เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 677-684

 ตอนที่ 677 สวมอย่างไร


 


 


ซูหลีอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นในใจของนางเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ


 


 


เสียดายที่นางรู้สึกว่าฉินเย่หานเป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชาชาญ นางจะรู้เสียที่ไหนกันว่ายามฮ่องเต้ทรงประสบกับเรื่องเช่นนี้ จะทรงมีท่าทางเช่นนี้ นาง…นางเกือบจะตกใจจนหมดสติไปแล้วนะ!?


 


 


“นี่จะทำอย่างไรดี” นางอดกลั้นความโกรธเอาไว้และเอ่ยด้วยเสียงต่ำ


 


 


ฉินเย่หานเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มที่อดกลั้นความโกรธของนาง ใบหน้าของนางแดงก่ำน่าดึงดูดใจยิ่งนัก ดวงตาดอกท้อไม่มีความเย็นชาและสุขุมเหมือนยามปกติ แต่กลับมีความเดือดดาลแฝงอยู่


 


 


เขาเห็นแล้วจึงค่อยๆ ฉีกยิ้มขึ้น


 


 


เขายิ้มบางๆ จากนั้นจึงหัวเราะอย่างสบายอกสบายใจ


 


 


ซูหลีถูกรอยยิ้มของเขาทำให้ตะลึงงัน เมื่อนางมีท่าทีตอบสนองก็อดเงยหน้ามองฉินเย่หานตาขวางมิได้ จะหัวเราะอะไรกัน ดูเหมือนเขากระทำเรื่องอะไรที่ทั้งสองคนควรจะอับอาย


 


 


ไม่สิ…


 


 


เป็นเรื่องที่นางควรอับอายโดยแท้


 


 


ใบหน้าของซูหลีแดงก่ำแล้วก็ซีดขาว ซีดขาวแล้วก็เขียวคล้ำ นางไม่คิดว่าตนจะมีวันนี้!


 


 


เสียงเล็กดังมาจากภายในห้องทรงอักษร ทำให้หวงเผยซานกับป๋ายถานผงะไป


 


 


หวงเผยซานตะลึงค้าง แต่ป๋ายถานผู้นั้นกลับผงะเล็กน้อย จากนั้นจึงแผดเสียงออกมาด้วยโทสะว่า


 


 


“หวงเผยซาน นี่เจ้าบอกว่าฝ่าบาททรงเหนื่อยล้ารึ ใครทำให้เจ้าใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ให้เจ้าที่เป็นเพียงข้ารับใช้คนหนึ่ง บังอาจปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้!?”


 


 


หวงเผยซานถูกเสียงเล็กแหลมของนางทิ่มแทงจนตัวสั่น คิดไม่ถึงว่าเล่อผินที่ดูอ่อนโยนในยามปกติ จะมีอีกด้านเช่นนี้


 


 


ในเวลานี้เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แม้เขาจะได้หน้ายามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ อย่างไรป๋ายถานก็เป็นนาย เขาเป็นบ่าว หากนางต้องการลงโทษ ก็เพียงแค่พูดประโยคเดียวเท่านั้น


 


 


“เจ้า…” ในขณะที่ป๋ายถานต้องการพูดอะไรบางอย่างออกมา กลับได้ยินน้ำเสียงที่เย็นยะเยียบดุจน้ำแข็งเอ่ยว่า


 


 


“เราอนุญาตเอง!”


 


 


เสียงคำพูดนี้เอ่ยออกมาดังมาก ทำให้พวกเขาได้ยินอย่างชัดเจน


 


 


ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างกะทันหันนี้ ทำให้หวงเผยซานกับป๋ายถานทั้งสองคนไม่ค่อยเข้าใจความหมายของฉินเย่หานเท่าไรนัก


 


 


“หวงเผยซาน”


 


 


ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังอ้ำอึ้ง พลันได้ยินเสียงมาจากด้านในอีกครั้ง


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานรีบขานรับ


 


 


“ให้นางกลับไป”


 


 


น้ำเสียงที่ดังออกมาจากห้องทรงอักษรนี้มีความเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งกระทบเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจของป๋ายถาน


 


 


ใบหน้าของป๋ายถานแข็งกระด้าง นางคิดไม่ถึงว่าสิ่งนางที่รออยู่จะเป็นคำพูดประโยคนี้!


 


 


อีกทั้งยังถูกฉินเย่หานพูดต่อหน้าห้องทรงพระอักษรและพูดต่อหน้าบ่าวที่เฝ้าปรนนิบัติติดตามฉินเย่หาน


 


 


“เหนียงเหนียง!” เมื่อชำเลืองเห็นสีหน้าผิดปกติของป๋ายถาน สาวรับใช้ที่นางพามาด้วยคนหนึ่งก็เรียกนางด้วยเสียงแผ่วเบา


 


 


ป๋ายถานจ้องมองนางด้วยใบหน้าแข็งกระด้าง มือทั้งสองจิกที่กลางฝ่ามือของตนเองอย่างรุนแรงคล้ายกับต้องการทำให้ฝ่ามือของนางถูกทิ่มแทงจนทะลุก็มิปาน


 


 


“…หม่อมฉันทูลลาเพคะ” แม้นางจะมีสภาพจิตใจดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะทนรับฟังคำพูดประโยคนี้จากชายคนรักได้ ป๋ายถานหมุนกายออกไปจากห้องทรงพระอักษรด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ


 


 


หลังจากนางเดินออกไป หวงเผยซานก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขาชำเลืองมองเงาจากทางด้านหลังของป๋ายถานที่ยังเชิดหน้าสูงเอาไว้


 


 


มีประกายความซับซ้อนพาดผ่านในดวงตาของหวงเผยซาน ก่อนเล่อผิงเหนียงเหนียงท่านนี้จะเข้ามาอยู่ในวัง นางเป็นสตรีอันเป็นที่รักแห่งสวรรค์… น่าเสียดายที่ไม่ใช่นาง อีกทั้งเป็นเพราะนางมีความมั่นใจในตนเองจนเกินไป จึงทำให้นางรู้สึกว่าฮ่องเต้ทรงมีท่าทีต่อนางเปลี่ยนไป


 


 


หวงเผยซานอยู่ข้างกายฮ่องเต้มาตลอดหลายปีขนาดนี้ ทว่ากลับไม่เคยเห็นฮ่องเต้มีพระทัยเมตตาต่อสตรีนางไหน


 


 


แน่นอนว่า…


 


 


ผู้ที่อยู่ข้างในนั้น ไม่นับรวมอยู่ในนั้นด้วย


 


 


ในเวลานี้ คนที่อยู่ในนั้นกลับเป็นดังเปลวไฟโดยแท้


 


 


ตุบ! นางโยนเศษผ้าลงบนโต๊ะ ในตานั้นมีเพลิงโทสะแผดเผาอยู่


 


 


“นี่จะสวมใส่ได้อย่างไร!? หรือจะให้ข้าออกไปเช่นนี้”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 678 เล่นหูเล่นตา


 


 


เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากที่ซูหลีจะโมโหต่อหน้าฉินเย่หาน


 


 


ฉินเย่หานจะเหลวไหลเกินไปแล้ว!


 


 


ห้องทรงอักษรเป็นสถานที่แห่งใดกัน นางมีตำแหน่งเป็นอะไรกัน นึกไม่ถึงเลยว่า…นึกไม่ถึงเลย!


 


 


ซูหลีหวนสติกลับคืนมา นางยังรู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นรัว ในเวลานี้นางสวมเสื้อป้ายตัวในเรียบร้อยแล้ว ฉินเย่หานไม่ได้ฉีกเสื้อป้ายตัวในของนางจนขาด ทว่าก็ไม่ได้ดีอะไรนัก!?


 


 


นางโมโหเป็นอย่างมาก!


 


 


ฉินเย่หานมองนางอยู่หลายปราด เขาเพียงพบว่านางเพียงโมโหโดยไม่สนใจตนเลยสักนิด ภายในสายตาเคร่งขรึมและเก็บความรู้สึกของฉินเย่หานกลับมีความอารมณ์ขันพาดผ่าน มีเพียงแค่เวลานี้เท่านั้นที่ซูหลีดูคล้ายกับสตรีธรรมดา


 


 


“หวงเผยซาน” ในขณะที่ตกอยู่ในความเงียบ ฉินเย่หานพลันเปิดปากเรียกหวงเผยซานที่อยู่ด้านนอก


 


 


“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เรื่องของป๋ายถานก่อนหน้าดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบต่อหวงเผยซานอะไรนัก เขารีบขานรับอย่างนอบน้อม


 


 


“หาอาภรณ์มาชุดหนึ่ง”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


แม้ซูหลีจะไม่มองฉินเย่หาน ทว่านางก็หูผึ่งคอยฟังว่าฉินเย่หานจะทำอะไรต่อ ยังดีที่ฉินเย่หานไม่ได้เหลวไหลเกินไป สุดท้ายก็ให้นางไปสวมเสื้อผ้า


 


 


ทว่า…


 


 


ทันทีที่ซูหลีครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ ก็รู้สึกว่าสมองของตนปวดไปหมด คล้ายกับเลือดกำลังไหลขึ้นไปแล่นในสมอง


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน!


 


 


“เรื่องของเฉิงเค่อ” ในขณะที่กำลังอ้ำอึ้ง จู่ๆ ก็ได้ยินฉินเย่หานที่อยู่ด้านข้างเปิดปากเอ่ย


 


 


ซูหลีผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงแหงนศีรษะมองเขา


 


 


กลับเห็นดวงตาที่ลุ่มลึกดุจมหาสมุทรที่กำลังจ้องนางตาไม่กะพริบ หาได้หลงเหลือความอบอุ่นเหมือนกับเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย


 


 


“จักต้องตรวจสอบให้ชัดเจน”


 


 


“…พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีขยับริมฝีปาก สุดท้ายจึงขานรับ เพียงแต่ในใจของนางมีความโกรธแค้นอยู่บ้าง ในใต้หล้านี้คงไม่มีสตรีผู้ใดที่ต้องความอดกลั้นเท่านางแล้วกระมัง


 


 


เมื่อปรนนิบัติเสร็จแล้ว ยังต้องรับคำสั่งที่เขาสั่งให้ไปกระทำอย่างมีความสุขอีก


 


 


สามารถใช้คำว่าอุทิศตัวเองทั้งหมดมาบรรยายได้หรือไม่


 


 


นางพลันรู้สึกสะเทือนใจกับการอุทิศตัวของตนเอง


 


 


“หากมีเรื่องอะไร ขอเพียงรายงานขึ้นมา เราจะเป็นผู้รับผิดชอบแทนเจ้าเอง” อย่างไรก็ตาม เมื่อซูหลีรู้สึกอารมณ์ไม่ดีอย่างมากในใจ ฉินเย่หานซึ่งมักเป็นเหมือนก้อนน้ำแข็งกลับเอ่ยประโยคเช่นนี้เสริมขึ้น


 


 


มีประกายความตกใจพาดผ่านในดวงตาของซูหลี ทว่าสิ่งที่มีมากกว่าก็คือความหวาดหวั่นในใจ


 


 


ฮ่องเต้ผู้มีพระพักตร์เย็นชาผู้นี้ดูแล้วก็ไม่ใช่คนที่ปรนนิบัติยากอะไรขนาดนั้นนี่นา! อย่างน้อยเขาก็รู้จักปกป้องซูหลีจากเรื่องนี้


 


 


ที่จริงซูหลีนั้นเข้าใจดีว่า ของสิ่งนี้ก่อความวุ่นวายขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่แน่เบื้องหลังอาจมีอะไรพิลึกพิลั่นปิดซ่อนอยู่ก็ได้ ทว่านางก็ต้องกระทำ


 


 


ไม่ใช่เพื่อราษฎรในใต้หล้า แต่เพื่อให้นางสามารถยืนอยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้อย่างมั่นคง


 


 


เมื่อมีคำพูดประโยคนี้ของฉินเย่หาน นางก็สามารถไปจัดการอย่างวางใจได้แล้ว


 


 


อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครต้องการลอบทำร้ายนางในมุมมืด


 


 


ดังนั้นสำหรับซูหลีแล้ว การพูดรับปากของฉินเย่หาน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการมาห้องทรงอักษรในวันนี้


 


 


หลังจากนางใคร่ครวญแล้วจึงรีบคำนับและเอ่ยว่า “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


 


 


“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณเรา” คิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะจ้องนางตาไม่กะพริบ ในดวงตาเต็มไปด้วยความมืดหม่นและเอ่ยว่า “หากคราหน้า เจ้ากล้าที่จะเล่นหูเล่นตากับคนอื่นบนท้องพระโรง ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแล้ว!”


 


 


ซูหลีตะลึงงัน…


 


 


เล่นหูเล่นตา!


 


 


นี่เป็นการต้องโทษทั้งที่ไม่ได้กระทำโดยแท้!


 


 


นางไปเล่นหูเล่นตาเล่นตากับคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!


 


 


นางก็แค่คิดเช่นนี้ในใจ ทว่าหลังจากได้ยินแล้วกลับรีบผงกศีรษะ


 


 


ดูเหมือนว่าที่ฉินเย่หานปฏิบัติต่อนางเมื่อครู่นั้น จะเป็นเพราะเรื่องของนางกับเซี่ยอวี่เสียน


 


 


ช่างเถอะ เขาจะพูดอะไรก็แล้วแต่ นางแค่ฟังก็เท่านั้น เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาอารมณ์ไม่ดีและกระโจนเข้ามาอีก…


ตอนที่ 679 หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท


 


 


ซูหลีมีความคิดที่อยากจะตายโดยแท้!


 


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องรอให้ถึงเวลานั้น


 


 


หวงเผยซานเรียกสาวใช้สองคนมาอาบน้ำแต่งตัวให้ซูหลี ทันทีซูหลีเห็นเสื้อผ้าที่ทางนั้นส่งเข้ามา นางก็อยากจะตายเสียจริง


 


 


ชุดอาภรณ์ของสตรี!


 


 


ชุดอาภรณ์ของสตรีอีกแล้ว!


 


 


ซูหลีกระตุกที่มุมปาก จากนั้นจึงยกชุดอาภรณ์สตรีที่ประณีตขึ้นมามองปราดหนึ่ง จากนั้นจึงมองดูถาดไม้สีแดงที่สาวใช้ถืออย่างจริงจังและเอ่ยว่า


 


 


“ไม่มีอาภรณ์บุรุษหรือ”


 


 


“ใต้เท้าซูโปรดให้อภัย!” ทันทีที่สาวใช้ผู้นั้นได้ยินคำพูดของนาง จึงรีบคำนับด้วยสีหน้าว้าวุ่น


 


 


เมื่อคิดก็ว้าวุ่นใจ คนตรงหน้าเห็นได้ชัดว่าเป็นสตรี ทว่านางกลับเรียกซูหลีว่าใต้เท้าซู


 


 


“นี่เป็นคำสั่งของหวงกงกงเจ้าค่ะ!”


 


 


ซูหลีทราบดีว่าหวงเผยซานหาได้มีใจกล้าบ้าบิ่นถึงขนาดนำอาภรณ์ชุดนี้มาให้นางสวมใส่ นี่จักต้องเป็นคำสั่งของฮ่องเต้อย่างแน่นอน


 


 


ทว่านางไม่อยากจะใส่อาภรณ์ชุดนี้…


 


 


หลังจากซูหลีชะงักไปครู่หนึ่ง ในใจต่อสู้กันอยู่นาน สุดท้ายก็ผงกศีรษะได้อย่างขมขื่น


 


 


นางทราบดีว่าหากแต่งเป็นสตรีออกไปถือว่าเหมาะสมที่สุด เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ก่อนหน้านี้ที่ป๋ายถานอยู่ด้านนอกของประตู นางก็ได้ยินเสียงของสตรีแล้ว หากในเวลานี้นางแต่งตัวเป็นบุรุษออกไปจักต้องทำให้คนสงสัยอย่างแน่นอน


 


 


หากแต่งเป็นสตรีก็แตกต่างกันไป


 


 


อีกทั้งคนที่นำชุดมาส่งนี้ก็เห็นได้ชัดว่า คิดอย่างรอบคอบมาก แม้กระทั่งผ้าคลุมหน้าก็เตรียมทุกอย่างให้ซูหลีเรียบร้อยแล้ว


 


 


นอกจากจะยินยอม ซูหลียังจะสามารถทำอะไรได้อีกกัน


 


 


นอกจากยินยอม?


 


 


อาภรณ์ชุดนี้งดงามเป็นอย่างมาก และยังอาภรณ์ตามแบบฉบับของซูหลี เมื่อแต่งตัวและเกล้าผมให้นางเสร็จ แม้แต่สาวใช้ผู้นั้นก็ไม่กล้าชำเลืองมองนางโดยตรง


 


 


นางเพียงรู้สึกว่าใต้เท้าซูท่านนี้มีรูปโฉมงดงามเป็นอันดับต้นๆ ส่วนอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่เพียงดวงตารูปดอกท้อนั้นดูมีเสน่ห์เย้ายวน ทันทีที่ช้อนสายตาขึ้นก็สามารถดูดพลังชีวิตของคนเป็นๆ ไปได้!


 


 


“เสร็จแล้ว เช่นนั้นก็ออกไปเถอะ” เดิมซูหลีอยากที่จะผูกผ้าคลุมหน้าขึ้นมาทันที ทว่าหลังจากนางยกมือขึ้นกลับชักมือลง


 


 


ในเมื่อฝ่าบาททรงตั้งพระทัยให้นางแต่งตัวเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็จะแต่งตัวเช่นนี้ให้เขาดู


 


 


วันนี้ผ้าพันหน้าอกของนางถูกฉีกขาดพอดี และประสิทธิผลของยาปลอมตัวได้สลายหายไปอย่างสมบูรณ์หลังจากที่นางกับฉินเย่หานมีอะไรกันแล้ว จึงเป็นการสวมอาภรณ์บนร่างสตรีอย่างแท้จริง


 


 


เมื่อซูหลีคิดดังนั้น จึงหยิบผ้าคลุมหน้ามาไว้ในมือ จากนั้นเดินออกไปด้านนอก


 


 


“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” น้ำเสียงออดอ้อนของสตรีและมีความอ่อนหวานชวนให้คล้อยตาม อีกทั้งมีความนุ่มนวลอย่างบอกไม่ถูก เดิมฉินเย่หานกำลังนั่งอ่านราชฎีกา เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้วก็แหงนศีรษะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


ทันทีที่ชำเลืองมองก็มิอาจละสายตาของตนออกมาได้


 


 


คนที่อยู่ตรงหน้านี้ สวมเสื้อกันหนาวที่ทอด้วยไหมแดง บนชุดนั้นปักลวดลายร้อยวิหคคำนับพญาหงษ์ ส่วนท่อนล่างนั้นสวมกระโปรงทรงสุ่มสีขาวดุจหิมะ เห็นเพียงแค่ปลายเท้าเล็กๆ เท่านั้น ส่วนผมนั้นเกล้าเป็นทรงตกหลังม้า[1] ด้านข้างผมมวยปักด้วยปิ่นแก้วรูปนกกางเขนเกาะกิ่งเหมย ทั้งยังมีไข่มุกเป็นพู่ยาวระย้าลงมา


 


 


พู่ระย้าบนปิ่นปักผมพลิ้วไหวไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของนาง ยิ่งขับให้ใบหน้าของนางดูมีเสน่ห์เย้ายวนมากยิ่งขึ้น


 


 


ดวงตารูปดอกท้อที่น่าเย้ายวนใจค่อยๆ ช้อนขึ้น จนเห็นดวงตาสีดำสนิทแต่เป็นประกายแวววาว เป็นแสงแพรวพราวดุจแสงดาว ดูฉลาดแพรวพราวเป็นอย่างมาก


 


 


น้อยครั้งที่ฉินเย่หานจะจ้องมองสตรีอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ ทว่าการปรากฏตัวของซูหลีทำให้เขาต้องมองแล้วมองอีกและเป็นการยากที่จะละสายตาจากนาง


 


 


ซูหลียืนห่างจากเขามาก แต่ก็รู้ว่าเขายังมองนางอยู่


 


 


นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนที่จะรอให้เขาพูดนางก็ลุกขึ้นยืนมองเขาด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มและเอ่ยว่า “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องต้องไปกระทำ จึงไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อเพคะ”


 


 


“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวลาแล้วเพคะ” แม้พูดว่าขอตัวลา กลับชำเลืองตาขึ้นมอง


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ทรงตกหลังม้า เป็นการเกล้ามวยผมในราชวงศ์ฮั่น ทรงตกม้าเป็นทรงผมหนึ่งที่มวยผมเอียงอยู่ด้านข้าง ลักษณะคล้ายกำลังตกหลังม้า


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 680 หยุดเดี๋ยวนี้!


 


 


เพียงเห็นดวงตาที่เดิมมีเสน่ห์เป็นอย่างมากของซูหลี ในเวลานี้กลับมีกลิ่นอายบางอย่างบอกไม่ถูก


 


 


หากคนอื่นจ้องมองนางคงจะดีกว่านี้ ดวงตาของฉินเย่หานพลันเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้นทันใด


 


 


เขาต้องการแม้กระทั่งอยากจะจับนาง และ…


 


 


“หม่อมฉันขอตัวลาเพคะ” คิดไม่ถึงว่าเขาจ้องนางตาไม่กะพริบเช่นนี้ นางกลับแย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้กับเขา จากนั้นจึงนำผ้าคลุมหน้าที่อยู่ในมือสวมขึ้น หลังจากค่อยๆ คำนับเขาครั้งหนึ่ง นางก็หมุนกายออกจากที่นี่


 


 


“…” ฉินเย่หานยังคงนิ่งเงียบ


 


 


ตลอดทางที่ซูหลีเดินออกจากห้องทรงอักษร นางยังรู้สึกว่าด้านหลังของนางมีสายตาที่ร้อนแรงเป็นอย่างมากคอยจับจ้องอยู่ คล้ายกับจะกลืนกินนางทั้งร่างก็มิปาน


 


 


นางถอนหายใจออกมาอย่างเบาใจ สีหน้าเปลี่ยนเป็นดีขึ้นกว่าเดิม


 


 


ดูแต่กินไม่ได้ นี่ถือเป็นสิ่งตอบแทนที่นางมอบให้แก่ฉินเย่หานในวันนี้!


 


 


ซูหลียกยิ้มหัวเราะขึ้น ดวงตารูปดอกท้อหยีลงเล็กน้อย ช่างยั่วเย้าอย่างบอกไม่ถูก


 


 


“ถวายบังคมท่านอ๋อง!” ทว่าไม่รอให้นางหัวเราะนาน พลันได้ยินเสียงเช่นนี้ดังขึ้น


 


 


ซูหลีตกใจวาบในทันที จากนั้นจึงแหงนศีรษะขึ้นมองก็พบกับฉินม่อโจวกับจี้เหิงหรานทั้งสองคนกำลังเดินตามกันมาทางนาง


 


 


ไม่ใช่การเดินมาทางนี้ ควรจะกล่าวว่า กำลังเดินไปยังห้องทรงอักษรที่อยู่ด้านหลังของนาง


 


 


“…” ซูหลีตะลึงงัน


 


 


นี่ยังไม่ให้นางมีความสุขสักเท่าไหร่ ก็มีเรื่องเช่นนี้โผล่มาอีก ในเวลานี้นางสวมอาภรณ์เช่นนี้อยู่


 


 


ซูหลีถึงกับปวดหัวขึ้นมาทันที นางอยากจะหลบทั้งสองคนนี้ ทว่าทันทีที่หมุนกายไปกลับพบว่าบริเวณนี้นั้นว่างเปล่า หาได้มีที่ให้นางซ่อนตัวไม่


 


 


อีกทั้งนางแต่งตัวมิเหมือนกับสาวใช้ภายในวัง คนที่เฉลียวฉลาดแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่านางไม่ใช่สาวใช้ในวัง


 


 


กอปรชุดอาภรณ์สีแดงสดทั้งชุดนี้…


 


 


ในเวลานี้ซูหลีกลับกลายเป็นเป้าสายตาในบริเวณหน้าห้องทรงอักษรมากที่สุด!


 


 


“นี่ใครกัน” เสียงของฉินม่อโจวดังมากนั้นด้านหน้า สีหน้าของซูหลีจึงเปลี่ยนไปในทันที ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้นางจึงทำได้เพียงก้มศีรษะของตนลง ไม่กล้าสบตากับฉินม่อโจว


 


 


“นี่…” คนที่เดินนำฉินม่อโจวกับจี้เหิงหรานทั้งสองคนมา ก็คือขันทีผู้น้อยคนหนึ่ง เมื่อเห็นสตรีผู้หนึ่งปรากฏตัวที่นี่อย่างกะทันหัน เขาก็อ้ำอึ้งไปทันที


 


 


ซูหลีก่นด่าฉินม่อโจวอยู่ในใจหลายประโยค ในยามปกติไม่เห็นว่าเขาจะสายตาดีขนาดนี้ ทว่าในเวลานี้สายตากลับดีนัก ทันทีที่เดินมาก็เห็นนางเป็นคนแรก!


 


 


“หม่อมฉันถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ” นางกัดฟันไม่ปล่อยให้ขันทีผู้นั้นเปิดปากเอ่ย กลับเป็นคนส่งเสียงออกมาเอง


 


 


ดีที่เสียงของนางกับเสียงของซูหลีในความทรงจำของฉินม่อโจวแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางดูมีเสน่ห์เย้ายวน แม้แต่น้ำเสียงยังอ่อนหวานจนถึงขีดสุด ไม่เหมือนเสียงที่ทุ้มต่ำของซูหลีเลยสักนิด


 


 


ฉินม่อโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่แทนตัวเองว่าหม่อมฉัน ไม่ใช่คนในวังแน่แท้ เช่นนั้นทำไมถึงรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก


 


 


ในขณะที่เขาคิดจะสอบถาม คิดไม่ถึงว่าจะเห็นสตรีก้มศีรษะมองปลายเท้าของตนเองโดยตลอด ฉินม่อโจวขมวดคิ้วและเอ่ยว่า


 


 


“เงยหน้าขึ้น!”


 


 


ซูหลีชะงัก


 


 


จะเงยหน้าขึ้นทำไมกัน!


 


 


ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจี้เหิงหรานไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่ที่นี่เป็นห้องทรงอักษร ไม่มีใครทราบเรื่องท่าทีที่ฮ่องเต้ทรงปฏิบัติต่อสตรีทั่วไปได้ชัดเจนเท่าเขาแล้ว


 


 


ดังนั้นนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่เขาจะเกิดความสงสัย และจ้องมองไปที่ซูหลี


 


 


สายตาของทั้งสองคนนี้ทำให้ซูหลีกดดันเพิ่มขึ้นทวีคูณ


 


 


นางพลันรู้สึกว่าอย่าได้สนใจเรื่องธรรมเนียมมารยาทอะไรนัก สามารถออกไปได้ก็ควรจะรีบไปก่อน


 


 


“หม่อมฉันมีเรื่องด่วน ขอทูลลาเพคะ” นางถอนสายบัวให้กับทั้งสองคน ขณะที่ก้าวเท้าอยากที่จะออกไปจากตรงนี้


 


 


คิดไม่ถึงว่าเพียงก้าวออกไปก้าวเดียว…


ตอนที่ 681 ซูหลี!


 


 


เมื่อชำเลืองคนที่อยู่ด้านข้างก็ขยับตามมาทางนี้ก้าวหนึ่งเช่นกัน


 


 


ซูหลีแอบกัดฟันจ้องมองยังรองเท้าปักลวดลายงูหลายปราด มองจนของสิ่งนี้แทบจะทะลุออกมา


 


 


“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้ายังพูดไม่จบ ใครอนุญาตให้เจ้าออกไปกัน!?” ฉินม่อโจวยิ่งมองอากัปกิริยาเช่นนี้ของนาง เขายิ่งรู้สึกสงสัย จากนั้นจึงเอ่ยตำหนิด้วยเสียงเยียบเย็น


 


 


ในเวลานี้ซูหลีไม่อยากพูดคุยกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาขวางทางอยู่ตรงนี้ นางก็เดินไปอีกทางก้าวหนึ่งและหวังว่าตนจะสามารถก้าวข้ามผ่านท่านอ๋องผู้วุ่นวายเรื่องของผู้อื่นไปได้


 


 


คิดไม่ถึงว่ารองเท้าลวดลายงูที่สมควรตายคู่นั้น จะปรากฏอยู่ตรงหน้าซูหลี


 


 


“…” ซูหลีจนปัญญา


 


 


นี่เขาจงใจจะมีปัญหากับนางนี่นา!


 


 


“ให้พูดอย่างชัดเจน ห้องทรงอักษรนี่เป็นสถานที่ใด มันใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาเดินเพ่นพ่านได้ที่ไหนกัน” น้ำเสียงของฉินม่อโจวเต็มไปด้วยความเย็นชา


 


 


ซูหลีสูดลมหายใจเข้าลึก นี่เขาเป็นคนเขลาหรือไม่


 


 


หากนางมีอะไรผิดปกติจริง ที่นี่ล้วนมีทหารลาดตระเวนและผู้ดูแลภายในวังเต็มไปหมด นางจะสามารถเดินมาที่นี่อย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน


 


 


ทว่าคำพูดนี้นางไม่อาจพูดออกมาได้


 


 


นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นจึงเงยหน้าขึ้น


 


 


การที่นางเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ฉินม่อโจวกับจี้เหิงหรานทั้งสองคนคาดไม่ถึง โดยเฉพาะฉินม่อโจว เขาจึงสบตากับซูหลีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว


 


 


เขาผงะเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกมาก็เห็นซูหลีหลบตาลงอย่างรวดเร็วถอนสายบัวและเอ่ยว่า


 


 


“หม่อมฉันมีที่มาอย่างไร ท่านอ๋องโปรดไปถามฮ่องเต้ด้วยพระองค์เถิดเพคะ กระหม่อมมีเรื่องต้องไปกระทำ ขอประทานอภัยที่ไม่อาจอยู่คุยด้วยได้!”


 


 


พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินออกไป ไม่สิควรจะเรียกว่าก้าวท้าววิ่งออกไป


 


 


อีกทั้งยังถลกกระโปรงของตนเองและวิ่งออกไป!


 


 


“…” ฉินม่อโจวตลึงงัน


 


 


สตรีคนนี้มาจากที่ไหนกัน ถึงได้เดินผิดที่ผิดทางที่นี้!


 


 


เขาไม่เคยเห็นคนเช่นนี้มาก่อน!


 


 


มิหนำซ้ำเมื่อครู่ซูหลีเพียงเงยหน้าขึ้นมาเพียงครู่เดียว เขาจึงไม่สามารถเห็นรูปโฉมของซูหลีได้อย่างชัดเจน ในหัวของเขาเพียงจดจำได้แต่ดวงตาที่เป็นประกายดุจแสงดาวคู่นั้น ช่างสวยงามยิ่ง


 


 


สตรีที่มีดวงตาเช่นนี้ จักต้องเป็นโฉมสะคราญอย่างแน่แท้


 


 


เสียดายที่นางสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ดังนั้นฉินม่อโจวจึงมองไม่เห็นความงามนี้


 


 


ดวงตาของฉินม่อโจวมีประกายความเสียดายพาดผ่าน ในใจกำลังครุ่นคิดถึงแต่ซูหลี เขาจึงไม่ได้สังเกตจี้เหิงหรานที่อยู่ด้านข้าง หลังจากเห็นซูหลี สีหน้าของจี้เหิงหรานจึงมีความตกตะลึง


 


 


เมื่อครู่แม้ฉินม่อโจวยังเห็นไม่ชัดเจน ทว่าจี้เหิงหรานกลับเห็นอย่างแจ่มแจ้ง!


 


 


จี้เหิงหรานมีข้อบกพร่องจุดหนึ่ง ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าข้อบกพร่อง ควรจะเรียกว่าพรสวรรค์


 


 


เขามีความสามารถในการจดจำใบหน้าของคนที่เคยผ่านตา


 


 


ไม่ว่าจะเห็นเพียงครั้งหนึ่งหรือคนที่พบเห็นทุกวัน เขาสามารถจดจำไว้ในใจได้อย่างเหนียวแน่น ดังนั้นช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวที่สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา เขาก็จำคนผู้นั้นได้ทันที!


 


 


ซูหลี!


 


 


คิดไม่ถึงว่าจะเป็นซูหลี!


 


 


แม้สตรีผู้นั้นจะสวมผ้าคลุมหน้าปิดบังใบหน้าไว้มากกว่าครึ่ง ทว่าจี้เหิงหรานก็ไม่มีทางมองผิด ดวงตารูปดอกท้อครู่นั้นโดดเด่นเกินไป เหมือนดวงตาของซูหลีในความทรงจำของเขาราวกับแกะ แม้แต่เปลือกตาที่กะพริบขึ้นช้านั้นก็ยังเหมือนกัน


 


 


ในใจของจี้เหิงหรานนั้นทราบดีว่า แม้คนบนโลกใบนี้จะมีความคล้ายคลึงกันถึงขนาดไหน ทว่าก็ไม่มีทางที่จุดอันเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเหมือนกันเช่นนี้


 


 


แม้แต่ฝาแฝดก็ยังไม่สามารถคล้ายคลึงกันได้ขนาดนี้


 


 


นอกเสียจากคนทั้งสองคนจะเป็นคนเดียวกัน


 


 


ซูหลี…


 


 


น้ำเสียงเมื่อครู่นี้ อากัปกิริยานั้น และรูปร่าง!


 


 


เห็นได้ชัดว่าเป็นร่างของสตรี!


 


 


ใบหน้าของจี้เหิงหรานตกตะลึงพรึงเพริด ในเวลานี้เขาไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรออกมาดี


 


 


เดิมในช่วงเวลานี้ เขาคิดวิถีทางเพื่อจะนำเย่ว์ลั่วออกมาจากข้างกายซูหลี


 


 


นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงอันเลื่องลือของซูหลี…


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 682 ลากมาเป็นพรรคพวก


 


 


คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายสิ่งที่เขารู้ก็คือ เดิมซูหลีนางเป็นสตรี!


 


 


นี่…


 


 


นี่เป็นการตบตาระดับไหนกัน!


 


 


ทว่าแม้จะตบตาอย่างไรจี้เหิงหรานก็เชื่อมั่นว่าการคาดการณ์ของตนไม่มีทางผิดพลาด สตรีที่ซอยเท้าไปอย่างรวดเร็วเมื่อครู่จักต้องเป็นซูหลีอย่างแน่นอน!


 


 


บัณฑิตถ้านฮวาของราชสำนักผู้ที่มีชื่อเสียงขจรทั่วหล้า ใต้เท้ากลับเป็นสตรีผู้หนึ่ง!


 


 


ไม่รู้ว่าหากคนใน ท้องพระโรงเหล่านั้นทราบเรื่องนี้แล้ว จะมีท่าทีอย่างไรกัน!


 


 



 


 


ณ ตำหนักซีซา


 


 


“เป็นอย่างไร ได้ยินข่าวอะไรมาหรือไม่” สีหน้าของป๋ายถานดูย่ำแย่จนถึงขีดสุด หาได้มีกิริยาท่าทางสวยเพรียบพร้อมและอบอุ่นเหมือนยามปกติเลยแม้แต่น้อย


 


 


ขันทีผู้น้อยคุกเข่าอยู่ที่พื้นได้ยินดังนั้น จึงรีบเอ่ยว่า “ทางห้องทรงอักษรนั้น คนของเราไม่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ ข้าน้อยก็ไม่กล้าเข้าไปในบริเวณนั้น จึงทำได้เพียงจับตามองอยู่ห่างๆ พ่ะย่ะค่ะ…”


 


 


“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง!?” ป๋ายถานอดกลั้นต่อไปไม่ไหว จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา


 


 


“ทูลเหนียงเหนียง หลังจากเหนียงเหนียงเสด็จออกไป ข้าน้อยก็คอยเดินสำรวจตามถนนด้านนอกของห้องทรงอักษรอยู่ตลอด รออยู่นานถึงได้เห็นไหวอ๋องและใต้เท้าจี้เดินไปทางห้องทรงอักษร จากนั้นผ่านไปพักหนึ่งก็เห็น…ก็เห็นสตรีชุดแดงผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องทรงอักษรพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ป๋ายถานกำมือแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ และเอ่ยว่า “เจ้าเห็นรูปโฉมของนางหรือไม่”


 


 


“ไม่เห็นพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีผู้นั้นส่ายศีรษะไปมา จุดที่เขายืนอยู่ไกลออกไป จึงไม่เห็นหน้าตาของสตรีผู้นั้น อีกทั้ง…


 


 


“ข้าน้อยยืนอยู่ไกลมาก จึงไม่สามารถเห็นรูปโฉมของนางได้ อีกทั้งบนหน้าของสตรีผู้นั้นยังมีผ้าคลุมหน้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ! นางออกไปอย่างรวดเร็ว กระหม่อมยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง สตรีผู้นั้นก็หายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


หากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง ขันทีผู้นี้คงคิดว่าตนเองเกิดความรู้สึกหลอนไปเสียแล้ว!


 


 


ป๋ายถานได้ยินดังนั้น สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปจนมิอาจคาดเดาได้และดูไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“พอแล้ว เจ้าออกไปเถอะ!” คนที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินคำพูดของขันทีผู้นี้ จึงโบกมือบอกให้เขาออกไป


 


 


“ท่านพ่อ…” คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือป๋ายไต้ซือ บิดาแท้ๆ ของป๋ายถาน!


 


 


“เรื่องของสตรีผู้นี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ!” ป๋ายไต้ซือลูบที่เคราของตนเอง จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ


 


 


หลังจากป๋ายถานได้ยินคำพูดของบิดา สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นย่ำแย่กว่าเดิม


 


 


ป๋ายไต้ซือเห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจจึงมีความไม่เข้าใจนัก ตั้งแต่ป๋ายถานเข้ามาอยู่ในวัง ยังไม่เคยได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทว่าบัดนี้ กลับมีสตรีจากที่ไหนปรากฏตัวขึ้นมา และยังกระทำเรื่องเช่นนั้นในห้องทรงอักษรกับฮ่องเต้อีก…


 


 


ป๋ายถานถูกเลี้ยงดูแบบประคบประหงมโดนเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เล็ก เป็นธรรมดาที่จะไม่ยินยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปได้โดยไม่ครุ่นคิดอะไร


 


 


ทว่าบัดนี้ พวกเขาไม่ควรสนใจเรื่องของสตรีอะไรนั่น ยังมีเรื่องที่อยู่ตรงหน้าที่ต้องจัดการอีกมากมาย หากจัดการไม่เรียบร้อย เกรงว่า…


 


 


“อย่าเพิ่งสนใจว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นใคร ปล่อยเรื่องนี้ไว้ก่อน ส่วนซูหลี พวกเราจักต้องลากเขามาเป็นพรรคพวก!” ป๋ายไต้ซือเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


ป๋ายถานได้ยินดังนั้นจึงดึงสติกลับมา นางมองไปที่บิดาของตนปราดหนึ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าทะมึนตึงว่า “หากท่านพ่อต้องการลากซูหลีมาเป็นพรรคพวก ลูกก็พอเข้าใจ เพียงแต่อุปนิสัยของซูหลีผู้นั้นดูพิลึกพิลั่นมาโดยตลอด เขาช่างเป็นคนที่ยากจะจัดการ ท่านพ่อเคยคิดหรือไม่ว่า หากคนผู้นี้ไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆ เช่นนั้นควรจะทำอย่างไร”


 


 


หลังจากป๋ายไต้ซือได้ยินคำพูดของป๋ายถาน สีหน้าของเขาจึงดูเข้มขึ้น


 


 


เขานั้นมีทายาทจำนวนไม่น้อย ทว่าป๋ายถานเป็นคนที่ได้ดั่งใจเขาที่สุด บุตรีคนนี้เป็นคนฉลาดปราดเปรียวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะด้านการเรียนหรือด้านอื่นๆ…


 


 


ป๋ายไต้ซือเคยคิดแม้กระทั่ง หากป๋ายถานเป็นบุรุษ เขาคงจะมีความสุขและสามารถฝากเรื่องของสกุลป๋ายไว้ในมือของป๋ายถาน เขาถึงจะวางใจที่สุด


ตอนที่ 683 ท่าทางดุจเซียนบนสวรรค์


 


 


เป็นเพราะเหตุนี้ หลังจากจบการว่าราชกิจวันนี้ เขาจึงเข้าวังเพื่อปรึกษาป๋ายถานโดยเฉพาะ


 


 


พี่ชายของป๋ายถาน ป๋ายเฮ่อก็ถือว่าไม่เลวนัก ทว่าเปรียบเทียบระหว่างป๋ายถานกับป๋ายเฮ่อ ก็ยังถือห่างไกลกันมากโข


 


 


ตนนั้นรู้จักบุตรของตนเองดี นอกจากมีบางเรื่องที่ป๋ายถานจะหัวแข็งไปบ้าง แต่เรื่องอื่นๆ นั้นก็ไม่มีจุดอ่อนอะไรให้พูดอีก


 


 


“ท่านพ่อ” ป๋ายถานสูดหายใจเข้าลึก และรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะแสดงความอิจฉาริษยา นางพยายามเก็บความไม่สบายของตนเอาไว้ จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า


 


 


“หากท่านไม่สามารถดึงเขามาเป็นพวกด้วยกันได้ ท่านพ่อก็ไม่จำเป็นต้องเก็บคนผู้นี้เอาไว้!”


 


 


ป๋ายไต๋ซือได้ยินดังนั้น กลับไม่รู้สึกประหลาดใจ


 


 


ที่จริงแล้วความคิดของเขา ก็เหมือนกับป๋ายถาน!


 


 


ด้วยเหตุนี้เอง บุตรีคนนี้จึงเป็นบุตรที่เขารักมากที่สุด


 


 


“ข้ารู้ใจท่านพ่อดี!”


 


 


ป๋ายไต้ซือขมวดคิ้ว จากนั้นจึงตอบรับคำพูดของป๋ายถาน ในดวงตาของเขามีความโหดเ**้ยมและอำมหิตอย่างบอกไม่ถูก


 


 



 


 


ทางด้านซูหลีหลังจากรีบออกมาจากวังหลวงแล้ว เมื่อเห็นว่าโดยรอบไม่มีใครนางถึงได้พุ่งเข้าไปในรถม้า จากนั้นหยิบชุดสำรองด้านในผลัดเปลี่ยนกับชุดสตรีบนร่างของตน


 


 


นางถอดปิ่นปักผมออกจากศีรษะ จากนั้นรีบเกล้าผมขึ้นไป


 


 


นางยุ่งกับการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่พักใหญ่ สักครู่ถึงได้จัดการกับตัวเองเรียบร้อย


 


 


“นายน้อย” ชุยตานที่นั่งอยู่ด้านนอกรถม้าและขับรถม้าอย่างรีบเร่ง หลังจากที่เขาไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายใน จึงเอ่ยว่า


 


 


“เมื่อครู่ตอนที่แม่ทัพลู่ออกมา เขาได้บอกกับบ่าวว่า จะพาคุณหนูลู่ไปขอบคุณนายน้อยที่จวนล่าช้าหน่อยขอรับ”


 


 


หลังจากเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนางแล้ว นางจึงพลิกตัวไปม้วนผ้าม่านที่แขวนอยู่บนหน้าต่างของรถม้าขึ้น ทำให้ลมโกรกเข้ามา เพื่อให้ไอความร้อนของร่างกายเบาบางลงไปบ้าง จากนั้นในเวลานี้นางถึงได้คิดทบทวนถึงคำพูดของชุยตาน


 


 


ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงล้วนทราบดีว่า นางเป็นคนช่วยลู่เหมียนเหมียนเอาไว้ การที่สกุลลู่มาขอบคุณถึงที่จวนนั้น ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว


 


 


เพียงแต่ในใจของซูหลีอดที่จะสงสารลู่เหมียนเหมียนผู้นั้นมิได้


 


 


ทันทีที่เกิดเรื่องเช่นนี้ แม้ลู่เหมียนเหมียนจะไม่ได้ถูกคนข่มเหงจริงๆ ทว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นการทำลายชื่อเสียง เดิมลู่เหมียนเหมียนก็ไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีนักในเมืองหลวง บัดนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่ายิ่งทำให้ชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนแย่ลงกว่าเดิม


 


 


นางถอนหายใจออกมาเบาๆ ทว่านี่ไม่มีวิธีอื่นแล้ว


 


 


การว่าราชกิจในวันนี้ พวกเขาก็เห็นแล้วว่า หากพวกเขาไม่นำเรื่องนี้ออกมาพูด ต่อไปไม่รู้ว่านางจะถูกพ่อลูกสกุลเฉิงกระทำสิ่งใดบ้าง หากพลาดโอกาสนี้ คงจะถูกคนบีบบังคับยิ่งกว่าเดิม


 


 


ซูหลีพิงผนังรถม้าครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จากนั้นหนังตาของนางก็ค่อยๆ หนัก ผ่านไปพักหนึ่งก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว


 


 


จนกระทั่งรถม้าหยุดอย่างกะทันหัน นางถึงได้ตื่นขึ้น


 


 


ฉินเย่หานนี่ช่าง…


 


 


ไม่มีมนุษยธรรมโดยแท้!


 


 


ซูหลีได้แต่เข็ญเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ เขาทำให้นางมีท่าทางอ่อนปวกเปียกเช่นนี้!


 


 


“นายน้อย ดูเหมือนว่าคนสกุลลู่จะถึงแล้วขอรับ” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินชุยตานเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา


 


 


ซูหลีอ้ำอึ้งไป หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็เดินออกมาจากภายในรถม้า


 


 


ทันทีที่ออกมาก็พบว่า ด้านนอกประตูจวนซูมีรถม้าหลายคันจอดอยู่ แล้วลักษณะท่าทางแล้วไม่ใช่รถม้าของสกุลซู


 


 


“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว เร็วเข้าขอรับ แม่ทัพลู่มาถึงแล้ว เขากำลังรอนายน้อยอยู่ภายในห้องรับรองขอรับ!” ทางด้านซูหลีพึ่งจะลงมาจากรถม้าก็ถูกคนขวางไว้ คนที่ขวางนางไว้ไม่ใช่คนอื่น นั่นก็คือพ่อบ้านของสกุลซู


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะ ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมา และก้าวเท้าเข้าไปด้านใน


 


 


ในเวลานี้ภายในห้องรับรองของสกุลซู มีซูไท่และแม่ทัพลู่กำลังนั่งคุยกันอย่างได้อรรถรส


 


 


“ใต้เท้าซู…บุตรชายของท่านนั้นท่าทางดุจเซียนบนสวรรค์ ทว่าไม่รู้ว่าใต้เท้าซูมีงานหมั้นหมายให้กับบุตรชายของท่านหรือยัง” พูดไปพูดมาไม่รู้ว่าทำไมหัวข้อการสนทนาถึงมาหยุดอยู่ที่เรื่องของซูหลีจนได้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 684 หลานชายซู


 


 


“นี่…ยังไม่มี!” ซูไท่ได้ยินดังนั้นจึงอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง นับประสาอะไรกับเรื่องในวันนี้หากแม่ทัพลู่ไม่เอ่ยขึ้นมา เขาก็คงลืมไปแล้ว


 


 


ซูหลีอายุสิบเก้าปีแล้ว ชายหนุ่มทั่วไปในอายุอานามเท่านี้ ถึงแม้ยังไม่แต่งงาน ก็ต้องมีการหมั้นหมายแล้ว ทว่าซูหลีนี้ เป็นเพราะไม่มีมารดา ส่วนหลี่ซื่อก็…


 


 


เมื่อนึกถึงหลี่ซื่อ สีหน้าของซูไท่ก็เคร่งขรึมไปครู่หนึ่ง


 


 


นี่ทำให้คนอื่นมองว่า ซูหลีเป็นเด็กที่ไม่มีมารดาดูแลอย่างแท้จริง!


 


 


เพียงแต่บัดนี้จะหางานหมั้นหมายให้ซูหลีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งของซูหลีในตอนนี้ ตำแหน่งขุนนางของซูหลีก็สูงกว่าซูไท่ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสเสียอีก


 


 


แม้จะมีตำแหน่งเป็นบัณฑิตถ้านฮวาของการสอบเคอจวี่ ก็คาดว่าจะคนจำนวนมากก็คงมีความสนใจ


 


 


ดวงตาของซูไท่วูบไหว มิน่าเล่าเขาถึงว่าทำไมหมู่นี้มีขุนนางจำนวนมากมาตะล่อมเชิญเขาไปดื่มสุรา แม้กระทั่งมีบางคนที่ในยามปกติไม่คบค้าสมาคมกับเขา ที่แท้ผลประโยชน์ที่พวกเขามองหาก็คือซูหลีนี่เอง


 


 


ซูหลีเป็นผลประโยชน์อย่างแท้จริง บัดนี้ซูไท่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงผงะเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าอยากให้เขาตั้งใจเรียนหนังสือ กลัวว่าจะถูกเรื่องเหล่านี้รบกวนใจ ดังนั้นจึงไม่เคยพูดกับเขามาก่อน บัดนี้เป็นเวลาที่ต้องให้เขาลงหลักปักฐานสียที”


 


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!” แม่ทัพลู่ได้ยินดังนั้นก็ลูบเคราของตน มีประกายแวววาวพาดผ่านในดวงตา


 


 


ทว่าคนที่ยืนอยู่ข้างเขาทั้งสองคน คนหนึ่งก็คือลู่เหมียนเหมียนที่ซูหลีช่วยชีวิตเอาไว้ และซูหลีกลายเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ส่วนอีกคนก็คือลู่อวี้เหิง สีหน้าของทั้งสองคนแปลกประหลาดมาก


 


 


โดยเฉพาะลู่อวี้เหิง หลังจากได้ยินคำพูดที่มีเลศนัยของแม่ทัพลู่ ใบหน้าของเขาก็ตึงเครียด ดูไม่น่ามองเท่าไรนัก


 


 


“นายน้อยมาแล้วขอรับ!” ในขณะที่กำลังครุ่นคิดก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก ทันทีที่ลู่อวี้เหิงเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นซูหลีกำลังเดินเข้ามา


 


 


ก่อนหน้านางถือว่าไม่มีอะไร ทว่าบัดนี้ไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียหมด


 


 


รูปร่างเล็กอ้อนแอ้น ใบหน้าก็เล็กเพียงฝ่ามือ ผิวขาวดุจเครื่องเคลือบ ดูแล้วคล้ายกับอ่อนแอกว่าลู่เหมียนเหมียนหลายส่วน คนเช่นนี้จะมาเป็นสามีของลู่เหมียนเหมียนอย่างนั้นหรือ


 


 


“…” ลู่อวี้เหิงพลันใบหน้าเคร่งขรึม


 


 


ช่างไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด


 


 


“แม่ทัพลู่!” ทันทีที่ซูหลีเข้ามาก็คารวะแม่ทัพลู่เป็นอันดับแรก บัดนี้นางเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งระดับล่าง เป็นขุนนางเช่นเดียวกับแม่ทัพลู่ จึงไม่จำเป็นต้องทำความเคารพเหมือนดังแต่ก่อน เพียงแค่ทำความเคารพเล็กน้อยก็พอแล้ว เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความนอบน้อบของคนรุ่นหลัง นั่นก็เพียงพอแล้ว


 


 


แม่ทัพลู่เห็นอากัปกิริยาของซูหลี จึงฉีกยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ไม่รอให้ซูหลีเอ่ยอะไรมาก จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยว่า


 


 


“หลานชายไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้น เท้าของนางแทบจะเป๋กลางอากาศจนหกคะเมนไปด้านหน้า


 


 


โชคดีที่นางตอบสนองได้เร็วพอสมควรและทำให้ร่างของนางยืนอย่างมั่นคง ทว่าใบหน้ากลับฉายแววประหลาดออกมา นางเบิกตากว้างและจ้องซูไท่ นี่เป็นการใช้สายตาสอบถามซูไท่ว่า นี่แม่ทัพลู่ต้องการทำอะไรกัน!


 


 


ซูไท่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน


 


 


แม่ทัพลู่เป็นคนหยาบกระด้าง น้อยมากที่เขาเรียกคนอื่นเช่นนี้ ที่จริงแล้วในใจของเขาก็ไม่สบายใจเท่าไร ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของซูหลี กลับหวนคิดถึงยามที่ซูหลีเข้ามาปกป้องลู่เหมียนเหมียนและสกุลลู่ในท้องพระโรง ในใจของเขาก็รู้สึกพึงพอใจมาก


 


 


“นั่งลงเถอะ!” อย่างไรซูไท่ก็เป็นคนมากประสบการณ์ อย่างไรก็พอจะคิดได้ว่าแม่ทัพลู่หมายความว่าอย่างไร


 


 


ทว่าในเวลานี้เขาไม่ค่อยไว้วางใจ ชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนผู้นี้…ไม่พูดถึงเรื่องนี้ ยามที่ซูหลีกับลู่เหมียนเหมียนยืนอยู่ด้วยกันนั้น นั่นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก จะเป็นเรื่องแปลกมากหากจะฝืนดึงทั้งสองคนนี้มาอยู่ด้วยกัน!


 


 


ทว่าสถานการณ์นี้ไม่เหมาะที่จะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา


 


 


“หลานชาย ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่เสแสร้งแล้ว!” แม่ทัพลู่เป็นคนที่ใจร้อน เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ต้องการทำอะไรออกมาทันที


 


 


“หลานชายซู ข้าขอถามเจ้า เจ้าคิดว่าลู่เหมียนเหมียนของข้าเป็นอย่างไร?!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม