ชายาเคียงหทัย 68.1-72.2

ตอนที่ 68-1 “สนามเด็กเล่น” ของพระชายา...

 

“ใครก็ได้เร็วเข้า! หลีอ๋องตกน้ำ!”


 


 


           ทะเลสาบสาวงามที่ครึ้กครื้นไปด้วยเสียงเพลง จู่ๆ ก็มีเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้น ผู้คนบนเรือลำใหญ่ที่อยู่ไปไม่ไกลนักต่างมองภาพชายร่างสูงใหญ่ลอยคว้างออกมาจากเรือลำใหญ่โตและหรูหรากันอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงดังตูม พร้อมกับร่างนั้นที่ตกลงไปในน้ำ จนเมื่อเรียกสติกลับมาได้แล้วจึงค่อยจับความของเสียงตะโกนนั้นได้ ก่อนที่ทุกคนจะตกใจกันยกใหญ่ หลีอ๋องตกน้ำ! เรือลำใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างทะยอยกันพายใกล้เข้ามา คนที่เคยมีเรื่องกับหลีอ๋องก็พากันหามุมรอชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนคนที่เคยคบหากับหลีอ๋องก็รีบสั่งให้คนกระโดดลงไปช่วย


 


 


           เมื่อเกิดเหตุการณ์ครึ้กโครมขึ้นเช่นนี้ คนที่อยู่นอกเรือต่างได้ยินกันชัดเจน มู่หรงถิงและเหลิ่งฮ่าวอวี่รีบเดินข้ามาทันที “อาหลี อาหลี เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” มู่หรงถิงคว้าตัวเยี่ยหลีมาสำรวจด้วยความตื่นเต้น เมื่อแน่ใจว่าเยี่ยหลีไม่เป็นอะไรแล้วถึงได้ถอนหายใจออกมา พร้อมพูดด้วยความไม่พอใจว่า “หลีอ๋องคนนี้นี่อย่างไรกัน อาหลี เขาได้รังแกเจ้าหรือไม่” สีหน้าเยี่ยหลีมีแววตระหนกเล็กน้อย แต่ยังคงส่งยิ้มน้อยๆ ให้นาง “ข้าไม่เป็นไร…หลีอ๋อง เขา…ไม่รู้ตกลงทะเลสาบไปได้อย่างไร”


 


 


           “ท่านอ๋อง!” เยี่ยอิ๋งและองค์หญิงซีสยาต่างตกใจกันยกใหญ่ รีบพุ่งตัวออกไปดูที่หน้าต่าง มีหลายคนกระโดดลงไปช่วยเขาแล้ว เพียงแต่ยังไม่เห็นร่างของม่อจิ่งหลี เยี่ยอิ๋งพูดด้วยความร้อนใจว่า “ท่านอ๋องตกลงไปในทะเลสาบได้อย่างไร เขา…เขาว่ายน้ำไม่เป็นนะ พี่สาม…” ครั้งนี้เยี่ยอิ๋งกลับไม่นึกสงสัยเยี่ยหลี เพราะม่อจิ่งหลีในสายตาของเยี่ยอิ๋งแล้ว เป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น ถึงอย่างไรก็คงไม่ถูกเยี่ยหลีโยนลงน้ำไปง่ายๆ เยี่ยหลีไม่ได้สนใจที่จะปลอบน้องสาวที่กำลังตื่นตระหนกอยู่เลย “ไม่มีอะไรหรอก มีคนลงไปช่วยหลีอ๋องตั้งเยอะแล้ว ท่านไม่เป็นไรแน่นอน” เยี่ยอิ๋งน้ำตารื้นมองคนในทะเลสาบตาไม่กะพริบ และไม่มีเวลามาสนใจเยี่ยหลีอีก แต่องค์หญิงซีสยากลับมองทุกคนที่อยู่บนเรือ ก่อนหมุนตัวจะเดินออกไปข้างนอก เยี่ยหลีเอ่ยเรียกเรียบๆ ว่า “แม่นาง นั่นท่านจะไปไหนหรือ”


 


 


           “ข้า…ข้าจะไปช่วยท่านอ๋อง เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” องค์หญิงซีสยาย่อมรู้ดีว่าเยี่ยหลีจำนางได้ เมื่อคิดได้ว่าเยี่ยหลีได้เห็นตนเองในสภาพอย่างวันนั้นแล้ว ทำให้องค์หญิงซีสยามองเยี่ยหลีด้วยความไม่สบายใจ และยิ่งไม่อยากอยู่บนเรือลำเดียวกับนาง เยี่ยหลีดึงเยี่ยอิ๋งให้หันมา “น้องสี่ พาแม่นางท่านนี้กลับไปที่เรือของพวกเจ้าเถิด ในเมื่อแม่นางท่านนี้เป็นคนของหลีอ๋อง เจ้าเป็นพระชายาหลีอ๋องก็ต้องดูแลแขกเหรื่อของท่านให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นได้”


 


 


           “แต่ว่า…” เยี่ยอิ๋งมีท่าทีลังเล นางเกลียดองค์หญิงซีสยา อีกอย่างตอนนี้หลีอ๋องจะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ นางจะมีกระจิตกระใจจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร


 


 


           “เอาเถิด อย่าได้ลืมฐานะของเจ้า” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “หลีอ๋องไม่เป็นอันใดหรอก เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตูมไป”


 


 


           เมื่อพูดจนเยี่ยอิ๋งยอมไปแล้ว เยี่ยหลีจึงได้เดินยิ้มเข้าไปหาทั้งสามคน ก่อนนั่งลงดูคนข้างล่างทำงานกันไปอย่างสบายอารมณ์ ผ่านไปอีกพัหนึ่งในที่สุดม่อจิ่งหลีก็ถูกช่วยขึ้นมาได้ ภายใต้แสงอาทิตย์ ร่างที่ลอยขึ้นมาเหนือน้ำของม่อจิ่งหลี บริเวณหน้าผากของใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายนั้นมีลูกสีเขียวบูมปูดขึ้นมาลูกใหญ่ คงเพราะอยู่ในน้ำนานแล้ว แต่ยังคงดูไม่ออกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ทุกคนต่างช่วยกันส่งตัวหลีอ๋องขึ้นเรือของตำหนักหลีอ๋องที่จอดอยู่ไม่ไกล จีนมุงทั้งหลายต่างพากันรุมล้อมไปทางนั้น ทางฝั่งเยี่ยหลีจึงสงบขึ้นมาก


 


 


           เหลิ่งฮ่าวอวี่มองเยี่ยหลีที่นั่งสบายๆ อยู่ริมหน้าต่างอย่างใช้ความคิด “พระชายาไม่เป็นห่วงเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เป็นห่วงอะไรหรือ คุณชายเหลิ่งวางใจเถิด หลีอ๋องเป็นคนมีบุญญาบารมีมาก ท่านไม่เป็นอันใดหรอก เมื่อครู่คุณชายเหลิ่งก็เห็นแล้ว ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ”


 


 


           มู่หรงถิงยกมือเท้าคาง ถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “อยู่ดีๆ เหตุใดหลีอ๋องจึงได้ตกลงน้ำไปได้กัน” ในช่วงที่คนนิยมมาล่องทะเลสาบกันของทุกปีนั้น มักจะมีคนหรือคนที่ตกน้ำไปก็จริง แต่ปกติแล้วจะเป็นเด็กๆ ที่ไม่รู้ความหรือคุณหนูที่ร่างกายบอบบางเท่านั้น หลีอ๋องที่ฝึกวิชาสายบู๊มาตั้งแต่เล้กๆ เหตุใดจึงตกลงไปในทะเลบสาบได้ เยี่ยหลีตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ท่านอ๋อง…อยู่ดีๆ ท่านอ๋องก็ลุกยืนขึ้น คงเพราะเรือโคลงเคลง จึงพลาดจนศีรษะทะลุออกไปกระมัง”


 


 


           มีตอนไหนที่เรือโคลงเคลงด้วยหรือ มู่หรงถิงที่อยู่ด้านนอกตลอดนึกสงสัยขึ้นในใจ “เขาน่าจะพอมีวิชาตัวเบาอยู่นะ”


 


 


           “ท่านอ๋องกลัวน้ำ คงลืมไปด้วยอารามตกใจกระมัง” เยี่ยหลีตอบด้วยสีหน้าแววตาเช่นเดิม วิชาตัวเบาไม่ใช่วิชาสารพัดนึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ขาข้างใดข้างหนึ่งชาไร้ความรู้สึก นอกเสียจากว่าเขาจะมีความสามารถอย่างใครบางคนที่ไม่ต้องใช้ขาก็สามารถลอยตัวขึ้นมาได้ เพียงแต่…ครั้งหน้าหากคิดจะลงมือกับม่อจิ่งหลีคงไม่ง่ายเช่นนี้แล้ว เยี่ยหลีนึกไตร่ตรองอยู่เงียบๆ ในใจว่า ต่อไปหากต้องเจอม่อจิ่งหลีอีกจะต้องระวังตัวให้มาก ฮว่าเทียนเซียงไม่สนใจว่าม่อซิวเหยาจะตกลงไปได้อย่างไร แต่กลับถามขึ้นด้วยความกังวลว่า “หลีเอ๋อร์ หลีอ๋องท่านเกิดเรื่องบนเรือของเจ้า ทางด้านไทเฮากับเสียนเจาไท่เฟย…” เยี่ยหลีกะพริบตาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ “เรือโคลงเคลงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ หลีอ๋องดื่มสุราเข้าไปเองจนยืนไม่อยู่ จะต้องให้ข้ารับผิดชอบด้วยหรือ เอาเถิด…ข้าดูเหมือนจะผิดที่ไม่ปิดหน้าต่างให้ดีเอง” เหลิ่งฮ่าวอวี่กวาดตามองเรือที่มีหน้าต่างเปิดอยู่เพียงสองบานเท่านั้น แล้วจึงอมยิ้ม “ถึงแม้จะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน แต่อากาศในทะเลสาบนี้ก็ร้อนอยู่ไม่น้อย พระชายาลืมปิดหน้าต่างให้ดี น่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจกันได้”


 


 


           “ขอบคุณคุณชายรองเหลิ่งมากที่เข้าใจ” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงส่ายหน้า “หลีเอ๋อร์ พวกเรากันเองก็ไม่เป็นอันใดหรอก แต่หลีอ๋องนั้นไม่ถูกกับติ้งอ๋องมาโดยตลอด ทั้งยังเคยมีเรื่องกับเจ้าอีก ต่อให้ไม่มีเรื่องก็หาขึ้นมาได้ เจ้าระวังไว้หน่อยเถิด” เยี่ยหลียิ้ม “ขอบใจเจ้ามากเทียนเซียง ข้าจะระวัง” หากม่อจิ่งหลีกล้าบอกกับทุกคนว่าถูกผู้หญิงคนหนึ่งจัดการแล้ว นางก็ไม่รังเกียจที่จะหาเหตุผลมาแข่งกับเขา หากไม่ได้ไตร่ตรองไว้อย่างดีแล้ว นางคงไม่ด่วนลงมือเช่นนั้นหรอก เมื่อคิดสีหน้าเจ็บปวดของม่อจิ่งหลีเมื่อสักครู่แล้ว ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกคันมือขึ้นมาอีกรอบ ในใจนึกเสียดายที่เมื่อครู่ไม่ต่อเขาให้หลายหมัดกว่านี้


 


 


 


 


           ตำหนักหลีอ๋อง


 


 


           ม่อจิ่งหลีถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงร้องไห้กระซิกๆ เดิมทีเขาก็เจ็บปวดไปทั่วร่างจนพูดไม่ออกแล้ว เสียงร้องไห้ในเวลานี้จึงยิ่งทำให้ปวดหัวจนแทบจะระเบิด “หุบ…หุบปาก!”


 


 


           “ท่านอ๋อง ท่านตื่นเสียที…” เยี่ยอิ๋งพุ่งตัวเข้าไปด้วยความตื่นเต้น องค์หญิงซีสยาที่อยู่อีกด้านก็รีบร้อนเข้าไปหาเช่นกัน “พี่จิ่งหลี ท่านเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกไม่สบายที่ตรงไหนหรือไม่”


 


 


           ม่อจิ่งหลีหลับตาลง ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น รู้สึกจุกอยู่ที่อกจนพูดไม่ออก แล้วจึงได้ไอออกมายกใหญ่ เยี่ยอิ๋งรีบเข้าไปประคองพร้อมลูบหลังให้ม่อจิ่งหลี “ท่านอ๋อง ดีขึ้นหรือไม่” เมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามของเยี่ยอิ๋งมีน้ำตานองหน้าแล้ว ทำให้คิดถึงใบหน้าเย็นชาของหญิงสาวที่ร้ายกาจอีกคนหนึ่งขึ้นมา จนม่อจิ่งหลีรู้สึกหงุดหงิดขึ้นทันที “ไม่ต้องรองแล้ว ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย เยี่ยหลีล่ะ” องค์หญิงซีสยาส่งเสียงเหอะเบาๆ “พี่จิ่งหลีพูดอะไรกัน เยี่ยหลีก็ต้องกลับไปที่ตำหนักติ้งอ๋องของนางแล้วสิ เกิดเรื่องกับท่านบนเรือของนาง นางไม่แม้แต่จะมาดูมาแล ช่างไร้มารยาทสิ้นดี!” เยี่ยอิ๋งจ้องหน้าองค์หญิงซีสยา “ต่อให้พี่สามเป็นเช่นไรก็ยังมีมายาทกว่าคนบางคนอยู่มาก ชายหญิงนั้นต่างกัน ท่านอ๋องนอนป่วยอยู่บนเตียงพี่สามจะมาดูได้อย่างไร” เยี่ยอิ๋งไมได้โง่ เรื่องที่องค์หญิงซีสยาได้แต่งงานเข้าตำหนักนี้แม้แต่ท่านพ่อของนางยังขวางไม่ได้ ถึงแม้เยี่ยหลีจะไม่ถูกกับคนมาตั้งแต่เล็กๆ แต่นางก็มีความแค้นกับองค์หญิงซีสยาเช่นกัน เมื่อเทียบกับองค์หญิงซีสยาแล้ว นางจะต้องอยู่ข้างเดียวกับคนที่เป็นพี่น้องแน่นอน นึกย้อนไปถึงวันนี้ที่เยี่ยหลีเอ่ยเตือนนางให้ดูแลองค์หญิงซีสยาให้ดี อย่าให้นางเที่ยวออกไปไหนต่อไหน เมื่อกลับมาถึงตำหนัก แม้แต่ไท่เฟยที่คอยแต่จะจ้องจับผิดนางยังเอ่ยชื่นชมนางไม่น้อย เยี่ยอิ๋งจึงรู้สึกว่าบางครั้งหากเชื่อฟังคำพูดของพี่สามนั้นก็ไม่ผิด เพราะต่อให้พี่รองเก่งกาจและฉลาดเพียงใด แต่นางก็อยู่ที่ในวัง ช่วยเหลืออะไรตนไม่ได้มาก ท่านย่าพูดถูก พวกนางพี่น้องเมื่อแต่งงานออกมาแล้วก็ต้องคอยช่วยเหลือกันและกัน


 


 


           “เจ้า!” องค์หญิงซีสยาโกรธจัด เรื่องในคราวนั้นทำให้นางไม่กล้าสู้หน้าบรรดาฮูหยินคุณหนูในเมืองหลวงได้ ทั้งยังต้องเสียฐานะองค์หญิงแห่งหนานจ้าวของคนไปอีก ถึงแม้นางสามารถละทิ้งทุกอย่างและกลับไปอยู่ที่หนานจ้าวได้ เพราะต่อให้นางไม่ได้เป็นองค์หญิงซีสยาและก็ยังคงเป็นองค์หญิงแห่งหนานจ้าวผู้สูงศักดิ์ได้ แต่นางรักพี่จิ่งหลีมากจริงๆ ต่อให้ไม่มีฐานะองค์หญิงนางก็ยินดีที่จะอยู่กับพี่จิ่งหลีไปชั่วชีวิต “พี่จิ่งหลี ท่านดูนาง…”


 


 


           “พอแล้ว ซีสยา อิ๋งเอ๋อร์ พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าเหนื่อยแล้ว!” ม่อจิ่งหลีเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน ถึงแม้ปกติหญิงสาวทั้งสองจะไม่ใช่คนที่ว่านอนสอนง่าย แต่กับคำพูดของหลีอ๋องแล้วพวกนางกลับยอมทำตามแต่โดยดี เมื่อเห็นเขาหน้าบึ้งลง พวกนางจึงได้แต่ลุกยืนขึ้นเดินออกไปด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์


 


 


           “หลีเอ๋อร์” ในห้องสงบอยู่ได้เพียงพักแล้ว เสียนเจาไท่เฟยก็เดินเข้ามา ม่อจิ่งหลีรีบร้อนจะลุกขึ้น เสียนเจาไท่เฟยจึงรีบเดินเข้ามากดหัวไหล่เขาไว้ให้นั่งลงบนเตียง ก่อนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหตุใดจึงไม่ระวังเช่นนี้” ม่อจิ่งหลีตอบเสียงขรึม “ลูกทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” เสียนเจาไท่เฟยยังคงจ้องเขาไม่วางตา แล้วเอ่ยถามว่า “อยู่ดีๆ เหตุใดเจ้าจึงตกน้ำตกท่าไปได้ แล้วยังเป็นตอนที่อยู่บนเรือตำหนักติ้งอ๋องอีก แม่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าได้ไปยุ่งกับเยี่ยหลีอีก เจ้าบอกแม่มา ที่เจ้าตกน้ำตกท่าไปเพราะเยี่ยหลีใช่หรือไม่”


 


 


           ม่อจิ่งหลีหน้าบึ้งลงทันที เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เพราะลูกไม่ระวังจึงตกลงไปเองพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “ไม่ระวังหรือ ตอนนี้มันตอนไหนแล้ว เหตุใดจึงจึงไม่ระวังตัวได้” เสียนเจาไท่เฟยเอ่ยต่อว่าต่อขานเขาด้วยความไม่พอใจ “เรื่องในครั้งนี้แม่จะไม่ถามเจ้าว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แต่ว่า…ตั้งแต่นี้เป็นคนไปเจ้าอยู่ห่างจากคนตำหนักติ้งอ๋องไม่หน่อย และอย่าได้ไปหาเรื่องติ้งอ๋องเชียว เข้าใจหรือไม่” ม่อจิ่งหลีเลิกคิ้วขึ้นอย่างดูแคลน “ท่านแม่ ท่านกับเสด็จแม่ประเมินติ้งอ๋องสูงไปหรือเปล่า” เมื่อเห็นสีหน้าดูแคลนของเขา เสียนเจาไท่เฟยจึงส่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ “เจ้าทะเลาะกับติ้งอ๋องมาตั้งแต่เล็กๆ แม่รู้ว่าเจ้าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจว่า เจ้าจะไม่สนใจม่อซิวเหยาได้ แต่เจ้าจะไม่สนใจตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้เด็ดขาด ตำหนักติ้งอ๋องกับตระกูลสวีนั้น ตอนนี้เราไม่อาจเอาเขามาเป็นพวกหรือล่วงเกินเขาได้ ดังนั้นเรื่องในวันนี้แม่จะไม่สืบสาวเอาความ ต่อให้เจ้าเสียเปรียบ ก็ต้องกล้ำกลืนไว้!”


 


 


           ม่อจิ่งหลีนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ลูกรู้แล้ว”


 


 


           เสียนเจาไท่เฟยค่อยๆ พยักหน้า มองม่อจิ่งหลีพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่รู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี บางครั้งจะให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจเจ้าต้องการไม่ได้ รอให้เจ้าได้ทุกอย่างเสียก่อน แล้วเจ้าอยากจะทำอันใด ก็ตามแต่ใจเจ้าได้เลยมิใช่หรือ แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น เจ้าต้องอดทนไว้ก่อน”


 


 


           “ขอบคุณท่านแม่ที่สั่งสอน ลูกรู้แล้ว” ม่อจิ่งหลีพยักหน้าอย่างนอบน้อม 

 

 


ตอนที่ 68-2 “สนามเด็กเล่น” ของพระชายา...

 

        เยี่ยหลีนำชุดที่ตนใช้เวลาในการทำไปไม่น้อยนั้นมาให้ม่อซิวเหยาเป็นของขวัญในวันเกิด แน่นอนว่าด้วยเรื่องไม่ค่อยดีที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบสาวงามกับเรื่องที่ม่อซิวเหยาอาจมีหญิงสาวในใจแล้วนั้น ทำให้เยี่ยหลีไม่ได้ทำตามคำแนะนำของฮว่าเทียนเซียงที่ให้ชวนม่อซิวเหยาไปล่องทะเลสาบ ถึงแม้นางจะค่อนข้างแปลกใจว่าม่อซิวเหยาที่ตลอดทั้งปีก้าวเท้าออกจากตำหนักน้อยเสียยิ่งกว่านางอีกนั้น จะไปพบสาวในดวงใจจากที่ไหนกัน ในเมื่อมีหญิสาวในใจอยู่แล้วเหตุใดเขาจึงได้แต่งงานกับนาง หรือว่าเขาแต่งงานแล้วค่อยมีหญิงสาวในใจกัน ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร แต่ก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจทั้งสองแบบ เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าการที่ตนแต่งงานเข้ามาด้วยเพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือหลังจากแต่งงานไปได้หนึ่งเดือน สามีกลับนอกลู่นอกทางนั้น อย่างไหนแย่กว่ากันกันแน่ ดังนั้น บ่าวทั้งตำหนักจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านอ๋องและพระชายาของตนจึงดูเหมือนจะค่อยๆ กลับไปห่างเหินเหมือนตอนที่แต่งงานเข้ามาใหม่ๆ ได้ อันที่จริงคือพระชายาเป็นฝ่ายที่ทำตัวห่างเหินกับท่านอ๋องอยู่ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า หรือว่าเกิดทะเลาะกันเข้า แต่ท่าทีที่ทั้งสองปฏิบัติต่อกันอย่างสุภาพเรียบร้อยนั้น ก็ไม่เหมือนกับคนที่ทะเลาะกันเสียเลยนี่นา


 


 


           ม่อซิวเหยาเองก็รู้ดีว่าเยี่ยหลีพยายามทำตัวห่างเหินกับเขา จะว่าห่างเหินก็ไม่เชิง แต่นางพยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองกลับไปเป็นเหมือนช่วงแรก แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จสักเท่าไร เพราะไม่เพียงม่อจิ่งหลีเท่านั้นที่รู้ตัว แม้แต่หมัวมัวข้างกายเยี่ยหลีรวมถึงซุนหมัวมัวที่ปกติจะยุ่งวุ่นวายทั้งวันต่างก็รับรู้ได้ถึงเรื่องนี้ แต่ม่อซิวเหยายังคิดไม่เข้าใจเท่านั้นว่าเป็นเพราะเรื่องอันใดกัน ดูเหมือนว่า…จะเริ่มตั้งแต่วันที่หยางเชียนหรูให้เขาตั้งแต่บ่ายวันนั้น เมื่อตอนที่อยู่คนเดียวในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยาคิดใคร่ครวญอยู่เงียบๆ คนเดียว เข้าไม่คิดว่าเยี่ยหลีจะโกรธเขาเพราะหยางเชียนหรู เพราะไม่เพียงพวกเขาที่รู้ว่าหยางเชียนหรูไม่สามารถสร้างปัญหาให้พวกเขาได้ อีกอย่างด้วยนิสัยของเยี่ยหลี ก็คงไม่นึกน้อยใจด้วยเพราะเรื่องของผู้หญิงคนนั้น เช่นนั้น…จะด้วยเรื่องที่พวกเขาคุยกันหรือ ม่อซิวเหยาถือหนังสือแต่ไม่ได้อ่านเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กำลังค่อยๆ นึกย้อนไปถึงบทสนทนาทุกประโยคที่พวกเขาพูดกัน…


 


 


           ขณะที่ม่อซิวเหยากำลังนั่งเหม่ออยู่ในห้องหนังสือนั้น เยี่ยหลีก็ได้พาชิงซวงและชิงหลวนที่แต่งตัวเป็นชายออกจากตำหนักไปเสียแล้ว ด้วยฐานะชายาติ้งอ๋องทำให้ไม่ว่านางจะไปที่ใดมักเป็นจุดสนใจเสมอ ดังนั้นเยี่ยหลีจึงเรียนการปลอมตัวตามที่เคยทำๆ กันมาบ้าง และชัดเจนว่า ฝีมือการปลอมตัวของนางนั้นใช้ได้ทีเดียว แน่นอนว่าการปลอมตัวของนางไม่ใช่การทำหน้ากากหนังคนหรืออะไรเช่นนั้น เป็นเพียงการเปลี่ยนสีผิว หรือรูปคิ้วนิดหน่อยเท่านั้น กับเก็บรายละเอียดอย่างรูต่างหูด้วยอีกนิดหน่อย แล้วชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีสีผิวคล้ำเล็กน้อยก็ได้เวลาออกโรงแล้ว ยิ่งรวมกับท่าทางแข็งแรงที่ไม่เหมือนกับหญิงสาวในยุคนี้ของเยี่ยหลีด้วยแล้ว หากไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกันจริงๆ และไม่ได้สังเกตดีๆ คงยากที่จะดูออกได้ ท่ามกลางที่หน้าที่ตกใจของชิงหลวนและชิงสยา เยี่ยหลีจึงรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง พร้อมทิ้งให้ทั้งสองคนนั่งคิดบัญชีอยู่ที่ฉังเจินเก๋อ ก่อนตนเองจะเดินโบกพัดพับในมือออกไป


 


 


           องครักษ์ลับที่คอยตามคุ้มกันเยี่ยหลีอยู่เงียบๆ ต่างพากันปาดเหงื่อแทนท่านอ๋องของพวกตน นี่ท่านอ๋องแต่งงานกับพระชายาอะไรเช่นนี้กัน หากพวกเขาไม่ได้เฝ้าอยู่หน้าห้องที่พระชายาเข้าไปอย่างไม่ขยับไปไหนแล้ว และเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามเดินออกมาจากในห้อง พวกเขาจึงเข้าไปดูด้วยตาตัวเองเพื่อความไม่ประมาทแล้ว พวกเขาคงได้คลาดกับพระชายาไปแล้ว พวกเขาเป็นถึงองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องที่มีประสบการณ์มากที่สุดเชียวนะ หากทำให้พระชายาคลาดสายตาพวกเขาจะมีหน้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ลับต่อได้อย่างไร กลับค่ายทหารไปฝึกให้หนักเสียยังดีกว่า เพียงแต่…เมื่อมองคุณชายเจ้าสำราญที่เดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์แล้ว อาสาม เขาเหมือนผู้หญิงหรือ


 


 


           ดูไม่ออกเลย น้องสี่


 


 


           ตั้งแต่ได้ฝึกวิชาต่อสู้อย่างเปิดเผยเป็นต้นมา เยี่ยหลียิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่ชอบชีวิตตัวในอย่างสมัยก่อนเข้าไปใหญ่ เรื่องที่นางแสดงนั้นอย่างไรก็ยังต้องแสดงต่อไป เพราะเนื้อแท้ของนางจริงๆ แล้วไม่มีความเป็นคุณหนูลูกผู้ดีอยู่เลย และแน่นอนว่านางไม่ได้มีนิสัยร่าเริงอยู่ไม่สุกด้วยเช่นกัน แต่ความสนุกตื่นเต้นเพื่อเติมเต็มชีวิตนั้นอย่างไรก็ยังต้องมีอยู่ ส่วนเรื่องม่อซิวเหยานั้น หลังจากคิดไม่ตกอยู่สองสามวัน ก็ถูกนางผลักมันออกไปจากหัวแล้ว หากม่อซิวเหยามีหญิงสาวในดวงใจอยู่จริง และตัดสินใจว่าต้องการแยกทางกับนางอย่างสันติ ก็ใช่ว่านางจะรับไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็ยังมีเงิน และเชื่อว่าม่อซิวเหยาคงไม่ขี้เหนียวกับเรื่องค่าเลี้ยงดูเป็นแน่ แต่หากเป็นเช่นนั้น เรื่องการสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เพื่อที่ในอนาคตจะได้มีลูกกันได้นั้น จึงต้องวางไว้ก่อน และนางยังไม่รู้ใจของอีกฝ่ายด้วยว่าเขาคิดจะมีลูกกับนางหรือไม่ ดังนั้น เยี่ยหลีที่คิดเอาเองว่าไม่จะเป็นต้องสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อกันแล้ว เมื่อมีเวลาว่างจึงมักตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอกเสมอ หญิงที่แต่งงานแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่แต่กับบ้านทั้งวันนี่


 


 


           “อาสาม พระชายาจะไปที่ใดกัน” ในที่ลับ องค์รักษ์ลับสี่ที่ติดตามอยู่เงียบๆ เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา


 


 


           “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ดูเหมือนพระชายาจะออกนอกเมือง” องครักษ์ลับสามเอ่ยตอบ


 


 


           “ท่านอ๋องกับพระชายาดูจะมีเรื่องผิดใจกันเสียแล้ว พระชายาคงจะไม่คิดที่จะหนีออกจากตำหนักหรอกกระมัง” จู่ๆ องครักษ์ลับสี่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานช่วงที่เปลี่ยนกะ เขาเหมือนได้ยินองครักษ์หนึ่งกับสองพูดกันว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องกับพระชายาดูแปลกๆ


 


 


           “เรื่องนี้…คงไม่หรอกกระมัง” องครักษ์ลับสามมีท่าทีลังเล “เช่นนี้ข้าตามพระชายาไป ส่วนเจ้ากลับไปรายงานท่านอ๋องดูดีหรือไม่”


 


 


           “หากพระชายาหนีออกจากบ้านไปจริง เจ้าจะขวางนางได้หรือ หากคลาดไปจะทำเช่นไร” ถึงแม้พวกเขายังไม่เคยเจอกับตัวว่าวิชาต่อสู้ของพระชายาสูงส่งเพียงใด แต่ย่อมดีกว่าพวกท่าดีทีเหลวเป็นแน่


 


 


           “เรื่องนี้…คลาดกันเสียแล้ว!” องครักษ์ลับทั้งสองออกมาจากที่ลับ ก่อนไปสำรวจดูจุดที่พระชายาหายตัวไป ถึงแม้เมื่อครู่พวกเขาจะไม่ได้ตามใกล้มาก แต่ก็ห่างไปไม่ไกลนัก ชั่วเวลาเพียงแวบเดียว พระชายาไม่มีทางไปไหนได้ไกลเป็นแน่


 


 


            เยี่ยหลีนั่งมององครักษ์ลับสองคนที่ทำท่าเลิ่กลั่กอยู่บนกิ่งไม้ ฝีมือการลอบสะกดรอยตามไม่เลว แต่ติดจะประมาทสักหน่อย “ข้าว่า…พวกเจ้าไม่เคยมองขึ้นบ้างบนกันบ้างเลยหรือ” องครักษ์ลับสองคนที่เดินผ่านมามองชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้อย่างอายๆ นั่นเพราะในตำหนักติ้งอ๋องไม่เคยมีพระชายาที่ปีนต้นไม้ได้มาก่อนน่ะสิ อีกอย่างพวกเราหันไปหันมามองหาอยู่ใต้ต้นไม้ตั้งเป็นนานยังไม่ได้ยินแม้เต่เสียหายใจเลยด้วยซ้ำ “พระ…พระชายา…” องครักษ์ลับทั้งสองได้แต่น้ำตาไหลในใจ นึกตัดสินใจว่าวันนี้จะกลับไปรายงานตัวต่อหัวหน้าหน่วย ว่าพวกเขาไม่เหมาะที่จะเป็นองครักษ์ลับ พวกเขาต้องการที่จะฝึกฝนตนเองใหม่


 


 


           เยี่ยหลีกระโดดออกจากบนต้นไม้ ลงมาตรงหน้าทั้งสองคน “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”


 


 


           “ข้าน้อยมิกล้า”


 


 


           “ข้าไม่ได้คิดจะหนีออกจากตำหนัก” เยี่ยหลีอมยิ้มมององครักษ์ทั้งสองที่ดูตื่นเต้น องครักษ์ลับสามลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้น…พระชายาจะออกไปทำอะไรที่นอกเมืองหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าจะตามข้าได้นานเพียงใด” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ก่อนพยักหน้าพร้อมเอ่ยชม “โดยรวมแล้วถึอว่าไม่เลวทีเดียว เพียงแต่หากสามารถควบคุมสายตาของพวกเจ้าได้คงจะยิ่งดีกว่านี้ ออกจากฉังเจินเก๋อมาได้ไม่ถึงหนึ่งลี้ สายตาของพวกเจ้าที่มองมาทำให้ข้าจะทำเป็นไม่เห็นยังไม่ได้เลย”


 


 


           “ขอบคุณพระชายาที่สั่งสอน” ไม่ทันถึงหนึ่งลี้ก็ถูกจับได้แล้วหรือ นี่ถือเป็นคำชมหรือนี่


 


 


           เยี่ยหลีมองสีหน้าเศร้าสร้อยขององครักษ์ตรงหน้าด้วยความยินดี “พวกเจ้าจะตามข้าก็ได้ แต่ว่า…เรื่องที่วันวันหนึ่งข้าไปทำอะไรมาบ้างนั้นพวกเจ้าคงไม่เอาไปบอกคนอื่นกระมัง” องครักษ์ลับทั้งสองสีหน้ายินดียิ่ง “ขอบคุณพระชายามากพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่วันมงคลใหญ่ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายาเป็นต้นมา ข้าน้อยสองคนกับองครักษ์อีกสองคนก็มีหน้าที่ติดตามพระชายาโดยเฉพาะ นอกจากพระชายาจะมีอันตรายถึงชีวิต มิเช่นนั้นแล้วพวกเราไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวใดๆ ก็ตามของพระชายาให้คนอื่นทราบพ่ะย่ะค่ะ รวมถึงท่านอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสี่เอ่ยอธิบาย เยี่ยหลีพยักหน้า ม่อซิวเหยาเคยพูดกับนางเรื่ององครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว หลายวันนี้นางทำให้นางมั่นใจว่าคนพวกนี้ไม่ได้เอาเรื่องของนางไปรายงานแต่ม่อซิวเหยา เพียงแต่ต่อให้พูดก็ไม่เป็นไร เพราะเรื่องที่นางให้พวกเขาเห็นย่อมไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอยู่แล้ว


 


 


           “พอดีเลย ข้าต้องการแรงงานอยู่พอดี พวกเจ้าตามข้ามา”


 


 


           องครักษ์ลับสามและสี่หันมองหน้ากัน พวกเขาเคยพูดว่าพวกเขาเป็นองครักษ์นะ 

 

 


ตอนที่ 68-3 “สนามเด็กเล่น” ของพระชายา...

 

           วันนี้องครักษ์ลับสามและสี่ ได้เข้าใจคำว่าชายาติ้งอ๋องว่าเกินคำว่าสตรีไปแล้ว พระชายาขี่ม้าเป็นหรือ เรื่องนี้ยังไม่เท่าไร พระชายามีวิชาต่อสู้หรือ เรื่องนี้ก็ยังไม่เท่าไร เพราะพวกเขารู้ตั้งแต่อยู่ที่ตำหนักแล้ว แต่ใครสามารถบอกพวกเขาได้บ้างว่า เหตุใดพระชายาจึงต้องพาชายอกสามซอกมาบุกรังโจรหรือ เอาเถิด ตอนนี้ที่นี่ไม่มีโจรอยู่แล้ว ตั้งแต่คืนที่พระชายาถูกจับตัวไป คุณชายเฟิ่งซานก็ได้พาหน่วยเฮยอวิ๋นมากวาดล้างรังโจรบนยอดเขาที่ชื่อเฮยอวิ๋นเสียจนราบคาบหมดแล้ว พวกสหายเฮยอวิ๋นฉีทั้งหลายต่างไม่พอใจ พวกโจรป่าที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบังอาจตั้งชื่อยอดเขาว่าเฮยอวิ๋น แล้วยังกล้าทำให้ท่านอ๋องโกรธอีก นี่ไม่ได้เป็นการทำให้ชื่อเฮยอวิ๋นเสื่อมเสียหรือ


 


 


           เมื่อเห็นเยี่ยหลีขี่ม้าไปได้กว่าร้อยลี้ จากนั้นก็ลงเดินเท้าขึ้นภูเขา โดยไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ทำให้องครักษ์ลับที่กลายเป็นองครักษ์ไม่ลับรู้สึกหัวเสียเป็นอย่างมาก เยี่ยหลีหันกลับไปมองทั้งสอง ก่อนเลิกคิ้วด้วยควาไม่เข้าใจ “ทำไมหยุดเดินเสียเล่า เหนื่อยแล้วหรือ”


 


 


           ทั้งสองส่ายหน้าราวกับตีกลอง องครักษ์ลับสามรวบรวมกำลังใจถามขึ้นว่า “พระชายา พวกเรามาทำอะไรกันที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลีหันกลับไปมองทั้งสองคนพร้อมยิ้ม “ปีนเขา เดินเล่น เที่ยวนอกเมือง พักผ่อนหย่อนใจ จับพวกเจ้าไปขาย อย่างไหนดี”


 


 


           “พระชายา…”


 


 


           องครักษ์ลับทั้งสามและสี่ต่างเคยมาที่ยอดเขาเฮยอวิ๋นแห่งนี้ แต่เมื่อขึ้นมาบนเขาพวกเขาจึงได้รู้ว่าที่นี้ต่างกับคราวที่แล้วที่มาโดยสิ้นเชิง รังโจรบนภูเขาที่เคยมีอยู่เดิมไม่ได้ถูกทำลายไป แต่ค่ายกลและหลุมกับดักตั้งแต่ตรงนี้เป็นตนไปกลับถูกทำลายออกไปหมดแล้ว ทางเดินบนเขาก็เดินง่ายขึ้นมาก ถึงแม้สำหรับพวกเข้าจะมีวิชาที่แก่กล้าแล้วอาจไม่ถือว่าเป็นอะไรนัก แต่หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้ว นั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยทีแล้ว ในรังโจรยังไม่คนมาอาศัยอยู่อีกด้วย พวกเขาที่อยู่ไกลออกมามองเห็นกลุ่มควันไฟ พระชายาคงไม่ได้อยากเปลี่ยนที่ผืนนี้ให้ทำเรื่องผิดกฎหมายหรอกกระมัง หรือว่าบนยอดเขาเฮยอวิ๋นมีโจรป่าเพิ่มขึ้นอีกกลุ่มหนึ่ง แล้วพระชายาจึงคิดที่จะพาพวกเขามาทลายรังโจรนั้น


 


 


           ทั้งสามเพิ่งเดินเข้าไปใกล้หน้ารังโจรได้ไม่เท่าไร ก็ได้ยินเสียงหมาเห่าขึ้น ไม่นานก็มีผู้เฒ่าอายุราวๆ หกสิบกว่าปีที่ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉงเดินนำผู้เฒ่าอีกสองสามคนกับเด็กๆ ออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นเป็นเยี่ยหลีทุกคนต่างก็อมยิ้มพร้อมออกมาต้อนรับ “คุณชายฉู่”


 


 


           เยี่ยพลีพยักหน้า “ลุงหวัง ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”


 


 


           ผู้เฒ่าคนที่ถือไม้เท้าพยักหน้า “ลุงสบายดี โชคดีที่มีคุณชายคอยดูแล เชิญคุณชายด้านในก่อน”


 


 


           เยี่ยหลีเชิญให้ผู้เฒ่าเดินนำเข้าไปก่อน เยี่ยหลีเดินอยู่ข้างหน้าพร้อมเอ่ยถามว่า “ข้ามาที่นี่ไม่ได้บ่อยนัก ลุงหวังอยู่ทางนี้สบายดีหรือไม่”


 


 


           ผู้เฒ่าตอบว่า “ที่นี่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทุกอย่างล้วนดีไปหมด เรื่องที่คุณชายสั่งไว้ พวกข้าได้ทำตามที่คุณชายต้องการมาเสมอ คุณชายจะลองไปดูก่อนหรือไม่ อ้อ…ตอนนี้ใกล้ถึงเวลากินมื้อเที่ยงแล้ว คุณชายเดินทางมาไกล คิดว่าคงยังไม่ได้กินข้าว หากไม่รังเกียจอาหารหยาบๆ ที่นี่ ก็ขอเชิญกินข้าวก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่” เยี่ยหลีออกมาตั้งแต่เช้าจึงยังไม่ได้กินข้าวจริงๆ จึงพยักหน้าอย่างเห็นดีด้วย ผู้เฒ่าดีใจเป็นอย่างมาก รีบสั่งให้คนไปเตรียมมื้อเที่ยงมาให้นาง ทั้งยังได้เชิญให้เยี่ยหลีเข้าไปพักผ่อนยังห้องที่ดูเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้านด้วยตนเองอีกด้วย


 


 


           “พระชายา…ที่นี่ เหตุใดที่นี่…” เมื่อผู้เฒ่าเดินหายไป องครักษ์สามก็รีบเอ่ยถามขึ้นทันที เพียงแต่คิดอยู่เป็นนานก็คิดไม่ออกว่าควรถามว่าอะไรดี


 


 


           เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ “เจ้าอยากถามเรื่องที่นี่หรือ คราวที่แล้วที่ข้ามาเที่ยวที่นี่ รู้สึกว่าที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว จึงคิดหาทางซื้อมาไว้” ที่นี่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทั้งยังเป็นที่ที่ปลอดผู้คน พื้นที่ป่าบนภูเขาเช่นนี้ย่อมมีเจ้าของ เพียงแต่มีโจรป่าเข้ามายึดครองอยู่คนทั่วไปจึงไม่กล้าเข้ามายุ่ง องครักษ์สี่ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “พระชายาซื้อภูเขาลูกนี้มาเพื่อการใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่นี่ดูแล้ว…ก็ไม่ได้มีค่าอะไร” ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือพืชพันธุ์บนภูเขาต่างก็ดูไม่มีค่าอะไรนัก และภูเขาลูกนี้ก็ดูไม่มีเหมืองเงินเหมืองทองอยู่อีกด้วย


 


 


           เยี่ยหลีกะพริบตา “เดิมที่ข้าก็ไมได้คิดที่ว่ามันจะมาสร้างมูลค่าอะไรอยู่แล้ว ภูเขาลูกนี้เป็นเพียงภูเขาธรรมดาๆ เพียงแต่บนภูเขาและตีนเขามีหนึ่งหมู่บ้านกับบ้านเรือนสามสี่หลังเพิ่งขึ้นมาเท่านั้น”


 


 


           “ตีนเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามนึกได้ว่าที่ไม่ไกลจากตีนเขามีหมู่บ้านขนาดไม่เล็กนักอยู่จริง


 


 


           องครักษ์ต่างไม่ใช่คนหัวทื่อ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าต่อให้หมู่บ้านที่ตีนเขาเป็นของพระชายา แต่สิ่งที่พระชายาให้ความสำคัญย่อมเป็นของที่อยู่บนภูเขาแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่ปีนเขาขึ้นมาโดยเฉพาะ ดวงตาสองคู่มองคุณชายรูปงามตรงหน้าเงียบๆ เยี่ยหลีได้แต่พับพัดที่ทำให้ดูสง่างามลง “เอาเถิด กินข้าวเสียก่อนแล้วข้าจะพาพวกเจ้าไปดู ไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่รู้จักยึดถือจรรยาบรรณของอาชีพองครักษ์ลับ หากพวกเจ้าไม่รู้ล่ะก็ ข้าจะสอนพวกเจ้าจนกว่าจะรู้ด้วยตนเอง” องครักษ์ลับสามและสี่อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ แล้วจึงตอบออกไปตามสัญชาตญาณว่า “ข้าน้อยเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เมื่อกินมื้อกลางวันที่ค่อนข้างเรียบง่ายเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีหันไปเอ่ยขอบคุณผู้เฒ่าก่อนจะพาองครักษ์ลับทั้งสองออกเดินไปทางหลังเขา


 


 


           จากนั้นไม่นาน องครักษ์ลับสามและสี่ก็ได้เข้าใจว่า เหตุใดพระชายาถึงได้บอกพวกเขาว่านางต้องการแรงงาน ตั้งแต่หน้าผ้าด้านหลังภูเขาเรื่อยลงไปนั้น มีหุบเขาที่ใหญ่โตมโหฬารอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้า ถึงแม้จะเป็นตอนกลางวันแสกๆ แต่ยังยังได้ยินเสียงหมาป่าเห่าหอนมาจากที่ไกลๆ มีสถานที่เช่นนี้อยู่ใกล้เมืองหลวงด้วยหรือ เยี่ยหลีพาพวเขาเดินต้นไม้ในป่าทึบอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พบกับกลุ่มคนที่กำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง คนพวกนี้กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการสร้างบ้านพักธรรมดาๆ หลังหนึ่ง กับของบางอย่างที่พวกเขาเห็นอยู่ในสนามฝึกซ้อมที่ตำหนัก กับข้าวของอื่นๆ ที่พวกเขาไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ที่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจที่สุดคือ หลายวันนี้พวกเขาติดตามพระชายามาโดยตลอด แต่ไม่เคยเห็นพระชายาทำเรื่องอันใดเลย แล้วที่นี่มันอะไรกัน


 


 


           คนที่เข้ามาทักทายพวกเขาคือชายร่างกำยาอายุประมาณสามสิบปี เมื่อเขาเห็นเยี่ยหลีก็รีบเข้ามาต้องรับทันที “คุณชายฉู่”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ทำไปถึงไหนแล้ว”


 


 


           ใบหน้าชายร่างกำยำเต็มไปด้วยรอยยิ้มซื่อๆ “คุณชายท่านวางใจเถิด พวกเราจะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ล้วนทำตามที่ท่านสั่ง ท่านลองดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง” เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าด้วยความพอใจ “ข้าไปดูมาแล้ว พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ชายร่างกำยำยกมือขึ้นจับผม ยิ้มแล้วตอบว่า “ถึงพวกเราจะไม่รู้ว่าของเล่นพวกนี้ใช้ทำอะไร แต่คุณชายฉู่มีบุญคุณต่อพวกเรา ซ้ำยังให้งานพวกเราทำ พวกเราจะตั้งใจทำเพื่อท่านเป็นอย่างดีแน่นอนขอรับ” เยี่ยหลียิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจ พวกเจ้าก็อาศัยแรงในการหาเงิน วันนี้ข้านำแบบอันใหม่มาด้วย พวกเจ้าลองดูว่ามีส่วนไหนที่ไม่เข้าใจหรือไม่ จะได้อธิบายให้ละเอียดขึ้น” เยี่ยหลีหยิบกระดาษม้วนหนาออกมาส่งให้เขา ชายร่างกำยำเปิดออกดูรอบหนึ่งพร้อมยิ้ม “คุณชายวาดออกมาได้ชัดเจนมาก ข้าจะนำไปให้พวกท่านอาจารย์ดู คุณชายจะไปด้วยกันหรือไม่”


 


 


           “ข้ารอดูก่อนดีกว่า ไว้ให้พวกเขาทำงานเสร็จแล้วข้าค่อยตามไป”


 


 


           ชายผู้นั้นเดินถือกระดาษไปด้วยความตื่นเต้น เยี่ยหลีจึงได้ปรายตามองทั้งสองคนที่มัวอึ้งอยู่ “อยากถามอะไรตอนนี้ถามได้เลย”


 


 


           องครักษ์ลับสี่มองเยี่ยหลีแล้วถามขึ้นว่า “พระชายา…พระชายาจะสร้างสนามฝึกหรือพ่ะย่ะค่ะ” มีหลายอย่างที่เหมือนกับที่ตำหนักมาก


 


 


           เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าด้วยความพอใจ “ตามีแวว เจ้าจะว่าข้ากำลังสร้างสวนสนุกที่น่าสนุกก็ได้”


 


 


           งานอดิเรกของพระชายาช่างแปลกประหลาดนัก


 


 


           “พระชายาหาที่นี่พบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามถามขึ้น


 


 


           “อ้อ ข้าไปถามใครบางคนว่าละแวกเมืองหลวงมีสถานที่ที่ลับตาคนและน่าสนุกอยู่หรือไม่ เขาแนะนำที่นี่ให้ ข้าเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งก็รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลยจริงๆ”


 


 


           องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว ก่อนเงยหน้าขึ้นมองด้านบน “ที่นี่น่าจะง่ายต่อการบุกเข้ามานะพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อครู่พวกเขาลงมาจากหน้าผาได้เลย อีกทั้งคราวที่แล้วเจ้าของเทียนอี้เก๋อยังหลบหนีไปจากทางด้านล่างนี้ได้ด้วย แสดงว่าทางเข้าและทางออกไม่ได้มีเพียงทางเดียว เยี่ยหลียิ้ม “หากเจ้าพูดถึงทางเดินที่อยู่ข้างล่างนี้ล่ะก็ มันถูกข้าปิดตายไปหมดแล้ว หากต้องการที่จะออกจากป่าผืนนี้ไปได้ล่ะก็ ข้าสำรวจมาแล้ว ชายป่าผืนนี้ทั้งสี่ด้านอยู่ไกลออกไปประมาณห้าสิบลี้หรืออาจมากกว่านั้น ด้านหนึ่งด้านล่างเป็นหน้าผาที่ลึกยิ่งกว่านี้เสียอีก อีกทั้งในป่ายังมีหนองน้ำอยู่ด้วย มีพืชพันธุ์มีพิษอยู่สารพัดประเภท มีทั้งนกและสัตว์ป่าที่ดุร้าย พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าพื้นที่โดยรอบละแวกนี้ต่างวางยากันงูไว้ ช่างเป็นสนามล่าสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์มากจริงๆ การที่จะหาพื้นที่ละแวกเมืองหลวงที่เป็นเช่นนี้นั้นไม่ง่ายนักเลยจริงๆ หากพวกเจ้าคิดจะลงมาที่นี่โดยใช้เส้นทางเดียวกับที่พวกเรามาจากข้างบนแล้ว…รอให้ที่สร้างเสร็จเสียก่อน ถนนเส้นนั้นก็จะหายไปด้วยเช่นกัน อีกอย่าง…หากไม่กลัวตายจะลองใช้วิชาตัวเบากระโดดลงมาก็ยังได้”


 


 


           องครักษ์สามกับสี่ต่างเขยิบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินเยี่ยหลีพูดถึงการกระโดดลงมาที่นี่จากด้านบนแล้ว ดูจะหนักหนากว่าการบุกเข้ามาทางป่าเสียอีก


 


 


           “พระชายาสร้างสถานที่เช่นนี้…ไปเพื่ออันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนเอ่ยถามด้วยความยากลำบาก


 


 


           เยี่ยหลียิ้มเต็มหน้าก่อนตอบว่า “ข้าไม่ได้บอกแล้วหรือ ไว้เล่นไง ในตำหนักมีข้อจำกัดเยอะเกินไป จนน่าเบื่อ รอให้ที่นี่สร้างเสร็จเสียก่อน หากข้านึกเบื่อก็จะมาเที่ยวที่นี่สักรอบ อารมณ์ข้าคงดีขึ้นมาก” สีหน้าองครักษ์สามและสีเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก พวกเขาน่าจะรู้เสียนานแล้วว่าคนที่มีความสนใจพิเศษเช่นพระชายานี้ย่อมไม่ใช่คนปกติ คนทั้งเมืองหลวงต่างถูกพระชายาหลอกเสียแล้ว…ต่อให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งก็คงตกใจกับความห้าวหาญของลูกสะใภ้คนนี้อยู่ดีกระมัง


 


 


           เยี่ยหลีมองการตกแต่งโดยรอบด้วยความพอใจ ก่อนรอยยิ้มในดวงตาของนางจะหายไป วันเวลาคงไม่สงบสุขเช่นนี้ไปตลอด ดังนั้นนางจึงไม่อาจทำตัวเป็นชายาติ้งอ๋องที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและไม่กังวลใจกับเรื่องใดๆ เลยได้จริงๆ พี่ใหญ่เดินทางไปชายแดนทางตอนใต้แล้ว ส่วนพี่สามก็เข้าค่ายทหารไปแล้ว…หากไม่เพราะคาดเดาว่าความปั่นป่วนอันร้ายแรงในอนาคตนั้นยากจะหลบเลี่ยงได้แล้ว ท่านลุงใหญ่ไม่มีทางให้พี่ใหญ่ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องในราชสำนักเป็นแน่ ชื่อเสียงคุณชายชิงเฉินนั้นยิ่งใหญ่เกินไป และตระกูลสวีก็ไม่ต้องการชื่อเสียงที่มากไปกว่านี้แล้ว เช่นนั้น…ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายขึ้น นางก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมเสียก่อน เพื่อที่ในอนาคตนางจะได้สามารถปกป้องคนในครอบครัวของนางได้ ด้วยวิธีของนาง 

 

 


ตอนที่ 69-1 ป่วยหนัก

 

           เรื่องบนยอดเขาเฮยอวิ๋น องครักษ์ลับสามและสี่ได้รับอนุญาตให้บอกเรื่องนี้กับองครักษ์หนึ่งและสองที่เป็นคู่ผลัดเวรของเขา เยี่ยหลีไม่ได้พูดว่าเรื่องนี้พวกเขาสามารถรายงานต่อม่อซิวเหยาได้หรือไม่ แต่องครักษ์หนึ่ง สอง สาม และ สี่ได้ลองไตร่ตรองดูแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่พระชายาพูดถึงจรรยาบรรณของอาชีพนั้นๆ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นองครักษ์ที่ยืดถือหลักจรรยาบรรณดู เพราะต้องรู้ว่า การถูกเจ้านายทอดทิ้งถือเป็นความเสื่อมเสียของการเป็นองครักษ์ เพราะตั้งแต่ที่พวกเขามารับหน้าที่เป็นองครักษ์ลับประจำตัวพระชายานั้น คนแรกและคนเดียวที่พวกเขาจะต้องจงรักภักดีก็คือพระชายา ไม่ใช่ท่านอ๋อง ซึ่งเยี่ยหลีพอใจกับองครักษ์ที่มีจรรยาบรรณเหล่านี้มาก เพราะถึงอย่างไรคนที่มีวิชาการต่อสูงแก่กล้าทั้งยังสามารถไว้ใจได้นั้น ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เลย และนางเองไม่อยากไปเสียเวลาหาองครักษ์ใหม่ด้วย 


 


 


           เยี่ยหลีพอใจที่จะรักษาความสม่ำเสมอในการไปยอดเขาเฮยอวิ๋นที่เดือนละสองครั้ง และแน่นอนว่าย่อมเป็นการปลอมตัวไป คนในหมู่บ้านที่ตีนเขาเฮยอวิ๋นกับคนบนเขาต่างเรียกนางกันว่าคุณชายฉู่ นามฉู่จวินเว่ย บางครั้งพาองครักษ์ลับหนึ่งสองไป บางครั้งพาองครักษ์สามสี่ไป แต่ทั้งสี่คนดูจะให้ความสนใจเป็นอย่างมากกับการสร้างสนามฝึกที่แปลกประหลาดนั้น บางครั้งถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกันเพื่อที่จะได้ติดตามเยี่ยหลีออกไปด้วย เยี่ยหลีออกจากตำหนักบ่อยๆ แน่นอนว่าม่อซิวเหยาย่อมรู้ดี แต่เขาไม่เคยถามว่าเยี่ยหลีไปที่ใด ซึ่งความใจกว้างของเขาในเรื่องนี้ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก บางครั้งที่นางออกไปเดินเล่นซื้อของกับพวกฮว่าเทียนเซียงจึงไม่ลืมที่จะซื้อขนมอร่อยๆ กลับมาฝากเขา เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองดูเหมือนจะห่างเหินกันไปอีกด้วยความยุ่งของเยี่ยหลี บางครั้งที่ได้เห็นสายตาไม่เห็นด้วยของเว่ยหมัวมัวกับหลินหมัวมัวก็ทำให้เยี่ยหลีอดรู้สึกผิดในใจอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ความรู้สึกผิดนี้ถูกผลักออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะนางกำลังยุ่งมาก ยุ่งมากจริงๆ 


 


 


           นางไม่เพียงต้องจัดการเรื่องต่างๆ ภายในตำหนัก แล้วยังต้องมีสินเดิมของตนที่ต้องจัดการอีกด้วย ร้านค้าที่เป็นสินเดิมของนางกิจการยังคงไปได้เรื่อยๆ แต่เยี่ยหลีได้ลอบนำเงินสดเกือบทั้งหมดในสินเดิม รวมถึงเงินที่หานหมิงเย่ว์ส่งมาให้ไปซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติมไว้ อย่างเช่นบ้านพักสองหลังกับร้านค้าสามห้องที่นอกเมืองซึ่งซื้อไว้ในนามฉู่จวินเว่ย รวมถึงร้านค้าสองห้องในเมืองหลวงด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้นางได้ขอให้สวีชิงเจ๋อช่วยส่งคนไปจัดการด้วยตนเอง ถึงแม้สวีชิงเจ๋อจะไม่ค่อยเข้าใจว่านางต้องการจะทำอันใด แต่เขาก็ไม่ได้สอบถามเพียงทำตามที่นางขอเท่านั้น ไม่ถึงครึ่งเดือนดี โฉนดครอบครองบ้านและร้านค้าก็ถูกส่งมาถึงมือนาง ในสายตาคนนอกแล้ว เยี่ยหลีดูเหมือนจะเป็นชายาติ้งอ๋องที่สมบูรณ์แบบ ทุกวันนางจะจัดการเรื่องภายในตำหนักอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไปร่วมงานเลี้ยงของผู้ดีมีอำนาจในเมืองหลวงอย่างสม่ำเสมอ แต่กลับไม่มีใครรู้ว่านางลอบนำข่าวสารทุกอย่างมารวบรวมและสรุป และคอยหาเงื่อนงำที่สามารถนำมาใช้ได้ ดังนั้นการแก่งแย่งชิงอำนาจของฮ่องเต้และไทเฮา การแบ่งขั้วอำนาจระหว่างขุนนางในราชสำนัก รวมถึงข่าวลือลับๆ ในหมู่ผู้มีอำนาจทั้งหลาย ซึ่งเยี่ยหลีปล่อยให้เรื่องเหล่านี้ผ่านสายตาไปอย่างนิ่งเฉย ทำให้นางเข้าใจเรื่องความขัดแย้งของคนในเมืองหลวงกับสถานการณ์ภายในราชสำนักได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น 


 


 


           “พระชายา! พระชายา! ท่านอ๋องเป็นลมล้มไปเพคะ…” 


 


 


           เยี่ยหลีรีบลุกขึ้นถามด้วยความตกใจว่า “เกิดอันใดขึ้น” ชิงสยาที่สุขุมมาตลอดก็ดูตกใจไม่น้อย ตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ว่า “เมื่อครู่ท่านอ๋องกลับไปที่ห้อง…แล้วถามว่าพระชายาไปไหน พวกบ่าวบอกว่าพระชายาอยู่ในห้องบัญชี ท่านอ๋องยังไม่ทันได้พูดอันใดต่อ แล้วจู่ๆ ท่านอ๋องก็กระอักเลือดออกมาเต็มไปหมด…แล้ว แล้วก็สลบไปเพคะ” เยี่ยหลีใจกระตุกขึ้นทันที โยนพู่กันในมือทิ้งก่อนเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว เดินไปก็ถามไปว่า “เชิญท่านหมอมาหรือยัง” ชิงสยาตอบว่า “อาจิ่น…อาจิ่นกับชิงหลวนไปเล้วเพคะ ชิงอวี้พอมีวิชาแพทย์อยู่บ้างจึงอยู่ในห้องกับชิงซวงคอยดูแลท่านอ๋องเพคะ…” ไม่รอให้ชิงสยาพูดจบ ร่างของเยี่ยอิ๋งก็ปลิวหายไปตรงหัวมุมทางเดินอย่างรวดเร็ว 


 


 


           เมื่อกลับมาถึงเรือน สาวใช้ในเรือนดูจะตกใจกันไม่น้อย เมื่อเห็นเยี่ยหลีเข้ามา ลืมแม้แต่จะทำการคารวะ เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในห้อง เมื่อเดินพ้นม่านกั้นไปก็เห็นม่อซิวเหยานอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าซีดเซียวราวกับกระดาษ ริมฝีปากยังมีคราบแดงของเลือดติดอยู่ 


 


 


           “พระชายา” ชิงอวี้ที่กำลังจับชีพจรให้ม่อซิวเหยารีบลุกยืนขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงเบา 


 


 


           “เขาเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


           ชิงอวี้พูดด้วยความกังวลว่า “ท่านอ๋องเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน และดูเหมือนท่านจะไม่ได้ดูแลให้ดี ร่างกายจึงอ่อนแอมากเพคะ ที่อยู่ดีๆ เกิดกระอักเลือดขึ้นมาเป็นเพราะท่านทรงตรากตรำมากเกินไป เพียงแต่…เลือดที่ท่านกระอักออกมานั้นมากเกินไป เกรงว่าจะไม่ดีต่อท่านอ๋อง…” เมื่อมองตามสายตาของชิงอวี้ไป ไม่ไกลจากข้างเตียงนัก มีรอยเลือดที่ยังไม่แห้งดีอยู่เป็นวงใหญ่ ทำให้คนรู้สึกอยากจะเป็นลม เลือดจำนวนมากขนาดนั้นทำให้เยี่ยหลีตกใจขึ้นมาทันที “ตอนนี้…เขาไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


           ชิงอวี้ส่ายหน้า “บ่าวชำนาญเรื่องยาพิษ อาการของท่านอ๋องนี้บ่าวค่อยรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างเพคะ แต่ตอนนี้คงไม่เป็นอะไรเพคะ” 


 


 


           เยี่ยหลีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปดูทีว่าท่านหมอมาหรือยัง กับช่วยตามหัวหน้าพ่อบ้านม่อมาที” 


 


 


           ชิงอวี้และชิงซวงรับคำแล้วเดินออกไป เยี่ยหลีนั่งอยู่ข้างเตียงมองคนที่นอนอยู่บนเตียงเงียบๆ นางเคยแต่ได้ยินคนอื่นพูดกันว่าท่านอ๋องร่างกายพิการ ป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ตั้งแต่ที่เยี่ยหลีพบเขาเป็นครั้งแรกก็เห็นเขาสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีมาโดยตลอด แม้แต่ช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง นางยังป่วยเป็นไข้อยู่ถึงสองวัน แต่กลับไมได้ยินเสียงเขาไอเลยแม้แต่แอะเดียว เยี่ยหลีจึงลืมประโยคที่ว่าเขาป่วยกระเสาะกระแสะไปเสียสนิท คิดเพียงว่าคนนอกต่างลือกันไปผิดๆ เท่านั้น หลายเดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขาเจอหน้ากันเกือบทุกวัน แต่เยี่ยหลีเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้ม่อซิวเหยาผ่ายผอมลงไปกว่าเดิมมาก ทั้งตอนนี้ภายใต้ดวงตาที่ปิดสนิทยังมีรอยคล้ำปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน 


 


 


           เยี่ยหลีกำลังนั่งใจลอย เมื่อรู้สึกว่าคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อย จึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นม่อซิวเหยากำลังค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อดวงตาทั้งสองคู่ประสานกัน เยี่ยหลีกลับไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี 


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “อาหลี เป็นอะไรไป” 


 


 


           ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยหลีจึงมองหน้าเขาแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านกระอักเลือด” 


 


 


           ม่อซิวเหยาอึ้งไป ก่อนยิ้มน้อยๆ “สองวันนี้ข้าเหนื่อยนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก” 


 


 


           “ไม่มีอะไรหรือ!” เยี่ยหลีรู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นจากหัวใจไปถึงสมองทันที “ถึงขั้นกระอักเลือดแล้วยังไม่เป็นอะไรอีก แล้วต้องแค่ไหนถึงจะเป็นอะไร ท่านคิดว่าท่านมีเลือดอยู่มากแค่ไหนถึงจะมาใช้ทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ได้” ม่อซิวเหยาเห็นเยี่ยหลีโกรธแล้วกลับรู้สึกยินดีอย่างไรอย่างนั้น แววตาดูมีประกายแห่งความอ่อนโยนมากขึ้น “ไม่เป็นไรจริงๆ ชินเสียแล้ว พอใกล้เข้าหน้าหนาวก็เป็นแบบนี้แหละ แค่พักผ่อนให้เพียงพอก็ไม่เป็นไรแล้ว อาหลี เชื่อข้าสิ” 


 


 


           เชื่อเจ้าข้าก็เป็นหมูเท่านั้น! เยี่ยหลีปรายตามองเขาอย่างไม่เห็นขันด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็อดตกใจกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ไม่ได้ ชินเสียแล้ว? เขาต้องเป็นถึงขนาดไหนถึงได้ชินกับการเสียเลือดมากขนาดนั้นกัน “ท่านพักผ่อนก่อนเถิด ไว้ท่านหมอมาถึงก่อนค่อยว่ากัน” 


 


 


           ผ่านไปไม่นาน อาจิ่นกับชิงหลวนหิ้วปีกท่านหมอเข้ามาคนละข้าง ซึ่งก็คือท่านหมอคนเดียวกับที่สำนักชีอู๋เย่ว์ เมื่อเห็นม่อซิวเหยาที่นอนอยู่บนเตียงฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านหมอจึงให้ชิงหลวนและอาจิ่นปล่อยแขนตน ก่อนพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร พวกเด็กอายุน้อยๆ อย่างพวกเจ้านี่ช่างใจเย็นกันไม่เป็นเสียเลย” เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นสละที่ให้ท่านหมอเข้ามาจับชีพจรให้เขา ท่านหมอเดินเข้าไปจับชีพจรให้เขาก่อนขมวดคิ้วพร้อมยกมือขึ้นลูบหนวด เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


           ท่านหมอส่ายหน้า “ไม่เป็นไร เพียงแต่ท่านอ๋องระวังไว้บ้างก็จะดี ครั้งนี้ไม่เป็นไรก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งหน้าจะไม่เป็นไร” 


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “หากข้าจำไม่ผิด คราวที่แล้วท่านหมอบอกว่าท่านอ๋องสุขภาพแข็งแรงดีมาก” ท่านหมอเลิกคิ้วสีดอกเลาขึ้น “ข้าก็ไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย ตอนนั้นสุขภาพของท่านอ๋องดีมากจริงๆ แต่ตอนนี้ดูจะย่ำแย่มาก” เยี่ยหลีมองหน้าเขาพูดไม่ออก หรือมีคนที่ปีหนึ่งตอนนี้สุขภาพแข็งแรงดีแล้วอีกตอนนี้สุขภาพอ่อนแออย่างนั้นหรือ ท่านหมอพูดต่อว่า “ร่างกายของท่านอ๋องไม่เหมาะกับอากาศเย็น พอเข้าฤดูหนาวก็ต้องระวังเป็นพิเศษ เพียงแต่…ตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงที่ร้ายแรงเช่นนั้น ครั้งนี้…ท่านอ๋องไม่ได้กินยามานานเท่าไรแล้ว ไม่ได้พักผ่อนมานานเท่าไรแล้ว” 


 


 


           เมื่อเห็นเยี่ยหลีมองจ้องอยู่ จึงได้แต่ยิ้มขื่นๆ “ยาของท่าน…ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแล้ว” เขายื่นมือออกไปหยิบยาขวดเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ พร้อมกับที่ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ 


 


 


           ท่านหมอขมวดคิ้วแน่น รับขวดยาจากมือม่อซิวเหยาออกไปดู พร้อมพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ ยานี้ข้าปรุงขึ้นมายังไม่ถึงสองเดือนดี จะไม่ได้ผลได้อย่างไร” เยี่ยหลีพูดว่า “ท่านหมอ ข้าคิดว่าที่ท่านอ๋องพูดหมายความว่าข้าของท่านไม่มีผลกับร่างกายของเขา” 


 


 


           ท่านหมอหน้าขรึมไป ก่อนจับมือม่อซิวเหยามาจับชีพจรอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูจะจับนานกว่าครั้งแรก ผ่านไปครู่ใหญ่ ท่านหมอจึงได้ขมวดคิ้วพร้อมวางมือเขาวง “ข้าจะจ่ายยาให้ท่านอ๋องใหม่ก่อน ณ ตอนนี้ยังไม่น่าเป็นอะไร ข้าต้องกลับไปศึกษาแผนยาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เยี่ยหลีรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้ไม่สามารถรีบร้อนได้ จึงได้แต่พยักหน้า “เช่นนั้นก็ลำบากท่านหมอแล้ว” ท่านหมอพยักหน้ามองหน้าเยี่ยหลี “ข้าขอพูดอีกครั้ง ว่าอาการป่วยของท่านอ๋องไม่สามารถตรากตรำได้ ยิ่งเมื่อเข้าฤดูหนาวแล้วยิ่งต้องระวัง หลายปีมานี้เพราะไม่ยอมพักรักษาตัวให้ดี มาตอนนี้จึงได้อาการหนักเช่นนี้” เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ารู้แล้ว ท่านหมอวางใจเถิด”  

 

 


ตอนที่ 69-2 ป่วยหนัก

 

      เยี่ยหลีให้คนตามท่านหมอไปเอายา ก่อนจัดการให้ม่อซิวเหยาพักผ่อนให้เรียบร้อย แล้วจึงได้ลุกยืนขึ้น แต่กลับถูกคนข้างหลังดึงตัวไว้ เยี่ยหลีหันกลับไปมองชายหนุ่มของตนด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ก่อนเลื่อนสายตาไปยังมือที่ผ่ายผอมและติดจะซีดเซียวนั่น ก่อนจะดึงมือออกอย่างไม่รู้ตัว “เป็นอะไรไป มีตรงไหนไม่สบายอีกหรือ” ม่อซิวเหยาส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ “อาหลียุ่งมากหรือ” 


 


 


           “ก็…ไม่มากนัก” ที่ห้องหนังสือยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก นางเพียงเคยชินกับการจัดการงานในมือให้สำเร็จเท่านั้น 


 


 


           “เช่นนั้น…อาหลีอยู่เป็นเพื่อนข้าอีกเดี๋ยวได้หรือไม่” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเบาขึ้น มองสายตาเยี่ยหลีที่ยังคงอบอุ่นและไม่มีแววว่าอยากฝืนใจ เพียงแต่เยี่ยหลีพูดปฏิเสธไม่ออก นางกลับนั่งลงอีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มในดวงตาของชายที่นอนอยู่บนเตียงยิ่งดูลึกซึ้งขึ้นไปอีก เยี่ยหลีหันมองรอยเลือดบนพื้นที่ยังไม่มีใครทันได้ทำความสะอาด ก่อนถามขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “ท่านไม่อยากนอนพักสักหน่อยหรือ” ม่อซิวเหยาส่ายหน้า แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้สึกหนาวนิดหน่อย นอนไม่หลับ” เยี่ยหลีนึกขึ้นได้ว่า คนที่เสียเลือดไปมากมักรู้สึกหนาวสั่น คนที่กระอักเลือดก็คนรู้สึกเช่นเดียวกันกระมัง นางยื่นมือไปดึงผ้าห่มขึ้นห่มให้เขาอย่างไม่รู้ตัว แล้วถามขึ้นว่า “ต้องการถ่านจุดไฟหรือไม่” 


 


 


           ตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อากาศไม่ถือว่าเย็นมากนัก แต่ในบ้านคนหลายคนก็เริ่มที่จะจุดถ่านไฟในห้องกันแล้ว บ้านผู้ดีมีตระกูลจำนวนมากต่างก็เตรียมหาถ่านเงินกันไว้จำนวนมากแล้ว ด้วยเพราะเยี่ยหลีมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงมาก และตั้งแต่ที่สวีซื่อเสียชีวิตไป โดยปกติแล้วเยี่ยหลีก็ไม่เคยต้องใช้ถ่านในหน้าหนาวอีกเลย ในห้องของพวกเขาก็ไม่เคยต้องจุดถ่านไฟมาก่อน นางจึงไม่เคยคิดถึงข้อนี้ ถึงอย่างไรม่อซิวเหยาก็มีกำลังภายในขั้นสูงที่สูงส่งกว่ากำลังภายในของนางมากนัก ม่อซิวเหยาได้แต่ส่ายหน้า “ข้าสูดกลิ่นควันจากถ่านไม่ได้ ถ่านเงินชั้นดีที่ถึงแม้จะว่าไม่มีควันและไม่มีกลิ่นนั้น แต่ว่า…อาหลี ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่ พอเข้าฤดูหนาวข้าก็เป็นเพียงคนไร้สมรรถภาพคนหนึ่งเท่านั้น” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของม่อซิวเหยาก็มีแววของความทุกข์ตรมและเศร้าใจ 


 


 


           เยี่ยหลีลุกขึ้นหยิบผ้านวมออกมาจากในตู้มาห่มคลุมให้ม่อซิวเหยา แล้วจึงได้ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามว่า “ตอนนั้นท่านได้รับบาดเจ็บอะไรกันแน่ เหตุใดอาการจึงได้ประหลาดเช่นนี้” คนพิการขาทั้งสองข้างโดยทั่วไปนั้น ต่อให้ตัดขาออกไปแล้วแต่บางครั้งก็ยังสามารถรู้สึกเจ็บขึ้นเองได้ แต่อาการของม่อซิวเหยาคือถูกความเย็นไม่ได้ เมื่อถึงฤดูหนาวร่างกายก็จะอ่อนแอลง ซึ่งเรื่องนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับขาอย่างแน่นอน แล้วยังได้กลิ่นควันไม่ได้อีก เช่นนั้นน่าจะเป็นปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจหรือปอดเสียมากกว่า ม่อซิวเหยาตอบว่า “ข้าได้รับบาดเจ็บอะไรบ้างนั้นข้าเองก็ไม่รู้ได้ ตอนข้าฟื้นขึ้นมาก็ผ่านช่วงนั้นมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ร่างกายข้าก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว” สีหน้าม่อซิวเหยาดูราบเรียบ ประหนึ่งกำลังอธิบายอะไรอยู่เท่านั้น แต่สีหน้าท่าทางเช่นนี้เยี่ยหลีกลับเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง สหายร่วมรบสมัยที่นางออกรบนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บจนถึงขั้นพิการ ก็เริ่มจากคลุ้มคลั่งถึงขีดสุดจากนั้นจึงค่อยเย็นลงจนกลายเป็นสงบนิ่งเช่นนี้ แต่กลับยิ่งทำให้คนปวดใจเสียยิ่งกว่าตอนนี้เขาคุ้มคลั่งด้วยความโกรธเสียอีก เยี่ยหลีไม่รู้ว่าเมื่อตอนที่ม่อซิวเหยาตื่นขึ้นมาครั้งแรกแล้วพบว่าตอนเองกลายเป็นเช่นนี้นั้น เขามีอาการอย่างไร เพียงแต่ท่าทีสงบนิ่งของเขาในตอนนี้ยังคงทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดมากอยู่ดี 


 


 


           “เอาเถิด เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านหมอสั่ง รบกวนท่านอ๋องช่วงนี้ช่วยพักผ่อนให้มากหน่อย ข้าได้ยินว่าช่วงนี้ท่านอ๋องอยู่ในห้องหนังสือติดต่อกันกว่าเจ็ดชั่วยามทุกวันใช่หรือไม่” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถามขึ้น 


 


 


           ม่อซิวเหยาอึ้งไป ก่อนถอนหายใจเบาๆ “อาหลี…ข้าจะระวัง เพียงแต่…” ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพักผ่อน ครึ่งปีมานี้สถานการณ์ภายในราชสำนักดูแปลกมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ตอนนี้ดูเหมือนตำหนักติ้งอ๋องจะวางตัวอยู่นอกราชสำนัก แต่หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็อาจตกลงสู่หุบเหวลึกได้ แต่ตัวเขาเป็นติ้งอ๋องถึงอย่างไรก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบบางอย่างไว้อย่างช่วยไม่ได้ 


 


 


           เยี่ยหลีปรายตาดุไปทางเขา “มีเรื่องอะไรที่ท่านทำได้แล้วข้าทำไม่ได้บ้าง หรือต่อให้เป็นเช่นนั้น ไว้รอให้มันรับมือไม่ไหวจริงๆ แล้วค่อยว่ากันเถิด อย่าโกรธที่ข้าปากมากเลยนะ ท่านติ้งอ๋อง ต่อให้ท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจเพียงใด แต่หากท่านเดินไปแล้วเก้าสิบเก้าก้าว แต่มันมาตายเอาที่ก้าวสุดท้ายก็ถือว่าล้มเหลวเช่นกัน ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะเดินไปถึงก้าวที่เก้าสิบเก้า ขอให้ท่านช่วยพิจารณาตัวเองด้วยว่าท่านจะมีชีวิตจนเดินไปถึงก้าวที่หนึ่งร้อยได้หรือไม่” ม่อซิวเหยานิ่งเงียบอยู่พักใหญ่จึงได้หันมองเยี่ยหลีพร้อมกับยิ้มออก “อาหลีพูดถูก เช่นนั้น…อีกหน่อยคงลำบากอาหลีแล้ว” 


 


 


           “ข้าคิดว่าข้าเป็นชายาติ้งอ๋องเสียอีก” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบ 


 


 


           ม่อซิวเหยาพูดเบาๆ ว่า “แน่นอน เจ้าจะเป็นชายาของข้าตลอดไป” 


 


 


           ดังนั้นเยี่ยหลีจึงยิ่งยุ่งขึ้นไปอีก ไม่เพียงงานในจวนเท่านั้น แม้แต่งานนอกจวนนางก็ต้องรับมาจัดการไปด้วย การมีม่อซิวเหยาคอยให้คำแนะนำ ทำให้เยี่ยหลีจัดการงานได้อย่างรวดเร็ว และการที่เยี่ยหลีจัดการงานได้อย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบนั้น ทำให้พ่อบ้านแม่บ้านทั้งงานในจวนและนอกจวนต่างพากันเลื่อมใสในตัวนาง สองผู้เฒ่าอย่างหัวหน้าพ่อบ้านม่อและซุนหมัวมัวยังมองเยี่ยหลีด้วยแววตาที่ซาบซึ้งและเคารพยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้ม่อซิวเหยาไม่เบื่อที่จะต้องนอนพักอยู่แต่บนเตียงคนเดียว ดังนั้นนอกจากที่เยี่ยหลีต้องพบกับพ่อบ้านที่คอยจัดการงานต่างๆ แล้วจึงได้สถานที่ทำงานของนางจึงย้ายจากที่ห้องหนังสือมาอยู่ที่ห้องของพวกเขาเสียเลย ระหว่างที่นางทำงานไปนั้นจะได้สามารถพูดเคยเล่นกับม่อซิวเหยาไปด้วยได้ หรือหากมีคำถามอะไรก็สามารถถามเขาได้ทันที 


 


 


           ม่อซิวเหยารู้สึกประหลาดใจที่ค้นพบว่าพระชายาของเขาเป็นเหมือนหนังสือที่อ่านไม่มีวันจบ เขาไม่เคยคาดเดาได้เลยว่านางทำสิ่งใดไม่เป็นบ้าง ขีดความสามารถของนางอยู่ที่ใด หากสามารถเสกคนอย่างนางอีกคนหนึ่งมาไว้ข้างกายเขา ม่อซิวเหยาคงต้องรู้สึกถูกคุกคามเป็นแน่ และคงทำทุกวิถีทางในการทดสอบหรืออาจถึงขั้นกำจัดนางเป็นแน่ เพียงแต่เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าที่สามารถจับพู่กันเขียนงานได้อย่างรวดเร็ว แล้วยังสามารถแบ่งสมาธิหันมาส่งยิ้มพร้อมคุยเล่นกับเขาได้แล้ว ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีลูกไฟกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นในใจที่เป็นน้ำแข็งของเขา เพียงแค่นางยิ้มน้อยๆ แต่กลับทำให้คนที่เย็นเยียบประดุจหิมะอย่างเขารู้สึกถึงความอบอุ่นและสบายใจได้อย่างประหลาด เขาเพียงอยากปล่อยให้นางทำในเรื่องที่นางยินดี คอยมองนางที่บางครั้งจะส่งยิ้มน้อยๆ ออกมาอยู่เงียบๆ เขารู้ดีว่าในสักวันหนึ่งนางจะแสดงตัวตันอันเป็นเลิศของนางออกมาให้ทุกคนได้ตกใจ มุกงามไม่อาจหลบซ่อนไปตลอดได้ ต้องมีสักวันหนึ่งที่นางได้โบยบินขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้า และเมื่อถึงตอนนั้น…เขาอาจจะไม่อยู่แล้ว 


 


 


           “ท่านอ๋อง พระชายา หัวหน้าพ่อบ้านม่อบอกว่าท่านหมอเหอนำยามาให้แล้วเพคะ” ชิงอวี้เข้ามาเอ่ยรายงาน 


 


 


           เยี่ยหลีหันมองม่อซิวเหยาที่นอนหลับอย่างสงบอยู่บนเตียงแล้วจึงได้หันไปพยักหน้าให้ชิงอวี้ พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “เชิญท่านหมอเหอให้ไปรอที่ศาลาชมดอกไม้สักครู่” ถึงแม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่เยี่ยหลีกลับรู้สึกได้ว่ายิ่งอากาศหนาวขึ้น ก็ยิ่งไม่ดีต่อร่างกายของม่อซิวเหยา อาจะเป็นเพราะยาไม่สามารถระงับอาการของม่อซิวเหยาไว้ได้แล้ว ถึงแม้จะรักษามาแล้วสองวัน แต่อาการของม่อซิวเหยาก็ยังดูไม่ดีขึ้นจากก่อนหน้านี้ 


 


 


           เมื่อเข้าไปในศาลาชมดอกไม้ ท่านหมอเหอและหัวหน้าพ่อบ้านม่อก็รีบออกมาต้อนรับทันที เยี่ยหลีโบกมือ “ท่านหมอ หัวหน้าพ่อบ้านม่อ ไม่ต้องมาพิธี นั่งลงคุยกันเถิด” 


 


 


           รอจนเยี่ยหลีนั่งลงแล้ว ทั้งสองจึงได้เอ่ยขอบคุณแล้วนั่งลง ท่านหมอเหอหยิบใบยาออกมาส่งให้เยี่ยหลี  


 


 


“นี่เป็นเทียบยาที่ข้าปรุงขึ้นใหม่เมื่อหลายวันนี้ เชิญพระชายาลองอ่านดู” เยี่ยหลีรับใบยาไปดู ก็พบว่าตัวยาส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้รักษาอาการหรือบาดแผลใดๆ แต่กลับเป็นตัวยาที่ใช้สำหรับถอนพิษ “ท่านหมอเหอ นี่มันเรื่องอะไรกัน หากข้าจำไม่ผิด ตัวยาพวกนี้หากใช้มากเข้าจะกลายเป็นเสพติดเอาได้” เยี่ยหลีวางใบยาลง ก่อนเอยเสียงขรึมขึ้น ตัวยาตัวสุดท้ายที่เขียนไว้คืออาฝูหรง แน่นอนเยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่าสิ่งนี้คืออะไร หากใช้แล้วจะเกิดผลเช่นไร 


 


 


           “ไม่คิดเลยว่าพระชายาจะเชี่ยวชาญเรื่องยาด้วย พระชายากล่าวถูกต้องแล้ว อาฝูหรงเป็นยาที่ช่วยระงับอาการเจ็บปวดได้ดี แต่หากใช้นานเข้าจะกลายเป็นเสพติด ดังนั้น ข้าจึงลังเลมาตลอดว่าจะใส่มันเข้าไปดีหรือไม่” ท่านหมอเหอพูดด้วยสีหน้าหนักใจ เยี่ยหลีพยักหน้าถือเป็นการยอมรับคำอธิบายของเขา “ท่านอ๋องจำเป็นต้องใช้ยาระงับความเจ็บปวดในปริมาณมากหรือ” 


 


 


           “จำเป็นเป็นอย่างมาก ยาที่ข้าให้ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่พวกมันหมดฤทธิ์ก็เป็นเพราะตัวยาเหล่านั้นไม่สามารถควบคุมความเจ็บปวดที่เกิดจากพิษภายในร่างกายของท่านอ๋องได้แล้ว ดังนั้นหากไม่ให้ยาระงับความเจ็บปวดอาการของท่านอ๋องก็จะยิ่งแย่ไปกว่านี้ และสุขภาพก็จะยิ่งอ่อนแอลงไปด้วย จนอาจถึงขั้นรอให้ถึงวันที่ถอนพิษออกได้หมดก็จะ…อีกอย่างร่างกายของท่านอ๋องตอนนี้ก็ไม่อาจแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้ได้ ซึ่งนี่จะทำให้อาการบาดเจ็บเดิมของเขากำเริบขึ้นมาอีก” ท่านหมอเหอเอ่ยเสียงขรึม ใบหน้าที่แก่ชราดูเหน็ดเหนื่อย เห็นได้ชัดว่าสองวันนี้เขาเองก็เหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน เมื่อได้ยินเรื่องสภาพร่างกายของม่อซิวเหยา สีหน้าของหัวหน้าพ่อบ้านม่อยิ่งดูแย่ลงไปอีก “พระชายา เรื่องนี้…” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “จะใช้อาฝูหรงไมได้ ปริมาณที่ท่านให้มากเกินไป ไม่เกินหนึ่งเดือนเขาต้องเสพติดมันแน่ หลังจากเสพติดมันแล้วจะมีแต่ผลเสียต่อร่างกาย ไม่มีผลดี” 


 


 


           ท่านหมอเหอได้แต่ยิ้มขื่นๆ เขาเองก็ไม่ได้อยากใส่มากเช่นนั้น เพียงแต่หากใส่น้อยเกินไปก็มีแต่จะไม่ได้ผล หากไม่ได้รับรู้ด้วยตนเอง ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อพิษในตัวท่านอ๋องออกฤทธิ์ขึ้นมานั้นจะเจ็บปวดเช่นไร 


 


 


           “เหตุใดในหน้าร้อนจึงไม่เป็นอะไร” เยี่ยหลีเอ่ยถาม 


 


 


           ท่านหมอเหอส่ายหน้า “ในหน้าร้อนไม่ใช่ว่าไม่เป็นอะไร เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วอาการเบากว่ามาก เพราะพิษที่ท่านอ๋องได้รับเป็นพิษที่มีธาตุเย็น ในหน้าร้อนอากาศอบอุ่น บวกกับยาระงับพิษธาตุเย็นที่ข้าให้ หากกินยาตามเวลาก็จะไม่เป็นอะไร แต่เมื่ออากาศเริ่มเย็น พิษธาตุเย็นก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า เลือดในตัวท่านอ๋องแทบจะหยุดนิ่ง ช่วงที่ร้ายแรงที่สุดในสองปีแรก เคยถึงขั้นหลับไหลไปเป็นเวลานานๆ หลายปีนี้ถือว่าควบคุมได้ดี แต่เกรงว่าปีนี้…” 


 


 


           “ปัญหาเรื่องอากาศหรือ…” เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ส่วนเทียบยานั้นขอให้ท่านหมอกลับไปไตร่ตรองให้ดีอีกครั้ง อีกอย่าง เรื่องยาถอนพิษธาตุเย็นเล่า” 


 


 


           ท่านหมอเหอส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มียาที่สามารถถอนพิษนี้ได้ พิษธาตุเย็นในตัวท่านอ๋อง เป็นเพราะถูกคนของเป่ยหรงลอบทำร้ายเมื่อตอนอยู่ชายแดน ตอนนี้พวกเราได้เชิญผู้อาวุโสเฉินหยาง ที่เป็นหมอเทวดาแห่งยุคมาช่วยรักษาท่านอ๋อง พิษธาตุเย็นนั้นได้มาจากยอดเขาเสว่ย์ซานที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนแคว้นเป่ยหรงและแคว้นซีหลิง ถึอได้ว่าเป็นยาธาตุเย็นที่มีธาตุหยินและธาตุเย็นมากที่สุดตัวหนึ่งในใต้หล้า ว่ากันว่ามันจะขึ้นในหนองน้ำเย็นบนยอดเข้าที่มีหิมะปกคลุมเกือบตลอดทั้งปีเท่านั้น ความเย็นถึงกระดูกเช่นนั้น ไม่ว่าคนหรือสัตว์หากได้รับพิษมันเข้าไปแล้วจะไม่อาจกลับมามีชีวิตอีกได้ แต่ในบ่อน้ำเย็นนั้นมีดอกไม้ที่ชื่อว่า ‘บัวเลี่ยฮั่ว’ ขึ้นอยู่ด้วย หากได้เม็ดบัวมันมาจึงจะสามารถเอาชนะพิษเย็นในตัวท่านอ๋องได้” 


 


 


           ท่านหมอเหอยังไม่ทันพูดจบ หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็พูดต่อว่า “เพียงแต่บัวเลี่ยฮั่วนั้นสิบปีจึงจะบานครั้งหนึ่ง และสิบห้าปีจึงจะเก็บเม็ดได้หนึ่งครั้ง เราได้ส่งคนจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีให้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ตีนเขาเพื่อรอเวลามาตั้งแต่หกปีก่อน น่าเสียดาย…ต้องรออีกอย่างน้อยสองปีเม็ดบัวจึงจะสุกให้เก็บได้” หัวหน้าพ่อบ้านไม่ได้บอกว่า ต่อให้ถึงเวลานั้นและได้เม็ดบัวมาแล้ว ไม่ว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะคิดกลับเข้าต้าฉู่จากทางแคว้นเป่ยหรงหรือซีหลิง จะต้องยอมแลกมาด้วยอะไรที่น่าเศร้า แต่ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไร หน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะต้องนำบัวเลี่ยฮั่วกลับมาให้ได้ และจะต้องส่งมันกลับมาที่ต้าฉู่ให้ได้อย่างปลอดภัย ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนทั้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็ตาม 


 


 


           “ท่านหมอเทวดาเฉินไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ชื่อเสียงของหมอเทวดาเฉินหยางนั้น นางเคยได้ยินตั้งแต่สมัยนางยังไม่แต่งงาน ท่านเป็นหมอเทวดามือหนึ่งที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่แน่ว่าจะเชิญมารักษาได้ ท่านหมอเหอกล่าวว่า “เมื่อปีที่แล้วท่านหมอเทวดาเฉินได้ยินว่า ที่เกาะในทะเลตงไห่มีตัวยาที่ชื่อว่าเฟิ่งเหว่ย ซึ่งได้ผลกับพิษธาตุเย็นเป็นอย่างมาก เมื่อต้นปีนี้เราได้ส่งคนออกทะเลไปแล้ว แต่เกรงว่าจะกลับมาได้อย่างเร็วที่สุดก็ต้องเป็นปลายเดือนสิบสอง” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านหมอเหอแล้ว”  

 

 


ตอนที่ 69-3 ป่วยหนัก

 

ท่านหมอเหอลุกขึ้นยืนขอตัวลากลับ หัวหน้าพ่อบ้านม่อยังคงรั้งอยู่ในศาลา เห็นเยี่ยหลีขมวดคิ้วมุ่น ดูใช้ความคิดอย่างหนัก “พระชายา…” 


 


 


           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่มีแววหนักใจอย่างปิดไว้ไม่มิด นางถอนใจ “หัวหน้าพ่อบ้านม่อ หลายปีมานี้คงเหนื่อยท่านไม่น้อย” หัวหน้าพ่อบ้านม่อส่ายหน้าด้วยความตกใจ “พระชายาพูดอะไรเช่นนี้ บ่าวได้แต่นึกแค้นใจที่ไม่สามารถแบกรับความเจ็บปวดแทนท่านอ๋องได้ ตอนนั้นท่านอ๋อง…” เมื่อเห็นนายท่านตัวน้อยที่ห้าวหาญเมื่อในอดีตเปลี่ยนมาเป็นเช่นในตอนนี้ จะให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อรับเรื่องนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้เขานึกเป็นห่วงพระชายาที่อายุยังน้อยคนนี้เสียมากกว่า ครึ่งปีมานี้สิ่งที่พระชายาทำนั้นเกินความคาดเดาของทุกคนไปมากทีเดียว คนในตำหนักติ้งอ๋องต่างนึกเลื่อมใสประมุขหญิงคนใหม่นี้ด้วยใจจริง พระชายาของตำหนักติ้งอ๋องไม่จำเป็นต้องงดงามหยาดเยิ้ม ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถล้นเหลือ และยิ่งไม่ต้องมีเงินหรือมีอำนาจมากมาย สิ่งที่จำเป็นมีเพียงความเข้มแข็งที่มากพอ แต่ต่อให้เป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งเพียงไร ก็เกรงว่าคงไม่อาจรับสถานการณ์อย่างปัจจุบันได้ นี่เป็นเรื่องสุขภาพร่างกายที่ท่านอ๋องปิดบังนางมาโดยตลอดและก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาที่เป็นบ่าวไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าพระชายามาก่อน 


 


 


           เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นยิ้มน้อยๆ “หัวหน้าพ่อบ้านม่อไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไป ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ย่อมมีวิธีเสมอ อีกเดี๋ยวหัวหน้าพ่อบ้านม่อช่วยหาคนที่เชี่ยวชาญเรื่องการก่อสร้างมาให้ข้าที ข้ามีเรื่องจะใช้เขา” 


 


 


           หัวหน้าพ่อบ้านม่อมองร่างของเยี่ยหลีที่เดินจากไปช้าๆ ในดวงตาที่มืดครึ้มมีประกายขึ้นน้อยๆ บางทีพระชายาคนนี้…อาจไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ 


 


 


           “ข้าเข้าใจแล้ว” 


 


 


           เมื่อเยี่ยหลีกลับเข้าไปที่ห้องก็เห็นม่อซิวเหยาตื่นอยู่แล้ว ตอนเดินผ่านประตูเข้าไปเยี่ยหลีเห็นมือซ้ายของม่อซิวเหยาที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมานั้นกำแน่นและสั่นสะท้านอย่างชัดเจน แต่เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็รีบปล่อยออก แล้วดึงกลับเข้าไปในผ้าห่มประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เยี่ยหลีรู้ดีว่านั้นคือเขากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดอยู่ ในใจจึงอดสั่นไหวไม่ได้เพราะเมื่อครู่นางสั่งให้ท่านหมอเหอเอายาระงับความปวดออกไปจากเทียบยา แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่อบอุ่นและแน่วแน่ของม่อซิวเหยาแล้ว เยี่ยหลีจึงได้กดความลังเลในใจลงไป ม่อซิวเหยาไม่มีทางชอบที่จะเห็นตนเองกลายเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยการกินยาบางอย่างเป็นแน่ 


 


 


           “อาหลี เจ้ากลับมาแล้วเหรอ” 


 


 


           เยี่ยหลีนั่งลงที่ข้างเตียง “หากท่านปวด ท่านร้องออกมาได้นะ” 


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้ม “ร้องออกมาแล้วจะไม่ปวดหรือ ไม่ต้องเป็นห่วง แค่ปวดนิดหน่อยเท่านั้น เพียงแต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ลุกออกไปไหนไม่ได้ เลยเบื่อนิดหน่อยเท่านั้น” 


 


 


           “ข้าไม่หัวเราะเยาะท่านหรอก” เยี่ยหลีพูด 


 


 


           ม่อซิวเหยามองหน้านางนิ่งอยู่นาน ก่อนเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “อาหลี ข้ากอดเจ้าได้หรือไม่” เยี่ยหลีอึ้งไป ก่อนโน้มตัวลงกอดม่อซิวเหยาทั้งผ้าห่มแล้วยิ้มขึ้น “ตอนนี้ท่านโดนความเย็นไม่ได้ ทำเช่นนี้ไปก่อนก็แล้วกัน” ม่อซิวเหยาหัวเราะออกมาเบาๆ อยู่นานก่อนจะหยุดลง “อันที่จริง…ความเจ็บปวดยังพอทนได้ แต่ความรู้สึกหนาวเย็นนั้น…เป็นเหมือนตกลงไปอยู่ในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง และเหมือนถูกสาปให้ไม่มีวันปีนขึ้นมาได้ ความเจ็บปวดนานวันเข้าก็ชินไปเอง แต่ความรู้สึเหน็บหนาวนั้นกลับไม่เคยชินกับมันเสียที บางครั้ง…ข้าถึงขั้นรู้สึกว่าปวดเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร ข้าแค่กลัวว่า หากมีวันหนึ่งที่ข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกหนาวเหน็บ หากเป็นเช่นนั้นจริง…อาหลี ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าข้าจะทนต่อไปได้หรือไม่” 


 


 


           “ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นหรอก” เยี่ยหลีกอดเขาพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ท่านหมอเทวดาเฉินไม่ได้ไปหาหญ้าเฟิ่งเหว่ยที่ทะเลตงไห่แล้วหรือ อีกสองปีบัวเลี่ยฮั่วก็จะเก็บเม็ดได้แล้ว ถึงตอนนี้พิษธาตุเย็นก็จะถูกขับออกไปเอง แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น ท่านทนมาได้จนถึงตอนนี้แล้ว ทนไปอีกสักสองปีจะเป็นไรไป” ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้าต้องรอแน่ อาหลี หากข้าไม่ตาย เจ้าก็จะไม่มีวันไปจากข้าได้ เจ้าไม่กลัวหรือ” 


 


 


           “ก่อนที่ข้าจะแต่งงานกับท่านข้าก็ไม่เคยคิดที่อยากจะให้ท่านตายเร็วเพื่อรอรับสมบัติของท่านหรอกนะ” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ  


 


 


           “ข้าจะไม่ตายเป็นแน่ อาหลี” ม่อซิวเหยายื่นมือข้างหนึ่งออกมากอดเอวบางของเยี่ยหลีไว้ เยี่ยหลีอึ้งไป ก่อนจะจับมือของเขาเก็บเข้าไปใต้ผ้าห่มด้วยสีหน้าไม่แสดงความรู้สึก “ท่านโดนความเย็นไมได้ ก็อย่าได้ทรมานตัวเองเลย” เมื่อครู่เหมือนนางรับปากสัญญาอะไรไปหรือเปล่านะ แต่ก็ดูเหมือนนางไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำนะ…เยี่ยหลีนึกใคร่ครวญในใจ 


 


 


           เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ตำหนักติ้งอ๋องได้บอกปัดงานเลี้ยงทั้งหมดรวมถึงงานเลี้ยงที่ในวังหลวง ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เคยใช้มานั่นคือติ้งอ๋องป่วยหนัก กลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้เห็นต้องอ๋องออกมาเคลื่อนไหวเมื่อตอนหน้าร้อนแล้วเกิดความลนลาน ใจพวกเขาจึงค่อยๆ สงบลง นอกจากหมอหลวงในวังเข้ามาและออกไปอย่างช่วยอะไรไม่ได้อยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นในวังหากมีของหรือยาบำรุงอะไรก็จะส่งมาให้ที่ตำหนักติ้งอ๋องไมได้ขาดแล้ว ก็ไม่มีใครมารบกวนพวกเขาที่ตำหนักอีก ตำหนักติ้งอ๋องจึงเหมือนได้ความสงบเงียบเหมือนเมื่อสองปีก่อนกลับคืนมา 


 


 


           แน่นอนว่า ย่อมไม่ถึงกับไม่มีแขกมาเยี่ยมเลย ตัวอย่างเช่นเฟิ่งจือเหยาที่เป็นหนึ่งในนั้น 


 


 


           “คุณชายเฟิ่งซาน พระชายากับท่านอ๋องเชิญท่านให้ไปที่ตำหนักข้างขอรับ” เฟิ่งจือเหยาที่นั่งรออยู่ในห้องหนังสือ เลิกคิ้วพร้อมถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “อาเหยาป่วยอีกแล้วหรือ แต่เขาไม่ได้อยู่กับพระชายาหรือ เหตุใดจึงย้ายไปอยู่เรือนข้างได้” 


 


 


           ใบหน้าเคร่งขรึมของหัวหน้าพ่อบ้านม่อมีรอยยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณที่คุณชายเฟิ่งเป็นห่วง หลายวันนี้ท่านอ๋องอาการดีขึ้นมาก หลายวันก่อนท่านอ๋องและพระชายาย้ายไปอยู่ที่เรือนข้างแล้วขอรับ” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาทำสีหน้าอิจฉาริษยา “ตำหนักกว้างใหญ่นี่ช่างดีเสียจริงนะ อยากอยู่เรือนประมุขก็อยู่เรือนประมุข อยากอยู่เรือนข้างก็อยู่เรือนข้าง หากอยู่จนเบื่อแล้วยังวนไปอยู่เรือนอื่นได้อีก” หัวหน้าพ่อบ้านม่อรู้จักนิสัยเฟิ่งจือเหยาเป็นอย่างดี จึงไม่ได้ว่าอะไรเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “หากคุณชายเฟิ่งไม่รังเกียจว่าบ้านเราคับแคบ จะลองถามท่านอ๋องดูก็ได้นะขอรับ ตำหนักอ๋องเรามีบ้านอยู่ในเมืองหลวงอีกสองหลังที่สามารถให้คุณชายเฟิ่งไปอยู่ได้” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาถึงกับกลอกตาใส่ “พอเถิด หากบ้านใหญ่ คนก็มากเรื่องก็มาก น่ารำคาญจะตาย” 


 


 


           “คุณชายเฟิ่งควรมีครอบครัวได้แล้วนะขอรับ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อที่เดินตามหลังเฟิ่งจือเหยาพูดขึ้น 


 


 


           “ข้ารู้ ท่านอ๋องของเจ้าแต่งงานได้พระชายาที่ดี แต่ข้ายังใช้ชีวิตสนุกไม่พอน่ะสิ” เฟิ่งจือเหยาโบกมือเป็นสัญญาณว่าเรื่องแต่งงานนั้นไว้วันหลังค่อยปรึกษากัน ท่านพ่อเขายังไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ท่านผู้เฒ่าสามสี่คนในตำหนักนี้กลับนึกเป็นห่วง น่าเสียดายที่เขารับไว้ไม่ไหว 


 


 


           เรือนข้างที่เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาอยู่นั้น เป็นเรือนเดี่ยวๆ ที่อยู่ทางทิศใต้ของเรือนประมุขที่ทั้งสองเคยอยู่ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตสวนดอกไม้ของเรือนประมุข และมีห้องด้านข้างน้อยกว่าเรือนประมุขเพียงสองห้องเท่านั้น ดูไปออกจะเงียบสงบและสวยสง่ากว่าเสียด้วยซ้ำ เมื่อเฟิ่งจือเหยาก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานขึ้นมา ด้วยเพราะมีลมอุ่นหอบหนึ่งพัดเข้ามาที่หน้าเขา อุณหภูมิภายในห้องโถงใหญ่นั้นอุ่นสบายเหมือนอากาศในเดือนสามหรือเดือนสี่กระนั้น เฟิ่งจือเหยารู้ถึงสภาพร่างกายของม่อซิวเหยาเป็นอย่างดี และรู้ดีว่าสถานที่ภายในตำหนักติ้งอ๋องที่ม่อซิวเหยาสามารถไปอยู่ได้นั้นไม่อาจมีถ่านไฟอยู่ได้ แต่ที่นี่… 


 


 


           หัวหน้าพ่อบ้านม่อที่เดินอยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเฟิ่ง ท่านอ๋องกับพระชายารอท่านอยู่ที่ห้องหนังสือเล็กขอรับ” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาอดไม่ได้ที่จะหันไปถามว่า “ตำหนักอ๋องของเจ้ามีห้องสมุดอยู่กี่ห้องกันแน่” 


 


 


           หัวหน้าพ่อบ้านม่อตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ที่เรือนนอกกับเรือนในมีหอหนังสือกับห้องหนังสืออยู่อย่างละหนึ่งที่ ในเรือนประมุขท่านอ๋องกับพระชายามีห้องหนังสือกันคนละหนึ่งห้อง ห้องหนังสือในเรือนข้างนี้เป็นห้องหนังสือชั่วคราวที่เพิ่งสร้างขึ้นขอรับ” 


 


 


           “ข้าเกลียดห้องหนังสือ และเกลียดการพูดคุยในห้องหนังสือเสียยิ่งกว่าอีก” เฟิ่งจือเหยาเอ่ย 


 


 


           “เช่นนั้น…ให้บ่าวเข้าไปเชิญท่านอ๋องกับพระชายาออกมาไหมขอรับ” 


 


 


           “…ไม่ต้องหรอก ข้าคงมิกล้าให้พวกเขาออกมาพบข้าหรอก” เฟิ่งจือเหยาโบกมือ ก่อนเดินโบกพัดอย่างผึ่งผายจากไป  

 

 


ตอนที่ 70-1 เรื่องในห้องหนังสือ

 

     เมื่อก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ แล้วเห็นทั้งสองกำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่นั้น เฟิ่งจือเหยารู้สึกว่าตนจะนึกอิจฉาชีวิตของม่อซิวเหยาขึ้นมาติดหมัดเสียแล้ว 


 


 


           “ข้าว่านะท่านอ๋อง ที่ท่านให้คนอื่นไปลำบากตรากตรำอยู่ข้างนอก แต่ตัวท่านกลับมานั่งเล่นหมากล้อมอยู่ในตำหนักนี่ดูจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไรกระมัง” เฟิ่งจือเหยาเอนตัวพิงกรอบประตูอย่างเกียจคร้าน ก่อนเอ่ยพูดเสียดสีขึ้นเรียบๆ เรื่องนี้จะทำให้คนรู้สึกยุติธรรมได้อย่างไรกัน คนที่ลำบากต้องออกไปวิ่งวุ่นอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็ดข้างนอกก็คือเขา คนที่สุขสบายก็สามารถนั่งเล่นหมากล้อมได้อย่างสบายๆ อยู่ในห้องที่แสนจะอบอุ่น ทั้งยังมีสาวงามอยู่ข้างกายอีกด้วยกลับเป็นม่อซิวเหยา เยี่ยหลีอมยิ้มปรายตามองเฟิ่งจือเหยา ถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของคุณชายสามตระกูลเฟิ่งจะดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก แต่รอยยิ้มในแววตาเขากลับดูจริงใจขึ้นกว่าปกติหลายส่วน ดูออกว่าเขาไม่ได้กำลังอารมณ์ไม่ดี 


 


 


           ม่อซิวเหยาวางหมากลงตัวหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองมาทางเฟิ่งจือเหยา “มีเรื่องอันใดหรือ” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาโบกพัดในมือก่อนค่อยๆ เดินกรีดกรายเข้ามา “ไม่มีเรื่องอันใดแล้วมาเยี่ยมท่านหน่อยไม่ได้หรือ พอแต่งงานมีพระชายาแล้ว อันใดๆ ก็เปลี่ยนไปสินะ แต่ก่อนช่วงเวลานี้ท่านควรจะต้องนอนอาการร่อแร่มิใช่หรือ” เฟิ่งจือเหยาพูดจาทิ่มแทงแผลเป็นของม่อซิวเหยาอย่างไม่สนใจ เดินนวยนาดเข้ามาหาที่นั่งแล้วนั่งลง ก่อนกวาดตามองการตกแต่งภายในห้อง “ก่อนหน้านี้หัวหน้าพ่อบ้านม่อให้เหลิ่งเอ้อร์ช่วยหาคนที่เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างมาให้ ก็เพื่อมาสร้างเรือนนี้น่ะหรือ ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ ชายาพี่สะใภ้ เรือนนี้ของท่าน…ข้าขอสร้างบ้างได้หรือไม่” ถึงแม้จะเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางอย่างคุณชายเฟิ่งซาน แม้ดูอย่างนานก็ยังดูไม่ออกว่าความอบอุ่นภายนั้นห้องนั้นมาจากไหน ถึงจะไม่เข้าใจก็ไม่สำคัญ แต่เขารู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไรก็พอแล้ว ฤดูหนาวที่หนาวจัดเช่นนี้ ใครเลยจะอยากไปนั่งผิงถ่านที่แพงพอๆ กับเงินตำลึงเช่นนั้นกัน กลิ่นก็ไม่ดี แล้วยังไม่สะดวกสะบายอีก ทั้งยังไม่อบอุ่นเช่นนี้อีกด้วย 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร หากคุณชายเฟิ่งสนใจจะลองไปปรึกษากับพวกนายช่างที่มาช่วยข้าสร้างเรือนนี้ดูก็ย่อมได้” ความรู้ความสามารถของช่างสมัยโบราณนี่มิอาจดูเบาได้เลยจริงๆ นางเพียงวาดแบบคร่าวๆ ให้ พร้อมกับบอกความคิดและจุดประสงค์ในการสร้างเรือนนี้ของนางให้ฟัง นายช่างที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือนก็สามารถวางระบบน้ำอุ่นภายในเรือนข้างนี้ได้อย่างเรียบร้อย ไม่แปลกใจเลยที่มีคนเคยบอกว่า มีเทคนิคในการก่อสร้างที่หายสาบสูญไป ซึ่งแม้แต่เทคโนโลยีในทศวรรษที่ยี่สิบเอ็ดก็ไม่สามารถสร้างออกมาได้ เฟิ่งจือเหยาตาเป็นประกายขึ้นทั้นที “เป็นคนของเหลิ่งเอ้อทั้งหมดเลยหรือ ของคุณพระชายา ไว้พรุ่งนี้ข้าจะไปหาเขาเลย” หึหึ ไว้รอให้เขามีห้องที่อบอุ่นเช่นที่นี่ก่อนเถิด แล้วค่อยจัดงานเลี้ยงในจวน แล้วจะคอยดูว่าพวกไม่เห็นหัวใครพวกนั้นจะนึกอิจฉาเขาจนน้ำลายไหลไปเลยหรือไม่ “เอ๋ ท่านอ๋อง เหลิ่งเอ้อได้พูดถึงเรื่องที่พวกเราสามารถใช้สิ่งนี้ในการหาเงินได้ แน่นอน…พวกเราจะไม่ลืมความทุ่มเทของพระชายาเป็นแน่” เมื่อคิดได้ว่าเยี่ยหลีเป็นคนต้นคิดในการสร้างห้องอุ่นนี้ เฟิ่งจือเหยาจึงไม่ลืมที่จะส่งยิ้มเอาใจไปให้นาง 


 


 


           ม่อซิวเหยาจับตัวหมากในมือเล่น “เหลิ่งเอ้อคำนวณไว้แล้วว่า สร้างห้องอุ่นเช่นนี้ขึ้นหนึ่งห้องต้องใช้เงินประมาณหนึ่งหมื่นเจ็ดพันตำลึง ต่อให้เชี่ยวชาญแล้วและต้นทุนลดน้อยลงก็คงไม่ต่ำว่าหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงอยู่ดี ต้นทุนสูงเกินไป เจ้าคิดว่าจะมีสักกี่คนที่ยอมจ่ายเงินจำนวนนี้” เฟิ่งจือเหยาใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “มีไม่มากจริงๆ” ผู้ดีมีอำนาจในเมืองหลวงไม่อยู่มาก คนมีเงินยิ่งมีมากยิ่งกว่า แต่หากสร้างเรือนข้างนี้ต้องใช้ต้นทุกกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงแล้ว คนที่จะยอมจ่ายเงินสองสามหมื่นตำลึงเพื่อสร้างห้องอุ่นนั้นคงมีไม่มากนักจริงๆ หากเพื่อกำไรเพียงแสนกว่าหรือสองแสนตำลึงแล้วต้องไปศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะนั้นคงไม่จำเป็น อย่างน้อยๆ ก็ในตอนนี้ 


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “อันที่จริงความคิดของคุณชายเฟิ่งนั้นไม่เลวเลย หากสามารถลดต้นทุนลงไปอยู่ที่ประมานหนึ่งพันตำลึงได้…ตลาดคงใหญ่ไม่น้อย” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยามีสีหน้าดูแคลน “พันกว่าตำลังจะไปทำเงินอันใดได้กัน” 


 


 


           “หากต้นทุนเพียงแค่พันกว่าตำลึง ผู้สูงศักดิ์กับพ่อค้าในเมืองหลวง หรืออาจรวมถึงคนค้าขายทั่วไปก็มีโอกาสที่จะเลือกสร้างห้องอุ่นมากกว่าถ่านเงิน จากนั้นหากขยายไปทั่วต้าฉู่…หรือแม้แต่ซีหลิงหรือเป่ยหรงเล่า” เยี่ยหลีพูดยิ้มๆ 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป เหลือบมองม่อซิวเหยาที่ดูไม่มีอันใดจะเอ่ยขัด จึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เดี๋ยวข้ากลับไปพูดเรื่องนี้กับเหลิ่งเอ้อดู” 


 


 


           “เหลิ่งเอ้อที่พวกท่านพูดถึงคือคุณชายรองตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งฮ่าวอวี่ใช่หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม “ดูเหมือนข้าจะไม่ได้เคยได้ยินว่าคุณชายเหลิ่งเอ้อร์เคยคบหากับท่านอ๋องเลย” เหลิ่งฮ่าวอวี่ไม่เหมืนกับเฟิ่งจือเหยาที่โตมาด้วยกันกับม่อซิวเหยา เขาเด็กกว่าพวกเขาตั้งหลายปี ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับม่อซิวเหยา เหลิ่งฮ่าวอวี่น่าจะยังเป็นเด็กอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น อีกอย่างตระกูลเหลิ่งนับเป็นตระกูลที่จงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้เป็นอย่างมากอีกด้วย เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า ก่อนหันมองม่อซิวเหยาด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋องไม่เคยพูดให้พระชายาฟังหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าส่งจดหมายไปถึงเหลิ่งฮ่าวอวี่ให้เขามาที่ตำหนักหน่อย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ว่าง” เฟิ่งจือเหยาเหมือนคิดอันใดได้ จึงได้ก้มหน้าลงหัวเราะ “สองวันก่อนเหลิ่งเอ้อร์ไปร้องรำทำเพลงอยู่กับสาวๆ แล้วพอดีไปเจอกับพ่อตาในอนาคตของเขาเข้า จึงถูกท่านแม่ทัพมู่หรงซ้อมไปเสียยกใหญ่ ข้าเดาว่าตอนนี้น่าจะยังออกไปไหนไม่ไหว” ด้วยนิสัยรักษาหน้าของเหลิ่งเอ้อร์ ไม่มีทางตอบกลับจดหมายของม่อซิวเหยาด้วยการบอกว่าเขาถูกคนซ้อมจนออกจากบ้านไม่ไหวเป็นแน่ 


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป ถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณชายเหลิ่งเอ้อร์ถูกท่านแม่ทัพมู่หรงซ้อมหรือ” 


 


 


           “ใช่น่ะสิ ตอนนั้นพระชายาไม่ได้เห็น ท่านแม่ทัพมู่หรงลงมืออย่างไม่ไว้หน้าเลยจริงๆ น่าสาสารก็แต่เหลิ่งฮ่าวอวี่ พ่อไม่รักแม่ก็ไม่สนใจ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะนอนอยู่บนเตียงคนเดียวไม่มีใครคอยดูแลเสียด้วยซ้ำ ไว้กลับไปข้าไปเยี่ยมเขาเสียหน่อยดีกว่า” เฟิ่งจือเหยาพูดด้วยความเห็นใจอย่างแท้จริง เยี่ยหลีเรียกคนเข้ามารินน้ำชาให้ม่อซิวเหยาแล้วจึงได้ถามขึ้นว่า “ในเมื่อคุณชายเหลิ่งเป็นเพื่อนกับท่านอ๋อง เขาได้รับบาดเจ็บเช่นนี้เราควรส่งคนไปดูเสียหน่อยหรือไม่” ม่อซิวเหยากล่าวว่า “ให้เฟิ่งจือเหยาไปก็พอ” เขาพูดต่อโดยไม่รอให้เฟิ่งจือเหยาตอบรับว่า “ไว้เขาออกจากบ้านไหวแล้วให้เขามาที่นี่ที” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยารู้ดีว่าหากไม่เพราะมีธุระสำคัญ ม่อซิวเหยาไม่มีทางให้พวกเขามาที่ตำหนักติ้งอ๋องเป็นแน่ ยึงรีบเก็บสีหน้ายิ้มแย้มของตน แล้วพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋องมีอันใดจะสั่งการหรือ” ม่อซิวเหยารับม้วนกระดาษ 


 


 


           ม่อซิวเหยารับม้วนกระดาษมาจากเยี่ยหลี “นี่เพิ่งถูกส่งมาจากชายแดนทางใต้ เจ้าลองดูสิ” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาเหลือบมองเยี่ยหลี ก่อนเปิดม้วนกระดาษออกอ่าน ยิ่งอ่านสีหน้าเขาก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จนเมื่อม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีวางหมากกันจนจบกระดานและเก็บกระดานหมากกลับเข้ากล่องเรียบร้อยแล้ว เขาถึงได้เงยหน้าขึ้น “ม่อจิ่งหลีลอบช่วยธิดาเทพก่อการกบฎที่ชายแดนทางใต้หรือ เป็นไปได้อย่างไร หากข้าจำไม่ผิดรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าวเป็นน้องสาวแท้ๆ ขององค์หญิงซีสยามิใช่หรือ ต่อไปเมื่อรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าวขึ้นครองราชย์ หนานจ้าวก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญที่จะช่วยม่อจิ่งหลี” ม่อซิวเหยาจับถ้วยชาอุ่นๆ “เจ้าอย่าลืมว่าหนานจ้าวอ๋องปีนี้เพิ่งอายุได้สี่สิบปี หากไม่มีอันใดผิดพลาด รัชทายาทหญิงจะต้องรออีกยี่สิบปีจึงจะได้ขึ้นครองราชย์” 


 


 


           “หนานจ้าวอ๋องกับองค์หญิงซีสยาก็เป็นพ่อลูกกันแท้ๆ เชียวนะ เขาจะไม่ช่วยลูกเขยตัวเองเลยหรือ” เฟิ่งจือเหยากล่าว 


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ข้าเคยคบหากับหนานจ้าวอ๋อง ตอนนั้นเข้ายังเป็นเพียงรัชทายาทอยู่ เขาเป็นคนทำอันใดไม่ประมาททั้งยังเป็นคนฉลาด เขาไม่มีทางสนับสนุนม่อซิวเหยา หากเขาคิดอยากสนับสนุนจริง คงให้องค์หญิงซีสยาแต่งงานกับเขาตั้งแต่สองปีก่อนที่เขาไปเป็นทูตที่หนานจ้าวแล้ว คงไม่ต้องรอให้องค์หญิงซีสยาเดินทางไกลเป็นพันลี้เพื่อมาที่ต้าฉู่ด้วยตนเองหรอก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเดือนหกนั่น ข้าเดาว่าหนานจ้าวอ๋องคงไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นโอกาสที่เขาหรือรัชทายาทหญิงจะช่วยม่อจิ่งหลีนั้นคงไม่มากนัก” เฟิ่งจือเหยาก้มหน้าลงมองม้วนกระดาศในมือ “ในนี้ก็วิเคราะห์ไว้เช่นนั้นเช่นกัน เช่นนั้น…ม่อจิ่งหลีไปคบค้ากับธิดาเทพของชายแดนทางใต้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”  

 

 


ตอนที่ 70-2 เรื่องในห้องหนังสือ

 

เฟิ่งจือเหยารู้สึกว่าหลายปีนี้พวกเขาประเมินม่อจิ่งหลีต่ำไปจริงๆ ในสายตาของพวกเขา ม่อจิ่งหลีเป็นเพียงคนโง่ที่อารมณ์ร้อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นถึงแม้เขาจะเป็นองค์ชายผู้สูงส่ง ส่วนเขาเองเป็นเพียงลูกชายสายรองของพ่อค้า แต่เขาก็ไม่เคยเห็นม่อจิ่งหลีอยู่ในสายตา แต่เรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงตลอดสองปีมานี้ มีเรื่องใดที่ม่อจิ่งหลีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้ เขาถึงได้รู้ว่า ขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่อยู่ข้างม่อจิ่งหลีนั้นมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


           “คงเป็นช่วงที่เขาไปเป็นทูตทางชายแดนใต้ ตอนนั้นเขาไปอยู่ที่ชายแดนใต้อยู่นานพอดูทีเดียว” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น


 


 


           “ท่านว่า…ท่านนั้นที่ในวังตอนนี้รู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง” เฟิ่งจือเหยาถามขึ้นด้วยความอยากรู้ พี่น้องสายเลือดเดียวกันในราชวงศ์เกิดความขัดแย้งกัน เป็นเรื่องที่น่าสนุกที่สุดแล้ว


 


 


           “คงยังไม่รู้ ตอนนี้ลูกน้องเจ้าก็ยังไม่ได้ข่าวนี้มิใช่หรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ย เฟิ่งจือเหยาหน้าครึ้มไปทันที เขามีหน้าที่รับส่งข่าวสารให้ตำหนักติ้งอ๋อง แต่ตอนนี้ข่าวจากหนานจ้าวมาถึงมือท่านอ๋องแล้ว แต่ลูกน้องเขากลับยังไม่ได้ข่าวอันใดเลยแม้แต่น้อย เขาย่อมรู้ดีว่าม่อซิวเหยาไม่ใช่ไม่เชื่อใจเขา อากไม่เชื่อใจเขาแล้ว ม่อซิวเหยาคงไม่นำข่าวมาให้เขาอ่านง่ายๆ เช่นนี้ แต่การที่ได้รู้ว่ามีคนที่เก่งกว่าตนนั้นช่างไม่น่าสบายใจเอาเสียเลย


 


 


           “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เพราะตอนนี้ข่าวนี้ยังไม่รั่วไหลออกมา นอกจากคนที่เคยเห็นกระดาษม้วนนี้แล้ว ยังไม่มีใครได้รู้อีกเลย” ม่อซิวเหยาเองไม่อยากทำลายความรู้สึกเพื่อนรักและคนที่เขาไว้ใจ “แต่ข้าไม่อาจบอกที่มาของข่าวนี้ได้ เจ้าคิดหาทางส่งสิ่งนี้ให้ม่อจิ่งฉีก็แล้วกัน”


 


 


           “ส่งให้ม่อจิ่งฉีหรือ” เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น “เขาคงได้โกรธจนเป็นบ้าไปพอดี เพียงแต่ให้พวกเขากัดกันเองก็ดีไม่น้อย พวกเราจะได้มีเวลาทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้น ทางชายแดนใต้นั่นพวกเราต้องส่งคนลงไปหรือไม่ ถึงแม้ตอนนี้ความวุ่นวายทางตอนใต้จะมีประโยชน์ต่อพวกเรา แต่หากปล่อยไว้นานเกินไปก็อาจจะไม่แน่” ประชากรแคว้นหนานจ้าวเป็นคนห้าวหาญ และอยากได้พื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ของต้าฉู่อย่างตัวซีดตัวสั่นเช่นเดียวกับแค้วนโดยรอบมานานแล้ว เพียงแต่ติดที่ว่ากำลังของแคว้นอ่อนแอเกินไป การรุกรานหลายครั้งก่อนก็ถูกต้าฉู่จัดการอย่างราบคาบจนสูญเสียทหารและแม่ทัพไปจนหมด จนไม่อาจไม่ยอมเข้าร่วมกับต้าฉู่ได้เท่านั้น


 


 


           “ตอนนี้พวกเราเองก็ไม่มีใครที่จะส่งลงไปได้ ทางชายแดนทางใต้นั้นมีอยู่คนหนึ่งที่น่าจะรับมือได้ ตอนนี้จึงยังไม่ต้องเข้าไปยุ่งก่อน ทางแคว้นเป่ยหรงมีข่าวอันใดหรือไม่”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาส่งเสียเหอะเบาๆ “ตั้งแต่ที่การแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างซีหลิงกับต้าฉู่ล้มเหลวลง การลอบติดต่อกันลับๆ กับเป่ยหรงก็มีบ่อยขึ้น เกรงว่าเหลยเถิงเฟิงคงสืบจนรู้แล้วว่าม่อจิ่งฉีกับม่อจิ่งหลีสองพี่น้องมีปัญหากัน ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนความตั้งใจอย่างเด็ดขาดเช่นนั้น และคงวางแผนว่ารอให้ต้าฉู่เกิดความวุ่นวายภายในเสียก่อนค่อยร่วมมือกับเป่ยหรงในการโอบล้อมเข้าโจมตี”


 


 


           “เหลยเถิงเฟิง…สถานการณ์ในต้าฉู่ไม่มั่นคง แล้วเขาคิดว่าแคว้นซีหลิงของเขาดีไปกว่ากันนักหรือ” ม่อซิวเหยายิ้มเยือกเย็น ก่อนขมวดคิ้วกล่าวว่า “ท่านเฉินคงกลับมาแล้วใช่หรือไม่”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป “คงใกล้เต็มที”


 


 


           “ขอให้เขากลับมาแล้ว ช่วยเชิญเขาไปที่แคว้นซีหลิงที” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ “ได้ยินว่าฮ่องเต้แคว้นซีหลิงเองก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ฝีมือการแพทย์ของท่านหมอเทวดาเฉินล้ำเลิศนัก เขาคงนึกสนใจไม่น้อย”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “ฮ่องเต้ซีหลิงกับเจิ้นหนานอ๋องหรือ ดูเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นซีหลิงที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้วจะทานทนกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ไร้ชื่อแต่เต็มไปด้วยอำนาจได้หรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีนั่งฟังทั้งสองถกเรื่องระหว่างแคว้นกันอยู่เงียบๆ จนเผลอนั่งเหม่อลอยไป ครึ่งปีมานี้เรื่องมากมายในเมืองหลวง นางทำความเข้าใจโดยละเอียดแล้ว ฮ่องเต้กับไทเฮาและหลีอ๋องมีการแก่งแย่งชิงอำนาจกันในราชสำนักเงียบๆ นั้นนางย่อมรู้อย่างชัดเจน แต่ไม่คิดเลยว่าม่อจิ่งหลีจะดึงหนานจ้าวให้เข้ามาเกี่ยวด้วย มารดากับพี่ชายน้องชายสามคนนี้ เคยรู้หรือไม่ว่า ระหว่างที่พวกเขาวางแผนชิงอำนาจกันอยู่นั้น คนที่พวกเขาวางแผนกันออกไปนั้น กำลังลอบวางแผน วิ่งเต้นเพื่อความสงบสุขของแว่นแคว้นอยู่


 


 


           “อาหลี เจ้าคิดว่าที่ม่อจิ่งหลีลอบให้ความช่วยเหลือธิดาเทพแห่งชายแดนใต้นั้น จะมีประโยชน์อันใดกับเขาหรือ” นางกำลังนั่งเหม่ออยู่เงียบๆ แล้วจู่ๆ ม่อซิวเหยาก็เอ่ยปากถามขึ้น


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป ก่อนย่นคิ้วตอบว่า “ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะมีไทเฮาคอยสนับสนุน แต่เขาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของฮ่องเต้ ก่อนอื่นไม่ว่าจะในเรื่องของประชาชนหรือศีลธรรมแล้ว เขาเป็นผู้ที่เสียเปรียบ ฮ่องเต้เป็นคนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนส่งต่อตำแหน่งให้อย่างถูกต้อง ทั้งยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา และตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มาก็ดีกับเขามาโดยตลอด การที่จู่ๆ เขาลุกขึ้นมาคานอำนาจกับฝ่าบาทนั้นไม่มีข้อดีอันใดเลย ข้าคิดว่า …ม่อจิ่งหลีให้ความสำคัญกับแคว้นหนานจ้าวมากจนเกินไป หากมองแต่ภายนอกแล้ว สิ่งที่เขาจะได้มาพร้อมกับองค์หญิงซีสยานั้น มากกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากนัก ดังนั้นหนานจ้าวจะต้องมีอำนาจหรือคนบางคนที่เขาสามารถพึ่งพิงได้อยู่แน่นอน”


 


 


           ม่อซิวเหยาพยักหน้า “อาหลีพูดได้ไม่เลวทีเดียว พวกเราเห็นว่าหลายปีนี้ม่อจิ่งหลีเปลี่ยนแปลงไปเร็วเกินไป เพียงแต่…หากได้มองอย่างละเอียดแล้วจะรู้ว่า เขาน่าจะเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากชายแดนทางใต้ เพียงแต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ คนโดยมากจะมองไม่ออกเท่านั้นเอง ข้ากล้ายืนยันได้เลยว่า ก่อนหน้านี้ม่อจิ่งหลีอาจมีความทะเยอทะยาน แต่ไม่ถึงขั้นคิดชิงบัลลังค์แน่นอน”


 


 


           เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น ไปหยิบแผนที่ออกมาจากในตู้ก่อนนำมากางออกลงบนโต๊ะ “ชายแดนใต้มีสิ่งใดที่ทำให้เขามั่นใจเช่นนั้น ข้าไม่รู้ เพียงแต่ เท่าที่ข้าเห็น หากสามารถควบคุมชายแดนใต้ทั้งหมดไว้ได้แล้ว ต่อให้การชิงบัลลังค์ของม่อจิ่งหลีล้มเหลว แต่คนที่พ่ายแพ้คงไม่ใช่เขา” เฟิ่งจือเหยาถามแทรกขึ้นด้วยความอยากรู้ “อย่างไรหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีชี้ไปที่แผนที่ “ตำหนักเดิมของม่อจิ่งหลีอยู่ที่เมืองหลิงโจว ซึ่งอยู่ห่างจากหนานจ้าวเพียงสามร้อยลี้ กฎระเบียบของท่านอ๋องแห่งต้าฉู่กำหนดไว้ว่า ท่านอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์ หนึ่งปีจะต้องอยู่ที่เมืองหลวงเพียงสองเดือนเท่านั้น แต่สำหรับม่อจิ่งหลี ด้วยเพราะความเป็นห่วงของไทเฮาและเสียนเจาไท่เฟย เขาจึงอยู่ที่เมืองหลวงตลอดทั้งปีไม่เคยกลับไปยังตำหนักเดิมของตน แน่นอนว่านี่อาจเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทำเผื่อขัดขวางม่อจิ่งหลี แต่ถึงอย่างไรหลิงโจวก็ยังเป็นพื้นที่ของหลีอ๋องอยู่วันยังค่ำ ที่เห็นหลีอ๋องมีความมั่นใจเช่นทุกวันนี้ คงด้วยเพราะเขายังสามารถควบคุมหลิงโจวให้อยู่ในมือได้เป็นแน่ เมื่อหนานจ้าวช่วยเหลือหลีอ๋องอย่างเต็มกำลังเมื่อใด หย่งโจวที่อยู่ตรงกลางระหว่างหนานจ้าวและหลิงโจวจะต้องถูกดึงเข้ามาร่วมด้วยอย่างแน่นอน ทางทิศตะวันออกของหลิงโจวเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ ถึงตอนนั้นหากมีกำลังทหารมากพอ หลีอ๋องสามารถเดินทางไปทางตะวันออกและเข้าควบคุมพื้นที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้กว่าครึ่งไว้ได้อย่างแน่นอน หากราชสำนักต้องการส่งกำลังทหารไปเสริม ต่อให้เป็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่มีความเร็วที่สุด ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบวันถึงจะไปถึงที่นั่นได้ ทั้งยังต้องข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันที่ไหลขวางตลอดแนวพื้นที่ต้าฉู่ไปอีกด้วย เท่าที่ข้ารู้…ต้าฉู่ไม่มีกำลังทหารที่เชี่ยวชาญการทำสงครามทางน้ำ รวมถึงกองทัพของตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีด้วยเช่นกัน”


 


 


            เมื่อได้มองตามมือเรียวสวยนั้นแล้ว สีหน้าเฟิ่งจือเหยายิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่ เขาคุ้นเคยกับภูมิประเทศของหนานจ้าวและต้าฉู่เสียยิ่งกว่านาง ย่อมรู้ดีว่า หากหากทหารทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญหน้ากันแล้วจะเกิดเหตุการณ์เช่นไรขึ้น ทางตะวันออกของหลิ่งโจวในต้าฉู่นั้นสงบเรียบร้อยมาโดยตลอด ทั้งยังอยู่ห่างจากชายแดน จึงมีทหารประจำการอยู่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากม่อจิ่งหลีร่วมมือกับหนานจ้าวจริง และนำกำลังทหารโจมตีเข้าทางตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่ได้โจมที่จากทางตอนเหนือเหมือนที่หนานจ้าวเคยทำมาตลอดแล้ว หากข้ามด่านชุ่ยเสวี่ยของหย่งโจวมาได้ พื้นที่ครึ่งหนึ่งทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันที่มีทหารอยู่นั้นคงถือว่าส่งไปโดยเปล่าประโยชน์เสียแล้ว 

 

 


ตอนที่ 71-1 จูบเบาๆ

 

           “หากม่อจิ่งหลีร่วมมือกับหนานจ้าวเพื่อก่อการกบฎจริง เขาไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่” เฟิ่งจือเหยากัดฟันเอ่ยขึ้น แต่คำพูดของเยี่ยหลียังคงทิ้งร่องรอยไว้ในใจเขาอย่างชัดเจน หากม่อจิ่งหลีทำเช่นนั้นจริง ผลที่ตามมาคงยากที่จะคาดเดาได้ “อาเหยา” เฟิ่งจือเหยาหันไปมองม่อซิวเหยาที่นั่งใช่ความคิดอยู่ โดยหวังว่าจะได้การเห็นด้วยจากเขา คิ้วคมของม่อซิวเหยาขมวดน้อยๆ ประหนึ่งไม่ได้ยินสิ่งที่เฟิ่งจือเหยาพูด เอาแต่จ้องแผนที่ที่เยี่ยหลีนำมากางตรงหน้าโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ด้วยนิสัยของม่อจิ่งหลีแล้ว หากเขาถูกบีบจนเต้นขึ้นมาก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เฟิ่งซาน ข้าอยากได้ข่าวของชายแดนใต้ ยิ่งละเอียดยิ่งดี”


 


 


           เฟิ่งเจือเหยาพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะนำมาส่งให้ภายในครึ่งเดือน เรื่องนี้…ต้องปล่อยข่าวให้ท่านผู้นั้นในวังรู้หรือไม่”


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “หากให้เขารู้ตอนนี้ เขาคงได้ส่งกองกำลังทหารออกไปทันที” สิ่งที่ม่อจิ่งฉีทนไม่ได้ที่สุดก็คือการที่คนอื่นคิดละโมบอยากได้ผืนแผ่นดินของเขา หากให้เขารู้การคาดเดานี้ ต่อให้ม่อจิ่งหลีไม่คิดกบฎ ก็คงถูกบีบให้ต้องกบฎอยู่ดี เฟิ่งจือเหยาพูดด้วยความไม่เข้าใจว่า “หากม่อจิ่งหลีมีความคิดเช่นนั้นจริง เราอาศัยตอนที่ปีกเขายังไม่แข็งรีบตัดทิ้งเสียก่อนไม่ดีหรือ” ม่อซิวเหยาถอนหายใจเบาๆ “หากตอนนี้ใช้กำลังทหารจับหนานจ้าว คงรังแต่จะทำให้หนานจ้าวอ๋องกับธิดาเทพแห่งชายแดนใต้วางความขัดแย้งระหว่างกันลงและออกมาต่อสู้กับภายนอกแทน ส่วนพวกเราก็มีโอกาสที่จะถูกโจมตีจากทั้งซีหลิงและเป่ยหรงพร้อมๆ กันได้ เดิมทีคิดจะขจัดปัญหาแคว้นซีหลิงหรือเป่ยหรงแคว้นใดแคว้นหนึ่งก่อน แต่ในเมื่อตอนนี้หนานจ้าวไม่อยากอยู่อย่างสงบสุข เช่นนั้น…ก็หาวิธีจัดการพวกเขาก่อนก็แล้วกัน”


 


 


           “จัดการหรือ” เฟิ่งจือเหยาและเยี่ยหลีหันมองม่อซิวเหยาพร้อมๆ กัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพียงชั่วเวลาไม่นานเขาจะคิดหาทางจัดการหนานจ้าวได้แล้ว


 


 


           ม่อซิวเหยาย่นคิ้ว “ในเมื่อคนทางชายแดนใด้คิดว่าอยู่ว่างๆ แล้วน่าเบื่อเกินไป ก็ให้พวกเขายุ่งกันเสียหน่อยก็แล้วกัน พี่สวีดูเหมือนจะเคยบอกว่าเขาเคยคบหาสมาคมกับรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ ในเมื่อสวีชิงเฉินพูดต่อหน้าพวกนางเช่นนั้น คิดว่าคงไม่มีอันใดที่ต้องปิดบัง ม่อซิวเหยายิ้มพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “ในเมื่อม่อจิ่งหลีลอบให้การสนับสนุนธิดาเทพแห่งชายแดนใต้ เช่นนั้นม่อจิ่งฉีที่เป็นประมุขแห่งต้าฉู่ ส่วนหนานจ้าวที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับต้าฉู่มาโดยตลอด…หากต้าฉู่จะให้การสนับสนุนหนานจ้าวอ๋องก็คงไม่ผิดอันใด เฟิ่งซาน ข่าวเรื่องจิ่งหลีนี้ให้ปิดเอาไว้ก่อน ไม่ต้องให้ม่อจิ่งฉีรู้” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้ายิ้มๆ “เป็นวิธีที่ดี เพียงแต่ ม่อจิ่งฉีคงไม่ฟังที่เจ้าพูด” อันที่จริงม่อซิวเหยาไม่อาจเสนอความคิดเห็นใดๆ ให้ม่อจิ่งฉีฟังได้อยู่แล้ว เพราะคำพูดของเขาไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือมีโทษแก่ต้าฉู่ ม่อจิ่งฉีไม่มีทางเก็บมาใส่ใจ ม่อซิวเหยาจึงไม่ได้เป็นกังวลเรื่องนี้ “อย่างไรก็ต้องมีสักคนที่เขายอมฟัง อีกอย่างเรื่องด่านซุ่ยเสวี่ย…เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เราจะต้องส่งคนมีฝีมือไปประจำการที่นั้น ตอนนี้แม่ทัพที่ดูแลด่านซุ่ยเสวี่ยอยู่เป็นใคร”


 


 


           “แม่ทัพอวิ๋นฮุย นามกวนถิ่ง” เฟิ่งจือเหยาตอบ


 


 


           “ถ้าข้าจำไม่ผิด…กวนถิ่งไม่เคยรบชนะเลยสักครั้ง” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ถึงแม้กวนถิ่งจะไม่มีความเกี่ยวพันกับกองทัพตระกูลม่อ แต่เขาก็ยังพอเคยได้ยินชื่อนี้อยู่บ้าง


 


 


           เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วยิ้มๆ อย่างดูแคลน “อันที่จริงทั้งชีวิตของเขาเคยออกรบเพียงสามครั้งเท่านั้น สองครั้งแรกเป็นรองแม่ทัพของท่านแม่ทัพมู่หรง ได้ความดีความชอบไปไม่น้อย ครั้งสุดท้ายเป็นการส่งไปปราบ…โจรแปดร้อยคนแห่งภูเขาผานหลง เขาใช้ทหารม้าห้าพันคน ตายไปหนึ่งพันเจ็ดร้อยคน แต่ก็ถือว่าชนะ อีกอย่าง ครั้งสุดท้ายที่เขาออกรบก็เป็นเรื่องเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เพียงแต่…ที่สำคัญที่สุดคือ ท่านอ๋อง ท่านเคยมีความแค้นกับเขา”


 


 


           “ข้าจำได้” ม่อซิวเหยาย่อมต้องจำได้ ตอนนั้นกวนถิ่งนำทหารไปปิดล้อมภูเขาผานหลง เขาหัวแข็งไม่ยอมฟังที่ลูกน้องทัดทาน ไม่ถึงสามวันก็เสียกำลังพลบาดเจ็บล้มตายไปกว่าหนึ่งพันคน แต่กลับยังเข้าไม่ถึงรังโจรบนภูเขาผานหลงรอบนอกเลยด้วยซ้ำ บังเอิญม่อซิวเหยาตอนนั้นออกไปทำธุระข้างนอกแล้วต้องผ่านแถบนั้นพอดีจึงได้เข้าไปดูจึงไปได้ยินกวนถิ่งสั่งการลูกน้องอย่างเสียงดังฟังชัดว่าจะให้จัดทหารเป็นโล่มนุษย์บุกเข้าโจมตีรังบนภูเขา ตอนนั้นนิสัยของม่อซิวเหยาต่างกับตอนนี้มาก เขาดึงแส้ออกมาจัดการกวนถิ่งโดยทันที แน่นอนว่าหลังจากเกิดเรื่องม่อซิวเหยาถูกพี่ชายทำโทษไปยกใหญ่


 


 


           “หาทางเปลี่ยนตัวเขาออกเสีย ข้าไม่อยากเห็นเจ้าคนปัญญาอ่อนนั่นอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย” ม่อซิวเหยาตอบ


 


 


           “เกรงว่าจะไม่ได้ เขาเคยเป็นเพื่อนเรียนหนังสือกับม่อจิ่งฉี ทั้งยังเป็นคนที่เขาไว้ใจ ข้าเดาว่าที่ม่อจิ่งฉีส่งเขาไปอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยก็เพื่อป้องกันม่อจิ่งหลี” เฟิ่งจือเหยาพูดพร้อมแบมือออก ม่อซิวเหยาปรายตามองเขาเรียบๆ “เฟิ่งซาน จัดการให้คนบ้องตื้นนั่นออกไปจากด่านซุ่ยเสวี่ยให้ได้ภายในหนึ่งเดือน ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการใด” เมื่อได้รับสายตาดุดันจากม่อซิวเหยา เฟิ่งจือเหยาจึงรีบเก็บสีหน้าไม่เป็นการเป็นงานของตนทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง ขาดก็เพียงไม่ได้พูดขอโทษออกมาเท่านั้น “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ข้าคิดว่าม่อจิ่งหลีน่าจะสนใจในตัวกวนถิ่งไม่น้อย เพียงแต่…หากเปลี่ยนเอากวนถิ่งออกไปแล้ว จะให้ใครไปคอยดูแลด่านซุ่ยเสวี่ย คนของพวกเราคงไม่ได้แน่ๆ ม่อจิ่งฉีคงไม่วางใจ”


 


 


           “ท่านแม่ทัพมู่หรง” ม่อซิวเหยาหยุดคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพมู่หรงรั้งอยู่ในเมืองหลวงมาสองปีแล้ว ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะอ้างว่าเป็นห่วงท่านแม่ทัพมู่หรงว่าจะลำบากหากต้องไประจำอยู่ด่านชายแดน แต่เจ้ากับข้าต่างรู้ดี ว่าแม่ทัพที่ได้อยู่ในเมืองหลวงนานๆ นั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย มีแต่จะทำให้ความแหลมคมของเขาทื่อลงเท่านั้น”


 


 


           “ม่อจิ่งฉีคงไม่แม้แต่กับแม่ทัพมู่หรงก็นึกสงสัยหรอกกระมัง” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถาม ถึงอย่างไรท่านแม่ทัพมู่หรงก็เก่งกาจกว่ากวนถิ่งที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอยู่มากนัก ให้แม่ทัพที่สามารถรบชนะได้มาอยู่ว่างๆ แต่กลับใช้งานคนปัญญาอ่อนอย่างนั้นหรือ


 


 


           “ไม่หรอก เพียงแต่เมื่อเทียบกับท่านแม่ทัพมู่หรงแล้ว กวนถิ่งน่าเชื่อใจมากกว่าเท่านั้น เจ้าไปคิดหาทางให้กวนถิ่งกลับมาให้ได้ ส่วนเรื่องท่านแม่ทัพมู่หรงข้าจะจัดการเอง”


 


 


           “ไม่มีปัญหา ท่านอ๋อง”


 


 


           เมื่อส่งเฟิ่งจือเหยากลับไปแล้ว ในห้องหนังสือเล็กจึงกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง เยี่ยหลีนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มองดูม่อซิวเหยาก้มหน้าศึกษาแผนที่บนโต๊ะต่อไป พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กันมานานถึงเพียงนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยหลีเข้าใจผู้ชายคนนี้ขึ้นมาก ผู้ชายคนนี้เคยชินกับการเตรียมการทุกอย่างไว้ก่อน ทั้งยังคิดมากกว่าคนทั่วไปไปมาก “ไม่เหนื่อยหรือ หากที่ท่านคิดนั้นไม่เกิดขึ้นเลยจะทำอย่างไร”


 


 


           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองนางแล้วยิ้มน้อยๆ “หากไม่เกิดขึ้นเลยย่อมดีที่สุด”


 


 


           “หากท่านทำจนตัวเองเหนื่อยตาย เรื่องที่เหลือจะทำอย่างไร”


 


 


           ม่อซิวเหยาแย้มยิ้มพร้อมเก็บแผนที่บนโต๊ะ “ข้าไม่เคยคิดที่จะทำให้ตนเองเหนื่อยตาย แล้วตอนนี้ข้าไม่ได้มีอาหลีคอยช่วยอยู่หรือ อีกอย่าง…ข้าเพียงแต่ทำเรื่องที่ข้าควรทำในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น หากข้าตายไปจริงๆ…เช่นนั้นในใต้หล้าหรือในแผ่นดินของต้าฉู่จะกลายเป็นเช่นไร จะเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า” เยี่ยหลีไม่ได้ตอบอันใดกลับ ตั้งแต่ม่อซิวเหยารู้ว่านางจัดการบัญชีได้รวดเร็วกว่าและทำได้ดีกว่าเขานั้น ก็ใช้ข้ออ้างว่าสุขภาพไม่ดีไม่ยอมรับบัญชีไปจัดการอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นบัญชีภายในหรือภายนอกตำหนัก แม้กระทั่งบัญชีของกองทัพตระกูลม่อก็โยนมาให้นางจัดการทั้งหมด ซึ่งนี่ยิ่งทำให้เยี่ยหลีเข้าใจว่า เหตุใดเชื้อพระวงศ์จึงได้เกรงกลัวตำหนักติ้งอ๋องนัก กว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เยี่ยหลีกล้ารับประกันว่า ตำหนักติ้งอ๋องอาจไม่ร่ำรวยกว่าท้องพระคลัง แต่ม่อซิวเหยาร่ำรวยกว่าม่อจิ่งฉีแน่นอน ถึงแม้กองทัพตระกูลม่อจะมีราชสำนักคอยเลี้ยงดู แต่เยี่ยหลีเชื่อว่า ต่อให้ราชสำนักไม่ส่งเสบียงให้กองทัพตระกูลม่อกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีแล้ว อย่างไรตำหนักติ้งอ๋องก็สามารถเลี้ยงดูกองทัพทั้งสองนี้ได้ เพียงดูจากบัญชีที่ม่อซิวเหยาโยนมาให้นาง ตำหนักติ้งอ๋องนั้นมีทั้งเหมืองเงิน เหมืองทอง เหมืองทองแดง กับผืนดินและทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่กระจายอยู่ทั่วต้าฉู่นางก็รู้แล้ว ฮ่องเต้เมื่อรู้ว่าตนเองจนกว่าขุนนางคนหนึ่ง จะไม่ให้อิจฉาริษยาได้อย่างไร คนที่ร่ำรวยมหาศาลจนเทียบเท่าแคว้นแคว้นหนึ่งได้จะมีจุดจบเช่นไร คหบดีเสิ่นว่านซานแห่งราชวงศ์หมิงนั้นสามารถนำมาเป็นตัวอย่างได้ดี


 


 


           ในขณะที่การแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างฮ่องเต้กับไทเฮาในราชสำนักกำลังดุเดือดนั้น กวนถิ่ง แม่ทัพอวิ๋นฮุยที่รักษาการอยู่ที่ด้านซุ่ยเสวี่ยนั้นก็เกิดพลัดตกลงจากหลังม้าระหว่างออกล่าสัตว์ ซ้ำยังถูกม้าคู่ใจของตนเหยียบจนกระดูกขาหัก เรื่องนี้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่กลับทำให้สถานการณ์ระหว่างฮ่องเต้กับม่อจิ่งหลียิ่งตึงเครียดขึ้น ส่วนเรื่องที่ใครจะไปประจำการที่ด่านซุ่ยเสวี่ยแทนนั้น ก็ทำเกิดคลื่นลูกใหญ่ในราชสำนักขึ้น แต่ตำหนักติ้งอ๋องที่ทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นนั้น กลับยังคงโดดเดี่ยวไม่อยู่ในสายตาของผู้คนจึงยังสงบเงียบและสบายกายอยู่มาก


 


 


           ภายในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างสวยงามแต่น่าสบายนั้น มีชายคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบกว่าปีกำลังจับชีพจรให้ม่อซิวเหยาอยู่ที่ข้างเตียง ชายวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ประหนึ่งบัณฑิต แต่ในแววตากลับมีประกายคมกล้าซ่อนอยู่ สีหน้ามีแววสงสัยส่งออกมา จะว่าเขาว่าเป็นหมอหรือ แต่ดูไปแล้วกลับคล้ายบุรุษที่ชอบท่องเที่ยวไปทั่วหล้าเสียมากกว่า


 


 


           “ท่านอ๋องบอกว่ายาที่ให้เมื่อปีที่แล้วไม่เห็นผลแล้วอย่างนั้นหรือ” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น


 


 


           ท่านหมอเหอที่รักษาอาการให้ม่อซิวเหยาเป็นประจำก็ยืนอยู่ด้วย เขาพูดเสริมว่า “ใช่แล้ว ยาที่ให้เมื่อปีที่แล้ว พอเข้าหน้าหนาวกลับไม่เห็นผลใดๆ เลย ท่านเสิ่น อาการป่วยของท่านอ๋อง…” ชายวัยกลางคนผู้นั้น ก็คือท่านหมอมือฉมังจากซิ่งหลินแห่งต้าฉู่ นามเสิ่นหยาง เขาขมวดคิ้วตอบว่า “เอาเทียบยามาให้ข้าดูที” ท่านหมอเหอรีบหยิบเทียบยาที่ช่วงนี้เขาสั่งให้ม่อซิวเหยากินมาส่งให้ เสิ่นหยางไล่ดูโดยละเอียดก่อนเลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “เทียบยานี้…ก็ใช้การได้ เพียงแต่ที่เจ้าไม่ใส่ตัวยาระงับความปวดลงไปด้วยนั้นทำให้ข้าประหลาดใจมาก” ตั้งแต่รับรักษาอาการม่อซิวเหยา เสิ่นหยางก็คุ้นเคยกับท่านหมอเหอที่เป็นอดีตหมอทหารคนนี้เป็นอย่างดี และย่อมเข้าใจถึงวิธีการใช้ยาของเขา อาการป่วยของม่อซิวเหยาหากกำเริบขึ้นมาแล้วจะปวดมากเพียงใดนั้นนอกจากม่อซิวเหยาแล้ว ก็ไม่มีใครที่รู้ดีกว่าท่านหมอเหออีก ท่านหมอเหอใจอ่อนกว่าเขามาก การที่เขาทนไม่ใส่ยาระงับอาการปวดลงไปในยานั้นทำให้เสิ่นหยางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย 

 

 


ตอนที่ 71-2 จูบเบาๆ

 

          ท่านหมอเหอพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ข้าได้ใส่ตัวยาระงับปวดลงไปในเทียบยาแล้ว เพียงแต่พระชายาไม่เห็นด้วย ดังนั้นจึงได้…”


 


 


           ตอนนั้นเสิ่นหยางจึงได้สังเกตเห็นเยี่ยหลีที่ยืนเงียบอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง หากเยี่ยหลีต้องการ นางสามารถทำให้คนแทบไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของนาง ดังนั้นถึงแม้เขาจะรู้ว่าปีนี้ติ้งอ๋องแต่งงานมีพระชายา แต่เขาเข้ามาตั้งนานเช่นนี้แต่กลับไม่สังเกตเห็นเลยว่าพระชายาที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นหน้าตาท่าทางเป็นเช่นไร เขาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีแล้วเสิ่นหยางจึงเอ่ยชมว่า “พระชายาตัดสินใจได้ไม่เลวทีเดียว หากขาดตัวยาระงับปวดไป ท่านอ๋องอาจต้องรู้สึกทรมานขึ้นเล็กน้อย แต่จะไม่มีโรคแฝงที่ต้องตามมาจัดการทีหลัง อีกทั้งความเร็วในการออกฤทธิ์ของพิษก็จะช้ากว่าตอนที่ใช้ยาอีกด้วย ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าจึงยืนยันที่จะไม่ใช้ยาระงับอาการปวด ห้องห้องนี้สร้างได้ไม่เลว หากไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ท่านอ๋องทนต่อไปอีกสองสามปีก็จะไม่มีปัญหาอันใด”


 


 


           เขาพูดเช่นนี้ แต่คนในห้องกลับไม่มีสีหน้ายินดีเลยแม้แต่น้อย เพราะนั่นหมายความว่าที่เสิ่นหยางเดินทางไปทะเลตงไห่เพื่อตามหาหญ้าเฟิ่งหวงนั้นล้มเหลว หรืออาจเป็นหญ้าเฟิ่งหวงนั้นไม่มีผลต่อร่างกายของม่อซิวเหยา


 


 


           ท่านหมอเหอถามขึ้นอย่างมีความหวังว่า “ท่านเสิ่น แล้วหญ้าเฟิ่งหวง…”


 


 


           เสิ่นหยางส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “หญ้าเฟิ่งหวงมีฤทธิ์กับพิษธาตุเย็นก็จริง แต่จะส่งผลเสียอย่างมากต่อร่างกายของท่านอ๋อง ดังนั้น ไว้รอให้เม็ดบัวของบัวเลี่ยฮั่วสุกก่อนค่อยวางแผนอีกทีก็แล้วกัน แน่นอนว่า สองปีนี้ข้าจะคอยมองหาวิธีอื่นไว้ด้วย” ม่อซิวเหยาเอนหลังพิงกับหัวเตียง ก่อนถามด้วยความสงบนิ่งว่า “หญ้าเฟิ่งหวงมีผลข้างเคียงต่อร่างกายหรือ” เสิ่นหยางพยักหน้า “หญ้าเฟิ่งหวงสามารถทำให้ร่างกายของท่านอ๋องดีขึ้นก็จริง แต่ไม่สามารถขับพิษธาตุเย็นทั้งหมดออกไปจริงๆ ได้ อีกทั้งพิษธาตุร้อนในตัวมันจะตีกับพิษธาตุเย็น หากเสียการควบคุมเมื่อไร พิษเย็นในร่างกายท่านอ๋องนอกจากจะออกฤทธิ์มากขึ้นแล้ว จะยังมีพิษธาตุร้อนเข้าไปเพิ่มอีกด้วย ถึงตอนนั้น…ต่อให้มีเม็ดบัวเลี่ยฮั่วอยู่ในมือก็คงไม่อาจช่วยอันใดได้”


 


 


           ท่านหมอเหอนึกสงสัย “พิษร้อนกับพิษเย็นไม่ได้จะต้านกันได้พอดีหรือ”


 


 


           เสิ่นหยางตอบว่า “เย็นกับร้อนต้านกันนั้นไม่ผิด แต่ไม่ใช่ว่ายาที่มีฤทธิ์ต้านกันทุกตัวจะสามารถทำให้พิษอีกตัวหนึ่งหายไปได้ อันที่จริงพิษโดยมากสามารถอยู่ร่วมกันได้ ทั้งยังอาจทำให้เกิดพิษที่ยากจะคาดเดาได้อีกด้วย” ม่อซิวเหยาพยักหน้า “เช่นนั้นครั้งนี้ลำบากท่านเสิ่นแล้ว ในเมื่อผ่านมาได้ตั้งหลายปีเช่นนี้แล้ว จะรอไปอีกสองปีก็ไม่เห็นไร ท่านเสิ่นเพิ่งกลับมาก็ต้องลำบากเช่นนี้ กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” เสิ่นหยางมองม่อซิวเหยาที่สงบนิ่งดังเช่นปกติด้วยสายตาชื่นชมแล้วจึงพยักหน้า “ท่านอ๋องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง คนเช่นนี้ข้าน้อยเพิ่งเคยพบท่านเป็นคนแรก ท่านอ๋องและพระชายาโปรดวางใจ ถึงแม้เสิ่นหยางจะไม่เก่งกาจด้านการแพทย์ไม่สามารถถอนพิษให้ท่านอ๋องได้ แต่ก่อนที่บัวเลี่ยฮั่วจะสุกนั้น เสิ่นหยางสามารถรับประกันความปลอดภัยของท่านอ๋องได้ พรุ่งนี้ข้าน้อยจะจัดยาให้ท่านอ๋องใหม่อีกครั้ง ปีนี้ร่างกายของท่านอ๋องไม่ได้เลวร้ายลงจนเกินไปนัก ไว้อากาศอบอุ่นขึ้นก็คงจะไม่เป็นอันใดมากแล้ว”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ลำบากท่านเสิ่นแล้ว หัวหน้าพ่อบ้านม่อ พาท่านเสิ่นไปพักที่ห้องแขกเถิด”


 


 


           หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยรับคำ ก่อนเดินมาเชิญให้เสิ่นหยางและท่านหมอเหอออกไปพร้อมกัน


 


 


           ภายในห้องเงียบลง ม่อซิวเหยาเงยหน้ามองเยี่ยหลีที่กำลังมองดูตนอย่างเหม่อลอย แล้วจึงยิ้มน้อยๆ “อาหลี เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากพิษธาตุเย็นสามารถรักษาได้ง่ายๆ เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องรอมานานหลายปีเช่นนี้ เดิมทีข้าก็ไม่ได้มีความหวังอันใดมากมายอยู่แล้ว” เยี่ยหลีนั่งลงที่ข้างเตียง มองเขาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างใช่หรือไม่”


 


 


           ม่อซิวเหยาอึ้งไปเล็กน้อย มองเยี่ยหลีอยู่เป็นนานจึงได้ฝืนยิ้มออกมา “ชัดเจนเช่นนั้นเชียวหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีไม่ได้ตอบอันใด ม่อซิวเหยายื่นมือออกไปดึงเยี่ยหลีเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เยี่ยหลีคิดอยากจะผลักออกด้วยเพราะไม่คุ้นชิน แต่ก็สลัดความคิดนั้นออกไปโดยทันที เอนตัวตามแรงม่อซิวเหยาให้เขาโอบรัดตนไว้กับอกเงียบๆ ม่อซิวเหยากอดนางไว้แน่น ก่อนซบหน้าลงกับเรือนผมที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ “อาหลี…ข้าไม่สบายใจ…” น้ำเสียงของม่อซิวเหยาขาดห้วงและฟังดูสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เยี่ยหลีย่นคิ้วน้อยๆ ยกมือขึ้นประคองหัวไหล่ของม่อซิวเหยาไว้ นางรู้ดีว่าม่อซิวเหยาไม่ได้ไร้ความรู้สึกดังเช่นที่แสดงออกมาโดยตลอด หากเขาสามารถทำใจให้สงบได้จริง เช่นนั้นเขาก็คงไม่ใช่ติ้งอ๋องที่ต้องวางแผนการรบแม้ตัวจะนอนอยู่บนเตียงเช่นทุกวันนี้ แต่คงจะใกล้เคียงเทพเข้าไปทุกทีเสียมากกว่า


 


 


           “หากท่านพ่อและพี่ใหญ่ยังอยู่…ขอเพียงให้เวลาข้าห้าปี ข้าสามารถกวาดล้างแคว้นซีหลิงได้ และอย่างมากสิบปี ข้าสามารถไล่ต้อนแคว้นเป่ยหรงให้ไปอยู่ยังดินแดนอันทุรกันดารทางตอนเหนือให้หมด ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีศัตรูที่จะเข้ามาคุกคามความสงบสุขของต้าฉู่ได้อีก และต้าฉู่ก็จะได้กลายเป็นราชวงศ์ที่รุ่งเรืองกว่าราชวงศ์ก่อนอย่างแท้จริง ซึ่งนี่เป็นความหวังที่ตำหนักติ้งอ๋องยึดมั่นต่อกันมาทุกรุ่น และเป็นความตั้งใจของปฐมกษัตริย์ด้วยเช่นกัน เหตุใดพวกเขา…เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ อาหลี…เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อเจ็ดปีก่อนตอนที่ข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ…ข้าเจ็บแค้นจนอยากจะฆ่าพวกเขาทิ้งเสียให้หมดตั้งแต่ตอนนั้น! พวกเขากล้า…พวกเขากล้าทำเช่นนั้นกับพี่ใหญ่ได้อย่างไร” ม่อซิวเหยากอดเยี่ยหลีไว้แน่น น้ำเสียงต่ำเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ท่านพ่อเคยพูดว่าจะปกป้องประชาชนของต้าฉู่ พี่ใหญ่เองก็เคยพูดไว้ว่าสำหรับตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ความสงบสุขของต้าฉู่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่ดูว่าพวกมันทำกับเราอย่างไร ตอนนั้นข้าบอกตัวเองว่า…ต่อให้ข้ายืนขึ้นไม่ได้อีกตลอดชีวิต ข้าก็จะต้องฆ่าพวกมันให้ได้!”


 


 


           “แต่ท่านก็ไม่ได้ลงมือฆ่าพวกเขามิใช่หรือ” เยี่ยหลีเอนตัวเข้าหาเขาพร้อมเอ่ยเสียงเบาขึ้น ด้วยความแข็งแกร่งของตำหนักติ้งอ๋อง หากจะลุกขึ้นมาต่อต้านทหารของทั้งต้าฉู่ด้วยสถานการณ์อย่างในตอนนั้นอาจเป็นไปไม่ได้ แต่หากจะตัดสินใจฆ่าคนบางคนขึ้นมาจริงๆ นั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่แม้ในตอนที่ม่อซิวเหยาโกรธถึงขีดสุด เขาก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น


 


 


           ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าทำไม่ได้…ทหารในกองทัพตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีต่างเป็นทหารที่รักษาดูแลความสงบทางชายแดนมาทุกยุคทุกสมัย ข้าไม่อาจให้พวกเขาแบกรับความผิดจากการทรยศแคว้นของตนเองได้ หากเป็นเช่นนั้น…ความเสียสละทุ่มเทและความเด็ดเดี่ยวที่ตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อได้ทำมาเป็นร้อยปีจะทำไปเพื่ออันใด” เยี่ยหลีนิ่งเงียบ บางทีนี่คงเป็นความเจ็บปวดที่แท้จริงของม่อซิวเหยา ความฉลาดของเขากับความแข็งแกร่งของตำหนักติ้งอ๋องทำให้เขาไม่อาจแม้แต่จะนึกสงสัยว่าศัตรูคู่แค้นของเขาเป็นใคร เขาเกลียดผู้ที่ปกครองแคว้นนี้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นเขาเกลียดแคว้นนี้ แต่เขากลับไม่อาจทำลายพวกเขาลงอย่างที่ใจอยากได้ ซ้ำร้ายเขายังต้องคอยปกป้องพวกเขาอีก ปกป้องคนที่ตัวเขาแค้นที่สุด…ไม่ว่าสำหรับใครก็ตาม การที่ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ถือเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง


 


 


           “อาหลี ต้องมีสักวัน…ที่ข้าจะได้ฆ่าพวกมัน เจ้า…จะนึกกลัวข้าหรือไม่” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบาพร้อมกับซบลงบนไหล่ของเยี่ยหลี


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลง มองผ้าคลุมเตียงที่อยู่ด้านหลังม่อซิวเหยา ก่อนตอบเสียงเบาว่า “ท่านไม่ได้รู้ตั้งนานแล้วหรือว่าข้าไม่ใช่คนใจเสาะ”


 


 


           “แต่ข้ารู้ดีว่าอาหลีเป็นคนใจอ่อน” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบา “หากวันใดวันหนึ่งที่อาหลีได้รู้ว่าข้าไม่ใช่คนดี ให้ข้าบอกเจ้าก่อนเสียยังดีกว่า” เยี่ยหลีประหลาดใจเล็กน้อย นางฝืนตัวออกมามองแววตาของม่อซิวเหยาที่มองตนด้วยสายตาแน่วแน่และอบอุ่น “ข้าคิดว่าท่านเป็นคนดีหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญมากหรือ”


 


 


           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นลูบเส้นผมหลังใบหูนางอย่างอ่อนโยน “แน่นอน เพราะอาหลีเป็นชายาของข้า…ต่อให้วันหนึ่งอาหลีรู้ว่าข้าเป็นคนไม่ดี ข้าก็…จะไม่ปล่อยให้เจ้าไปไหน” ม่อซิวเหยาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและสดใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะทำอันใดไม่ถูก รับรู้เพียงริมฝีปากซีดที่มีความอุ่นอยู่น้อยๆ ประทับลงเบาๆ บนริมผีปากของตนเท่านั้น เบามากๆ ดูเหมือนเขาจะหน่วงเวลาไว้พักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยได้ยินเสียงของม่อซิเหยาดังขึ้นที่ข้างหู “อาหลี ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”


 


 


           ข้างริมฝีปากนางยังรู้สึกชาอยู่น้อยๆ เยี่ยหลีรู้สึกว่าความสามารถในการตอบสนองที่นางนึกภาคภูมิใจมาตลอดดูจะหมดลงอย่างไรอย่างนั้น เดี๋ยวก่อน ข้ารับปากแล้วหรือ


 


 


           “เรียนพระชายา คุณหนูมู่หรงมาขอพบเพคะ” ชิงหลวนเอ่ยรายงานเสียงใสมาจากหน้าประตู


 


 


           เยี่ยหลีดีดตัวลุกขึ้น มองม่อซิวเหยาที่อมยิ้มมองนางก่อนจะถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วจึงหันไปพูดตอบด้านนอกว่า “เชิญแม่นางมู่หรงให้ไปรอที่โถงดอกไม้ก่อน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ชิงหลวนรับคำก่อนเดินจากไป เยี่ยหลีส่งเสียเหอะเบาๆ ก่อนหมุนตัวจะเดินจากไป แต่ถูกมือของม่อซิวเหยายื่นมาจับไว้ เมื่อสบตาเข้ากับเยี่ยหลีที่มีแววโกรธซ่อนอยู่ ม่อซิวเหยาจึงได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “อาหลี เปลี่ยนชุดเสียก่อนแล้วค่อยออกไปเถิด” เยี่ยหลีมองชุดที่ตนใส่อยู่ด้วยความไม่เข้าใจ ถึงแม้จะดูสบายๆ ไปบ้าง แต่หากใส่ออกไปพบมู่หรงคงไม่ถือเป็นการเสียมารยาทหรอกกระมัง ม่อซิวเหยาพูดต่อว่า “เหลิ่งเอ้อร์จะต้องมากับคุณหนูมู่หรงด้วยเป็นแน่ ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าออกไปพบเขาแทนข้าทีเถิด” เยี่ยหลีเห็นสีหน้าของม่อซิวเหยาดูเหนื่อยอ่อนจริงๆ จึงนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เสิ่นหยางมาถึง เขาก็อดทนมานานพอดู ถึงแม้ดูภายนอกม่อซิวเหยาอาจดูเหมือนไม่เป็นไร แต่ภายในใจคงรู้สึกไม่สงบและผิดหวังบ้างเป็นธรรมดา ใจนางอดที่จะอ่อนลงไม่ได้จึงหันไปพูดกับเขาเสียงอ่อนว่า “ข้าออกไปพบเขาเอง ท่านนอนพักเถิด”


 


 


           นางประคองม่อซิวเหยาให้นอนลง พร้อมห่มผ้าห่มให้เขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงได้หมุนตัวเดินเข้าห้องด้านในไปเปลี่ยนชุด ม่อซิวเหยานอนมองร่างที่เดินจากไปของเยี่ยหลีอยู่บนเตียง มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่ อาหลี เจ้าใจอ่อนจนทำให้ข้าไม่อาจปล่อยมือได้ ดังนั้น…ต่อให้เจ้าไม่ชอบข้า ข้าก็จะไม่ให้โอกาสเจ้าได้นึกเสียใจหรอก 

 

 


ตอนที่ 71-3 จูบเบาๆ

 

ในโถงดอกไม้ มู่หรงถิงมองสำรวจการตกแต่งที่โอ่อ่าของห้องโถงใหญ่อย่างตื่นตาตื่นใจ แต่เมื่อหันไปเห็นเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่นั่งจิบน้ำชาสบายๆ อยู่ ก็ไม่ลืมที่จะหันไปถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ “ข้ามาเพื่อลาอาหลี เจ้าจะทำหน้าหนาขอตามมาด้วยไปทำไมกัน” เหลิ่งเฮ่าอวี่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ถิงเอ๋อร์ ข้ากับพระชายาติ้งอ๋องอย่างไรก็ถือว่าเคยมีวาสนาได้พบหน้ากันหนึ่งครั้ง เจ้ามาบอกลา แล้วข้ามาบอกลาบ้างไม่ได้หรือ” มู่หรงถิงพูดด้วยความรำคาญว่า “เหลิ่งเฮ่าอวี่ ข้ามาเพราะท่านพ่อต้องไปหย่งโจวแล้วข้าต้องไปด้วย คุณชายเช่นเจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะตามไปด้วยทำไมกัน ระวังเจ้าจะเหนื่อยตายเสียตั้งแต่ครึ่งทาง” เหลิ่งเฮ่าอวี่กะพริบตาปริบๆ มองนางด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “ถิงเอ๋อร์นี่เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าหรือ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพื่อถิงเอ๋อร์แล้วไม่ว่าเส้นทางจะลำบากลำบนเพียงใดข้าก็จะยืนหยัดต่อไปให้ได้”


 


 


           “เหลิ่งเฮ่าอวี่! เจ้าไปตายเสียไป!” มู่หรงถิงถูกเหลิ่งเฮ่าอวี่คอยตามตอแยมาหลายปี แต่กลับพบว่าตนเองนั้นมักประเมินความหนาของหน้าคนผู้นี้ต่ำไปตลอด ใบหน้าเรียวโกรธจนหน้าแดง และอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าเร่าๆ เหลิ่งเฮ่าอวี่มองคู่หมั้นที่โกรธจัดอย่างอารมณ์ดี ยังคงยิ้มตาหยีและนั่งจิบชาต่อไป ในแววตาที่หลุบลงอยู่ครึ่งหนึ่งนั้น มีแววปล่อยวางอยู่ ในสายตาของถิงเอ๋อร์ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่เป็นแต่กินดื่มเที่ยวเล่นอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางที่จะดีไปกว่าพี่ใหญ่ที่มีความสามารถโดดเด่นได้ มีเพียงตอนที่เขาทำให้ถิงเอ๋อร์โกรธเท่านั้นที่เขาจะรู้สึกว่าตนเองมีตัวตนที่ไม่เหมือนคนอื่นอยู่ในสายตาของนาง


 


 


           “อะแฮ่มๆ…มู่หรง ใครทำให้เจ้าโกรธหรือ ถึงได้อารมณ์เสียเช่นนี้” เยี่ยหลีเดินเข้ามาในโถงดอกไม้ช้าๆ อมยิ้มมองมู่หรงถิงที่โกรธจัดอยู่ มู่หรงถิงจึงได้นึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตน และไม่ใช่สถานที่ภายนอก แต่เป็นตำหนักติ้งอ๋องที่ผู้ดีมีอำนาจทั้งหลายในเมืองหลวงต่างต้องสำรวมกิริยา แต่ก็ยังอดโกรธไม่ได้ จึงหันไปถลึงตาใส่เหลิ่งเฮ่าอวี่ก่อนพูดอย่างโกรธๆ ว่า “นอกจากเจ้านี่แล้วจะมีใครได้อีก ทำให้ข้าต้องเสียมารยาทเช่นนี้”


 


 


           เหลิ่งเฮ่าอวี่ลุกยืนขึ้นทำความเคารพ “คารวะพระชายา”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “คุณชายเหลิ่งไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด” ส่วนนางดึงมู่หรงถิงให้ไปนั่งด้วยกันอีกด้านหนึ่ง แล้วยกมือคือหยิกแก้มมู่หรงถิงที่ยังดูโกรธอยู่ “มู่หรงมาที่ตำหนักติ้งอ๋องตอนนี้ เพื่อมาบอกลาข้าหรือเปล่า” มู่หรงถิงมองนางด้วยความประหลาดใจ “ไม่คิดว่าคนเก็บตัวเช่นเจ้าจะข่าวไวเช่นนี้ ข้าก็เพิ่งได้ข่าวเมื่อช่วงบ่ายเมื่อวานเช่นกัน แต่เวลากระชั้นมาก พรุ่งนี้ท่านพ่อก็ต้องออกเดินทางแต่เช้า ข้าจึงต้องอาศัยวันนี้ที่ยังพอมีเวลามาบอกลาเจ้าก่อน”


 


 


           “มู่หรงก็ต้องไปหย่งโจวกับท่านแม่ทัพมู่หรงด้วยหรือ”


 


 


           มู่หรงถิงพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “แน่ล่ะ ท่านพ่อข้าต้องไปอยู่ชายแดนตัวคนเดียว ข้าจะไม่ตามไปคอยดูแลได้อย่างไร”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ท่านแม่ทัพมู่หรงเห็นด้วยที่จะให้เจ้าไปหรือ” มู่หรงถิงอายุไม่ถือว่าน้อยแล้ว อย่างช้าอีกสองปีนางก็จะต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านแม่ทัพมู่หรงไปประจำการที่ชายแดนคราวนี้ อาจไม่ได้กลับมาภายในสามปีหรือห้าปีทีเดียว มู่หรงถิงเหลือบมองเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่นั่งอยู่อีกด้าน ก่อนดึงหางเปียขึ้นมาจับเล่นพร้อมพูดเสียงเบาว่า “ท่านพ่ออนุญาตแล้วล่ะ” ตอนแรกท่านพ่อไม่เห็นด้วยที่นางจะไปจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่ไปพูดอันใดกับท่านพ่อถึงทำให้ท่านพ่อเปลี่ยนใจได้ มู่หรงถิงนึกริษยาในใจว่า ไม่รู้ว่านางหรืออีตาบ้าเหลิ่งเฮ่าอวี่นั่นกันแน่ที่เป็นลูกแท้ๆ ของท่านพ่อ พอได้คุยกับเขาท่านพ่อก็ยอมเปลี่ยนใจทันที ส่วนตัวนางนั้นอ้อนวอนอยู่ทั้งคืนก็ยังไม่สำเร็จ


 


 


           เมื่อรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของมู่หรงถิง เหลิ่งเฮ่าอวี่จึงได้แต่ยกมือขึ้นลูบจมูก “พระชายา อันที่จริงข้าน้อยก็มาเพื่อบอกลาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่กี่วันข้าน้อยก็จะออกเดินทางลงใต้เช่นกัน”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ “อ้อ คุณชายเหลิ่งก็ไปที่หย่งโจวเช่นกันหรือ”


 


 


           “มิได้ ข้าน้อยจะเดินทางไปหลิงโจวพ่ะย่ะค่ะ” เหลิ่งเฮ่าอี่เอ่ยยิ้มๆ “ที่หลิงโจวมีเรื่องการค้าที่ต้องไปจัดการนิดหน่อย บางทีอาจเลยไปถึงหนานจ้าวเลยก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าคุณชายใหญ่ตระกูลสวีเดินทางไปท่องเที่ยวที่หนานจ้าว หากมีวาสนาได้พบกัน ไม่รู้ว่าพระชายามีอันใดจะฝากไปถึงคุณชายสวีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงถิงส่งเสียงเหอะเบาๆ พร้อมปรายตามองเขาอย่างดูแคลน “เจ้าน่ะหรือทำการค้า หลายปีนี้เจ้ามีแต่เอาเงินตระกูลเหลิ่งออกไปเที่ยวเล่นวุ่นวายอยู่ข้างนอก มีการค้ากับเขาตั้งแต่เมื่อไร ท่านลุงเหลิ่งอนุญาตให้เจ้าออกไปไหนด้วยหรือ”


 


 


           เหลิ่งเฮ่าอวี่ฉีกยิ้มอย่างคนสำมะเลเทเมาส่งให้นาง “ถิงเอ๋อร์พูดถูก ท่านพ่อข้าคิดว่าข้าไม่เอาไหนเกินไปเสียแล้ว จึงได้ตัดสินใจไล่ข้าออกไปให้ตั้งตัวด้วยตัวเอง”


 


 


           “เอ่อ…” มู่หรงถิงไม่คิดเลยว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่จะถูกไล่ออกจากบ้าน นางเคยคิดว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่จะต้องให้ท่านลุงเหลิ่งกับพี่ใหญ่เหลิ่งเลี้ยงดูไปตลอดชีวิตเสียอีก ถึงแม้นางจะเกลียดความดื้อด้านของเหลิ่งเฮ่าอวี่ แต่เมื่อคิดว่าอีกหน่อยเขาจะต้องไปหลิงโจวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ “เรื่องนั้น…ถ้าเจ้าอยู่ไม่ไหว มาที่ด่านซุ่ยเสวี่ยได้นะ ท่านพ่อข้าคงต้องการคนไม่น้อย…”


 


 


           “ข้ารู้อยู่แล้วว่าถิงเอ๋อร์จะต้องเป็นห่วงข้า” เหลิ่งเฮ่าอวี่ยกมือขึ้นจับหัวใจพร้อมสีหน้าเมามายอย่างมีความสุข มู่หรงถิงโกรธจนทนไม่ได้ ขว้างลูกดอกตรงไปยังใบหน้าของเขา เหลิ่งเฮ่าอวี่เอียงหัวหลบเล็กน้อย ก่อนยกพัดพับในมือขึ้นสะบัดไปข้างๆ แล้วลูกดอกลูกนั้นก็กระเด็นลงไปตกอยู่ในแจกันดอกไม้ที่วางอยู่ข้างๆ ทันที เยี่ยหลีปิดปากหัวเราะอย่างขำขัน นางจับมือมู่หรงถิงไว้ “เอาเถิดมู่หรง ข้ามีจดหมายอยากให้คุณชายเหลิ่งนำไปให้พี่ใหญ่ด้วย คุณชายเหลิ่งเอ้อร์ ท่านไปที่ห้องหนังสือด้วยกันทีได้หรือไม่”


 


 


           เหลิ่งเฮ่าอวี่ลุกยืนขึ้น “ข้าน้อยยินดี เชิญพระชายา”


 


 


           เยี่ยหลีหันไปเอ่ยขอโทษกับมู่หรงถิง ก่อนหันเรียกพวกชิงซวงให้เข้ามาอยู่คุยเป็นเพื่อนมู่หรงถิงแล้วจึงเชิญเหลิ่งเฮ่าอวี่ไปทางห้องหนังสือ มู่หรงถิงมองตามแผ่นหลังของเหลิ่งเฮ่าอวี่ไป ในใจนึกอึ้งไปเล็กน้อย เจ้านี่พอจริงจังขึ้นมาก็ดูไม่น่ารังเกียจสักเท่าไรนะ


 


 


           “คุณชายเหลิ่งเชิญนั่ง”


 


 


           ในห้องหนังสือ สีหน้ายิ้มระรื่นอย่างคุณชายเจ้าสำราญของเหลิ่งเฮ่าอวี่ค่อยๆ หายไป สีหน้าดูคมเข้มและจริงจังขึ้นหลายส่วน ประหนึ่งเปลี่ยนเป็นคนละคน ดูไม่ไร้พิษสงอย่างก่อนหน้านี้


 


 


           “ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามู่หรงถิงชอบคนแบบไหน เหตุใดจึงต้องทำท่าทางที่นางไม่ชอบด้วยเล่า” เยี่ยหลีนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ก่อนถามขึ้นด้วยความสงสัย


 


 


           เหลิ่งเฮ่าอวี่เลิกคิ้วพร้อมยิ้มขึ้น ในรอยยิ้มมีแววขมขื่นเล็กๆ “หากไม่เพราะเกิดความโชคดีโดยบังเอิญขึ้น ตัวตนเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่แท้จริงก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นพ่ะย่ะค่ะ” ทุกบ้านต่างมีเรื่องที่ไม่น่ารื่นรมย์ด้วยกันทั้งนั้น ตระกูลเหลิ่งเองก็คงไม่ใช่บ้านที่สะอาดเรียบร้อยอันใดนัก เยี่ยหลีจึงไม่ถามถึงเรื่องส่วนตัวของเหลิ่งเฮ่าอวี่อีก เพียงพูดขึ้นว่า “มู่หรงมีนิสัยร่าเริง แต่บางครั้งก็ชอบเอาชนะไปบ้าง คนที่นางชอบจึงเป็นคนที่เก่งกว่านาง ขอให้ท่านโชคดี”


 


 


           “ขอบคุณพระชายา” เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยยิ้มๆ


 


 


           เมื่อได้มองชายหนุ่มที่ดูมีความสามารถคนนี้แล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่นึกทอดถอนใจ ใครๆ ต่างมองเห็นเพียงแค่คุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งฉิงอวี่ ว่ามีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊เพียบพร้อม และเป็นคนที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญ แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าชายหนุ่มที่ดูชื่นชอบการเที่ยวหอนางโลมและดื่มสุราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เอาแต่เอะอะมะเทิ่งอยู่แต่กับเพื่อนอันธพาลคนนี้ กลับมีธุรกิจของตำหนักติ้งอ๋องเกือบครึ่งหนึ่งที่คอยดูแลอยู่ในมือ จำนวนเงินที่ผ่านมือเขาในแต่ละวันมากพอที่จะทำให้ผู้ดีมีอำนาจทั้งหลายใจเต้นได้เลยทีเดียว เยี่ยหลีค่อยๆ ฝนหมึกก่อนยกพู่กันขึ้นเขียนตัวหนังสือลงไปสามสี่ตัว รอให้แห้งแล้วจึงพับส่งให้เหลิ่งเฮ่าอวี่ทั้งที่ไม่ใส่ซองจดหมาย “หากท่านบังเอิญพบพี่ใหญ่ ฝากส่งจดหมายนี้ให้เขาด้วย หากไม่พบ ท่านจัดการตามสบายได้เลย” เหลิ่งเฮ่าอวี่เปิดออกอ่าน มั่นใจว่าตนเองอ่านข้อความที่เขียนอยู่ไม่เข้าใจแน่ๆ จึงเลิกคิ้วขึ้นก่อนเก็บจดหมายไว้ในช่องลับในแขนเสื้อพร้อมเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจอีก “ท่านอ๋องกับพระชายามีอันใดจะสั่งอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “มีคุณชายเหลิ่งคอยจัดการ ท่านอ๋องจึงวางใจมาตลอด ข้าก็ไม่มีอันใดจะสั่งแล้ว เพียงแต่ ก่อนหน้านี้เราคงประเมินม่อจิ่งหลีต่ำไปเสียแล้ว คุณชายเหลิ่งไปคราวนี้ระวังตัวให้ดีด้วย แน่นอนว่ารวมถึงความปลอดภัยของท่านแม่ทัพมู่หรงด้วยเช่นกัน ที่ท่านอ๋องเห็นด้วยให้คุณชายเหลิ่งไป คงเพราะคิดถึงเรื่องนี้ด้วยเป็นแน่” เหลิ่งเฮ่าอวี่พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ท่านอ๋อง…เห็นด้วยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีมองเขาพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “มิเช่นนั้นแล้วคุณชายเหลิ่งคิดว่าที่ข้ามาพูดคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวจะด้วยเรื่องอันใดกันหรือ”


 


 


           สีหน้าเหลิ่งเฮ่าอวี่มีแววยินดี ก่อนหน้านี้เขายืนยันที่จะเดินทางไปทางใต้ ถึงแม้ท่านอ๋องจะไม่ได้ถึงกับโกรธจัด แต่สุดท้ายเขาก็ขัดคำสั่งท่านอ๋องอยู่ดี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผิดและไม่สบายใจไม่น้อย เยี่ยหลีมองหน้าเขา “ท่านอ๋องสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้นอนพักอยู่ ในเมื่อเขาไม่ขัดขวางท่านนั่นย่อมหมายความว่าเขาเห็นด้วยกับแผนการณ์ของท่านแล้ว เพียงแต่สถานการณ์ทางชายแดนใต้จากนี้ไปคงจะตึงเครียดมากเป็นแน่ ท่านไม่เหมือนกับเฟิ่งจือเหยา ท่านเดินทางไปทางใต้ตอนนี้ก็มีความเสี่ยงไม่น้อย” เฟิ่งจือเหยาตอนนี้ดูเหมือนคุณชายทั่วๆ ไป แต่เขาเหมือนกับม่อซิวเหยาตรงที่เขาเคยออกรบฆ่าฟันผู้คนมาตั้งแต่สมัยอายุยังน้อย ทำงานอันใดก็ล้วนทำอย่างลับๆ แต่ในมือเหลิ่งเฮ่าอวี่มีเงินจำนวนมหาศาลอยู่ น่าจะดึงดูดความสนใจคนได้ง่าย หากม่อจิ่งหลีหรือฝ่าบาทรับรู้ถึงความผิดปกติของเขาเมื่อใด เกรงว่าเขาคงจะถูกสังหารโดยทันที


 


 


           เมื่อได้ยินที่เยี่ยหลีพูด เหลิ่งเฮ่าอวี่จึงรู้สึกสบายใจขึ้น “พระชายาโปรดวางใจ เฮ่าอวี่จะไม่ทำให้ท่านอ๋องเสียเรื่องแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ข้ามีความคิดที่จะทำการค้าเล็กๆ ทางชายแดนใต้มาหลายปีแล้ว ครั้งนี้ชายแดนใต้กำลังวุ่นวาย ก็ถือเป็นโอกาสเสียเลยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “คุณชายเหลิ่งรู้ว่าต้องทำอย่างไรก็ดีแล้ว พรุ่งนี้ท่านแม่ทัพมู่หรงก็จะออกเดินทางแล้ว คุณชายเหลิ่ง…”


 


 


           เหลิ่งเฮ่าอวี่ส่ายหน้า “ข้าน้อยอีกห้าวันถึงจะออกเดินทาง ล่องแม่น้ำไปทางใต้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เมื่อเยี่ยหลีเห็นว่าคุณชายเหลิ่งคิดรอบคอบดีแล้วจึงไม่ได้พูดอันใดอีก เพียงพูดกำชับอีกไม่กี่ประโยคแล้วจึงเชิญเหลิ่งเฮ่าอวี่ให้กลับไปพบมู่หรงถิงที่โถงดอกไม้ด้วยกัน 

 

 


ตอนที่ 72-1 ตำหนักเหยาหวาไฟไหม้

 

           เยี่ยหลียืนอยู่หน้าตำหนักอันโออ่าใหญ่โตแล้วได้แต่ทอดถอนใจ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่นางเข้าวัง ด้วยเพราะสองครั้งแรกมีประสบการณ์ที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก ครั้งนี้เมื่อถูกฮ่องเต้เรียกตัวให้เข้าเฝ้าจึงยิ่งทำให้นางต้องตื่นตัวและระมัดระวังขึ้นอีกหลายส่วน นางที่เป็นชายาติ้งอ๋องถึงอย่างไรก็เป็นสตรี ตามปกติแล้วต่อให้เป็นฮ่องเต้ที่ต้องการเรียกให้นางเข้าเฝ้า ก็มักใช้ชื่อฮองเฮาหรือไม่ก็เยี่ยเจาอี๋ในการเรียกตัวนางเข้าวังถึงจะถูก


 


 


           “ชายาติ้งอ๋อง ฝ่าบาทอยู่ด้านใน เชิญท่านเข้าไปด้านในเถิด” ขันทีที่มานำทางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงเอาใจ เยี่ยหลีหันหน้าไปมองเขา ก็พอจำได้ว่าเป็นขันทีคนเดียวกับที่ไปส่งราชโองการพระราชทานงานสมรสให้ที่จวนเยี่ย


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า ชิงหลวนและชิงอวี้ถูกกันไว้ที่ด้านนอก ส่วนองครักษ์ลับเมื่ออยู่ในวังก็ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจ ดังนั้นเยี่ยหลีจึงต้องเดินเข้าไปในตำหนักอันโอ่อ่าหรูหราที่แสดงถึงอำนาจและความร่ำรวยแต่เพียงคนเดียว


 


 


           “ชายาติ้งอ๋อง แซ่เยี่ย ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” ภายในตำหนักที่โอ่อ่ากว้างขวาง ด้วยเพราะมีคนอยู่ไม่มากนักจึงทำให้ดูเย็นเยียบและกว้างขวางขึ้นไปอีก ม่อจิ่งฉีนั่งอยู่สูงขึ้นไปในตำหนัก ก้มหน้าลงมองหญิงสาวที่คุกเข่าทำความเคารพอยู่กลางตำหนัก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ชายาติ้งอ๋อง ลุกขึ้นเถิด” เยี่ยหลียืดกายลุกขึ้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท”


 


 


           ม่อจิ่งฉีชี้ไปที่เก้าอี้ด้านหนึ่งเป็นสัญญาณให้เยี่ยหลีนั่งลง พร้อมอมยิ้มเอ่ยว่า “ตั้งแต่เข้าฤดูหนาว ร่างกายของติ้งอ๋องก็ไม่ค่อยสบายมาโดยตลอด ไม่รู้ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง”


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลงตอบเสียงเบาว่า “ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเป็นห่วง ตอนนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องร่างกายจะยังไม่แข็งแรงนัก แต่เทียบกับช่วงที่หนาวจัดแล้วก็ถือว่าดีขึ้นมากเพคะ” ม่อจิ่งฉีหรี่ตาลงเล็กน้อย สังเกตสีหน้าท่าทางของหญิงสาวที่อยู่ด้านล่างโดยละเอียด นางสงบเงียบดังเช่นหญิงสาวที่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยทั่วไป เพียงแต่การที่นางยังสงบนิ่งและสุขุมได้แม้ตอนอยู่ต่อหน้าประมุขแห่งแคว้นนั้นดูจะไม่ธรรมดาสักเท่าไร อีกอย่าง ตามข่าวที่เขาได้รับมา ติ้งอ๋องใส่ใจพระชายาคนนี้อยู่พอดู คนที่ไม่มีความสามารถเลยแม้แต่น้อยจะสามารถทำให้ติ้งอ๋องใส่ใจได้เชียวหรือ ดูท่า…ตอนแรกเขาคงมองพลาดไปเสียแล้ว แม้แต่น้องชายที่ไม่เห็นหัวใครของเขายังถูกนางเล่นงานไปเสียหลายรอบ นึกถึงเวลาที่ตนเอ่ยถึงเยี่ยหลีต่อหน้าม่อจิ่งหลี อีกฝ่ายมักจะหน้าดำประหนึ่งมีใครเอาน้ำหมึกมาทาอยู่ทุกครั้งไป ม่อจิ่งฉีเริ่มนึกสงสัยอย่างจริงจังว่า การที่ตนให้ม่อซิวเหยาแต่งงานกับหญิงสาวผู้นี้นั้นเป็นการดูถูกอีกฝ่ายหรือช่วยเพิ่มตัวช่วยให้กับเขาอีกแรงหนึ่งกันแน่ แต่ไม่เป็นไร…เขาจะจัดการแก้ปัญหานี้อย่างรวดเร็ว


 


 


           “ต้องจัดการเรื่องในตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ยังต้องคอยดูแลติ้งอ๋องอีก คงลำบากเจ้ามาก” ม่อจิ่งฉีเอ่ยยิ้มๆ


 


 


           “ฝ่าบาทตรัสชมผิดแล้วเพคะ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เยี่ยหลีควรทำอยู่แล้วเพคะ” เยี่ยหลีตอบพร้อมยิ้มบางๆ


 


 


           ทั้งสองต่างพูดจาตามมารยาทกันอยู่เป็นนาน ยิ่งม่อจิ่งฉีเห็นท่าทางนิ่งเฉยเป็นธรรมชาติของหญิงสาว ก็ยิ่งทำให้เขานึกร้อนใจเข้าไปใหญ่ ดูเหมือนตั้งแต่พระราชทานงานสมรสให้ติ้งอ๋องเป็นต้นมา ทุกอย่างก็เริ่มที่จะไม่ราบรื่น เดิมทีม่อจิ่งหลีเพียงลอบทำอันใดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่เมื่อมีไทเฮาคอยให้ท้ายจึงยิ่งลอบทำอันใดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขาดก็แต่เพียงไม่ขัดแย้งกับตนต่อหน้าเท่านั้น ด้วยเพราะไทเฮาและม่อจิ่งหลี ทำให้จิตใจของคนภายในราชสำนักเริ่มระส่ำระสาย ก่อนหน้านี้ที่ส่งกวนถิ่ง คนที่เขาไว้ใจไปประจำการอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย จู่ๆ ก็เกิดถูกม้าเหยียบจนขาหัก ทำให้ต้องเปลี่ยนตัวแม่ทัพให้ไปประจำการที่ด่านซุ่ยเสวี่ยใหม่ การที่ตนส่งคนที่ตนไว้ใจไปอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยนั้น ด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันม่อจิ่งหลี อีกด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันแคว้นหนานจ้าว แต่มาตอนนี้ต้องเปลี่ยนให้มู่หรงเซิ่นไปแทน ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ออกรบเป็น แต่ไม่สามารถทำให้เขาวางใจได้เท่ากับกวนถิ่ง สถานที่สำคัญอย่างด่านซุ่ยเสวี่ยกลับต้องมอบให้คนที่ตนไม่ไว้ใจดูแล เรื่องนี้ทำให้ม่อจิ่งฉีรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่…เมื่อได้ลองกลับไปคิดดูแล้ว ม่อจิ่งฉีไม่อาจไม่ยอมรับว่า ในบรรดาคนที่ตนไว้ใจนั้นมีคนมีความสามารถอยู่ไม่มากนัก อย่างน้อยเขาก็หาคนที่น่าเชื่อถือพอจะมาแทนมู่หรงเซิ่นไม่ได้เลย


 


 


           คิดไปถึงข่าวที่ตนได้รับเมื่อครู่ ที่ว่าม่อจิ่งหลีลอบคบหากับธิดาเทพของชายแดนทางใต้ ยิ่งทำให้ม่อจิ่งฉีโกรธจนอกแทบระเบิด แต่เขาก็ทำได้เพียงอดทนไว้ ม่อจิ่งหลีเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา แต่เขาเองก็ไม่มีหลักฐานอันใดที่จะมาพิสูจน์ว่าม่อจิ่งหลีกับธิดาเทพแห่งชายแดนทางใต้มีความสัมพันธ์กันจริง ดังนั้นไม่ว่าไทเฮาหรือขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่มีความสัมพันธ์กับม่อจิ่งหลีคงไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาจัดการหลีอ๋องเป็นแน่ เขาเป็นฮ่องเต้ เพียงแต่มีหลายครั้งที่เขาพบว่าตนเองไม่ได้มีอำนาจยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียวอย่างที่ตนเคยคิดไว้ มีหลายครั้ง ที่แม้แต่การตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ ของเขายังถูกทัดทาน


 


 


           “ชายาติ้งอ๋อง ที่ตอนแรกข้าให้เจ้าแต่งงานกับติ้งอ๋อง ในใจเจ้าเคยนึกขุ่นเคืองใจบ้างหรือไม่” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ ม่อจิ่งฉีก็จ้องหน้าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามขึ้น


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป ในใจนึกไตร่ตรองอย่างรวดเร็วว่าม่อจิ่งฉีหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย “ที่ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรสให้เยี่ยหลีนั้นถือว่าเมตตาต่อหม่อมฉันแล้ว เยี่ยหลีจะนึกขุ่นเคืองใจได้อย่างไรเพคะ”


 


 


           “อ้อหรือ” ม่อจิ่งฉีก้มลงมองนางด้วยความสนใจพร้อมยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีเจ้าเป็นชายาหลีอ๋องที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานงานสมรสให้ น้องชายของข้าเป็นคนมีความสามารถเพียบพร้อมทั้งด้านบุ๋นและบู๊ ซ้ำยังขึ้นชื่อว่าเป็นยอดบุรุษผู้โดดเด่น แต่ด้วยเพราะราชโองการเพียงฉบับเดียว ทำให้เจ้าต้องเปลี่ยนจากการเป็นชายาหลีอ๋องมาเป็นชายาติ้งอ๋องที่ทุกคนนึกสงสาร ในใจเจ้าไม่เคยคิดเคืองใจข้าบ้างเลยหรือ” เยี่ยหลีตาเป็นประกายเล็กน้อย ก่อนยิ้มบางๆ “หลีอ๋องเป็นคนยกเลิกการหมั้นหมายก่อน ส่วนฝ่าบาทพระราชทานงานสมรสให้ทีหลัง การพระราชทานงานสมรสของฝ่าบาทจึงช่วยให้เยี่ยหลีหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากมาได้พอดี เยี่ยหลีจะไม่พอใจฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ”


 


 


           “เจ้าไม่นึกไม่พอใจข้า…เช่นนั้น นึกโกรธหลีอ๋องอย่างนั้นสิ ก็ใช่ เท่าที่ได้ยินมา น้องชายของข้าถูกเจ้าเล่นงานไปไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง”


 


 


           ในใจเยี่ยหลีนึกสะดุ้ง แต่เพียงยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาทตรัสล้อเล่นเสียแล้ว เยี่ยหลีจะไปมีความสามารถเล่นงานท่านอ๋องได้อย่างไรเพคะ ไม่รู้ว่า…ที่ฝ่าบาทเรียกให้เยี่ยหลีมาเข้าเฝ้าในวันนี้ด้วยเพราะมีเรื่องอันใดจะสั่งหรือเพคะ” หากลากยาวเช่นนี้ต่อไป เวลาล่วงเลยไปจนบ่ายนางก็คงยังไม่ได้ออกจากวังเป็นแน่ การพูดคุยกับฮ่องเต้โดยไม่มีฮุหยินหรือไม่มีนางสนมคนอื่นอยู่ด้วยนานเกินไปนั้น ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร


 


 


           ม่อจิ่งฉีมองนางแล้วหัวเราะ “ดี ข้าชอบคนฉลาด เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ชายาติ้งอ๋อง เรื่องที่ม่อจิ่งหลีลอบคบหากับธิดาเทพแห่งชายแดนใต้นั้น ตำหนักติ้งอ๋องรู้เรื่องนี้หรือไม่” เยี่ยหลีหลุบตาลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ทูลฝ่าบาท เยี่ยหลีเป็นคนเบาปัญญา…เรื่องที่หลีอ๋องกับธิดาเทพแห่งชายแดนใต้หรือใครนั่น เยี่ยหลีไม่ค่อยเข้าใจเพคะ”


 


 


           “ไม่เข้าใจหรือ” ม่อจิ่งฉีเลิกคิ้วขึ้น มองหน้าเยี่ยหลีด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ติ้งอ๋องไว้ใจชายาติ้งอ๋องมากนี่ เท่าที่ข้ารู้ ช่วงที่ติ้งอ๋องป่วยหนักเรื่องทั้งหลายในตำหนักมีเจ้าคอยจัดการ แต่ตอนนี้เจ้ากลับบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่…การเพ็ดทูลข้าจะมีโทษเช่นไร” แววตาเยี่ยหลีที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งมีประกายคมกล้า นางก้มศีรษะลงมองพื้นด้านล่าง “การเพ็ดทูลฝ่าบาทมีโทษถึงตายเพคะ เพียงแต่…หากฝ่าบาทมั่นใจว่าตำหนักติ้งอ๋องรู้เรื่องหลีอ๋อง เหตุใดจึงไม่ทรงสอบถามจากท่านอ๋องโดยตรงเลยเล่าเพคะ เยี่ยหลีเป็นเพียงหญิงสาวที่อ่อนแอ ถึงแม้จะได้ปกครองตำหนักติ้งอ๋องแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถสอบถามเรื่องในราชสำนักได้เพคะ”


 


 


           “บังอาจ!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยเสียงดังด้วยความโกรธ สายตาที่จ้องมองเยี่ยหลีมีแววโหดเ**้ยมและอำมหิต หากเป็นหญิงธรรมดาทั่วไป อาจตกใจจากรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมา แต่สำหรับเยี่ยหลีแล้วการข่มขู่และคุกคามเพียงเท่านี้ยังห่างไกลนัก


 


 


           นางลุกยืนขึ้นก่อนโค้งตัวลงเล็กน้อย “เยี่ยหลีบังอาจ ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ”


 


 


           ม่อจิ่งฉีส่งเสียงเหอะเบาๆ มองจ้องเยี่ยหลีแล้วพูดว่า “ตำหนักติ้งอ๋องรู้ข่าวสารอันใดว่องไว ข้ารู้ดีกว่าเจ้า เยี่ยหลี ม่อซิวเหยาปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ นิสัยของจิ่งหลีเป็นอย่างไร เจ้าอาจจะไม่รู้จักเขาดี แต่ม่อซิวเหยาย่อมรู้ดีแน่นอน เจ้าลองกลับไปถามเขาดูก็ได้ว่าเขาจะใคร่ครวญเกี่ยวกับคำถามของข้าว่าอย่างไร” เยี่ยหลีลอบยิ้มในใจ ฝ่าบาทนี่ท่านกำลังข่มขู่ตนเองอยู่หรือเปล่า


 


 


           “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเอ่ยเตือน เยี่ยหลีจะกลับไปใคร่ครวญให้ดีเพคะ” เยี่ยหลีพูด


 


 


           ยิ่งเห็นเยี่ยหลีไม่รู้จักวางตัวเช่นนี้ ยิ่งทำให้แววโกรธในดวงตาของม่อจิ่งฉีมีมากขึ้น แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจทำอันใดชายาติ้งอ๋องในวังหลวงแห่งนี้ได้ จึงทำได้เพียงจ้องมองเยี่ยหลีอยู่เป็นนาน ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมาแล้วเรียกให้คนมาพาตัวเยี่ยหลีออกไป 

 

 


ตอนที่ 72-2 ตำหนักเหยาหวาไฟไหม้

 

        “ฝ่าบาท” เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินจากไปแล้วประกายตาในแววตาของม่อจิ่งฉีก็เปลี่ยนไปทันที ร่างของชายอายุยังน้อยที่รูปร่างหน้าตาธรรมดาไม่เป็นที่สะดุดตาเดินออกมาจากทางด้านหลังตำหนัก เขามองม่อจิ่งฉีด้วยความเคารพ ม่อจิ่งฉีข่มความโกรธในใจลง ก่อนหันมองชายผู้นั้น “เดิมทีที่ให้เยี่ยหลีแต่งงานกับม่อซิวเหยาดูจะเป็นการเดินทางผิดเสียแล้ว เยี่ยเหวินหวาทำอันใดของเขากัน เยี่ยหลีคนนี้รับมือยากกว่าบุตรสาวคนที่สี่นั่นเป็นไหนๆ หากมีนางอยู่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าตระกูลสวีจะไม่ให้การสนับสนุนม่อซิวเหยา” เด็กหนุ่มเอ่ยเสีงเบาว่า “ตระกูลสวีไม่ได้ติดต่อกับตำหนักติ้งอ๋องมากถึงเพียงนั้นพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ควรจะไปทำให้ตระกูลสวีโกรธ” เด็กหนุ่มลอบถอนใจ ฝ่าบาทอันใดก็ดีหรอก เพียงแต่ขี้ระแวงเกินไปเท่านั้น และในตอนที่พวกเขาลอบเป็นอริกับหลีอ๋องและไทเฮาอย่างลับๆ นี้ ไม่ควรที่จะสร้างศัตรูเพิ่มเลยจริงๆ หากความระแวงของท่านอ๋องเป็นการผลักให้ตระกูลสวีไปเข้ากับหลีอ๋องหรือติ้งอ๋องแล้ว นั่นจึงจะเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย


 


 


           ที่เด็กหนุ่มเอ่ยเตือนม่อจิ่งฉีนั้นใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เพียงแต่การที่เขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้ทำให้เขาร้อนใจเป็นอย่างมาก ม่อจิ่งฉีโบกมือ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ตอนข้าออกว่าราชการเมื่อเช้า ฮว่ากั๋วกงเสนอให้ต้าฉู่ช่วยหนานจ้าวอ๋องปราบความวุ่นวายในแคว้น เจ้าเห็นว่าอย่างไร”


 


 


           เด็กหนุ่มหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “ฮว่ากั๋วกงมีใจทำเพื่อแคว้นของเรา สำหรับพวกเราแล้วสิ่งที่เขาเสนอมามีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ เพียงแต่พวกเราไม่จำเป็นต้องรีบร้อนช่วยพวกเขาปราบความวุ่นวายนัก ปล่อยให้หนานจ้าวอ๋องกับธิดาเทพแห่งชายแดนใต้เข่นฆ่ากันไปก่อนก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงพวกเราให้ความช่วยเหลือในตอนที่พวกเขาต้องการ หนานจ้าวอ๋องจะต้องจดจำบุญคุณของฝ่าบาทได้อย่างแม่นจำแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ม่อจิ่งฉีขมวดคิ้วคิดเล็กน้อย “ที่เจ้าพูดมามีเหตุผล ข้าจะขอดูเสียหน้าว่าน้องชายที่แสนดีของข้าคิดจะทำอันใด เขาคิดอยากจะช่วยธิดาเทพแห่งชายแดนใต้มิใช่หรือ แต่ข้าจะช่วยราชสำนักของหนานจ้าวอ๋อง ข้าจะคอยดูว่าสุดท้ายแล้วคนที่ชนะจะเป็นใคร!” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว มองใบหน้าของม่อจิ่งฉีที่หัวเราะอย่างเลือดเย็น และในที่สุดก็กดความกังวลในใจตนเองลงไป หวังว่าฝ่าบาทจะไม่สนใจแต่เรื่องชายแดนทางใต้มากจนเกินไป


 


 


           “คารวะพระชายาติ้งอ๋อง เยี่ยเจาอี๋ขอเชิญเพคะ”


 


 


           เมื่อเดินออกมาจากตำหนักได้ไม่เท่าไร ก็ได้พบกับหัวหน้าขันทีของตำหนักเยี่ยเย่ว์ที่มายืนรออยู่นานแล้ว เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนเดือนสิบ เยี่ยเย่ว์คลอดองค์ชายออกมาได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นพระโอรสคนที่หกของฝ่าบาท แต่ฐานะในวังของเยี่ยเย่ว์กลับไม่ได้สูงขึ้นดังเช่นที่เคยคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า ยังคงมีตำแหน่งเป็นเจาอี๋อยู่ ในขณะเดียวกัน นางได้กลายเป็นสนมเพียงคนเดียวที่มีพระโอรสแต่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นตำแหน่งเฟย ซึ่งทำให้เยี่ยเย่ว์ที่ครึ่งปีแรกเสมือนอยู่ในยุคทองของนางกลับต้องรู้สึกประดักประเดิดกับฐานะของนางไปโดยทันที ถึงแม้นางจะมีน้องสาวที่เป็นชายาเอกของท่านอ๋องถึงสองคน แต่เมื่อตำแหน่งในวังไม่สูงพอ ก็ทำให้เยี่ยเย่ว์มีชีวิตในวังที่ยากลำบากไม่น้อย ในใจเยี่ยหลีนั้นรู้ดี นี่คงเป็นสิ่งที่ม่อจิ่งฉีใช้เตือนตระกูลเยี่ย


 


 


          เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสะบายตัว อยากกลับตำหนักไปพักผ่อน ขอให้เยี่ยเจาอี๋โปรดเข้าใจด้วย”


 


 


           “พระชายา…” หัวหน้าขันทีคนนั้นดูจะคิดไม่ถึงว่าเยี่ยหลีจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่ยใยเช่นนี้จึงรีบพูดอย่างทำอันใดไม่ถูกว่า “พระชายา เยี่ยเจาอี๋เชิญให้พระชายาไปพบด้วยเพราะเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ไปพบพระนางสักหน่อยเถิด” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ในเมื่อม่อจิ่งฉีเริ่มจับตามองนางแล้ว คิดว่าทางฝั่งไทเฮาเองก็คงอีกไม่ไกลเช่นกัน หากตอนนี้นางไปพบเยี่ยเย่ว์ จะไม่เป็นการดีต่อทั้งกับนางและเยี่ยเย่ว์ เมื่อปีก่อนนางได้เคยบอกไว้แล้วว่า หากเยี่ยเย่ว์ต้องการที่จะใช้ชีวิตในวังหลวงอย่างปลอดภัย ทางที่ดีอย่าได้ไปมีส่วนร่วมกับเรื่องเหล่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนเยี่ยเย่ว์คงจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันมาเสียแล้ว ก็ใช่ ในเมื่อตระกูลเยี่ยลงมาอยู่ในบ่อน้ำนี้แล้ว ถึงแม้เยี่ยเย่ว์ตัวจะอยู่ในวัง แต่เกรงว่าก็คงจะหลีกหนีไปไม่ได้ “เอาล่ะ เชิญนำทางเถิด”


 


 


           “ขอบคุณพระชายา” เมื่อได้ยินนางตอบรับ หัวหน้าขันทีรีบเอ่ยขอบคุณด้วยความยินดี แล้วรีบเดินขึ้นหน้านำทางไปยังตำหนักเหยาหวาของเยี่ยเย่ว์ทันที


 


 


           ถ้าเทียบกับตอนที่เยี่ยหลีมาที่ตำหนักเหยาหวาเป็นครั้งแรกแล้ว ถึงแม้ตอนนั้นเยี่ยเย่ว์กำลังตั้งครรภ์แต่ยังคงมีความสวยสะพรั่งที่เปล่งประกายออกมา แต่เยี่ยเย่ว์ในตอนนี้กลับดูทรุดโทรมลงไปมาก นางกำลังนั่งอุ้มพระโอรสตัวน้อยที่ยังคงอยู่ในห่อผ้าอยู่บนเก้าอี้นวม ใบหน้าอันงดงามเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและหม่นหมอง เมื่อนางเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็รีบลุกยืนขึ้น เยี่ยหลีส่ายหน้า “พี่รองไม่ต้องเกรงใจไป”


 


 


           เยี่ยเย่ว์สั่งให้นางกำนัลข้างกายถอยออกไปก่อน นางมองท่าทางสุขุมของเยี่ยหลี ดูว่านางจะดูสง่างามและเป็นธรรมชาติกว่าหลายเดือนก่อน นางจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ข้าคิดว่าน้องสามจะไม่มาพบข้าเสียแล้ว” เยี่ยหลีหลุบตาลงพร้อมพูดเบาๆ ว่า “พี่รองน่าจะรู้ ว่าการมาพบท่านในตอนนี้ไม่เป็นผลดีต่อตัวท่านและพระโอรสเลย” เยี่ยเย่ว์อึ้งไป ก้มหน้าลงมองลูกในอ้อมกอดตัวเองที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วได้แต่ยิ้มขื่นๆ “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่…สภาพของข้าในตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้ว น้องสามคิดว่าข้าจะทำอันใดได้” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ตอนนี้พี่รองมีพระโอรสแล้ว ทำใจให้สบายแล้วคอยดูแลพระโอรสให้ดีเถิด ต่อให้ฝ่าบาทใจร้ายเพียงใดก็คงไม่ทำอันใดเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองหรอก ส่วนเรื่องของท่านพ่อ…พี่รองก็อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกเลย” เรื่องอื่นๆ นั้น ต่อให้เยี่ยเย่ว์มีใจแต่ก็คงไม่มีกำลังพอที่จะช่วยได้ การแก่งแย่งระหว่างฮ่องเต้กับไทเฮาและหลีอ๋องนั้นนางไม่สามารถช่วยอันใดได้ มีแต่จะลำบากไปด้วยจากการที่เจ้ากรมเยี่ยคิดเหยียบเรือสองแคม หากสุดท้ายแล้วม่อจิ่งฉีเป็นฝ่ายชนะ นางยังมีพระโอรสไว้คอยปกป้องตัวนาง ถึงอย่างไรก็คงไม่ถึงกับถูกประหาร แต่หากม่อจิ่งหลีเป็นฝ่ายชนะ นางก็เป็นเพียงแค่หญิงสาวคนหนึ่ง คงไม่สามรถช่วยกู้สถานการณ์ได้


 


 


           เยี่ยเย่ว์อุ้มลูกมองเยี่ยหลีอย่างอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ท่านย่าคิดผิดไปแล้ว ท่านพ่อก็คิดผิดไปแล้วเช่นกัน นิสัยของอิ๋งเอ๋อร์ข้ารู้ดี นางทำอันใดไม่เป็นมีแต่จะทำให้เสียเรื่อง ไม่ว่าหลีอ๋องจะแพ้หรือจะชนะ น้องสี่ไม่มีทางนำความรุ่งเรืองมาให้ตระกูลเยี่ยของเราได้ ส่วนฝ่าบาท…หากฝ่าบาทสามารถรวบอำนาจกลับคืนมาได้ สิ่งที่ท่านพ่อทำในวันนี้ เกรงว่าจะเป็นการนำภัยพิบัติครั้งใหญ่มาสู่ตระกูลเยี่ย”


 


 


           “ที่ฝ่าบาทไม่ยอมเลื่อนยศให้พี่รอง เพราะด้วยเรื่องของท่านพ่อจริงๆ หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม


 


 


           “หากมิใช่เช่นนั้นแล้วจะด้วยเหตุใดกัน” เยี่ยเย่ว์ยิ้ม แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับเจือแววเศร้าโศก ตอนที่เข้าวังมาใหม่ๆ นางเคยมีความตั้งใจและปณิธานอันแรงกล้า เพียงแต่นางค่อยๆ ค้นพบว่าในวังหลวงนี้ไม่ได้สวยงามดังภาพที่นางเคยจินตนาการไว้ คนที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุดคือหลิ่วกุ้ยเฟยที่เป็นยอดหญิงงามแห่งยุค ทั้งยังมีความสามารถรอบด้าน คนที่ฝ่าบาทให้ความเกรงใจที่สุดคือฮองเฮา ที่เกิดในตระกูลใหญ่และมีความใจกว้าง ส่วนตนที่คิดว่าตนเองเก่งและสวยเด่นกว่าใครนั้น เมื่อได้เข้ามาอยู่ในวังที่เต็มไปด้วยหญิงงามแล้วกลับกลายเป็นคนธรรมดาไป แม้แต่ความโปรดปรานที่มีให้ในตอนแรกก็เพียงเพราะเห็นแก่ความจงรักภักดีของท่านพ่อเท่านั้น เมื่อฝ่าบาททรงรู้ว่าท่านพ่อไม่ได้จงรักภักดีดังเช่นที่พระองค์คิดไว้ ฝ่าบาทที่พระทัยร้ายก็ไม่คิดที่จะเห็นแก่หน้านางอีกเลย


 


 


           ฝ่าบาททรงไร้หัวใจ ไม่ว่าเยี่ยเย่ว์จะเต็มใจหรือถูกบังคับให้เลือกเดินทางสายนี้ เยี่ยหลีก็ไม่อาจให้ความเห็นใจนางได้ “พี่รองให้คนไปตามข้ามานี้ด้วยมีเรื่องอันใดอย่างพูดกับข้าหรือเปล่า”


 


 


           เยี่ยเย่ว์ถอนหายใจ “เมื่อก่อนข้าคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาด ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าน้องสามต่างหากที่เป็นคนฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้องเราทุกคน”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อพี่รองไม่มีเรื่องอันใด เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”


 


 


           เยี่ยเย่ว์นั่งอุ้มลูกอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ สายตาที่มองเยี่ยหลีมีแววของความรู้สึกผิด จู่ๆ เยี่ยหลีก็รู้สึกระแวงขึ้นมาในใจจีงรีบดีดตัวลุกขึ้น แต่กลับรู้สึกเวียนหัวและหน้ามืดไป ก่อนจะเกิดเสียงโครมขึ้นพร้อมกับร่างของนางที่สลบลงไปอยู่ที่พื้น เยี่ยเย่ว์มองเยี่ยหลีที่ล้มลงกับพื้นอยู่เงียบๆ ก่อนเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ขอโทษด้วยน้องสาม ข้าเป็นแม่ของบุตรชายคนหนึ่ง ย่อมต้องวางแผนเพื่อลูกของข้า”


 


 


           ฤดูใบไม้ผลิ ปีที่สิบสอง ในรัชสมัยฮ่องเต้ผิงตี้แห่งต้าฉู่ ตำหนักเหยาหวาเกิดไฟไหม้ เจาอี๋เยี่ยซื่อและองค์ชายหกเสียชีวิตท่ามกลางกองเพลิง พระชายาติ้งอ๋อง นามเยี่ยหลี ที่เข้าเยี่ยมเยี่ยเจาอี๋ ณ ตำหนักเหยาหวา หายตัวไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม