อ หลังเดินทางมาได้หนึ่งร้อยลี้ เบื้องหน้ามาถึงที่ราบโอบล้อมด้วยภูเขา รอบทิศเป็นป่าหนาทึบ ต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงาม ตรงกลางเป็นเส้นทางดินทางหนึ่ง หลังฝนตกหนักผ่านไป ด้วยอากาศแจ่มใสหลายวันที่ผ่านมาทำให้บริเวณนั้นโดนแดดส่องจนกลายเป็นทางแห้งกรัง โคลนที่ถูกเพลารถม้าเหยียบผ่านกลายเป็นดินแห้งแตก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพลันดึงเชือกบังเ**ยน 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อฮว่าเห็นนางหยุดจึงรีบดึงเชือกบังเ**ยนตาม มองนางเอ่ยขึ้น “คุณหนู จะพักสักครู่หรือเจ้าคะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองป่าข้างหน้า ไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อติดตามนางมาช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงพอคุ้นเคยกับนิสัยนางบ้าง เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ตื่นตัวระแวดระวังขึ้นมาทันที คิดว่าเบื้องหน้าต้องมีบางสิ่งเป็นแน่ มิฉะนั้นคุณหนูคงไม่แสดงออกเช่นนี้ 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น “พวกเจ้ารอตรงนี้” 


 


 


           “คุณหนู” ทุกคนต่างงุนงง 


 


 


           “ฟังคำสั่งข้า รอตรงนี้ ถ้าข้ายังไม่สั่งก็ห้ามตามมา” เซี่ยฟางหวาออกคำสั่งเด็ดขาดอีกครั้ง จากนั้นก็หนีบขาสองข้างเข้ากับท้องม้า มุ่งเข้าไปในที่ราบตรงนั้น 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นนางจากไปก็ร้อนใจ ทว่าด้วยคำสั่งของนางจึงไม่กล้าตามไป ได้แต่มองตาปริบๆ 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] *กระบองตียวนยาง อุปมาหมายถึง การพรากสามีภรรยาที่รักกันมากออกจากกัน 


 


 


[2] **ยามเฉิน คือ ช่วงเวลา 7:00 น. – 9:00 น.  

 

 


ตอนที่ 71-2 ตาข่ายไร้รูปร่าง

 

เซี่ยฟางหวาควบม้าวิ่งไปราวครึ่งถ้วยชา มาถึงจุดพื้นที่ต่ำที่สุดในที่ราบแห่งนี้ ทันใดนั้นก็มีตาข่ายขนาดใหญ่ตกลงมาจากต้นไม้สองข้างอย่างรวดเร็ว ขนาดพอดีกับเซี่ยฟางหวาที่กำลังขี่ม้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาดึงกระบี่ใต้แขนเสื้อออกมา ตวัดฝ่ามือตัดฝ่าไป เดิมทีกระบี่ใต้แขนเสื้อเล่มนี้เป็นกระบี่ล้ำค่าตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลน ทว่าเมื่อสัมผัสโดนตาข่ายกลับตัดไม่ขาด ชั่วพริบตา นางกับม้าก็ถูกตาข่ายครอบทับ เหตุการณ์อลหม่านวุ่นวาย 


 


 


           ม้าล้มตะแคงข้าง ขาข้างหนึ่งของเซี่ยฟางหวาถูกทับอยู่ใต้ม้า ตัวเองล้มตะแคงลงไปพร้อมม้าเช่นกัน 


 


 


           ชั่วพริบตานั้นตาข่ายก็บีบเข้าหากัน ทั้งคนและม้าติดอยู่ในตาข่ายอย่างแน่นหนา ม้ายกเท้าเตะสะเปะสะปะ ทว่าก็ขยับตัวดิ้นไม่หลุด 


 


 


           “ผู้ใด” เซี่ยฟางหวาลดเสียงต่ำอย่างหงุดหงิด 


 


 


           ตาข่ายใหญ่นี้ถูกควบคุมด้วยกลไก ตาข่ายครอบทับลงมา ทว่ายังไม่เห็นเงาผู้บงการ เห็นได้ชัดว่ามีคนคอยควบคุมกลไกอยู่ในที่ลับ 


 


 


           เมื่อเซี่ยฟางหวาตะโกนจบ พลันมีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากในป่า “เซี่ยฟางหวา คิดว่าเจ้าเก่งกาจมากเสียอีก ไม่นึกเลยว่าแค่ตาข่ายเล็กน้อยแค่นี้ยังติดกับได้ อย่างเจ้าเรียกว่าเข้ามาติดกับเองหรือไม่”  


 


 


           “เจ้าเป็นใคร” เซี่ยฟางหวาตะโกนเสียงดัง 


 


 


           “ข้าเป็นใคร เจ้ายังฟังไม่ออกอีกหรือ เจ้าอยู่เขาไร้นามมาหลายปี เสียงของข้านั้นเจ้าฟังไม่ออกรึ” น้ำเสียงเย็นชาเยาะเย้ย “เจ้าโง่ฉือเฟิ่งนั่นบอกว่าเจ้าลงมือโหดเ**้ยม มีความสามารถมาก ตอนนี้เห็นแล้วเขาน่าจะไร้ความสามารถมากกว่ากระมัง ข้าว่าเจ้าจับตัวง่ายยิ่งนัก” 


 


 


           “ที่แท้คือปรมาจารย์ฉางเฟิง” เซี่ยฟางหวากระจ่างแจ้ง “ข้าเป็นเพียงสตรีตัวน้อย ถึงได้เรียนรู้วิชามาบ้าง ย่อมเทียบความสามารถของท่านปรมาจารย์ไม่ติด” หยุดชั่วครู่แล้วมองตาข่ายที่ครอบตัวนาง “แต่ตาข่ายนี้ทำจากวัสดุใด กระบี่ในมือข้าตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลน กลับไม่อาจตัดตาข่ายนี้ได้แม้แต่เสี้ยว” 


 


 


           “นี่เป็นตาข่ายจักจั่นทอง ถึงกระบี่ในมือเจ้าเป็นกระบี่ล้ำค่าเพียงใดย่อมตัดไม่ขาด ตาข่ายนี้ตัดไม่ได้ เผาก็ไม่ได้ อุตส่าห์นำมาใช้จับเจ้า เสียเวลาข้าโดยแท้” ฉางเฟิงแค่นเสียงในลำคอ 


 


 


           “ลำบากปรมาจารย์แล้วที่ต้องทุ่มความคิดจับข้าเช่นนี้” เซี่ยฟางหวายิ้ม 


 


 


           ฉางเฟิงเดินออกมาจากจุดลับ สวมอาภรณ์สีดำตลอดร่างพร้อมผ้าปิดหน้า คล้ายกับปีศาจร้ายที่เดินมาจากขุมนรก ท่ามกลางกลางวันแสกๆ เช่นนี้ เขายังแผ่กลิ่นอายน่ากลัวเย็นยะเยือกออกมา เขาเดินมาหยุดหน้าเซี่ยฟางหวา พินิจมองนางแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “หากไม่ใช่ฉือเฟิ่งชมว่าเจ้าเก่งกาจนักหนา ข้าคงไม่ต้องมานั่งรอกระต่ายวิ่งมาชนต้นไม้ตาย***[1]ถึงสองวัน เสียเวลายิ่งนัก” 


 


 


           “ที่แท้ปรมาจารย์ฉางเฟิงก็มารออยู่สองวันแล้ว กล่าวเช่นนี้แสดงว่าตั้งแต่ข้าออกจากเมือง ปรมาจารย์ทราบว่าข้าต้องผ่านมาทางนี้แน่นอน” เซี่ยฟางหวามองเขา ราวกับถูกกลิ่นอายจากตัวเขาแผ่กระทบ นางรู้สึกหนาวสะท้านเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มซีดขาว 


 


 


           ฉางเฟิงดูพอใจกับความกลัวที่สะท้อนในแววตานางเล็กน้อย พยักหน้าตอบ “แน่นอน เจ้าจะไปเมืองหลินอัน จำต้องผ่านเส้นทางนี้ ถ้าข้าไม่มารอตรงนี้แล้วจะไปรอที่ใด” 


 


 


           “ข้าออกจากเมือง ฝ่าบาททรงมิได้ขัดขวางข้าจากมา อย่างไรเล่า ปรมาจารย์สายลับราชสำนักตัดสินใจเองโดยพลการ หรือว่าได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทกันแน่ ไม่สังหารข้าในเมืองหลวง ต้องมาไกลขนาดนี้เพื่อสังหารข้าเชียวหรือ” เซี่ยฟางหวาถาม 


 


 


           “สังหารเจ้า?” ฉางเฟิงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้จะสังหารเจ้า” 


 


 


           “ไม่ได้สังหาร?” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


 


           “ขอเพียงเจ้าส่งเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” ฉางเฟิงกล่าวอย่างเป็นฝ่ายได้เปรียบ 


 


 


           “หากข้าไม่ส่งให้เล่า” เซี่ยฟางหวาถาม 


 


 


           “ไม่ส่งมาข้าก็จะส่งตระกูลเซี่ยไปตาย ปู่เจ้า พี่ชาย พี่น้องทั้งหลาย ตระกูลเซี่ยทั้งหมดจะต้องกลายเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับความโง่เขลาของเจ้า” ฉางเฟิงกล่าวด้วยความเย็นยะเยือก 


 


 


           “ข้าส่งคนคุ้มครองท่านปู่ออกเดินทางแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           “คุ้มครองไปส่งที่ทะเลบูรพาน่ะหรือ” ฉางเฟิงหัวเราะเสียงเย็น เสียงหัวเราะนั้นไม่น่าฟังอย่างยิ่ง ทำเอานกน้อยบนยอดไม้ตกใจจนบินหนีไป “เด็กน้อย คิดหรือว่าอยู่เขาไร้นามมาหลายปีแล้วจึงปีกกล้าขาแข็ง ข้าจะบอกให้ ปู่เจ้าไปไม่ถึงทะเลบูรพาหรอก ต้องถูกฝังศพไว้ก้นทะเลนั่นแหละ” 


 


 


           “ท่านทำอะไรกับท่านปู่” เซี่ยฟางหวาพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป 


 


 


           “ขอเพียงเจ้ารู้สถานการณ์ ปู่เจ้าก็จะไม่ตาย” ฉางเฟิงมองนางด้วยใบหน้าดำทะมึน “มิฉะนั้น ข้าจะทำให้เจ้าได้พบกับจุดจบของการไม่รู้จักสถานการณ์” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาตัวสั่นขึ้นมาทันที 


 


 


           “อย่างไรเล่า จะยอมส่งเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีมาหรือไม่!” ฉางเฟิงมองนัยน์ตานางหดลงเพราะความกลัวด้วยความพึงพอใจ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวสั่น ทว่าก็ควบคุมไม่อยู่ เนิ่นนานกว่าจะตามหาเสียงกลับมาได้ “ข้าเพิ่งถามปรมาจารย์ว่าฝ่าบาททรงอยากลอบสังหารข้าเพื่อนำเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีกลับไป หรือปรมาจารย์ต้องการมันเองกันแน่” 


 


 


           “ฝ่าบาท?” ฉางเฟิงหัวเราะเสียงดัง “เจ้าหมายถึงฮ่องเต้เฒ่าของหนานฉินน่ะหรือ ช่างไร้ความสามารถ คิดหรือว่าจะควบคุมพวกเราต่อไปได้ ฝันไปเถิด!” 


 


 


           “เช่นนั้นข้าก็ไม่เข้าใจ ปรมาจารย์ต้องการเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีไปทำไม” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


 


           “เจ้าไม่ต้องมาหลอกถามข้า ไม่ต้องสนด้วยว่าข้าต้องการเคล็ดวิชาไปทำไม เจ้าแค่ส่งเคล็ดวิชาลับในมือมาให้ข้าก็พอแล้ว” ฉางเฟิงมองนาง “มิฉะนั้นข้าจะทำให้เจ้าเห็นตระกูลเซี่ยตายไปทีละคนกับตา ฟังว่าเจ้าให้ความสำคัญกับตระกูลเซี่ยมาก เช่นนั้น ข้าจะก็สังหารพวกเขาทีละคน” 


 


 


           “นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ข้าปรารถนาปกป้องตระกูลเซี่ย ปรมาจารย์ยังทราบด้วย” เซี่ยฟางหวาเผยสีหน้าสิ้นหวัง กัดฟันกล่าวต่อ “หากข้าส่งเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีให้แล้วท่านกลับคำสังหารตระกูลเซี่ย ข้าก็ทำอะไรท่านไม่ได้เหมือนกัน ปรมาจารย์ฉลาดเช่นนี้ ข้าเซี่ยฟางหวาก็ไม่ได้โง่” 


 


 


           “อืม เจ้าฉลาดกว่าสตรีทั่วไปจริง” ฉางเฟิงมองนาง “ข้ายังไม่สนใจตระกูลเซี่ย ขอเพียงเจ้าบอกเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีกับข้า ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่สังหารตระกูลเซี่ย” 


 


 


           “ตระกูลเซี่ยของข้าสืบทอดมาหลายร้อยกระทั่งพันปี เป็นตระกูลใหญ่ มีรากฐานสมบูรณ์ แค่ข้ากระดิกปลายนิ้วก็ตัดขาดชีพจรเศรษฐกิจในหนานฉินได้ ควบคุมบ้านเมืองหนานฉินครึ่งหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าท่านจะไม่สนใจตระกูลเซี่ย เหยียดหยามตระกูลเซี่ยเช่นนี้ ยังคิดว่าข้าจะมอบเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีให้ท่านอีกหรือ” เซี่ยฟางหวาพลันโกรธจัด 


 


 


           “สตรีบอบบาง เพียงแค่ฉลาดหน่อยก็เท่านั้น แค่แข็งแกร่งกว่าสตรีโง่เขลาส่วนใหญ่บนโลกนิดหน่อย แต่ความแข็งแกร่งก็มีขีดจำกัด มองให้กว้างอย่าว่าแต่ตระกูลเซี่ยเล็กๆ ของเจ้าเลย ถึงเป็นบ้านเมืองหนานฉิน บ้านเมืองเป่ยฉี ดินแดนน้อยๆ มากมายรวมเข้าด้วยกัน ก็เทียบเผ่าภูตผีไม่ได้” ฉางเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดัง  


 


 


           “เผ่าภูตผีไม่ใช่ล่มสลายไปนานแล้วหรอกหรือ” เซี่ยฟางหวาถลึงตามองฉางเฟิงด้วยความโกรธ “ฟังว่าเผ่าภูตผีเป็นดินแดนเล็กๆ อย่าว่าแต่หนานฉินกับเป่ยฉีเลย แต่หนึ่งถึงสองในสิบของตระกูลเซี่ยยังไล่ไม่ทัน มีความสำคัญมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ปรมาจารย์อยู่ในนรกเขาไร้นามมานานแล้ว ความคิดเลอะเลือนไปแล้วหรือ” 


 


 


           “สามหาว!” ฉางเฟิงเดือดจัด “เจ้ากล้าหาว่าข้าเลอะเลือนรึ” 


 


 


           “ไม่ใช่เลอะเลือนแล้วสิ่งใด เผ่าภูตผีเป็นดินแดนเล็กๆ ที่ล่มสลายไปตั้งนานแล้ว ใต้หล้านอกจากคนที่ดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อขยายเวลามีชีวิตอยู่ ไหนเลยจะยังมีร่องรอยของเผ่าภูตผีอีก” เซี่ยฟางหวาเหยียดหยาม “แม้แต่บ้านเมืองหนานฉิน บ้านเมืองเป่ยฉี และตระกูลเซี่ยยังไม่สนใจ หากปรมาจารย์ไม่เลอะเลือนแล้วจะให้เรียกว่าอะไร” 


 


 


           ฉางเฟิงเดิมทีโกรธจัด เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็พลันหัวเราะขึ้น “สตรีอย่างเจ้าช่างเป็นกบในกะลาโดยแท้ ไม่รู้จักสิ่งล้ำค่าของเผ่าภูตผี สิบดินแดนใต้หล้ายังเทียบไม่ได้” หัวเราะจบก็กล่าวด้วยใบหน้าดำทะมึน “อย่ามัวไร้สาระอีกเลย รีบส่งเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีมา แล้วเจ้ากับตระกูลเซี่ยจะไม่ตาย” 


 


 


           “หากได้เคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีไปแล้ว ปรมาจารย์จะปล่อยตระกูลเซี่ยกับข้าไปจริงหรือ” เซี่ยฟางหวาแคลงใจ 


 


 


           “แน่นอน ข้าพูดคำไหนคำนั้น” ฉางเฟิงบอก 


 


 


           “หลังปรมาจารย์ได้เคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีไปแล้วจะทำสิ่งใด” เซี่ยฟางหวาถามอีก 


 


 


           ฉางเฟิงพลันดึงกระบี่ออกมา เล็งมายังใบหน้าเซี่ยฟางหวา “ถ้าเจ้าไม่ส่งเคล็ดวิชาลับมา ข้าย่อมไม่สังหารเจ้า แต่นอกจากสังหารตระกูลเซี่ยทั้งหมดแล้ว ยังทรมานเจ้าด้วยการกรีดใบหน้าเจ้าก่อน” พูดจบ คมกระบี่ก็สะท้อนแสงเย็นยะเยือก เอ่ยถามด้วยความดุดัน “ข้าถามเจ้า เจ้าจะส่งเคล็ดวิชาลับมาหรือไม่” 


 


 


           “ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้” เซี่ยฟางหวารีบกล่าวด้วยความกลัว “ในเมื่อปรมาจารย์พูดคำไหนคำนั้น ไม่สังหารตระกูลเซี่ยกับข้า ตัวข้าสำหรับปรมาจารย์แล้ว ผู้อ่อนแอหรือจะสู้ผู้มีกำลังเข้มแข็งได้ อีกอย่างชีวิตของท่านปู่ก็อยู่ในกำมือของท่านปรมาจารย์ ข้าย่อมไม่กล้าไม่มอบให้ ท่านนำกระบี่ออกไปก่อน ปล่อยข้า แล้วข้าจะบอกเคล็ดวิชาลับกับท่าน” 


 


 


           ฉางเฟิงนำกระบี่ออกห่างเล็กน้อย กล่าวด้วยความเยือกเย็น “เจ้าอย่าตุกติก ถ้าข้าปล่อยเจ้าแล้ว มีหรือเจ้าจะไม่หนีไป” 


 


 


           “เคล็ดวิชาลับซ่อนอยู่ในใจข้า ข้าต้องเขียนออกมา ในเมื่อปรมาจารย์จับข้าได้ง่ายดายเช่นนี้ ยังกลัวว่าข้าจะหนีไปอีกหรือ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน จะหนีไปที่ใดได้” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           “ในเมื่อเจ้าจำไว้ในใจก็ไม่ต้องเขียนออกมา เจ้าแค่บอกมากับข้าก็พอแล้ว” ฉางเฟิงไม่ตกหลุมพราง 


 


 


           “ปรมาจารย์อยู่ที่นี่เพียงลำพังหรือ หากข้าพูดออกไปแล้วมีคนได้ยินเข้าเล่า” เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็กัดริมฝีปาก  


 


 


           “มีแค่ข้าที่อยู่ตรงนี้ เจ้าพูดมา ไม่มีใครได้ยินหรอก” ฉางเฟิงยืนยัน 


 


 


           “แต่ก็ควรระวังไว้หน่อยดีกว่า ปรมาจารย์ ท่านขยับเข้ามาใกล้หน่อย ข้าจะกระซิบบอกท่าน” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็กล่าวเพิ่มเติม “แต่ท่านต้องสาบานมาก่อน เมื่อได้เคล็ดวิชาลับไปแล้ว ห้ามลงมือกับตระกูลเซี่ยและข้าโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี” 


 


 


           “ได้!” ฉางเฟิงรีบสาบานต่อฟ้า อดใจรอไม่ไหวแล้ว 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นเขาสาบานอย่างรวดเร็ว ขยับเข้ามาใกล้นางจนห่างเพียงก้าวเดียว เขาย่อตัวลง ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมเป็นประกายร้อนวูบวาบ นางแค่นหัวเราะในใจ ทันใดนั้นก็ลงมือ แสงสีดำลอยออกจากฝ่ามือนางด้วยความเร็วว่องไว ชั่วพริบตาก็รัดลำคอเขาไว้ 


 


 


           ฉางเฟิงตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน รีบตวัดกระบี่ขึ้น ทว่าสายไปแล้ว 


 


 


           หนึ่งคือเขาลดการป้องกันตัว สองคือเซี่ยฟางหวาลงมืออย่างว่องไว โดยเฉพาะหลังแสงสีดำของนางพุ่งไปรัดคอเขา มันเหมือนกับวงแหวนม่านพลัง ชั่วพริบตาก็รัดแน่นขึ้นสามเท่าตั้งแต่หัวจดเท้า ห่อหุ้มตัวเขาไว้ท่ามกลางพลังแสงสีดำ 


 


 


           เขาวางตาข่ายมีรูปร่างกับเซี่ยฟางหวา กลับนึกไม่ถึงว่าเซี่ยฟางหวาจะวางตาข่ายไร้รูปร่างกับเขา 


 


 


           ชั่วพริบตาเขาก็ขยับตัวไม่ได้ ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ทว่าแสงสีดำรวมตัวกันกลายเป็นตาข่ายที่ยิ่งรัดยิ่งแน่นยิ่งถี่ยิบขึ้นตามแรงดิ้นของเขา ต่อให้เขามีลมปราณแท้ มีความสามารถ และมีความอดทนเพียงใด เวลานี้ก็มิอาจแสดงออกมาได้ 


 


 


 


 


 


[1] ***นั่งรอกระต่ายวิ่งมาชนต้นไม้ตาย หมายถึง นั่งรอคอยให้โชคลาภลอยมาหา 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม