ยอดสตรีฉางอิ๋ง 68-74

 ตอนที่ 68 ชั่วข้ามคืน

โดย

Xiaobei

แม้เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งไม่อาจดึงรั้งไม่ให้ตระกูลเสิ่นเอ่ยเรื่องถอนหมั้น แต่กลับไม่ได้รั้งรอที่จะเอาคืน


                …หลายวันมานี้รุ่ยอวี่ถังถูกกระทำมามากมายเกินไปแล้ว


                หากไม่เก็บดอกเบี้ยสักหน่อย แล้ววันหน้าจะอยู่กันอย่างไร?


                ดังนั้นแล้ว ก่อนรุ่งสางวันที่สองหลังจากได้รับจดหมายจากเมืองหลวง ก็เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในเมืองเฟิ่งโจว


                แสงไฟลุกโชนชัดแจ้ง จนทำให้เวรยามยามค่ำคืนในเมืองตื่นตระหนก


                และสถานที่ต้นเพลิงก็คือคฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถังซึ่งอยู่ห่างจากรุ่ยอวี่ถังไม่ไกลนัก แล้วค่อยๆ ทำให้เมืองเฟิ่งโจวพากันตื่นตระหนกไปทั้งเมือง!


                นับแต่ร้อยปีก่อน ด้วยสาเหตุนานัปการทำให้จือเปิ่นถังโยกย้ายกำลังสำคัญไปที่เมืองหลวง แม้ยังคงเก็บคฤหาสน์นี้เอาไว้ แต่โดยทั่วไปแล้วก็มีเพียงยามที่มากราบไหว้บรรพบุรุษหรือมีงานฉลองเท่านั้นถึงจะได้ใช้งาน ปกติแล้วก็จะมีเพียงบ่าวจำนวนหนึ่งคอยเฝ้าไว้เท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะรกร้างว่างเปล่าเพียงใดก็ยังเป็นคฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถัง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าภายในยังคงมีหอบรรพบุรุษสายของจือเปิ่นถังอยู่ด้วย


                แม้แต่เว่ยฮ่วนเองเมื่อรู้เรื่องเข้าก็ยังเร่งตื่นขึ้นมาคลุมเสื้อคลุม และไปควบคุมการดับเพลิงด้วยตนเอง


                เมื่อไปถึงแล้วจึงได้พบว่า ตัวอาคารที่เป็นต้นเพลิงนั้นกลับถูกคนเจตนาเอาน้ำมันไปราดเอาไว้จนเต็ม น้ำมันนี้แทบจะทำให้อาคารทั้งหลังเปียกไปหมด เมื่อยิ่งสาดน้ำเข้าไป ยิ่งทำให้ไฟโหมแรงขึ้น กระทั่งเพราะสาดน้ำเข้าไปแล้วไปชะให้น้ำมันไหลออกมา ไม่เพียงไฟไม่ดับ แม้แต่สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใกล้ๆ ก็ยังพลอยติดไฟไปด้วย!


                เคราะห์ดีที่เว่ยฮ่วนครองสติได้แม้มีภัยอยู่ตรงหน้า จึงสั่งให้คนขนเอาดินทรายเข้าไปภายใน จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้อย่างยากเย็น เพียงแต่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่อยู่ลึกภายในจวนเช่นนี้ มีบ่อน้ำและสระน้ำอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่มีทางจะเอาดินทรายมากองเอาไว้เพื่อทำลายทัศนียภาพ กอปรกับเพลิงที่โหมกระหน่ำอย่างแรงกล้า ดังนั้นจนถึงยามนี้จึงเพิ่งจะพอควบคุมเพลิงเอาไว้ได้


                ตอนนี้อาคารทั้งหลังถูกเผาเสียจนเหลือเพียงชั้นล่าง เรื่องที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือเพิ่งมาพบเห็นเอาเมื่อยามเพลิงสงบแล้ว ว่าที่ที่เป็นต้นเพลิงก็นั้นอยู่ใกล้ๆ กับหอบรรพบุรุษ แม้ไฟจะมิได้ลุกลามจนทำลายเข้าไปถึงภายในหอบรรพบุรุษ แต่กลับเผากำแพงภายนอกเสียจนดำไหม้ไปหมด!


                หอบรรพบุรุษได้รับความเสียหายถือเป็นเรื่องใหญ่ บ่าวที่เฝ้าคฤหาสน์หลักนี้อยู่ตกใจเสียจนแทบจะหมดสติ พลางคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเว่ยฮ่วยเฝ้าร้องขอให้ละเว้นโทษตัดหัว…เพียงแต่เว่ยฮ่วนเพิ่งจะสอบถามว่าเหตุใดอยู่ดีๆ อาคารจึงมีน้ำมันมาราดไว้มากมาย…ในเมื่อมีราดมาน้ำมันเอาไว้ ก็ย่อมจะไม่ใช่เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นเองเพราะพลั้งเผลอ จักต้องมีคนจงใจวางเพลิง และถึงขั้นให้เพลิงไหม้ครานี้ไปทำลายหอบรรพบุรุษของจือเปิ่นถัง!


                เว่ยฮ่วนเป็นประมุขของตระกูล จะไม่ให้ไต่ถามให้ชัดแจ้งได้อย่างไร!


                ทว่าเขาเพิ่งจะสอบถามไปได้แค่สองประโยค กลับไม่อาจไม่พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน…


                เพราะมีคนพบ…ศพของเจ้ากรมธุรการซ่งหานและบุตรชายของเขาซ่งตวน รวมทั้งคนรับใช้และทหารรวมสิบคนที่ถูกสังหารอย่างอนาถอยู่ในตรอกสายหนึ่งไม่ไกลออกไป!


                เจ้ากรมธุรการยังเป็นหัวหน้าผู้ดูแลทหารในเมือง โดยเฉพาะซ่งหานและซ่งตวนเพิ่งจะได้รับราชโองการประกาศเกียรติคุณ แต่กลับมาถูกสังหารอยู่กลางเมือง! เว่ยฮ่วนโมโหโกรธาขึ้นมายกใหญ่ จึงให้คนคอยดูพวกบ่าวที่ดูแลคฤหาสน์เอาไว้ชั่วคราว แล้วเดินทางไปยังตรอกที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบด้วยตนเอง


ทว่า เว่ยฮ่วนเพิ่งจะออกพ้นประตูใหญ่ โดยไร้ซึ่งลางบอกเหตุใดๆ กลับมีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามา! หากมิใช่ว่าเด็กรับใช้ข้างกายตาไวมือไว้ผลักเขาออกไปอย่างแรง ก็เกรงว่าเว่ยฮ่วนคงจะเป็นเช่นเดียวกับซ่งหานและซ่งตวนในตรอกนั่นไปแล้ว…


เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นดังนี้ ทั้งพวกองครักษ์และข้าราชการต่างๆ ในเมืองจึงพากันตกใจและโกรธแค้นอย่างมาก และไม่กล้าให้เว่ยฮ่วนไปตรวจที่ตรอกด้วยตนเอง ต่อรองกันเนิ่นนาน อย่างไรก็จะต้องส่งเว่ยฮ่วนกลับรุ่ยอวี่ถังให้จงได้ เว่ยฮ่วนเพียงเข้าประตูมา พวกองครักษ์ก็เร่งให้เขาปิดประตูลงกลอนให้หนาแน่น และพากันห้อมล้อมตัวเขาเอาไว้ตลอดทางที่ส่งเขากลับถึงเรือนหลัง และตอนนี้เองที่เรื่องอกสั่นขวัญแขวนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น!


ไม่คิดว่าเว่ยฮ่วนเพิ่งจะแจ้งข่าวคราวให้แม่เฒ่าซ่งรู้และรีบไปปลุกปลอบทั้งลูกและหลานได้เพียงสองประโยค ภายนอกก็มีบ่าววิ่งตาลีตาลานด้วยความตกใจเข้ามาในโถงและรายงานข่าวที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่า


…นักเขียนเรืองนามแห่งเขตทะเล บุตรชายของจิ้งผิงกงก็ถูกพบว่าตายอยู่บนตั่งนอนเมื่อเกือบเค่อก่อนหน้านี้!


และผู้ที่ถูกสังหารพร้อมกับเว่ยเจิ้งหย่าก็ยังมีอนุภรรยาหนึ่งนาง ซึ่งเป็นสาวใช้ของนางเสี่ยวหลิวที่เข้ามาพร้อมนางตอนแต่งเข้าบ้าน และยังเป็นมารดาของคุณชายสิบเว่ยเกาอั้น


คฤหาสน์หลักจือเปิ่นถังถูกคนลอบวางเพลิงจนเกือบทำลายถึงภายในหอบรรพบุรุษ เจ้ากรมธุรการพ่อลูกถูกสังหารอยู่ในตรอก เว่ยฮ่วนถูกลอบทำร้าย นักเขียนเรืองนามแห่งเขตทะเลตายอนาถอยู่บนที่นอน… สี่เรื่องนี้แต่ละเรื่องน่าตื่นตกใจขึ้นเรื่อยๆเขย่าขวัญสั่นประสาทขึ้นเรื่อยๆ! ทั้งยังเกิดขึ้นภายในคืนเดียวเท่านั้น!


เมื่อเกิดเหตุน่าตื่นตระหนกเช่นนี้ ทั่วเมืองเฟิ่งโจวต่างพากันขวัญผวาขึ้นในบัดดล!


กำลังคนและอำนาจทั้งหมดในบ้านเกิดเมืองนอนแห่งนี้ต่างถูกระดมออกมาจนหมด!


เวลาสั้นๆ สามวัน จากรอยดาบบนศพของซ่งหานและซ่งตวน ลูกธนูที่เฉียดผ่านหน้าผากของเว่ยฮ่วนและไปปักอยู่บนก้อนหินสีครามลึกลงไปนิ้วกว่าๆ เขี้ยวสุนัขป่าที่หล่นอยู่ข้างตั่งนอนของเว่ยเจิ้งหย่า หลักฐานทั้งสามชิ้นนี้มีน้ำหนักดังขุนเขา…บวกกับหลังจากนั้นเพิ่งจะมีหลายคนนึกขึ้นได้ว่า สองวันมานี้ในที่สงัดลับตาคนในเฟิ่งโจว พวกเขาบังเอิญได้เห็นร่องรอยบางอย่างของคนที่น่าสงสัยเข้าโดยมิได้ตั้งใจ แต่เพราะสาเหตุต่างๆ นานาทำให้มองข้ามไป…


ด้วยเหตุนี้เว่ยฮ่วนจึงได้บันดาลโทสะเป็นหนักหนา และแน่ใจด้วยความโทมนัสยิ่งว่า โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในคืนนี้ จะต้องเป็นพวกหรงลอบเข้ามาลงมือแน่!


สาเหตุเล่า?


สาเหตุก็จะต้องเป็นการเอาคืนหลังจากชัยชนะที่เมืองเหนือน่ะสิ!


ก่อนหน้านี้ไม่นาน… หลานสาวและหลานชายที่เว่ยฮ่วนมีเพียงสองคน และยังมีหลานชายสายรองที่สอนสั่งมากับมืออีกหนึ่งคน คนรุ่นหลังทั้งสามคนได้ออกจากเมืองเพื่อไปส่งคน และผู้ที่ไปก็ไม่เพียงมีราชองครักษ์อี้ของฮ่องเต้ บุตรชายอันเป็นที่รักของเสนาบดีฝ่ายพิธีการ แม้กระทั่งว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ขากลับเมืองครานั้น ก็มิใช่ว่าได้ถูก ‘พวกหรง’ ซุ่มโจมตีหรอกหรือ หากไม่เป็นเพราะสรวรรค์ปกปอ้ง สองพี่น้องนี้ก็ไม่เหลือชีวิตเสียตั้งนานแล้ว!


เหตุที่คุณหนูตระกูลเว่ยผู้นั้นต้องสงสัยว่าสูญเสียความบริสุทธิ์ ก็มิใช่เพราะว่าหลังจากถูกลอบทำร้ายแล้วถูกบีบให้เข้าไปในบ่า ผ่านไปหลายวันถึงได้กลับมาที่รุ่ยอวี่ถังหรอกหรือ?


ครานั้น เว่ยเจิ้งหย่าซึ่งเป็นลุงอีกสายหนึ่งของตระกูล ยังด่าทอการกระทำไร้ยางอายของพวกหรงอย่างเคืองแค้นเป็นที่ยิ่ง…


                เว่ยฮ่วนเขียนบรรยายในฎีกาฉุกเฉินด้วยความข่มขื่นใจเป็นที่สุดว่า เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากหลานทั้งสามคนถูกลอบสังหารแล้ว ตนเองใช้ทหารและองครักษ์ส่วนตัวไปค้นหาในแถบใกล้เคียงเฟิ่งโจวรอบหนึ่ง คาดว่าหลังจากที่พวกหรงทำการล้มเหลว พวกคนที่เหลือก็ควรจะเดินทางไกลกลับไปยังดินแดนทางเหนือแล้ว ไม่คิดว่าพวกชนกลุ่มน้อยเหล่านี้จะเจ้าเล่ห์เพทุบาย ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนก็แฝงตัวกลับเข้ามาแล้ว!


                ดังนั้นโศกนาฏกรรมในคืนนี้ก็เห็นชัดเป็นอย่างยิ่งแล้วว่า…


                พวกหรงวางแผนเอาไว้นานแล้วว่าจะเอาคือซ่งหานพ่อลูกผู้มีความชอบใหญ่หลวงจากศึกที่หัวเมืองทางเหนือ ทั้งยังฝังใจแค้นสกุลเว่ย…โดยเฉพาะเว่ยเจิ้งหย่าที่ประณามพวกมันอย่างเปิดเผยว่าไร้เหตุผลเช่นพวกวิกลจริต


                พวกมันมีการเตรียมตัวมา โดยเอาน้ำมันราดจนทั่วทั้งชั้นของคฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถัง ด้วยเป็นคฤหาสน์หลักและอาคารนี้ก็ยังอยู่ข้างหอบรรพบุรุษ จึงไม่มีทางไม่มีคนไปช่วยดับเพลิง บวกกับเมื่อสาดน้ำมันเอาไว้จนทั่วแล้วก็จะไม่สามารถใช้น้ำมาดับเพลิงได้ มีเพียงต้องออกไปขนดินทรายเข้ามาดับเพลิงเป็นพิเศษ… ด้วยเหตุที่มีเว่ยฮ่วนคอยเตือนสติและสั่งการเอง หาไม่แล้วยิ่งจะทำให้ควบคุมเพลิงได้ช้ากว่านี้


                ในสถานการณ์ที่เกิดความตื่นตระหนกไปทั้งเมือง และต่างระดมพลกันมาดับเพลิงเช่นนี้ เมื่อดูจากเสื้อผ้าที่ยังเรียบร้อยดีทั้งยังเสียชีวิตอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้แล้ว เห็นชัดว่าพวกของซ่งหานเตรียมจะมาช่วยดับเพลิง แต่ปรากฏว่าระหว่างที่ผ่านตรอกถนนนั้น กลับต้องประสบกับลูกธนูที่มาเป็นห่าฝารอบหนึ่ง แล้วต้องเจอกับการต่อสู้แบบประชิดตัวในเวลาอันรวดเร็ว… หรือพูดได้ว่าคอยเข้าซ้ำเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นทุกคนจึงถูกสังหารไปจนหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว


                เพราะตอนนั้นเหตุเพลิงไหม้กำลังอยู่ในภาวะฉุกเฉิน หลายคนพากันตีฆ้องลั่นกลองปลุกเพื่อนบ้าน เรียกได้ว่าเอะอะลั่นไปทั้งเมือง ตรอกนี้อยู่ห่างจากจือเปิ่นถังไม่มาก แต่ในสถานการณ์ตอนนั้น ใครเล่าจะไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในตรอกแห่งนั้น นี่แสดงว่าซ่งหานพ่อลูกและคนทั้งกลุ่มจะต้องตายไปในเวลาที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง!


                ส่วนเว่ยเจิ้งหย่าที่แม้จะตายอยู่ภายในห้องของตนเอง ก็มีการตั้งสมมติฐานว่าเป็นพวกหรง หรือไม่ก็พวกหนอนบ่อนไส้ที่พวกหรงซื้อตัว ปลอมตัวเป็นเด็กรับใช้แล้วเข้าไปรายงานเรื่องเพลิงไหม้ อาศัยจังหวะที่เว่ยเจิ้งหย่าไม่ทันป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อยสังหารเขาในทันที!


                มิเช่นนั้นประตูหน้าต่างก็ปิดสนิทดี แล้วเหตุใดเว่ยเจิ้งหย่าจึงเสียชีวิตเล่า?


                สรุปแล้ว ทุกเรื่องนั้นเป็นการแก้แค้นที่เหี้ยมโหดของพวกหรง!


                เว่ยฮ่วนเขียนฎีกาด้วยความทุกข์ระทมเป็นที่สุด บรรยายถึงความเสียหายของตระกูลเว่ยได้แจ่มชัดจนเห็นภาพ และระบุลงไปชัดเจนว่าความชั่วช้าของพวกหรงเป็นที่น่าโกรธแค้นยิ่งนัก!


                เขาไม่เพียงใช้ถ้อยคำแสนเจ็บปวดและตื่นตระหนกเป็นที่สุดพรรณนาการเสียชีวิตของเว่ยเจิ้งหย่าซึ่งเป็นหลานในบ้านใหญ่ว่าเป็นการโจมตีทั้งจวนจิ้งผิงกง และจากในมุมของผู้ทำงานด้านบุ๋นแล้ว เรื่องนี้นับเป็นความน่าเสียดายเป็นที่สุดที่นักเขียนเรืองนามได้สิ้นไปอย่างไร้ความผิด และยิ่งเอ่ยถึงว่าซ่งหานและซ่งตวนยังเป็นผู้ที่ได้รับราชโองการประกาศเกียรติคุณ ที่พวกหรงทำเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการท้าทายและคุกคามต้าเว่ย!


                และแน่นอนว่าในตอนท้ายสุดของฎีกา เว่ยฮ่วนไม่ลืมเขียนลงไปว่า สำหรับเรื่องที่มีชาวบ้านเฟิ่งโจวไปขว้างเกี้ยวร้องทุกข์นั้น ก็เกรงว่าจะเป็นฝีมือของพวกหรงด้วยเช่นกัน จุดประสงค์ก็ยังคือการแก้แค้นการต่อสู้ครั้งใหญ่ในหัวเมืองเหนือ


                มิเช่นนั้นแล้วอาคารต่างๆ มีเต็มเมืองเฟิ่งโจวแต่พวกหรงกลับไม่เผา เหตุใดต้องสิ้นเปลืองกำลังพลลอบเข้าไปลงมือถึงภายในคฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถัง?


                สิ่งนี้จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าการร้องทุกข์ของชาวบ้านผู้นั้นแท้จริงแล้วแต่ต้นจนจบล้วนเป็นแผนการชั่วของพวกหรง แต่กลับถูกท่านเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยฉีตีจนตายคาที่ ดังนั้นชนเผ่าหรงซึ่งอับอายและเคืองโกรธ…จึงได้เผาคฤหาสน์ของเว่ยฉี!


                เว่ยฮ่วนร่างฎีกาด้วยตนเอง แล้วได้เว่ยซือกู่ซึ่งเป็นนักเขียนเรืองนามในเขตทะเลเช่นกันแต่นับว่ามีความสามารถเหนือกว่าเว่ยเจิ้งหย่าใช้เวลาหลายชั่วยามแก้ไขให้ ทำให้ฎีกานี้ผู้ได้ยินปวดใจผู้ได้ฟังหลั่งน้ำตาออกมาได้จริงๆ โดยพรรณนาออกมาได้อย่างละเอียดลึกซึ้งเป็นที่สุดว่า เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินแล้ว พวกเขาไม่ได้พรั่นพรึงว่าจะต้องดับสูญไปพร้อมกับพวกหรง แต่กลับต้องมาเผชิญกับการแก้แค้นที่ชั่วช้าไร้ยางอายของพวกหรง และด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องเจ็บแค้นเศร้าโศกอย่างหาที่สุดมิได้จากการที่ทั้งตระกูลถูกวางแผนลอบสังหารอย่างน่าอนาถ…


                เมื่ออ่านฎีกาที่แก้ไขครั้งสุดท้ายอย่างละเอียดแล้ว เว่ยฮ่วนกล่าวชมเชยเป็นหนักหนาด้วยความจริงใจว่า “ฎีกาที่ล้ำเลิศในหล้าเช่นนี้ หากไม่ทำให้ฮ่องเต้สะเทือนพระทัย ก็คงไม่มีคำกล่าวใดในใต้หล้าที่จะทำให้ฮ่องเต้ทรงประทับใจได้อีกแล้ว!”


                เว่ยซือกู่ยิ้มจางๆ พลางว่า “ร่างฎีกาก่อนหน้านี้ของท่านประมุขก็สมบูรณ์เป็นอย่างยิ่งแล้ว ข้าแค่เสริมให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”


                ทั้งสองเยินยอกันและกันพักหนึ่ง เว่ยฮ่วนให้บ่าวที่เชื่อใจได้เข้ามา แล้วสั่งให้เขาขี่ม้าเร็วนำฏีกาไปส่งที่เมืองหลวง เมื่อส่งฎีกาไปแล้ว สีหน้าของเว่ยฮ่วนกลับหนักอึ้งลง แล้วทอดถอนใจว่า “เรื่องแต่งงานของฉางอิ๋ง…”


                “แผนยามนี้มีเพียงแผนเดียว” เว่ยซือกู่ไม่เพียงเป็นนักเขียนเรืองนามในเขตทะเล เป็นอาจารย์ของเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวน ความจริงแล้วเขายังเป็นมันสมองของเว่ยฮ่วน เว่ยฮ่วนคบค้ากับเขามาหลายปี ต่างเชื่อใจกันและกันเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งปัจจุบันนี้เว่ยฮ่วนยังได้นำเรื่องส่วนตัวมาปรึกษากับเขา เว่ยซือกู่นิ่งคิดอยู่เกือบเค่อจึงกล่าวว่า “อย่างไรก็ทำได้เพียงรอคนตระกูลเสิ่นมาถึงก่อนค่อยตัดสินใจเถิดขอรับ หากตระกูลเสิ่นไม่ยินดี ตามความเห็นของข้าแล้ว เพื่อคุณหนูสาม เรื่องแต่งงานครานี้ล้มเลิกไปก็ช่างเถิด… ความจริงแล้วท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่าก็มีหลานสาวสายเลือดตรงผู้นี้เพียงคนเดียว หากได้แต่งกับตระกูลใหญ่แต่ต้องตกอยู่ในมือผู้อื่น มิสู้ยกให้ผู้ภักดีจริงใจแต่ยากไร้ไม่ได้ เอามาปกป้องไว้ใต้ปีกของเรายังมีโอกาสได้พบเจอกันได้บ่อยครั้ง”


                “ไยข้าจักไม่รู้ว่าหากตระกูลเสิ่นเกิดความเคลือบแคลงในตัวฉางอิ๋ง ต่อให้ฝืนรับนางเข้าบ้าน วันหน้าก็เกรงว่าจะมิได้เป็นผลดี?” เว่ยฮ่วนลูบเคราสีขาวแล้วกล่าวเสียงหนักว่า “เพียงแค่ย่าของพวกเขาบอกว่าก็เป็นเรื่องน่าสงสาร เด็กคนนี้ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่แท้ๆ และที่ต้องได้รับเคราะห์เช่นนี้ก็เพื่อปกป้องน้องชายของนาง! ก่อนนี้ข้ามักรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีนิสัยนอกลู่นอกทางเกินไป ไม่เป็นไปตามลักษณะที่บุตรีตระกูลใหญ่พึ่งมี เพียงแต่ว่าร่างกายของเจิ้งหงอ่อนแอ มิใช่เรื่องง่ายเลยที่สะใภ้ใหญ่จะมีบุตรชายและบุตรสาวคู่นี้ จึงได้เอาอกเอาใจกันมากเกินไปหน่อย ย่าของพวกเขาก็ปกป้องกันอย่างมาก ข้าเองก็ไม่ว่างจะไปดูแลมากนัก…”


                “ครานี้หากมิใช่เพราะนางยืนกรานร่ำเรียนวรยุทธ ไม่เพียงตัวนางเท่านั้น เกาชวนและฉางเฟิง จักไม่มีผู้ใดหนีรอดออกมาได้! ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องการนัดหมายกับเว่ยซินหย่ง เป็นตายไม่แน่ชัด นางกลับมีความกล้าปลอมตัวเป็นฉางเฟิงไปตามนัด! ดูท่าแล้ว ที่เคยดูแคลนหลานสาวผู้นี้ ข้าดูผิดไปจริงๆ ลำพังด้วยน้ำใจที่นางปกป้องน้องชาย เมื่อนางกลับมาแล้วข้าก็ไม่อาจจะทนให้นางต้องถูกรังแกอีกแล้ว!”


                เว่ยซือกู่ครุ่นคิดเป็นนาน แต่ก็ยังต้องส่ายหัว “แม้ในฎีกาประมุขจะช่วยนางแก้ต่าง ทว่าเรื่องที่ต้องรายงานในฎีกานี้มีมากเกินไป เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ… ไม่อาจดึงดูดความสนใจได้ ยามนี้พวกเรามิได้อยู่ที่เมืองหลวง ทั้งยังไม่อาจควบคุมคำคน! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เด็กคนนี้ยังมิได้ไปเมืองหลวง แต่คำเล่าลือที่เกี่ยวกับนางกลับระบือไปทั่วทิศแล้ว ต่อให้หยุดข่าวลือได้ เรื่องก็ถูกคาดเดาไปในทางต่างๆ นานาเสียแล้ว คุณหนูตระกูลใหญ่ต้องมาเป็นขี้ปากคนไปทุกถนนหนทางเช่นนี้ ที่สุดแล้ว…ฐานะของเสิ่นจั้งเฟิงในตระกูลเสิ่นก็จักไม่เหมือนเดิม!”


                เว่ยฮ่วนนิ่งเงียบเนิ่นนาน แล้วพลันเอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถิด หากตระกูลเสิ่นไม่พอใจด้วยเหตุนี้ แล้วพวกเขายินยอมฝืนใจรับเด็กคนนี้เข้าบ้าน ข้าก็กลับไม่อยากตอบรับการแต่งงานครานี้แล้ว ดังคำท่าน ไปหาลูกบ้านอื่นที่เป็นสายญาติที่ห่างออกไป แล้วให้เขาย้ายมาอยู่ที่เฟิ่งโจว…ก็จะสามารถปกป้องเด็กคนนี้ไว้ในเฟิ่งโจวได้ชั่วชีวิตแล้ว! นอกจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจคบหาสมาคมกับตระกูลเสิ่นได้ต่อไป”


                “ส่วนพวกผู้อาวุโสในตระกูลนั้น…” ยามนี้ชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งยับเยิน เรื่องนี้ส่งผลไปถึงชื่อเสียงของทั้งวงศ์ตระกูล มิใช่เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งว่าอย่างไรก็สิ้นเรือง สถานการณ์เช่นนี้พวกผู้อาวุโสในตระกูลก็จักต้องมีการขอให้ลงโทษเว่ยฉางอิ๋งตามธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูล


                “พวกเขาหรือจะยังมีแก่ใจไปสนใจเรื่องนี้? บุตรชายจิ้งผิงกงก็ตายด้วยน้ำมือของพวกหรง เห็นได้ว่าความต้องการแก้แค้นของพวกหรงที่มีต่อตระกูลเว่ยของข้านั้นมีมากมายเพียงใด! หากครานี้ไม่ดูแลประตูหน้าต่างและระวังคำพูดให้ดี…” เพียงเพราะว่าในจิตใจของเว่ยฮ่วนกำลังไม่เป็นสุข จึงยิ้มเยาะแล้วว่า “โผล่พรวดออกมาหาเรื่องหาราว หรืออยากจะตายถึงเพียงนั้น!?”


________________________


ตอนที่ 69 ไว้อาลัย

โดย

Xiaobei

                ในทางลับนั้น ไม่ว่าเว่ยฮ่วนจะวางแผนใดหรือทำการใด อย่างไรเว่ยเจิ้งหย่าก็เป็นคนของรุ่ยอวี่ถัง เมื่อเขาตายด้วยน้ำมือของ ‘พวกหรง’ ตระกูลในสายของเว่ยฮ่วนก็ย่อมต้องไปร่วมงานไว้อาลัยของเขา


                ความจริงแล้วเว่ยฉางอิ๋งนั้นไม่ยินยอมไปเป็นอย่างมาก


                ตอนนี้นางเฮ่อหายดีแล้วจึงกลับมาดูแลข้างกายนาง พวกของจูหลานทั้งสี่คนซึ่งเป็นเด็กรับใช้อายุน้อยก็ถูกรับตัวกลับมาจากชนบท และมาทำหน้าที่สาวใช้ลำดับสองในเรือนเสียซวงต่อไป และไม่รู้เพราะเป็นเมื่อตอนอยู่ที่ชนบทถูกแม่นมสั่งสอนมาอย่างหนักหรือไม่ ประการแรกนั้น เดิมทีพวกของจูหลานสองสามคนนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกลานของนางเฮ่อและพวกพ่อบ้านแม่บ้าน ประการต่อมาด้วยอายุยังน้อยจึงซุกซนและชอบหยอกล้อเอะอะเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะอยู่ที่เรือนเสียซวงหรือไม่ ในเรือนนี้ก็จะคึกครื้นอย่างยิ่งตลอดทั้งปี


                แต่กลับมาหนนี้กลับเรียบร้อยขึ้นจนผิดหูผิดตา ดูไปแล้วสงบเสงี่ยมกว่าก่อนนี้เป็นอย่างมาก เว่ยฉางอิ๋งก็มิได้เรื่องมากกับคนที่อยู่รอบกาย หากพวกเด็กรับใช้อายุน้อยๆ จะมีเสียงจ้อกแจ้กจอแจบ้าง ขอเพียงไม่รบกวนนางเกินไป นางก็มิได้โกรธเคือง ยามนี้เรียบร้อยและรู้ความขึ้นแล้วนางจึงได้เอ่ยชมไปสองสามประโยค ดีชั่วอย่างไรการที่พวกจูหลานสองสามคนนี้ได้ถูกคัดมาให้ปรนนิบัตินาง ไม่ว่าจะเอะอะหรือสงบนิ่ง ทุกเรื่องพวกนางก็ทำอย่างตั้งใจ


                เพียงแต่ลวี่ฝางและลวี่ปิ้นที่เว่ยฉางอิ๋งมักจะพึ่งพาและไว้วางใจมาโดยตลอดกลับไม่ได้กลับมาพร้อมกัน สาเหตุที่บอกกล่าวกันมาก็คือยามพวกนางอยู่ที่ชนบทนั้นไปเข้าตาขุนนางเข้า และอายุก็ถึงวัยอันควรแล้ว จึงได้ขอลากับแม่เฒ่าซ่งและแต่งงานอยู่ในชนบทแล้ว นางเฮ่อยังได้ส่งของขวัญไปแสดงความยินดีแทนเว่ยฉางอิ๋งสองชุด


                ส่วนเหตุผลจริงๆ นั้น นางเฮ่อมาบอกเป็นการภายในว่า “เหตุอันตรายที่คุณหนูใหญ่ประสบครานี้ ได้ยินว่าลวี่อีและลวี่ฉือที่พาไปด้วยนอกจากจะไม่สามารถปกป้องคุณหนูใหญ่ได้แล้ว กลับยังกลายเป็นตัวถ่วง ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมาก และบอกว่าสาวใช้ข้างกายเช่นนี้ใช้สอยในยามปกติก็พอแล้ว เวลาสำคัญขึ้นมากลับใช้สอยอะไรไม่ได้แม้สักน้อย! นี่ขนาดยังอยู่ในเฟิ่งโจว หากคุณหนูใหญ่ออกเรือนไปแล้ว แล้วพวกนางออกไปอยู่ด้วยก็จักน่าขายหน้าเสียเปล่าๆ ด้วยเหตุนี้จึงได้เปลี่ยนคนเสีย”


                “พวกฉินเกอ และเยี่ยนเกอรึ?” เว่ยฉางอิ๋งถามอย่างสงสัย


                นางเฮ่อกล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่อย่าได้ดูแคลนพวกนางเชียว ยามพวกนางทั้งสี่เพิ่งมาถึง ข้าน้อยก็รู้สึกว่ามือไม้พวกนางหนักเหลือทน อุ้งมือก็ยังหยาบและมีหูดแข็งด้วย! เหมือนคนที่จะมาดูแลคุณหนูใหญ่อย่างละเอียดประณีตที่ใดกัน? ดังนั้น…จึงตั้งใจได้ไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่า ปรากฏว่าฮูหยินผู้เฒ่าจึงเรียกฉินเกอเข้ามาในโถง แล้วฉินเกอก็จัดการองครักษ์สามสี่นายไปเสียจนสะบักสะบอมด้วยมือเปล่าอยู่ต่อหน้าข้าน้อยเชียว!”


                เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจทันที ครานี้ถูกลอบทำร้าย ด้วยความตื่นกลัวของแม่เฒ่าซ่งจึงเริ่มระแวดระวังเอาไว้ให้มั่น ก่อนนี้เว่ยซินหย่งกล่าวว่า เนื่องจากตนมิใช่บุตรชายบ้านใหญ่ แม้เว่ยฮ่วนจะได้รับการแต่งตั้งจากท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่าให้สืบทอดรุ่ยอวี่ถัง แต่เพราะคำทัดทานของแม่ใหญ่ จึงไม่ได้รับอำนาจดูแล ‘ปี้อู๋’ แต่เมื่อพี่น้องของตนประสบภัยในครานี้ กลับเป็นการให้เหตุผลข้ออ้างและโอกาสกับเว่ยฮ่วน และใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อนเพื่อช่วงชิงสิทธิ์การดูแลองครักษ์ลับกองนี้


                เมื่อองครักษ์ลับของตระกูลมาอยู่ในมือ ด้วยนิสัยของแม่เฒ่าซ่งย่อมต้องคิดถึงหลานชายหลานสาวทั้งคู่ของตนเป็นอันดับแรก


                เกรงว่าไม่เพียงแค่สาวใช้ข้างกายเว่ยฉางอิ๋งจะถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด คนในเรือนหลิวหวาของเว่ยฉางเฟิงก็เกรงว่าจะเปลี่ยนคนใหม่ทั้งหมดเช่นกัน


                “ตอนรับใช้ดูแลก็คงจะไม่ละเอียดประณีตนัก แต่พวกนางเพิ่งจะมา ก็จะต้องให้เวลาสักระยะจึงจะรู้จักความคุ้นเคยของข้า” เว่ยฉางอิ๋งยังกล่างว่า “เมื่อท่านอามีเวลาว่างก็ชี้แนะพวกนางสักหน่อยเถิด”


                “เรื่องนี้ยังต้องให้คุณหนูใหญ่บอกหรือเจ้าคะ?” นางเฮ่อยิ้มน้อยๆ “ข้าน้อยคอยกำชับกำชาอยู่ทั้งวันเชียว! เพียงแต่ความสามารถในการเรียนรู้เรื่องการปรนนิบัติดูแลคนของนางพวกนี้ไม่ดีนัก โดยรวมแล้วแม้ไม่มีปัญหาใด แต่ในรายละเอียดก็ยังมีที่พลั้งพลาดอยู่ ยังต้องสอนสั่งให้เห็นกับตาทีละเล็กทีละน้อยจึงจะได้” เพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่อย่างสุขสบายใจ นางเฮ่อจึงเข้มงวดกับพวกสาวใช้เป็นอย่างยิ่งตลอดมา


                เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วว่า “ดีชั่วพวกนางก็อยู่ข้างๆ กาย ที่ใดทำไม่ได้ก็ชี้ชัดออกมาแล้วเรียกให้นางจำเอาไว้เป็นพอ ข้าคิดว่าคนที่ท่านย่าคัดสรรมาจะต้องหัวดีแน่นอน หนหนึ่งจำไม่ได้ หลายหนเข้าก็จะต้องจำได้เอง”


                แม้จะใจกว้างกับสาวใช้ที่มาใหม่เป็นพิเศษ แต่กับเรื่องที่สาวใช้ที่รับใช้ตนมาหลายปีต้องจากไปอย่างกะทันหัน ในจำนวนนั้นลวี่อีและลวี่ฉือก็ยังต้องมาตายอย่างน่าอนาถอยู่ในป่า เว่ยฉางอิ๋งยังคงรู้สึกว่าภายในใจไม่สุขสงบ “พิธีไว้อาลัยนี้ไม่ไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วข้าไม่คิดอยากไปเลยจริงๆ”


                เดิมทีด้วยเหตุที่นางเฮ่อเจ็บป่วยด้วยโรคเดียวกันจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจเว่ยฉางเสียน ถึงขนาดเคยตักเตือนให้เว่ยฉางอิ๋งไปสมานสามัคคีกับเว่ยฉางเสียนเอาไว้ แต่จวนจิ้งผิงกงกลับวางแผนทำร้ายเว่ยฉางอิ๋ง อีกทั้งนางเฮ่อยังเห็นว่า ‘คุณหนูใหญ่ถูกต้องเสมอ หากคุณหนูใหญ่ผิดแล้ว โปรดกลับไปดูประโยคแรก’ ความเห็นอกเห็นใจเพียงน้อยนิด…ที่เว่ยฉางอิ๋งมีให้เว่ยฉางเสียนก่อนนี้นั้นพลันถูกนางเฮ่อโยนขึ้นไปบนเมฆชั้นที่เก้าโน่น ยามนี้นางเฮ่อจงเกลียดจงชังทั้งจวนจิ้งผงกงเป็นที่สุด นางเป็นคนปากจัด จึงคุ้นชินกับคำพูดแรงๆ มาเสียตั้งนานแล้ว “ไยคุณหนูใหญ่ต้องคิดว่าไปงานไว้อาลัยเล่าเจ้าคะ? ก็คิดเสียว่าไปดูผลกรรมหลังความตายของคนผู้นั้น และไปฟังเสียหน่อยว่าพวกจวนจิ้งผิงกงจะร้องไห้คร่ำครวญกันเพียงใด เช่นนี้ก็มิใช่ว่าสาแก่ใจแล้วหรือเจ้าคะ?”


                คำพูดนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะพู่ออกมา จนทำให้มือที่กำลังปักดอกไห่ถังที่ทำจากอัญมณีบนศีรษะของนางชะงักลง “ท่านอากล่าวถูกต้องแล้ว อืม… อย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นการไว้อาลัย ดอกจูฮวาสีนี้ก็อย่าเอาแซมผมไปเลย เปลี่ยนเป็นดอกลี่ฮวาสีขาวก็แล้วกัน!”


                นางเลือกสรรและปรับเปลี่ยนเครื่องประดับให้เหมาะกับพิธีไว้อาลัย และเลือกเสื้อและกระโปรงแบบธรรมดาๆ แล้วส่งกระจกดู เมื่อเห็นว่าไม่มีที่ใดไม่เหมาะสมแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ลุกขึ้นแล้วว่า “คิดว่าทางน้องสาวสี่และห้าก็คงจวนจะเสร็จแล้ว เช่นนั้นก็ไปรอที่ทางเดินด้านหลังกันเถิด”


                แม้ความเกลียดชังที่รุ่ยอวี่ถังมีต่อจวนจิ้งผิงกงยังคงไม่จางหาย แต่การเสียประโยชน์และที่สิ่งที่พวกเราได้ลงมือทำไปล้วนเป็นเรื่องในทางลับ แต่ในทางแจ้งนั้น ก่อนนี้เว่ยเจิ้งหย่าตำหนิพวกหรงเพื่อหลานสาว ครานี้เว่ยฮ่วนยังเป็นตัวแทนของเว่ยฉางสวี้ในการเชื้อเชิญหลานชายตระกูลเฟิง ซึ่งเป็นมิตรที่รักใคร่กลมเกลียวอย่างยิ่งของทั้งสองฝ่ายมาร่วมงานด้วย


                ด้วยเหตุนี้หลังจากเว่ยเจิ้งหย่าเสียชีวิต ฮูหยินซ่งก็ไม่ยอมแอบยินดีอยู่ภายในใจอีกต่อไป ทั้งยังอดจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วไม่ได้ แล้วเร่งพานางเผยไปที่จวนเพื่อ ‘ปลอบโยน’ นางเสี่ยวหลิว แน่นอนว่าการปลอบโยนนั้นเป็นเรื่องรอง แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือไปช่วยงานศพ อย่างไรเว่ยเจิ้งหย่าก็เป็นลูกโทน เป็นแก้วตาดวงใจดวงเดียวของจิ้งผิงกง ทั้งจิ้งผิงกงยังไม่กระตือรือร้นกับเรือนหลัง เมื่อภรรยาเก่าเสียชีวิตไปแม้อนุสักคนก็ยังไม่มี ผู้คนจึงพากันบอกเขาให้แต่งงานใหม่มาช่วยหุงหาอาหารเถิด แม้นางซูจะเก่งกาจแต่ก็เป็นเพียงสะใภ้ เรื่องงานศพของพ่อสามี มีหลายแห่งที่นางไม่ควรเป็นคนตัดสินใจ


                ในเวลาเช่นนี้ก็ย่อมต้องเป็นคนในตระกูลมาช่วยงาน โดยเฉพาะญาติทางสายของประมุขเว่ยฮ่วนมาออกแรงช่วย


                ฮูหยินซ่งและนางเผยมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบจึงต้องไปถึงให้เร็ว ส่วนพวกบุตรชายบุตรสาวค่อยตามมาภายหลัง เว่ยฉางเฟิงและพี่น้องผู้ชายขี่ม้าออกไปทางประตูหน้า แล้วจึงอ้อมมารอพวกพี่สาวและน้องสาวที่ประตูหลัง ส่วนพวกของเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นเด็กสาวนั้นต้องมาขึ้นรถที่เรือนหลัง แล้วจึงออกจากจวนทางประตูหลัง เมื่อมาพร้อมกันแล้วจึงเดินทางไปยังจวนจิ้งผิงกง เพื่อมิให้ต้องเข้าจวนสองสามรอบ นอกจากจะไม่น่าดูแล้วยังทำให้ผู้ที่มาต้อนรับแขกต้องวิ่งไปกลับหลายหนด้วย


                ดังนั้นยามนี้เว่ยฉางอิ๋งต้องรอน้องสาวทั้งสองคนไปด้วยกัน


                นางกะเวลาได้แม่นยำนัก รออยู่บนระเบียงทางเดินที่จะต้องเดินผ่านเพียงประเดี๋ยว ก็เห็นสาวใช้ห้อมล้อมพวกน้องสาวค่อยๆ เดินมาถึง


                เครื่องแต่งกายของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนคล้ายๆ กับของเว่ยฉางอิ๋ง ว่ากันว่าอยากงดงามต้องสวมชุดขาว สิ่งที่คุณหนูตระกูลใหญ่นั้นมีไม่เคยขาดก็คือผ้าไหมเนื้อวาว อีกทั้งบรรดาพวกผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบให้เด็กๆ สวมเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส นอกจากงานศพแล้ว พวกเด็กสาวล้วนไม่มีโอกาสได้สวมชุดสีเรียบ


                ปกติแล้วเห็นพวกพี่สาวน้องสาวสวมชุดสีสันสดใสเสียจนชิน มาวันนี้ได้เห็นว่าใส่สีอ่อนเรียบๆ ไปทั้งตัว ทำให้เกิดความรู้สึกว่างดงามหมดจดที่บรรยายออกมาไม่ถูก ต่างคนต่างมองกันจนเหม่อ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวทักทายลูกผู้น้อง “เดิมทีพวกเจ้าก็หน้าตาคล้ายกันมาก วันนี้แต่งกายนเช่นนี้ยิ่งคล้ายกันเข้าไปใหญ่ หากมิใช่เพราะฉางเยียนยังไม่โต มิเช่นนั้นแล้วยืนอยู่ที่นี่ก็เหมือนกับตรงกลางมีกระจกวางอยู่อย่างนั้น”


                ด้วยบิดาของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเป็นบุตรของอนุ ทั้งแม่ใหญ่ก็มาจากตระกูลใหญ่ แม้แต่เล็กมาจะไม่เคยต้องขัดสนใดๆ แต่ก็ไม่เคยได้รับความรักใคร่เช่นอัญมณีล้ำค่าไม่ว่าจากท่านย่าหรือแม่ใหญ่… ถึงอย่างไรฐานะของตระกูลเผยก็ต่ำต้อย และนางเผยเองก็มิได้แข็งแกร่งเช่นฮูหยินซ่ง หากคอยแต่เอาใจบุตรธิดาจนเหลิง ก็จักถูกคนเยาะเอาได้ว่านางเป็นคนตื้นเขินไม่รู้จักสั่งสอนลูก


                ดังนั้นพี่สาวน้องสาวบ้านสามคู่นี้จึงรักใคร่กลมเกลียมกันมาก แต่ไรมาล้วนระมัดระวังกริยาวาจาเป็นอย่างยิ่ง ดังว่าคอยรักษามาตรฐานว่าหากไม่เดินสักก้าวก็จะไม่เอ่ยสักประโยคอยู่ตลอดเวลา


                แน่นอนว่า เมื่ออายุไล่เลี่ยกัน หากจะพูดหยอกล้อเล่นกันระหว่างพี่น้องสักสองสามประโยค พวกนางก็ย่อมทำได้


                ทว่าครานี้เมื่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเห็นเว่ยฉางอิ๋งกลับดูแปลกไปจากเดิม เว่ยเกาฉานค่อยๆ อ้าปาก ผ่านไปหลายอึดใจจึงเพิ่งจะถามออกมาได้ “พี่หญิงใหญ่ นี่ท่าน…ก็จักไปจวนจิ้งผิงกงด้วยหรือเจ้าคะ?”


                “ใช่แล้ว” พวกผู้ใหญ่ทั้งเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งต่างจงใจปิดบัง เว่ยฉางอิ๋งจึงยังไม่รู้ว่าทั้งเมืองหลวงและเฟิ่งโจวต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ชื่อเสียงของนางไปต่างๆ นานามานานแล้ว บอกนางแต่เพียงว่าเว่ยเกาฉานก็สัมผัสได้ว่าก่อนนี้ที่พวกนางพี่น้องสามคนถูกซุ่มโจมตีอยู่บนถนนหลวงนั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับจวนจิ้งผิงกงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงได้สงสัยว่าเมื่อตนเองถูกลุงซึ่งเป็นญาติในอีกสายหนึ่งทำร้าย แต่กลับจะไปร่วมพิธีไว้อาลัยด้วยใจสงบสุข จึงได้ยกมุมปากโค้งขึ้น แล้วกล่าวอย่างมีความนัยว่า “เป็นเพราะครานี้ท่านลุงถูกพวกหรงทำร้าย ข้าก็ควรจะต้องไปแสดงความเสียใจ… โดยเฉพาะต้องไปคอยพูดคุยเป็นเพื่อนท่านป้าสักหน่อย”


                เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนต่างพากันนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วเว่ยฉางเยียนจึงค่อยเอ่ยเสียงเบาว่า “กะ…ก่อนหน้านี้ ท่านพี่สามเพิ่งจะประสบเรื่องสะเทือนขวัญ ความจริงแล้วหากวันนี้ไม่ไป ข้าคิดว่าท่านป้าก็คงจักเข้าใจ”


                เว่ยฉางอิ๋งกลับเข้าใจน้องสาวทั้งสองผิดไปว่าเห็นใจที่ตนถูกเว่ยเจิ้งหย่าวางแผนทำร้าย วันนี้กลับยังต้องไปร่วมพิธีไว้อาลัยเขา จึงได้กล่าวเตือนตนว่าไม่ต้องไป นางจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดีชั่วอย่างไร ก็เดินทางแค่ไม่กี่ก้าว อย่างไรเสียข้าก็เป็นลูกหลาน ในเมื่อสามารถไปได้ งานใหญ่เช่นนี้หากไม่ไปก็ไม่ดี”


                เมื่อเห็นนางยืนกรานว่าจะไป เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนจึงสบตากันหนหนึ่ง ในดวงตามีประกายความไม่ยอมใจ เพียงแต่เกรงกริ่งว่าแม่เฒ่าซ่งรักใคร่เอาใจเว่ยฉางอิ๋งมาแต่ไร จึงไม่กล้าบังคับไม่ให้นางออกจากเรือนแล้ว


                พวกนางตามหลังเว่ยฉางอิ๋งมาด้วยสีหน้าผะอืดผะอม… ความผะอืดผะอมนี้เมื่อมาถึงข้างรถม้าก็ยิ่งเป็นหนักขึ้น… รถม้าที่บ่าวเตรียมไว้ให้พวกนางนั้นกว้างขวางมาก เพียงพอให้พี่น้องทั้งสามพร้อมด้วยสาวใช้นั่ง รถม้านี้เดิมทีเอาไว้ให้นายผู้หญิงออกเดินทางไปด้วยกัน เพื่อมิให้เมื่อนั่งกันหนึ่งคนต่อหนึ่งคันแล้วรถจะคับแคบทั้งยังน่าเบื่อ สองสามคนนั่งด้วยกันจักได้พูดคุยกัน


                โดยปกติแล้วเมื่อคุณหนูบ้านตระกูลเว่ยออกเดินทางพร้อมกันก็จะนั่งรถคันนี้ ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงมิได้คิดมาก นางเป็นคนโตที่สุดในพี่น้องสามคนนี้ จึงประคองมือของนางเฮ่อขึ้นรถไป ทั้งยังช่วยเปิดผ้าม่านรถออก เพื่อให้น้องๆ ขึ้นมาได้อย่างสะดวก


                ทว่าเมื่อนางเข้ามาในรถแล้วก็เลือกเอาที่นั่งตรงกลางและนั่งลง กลับเห็นเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนยังคงยืนอยู่ข้างรถ หันหน้ามองกันด้วยสีหน้าแสนจะลำบากใจ


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างสงสัยว่า “เหตุใดไม่ขึ้นมาเล่า?”


                “พี่สาม…” เว่ยเกาฉานขบริมฝีปาก นิ่งคิดอยู่สักพักจึงได้กล่าวออกมาอย่างยากเย็นว่า “ขะ…ข้ากับฉางเยียนยะ…อยากจะพูดคุยกันตามลำพัง”


                แม้เว่ยฉางอิ๋งและลูกผู้น้องทั้งสองคนนี้จะเติบโตมาด้วยกันแต่เล็ก แต่ความสัมพันธ์รู้ใจกลับมีอย่างบางเบา ไม่ใกล้ชิดเหมือนกับซ่งไจ้สุ่ยที่ได้อยู่ด้วยกันไม่กี่เดือน ยามนี้น้องสาวทั้งสองบอกออกมาชัดแจ้งว่าไม่อยากให้นางได้ยินการสนทนาส่วนตัวของพวกนาง เว่ยฉางอิ๋งก็มิได้รู้สึกไม่สบายใจใดๆ เพียงแต่กล่าวเตือนไปว่า “มิใช่จะไปร่วมไว้อาลัยท่านลุงหรอกหรือ? แล้วยามนี้จะมาคุยสิ่งใดกัน? ท่านแม่และท่านอาสะใภ้สามต่างก็ไปอยู่ที่นั่นแล้ว พวกของฉางเฟิงก็รออยู่ที่ประตูหลัง หากพวกเรายังชักช้า จนคนมากันมากแล้วจึงไปถึงก็จักเป็นการเสียมารยาท” แล้วกล่าวเตือนไปว่า “รอจนพิธีไว้อาลัยเสร็จแล้วค่อยคุยกันเถิด”


                คำกล่าวนี้สมเหตุสมผล เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพลันหาเหตุผลเหมาะสมอื่นไม่ได้ เพียงแค่พวกนางไม่อยากจะขึ้นรถคันเดียวกับเว่ยฉางอิ๋งจริงๆ จึงบอกไปอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “คือว่า…พวกเรา…พวกเราจะนั่งรถอีกคนหนึ่งและสนทนากับไประหว่างทางเจ้าค่ะ”


                “มีเรื่องอันใดต้องเร่งร้อนพูดถึงเพียงนี้?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างสงสัย “ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้จะเตรียมรถได้ทันหรือ?”


________________________


ตอนที่ 70 ด่าหยาบ

โดย

Xiaobei

                เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนถูกซักไซ้เสียจนใบ้กินไร้คำกล่าว แม้ในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมเป็นนักหนา แต่ก็กลับไม่อาจไม่ขึ้นรถได้


                เมื่อรถม้าเคลื่อนตัว เว่ยฉางซุ่ย เว่ยฉางเฟิง เว่ยเกาหยาที่อยู่ข้างนอกก็ล้อมเข้ามา พลางกล่าวคำทักทายกันผ่านม่านคลุมรถ และขี่ม้าตามไปข้างๆ รถ ร่วมเดินทางไปจวนจิ้งผิงกงด้วยกัน


                การเดินทางนี้มีระยะทางไม่ไกล และไม่มีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องสัญจร จึงเข้ามาถึงประตูหลังของจวนจิ้งผิงกงอย่างรวดเร็ว เมื่อลงจากรถม้าแล้วเข้ามาในส่วนลึกของจวนจึงจะเป็นที่จัดงานใหญ่ครานี้ ยามนี้กลับมีเพียงแม่บ้านชรามารอต้อนรับอยู่ที่ข้างรถ ใบหน้าที่สงบสำรวมกลับไม่อาจปิดบังความกระอักกระอ่วนใจที่แผงอยู่ในสีหน้าได้ นางคำนับด้วยสีหน้าไม่สงบ และไม่มีแก่ใจจะเอ่ยให้มากความ แล้วพาพวกนางไปยังห้องของนางเสี่ยวหลิวที่อยู่ทางเรือนหลัง


                ตลอดทางมีผ้าขาวแขวนเอาไว้ทุกๆ แห่งเรียบร้อยแล้ว บ่าวไพร่ที่พวกนางได้พบ ไม่มีผู้ใดเลยจะไม่เร่งเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วและมีสีหน้าเศร้าสร้อย ในจวนจิ้งผิงกงมีหลายแห่งที่ปลูกต้นไม้ประเภทต้นอู๋ถงซึ่งเป็นไม้ผลัดใบเอาไว้ ซึ่งในฤดูนี้ก็ประจวบเป็นช่วงที่ใบไม้ต่างพากันร่วงโรง ยิ่งทำให้ดูอ้างว้างมากขึ้น


                เว่ยฉางอิ๋งมองดูจวนที่ก่อนนี้เคยเรียบร้อยสง่างามคราหนึ่งแล้วพลันมีแววแห่งความเศร้าโศกปรากฏขึ้นมาบนสีหน้า พลางลอบถอนใจอยู่ภายในใจ ความรู้สึกเกลียดชังเว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิวก็กลับถูกขจัดไปสิ้น


                ความจริงแล้ว ทั้งนาง และเว่ยฉางเฟิง เว่ยเกาชวนต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่เว่ยเจิ้งหย่ากลับเสียชีวิตไปแล้ว


                เว่ยเจิ้งหย่ามีบุตรชายสามคน มีเพียงเว่ยฉางสวี้ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ความปราดเปรื่องของเว่ยฉางสวี้กลับห่างไกลกับเว่ยเจิ้งหย่านัก…


                จึงสามารถล่วงรู้ได้ทันทีว่าจะเกิดความเศร้าโศกเพียงใดในจวนจิ้งผิงกง แน่นอนว่าพวกเขามีตำแหน่งที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ขอเพียงยังมีต้าเว่ยอยู่ อาศัยตำแหน่งนี้ พวกเขาก็ยังคงมีโอกาสแสวงหาความรุ่งเรืองได้ แต่เรื่องนั้นอย่างน้อยก็ต้องรอให้ถึงวันที่เว่ยซ่านสื่อโตเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน ถึงยามนั้นบุตรชายผู้สืบสกุลของเว่ยฉางเฟิงก็คงจะโตกว่าเว่ยซ่านสื่อในตอนนี้แล้ว ด้วยพรสวรรค์ของเว่ยฉางเฟิง เมื่อถึงเวลานั้นปีกของเขาก็คงจะกล้าแข็ง แล้วจักมาหวาดกลัวหลานในอีกสายตระกูลหนึ่งได้อย่างไร


                ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งประมุขของตระกูลก็จะส่งผ่านเว่ยฮ่วนมาถึงเว่ยฉางเฟิง ก็เท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายแล้วว่าจะต้องสืบทอดตระกูลทางสายของเว่ยฮ่วนต่อไป สายเลือดที่มีระหว่างจิ้งผิงกงก็จักต้องแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แม้ในภายภาคหน้าเว่ยซ่านสื่อจะต้องดูแลจวนต่อไปโดยไม่มีบิดา แต่เขาก็หาได้สืบทอดข้อดีต่างๆ มาจากสายเลือดของปู่ของเขาไม่


                สรุปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าการที่พวกตนสามพี่น้องประสบเหตุลอบทำร้ายครานี้ ทำให้เว่ยฮ่วนสามารถกำจัดนานาปัญหาเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งของบุตรของอนุซึ่งอาจจะเกิดขึ้นภายหลังไปได้อย่างสิ้นเชิง นับว่าคุ้มค่ายิ่ง


                ในเมื่อคิดได้ว่าฝั่งของตนหาได้เสียผลประโยชน์ไม่ เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่มีความคิดแค้นเคืองใดอีก นางคารวะและไต่ถามนางเสี่ยวหลิวด้วยความเห็นใจและเศร้าสร้อยด้วยกริยาสำรวมมีมารยาทตามแบบฉบับของคุณหนูตระกูลใหญ่ เพราะความรู้สึกภายในใจเปลี่ยนไปแล้ว จึงได้กลืนวาจาที่เคยคิดจะเอ่ยก่อนหน้านี้ลงไปเสียสิ้น


                อาการของนางเสี่ยวหลิวหนักหนากว่าที่เว่ยฉางอิ๋งคิดไว้มาก ดวงตานางมองเหม่อสติล่องลอย กระทั่งนั่งเฝ้าอยู่ข้างหลังโล่งศพก็ยังทำไม่ได้ ตัวทั้งตัวนางนอนพับอ่อนปวกเปียกอยู่บนตั่ง เอาแต่มองไปบนเพดาน ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ยามพวกหลานสาวจากตระกูลอีกสายหนึ่งเข้ามาทักทายและปลอบโยน แม้กระทั่ง คุณชายเก้าเว่ยฉางหลินเลือดเนื้อเชื้อไขของนางเพียงคนเดียวซึ่งเพิ่งอายุเพียงสิบปีร่ำไห้เขย่าแขนนางอยู่พักใหญ่นางก็ยังไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย


                …เหมือนกับว่าวิญญาณทั้งดวง หัวใจทั้งดวงล้วนตายไปพร้อมกับการตายของเว่ยเจิ้งหย่าเสียแล้ว


                เมื่อเห็นนางในสภาพนี้ แม้แต่วาจาของฮูหยินซ่งก็ยังอ่อนโยนลงไปมาก เมื่อว่างแล้วก็เข้าไปกล่าวเตือนนางสองสามประโยค “…ฉางหลินยังเด็กนัก ท่านลุงใหญ่ไม่ชอบเรื่องว้าวุ่นในบ้าน บ้านนี้จึงยังต้องให้พี่สะใภ้ ท่านคอยดูแล… ท่านก็ต้องคิดถึงซ่านสื่อและซ่านกุย พวกเขาล้วนเป็นเด็กดี ทั้งร่างกายของซ่านกุยก็อ่อนแอ ท่าน…”


                ทว่าคำพูดเหล่านี้นางเสี่ยวหลิวล้วนไม่ได้ฟังเข้าหู


                หลังจากเว่ยฉางอิ๋งสามพี่น้องเข้ามาคารวะและกล่าวทักทายแล้ว ก็มีสตรีในตระกูลอีกจำนวนมากทยอยกันเข้ามา บ้างก็ทักทาย บ้างก็ปลอบโยน บ้างก็แนะนำ บ้างก็หลั่งน้ำตาเป็นเพื่อน… แต่ไม่ว่าเป็นผู้ใดมา มีปฏิสัมพันธ์เช่นไร นางเสี่ยวหลิวก็ล้วนไม่ได้สนใจใดๆ


                ความเปล่าเปลี่ยวและอ้างว้างประหนึ่งตายของนาง ทำให้ทุกคนวางตัวไม่ถูกจริงๆ แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ทุกคนล้วนเข้าใจได้


                ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลขนาดใหญ่ ทั้งเว่ยเจิ้งหย่ายังมาตายในบ้านเกิดของตนเอง ผู้ที่มาไว้อาลัยนั้น ลำพังแค่คนในตระกูลเดียวกันก็มีมากโขแล้ว สตรีในตระกูลที่มีคุณสมบัติเข้ามาเยี่ยมเยือนนางเสี่ยวหลิวและเว่ยฉางเสียนที่เรือนหลังก็มีไม่น้อย ในตอนแรกภายในห้องที่กว้างขวางยังพอรองรับไหว แต่ภายหลังเมื่อคนค่อยมากขึ้นก็ไม่มีที่เหลือให้ยืนแล้ว


                ฮูหยินซ่งและนางเผยไม่อาจไม่เข้าไปช่วยดูแลแทนนางเสี่ยวหลิวเสียหน่อย พลางบอกกล่าวทุกคนให้ออกมาจากในห้องก่อน แล้วให้เพียงสาวใช้ที่เชื่อใจได้คอยเฝ้าเอาไว้ อย่างไรเสีย เมื่อดูจากอาการของนางเสี่ยวหลิวในยามนี้ก็ไม่ควรจะไปรบกวนนางเกินไป


                พวกของเว่ยฉางอิ๋งทั้งสามคนที่มาถึงก่อนคนอื่นก็ถูกสั่งให้ออกมาเช่นกัน ฮูหยินซ่งหาเวลาว่างระหว่างที่วุ่นวายกำชับพวกนางประโยคหนึ่งว่า “วันนี้เกรงว่าข้าและท่านอาสะใภ้สามของเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่เสียเลย พวกเจ้าพี่น้องอย่าได้เดินหลงกัน อีกสักพักค่อยกลับไปด้วยกัน”


                เห็นชัดว่านางเสี่ยวหลิวไม่สามารถดูแลเรื่องต่างๆ ได้ กระทั่งเฝ้าโลงศพก็ยังทำไม่ได้ ข้างหน้านั้นมีคนในตระกูลช่วยดูแล ที่เรือนด้านหลังนี้ก็ต้องการคนจัดแจงด้วยเช่นกัน…และในเวลานี้หน้าที่รับผิดชอบนี้ก็ตกอยู่ที่ตัวฮูหยินซ่งและนางเผยแล้ว


                แม้จวนทั้งสองจะห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่หากกลางค่ำกลางคืนเกิดมีเรื่องเล็กน้อยขึ้นมา กว่าจะมีคนวิ่งมาเชิญไปมาก็ยุ่งยาก อย่าให้ต้องเพิ่งกลับถึงรุ่ยอวี่ถังหัวยังไม่ทันถึงหมอนก็ถูกเรียกให้กลับมาเสียแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจอยู่ที่จวนจิ้งผิงกงไปเสียเลย ดีชั่วอย่างไร ยามนี้ ‘ปี้อู๋’ ก็อยู่ในมือของเว่ยฮ่วน


                แม้แต่เว่ยเจิ้งหย่าก็ยังตายอยู่ในห้องของตัวเอง แน่นอนว่าฮูหยินซ่งและนางเผยย่อมไม่กลัวจะค้างคืนที่นี่


                เดิมทีฮูหยินซ่งให้ทุกคนออกไป เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนก็พากันส่งสายตาว่าต้องการจะแยกตัวจากเว่ยฉางอิ๋ง แต่ฮูหยินซ่งกลับสั่งมาเช่นนี้ได้ ท่านป้าใหญ่ผู้นี้ทั้งแข็งแกร่งทั้งเก่งกาจ เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนล้วนรู้สึกกลัวนาง จึงไม่กล้าไม่ฟังคำนาง


                 นิ่งเงียบไปสักพัก เว่ยเกาฉานก็เสนอว่า “พี่สาม พวกเราหามุมวิเวกสักหน่อยนั่ง พักผ่อนสักพักเถิดเจ้าค่ะ”


                “ก็ดี” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า พิธีไว้อาลัยก็เป็นงานที่ต้องใช้เรี่ยวแรงมาก ตอนอยู่ในห้องเมื่อครู่นี้ พวกนางก็ยืนกันกว่าหนึ่งชั่วยามเต็มๆ มีพวกผู้ใหญ่อยู่มากมายเพียงนั้น แม้จะมีที่นั่งเพียงพอพวกนางก็ไม่กล้านั่ง… เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังรู้สึกเหนื่อย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนที่เป็นสตรีตระกูลใหญ่แสนอ่อนแอขนานแท้


                แต่นางไม่รู้ว่าลับหลังนั้น  เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพากันส่งสายตาประหนึ่งว่าได้รับภาระอันหนักอึ้ง เพราะประเด็นสำคัญนั้นกลับคือการปลีกวิเวก


                แม้จักพูดไม่ได้ว่าสามสาวพี่น้องคุ้นเคยกับเรือนด้านหลังของจิ้งผิงกงนัก แต่ก็หาได้ไม่คุ้นเคย


                ไม่นานก็หาศาลาที่อยู่ในมุมหนึ่งจนพบ ข้างศาลามีต้นสนหางสิงห์ปลูกเรียงเป็นแถวหนาแน่นและบังศาลาไว้จนมิด จะต้องเดินอ้อมกลุ่มต้นสนหางสิงห์นี้ไปยังภูเขาเทียมที่อยู่อีกด้านหนึ่งจึงจะมีทางเดินเล็กๆ เข้าไปได้ มิใช่ว่าคนที่เคยมาเพียงสองหน หรือแม้แต่จะเป็นยามกลางวันก็จะหาทางเข้าไปได้


                เมื่อถึงในศาลา เพราะเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนต่างพากันนิ่งเงียบ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวถึงทิวทัศน์ไปสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าพวกน้องๆ ต่างไม่ยอมต่อความจึงได้หมดความสนใจไป ทั้งสามคนจึงได้นั่งอยู่เงียบๆ เช่นนี้ รอจนกระทั่งมีแรงกลับมาแล้วจักได้เข้าไปช่วยรับแขกที่จะมาต่อไปได้


                ความเงียบงันของพวกนางก็พลอยทำให้พวกสาวใช้และบ่าวที่อยู่ข้างกายเงียบเสียงลงไปด้วย ด้วยเป็นพิธีไว้อาลัยจึงมิได้สวมใส่เครื่องประดับมากมาย ยามลมฤดูใบไม้ร่วงโชยมาจึงมิได้มีเสียงของเครื่องประดับกระทบกัน เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่เดินผ่านหลังแนวต้นสนหางสิงห์ก็จักเข้าใจผิดเอาได้ง่ายๆ ว่าในศาลาไม่มีคน…หรือไม่ก็ไม่รู้เลยว่าข้างหลังต้นไม้มีคนอยู่


                และคงด้วยสาเหตุนี้ จากนั้นไม่นาน พลันมีเสียงซุบซิบมาจากอีกด้านหนึ่งของแนวต้นไม้ คงเพราะนึกว่ารอบๆ ไม่มีคน และแม้จะเป็นเสียงซุบซิบไม่ดังนัก แต่ก็ยังทำให้คนที่อยู่ในศาลาได้ยิน “คนที่แซมผมด้วยลูกปัดดอกไม้รูปดอกลี่ฮวาสีขาวคนนั้น เจ้าเห็นแล้วหรือไม่?” เสียงนี้หวานนัก สามารถจินตนาการได้ว่าเจ้าของเสียงน่าจะต้องเป็นคนน่ารักร่าเริง ในน้ำเสียงมีความตื่นเต้นที่สัมผัสได้ไม่ยากแฝงอยู่


                “เจ้าหมายถึงคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินซ่งคนนั้นรึ?” คนที่กล่าวตอบเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “จักไม่เห็นได้หรือ? หญิงสาวเต็มห้อง ก็เป็นนางที่งามที่สุด… นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของท่านประมุข แม้จะเป็นอาภรณ์เรียบๆ นางก็ยังใส่แล้วดูมีสง่าราศียิ่งกว่าพวกเราเสียอีก!”


                เสียงหวานๆ ที่พูดไปก่อนหน้านี้กล่าวอย่างดูแคลนว่า “เจ้ารู้สึกว่านางมีสง่าราศีรึ? เจ้าคิดว่านั่นคือผู้ใด?”


                “เอ๊ะ! เจ้าว่าเช่นนี้ หรือว่าคือ…?”


                “เป็นนางนั่นล่ะ! ตอนที่ออกมาเมื่อครู่นี้ เข้าได้ยินมากับหูว่าฮูหยินซ่งเรียกนางว่าฉางอิ๋ง”


                ฟังถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งถึงกับสะดุ้ง พลางหันไปมองทางต้นสนหางสิงห์ด้วยความสงสัย เห็นท่าทางเว่ยเกาฉานกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง นางจึงรีบโบกมือเป็นการบอกให้เว่ยเกาฉานเงียบเสียง


                เว่ยเกาฉานก็มิกล้าขัดนางต่อหน้า จึงทำได้เพียงสงบปากลงด้วยความหวั่นหวาดเป็นที่สุด


                เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนั้น สาวใช้และพวกบ่าวต่างส่งสายตาหากัน แม้แต่ลมหายใจก็ยังจงใจให้เบาลง เพื่อมิให้รบกวนการแอบฟังของคุณหนูบ้านตน


                และคนที่อยู่ข้างหน้าแนวไม้ก็มิได้ทำให้พวกนางผิดหวัง ยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นานอย่างครื้นเครง “เหตุใดนางยังกล้าออกมา? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่นี้ข้ายังเห็นสีหน้าของนางเป็นปกติมาก คล้ายยังเข้าไปกล่าวเตือนฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงสักพักด้วย? เหตุใด…นางถึง…ถึงไม่รู้จักกลัวไม่รู้จักอายบ้าง?!”


                ประหนึ่งน้ำแช่น้ำแข็งหนึ่งถัง รดลงไปบนหัวของเว่ยฉางอิ๋งในวันที่หนาวเหน็บที่สุดในฤดูหนาว!


                เมื่อเห็นว่านางมีสีหน้าไม่สู้ดี สีหน้าของนางเฮ่อก็เปลี่ยนไปทันที และทำท่าจะไปด่าทอพวกปากเปราะไม่มีตาทั้งสองคนที่นอกแนวต้นไม้ ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับรีบกดมือนางเอาไว้!


                เห็นชัดว่านางยังอยากฟังต่อ…


                “ก็มิใช่หรือไร? หากเป็นข้า ทำเรื่องเช่นนาง ก็ตายอยู่ในป่าไปเสียดีกว่า ยังจะกลับมาทำสิ่งใด? ไม่รู้จักกลัวว่าจะทำให้ประตูบ้านเปื้อนมลทินบ้าง!”


                “ชวี… เป็นถึงหลานสาวบ้านใหญ่ของท่านประมุข! เหตุใดจึงไม่มียางอายเช่นนี้? ท่านประมุขก็ไม่คอยดูแลเสียบ้าง?”


                “ท่านประมุขก็มีนางเป็นหลานสาวแท้ๆ อยู่เพียงคนเดียว คงจะปลงใจไม่ได้ แต่หากให้ข้าว่า เว่ยฉางอิ๋งนี่ก็ไร้ยางอายเกินไป นางรักตัวกลัวตาย แล้วกลับมาอย่างไม่ขาวสะอาด ได้ยินว่าขายขี้หน้าไปจนถึงเมืองหลวงโน่น! ยามคนนอกเอ่ยถึงต่างก็ว่าเป็นบุตรสาวตระกูลเว่ย…เฮ่อ ปีนี้พวกเรายังมิทันได้มีแม่สื่อมา ต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าจะถูกนางทำให้พลอยรับเคราะห์ไปด้วยจนเป็นเยี่ยงไร…”


                “ชื่อเสียงของตระกูลเว่ยของพวกเราขาวสะอาดและสูงส่งเพียงใด? และจะอภัยให้นางได้อย่างไร? เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของทั้งตระกูลเชียว…”


                “ได้ยินท่านปู่ข้าว่า ท่านประมุข…”


                 เว่ยฉางอิ๋งโอนเอนคล้ายจะล้ม พลันเอามือไปยันโต๊ะหินที่อยู่ข้างหน้าเอาไว้ จึงนั่งตรงๆ อยู่ได้อย่างลำบาก นางพลันเอื้อมมือไปดึงลูกปัดดอกไม้รูปดอกลี่ฮวาสีขาวดอกนั้นแล้วเหวี่ยงลงไปที่พื้นอย่างแรง!


                เสียงลูกปัดดอกไม้แตกเสียงดังแจ่มชัด ทำให้คนข้างนอกแนวไม้ตื่นตกใจ “อ๊ะ! ข้างในมีคน?!”


                “รีบไป รีบไป! จริงๆ เชียว หลังต้นไม้นี่มีคนซ่อนอยู่ ตอนพวกเรามาไยไม่มีซุ่มเสียง?” ด้วยอำนาจที่ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรมของเว่ยฮ่วน ทั้งเขายังแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการจะปกป้องหลานสาว แม้เด็กสาวในตระกูลทั้งสองคนนี้จะไม่พอใจและมาวิจารณ์กันลับๆ ก็ส่วนวิจารณ์ไป แต่ก็กลับไม่กล้าทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงดัง จึงไม่ทันได้ดูให้ละเอียดแล้วรีบหนีไปอย่างลนลาน


                สีหน้าของนางเฮ่อเขียวคล้ำ กล่าวว่า “ไยคุณหนูปล่อยพวกนางไปเช่นนี้เจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งมิได้สนใจนาง หากแต่ค่อยๆ.. ค่อยๆ.. หันหน้ามาหาลูกผู้น้องทั้งสองคน ที่ยามนี้เห็นได้ชัดว่านั่งอยู่อย่างร้อนรน แล้วจ้องพวกนางอยู่พักหนึ่งเต็มๆ จึงค่อยๆ พูดออกมาทีละคำว่า “ที่เมื่อครู่นี้…พวกเจ้าบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกันตามลำพัง… ไม่อยากนั่งรถคันเดียวกับข้า… ก็ด้วย… สาเหตุนี้?”


                เดิมทีเว่ยเกาฉานคิดจะปฏิเสธ เว่ยฉางเยียนก็เช่นกัน แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ของลูกผู้พี่ เด็กสาวสองคนที่เคยชินกับการระวังกริยาวาจาก็ยังคงรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา จึงไม่อาจกล่าวคำปฏิเสธออกมาได้ อ้ำอึ้งอยู่เป็นนาน เว่ยเกาฉานจึงกล่าวเสียงต่ำๆ ว่า “พะ…พวกเราหาได้รังเกียจพี่สามไม่ พะ…พวกเราเพียงแค่… เพียงแค่…”


                 นางเพียงแค่พูดไม่ออก เว่ยฉางอิ๋งกลับหันเหสายตาออกโดยพลัน เหม่อมองไปยังท้องฟ้าแสนไกล แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาและเล็กอย่างยิ่งว่า “เพียงแค่กลัวว่านั่งรถกับข้า แล้วจะถูกคนหัวเราะเยาะเอา?”


                เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนหน้าแดงหูแดง พูดอะไรไม่ออก


                “…พวกเจ้าไปเถิด ข้าอยากอยู่ตรงนี้เงียบๆ คนเดียวสักพัก” พี่สามผู้นี้เคยลงมือสังหารพวกโจรสองคนบนถนนหลวง ทั้งอาจหาญและเด็ดเดี่ยวเหนือว่าผู้ชายธรรมทั่วไปเสียอีก ทั้งยังได้รับความรักใคร่จากผู้ใหญ่ หากบันดาลโทสะขึ้นมา…แล้วทุบตีพวกนาง ขอเพียงไม่เกิดเรื่องใหญ่โต อย่างไรเสียก็เป็นความผิดของพวกนางเอง… เมื่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนถูกเดาใจออกจึงพากันหวาดหวั่นเป็นนักหนา! เฝ้ารอให้เว่ยฉางอิ๋งลงโทษพวกนางด้วยอาการขวัญผวา ทว่ารออยู่นานกลับได้ยินเพียงประโยคนี้


                เพียงระบายอารมณ์ออกมาอย่างบางเบา กลับไม่เป็นดังพายุฝนกระหน่ำอย่างที่คิดเอาไว้


                พวกนางนิ่งเหม่อ ข้างนางเฮ่อก็เข้ามาต่อว่าต่อขานด้วยสายตาไม่เป็นมิตรว่า “คุณหนูทั้งสองยังไม่ไปอีก หรือยามนี้ไม่กลัวว่าอยู่กับคุณหนูของพวกเราแล้วจะถูกคนหัวเราะเยาะเอา? หรือคิดว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเราถูกพวกปากสวะไม่กี่คนนั้นสบประมาทไปสองสามประโยคแล้วจะจัดการพวกท่านมิได้?”


                “พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้” แม้นางเฮ่อจะเป็นเพียงแม่นม แต่เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนกลับไม่กล้าเถียงคำนาง โดยเฉพาะในสภาพการณ์เช่นนี้… พวกนางทั้งคับแค้นใจทั้งหวาดกลัว แต่ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย พลางรีบลุกอย่างลนลาน แล้วรีบออกไปนอกศาลา


                นางเฮ่อมองตามหลังพวกนางไปด้วยสายตาเย็นชา รนจอพวกนางก้าวออกไปนอกศาลาแล้ว แต่ยังสามารถได้ยินเสียงพูดจาในศาลาได้อยู่ แล้วเอ่ยเสียงสูงขึ้นมาทันใด “นึกว่าตนเองเป็นของสูงส่งจริงๆ หรือไร?! ของต่ำๆ ที่ฮูหยินชั้นต่ำคลอดออกมา! ตระกูลเล็กๆ ได้มาปรับแต่งสมองสักหน่อย แผงเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ความจริงแล้วก็เพียงอึ่งอ่างพองตัวให้เท่าวัวเท่านั้น! ทั้งยังเป็นคางคกขึ้นวอหลงนึกว่าตัวเองดีเด่นนักหนา กลัวจะถูกผู้อื่นทำให้พลอยถูกหัวเราะเยาะรึ? ข้าว่า คนบางคนวางท่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างภูมิอกภูมิใจต่างหากเล่าที่น่าหัวเราะเยาะเป็นที่สุด… ฮูหยินชั้นต่ำคลอดออกมาก็ยังเป็นฮูหยินชั้นต่ำคลอดออกมาวันยันค่ำ จะมาหลอกใครได้ว่าเป็นทองแท้หยกแท้กันเล่า มองขึ้นไปอีกสักหน่อย ก็มิใช่ฮูหยินชั้นต่ำเลี้ยงมาหรอกรึ! พิราบแก่พยายามเอาขนนกยูงสองสามก้านมาแซมขนตัว แล้วก็หลงนึกว่าตัวเองเป็นนกยูงแล้วรึ? ถุย!”


                น้ำลายคำหนึ่ง พ่นลงมาบนชายกระโปรงสาวใช้ของเว่ยเกาฉาน!


                แม้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนจะไม่ถูกเอาอกเอาใจเช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋ง แต่ความจริงแล้วก็มีฐานะเป็นคุณหนู มีหรือจะเคยได้ยินคำด่าทอที่เจ็บแสบและหยาบคายเช่นนี้? นางเฮ่อโกรธเคืองพวกนางที่แต่ก่อนนี้ก็ไม่ใช่ไม่เคยขอให้เว่ยฉางอิ๋งลูกผู้พี่ผู้นี้ช่วยเหลือ มาวันนี้ด้วยคำครหานินทา กลับรู้สึกรังเกียจเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมาจนถึงขึ้นไม่ยอมนั่งรถกับนางหรือไม่ยอมเข้าใกล้นาง คำด่านี้ถือว่าเป็นการตีวัวกระทบคราดแล้ว เหลือแต่ไม่ได้ด่าชื่อออกไปเท่านั้น!


                ฝีเท้าของพี่น้องบ้านสามโอนเอนไปมาอย่างหนัก ดูท่าว่ากำลังสูดหายใจลึก ในเวลาต่อมาก็ดูเหมือนจะมีเสียงสะอื้น


                ทว่าพวกนางเพียงหยุดก้าวเท้าแค่เพียงอึดใจเดียว แต่กลับไม่มีความกล้าจะหันกลับมาถกเถียง พลางประคองกันและกันแล้วเดินออกไปไกล… ดูท่าว่าคงไปหาที่อื่นร้องไห้สักพัก


                ด้วยหลักการสำคัญที่สุดตลอดกาลว่า ‘คุณหนูใหญ่ผู้แสนดี กลับต้องมาถูกไอ้พวกใจดำใส่ร้าย’ ทำให้ท่านอาเฮ่อผู้ยึดถือหลักการนี้อย่างยิ่งยวดและไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยแสดงออกชัดเจนว่า ‘คุณหนูใหญ่เป็นคนใจดีที่ยังเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง แต่สำหรับตัวข้าแล้ว ในสายตามีเพียงคุณหนูใหญ่เท่านั้น!’


_______________________


ตอนที่ 71 น้องสาวของเว่ยชิง

โดย

Xiaobei

                ด่าเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเสียจนต้องเอาแขนเสื้อปิดหน้าร้องไห้เดินไป แต่บนใบหน้าของนางเฮ่อกลับมิได้มีความยินดีเลยแม้สักน้อย กลับกัน นางกล่าวด้วยเสียงต่ำอย่างระมัดระวังจนแทบจะเป็นการวิงวอนว่า “คุณหนูใหญ่อย่าไปฟังคำพูดเลอะเลือนจากคนปากเปราะพวกนี้เลย…พวกนางล้วนริษยาคุณหนูใหญ่ คนหนึ่งในนั้นมิใช่พูดก่อนหน้านี้แล้วหรือ? ว่าเมื่อครู่มีหญิงสาวอยู่เต็มห้อง ก็เป็นคุณหนูใหญ่ที่งดงามและมีสง่าราศีเป็นที่สุด! บุตรสาวของสายอื่นๆ ในตระกูลไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานะหรือความงามล้วนไม่เทียมคุณหนูใหญ่ จึงได้…”


                “หลายวันแล้วกระมัง?” สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งยังคงซืดเผือด และมองเหม่อออกไปแสนไกล เมื่อได้ยินนางเฮ่อพูดถึงตรงนี้ก็พลันหันหน้ามาถามประโยคหนึ่ง


                แม้จู่ๆ นางก็ถามออกมาลอยๆ แต่นางเฮ่อกลับเข้าใจ แล้วลังเลอยู่พักใหญ่จึงได้กล่าวเสียงต่ำว่า “ประมาณ…ไม่กี่วันมานี้เจ้าค่ะ ท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่าได้…”


                “ในตระกูลต่างก็เริ่มกันพูดเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางเพียงแค่ไม่กี่วันนี้กระมัง” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างบางเบา ในน้ำเสียงนั้นมีเสียงสะอื้นปะปนมาด้วย


                นางเฮ่อรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในใจ พลางฝืนยิ้มแล้วว่า “คุณหนูใหญ่โปรดอย่าได้ร้อนใจ คำกล่าวนี้แม้จะเล่าลือกันมาสองวัน แต่ท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่าล้วนมีวิธีจัดการ ประสาอะไรกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไร้แก่นสารข้างนอก ก็มิใช่ว่าเป็น….เลือกมา? ยามนี้ก็ได้รับผลกรรมแล้ว คนก็จากไปแล้ว หรือคนในอาณัติทั้งหลายยังกล้าไม่ลืมหูลืมตาแล้วสร้างเสียงครหาให้ร้ายคุณหนูใหญ่ต่อไปอีก? ให้ผ่านไปอีกวันสองวันเสียงวิจารณ์เหล่านี้ก็จะต้องแพ้ภัยตนเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะต้องคืนความบริสุทธิ์แก่คุณหนูใหญ่ได้แน่นอน”


                เว่ยฉางอิ๋งพูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “ความบริสุทธิ์รึ? ข้าบริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่วันนี้แม้แต่พวกน้องๆ ต่างไม่ยอมนั่งรถคันเดียวกับข้า….ข้า…พวกนาง…”


                “คุณหนูบ้านสามทั้งสองคนนี้ แม้จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเว่ยเช่นกัน แต่มารดาของพวกนางมีชาติกำเนิดต่ำต้อยยิ่งนัก ไม่อาจเป็นหน้าเป็นตาได้!” นางเฮ่อหัวเราะเยาะคราหนึ่ง พลางด่าทอนางเผยไปพร้อมกันอย่างไม่เกรงใจเลยแม้สักน้อย กล่าวว่า “ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ก่อนนี้คุณหนูใหญ่คอยดูแลพวกนาง ต่อให้โดยปกติแล้วความสัมพันธ์จะไม่แน่นแฟ้น จะอย่างไรก็มีท่านปู่คนเดียวกัน! พวกนางกลับกล้าทำกับคุณหนูใหญ่เช่นนี้ หาได้คำนึงถึงความสัมพันธ์ฉันพี่น้องแม้แต่น้อยไม่… ครานี้เป็นคุณหนูใหญ่ใจดี ตามความเห็นข้าน้อยแล้ว ไอ้ของที่คนชั้นต่ำเลี้ยงดูพวกนี้ ก็ควรจะเอาไม้เรียวมาตบปากพวกนางแรงๆ! พวกนางนี่เป็นสิ่งใดกัน กล้ามารังเกียจคุณหนูใหญ่?!”


                 เดิมทีนางเฮ่อก็ออกจะเข้าข้างเว่ยฉางอิ๋งซึ่งตนเป็นผู้ให้นมจนเติบใหญ่และคิดว่านางเป็นผู้ที่ควรได้รับความรักใคร่มากที่สุดในบรรดาหลานสาวทุกคน โดยปกติแล้วในบรรดาบ่าวไพร่ในเรือนหลัง นอกจากพวกที่ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินซ่งไว้เนื้อเชื้อใจแล้ว ก็มีนางกว่านซึ่งเป็นแม่นมของเว่ยฉางเฟิงที่นางเกรงใจสักหน่อย แม้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนจะเป็นคุณหนูตระกูลเว่ย แต่นางเฮ่อไม่เคยรู้สึกว่าพวกนางไม่อาจเทียบกับเว่ยฉางอิ๋งได้เลย


                ครานี้ที่เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนล่าถอยและรังเกียจเว่ยฉางอิ๋งนั้นเป็นที่น่าเย้ยหยันยิ่ง คำพูดของนางเฮ่อยิ่งพูดยิ่งหยาบคายเข้าทุกที “จะว่าไปใครๆ ต่างบอกว่าฮูหยินสามสอนสั่งผู้สืบสกุลในบ้านสามมาด้วยความตั้งใจยิ่ง แต่ยามนี้จากที่ข้าน้อยดู ก็มิรู้ว่าความตั้งใจนี้นำไปใช้ที่ใดกัน? คุณชายสี่ไปเรียนก่อนคุณชายห้าของเราตั้งนาน แต่ผลการเรียนกลับไม่รู้ว่าย่ำแย่กว่าคุณชายห้าตั้งเท่าใด! จะอย่างไร โดยรวมแล้วบ้านสามก็ยังเป็นอนุ อย่างไรก็ไร้บุญญาธิการ! ไม่ว่าจะอาศัยผู้อาวุโสและอาจารย์มีชื่อสอนสั่งเยี่ยงไร พวกโง่เง่าก็ยังคงโง่เง่าไปจนตาย!”


                “ตามความเห็นของข้าน้อย ต่อไปคุณหนูใหญ่อย่าได้ไปเดินกับนางสองคนนั่นอีก หาไม่แล้วจะถูกคนเยาะเอาได้ว่าคุณหนูใหญ่ออกจะฉลาดปราดเปรื่องปานนี้แต่ข้างกายกลับเป็นลูกผู้น้องแสนโง่เง่าสองนาง! บ้านใหญ่ของเราจะได้ไม่ต้องเสียหน้าด้วยเหตุนี้!”


                “ท่านอาสะใภ้สามกลัวที่สุดว่าคนอื่นจะว่านางไม่สมกับเป็นฮูหยินในตระกูล เว่ย แม้แต่การดูแลน้องสี่และน้องห้าก็ยังเป็นไปด้วยความรู้สึกกลัวว่าจะถูกคนวิจารณ์” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน แขนเสื้อค่อยๆ มีรอยหยดน้ำปรากฏออกมาหลายหยด แล้วเอ่ยอย่างเนิบนาบว่า “อีกประการข้างนอกต่างก็พูดกันจนถึงเช่นนี้แล้ว ท่านอาก็คงจะทนฟังไม่ได้ โทษพวกนางไม่ได้ที่ไม่อยากอยู่กับข้า ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกนาง การกลัวว่าจะถูกลากไปเกี่ยวพันด้วยก็เป็นความรู้สึกธรรมดาของคน”


                นางเฮ่อกระทืบเท้าแล้วว่า “คุณหนูใหญ่ก็เป็นคนใจดีเช่นนี้! แต่ไยคุณหนูไม่ลองคิดดูบ้าง? ครานั้นคุณหนูรองคอยหาเรื่องคุณหนูสี่และคุณหนูห้า แล้วคุณหนูใหญ่ทำเช่นไร? คุณหนูไจ้สุ่ยยังเตือนคุณหนูใหญ่กว่าอย่าไปยุ่งกับพวกนาง คุณหนูใหญ่ก็ยังจะออกหน้าให้พวกนาง! เคราะห์ดีที่คุณหนูไจ้สุ่ยรั้งตัวเอาไว้ จึงไม่ถูกของไม่ดีคู่นี้เอาเปรียบเอา!”


                 ทั้งยังยิ้มเยาะแล้วว่า “เพราะคุณหนูไจ้สุ่ยมีความละเอียดรอบคอบโดยแท้ มองออกว่านางสองคนไม่ใช่ของดี ไม่คุ้มค่าจะไปกับปกป้องเลยด้วยซ้ำ! ข้าว่า น่าจะให้คุณหนูรองรังแกพวกนางให้ตายไปเสียตั้งนานแล้ว!”


                ทางนี้นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับเอาแต่ไม่หันหน้ากลับมา นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน


                นางเฮ่อด่าทอเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนไปพักใหญ่ๆ เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่เงียบเสียง สองไหล่สั่นระรึกอยู่น้อยๆ เห็นชัดว่าเสียใจอย่างมากแต่กลับพยายามฝืนไม่ยอมร้องไห้ออกมา… เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมาแต่เล็กผู้นี้เคยแต่หยิ่งผยองทะนงตน เจิดจรัสสว่างตาตลอดมา ที่ไหนจะเคยมียามโดดเดี่ยวไร้คนดูดายทั้งเจ็บปวดและหดหู่เช่นนี้?


                นางเฮ่อรู้สึกปวดร้าวในใจและไม่มีแก่ใจจะด่าทอต่อไปอีก นางนิ่งพักครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงให้นุ่มลงและกล่าวเตือนว่า “ที่นี่เป็นจวนจิงผิงกง ไม่แน่ว่านังเด็กสองคนนั่นจะไม่รู้จริงๆ ว่าในศาลามีคนอยู่ อาจจะเห็นว่าพวกเรามา จึงจงใจพูด.คำ.พวกนั้น… คุณหนูใหญ่โปรดคิดดู คนในจวนนี่ผู้ใดกันที่ไม่หน้าเนื้อใจเสือ? เห็นๆ กันอยู่ก็คือจงใจอยากให้คุณหนูเสียใจ! หากคุณหนูใหญ่หลงเชื่อพวกนาง ก็เท่ากับเป็นการตกหลุมพราง”


                “…ข้ารู้แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวไปประโยคหนึ่งด้วยเสียงออกจมูกเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “จวนจะได้เวลาแล้ว ควรจะข้างหน้าได้แล้วกระมัง?”


                นางเฮ่อเห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีจึงบอกว่า “หากคุณหนูใหญ่ไม่อยากจะอยู่ต่อก็…”


                “ไปดูข้างหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” เว่ยฉางอิ๋งกล่าว พลางก้มหน้าลง แล้วกระพริบตาให้หยดน้ำบนขนตาหลุดออก


                ในใจนางยังคงมีความหวังอยู่บ้าง หวังว่าจะเป็นเช่นนางเฮ่อพูดว่าเด็กสาวในตระกูลที่ปากคอเราะร้ายสองคนนั้นจะเป็นจวนจิ้งผิงกงส่งมาเพื่อจงใจกล่าวคำพูดเหล่านั้นให้ตนฟัง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกนั้นยังไม่ถึงขั้นนี้…


                หากไม่ไปลองนั่งฟังด้วยตนเองในที่ที่มีคนมากแล้วจักให้วางได้อย่างไร… นางไม่ใช่เว่ยเกาฉานหรือเว่ยฉางเยียนที่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างแต่เพียงน้อยก็ไม่มีหน้าออกนอกบ้าน ด้วยกลัวจะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์เอา แม้นางเองก็กลัวจะถูกคำครหานินทาท่วมทับตัวเช่นกัน แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงคิดว่าตนเองควรจะไปค้นหาความจริงด้วยตนเอง แม้ต้องพบกับผลที่เลวร้ายที่สุดก็ตาม


                นางเฮ่อส่งสายตาไปยังสาวใช้ที่อยู่ซ้ายขวาหนหนึ่ง จูสือที่เป็นคนหัวไวรีบยกชายกระโปรงขึ้นในทันใดแล้วค่อยๆ ถอยหลังไปสองสามก้าว รอจนเว่ยฉางอิ๋งไม่ทันสังเกต แล้วเลือกทางเล็กๆ และวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อรีบไปเตรียมการทางเรือนข้างหน้าเอาไว้


                ยามนี้จิตใจของเว่ยฉางอิ๋งสับสนวุ่นวายขนานใหญ่จึงมิทันได้สังเกตเห็น


                เมื่อไปถึงโถงด้านหน้าที่บรรดาสตรีในตระกูลมารวมกันอยู่ แม่บ้านชราที่เคยพาพวกเข้ามาในจวนก่อนนี้กำลังดูแลทางนี้อยู่ เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งมาแม่บ้านชราผู้นี้จึงรีบเข้าไปต้อนรับและคำนับนาง พลางกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณหนูสามมาแล้วหรือเจ้าคะ? เชิญนั่งทางนี้เจ้าค่ะ…”


                ยามนี้จิตใจของเว่ยฉางอิ๋งทั้งว้าวุ่นและตื่นเต้นหวั่นหวาด ไม่มีเวลามาคิดมาก จึงไปนั่งอยู่ท่ามกลางหญิงสาวจำนวนหนึ่งตามที่นางจัดการให้ นางเพิ่งจะนั่งลงก็พลันมีเสียงทักทายดังมาจากที่นั่งข้างๆ ด้วยความเกรงใจเป็นอย่างยิ่งว่า “คุณหนูท่านนี้สง่างามเหลือเกิน…ไม่ทราบว่าเป็นคุณหนูบ้านใดเจ้าคะ?”


                หญิงสาวที่อยู่ในห้องโถงโดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นคนในตระกูลเว่ย เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบไปว่า “หาใช่เป็นเช่นน้องสาวท่านนี้กล่าวชมไม่…”


                ผู้ที่มากับหญิงสาวผู้นั้นหันมามองคราหนึ่งเช่นกัน พลางเอามือปิดปากหัวเราะ “น้องสิบหกเจ้าตาถึงจริงๆ ท่านพี่ร่วมตระกูลผู้นี้เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าต้องมาจากตระกูลสายหลักเป็นแน่ ข้าพูดถูกต้องใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


                “น้องสาวทั้งสองท่านคือ?”


                “พี่ชายของเราคือเว่ยชิงเจ้าค่ะ”


                “ที่แท้เป็นพี่น้องของพี่ชิงหรือ? จะว่าไปคราก่อนที่ถูกลอบทำร้ายบนถนนหลวง เคราะห์ดียิ่งที่ได้พี่ชิงอารักษ์ขา…”


                “ท่านพี่เกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เมื่อพี่ชายกลับไปยังบอกว่า ท่านพี่เป็นสตรีที่ไม่แพ้ชายอกสามศอก พี่ชายรำพึงออกมาเองว่าเขายังห่างไกลกับคุณหนูใหญ่นัก!” หญิงสาวทั้งสองนางพากันเอาแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากหัวเราะ พวกนางช่างสนทนา พูดจาน้ำไหลไฟดับ แล้วว่าต่อโดยไม่หยุดพัก “หากจะเอ่ยถึงเรื่องหนก่อน ก็ด้วยท่านพี่มีฝีมือเก่งกาจ สามารถช่วยคุณชายห้าของบ้านหลักเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว แม้แต่พี่ชายยังพลอยได้อานิสงค์จากท่านพี่ไปด้วย… หัวหน้าของพวกลอบทำร้ายนั้น เป็นท่านพี่ลงมือใช้กระบี่สังหารเชียว! เคราะห์ดีเช่นกันที่ยามนั้นเป็นท่านพี่ หากเป็นพวกเราแล้วไซร้ นอกจากจะใช้ปิ่นปักผมปลิดชีพตนเองแล้ว ก็หาได้มีวิธีใดอื่นอีกไม่! มีหรือจะเป็นเช่นท่านพี่ นอกจากจะดูแลตนเองได้เป็นอย่างดี ยังสามารถออกแรงช่วยเหลือปกป้องพี่ชายน้องชาย… เพียงแค่น่าเสียดายที่พวกเราอายุมากแล้ว หาไม่ ก็อยากจะให้ขอให้ท่านพี่ชี้แนะวิธีป้องกันตัวให้สักสองสามกระบวนท่าเจ้าค่ะ…”


                เมื่อได้ฟังคำเยินยอที่พรั่งพรูออกมาอย่างน้ำไหลไฟดับของน้องสาวของเว่ยชิงแล้ว ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็ค่อยๆ มีสีเลือดขึ้นมา ลอบโล่งใจ ค่อยๆ ผ่อนคลายลงและเริ่มเปิดใจสนทนาสรรพเหระกับพวกนางไปเรื่อยๆ อย่างไร้ขอบเขต


                ในมุมมุมหนึ่ง จูสือหันกลับมาอย่างพอใจยิ่ง พลางพยักหน้ากับสาวใช้ตัวน้อยนางหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกับนาง “คุณหนูของพวกเจ้าช่างเจรจาจริงๆ ท่านป้าเฮ่ออยู่ข้างๆ คุณหนูใหญ่นั่นเอง ครานี้ได้ยินชัดแจ้งเชียว! นางต้องจำความดีความชอบของคุณหนูของพวกเจ้าไว้แน่ หากต้องการสิ่งใด ขอเพียงบอกกับข้า ข้าจะไปบอกท่านป้า”


                สาวใช้ตัวน้อยกล่าวอย่างเขินอายว่า “ขอบคุณพี่จูสือ เพียงแต่เมื่อครู่คุณหนูของพวกเราเพิ่งจะกำชับว่าท่านประมุขดูแลคุณชายของพวกเราเป็นอย่างดีมาโดยตลอด อีกทั้งที่บ้านก็มิได้ขาดเหลือสิ่งใด ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องถูกลอบทำร้ายคราก่อน คุณชายของเราก็ได้อาศัยคุณหนูใหญ่จึงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย ยามนี้คุณหนูของเราช่วยทำให้คุณหนูใหญ่ปลดเปลื้องความทุกข์ได้ ไม่ว่าจะเพราะเป็นพี่สาวร่วมสกุล ยังนับเป็นการตอบแทนบุญคุณที่คุณหนูใหญ่ช่วยคุณชายเอาไว้ เช่นนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สมควรทำแล้ว”


                มุมปากสีสดของจูสือค่อยๆ โค้งขึ้น กล่าวชมพวกนางทั้งนายบ่าวไปสองสามประโยค เมื่อเอียงตามองไปไม่ไกลนัก จู่ๆ ก็กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดลงไป พลางเย้ยหยันว่า “คุณหนูบ้านเจ้าเป็นน้องสาวของคุณชายชิง ก็ย่อมต้องเป็นคนดี แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ในแต่ละตระกูลล้วนมีดีมีเลว จึงมีบางคน…ไม่รู้จักที่ตาย!”


                สาวใช้ตัวน้อยนั้นยังมิทันเข้าใจว่านางเอ่ยถึงผู้ใด แต่กลับเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาใกล้และผ่านมุมโถงไป คงเพราะตื่นเต้นเกินไป จึงมิได้สังเกตเลยว่าพวกนางทั้งสองกำลังยืนสนทนาอยู่ทางนี้ จูสือพลันออกแรงกระแอมไอหนหนึ่ง ขับเสมหะในคอออกมา แล้วขากใส่ผู้ที่เดินผ่านมาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด! ที่นางขากเสมหะหนนี้ก็ขากลงไปโดนเสื้อของคุณหนูคนหนึ่งที่มีสาวใช้ห้อมล้อมตัวอยู่!


                “พี่จูสือ!” สาวใช้ตัวน้อยผู้นั้นปิดปากร้องออกมาอย่างตกใจยกใหญ่ กำลังจะเดินหน้าเข้าไปขอขมาพร้อมกับจูสือ ไม่คิดว่าจูสือพลันเอาสองมือเท้าสะเอว แล้วเงยหน้าเล็กๆ ที่ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่มากขึ้น พลางมองคุณหนูที่ถูกขากเสมหะใส่อย่างพออกพอใจ พลางกล่าวด้วยแววตาหาเรื่องว่า “พุทโธ่ ขอโทษจริงๆ นะเจ้าคะ ที่แท้เป็นคุณหนูสี่หรอกรึ? ข้าน้อยตาไม่ดี ยืนอยู่ที่มุม มองไม่ถนัด กลับกลายเป็นทำให้เสื้อผ้าของคุณหนูสี่เปรอะเปื้อนเสียแล้วหรือนี่? ทว่าแต่ไรมาคุณหนูสี่ก็เป็นคนจิตใจอ่อนโยน ทั้งยังกลัวว่าจะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์เป็นที่สุด จักต้องไม่ถือสาข้าน้อยเป็นแน่ หาไม่แล้วจะถูกคนหาว่าคุณหนูสี่ลงโทษคนของคุณหนูใหญ่ ด้วยจงใจไม่เคารพคุณหนูใหญ่…ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


                เว่ยเกาฉานมองนาง มีหรือจะไม่รู้ว่านางเจตนาทำ? ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดอยู่พักใหญ่ ริมฝีปากค่อยๆ ยู้เข้ามา! แต่ถูกเว่ยฉางเยียนออกแรงดึงแขนเสื้อเอาไว้ทั้งน้ำตาคลอ นางทำได้เพียงอดทนต่อไป แล้วก้มหน้ารีบกล่าวไปประโยคหนึ่งว่า “มิเป็นไร!” สาวใช้ข้างกายสองพี่น้องก็ไม่มีแม้สักคนกล้าหือกับจูสือ ต่างพากันก้มหน้า ประคองเว่ยเกาฉานเดินรวบสามก้าวเป็นสองเก้าแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว


                “เห็นแล้วหรือไม่?” จูสือเอามือที่เท้าสะเอวอยู่ลง ยิ้มเยาะหนหนึ่ง แล้วหันหน้ามาพูดกับสาวใช้ตัวน้อย “อย่าได้เห็นว่าพวกนางก็เป็นหลานสาวของท่านประมุขเชียว…หึ! วันหน้าต่อให้ประจบประแจงเพียงใดก็อย่าคิดมาไล่ทันคุณหนูของพวกเจ้า”


                สาวใช้ตัวน้อยเพิ่งเคยเห็นทางโอหังถึงขึ้นลบหลู่เลือดเนื้อเชื้อไขของเว่ยฮ่วนต่อธารกำนัล ทั้งที่ตนอยู่ยังยืนอยู่ข้างๆ ด้วย ขณะกำลังรู้สึกเป็นกังวลจนไม่อาจเอ่ยคำอยู่นั้น เมื่อมาได้ยินคำพูดนี้ ดวงตากลับพลันแวววาว แล้วรีบกล่าวว่า “ต้องขอให้พี่จูสือสอนข้าสักหน่อย ข้าจักได้กลับไปบอกเล่าแก่คุณหนูของพวกเราฟัง…”


                อนาคตของสาวใช้นั้นต้องเดินตามนาย และอนาคตของคุณหนูบ้านตนสำคัญเป็นที่สุด ส่วนเรื่องที่คุณหนูสี่และคุณหนูห้าของตระกูลสายหลักถูกสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ลบหลู่น่ะหรือ? เกี่ยวข้องกับบ้านเราที่ใดกัน! ดีชั่วอย่างไรเว่ยเกาฉานก็กล่าวเองแล้วว่ามิเป็นไรไม่ใช่หรือ?


____________________________


ตอนที่ 72 เว่ยเกาอั้น

โดย

Xiaobei

                เว่ยโฉงและเว่ยอิงน้องสาวทั้งสองคนของเว่ยชิงมีนิสัยอ่อนโยนเป็นมิตร พูดจาเปิดเผยจริงใจ บวกกับพวกนางล้วนมิได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันเว่ยฉางอิ๋งออกมาเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ สบายใจขึ้นมา คิดว่าเรื่องที่ตนไปตามนัดแทนน้องชายนั้น แม้คนภายนอกจะคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ก็มิได้ถึงขึ้นโจษจันกันขรมเมือง


                ภายในงาน อย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ จึงไม่มีผู้ได้เอ่ยออกมาต่อหน้าธารกำนัล


                ความลำบากใจเช่นนี้นางก็พอจะรับได้ ภายในใจกลับลอบนึกซาบซึ้งว่าเว่ยเจิ้งหย่ามาตายไปถูกจังหวะพอดี… ภายในคืนเดียวเกิดเรื่องใหญ่สี่เรื่องขึ้นในเฟิ่งโจว โดยเฉพาะลอบสังหารนักเขียนเรืองนามแห่งเขตทะเลเว่ยเจิ้งหย่า จนทำให้ใต้หล้าต่างพากันตกตะลึง! แม้ว่าเป็นตายอย่างไรพวกเมืองหรงที่อยู่ทางเหนือจะไม่ยอมรับ แต่ทางเฟิ่งโจวมีทั้งพยานและหลักฐานพร้อมสรรพ และสรุปสำนวนคดีเสร็จสิ้นไปเสียตั้งนานแล้ว


                ต้าเว่ยและเมืองหรงทางเหนือเป็นคู่แค้นกันมานาน คำของศัตรู ผู้ใดเล่าจักเชื่อ?


                คิดว่าความสนใจของทุกคนในยามนี้ควรจะไปรวมอยู่ที่เรื่องใหญ่สี่เรื่องนี้ ไม่น่าจะมีสักที่คนที่สนใจตนต่อไป


                เมื่อเว่ยฉางอิ๋งสงบใจลงได้ การแสดงออกของนางยิ่งเปิดเผยยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า


                เป็นเช่นนี้ไปจนถึงเวลาที่ควรกลับเสียที ทั้งสามคนซึ่งสนทนากันถูกคอก็เดินไปทางด้านหลังพร้อมกัน ใต้ระเบียงทางเดินขากลับแม้จะมีตะเกียงเจ้าพายุแขวนอยู่เว้นระยะห่างกันสองสามเก้า แต่คงเพราะห้อยผ้าขาวเอาไว้มากเกินไป บนระเบียงทางเดินกลับไม่นับว่าสว่างนัก


                ทั้งสามคนเดินไปถึงตรงทางเลี้ยว พลันมีร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งตรงออกมาชนตัวเว่ยฉางอิ๋ง!


                คนผู้นี้กระโจนออกมาอย่างแรง แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับมิได้ถูกชนจนล้ม เพียงแต่เสียการทรงตัวและถอยหลังไปก้าวเล็กๆ เท่านั้น เมื่อก้มลงดู คนที่ชนนางกลับลงไปนั่งพับอยู่กับพื้น


                นางรีบก้มตัวลงไปประคองอีกฝ่าย “น้องสิบ? เจ้าวิ่งเสียเร็วปานนี้ทำสิ่งใด ล้มเจ็บหรือไม่?”


                คนผู้นี้ชนนางไม่สำเร็จกลับกลายเป็นตนเองล้มอยู่บนพื้น เขาก็คือบุตรชายวัยเยาว์ของอนุของเว่ยเจิ้งหย่า ‘เว่ยเกาอั้น’ อยู่ในลำดับที่สิบ อายุเพิ่งจะเก้าปี ยามเว่ยเจิ้งหย่ายังมีชีวิตอยู่เป็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบความวุ่นวาย และสง่างามเหนือหล้า และรับอนุไว้เพียงคนเดียว ซึ่งก็คือสาวใช้ของนางเสี่ยวหลิวที่ตามมาอยู่ด้วยยามนางออกเรือน…ซึ่งก็คืออนุที่ตายไปพร้อมกับเขาบนตั่งที่นอนนั่นเอง


                เว่ยเกาอั้นก็เป็นบุตรจากอนุผู้นี้


                ในความทรงจำนั้น ลูกผู้น้องผู้นี้ได้รับการเลี้ยงดูจากนางเสี่ยวหลิวและเติบโตมาพร้อมกับเว่ยฉางหลิน แม้จะเป็นบุตรของอนุ แต่เพราะนางเสี่ยวหลิวเห็นเขาเป็นเช่นบุตรของตน ดังนั้นจึงมีอุปนิสัยเหมือนกัยเว่ยฉางหลิน ซึ่งก็คือร่าเร่งชอบเฮฮา


                แต่ยามนี้เขาควรจะอยู่ที่โถงกลางร่วมพิธีเฝ้าโลงศพนี่ ไยจึงมาอยู่ที่นี่เล่า?


                เว่ยฉางอิ๋งพึมพำอยู่ในใจ เมื่อเห็นเขาไม่ยอมพูดจาสักที จึงสงสัยว่าเด็กน้อยยังไม่รู้ความ คงจักทนความลำบากในการนั่งเฝ้าโลงศพไม่ไหว จึงได้วิ่งออกมาเล่น ทำเช่นนี้ไม่เพียงไม่ถูกประเพณี วันหน้าเมื่อเว่ยเกาอั้นเติบโตแล้วเรื่องนี้เล่าลือออกไปจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขา เว่ยฉางอิ๋งไม่นับว่าคุ้นเคยกับลูกผู้น้องผู้นี้นัก แต่ก็ไม่ต้องการเห็นเขาห่วงแต่เล่นเพียงชั่วครู่และทำให้ผิดพลาดไปทั้งชีวิต นางจึงประคองเว่ยเกาอั้นลุกขึ้นมา แล้วกล่าวกำชับด้วยเสียงต่ำว่า “รีบกลับไปที่โถงเถิด! มาพบกับข้าและท่านพี่ในตระกูลสองนางนี้ยังดี หากให้ผู้อื่นเห็นเข้า จักเป็นเรื่องใหญ่…รีบกลับไปเสีย อ๋า?”


                ไม่คิดว่าเมื่อเว่ยเกาอั้นลุกขึ้นยืนแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องนางเขม็ง พักใหญ่จึงได้ก้มหน้าลง เว่ยฉางอิ๋งนึกว่าเขาคิดได้และจะกลับไปแล้ว จึงได้เอียงตัวหลีกทาง เพื่อให้เขากลับไปยังโถงพิธี คิดไม่ถึงว่าเมื่อเว่ยเกาอั้นก้มหัวลงกลับไม่เอ่ยคำลา หากแต่พลันแผดเสียงตะโกนออกมาคราหนึ่ง และเอาหัวชนเว่ยฉางอิ๋งไปอย่างแรง!


                เว่ยฉางอิ๋งตกใจ แต่เพราะนางฝึกวรยุทธมานานปี ขาก้าวคล่องแคล่วฝีมือว่องไง แม้เว่ยเกาอั้นจะจู่โจมนางอย่างปัจจุบันทันด่วนจนทำให้นางประหลาดใจยิ่ง แต่ความจริงแล้วเว่ยเกาอั้นก็เป็นเพียงเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่ง การจู่โจมของเขาสามารถรับมือได้โดยง่าย เว่ยฉางอิ๋งพลันใช้มือดึงแขนเขาเอาไว้ แล้วกดเขาลงกับที่ได้โดยง่าย พลางกล่าวด้วยโทสะว่า “เจ้าทำสิ่งใด!”


                “ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” เว่ยเกาฉานออกแรงดิ้นรน เพียงแต่เรี่ยวแรงของเขาไม่เพียงพอจะผลักไสการควบคุมของเว่ยฉางอิ๋งได้ เมื่อโมโหจนร้อนรนก็ยกเท้าขึ้นมาถีบเว่ยฉางอิ๋ง ทางหนึ่งถีบ ทางหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังว่า “เป็นเพราะเจ้า! หากท่านพ่อไม่ออกปากพูดแทนเจ้า แล้วชาวหรงพวกนั้นจะมาสังหารท่านพ่อได้อย่างไร?! หากไม่เป็นเช่นนี้ แล้วแม่ข้าจะตายได้อย่างไร! ยามนี้ข้าไม่มีท่านพ่อท่านแม่แล้ว แม่ใหญ่ก็นอนอยู่บนตั่งไม่กินไม่ดื่ม…ทั้งหมดนี่ล้วนเพราะเจ้าเป็นคนทำ! เจ้ายังมีหน้ามาพิธีไว้อาลัยที่บ้านเราอีก! ข้าได้ยินคนพูดกันว่าเจ้าเสียความบริสุทธิ์ไปในป่าตั้งนานแล้วไม่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว! เจ้ามันเป็นหญิงคาวโลกีย์เจ้าไยจึงมีหน้า…”


                เสียงตะโกนของเขาหยุดชะงักลงกลางคัน เพราะเว่ยฉางอิ๋งพลันปล่อยมือที่จับแขนเขาเอาไว้ แต่กลับตบหน้าเขาไปอย่างแรง!


                หนนี้ เว่ยฉางอิ๋งตบไปหนักเอาการ ตัวทั้งตัวของเว่ยเกาอั้นถูกตบเสียจนเซออกไปสองสามก้าว และไปชนเข้ากับเสาบนทางเดินจึงสามารถยืนได้มั่นคง แก้มฝั่งหนึ่งของเขานูนบวมขึ้นมา มุมปากมีรอยเลือดเล็กๆ ไหลออกมา… เขาถูกตบอย่างปัจจุบันทันด่วนไปฉาดหนึ่งจนมึนไปหมดและงงงันอยู่ครึ่งเค่อเต็มๆ จากนั้นเว่ยเกาอั้นจึงลนลานตามเอาเสียงของตนเองคืนมาได้ “จะ…เจ้า นังคนชั่วไร้ยางอายถึงขนาดกล้าตีข้ารึ? เจ้ายังมีหน้ามาตีข้าเช่นนั้นรึ?”


                “ที่ตบไปนั้น ตบเจ้า ลูกคนถ่อย!” นางเฮ่อโกรธเสียจนสั่นไปทั้งตัวมาตั้งนานแล้ว ครานี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า ว่าแล้วง้างมือขึ้น ตบหน้าเขาไปอย่างจังสี่ห้าครั้ง… เดิมทีเมื่อนางเฮ่อมาที่เรือนเสียซงนั้นก็คอยสอนสั่งสาวใช้ทั้งโตและเด็กที่คอยปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋ง สิบกว่าปีมานี้เรื่องตีคนนั้นตีมาจนเคยมือนานแล้ว ฝ่ามือที่ตบหน้าชุดนี้ตบไปอย่างเคยคุ้นลื่นไหลหาใดเปรียบ รุนแรงเฉียบขาดกระทั่งเว่ยโฉงพี่น้องมองจนขวัญผวา เกือบจะร้องออกไปว่า ‘ดี’ คำหนึ่ง แต่เมื่อคำพูดมาที่ริมฝีปากจึงได้สติแล้วรีบยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากเอาไว้!


                “ฉินเกอ เยี่ยนเกอ ดีชั่วอย่างไรคุณชายสิบก็อายุได้เก้าปีแล้ว วันนี้บิดามารดาถูกพวกหรงสังหารไปทั้งคู่ ทั้งดินแดนแถบทะเลก็เป็นทุกข์ คุณชายสิบไม่คิดจะเฝ้าโล่งศพของบิดามารดาในโถงพิธี กลับแอบวิ่งหนีออกมาเล่น… คุณหนูใหญ่สอนสั่งเขาเรื่องความกตัญญู แต่เขากลับมาทุบตีเตะต่อย ทั้งยังพูดจาให้ร้ายอย่างร้ายกาจ…หากมิใช่เพราะยามนี้ ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงร่างกายอ่อนแอ จักต้องขอให้ฮูหยินบุตรท่านจิ้งผิงกงชำระความให้เป็นแน่!” นางเฮ่ออยากจะตบปากของเว่ยเกาอั้นให้ยับเยินเพื่อคลายความแค้นเสียเหลือเกิน แต่นางก็รู้ดีว่านั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงตบหน้าเว่ยเกาอั้นไปไม่กี่หนพอหอมปากหอมคอให้เขาพูดไม่ได้ไปชั่วขณะ แล้วสั่งความเสียงหนักไปว่า “พวกเจ้านำเขาไปส่งให้ฮูหยินเสียก่อน ให้ฮูหยินสอนสั่งเขาแทนฮูหยินบุตรท่านจิ้งผงกง! ในงานศพของบิดามาราด ในตระกูลไม่เคยมีบ้านใดเสียมารยาท แต่นี่เป็นบุตรชายแท้ๆ กลับไม่กัตญญูเช่นนี้ ถือเป็นการละเมิดธรรมเนียมประเพณีของตระกูลเว่ยเป็นที่สุด!”


                เว่ยโฉงพี่น้องสบตากันคราหนึ่ง รู้ซึ้งอยู่ภายในใจว่าที่นางเฮ่อทำเช่นนี้ ไม่เพียงเป็นการปกปิดเรื่องที่ทั้งเว่ยฉางอิ๋งและตัวนางเองตีเว่ยเกาอั้น ยังเป็นการเตรียมการเอาไว้เมื่อเว่ยเกาอั้นหายดีแล้วยังคิดการจะพูดความจริงใดออกมาอีก ปิดปากเว่ยเกาอั้นเอาไว้ให้สนิทด้วยการคาดโทษเขาไปตามจริงว่าไม่กตัญญูในประเด็นที่เขาวิ่งออกมาระหว่างการเฝ้าโลงศพ… เช่นนั้น หากวันหน้าเขาพูดสิ่งใดออกมาก็จะไม่มีคนเชื่อแล้ว… รวมทั้งคำให้ร้ายเว่ยฉางอิ๋งว่าไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็จะถูกคนนึกว่าเป็นการแก้แค้นที่ลูกผู้พี่ผู้นี้สั่งสอนตนว่าไม่กตัญญูเท่านั้น


                ทว่าเว่ยโฉงพี่น้องก็มิได้เห็นใจน้องชายร่วมสกุลผู้นี้ เว่ยเกาอั้นคิดไปเองว่าตนเป็นผู้รับเคราะห์ แต่สิ่งที่เขารู้มานั้นมีที่ใดเล่าที่เป็นความจริง! ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเว่ยฮ่วนให้ความสำคัญกับพี่ชายของเว่ยโฉงพี่น้อง การลอบทำร้ายคราวก่อนเว่ยชิงนั้นมีเก้าส่วนตายหนึ่งส่วนรอด โชคยังดีที่ยังมีชีวิตอยู่ พี่สาวน้องสาวสองคนนี้มีเว่ยชิงเป็นพี่ชายคนโตเพียงคนเดียว ส่วนบิดาของพวกนางก็ไม่มีตำแหน่งการงานใด อนาคตของทั้งชั่วชีวิตล้วนต้องอาศัยพี่ชายผู้นี้ หากครานั้นเว่ยชิงตายขึ้นมาจริงๆ แม้เว่ยฮ่วนจะเห็นแก่เว่ยชิงและมาดูแลพวกนาง แต่มีหรือจะดีเท่ามีพี่ชายร่วมท้องอยู่เล่า?


                เว่ยเกาอั้นสาปแช่งให้เว่ยฉางอิ๋งตายไปเสียในป่า… เว่ยชิงนั้นอยู่กับเว่ยฉางอิ๋ง หากเว่ยฉางอิ๋งตายแล้ว แม้เว่ยชิงจะปลอดภัยกลับมา แล้วแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งจะละเว้นเขาหรือ? แม้เว่ยฮ่วนจะชื่นชมความสามารถของเขา แต่อย่างไรก็จักต้องเหลือหนามปักอยู่ในอกกระมัง? บทลงเอยที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็คงไม่พ้นต้องอนาคตพังทลาย!


                ด้วยเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตัวและพี่ชายร่วมท้องที่มีเพียงผู้เดียว ดังนั้นเว่ยโฉงพี่น้องจึงได้มองเหตุการณ์นี้อย่างราบเรียบ นอกจากจะมิได้แสดงสีหน้าว่าทนไม่ได้ที่เว่ยเกาอั้นอายุยังน้อยแล้วต้องถูกตีเช่นนี้ แต่กลับกล่าวไปประโยคหนึ่งเบาๆ และอ่อนโยนว่า “วันนี้น้องเกาอั้นไม่กตัญญูจริงๆ มิน่าเล่าพี่ฉางอิ๋งจึงได้โกรธเสียจนต้องลงมือ น้องชายร่วมสกุลผู้นี้ยังเล็กนักไม่รู้ความ พูดเหตุผลก็ไม่ยอมฟัง ที่ท่านพี่สอนสั่งก็เพราะหวังดีต่อเขา ตอนนี้น้องชายยังไม่รู้ วันหน้าก็จักเข้าใจเอง”


                พี่สาวสามคนล้วนบอกว่าเว่ยเกาอั้นแอบหนีจากโถงพิธีศพออกมาเที่ยวเล่น เช่นนั้นเขาก็เพียงออกมาเที่ยวเล่นได้เท่านั้นแล้ว


                …เพียงแต่น้ำใจของเว่ยโฉงพี่น้องนี้ เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย


                 หลังจากที่นางพลั้งมือตบหน้าเว่ยเกาอั้นไปตามสัญชาตญาณ เว่ยฉางอิ๋งก็สั่นขึ้นมาทั้งตัว! ความรู้สึกโกรธแค้น ถูกรังแกและถูกลบหลู่ที่อยากจะอธิบายได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าประเดี๋ยวก็เย็นเฉียบไปทั้งตัว ประเดี๋ยวก็มีไฟโทสะแผดเผาเสียจนรุ่มร้อนไปทั่วกายจนยากจะทนไหว ภายในความเย็นเฉียบและรุ่มร้อนเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแต่เพียงว่าสติสัมปชัญญะของนางเลือนรางไปหมด รู้สึกคล้ายกำลังดำดิ่งลงไปในที่ที่ทั้งไกลทั้งลึกหาที่สุดไมได้ ที่นั่นว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดอยู่เลย ไม่อาจกล่าวออกมาได้ว่าสงบสบายใจ…


                บนระเบียบทางเดินแห่งนั้น นางเฮ่อให้ฉินเกอและเยี่ยนเกอลากเว่ยเกาอั้นไปส่งให้แก่ฮูหยิน เมื่อนางหันหน้ากลับมาแล้วพบว่าเว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีไม่ปกติ จึงได้เข้ามาทั้งเขย่าตัวทั้งสอบถามนาง ตนเองก็ตกใจเสียจนร่ำไห้เสียงดังออกมา แต่กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งพลันหันหลังกลับ แล้วมุ่งหน้าเดินไปทางเรือนที่มีรถม้าจอดอยู่


                นางเฮ่อเพิ่งจะโล่งใจ แต่กลับสังเกตเห็นฝีเท้าของเว่ยฉางอิ๋งนั้นบางเบาเลื่อนลอย ผิดกับคนที่ร่ำเรียนวรยุทธมานานปี กลับดูคล้ายกับคนอ่อนแอที่ป่วนมานานและพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อเช่นนั้น…


                …ตลอดทางกลับมา ได้นางเฮ่อคอยสวดภาวนาให้สวรรค์คุ้มครองและคอยอยู่ข้างๆ ด้วยอาการประหวั่นพรั่นพรึงจนมาถึงรุ่ยอวี่ถัง และเว่ยฉางอิ๋งก็ล้มป่วยติดต่อกันหลายคืน


                นางเอาแต่นอนซมอยู่บนตั่ง ดูเหมือนตื่นก็ไม่ตื่นหลับก็ไม่หลับ หากจะบอกว่าโศกเศร้าเสียใจเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่รู้เช่นกัน หากจะบอกว่าโกรธเกรี้ยวจนเกินไปก็กลับไม่มีสักคนที่นางคิดล้างแค้น … เพียงคิดว่าหากนอนหลับไปเช่นนี้แล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลยก็กลับสบายใจดี


                ฮูหยินซ่งช่วยงานอยู่ที่จวนจิ้งผิงกง ส่วนรุ่ยอวี่ถังทางนี้นั้นประการแรกด้วยโทสะของแม่เฒ่าซ่งยังมิทันจางหาย ประการที่สองเพราะนางเป็นผู้อาวุโส ไม่จำเป็นต้องไปร่วมพิธีไว้อาลัยที่จิ้งผิงกงด้วยตนเอง เพียงให้เฉินหรูผิงไปดูนางเสี่ยวหลิวพอเป็นพิธีสักครา ทั้งฮูหยินซ่งและนางเผยล้วนไม่อยู่บ้าน แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นแม่เฒ่าซ่งดูแลบ้านไปวันสองวันเป็นการชั่วคราว


                ตลอดมาแม่เฒ่าซ่งทะนุถนอมรักใคร่เว่ยฉางอิ๋งประหนึ่งลูกนัยน์ตา กลับกลัวเสียอีกว่าจะยังรักไม่พอ ยามนี้กลับต้องมาได้ยินว่าหลานสาวแสนรักถูกรังแกที่จวนจิ้งผงกง ยิ่งไปกว่านั้นยังล้มหมอนนอนเสื่อด้วยเหตุนี้… นางเฮ่อนึกว่าแม่เฒ่าซ่งจะต้องโมโหโกรธายกใหญ่เป็นแน่ และจะต้องจักการทั้งจวนจิ้งผิงกงให้เห็นดีในทันใด!


                ทว่า หลังจากที่ได้ฟังนางเฮ่ออธิบายด้วยเสียงสะอื้นพร้อมการปั้นเสริมเติมแต่งลงไปอีก ดวงตาของฮูหยินซ่งก็ค่อยๆ มีหยดประกายวิววับขึ้นมา… เพียงแต่กลับมิได้มีท่าทีจะไปตามเอาความเด็กในตระกูลที่ปากคอเราะร้ายสองคนนั้น ยิ่งมิได้มีท่าทีจะจัดการเว่ยเกาอั้นด้วย หากแต่ค่อยๆ เอาผ้าเช็ดหน้ามาทาบที่หางตาสองสามหนเพื่อซับหยดน้ำวิบวับให้หายไปอย่างเงียบๆ แล้วกล่าวราบเรียบว่า “เรื่องนี้… ข้ารู้แล้ว คำโบราณว่าปากคนยาวกว่าปากกา สมัยนั้นแม้แต่กษัตริย์ก็ยังทำสิ่งใดไม่ได้ แล้วประสาอะไรกับบ้านเรา? ต่อให้ตีคนพวกนั้นจนตายไปหมด แล้วผู้อื่นจะไม่พูดหรือ? ผู้อื่นไม่กล้าเอ่ยต่อหน้าเจ้า ก็ไปว่ากันลับหลัง และยิ่งพูดกันเลวร้ายทั้งไร้ยากอายกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า…หรือจักต้องเอาคนพวกนั้นมาฆ่าทิ้งเสียให้หมด?”


                นางเฮ่อตะลึงเหม่อ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ เพราะนางเป็นคนให้นมเว่ยฉางอิ๋ง ตลอดมาเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งจึงนับว่าพอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง ครานี้จึงได้ถามกลับไปด้วยความไม่ยอมใจว่า “หรือว่าคุณหนูใหญ่ถูกรังแกแล้วก็จบเพียงเท่านี้เจ้าคะ?”


                เมื่อกล่าวออกไป เฉินหรูผิงที่ยืนอยู่ข้างหลังแม่เฒ่าซ่งก็พลันส่งสายตามาตำหนิและตักเตือนหนหนึ่ง


                จากนั้นนางเฮ่อจึงได้ตระหนักขึ้นมาว่าคำพูดของตนนั้นเกินเลยเกินไป ต่อให้เป็นฮู่หยินซ่งอยู่ที่นี่ ก็มีเพียงในยามที่ไม่มีคนเท่านั้นจึงจักกล้ากล่าวเช่นนี้!


                เพียงแต่ดวงตาของแม่เฒ่าซ่งเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบอยู่เกือบเค่อ แต่กลับมิได้ทำสิ่งใด หากแต่เอ่ยไปเบาๆ ว่า “เจ้าไม่เข้าใจ อีกสามวันคนบ้านเสิ่นก็จะมาถึงแล้ว แม้ฉางอิ๋งจะไม่ต้อง…” หากบ้านเสิ่นมีท่าทีไม่ดี ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็จะต้องยกเลิกเรื่องแต่งงานครานี้เสีย เพื่อมิให้เมื่อหลานสาวแต่วออกไป แล้วถูกรังแกและลบหลู่อย่างหนัก… เรื่องนี้แม้ว่าเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งล้วนมีความเห็นตรงกัน แต่ยามนี้คนบ้านเสิ่นยังไม่มาถึง เรื่องแต่งงานครานี้จะแต่งได้สำเร็จหรือไม่ล้วนยังพูดไม่ได้ และแน่นอนว่าไม่อาจแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปด้วย


                ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงเหม่อลอยไปสักพัก แล้วเอ่ยคำออกไปทีละคำเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องนี้ว่า “เสียงลือในเฟิ่งโจวยังมิได้รุนแรงเช่นในเมืองหลวง! ในเฟิ่งโจวฉางอิ๋งก็ยังมีผู้ใหญ่คอยปกป้อง หากเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนี้นางยังรับไม่ไหว แล้ววันหน้าจะไปเมืองหลวงได้อย่างไร?”


                เมื่อให้นางเฮ่อไปแล้ว เฉินหรูผิงก็เขามาเปิดแขนเสื้อของแม่เฒ่าซ่งออกอย่างเงียบๆ แต่เมื่อเห็นว่าบนข้อมือที่ผ่ายผอมของฮูหยินผู้เฒ่ามีรอยหยิกที่มีเลือดไหลซิบๆ ชัดเจน นี่เป็นรอยหยิกตัวเอง เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าฟังนางเฮ่อเล่าถึงสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งต้องไปประสบมาที่จวนจิ้งผิงกง


                เฉินหรูผิงหยิบเอายาป้ายมาทาให้ฮูหยินผู้เฒ่า กล่าวเสียงต่ำๆ ว่า “ก่อนคุณหนูใหญ่จะไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิใช่… รู้อยู่แล้วว่าจักต้องเป็นเช่นนี้หรือเจ้าคำ? เหตุใด…เหตุใดยังทำให้ตนเองบาดเจ็บเล่าเจ้าคะ?”


                “รู้ก็ส่วนรู้ ว่าเมื่อเด็กคนนี้ไปไว้อาลัยก็จักต้องได้ยินวาจาฟังไม่ได้ที่เขาวิพากษ์วิจารณ์นาง แต่เมื่อได้มาฟังนางเฮ่อเล่าว่าคนพวกนั้นกล้ามาลบหลู่ให้ร้ายหลานสาวคนเดียวของข้า แล้วข้าจะไม่ปวดใจจนยากทนไหวหรือ?” ดวงตาของแม่เฒ่าซ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่กลับอดทนกล่าวว่า “แต่นี่ไม่อาจให้นางเฮ่อมองออก แม้นางเฮ่อจะมีนิสัยใจร้อนไปสักหน่อย แต่ความภักดีนั้นไม่มีปัญหาใด อีกทั้งตลอดมานางก็เอาใจฉางอิ๋งอย่างไม่แยกแยะดำขาว ข้ากลัวว่าเมื่อนางเห็นข้าหวั่นไหว แล้วจะคอยรบเร้าใหข้าออกหน้าลงมือ…เมื่อนางรบเร้าหลายหนเข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไปจัดการจริงๆ”


                “คนพวกนี้ทำกับฉางอิ๋งเช่นนี้ ข้าย่อมไม่ละเว้นพวกมันแน่! แต่ไม่ใช่ตอนนี้ หากการแต่งงานกับบ้านเสิ่นครานี้ยังต้องแต่งอยู่… แล้วไม่ให้นางได้ลองฟังคำเหล่านั้นในเฟิ่งโจวเสียก่อน หรือจะให้ข้าตบแต่งหลานสาวออกเรือนอย่างยิ่งใหญ่ไปก่อน แล้วภายหลังก็มาได้ยินข่าวว่านางเกิดเรื่องขึ้นที่เมืองหลวงเพราะทนรับไม่ได้เล่า?!”


                แม่เฒ่าซ่งอูมมือแล้วบังใบหน้าไว้ กล่าวพึมพำว่า “แม้กระทั่งอวี่เวยข้าก็ยังสั่งให้นางไปช่วยงานที่จวนจิ้งผิงกง สองสามวันนี้ไม่ต้องกลับมาแล้ว ก็เพื่อให้เด็กคนนี้ผ่านเรื่องนี้ไปตามลำพัง… ต่อให้ไม่ไปเมืองหลวง วันหน้าข้าก็ไม่อาจจะคอยจับตาดูนางเอาไว้ตลอดชีวิต ให้นางได้ถูกขัดเกลาในตอนนี้ และทนทรมานจากความเจ็บปวดของลูกธนูนับหมื่นที่แทงทะลุหัวใจไปให้ได้ วันหน้าจักไม่มีผู้ใดเอาลูกไม้เช่นนี้มาคุกคามนางได้อีก… เว่ยเจิ้งหย่าก็ตายไปแล้ว ข้าหรือจะยอมให้เขาใช้ความเท็จนี้มาควบคุมฉางอิ๋งไปตลอดชาติ?!”


______________________


ตอนที่ 73 ฝันไปเสียเถิด

โดย

Xiaobei

                หลังเที่ยง นางเฮ่อค่อยๆ เดินอย่างเนิบนาบออกจากประตูไป ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอาความชื้นไป และพัดโบกเสียจนกระดิ่งลมบนระเบียงทางเดินสั่นไหวเป็นเสียงติงตังอยู่พักใหญ่


                จูสือและจูหลานนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนที่นั่งที่ทอดตัวไปบนระเบียงทางเดิน ข้างกระโปรงของพวกนางมีตะกร้าใบหนึ่งวางอยู่ และมีใบบัวคลุมเอาไว้ มิรู้ว่าในตะกร้าใส่สิ่งใดเอาไว้ และทำให้รอบๆ ตะกร้าเปียกไปหมด


                เดิมทีสาวใช้ตัวน้อยทั้งสองนางปีนขึ้นไปบนราวระเบียงและโน้มตัวไปภายนอกของระเบียงทางเดินเพื่อเล่นน้ำฝน เมื่อเห็นนางเฮ่อออกมา จึงได้รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ คนหนึ่งเข้าไปรับกล่องอาหารที่นางเฮ่อถืออยู่ อีกคนหนึ่งถามเสียงเบาว่า “ท่านป้า คุณหนูใหญ่ยอมรับประทานอาหารแล้วหรือยังเจ้าคะ?”


                “ให้ห้องครัวเล็กเปลี่ยนอาหารไปหลายอย่างแล้ว” นางเฮ่อขมวดคิ้วแน่น แล้วกล่าวพลางทอดถอนใจ


                 “ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ของที่ส่งเข้าไปล้วนแต่เป็นของที่คุณหนูชอบทานที่สุด” จูสือรู้สึกได้ว่ากล่องอาหารที่ถืออยู่นั้นมีน้ำหนักพอๆ กับเมื่อตอนยกเข้าไป จึงได้พูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “ยามนี้จะเปลี่ยนเป็นสิ่งใดดีเจ้าคะ?”


                นางเฮ่ออารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก หากผู้ที่พูดเป็นจูเซวียนและจูเสียน นางจักต้องตำหนิไปยกใหญ่แน่ เพียงแต่บิดาของจูหลานเป็นพ่อบ้านคนหนึ่งในอาณัติของฮูหยินซ่ง โดยปกติแล้วก็เคารพนางเฮ่อเป็นอย่างมาก จึงต้องไว้หน้านางบ้าง พลางกล่าวอย่างราบเรียบว่า “พวกเจ้าดูแลเพียงนำความไปบอกห้องครัวเล็กเป็นพอ ส่วนจะเปลี่ยนเป็นสิ่งใดนั้นเป็นเรื่องของห้องครัว หาใช่เจ้าทำไม่! หรือเจ้าคิดอยากจะไปทำงานที่ห้องครัว จึงได้กลัดกลุ้มแทนพวกเขาขึ้นมา?”


                จูหลานหน้าตาเลิ่กลั่ก จูสือและนางเล่นเข้าขากันดี เมื่อเห็นว่าป้าพูดเสียจนนางหงายหลังจึงรีบพูดว่า “เมื่อครู่นี้พวกเราไปเก็บกระจับป่าในสวนมา ของนี่บางเบา ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่จะรับประทานไหมเจ้าคะ?”


                นางเฮ่อมองไปยังตระกร้าที่อยู่ข้างหลังพวกนางหนหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “ของในตะกร้านั่นรึ? ถือเข้ามาอย่างไร เหตุให้ทำเอาระเบียงทางเดินสกปรกถึงเพียงนี้”


                “เดิมที่เอาวางไว้ที่ศาลาเจ้าค่ะ แต่เมื่อครู่นี้มีฝนตก” จูสือพูดเสียงเบาว่า “จึงได้ถือขึ้นมาแล้ว….ท่านป้าจะให้พวกเราแกะสักถ้วยส่งขึ้นไปหรือไม่เจ้าคะ?”


                “ลองดูเถิด” นางเฮ่อถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างไม่กระปี้กระเปร่าว่า เว่ยฉางอิ๋งร่างกายแข็งแรงมาแต่เล็ก แต่ไรมาไม่เจ็บไม่ป่วย ทั้งนางยังฝึกวรยุทธมานานปี เมื่อใช้พลังงานไปมาก ก็ย่อมเจริญอาหารตามไปด้วย แต่ไรมามีแต่ถูกเตือนว่าอย่าเห็นแก่กิน มียามใดที่ไม่เจริญอาหารเล่า? ยามนี้บอกว่าป่วยแล้ว ความจริงคือเป็นไข้ใจ เพียงแค่คิดไม่ตก ต่อให้เป็นของวิเศษรสเลิศปานใดก็กินไม่ลง มิเช่นนั้นแล้วเว่ยฉางอิ๋งอยากจะรับประทานสิ่งใด บ้านตระกูลเว่ยจะไม่มีหรือ?


                สองวันมานี้ เรียกได้ว่านางเฮ่อได้พูดคำพูดที่จะพูดได้ไปจนหมดแล้ว ทว่าไม่ว่าจะสอนสั่งนางอย่างไร เว่ยฉางอิ๋งก็เอาแต่หันหน้าเข้าภายในตั่งนอนเท่านั้น นิ่งเงียบไม่พูดจา บางครานางเฮ่อค่อยๆ ลอบยื่นหัวเข้าไปดูสักหน ก็เห็นว่าระหว่างขนตาของนางมีน้ำตาอาบอยู่….นางเฮ่อทนไม่ไหวจึงร้องไห้ออกมาด้วย


                เมื่อวานทั้งวัน เว่ยฉางอิ๋งไม่ยอมดื่มน้ำแม้สักหยก ยามค่ำคืน นางเฮ่อสั่งให้ฉินเกอและเยี่ยนเกอเฝ้าดูนางให้ดี ส่วนตนเองก็ออกไปหาแม่เฒ่าซ่ง เมื่อแม่เฒ่าซ่งรู้ว่าหลานสาวไม่ยอมทานอาหารมาทั้งวัน กล้ามเนื้อที่ใบหน้าก็กระตุกอยู่เป็นนาน แต่ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของนางเฮ่อ นางกลับเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบว่า “นางก็มิใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ที่ทุกเรื่องก็ต้องให้เจ้าจับมือสอนให้ทำ ความทุกข์หนแรกในชีวิตหนุ่มสาว ก็จักต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนสักหน เจ้าอย่าได้คอยไปกล่าวเตือนนาง… ให้นางอยู่เงียบๆ สักพัก และคิดเอาเอง!”


                นางเฮ่อปาดน้ำตาต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า “ข้าน้อยเข้าใจถึงความหวังดียิ่งของฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ เพียงแต่หากคุณหนูใหญ่ยอมรับประทานอาหาร หากจะนอนอยู่เฉยๆ สักวันสองวันก็มิเป็นไร ทว่ายามนี้คุณหนูใหญ่ไม่กินไม่ดื่ม… แล้วร่างกายจะรับไหวได้อย่างไรเจ้าคะ?”


                แม่เฒ่าซ่งบันดาลโทสะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “คนธรรมดาไม่กินไม่ดื่มวันสองวันก็มิเป็นไร ประสาอะไรกับฉางอิ๋งที่ฝึกวรยุทธมาแต่เล็กและมีร่างกายแข็งแกร่ง?! ข้าบอกไปแล้วอย่างไร ว่าอุปสรรคนี้จักต้องให้นางข้ามผ่านไปด้วยตัวนางเอง! ที่เจ้ามาวันก่อน ฟังไม่ชัดเจนหรืออย่างไร? วันนี้จึงได้มาพูดจาร่ำไรอีก นี่เจ้ากลัวว่าจะไม่ทำร้ายนางอย่างนั้นรึ?!”


                “ข้าน้อยแทบจะยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับความสุขชั่วชีวิตของคุณหนูใหญ่ แล้วจะไปทำร้ายคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรเจ้าคะ?” นางเฮ่อรีบร้อนคุกเข่าลงแก้ต่าง ทว่าแม่เฒ่าซ่งกลับไม่ต้องการฟังแม้แต่น้อย แล้วเรียกให้บ่าวที่อยู่ซ้ายขวาไล่นางออกไป “ข้าจะสอนสั่งหลานสาวข้าอย่างไร ต้องให้เจ้ามามากความรึ? บอกแล้วอย่างไรว่าครานี้ให้นางพยายามทนผ่านไปด้วยตนเอง เจ้ายิ่งมากเรื่อง จักไม่ให้เจ้าอยู่ในเรือนเสียซวงไปเสียเลย! วันๆ ช่วยงานใดไม่ได้ เอาแต่ทำให้หลานสาวของข้าที่ดีๆ อยู่แท้ๆ ต้องมาเสียคน!”


                ด้วยความหวาดกลัวว่าว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะพูดจริงทำจริง และไล่ตนไปจากข้างกายเว่ยฉางอิ๋งจริงๆ ดังนั้นแล้วแม้วันนี้เว่ยฉางอิ๋งยังคงไม่รับประทานอาหารต่อไป แต่นอกจากนางเฮ่อจะอาศัยช่วงเวลายามนางหลับคอยเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำแตะริมฝีปากที่แห้งแตกให้นางแล้ว แม้แต่ส่งคนไปรายงานอาการของเว่ยฉางอิ๋งต่อแม่เฒ่าซ่งก็ยังไม่กล้า นอกจากนี้นางก็ไม่มีวิธีอื่นใดอีก


                ยามนี้ตกลงให้จูสือและจูหลานแกะกระจับป่ามาให้ถ้วยหนึ่งนั้น ก็ด้วยคิดว่าจะพอมีหวังใดบ้างสักน้อยนิด


                นางไปคอยกำกับดูแลที่ห้องครัวด้วยตนเอง ให้แม่ครัวพยายามทำอาหารให้มีกลิ่มหอมเตะจมูกและทำให้อยากอาหารมากที่สุด แล้วเอาถือกลับไปที่เรือนเสียซวงใหม่อีกหน ยังมิทันได้เข้าไป ก็เห็นซวงหลี่พาสาวใช้ตัวน้อยสองคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าซ่งเดินมา ซึ่งแต่ละคนต่างถือของอยู่ในมือ และเดินจากทางเดินเล็กๆ ไม่ไกลนักผ่านมาก


                เมื่อเห็นนางเฮ่อ ซวงหลี่รีบเดินให้เร็วขึ้นสองสามก้าว แล้วทักทายว่า “ท่านป้าเฮ่อ!”


                “ซวงหลี่?” นางเฮ่อหยุดเดิน แล้วมองของที่พวกนางถืออยู่ในมือ กลับเป็นของประเภทผ้าแพรสีเรียบ เครื่องประดับและอาหาร นางจึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “นี่คือ?”


                “ยามนี้คุณหนูใหญ่ตื่นอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ซวงหลี่ถามกลับก่อนประโยคหนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “จวนจิ้งผิงกงทางโน้นได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ป่วย เมื่อครู่นี้จึงได้ส่งของมาเจ้าค่ะ”


                เพราะเว่ยฉางอิ๋งไปร่วมงานไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกงแล้วได้ยินคำครหาเมื่อกลับมาจึงได้ล้มป่วย ยามนี้ล้วนรังเกียจคนในจวนจิ้งผิงกงเป็นอย่างยิ่ง นางเฮ่อจึงได้ยอมหน้าหนา ลากซวงหลี่ออกมาข้างๆ แล้วกระซิบบอกว่า “คุณหนูใหญ่ไม่รับประทานสิ่งใดมาจะสองวันสองคืนแล้ว พูดก็ยังไม่ยอมพูด ด้วยไปได้ยินคำครหาว่าร้ายของพวกปากเปราะในจวนจิ้งผิงกง… ยามนี้หากได้ยินว่าทางนั้นส่งของมา จักไม่เป็นการทำให้คุณหนูใหญ่ยิ่งเป็นทุกข์รึ!”


                ซวงหลี่มองดูผ้าแพรที่นางถืออยู่ในมือหนแล้วหนเล่า พลางยิ้มเจื่อนแล้วว่า “ท่านป้าไม่รู้ นี่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้รีบนำมาให้คุณหนูใหญ่ดูนะเจ้าคะ”


                เมื่อได้ยินว่าเป็นความต้องการของฮูหยินผู้เฒ่า นางเฮ่อจุกขึ้นมา แล้วคิดว่า ‘บางทีฮูหยินผู้เฒ่าปากบอกว่าจะให้คุณหนูใหญ่ผจญกับปัญหาโดยลำพัง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเอาแต่คิดถึงคุณหนูใหญ่ จึงได้หาข้ออ้างให้ซวงหลี่มาเยี่ยมคุณหนูใหญ่อย่างไรเล่า!’


                คิดถึงตรงนี้ นางเฮ่อจึงลอบโล่งใจ กล่าวว่า “ข้าเพิ่งจะกลับมาจากห้องครัว ยังไม่ทันรู้ว่ายามนี้คุณหนูใหญ่หลับหรือตื่น พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกสักพักก่อน ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย”


                 “รบกวนท่านป้าแล้ว” แม้ซวงหลี่จะเป็นหัวหน้าสาวใช้ที่อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า แต่นางก็ยังคงเกรงอกเกรงใจแม่นมที่รักใคร่คุณหนูใหญ่มากที่สุดผู้นี้ ได้ยินคำจึงเอามือปิดปากยิ้ม แล้วพยักหน้าน้อยๆ


                นางเฮ่อเอากล่องอาหารส่งให้จูสือผู้หลานสาวซึ่งยืนเฝ้าอยู่นอกประตู สะบัดมือแล้วเข้าไปข้างในและปิดประตูทันที ข้างในเป็นเวรของหานเกอและเจวี๋ยเกอคอยเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นว่านางเฮ่อเข้ามาจึงพยักหน้าน้อยๆ


                “คุณหนูใหญ่หลับหรือไม่?” นางเฮ่งกดเสียงให้ต่ำ ถามพลางเดินที่ข้างตั่งดู กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งแม้จะยังนอนตะแคงหันหน้าเข้าผนังและหลับตา แต่ขนตากลับสั่นไหวอยู่น้อยๆ เห็นชัดว่าไม่ได้นอนหลับ นางถอนหายใจคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เป็นเช่นนี้ ข้างนอกซวงหลี่มา บอกว่า…จวนจิ้งผิงกงทางนั้นรู้ข่าวว่าสองวันนี้คุณหนูไม่สบาย ไม่อาจไปงานไว้อาลัยได้ จึงส่งของเหล่านี้มาเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง นางเฮ่อจึงได้ถามไปอีกครั้ง เมื่อเห็นนางไม่พูดจา จึงได้แต่พูดว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะให้พวกนางเอาของเก็บไว้ที่นี่นะเจ้าคะ?”


                แล้วรออีกสักพัก เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงไม่ตอบ นางเฮ่อจนปัญญา จึงลุกขึ้นยืนพลางว่า “ข้าน้อยจักออกไปบอกพวกนาง”


                เมื่อออกไปข้างนอก ซวงหลี่ได้ยินคำแล้ว ดวงตาพลันมีแววแห่งความผิดหวัง กล่าวว่า “เช่นนั้นก็มอบของเอาไว้แก่ท่านป้าแล้ว”


                นางเฮ่อกำลังจะพยักหน้า ซวงหลี่พลั่นเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านป้าไยจึงไม่เอาของเข้าไปให้คุณหนูใหญ่ดูเล่า? แม้จะบอกว่าเมื่อเอ่ยถึงทางนั้นแล้วคุณหนูใหญ่จะไม่ยอมฟัง แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะยอมเอ่ยปากพูดด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้?”


                “เรื่องนี้…” นางเฮ่อนิ่งเงียบไป แล้วว่า “แต่คุณหนูใหญ่ได้ฟังแล้วจะไม่ยิ่งเสียใจยิ่งกว่าเดิมหรือ?”


                “ยามที่ข้ามา ท่านป้าเฉินสั่งความกับข้ามาเป็นการส่วนตัว บอกว่าหากคุณหนูใหญ่ยังไม่พูดจาอยู่เช่นนี้ เพราะยังปิดใจอยู่จึงได้ล้มป่วยเอาง่ายๆ มิสู้เอาเรื่องทุกข์ใจพูดระบายออกมา กลับดีเสียกว่าเจ้าค่ะ” ซวงหลี่ขยับเข้าไปกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูนางเฮ่อ


                นางเฮ่อรักใคร่เว่ยฉางอิ๋งมาแต่ไร เมื่อได้ยินคำก็ลังเลอยู่เกือบเค่อ จึงได้กล่าวว่า “เช่นนั้น…ก็อย่าถือไปมากเกินไป เอาเพียงผ้าแพรในเมือเจ้านี่ เข้าจะเอาไปพูดกับคุณหนูใหญ่ ลองดูสักหน!”


                เพราะจวนจิ้งผิงกงกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ผ้าแพรที่ส่งมาจึงล้วนเป็นสีเรียบๆ นางเฮ่อหอบเข้าไปในห้องแล้ววางไว้ข้างๆ เว่ยฉางอิ๋ง คิดสักพัก จึงได้กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “คุณหนูใหญ่หันหลังกลับมาดูผ้าพวกนี้สักหน่อยเถิดเจ้าคะ เป็นของที่จวนจิ้งผิงกงเพิ่งจักส่งมา บอกว่าเพราะคุณหนูไม่สบายจึงได้ส่งมา กว่าครึ่งหนึ่งยังเป็นการชดเชยเรื่องที่คุณชายสิบเสียมารยาทก่อนนี้ด้วย…”


                เมื่อได้ยินคำว่าคุณชายสิบ ตัวของเว่ยฉางอิ๋งสั่นขึ้นมาน้อยๆ นางเฮ่อรีบหยุดคำ แล้วจ้องนิ่งไปที่นาง เพียงแต่ว่ารออยู่ครึ่งวัน เว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่พูดจา นางเฮ่อถอนหายใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “ได้ยินมาว่ายามนี้จวนจิ้งผิงกงมีเรื่องใหญ่ หรือจะมีเวลาไปคอยดูแลเรื่องเล็กๆ พวกนี้กัน? ว่ากันตามตรง เป็นพวกเขาเพิกเฉยต่อผู้อื่น แต่กลับไม่กล้าเพิกเฉยต่อคุณหนูใหญ่!”


                “ยามนี้พวกเขาไม่สะดวกจะส่งผ้าสีสันสดใส่มา ที่ส่งมาสองสามพับนี่ก็มีสีเรียบเหลือทน เพียงแต่เนื้อผ้านั้นล้วนดีทั้งหมด วันหน้าพอจักเอาไปทำเสื้อสวมทับข้างในให้คุณหนูใหญ่ได้ คุณหนูใหญ่โปรดดูลายเมฆปักนี่ ทั้งบางเบาทั้งอ่อนนุ่ม แต่ไรมามีเพียงฮ่องเต้พระราชทานให้ในวังหลวงเท่านั้นจึงจะมีครอบครองได้เชียว… เห็นได้ว่าครานี้จวนจิ้งผิงกงหวาดกลัวเพียงใด แม้แต่ของหายากเช่นนี้ยังเอาออกมาได้”


                นางเฮ่อสัมผัสลูบไล้ผ้าทอชั้นที่อยู่ข้างบนสุดอยู่เกือบเค่อ เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งยังคงไม่สนใจ จึงได้หยิบอีกพับที่อยู่ล่างลงมาออกมา “ผ้าสู่จิ่นสีเขียวใบหญ้าลายนกกระสากับเมฆชิ้นนี้ก็เอามาตัดกระโปรงตัวนอกได้…ยังมีนี่….”


                นางกล่าวชมความล้ำเลิศของผ้าทอเหล่านี้ก็เพื่อหวังให้เว่ยฉางอิ๋งเปิดปากพูด หรือหันหน้ากลับมามองสักหนก็ยังดี ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเว่ยฉางอิ๋งก็มิได้มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อย นางเฮ่อยิ่งพูดยิ่งทนไม่ไหว จึงถอนหายใจคราหนึ่ง แล้วยัดผ้าทอพวกนั้นเก็บอย่างยุ่งเหยิง รู้สึกว่าความคิดที่เฉินหรูผิงให้ซวงหลี่บอกเล่ามานั้นก็พึ่งพาไม่ได้เท่าใดนัก ไม่สู้เอาของเก็บไปเสียก่อนดีกว่า


                ทว่าเมื่อนางเก็บผ้า สายตาของนางเฮ่อชะงักไปทันใด แล้วร้องเสียงหลงว่า “นะ…นี่มันสิ่งใด?!”


                เดิมทีเจวี๋ยเกอและหานเกอยืนประสานมือคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินว่าน้ำเสียงของนางเฮ่อผิดปกติจึงมองมา แต่กลับเห็นว่าในกองผ้าสีเรียบๆ นั้น มีผ้าทอสีขาวผืนหนึ่งที่ถูกนางเฮ่อรื้อออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ… ผ้าสีขาวนี้แม้จะดูธรรมดา ทั้งยังสามารถนำไปตัดเป็นเสื้อผ้าประเภทเสื้อทับตัวใน แต่ตอนที่นางเฮ่อจัดเก็บนั้นดึงออกมามากเกินไป จึงดึงพับนี้ออกมา…และได้เห็นว่าผ้าขาวผืนนี้ ความยาวไม่ต้องเอ่ยถึง แต่กลับมีความกว้างเพียงหนึ่งฉื่อกว่าๆ เท่านั้น!


                หากเป็นชาวบ้านธรรมดา ผ้ากว้างเพียงหนึ่งฉื่อนั้นแน่นนอนว่าไม่อาจทิ้งให้เสียเปล่าได้ ทว่าสำหรับตระกูลใหญ่นั้น แม้แต่บ่าวที่มีหน้ามีตาสักหน่อย หากจะตัดเสื้อยังต้องใช้ผ้าทั้งพับ แล้วประสาอะไรกับคุณหนูตระกูลใหญ่? บุตรชายท่านจิ้งผิงกงเพิ่งจะเสียชีวิต ต่อให้จวนจิ้งผิงกงระส่ำระสายเพียงใดก็ไม่มีทางอับจน จนถึงขั้นแม้แต่จะส่งของขวัญทั้งทีก็ไม่สามารถเอาผ้าทั้งพับมามอบให้!


                เจวี๋ยเกอและหานเกอคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สีหน้าต่างก็เปลี่ยนไปทันที แล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก กล่าวว่า “หรือจะเป็น…?”


                นางเฮ่อเย็นวาบไปทั้งหัวใจ ไม่กล้ามองให้ละเอียดอีกครา แล้วรีบเอาผ้าขาวผืนนั้นยัดกลับเข้าไปในกองผ้า ปากก็บอกว่า “ไม่มีสิ่งใด ข้าดูผิดไป” สายตาดุดันของนางกวาดมายังสาวใช้ทั้งสอง เจวี๋ยเกอและหานเกอพากันพยักหน้าให้นางโดยพลันและไม่ส่งเสียงใด


                ไม่คิดว่าในขณะที่นางเฮ่อกำลังจะหอบเอาผ้าเหล่านี้ออกไปอย่างรวดเร็ว เว่ยฉางอิ๋งกลับพลิกตัวกลับมาอย่างลำบาก แล้วทับกองผ้าเหล่านั้นเอาไว้ ถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เป็นสิ่งใด?”


                นางเฮ่อไม่กล้ามองนาง กล่าวเสียงต่ำไปว่า “คอคุณหนูใหญ่แหบเหลือเกิน ดื่มน้ำสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ?”


                “เมื่อครู่นี้เป็นสิ่งใด? เอามาให้ข้าดูสักหน่อย” เว่ยฉางอิ๋งยืนกราน โดยไม่สนใจเรื่องที่นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


                …จวนจิ้งผิงกงส่งผ้าแถบแคบๆ สีขาวนี้มา ประจวบเหมาะกับที่วันก่อนเว่ยเกาอั้นด่าทอลบหลู่ลูกผู้พี่ ทำเช่นนี้มีเจตนาใด ยังจะต้องให้พูดอีกหรือ? นี่มันเป็นการบอกให้เว่ยฉางอิ๋งรีบๆ แขวนคอตายไปเสียในเร็ววันชัดๆ!


                ในยามนี้ เว่ยฉางอิ๋งมีสภาพเช่นนี้ ต่อให้ตายนางเฮ่อก็ไม่กล้าให้นางดู จึงรีบเอื้อมมือออกไปโยนทิ้ง แล้วรีบพูดกลบเกลื่อนว่า “ผ้าพับหนึ่งมีด้ายรันหลุดออกมา ไม่มีสิ่งใดน่าดูหรอกเจ้าคะ”


                ทว่าในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งเกิดความสงสัย ก็จะไม่มีทางลบเลือนไปได้โดยง่ายเช่นนี้ ตัวนางทับผ้าอยู่ นางเฮ่อจึงไม่อาจดึงออกมาได้ เว่ยฉางอิ๋งกลับเอื้อมมือไปใต้ตัว ค่อยๆ หยิบผ้าทีละผืนออกมาตรวจดู ผ้าทั้งหมดก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ผ้าสีขาวผืนนั้นก็เพิ่งจะถูกนางเฮ่อดึงออกมา เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะพลิกขึ้นมาดูไม่กี่หนก็พบว่ามันแคบเสียใจผิดปกติ จึงดึงออกมาดูทันที…


                นางเฮ่อห่อปาก อยากจะเอ่ยบางสิ่งแต่ก็พูดไม่ออก.. กลับเห็นเว่ยฉางอิ๋งมองเหม่อไปยังผ้าผืนนั้น พักใหญ่ๆ จึงได้พูดว่า “จวนจิ้งผิงกง…ต่างก็คิดว่า…ข้าควรจะตายเช่นนั้นหรือ?” นางไม่ได้แตะต้องข้าวปลาอาหารและน้ำมาเกือบสองวัน ยามนี้คอแห้งเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่มีเสียงจะพูดออกมา มีแต่เสียงแหบแห้ง ครานี้จึงได้พูดจาติดๆ ขัดๆ น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลรินลงมา นางเฮ่อมองจนหัวใจแตกสลายไปหมด


                “พวกเขาวางแผนชิงตำแหน่งประมุขมานานแล้ว ก็ย่อมต้องไม่ประสงค์ดีต่อคุณหนูใหญ่อยู่แล้ว” นางเฮ่อสะอื้นพลางเข้าไปกอดนางเอาไว้ พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า “คุณหนูใหญ่อย่าได้ทำให้พวกมันสมหวังเชียวหนา!”


                เว่ยฉางอิ๋งไม่เอ่ยแม้สักคำ นางรวบรวมกำลัง ทีละเล็กทีละน้อย ดึงผ้าขาวผืนนั้นออกมาจนหมด…ผ้าขาวกว้างหนึ่งฉื่อกว่าๆ ยาวราวสามฉื่อ ใช้มาผูกไว้บนคานได้พอดี


                เว่ยฉางอิ๋งนิ่งมองผ้าขาวที่บอกเป็นนัยว่าเมื่อตนเองตายแล้วก็จะกอบกู้ชื่อเสียงให้ตระกูลได้ผืนนั้นอยู่เนิ่นนาน แล้วปิดตาลงทรุดกายลงไปซบในอกของนางเฮ่ออย่างโรยแรง เมื่อโอบเด็กน้อยที่ดื่มนมตนมาจนเติบใหญ่ สัมผัสได้ว่าสองวันมานี้นางผ่ายผอมลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปยังผ้าขาวสมควรตายที่อยู่ตรงหน้าผืนนั้น ใจของนางเฮ่อดังถูกมีดกรีด พยายามคิดหาคำพูดมาช่วยปลุกปลอบให้คลายทุกข์อย่างสุดกำลัง แต่กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมิได้ฟังอยู่เลย เกือบเค่อจากนั้นนางโอนๆ เอนๆ ลุกขึ้นมานั่ง กล่าวเสียงต่ำว่า “เจวี๋ยเกอออกไปเอากรรไกรตัดด้ายข้างนอกมา!”


                “คุณหนูใหญ่!” นางเฮ่อกรีดร้องขึ้นมา ทว่าเมื่อเจวี๋ยเกอถูกเว่ยฉางอิ๋งมองมาก็กลับไม่กล้าไม่รีบออกไป นางเอากรรไกรกลับมา แล้วหานเกอก็กลับเดินเข้ามา… ทั้งสามคนมองดูเว่ยฉางอิ๋งด้วยความตื่นเต้น เกรงว่าด้วยผ้าขาวผืนนี้จะกระตุ้นให้นางคิดไม่ตกขึ้นมาจริงๆ ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้กรรไกรมาแล้ว นางก็หรี่ตา แล้วคว้าผ้าขาวผืนนั้นมา… และไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาแต่ใด พลันขยับกรรไกรอย่างรวดเร็ว เกิดเสียงดังแควกๆ สองสามหน ตัดผ้าขาวผืนนั้นออกจนไม่เป็นชิ้นดี!


                นางเฮ่อตื่นตกใจ จากนั้นจึงมองดูด้วยความยินดียิ่ง “คุณหนูใหญ่ตัดได้ดีเจ้าค่ะ!”


                “พวกมันอยากให้ข้าตายรึ?!” ผมที่ปล่อยยาวลงมาของเว่ยฉางอิ๋งสะบัดไปมา ใบหน้าขาวซีดดังกระดาษ เพราะไม่ได้กินไม่ได้ดื่มมาสองวัน จิตใจกลัดกลุ้มจึงได้อ่อนแอโรยแรงลงไปอย่างรวดเร็ว ยามนี้ดูไปแล้วผายผอมลงไปเป็นอย่างมาก แต่ในดวงตากลับมีความเดือดดาลที่สว่างจ้าทว่ากลับเย็นยะเยือกฉายออกมา แล้วกล่าวออกมาทีละคำว่า “ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด…ลำพังแค่คำครหากับผ้าขาวผืนนี้ก็คิดจะให้ข้าตายหรือ?! ฝัน ไป เสีย เถิด!”


                นางเหวี่ยงกรรไกรลงไปข้างล่างตั่งอย่างแรง กำมือเข้าจนเล็บปักเข้าไปในฝ่ามือ เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากขอบฝ่ามือ และหยดลงมาบนเสื้อทับตัวในสีชาขาว นางเฮ่อเร่งให้เจวี๋ยเกอและหานเกอเอายาทามา เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่รู้สึกถึงสิ่งใด เอาแต่จ้องเขม็งไปยังผ้าขาวที่ตกอยู่บนพื้นผืนนั้น แล้วกล่าวอย่างโกรธแค้นว่า “ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะจัดการให้พวกที่อยากให้ข้าตาย ตายไปให้หมด!!!”


____________________


ตอนที่ 74 คนผู้นั้น

โดย

Xiaobei

                …หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งปลงตกแล้วเพียงหนึ่งวัน คนบ้านเสิ่นก็มาถึง


                ไม่กินไม่ดื่มมาสองวันสองคืน หัวใจก็เป็นเช่นขี้เถามอด หลังจากที่ตระหนักรู้แล้วก็มีเวลาพักผ่านเพียงหนึ่งวัน แม้จะบอกว่าอายุยังน้อยอยู่ ทั้งตระกูลเว่ยก็ร่ำรวยมั่งคั่ง ของบำรุงต่างๆ ที่ควรมีก็มีทั้งหมด ทว่าเวลาสั้นเกินไป เช้าวันนี้ เมื่อตื่นนอนมาแล้วอาบน้ำเรียบร้อย เว่ยฉางอิ๋งก็มานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นว่าบนสองแก้มที่มีไอน้ำเกาะอยู่นั้นมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาเพราะอาบน้ำร้อน แต่ก็ต่างกับความงามเมื่อก่อนนี้อยู่ชั้นหนึ่ง


                ดังดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ นานเพียงใดก็ยังงดงามอยู่ แต่กลับขาดความงดงามตามธรรมชาติไปบ้างสักหน่อย มีความอิดโรยออกมาให้เห็น ให้ความรู้สึกดังผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง


                นางเฮ่อถอนหายใจอยู่ในใจ กล่าวว่า “หรือจะลงเครื่องสำอางสักหน่อยเจ้าคะ?”


                “ท่านย่าบอกหรือว่าวันนี้ให้ข้าออกไปด้วย? เว่ยฉางอิ๋งจ้องเงาตนเองในกระจกอยู่เป็นนาน แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ


                มีคนตระกูลเสิ่นมา… คราวนี้ต่างกับคราวก่อน ไม่ว่าจะถอนหมั้นหรือยังยึดตามสัญญาแต่งงานเดิม อย่างไรก็ไม่มีทางพูดคุยจบภายในวันหรือสองวัน อีกประการเว่ยเจิ้งหย่าเพิ่งจะเสียชีวิต แม้คนบ้านเสิ่นจะมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว อย่างไรก็จักต้องไปไว้อาลัย เมื่อนับๆ ดูแล้ว คนที่มาครานี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่วันสองวัน


                ยามนี้ตนเองอิดโรยถึงเพียงนี้ อดจะทำให้พวกเขาคาดเดากันไปส่งเดชไม่ได้ แม่เฒ่าซ่งคงไม่ให้ตนเองไปคารวะในวันนี้ รอสักสองวันนางคงจักสามารถพักฟื้นจนสีหน้ากลับมาได้พอสมควรแล้ว พอถึงเวลานั้นค่อยไปพบจักพอมีหน้ามีต่างบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นสองวันมานี้มีฝนตกอยู่ตลอด จนถึงยามนี้ก็ยังไม่หยุด คนที่เดินทางมาต้องลุยดินโคลน ทั้งรถทั้งม้าต่างเดินทางอย่างลำบาก วันแรกนี้เกรงว่าจะมีแต่ทักทายปราศรัยกันตามมารยาทสักพักก็จักต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว


จากนั้นก็จักเป็นงานเลี้ยงตอนรับ ซึ่งการมาเจรจาเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ตระกูลเสิ่นไม่มีทางส่งสตรีในตระกูลมาเป็นแน่ ต่อให้ชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งถูกร่ำลือออกไปอย่างไม่ดีงามยิ่งกว่านี้ นางก็ไม่อาจวิ่งโร่ไปร่วมงานเลี้ยงเช่นพวกนางบำเรอในบ้าน ดังนั้นวันนี้จึงไม่ค่อยจักเป็นไปได้ว่าต้องให้เว่ยฉางอิ๋งออกหน้าไปพบ


“วานนี้ซวงหลี่มาบอกให้วันนี้คุณหนูใหญ่เตรียมตัวเอาไว้ก่อนเจ้าค่ะ” นางเฮ่อกล่าวเสียงเบา “คาดว่าบ้านเสิ่นอาจจะเอ่ยถึงคุณหนูกระมังเจ้าค่ะ”


เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วว่า “เช่นนั้นก็ลงเครื่องสำอางสักหน่อยเถิด”


งานศพของเว่ยเจิ้งหย่ายังคงดำเนินอยู่ แม้จะเป็นคนละจวนกัน แต่อย่างไรก็เป็นผู้ใหญ่ในตระกูล เว่ยฉางอิ๋งไม่ควรแต่งกายสีฉูดฉาด ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ไม่มีงานศพ สีหน้านางยามนี้ซีดขาว หากลงเครื่องสำอางมากเกินไป สวมเสื้อผ้าสีสดเกินไป ยิ่งจักทำให้รู้ว่าต้องการกลบเกลื่อนความอิดโรยของตน


นางเฮ่อและพวกของฉินเกอหารือกัน ช่วยกันเลือกเสื้อส้างหรูตัวสั้นแขนกว้างสีงาช้างเข้มแขนปักลายกิ่งก้านดอกเหมย กระโปรงหลิวซานเนื้อบางเบาสีกะปิอ่อน คาดด้วยผ้าคาดเอวปักลายค้างคาวต่อปีกห้าตัว เสื้อและกระโปรงเรียบง่ายจับคู่กับผ้าคล้องแขนแบบถักมีลายดอกไม้สีทองและขาว บนมวยผมสองมวยทรงปีกหงส์[1]ปักปิ่นคู่เข้าหากันด้วยปิ่นหยกสีมันแพะรูปนกหลวน[2]คาบลูกแก้วมีพู่ห้อยระย้าลงมา ตรงกลางศีรษะประดับด้วยที่ปักผมรูปดอกซานฉา[3]ประดับไข่มุก เพราะเว่ยฉางอิ๋งมีผิวพรรณผุดผ่องเนียนละเอียดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่ต้องลงแป้งเพิ่ม เพียงแค่ลงสีแดงที่แก้มบางๆ ชั้นหนึ่งลงไปเท่านั้น


จูสือคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ในระหว่างที่คอยส่งและรับของต่างๆ อยู่นั้น นางออกความเห็นว่าควรจะติดลายดอกเหมยสีสดไว้ที่หว่างคิ้ว หลังจากติดเรียบร้อย แล้วให้นางเฮ่อพิจารณาดู ปรากฏว่าก็ได้ถูกเลือกมาใช้งานจริงๆ


                …เช่นนี้ไปจนถึงกลางยามซื่อ[4] จูเสียนจึงได้ยกชายกระโปรงวิ่งเข้าเรือนเสียซวงมารายงานว่า เว่ยเซิ่งเหนียนกำลังต้อนรับคนบ้านตระกูลเสิ่นเข้ามาทางประตูใหญ่แล้ว


                นางเฮ่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งคล้ายกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยใจจดจ่ออยู่หลังโต๊ะตัวเตี้ย แต่มือที่กำลังจะพลิกหน้าหนังสือกลับพลันชะงักลง นางเฮ่อจึงเข้าใจในทันใด แล้วเอ่ยสอบถามแทนนางไปว่า “ผู้ที่มาเป็นผู้ใด? เป็นเซียงหนิงปั๋วหรือไม่?”


                “เป็นเซียงหนิงปั๋วเจ้าค่ะ” จูเสียนพยักหน้าแล้วว่า “สองวันมานี้มีฝนตก จนยามนี้ก็ยังไม่หยุด ผู้ที่มาคงจักขี่ม้ามา ล้วนสวมงอบและเสื้อฟาง ตอนที่ข้าน้อยไปถึงคนทั้งกลุ่มกำลังถอดเสื้อฟางและงอบอยู่ที่ใต้กันสาดเจ้าค่ะ พ่อบ้านที่อยู่ข้างหน้าบอกข้าน้อยว่าไม่ให้เข้าไปใกล้นัก จักได้ไม่ถูกพบเห็น ได้ยินนายท่านสามขานเรียกยามเชิญเข้าไปจึงได้รู้เจ้าค่ะ”


                “เซียงหนิงปั๋วเป็นคนไม่เข้มงวด คราวก่อนก็ประทับใจคุณหนูใหญ่เสียอย่างยิ่ง” นางเฮ่อสั่งให้พวกจูเสียนและฉินเกอออกไปเพื่อจักได้ปลอบประโลมนางเพียงลำพัง


                เมื่อถูกดูออกว่าจิตใจกำลังสับสน เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่มีแก่ใจจักแสร้งทำเป็นอ่านหนังสืออีก นางปิดหนังสือลง เอามือปิดปาก กล่าวว่า “จะประทับใจข้าหรือไม่ไม่สำคัญ อย่างไร…ท่านย่าก็พูดแล้วว่า ถ้าบ้านเสิ่นไม่ต้องการ ก็บอกพวกเขากลับไปว่าข้าติดโรคก็พอแล้ว” ก่อนนี้เพราะนางไม่ได้ดื่มน้ำมาสองวันสองคืน คอจึงแห้งอย่างรุนแรง จนยามนี้ยังคงมีเสียงพร่าอยู่บ้าง พูดเสียงสูงๆ ยังไม่ได้


                คำอธิบายเงียบๆ นี้ เมื่อฟังอยู่ในหูของนางเฮ่อแล้วรู้สึกได้ถึงความเศร้าสร้อย


                นางเฮ่อนิ่งเหม่อ พลางฝืนยิ้มแล้วว่า “นะ…ในเมื่อบ้านเสิ่นส่งเซียงหนิงปั๋วผู้นี้มาจักการเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ คิดว่าจักต้องเป็นคนปราดเปรื่อง ไม่เชื่อคำของพวกคนต่ำช้าที่ให้ร้ายคุณหนูใหญ่เป็นแน่เจ้าค่ะ อย่างไรเรื่องแต่งงานนี้ก็เป็นท่านประมุขและท่านประมุขเสิ่นตกลงกันด้วยตนเอง คุณหนูใหญ่ก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ ตระกูลเสิ่นก็เป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล แล้วจักทำเรื่องเช่นการถอนหมั้นได้อย่างไร?”


                ตลอดมานางเฮ่อล้วนไม่สนับสนุนให้เว่ยฉางอิ๋งฝึกวรยุทธ์ มาตรฐานของคุณหนูตระกูลใหญ่ในใจนางก็จะต้องเป็นเช่นซ่งไจ้สุ่ยเช่นนั้น ที่ทั้งอ่อนหวานรู้จักกาลเทศะ เรียบร้อยเป็นกุลสตรี ยิ่งไปกว่านั้นนางเฮ่อยังคิดว่า เสิ่นจั้งเฟิงมีชาติกำเนิดที่ทัดเทียมกับเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งยังมีความสามารถ เรื่องแต่งงานครานี้ ชายองอาจหญิงงดงาม คู่ควรกันดังกิ่งทองใบหยก เรียกได้ว่าเป็นคู่สวรรค์สร้าง


                หากต้องมีอันเป็นไปด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง ก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง


                เช่นนั้น แม้เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งล้วนเตรียมการถอนหมั้นเอาไว้แล้วหากเกิดเรื่องไม่เข้าทีขึ้น แต่นางเฮ่อก็ยังคงหวังว่าบ้านเสิ่นจะสามารถสืบสวนดูให้ถี่ถ้วน และคืนความบริสุทธิ์ให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง และให้การแต่งงานครานี้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น


                นางเฮ่อรู้ว่าหากเว่ยฉางอิ๋งถอนหมั้นครานี้ แม้จะมีเรื่องเจ็บป่วยเป็นข้ออ้าง ข้างนอกนั้นก็ยากจะหลบเลี่ยงไม่ให้มีการดาดเดาในแง่ร้ายไปได้ เช่นว่าเรื่องที่ชาวบ้านที่มาขวางเกี้ยวร้องทุกข์ในเมืองหลวงพูดนั้นเป็นเรื่องจริง… เช่นนี้แล้วหากเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานกับผู้อื่น อย่าว่าแต่ให้มีฐานะใกล้เคียงกับเสิ่นจั้งเฟิงเลย ต่อให้เป็นชายหนุ่มในตระกูลเลื่องชื่อต่างๆ ที่มีความทะเยอทะยานสักหน่อยก็ยังจะไม่ยอมแต่งกับนาง


                ในเมื่อไม่แต่งกับชาวบ้านทั่วไป เว่ยฉางอิ๋งจึงทำได้เพียงเลือกเอาจากพี่น้องยากจนจากตระกูลในสายที่ห่างไปไกลสักหน่อย… สามีเช่นนี้เมื่อเทียบกับเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว ไม่ว่าจะดูกันเรื่องชาติกำเนิด เรื่องความสามารถ หรือเรื่องความก้าวหน้าในอนาคตแล้ว จะต่ำต้อยกว่ากันเพียงใด?


                เว่ยฉางอิ๋งในสายตาของนางคือคุณหนูตระกูลใหญ่ที่สูงส่งที่สุดดีที่สุด แม้ซ่งไจ้สุ่ยอาจจะอ่อนโยนเป็นกุลสตรีมากกว่าเว่ยฉางอิ๋ง แต่คุณหนูตระกูลซ่งมีหรือจะงดงามร่าเริงเช่นคุณหนูใหญ่ที่นางเลี้ยงมาจนโต? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าคุณหนูใหญ่มีร่างกายแข็งแรง คุณหนูซ่งผู้แสนบอบบางยิ่งไม่มีทางเทียบนางได้!


                คุณหนูใหญ่ผู้เป็นอย่างที่กล่าวมานั้น เสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นประมุขคนต่อไปที่ตระกูลเสิ่นได้กำหนดเป็นการภายในเอาไว้แล้ว จึงคู่ควรกับนางพอดิบพอดี ส่วนญาติห่างๆ เหล่านั้น… แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้ถือสา เพียงนางเฮ่อคิดๆ ดู ภายในใจก็ยังรู้สึกน้อยใจแทนคุณหนูบ้านตน


                ความรู้สึกนี้ของนางเฮ่อ เว่ยฉางอิ๋งก็ฟังออก เพียงแต่ยิ้มอย่างผิดหวังว่า “จะใส่ร้ายหรือไม่ใส่ร้าย… ดีชั่วอย่างไรข้างนอกต่างก็พากันพูดไปเช่นนั้นแล้ว เรื่องเช่นนี้มีหรือจะพูดให้ชัดเจนได้? อีกประการ ต่อให้ตระกูลเสิ่นห่วงหน้าตาและยังคงรับข้าเข้าบ้าน แล้วภายหลังกลับทำเย็นชารังเกียจรังงอนข้า มิสู้ไม่แต่งเสียดีกว่า!”


                “ในเมื่อคุณหนูใหญ่แต่งเข้าอย่างออกหน้าออกตา ตระกูลเสิ่นยังจักกล้าทำสิ่งใดกับคุณหนูหรือเจ้าคะ?” นางเฮ่อพูดออกไปโดยไม่ทันคิด เพียงแต่แค่คิดว่าระยะทางจากเมืองหลวงถึงเฟิ่งโจวแสนห่างไกล อีกทั้งตระกูลเสิ่นก็ยังเป็นหนึ่งในตระกูลสูงศักดิ์เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องคอยระมัดระวังอำนาจของตระกูลเว่ยมากนัก นางจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจ


                เว่ยฉางอิ๋งหมุนสร้อยข้อมือมรกตที่ข้อมือ ในใจรู้สึกสับสนจนยากเอ่ย ยามนางยังเล็กมาก จำไม่ได้ว่าได้ยินใครเคยหยอกล้อบอกตนว่าเสิ่นจั้งเฟิงคู่หมั้นของนางเป็นบุตรชายของนายทัพ ฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก จักต้องมีฝีมือเยี่ยมเป็นแน่ คู่หมั้นที่อ่อนแอปวกเปียกเช่นเว่ยฉางอิ๋ง หลังจากแต่งออกไป เกรงว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะสามารถผลักนางจนล้มลงไปได้ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว รอจนออกเรือนไปแล้วเกรงว่าจักต้องลำบากไม่เบาทีเดียว


                ครานั้นเว่ยฉางอิ๋งจำได้ลางเลือน รู้เพียงแต่ว่าคนที่เรียกว่าคู่หมั้นก็คือผู้ที่ต่อไปต้องอยู่ด้วยและต้องใช้ชีวิตด้วยกัน จะต้องอยู่ด้วยกันทั้งวัน… ทว่าคนผู้นั้นร้ายกาจถึงเพียงนั้น แค่เพียงนิ้วเดียวก็สามารถจัดการตนได้โดยที่ตนไม่ทันรับมือ แล้วจากวันนั้นจักต้องถูกตีสักกี่หน? นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเสียจริงๆ!


                เมื่อนึกย้อนกลับมา คำพูดนี้เป็นผู้ใดกล่าวนางเองก็ลืมไปแล้ว แต่กลับจำคำพูดนี้ได้อย่างแม่นยำนัก นางรบเร้าท่านย่าและท่านแม่อยากเอาเป็นเอาตายอยู่หลายวัน จึงทำให้พวกนางรับปากเชิญอาจารย์มาสอนนาง


                สิบกว่าปีมานี้นางร่ำเรียนและฝึกฝนอย่างยากลำบาก เริ่มแรกนั้นเพียงแค่มิให้ต้องถูกเสิ่นจั้งเฟิงรังแกในภายภาคหน้า แต่ภายหลังนางรู้สึกว่าตนเองเก่งกาจยิ่งขึ้นทุกวัน จึงรู้สึกว่าตนเองสามารถหันกลับมาเป็นฝ่ายรังแกเสิ่นจั้งเฟิงได้…


                ไม่ว่าจะเพื่อปกป้องตนเองก็ดี หรือว่าอาศัยวรยุทธ์วางอำนาจบาตรใหญ่ก็ช่าง นางไม่เหมือนซ่งไจ้สุ่ย นางไม่เคยคิดจะล้มเลิกสัญญาแต่งงาน


                บางทีอาจเป็นเพราะเสิ่นจั้งเฟิงไม่เหมือนกับตำหนักตะวันออกในยามนี้ จากข่าวคราวที่เล่าลือมาจากเมืองหลวง เขาเป็นผู้ที่มีความสามารถจริงๆ อาจเป็นเพราะเรื่องแต่งงานครั้งนี้กำหนดเอาไว้เสียตั้งนานแล้ว จึงทำให้นางรู้ว่าตนเองมีคู่หมั้นมาตั้งแต่อายุสามสี่ขวบ เมื่อเติบใหญ่ก็ต้องออกเรือนไป… เมื่อคิดได้ดังนี้นานวันเข้าจึงเกิดความเคยชิน นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าตนเองจะต้องแต่งเข้าบ้านตระกูลเสิ่น


                โดยสรุปแล้ว ตลอดสิบกว่าปีมานี้ ไม่ว่าจะมองว่าเป็นศัตรูหรือมองว่าเป็นสามีที่ตนฝันใฝ่ถึง ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากคนร่วมสายเลือดเดียวกันแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงเป็นเพียงผู้เดียวที่นางคอยคำนึงถึงอยู่ไม่ลืม… นางนึกมาโดยตลอดว่าชาตินี้ตนเองถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของคนผู้นี้ ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้ายกับตน ไม่ว่าวันหน้าทั้งสองคนจะรักใคร่กันหรือห้ำหั่นกัน สัญญาที่ประมุขทั้งสองตระกูลได้ทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็ได้กำหนดทุกสิ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว


                 เดิมทีปีหน้านางก็จะได้เห็นผู้ที่ตนเตรียมตัวป้องกันเอาไว้สิบกว่าปีและเฝ้าคอยคำนึงถึงมาสิบกว่าปีผู้นี้แล้ว… แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งล้วนเป็นดังลมพัดโหมฝนกระหน่ำ


                นางอาจไม่ได้แต่งออก หรือต่อให้แต่งออกไป ด้วยข่าวลือนานาที่เกิดขึ้นก่อนแต่งงาน จึงกลับมิรู้ว่าอีกฝ่ายจะมองนางเช่นไร และจะปฏิบัติต่อนางเช่นไร?


                เช่นนั้นแล้ว ไม่สู้ ไม่แต่งไปเสียเลยดีกว่า…


                แต่สิบกว่าปีที่เตรียมตัวและคอยคำนึงถึง แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเหลือทน  แต่ก็ยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาเช่นกัน แล้วประสาอะไรกับคนหนึ่งคน?


                และคนผู้นั้นยังเป็นคนที่นางคิดมาตลอดสิบกว่าปีมานี้ว่าจะเป็นสามีของนาง


                เว่ยฉางอิ๋งออกแรงขบริมฝีปากหนแล้วหนเล่า ตอบกลับไปด้วยเสียงงึมๆ งำๆ… หลังจากเรื่องของคนในจวนจิ้งผิงกง และผ้าสีขาวผืนนั้น นางก็ตระหนักแล้วว่ายามนี้ตนตกอยู่ในสภาพเช่นไร… แม้แต่คนในตระกูลยังหวังให้นางตาย เมื่อนางตายไปแล้ว ก็จักพิสูจน์ได้ว่าชื่อเสียงของตระกูลเว่ยยังคงสะอาดบริสุทธิ์ พวกสตรีล้วนยังคงยอมตายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์…


                ไม่แน่ว่าเมื่อนางตายแล้ว คนตระกูลเว่ยเหล่านั้น อาจจะยังพากันเล่าลือเรื่องแต้มพรหมจรรย์บนแขนนางออกไป เพื่อเป็นการพิสูจน์ความเด็ดเดี่ยวของสตรีตระกูลเว่ย ‘พวกเจ้าดูเอาเถิด แม้ความบริสุทธิ์ยังคงอยู่ แต่เพราะต้องไปอยู่ในป่ามาสองวัน แล้วถูกผู้คนคาดเดาไปในทางร้าย สตรีผู้นี้ก็ยังฆ่าตัวตาย… ช่างเป็นผู้ที่เคร่งครัดในธรรมเนียมของตระกูลเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องมากมายถึงเพียงนี้!”’


                แต่ว่า…


                เรื่องใดนางจะต้องตาย?! แรกเริ่มนั้นนางเป็นทุกข์ ด้วยการให้ร้ายใส่ความ ด้วยคำครหานินทา ด้วยความรังเกียจและหมางเหมินของพวกลูกผู้น้อง ด้วยความเข้าใจผิดและเสียงก่นด่าของเว่ยเกาอั้น… นางเป็นทุกข์เสียจนไม่อยากกินไม่อยากดื่ม เป็นความน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีทางจะไปแก้ต่าง ไม่มีทางจะไปพิสูจน์กับผู้ใดได้!


                แต่หลังจากเห็นผ้าขาวผืนนั้นแล้ว ความเคียดแค้นจากการถูกข่มเหงรังแกซึ่งสั่งสมมานานของเว่ยฉางอิ๋งก็พลันระเบิดออกจนหมดในทันใด!


                แม้การออกนอกเมืองไปส่งนั้นเป็นสิ่งที่นางร้องขอเอง แต่ทั้งไปกลับก็ล้วนนั่งในรถม้า ทั้งยังมีหมวกคลุมหน้า ไม่มีที่ใดที่ผิดธรรมเนียมผิดจารีตเลยแม้แต่น้อย! อีกประการ เมื่อย้อนนึกกลับไปยามนี้ วันนั้นเคราะห์ดีที่นางขอตามไปด้วย! เมื่อนางไป เจียงเจิงซึ่งรับหน้าที่สอนสั่งนางมาตั้งแต่เมื่อสิบสองปีก่อนจึงได้ไปด้วย… แม้จะบอกว่าเป็นเว่ยซินหย่งช่วยพวกนางเอาไว้ แต่หากไม่มีผู้คร่ำหวอดในยุทธภพเช่นเจียงเจิง หากตัวเว่ยฉางอิ๋งไร้ความสามารถจะต่อสู้ คนทั้งกลุ่มมีหรือจะยื้อเอาไว้ได้จนถึงยามที่กองหนุนของเว่ยซินหย่งตามมาทัน?!


                เรื่องที่นางตีเว่ยฉางเฟิงจนสลบและปลอมตัวไปตามนัดหมายแทนน้องชาย… หากให้โอกาสกับเว่ยฉางอิ๋งอีกหน นางก็ไม่มีทางเอาแต่ห่วงความปลอดภัยและชื่อเสียงของตน แล้วปล่อยให้น้องชายเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยเด็ดขาด!


                แล้วนางผิดที่ใด?


                ถือดีเยี่ยงไร คนเหล่านี้ต้องการรักษาธรรมเนียมและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลซึ่งแสนจะเลื่อนลอยไร้แก่นสาร เพื่อให้พวกเจ้าได้หน้าได้ตา ก็จักต้องให้ข้าตายเสียให้ได้?!


                พวกเข้าอยากให้ข้าตาย ข้าก็จะไม่ยอมตาย! ไม่เพียงไม่ตาย… ทุกคนที่อยากให้ข้าตาย ข้าก็จะจัดการให้พวกเจ้าตายไปเสียก่อนด้วยมือของข้าเอง!


                …ดังนั้น ยามนี้หาใช่เวลาจะมาเจ็บปวดด้วยเรื่องแต่งงานครานี้ไม่


                เว่ยฉางอิ๋งกำหมัดปิดปากตนเอาไว้ เนิ่นนาน นางจึงกล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจ ข้าน้อมรับการจัดการของท่านปู่และท่านย่า”


                ในขณะที่นางกำลังพูดอยู่ ฉินเกอก็เคาะประตู “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ซวงจูมาเชิญให้คุณหนูไปเจ้าค่ะ”


                … ครานี้ก็คือจะให้ไปพบกับคนบ้านเสิ่น?


                เว่ยฉางอิ๋งทั้งสะดุ้ง ทั้งตื่นตระหนก!


_______________________


[1] มวยผมทรงปีกหงส์ คือ ทรงผมที่ม้วนเป็นสองมวย และมีปลายค่อนข้างแหลม


[2] นกหลวน คือ นกฟีนิกซ์


[3] ดอกซานฉา คือ ดอกคาร์มีเสีย


[4] กลางยามซื่อ คือ เวลาประมาณ 10.00 น.

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม