แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 676-682

 บทที่ 676 ล้างสมอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หนึ่งคนหนึ่งซอมบี้วิ่งไล่กันอยู่ท่ามกลางอาคารก่อสร้างอันอัด ทั้งสองวิ่งเร็วจนเกิดเสียงแหวกลมดัง “สวบ สวบ”


ระหว่างทางมีซอมบี้กระโจนออกมาไม่ขาดสาย แต่บางตัวก็จับหลิงม่อไม่อยู่ บางตัวก็ถูกซอมบี้นกที่วิ่งตามหลังมาจัดการอย่างง่ายดาย


เห็นมันโยนร่างซอมบี้เหล่านั้นออกไปอย่างง่ายดายเหมือนจับลูกไก่ทั้งที่อยู่ในระหว่างเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงอย่างนั้น หลิงม่อก็ยิ่งรู้สึกหนักใจ


“นึกว่าซอมบี้พวกนั้นจะถ่วงเวลามันได้บ้าง…”


หลิงม่อคิดอย่างผิดหวัง เขากำลังพยายามรักษาความเร็ว พร้อมกับคิดหาทางรับมือไปด้วย


“พรึ่บ!”


ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ข้างกายก็มีเงาสีดำโฉบเข้ามาด้วยความเร็ว หลิงม่อเหลือบมองด้วยหางตา แล้วก็ต้องตกตะลึง


เจ้าซอมบี้นกตัวนั้นตามมาทันตั้งแต่เมื่อไหร่!


ยิ่งไปกว่านั้น มันกำลังใช้มือและเท้าปีนป่ายไปตามผนังอย่างรวดเร็วราวกับตุ๊กแก


มี “ควันไอเสีย” พุ่งออกจากก้นของมัน ซึ่งนั่นคือเศษฝุ่นจากผิวผนังที่ถูกเล็บของมันขูดข่วน


เร็วจนฝุ่นตลบอบอวลไปหมด!


“เร็วกว่าวิ่งบนพื้นอีก!”


หลิงม่อใจหายวาบ เขารีบเบี่ยงตัว แล้วโหนตัวไปยังอีกฝั่งของถนนทันที


แต่ในขณะที่หลิงม่อคิดว่าจะสามารถทิ้งระยะห่างกับอีกฝ่ายได้เล็กน้อยนั้น เงาร่างของซอมบี้นกก็พลันปรากฏอยู่ในครรลองสายตา!


นี่มันอะไรกัน?!


เดี๋ยวก่อน…สายตาของหลิงม่อฉายแววตื่นตะลึง


ซอมบี้นกนั่น…เหมือนจะบินได้จริงๆ!


พอเห็นหลิงม่อโหนตัวข้ามถนน ซอมบี้นกที่กำลังปีนป่ายอยู่บนกำแพงก็กางแขนออก และพุ่งตัวลอยตามมาอย่างง่ายดาย อย่างกับติดเครื่องร่อนไว้บนตัว


ในขณะที่ใกล้จะพุ่งชนกำแพงด้านหน้า มันก็เอี้ยวตัวไปข้างหลัง แล้วใช้มือและเท้าเกาะกำแพงไว้


ในเสี้ยววินาทีที่เกาะกำแพงได้ มันอาศัยแรงดีดพุ่งตัวไปข้างหน้า เพื่อรีบไล่ตามหลิงม่อไปติดๆ


และนั่นก็ทำให้มันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าอยู่บนพื้นไม่น้อย…


“ไม่น่าล่ะ ถึงได้มีรูปร่างอย่างนั้น เพื่อที่จะบินร่อนได้อย่างนี้สินะ?”


หลังจากได้สติ หลิงม่อก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้ทันที


ความจริง ในระหว่างที่กำลังถ่วงเวลานี้ หลิงม่อก็แอบสังเกตเจ้าซอมบี้นกดูอย่างละเอียดไปด้วย


มันเป็นซอมบี้ระดับสูงกว่าซอมบี้เจ้าเมืองตัวแรกที่หลิงม่อเคยเจอ และหลังจากที่ได้รู้จักกับมัน เขาก็ตัดสินใจว่าจะตั้งชื่อซอมบี้ระดับนี้ว่า : ซอมบี้ราชา


ถึงจะไม่ค่อยเก่งเรื่องการตั้งชื่อ แต่ครั้งนี้หลิงม่อรู้สึกว่าตัวเองตั้งชื่อได้เหมาะสมมาก


ถึงแม้จะไม่ได้มีสติปัญญาที่โดดเด่น แต่ด้านพละกำลัง เจ้าซอมบี้นกถือว่าแกร่งมาก


ดูจากที่มันกลายร่างไปจนมีเยื่อบางใต้แขนนั่นแล้ว เห็นชัดว่ามันกำลังเข้าสู่ช่วงวัยเจริญเติบโตเต็มที่


หลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมัน ล้วนสามารถให้ข้อมูลอันล้ำค่ากับหลิงม่อไม่น้อย


ซักวัน พวกเย่เลี่ยนก็ต้องวิวัฒนาการมาจนถึงระดับนี้…


มีประสบการณ์ล่วงหน้า ก็ย่อมดีกว่าไปคลำทางเอามั่วๆ เมื่อถึงเวลา


ในความเป็นจริง หลิงม่อยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับซอมบี้ราชาอยู่อีกมากมาย…


ซอมบี้นกแข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่ได้แกร่งไปทุกด้าน


“…หรือที่กองทัพอากาศจัดเมืองชุ่ยเหอเป็นพื้นที่อันตราย เป็นเพราะที่นี่มีซอมบี้บินได้อยู่อย่างนั้นหรอ?”


หลิงม่อแอบนึกสงสัยอยู่ในใจ


“ฟิ้ว!”


เงาสีดำกลมๆ เงาหนึ่งพุ่งเข้ามา หลิงม่อเอียงคอหลบอย่างว่องไว และรับรู้ได้ถึงสายลมแรงที่พุ่งเฉียดลำคอไปทันที


“บึ้ม!”


วัตถุสีดำก้อนนั้นกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ปูนซีเมนต์และแผ่นกระเบื้องแตกกระจายไปทั่ว


“ถึงขั้นรู้จักใช้สิ่งของขว้างปาคนแล้ว…”


หลิงม่อเสียวสันหลังวาบ ในเวลาสิบนาทีนี้ เขาจะต้องคิดหาทางออกให้ได้…


………..


บนถนนสายหลัก เงาร่างสีขาวขนาดใหญ่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่ตรงกลางถนน


ซอมบี้ข้างทางกระโจนเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แต่พวกมันกลับถูกสลัดทิ้งไว้ข้างหลัง


ซอมบี้บางตัววิ่งเข้ามาปะทะซึ่งหน้า แต่เงาร่างสีขาวนั้นกลับไม่หยุดชะงัก กระทั่งวิ่งเข้ามาจนเหลือระยะห่างจากอีกฝ่ายไม่ถึง 10 เมตร จึงค่อยดีดตัวขึ้นสูง แล้วกระโดดข้ามไปโดยใช้มือตบร่างซอมบี้เต็มแรง


“ฉึก!”


ท่ามกลางหยาดเลือดกระเซ็นมากมาย เงาร่างขาวทิ้งตัวลงพื้นอย่างงดงาม และออกวิ่งต่อทันทีที่เท้าแตะพื้น


และระหว่างที่มันกระโดดโลดโผน ก็เผยให้เห็นเงาร่างใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังของมัน ซึ่งดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ


เย่เลี่ยนจัดทรงผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงให้เข้าที่ สายตาเหม่อลอยเล็กน้อยของเธอจ้องไปยังถนนด้านหน้า


เธอกระชับปืนเทพเจ้าสายฟ้าในมือแน่น แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นตบเสี่ยวป๋ายหนึ่งที “เสี่ยวป๋าย…หยุด”


แม้เสียงพูดของเย่เลี่ยนจะเบา และช้ามาก แต่กลับชัดเจนทุกถ้อยคำ


เสี่ยวป๋ายที่กำลังวิ่งแหวกลมชะงักเท้าทันที มันเปล่งเสียงคล้ายต้องการถามว่าเกิดอะไรขึ้น “แบ๊?”


เย่เลี่ยนกระโดดลงมายืนบนพื้น ดวงตากลมโตจดจ้องไปที่เสี่ยวป๋าย “พาพวกเธอ…หนีไปก่อน”


พูดไป เธอก็ยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวป๋ายเบาๆ


เสี่ยวป๋ายที่ตอนแรกยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรพลันสะดุ้ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาช้าๆ


“ไปซะ” เย่เลี่ยนตบหลังเสี่ยวป๋ายหนึ่งที


หมีแพนด้ากลายพันธุ์ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว และไม่นานก็หายลับไปท่ามกลางซากรถยนต์มากมายที่จอดทิ้งไว้บนถนน


เย่เลี่ยนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังถือปืนแน่น เธอหันหลังไปมองเส้นทางที่เพิ่งวิ่งมาโดยลำพัง


สายตาของเธอฉายแววขัดแย้งเล็กน้อย แต่ไม่นานเธอก็ส่ายหน้าเบาๆ


“อา…ใช่แล้ว” เย่เลี่ยนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “บอกว่าให้เรารีบไป…ตะ…แต่ว่าไม่ได้บอกว่าจะให้เรา…ไปทางไหนนี่”


หลังจากหาช่องโหว่จากคำสั่งทางกระแสจิตได้แล้ว เย่เลี่ยนก็กระดกยิ้มมุมปากเบาๆ


แต่เพิ่งจะยกยิ้มมุมปากได้ไม่เท่าไหร่ เธอก็ต้องรีบยกมือตะครุบปากตัวเองทันที


“ทำ…แบบนี้ไม่ได้”


เธอส่ายหน้าไปมา แต่ไม่นานก็ย่นจมูกเบาๆ อีก “แต่ว่า…”


เวลานี้ ซากศพที่หลงเหลือจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และซากรถยนต์กองพะเนินนั่น รวมถึงถนนที่เต็มไปด้วยซอมบี้มากมาย กำลังอยู่ตรงหน้าเธอ


และในจุดที่เธอมองไม่เห็น เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งนั่น


เย่เลี่ยนสูดจมูกอีกครั้ง เธอนึกถึงกลิ่นเลือดสดๆ นั่น


สำหรับซอมบี้ ระดับความบริสุทธิ์ของเชื้อไวรัสที่ผสมอยู่ในนั้น ถือเป็นเหยื่อล่ออันเย้ายวนที่อันตรายถึงชีวิต


แต่สิ่งที่เย่เลี่ยนสนใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนี้ สิ่งที่เธอสัมผัสได้ในตอนนี้ คือกลิ่นอายของมนุษย์ผู้นั้นต่างหาก


“กลิ่นเหมือน…เหมือนอาหารมากจริงๆ…”


เย่เลี่ยนสูดหายใจลึกอีกครั้ง กลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นอายมนุษย์ที่เย้ายวนใจที่สุดสำหรับเธอ


น่าเสียดายที่ เธอกินไม่ได้…


“จะปล่อย…ให้ถูกกินไม่ได้ด้วย”


ทันใดนั้น สายตาของเย่เลี่ยนก็ฉายแววมุ่งมั่น เธอกระโดดขึ้นสูง ทิ้งตัวลงบนหลังคารถเบนซ์คันหนึ่งอย่างเบาเท้า


ปลายเท้าเพิ่งจะสัมผัสถูกหลังคารถ ร่างกายของเย่เลี่ยนก็ดีดขึ้นสูงอีกครั้ง และทิ้งตัวลงบนหลังคารถยนต์คันถัดไป


ในเวลาสั้นๆ เพียง 1-2 วินาที เย่เลี่ยนได้กระโดดข้ามหลังคารถไปมากกว่าหลายสิบคันแล้ว เธอกระโดดผาดโผนมุ่งหน้ากลับไปยังทางเดิมอย่างคล่องแคล่วว่องไว


……….


“ฉันจะตายอยู่แล้ว”


ในโรงแรม มู่เฉินยกขวดน้ำขึ้นกระดกอึกใหญ่ แล้วพูดขึ้น


“ฉันเริ่มจะเกลียดการพูดคุยแล้วสิ รู้สึกเหมือนตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉันยังพูดไม่มากเท่าวันนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องพูดเรื่องของผู้ชายอีกคนอย่างนี้ ทำร้ายศักดิ์ศรีกันเกินไปแล้ว!”


มู่เฉินบ่นกระปอดกระแปดอย่างอ่อนแรง พลางกรอกน้ำใส่ปากไปด้วย


“แฮ่ก…แฮ่ก…”


ด้านหน้าเขา สวี่ซูหานที่ดวงตาแดงก่ำกำลังหอยหายใจหนักหน่วง นิ้วมือของเธอจิกข่วนอยู่บนกำแพง และทิ้งร่องรอยมากมายไว้บนนั้น


ร่องรอยเหล่านั้นก่อให้เกิดฝุ่นคลุ้งอย่างต่อเนื่อง ทำเอามู่เฉินที่เห็นหนังศีรษะตึงชา


เหมือนเขาจะมองเห็นจุดจบของตัวเองอยู่รำไร…


“เดี๋ยวๆๆๆ! อย่างเพิ่งใจร้อน…ให้ฉันพักดื่มน้ำก่อน”


มู่เฉินหดตัวถอยหลังพร้อมทำหน้าเหมือนจะร่ำไห้ แล้วเขาก็พบว่าตัวเองถูกบีบให้จนมุมอีกครั้ง


“ได้ๆ ฉันจะพูด! จะพูดแล้ว!”


หลายชั่วโมงที่ผ่านมานี้ เขาได้เล่าทุกสิ่งที่ตัวเองสามารถเล่าได้ไปรอบหนึ่งแล้ว


แต่เรื่องที่ทำให้สวี่ซูหานสงบลงมาได้จริงๆ กลับมีเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับหลิงม่อเท่านั้น


มู่เฉินนึกฉุนเฉียวในใจ เขาเคยใส่ใจเรื่องของหลิงม่อเสียที่ไหน?!


แต่ในโรงแรมแห่งนี้มีเพียงเขาและสวี่ซูหานอยู่แค่สองคนเท่านั้น และท่าทีของสวี่ซูหานก็บ่งบอกอย่างชัดเจน


เลือกเอาถ้าไม่เล่า ก็ต้องตาย…


ชัดเจน มู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่น…


“จะว่าไปแล้ว ทำไมถึงได้เหลือทางเลือกแค่สองทางเท่านั้นล่ะ!”


มู่เฉินคลั่ง


พอเล่าต่อเนื่องมาหลายชั่วโมง เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะถูกคำว่า “หลิงม่อ” ล้างสมองเต็มทีแล้ว


และในความเป็นจริง เขาก็ได้ตีไข่ใส่สีลงในเรื่องเล่าพวกนี้ไม่น้อย


“ถึงยังไงสมองของเธอก็กำลังติดเชื้ออยู่ น่าจะฟังไม่ออกหรอกมั้ง?” มู่เฉินคิดในใจ


ผลปรากฏว่า เหมือนสวี่ซูหานจะไม่รู้จริงๆ ว่าเขาตีไข่ใส่สีลงในเรื่องเล่าเหล่านั้น


ขอแค่พูดเรื่องหลิงม่อ เธอก็จะนั่งพิงผนังเงียบๆ เหมือนกำลังตั้งใจฟังอย่างละเอียด


“ดูท่า เธอน่าจะติด “เชื้อไวรัสหลิงม่อ” มากกว่ามั้ง! ใช่ไหมล่ะ!” มู่เฉินอดกลั้นมาหลายครั้ง ในที่สุดก็โพล่งคำนี้ออกมา


ทว่าความจริง สมองของสวี่ซูหาน กลับกำลังคิดอีกอย่างซึ่งต่างจากที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง…


เธอกำลังคิดว่า คนที่จะสามารถทำให้ซอมบี้กลายเป็นเหมือนพวกเย่เลี่ยนได้ ตอนนี้ก็มีเพียงหลิงม่อคนเดียวเท่านั้น


แต่ถ้าหากเธอรู้จักหลิงม่อดีกว่านี้ ไม่แน่ว่าเธออาจสามารถลงมือทำเองได้!


“เล่า…ต่อไป” สวี่ซูหานเร่งด้วยเสียงพูดติดๆ ขัดๆ


มู่เฉินกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน “หลิงม่อ แกอยู่ไหนวะ!”


—————————————————————————–


บทที่ 677 วิธีซ่อนตัว : ใต้แสงไฟคือความมืด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เคร้ง!


หลิงม่อขดตัวพุ่งชนบานกระจกเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง


หลังจากทิ้งตัวลงพื้นท่ามกลางเศษกระจกที่กระจายไปทั่วว หลิงม่อก็รีบออกวิ่งต่อ เขาวิ่งผ่านชั้นวางของที่ล้มระเนระนาด แล้วพุ่งเข้าไปยังโซนใจกลางของห้างฯ


“อยู่ข้างนอกต่อไปยังไงก็คงสลัดมันไม่หลุด แต่ถ้าเป็นในนี้…แน่จริงก็ลองบินให้ดูสิ”


หลิงม่อกระโดดข้ามประตูกระจกที่เหลือเพียงครึ่งบานอย่างคล่องแคล่ว เพื่อวิ่งเข้าไปในโถงทางเดินตรงหน้า


แวบแรกที่เข้ามาถึง เขายังไม่ค่อยคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมด้านในนัก จึงจำเป็นต้องหยุดวิ่งเพื่อสำรวจดูก่อน


ในห้างฯ มีแสงสว่างค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหากับหลิงม่อมาก


โครงสร้างภายในทั้งหมด เหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ถูกทะลวงจนกลวงโบ๋


โถงทางเดินคดโค้งทอดยาวจากชั้นล่างสุดขึ้นสู่ชั้นบนสุด เหมือนถนนบนภูเขา


ร้านค้าสองข้างทางเป็นห้องกึ่งเปิดเล็กๆ ที่ถูกกั้นแบ่งโดยตะแกรง ร้านรวงเหล่านี้ถูกตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ใหญ่มาก


และลิฟท์กระจกที่มีไว้เพื่อบริการลูกค้า ก็อยู่ตรงหน้าหลิงม่อพอดี


ประตูลิฟท์เปิดแง้มไว้เล็กน้อย และตรงช่องนั้นก็มีกระดูกสีขาวท่อนหนึ่งติดแหง็กอยู่


แวบแรก สิ่งที่เห็นในตัวลิฟท์คือคราบเลือดมากมายที่แทบจะกลายเป็นสีดำ แล้วยังมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาอีก


หลิงม่อรู้ทันที ว่าการระบายอากาศของที่นี่ไม่ได้มาตรฐาน


หลิงม่อมองลิฟท์กระจกเพียงแวบเดียว จากนั้นก็เดินไปทางราวกั้นแล้วมองลงไปข้างล่าง


เงามากมายกำลังวิ่งกันให้วุ่น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านั่นเป็นเงาของเหล่าซอมบี้ที่ถูกเสียงเมื่อกี้ทำให้แตกฮือ


ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่างนี้ เดาว่าคงมีซอมบี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน


ถึงแม้ว่าจะมีซอมบี้บางส่วนเร่ร่อนออกไปหาอาหารข้างนอกบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่อยู่ต่อ


แกร๊ก!


ทันใดนั้น เสียงเศษกระจกถูกเหยียบแตกก็ดังมาจากด้านหลัง


“กัดไม่ปล่อยเลย!”


หลิงม่อหันกลับไปมองข้างหลัง จากนั้นก็รีบกวาดตามองซ้ายขวา


ไม่มีเวลาแล้ว!


เขาหันขวับกลับไปมองลิฟท์ตัวนั้น แล้วรีบวิ่งไปยืนหันข้างมุดเข้าไปในช่องแคบๆ ที่เปิดแง้มไว้


ทันทีที่เข้าไปในลิฟท์ กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงเสียดแทงจมูกจนทำให้หลิงม่อรู้สึกปวดหัว แม้แต่ตาก็ยังรู้สึกแสบร้อนไปด้วย


ไม่รู้ว่าบนพื้นมีโครงกระดูกอยู่มากเท่าไหร่ เพราะถึงแม้เท้าจะเหยียบพื้น แต่หลิงม่อก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าที่นี่ถูกปูไว้ด้วย “พรม”


แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาขยะแขยง ถึงแม้จะเป็นชิ้นส่วนอวัยวะภายในหรือเลือดหนืดๆ หากจำเป็นก็ต้องเหยียบ แล้วที่จริงมันอาจถูกลมโกรกจนแห้งไปตั้งนานแล้ว?


หลิงม่อเพิ่งจะเดินเข้าไปได้สองก้าว แต่ทันใดนั้นเขาก็ประสานสายตาเข้ากับสายตาคู่หนึ่งพอดี


เบ้าตาลึกเป็นโพรงดำๆ นั่น “จ้อง” มาที่หลิงม่อ ปากที่กำลังอ้ากว้างนั่นเหมือนพร้อมจะกระโจนเข้าฉีกทึ้งหลิงม่อได้ทุกเมื่อ


หลิงม่อ “ประสานสายตา” กับศพด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ แล้วยกมือขึ้นปิดจมูก เขาเดินหลบช่องประตูที่เปิดแง้มไว้ เข้าไปในมุมลิฟท์อย่างระมัดระวัง


จากจุดที่เขาอยู่ หากมองออกไปข้างนอกจะสามารถมองเห็นพื้นที่เล็กๆ ได้อย่างชัดเจน


กึก!


เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และไม่นานเสียงนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าลิฟท์กระจก


หลิงม่อหนังศีรษะตึงชา เขารีบกลั้นหายใจทันที


ตึกๆ!


ซอมบี้นกเดินวนไปวนมาหน้าลิฟท์สองรอบ ขณะเดียวกันหลิงม่อได้ยินเสียงมันสูดหายใจลึกๆ ด้วย


หลิงม่อเกร็งร่างนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน ดวงตาจับจ้องไปที่ประตูลิฟท์นั้น


ที่เขาเข้ามาซ่อนข้างในนี้ ด้านหนึ่งก็เพราะมีเวลาไม่มาก ในอีกด้านก็อาศัยหลักความจริงดั้งเดิม : ใต้แสงไฟคือความมืด (สุภาษิตจีน หมายถึง คนเรามักมองข้ามสิ่งใกล้ตัว เหมือนดวงไฟที่เป็นสิ่งให้แสงสว่าง แต่บริเวณใกล้ๆ ดวงไฟกลับมืดมิด)


สติปัญญาของซอมบี้นกไม่สูงนัก เมื่อกี้ก็ถูกหลิงม่อหลอกไปหลายครั้งแล้ว มันไม่มีทางคาดถึงแน่นอนว่าหลิงม่อจะกล้าซ่อนตัวอยู่แค่ใต้จมูกมันอย่างนี้


ถึงแม้การใช้สติปัญญาของมนุษย์จัดการกับซอมบี้จะไม่ใช่เรื่องน่าอวดอะไร แต่สำหรับซอมบี้ราชาตัวนี้ นี่เป็นจุดอ่อนที่เด่นชัดที่สุดของมัน


แต่ถึงแม้จะมีความคิดอย่างนั้น หลิงม่อก็ยังเตรียมหนวดสัมผัสหลายเส้นให้พร้อมใช้งานทุกเมื่อ เผื่อจะต้องพังกระจกด้านหลังตัวเองให้แตก


ต้องเตรียมทางหนีทีไล่ไว้เสมอ!


ตึกๆ!


ซอมบี้นกยังคงวิ่งไปวิ่งมาอยู่ข้างนอกนั่น เห็นชัดว่าความรู้สึกที่สูญเสียเป้าหมายไปอย่างกะทันหันทำให้มันไม่สบอารมณ์สุดขีด ตอนนี้หลิงม่อได้ยินเพียงเสียงเสียดแทงแก้วหูจากการที่มันใช้เล็บแหลมๆ ขูดขีดไปตามผิวหนัง


ทุกครั้งที่ได้ยิน หลิงม่อรู้สึกเหมือนผิวหนังตัวเองถูกไฟช็อตไปด้วย รูขุมขนตั้งชันเหมือนหนังไก่ไปทั้งตัว


เขาข่มใจให้ตัวเองยืนนิ่งอย่างสุดความสามารถ ซอมบี้นกหาเขาไม่เจอในทันที นั่นก็แสดงว่าวิธีนี้ได้ผลจริงๆ


กลิ่นเหม็นฉุน และสภาพแวดล้อมที่เรียกว่าแทบจะปิดสนิท ได้ซ่อนหลิงม่อไว้อย่างมิดชิด


ถ้าหากตอนนี้เขาเผลอตัวจนทำให้ทุกอย่างพัง ก็คงน่าเสียดายไม่น้อย…


ทันใดนั้น เงาสีดำเงาหนึ่งก็โฉบผ่านช่องแคบ


หลิงม่อหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาเบิกตากว้างมองไปที่ช่องประตูลิฟท์นั่น


กึก!


เสียงฝีเท้าของซอมบี้นกหยุดชะงัก หลิงม่อมองดูเงาร่างนั้นที่เด่นชัดและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


หนวดสัมผัสสีเลือดลอยตัวขึ้นสูงตั้งท่าเตรียมฉกเหมือนงูพิษ รอเพียงคำสั่งจากหลิงม่อ พวกมันก็จะโจมตีกระจกแตกในทันที


“รออีกหน่อย! รออีกหน่อย…”


หลิงม่อรู้สึกเหมือนเส้นชีพจรตรงขมับกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง ในความกังวลตื่นเต้น เขากลับรวบรวมสมาธิทั้งหมดเข้าด้วยกัน


เสียงเคลื่อนไหวรอบกายพลันชัดเจน แม้แต่การมองเห็นก็ชัดแจ้งขึ้นมาก


เขามองเห็นเงาสีดำนอกประตูได้อย่างชัดเจน และเห็นรูปร่างของซอมบี้นกทั้งตัว ตอนนี้ มันกำลังย่างสามขุมเข้ามาใกล้ตัวลิฟท์อย่างช้าๆ


“บ้าเอ๊ย มันคงไม่คิดจะเข้ามาจริงๆ ใช่ไหม?”


หลิงม่อคำนวณระยะห่างระหว่างตัวเองกับมัน หากมันก้าวเข้ามาอีกสองก้าว เขาก็คงต้องหนีอย่างช่วยไม่ได้แล้วล่ะ!


ถ้าไม่อย่างนั้น ด้วยความเร็วของเจ้าซอมบี้นก เขาอาจหนีไม่ทันก็ได้


“กรร!”


เสียงคำรามของซอมบี้ดังแว่วมาจากชั้นล่าง หลิงม่อใจกระตุกวูบ หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งแผ่ออกไปอย่างเงียบเชียบ


ดวงแสงแห่งจิตดวงที่ใกล้ที่สุดปรากฏอยู่บนทางเดินชั้นล่าง หลังจากเสียงที่ทำให้เกิดแรงกระตุ้นหายไป เดิมซอมบี้เหล่านี้ควรจะกลับไปเดินเร่ร่อนเหมือนเดิม


แต่กลิ่นอายของซอมบี้ระดับสูง กลับทำให้พวกมันหวาดกลัวกว่ายามปกติ พวกมันจึงได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่ใกล้ๆ


ซอมบี้ตัวที่เปล่งเสียงคำรามนี้กำลังกระทืบเท้าตึงตังด้วยความกระวนกระวาย เหมือนมันต้องฉีกทึ้งอะไรบางอย่างจึงจะสามารถระบายความหวาดกลัวที่มีออกมาได้


มันไม่รู้ตัวเลยว่า ตอนนี้หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งกำลังเข้าใกล้แผ่นหลังมันอย่างช้าๆ


“อึก…”


ทันใดนั้น ซอมบี้ตัวนี้พลันเบิกตากว้าง ร่างกายของมันเกร็งไปทั้งตัว


หนวดสัมผัสไร้รูปเส้นหนึ่ง “เสียบ” หน้าอก และแทงทะลุดวงแสงแห่งจิตของมัน


ผ่านไปเพียง 1 วินาที สายตาของซอมบี้ตัวนี้ก็แปรเปลี่ยนจากคลุ้มคลั่งเป็นเหม่อลอย


สีหน้าของมันเปลี่ยนจากเดือดดาลเป็นสงบนิ่ง ดวงตาสีแดงเลือดกลอกกลิ้งไปข้างบน


“กร๊อบ!”


หลังจากบิดคอไปมาหนึ่งรอบ ซอมบี้ตัวนี้ก็ย่อร่างกายท่อนบน จากนั้นก็พุ่งตัวออกไปราวลูกธนู


ในเสี้ยววินาทีที่ใกล้จะถึงราวกั้นชั้นบน มันพลันทะยานตัวขึ้นสูง ใช้เท้าทั้งสองข้างยันราวกั้นแล้วดีดตัวขึ้น


เมื่อกระโดดขึ้นจนถึงจุดสูงสุด ร่างกายของซอมบี้ตัวนี้ก็เริ่มดิ่งลง


แต่ในตอนนั้นเอง มันกลับคว้าราวกั้นชั้นบนอย่างรวดเร็ว แล้วอาศัยแรงดึงดึงร่างตัวเองโหนข้ามไปยังทางเดินของอีกชั้นหนึ่ง


“ร่างกายของซอมบี้นี่คล่องแคล่วว่องไวดีจริงๆ…” หลิงม่อที่ซ่อนตัวอยู่ในลิฟท์อดคิดในใจไม่ได้


ร่างกายของเขาถูกปรับเปลี่ยนโครงสร้างโดยใช้เชื้อไวรัสในปริมาณน้อยมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังคงห่างชั้นกับซอมบี้จริงๆ อยู่อีกมาก


ทว่าในเมื่อไม่อยากติดเชื้อจนทำให้สูญเสียสติปัญญา เขาก็ทำได้เพียงใจเย็นอย่างนี้ต่อไป


ถึงแม้จะเทียบกับซอมบี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็โชคดีกว่าคนทั่วไปมากแล้ว


“กรร!”


เมื่อเท้าแตะพื้น ซอมบี้ตัวนี้ก็อ้าแขนกว้าง และคำรามลั่นจนร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัวทันที


กึก!


นอกประตูลิฟท์ เท้าคู่นั้นที่เร่มปรากฏให้เห็นชัดพลันหยุดกึก


“ขึกๆๆ…”


เสียงหัวเราะแปลกประหลาดหลุดออกจากปากซอมบี้นก มันค่อยๆ หันหน้าไปทางซอมบี้ตัวนั้น แล้วย่างกรายเข้าไปหาช้าๆ


ในสายตาของซอมบี้นก ซอมบี้ธรรมดาอย่างนี้ไม่ต่างอะไรจากมดตัวหนึ่ง


แต่คิดไม่ถึงว่ามดกระจอกๆ ตัวหนึ่งจะกล้าท้าทายมัน ดังนั้นสัญชาตญาณนักฆ่าของซอมบี้นกจึงเดือดพล่านขึ้นมาทันที


ดวงตาสีม่วงคู่นั้นของมันจับจ้องไปที่ร่างกายของซอมบี้ตัวนั้น นิ้วมือของมันงอเข้าหากันทันที


ถึงจะถูกมันมองด้วยสายตาเหมือนกำลังมองหนอนตัวหนึ่ง แต่หลิงม่อกลับถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอก


เบี่ยงเบนความสนใจ…สำเร็จแล้ว!


“พรึ่บ!”


ซอมบี้นกโน้มกายไปข้างหน้าเล็กน้อย มันเขย่งเท้า แล้วพุ่งเข้าไปทางซอมบี้ตัวนั้น


ท่าทางของมันดูไม่ค่อยใส่ใจนัก ถึงอย่างไรในสายตาของมัน แค่มีพลังเหนือกว่าก็ถือว่าเพียงพอแล้ว


ไม่จำเป็นต้องมีเทคนิคอะไร แมลงไร้ค่าอย่างนี้ กำจัดมันไปซะก็สิ้นเรื่อง


หลังจากจัดการเจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์กระจอกตัวนี้แล้ว ค่อยไปตามหาเจ้ามนุษย์คนนั้นต่อ!


ซอมบี้นกเคลื่อนตัวเร็วมาก แต่ด้วยพลังจิตของหลิงม่อในตอนนี้ เขาสามารถควบคุมให้หุ่นซอมบี้เคลื่อนไหวไปพร้อมกับการตอบสนองทางจิตของตัวเอง


เขาเตรียมพร้อมไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้นในตอนที่ซอมบี้นกเพิ่งจะยกส้นเท้าขึ้น เขาก็รีบควบคุมให้ซอมบี้ตัวนั้นกระโดดออกนอกราวกั้นไป และในระหว่างที่ดิ่งตัวลงเขาก็คว้าราวกั้นไว้ แล้วโหนตัวเข้าไปในทางเดินของชั้นล่าง


—————————————————————————–


บทที่ 678 เครื่องกลบกลิ่นแบบพกพา

โดย

Ink Stone_Fantasy

แกร๊ก!


ขณะที่ทิ้งตัวลงพื้น เสียงกระดูกไหล่หักก็ดังขึ้น


การเคลื่อนไหวทั้งหมดเมื่อครู่ เกินขีดจำกัดของซอมบี้ตัวนี้ไปมาก


และเมื่อใดที่ฝืนเกินกำลังตัวเอง ถึงแม้จะเป็นซอมบี้ก็จะได้รับผลกระทบด้านลบเช่นเดียวกัน


แต่เพื่อสู้กับซอมบี้นก หลิงม่อกลับจำเป็นต้องควบคุมหุ่นซอมบี้ให้วิ่งพุ่งไปข้างหน้าโดยรักษาความเร็วนี้ไว้


“หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่นานร่างกายของหุ่นซอมบี้ก็คงพัง…ต้องสลัดมันทิ้งก่อนจะเป็นอย่างนั้นให้ได้” หลิงม่อคิด พลางค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางประตูลิฟท์


เมื่อขยับตัวจนสามารถมองเห็นซอมบี้นกได้แล้ว เขาก็รีบชะงักหยุดทันที


ซอมบี้นกกำลังยืนอยู่ด้านหน้ารั้วกั้น มันมองลงไปข้างล่างเหมือนตื่นตะลึงสุดขีด


ซอมบี้วิ่งหนีทั้งที่เพิ่งทำการท้าทาย มันเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้เป็นครั้งแรก…


“หนีไปดื้อๆ…อย่างนี้เลย?”


ซอมบี้นกพึมพำกับตัวเอง ดูท่าเหมือนมันจะยังตั้งตัวไม่ติด


ปรากฏว่าเสียงพูดของมันเพิ่งจะจบ เงาวัตถุสีดำเงาหนึ่งก็ถูกขว้างขึ้นมาจากชั้นล่าง


เดิมของสิ่งนั้นขว้างไม่โดนตัวมัน แต่ด้วยการตอบสนองโดยอัตโนมัติ ซอมบี้นกรีบยื่นฝ่ามือออกไปโจมตีมันเต็มแรง


พรวด!


ของเหลวปริมาณหนึ่งพร้อมกับเศษพลาสติก กระจายเต็มหน้าซอมบี้นก


“นี่มันอะไร?” ซอมบี้นกยกมือเช็ดหน้า พลางร้องลั่น


ดูเหมือนว่ามันจะไม่รู้จักกาต้มน้ำไฟฟ้า แต่ความรู้สึกถูกปั่นหัวได้กระตุ้นเพลิงโทสะในตัวมันสำเร็จ


“ไอ้สวะชั้นต่ำ! ไอ้อัปลักษณ์…แล้วก็ ไอ้เพื่อนร่วมสายพันธุ์หน้าโง่!”


ซอมบี้นกสรรหาคำพูดที่หยาบคายที่สุดเท่าที่จะนึกออกมาด่าทออย่างโกรธขึ้ง จากนั้นก็กระโดดตามลงไปโดยเลียนแบบท่าของหุ่นซอมบี้


ถึงแม้มันจะไม่เคยทำมาก่อน แต่เพราะมีปีกคู่นั้น มันจึงใช้ปลายเท้าเกี่ยวกับราวกั้นชั้นล่างไว้ แล้วเหวี่ยงตัวเองเข้าไปในทางเดินได้ ถึงจะทุลักทุเลไปบ้างก็ตาม


ด้านหน้า คือหุ่นซอมบี้ตัวนั้นที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง


“เพิ่งจะปาของใส่ฉัน แต่ทำไมแวบเดียวก็วิ่งไปได้ไกลขนาดนั้นแล้วล่ะ?” คราวนี้ซอมบี้นกดึงสติปัญญาอันน้อยนิดของตัวเองมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทว่าหลังจากครุ่นคิดอยู่ไม่ถึง 1 วินาที ซอมบี้นกที่คิดหาคำตอบไม่ออกก็สลัดความสงสัยทิ้งไปอย่างง่ายดาย


“ฮู่ว!”


หลิงม่อยืนพิงผนังอยู่ในตัวลิฟท์ เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก


นอกจากต้องเผาผลาญพลังจิตในปริมาณมากแล้ว ยังต้องควบคุมหนวดสัมผัสให้ควานหาสิ่งของมาปาใส่ซอมบี้นกอีก สำหรับหลิงม่อ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


หากเป็นตอนที่มีพลังจิตเต็มเปี่ยม หลิงม่อสามารถใช้กาต้มน้ำใบนั้นปาหัวซอมบี้นกแรงๆ ได้ไม่มีปัญหา


ทว่าตอนนี้นอกจากความเหนื่อยล้าที่ได้รับแล้ว เขายังต้องควบคุมหุ่นซอมบี้อีกหนึ่งตัว ดังนั้นแค่มีแรงปาขึ้นมาได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว


แต่ไม่คิดว่าข้างในจะมีน้ำอยู่ด้วย ถือเป็นเรื่องโชคดีที่เหนือความคาดหมาย


“ถือว่าเป็นของแถมแล้วกัน…” หลิงม่อคิดในใจ จากนั้นก็สลับมุมมองสายตากลับไปที่หุ่นซอมบี้


ซอมบี้นกโกรธกรุ่นเต็มที่ พอเห็นหุ่นซอมบี้มันก็สาวเท้าออกวิ่งโดยทันที


ในสถานที่อย่างนี้มันไม่อาจบินร่อนได้เหมือนอยู่ข้างนอก แต่พอมันอ้าแขนทั้งสองข้างออก เยื่อบางใต้วงแขนของมันกลับสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนใบเรือได้ด้วย!


หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ให้หันกลับมามอง แล้วก็ต้องอึ้งจนพูดไม่ออก


เจ้าซอมบี้นกนั่นใช้ปลายเท้าจิกพื้น สองแขนอ้ากว้าง และภายใต้การช่วยเหลือจากปีกคู่นั้น ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ!


บวกกับน้ำหนักตัวอันเบาหวิวของมัน ไม่แน่ว่าหากอยู่บนผิวน้ำ มันอาจ “ลอยล่องเหนือน่านน้ำ” ได้จริงๆ…


“เป็นแค่ซอมบี้หน้าตาประหลาดยังกล้าทำเหมือนตัวเองเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้อีกนะ! ภาพพจน์ของเหล่าเทพเซียนถูกแกทำลายจนป่นปี้หมดแล้ว!”


หลิงม่อก่นด่าในใจ จากนั้นก็ควบคุมหุ่นซอมบี้ให้คว้าราวกั้นใกล้ตัว


การเบรกกะทันหันในระหว่างที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงนั้น ส่งผลให้ฝ่าเท้าของหุ่นซอมบี้ครืดไปกับพื้นอย่างแรง จนถึงขั้นมีสะเก็ดไฟเกิดขึ้นเล็กน้อย


“จะกระโดดหนีอีกแล้ว?” ซอมบี้นกเบิกตากว้าง มันเริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว


ไม่รอให้หุ่นซอมบี้กระโดดออกไป มันชิงหันข้างและกระโดดออกไปก่อนด้วยท่วงท่าสง่างาม


ส่วนหุ่นซอมบี้ของหลิงม่อที่เพิ่งจะคว้าราวกั้นแล้วกระโดดออกไปยืนนอกราวกั้น พอเห็นอย่างนั้นจึงรีบหันหลังกระโดดเข้าไปทางเดิม


“ทำไมยังไม่ลงมา?” ซอมบี้นกยืนรอข้างล่าง 1 วินาที ไม่นานมันก็โมโหเมื่อพบว่าตัวเองถูกปั่นหัวอีกครั้งแล้ว


“แกมันไม่คู่ควรกับการเป็นซอมบี้!”


ซอมบี้นกปีนขึ้นชั้นบนอย่างคลุ้มคลั่ง พลางก่นด่าอย่างเจ็บแค้น


“ด่าลื่นปากเชียว…ด้วยความแกร่งระดับนี้…เดาว่าคงจะอดทนจนถึงตอนที่วิ่งออกไปไม่ไหว อีกอย่างถ้ารอให้มันออกไปก่อน แล้วเราค่อยออกไปทีหลัง เดาว่าเพิ่งจะก้าวพ้นประตูมันก็คงได้กลิ่นเราแล้ว…”


พอคิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็กลั้นหายใจอีกครั้ง แล้วค่อยๆ เดินไปทางประตูลิฟท์


ก่อนจะออกไป หลิงม่อหันหลังกลับไปมองศพเน่าๆ เจ้าของดวงตากลวงโบ๋คู่นั้น


“พี่ชาย ขอยืมใช้หน่อยแล้วกันนะ”


เขาทนพะอืดพะอม แผ่หนวดสัมผัสสองเส้นออกไป แล้วเกี่ยวเศษผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่งขึ้นมา


เดิมผ้าผืนนี้ติดอยู่กับร่างศพเพราะมีเลือดเป็นตัวยึดไว้ ดังนั้นเพียงสะกิดเบาๆ มันก็หลุดออกแล้ว


ทว่าเพราะมีหนวดสัมผัสอยู่ เศษผ้าที่เดิมควรหล่นลงบนพื้นกลับลอยอยู่กลางอากาศ


หลิงม่อสูดดมเล็กน้อย แต่ก็ต้องรีบปิดจมูกอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “ดีมาก กลิ่นฉุนสุดๆ น่าจะกลบกลิ่นอายมนุษย์ของเราได้”


เมื่อเขามุดออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง เศษผ้าเก่าๆ นั่นก็ลอยตามออกมาด้วย


“เรียกว่าเป็นเครื่องกลบกลิ่นแบบพกพาได้หรือเปล่านะ? จะว่าใช้ดีก็ใช้ดีอยู่ แต่กลิ่นนี่สุดจะทนจริงๆ…”


หลิงม่อปิดจมูก แล้วค่อยๆ เดินกลับไปทางเดิมที่เพิ่งเดินเข้ามาเมื่อกี้


หุ่นซอมบี้ที่เขาควบคุมยังคงเล่นวิ่งไล่กับซอมบี้นกอยู่ชั้นล่าง ทว่าเนื่องจากใช้เรี่ยวแรงเกินขีดจำกัด ซอมบี้ธรรมดาตัวนั้นจึงเริ่มมีอาการไม่ดี


ขณะเดียวกับที่หลิงม่อเดินไปถึงบานหน้าต่างขอบติดพื้น แผ่นหลังของหุ่นซอมบี้ก็ถูกกรงเล็บแหลมคมของซอมบี้นกข่วนเข้าในขณะที่กำลังกระโดดหนี


บาดแผลลึกและหยาดเลือดที่พุ่งกระจายกลางอากาศ ส่งผลให้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ไม่มากของหุ่นซอมบี้ลดฮวบลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง กล้ามเนื้อที่ถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้วก็เริ่มเหน็บชา เส้นเอ็นทั่วร่างกายเริ่มส่งเสียงโอดครวญ เหมือนหนังยางที่ถูกยืดจนใกล้จะฉีกขาด


“ซอมบี้ธรรมดาพอเทียบกับซอมบี้ราชา เห็นผลต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ…แล้วยังไอ้ความรู้สึกที่เหมือนถูกหนอนชอนไชจากบาดแผลพวกนี้อีก…”


ซอมบี้ธรรมดายังไม่รู้จักความรู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นถึงแม้หลิงม่อจะรับรู้ถึงสภาพร่างกายของหุ่นซอมบี้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีความรู้สึกร่วมใดๆ


บาดแผลแม้ไม่เจ็บ แต่มันกลับทำให้รู้สึกเหมือนมีหนอนมากมายกำลังชอนไชออกมาจากในร่างกายอย่างไรอย่างนั้น


และความรู้สึกอย่างนี้ ไม่ได้เป็นผลจากพลังฟื้นฟูอย่างแน่นอน…


“หรือเป็นเพราะเชื้อไวรัส?” พอนึกถึงคาบเหนียวเหนอะสีแดงที่ติดอยู่ในซอกเล็บของซอมบี้นกแล้ว หลิงม่อก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที


สำหรับซอมบี้ระดับต่ำกว่า เชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างของซอมบี้ราชา น่าจะถือได้ว่าเป็นยาพิษขนานแรงได้เลย


หุ่นซอมบี้คงอดทนได้อีกไม่นาน หลิงม่อจึงเร่งความเร็วทันที เขาพยายามเดินเข้าไปใกล้หลุมบนพื้นที่เกิดจากความเสียหายอย่างเงียบเชียบที่สุด


เมื่อเขาออกไปข้างนอก ซอมบี้นกก็จะยังอยู่ข้างในนี้ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นๆ แน่นอนว่ามันจะสัมผัสถึงเขาไม่ได้


พอหุ่นซอมบี้ถูกจัดการ หลิงม่อก็คงหนีไปไกลแล้ว ถึงแม้อาจจะถูกไล่ตามอีก แต่อย่างน้อยเขาก็ยังได้โอกาสทิ้งห่างครั้งหนึ่ง


แต่ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปใกล้หลุมนั้น ร่างกายกลับชะงักไปทันที


“เย่เลี่ยน?!”


เขาหันหลังขวับ เบิกตากว้างมองเข้าไปข้างในตัวห้างฯ หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ เขากำลัง “มอง” ไปที่ประตูใหญ่ของห้างฯ


เนื่องจากพลังจิตถูกใช้ไปจำนวนมาก บวกกับสถานการณ์คับขัน หลิงม่อจึงไม่อาจแบ่งสมาธิไปสัมผัสรู้สถานการณ์ฝั่งพวกเย่เลี่ยนได้เลย


แต่เมื่อเย่เลี่ยนเข้ามาใกล้ในระยะนี้ สายสัมพันธ์ทางจิตก็ก่อเกิดปฏิกิริยาตอบสนองตามความเคยชิน


แต่ระยะห่างนี้มัน…ใกล้เกินไปแล้ว…


“ไม่ๆๆๆ…”


หลิงม่อรีบส่งคำสั่งผ่านกระแสจิต แต่มันกลับสายไปแล้ว


ปัง!


เสียงปึงปังดังมาจากชั้นล่างของห้างฯ แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในตัวห้างฯ ที่มืดมิด ประตูกระจกบานใหญ่กระเด็นออกไปไกล พร้อมกับการปรากฏตัวของโฉมงามผู้มีเงาร่างอันบอบบางตรงหน้าประตู


เสียงเศษกระจกหล่นกระทบพื้นดังเพล้งๆ เงาร่างอรชรเริ่มสาวเท้าเดินเข้ามาในตัวห้างฯ


เมื่อซอมบี้ตัวหนึ่งคำรามเสียงดังพร้อมชะโงกหน้าออกมานอกรั้วกั้น กระบอกปืนยาวๆ ในมือเงาร่างหญิงสาวก็ถูกยกขึ้นอย่างรวดเร็ว


ฟุบ!


ลูกกระสุนพุ่งเข้าไประเบิดใบหน้าซอมบี้ตัวนั้นอย่างแม่นยำ เลือดสดๆ และชิ้นเนื้อกระจายไปทั่ว


ร่างกายของซอมบี้ตัวนั้นกระเด็นออกไป และกระแทกเข้ากับกองชั้นวางของด้านหลังอย่างแรง


เสียงโครมครามดังมาอีกครั้ง หลิงม่อที่อยู่ชั้นบนยกมือขึ้นตบหน้าผากอย่างจนใจ


“เด็กโง่ กลับมาทำไม่เนี่ย…”


ทว่าถึงแม้จะเอือมเล็กน้อย แต่สิ่งที่หลิงม่อรู้สึกมากกว่า กลับเป็นความอบอุ่นใจ


เย่เลี่ยนในฐานะซอมบี้ ย่อมรู้เรื่องสภาพร่างกายของตัวเองดีกว่าอยู่แล้ว และการต่อต้านคำสั่งทางจิตสำหรับเธอที่เป็นเด็กดีมาโดยตลอดนั้น เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก


การที่เธอกลับมา ทำให้หลิงม่อมีความรู้สึกที่หลากหลายมาก


เสียงโครมครามที่เย่เลี่ยนสร้างขึ้น รวมถึงกลิ่นอายของซอมบี้เจ้าเมืองที่ไม่คิดปกปิด ดึงดูดความสนใจจากเจ้าซอมบี้นกได้ในทันที


มันหันหลังกลับมามองในระหว่างที่กำลังไล่ตามหุ่นซอมบี้ ฉีกยิ้มแล้วเผยเสียงหัวเราะประหลาดออกมา “ขึกๆๆๆๆ…มาแล้ว อาหารมาแล้ว!”


เลือดในกายพลันเดือดพล่านขึ้นมาทันที


“เอาวะ! สู้กันซักตั้ง!”


หลิงม่อกำลังจะก้าวออกไป แต่ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังงานทางจิตจากเย่เลี่ยน


เขาอึ้งไปก่อน จากนั้นก็เบิกตากว้าง อดเผยรอยยิ้มตื่นเต้นออกมาไม่ได้


—————————————————————————–


บทที่ 679 พวกแกเป็นพวกเดียวกัน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…”


หลิงม่อเกี่ยวเศษผ้าเก่าๆ ที่เพิ่งทิ้งลงพื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนกายเดินไปทางหลุม แล้วก็กระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล


พื้นดินเลื่อนใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เสียงลมพัดผ่านดังหวีดหวิวข้างหู ในอาคารที่ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังมีเสียงโครมครามดังอย่างต่อเนื่อง


หลิงม่อทิ้งตัวลงบนพื้นถนนอย่างเบาเท้า แต่เขาไม่ได้รีบเคลื่อนไหวทันที กลับยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วก่อน


ซอมบี้ตัวหนึ่งที่บังเอิญถูกเสียงดังดึงดูดความสนใจหันมาเห็นหลิงม่อเข้า มันทำท่าจะพุ่งเข้ามา แต่ก็ทำท่าลังเลอีก


“กรร?”


มันเบิกตากว้าง พลางชะงักหยุดในจุดที่ห่างออกไป 10 เมตร แล้วจ้องพิจารณาหลิงม่อที่กำลังก้มหน้านวดหว่างคิ้ว ขณะเดียวกันก็จ้องมองเศษผ้าเก่าๆ ที่ลอยไปลอยมาอยู่ข้างตัวหลิงม่ออย่างงุนงง


ยิ่งจ้องยิ่งสับสน ดูจากภายนอก เจ้าคนตรงหน้าเป็นมนุษย์แน่นอน!


แต่กลิ่นอายรอบตัวเขา กลับเหมือนกลิ่นของศพแห้งกรังที่ทำลายต่อมความอยากอาหารจนสิ้น


แล้วยังไอ้สิ่งที่ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศนั่นอีก ดูแล้วไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแน่ๆ…


สิ่งที่ซอมบี้สนใจมากที่สุดก็คือเลือดเนื้อสดใหม่ แต่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย สินค้าเก่าเก็บอย่างศพแห้งเนื้อเน่าก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้


แต่ศพที่สูญเสียน้ำในร่างกายไปจนหมด เหลือเพียงผิวหนังแห้งติดกระดูกแค่ชั้นเดียว ถึงแม้เป็นซอมบี้ก็รู้สึกแขยงเหมือนกัน


ความคิดที่ว่า “ซอมบี้ไม่เลือกกิน” ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว…


ซอมบี้ก็มีศักดิ์ศรีและการสงวนท่าทีของพวกมันเองเหมือนกัน…


หลิงม่อรับรู้ถึงตัวตนของซอมบี้ตัวนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เนื่องจากการเผาผลาญพลังจิตจำนวนมากในระหว่างกระโดดลงมาจากชั้นบน ทำให้เขารู้สึกมึนหัวอย่างรุนแรง จึงไม่มีเวลาหันไปสนใจอีกฝ่าย


เขานวดหว่างคิ้วหลายครั้ง แล้วยกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบขวดยาออกมาหลายขวด


“ไม่ใช่ขวดนี้ นี่มันของหมายเลข 0…ใช่แล้ว อันนี้แหละ”


หลิงม่อเลือกขวดยาออกมาหนึ่งขวดทั้งที่ยังมีอาการหน้ามืดตาลาย จากนั้นก็บิดฝาเปิดออกเทใส่ปากอย่างไม่รอช้าอีก


เมื่อกี้เขาไม่สามารถเจียดเวลามากินยาเลย ในที่สุดตอนนี้ก็หาโอกาสได้ซักที


“หมดแล้ว?”


หลิงม่อเทยาหยดสุดท้ายที่เหลืออยู่ในขวดใส่ปาก จากนั้นก็ยกขวดเปล่าขึ้นแกว่งไปแกว่งมา


“หัวเชื้อก็หมดแล้ว…”


ตัวยาของเหลวที่นำมาละลายเชื้อไวรัส ก็ไม่เหลือแล้ว


หากเป็นอย่างนี้ เขาก็ไม่สามารถทำขึ้นมาเองได้อีก เชื้อไวรัสเขามีพร้อมอยู่แล้ว แต่หัวเชื้อชนิดนั้นน่ะสิ เขาไม่รู้เลยว่ามันมีส่วนผสมและวิธีการทำอย่างไรบ้าง


เชื้อไวรัสที่หมายเลข 0 เหลือทิ้งไว้ก็มีประสิทธิภาพไม่สูงมาก ดังนั้นเวลาเพียงชั่วพริบตา เสบียงยาฟื้นฟูกำลังของหลิงม่อก็ขาดแคลนเสียแล้ว


“เฮ้อ…” หลิงม่อถอนหายใจ ในมือยังคงถือขวดเปล่าไว้


ไอเย็นๆ สายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากท้องน้อยของเขา จากนั้นก็แผ่ซ่านขึ้นไปถึงศีรษะเขาอย่างรวดเร็ว


หลิงม่อกระพริบตาถี่ๆ ไม่นานอาการมึนหัวของเขาก็ดีขึ้นมาก


ตอนที่เขาดื่มยา ซอมบี้ตัวนั้นก็ยืนเอียงคอจ้องเขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา


โดยเฉพาะตอนที่หลิงม่อเงยหน้ากลืนยาลงคอดัง “อึกๆๆ” ซอมบี้ตัวนั้นอ้าปากเล็กน้อย พร้อมกับจ้องลูกกระเดือกของหลิงม่อที่เกลือกกลิ้งขึ้นลงอย่างงุนงง


กระทั่งเมื่อหลิงม่อแกว่งขวดในมือไปมา ซอมบี้ตัวนี้ก็สูดจมูกฟุดฟิด


มันทำท่าลังเลเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เบิกตากว้างทันที


“กรร!”


กลิ่นของเชื้อไวรัสกระตุ้นซอมบี้ตัวนี้เข้าให้แล้ว มันสาวเท้าออกวิ่งไปทางหลิงม่ออย่างรวดเร็วทันที


“ฮู่ว!”


หลิงม่อพยายามลืมตากว้างๆ เขาเงยหน้าขึ้น แล้วยกฝ่ามือหันไปยังทิศทางที่ซอมบี้ตัวนั้นวิ่งเข้ามา


ทันใดนั้น ซอมบี้ที่กำลังวิ่งแหวกลมด้วยความเร็วสูงก็ล้มลงไปกับพื้นนอนหันหน้าขึ้นฟ้า ราวกับว่ามันเพิ่งวิ่งชนราวกั้นรถอย่างแรง


ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นยืน ร่างกายของซอมบี้ตัวนี้ก็เหยียดเกร็ง สายตาเหม่อลอยมองขึ้นฟ้า


หลายวินาทีต่อมา ซอมบี้ตัวนี้ก็บิดร่างกายไปมาเหมือนเครื่องยนต์ที่ติดขัด จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน


“ใกล้แล้ว…ถึงแม้จะฟื้นพลังจิตกลับมาได้ไม่มาก แต่อาการเหนื่อยล้าก็ทุเลาลงมาก…” หลิงม่อสะบัดศีรษะไปมา จากนั้นเขาก็มองไปทางหุ่นซอมบี้ตัวใหม่


หลังจากมองตากัน 2 วินาที หลิงม่อก็หันไปมองรอบกายอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พาหุ่นซอมบี้วิ่งไปฝั่งตรงข้ามของถนน


หนึ่งคนหนึ่งซอมบี้แนบตัวชิดกำแพง แล้วเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


“เย่เลี่ยนหมายถึงที่ไหนกันนะ…” หลิงม่อวิ่งไปพลาง กวาดมองซ้ายขวาอย่างร้อนใจไปพลาง เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว…


“น่าชังนัก! พวกขยะไร้น้ำยา! รำคาญจริงๆ!”


ซอมบี้นกโวยวายลั่น มันหมุนกายอย่างรวดเร็ว แล้วยกแขนที่แข็งแรงดั่งเหล็กเส้นเหวี่ยงขวางออกไป


“โครม!”


ขาโต๊ะครึ่งท่อนและเศษเนื้อไม้กระเด็นลอยออกไป ขณะเดียวกันสิ่งที่ลอยออกไปพร้อมๆ กัน ก็ยังมีหุ่นซอมบี้ตัวนั้นที่หลิงม่อควบคุมอยู่


สภาพของหุ่นซอมบี้ตัวนี้ดูอนาถเต็มทน ไม่เพียงถูกย้อมด้วยเลือดไปทั้งตัว บนใบหน้าก็ยังมีรอยยุบเหวอะหวะไปหมด ตาข้างหนึ่งเลอะเลือดเหนียวข้น ดวงตาสีแดงดูหม่นหมองลงกว่าเก่ามาก เหมือนลูกแก้วสีขุ่นอย่างไรอย่างนั้น


ท่าเหวี่ยงของซอมบี้นก ทำให้ไหล่ของหุ่นซอมบี้เลือดพุ่งออกมาเป็นสาย


หลิงม่อก้มหน้ามองฝ่ามือและแขนที่เต็มไปด้วยรอยเหวอะหวะ แล้วฝืนยกขาโต๊ะครึ่งท่อนในมือสั่นๆ ขว้างออกไป


ซอมบี้นกแค่เอียงหัวหลบสบายๆ แต่ตอนนี้ประกายเพลิงโทสะกลับลุกโชนในดวงตาสีม่วงคู่นั้น “น่ารำคาญโว้ย! เป็นแค่สวะชั้นต่ำที่สุดยังกล้า…”


ยังด่าไม่ทันจบ ชั้นวางของก็ถูกขว้างเข้ามาดัง “ฟิ้ว” อีกครั้ง


ครั้งนี้ซอมบี้นกไม่หลบ ในขณะที่มันลอยเข้ามาใกล้ในระยะ 3 เมตร ชั้นวางของชั้นนั้นกลับตกกระแทกพื้น และแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ


เศษเล็กเศษน้อยกระเด็นโดนตัวซอมบี้นก แต่ก็ไม่สามารถทำให้มันถลอกได้แม้แต่นิดเดียว


“วะฮ่าฮ่าฮ่า!” ซอมบี้นกหัวเราะก้องด้วยเสียงที่คล้ายนกยักษ์มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนี้ไม่อาจสร้างความรู้สึกอันตรายให้มันได้ แต่กลับสามารถทำให้มันโมโหที่สุดในประวัติศาสตร์


อาหารมื้อค่ำเลิศรสรออยู่ชั้นล่างนี้แล้วแท้ๆ แต่มันกลับถูกผักกาดขาวเน่าๆ หัวหนึ่งที่มีค่าพอแค่ให้ยัดใส่ถังขยะรังควานไม่เลิก


ปกติแล้วเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับธรรมดาเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากมดเลย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าตัวนี้จะสร้างความยุ่งยากให้กับมันได้มากถึงขนาดนี้


สิ่งที่ทำให้ซอมบี้นกเดือดมากที่สุดก็คือ เหมือนมันจะสัมผัสถึงกลิ่นอายเจ้ามนุษย์น่าชังนั่นผ่านเจ้าปลาโง่ตัวนี้ได้รางๆ!


“พวกเดียวกัน! เป็นพวกเดียวกัน!”


ซอมบี้นกระเบิดความโกรธ พลันพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว


ทว่าหุ่นซอมบี้กลับวิ่งหนีไปอย่างเจ้าเล่ห์ โดยการเลือกวิ่งเข้าไปในมุมเลี้ยวของร้านค้าที่กั้นโดยตะแกรงเหล่านั้น


สภาพแวดล้อมอย่างนี้เหมาะแก่การยืดการต่อสู้ออกไปมาก ขอเพียงเร็วพอ ไม่ว่าวิ่งไปทางไหนก็มีที่ให้ซ่อนตัวทั้งนั้น


ระหว่างทางยังมีสิ่งของให้คว้าขึ้นมาขว้างปา เพื่อป้องกันไม่ให้ระยะห่างสั้นลง


ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เรี่ยวแรงของหุ่นซอมบี้ตัวนี้ก็ลดฮวบลงจนถึงระดับที่อันตราย


บาดแผลที่แผ่นหลังก็ไม่มีการสมานตัวแต่อย่างใด แล้วยังมีความรู้สึกที่เหมือนเนื้อฉีกขาดออกเรื่อยๆ อีก


เรี่ยวแรงใกล้หมดเต็มที เชื้อไวรัสที่ติดมาก็พร้อมจะออกฤทธิ์ได้ทุกเมื่อ


แต่ในระยะเวลาที่มีจำกัดนี้ ภายใต้การควบคุมอย่างชำนาญของหลิงม่อ หุ่นซอมบี้ได้ถ่วงเวลาพาเจ้าซอมบี้นกวิ่งเข้านั่นออกนี่อยู่ในตัวห้างฯ อย่างสุดความสามารถ


แต่ความต่างของพลังมีให้เห็นชัดเกินไป หุ่นซอมบี้เพิ่งจะหักเลี้ยว ก็รู้สึกเหมือนแขนถูกดึงอย่างแรงทันที


“แกร๊ก!”


เลือดสีแดงสดกระจายไปทั่ว ร่างกายของหุ่นซอมบี้สั่นคลอนตามแรงดึงชั่วขณะ


เห็นหุ่นซอมบี้ยังคงวิ่งหนีต่ออย่างไม่ลดละ เจ้าซอมบี้นกขว้างแขนข้างที่มันดึงหลุดลงพื้นอย่างโกรธจัด “แกไม่คู่ควรเป็นซอมบี้จริงๆ!”


“แน่นอนสิ ก็ฉันเป็นคนนี่…” หลิงม่อคิดในใจ


เย่เลี่ยนรับหน้าที่เฝ้าประตูหน้าต่อไป ดูเธอรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร แต่กลับสามารถทำหน้าที่ “หนึ่งคนเฝ้าด่าน ซอมบี้หมื่นตัวมิอาจกล้ำกราย” ได้เป็นอย่างดี


มีเทพเจ้าสายฟ้าอยู่ในมือ บวกกับดวงตาที่สามารถจับจุดโฟกัสอัตโนมัติได้อย่างต่อเนื่อง ซอมบี้ที่หมายจะเข้าใกล้ล้วนถูกระเบิดกระจุยเป็นผุยผงถ้วนหน้า


ถึงแม้มีซอมบี้โชคดีหลุดไปได้ แต่สุดท้ายก็ถูกเย่เลี่ยนจัดการอย่างง่ายดายอยู่ดี


หลังก้าวข้ามเข้าสู่ระดับเจ้าเมือง เธอไม่เพียงได้รับการเปลี่ยนแปลงด้านดีเกี่ยวกับสายตาเท่านั้น แต่ศักยภาพร่างกายของเธอพัฒนาขึ้นในทุกด้านอีกด้วย


ถึงแม้จะยังไม่มั่นคง แต่สำหรับเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับต่ำเหล่านี้ถือว่ามากเกินพอแล้ว


เธอลดเทพเจ้าสายฟ้าลง พลิกมือล้วงระเบิดออกมาจากกระเป๋าเป้หนึ่งลูก


“เข้ามา…อีกสิ” สายตาเหม่อๆ ของเย่เลี่ยนจับจ้องไปยังด้านในของห้างฯ มองดูเหล่าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่พากันกระโดดข้ามราวแล้ววิ่งกรูเข้ามา


พวกซอมบี้ที่ถูกยิงบ้างก็หล่นจากที่สูงกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนร่างแหลก บ้างก็ห้อยอยู่บนราวกัน บ้างก็ตัวปลิวเข้าไปในร้านรวงข้างทาง และถูกเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวอื่นกินแก้หิว


กลิ่นคาวเลือดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาเย่เลี่ยนกลับยิ่งเปล่งประกายเจิดจ้า


กลิ่นอายของซอมบี้เจ้าเมืองรอบกายเธอ กำลังพลุ่งพล่านมากขึ้นทุกขณะ…


“วะฮ่าฮ่าฮ่า!” ซอมบี้นกหัวเราะดังกึกก้อง พลางไล่โจมตีหุ่นซอมบี้ไปติดๆ อย่างไม่ยอมปล่อย


หุ่นซอมบี้แขนขาดหนึ่งข้าง แต่ที่ร้ายแรงกว่าคือเรี่ยวแรงที่กำลังถดถอยอย่างหนัก ความเร็วของมันจึงช้าลงเรื่อยๆ


วิ่งไปได้ไม่ไกล แขนของมันก็ถูกดึงขาดไปอีกข้าง


เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นเต็มทางเดิน กลิ่นคาวเลือดฉุนลอยคลุ้งไปทั่วด้านในของห้างฯ


กลิ่นเลือดจากร่างหุ่นซอมบี้เริ่มดึงดูดความกระหายจากซอมบี้บางส่วน พวกมันเหมือนอีแร้งที่กำลังเดินวนเวียนไปมาอยู่ในซอกหลืบ พร้อมทอดสายตาเย็นชาไปยังทิศทางที่หุ่นซอมบี้อยู่


แต่เพราะมีซอมบี้ราชาอยู่ตรงนั้นด้วย พวกมันจึงไม่กล้าเข้าใกล้


“ปุบ!”


ซอมบี้นกขว้างแขนอีกข้างของหุ่นซอมบี้ออกไป จากนั้นก็กระโดดสูง เล็บแหลมคมจิกเกี่ยวกับเพดาน และทิ้งตัวลงบนศีรษะหุ่นซอมบี้อย่างรวดเร็ว


กรงเล็บที่เหมือนนกของมันจิกเข้าที่ไหล่ของหุ่นซอมบี้ และถีบร่างของหุ่นซอมบี้ให้ล้มลงกับพื้นดัง “โครม”


“ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”


ซอมบี้นกแสยะยิ้มคำรามลั่น มันไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นกับการจับเหยื่อเท่าครั้งนี้มาก่อน


สิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากที่สุดคือ อีกฝ่ายที่ทำให้มันตื่นเต้นกลับเป็นแค่ซอมบี้ธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น


ไม่สิ เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์นี่จะธรรมดาได้อย่างไร? มันต้องเป็นพวกเดียวกับเจ้ามนุษย์นั่นแน่!


“ขึกๆๆๆๆๆ! แกเละแน่!”


ซอมบี้นกออกแรงเหยียบร่างหุ่นซอมบี้ที่พยายามขัดขืนไว้ใต้ฝ่าเท้า จากนั้นก็โค้งตัวลงไปกระชากผมของมัน


มันอยากเห็นสภาพเจ้าหนอนเน่าตัวนี้ถูกตัวเองกระชากหัวหลุดจนแทบอดใจรอไม่ไหว การมองดูความตาย และเลือดสดๆ คือสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับซอมบี้แล้ว


“ขึกๆๆๆๆๆ!” ซอมบี้นกหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เหมือนว่าตอนนี้มันลืมเรื่องของเย่เลี่ยนไปเสียสนิทแล้ว


แต่เพิ่งจะโน้มตัวลงไป ซอมบี้นกก็สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง


ไม่รอให้มันหันมอง หุ่นซอมบี้ที่ถูกมันเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าก็พยายามเอี้ยวตัว ท่ามกลางเสียงกระดูกหักดัง “กร๊อบแกร๊บๆๆ” แล้วทันใดนั้นมันก็งับเข้าที่แข้งซอมบี้นกอย่างแรงในมุมองศาที่พิสดารสุดๆ


กัดไม่เจ็บ แต่แน่นมาก ซอมบี้นกยกเท้าอีกข้างเตะมันเต็มแรง แต่ขนาดเลือดแดงๆ ไหลออกจากซอกฟันของมันลงมาเป็นสาย มันก็ยังไม่ยอมปล่อย


—————————————————————————–


บทที่ 680 ปีกหนึ่งคู่ที่สวรรค์ให้แกมา สมควรเอามาเคี่ยวแกงกิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ปล่อยเดี๋ยวนี้…”


ซอมบี้นกเตะแรงๆ อีกครั้ง เศษอวัยวะภายในที่ทะลุกขึ้นมาปะปนกับเลือดจำนวนมาก ไหลออกจากมุมปากของหุ่นซอมบี้อย่างต่อเนื่อง


สีหน้าของมันเริ่มคลุ้มคลั่ง ถึงแม้ปกติซอมบี้จะกัดไม่ปล่อยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นนี้!


นอกจากนี้ เจ้าซอมบี้ตัวนี้ก็ไม่ได้อาศัยแค่สัญชาตญาณในการต่อสู้ ตอนนี้พฤติกรรมของมันกลับแสดงให้เห็นว่ามันมีทักษะพิเศษ


มันสามารถขัดขวางองศาในการเตะของซอมบี้นก ไม่ให้โดนหน้าอกและศีรษะซึ่งเป็นจุดอันตรายถึงชีวิตได้โดยอาศัยร่างกายของมันเอง


แม้จะโกรธแค้นถึงขีดสุด แต่ซอมบี้นกก็ทำได้เพียงบิดตัวก้มลงไปจิกผมหุ่นซอมบี้เท่านั้น


ในตอนนั้นเอง หางตาของมันก็เหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่ง


มันเพิ่งจะหันไปสบตากับดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้น วัตถุทรงกระบอกก็ถูกขว้างตรงเข้ามาที่ศีรษะของมัน


“นั่นอะไรวะ?!”


ซอมบี้นกรับรู้ได้ถึงรางร้ายโดยสัญชาตญาณ ภาพนี้มันคุ้นๆ อยู่นะ!


ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ทำให้ซอมบี้นกเข้าใจหลักแห่งความจริงอย่างหนึ่ง—ของทุกสิ่งที่พุ่งออกมาจากมุมมืดอย่างกะทันหัน ไม่ควรแตะต้อง!


“รีบปล่อยสิโว้ย!”


สายตาของซอมบี้นกจับจ้องไปที่วัตถุทรงกระบอก ขณะที่เล็บแหลมๆ จิกผมของหุ่นซอมบี้อย่างแรง


ความรู้สึกตื่นเต้นลุ้นระทึกพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ซอมบี้นกรู้สึกเหมือนแม้แต่ปลายเล็บของตัวเองก็กำลังสั่นเทาเพราะความตื่นเต้น


ในที่สุด! ในที่สุดก็จะสลัดหลุดจากการเกาะกุมของเจ้าหนอนเน่าตัวนี้ได้แล้ว!


ถ้าไม่ใช่เพราะไร้ความรู้สึกนึกคิดอย่างมนุษย์ ตอนนี้ซอมบี้นกคงร่ำไห้น้ำตานองหน้าเพราะความคิดของตัวเองไปแล้ว


เป็นถึงซอมบี้ราชา แต่กลับมีสภาพแบบนี้…


ช่างตกต่ำจริงๆ!


ซอมบี้นกกำลังจะกำจัดต้นเหตุแห่งความอัปยศครั้งนี้ด้วยมือของตัวเอง ส่วนวัตถุทรงกระบอกนั่นตอนนี้กำลังลอยอยู่เหนือศีรษะของมันพอดี


ซอมบี้นกหัวเราะเสียงเย็น “ขึกๆ” ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็ไม่มีทางสัมผัสถูกตัวมันได้แน่…


“ฟิ้ว!”


ทันใดนั้น ไม้ติดไฟท่อนหนึ่งก็ถูกขว้างออกมาจากมือของเงาร่างนั้น


“เอ๊ะ?”


ซอมบี้นกหันไปสนใจท่อนไม้นั้นชั่วขณะ และในตอนนั้นเอง เสียง “เคร้ง” ก็ดังขึ้นบนหัวของมัน แล้วของเหลวกลิ่นแปลกๆ มากมายก็สาดลงมารดหัวมัน


ซอมบี้นกยังคงอยู่ในท่าโค้งตัวลง มันถูกของเหลวประหลาดนั่นสาดตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่ทันตั้งตัว


เส้นผมที่ยุ่งเหยิงเหมือนรังนกของมันบดบังการมองเห็น ในขณะที่มันยังอึ้งตั้งตัวไม่ติด ท่อนไม้ท่อนนั้นก็ร่วงลงข้างเท้าของมัน


หางตาเพิ่งจะเหลือบเห็นสะเก็ดไฟเล็กๆ บนพื้น เจ้าซอมบี้นกก็รู้สึกว่าไอร้อนติด “พรึ่บ” จากปลายเท้าขึ้นมาทันที


“ว๊ากกก!”


ในวินาทีสุดท้าย มันหักคอหุ่นซอมบี้ได้สำเร็จ แต่กะโหลกนั่นก็ยังติดอยู่กับแข้งของมันไม่ยอมปล่อย และไม่นานมันก็ลุกท่วมไปด้วยไฟอย่างรวดเร็ว


“อุว๊ากกกก!”


ซอมบี้นกลั่นร้องเสียงประหลาด แต่ตอนนี้ทั้งความเร็วและพละกำลังกลับไม่สามารถช่วยให้มันดับไฟได้อีกแล้ว


ขณะที่ซอมบี้นกวิ่งพล่านอยู่ในกองเพลิงที่ลุกลามแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมบนหน้าแข้งก็มีวัตถุกลมๆ ติดไฟเกาะอยู่ เจ้าของเงาร่างผู้ลงมือกลับยืนเหม่อลอยอยู่กับที่


“แฮ่ก…แฮ่ก…”


นอกห้างสรรพสินค้า หลิงม่อกำลังยืนพิงเสาไฟหอบแฮ่กๆ


เส้นผมบนหน้าผากของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ สีหน้ายิ่งซีดขาวจนน่าตกใจ


ต้องทำสองเรื่องพร้อมกันในเวลาเดียวกัน แถมเป็นเรื่องหนักหน่วงทั้งนั้น โดยเฉพาะตอนที่หุ่นซอมบี้ตัวแรกใกล้ตาย สำนึกต่อต้านที่เกิดจากสัญชาตญาณของมัน ยิ่งทำให้หลิงม่อควบคุมได้ลำบากกว่าเดิม


ในวินาทีสุดท้าย เขาเกือบตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิตกับมันไม่ทัน


แค่คิดว่าเมื่อกี้เขาเกือบต้อง “สัมผัส” ประสบการณ์คอขาดด้วยตัวเอง หางตาของหลิงม่อก็กระตุกยิกๆ อย่างควบคุมไม่ได้


แต่ว่า…เขาทำสำเร็จแล้ว!


“สำนวนที่ว่าสวรรค์ให้ปีกมาหนึ่งคู่ สมควรถูกเอามาเคี่ยวกิน (สำนวนจีน หมายถึง คนที่มีความสามารถติดตัว แต่กลับไม่สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ และใช้ชีวิตล้มเหลว ไร้ค่า)…ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นตัวอย่างจริงๆ กับตา…” หลิงม่ออดคิดในใจไม่ได้


“ว๊ากกกก!”


ซอมบี้นกยังคงร้องลั่น พร้อมกับเปลวไฟที่ไหม้ลามอย่างรวดเร็ว


เดิมทีอากาศข้างในนี้ก็แห้งมากอยู่แล้ว ซ้ำยังมีแต่สินค้ากระจุกกระจิกที่ติดไฟง่าย รวมถึงเสื้อผ้าจำนวนมากอยู่ด้วย แค่เปลวไฟเล็กๆ ก็ทำให้เกิดไฟไหม้ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไฟบนตัวซอมบี้นกในตอนนี้เลย


หลังจากยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง เงาร่างนั้นก็ขยับเขยื้อน คราวนี้ไม่ได้ขว้างท่อนไม้เข้ามา แต่กลับก้มหยิบสิ่งของติดไฟที่อยู่ใกล้ๆ ขว้างออกไปทั่ว


รอจนกระทั่งพื้นรอบๆ ติดไฟแล้ว เงาร่างนี้ก็พุ่งเข้าไปทางซอมบี้นก


เปลือกตาของซอมบี้นกถูกเผาจนทำให้มันลืมตาไม่ได้ รอบด้านก็เต็มไปด้วยไอร้อนและควันคลุ้ง มันไม่อาจจับทางได้ว่าควรวิ่งหนีไปทิศใด


แต่ในขณะที่กำลังคิดจะวิ่งฝ่ากองเพลิงออกไปมั่วๆ มันกลับถูกเงาร่างนั้นพุ่งเข้ามากระแทกจังๆ


แรงกระแทกพาให้ล้มลงไปกับพื้น ส่งผลให้ซอมบี้สองตัวกลิ้งหลุนๆ ไปท่ามกลางทะเพลิง


“กร๊อบ!” ถึงแม้ตอนนี้ซอมบี้นกจะกลายร่างเป็นมนุษย์เพลิงไปแล้ว แต่มันก็ยังมีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่ มันเอื้อมมือออกไปจับอวัยวะบางส่วนของซอมบี้ แล้วออกแรงดึงเต็มแรง จากนั้นก็เตะแรงๆ อีกครั้ง จนซอมบี้ตัวนั้นกระเด็นลอยออกไป


มันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง และวิ่งพุ่งไปข้างหน้า


“โครม!”


เสียงซอมบี้นกวิ่งกระแทกผนังดังโครม แต่มันก็หันหลังกลับ และวิ่งไปยังอีกทางอย่างรวดเร็วอย่างไม่ยอมเสียเวลา


หลิงม่อยกมือขึ้นปัดตัวสองสามทีอย่างเคยชิน แล้วจึงค่อยสลัดเงาร่างของหุ่นซอมบี้ที่เพิ่งวิ่งใส่ทะเลเพลิงทิ้งไป


เจาหรี่ตามองไปทางห้างสรรพสินค้า เย่เลี่ยนกำลังถือปืนเทพเจ้าสายฟ้าวิ่งออกมาจากในนั้น


“ทางนี้!” หลิงม่อกวักมือเรียกเขา


เย่เลี่ยนวิ่งตรงมาทางเขา ขณะเดียวกันก็หันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้


“ไม่ต้องดูแล้ว ไฟไหม้ขนาดนี้ พวกเราเข้าไปก็มีแต่จะอันตราย” พอเย่เลี่ยนวิ่งมาถึงตรงหน้า หลิงม่อก็พูดขึ้น


ควันดำโขมงกลุ่มหนึ่งลอยคลุ้งออกมาจากหน้าต่างของชั้นนั้น พร้อมกับแสงไฟที่สาดไหวอยู่รางๆ


เย่เลี่ยนพนักหน้า จากนั้นก็กวาดสายตาเช็คสภาพร่างกายหลิงม่อหนึ่งที


หลิงม่อยิ้มแล้วบอกว่า “ฉันไม่เป็นไร”


เย่เลี่ยนหยุดอยู่ตรงหน้าหลิงม่อ ดวงตากลมโตจ้องใบหน้าชายหนุ่ม เธอค่อยๆ ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเขาเบาๆ


“ขอบใจมากนะ เด็กโง่”


หลิงม่อจับข้อมือเย็นๆ ของเย่เลี่ยนมาทาบกับแก้มของตัวเอง


เย่เลี่ยนชะงักกึก ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นจ้องตรงมาในดวงตาหลิงม่อ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา


“เมื่อกี้ยิงได้สุดยอดเลยล่ะ ทั้งจังหวะ องศา สมบูรณ์แบบสุดๆ” หลิงม่อหัวเราะพร้อมกับพูดชมเชยไปด้วย


ถ้าหากไม่ใช่ว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างนี้ล่ะก็ จะลอบวางเพลิงเผาซอมบี้ราชาตัวหนึ่ง คงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน


หากคิดจะวางเพลิงธรรมดา ยังไม่ทันจุดไฟก็โดนจับได้แล้ว…


ครั้งนี้ที่ทำสำเร็จได้ เป็นเพราะความร่วมมือของเขาและเธอ


แต่ถึงแม้อย่างนั้น หลิงม่อก็ยังต้องอาศัยหุ่นซอมบี้เพิ่มอีกสองตัว


เย่เลี่ยนยิ้มบางๆ นิ้วมือเนียนนุ่มลูบไล้เบาๆ อยู่บนแก้มของหลิงม่อ


หลิงม่อปล่อยมือเย่เลี่ยนอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วจากนั้นก็มองไปทางห้างสรรพสินค้า


“เพล้ง โครมม!”


บานกระจกพลันระเบิดออก เปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งออกมาพร้อมกับควันหนา


“ไม่ได้การ พวกเราต้องไปจากที่นี่ก่อน”


ไม่รู้ว่าไฟจะไหม้ถึงเมื่อไหร่ เพราะเปลวเพลิงและเสียงระเบิดจะเป็นสิ่งดึงดูดซอมบี้จำนวนมากมาที่นี่


สีหน้าของเย่เลี่ยนเองก็ดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ส่วนหลิงม่อก็ยิ่งอาการหนักเข้าไปใหญ่


“รอให้ไฟดับแล้วพวกเราค่อยกลับมา” หลิงม่อมองไปทางหน้าต่างบานนั้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ว่ามีดวงแสงแห่งจิตหลายดวงกำลังใกล้เข้ามาทางนี้แล้ว


“ไปกันเถอะ!”


เขาดึงมือเน่เลี่ยน แล้ววิ่งไปยังปลายถนน


แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว หลิงม่อกลับหน้ามืด และล้มหน้าคว่ำกะทันหัน


การเผาผลาญพลังจิตระดับสูงต่อเนื่องกัน ทำให้หลิงม่อเข้าสู่สภาวะเหนื่อยล้าสุดขีดแล้ว


เขาหนีสำเร็จ แล้วยังเผาซอมบี้นกได้อีก ความรู้สึกคลายกังวลจึงทำให้ดวงจิตของหลิงม่อผ่อนคลายลงในที่สุด


เย่เลี่ยนพลิกมือดึงร่างหลิงม่อเข้ามา ปรากฏว่าหลังตรวจสอบดูด้วยความกังวล กลับพบว่าถึงแม้หลิงม่อจะหลับตา แต่ลมหายใจของเขาเป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่น่าเป็นห่วง


คิดไม่ถึงว่าจะหลับไปในสถานการณ์อย่างนี้…


เย่เลี่ยนประคองหลิงม่อเดิน พร้อมกับสังเกตการณ์ข้างหน้าข้างหลังอย่างระมัดระวัง


บนถนนอันโล่งกว้าง มีแค่เธอและหลิงม่อที่ยืนอยู่ตรงนั้น…


“เดี๋ยวนะ…”


สิบกว่านาทีต่อมา กลับมาที่โรงแรม ทันใดนั้น มู่เฉินที่พูดฝอยจนคอแห้งผากก็ลุกพรวด แล้ววิ่งไปทางหน้าต่าง


ถึงแม้จะเห็นไม่ชัด แต่นั่นต้องใช่ควันไฟแน่ๆ…


“เกิดไฟไหม้หรอ? ฝีมือพวกหลิงม่อ?” มู่เฉินขมวดคิ้ว แล้วถามขึ้น


แน่นอน สวี่ซูหานไม่ตอบเขาอยู่แล้ว ไม่แม้กระทั่งลุกขึ้นมาตรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้น


มู่เฉินจ้องควันไฟกลุ่มนั้น แล้วได้แต่ทำหน้าสงสัย


และในตอนนั้นเอง หางตาของเขาก็ชำเลืองผ่านถนนด้านล่าง


“พวกเขากลับมาแล้ว!”


มู่เฉินเผลอทำหน้าลิงโลดออกมา เขาเห็นเงาร่างของเหล่าคนคุ้นเคยกำลังช่วยประคองซึ่งกันและกันเดินเข้ามาทางโรงแรม


เมื่อสวี่ซูหานได้ยิน ก็เริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้าง เธอยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นทันที


“ดีเหลือเกิน!” มู่เฉินดีใจจนร้องลั่น แล้วก็พบว่าสวี่ซูหานกำลังจ้องตัวเองเขม็ง


เขารีบกระแอมแก้เก้อ แล้วพูดอ้อมแอ้ม “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”


—————————————————————————–


บทที่ 681 จำไว้ว่าต้องปิดประตูด้วย

โดย

Ink Stone_Fantasy

พวกเย่เลี่ยนเดินมาถึงหน้าประตูโรงแรมไม่นาน มู่เฉินกับสวี่ซูหานก็เดินตามกันออกมารับพวกเธอ


หลังจากฟังมู่เฉินเล่า “บันทึกการสังเกตการณ์หลิงม่อ” มาหลายชั่วโมง อาการของสวี่ซูหานก็ดูเหมือนคงที่มากขึ้นทีเดียว


แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่มู่เฉินวิ่งไปเปิดประตูอย่างเริงร่า จู่ๆ สวี่ซูหานที่เดินตามหลังอยู่กลับเดินเซ และรีบยกมือขึ้นยันผนังไว้


เธอก้มหน้า พยายามยกเปลือกตามองไปข้างหน้า พร้อมกับสะบัดหัวแรงๆ


ม่านสีแดงที่เคลือบดวงตาเธออยู่เริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะสะบัดหัวอย่างไรก็ไม่หายไปแล้ว…


เธอเลื่อนสายตาไปยังกระจกเก่าแตกๆ ข้างตัว แล้วก็ต้องชะงักงันไปชั่วขณะ


ผิวสีซีดเซียว ดวงตาถูกย้อมแดงแทบจะทั้งหมด รังสีเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณข้าใน…


ลมหายใจของสวี่ซูหานกระชั้นถี่ขึ้นมาทันใด เธอยกมือขึ้นลูบตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ


นี่ยังเป็นตัวเธออยู่อีกหรือ?


ผู้ประกาศข่าวสาวที่มีบุคลิกโดดเด่นเสมอในที่ทำงาน ทำไมถึงได้มีสภาพอัปลักษณ์อย่างนี้ไปได้…


“พวกเธอไปนานเกินไปแล้วนะ…” มู่เฉินเปิดประตู พร้อมกับบ่นอุบ


แต่เสียงที่สวี่ซูหานได้ยินกลับเหมือนเสียงแทรกซ้อนดังๆ เธอทำหน้าทุกข์ทรมาน และยกมือขึ้นปิดหูทันที


นี่คือโลกของซอมบี้งั้นหรอ? ช่างทรมาน…เสียงดังเหลือเกิน…


สวี่ซูหานยกมือกุมหัวพิงกำแพง มู่เฉินพูดเสียงดังเจื้อยแจ้วไม่หยุด พร้อมกับลากโซฟาที่เอามายันประตูแก้ขัดไว้ออก


เสียงโซฟาครืดกับพื้นเหมือนเสียงปืนใหญ่ที่ระเบิดอยู่ข้างหูเธอ มันดังจนทำให้เธออยากกรีดร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ออกมา


เล็บมือจิกลึกเข้าไปในหนังศีรษะ แต่กลับไม่อาจช่วยบรรเทาความฟุ้งซ่านในสมองได้


ทำไมถึงไม่เจ็บล่ะ? ทำไมไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย!


สวี่ซูหานจ้องตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก ความรู้สึกแปลกหน้ากัดกินใจเธออย่างรวดเร็ว


ทั้งๆ ที่เธอกลัวแทบตาย แต่สายตาของคนในกระจก กลับเต็มไปด้วยความปรารถนาต่อกลิ่นคาวเลือด…


การฟังเรื่องเล่าจากมู่เฉินเป็นเพียงวิธีที่จะทำให้สมองของเธออยู่ในสภาวะตื่นตัวชั่วคราวเท่านั้น แต่ภายใต้การกัดกร่อนของเชื้อไวรัส ร่างกายของเธอกลับแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกมาอย่างซื่อสัตย์


“แต่ทำไมจู่ๆ ก็…”


แอ๊ดด—


เมื่อประตูใหญ่ถูกผลักออก ร่างกายของสวี่ซูหานก็ชะงักค้างชั่วขณะ


เธอค่อยๆ หันหน้าไปมองพวกเย่เลี่ยนเดินเข้ามาข้างในเหมือนฝูงปลา


“ใช่แล้ว…เป็นเพราะ…”


สวี่ซูหานรู้สึกเหมือนแข้งขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ราวกับว่าเลือดในร่างกายใกล้จะทะลักออกมาแล้ว


อาการกระตุกสั่นที่เกิดขึ้นเองตามสัญชาตญาณ กลับทำให้สวี่ซูหานรู้สึกดี


โชคดีที่ไม่ได้พูดออกไป…ถ้าหากเมื่อกี้เธอหลุดปากออกไป ตอนนี้เรื่องจะเป็นยังไงนะ?


เธอยกมือกดขมับแรงๆ อีกครั้ง เพื่อเตือนสติตัวเองว่าอย่าตกอยู่ในภวังค์ความคิดยุ่งเหยิงอีก


“หัวหน้าทีมเป็นอะไรไป?” มู่เฉินมองหลิงม่อที่มีเย่เลี่ยนคอยช่วยประคองอย่างตกใจ แล้วรีบเดินเข้าไปเสนอตัวช่วยเหลือ


เย่เลี่ยนส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วตอบเสียงเบา “เขา…หลับน่ะ…”


“หลับเนี่ยนะ?!” มู่เฉินอึ้ง นี่ออกไปทำอะไรกันมาเนี่ย !


“โอยๆๆ ไม่ใช่ว่าไปโดนไฟมาหรอกนะ?” มู่เฉินหลีกทางให้เย่เลี่ยนกับหลิงม่อ แล้วยื่นมือไปขวางซย่าน่า ถามว่า “อีกอย่าง พวกเธอเป็นอะไรไปกันแน่เนี่ย?!”


ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินก็กำลังเดินประคองกันในสภาพหัวลู่ไหล่ตกเช่นกัน


มู่เฉินไม่เข้าใจเลยซักนิด คนกลุ่มนี้มีแต่ยอดฝีมือทั้งนั้น แต่นี่แค่ออกไปเคลียร์เส้นทาง ทำไมถึงกลับมาในสภาพนี้ได้ล่ะ?


ซย่าน่าที่ถูกมู่เฉินใช้แขนขวางทางไว้ ชะงักเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นโดยไม่พูดอะไรซักคำ


ทันทีที่สายตาประสานกัน มู่เฉินก็อดตัวสั่นไม่ได้


แขนของเขาทิ้งลงข้างลำตัวอย่างอ่อนแรงโดยอัตโนมัติ และกว่าจะได้สติ ซย่าน่าและหลี่ย่าหลินก็เดินผ่านไปแล้ว


“เอื้อก…”


มู่เฉินลอบกลืนน้ำลายดังเอื้อก หัวใจที่หล่นไปอยู่ตาตุ่มจึงค่อยๆ กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม


“นะ…น่ากลัวชะมัดเลย…” มู่เฉินลอบมองแผ่นหลังของซย่าน่าด้วยความรู้สึกผวา ถ้าไม่ใช่ว่าเขารู้จักกับพวกหลิงม่อมาซักพักหนึ่งแล้ว เขาคงไม่อยากจะเชื่อว่าสายตาอย่างนั้น เป็นของเด็กสาวมัธยมแผ่นหลังบอบบางคนนั้น


เดี๋ยวนะ ทำไมมีบอลเพิ่มขึ้นมาลูกหนึ่ง?


เมื่อกี้ตอนมองลงมาจากข้างบนเห็นไม่ค่อยชัด มู่เฉินจึงไม่รู้ว่ามีของสิ่งนี้อยู่ด้วย


เขาเบิกตากว้างมองวัตถุลูกกลมโตที่ถูกลากตามหลังซย่าน่าไป ปากก็หลุดถามออกไปอย่างห้ามไม่ทัน “เอ๊ะ นั่นมัน…”


ซย่าน่ายกมือขึ้นเหนือไหล่ แล้วโบกไปมาเบาๆ


มู่เฉินจึงจำต้องฝืนกลืนประโยคคำถามที่เหลือลงคอไปอย่างช่วยไม่ได้ พอเขาเงียบ ซย่าน่าก็หยุดโบกมือ แล้วชูนิ้วโป้งขึ้นแทน


“เฮ้ย ไม่ต้องมากดไลค์ให้เลยนะ! แล้วฉันผิดหรอที่ถามแค่นี้เนี่ย!” มู่เฉินยืนบ่นอุบด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกว่าเดิมหลายเท่า


สวี่ซูหานยืนแนบตัวติดผนัง มองดูเย่เลี่ยนเดินผ่านตัวเองไปอย่างหวาดๆ จากนั้นก็หันไปมองซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินที่กำลังเดินเข้ามา


เสี้ยววินาทีที่เดินผ่านในระยะเฉียดไหล่กัน จู่ๆ ซย่าน่าที่กำลังเดินคอตกก็ชะงักเท้า แล้วยกมือขึ้นมา


เป้าหมายของเธอคือหัวไหล่ของสวี่ซูหาน แต่เพราะสวี่ซูหานยืนเกร็งไปทั้งตัว มือของซย่าน่าที่ยืดออกไป กระทั่งถึงกับยืดนิ้วมือออกไปด้วย กลับมาไกลได้แค่ตะปบเข้าที่หน้าอกของสวี่ซูหาน


ป๊าบ!


สวี่ซูหานยืดตัวเกร็งหนักกว่าเก่า ดวงตาแดงก่ำจ้องไปที่ศีรษะของซย่าน่าอย่างหวาดกลัว


ป๊าบๆ!


ซย่าน่าถอนหายใจ แล้วตบเบาๆ อีกสองครั้ง


“อีกหน่อยก็ชินเอง” เธอพูดเสียงเบา แล้วทำท่าจะเดินต่อ แต่ก็พูดเสริมอีกประโยคอย่างลังเลเล็กน้อย “ฉันหมายถึงความรู้สึกพวกนั้นน่ะ ไม่ได้หมายถึงไอ้ที่เมื่อกี้…”


สวี่ซูหานนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างทื่อๆ


เธอมองดูพวกซย่าน่าเดินขึ้นบันได แต่กลับยังไม่หายจากอาการใจเต้นตูมตามราวกับจะระเบิด


“เฮ้ เธอไม่เป็นไรนะ?” มู่เฉินปิดประตู แล้วเดินเข้ามาถามอย่างระมัดระวัง


สวี่ซูหานที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง ขณะเดียวกันก็หลับตาแล้วทำหน้าเหมือนทนทุกข์สุดขีด


เธอเม้มปากแน่น แล้วหันกลับไปตวาดด้วยเสียงแหบต่ำและขุ่นเคืองว่า “เสียงดังโวยวายจริง!”


ตวาดเสร็จ สวี่ซูหานก็วิ่งขึ้นบันไดไปโดยไม่หันกลับมามอง ไม่นานเธอก็หายเข้าไปในมุมเลี้ยวบันได


มู่เฉินยืนค้างเติ่งอยู่กับที่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยได้สติกลับมาอย่างอึ้งๆ เขายกมือขึ้นตบหน้าผาก แล้วทรุดนั่งลงไป “คิดว่าเป็นฉันมันง่ายนักหรอ…”


“มา…”


เย่เลี่ยนเปิดประตูโดยใช้มือข้างเดียว อีกมือประคองหลิงม่อเดินเข้าห้องอย่าระมัดระวัง


หลังนอนลงไป หลิงม่อก็ขยับปากสองสามที แต่กลับไม่เปล่งเสียงใดๆ ออกมา


เย่เลี่ยนยังคงยืนโน้มตัวต่ำอยู่ เธอยกมือขึ้นเสยผมที่สยายลงมาทัดหู แล้วมองหลิงม่อที่กำลังหลับได้ที่เงียบๆ


ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แสงยามโพล้เพล้สาดส่องผ่านบานกระจกเข้ามาอาบร่างของทั้งสองคน


ใต้แสงอาทิตย์เหลืองนวล หลิงม่อกำลังอ้าปากออกเล็กๆ เสียงผ่อนลมหายใจยาวๆ และเสียงลมเบาหวิว ลอยกระทบโสตประสาทของเธออย่างชัดเจน


เด็กสาวเหม่อมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยื่นมือมาลูบไล้แก้มเขาเบาๆ


ภาพที่หลิงม่อจับข้อมือเธอลอยเข้าในสมองอีกครั้ง เย่เลี่ยนมองดวงตาของหลิงม่อที่กำลังปิดแน่น แต่ในใจกลับหวนนึกถึงแววตาในตอนนั้น


แววตานั่น ช่างสดใสเหลือเกิน เหมือนตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรเลย และในสายตาของเขาก็มีแค่เธอคนเดียว ทุกสิ่งรอบกายเหมือนไร้ตัวตน


ถึงจะแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่เย่เลี่ยนกลับจำความรู้สึกนั้นได้ขึ้นใจ


“มัน…คือความรู้สึก…ของมนุษย์หรือ?”


มือของเย่เลี่ยนเลื่อนลงช้าๆ และสุดท้ายก็หยุดตรงหัวใจของหลิงม่อ


ตึกตัก!


สัมผัสจากหัวใจที่เต้นตึกตักอยู่ใต้เนื้อผ้า ส่งถึงฝ่ามือเธอทันที


เย่เลี่ยนฉีกยิ้มเล็กน้อย เลื่อนสายตาไปที่ริมฝีปากของหลิงม่อ แล้วเธอก็ค่อยๆ โน้มตัวลงไปทีละนิด…


“ทำอะไรอยู่น่ะ?”


ทันใดนั้น เสียงของซย่าน่าก็ดังมาจากหน้าประตู เย่เลี่ยนลุกพรวดยืนตรงเหมือนถูกไฟช็อต รีบสองมือไขว้ไว้ข้างหลัง แล้วเบิกตากว้างมองซย่าน่าที่ยืนอยู่ตรงประตู “ฉันก็แค่…”


“ก็แค่ลักจูบสินะ…” ซย่าน่ายิ้มล้อเลียน เธอดึงหลี่ย่าหลินที่อยู่ข้างหลังให้เดินเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ยกเท้าถีบประตูปิด “แต่ว่านะพี่เย่เลี่ยน เวลาทำเรื่องอย่างนี้น่ะ…อย่าลืมว่าต้องปิดประตูนะ”


เย่เลี่ยนยืนทำไม้ทำมือไม่ถูกอยู่กับที่ เธอเข้าใจสิ่งที่ซย่าน่าพูด แต่กลับไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไรดี


“แต่คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่าพี่เย่เลี่ยนก็…” ซย่าน่าวางหลี่ย่าหลินลงบนโซฟา แล้วเตะลูกบอลใหญ่ๆ ที่อยู่ด้านหลังให้เข้าไปอยู่ในมุมห้อง จากนั้นตัวเองก็นั่งลงข้างๆ หลี่ย่าหลิน ทำท่าหัวเราะคิกคักมองเย่เลี่ยน


“จะ…ไม่เป็นไรหรอ…” สายตาของเย่เลี่ยนมองตามลูกบอลที่กลิ้งไปทางนั้น จนกระทั่งลูกบอลกระแทกเข้ากับผนัง และแน่นิ่งไปหลังจากดิ้นขลุกขลักสองสามที


“ไม่เป็นไรหรอกน่า เมื่อกี้ก็ลากกลิ้งมาด้วยตลอดทาง”


ซย่าน่าหัวเราะแล้วตอบ


แต่หน้าซีดเซียวของเธอ แล้วยังมีดวงตาที่กำลังเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วนั่น กลับเป็นตัวบ่งบอกชัดเจนว่าอาการของเธอไม่คงที่


ตอนที่เธอนั่งลงไป มือของเธอเหมือนเอื้อมไปจับที่วางมือเบาๆ แต่ไม่กี่วินาทีถัดมา เสียง “แคร่ก” ก็ดังขึ้นทันที แล้วมือของซย่าน่าก็ไร้ซึ่งที่รองรับอีกต่อไป


เศษเนื้อไม้กระจายเต็มพื้น ซย่าน่ากระตุกมุมปาก แล้วแค่นเสียงบ่น “คุณภาพแย่จริงๆ…”


默的两只耳朵。


“เพราะ…เธอ…แรงเยอะ…” เย่เลี่ยนพูดตะกุกตะกัก ขณะเดียวกันก็ก้มตัวลงไปปิดหูให้หลิงม่อด้วย


“ก็ได้ๆ เป็นเพราะฉันคุมแรงตัวเองไม่ได้” ซย่าน่ายกมือทั้งสองข้างมาข้างหน้า แล้วบอกว่า “พอใจรึยังล่ะ?”


เธอเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงหลี่ย่าหลินที่นอนอยู่ข้างๆ คราง “อืม” หนึ่งเสียง จากนั้นก็พลิกตัวนอนต่อ


“อา…” เย่เลี่ยนตาไว หมายจะยื่นมือไปจับหลี่ย่าหลิน แต่ก็คิดว่าไม่ควรปล่อยหลิงม่อไปทั้งอย่างนี้


ตอนนี้ซย่าน่ากำลังตกอยู่ในภวังค์สับสนยุ่งเหยิง การตอบสนองจึงช้าไปครึ่งหนึ่ง


กว่าเธอจะหันไปมอง โซฟาที่อยู่ใต้ตัวเธอก็หักดัง “โครม” เสียแล้ว


เย่เลี่ยนรีบปิดหูหลิงม่ออีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ยืนมองซย่าน่าและหลี่ย่าหลินที่จมเข้าไปในเศษซากโซฟาตัวนั้น


“เสียงอะไรน่ะ…” จู่ๆ มู่เฉินที่กำลังเดินขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเหมือนคนอยากร้องไห้ ก็รู้สึกเหมือนพื้นใต้เท้าสั่นสะเทือนเล็กน้อย ด้านบนก็มีเสียงโครมครามดังมา


แล้วเสียงของสวี่ซูหานก็ดังก้องเข้ามาในช่องบันไดอีกครั้ง “นายหุบปากซะ!”


“ครั้งนี้ไม่ใช่ฉันนะ!” มู่เฉินทำหน้าร่ำไห้ ครั้งนี้เขาโดนลูกหลงจริงๆ…


“ขอโทษที…” ซย่าน่ารีบตะเกียกตะกายลุกจากซากโซฟา แล้วหันไปดึงตัวหลี่ย่าหลินขึ้นมาด้วย


รุ่นพี่เหมือนจะยังไม่รู้สึกตัวดีนัก เพิ่งจะลุกขึ้นมาก็ทำท่าจะพุ่งไปทางผนัง แต่โชคดีซย่าน่ากระชากตัวเธอไว้ทัน พร้อมกับหยิบหมอนอิงขว้างให้เธอ อ่ะ อันนี้ๆ…”


—————————————————————————–


บทที่ 682 นี่มันไม่ใช่สไตล์เดียวกับพวกฉัน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“แคว่ก!”


รุ่นพี่จับหมอนได้ก็ฉีกทึ้งทันที ซย่าน่าเอียงตัวหลบเศษนุ่นและเศษผ้า พลางหันไปยิ้มขอโทษเย่เลี่ยน “ไม่เป็นไรแล้ว…”


เย่เลี่ยนเอามือออกเบาๆ แล้วบอกว่า “เขาเหนื่อย…มากๆ…”


“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น” ซย่าน่าพยักหน้า “ปล่อยให้เขานอนเถอะ เวลาปกติก็เอาแต่เฝ้าระวัง ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่ได้ปิดหูให้เขา ป่านนี้คงตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ…”


“เป็นเธอ…ก็ปิดหูให้เขาเหมือนกัน” เย่เลี่ยนยิ้มบาง


ซย่าน่าเหลือบมองหลิงม่อที่กำลังหลับสบาย แล้วอดปวดใจไม่ได้ แต่ปากกลับแค่นเสียงพูดอย่างเคืองๆ “ใช่ ฉันจะเอาหมอนปิดหน้าเขาให้ขาดใจตายไปเลย จะได้กินเนื้อด้วย”


“หา!” เย่เลี่ยนตกใจ “เธอ…เธอโกหก…”


“เขาไม่ได้เรียกโกหก เรียกว่าล้อเล่นต่างหากเล่า…เดี๋ยวนะ ฉันไม่ได้ล้อเล่นซักหน่อย!” ซย่าน่าบ่นอุบ ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์ไม่คงที่ สัญชาตญาณของคนกับซอมบี้กำลังขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง สภาพอารมณ์จึงผิดไปจากปกติ


เย่เลี่ยนทำหน้าเหมือนเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ เธอนั่งลงข้างหลิงม่อเงียบๆ แล้วถามว่า “พวก…พวกเธอ…เป็นไงบ้าง?”


ซย่าน่ายิ้ม “ดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณพวกพี่ ตอนที่เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับสูงนั่นโผล่มา ฉันเองก็รับรู้ได้เลือนราง ถ้าหากถูกบีบให้ต้องสู้ตอนนั้นล่ะก็ เดาว่าเรื่องคงจบไม่สวยอย่างตอนนี้แน่”


พูดไป เธอก็หันไปมองหลิงม่ออีกครั้ง “เขาต้องเหนื่อยจนมีสภาพแบบนี้…แต่ใครใช้ให้อวดเก่งล่ะ!”


เย่เลี่ยนเบิกตากว้าง เธอไม่รู้เลยว่าควรตอบซย่าน่าอย่างไรดี


ตอนแรกเหมือนจะเป็นห่วง แต่ทำไมประโยคหลังถึงกลายเป้ฯต่อว่าได้ล่ะ…


นี่มันไม่ใช่สไตล์ซอมบี้เลยนะ…


“แล้วพี่ล่ะ? หลังก้าวข้าม รู้สึกอะไรเป็นพิเศษบ้างรึเปล่า?” จู่ๆ ซย่าน่าก็ถามอย่างสงสัย


เธอยอมรับแล้วว่าคงก้าวข้ามถึงระดับเจ้าเมืองไม่ได้ในการวิวัฒนาการครั้งนี้ แต่ในเมื่อได้รับการอัพเกรดอีกครั้งแล้ว ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องได้ก้าวข้ามอยู่แล้ว ดังนั้นถามเอาไว้ก็ไม่เสียหาย…


เย่เลี่ยนบีบนิ้วตัวเอง พลางเรียบเรียงคำพูดในสมองของตัวเอง แล้วก็พูดตะกุกตะกักว่า “ต่าง…จากเมื่อก่อน…นิดหน่อย…”


เธอชี้มาที่ดวงตาของตัวเอง “ตรงนี้…”


แล้วจากนั้น เธอก็ชี้ไปที่หลิงม่อ “แล้วก็…เขา…”


“เอ๊ะ เกี่ยวกับพี่หลิงด้วยหรอ?” ซย่าน่าสงสัยหนักกว่าเดิม


เรื่องดวงตาเธอเข้าใจตั้งแต่แวบแรกแล้ว ม่านตาที่หดตัวนั่นมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าผิดปกติ เห็นชัดว่าเกิดจากการกลายร่าง


ทว่าการวิวัฒนาการของเย่เลี่ยน เกี่ยวข้องกับหลิงม่อด้วยหรือ?


“ฉัน…” เย่เลี่ยนเม้มปาก แล้วพูดเสียงค่อย “ฉัน…เหมือนจะ…เข้าใจเขาบ้างแล้ว…”


ซย่าน่าอึ้ง จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจ “อ๋ออ ฉันเข้าใจแล้ว!”


ดวงตาสีแดงข้างหนึ่งดำข้างหนึ่งของเธอกลอกไปมาระหว่างเย่เลี่ยนและหลิงม่อ พลางพยักหน้าขึ้นลง “ความสัมพันธ์ของพวกพี่ลึกซึ้งขึ้น!”


ตอนแรกเย่เลี่ยนพยักหน้าก่อน แต่จากนั้นเธอก็ส่ายหน้าอีก “ไม่ใช่…แค่นี้…”


เธอพูดพร้อมทำท่าทางประกอบอยู่นาน กว่าซย่าน่าจะเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการในที่สุด


“หมายความว่า…ตอนนี้พี่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่พี่หลิงแสดงออกมาแล้ว?” ซย่าน่าลองพยายามสรุปดู พร้อมกับถามเพื่อความแน่ใจ


“อื้มๆ!” เย่เลี่ยนพยักหน้าอย่างดีใจ


ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วเธอก็ถามอย่างสงสัยอีกว่า “ถ้าอย่างนั้น…ตัวพี่เองมีความรู้สึกแบบเดียวกันไหม? ในเมื่อสามารถรับรู้ได้ ตัวเองก็น่าจะรู้สึกเหมือนกันด้วยสิ?”


ตอนพูดประโยคนี้ สายตาของซย่าน่าเต็มไปด้วยความลุ้นและคาดหวัง


ความจริง ตอนนี้เธอรักษาสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้แล้ว แต่จะสามารถกลับไปเป็นมนุษย์เต็มตัวได้หรือไม่นั้น…อย่างน้อยก็เฮยน่าคนหนึ่งล่ะที่ไม่สนใจเรื่องนี้


เธอสนุกกับการเป็นซอมบี้ ความรู้สึกดีที่ได้เห็นเลือดสดๆ เข้ายึดครองร่างกายทั้งร่าง และความสุขเมื่อได้รบราฆ่าฟันอย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ปกติไม่มีวันสัมผัสได้


แต่ความรู้สึกอันซับซ้อนในสมองของเหล่ามนุษย์ ก็เป็นสิ่งน่าดึงดูดมากสำหรับซย่าน่าด้วยเช่นกัน


ท่ามกลางสายตาของซย่าน่าที่มองมาอย่างจริงจัง เย่เลี่ยนทำได้เพียงส่ายหน้าเบาๆ “มะ…ไม่มี…”


“ฉันแค่…เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ เพราะ…พอจำอะไรได้บ้างแล้ว…แต่ว่า…ตัวฉันไม่รู้สึก…” เย่เลี่ยนบอก


ซย่าน่าทำหน้าผิดหวังชั่วขณะ เรื่องคงไม่ง่ายขนาดนั้นจริงๆ ด้วยสินะ…


อาการของเย่เลี่ยน หากพูดตรงๆ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความรู้สึก


เหมือนกับการดูรูปภาพเรียนรู้ศัพท์ เธอรู้ว่าในภาพเป็นผลไม้ชนิดไหน และรู้ว่าผลไม้ชนิดนี้ชื่ออะไร แต่หากเธอไม่เคยลิ้มรสของผลไม้ชนิดนี้ เธอก็ไม่มีวันรู้จักมันอย่างแท้จริง


และความรู้ความเข้าใจที่เย่เลี่ยนมีต่อความรู้สึกของมนุษย์ ก็ยังอยู่ในระดับดูภาพเรียนรู้ศัพท์เท่านั้น


“ไม่เป็นไรน่า” ซย่าน่าพุ่งตัวไปข้างหน้า เพียงไม่นานก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเย่เลี่ยน แล้วเอื้อมมือไปจับมือเธอ “อย่างน้อยก็พัฒนากว่าเมื่อก่อนมาก ใช่ไหมล่ะ? อีกหน่อยถ้าพี่เห็นเขาโมโหจนตัวสั่น พี่ก็จะไม่เข้าใจผิดอีกว่าเขาถูกแช่แข็งไง…”


“อื้ม!” เย่เลี่ยนยิ้มบางๆ


“ฮู่ว…ฮู่ว…” ในทางเดินบันไดอันมืดมิด สวี่ซูหานกำลังจับราวบันได และพยามเดินขึ้นไปอย่างทุลักทุเล


ความคิดของเธอถือว่ายังชัดเจนอยู่ และเพราะเหตุนี้ ความรู้สึกจากปฏิกิริยาทางกายจึงรุนแรงยิ่งกว่าเดิม


ท่ามกลางความมืด ราวกับเสียงซู่ซ่าที่ดังอยู่รอบตัวกำลังเสียดแทงเข้ามาในสมองของเธอ


แม้จะปิดหูแน่น แต่ก็ยังได้ยินเสียงเลือดในร่างกายตัวเองกำลังไหลเวียน


แม้แต่เสียงหายใจของตัวเองก็ยังน่ารำคาญ จนทำให้เธอแทบคลั่ง


“ทรมานเหลือเกิน…”


สวี่ซูหานไม่รู้ว่าตัวเองเดินขึ้นมาถึงชั้นไหนแล้ว เธอยืนพิงอยู่ตรงมุมโค้งบันได แล้วค่อยๆ ไถลตัวลงตามแนวผนัง ยกมือโอบศีรษะนั่งอยู่ตรงนั้น


คำพูดของซย่าน่าดังสะท้อนในสมองอีกครั้ง “อีกหน่อยก็ชินเอง…”


“นี่คือผลข้างเคียงจากการพยายามรักษาสติปัญญาไว้งั้นหรอ? ถ้าหากสูญเสียสติปัญญา แล้วถูกสัญชาตญาณซอมบี้ควบคุม คงจะไม่ต้องทนทรมานขนาดนี้แล้ว…” สวี่ซูหานอดคิดไม่ได้


แต่พอนึกถึงสีหน้าบิดเบี้ยว และการกระทำที่ฉีกทึ้งคนเป็นๆ ของซอมบี้ธรรมดาพวกนั้นแล้ว สวี่ซูหานก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้


“ไม่…ฉันไม่อยากกลายเป็นแบบนั้น ไม่ได้…”


สวี่ซูหานหดตัวถอยเข้าไปในมุมกำแพง เล็บแหลมคมทั้งสิบครูดกับพื้นจนเกิดเป็นรอยลากยาวสีขาว เสียงดังครืดๆ กำลังกระตุ้นเธอ และลากเธอให้กลับมาจากความคิดอันตรายที่อยากจะยอมแพ้เหล่านั้น


“มนุษย์…ที่เป็น…เพื่อนร่วมสายพันธุ์คนนั้น…” เย่เลี่ยนไม่รู้ว่าควรเรียกสวี่ซูหานอย่างไรดี ภายใจ้สถานการณ์ที่เธอยังไม่กลายร่างเต็มตัว อย่างมากเธอก็ถือเป็นเพื่อนร่วมสายพันธุ์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น…


ซย่าน่านั่งกอดเข่าอยู่ตรงหน้าเย่เลี่ยน แล้วบอกว่า “เธอคนนั้นน่ะหรอ? ตอนนี้ก็คงทำได้แค่ดูพลังจิตตานุภาพของเธอ เท่านี้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะเธอยังมีโอกาสดิ้นรน พี่หลิงใช้ชีวิตกับเรามานานมาก เขาได้เรียนรู้และเข้าใจอะไรตั้งมากมายเลยล่ะ”


“แต่…ก็ยังหวังว่าเธอจะอดทนจนถึงที่สุดนะ” ซย่าน่าเงียบไปหลายวินาที แล้วจู่ๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป


“น่ารำคาญจริง น่าน่าเธออย่ามาแย่งสิทธิในการคุมร่างตามใจชอบอย่างนี้สิ…”


“จะเรียกว่าแย่งได้ไง? ก็ครึ่งหนึ่งเป็นของฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่”


“ชิ ครึ่งหนึ่งของเธอเป็นร่างดวงจิตไม่ใช่รึไงล่ะ? ถ้าอย่างนั้นเธอลองถอดเสื้อผ้าด้วยมือข้างเดียวดูไหมล่ะ?”


“ก็เธอเล่นดึงเสื้อผ้าอีกฝั่งของฉันไว้ แล้วฉันจะถอดได้ยังไงเล่า!”


ซย่าน่าทะเลาะกับตัวเองอย่างดุเดือด แถมมือไม้ยังอยู่ไม่นิ่งอีก เย่เลี่ยนที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้แต่ขดถอยช้าๆ แล้วยกมือปิดหูให้หลิงม่อเงียบๆ


ชั่วพริบตา เหตุการณ์ในห้องก็ชุลมุนวุ่นวายครั้งใหญ่ หลี่ย่าหลิยกำลังทำลายเบาะรองนั่งทั้งหมดอย่างสุดกำลัง ส่วนซย่าน่าก็ทะเลาะกับตัวเองอย่างไม่มีใครยอมใคร ท่ามกลางปุยนุ่นที่ลอยกระจายทั่วห้อง หลิงม่อยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงโดยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น…


ดักแด้ตัวโตที่อยู่ตรงมุมห้องดิ้นขลุกขลักเล็กน้อย จากนั้นก็แน่นิ่งไป…


“โครม เพล้ง!”


เสียงบานกระจกระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ไอร้อนปนกลุ่มควันและเปลวเพลิง ม้วนตัวเป็นคลื่นซัดออกไปสู่ภายนอกอาคาร


ตอนนี้ ห้างสรรพสินค้าทั้งห้างได้กลายสภาพเป็นเตาเผาขนาดยักษ์ไปแล้ว ควันสีดำมากมายลอยคลุ้งสู่ภายนอกอย่างต่อเนื่อง


อาคารก่อสร้างสองตึกที่อยู่ติดกันถูกไฟลุกลาม จนตอนนี้ไฟลุกท่วมไปแล้ว


บนถนนแออัดไปด้วยเหล่าซอมบี้ที่ถูกดึงดูดมาจากทุกสารทิศ ทว่านอกจากซอมบี้ที่วิ่งออกมาจากในห้างฯ ในสภาพมนุษย์ไฟไม่กี่ตัวแล้ว ที่เหลือไม่มีใครเข้าใกล้กองเพลิงก่อนเลยซักตัว


เปลวเพลิงสามารถดึงดูดให้พวกมันเข้ามาใกล้ แต่แค่เปลวเพลิงธรรมดาไม่มากพอที่จะทำให้พวกมันเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไผได้อีกต่อไป


นอกเหนือจากว่าจะมีเหยื่อ…


แต่เห็นชัดว่าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่ถูกไฟคลอกไปครึ่งตัวไร้แรงดึงดูดมากพอ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดเฮือกสุกท้ายก่อนตายกระตุ้นให้พวกมันกระโจนเข้าสู่กลางวงฝูงซอมบี้ แต่กลับไม่มีซอมบี้ตัวไหนอยากยุ่งกับพวกมัน


ส่วนมากซอมบี้ที่ได้รับผลกรรม มักเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุดในฝูง


เหตุการณ์ชุลมุนเล็กๆ นี้เกิดขึ้นไม่นาน ไม่ได้ก่อให้เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่แต่อย่างใด


“เคร้ง!”


ณ ประตูหลังของห้างสรรพสินค้า มีสิ่งของจำวนวนมากกองหนึ่งหล่นลงมาจากหน้าต่างชั้นบน


กองวัตถุสีดำที่ไหม้เกรียมกองนี้ดิ้นขลุกขลักเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็มีมือไหม้เกรียมข้างหนึ่งผุดขึ้นมา


บนมือข้างนี้เต็มไปด้วยแผลพุพอง ใต้ผิวหนังที่ถูกเผาจนเสียหายเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีชมพู นิ้วมือบางส่วนถึงขั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วด้วยซ้ำ


ทันทีที่มือข้างนี้ชูขึ้น มันก็ขยับนิ้วอยู่กลางอากาศสองสามที จากนั้นก็จิกพื้น


เมื่อมือข้างนี้เคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ เงาร่างดำเกรียมก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากกองวัตถุสีดำเหล่านั้น


“แค่ก…”


มันฝืนคลานออกมาจนสำเร็จ พลางเปล่งเสียงประหลาดน่าขนลุกออกมาจากลำคอ


ไม่เพียงแค่มือข้างนั้น ทั่วทั้งร่างกายของมันก็ถูกเผาจนมีสภาพเดียวกัน


หัวของมันโล้นไร้เส้นผม ดวงตาปูดโปนออกมาทั้งสองข้าง ราวกับเหลือแค่ลูกตาที่กลอกไปมา


ม่านตายังคงเป็นสีม่วงดังเดิม แต่ส่วนตาขาวกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมด


ด้านล่างริมฝีปากที่ถูกเผาจนเนื้อหายไปหนึ่งแถบ เผยให้เห็นฟันที่ขาวจนน่าขนลุก


เนื้อหนังก้อนหนึ่งยังห้อยติดอยู่ตรงแก้มซ้ายของมัน มันยกมือขึ้น แล้วใช้เล็บแหลมๆ ลูบคลำลงมาจากส่วนขมับ


ขณะกำลังลูบลง ก็เกิดสะเก็ดไฟขึ้นเล็กน้อย เมื่อมันคว้าเนื้อก้อนนั้นได้ ก็ออกแรงดึงอย่างแรง


ใบหน้าที่เดิมซูบตอบมากอยู่แล้วยิ่งยุบลงไปมากกว่าเดิม ยิ่งทำให้หน้าตาของมันเพิ่มระดับความน่ากลัวขึ้นไปอีก


ผิวกายที่ยากตัดขาดด้วยมีด กลับถูกไฟเผาจนมีสภาพอย่างนี้


ถ้าหากไม่ใช่ว่าเป็นซอมบี้ราชา มันคงตายอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงไปนานแล้ว


“แค่ก! แค่ก!”


ทันใดนั้น มันอ้าปากออก แล้วพยายามใช้ลำคอที่ผ่านการสำลักควันมาอย่างหนักเปล่งเสียงแหบ


ผิวหนังบนใบหน้าที่ตอนแรกยังเป็นแผ่นเดียวกันพลันฉีกออก เลือดเหนียวข้นไหลออกจากบาดแผลเหล่านั้น ดูน่าขนลุกสุดขีด


“หยุดร้องได้แล้ว” ทันใดนั้นเสียงพูดหนึ่งก็ดังขึ้น


ซอมบี้นกรีบหันขวับไปมองยังทิศที่มาของเสียง


ตรงช่องแคบมืดๆ ระหว่างอาคารสองหลังนั่น ไม่รู้ว่ามีคนมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่


รูปร่างไม่สูง แลดูบอบบาง มีเพียงส่วนหัวเท่านั้นที่ดูใหญ่ผิดปกติ


—————————————————————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม